Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ตื่น รู้้ เบิกบาน

ตื่น รู้้ เบิกบาน

Published by Panadda Sujan, 2021-09-09 01:30:11

Description: ตื่น รู้้ เบิกบาน

Search

Read the Text Version

พิมพ์ครงั้ ที่ ๑ เบตกิ น่ื บารนู ้ ส.เขมรงั สี เราเกดิ มาทำไม... ชวี ติ คอื อะไร... ธรรมะของพระพทุ ธเจ้าบอกความจริงได้ และพิสจู น์ไดด้ ว้ ยตนเอง

ตื่น  ร ู้ เบิกบาน ก า ร อ่ า น คื อ ร า ก ฐ า น ท่ี สํ า คั ญ

ผลงานเลม่ อื่น ๆ โดย  ส.เขมรงั สี ท่จี ดั พมิ พ์โดยสำนกั พิมพอ์ มรินทรธ์ รรมะ ความจริงไม่มีตัวเรา

ตืน่   ร ู้ เบิกบาน ส.เขมรงั สี เขยี น สํ า นั ก พิ ม พ์ อ ม ริ น ท ร์ ธ ร ร ม ะ ก รุ ง เ ท พ ม ห า น ค ร

ธรรมะภาคปฏบิ ัต ิ ลำดบั ที่  ๑๗ ตื่น  รู้  เบิกบาน ในเครือบริษทั อมรนิ ทร์พรน้ิ ตง้ิ แอนด์พับลชิ ช่งิ   จำกดั   (มหาชน) ๓๗๘  ถนนชยั พฤกษ์  (บรมราชชนนี)  เขตตลิง่ ชัน  กรงุ เทพฯ  ๑๐๑๗๐ โทรศพั ท ์ ๐-๒๔๒๒-๙๙๙๙  ต่อ  ๔๙๖๔,  ๔๙๖๙  โทรสาร  ๐-๒๔๓๔-๓๕๕๕,  ๐-๒๔๓๔-๓๗๗๗,  ๐-๒๔๓๕-๕๑๑๑  E-mail:  [email protected] สงวนลิขสิทธห์ิ นงั สือเล่มนี้ตามพระราชบญั ญตั ิ  พ.ศ. ๒๕๓๗ ห้ามคัดลอกเนือ้ หา  ภาพประกอบ  รวมท้ังดัดแปลงเปน็ แถบบันทึกเสยี ง  ตลบั วีดิทศั น์ หรอื เผยแพร่ด้วยรูปแบบและวธิ กี ารอืน่ ใดกอ่ นไดร้ ับอนญุ าต เลขมาตรฐานสากลประจำหนงั สอื   978-616-387-501-3 พิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์อมรินทร์ธรรมะ  มกราคม  ๒๕๕๗ ขอ้ มลู ทางบรรณานกุ รมของศูนยข์ อ้ มลู อมรนิ ทร์ พระครเู กษมธรรมทัต  (สรุ ศักด์ิ  เขมรังส)ี . ตน่ื   ร ู้ เบกิ บาน  /  ส.เขมรงั ส:ี   เขยี น.—  กรงุ เทพฯ:  อมรนิ ทรธ์ รรมะ  อมรนิ ทรพ์ รน้ิ ตงิ้ แอนดพ์ บั ลชิ ชงิ่ ,  2557. (8),  171  หน้า.   (ชดุ ธรรมะภาคปฏบิ ัติ  ลำดบั ที่  17) 1.  ธรรมะ  (พุทธศาสนา).   2.  พุทธศาสนา -- หลักคำสอน.   3.  การปฏิบัติธรรม.   4.  การดำเนินชีวิต.  I.  ช่อื เรอ่ื ง.   II.  ชอื่ ชดุ .   X  ส.เขมรังส.ี 294.344  พ4ต7                        DDC  294.344 ISBN  978-616-387-501-3 เจ้าของ  ผู้พิมพ์ผโู้ ฆษณา  บรษิ ทั อมรินทร์พริ้นตง้ิ แอนดพ์ ับลชิ ชิง่   จำกดั   (มหาชน)  กรรมการผู้จดั การใหญ่  ระรนิ   อทุ กะพนั ธุ์  ปญั จรุ่งโรจน ์ •  บรรณาธกิ ารทป่ี รึกษา  เมตตา  อุทกะพันธ์ุ ผชู้ ว่ ยกรรมการผ้จู ัดการสายงานหนงั สือเลม่   องอาจ  จิระอร  •  บรรณาธกิ ารอำนวยการ  อษุ ณยี ์  วริ ตั กพันธ์ รองบรรณาธิการอำนวยการ  จตุพล  บญุ พรัด,  จติ ตมิ า  จนิ ตะเกษกรรม  •  ผชู้ ่วยรองบรรณาธิการอำนวยการ  นภาพร  พทิ ยวราภรณ์ บรรณาธกิ ารสำนักพมิ พ์  ภทั รภร  นลิ เศรษฐี บรรณาธิการ  ตรีคิด  อนิ ทรขันต,ี   ภทั รภร  นลิ เศรษฐี •  ผชู้ ่วยบรรณาธิการ  ปานแกว้ ตา  ชุณหบณั ฑติ   •  เลขานุการ  สุกญั ญา  จันทวงศ์ ทป่ี รึกษาฝ่ายซับเอดเิ ตอร์  มนทิรา  วงศช์ ะอุม่   •  ผ้ตู รวจทานต้นฉบบั   นาฏนิ นั ท์  จนั ทร์ธีระวงศ ์ •  ซบั เอดเิ ตอร์  สภุ าวดี  สุขสมยั ที่ปรึกษาฝ่ายศิลปกรรม  เอกจิตร  โพธิ์ปลั่ง  •  ผู้จัดการฝ่ายศิลปกรรม  พีระพงศ์  โพสินธุ์  •  ศิลปกรรม  กุศล  คงสวัสดิ์ ผอู้ ำนวยการฝา่ ยจดั การสำนกั พิมพ์  ชัชฎา  พรหมเลิศ พสิ จู นอ์ กั ษร  อมั ไพวรรณ  ทองคง  •  คอมพวิ เตอร์  ทัศนยี ์  วริ ยิ ะเจรญิ ทรพั ย์ ผ้จู ัดการฝ่ายประสานงานสำนกั พมิ พ์  อมราลักษณ ์ เชยกลิ่น  ประสานงานสำนกั พิมพ์  สิทธพิ ร  แสงทองพราว,  อภฌิ าณ์  ลีภัทรพณชิ ย์  •  ประสานงานการผลติ   บรม  คมเวช เจา้ หนา้ ท่ีการตลาดและส่อื สารแบรนด์  ศรญั ญา  บ่สู าลี เวบ็ เอดิเตอร์  จฑุ ามาศ  ปานปรดี า แยกสีและพมิ พท์ ่ี  สายธุรกิจโรงพมิ พ ์ บรษิ ัทอมรนิ ทรพ์ ริ้นตงิ้ แอนด์พบั ลิชช่งิ   จำกดั   (มหาชน) ๓๗๖  ถนนชัยพฤกษ์  (บรมราชชนนี)  เขตตล่งิ ชนั   กรุงเทพฯ  ๑๐๑๗๐ โทรศัพท ์ ๐-๒๔๒๒-๙๐๐๐,  ๐-๒๘๘๒-๑๐๑๐  โทรสาร  ๐-๒๔๓๓-๒๗๔๒,  ๐-๒๔๓๔-๑๓๘๕ จดั จำหน่ายโดย บรษิ ทั อมรินทรบ์ คุ๊ เซ็นเตอร ์ จำกดั   ๑๐๘  หมู่ที่  ๒  ถนนบางกรวย - จงถนอม  ตำบลมหาสวัสด์ิ  อำเภอบางกรวย  จังหวัดนนทบรุ  ี ๑๑๑๓๐  โทรศัพท ์ ๐-๒๔๒๓-๙๙๙๙  โทรสาร  ๐-๒๔๔๙-๙๒๒๒,  ๐-๒๔๔๙-๙๕๐๐ - ๖  Homepage:  http://www.naiin.com ราคา  ๑๒๕  บาท



สารบัญ (๗) คำนำสำนักพิมพ์ ๓ ๑๙ ๑.  กรรมจำแนกสัตวใ์ ห้หยาบและประณตี ๓๓ ๒.  สร้างเหตุเทา่ กบั สรา้ งทกุ ข์ ๔๗ ๓.  ชีวิตน้ีนอ้ ยนกั   จะเอาอะไรเปน็ สาระ ๖๗ ๔.  ประโยชน์จากการเขา้ วดั ๘๓ ๕.  สิ่งที่หาได้ยากในโลก ๙๙ ๖.  พิจารณาให้เขา้ ถงึ ธรรม ๑๑๑ ๗.  ตรงทาง  ตรงธรรม ๑๒๙ ๘.  กำหนดรดู้ นู วิ รณ์ ๑๕๓ ๙.  ทำกศุ ลให้มปี ญั ญา ๑๖๙ ๑๐.  เจรญิ เมตตาภาวนา เก่ยี วกบั ผเู้ ขียน

คำนำสำนักพิมพ์ ต่ืน  รู้  เบิกบาน  เป็นหนังสือท่ีรวบรวมคำบรรยายธรรมของ พระครูเกษมธรรมทัต  (หลวงพ่อสุรศักด์ิ  เขมรํสี)  วัดมเหยงคณ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา  พระวิปัสสนาจารย์ท่ีมีชื่อเสียงรูปหน่ึงของ บ้านเรา  เน้ือหาการสอนธรรมะและการนำปฏิบัติของท่านจะเน้นความ เรียบง่ายในการเข้าถึงธรรม  โดยให้ ฝึก  ขัด  เกลา  จิตใจ  ด้วยการ เฝ้าสังเกต  พิจารณาตัวสภาวะหรือปรมัตถธรรม  โดยเฉพาะตัวขันธ์  ๕ คอื   รปู   เวทนา  สญั ญา  สงั ขาร  วญิ ญาณ  ทมี่ าประกอบกนั เปน็ ตวั ตน แต่ละคน  เพราะถ้าหากเราสามารถพิจารณาจนเข้าถึงตัวสภาวะที่แท้จริง ได้  โดยมองแบบแยกส่วนออกจากกัน  ก็จะพบว่าไม่มีตัวเราอยู่เลย  ทกุ อยา่ ง  สกั แตว่ า่ เปน็ เทา่ นน้ั   และสงิ่ ทจี่ ะทำใหร้  ู้ ใหเ้ หน็   ใหเ้ กดิ ปญั ญา ได้ก็มีอยู่แล้ว  คือกาย  คือใจของเราเอง  ข้ึนอยู่ที่ว่าจะพากเพียร ประพฤติปฏิบัติกันหรือไม่  หนังสือเล่มนี้หลวงพ่อได้บอกเล่าถึงข้อธรรมต่าง ๆ  พร้อมยก ตัวอย่างเรื่องในคร้ังพุทธกาลถึงอานิสงส์ของการประพฤติปฏิบัติตาม คำสอนขององคพ์ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้   เชน่   เรอ่ื งของการฟงั ธรรม  เรอื่ ง ของศรัทธาและความเช่ือม่ัน  กรรมดี  บุญบาป  เป็นต้น  เพราะ หากเรามีความต้ังใจ  มีจิตที่เลื่อมใสศรัทธาในธรรมของพระพุทธองค์ แล้วน้อมนำมาปฏิบัติอย่างต่อเน่ืองสม่ำเสมอ  จะทำให้เกิดปัญญา

ตนื่ รตู้ ามความเปน็ จรงิ อยา่ งเทา่ ทนั   จติ ใจจะเบกิ บานผอ่ งใส  เกดิ เปน็ บญุ   เป็นประโยชน์สูงสุดของชีวิตได้ เช่ือว่าหากผู้อ่านทุกท่านได้อ่านหนังสือเล่มน้ีด้วยความพินิจ พิจารณาควบคู่ไปกับการปฏิบัติ  ย่อมจะทำให้มีความเจริญในธรรม ยิ่ง ๆ ขึ้นไป      สำนักพิมพ์อมรินทรธ์ รรมะ มกราคม  ๒๕๕๗ ตดิ ตามขา่ วสารและรว่ มพดู คยุ ไดท้ ี่  http://www.facebook.com อมรินทรธ์ รรมะ

ต่นื   รู้  เบกิ บาน 1

ส . เ ข ม รั ง สี 2

ตื่น  รู้  เบกิ บาน ๑. กรรมจำแนกสตั ว์ ให้หยาบและประณีต การทเ่ี ราเดนิ อยใู่ นธรรม  ธรรมกจ็ ะนำชวี ติ ของเราใหเ้ ปน็ ไป เพ่ือความผาสุก  เพ่ือความดับทุกข์  เพราะพระธรรมคำสอน ท่ีพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้นั้น  เม่ือบุคคลได้ศึกษา  ได้ ปฏิบัติตาม  บุคคลผู้น้ันก็จะเข้าถึงบรมสุข  เข้าถึงความดับทุกข์ ได้ตามเหตุปัจจัยของการปฏิบัติ  ถ้าเรามีธรรมะ  ละอกุศล- ธรรม  จิตใจสะอาดบริสุทธิ์  ก็จะคล่ีคลายจากความทุกข์ไปตาม ลำดับ  หลักคำสอนในพระพุทธศาสนาจะช้ีให้เห็นว่า  ธรรม ทั้งหลายน้ันไหลมาแต่เหตุ  ไม่ใช่เกิดข้ึนมาได้เองลอย ๆ  ไม่ว่า จะประสบความทุกข์  ความสุข  ได้รับผลดีไม่ดี  ล้วนสร้างเหตุ มาแล้วด้วยกันทั้งนั้น  3

ส . เ ข ม รั ง สี ฉะนั้น  แต่ละคนท่ีได้ชีวิตอัตภาพมาต่างกันก็เพราะกรรม ที่ทำไว้  บางคนได้ร่างกายมาสวยงาม  บางคนได้ร่างกายมา ขี้ร้ิวขี้เหร่  บางคนได้ร่างกายท่ีมีโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียนมาก บางคนแข็งแรงโรคภัยไม่เบียดเบียน  บางคนก็อายุสั้น  บางคน อายุยืน  บางคนรวย  บางคนจน  บางคนมีสติปัญญา  บางคน ดอ้ ยปญั ญา  บางคนเกดิ ในตระกลู สงู   ตระกลู ตำ่   มอี ำนาจวาสนา  บางคนไม่มีอำนาจ  ล้วนแล้วแต่เกิดจากกรรม  คือการกระทำ ทั้งหมดของตนเองท่ีเคยทำไว้นั่นเอง  ทำความดไี ดร้ บั ผลด ี ทำความชว่ั ไดร้ บั ผลชว่ั   คนทม่ี ฐี านะ มีทรัพย์  ก็เพราะเขาสร้างเหตุไว้ด้วยการบำเพ็ญทาน  บริจาค ทานไว้  จึงเกิดมามีทรัพย์สมบัติมาก  คนท่ียากจนข้นแค้นก็ เพราะไม่ได้บำเพ็ญทาน  บริจาคทานไว้  คร้ันเม่ือมาบริจาคเอา ชาติน ้ี ทำเล็ก ๆ น้อย ๆ  แล้วจะให้มันได้ผลทันทีคงเป็นไปไม่ได้ เพราะเพ่ิงจะปลูกต้นไม้  ยังไม่ถึงเวลาออกดอก  มันก็ออกผล ไม่ได้  บางคนแม้จะเพ่ิงทำบุญในปัจจุบันน้ี  แต่กลับได้รับผล ทันที  ทำอะไรก็จะได้รับผลโชคลาภต่าง ๆ ไหลมาให้ได้กินได้ใช้ ได้ทำบุญอยู่เรื่อย ๆ  ถ้าเราไปสืบดูจะพบว่า  เขาทำบุญมาตลอด มีญาติโยมหลายคนเคยเล่าให้ฟังถึงความโชคดี  ไม่ว่าจะจับ อะไรตรงไหนก็ดีไปหมด  มีโชคลาภอยู่เร่ือย ๆ  เพราะเขาทำบุญ 4

ตืน่   รู้  เบกิ บาน มาตลอด  ชีวิตท้ังชีวิตชอบบำเพ็ญกุศล  บำเพ็ญทาน  ทำจน มันอ่ิมเต็มท่ี  เหมือนต้นไม้ที่ปลูกมานานจนต้นเติบใหญ่ก็เร่ิม ผลิดอกออกผล  แต่บางคนต้องดิ้นรนมาก  กว่าจะได้เงินมา จับจ่ายใช้สอยต้องหาด้วยความยากลำบาก  เป็นเพราะว่าไม่ได้ บำเพ็ญทานไว้มาก  ในอดีตก็ไม่ได้บำเพ็ญ  เม่ือปัจจุบันยัง ปลูกฝังไว้ไม่ได้เท่าไหร่  ก็ต้องรอ  ขวนขวายสร้างบุญไปเรื่อย ๆ  บางคนเกิดมาร่ำรวยก็จริง  แต่ไม่ได้ใช้ทรัพย์เหล่าน้ัน อย่างมีความสุข  เป็นเศรษฐีแต่ไม่มีความสุขในทรัพย์  ไม่ได้กิน ได้ใช้อย่างมีความสุข  ท่ีเป็นเช่นน้ีก็เพราะว่าเป็นการให้แล้ว เกิดความหวงภายหลัง  ให้ไม่เด็ดขาด  เกิดความตระหน่ีข้ึนมา เลยเกดิ มามที รัพย์  แต่ไม่ได้กินได้ใช้ในสง่ิ ทด่ี ี ๆ  เศรษฐที ำบญุ แลว้ เสยี ดายทรัพย์ ในสมัยพุทธกาล  พระพุทธเจ้าประทับ  ณ  วัดเชตวัน มเี ศรษฐที า่ นหน่ึงอยู่ทีเ่ มอื งสาวตั ถ ี ชอ่ื   อปตุ ตกเศรษฐ ี (เศรษฐี ท่ีไม่มีบุตร)  เขามีทรัพย์มาก  แต่จะไม่กินอาหารดี ๆ  คนนำ อาหารดี ๆ ใส่ถาดทองคำมาให้ก็จะไล่ตะเพิดทันที  ขว้างปาด้วย ก้อนดิน  ท่อนไม้  หาว่ามาเย้ยเยาะ  บางทีบริวารก็นำส่ิงของ เส้ือผ้าเครอ่ื งนงุ่ ห่มด ีๆ มาให ้ อปตุ ตกเศรษฐกี ็จะตะเพดิ ไปหมด 5

ส . เ ข ม รั ง สี เขาจะบริโภคแต่ปลายข้าวกับน้ำผักดอง  เป็นเศรษฐี  ทรัพย์ มีมาก  แต่ไม่ได้กินอาหารดี ๆ  สวมใส่เสื้อผ้าดี ๆ  นุ่งแต่ผ้าป่าน ร่มดี ๆ มีคนนำมาให้ก็ไม่ใช้  ใช้แต่ร่มใบไม้  ยานพาหนะดี ๆ ก็ไม่ใช้  ใช้รถเก่า ๆ  เรียกว่ามีชีวิตอยู่เหมือนคนแร้นแค้น  กระทั่งสิ้นชีวิตลง  บุตรก็ไม่มี  ทรัพย์สมบัติทั้งหลายท่ีมีอยู่จึง ต้องขนเข้าท้องพระคลังหลวง  ใช้เวลาขนอยู่นานถึง  ๗  วันกว่า จะหมด  พระเจ้าปเสนทิโกศล  พระราชา  เสด็จมาเฝ้าพระพุทธเจ้า ที่วัดเชตวัน  แล้วกราบทูลเล่าเรื่องอปุตตกเศรษฐีให้พระพุทธ- องค์ฟังพร้อมกับถามว่า  ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น  พระพุทธเจ้าจึง ไดต้ รสั กับพระเจ้าปเสนทิโกศลว่า  “จริงอย่างน้ันแหละมหาบพิตร  ชื่อว่าบุคคลท่ีมีปัญญา ทราม  ได้โภคะท้ังหลายแล้วย่อมไม่แสวงหานิพพาน  อน่ึง  ตัณหาซ่ึงเกิดขึ้นเพราะอาศัยโภคะท้ังหลาย  ย่อมฆ่าคนเหล่านั้น ส้ินกาลนาน”  แล้วพระองค์ได้ตรัสเป็นคาถาว่า  หนนฺติ  โภคา  ทุมฺเมธํโน  จ  ปารคเวสิโน  โภคะท้ังหลายย่อมฆ่าคนทราม ปัญญา  แต่ไม่ฆ่าคนผู้แสวงหาฝ่ัง  โดยปกติคนทรามปัญญา  ย่อมฆ่าตนเหมือนฆ่าผู้อ่ืน  เพราะความทะยานอยากในโภคะ  เศรษฐนี น้ั เปน็ ผทู้ รามปญั ญา  ตรสั อยา่ งนแ้ี ลว้ พระเจา้ ปเสนทโิ กศล ก็ได้กราบทูลถามต่อว่า  แล้วทำไมเศรษฐีมีทรัพย์แต่ไม่ได้ใช้ 6

ต่ืน  รู้  เบกิ บาน บริโภคอย่างมีความสุข  พระพุทธเจ้าตรัสว่า  “น่ีเป็นเพราะ บพุ กรรมของเขา  กรรมเกา่ ทเี่ ขาทำไว”้   เน่ืองจากพระพุทธเจ้าทรงเป็นสัพพัญญูรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง  ทรงทราบหมดว่าวิบากกรรมแบบน้ีเกิดจากกรรมชนิดไหน  เคย ทำไว้ในชาติใด  พระพุทธองค์จึงได้ตรัสเล่าประวัติในอดีตชาติ ของอปุตตกเศรษฐใี ห้ฟงั วา่   ในอดีตชาติหนึ่งของอปุตตกเศรษฐี  ก็เป็นคนท่ีเคย บริจาคทรัพย์แด่พระปัจเจกพุทธเจ้า  คือครั้งหน่ึงเม่ือเขาได้ เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า  จึงนิมนต์ให้มารับอาหารในบ้านของตน โดยบอกภรรยาให้จัดอาหารมาถวาย  แล้วตัวเองก็ออกไป นอกบ้าน  ภรรยาก็ดีอกดีใจ  เพราะว่าตลอดระยะเวลาท่ีอยู่กัน มานาน  สามีไม่เคยทำบุญทำทานเลย  ท้ัง ๆ ท่ีมีทรัพย์  พอมา อนุญาตให้ทำบุญก็ดีใจ  เพราะตนเองมีศรัทธาเลื่อมใสต่อการ บำเพ็ญทานอยู่แล้ว  จึงได้รับบาตรจากพระปัจเจกพุทธเจ้า มาคดอาหารใส่อย่างประณีต  จัดอาหารอย่างดีมาถวายจน เตม็ บาตร  ขณะนั้นเศรษฐีผู้เป็นสามีก็กลับมา  แล้วถามพระปัจเจก- พทุ ธเจา้ วา่   ทา่ นไดร้ บั อาหารเรยี บรอ้ ยแลว้ หรอื   พอเหน็ ในบาตร มีอาหารอันประณีตเต็มบาตรก็รู้สึกร้อนใจ  รู้สึกเสียดาย  จึง บ่นว่าภรรยาไม่น่าจะต้องทำให้ถึงขนาดน้ี  อาหารประณีตอย่างน้ี 7

ส . เ ข ม รั ง สี ถา้ จะใหก้ ใ็ หก้ บั คนงาน  คนรบั ใชข้ องเรายงั ดกี วา่   เพราะเขาทำงาน ให้  ส่วนพระรูปน้ีเอาไปฉัน  แล้วท่านก็นอน  อปุตตกเศรษฐี มีความคิดอย่างน้ัน  ความที่รู้สึกไม่ได้ยินดีหรือว่าไม่ปล้ืมใจใน ทานของตวั เอง  เหน็ วา่ ใหม้ ากไป  ความรสู้ กึ ไมพ่ อใจนเ้ี องคอื เหตุ  ในชาตินั้นเศรษฐีผู้นี้ยังได้ฆ่าลูกของพี่ชาย  เนื่องจากเด็ก จะชอบเดินตามเศรษฐีผู้นี้ไปไหนมาไหนอยู่เรื่อย  แล้วมักจะ พูดว่า  ยานพาหนะน่ีเป็นของบิดา  ส่วนทรัพย์น้ันเป็นของท่าน เศรษฐีฟังเด็กพูดอย่างนั้นก็นึกกลัว  ระแวงว่า  ขนาดเป็นเด็ก ตัวเล็ก ๆ ยังพูดแบบน้ี  ถ้าโตข้ึนมาจะไม่เอาทรัพย์ของเราเชียว หรือ  แล้วใครจะป้องกันทรัพย์ของเราได้  จึงลวงเด็กเข้าไป ในปา่   แล้วบิดคอฆา่ ทงิ้ หมกไว้  ความหวงทำใหค้ นเราทำบาป  เมื่อเศรษฐีตายจากชาตินั้นไป  ก็ต้องตกอยู่ในนรกเป็น แสนปีที่ได้ไปฆ่าเด็ก  แล้วถึงได้ไปอยู่บนสวรรค์  ๗  ชาติ  เกิด เป็นมนุษย์เป็นเศรษฐีอีก  ๗  ชาติ  ในชาติปัจจุบันท่ีมาเกิดใน เมืองสาวัตถีก็มีทรัพย์มาก  แต่ก็ไม่ได้กิน  ไม่ได้ใช้ทรัพย์ท่ีมี มากมาย  แม้มีอาหารดี ๆ ก็ไม่อยากกิน  กินแต่ข้าวปลายเกวียน กับน้ำผักดองเท่านั้น  ด้วยอำนาจที่เคยได้ถวายทานพระปัจเจก- พทุ ธเจา้ ไวแ้ ลว้ เกดิ เสยี ดาย  ไมพ่ อใจ  ไมย่ นิ ดใี นภายหลงั นนั่ เอง คร้ันพอเศรษฐีสิ้นชีวิตลง  พระพุทธเจ้าตรัสว่า  ขณะนี้ 8

ตื่น  รู้  เบิกบาน ก็กำลังไปเสวยผลกรรมอยู่ในมหาโรรุวนรกอีก  ฉะน้ัน  โภคะ ท้ังหลายย่อมฆ่าคนทรามปัญญา  คนที่ไม่มีปัญญาแต่มีทรัพย์  ทรัพย์น้ันก็กลับเป็นพิษกับตัวเอง  ไม่ได้เอาทรัพย์ไปใช้ให้เป็น ประโยชน์  คนมีปัญญาเท่านั้นจึงจะรู้จักนำทรัพย์ไปใช้ให้ได้ ประโยชน์  อย่างน้อยก็ได้กินได้ใช้  สมค่ากับทรัพย์ที่มี  แล้ว ยังแบ่งทรัพย์ส่วนหน่ึงทำบุญทำกุศล  ทรัพย์เหล่านั้นจึงจะเป็น ประโยชน์ต่อตนเอง  แต่ถ้าขาดปัญญา  มีทรัพย์แล้วหวงแหน  แถมหวงด้วยอำนาจความตระหนี่  ดว้ ยความทะยานอยาก  เลย ไปทำร้ายชีวิตผู้อื่นด้วย  เพราะกลัวเขาจะมาแย่งทรัพย์ของตน  ฉะน้ัน  การฆ่าตนเองก็เหมือนกับการฆ่าผู้อ่ืน  เพราะกรรม เหล่านั้นจะตกมาที่ตนเอง ดังน้ัน  หากเราเห็นใครท่ีมีทรัพย์มาก  แต่ทำไมกินอยู่ อย่างอัตคัด  ของดี ๆ ไม่กิน  เสื้อผ้าดี ๆ ไม่ใช้  ไม่ได้รับความสุข อย่างเต็มท่ี  ก็คงเกิดจากทำนองเดียวกันกับเรื่องท่ีเล่าให้ฟังใน สมัยพุทธกาล  คือให้ทานแล้วจิตยังไม่ได้สละอย่างแท้จริง  ยัง เสียดาย  ยังไปหวง  ถึงมีทรัพย์แต่ก็ไม่ได้ใช้ทรัพย์นั้นอย่างมี ความสขุ     9

ส . เ ข ม รั ง สี มที รัพย์ใหร้ ้จู กั เจอื จาน เปรียบเหมือนไฟกำลังไหม้บ้าน  ถ้าเราสามารถขนทรัพย์ ออกจากบ้านได้  ทรัพย์นั้นก็จะเป็นประโยชน์กับคนคนนั้นได้ ต่อ ๆ ไป  แต่ถ้าทรัพย์อันใดที่ขนออกมาไม่ทัน  ก็จะถูกเผาไหม้ ไปหมด  ฉันใดก็ดี  บุคคลท่ีเกิดมาในปัจจุบันนี้  มีทรัพย์สมบัติ แล้ว  ถ้าสามารถเจือจานให้เป็นบุญกุศล  เสียสละเพ่ือประโยชน์ ต่อสาธารณชน  ต่อวัด  ต่อศาสนา  ก็เหมือนได้นำทรัพย์ออก จากกองเพลิงมาได้  ทรัพย์นั้นก็จะเป็นเสบียงติดตัวให้ได้ใช้ ต่อไป  เรียกว่าแปลงทรัพย์มาเป็นบุญ  เป็นสมบัติติดตัว  โจร ก็ปล้นไปไม่ได้  ถ้าชีวิตเกิดมามีทรัพย์สมบัติเยอะ  แต่ตระหนี่ ไว ้ หวงไว ้ เกบ็ ไว ้ แลว้ ไมไ่ ดท้ ำอะไรทเ่ี ปน็ สารประโยชน ์ สน้ิ ชวี ติ ไปทรัพย์นั้นก็เอาไปไม่ได้  เหมือนทรัพย์ท่ีอยู่ในบ้านแล้วถูก ไฟไหมไ้ ป  คนท่ีมีปัญญาเท่านั้นจึงจะสามารถนำทรัพย์ติดตัวไปได้  แล้วทำให้เกิดคุณประโยชน์ต่อตนเองทั้งภพน้ีและภพหน้า  แต่ คนจะมีปัญญาได้ก็ต้องอาศัยการสดับตรับฟังธรรมะ  สั่งสม บญุ กศุ ลไวใ้ หม้ าก ๆ  จงึ จะเรยี กวา่   มาสวา่ งแลว้ ไปสวา่ ง  ฉะนนั้   เม่ือเกิดมาสว่าง  คือมีรูปสวย  รวยทรัพย์  นับปัญญาแล้ว  ก็ ต้องเป็นคนท่ีมีศรัทธาเลื่อมใส  ใจบุญสุนทาน  เพ่ือจะได้เป็น 10

ตน่ื   รู้  เบิกบาน คนที่สว่างต่อไป  บางคนน้ันมาสว่างแต่ไปมืด  ด้วยเกิดมามีทรัพย์  เพราะ อดีตบำเพ็ญไว้เยอะ  แต่กลับมาตระหน่ีหวงไว้  ยึดไว้  เลยไป มืดต่อไป  คนบางคนมามืดแต่ไปสว่าง  เกิดมายากจนข้นแค้น แสนลำเค็ญ  ถึงจะมีน้อยก็พยายามเจือจานทำไปตามกำลัง  ทำ น้อยแต่ทำดว้ ยจติ ศรทั ธากม็ ผี ลมาก  ดังน้ัน  เมื่อรู้ว่าชาตินี้เกิดมาร่างกายไม่ค่อยสมบูรณ์ พิกลพิการ  รูปร่างหน้าตาไม่สวยงาม  โรคภัยก็คอยแต่จะ เบยี ดเบยี น  เรยี กวา่ มามดื   แตก่ ส็ ามารถไปสวา่ งได ้ ถา้ พยายาม ทำความดี  ประพฤติดี  ทำกายให้สุจริต  วาจาให้สุจริต  สังขาร ที่ไม่ดีเหล่านี้ก็กลับมาสร้างเหตุใหม่  ทำความดีใหม่  ไปภพ ต่อไปก็จะมแี ตค่ วามเจรญิ ร่งุ เรือง  แต่บางคนมาก็มืดอยู่แล้ว  ยังจะไปมืด  คือเกิดมาพิกล- พิการ  ยากจนอนาถา  แถมยังชอบทำบาปทำกรรมอยู่อย่างน้ัน ถ้าใครเคยไปท่ีประเทศอินเดีย  ก็จะเห็นกลุ่มขอทานท่ียากไร้ อนาถา  แต่พวกเขายังทำไม่ดีกับคนท่ีไปเที่ยว  เลยไม่ค่อยมี ใครกล้าให้ทาน  เพราะถ้าให้กับใครคนใดคนหน่ึงไป  มีสิทธ์ิ โดนรุมทึ้งได้  ดีไม่ดีเอาไปท้ังกระเป๋าเลย  จึงไม่ค่อยมีใครกล้า ให้  ด้วยความท่ีพวกเขาประพฤติเช่นน ้ี เรียกว่าเป็นวิบากกรรม ของเขาที่ทำให้ไม่สามารถรับทานได้  มามดื จงึ ไปมืดน่ันเอง  11

ส . เ ข ม รั ง สี ปฏิบตั ติ ามโอวาทปาฏิโมกข์ พวกเราซ่ึงเป็นผู้ท่ีมีโอกาสได้ฟังคำสอนขององค์สมเด็จ- พระสัมมาสัมพุทธเจ้า  มีศรัทธา  ความเชื่อ  ความเล่ือมใสใน เร่ืองกรรมและผลของกรรม  เชื่อว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็น ของของตน  และเชื่อในการตรสั รขู้ องพระพทุ ธองคว์ ่า  ทำดีไดด้ ี ทำชั่วได้ช่ัว  ความสุขความทุกข์ต่าง ๆ เกิดจากกรรมท่ีตนกระทำ ไว้  เราทุกคนจึงพยายามหลีกเล่ียงบาปกรรมท้ังหลาย  บำเพ็ญ กุศลต่าง ๆ  ที่สำคัญคือ  ทำจิตใจให้สะอาด  บริสุทธิ์  อย่างท่ี พระพุทธเจ้าไดแ้ สดงโอวาทปาฏโิ มกข์ไวใ้ นวนั มาฆบูชาว่า      สพฺพปาปสฺส  อกรณํ  การไม่ทำบาปท้งั ปวง  กสุ ลสสฺ ูปสมปฺ ทา  การทำกุศลใหถ้ ึงพรอ้ ม  สจติ ตฺ   ปรโิ ยทปน ํ การชำระจิตของตนให้ขาวรอบ  ท่านทั้งหลายต้องทำให้ได้ท้ัง  ๓  ประการน้ี  เพราะทาน ทำให้รวย  ศีลทำให้สวย  ภาวนาทำให้มีปัญญา  บางคนเกิดมา มีทรัพย์  รวย  แต่ป่วยเจ็บ  พิการ  น่ันเป็นเพราะให้ทาน  แต่ ไม่รักษาศีล  เศษของมันจึงทำให้เกิดมาพิกลพิการ  โรคภัย เบียดเบียน  อายุสั้นพลันตาย  บางคนบำเพ็ญทาน  รักษาศีล 12

ตนื่   รู้  เบกิ บาน แต่ขาดการเจริญภาวนา  ทำให้เกิดมาเป็นคนมีทรัพย์  รูปสวย แต่เป็นคนโง่  ไม่มีสติปัญญา  ไม่มีสมอง  รู้ไม่เท่าทันคน เลอะเลือน  หลง  อย่างนี้ก็มี   การจะสร้างปัญญาให้เกิดขึ้นได้ก็ต้องเจริญภาวนา  คบ บัณฑิต  ฟังธรรม  สอบถามปัญหาธรรม  ศึกษาธรรม  และ ปฏิบัติธรรม  ส่วนการทำจิตให้ขาวรอบ  ก็คือทำจิตให้บริสุทธ์ิ ละความชัว่ ทัง้ ทางกาย  วาจา  และทางใจ  บาปท่ีจะเกิดข้ึนในทางกาย  เช่น  ฆ่าสัตว์  ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม  บาปทางวาจาก็เช่น  โกหกหลอกลวง พูดจาหยาบคาย  พูดจาส่อเสียด  พูดแล้วทำให้คนโกรธกัน เกลียดกัน  ทะเลาะกัน  พูดเพ้อเจ้อไร้สาระ  ส่วนบาปทางใจ คือการคิดเบียดเบียนเขา  คิดพยาบาทอาฆาต  เห็นผิดจาก ทำนองคลองธรรม  บุญไม่มี  บาปไม่มี  ทานไม่มี  ทำดีไม่ได้ดี ทำช่ัวไม่ได้ช่ัว  ล้วนเป็นความเห็นผิด  เป็นความชั่วทางใจทั้งส้ิน  เราทุกคนจึงต้องละเว้นความชั่วทางกาย  วาจา  ใจ  ทำ ความดีให้ถึงพร้อม  ทำกายให้สุจริต  ทำวาจาให้สุจริต  ทำมโน ให้สุจริต  กายก็เว้นเสียจากการฆ่าสัตว์  ลักทรัพย์  ประพฤติ ผิดในกาม  วาจาก็พูดแต่คำจริง  พูดคำไพเราะ  พูดสมาน- สามัคคี  พูดแต่คำที่มีสารประโยชน์  ทางใจก็มีจิตท่ีไม่คิด เบยี ดเบยี น  ไมค่ ดิ พยาบาท  รจู้ กั ใหอ้ ภยั   แลว้ กส็ รา้ งสมั มาทฏิ ฐิ 13

ส . เ ข ม รั ง สี ทำความเห็นชอบให้เกิดข้ึนด้วยการทำกุศลให้ถึงพร้อม  บำเพ็ญ ทาน  บำเพ็ญศีล  ภาวนาเนกขัมมะ  บำเพ็ญขันติความอดทน อดกลน้ั   บำเพญ็ ความเพยี ร  บำเพญ็ สจั จะ  บำเพญ็ อธษิ ฐานจติ มงุ่ มนั่ สคู่ วามพน้ ทกุ ข ์ บำเพญ็ การเจรญิ เมตตา  บำเพญ็ อเุ บกขา ทำกุศลของตนเองให้ถึงพร้อม  โดยย่อก็คือ  ทาน  ศีล  ภาวนา  การเจริญเมตตาถือเป็นการเจริญภาวนา  โดยทำจิต ของเราให้ขาวรอบ  ให้บริสุทธ์ิด้วยการเข้าถึงการปฏิบัติวิปัสสนา ซึ่งการเจริญวิปัสสนาก็เป็นเรื่องการฝึกเพื่อให้เกิดปัญญา  รู้แจ้ง แทงตลอดเช่นกันในสัจธรรมความเป็นจริง  ถ้าได้รู้แจ้งเห็นจริง กจ็ ะทำใหล้ ะกิเลสได้ ความเป็นจริงก็มีให้พิสูจน์อยู่แล้ว  อยู่ที่ตัวเองน่ีแหละ ไม่ต้องเดินทางไปค้นหาท่ีไหน  หนทางที่จะทำให้ดับทุกข์ได้ จึงไม่เกินวิสยั   เพราะสิ่งที่จะใหร้ ู้  ใหด้ ู  ใหเ้ หน็   มีอยู่ในตวั เรา ทกุ  ๆ คน  จึงตอ้ งพิสจู นใ์ หเ้ ห็นดว้ ยตวั ของเราเอง แต่จะพิสูจน์อย่างไร  อันดับแรก  เร่ิมท่ีการเจริญสติ โดยตง้ั สตมิ าอยทู่ กี่ าย  คอยจบั รบั รอู้ ยทู่ กี่ าย  เวทนา  จติ   ธรรม ศึกษาพิจารณากายให้เห็นว่า  กายนี้ไม่ใช่ตัวเราของเรา  ด้วย การดูกายนั่ง  กายยืน  กายเดิน  กายนอน  กายคู้เหยียด เคล่ือนไหว  และพิจารณาดูลมหายใจเข้า - ออก  ดูไป  พิจารณา ไป  จะไดเ้ หน็ ความจรงิ วา่   ทกุ อยา่ งสกั แตว่ า่ เปน็ ไปตามธรรมชาติ 14

ตื่น  รู้  เบิกบาน ไมใ่ ชต่ วั เราของเรา  หมนั่ ระลกึ รดู้ บู อ่ ย ๆ ในเวทนาทเ่ี กดิ ขนึ้   เพอื่ ให้เห็นว่า  เวทนาก็สักแต่ว่าเวทนา  เวทนาน้ีไม่เที่ยง  เวทนานี้ ไม่ใช่ตัวตน  เราต้องตามดูรู้ให้เท่าทันจิตในจิตอยู่เสมอ  ดูว่าจิตมี ราคะไหม  ถ้ามีก็รู้  หากปราศจากราคะก็รู้  จิตมีโทสะขึ้นมา  กำหนดรู้ว่าจิตมีโทสะ  จิตขณะน้ีปราศจากโทสะ  ก็รู้ว่าจิต ขณะนป้ี ราศจากโทสะ  จติ มโี มหะกร็  ู้ จติ หดห ู่ ทอ้ ถอย  ฟงุ้ ซา่ น  จิตมีสมาธิ  ไม่มีสมาธิ  ให้ตามพิจารณาดูเช่นน้ีอยู่เนือง ๆ  แต่ ถา้ ดจู ติ ไมอ่ อกกต็ อ้ งหมนั่ นำจติ มาพจิ ารณาตง้ั ขอ้ สงั เกตอยบู่ อ่ ย ๆ โดยดูสภาพของจิตใจ  ตลอดทั้งสภาพธรรมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ดีบ้างไม่ดีบ้างก็พิจารณาไป  เช่น  จิตเกิดราคะ  เกิดพยาบาท  ฟุ้งซ่าน  รำคาญใจ  สงสัย  ปีติ  สงบ  มีสมาธิหรือไม่  ดูไป บอ่ ย ๆ เขา้ กจ็ ะเห็นวา่ จติ มคี วามเปลี่ยนแปลงอยตู่ ลอดเวลา  ในที่สุดจะเห็นว่าไม่มีตัวเราของเราจริง ๆ  ส่ิงทั้งหลาย เป็นเพียงเครือ่ งประกอบให้เป็นเหตุปัจจยั ขึ้นมาเท่านั้นเอง  แต่กว่าท่ีเราจะเห็นเช่นน้ีได้ก็ต้องอาศัยการฝึกปฏิบัติ ชำระจิตให้สะอาดบริสุทธ์ิ  เดิน  ยืน  น่ัง  นอน  คู้  เหยียด เคล่ือนไหว  ทำ  พูด  คิด  พยายามให้มีสติรู้ตัวทั่วพร้อม  ถ้า เราได้บำเพ็ญเช่นนี้อย่างต่อเน่ืองสม่ำเสมอ  ก็เรียกว่าคุ้มค่ากับ การเกิดมา  ไหน ๆ ชีวิตสังขารนี้จะต้องเน่าเป่ือยผุพังไร้สาระ 15

ส . เ ข ม รั ง สี ดงั นน้ั กอ่ นทจ่ี ะสน้ิ ลมหายใจ  นอนแนน่ ง่ิ ใหเ้ ขานำไปเผาเปน็ ขเ้ี ถา้ ไม่ได้ประโยชน์อะไร  ก็ควรสร้างบุญบำเพ็ญกุศลให้มาก ๆ ใน ขณะท่ียังมีลมหายใจอยู่  อย่าให้หมดลมหายใจ  ส้ินวิญญาณ ไปเปลา่  ๆ เลย ชีวิตถ้าเกิดมาเพียงปล่อยไปวัน ๆ หน่ึง  ก็ได้แค่  แก่  เจ็บ ตาย  ไม่มีสาระอะไร  เสียโอกาสท่ีได้ชีวิตเป็นมนุษย์  เป็นสัตว์ อันประเสริฐ  มีมันสมอง  มีสติปัญญาที่จะพัฒนาตัวเองได้ การปล่อยให้ชีวิตล่องลอย  เลอะเลือน  ใหลหลงไปตามอำนาจ ของกิเลส  ก็น่าเสียดายชีวิตที่เกิดมา  ยิ่งเกิดมาในยุคนี้มีโอกาส ได้พบพระพุทธศาสนาแล้วไม่สนใจ  โอกาสท่ีจะได้หวนกลับ มาเป็นมนุษย์อีกก็ยาก  ถ้ายังมัวประมาทอยู่  ก็ต้องไปสู่ความ เป็นสตั ว์เดรจั ฉาน  วนเวียนอย่ใู นอบายภูมิ  ฉ ะ นั้ น จึ ง ต้ อ ง เ ร่ ง แ ข่ ง กั บ เ ว ล า ที่ ห ม ด ไ ป ใ น แ ต่ ล ะ วั น   ๆ เพราะวันเวลาผ่านไปทุกนาที  ไม่สามารถหวนคืนกลับมาได้ กลืนกนิ ชวี ติ ไปทุกขณะ  เราได้ทำอะไรท่ีเป็นแกน่ สารบ้างหรือยัง  สาระของชีวิตอยู่ท่ีคิดดี  พูดดี  ทำดี  ทำหน้าที่อย่าง ถกู ตอ้ ง  ตามครรลองประโยชนต์ นและคนอนื่   ทำชวี ติ ของเราให้ มสี าระขน้ึ   คอื ใหม้ ีประโยชน ์ ไดป้ ระโยชนแ์ กต่ นเองและผ้อู ่นื   อย่าใช้ชีวิตอยู่แบบล่องลอยไปวัน ๆ  ไม่ได้ประโยชน์อะไร ยิ่งคนเกิดมาเบียดเบียนผู้อ่ืน  ก็เท่ากับเบียดเบียนตนเอง  ไป 16

ตืน่   รู้  เบิกบาน ที่ไหนไม่มีใครต้อนรับ  เกิดมามีแต่เป็นทุกข์เป็นโทษกับผู้อื่น แต่ถ้าเป็นคนดี  อยู่ที่ไหนก็มีแต่คนอยากให้อยู่  เพราะอยู่แล้ว ได้ทำประโยชน์ให้ท้ังแก่ตนเองและผู้อ่ืน  ชีวิตเราก็มีคุณค่า ขึ้นมา  ฉะนั้น  เราจึงต้องพยายามฝึกหัดอบรมเจริญภาวนา  พัฒนาชีวิต  จิตใจ  ให้มีความเจริญก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป 17

ส . เ ข ม รั ง สี 18

ต่นื   รู้  เบกิ บาน ๒. สรา้ งเหตุเท่ากบั สร้างทกุ ข์ พุทธภาษิตท่ีว่า  ยาทิสํ  วปเต  พีชํ  ตาทิสํ  ลภเต  ผลํ บุคคลหว่านพืชเช่นใดย่อมได้รับผลเช่นนั้น  ผู้ทำกรรมดีย่อม ได้รับผลดี  ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลช่ัว  อันนี้เป็นพุทธภาษิต เป็นพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า  ชี้ให้เห็นถึงเหตุและผล ทตี่ รงกัน  ทำเหตุอย่างไร  ผลก็ออกมาอย่างนั้น  เหมือนปลูกพืชชนิดใดไว้ผลก็ออกมาเป็นอย่างนั้น  เช่น ปลูกมะม่วงผลก็ต้องเป็นมะม่วง  จะเป็นขนุนไม่ได้  ฉันใดก็ ฉันน้ัน  การที่บุคคลทำกรรมใดไว้ก็ย่อมได้รับผลอย่างนั้น ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี  ทำกรรมช่ัวย่อมได้รับผลชั่ว  ผลดี ก็คือมีความสุขความเจริญ  ได้รับอารมณ์ที่ดี ๆ  ผลช่ัวก็คือ ได้รับความทุกข์  ความเดือดร้อน  ได้รับอารมณ์ท่ีไม่ดี  กรรมน้ี จะส่งผลออกมาให้ได้รับอารมณ์ทางตา  หู  จมูก  ล้ิน  กาย  ใจ  19

ส . เ ข ม รั ง สี บุคคลท่ีได้กระทำกรรมลงไป  เช่น  การกระทำท่ีประกอบ ด้วยเจตนา  ไม่ว่าจะเป็นกายกรรม  กรรมทางกาย  วจีกรรม กรรมทางวาจา  มโนกรรม  กรรมทางใจก็ตาม  เวลาผลเกิดข้ึน ก็จะให้ผลออกมา  ๖  ทางด้วยกัน  ผลของกรรมดีส่งผลให้ ได้เห็นภาพท่ีดี  ได้ฟังเสียงที่ดี  ได้กลิ่นท่ีดี  ล้ิมรส  สัมผัส รับอารมณ์ที่ดี  ส่วนบุคคลที่ได้ทำกรรมช่ัวไว้  ผลออกมาก็จะได้รับแต่ อารมณ์ท่ีไม่ดี  เห็นภาพไม่ดี  ได้ฟังเสียงไม่ดี  ได้กลิ่น  ลิ้มรส สัมผัสท่ีไม่ดี  น่ีก็เพราะว่ากรรมเป็นผู้จัดแจงให้เป็นไป  ไม่มี หรอกท่ีบุคคลทำกรรมช่ัวแล้วได้รับผลเป็นความสุขความเจริญ หรือบุคคลทำกรรมดแี ลว้ มผี ลเปน็ ความทุกข์  ความเดอื ดรอ้ น  คนไขวเ้ ขว  เพราะทำดแี ล้วไม่ได้ดี ฉะน้ัน  ถ้าเราคิดไม่แยบคาย  มองไม่ลึกซ้ึง  ก็จะไขว้เขว คิดไปว่า  มาทำบุญไม่เห็นจะได้บุญ  เห็นคนทำบาปแต่ทำไมเขา ยงั ไมไ่ ดร้ บั ผลเปน็ ความทกุ ขส์ กั ท ี นนั่ เปน็ เพราะเรามองไมล่ กึ ซงึ้ และเนื่องจากว่ากรรมน้ันมีความสลับซับซ้อน  มีทั้งปัจจุบัน มีท้ังอดีต  กรรมในอดีตที่ทำไว้ในภพก่อน ๆ ก็มี  กรรมที่ทำไว้ ในภพปัจจุบันก็มี  จึงแล้วแต่ว่าจังหวะไหนกรรมอันใดจะให้ผล 20

ตืน่   รู้  เบกิ บาน แต่ขอให้เราเชื่อมั่นว่า  ทำกรรมดีย่อมได้รับผลดีอย่าง แน่นอน  ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่วอย่างแน่นอน  เม่ือเราได้รับผลของกรรมไม่ดี  ได้รับความทุกข์ความ เดือดร้อน  ได้รับอารมณ์ท่ีไม่ดี  ถ้าเรามีความเข้าใจในธรรม ทำใจเป็น  วางใจได้ถูกต้อง  ก็สามารถนำสิ่งท่ีไม่ดีเหล่านั้น มาเป็นมาตรฐานให้เกิดความดีขึ้นมาได้  หรือเมื่อเราประสบสิ่ง ทดี่ งี ามกส็ ามารถทำใจไดถ้ กู ตอ้ ง  ไมห่ ลงระเรงิ ในผลแหง่ ความดี น้ัน  เช่น  บุคคลที่ได้ลาภ  ยศ  ช่ือเสียง  ทรัพย์สมบัติใด ๆ ก็ตาม  ต้องมีความเข้าใจว่า  นี่เป็นผลของบุญท่ีเราทำไว้  ก็แค่ ให้รู้  ให้เข้าใจ  แล้วพิจารณาว่ามันไม่เท่ียงหรอก  เมื่อมีข้ึนมา ก็มีการหมดไปได้  เราอย่าไปย่ามใจจนเกินไป  นำสิ่งที่ดีงาม มาพจิ ารณา  มาทำใหเ้ ปน็ สาระเปน็ ประโยชนย์ ง่ิ  ๆ ขนึ้ ไป  และเมอ่ื เราประสบความทุกข์ความเดือดร้อน  ก็นำมาพิจารณาว่า  นี่มัน เป็นวิบากของกรรม  เป็นผลของบาปที่ทำไว้  เราจะต้องอดทน เข้มแข็ง  ไม่ประชดประชัน  ไม่ไปทำช่ัวขึ้นอีก  บางคนทำดี ไม่ได้ดีก็ทำชั่วเลย  ถ้ามีความอดทน  ความพากเพียร  ก็จะ ผ่านความทุกข์  ความยากลำบากนั้นไปได้ ความทุกข์บางคร้ังก็สามารถสร้างคนได้  ทำคนให้เข้มแข็ง แข็งแกร่ง  เหมือนอย่างเรื่องของไล่ตงจิ้นซึ่งเป็นลูกขอทาน  พ่อ เปน็ ขอทานตาบอด  แมป่ ญั ญาออ่ น  นอ้ งชายคนโตกป็ ญั ญาออ่ น 21

ส . เ ข ม รั ง สี มพี นี่ ้อง  ๑๒  คน  รวมพ่อแม่ดว้ ยก็  ๑๔  ชวี ติ   ชีวิตของไล่ตงจิ้นเป็นขอทานตั้งแต่อายุได้  ๒  ขวบ  เร่ือย มาจนกลายเป็นผู้ท่ีรับผิดชอบในครอบครัว  ตั้งแต่เด็กเล็ก ๆ ชีวิตเขาเป็นอกุศลวิบาก  เป็นผลของกรรม  ต้องเกิดมาอยู่ใน ครอบครัวยากไร้  บางคราวไม่มีข้าวจะกิน  แม้บางวันฝนตก ไล่ตงจ้ินเห็นคนในครอบครัวหิว  ไม่มีจะกิน  เขาต้องตัดสินใจ ฝา่ พายฝุ นออกไปขอทาน  ไปเคาะประตูเรยี กตามบ้าน  บางบ้าน ไล่ตะเพิด  ด่าทอต่าง ๆ นานา  เขาก็พยายามอดทน  ได้ข้าวมา จานหนึ่ง  คิดว่าคนในครอบครัวตั้งเยอะ  ยังไม่พอ  ก็ไปขออีก ได้หัวมันมาก็นำกลับมาแบ่งกันกิน  แล้วเดินทางพเนจรไปเรื่อย ไมม่ บี า้ นเปน็ ของตวั เอง  อาศยั ศาลบรเิ วณสสุ านทฝ่ี งั ศพเปน็ ทพ่ี กั หลบพายุฝน  ชีวิตระหกระเหินตลอดเวลา  บางทีก็ต้องไปนอน หน้าร้านขายของ  รอจนร้านปิดถึงเข้าไปนอน  พอเช้ามืดเขา เปิดร้านก็โดนไล่ตะเพิด น้อง ๆ ของไล่ตงจ้ินก็ตัวเล็ก ๆ ท้ังน้ัน  ต่างร้องกระจอ- งอแง  แต่ไล่ตงจ้ินเป็นลูกชายคนโตต้องรับผิดชอบต้ังแต่ เด็ก ๆ  ต้องต่อสู้  เพราะว่าเป็นคนกตัญญูต่อพ่อแม่  เวลาท่ีพ่อ จะไปขอทาน  ก็จะให้ไล่ตงจิ้นจูงไป  ส่วนแม่กับน้องชายท่ีเป็น คนปัญญาอ่อนพ่อสั่งให้เอาโซ่ล่ามไว้  วันหน่ึงท้ังสองคนหลุดไป ก็เตลิดไปเร่ือย  ไล่ตงจิ้นกลับมาไม่เจอก็ออกติดตามหาแม่ 22

ตื่น  รู้  เบิกบาน ร้องเรียกหาไปท้ังหมู่บ้าน  จนไปเจอตกอยู่ในบ่อน้ำ  ไล่ตงจ้ิน รีบกระโดดลงไป  จับโซ่ได้ก็รั้งจะดึงแม่ขึ้นมาจากบ่อน้ำ  แต่ แม่จำลูกไม่ได้  คิดว่าเป็นศัตรูจึงดึงลูกตกลงไปในน้ำด้วย  อีก คนหนึ่งพยายามจะช่วยข้ึนมา  แต่อีกคนหนึ่งไม่ยอม  ในท่ีสุด ไลต่ งจ้ินกพ็ าแม่กับน้องข้นึ มาได้ พอกลับมาถึงที่พัก  พ่อก็ตีแม่ด้วยไม้คาน  ไล่ตงจ้ินพร่ำ บอกพ่อว่า  “อย่าตีแม่เลย  แม่ไม่รู้เรื่อง  แม่ไม่รู้เรื่อง”  พ่อก็ ไม่ฟัง  ตีใหญ่  ไล่ตงจิ้นเลยใช้ตัวเข้าไปรับแทนแม่  แล้วร้องไห้ ไปด้วยกันทั้งพ่อแม่และลูก ชีวิตเขาลำบาก  แต่ก็อดทนต่อสู้ไม่ย่อท้อ  บางครั้งได้ข้าว มานดิ หนอ่ ยกน็ ำมาตม้ เปน็ ขา้ วตม้   เตมิ นำ้ มาก ๆ  กนิ ไดห้ ลายคน ตักมาไม่มีเม็ดข้าวมีแต่น้ำ  ถ้าข้าวร่วงลงดินก็ต้องเก็บกินกัน บางทไี ปพบไกต่ ายอยู่ข้างทางเน่าแล้ว  แตพ่ ่อก็ให้นำมาตม้ กิน คร้งั หนง่ึ ไปขอทานเจอคนคนหน่งึ เห็นเด็ก  กถ็ ามว่า  “แกน่ีไม่ได้อาบน้ำเลยกระมัง  ไม่ได้อาบน้ำมานานเท่าไหร่ แล้ว” ไล่ตงจ้นิ ก็ชู  ๓  น้วิ   คนคนน้ันกถ็ ามวา่   “อะไร  ไมไ่ ดอ้ าบน้ำมาตั้งสามเดือนแล้วเหรอ” “ไม่ใช่สามเดือนหรอก  สามปีมาแล้ว”  อย่าว่าแต่ไม่เคย อาบน้ำเลย  เขาไม่รู้จักแม้แต่การอาบน้ำด้วยซ้ำไป  23

ส . เ ข ม รั ง สี จนเข้าโรงเรียน  พวกนักเรียนด้วยกันก็รังเกียจ  แต่เขา มีความพากเพียรจนสอบได้ท่ี  ๑  มาโดยตลอด  ชีวิตบ้ันปลาย เลยได้รับการยกย่องให้เป็นคนดีเด่นของไต้หวัน  เขาเขียน อัตชีวประวัติเป็นหนังสือ  ขายดีเป็นล้าน ๆ เล่ม  ประธานาธิบดี ของไต้หวันยกย่องไล่ตงจิ้น  และแนะนำให้คนอ่านหนังสือเล่มนี้ เพอื่ เป็นคตินกึ ถึงการสชู้ วี ติ   ความทุกข์ยากลำบากคือสิ่งท่ีเป็นวิบากของกรรม  ของ บาป  แต่ถ้าเราต่อสู้  อดทน  ก็ทำให้กลายเป็นคนเข้มแข็งอย่าง ไล่ตงจิ้น  ฉะน้ันถ้ารู้จักนำส่ิงท่ีเราได้รับมาคิด  มาพิจารณา  ก็ จะเป็นประโยชน์ทุกอย่าง  ได้รับส่ิงท่ีไม่ดีมา  เราก็นำมาคิด พิจารณาก่อให้เกิดเป็นประโยชน์ได้  แพทยพ์ จิ ารณาธรรมสงั เวชได้ดี วันหนึ่งอาตมาพาโยมอาไปหาหมอท่ีโรงพยาบาล  ก็เล่าให้ หมอฟังว่า  ตอนโยมพ่อป่วยหนัก  เราเตรียมทำบุญกันแล้ว เพราะคิดว่ายังไงท่านต้องตายแน่  ตอนน้ันโยมอาซ่ึงเป็นน้อง คนเล็กของโยมพ่อ  อุตส่าห์ดั้นด้นไปหาหมอช่ือหมอแหน  ที่ บ้านขล้อ  อำเภอบางปะหัน  อุตส่าห์พายเรือไปไกลมากเพื่อไป รับหมอมาช่วยรักษาโยมพ่อจนหาย  จากที่คิดว่าตายแล้วกลับ 24

ตื่น  รู้  เบกิ บาน หาย  ต่อมาโยมพ่อก็ได้เรียนวิชาหมอจากหมอแหน  นำมาช่วย รักษาผูค้ นตอ่ ไป  เมื่อได้คุยกับหมอจึงเห็นว่าคนที่ทำหน้าท่ีแพทย์  พยาบาล นา่ จะมโี อกาสด ี เพราะไดค้ ลกุ คลอี ยกู่ บั คนปว่ ย  คนใกลจ้ ะตาย สามารถพิจารณาให้เห็นถึงสังขาร  อวัยวะต่าง ๆ ของคนป่วยว่า มันน่าสังเวชเช่นไร  ย่ิงแพทย์ผ่าตัดด้วยแล้ว  จะเกิดความ สังเวชได้ดี  เพราะเห็นการทำงานของสภาพร่างกาย  ตับ  ไต ไส ้ พงุ   ว่ามนั เปราะบางพรอ้ มท่ีจะเสอ่ื มสลาย  ไม่จรี งั ย่งั ยนื   แพทย์  พยาบาลส่วนใหญ่ก็ไม่ได้คิด  ไม่ได้รู้สึกอะไร  เพราะเป็นหน้าที่ก็ทำกันไป  บางคนไม่มีบารมีมาก่อนก็ต้อง อาศัยคนมาชี้แนะถึงสามารถพิจารณาให้เห็นได้ว่าหน้าท่ีที่ตนเอง ทำอยู่น้ันเป็นธรรมช้ันดีที่ให้ได้ศึกษา  วิเคราะห์ปลงสังเวชกอง ทุกข์ทั้งหลายได้  ฉะน้ัน  คำสอนของพระพุทธเจ้าจึงช้ีให้เห็น เร่ืองทุกข์  ว่าความเกิดเป็นทุกข์  ความแก่เป็นทุกข์  ความเจ็บ เป็นทุกข์  ความตายเป็นทุกข์  ซ่ึงเป็นเร่ืองที่รู้ ๆ กันอยู่  แต่ ไม่ได้ความสังเวช  เพราะเราไม่ได้พิจารณา  พระพุทธเจ้าจึง ต้องมาชี้ให้เห็นทุกข์  ความพลัดพราก  ความไม่สมปรารถนา ความผิดหวังต่าง ๆ  ทุกข์กาย  ทุกข์ใจ  เศร้าโศก  คนเราอยู่ กับทุกข์ตลอดเวลา  แต่เราไม่ค่อยพิจารณาทุกข์  ไม่เห็นทุกข์ จึงไม่ไดป้ ระโยชนจ์ ากทกุ ข ์ 25

ส . เ ข ม รั ง สี ความเกิดถ้าพิจารณาก็สังเวชได้  ตอนอยู่ในท้องก็ลำบาก ตอนคลอดก็ทุลักทุเล  เติบโตข้ึนมาก็ผ่านทุกข์  ผ่านความยาก ลำบากมาตลอด  ถ้าพิจารณาก็จะได้ความสังเวช  เป็นส่วนท่ี ทำใหเ้ รานอ้ มเขา้ ไปหาธรรม  นอ้ มไปสกู่ ารหนา่ ย  การคลายความ หลงติด  แล้วน้อมเอามาเป็นทางของการปฏิบัติ  ถ้าเห็นความ สงั เวชใจเราจะปฏบิ ตั ธิ รรมแล้วเกิดความสงบไดด้ ี ดังนั้นเราต้องหมั่นพิจารณา  เห็นคนแก่  คนป่วย  คน ใกล้ตายก็พิจารณา  แล้วน้อมเข้ามาหาตัวว่าเราน้ันก็หนีความ เป็นเช่นน้ีไปไม่พ้น  ถ้าเกิดคร้ังเดียวทุกข์ครั้งเดียวยังพอว่า แต่เราต้องไปทุกข์ซ้ำ ๆ อย่างน้ีไม่รู้จะจบกันเม่ือไหร่  เกิดมาแล้ว ก็หนีไม่พ้นความแก่  ความแก่น่ีก็คร่ำคร่า  หูตาลาย  จะนอน ลกุ   นง่ั   ลำบากไปหมด  ถา้ พจิ ารณาแลว้ เกดิ เหน็ ทกุ ข์  เหน็ โทษ เราก็ได้พบทางแห่งธรรม  ฉะนั้นเพ่ือให้พ้นจากส่ิงเหล่านี้  เรา ต้องเร่งปฏิบัติธรรมเข้าไว้ในขณะที่ร่างกายยังดีอยู่  ฉะน้ันเรา จึงต้องปฏิบัติ  เพ่ือจิตใจจะได้สงบ  มีสติปัญญาออกจากกิเลส ทำลายอาสวกเิ ลสได ้ จติ ใจนน้ั สำคญั   ถา้ เราไมส่ ำรวมระมดั ระวงั ใจกจ็ ะไหลไปในทางทม่ี นั ชอบ  ไปในอารมณท์ นี่ า่ ใครน่ า่ ปรารถนา  มีภกิ ษรุ ูปหนงึ่ ได้กราบทลู ถามพระพทุ ธเจ้าว่า  “โลกอะไรยอ่ มนำไป”  “โลกด้ินรนเพราะอะไร” 26

ตนื่   รู้  เบิกบาน “เม่อื อะไรเกิดขึ้น  โลกจงึ นำไปสูอ่ ำนาจของส่ิงน้นั ”  “ดว้ ยเหตปุ ระมาณเทา่ ใดภกิ ษจุ งึ ชอ่ื วา่ เปน็ พหสู ตู ทรงธรรม” พระพุทธเจ้าตรัสตอบภิกษุนั้นวา่   “โลกอะไรย่อมนำไป  ก็คือจิต  จิตน่ีนำไป  โลกดิ้นรน เพราะอะไร  ก็จิตอีกเหมือนกัน  เม่ืออะไรเกิดข้ึน  โลกจึงไปสู่ อำนาจของสงิ่ นนั้   ก็จติ นี่แหละ” เ พ ร า ะ จิ ต นั้ น ค อ ย จ ะ แ ล่ น ไ ป สู่ อ า ร ม ณ์ ต่ า ง   ๆ   อ ยู่ เ ส ม อ ขณะท่ีเรามาปฏิบัติธรรม  พยายามเก็บตัวเก็บอารมณ์  งดการ พูดคุย  แต่จิตยังอยากพูดอยากคุย  อยากสนทนา  อยากไป โน่นไปนี่  เปรียบเหมือนปลาที่ข้ึนมาบนบก  ก็อยากจะดิ้นลงน้ำ อย่างที่มันเคย  จิตคนเราก็เป็นอย่างน้ัน  ถ้าปล่อยไป  มันก็จะ ไปตามกระแสอำนาจของกิเลสตัณหา  นำพาไปสู่อารมณ์อัน นา่ ใครน่ า่ ปรารถนา  ส่วนคำถามที่ว่า  ด้วยเหตุประมาณเท่าใดภิกษุจึงช่ือว่า เป็นพหูสูตทรงธรรม  พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า  ผู้เรียน พุทธพจน์  จะมีพวกสุตะ  เคยยะ  เป็นต้น  นี่รู้อรรถ  รู้ธรรม แม้เพียงคาถาเดียว  คาถาเดียวที่ประกอบด้วย  ๔  บท  แล้ว ปฏิบัติตามธรรมนั้นได้  จึงจะได้ชื่อว่าเป็นพหูสูตทรงธรรม  ภิกษุต่างชื่นชมในคำสอนของพระพุทธเจ้า  แล้วก็ได้ กราบทูลถามต่อไปว่า  27

ส . เ ข ม รั ง สี “ท่ีเรียกว่าภิกษุเป็นผู้ฟัง  มีปัญญาแทงทะลุ  นั้นคือ อย่างไร” พระพุทธเจ้าได้ตรัสว่า  ภิกษุเป็นผู้ฟังว่านี่ทุกข์  น่ีเหตุ ให้เกิดทุกข์  น่ีความดับทุกข์  น่ีข้อปฏิบัติถึงความดับทุกข์  แล้ว เหน็ แจง้ แทงตลอดซง่ึ อรรถและอรยิ สจั   จงึ เรยี กวา่ เปน็ ภกิ ษผุ ฟู้ งั ที่มีปัญญาแทงทะลุ  คือเม่ือได้ยินได้ฟังคำสอนมาแล้ว  ก็ไม่ใช่ แค่ฟังเฉย ๆ  ต้องน้อมเข้ามาท่ีตัว  เพราะทุกข์และเหตุให้เกิด ทุกข์ก็อยู่ที่ตัว  นิโรธความดับทุกข์ก็อยู่ท่ีตัว  มรรคข้อปฏิบัติ ถึงความดับทุกข์ก็อยู่ที่ตัวเราน่ีแหละ  ฉะน้ันการแทงตลอด ในอริยสัจก็คือการพิจารณาตัวเรานี่เอง  จากน้ันให้ลงลึกไปถึง ตัวสภาวะของรูปนาม  ซึ่งเป็นตัวองค์ธรรมของทุกข์  รูปต่าง ๆ  นามต่าง ๆ  ต้องระลึกพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงว่ามัน เป็นทุกข์จริง ๆ  รูปที่ประกอบมาเป็นสรีระร่างกาย  พิจารณา มาที่ร่างกายดูซิว่าทุกข์ไหม  มีตาเป็นทุกข์ท่ีตา  มีหูเป็นทุกข์ท่ีหู มอี วยั วะสว่ นไหนกเ็ ปน็ ทกุ ขท์ น่ี น่ั   เพราะวา่ มนั เสอ่ื ม  เปลย่ี นแปลง ตั้งอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้  พิจารณามาที่จิตใจเป็นทุกข์ไหม  ดู ความคิด  เด๋ียวก็คิดถึงอดีต  อนาคต  ทุกข์เพราะความคิด การเห็น  การได้ยินก็เช่นกัน  เมื่อพิจารณาระลึกไป  เราจะเห็น ความทุกข์ท่ีเกิดข้ึน  โดยเฉพาะทุกขลักษณะ  คือความทน อยู่ในสภาพเดิมไม่ได้  ต้องเกิด  ต้องดับ  เกิดแล้วก็ต้องดับไป 28

ตนื่   รู้  เบกิ บาน รูปท่ีมากระทบทางตา  หู  จมูก  ลิ้น  สี  เสียง  กล่ิน  รส โผฏฐพั พะ  เหลา่ นี้เปน็ ทุกขท์ ้งั สิ้น  ฉะนั้นผู้ปฏิบัติจึงต้องระลึกพิจารณาไปให้เห็นตามความ เปน็ จรงิ วา่ มนั ทกุ ขจ์ รงิ   ทกุ ขเ์ พราะอะไร  ทกุ ขเ์ พราะวา่ ปรวนแปร ไป  ไม่ต้ังอยู่  บังคับไม่ได้  เป็นทุกข์  เป็นอนัตตา  เหตุให้เกิด ทุกข์  ความทะยานอยาก  อยากในกาม  อยากมี  อยากเป็น ล้วนเป็นเร่ืองที่ทำให้ทุกข์  เป็นการก่อรูปนามไปไม่จบไม่สิ้น ผู้ปฏิบัติต้องเข้าถึงตรงน้ีให้ได้ว่าอะไรคือทุกข์  อะไรคือเหตุให้ เกิดทุกข์  อะไรคือความดับทุกข์  และอะไรเป็นข้อปฏิบัติของ ความดับทุกข์  เม่ือเข้าถึงแล้วก็ต้องเจริญภาวนากำหนดรู้อริย- สัจส่ีด้วย  คือ  ทุกข์กำหนดรู้  สมุทัยจะต้องละ  นิโรธทำให้แจ้ง  มรรคทำให้เจริญ  เจริญองค์มรรคขณะที่เจริญสต ิ เจริญความ เพยี ร  เจรญิ สมาธ ิ เจรญิ ปญั ญา  หากรวู้ า่ เจรญิ องคม์ รรคอยนู่ นั้ ถา้ มรรคไดเ้ จรญิ เตม็ ที่  คอื ไปรจู้ กั ทกุ ขอ์ ยา่ งถอ่ งแท้  จงึ เปน็ เหตุ ใหล้ ะสมทุ ยั เหตใุ หเ้ กิดทกุ ข์  แลว้ จึงเข้าถงึ ความดับทุกข์ ภิกษุได้กราบทูลถามพระพุทธเจ้าต่อว่า  “ที่เรียกว่าเป็น บณั ฑิตมีปัญญามากนั้นคืออย่างไร” พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า  คือผู้ท่ีไม่คิดเบียดเบียนตน และผู้อ่ืน  แต่มีความเห็นประโยชน์เก้ือกูลแก่ตนและผู้อ่ืน และเป็นประโยชน์แก่โลกท้ังปวง  จึงจะเรียกว่าเป็นผู้ที่เป็น 29

ส . เ ข ม รั ง สี บัณฑิตมีปัญญามาก  ฉะน้ันต้องมาพิจารณาดูว่าชีวิตของเราในแต่ละเวลา แตล่ ะวนั น ี่ เราเบยี ดเบยี นตนและผอู้ น่ื บา้ งหรอื ไม ่ ทำประโยชน์ เกื้อกูลแก่ตนเองและผู้อ่ืนหรือเปล่า  ทำประโยชน์ต่อโลกไหม คนที่กระทำความชั่วก็เท่ากับเบียดเบียนตนเองแล้วก็เบียดเบียน ผู้อื่นด้วย  มีตนเป็นศัตรูของตนเอง  คือคนที่ทำช่ัวตัวเองก็ เดอื ดรอ้ น  เพราะเมอื่ ความโกรธ  ความพยาบาทเกดิ ขน้ึ   คนแรก ท่ีเราประทุษร้ายก็คือจิตใจตัวเอง  แล้วถึงไปทำร้ายผู้อ่ืน  ที่สุด กน็ ำตวั ไปสอู่ บาย  ไมพ่ น้ วบิ ากกรรม  เปน็ ทกุ ข ์ เรยี กวา่ อยอู่ ยา่ ง เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น  การลักขโมย  ประพฤติผิดในกาม การโกหก  ดื่มสุรา  เรียกว่าการขาดซ่ึงศีล  ๕  ทั้งหมดคือการ เบียดเบียนตนและผู้อื่น  ชีวิตเช่นน้ีไม่ได้เป็นชีวิตอย่างผู้เป็น บัณฑิต  ไม่ใช่เป็นชีวิตของผู้มีปัญญามาก  คนจะเป็นบัณฑิต มีชีวิตที่ดี  มีปัญญา  ต้องใช้ชีวิตอย่างไม่เบียดเบียนตนเอง ไม่เบียดเบียนผู้อื่น  แต่ตรงกันข้าม  บัณฑิตจะสะสมส่ิงที่เป็น ประโยชน์ให้กบั ตนเอง  เกอ้ื กลู ใหก้ ับตวั เองและผอู้ น่ื   ดังนั้นเราจึงต้องพยายามทำให้มีกายสุจริต  วาจาสุจริต  มโนสุจริต  แล้วปฏิบัติเจริญสติ  สมาธิ  ปัญญา  ภาวนา อบรมจิตใจตนเองให้เป็นผู้มีความสงบระงับ  รู้  ต่ืน  เบิกบาน  จะได้เป็นไปเพื่อการดับทุกข์ให้ตนเอง  ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ 30

ต่นื   รู้  เบกิ บาน 31

ส . เ ข ม รั ง สี 32

ตนื่   รู้  เบิกบาน ๓. ชีวติ นนี้ อ้ ยนกั   จะเอาอะไรเป็นสาระ การเป็นพุทธบริษัทคือเรามาเป็นบริษัทของพระพุทธเจ้า เป็นผู้ประพฤติพรหมจรรย์  อยู่ในเพศของบรรพชิต  เป็นภิกษุ สามเณร  ถือศีลบวชชี  นุ่งขาวห่มขาว  เป็นอุบาสก  อุบาสิกา ผู้ท่ีมาใกล้ชิดอยู่กับพระรัตนตรัย  ผู้ใดมีธรรมก็เข้าใกล้พระ- พุทธเจ้า  ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นก็เห็นพระพุทธเจ้า ดังท่ีพระองค์ได้ตรัสกับพระวักกลิที่กำลังติดตามพระองค์ ไปทุกหนทุกแห่ง  ด้วยหมายใจจะได้ยลโฉมพระพักตร์  รูปทรง รูปร่างของพระพุทธเจ้า  มาบวชก็ไม่ได้หวังว่าจะประพฤติปฏิบัติ ธรรมเพ่ือละกิเลสแต่อย่างใด  แต่หวังใจว่าจะได้มาใกล้ชิด  ได้ เห็นหน้า  ได้ยลโฉมพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า  จึงเข้ามาบวช บวชแล้วก็ตามพระองค์ไปนั่งดู  นั่งชมรูปร่างของพระพุทธเจ้า ว่าสวยงาม  ผิวพรรณสวยงามเหลืองอร่ามด่ังทอง  พระพุทธเจ้า 33

ส . เ ข ม รั ง สี น้ันเป็นมหาบุรุษรูปร่างงดงาม  พระวักกลิก็ติดตามชมไปตลอด พอไดจ้ งั หวะวนั หนง่ึ พระพทุ ธองคท์ รงเหน็ วา่ อนิ ทรยี บ์ ารมแี กก่ ลา้ จึงทรงไล่พระวักกลิให้ไปที่อื่นว่า  เธอจะมายล  มาดู  มาติด อยู่ในรูปร่างของพระพุทธเจ้าน้ัน  ไม่ได้ช่ือว่าเห็นพระพุทธเจ้า อย่างแท้จริง  แม้จะติดตามจับชายสังฆาฏิไปทุกหนทุกแห่งก็ ไม่ได้ชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้าหรอก มศี ลี   ๕  บริสุทธ ิ์ รักษาความเป็นมนุษย์ไว้ โย  ธมฺมํ  ปสฺสติ  โส  มํ  ปสฺสติ  ผู้ใดเห็นธรรมผู้น้ัน จึงชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า  เพราะว่าความเป็นพุทธะเป็นเร่ืองของ จิตท่ีสะอาดบริสุทธิ์  จิตท่ีไม่มีกิเลส  จิตที่หมดจดบริสุทธิ์  เป็น พุทธะ  เป็นผู้รู้  ผู้ต่ืน  ผู้เบิกบาน  ส่ิงเหล่านี้เราจะดูด้วยตา ไมเ่ หน็   นกึ เอาเดาเอากส็ มั ผสั ความรขู้ องจติ ไมไ่ ด ้ แตเ่ มอื่ บคุ คล ใดปฏบิ ตั ธิ รรมเจรญิ กรรมฐาน  เจรญิ ภาวนา  หมนั่ อบรมจติ   จน จิตพัฒนา  มีสติ  สมาธิ  เกิดปัญญารู้แจ้งแทงตลอด  เข้าถึง วิมุตติความหลุดพ้นจากกิเลส  เข้าไปสัมผัสสภาพความดับทุกข์ นิพพานเป็นสภาพแห่งความดับ  หลุดไปจากกิเลส  พ้นจาก อาสวกิเลส  ก็จะรู้จักว่าความเป็นพุทธะเป็นอย่างไร  เราต้อง เข้าถึงด้วยใจตนเอง  34

ตน่ื   รู้  เบกิ บาน พระวกั กลเิ มอื่ ถกู พระพทุ ธองคไ์ ลก่ ไ็ ป  แตไ่ ปอยา่ งนอ้ ยเนอื้ ต่ำใจที่ถูกพระองค์ไล่  ว่ามามองตามดูรูปร่างอันผุพังเน่าเป่ือย อยู่น้ีไม่ได้ชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า  จงไปเสีย  เมื่อน้อยใจก็เลย คิดจะฆ่าตัวตาย  จึงข้ึนไปบนภูเขา  ตั้งใจจะกระโดดลงมา  แต่ ก่อนตายได้สำรวจศีลของตัวเองว่าท่ีมาบวชมีอะไรบกพร่อง ในศีล  ในข้อวัตร  ในวินัยที่พระองค์บัญญัติไว้บ้าง  ตรวจสอบ แล้วก็รู้สึกว่าตนเองไมไ่ ด้บกพรอ่ งในศลี แตป่ ระการใด  การได้ระลึกถึงศีลของตัวเอง  แล้วเห็นว่าตนนั้นรักษา ศีลมาด้วยดี  จิตใจก็เกิดความปลื้มใจ  เกิดปราโมทย์  ปีติ ทำให้เข้าถึงความสงบของจิต  เพราะศีลเป็นอนุสสติ  เป็น ท่ีระลึกให้เกิดความสงบได้  บุคคลใดท่ีประพฤติดี  รักษาศีลดี ก็จะเอาศีลเป็นท่ีพึ่งได้  ระลึกถึงศีลแล้วหายจากความฟุ้งซ่าน ใจเกิดปีติ  เกิดความปราโมทย์  มีความสงบได้  น่ีคือผลของ การรักษาศีลมาดี  ฉะน้ันศีลจึงเป็นที่พึ่ง  พระที่ท่านเข้าไปอยู่ ในป่าในเขา  ท่านไม่กลัวสัตว์ร้ายจะทำอันตรายโดยที่ไม่ต้อง มีเคร่ืองรางของขลังอะไรก็เพราะอาศัยศีลน่ันเอง  การมีศีล ที่บริสุทธิ์จะทำให้ไม่หวั่นไหวต่ออันตราย ฉะนั้นชีวิตของมนุษย์ทุกคนจะต้องมีศีลเป็นส่วนสำคัญ ที่จะต้องมีประจำใจ  โดยเฉพาะศีลข้ันพื้นฐานคือศีล  ๕  แต่เรา ต้องมีเจตนางดเว้นด้วย  ตั้งเจตนาไม่ฆ่าสัตว์  ไม่ลักทรัพย์  ไม่ 35

ส . เ ข ม รั ง สี ประพฤติผิดในกาม  ไม่โกหก  ไม่ดื่มสุราเมรัย  ถ้าใครรักษาไว้ ได้ท้ังห้าข้อน้ีก็จะมีธรรมคอยรักษาความเป็นมนุษย์ในปัจจุบัน ตายไปในอนาคตก็จะได้เป็นมนุษย์  ไม่ตกไปสู่อบาย  แต่ถ้า เราผิดศีล  ไม่พยายามรักษาศีล  ๕  ให้บริสุทธิ์  ตัวเป็นมนุษย์ แต่ใจตกต่ำ  ตายไปก็ไปสู่อบายภูมิ  เป็นสัตว์นรก  เปรต อสุรกาย  สัตว์เดรัจฉาน  ฉะนั้นต้องรักษาศีลไว้ให้ดี  พระวักกลิเมื่อระลึกถึงศีลของตนเองแล้วเกิดปีติ  เกิด ปราโมทย์  พระพุทธเจ้าซึ่งมีทิพพจักขุญาณก็รู้  จึงแผ่รัศมี พุทธนิมิตมาปรากฏเหมือนน่ังอยู่เฉพาะหน้า  แล้วแสดงธรรม ให้พระวักกลิได้พิจารณา  ให้รู้จักพิจารณาเข้าสู่อริยสัจ  ๔ กำหนดรทู้ กุ ข ์ พจิ ารณาถงึ ความทกุ ขโ์ ดยความเปน็ ทกุ ข์  ละเหตุ แห่งทุกข์  และข้อปฏิบัติให้เข้าถึงความดับทุกข์  แล้วก็เข้าถึง ความดับทุกข์ได้  ที่สุดพระวักกลิก็บรรลุธรรมสำเร็จเป็นพระ อริยบุคคล  เรียกว่าได้เข้าถึงพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง  ใจถึง ธรรมก็ถึงพระพทุ ธเจ้า เพราะฉะน้ันเราต้องปฏิบัติธรรมให้สมควรแก่ธรรม ชีวิตที่เกิดมาได้สังขาร  ได้อัตภาพมาแล้ว  เอามาต่อให้เป็นบุญ เป็นบารมีของเรา  ตราบท่ียังมีชีวิตจิตใจอยู่  เราสามารถต่อบุญ ต่อบารมีได้  ถึงแม้ว่าร่างกายของบางท่านอาจจะพิกลพิการ  แต่ ถ้ายังมีใจอยู่ก็ทำความดีได้  พัฒนาตัวเอง  สร้างกุศลบารมีได้ 36

ตืน่   รู้  เบกิ บาน ตา่ งจากคนที่มีชีวติ แต่ว่าจิตใจไมร่ ู้ธรรมก็หมดโอกาส  แม้โลกทอี่ าศัยกใ็ ช่จะย่ังยืน คนบางคนเกิดมาร่างกายสมบูรณ์  มีทรัพย์สมบูรณ์ บริวารสมบูรณ์  สมบัติ  ลาภ  ยศถาบรรดาศักด์ิสมบูรณ์  แต่ ใจมืดบอด  คือเขาไม่มีศรัทธาเลื่อมใส  ไม่สนใจในธรรม  ไม่ สนใจในบุญกุศล  ในการทำความดี  แถมยังทำบาปเพราะไม่ เช่ือเร่ืองบุญเร่ืองบาป  ฉ้อโกงทุจริตเบียดเบียนผู้อื่น  พวกนี้ถึง มีชีวิตอยู่ก็เหมือนคนตายแล้ว  ปกติคนท่ีตายไปแล้วไม่สามารถ จะทำความดีอะไรได้  คนที่มีชีวิตแต่ว่าจิตบอดก็ทำความดีอะไร ไม่ได้เช่นกัน  จึงเหมือนคนที่ตายแล้ว  หรือจะยิ่งกว่าคนตาย ด้วยซ้ำ  เพราะคนตายไม่สามารถทำความดีความช่ัวอะไรได้ แต่คนท่ียังมีชีวิตแต่จิตใจมืดบอด  ความดีไม่ได้ทำ  ทำแต่ บาปกรรม  ย่ิงหนักกว่าคนตายไปแล้ว  เพราะถ้ามีชีวิตแล้ว ไม่ทำความดี  แต่ไปทำความชั่ว  ชีวิตก็มีแต่อันตราย  มีแต่โทษ ให้แกต่ ัวเอง ถึงแม้เราจะร่างกายพิกลพิการก็อย่าไปเสียอกเสียใจ เพราะว่ามันไม่ได้เป็นเรื่องสำคัญใหญ่โตอะไรนักหนา  เวลา สิ้นลมหายใจก็ไม่มีใครรักษาไว้ได้  คนที่ขาดี  มือดี  ร่างกายดี 37

ส . เ ข ม รั ง สี ตายไปแล้วมันก็เน่าเป่ือยเหมือนกัน  เพราะฉะน้ันทุกชีวิต ต้องแตกดับ  ย่อยยับในสังขาร  แต่ส่ิงท่ีจะดีเหนือกว่ากันได้ก็ คือใจ  ใจท่ีมีสติปัญญา  ใจที่มีบุญกุศล  ใจท่ีพัฒนาได้น่ีสำคัญ ร่างกายเป็นเร่ืองที่อาศัยช่ัวคราว  ชีวิตน้ีเกิดมาอาศัยช่ัวคราว ให้เข้าใจอย่างน้ันเถอะ  ในระยะเวลาไม่เกิน  ๑๐๐  ปีก็ตายแล้ว ทงั้ หมด ฉะนั้นเราจึงอย่าไปสำคัญม่ันหมายกับสังขารร่างกาย มากนัก  คิดแค่ว่ามาอาศัยอยู่ชั่วคราว  พอให้ได้ทำบุญทำกุศล ทำความดีก็พอแล้ว  เรามาแวะพักบนโลกน้ีก็เป็นเพียงชั่วคราว เดี๋ยวก็ต้องจากไปแล้ว  ไม่ได้ยั่งยืนอะไร  โลกที่เราอาศัยอยู่นี้ ก็เป็นเพียงดวงดาวที่ลอยเคว้งคว้างอยู่ในอวกาศ  อย่าไปคิดว่า มนั เที่ยงแท้ถาวร  เกิดต่างกนั เพราะทำกรรมไวต้ ่างกนั ชีวิตเราเกิดมาชาตินี้ซึ่งไม่นาน  ถึงจะมีร่างกายสมบูรณ์ ขนาดไหนก็รักษาไว้ไม่ได้  แขน  ขา  หน้าตา  ท่ีสุดก็รักษาไว้ ไม่อยู่  ตายแล้วก็ต้องเป็นเหยื่อให้หนอนชอนไชกันท้ังน้ัน  ส่ิงท่ี จะเป็นสารประโยชน์เอาไปได้ก็คือบุญกุศล  คุณงามความด ี ซ่ึง เราต้องนำชีวิตมาต่อบุญต่อกุศล  ถึงจะทำให้การเกิดมามีชีวิต 38

ตื่น  รู้  เบิกบาน มีคุณค่า  มีสาระขึ้น  ไม่เช่นนั้นก็จะเสียชาติที่เกิดมา  คนเรา เกิดมาเพื่อจะได้พัฒนาตัวเองให้สูงส่ง  ชาติต่อ ๆ ไปจะได้สูงส่ง พัฒนาขึ้นไป  ๆ  จนกระทั่งไปสู่วิมุตติหลุดพ้นจากการเวียนว่าย ตายเกิดในภพน้อยภพใหญ่  ถ้ายังมีกิเลสอยู่ก็ต้องเวียนว่าย ตายเกดิ ต่อไปตามอำนาจของกรรม คนเราจงึ มสี ภาพไมเ่ หมอื นกนั   บางคนเกดิ มาสวย  บางคน เกิดมาขี้เหร่  บางคนเกิดมาจน  บางคนรวย  ล้วนมาจากกรรม ท่ีทำไว้  คนไหนที่อดีตเคยให้ทานมาดี  เกิดมาก็มีฐานะร่ำรวย ไม่ต้องทำมาหากินอะไร  มีทรัพย์สมบัติรองรับไว้ให้มากมาย นั่นเป็นเพราะผลบุญของเขา  ก็อย่าได้ไปอิจฉาริษยาเขา  แต่ ถ้าเราไปเห็นคนท่ียากไร้  ยากจนข้นแค้นอนาถา  ก็อย่าไปดูถูก ดูหมิ่น  อย่าไปเยาะเย้ยเขา  ให้รู้ว่าเราก็เคยเป็นอย่างนี้มาแล้ว พระพุทธเจ้าเคยตรัสกับพระภิกษุท้ังหลายเวลาไปเห็นคนยากไร้ พิกลพิการ  อนาถา  คนกำลังเดือดร้อน  ให้น้อมเข้ามารู้ว่าเรา กเ็ คยเปน็ อยา่ งนมี้ าแลว้ ในภพชาตทิ ผ่ี า่ นมา  เราจะไดไ้ มป่ ระมาท หลงระเริง  แม้ชาตินี้เราดีอย่างนี้  แต่ถ้าประมาทเราก็ไปเป็น อย่างนั้นได้อีก  ให้เข้าใจว่ามันเป็นไปตามกฎแห่งกรรม  ถ้า ไม่ทำทานอะไรไว้เลย  เกิดมามันก็ยากไร้  ยากจน  เกิดมา ชีวิตส้ันก็เพราะเคยฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเขา  ถึงจะไปใช้หน้ีกรรมใน นรกมาแล้ว  แต่พอมาเกิดเป็นมนุษย์  เศษของกรรมตามมา 39

ส . เ ข ม รั ง สี ชวี ติ กส็ นั้   แลว้ กจ็ ะตายในแบบทเ่ี ราเคยทำไวน้ น่ั เอง  เคยฆา่ เขาไว้ แบบไหน  ก็ต้องตายโดยลักษณะอย่างนั้น  เคยกดเขาจมน้ำ ตาย  ก็ต้องมาตายแบบจมน้ำตาย  เคยเอาไฟคลอกเขาตาย  ก็ ต้องมาตายแบบไฟคลอกตาย  เคยโยนเขาร่วงมาตาย  เราก็ ต้องร่วงมาตายเหมือนกัน  มันจะตายแบบนั้นตามอำนาจของ กรรม คนที่อายุยืนก็เพราะไม่เคยเบียดเบียน  ไม่ฆ่าสัตว์  ส่วน คนท่ีมีโรคภัยเบียดเบียน  ที่ประสบอุบัติเหตุอย่างน้ันอย่างน้ี ไม่ต้องไปเสียใจน้อยใจ  มันเป็นความยุติธรรมอยู่แล้ว  เรา ต้องยอมรับ  เป็นการใช้หน้ีที่เกิดจากการเบียดเบียนสัตว์ เบียดเบียนชีวิตผู้อ่ืนเขาไว้  บางทีเราไม่ได้ฆ่า  แต่เราทำร้ายเขา ตัดแขนตัดขา  แทงเขา  ตีเขาหลังหัก  ขาหัก  หัวแตก  มันก็ เป็นกรรมเดิมท่ีมาเล่นงาน  ฉะน้ันจึงไม่ต้องไปคิดอะไรมาก คิดเพียงว่า  น่ีนะกรรม  นี่วิบากกรรม  ถือว่าเราได้ใช้กรรมกัน แล้ว  ถ้าเรายังไม่เป็นอะไร  คนบางคนทำบาปไว้  แต่ว่ายังไม่ เป็นอะไร  ยังไม่เดือดร้อนอะไร  ก็ใช่ว่าจะพ้นไปได้  กรรมจะ ตามไปเร่ือย ๆ  ถึงเวลาหน่ึงเขาก็เล่นงานให้เดือดร้อน  ดีไม่ดี เขาพาไปเกิดในนรกอกี   การท่ีกรรมให้ผลในชาตินี้  ก็สบายใจได้อย่างหน่ึงว่าเรา 40

ตื่น  รู้  เบกิ บาน ได้ผ่านการชดใช้มาแล้ว  จะได้ไม่ต้องไปใช้กันในนรก  ไม่ต้อง ไปใช้กันในชาติอื่น  ชดใช้เสียชาตินี้ให้หมดเร่ืองกันไป  เหมือน กับเราเป็นลูกหน้ีเขาอยู่  พอเราโกงเขาไว้  กู้หนี้ยืมสินเขาไว้ แล้วไม่ยอมใช้หนี้  แต่ตอนนี้ถูกศาลบังคับให้ต้องใช้  เมื่อ เราได้ใช้เขาไปเราก็ควรจะเบาใจว่า  หนี้สินเราได้หมดไปแล้ว หรือน้อยลงแล้ว  เพราะเราได้ชดใช้ไปแล้ว  ก็จะเป็นโอกาสแห่ง บุญ  เพราะเราก็ทำบุญไว้เหมือนกัน  อดีตก็ทำบุญไว้  ยิ่งเรามา ทำบุญกุศลในชาติน้ีเพิ่มเติม  ก็จะเป็นทางแห่งความดีข้ึนมา แต่ส่วนใดท่ีเราพิกลพิการไปแล้ว  ก็ต้องยอมไปชาติหนึ่ง  แต่ ชาติต่อ ๆ ไปจะดีถ้าเราได้ทำดี  ทำกุศล  ไม่ไปทำบาปเพิ่มเติม ความดีก็จะมาส่งผลเปิดทางแห่งความดี  คนบางคนอาศัย บาปกรรม  อาศัยการเสวยผลบาปกรรมแล้วนำมาเป็นปัจจัย ต่อสิ่งที่เป็นคุณงามความดี  ที่สำคัญก็คือการเข้าถึงธรรมะ  จึงเป็นโอกาสดี  เรียกว่าเปลี่ยนจากวิกฤติมาเป็นโอกาสได้ ถ้าเราไม่มีทุกข์  เราอาจจะหลงระเริงตลอดชีวิต  กินเหล้าเมายา เทย่ี วเตร ่ ทำรา้ ยผอู้ นื่   คดโกง  ทำบาปทำกรรมอกี เยอะ  แตพ่ อ เราได้ทุกข์  เลยคิดว่าชีวิตน้ีมันเป็นทุกข์นะ  ไอ้ความทุกข์มันจะ สอนให้เราคิดว่าจะเอาอะไรเป็นแก่นสารในชีวิตดี  เกิดมาทั้งที แล้วจะมัวมาหลงอยู่ในรูป  รส  กลิ่น  เสียง  มันได้อะไร  แต่ สิ่งที่เป็นสาระก็คือการพัฒนาจิตวิญญาณของเราให้มีสติปัญญา 41


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook