คาํ นํา โครงการจบั ตานโยบายรฐั บาล (Policy Watch) เกิดจากความร่วมมือของคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตรแ์ ละแผนงานสรา้ งเสรมิ การเรยี นรกู้ บั สถาบนั อุดมศกึ ษาไทยเพือการพัฒนานโยบายสาธารณะทีดี (นสธ.) เพือติดตามการกําหนดนโยบายและสถานการณ์การดาํ เนินนโยบายของรฐั บาลในดา้ นต่างๆ โดยทางกลุ่มจบั ตานโยบายรฐั บาลจะจดัประชุมเพือนําเสนอข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะทีควรทําและไม่ควรทําต่อรฐั บาล โดยเน้นนโยบายทเี ป็นปจั จบุ นั เป็นหลกั 1 ปีใหห้ ลงั จากการดาํ เนินการตดิ ตามนโยบายรฐั บาล ทางกลุ่มจงึ ไดจ้ ดั สมั มนาประจาํ ปีขนึ มาภายใต้หวั ขอ้ “1ปีกบั การจบั ตานโยบายรฐั บาล” โดยไดศ้ กึ ษาถงึ ช่องว่างของนโยบายเศรษฐกิจในมติ ิต่างๆ 5 มติ ิด้วยกัน คือ มหภาค อุตสาหกรรม การศึกษาและสวสั ดิการการเกษตร และการคลงั โดยมุ่งเน้นไปยงั ประเดน็ ในเรอื งของช่องว่างทางนโยบายทเี กดิ จากปญั หาของนโยบายทมี ที ิศทางทไี ม่ถูกต้อง อันเนืองมาจากสาเหตุต่างๆ โดยการจดั สมั มนาประจําปีนันได้เชญิ ผู้ทรงคุณวุฒใิ นด้านต่างๆ ทงั ภาคราชการ ภาคเอกชน และผู้ทเี กยี วข้องโดยตรงกับนโยบายรฐั บาลเข้าร่วมการสมั มนาเพอื ให้ข้อเสนอแนะต่อผลงานวิจยั เพอื นําไปปรบั ปรงุ ผลงานใหด้ ยี งิ ขนึ ไป ในโอกาสนีทางโครงการจบั ตานโยบายรฐั บาล (Policy Watch) จงึ ได้จดั พมิ พผ์ ลงานทมี าจากการสมั มนาประจาํ ปี เพอื เผยแพร่ส่รู ฐั บาล ภาคราชการ ภาคเอกชน และสาธารณะชนทงั นีทางโครงการใคร่ขอขอบคุณคณาจารย์และทีมทํางานวิจยั ผู้ทรงคุณวุฒทิ ีให้เกียรติมาเสนอแนะขอ้ คดิ เหน็ ต่องานวจิ ยั รวมทงั เจา้ หน้าทธี ุรการ นักศกึ ษา และบุคคลทวั ไปทมี สี ่วนรวมในการจดั งานและใหค้ วามสนใจเป็นอยา่ งดี (รองศาสตราจารย์ ดร.ปทั มาวดี ซซู กู )ิ หวั หน้าโครงการจบั ตานโยบายรฐั บาล (Policy Watch) กนั ยายน 2553
จบั ตานโยบายรฐั บาลในรอบ 1 ปี ในช่วงเดือนมิถนุ ายน ถึง มิถนุ ายน รฐั บาลภายใต้การนําของนายกรฐั มนตรีอภิสิทธิ เวชชาชีวะได้ดาํ เนินนโยบายทางเศรษฐกิจทีสาํ คญั หลายประการเพือกระต้นุ เศรษฐกิจภายใต้สถานการณ์วิกฤตเศรษฐกิจโลกในช่วงต้นปี เมือสถานการณ์เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มดีขึน ประเทศไทยกลบั ประสบปัญหาวิกฤตทางการเมืองซึงมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยเฉพาะการท่องเทียว แต่ทีสาํ คญั คอื วิกฤตทางการเมืองทาํ ให้สงั คมหนั มาให้ความสนใจกบัปัญหาความเหลือมลาํ มากขนึ กลุ่มจบั ตานโยบายรฐั บาล (policy watch) เรมิ ต้นติดตามการดําเนินนโยบายทางเศรษฐกจิ ของรฐั บาลตงั แต่เดอื นมถิ ุนายน แถลงขา่ วครงั ที เดอื นมถิ ุนายน ในหวั ขอ้ “เศรษฐกจิ ไทยถงึ จุดตําสุดแลว้ หรอื ยงั ” ทางกลุ่มเหน็ ว่าเศรษฐกจิของประเทศจะฟืนตัวดีขนึ ตามการใชจ้ ่ายของภาครฐั โดยเสนอแนะให้ใช้เงนิ ทกี ูม้ าโดยจดั ลาํ ดบั ความสาํ คญั และกระจายผลประโยชน์ไปทกุ ภาคส่วนของประเทศ ควรเน้นการลงทุนเพอื สนับสนุนภาคเกษตรเนืองจากเป็นภาคการผลติ ทเี ชอื มโยงกบั สาขาอนื สงู และอาจใชท้ นุ สาํ รองเงนิ ตราต่างประเทศแทนการกยู้ มื เพอื ใชจ้ า่ ยในการกระตุน้ เศรษฐกจิ แถลงข่าวครงั ที เดอื นกรกฎาคม ในเรอื ง “หนีสาธารณะกบั การกระตุ้นเศรษฐกจิ ” ชใี หเ้ หน็ ว่าหนีต่อผลติ ภณั ฑม์ วลรวมภายในประเทศยงั ไม่เป็นปญั หาในระยะยาว และไดเ้ สนอใหร้ ฐั สรา้ งความชดั เจนโปรง่ ใสและกลไกในการขบั เคลอื นใหเ้ ป็นระบบสรา้ งความเชอื มนั โดยมแี ผนงานทชี ดั เจน โดยให้ชุมชนมีส่วนรว่ มในการผลกั ดนั และตรวจสอบแผนปฏิบตั ิการไทยเข้มแขง็. การแถลงขา่ วครงั ที เดอื นสงิ หาคม “มองผลงานรฐั บาลหนึงปี” การประเมนิ ผลของแผนกระตุน้ เศรษฐกจิ ของรฐั บาลระยะที ในครงั นันทางกลุ่มได้ให้ คะแนนจาก คะแนน โดยพจิ ารณาจากความสามารถในการประคบั ประคองเศรษฐกิจประสทิ ธภิ าพของการดําเนินนโยบาย โดยมขี อ้ เสนอแนะว่าควรพฒั นาเรอื ง ระบบฐานข้อมูลเพือให้แก้ปัญหาได้ทนั เวลา การเตรียมการเพือรองรบั ปัญหาเชิงโครงสรา้ ง และควรรบั มือกบั ปัจจยั เสียงอนั จะเกิดขนึ ในอนาคตอยา่ งไร การแถลงข่าวครงั ที เดอื นกนั ยายน : “ ผ่าแผนปฏบิ ตั ิการไทยเขม้ แขง็ ” วเิ คราะหภ์ าพรวมของการจดั สรรงบของแผนปฏบิ ตั กิ ารไทยเขม้ แขง็ หรอื แผนกระตุน้ เศรษฐกจิ ระยะที และได้เสนอแนะว่ารฐั บาลควรมคี วามชดั เจนเพอื ใหก้ ารใชจ้ ่ายงบประมาณจาํ นวนมากไดเ้ กดิ ผลในเชงิ เป้าหมายและทศิ ทางการพฒั นา โดยควรมองเชิงกลยุทธ์และทาํ เป็ นชุด (package) ของนโยบายมากกวา่ การทาํ นโยบายเป็นชินๆ ไมเ่ ชือมโยงไปส่เู ป้ าหมายเดียวกนั งบประมาณไทยเขม้ แขง็ ไม่มวี สิ ยั ทศั น์ดา้ นพลงั งาน แมจ้ ะใชจ้ ่ายมากในดา้ นเกษตรแต่กไ็ มช่ ดั เจนในเรอื งประสทิ ธภิ าพการเกษตรและการกระจายการพฒั นา แถลงขา่ วครงั ที เดอื นตุลาคม : “ภาษที ดี นิ และสงิ ปลกู สรา้ ง: บทพสิ จู น์ความจรงิ ใจของนักการเมอื ง” ไดว้ เิ คราะหถ์ งึขอ้ บกพร่องของภาษโี รงเรอื นและทดี นิ ทมี กี ารจดั เกบ็ ในประเทศไทย และนโยบายของรฐั บาลทจี ะปรบั เปลยี นไปใชภ้ าษีทดี นิ และสงิปลกู สรา้ ง ซงึ ทางกล่มุ เหน็ ว่าเป็นจุดเรมิ ตน้ ทดี ี แต่นโยบายนีสามารถเป็นจริงได้หรอื ไม่ ขึนอยู่กบั ความจริงใจในการผลกั ดนัของรฐั บาล การแถลงขา่ วครงั ที เดอื นพฤศจกิ ายน; “การประมลู คลนื G : ใครได้ ใครเสยี ” สงิ ทกี ลุ่มเหน็ ว่าประชาชนควรจะรบั รู้คอื ผเู้ ป็นเจา้ ของคลืนมิใช่ธรุ กิจหรอื รฐั บาลหรอื รฐั วิสาหกิจแต่เป็นประชาชนคนไทยทงั ประเทศ การแถลงขา่ วครงั นีจงึ ได้นําเสนอขอ้ มลู ทปี ระชาชนควรรบั ทราบ พรอ้ มเสนอแนะสงิ ทรี ฐั ควรปรบั ปรุง อาทเิ ช่น วธิ กี ารประมลู มาตรการเสรมิ ดา้ นภาษที คี วรนํามาใช้ และแนวทางอนื ๆ ทจี ะทาํ ใหป้ ระชาชนไดร้ บั ประโยชน์มากทสี ดุ การแถลงขา่ วครงั ที เดอื นธนั วาคม; “ โครงการเพอื ปลดหนนี อกระบบ” ชวี า่ สงิ ทอี าจส่งผลใหก้ ารดําเนินนโยบายนีไม่บรรลุผลตามเป้าหมาย คอื หนีในระบบมีสดั ส่วนสูงกว่าหนีนอกระบบ ประชาชนมีความสามารถในการชําระหนีในภาพรวมตาํ หนีสนิ มากกว่ารายได้ เท่า จึงมีแนวโน้มทีอาจนําไปสู่การก่อหนีนอกระบบอีกในอนาคต ปญั หาหนีนอกระบบมไิ ดเ้ กดิ จากการเขา้ ไม่ถงึ สนิ เชอื ในระบบดงั เชน่ ในอดตี แต่เป็นปญั หาทหี นีในระบบเตม็ แลว้ ไม่สามารถกอ่ หนใี นระบบเพมิ ได้อกี และเกดิ จากความตอ้ งการกฉู้ ุกเฉนิ ทางแกท้ ยี งั ยนื คอื การลดภาระหนใี นภาพรวมโดยเฉพาะหนใี นระบบ
การแถลงขา่ วครงั ที เดอื นมกราคม : “ไทยควรทําอะไรหลงั Copenhagen Climate Change Talks” จากการประชุมภาคสี มาชกิ UNFCCC (อนุสญั ญาสหประชาชาตวิ ่าดว้ ยการเปลยี นแปลงสภาพภูมอิ ากาศ) ณ กรุงโคเปนเฮเกน มหี ลายประเดน็สําคัญทที างรัฐบาลไทยควรคํานึง ถึงแม้ว่าการประชุมครงั นีจะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายทตี ังเอาไว้ กลุ่มจบั ตานโยบายได้เสนอแนะถงึ รฐั บาลหลายประการ อาทเิ ช่น การทรี ฐั บาลควรเร่งหาทางรบั มอื กบั ภาวะโลกรอ้ น โดยเฉพาะต้นทุนในการลดกา๊ ซของประเทศ การรว่ มมอื กนั ระหวา่ งเอกชนและรฐั บาล และการให้ความรใู้ นเรอื งโลกรอ้ นแก่ประชาชนโดยทวั ไป การแถลงข่าวครงั ที เดอื นกุมภาพนั ธ:์ “หนึงปีรฐั บาล กา้ วไม่พน้ ประชานิยม ไปไม่ถงึ รฐั สวสั ดกิ าร” ทางกลุ่มได้ประเมนิ ถงึ ผลงานรฐั บาลในหนงึ ปีทผี ่านมา พบวา่ ยงั ไป ไม่ถงึ การเป็นรฐั สวสั ดกิ าร ไม่ใช่เพราะขอ้ จํากดั ของงบประมาณในการใช้จ่าย แต่เป็นปญั หาประสทิ ธภิ าพการบรหิ ารจดั การ การป้องกนั และกําจดั คอรร์ ปั ชนั และใหม้ องรฐั สวสั ดกิ ารทตี ้องการพนื ฐานทีสาํ คญั คอื การมีภาครฐั ภาคการเมืองการปกครองทีดี มีความยุติธรรมทีแก้ปัญหาพืนฐานของประชาชนได้ ซงึ การแกป้ ญั หาสงิ เหลา่ นี จะสามารถนําสงั คมใหไ้ ปสรู่ ฐั สวสั ดกิ ารทแี ทจ้ รงิ ได้ การแถลงข่าวครงั ที เดอื นเมษายน: “บทเรยี นการดําเนินนโยบายภายใต้เศรษฐกจิ สงั คมทวลิ กั ษณ์” กลุ่มจบั ตานโยบายวเิ คราะหว์ า่ สถานการณ์ทางการเมอื งในช่วงนี อาจมเี หตุผลจากการรสู้ กึ ถงึ ความเหลอื มลาํ ความไม่ยุตธิ รรมทเี กดิ ขนึ และเหน็ ว่าปญั หาความเหลอื มลาํ นเี ป็นปญั หาเชงิ คณุ ภาพ พรอ้ มถงึ เสนอสงิ ทรี ฐั บาลควรทาํ โดยใชพ้ ลกิ วกิ ฤตการเมอื งครงั นเี ป็นโอกาสในการแก้ไขปัญหาเชิงโครงสรา้ งทดี าํ รงอย่มู าชา้ นาน เชน่ เรอื งโครงสรา้ งภาษี การแถลงขา่ วครงั ที เดอื นมถิ ุนายน : “นโยบายฐานราก: นโยบายขา้ ว” นโยบายประกนั ราคาสนิ คา้ ขา้ วนนั ถงึ แมว้ ่าจะมหี ลกั การทดี ี แต่กําลงั ประสบปญั หาอย่างมาก โดยเฉพาะในปญั หาด้านการดําเนินงานของนโยบาย ทงั นีทางโครงการได้เสนอแนะว่า การดาํ เนินนโยบายข้าวควรมีการเชือมโยงทงั ด้านการผลิต การตลาด และสถาบนั เกษตรกร มีทิศทางและเป้ าหมายทีชดั เจนรว่ มกนั พรอ้ มทงั ตงั กฎเกณฑเ์ พือป้ องกนั การดาํ เนินนโยบายโดยมิชอบ จากการจบั ตานโยบายรฐั บาลมาเป็นระยะเวลาหนงึ ปี พบวา่ รฐั บาลยงั กา้ วชา้ กวา่ ปญั หาหนงึ กา้ วเสมอ การทาํ งานเป็นเชงิ ตงั รบั มากกว่ามองไปขา้ งหน้าและป้องกนั ปญั หาทจี ะเกดิ ขนึ ขอ้ เรยี กรอ้ งของกลุ่มจบั ตานโยบายรฐั บาล ในการแกป้ ญั หาเชงิโครงสร้าง การกระจายประโยชน์ของนโยบาย การจดั ลําดบั ความสําคญั และการแก้ปญั หาด้วยชุดของนโยบาย การสร้างฐานขอ้ มลู เพอื เฝ้าระวงั ปญั หา การเรง่ ผลกั ดนั เรอื งภาษที ดี นิ และสงิ ปลูกสรา้ ง การแกป้ ญั หาหนีสนิ ใหต้ รงจุด และการสรา้ งความเป็นธรรมโดยภาครฐั เกดิ ขนึ กอ่ นการเกดิ วกิ ฤตการเมอื งทรี นุ แรง
บทสรปุ การวิเคราะหช์ ่องว่างของนโยบายเศรษฐกิจไทย รศ.ดร.ปัทมาวดี ซูซูกิ ปัจจบุ นั เศรษฐกจิ สงั คมไทย เศรษฐกิจโลก รวมถงึ กตกิ าในประเทศและกตกิ าระหวา่ งประเทศก้าวไปข้างหน้าอยา่ งรวดเร็วจนภาคการเมอื งและรัฐไทยก้าวตามไมท่ นั ตวั อยา่ งเช่น รัฐธรรมนญู ปี และ มีลกั ษณะก้าวหน้าและสะท้อนภาพของสงั คมในอดุ มคตเิ กียวกบั สทิ ธิชมุ ชน สวสั ดกิ ารสงั คม และสงิ แวดล้อม ทงั ยงั สะท้อนความคาดหวงั ตอ่ บทบาทของรฐั ทพี งึ ปรารถนาในการบริหารจดั การประเทศ แตเ่ มอื รัฐไทยไมส่ ามารถปรับตวั ก้าวตามได้ทนั การเปลยี นแปลงรฐั ธรรมนญู ดงั เชน่ มาตรา 67 วรรค 2จงึ ไมม่ กี ฎหมายลกู ออกมารองรับและมีจดุ ออ่ นในการกํากบั ดแู ลจนเกดิ ปัญหากรณีมาบตาพดุ ชอ่ งวา่ งทางนโยบายจึงเกิดจากการทีรัฐไมส่ ามารถปรับตวั ได้ทนั ตอ่ การเปลยี นแปลงใหมๆ่ ในขณะทีปัญหาเกา่ กย็ งั สะสมเรือรงั พร้อมทจี ะปะทขุ นึ มาได้ ดงั เชน่ กรณีความเหลอื มลาํ ทางเศรษฐกิจสงั คมทเี ป็ นทสี นใจหลงั วกิ ฤตการเมอื ง ช่องวา่ งทางนโยบายเกิดจากนโยบายทมี ปี ัญหาด้าน “ทศิ ทาง” คอื เป็ นนโยบายทีไมถ่ กู ต้องอนั เกิดจากสมมตฐิ านผดิ ข้อมลูไมเ่ ป็ นจริง ขาดข้อมลู การแสวงหาผลประโยชน์ของผ้มู สี ว่ นได้สว่ นเสยี ในนโยบาย การมองภาพยอ่ ยไมเ่ หน็ ภาพรวม นโยบายทมี ีปัญหาด้าน “ขนาด”ของช่องวา่ งจะก้าวไมท่ นั สถานการณ์ มกั เกดิ จากขาดการบริหารจดั การทีดี มขี ้อจํากดั ด้านงบประมาณ ขาดหนว่ ยงานหลกั ทรี ับผิดชอบ หนว่ ยงานขาดความรู้และประสทิ ธิภาพ ขาดการประสานงานระหวา่ งหนว่ ยงาน และกฎกตกิ าทีไมท่ นัการ หรือ กตกิ าทาํ ให้เกิดความลา่ ช้าในการปฏบิ ตั ิ รวมถึง ขาดความตอ่ เนืองของนโยบาย ปลายเดอื นมถิ ุนายน กลุ่มจบั ตานโยบายรฐั บาลจดั สมั มนา “วเิ คราะหช์ ่องว่างของนโยบายเศรษฐกจิ ไทย” เพอืสรุปปญั หาในการดาํ เนินนโยบายหา้ กลุ่มเรอื ง ไดแ้ ก่ ดา้ นเศรษฐกจิ มหภาค ดา้ นการคลงั ดา้ นการศกึ ษาและสวสั ดกิ ารแรงงานดา้ นอตุ สาหกรรม และดา้ นการเกษตร โดยนกั วจิ ยั นําเสนอผลการศกึ ษาและรบั ฟงั ความคดิ เหน็ จากนกั วชิ าการ ภาคราชการ และภาคเอกชนทเี กยี วขอ้ ง ไดข้ อ้ สรุปของประเดน็ ปญั หาและขอ้ เสนอแนะทนี ่าสนใจดงั นี ในภาพรวม เศรษฐกจิ ไทยในภาพรวมสมั พนั ธก์ บั การฟืนตวั ของเศรษฐกจิ โลก ไทยมคี วามเสยี งเรอื งหนีสาธารณะและปญั หาความเหลอื มลําของการกระจายรายไดแ้ ละทรพั ย์สนิ ในระดบั สูง การสรา้ งผลกระทบด้านสงิ แวดล้อมเป็นตวั อย่างหนึงทีซาํ เตมิ ความเหลอื มลาํ ในแง่ทโี ครงการก่อประโยชน์ใหแ้ กค่ นจาํ นวนหนงึ แต่สง่ ผลกระทบเป็นภาระของคนอกี จาํ นวนหนึงโดยเฉพาะคนดอ้ ยโอกาสในสงั คม ปญั หาผลกระทบดา้ นสงิ แวดลอ้ มส่วนหนึงเกดิ จากการประเมนิ โครงการทไี ม่ครบถ้วนไม่ถูกต้องตามหลกัวชิ า ด้านการศึกษาและสวสั ดิการแรงงาน รัฐไทยทุ่มเทงบประมาณจํานวนมากเพอื การศึกษาแต่ยงั ไม่คุ้มค่าเพราะผลสมั ฤทธทิ างการศกึ ษายงั อยู่ในระดบั ตําเมอื เทยี บกบั ประเทศเพอื นบา้ น อุปสงคอ์ ุปทานของกําลงั คนไม่สอดคลอ้ งกนั ทงั ในมติ ิของระดบั การศกึ ษา คุณภาพ และความตอ้ งการเฉพาะทาง กองทุนกยู้ มื เพอื การศกึ ษาไม่สามารถเป็นเครอื งมอื ทมี ปี ระสทิ ธภิ าพในการพฒั นาระบบอุดมศกึ ษา และการศกึ ษาไทยมบี ทบาทเป็นทผี ลติ ซาํ ทางชนชนั ด้านสวสั ดกิ ารแรงงานยงั มชี ่องว่างในการเตรยี มการเพอื กา้ วสสู่ งั คมผสู้ งู อายุและเตรยี มการเพอื คณุ ภาพชวี ติ ของแรงงานภายหลงั ออกจากงาน ด้านนโยบายอตุ สาหกรรมของไทยจะมงุ่ เน้นการขยายตวั ทางเศรษฐกจิ แต่ไม่ใหค้ วามสาํ คญั การพฒั นาโครงสรา้ งการผลติ และยกระดบั การพฒั นาอตุ สาหกรรมภายในประเทศและนโยบายขาดความต่อเนอื ง ช่องว่างทางนโยบายอตุ สาหกรรมประกอบดว้ ย ช่องว่างในการเชอื มโยงอตุ สาหกรรมขนาดใหญก่ บั ขนาดกลางและเลก็ ช่องวา่ งระหว่างนโยบายอตุ สาหกรรมกบันโยบายวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยขี องอตุ สาหกรรมรายสาขา ช่องว่างเรอื งการสรา้ งสมรรถนะในการแขง่ ขนั กบั การผนวกเขา้กบั เครอื ขา่ ยการผลติ ระดบั โลก ชอ่ งว่างความพรอ้ มและเขา้ ใจการพฒั นาอตุ สาหกรรมไทยภายใตก้ รอบความรว่ มมอื ระหว่างประเทศทงั การออกไปลงทุนในต่างประเทศและการนําเขา้ เขา้ แรงงานจากต่างประเทศ ชอ่ งว่างของการพฒั นาอตุ สาหกรรมกบัความยงั ยนื ทางทรพั ยากรและสงิ แวดลอ้ ม
ดา้ นนโยบายเกษตร พบชอ่ งว่างระหว่างหน่วยงานทกี าํ กบั ดแู ลดา้ นการผลติ กบั ดา้ นการตลาด ความขดั แยง้ เชงินโยบายระหวา่ งนโยบายอดุ หนุนราคากบั นโยบายลดพนื ทกี ารผลติ การหาจดุ สมดลุ ระหวา่ งนโยบายราคาสงู เพอื เกษตรกรผผู้ ลติกบั ราคาตาํ เพอื ผบู้ รโิ ภค นโยบายของรฐั จงึ ขนึ กบั สถานการณ์และเสยี งเรยี กรอ้ งของผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยี ในขณะนนั มากกวา่ จะยนื ยนั ในหลกั การเรอื งการแขง่ ขนั ทเี ป็นธรรมและการพฒั นาระบบตลาดใหม้ ปี ระสทิ ธภิ าพซงึ จะเป็นหลกั การทที าํ ใหห้ าจดุ สมดลุ ของนโยบายไดด้ กี ว่า ช่องวา่ งความเขา้ ใจของภาครฐั ต่อผลทจี ะเกดิ แกเ่ กษตรกร ผลต่อระบบการผลติ และการตลาดสนิ คา้ เกษตรและความเสยี งของนโยบายทอี าจเกดิ ขนึ ในระยะสนั และระยะยาว ช่องว่างในการสอื สารกบั เกษตรกรและผมู้ สี ว่ นไดส้ ว่ นเสยีเกยี วกบั นโยบายใหม่ ขาดนโยบายทชี ่วยใหเ้ กษตรกรบรหิ ารความเสยี งดา้ นการผลติ และการตลาด การมสี ว่ นรว่ มของผมู้ สี ว่ นได้สว่ นเสยี ในการวางแผนและพฒั นาภาคเกษตรผ่านสถาบนั เกษตรกร และการปรบั ใชน้ โยบายการบรหิ ารบา้ นเมอื งทดี แี ละปรบั เปลยี นได้ขอ้ เสนอแนะต่อรฐั บาล สภาพฒั นาการเศรษฐกจิ และสงั คมแห่งชาตคิ วรจดั ทาํ คมู่ อื การประเมนิ โครงการและผลกระทบโครงการทกี ําหนดแนวทางการประเมนิ ตวั แปรและค่าพารามเิ ตอร์ทเี หมาะสม (เช่นอตั ราคิดลด) เพอื ไม่ให้ผู้ประเมนิ มคี วามลาํ เอยี งทจี ะเลอื กใชต้ วั แปรและพารามเิ ตอรท์ จี ะสง่ ผลเป็นบวกหรอื ลบตามทโี ครงการความตอ้ งการ กาํ หนดใหม้ กี ารประเมนิ ความเสยี งดา้ นสงิ แวดลอ้ ม การกาํ หนดมาตรฐานปลายทาง (Ambient Standard) เพอื มใิ หป้ ล่อยมลพษิ ออกรวมๆกนั แลว้ มากเกนิ กว่าความสามารถทธี รรมชาตจิ ะรองรบั และบาํ บดั ได้ด้านมหภาค ปรบั ลดรายจ่ายประจําและรายจ่ายผูกพนั ระยะยาว นัยหนึงเพอื เป็นการรกั ษาวนิ ัยการคลงั และยงั ทาํ ให้สามารถจดั สรรงบประมาณรายจา่ ยดา้ นอนื ๆ ไดม้ ากขนึ ใหม้ กี ารจดั เรยี งลาํ ดบั ความสาํ คญั ของโครงการการลงทุนอย่างเป็นระบบและควรใหค้ วามสาํ คญั ในการเพมิ ประสทิ ธภิ าพการบรหิ ารจดั การของรฐั และรฐั วสิ าหกจิด้านการคลงั มคี วามเป็นไปไดท้ จี ะเพมิ ภาษี 1-2% ของ GDP ใหม้ กี ารจดั เกบ็ ภาษที รพั ยส์ นิ ภาษมี รดก และภาษีสงิ แวดลอ้ มเพอื รฐั บาลและองคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ มรี ายไดเ้ พมิ ขนึ การปรับปรุงด้านรายจ่ายรัฐบาลและ อปท. ตามแนวทางเพมิ พลงั คนจน เช่น จดั สวสั ดกิ าร และขยายระบบประกนั สงั คมใหค้ รอบคลมุ ผใู้ ชแ้ รงงานทไี มเ่ ป็นทางการ สนบั สนุนใหม้ ีการวจิ ยั นโยบายสาธารณะอย่างจรงิ จงั เพอื ขยายพรมแดนความรู้ ช่วยใหเ้ ขา้ ใจว่าใครไดใ้ ครเสยีด้านการศกึ ษา ประเมนิ ความคมุ้ ค่าของการท่มุ เทงบประมาณเพอื การศกึ ษาในเชงิ ปรมิ าณ ทบทวนคุณภาพการศกึ ษาอย่างเร่งด่วน วางแผนการผลติ แรงงานอย่างบูรณาการระหว่างหน่วยงานทเี กยี วขอ้ ง ได้แก่ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร กระทรวงแรงงานและสวสั ดกิ ารสงั คม และภาคธุรกจิ ศกึ ษาหาแนวทางจดั สรรงบประมาณทเี หมาะสม มปี ระสทิ ธภิ าพระหว่างการศกึ ษาในระดบั ชนั และรปู แบบต่างๆ เปิดโอกาสใหภ้ าคเอกชนรวมทงั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิ เขา้ มารว่ มจดั การศกึ ษาอยา่ งมคี ณุ ภาพด้านสวสั ดิการ สรา้ งการออมทเี ป็นระบบใหม้ คี วามเพยี งพอภายหลงั การเกษยี ณ สรา้ งระบบหรอื วฒั นธรรมของการพงึ พาตนเองมากทสี ุดในการสรา้ งหลกั ประกนั ในยามเกษยี ณ รณรงคใ์ หเ้ กดิ วฒั นธรรมการออมและการลงทุนในระยะยาวโดยรฐัตอ้ งสรา้ งเครอื งมอื หรอื องคก์ รเพอื กํากบั สถาบนั การเงนิ (กองทุน) ให้ดาํ เนินการอย่างเหมาะสม เตรยี มพรอ้ มเพอื การสรา้ งอาชพี และการสะสมทุนมนุษย์ หรอื ใหแ้ รงงานมโี อกาสในการเปลยี นยา้ ยงานไดต้ ามความเหมาะสมต่อความรคู้ วามสามารถและสภาพรา่ งกายในวยั สงู อายุ หาแนวทางใหเ้ ศรษฐกจิ นอกภาคทางการเขา้ มาอยใู่ นภาคทางการเพอื ภาษแี ละดแู ลสวสั ดกิ ารไดด้ ขี นึดา้ นอตุ สาหกรรม สนบั สนุนใหม้ กี ารเชอื มโยงระหว่าง SMEs กบั กจิ การขนาดใหญ่อย่างเป็นธรรม เตรยี มความพรอ้ มผปู้ ระกอบการไทยเรอื งมาตรการกดี กนั ทางการคา้ ทไี ม่ใช่ภาษีและมองทศิ ทางเกยี วกบั “นโยบายอุตสาหกรรมทยี งั ยนื ” ในอนาคตสนับสนุนภาคอุตสาหกรรมทมี คี วามเชอื มโยงกบั ภาคเกษตรและฐานทรพั ยากรในท้องถนิ ส่งเสรมิ ใหเ้ กดิ สถาบนั อุตสาหกรรมเฉพาะทาง ใชป้ ระโยชน์จากสถาบนั อสิ ระทเี กยี วกบั การสง่ เสรมิ พฒั นาอุตสาหกรรมเฉพาะประเภท ส่งเสรมิ ความตนื ตวั ดา้ นการพฒั นาเทคโนโลยเี พอื เชอื มโยงกบั เครอื ขา่ ยการผลติ ระดบั โลกและสรา้ งความพรอ้ มในเรอื งการตรวจสอบมาตรฐานและศนู ยท์ ดสอบใหป้ ระชาชนมสี ่วนร่วมในการจดั การสงิ แวดลอ้ ม การกระจายอํานาจในการกํากบั ดูแลโรงงานอุตสาหกรรมใหก้ บั องคก์ รปกครองสว่ นทอ้ งถนิด้านการเกษตร กระทรวงพาณิชยท์ ํางานประสานกบั กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ใหม้ ากยงิ ขนึ เพอื ใหก้ ารบรหิ ารดา้ นการเกษตรมปี ระสทิ ธภิ าพมากกว่าทเี ป็นอยู่ พฒั นาภาคเกษตรแบบครบวงจรโดย มรี ะบบประกนั รายได้ ประกนั ภยั พชื ผล มรี ะบบ
การสอื สารทดี กี บั เกษตรกรเพอื สรา้ งความเขา้ ใจเกยี วกบั กลไกการทาํ งานของตลาด ผลดแี ละขอ้ พงึ ระวงั ของนโยบายใหม่ๆ การแทรกแซงตลาดสนิ คา้ เกษตรควรทาํ เท่าทจี ําเป็น ทางออกในการระบายสตอ็ คขา้ วคอื การนําขา้ วในสตอ็ กมาทําขา้ วบรรจุถุงแจกใหก้ บั คนยากจน การโรดโชวข์ ายขา้ วแบบรฐั ต่อรฐั ในราคาทเี หมาะสม รฐั บาลควรมกี ารบรหิ ารจดั การในทางทเี ปิดเผยและเป็นประโยชน์กบั ประเทศมากทสี ดุ
บทคัดย่อช่องว่างของนโยบายด้านเศรษฐกจิ มหภาครศ.ดร. ธรรมวิทย์ เทอิ ดุดมธรรมอ.รุ่งนภา โอภาสปัญญาสาร หลงั จากทีรัฐบาลไทยได้ดําเนินมาตรการในการกระต้นุ เศรษฐกิจอย่างเข้มข้นและตอ่ เนืองเพือบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตการเงินโลกปี 2551-2552 ทําให้เศรษฐกิจไทยในปัจจบุ นั ได้ฟื นตวั ระดบั หนึง เมือวิเคราะห์ภาพรวมของเศรษฐกิจไทย และด้วยความม่งุ หวงั ทีจะให้เศรษฐกิจไทยเตบิ โตอยา่ งเป็ นธรรมและยงั ยืนได้ เรามีข้อคดิ เห็นตอ่ ชอ่ งวา่ งของนโยบายเศรษฐกิจมหภาค ดงั นีประการแรก การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกจิ : วิกฤตหนีสาธารณะ ผลจากวิกฤต Hamburger Crisis สง่ ผลให้รัฐบาลทวั โลกจําเป็ นต้องใช้งบประมาณขาดดลุ ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป โดยเฉพาะ ไอร์แลนด์ และกรีซ กําลังเผชิญกับปัญหาวิกฤตหนีสาธารณะอย่างรุนแรงถึงแม้ว่าระดบั หนีสาธารณะของประเทศไทยยงั อย่ใู นระดบั ทียอมรับได้ตามกรอบความยงั ยืนทางการคลงั แต่อยา่ งไรก็ดี การรักษาวนิ ยั ทางการคลงั โดยให้ฐานะการคลงั อย่ใู นระดบั ทีเหมาะสมเพือไม่ให้พลาดพลงั ตกไปสู่วกิ ฤตหนีสาธารณะเป็นเรืองท้าทายของรัฐบาล ดงั นนั รัฐบาลควรปรับลดรายจ่ายประจําและรายจ่ายผกู พนั ระยะยาว นยั หนึงเพือเป็ นการรักษาวินยัการคลัง และยงั ทําให้สามารถจัดสรรงบประมาณรายจ่ายด้านอืนๆ ได้มากขึน นอกจากนี รัฐบาลควรมีการปฏิรูปโครงสร้างระบบภาษีและเพมิ ประสิทธิภาพในการจดั เก็บภาษีประการทสี อง การเจริญเตบิ โตทางเศรษฐกจิ ในระยะยาว : การลงทนุ ภาครัฐ ขณะทีการลงทนุ ภาคเอกชนยงั ชะลอตวั จงึ เป็ นหน้าทีของภาครัฐทีจะเข้ามาเพิมบทบาทด้านการลงทนุให้มากขึน โดยเน้นการลงทนุ ในโครงสร้างพืนฐานเพือเพิมขีดความสามารถในการแข่งขนั ของประเทศ (เช่นระบบชลประทาน ระบบการขนส่งทางนําและระบบราง) ซึงเป็ นโครงการทีส่งผลในเชิงบวกต่อโอกาสการพฒั นาเศรษฐกิจในระยะยาว ให้มีการจดั เรียงลําดบั ความสําคญั ของโครงการการลงทนุ อยา่ งเป็ นระบบ และควรให้ความสําคญั ในการเพมิ ประสทิ ธิภาพการบริหารจดั การของรัฐวิสาหกิจประการสุดท้าย ความเป็ นธรรมทางเศรษฐกจิ : ระบบรัฐสวสั ดกิ าร เพือยกระดบั สวัสดิการทางสังคมไทย ประการแรก รัฐบาลต้องเพิมความสามารถในการหารายได้โดยเฉพาะรายได้ทางภาษี และประสิทธิภาพการบริหารของภาครัฐ ประการทีสอง รัฐบาลควรกําหนดเป้ าหมายของการจดั สรรสวสั ดิการทางสงั คมในเชิงปริมาณ อาทิ กําหนดว่ารายจา่ ยด้านสวสั ดิการสงั คมควรเป็นเทา่ ใดและคดิ เป็นกีเปอร์เซน็ ตเ์ มือเทียบกบั จีดพี ี ภายใต้ระยะเวลาทีเหมาะสม และควรมีการใช้งบประมาณ
สนับสนุนอย่างเต็มที ประการทีสาม รัฐบาลควรกําหนดเป้ าหมายด้านการจัดสรรสวัสดิการเชิงคุณภาพ(Qualitative) เชน่ การให้หลกั ประกนั การตกงาน สวสั ดกิ ารทีช่วยลดความเหลือมลําทางเศรษฐกิจ และเลือกนโยบายด้านสวสั ดกิ ารทีก่อให้เกิดการทจุ ริตได้ยาก เป็นต้น
ช่องว่างของนโยบายด้านเศรษฐกจิ มหภาค โดย ธรรมวทิ ย์ เทอดอดุ มธรรม1 รุ่งนภา โอภาสปัญญาสาร2 1. คาํ นํา หลงั จากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจปี เศรษฐกิจไทยเริมฟื นตวั ตงั แต่ปี และมีการเติบโตอย่างต่อเนือง โดยในช่วงปี - เศรษฐกิจไทยมีการเติบโตเฉลียร้อยละ . ตอ่ ปี ตอ่ มาเนืองจากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาและเศรษฐกิจโลกในปี 2550 ทําให้การส่งออกของไทยลดลงตงั แต่ปลายปี ทังยังมีผลกระทบต่อการท่องเทียว การลงทุน และการบริโภคของภาคเอกชน ทําให้เศรษฐกิจไทยหดตวั ในปี ร้อยละ . แตอ่ ย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยเริมฟื นตวั ในไตรมาสทีสีของปี และสํานักงานคณะกรรมการพฒั นาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (22 กุมภาพนั ธ์ 2553)ประมาณการว่า เศรษฐกิจไทยในปี จะมีการเตบิ โตร้อยละ . ถึง . และในช่วงเดียวกนั เศรษฐกิจไทยมีอตั ราเงินเฟ้ อทีคอ่ นข้างตาํภาพที อัตราการเตบิ โตของจีดีพแี ละอัตราเงนิ เฟ้ อทวั ไป1510 อตั ราเงนิ เฟ้ อ -0.9 5 0 -5 2538 2539 2540 2541 2542 2543 2544 2545 2546 2547 2548 2549 2550 2551 2552-10 อตั ราการเตบิ โตของ-15 จดี พี ี -2.3อตั ราการเตบิ โตของจดี พี ี อตั ราเงนิ เฟ้ อทวั ไป รัฐบาลไทยและรัฐบาลตา่ ง ๆ ทวั โลกได้ใช้นโยบายการคลงั เพือกระต้นุ เศรษฐกิจให้ฟื นตวั จากภาวะถดถอย (Recession) อันเนืองจากวิกฤตการณ์เศรษฐกิจโลกปี - นโยบายกระต้นุ เศรษฐกิจดงั กลา่ ว เป็นนโยบายงบประมาณขาดดลุ ทีก่อหนีสาธารณะเพิมขนึ เป็ นจํานวนมาก และในปี 2553 มีบาง1 รองศาสตราจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์2 อาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์
ประเทศ เช่น ประเทศกรีซ ได้ประสบปัญหาวิกฤตการณ์หนีสาธารณะ นอกจากนีในด้านรายจ่ายของรัฐบาลไทย รายจ่ายส่วนใหญ่ของรัฐบาลไทยเป็ นรายจ่ายประจํา ทําให้รัฐบาลมีสดั ส่วนรายจ่ายด้านการลงทนุ คอ่ นข้างน้อย ซงึ เป็นผลเสียตอ่ ศกั ยภาพของการเตบิ โตของเศรษฐกิจไทยในระยะยาว ขณะเดียวกนั ประเทศไทยกําลงั ประสบปัญหาความไม่สงบทางการเมือง ซึงส่วนหนึงเป็ นผลมาจากปัญหาเศรษฐกิจ และรัฐบาลไทยได้ประกาศจะจดั สวสั ดิการให้ประชาชนทกุ หม่เู หลา่ อย่างทวั ถึงเพือสร้ างความเป็ นธรรมทางเศรษฐกิจ ฉะนนั บทความนีจะเน้นทีจะวิเคราะห์ ปัญหาหนีสาธารณะ ปัญหาการลงทนุ ของภาครัฐ และการสร้ างความเป็ นธรรมทางเศรษฐกิจด้วยระบบรัฐสวสั ดิการ (เพือการสร้ างเศรษฐกิจไทยทีเป็ นธรรมและเตบิ โตอยา่ งยงั ยืน) 2. ภาพรวมเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย วิกฤตการณ์ซบั ไพร์มในปี 0 ซงึ มีจดุ เริมต้นมาจากปัญหาในภาคสถาบนั การเงินของประเทศสหรัฐอเมริกาและถือว่ามีความรุนแรงมากทีสุดในรอบ ปี ได้ส่งผลต่อกระทบกับทุกภาคของระบบเศรษฐกิจจนทําให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทวั โลก หากพิจารณาเศรษฐกิจของประเทศสําคญั ๆ อนั ได้แก่สหรัฐอเมริกา กลุ่มประเทศสหภาพยุโรป สหราชอาณาจกั ร และญีป่ นุ พบว่าในปี 2551 เศรษฐกิจของประเทศตา่ งๆเริมได้รับผลกระทบดงั กลา่ ว โดยเฉพาะในไตรมาสที สาม ของปี เศรษฐกิจของประเทศตา่ งๆทวั โลกหดตวั อยา่ งรุนแรงในทิศทางเดียวกนั ดงั แสดงในรูปที 2 ขณะเดียวกัน เศรษฐกิจของประเทศในภูมิภาคเอเซียไม่ว่าจะเป็ นประเทศจีน ญีป่ ุน สิงคโปร์รวมทงั ประเทศไทยก็ได้รับผลกระทบจากวิกฤตดงั กล่าวเช่นกันโดยผ่านทางด้านการส่งออกเป็ นสําคญัเนืองจากประเทศในเอเซียส่วนใหญ่พึงการส่งออกไปยงั ประเทศสหรัฐอเมริกาและกล่มุ ประเทศสหภาพยุโรป ซึงผลพวงจากวิกฤตครังนีทําให้กําลังซือทวั โลกลดลง ดงั จะเห็นได้จากปริมาณการส่งออกลดลงรวมทงั อตั ราการเติบโตของการส่งออกเป็ นลบ ส่งผลให้เศรษฐกิจของหลายประเทศหดตวั ลง และบางประเทศมีการเตบิ โตเศรษฐกิจทีชะลอตวั ลง ภาพที 2 อัตราการเตบิ โตของจีดีพีของสหภาพยโุ รป อังกฤษ ญีป่ ุน และสหรัฐอเมริกา
GDP% YoY EU UK Japan US (RHS)482400-2 -4-4 -82002 2003 2004 2005 2006 2007 2008 2009Source: Bloomberg ภาพที 3 อัตราการเตบิ โตของการส่งออกประเทศในเอเชีย40 ที ม า :30 Bloomb20 erge10 Japan ดั 0 China ง นั น 1999 2000 2001 2002 2003 2004 2005 2006 2007 2008 2009F 2010F Singapore รั ฐ บ า Malaysia ลของ-10 Thailand ทุ ก-20 ประเ-30 ท ศ ไ ด้ ออก มาตร
การการคลงั และการเงินเพือบรรเทาความเสียหายดงั กล่าว โดยการอดั ฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจประกอบกบั การปรับลดอตั ราดอกเบยี นโยบายลงอยา่ งตอ่ เนือง สง่ ผลให้ภาวะเศรษฐกิจเริมมีสญั ญาณของการฟื นตวั ตงั แตช่ ว่ งครึงหลงั ของปี เป็นต้นมา สําหรับเศรษฐกิจไทยมีอัตราการขยายตัวทีติดลบหรือหดตัวอีกครังในปี เนืองจากเศรษฐกิจไทยได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกทีเกิดขนึ ในชว่ งปลายปี โดยอตั ราการขยายตวัทางเศรษฐกิจของไทย (GDP) เริมหดตวั ตงั แตไ่ ตรมาสทีสีของ ปี ทีร้อยละ 4.2 เมือเทียบกบั ระยะเดียวกนั ปี ก่อน และหดตวั ตอ่ เนืองมายงั ปี 2552 โดย GDP ในไตรมาสแรกของ ปี 2552 หดตวั ร้อยละ 7.1ส่วน GDP ในไตรมาสทีสองของปี 2552 ยงั คงหดตวั ตอ่ ไปอีกร้อยละ 4.9 แตเ่ ริมขยายตวั เมือเทียบกบั ไตรมาสกอ่ นหน้า แสดงให้เห็นสญั ญาณการทรงตวั ของเศรษฐกิจไทย และ “ระดบั ” ตําสดุ ของเศรษฐกิจในไตรมาสทีหนงึ หลงั จากนนั ในไตรมาสทีสีของปี 2552 เศรษฐกิจไทยเริมขยายตวั โดยมีอตั ราการขยายตวั ร้อยละ5.8 เป็ นผลจากเศรษฐกิจโลกเริมปรับตัวดีขึนทําให้ อุปสงค์เพิมขึน ดังจะเห็นได้จากคําสังซือจากตา่ งประเทศเพิมขึน ส่งผลให้ปริมาณการสง่ ออกทีหดตวั มาตลอด เดือนเริมขยายตวั ขนึ เป็ นครังแรกในเดือนพฤศจกิ ายน ภาพที 4 อัตราการเตบิ โตของจีดีพีของประเทศไทยรายไตรมาส ภาพที 5 คาํ สังซือ Gross Domestic Product (1988 Prices) ทงั ใน8 4.4 4.4 5.1 5.7 6.0 5.3 3.9 5.8 และ6 ต่างประเ ทศของ4 ไทย20-2-4 -2.7-6 -4.2 -4.9-8 -7.1 Q1 Q3 Q1 Q3 Q1 Q3 Q1 Q3 Q1 Q3 Q1 2004 2005 2006 2007 2008 2009 Source : NESDB
Order Book at Current Month706050403020 Domestic Market Foreign Market100 Jan-09 Apr Jul Oct Jan-10 Apr Source : BOT อย่างไรก็ตาม การฟื นตวั ของเศรษฐกิจโลกมีลกั ษณะค่อยเป็ นค่อยไปและมีลักษณะเปราะบางเนืองจาก ประการแรก ฐานะการคลงั ของประเทศอตุ สาหกรรมมีความออ่ นแอจากการใช้จ่ายของภาครัฐ ซึงอาจจะทําให้เกิดปัญหาวิกฤติหนีสาธารณะ ดงั จะเห็นได้จากปัญหาหนีสาธารณะของกล่มุ สหภาพยุโรปโดยเฉพาะกรณีกรีซ ไอร์แลนด์ โปรตเุ กส และสเปน ประการทีสอง ความผนั ผวนของอตั ราแลกเปลียนอนั จากความผนั ผวนของการเคลือนย้ายเงินทนุระยะสนั เพือแสวงหาผลตอบแทนทีสงู กวา่ ประการทีสาม การฟื นตวั ทีเกิดขึนมาจากการเพิมขึนของอุปสงค์ในตลาดเกิดใหม่และประเทศกําลงั พฒั นาซงึ ยงั คงต้องพึงพิงการขยายตวั ทางเศรษฐกิจของประเทศอตุ สาหกรรมซึงเป็ นตลาดสง่ ออกทีสําคญั ประการทีสี การทยอยเลิกมาตรการกระต้นุ เศรษฐกิจทางด้านการคลงั และการดําเนินนโยบายการเงินเข้มงวดขึนในประเทศทีเริมมีการฟื นตัวทางเศรษฐกิจจะเป็ นปัจจัยเสียงต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลกในระยะปานกลางและระยะยาว3. นโยบายในปัจจุบัน
สําหรับประเทศไทย เพือบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกทีมีต่อเศรษฐกิจไทยรวมทงักระต้นุ เศรษฐกิจภายในประเทศ ทําให้รัฐบาลต้องใช้นโยบายการคลงั แบบขยายตวั (Expansionary fiscalpolicy) ในการอดั ฉีดเม็ดเงินเข้าสรู่ ะบบเศรษฐกิจในระยะแรกภายใต้แผนการกระต้นุ เศรษฐกิจระยะทีหนงึ(Stimulus Package 1 หรือ SP1) ซึงมาตรการระยะแรกทีม่งุ เน้นฟื นฟูเศรษฐกิจในระยะสนั โดยสว่ นใหญ่เป็ นการโอนเงินเพือเพิมรายได้และลดรายจ่ายให้ประชาชน ประกอบด้วย18 โครงการทีอย่ใู นมาตรการกระต้นุ เศรษฐกิจรวมเป็ นเงินกว่า 280,000 ล้านบาท จําแนกเป็ น งบประมาณรายจ่ายเพิมเติมประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2552 เป็นจํานวน 117,000 ล้านบาท การประกนั ราคาพืชผลจํานวน 124,000 ล้านบาทและมาตรการปรับลดภาษีจํานวน 40,000 ล้านบาท โครงการตา่ งๆ ในมาตรการกระต้นุ เศรษฐกิจในระยะแรกเน้นการบริโภคภายในประเทศ การใช้จา่ ยและการลงทนุ ภาครัฐ การลงทนุ ภาคเอกชน รวมทงั ภาคการสง่ ออกและทอ่ งเทียว ดงั นี (ดตู ารางที ) • โครงการเพือกระต้นุ การบริโภคภายในประเทศ ทีเน้นกระต้นุ การจบั จา่ ยใช้สอยและลดคา่ ครอง ชีพของประชาชนทีได้รับผลกระทบจากวกิ ฤติเศรษฐกิจ โดยเฉพาะผ้มู ีรายได้น้อยและผ้สู งู อายุ เชน่ โครงการเช็คช่วยชาติ โครงการประกนั ราคาพืชผล โครงการเบียกตญั ู โครงการสง่ เสริม อสม. โครงการ 5 มาตรการ 6 เดอื นลดคา่ ครองชีพ และโครงการธงฟ้ าชว่ ยประชาชน • โครงการด้านการใช้จ่ายและการลงทนุ ภาครัฐ เพือกระต้นุ เศรษฐกิจให้เกิดการจ้างงานและ รายได้ รวมทงั พฒั นาศกั ยภาพทางเศรษฐกิจในระดบั ฐานราก และยกระดบั คณุ ภาพชีวิต โดยเฉพาะในเขตพืนทีชนบท อาทิ โครงการเรียนฟรี 15 ปี โครงการต้นกล้าอาชีพ โครงการ ชมุ ชนพอเพียง โครงการพฒั นาแหล่งนําขนาดเล็กเพือการเกษตร โครงการถนนปลอดฝ่ ุน โครงการปรับปรุงสถานีอนามยั และทีพกั อาศยั ตํารวจชนั ประทวนทวั ประเทศ • โครงการด้านการลงทนุ ภาคเอกชน เน้นให้ความช่วยเหลือและส่งเสริมภาคเอกชนเพือลดการ ปลดพนกั งาน รวมทงั กระต้นุ ให้เกิดการลงทุนใช้จ่ายเพือสร้างงานในระบบเศรษฐกิจ อาทิ โครงการเพมิ คา่ ลดหยอ่ นภาษีเงินได้จากการซืออสงั หาริมทรัพย์ โครงการคําประกนั สินเชือของ บยส. เพือช่วยเหลือผ้ปู ระกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) โครงการ ส่งเสริม SMEs โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอาหาร และมาตรการลดภาษีให้แก่ SMEs และ วสิ าหกิจชมุ ชน รวมทงั การงดเก็บภาษีจากการปรับโครงสร้างหนีภาคเอกชน • โครงการเพือบรรเทาผลกระทบจากภาวะหดตวั ของภาคสง่ ออกและการท่องเทียว เพือกระต้นุ การท่องเทียวและลดความเสียงในการประกอบธุรกิจของผ้สู ่งออก อาทิ โครงการรับประกนั
ความเสียงให้แก่ผ้สู ่งออก โดยการขยายการรับประกนั การส่งออกให้ผ้ปู ระกอบการในวงเงิน150,000 ล้านบาท เป็ นเวลา 3 ปี โครงการฟื นฟคู วามเชือมนั ประเทศไทย โดยการจดั กิจกรรมเผยแพร่ ภาพลักษณ์ เพือชักชวนนักท่องเทียวและนักลงทุนให้ เดินทางมายังประเทศไทยโครงการสนบั สนุนการท่องเทียว โดยการพฒั นาโครงสร้างพืนฐาน ปรับภูมิทศั น์และระบบรักษาความปลอดภยั ในแหล่งทอ่ งเทียวสําคญั ๆ รวมถึงการยกเว้นคา่ ธรรมเนียมวีซ่า 3 เดือนตลอดจนลดคา่ ธรรมเนียม Landing Fee ยกเว้นคา่ เข้าชมอทุ ยานฯ และกระต้นุ การท่องเทียวภายในประเทศ โดยคา่ ใช้จา่ ยจากการอบรมสมั มนาสามารถหกั ภาษีได้ 2 เทา่ เป็นต้นตารางที โครงการในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกจิ ในระยะแรก โครงการเพอื กระต้นุ การบริโภค โครงการด้านการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ ภายในประเทศ เรียนฟรี 15 ปีเช็คชว่ ยชาติ ต้นกล้าอาชีพ5 มาตรการ 6 เดอื นลดคา่ ครองชีพ ชมุ ชนพอเพียงธงฟ้ าชว่ ยประชาชน พฒั นาแหลง่ นําเพือการเกษตรสง่ เสริม อสม. ถนนปลอดฝ่ นุเบยี กตญั ู ทีพกั อาศยั ตํารวจชนั ประทวนประกนั ราคาพืชผล ปรับปรุงสถานีอนามยั โครงการส่งเสริมการลงทุนภาคเอกชน โครงการเพอื ช่วยเหลือภาคการส่งออกและ ท่องเทียวสนบั สนนุ การพฒั นา SMEsลดหย่อนภาษีเงินได้การซืออสงั หาริมทรัพย์ รับประกนั ความเสียงให้ผ้สู ง่ ออกคาํ ประกนั สนิ เชือ SMEs ฟื นฟคู วามเชือมนั ประเทศไทยลดภาษีให้ SMEs และวิสาหกิจชมุ ชน สนบั สนนุ การท่องเทียวงดเก็บภาษีจากการปรับโครงสร้ างหนี ยกเว้นคา่ ธรรมเนียมคา่ วีซ่าและ Landing fee คา่ ใช้จา่ ยอบรมสมั นาหกั ภาษี ได้ 2 เทา่
อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นปี แม้ว่าจะมีการใช้จา่ ยทางการคลงั อย่างมาก แต่ภาวะเศรษฐกิจไทยยังคงมีแนวโน้มหดตวั อย่างต่อเนือง เนืองจากเศรษฐกิจของประเทศมหาอํานาจทงั สหรัฐอเมริกาสหภาพยโุ รป และญีป่ นุ ยงั คงหดตวั ตดิ ตอ่ กนั หลายไตรมาส ทําให้รัฐบาลไทยต้องเพิมบทบาทของนโยบายการคลงั ในการเข้ามากระต้นุ เศรษฐกิจอีกระลอก โดยให้ความสําคญั ในการเร่งรัดการลงทนุ และการใช้จา่ ยของภาครัฐบาลซงึ เป็ นปัจจยั สําคญั ในการสนบั สนนุ การฟื นตวั ของเศรษฐกิจในภาวะทีการลงทนุ และการบริโภคของภาคเอกชนในประเทศหดตวั ดงั นนั รัฐบาลได้ดําเนินโครงการใหม่ภายใต้ชือ “มาตรการไทยเข้มแข็ง - ” หรือ แผนการกระต้นุ เศรษฐกิจระยะทีสอง” (Stimulus Package 2 หรือ SP2) โดยมีวงเงินรวมประมาณ . ล้านล้านบาท แบง่ เป็ นโครงการทีรัฐบาลรับภาระการลงทนุ วงเงินลงทนุ รวม .ล้านล้านบาท และโครงการทีรัฐวิสาหกิจรับภาระการลงทนุ เอง วงเงินประมาณ แสนล้านบาท โดยเน้นโครงการลงทนุ ทีมีความจําเป็นและสําคญั เพือเป็นแรงผลกั ดนั ในการกระต้นุ เศรษฐกิจ รวมทงั ก่อให้เกิดการสร้างงานและรายได้ให้กบั ประชาชน วตั ถปุ ระสงค์ของแผนการกระต้นุ เศรษฐกิจ SP2 ได้แก่ 1. สร้ างความมันคงด้านอาหาร และพลงั งาน รวมทงั การอนุรักษ์ระบบนิเวศและสิงแวดล้อมประกอบกบั การเพมิ ประสิทธิภาพการผลติ ในภาคเกษตรกรรมและอตุ สาหกรรม 2. ปรับปรุงบริการสาธารณะขนั พืนฐานด้านเศรษฐกิจ สงั คม สิงแวดล้อม ทีทนั สมยั และจําเป็ นตอ่การเพิมความสามารถในการแขง่ ขนั และยกระดบั คณุ ภาพชีวิตของประชาชน 3. เร่งรัดและสร้างศกั ยภาพในการหารายได้จากการทอ่ งเทียว 4. สร้างฐานรายได้ใหมข่ องประเทศจากเศรษฐกิจความคดิ สร้างสรรค์หรือเศรษฐกิจเชงิ สร้างสรรค์ 5. ยกระดบั คณุ ภาพการศกึ ษาและการเรียนรู้ทงั ระบบให้ทนั สมยั 6. ปฏิรูปคณุ ภาพระบบสาธารณสขุ ทีมีมาตรฐานสงู สําหรับคนไทย 7. สร้างอาชีพและรายได้เพือยกระดบั คณุ ภาพชีวติ ของประชาชนในระดบั ชมุ ชน แผนการลงทุนของโครงการ SP2 ประกอบด้วย 13 สาขา ซึงได้ผ่านการกลันกรองจากคณะกรรมการกลนั กรองโครงการภายใต้แผนฟื นฟูเศรษฐกิจระยะที 2 โดยมีปลดั กระทรวงการคลงั เป็ นประธาน ซึงคณะกรรมการได้คดั เลือกโครงการทีมีศกั ยภาพเพียงพอและเหมาะสม พร้อมทีจะสามารถดาํ เนนิ การได้ในชว่ งปลายปี 2552 - 2555 ดงั นีตารางที 2 รายจ่ายแผนการลงทุนของโครงการ SP2 จาํ แนกตามสาขา สาขา สัดส่วน (%)1.การขนสง่ และโลจีสตกิ 39.92.การบริหารจดั การนําเพือการเกษตร 16.7
3.พลงั งานและพลงั งานทดแทน 14.44.โครงการพืนฐานพฒั นาบคุ คลด้านการศกึ ษา 9.65.โครงการพืนฐานพฒั นาบคุ ลากรด้านสาธารณสขุ 6.96.การลงทนุ ในระดบั ชมุ ชน 6.47.การสือสาร 1.78.เศรษฐกิจเชิงสร้ างสรรค์ 1.29.โครงการพืนฐานด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 0.810.โครงการพืนฐานด้านทอ่ งเทียว 0.711.โครงการพืนฐานเพือสวสั ดภิ าพของประชาชน 0.612.การพฒั นาการทอ่ งเทียว 0.613.โครงการพืนฐานด้านทรัพยากรธรรมชาตแิ ละสิงแวดล้อม 0.3ทมี า:สํานกั งานเศรษฐกิจการคลงั กระทรวงการคลงั สาขาการขนส่งและโลจิสติกส์มีจํานวนเม็ดเงินทีใช้ลงทนุ มากทีสดุ โดยมีสดั ส่วนถึงร้อยละ 39.9ของวงเงินลงทุนทงั หมด โครงการทีสําคญั ประกอบไปด้วย ระบบรถไฟฟ้ า : สายสีแดง ม่วง เขียว นําเงินชมพู นําตาล ระบบราง : จัดหาโบกี+หัวรถจักรดีเซล ปรับปรุงทางระยะที 5-6 (แก่งคอย-บวั ใหญ่-หนองคาย) รถไฟทางคู่ (ฉะเชิงเทรา-คลองสิบเก้า-แก่งคอย) ทางพิเศษ (บางปะอิน-สระบรุ ี-โคราช) ถนนไร้ฝ่ นุ (ทางหลวงชนบท) ปรับปรุงท่าอากาศยาน 4 แห่ง ฯลฯ โดยมีหน่วยงานทีรับผิดชอบคือกระทรวงคมนาคม รองลงมา คือ สาขาการบริหารจดั การนําเพือการเกษตร มีสดั ส่วนร้อยละ 16.7 ของวงเงินลงทนุทงั หมด โดยโครงการทีสําคญั คือ บํารุงฟื นฟูระบบชลประทานเดิม ก่อสร้างฝาย อ่างเก็บนําเพือบรรเทาอทุ กภัย ปรับปรุงและกระจายพนั ธ์ุพืช พฒั นาลุ่มนําชีตอนบน โดยหน่วยงานทีรับผิดชอบคือ กระทรวงเกษตรฯ กระทรวงทรัพยากรฯ กระทรวงมหาดไทย ส่วนสาขาอนั ดบั 3 คือ สาขาพลงั งานและพลงั งานทดแทนมีสดั สว่ นร้อยละ 16.7 ของวงเงินลงทนุ ทงั หมด ทําให้รวมแล้วใน 3 สาขาดงั กล่าวมีสดั ส่วนรวมถึงร้อยละ 71.0 ของวงเงินลงทนุ ทงั หมด. ฐานะทางการคลัง หากพจิ ารณาถึงแหลง่ รายได้ของประเทศทีนํามาใช้ในการกระต้นุ เศรษฐกิจ พบวา่ การจดั เก็บภาษีของไทยในปี งบประมาณ ตํากว่าประมาณการ โดยรัฐบาลมีรายได้จดั เก็บรวม ,684.3 พนั ล้านบาทลดลงจากระยะเดียวกันปี ก่อนร้ อยละ 8.3 ซึงเมือหักการถอนคืนภาษีจะทําให้รัฐบาลมีรายได้สุทธิรวม ,410.9 พนั ล้านบาท ลดลงจากระยะเดียวกนั ปี ก่อนร้อยละ 8.7 และตํากว่าประมาณการ 193.8 พนั ล้านบาท โดยเป็ นการลดลงทงั รายได้ภาษีและรายได้ทีมิใช่ภาษีตามภาวะผลการดําเนินงานของธุรกิจ และ
เป็ นผลจากมาตรการลดหย่อนภาษีต่างๆ อาทิ การเพิมการยกเว้นภาษีสําหรับเงินได้เป็ น 150,000 บาทแรก การเพิมคา่ ลดหย่อนประกันชีวิตและเงินลงทุนใน LTF และ RMF การลดอตั ราภาษีธุรกิจเฉพาะสําหรับอสงั หาริมทรัพย์ โดยภาษีทีลดลงทีสําคญั ได้แก่ ภาษีมลู คา่ เพิมลดลงร้อยละ 14.2 ตามการบริโภคและการนําเข้าทีลดลงตามภาวะเศรษฐกิจทีชะลอตวั และภาษีเงินได้นิตบิ คุ คล นอกจากนี รัฐบาลได้จดั ทํางบประมาณรายจ่ายเพิมเติมประจําปี งบประมาณ พ.ศ. วงเงิน116, ล้านบาท เพือบรรเทาปัญหาเศรษฐกิจโลกชะลอตวั และเพือกระต้นุ เศรษฐกิจภายในประเทศ ทําให้รัฐบาลดําเนินนโยบายการคลังแบบขาดดลุ ต่อเนืองในขนาดทีมากขึนจากปี งบประมาณ เพือกระต้นุ กําลงั ซือภาคเอกชนและชดเชยการสง่ ออกทีหดตวั รุนแรงจากวิกฤตเศรษฐกิจโลก โดยขาดดลุ ร้อยละ . ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) นอกจากนี คณะรัฐมนตรีมีมติเมือวนั ที เมษายนเห็นชอบแผนฟื นฟูระยะที กรอบวงเงิน . ล้านล้านบาท โดยรัฐบาลได้ตราพระราชกําหนดให้อํานาจกระทรวงการคลงั ก้เู งินเพือฟื นฟแู ละเสริมสร้างความมนั คงทางเศรษฐกิจ พ.ศ. ให้กระทรวงการคลงั กู้เงินบาทวงเงินไมเ่ กิน ,0 ล้านบาท สง่ ผลให้สดั ส่วนหนีสาธารณะตอ่ GDP เพิมขนึ จากร้อยละ .ณ วนั ที ธันวาคม เป็ น . ณ สินวนั ที ตลุ าคม และมีแนวโน้มเพิมขึนเป็ นร้ อยละ . ณ สนิ วนั ที กนั ยายน 5 การดําเนินงบประมาณแบบขาดดลุ ส่งผลให้หนีสาธารณะ ณ สินปี งบประมาณ มีจํานวน ,002 พนั ล้านบาท ซงึ คดิ เป็ นร้อยละ . ของ GDP เพิมขึนมากจากร้อยละ . ของ GDP ณ สินปี งบประมาณก่อน โดยเป็ นหนีทีรัฐบาลกู้โดยตรง , . พันล้านบาท (ร้ อยละ . ของ GDP) หนีรัฐวสิ าหกิจทีไมเ่ ป็นสถาบนั การเงินทงั ทีรัฐบาลคาํ ประกนั และไมค่ ําประกนั . พนั ล้านบาท (ร้อยละ .ของ GDP) และ . พันล้านบาท (ร้ อยละ . ของ GDP) ตามลําดบั หนีรัฐวิสาหกิจทีเป็ นสถาบันการเงินทีรัฐบาลคําประกนั . พนั ล้านบาท (ร้อยละ . ของ GDP) และหนีของกองทนุ เพือการฟื นฟูและพฒั นาระบบสถาบนั การเงิน (FIDF) . พนั ล้านบาท (ร้อยละ . ของGDP) ทงั นี สาเหตหุ นึงทีทําให้ระดบั หนีสาธารณะเพิมขนึ สว่ นหนงึ เป็ นผลจากการดําเนินนโยบายกระต้นุ เศรษฐกิจ ทงั นโยบายการคลงัแบบขาดดลุ และกิจกรรมกึงการคลงั อาทิ การจดั ทํางบประมาณเพิมเติม มาตรการ เดือนเพือลดคา่ครองชีพของประชาชน การประกนั ราคาพืชผลทางการเกษตร อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมฐานะการคลังของรัฐบาลในปี งบประมาณ ยงั อยู่ในระดบั ทีมีเสถียรภาพและอย่ภู ายใต้กรอบความยงั ยืนทางการคลงั ทงั ในส่วนหนีสาธารณะตอ่ GDP ซึงอยู่ทีร้อยละ . (ไม่เกินร้อยละ ตอ่ GDP) และภาระหนีต่องบประมาณทีอย่ทู ีร้อยละ . (ไม่เกินร้อยละ .ตอ่ งบประมาณรายจา่ ย)
ภาพที สัดส่วนหนีสาธารณะต่อ GDP ของประเทศไทย%GD80P สดั ส่วนหนีสาธารณะต่อ GDP7060 57 58 58 55 51 50 4750 44 50 หนีสาธารณะ 42 45 37 ตารางที 38 หนี 2553 P/40 33 (หน่วย : พนั ลา้ นบาท) พ.ย. สาธารณ 2,579.6 ะของ30 ปีงบประมาณ (29.6) ไทย20 2551 2552 P/ 63.8 2,515.8 สํา10 2540 2,162.1 2,586.5 1,106.1 ห รั บ 2541 (23.7) (29.2) (12.7) ปี งบประ01. หนีทีรฐั บาลก้โู ดยตรง2542 67.0 63.0 554.5 มาณ (% ต่อ GDP) 2543 2,095.1 2,523.5 179.2 2544 988.5 1,108.7 375.3 3ทมี า:11B..21OหหTนนตใีี น่าปงประรเะทเทศศ2545 (10.8) (12.5) 551.6 2546572.6 559.6 137.6 2. หนีของรฐั วิสาหกิจทีไมเ่ ป็นสถาบนั การเงิน 2547174.9175.5 414.1 (% ตอ่ GDP) 2548397.7384.0 201.4 2.1 หนที รี ฐั บาลคาํ ประกนั 2549415.9549.1 (2.3) หนตี ่างประเทศ 2550136.5137.4 8.5 หนใี นประเทศ 2551279.4411.7192.9 2.2 หนที รี ฐั บาลไมค่ าํ ประกนั 2552102.3208.782.7 หนตี ่างประเทศ 2553(1.1)(2.4)(1.0) หนใี นประเทศ 9.0 8.5 30.4 93.3 200.2 52.2 3. หนีของรฐั วิสาหกิจทีเป็นสถาบนั การเงิน 138.2 98.1 0.0 (1.5) (1.1) (0.0) (% ต่อ GDP) 73.8 73.8 0.0 3.1 หนตี ่างประเทศ 64.4 24.4 0.0 3.2 หนีในประเทศ 17.1 0.0 3,969.8 4. หนีสินของกองทนุ เพือการฟื นฟฯู (0.2) (0.0) (45.6) (% ต่อ GDP) 8.3 0.0 4.1 หนที รี ฐั บาลคาํ ประกนั 8.8 0.0 4.2 หนที รี ฐั บาลไมค่ าํ ประกนั 3,408.3 4,002.0 5. หนีองคก์ ารของรฐั อืน ๆ * (37.3) (45.2) (% ต่อ GDP) 5.1 หนที รี ฐั บาลคําประกนั 5.2 หนที รี ฐั บาลไมค่ าํ ประกนั รวม (1+2+3+4+5) (% ต่อ GDP)หมายเหตุ : * สาํ นกั งานบรหิ ารหนีสาธารณะ ไดจ้ ดั ประเภทหนีใหม่ ตงั แต่เดอื นกรกฎาคม 2549ทมี า: สาํ นกั งานบรหิ ารหนสี าธารณะ กระทรวงการคลงั
รัฐบาลยังคงดําเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลต่อเนือง เนืองจากการฟื นตวั ทางเศรษฐกิจค่อนข้างเปราะบางและยงั คงมีความเสียง โดยกําหนดวงเงินงบประมาณรายจ่ายประจําปี งบประมาณ ที ,700 พนั ล้านบาท รายได้สทุ ธิ , พนั ล้านบาท ขาดดลุ งบประมาณ พนั ล้านบาท หรือขาดดลุ ร้อยละ . ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ โดยในไตรมาสแรกของปี งบประมาณ 3 รัฐบาลมีรายได้จดั เก็บ . พนั ล้านบาท ขยายตวั จากระยะเดียวกนั ปี ก่อนร้อยละ . และสงู กว่าเป้ าหมายจดั เก็บถึง .9 พนั ล้านบาท โดยเป็ นรายได้ภาษีเพิมขึนร้อยละ . จากภาวะเศรษฐกิจทีเริมฟื นตวั และการเพิมอตั ราภาษีสรรพสามิตนํามนั สรุ าเบียร์และยาสบู สว่ นรายได้ทีมิใช่ภาษีเพิมขนึ ร้อยละ . เนืองจากการนําสง่ รายได้ของรัฐวิสาหกิจทีเพมิ ขนึ เมือวนั ที เมษายน ทีประชมุ ครม.เห็นชอบหลกั การจดั ทํากฎหมายภาษีทีดนิ และสิงปลกูสร้าง เป็ นกฎหมายภาษีทีรัฐบาลปรับปรุงจากกฎหมายภาษีเดมิ คือ ภาษีโรงเรือนและท้องที ซึงจะเป็ นเครืองมือให้เกิดความเป็ นธรรมในการกระจายการถือครองทีดนิ และพฒั นาทีดินทีรกร้างว่างเปล่า รวมทงัเป็ นแหล่งรายได้สําคญั ขององค์กรปกครองสว่ นท้องถิน โดยคณะกรรมการกฤษฎีกาจะรับไปเพือพิจารณาพร้อมจดั ประชาพิจารณ์ โดยจะยกเว้นทีดินเกษตรกรทีทํากินในทีดนิ ของตวั เอง สว่ นของทีอยอู่ าศยั ขนาดเล็ก และไมใ่ ชท่ ีอยอู่ าศยั ใหญ่ การจดั เก็บภาษีนีจะนําไปสตู่ งั กองทนุ ธนาคารทีดนิ เพือให้รัฐจดั สรรทีดนิ ให้ผู้ไมม่ ีทีดนิ ทํากิน เป็นความตงั ใจของรัฐบาลในการให้ความเป็ นธรรมแกส่ งั คม . นโยบายการเงนิ สําหรับด้านนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายอย่างตอ่ เนือง เพือพยุงและกระต้นุ เศรษฐกิจ โดยเมือวนั ที 3 ธันวาคม 2551 คณะกรรมการนโยบายการเงิน(กนง.) มีมติให้ปรับลดอตั ราดอกเบียนโยบายร้อยละ 1.0 ตอ่ ปี จากร้อยละ 3.75 เป็ นร้อยละ 2.75 ต่อปีและทยอยปรับลดอยา่ งตอ่ เนือง โดยการประชมุ คณะกรรมการฯ เมือวนั ที มกราคม มีมตใิ ห้ปรับลดอตั ราดอกเบียนโยบายร้อยละ 0.75 ต่อปี จากร้อยละ 2.75 เป็ นร้อยละ 2.0 ตอ่ ปี ตอ่ มาเมือวนั ทีกมุ ภาพนั ธ์ คณะกรรมการฯมีมติให้ปรับลดอตั ราดอกเบียนโยบายร้อยละ . ต่อปี จากร้อยละ .เป็ นร้ อยละ 1.5 ต่อปี และครังสุดท้ายเมือวันที เมษายน คณะกรรมการฯมีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบียนโยบายร้อยละ . ตอ่ ปี จากร้อยละ . เป็ นร้อยละ . ตอ่ ปี โดยใช้ระยะเวลาไมถ่ ึง 5 เดือนปรับลดอตั ราดอกเบียนโยบายไปทงั สินร้อยละ . จนเหลือร้อยละ 1.25 และคงอตั ราดอกเบียนโยบายไว้ในเวลาตอ่ มา ล่าสดุ เมือวนั ที 2 มิถนุ ายน 2553 คณะกรรมการนโยบายการเงินมีมติให้คงระดบั อตั ราดอกเบียนโยบายไว้ทีร้อยละ 1.25 ตอ่ ปี ดงั แสดงในรูปที 6 เนืองจาก แม้วา่ เศรษฐกิจไทยมีปัจจยั พืนฐานเข้มแข็งและสามารถสนบั สนนุ ให้เศรษฐกิจไทยขยายตวั ตอ่ ไปได้ในชว่ งครึงหลงั ของปี อย่างไรก็ดี ปัญหาเศรษฐกิจการเงินของยโุ รปและสถานการณ์การเมืองในประเทศยงั เป็ นปัจจยั เสียงตอ่ การขยายตวั ของเศรษฐกิจไทย
ภาพที 7 อัตราดอกเบียนโยบายของไทย % 8 7 6 5 1 Day R/P 4 3 2 2 Jun 2010 1 0 Jan-08 Mar-08 May-08 Jul-08 Sep-08 Nov-08 Jan-09 Mar-09 May-09 Jul-09 Sep-09 Nov-09 Source: Bank of Thailand (BOT) สําหรับด้านเสถียรภาพทางด้านราคา ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ดแู ลอตั ราเงินเฟ้ อให้อยใู่ นกรอบเป้ าหมายทีกําหนด (Inflation Targeting) โดยในช่วงปี ทีผ่านมา ระดบั ราคาสินค้าและบริการคอ่ นข้างทีจะมีเสถียรภาพและอยู่ในระดบั ตํา อย่างไรก็ตาม ประชาชนยังมีความกังวลถึงภาวะเงินเฟ้ อในอนาคตเนืองจากแนวโน้มการเร่งตวั ขนึ ของราคานํามนั และสินค้าโภคภณั ฑ์โลก รวมทงั เศรษฐกิจโลกทีมีสญั ญาณการปรับตวั ทีดขี นึ ดงั นนั ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงควรตดิ ตามอตั ราเงินเฟ้ อให้มีเสถียรภาพ รวมทงั ระวงัการเกิดภาวะฟองสบใู่ นตลาดสินทรัพย์ตา่ งๆ ในด้านการบริหารเงินสํารองระหว่างประเทศของไทย ปัจจบุ นั เงินสํารองระหว่างประเทศของไทยอย่ทู ีระดบั 150,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ ซึงถือว่าเป็ นระดบั ทีสงู ทีสดุ นบั ตงั แตก่ ่อตงั ธนาคารแห่งประเทศไทยขนึ โดยเพมิ ขนึ อยา่ งตอ่ เนืองจากระดบั ประมาณ 30,000 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ เมือคราวเกิดวิกฤตการณ์ต้มยําก้งุ ปี พ.ศ. 2540 เมือพิจารณาสดั สว่ นการลงทนุ ของเงินสํารองแยกตามรายสกลุ เงินตงั แตอ่ ดีตจนถึงปัจจบุ นั พบวา่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ยงั เป็นสกลุ เงินทีมีสดั สว่ นการถือครองมากทีสดุ ในโลก ถงึ แม้จะมีสดั ส่วนลดลงจากเดิมก็ตาม การถือครองสกลุ เงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในสดั ส่วนทีลดลงนนั เป็ นผลจากการทีคา่ เงินดอลลาร์สหรัฐทีอ่อนตวั ลงโดยตลอดในช่วงทศวรรษทีผ่านมา ทงั นี นยั สําคญั ของการลดการถือครองเงินดอลลาร์สหรัฐลง
สะท้อนถึงการเพิมขึนในสดั ส่วนของสกลุ เงินยโู ร ซึงเริมมีบทบาทสําคญั เพิมมากขนึ ทงั ในฐานะทีเป็ นสกุลเงินทีใช้ในการทําธุรกรรม และในฐานะของ Reserve Currency ถึงแม้ว่าบทบาทของเงินยโู รในฐานะเงินสกลุ หนึงในเงินสํารองระหว่างประเทศจะขยายตวั มากขนึแต่จากปัญหาวิกฤตหนีสินภาครัฐขนาดมหึมาของกล่มุ ประเทศ PIIGS ในกล่มุ สหภาพยุโรป อนั ได้แก่โปรตเุ กส อติ าลี ไอร์แลนด์ กรีซ และสเปน ทีมีแนวโน้มขยายตวั ออกไปในวงกว้าง และหากสหภาพยโุ รปไม่สามารถเข้าช่วยเหลือได้ทนั สถานการณ์ จะส่งผลต่อความเชือมนั ของนกั ลงทนุ ตอ่ ค่าเงินยูโร ซึงส่งผลให้ปัจจุบนั ค่าเงินยูโรได้อ่อนค่าลงจนถึงระดบั ตําทีสดุ นบั แตเ่ กิดวิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์เมือปลายปี 2551ดงั นนั ธนาคารแห่งประเทศไทยควรมีบริหารความเสียงในเรืองสัดส่วนการถือครองเงินยูโรในฐานะเงินสํารองระหวา่ งประเทศของไทย ภาพที 8 อัตราเงนิ เฟ้ อพืนฐานและอัตราเงนิ เฟ้ อทวั ไป10 508 406 304 202 1000-2 -10 -20 Headline CPI (3.4%) Core CPI (0.4%)-4-6 -30-8 -40 Jan 2006 Jul Jan 2007 Jul Jan 2008 Jul Jan 2009 Jul Jan 2010Source: Ministry of Commerce ภาพที 9 เงนิ สาํ รองระหว่างประเทศของไทยกับอัตราแลกเปลียน 160,000 ระดับเงนิ สาํ รองระหวา่ งประเทศ 50 ภาพที 140,000 120,000 เงินสาํ รองระห ว่างประเ ทศ 45 สัดส่วน 100,000 USD/THB 40 35 ของ 80,000$ million60,000 30 เงนิ ตรา USD/THB40,000 20,000 25 0 20 สกุลต่างๆ 15 ในเงิน 10 5 0 ม.ค. 2542 ม.ค. 2543 ม.ค. 2544 ม.ค. 2545 ม.ค. 2546 ม.ค. 2547 ม.ค. 2548 ม.ค. 2549 ม.ค. 2550 ม.ค. 2551 ม.ค. 2552 ม.ค. 2553 Sources: Bank of Thailand
สาํ รองของโลก 4. ข้อเสSนouอrcแesน: IะMเFพ–อื CคurวreาnมcyยCงั oยmืนpoทsiาtiงonเศofรOษffฐicกialจิ Foreign Exchange Reserve ในท่ามกลางปัจจยั เสียงทงั ภายในและนอกประเทศ รัฐบาลควรให้ความสําคญั ในการแก้ปัญหาทางเศรษฐกิจ เพือม่งุ บรรลุถึงเป้ าหมายทางเศรษฐกิจสําคญั อย่างน้อย 3 ประการ อนั ได้แก่ การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ (Economic Stabilization) ความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (EconomicGrowth) และ ความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจ เพือให้ประเทศได้รับประโยชน์สงู สดุประการแรก การรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ : หนีสาธารณะ ผลจากวิกฤตเศรษฐกิจโลกส่งผลให้ รัฐบาลใช้ งบประมาณขาดดุลในการกระต้ ุนเศรษฐกิจในประเทศส่งผลให้เกิดการก่อหนีสาธารณะขึน โดยวัตถุประสงค์หนึงของการก่อหนีสาธารณะเพือรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจภายในประเทศ โดยในยามทีมีภาวะเงินฝื ดเกิดขึนการกู้ยืมของรัฐบาลเพือนํามาใช้ในโครงการตา่ งๆจะเป็นการชว่ ยฟื นฟภู าวะเศรษฐกิจ เพราะเมือรัฐบาลก้ยู ืมแล้วนํามาใช้จ่ายจะทําให้ประชาชนมีรายได้เพิมขนึ ทําให้ระบบเศรษฐกิจฟื นตวั และกลบั สภู่ าวะปกติ อย่างไรก็ตาม การใช้งบประมาณขาดดลุ หรือการก่อหนีสาธารณะจะสง่ ผลให้ระดบั หนีสาธารณะของประเทศเพมิ ขนึ และหากการก่อหนีสาธารณะอยใู่ นระดบั สงู จะมีความเสียงตอ่ การฟื นตวั ทางเศรษฐกิจและอาจทําให้ประเทศประสบปัญหาวิกฤตหนีสาธารณะ (Sovereign Debt Crisis) ได้
ภาพที 1 จาํ นวนประเทศทปี ระสบวิกฤตหนีสาธารณะ (2524-2550) No. of Debt Crisis3298 4 012524 - 2528 2529 - 2533 2534 - 2538 2539 - 2543 2544 - 2548 2549 - 2550 ในช่วงปี - ประเทศทีประสบวิกฤตหนีสาธารณะมีจํานวน ประเทศ (รูปที , เป็ นข้อมลู IMF) เฉพาะในชว่ งปี 2524 ถงึ ประเทศทีประสบวกิ ฤตหนีสาธารณะอย่างรุนแรงมีจํานวน 32ประเทศ โดยเฉพาะในกล่มุ ประเทศละตินอเมริกา เช่น ในเดือนสิงหาคม 2525 รัฐบาลเม็กซิโกได้ประกาศวา่ ตนเองไม่สามารถชําระหนี ส่งผลให้เกิดวิกฤตคา่ เงินเม็กซิโกตามมา ทําให้เศรษฐกิจของเม็กซิโกหดตวัรายได้ประชาชาติลดลงและเงินเฟ้ อสูงเกิน เปอร์เซนต์ ซึงต้องใช้เวลาหลายสิบปี กว่าทีเศรษฐกิจจะกลบั เข้าส่ภู าวะปกติ นอกจากนีรัฐบาลประเทศตา่ งๆ อาทิ อาร์เจนตินา เวเนซุเอลา ปารากวยั เอกวาดอร์บราซิล ตา่ งก็ออกมาประกาศว่าตนเองไม่สามารถชําระหนีได้เช่นกัน สําหรับประเทศไทย แม้จะเผชิญกับวกิ ฤตการเงินมาหลายครัง แตร่ ัฐบาลไทยก็ไมเ่ คยผดิ นดั ชําระหนีเลยสกั ครัง วิกฤตเศรษฐกิจโลกปี ทําให้หลายประเทศใช้มาตรการการคลงั ในการกระต้นุ เศรษฐกิจเพือทดแทนการใช้จ่ายของภาคเอกชนทียังคงหดตัวอย่างมาก จนทําให้หนีสาธารณะของประเทศญีป่ ุนสหรัฐอเมริกา และอีกหลายประเทศเมือเทียบกบั จีดีพีอย่ใู นระดบั สงู เป็ นประวตั ิการณ์ และมีแนวโน้มสูงตอ่ เนืองอีกหลายปี รวมทงั ประเทศในกล่มุ สหภาพยุโรป3 โดยเฉพาะโปรตเุ กส ไอร์แลนด์ อิตาลี กรีซ และสเปน หรือกล่มุ ประเทศ PIIGS (Portugal Ireland Italy Greece และ Spain) ทีกําลงั เผชิญกบั ปัญหาวิกฤตหนีสาธารณะและการขาดดลุ งบประมาณ สะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดนั ตอ่ ปัญหาหนีสาธารณะของโลกทีเพิมสงู ขนึ3 สหภาพยโุ รปกําหนดเกณฑ์สาํ หรับประเทศทีเข้าร่วมใช้เงินสกลุ ยโู รวา่ ต้องมหี นสี าธารณะไมเ่ กินร้อยละ 0 ของจีดีพี
Japan ภาพที 12 หนีสาธารณะต่อGDP ของประเทศต่างๆ Singapore Debt/GDP (%) Italy Greece200 France180 Germany160 Portugal140 Canada120 United Kingdom100 Ireland80 60 India40 Spain20 Brazil Thailand0 United States Australiaทีมา: Moody’s China Russiaเป็นทีนา่ สงั เกตวา่ ถึงแม้วา่ ประเทศญีป่ นุ จะมีสดั ส่วนหนีสาธารณะร้อยละ ตอ่ GDP แตย่ งั ไม่มีปัญหาหนีสาธารณะ เนืองจากหนีสว่ นใหญ่ของภาครัฐเป็ นการก่อหนีภายในประเทศเป็ นหลกั ขณะทีหนีสาธารณะสว่ นใหญ่ของประเทศกรีซเป็นหนีนอกประเทศ กรณีประเทศไอร์แลนด์ ในปี ประเทศไม่มีปัญหาหนีสาธารณะและฐานะการคลงั โดยมีหนีสาธารณะเพียงร้อยละ 24.9 ของจีดีพี แตจ่ ากวิกฤตการเงินทําให้รัฐบาลมีมาตรการเข้าไปแก้ไขปัญหาสถาบนั การเงินและคําประกนั เงินฝากมลู คา่ มหาศาล จนทําให้หนีสาธารณะในปี 2552 เพิมขนึ สงู ถึงร้อยละ 63.7 ของจีดีพี และขาดดลุ งบประมาณถึงร้อยละ 14.7 ของจีดีพี นอกจากนีรัฐบาลของไอร์แลนด์ยงัต้องคําประกันเงินฝากของธนาคารพาณิชย์สญั ชาติไอร์แลนด์ทีมีปัญหาทงั ในและต่างประเทศทีมีมลู ค่ามหาศาล ซึงทําให้รัฐบาลประสบปัญหาภาระทางการเงินอย่างมากจนประชาคมเศรษฐกิจโลกขาดความเชือถือตอ่ ฐานะการคลงั ของประเทศ รัฐบาลไอร์แลนด์เร่งแก้ปัญหาทนั ทีโดยมีมาตรการปรับลดการขาดดลุ งบประมาณอย่างชดั เจนและมาตรการดงั กลา่ วเริมสง่ ผลโดยในปี งบประมาณ 2552 ขาดดลุ งบประมาณลดลงจากทีประมาณการไว้ที 25,300 ล้านยโู ร เหลือ 24,600 ล้านยโู ร ซึงทําให้เกิดผลกระทบในระยสนั โดยเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยอย่างรุนแรง อตั ราการวา่ งงานสงู ขนึ จากร้อยละ 5 ณ สินปี 2550 มาอยทู่ ีร้อยละ 12 ในปี 2552 ขณะทีอัตราค่าจ้างก็ลดลงตามสภาวะเศรษฐกิจ ผลกระทบจากทังปัญหาสถาบนั การเงินและการควบคุมงบประมาณ ทําให้เศรษฐกิจไอร์แลนด์หดตวั ร้อยละ 8.1 ใน สามไตรมาสแรกของปี 2552
สําหรับประเทศกรีซประสบปัญหาฐานะการคลงั ตงั แตก่ ่อนวิกฤติการเงินโลกในปี 2551 เนืองจากขาดวินยั การคลงั อยา่ งตอ่ เนืองแม้วา่ จะไมม่ ีปัญหาสถาบนั การเงินเหมือนไอร์แลนด์ โดยในปี 2550 กรีซมีหนีสาธารณะประมาณร้อยละ 89.5 ของ GDP และจากการทีรัฐบาลต้องใช้มาตรการกระต้นุ เศรษฐกิจและบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตทีเกิดขนึ ส่งผลให้หนีสาธารณะในปี 2552 เพิมขึนอีกเป็ นร้อยละ 113 ของGDP และในปี งบประมาณ 2553 รัฐบาลขาดดลุ งบประมาณร้อยละ 14 ของ GDP ในขณะทีมีรายได้จากภาษีคิดเป็ นเพียงร้อยละ 10 ของ GDP ซงึ ถือเป็ นความเสียงตอ่ ความสามารถในการชําระคืนหนี รวมทงัสง่ ผลกระทบตอ่ ต้นทนุ การระดมเงินทนุ ของอตั ราผลตอบแทนพนั ธบตั รระยะยาวทําให้ประชาคมเศรษฐกิจโลกขาดความเชือถือตอ่ ฐานะการคลงั ของกรีซเชน่ กนั รัฐบาลกรีซยงั ไมม่ ีแนวทางในการลดการขาดดลุ งบประมาณทีชดั เจนและเป็ นรูปธรรม และแม้ว่ารัฐบาลกรีซจะประกาศลดการขาดดลุ งบประมาณลงเหลือร้อยละ 8.7 ของ GDP ในปี 2553 และเหลือร้อยละ 3 ในปี 2555 ตามเกณฑ์ของกล่มุ ประเทศสหภาพยโุ รป แตอ่ ย่างไรก็ตามประชาคมโลกก็ยงั ไมใ่ ห้ความเชือถือต่อรัฐบาลกรีซเนืองจากต้องมีการเพิมของรายได้อย่างมากโดยรายได้ของรัฐบาลต้องสงู ถึงร้อยละ15 ในปี 2554 และต้องเพิมขนึ ถงึ ร้อยละ 19 ในปี 2555 จากปัญหาวิกฤตหนีสาธารณะของประเทศกรีซ ทําให้ประเทศสหภาพยุโรปได้ให้ความช่วยเหลือโดยมีมตเิ มือวนั ที 10 พฤษภาคม 2553 อนมุ ตั มิ าตรการฉกุ เฉินรวมมลู คา่ 5 แสนล้านยโู ร โดยมีจดุ ม่งุ หมายเพือยบั ยงั ไมใ่ ห้ปัญหาหนีของประเทศกรีซลกุ ลามไปยงั ประเทศอืนๆ ในสหภาพยโุ รป โดยมาตรการดงั กลา่ วแบง่ เป็ น มาตรการสินเชือและการรับประกนั สินเชือ รวมมลู คา่ 4.4 แสนล้านยโู ร และอีก 0.6 แสนล้านยโู รจากกองทุนรักษาเสถียรภาพของสหภาพยุโรปและมีความเป็ นไปได้ว่ากองทุนการเงินระหว่างประเทศ(International Monetary Fund: IMF) อาจสมทบเงินชว่ ยเหลืออีกมลู คา่ กวา่ 2.5 แสนล้านยโู ร อยา่ งไรก็ดี แม้ว่ามาตรการชว่ ยเหลือประเทศกรีซจะมีความชดั เจนขนึ แตก่ ็ไมไ่ ด้ทําให้ประชาคมโลกคลายความกงั วล ดงั จะเหน็ ได้จาก Credit Default Swap (CDS) ซงึ เป็นตวั ชีความเสียงของตราสารหนีรัฐบาลของกรีซ พงุ่ สงู ขนึ จากทีเคยอยรู่ าว 150 basis points (bps) เมือปลายปี 2552 มาอยทู่ ีระดบั สงูถึง 940 bps ในเดือนพฤษภาคม 2553 ซงึ CDS spread ในระดบั ดงั กลา่ วนบั ว่าสงู มาก โดยเกือบจะเทา่ กบั CDS spread ของเวเนซเุ อลา และอาร์เจนตินา ซึงอยทู่ ีราว 1000 bps แสดงถึงความเสียงทีรัฐบาลกรีซจะมีโอกาสผิดนดั ชําระหนีเพิมขนึ
ภาพที 13 Credit Default Swap ของกลุ่มประเทศสหภาพยโุ รป ทีมา: Bloombergeผลกระทบทีนา่ กลวั จากปัญหาหนีสินของประเทศกรีซ ได้แก่ 1) ปัญหาหนีลุกลามไปยงั ประเทศใกล้เคียงในสหภาพยโุ รป อนั ได้แก่ โปรตเุ กส (Portugal) อิตาลี (Italy) ไอร์แลนด์ (Ireland) สเปน (Spain) และอาจรวมถึงประเทศองั กฤษ (United Kingdom) 2) ความกงั วลของนกั ลงทนุ ตอ่ การลงทนุ ในสินทรัพย์เสียง ซึงสะท้อนออกมาจากการเทขาย ห้นุ ในตลาดหลกั ทรัพย์ 3) การล่มสลายของคา่ เงินยโู ร ซงึ เกิดจากการถอนตวั ของสมาชิกทีมีปัญหา ซงึ ประเทศกรีซ อาจจะเป็นรายแรกทีต้องเลิกใช้สกลุ เงินยโู ร หากต้องการลดคา่ เงินของตนเองลง นอกจากนี องค์กรการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และคณะกรรมาธิการสหภาพยโุ รป (EuropeanCommission) ประมาณการว่า ในปี 2557 หนีสาธารณะของประเทศกลมุ่ สหภาพยโุ รป สหรัฐ และญีป่ นุจะเพิมสงู ขึนเมือเทียบกบั ปี โดยเฉพาะในกล่มุ Advanced countries เช่น ญีป่ นุ สหรัฐ อิตาลีฝรังเศส จะมีการเพิมขนึ ของระดบั หนีทีสงู สําหรับหนีสาธารณะของประเทศกําลงั พฒั นาในภูมิภาคเอเชียอยใู่ นระดบั ตาํ เมือเทียบกบั ประเทศพฒั นาแล้ว คือ ประมาณร้อยละ 40 ของ GDP ยกเว้นประเทศอินเดียทีสงู ถงึ ร้อยละ 82 ของ GDP
จากตวั อย่างปัญหาวิกฤตหนีสาธารณะของประเทศดงั กล่าวน่าจะเป็ นบทเรียนและเป็ นเครืองเตอื นใจแก่ประเทศไทยวา่ การขาดวินยั ทางการคลงั จะกอ่ ให้เกิดปัญหาหนีภาครัฐและจะส่งผลอยา่ งรุนแรงต่อเศรษฐกิจไม่ช้าก็เร็ว และหากแก้ปัญหาได้เร็วเท่าไหร่ผลกระทบก็จะน้อยและเศรษฐกิจจะฟื นตวั เร็วเทา่ นนั ถงึ แม้วา่ ระดบั หนีสาธารณะของประเทศไทยอยทู่ ีประมาณร้อยละ 45.9 ของจีดีพี ซึงถือวา่ ยงั อยใู่ นกรอบความยงั ยืนทางการคลงั 4 และอย่ใู นระดบั ตําเมือเทียบกบั กล่มุ ประเทศพฒั นาแล้ว อยา่ งไรก็ดี การรักษาวินยั ทางการคลงั โดยให้ฐานะการคลงั อย่ใู นระดบั ทีเหมาะสมเป็ นเรืองท้าทายของรัฐบาล เนืองจากการดําเนินนโยบายการคลงั ในระยะตอ่ ไปจะมีข้อจํากดั มากขึน ซึงหากเศรษฐกิจฟื นตวั และภาคเอกชนมีบทบาทตอ่ การขยายตวั ทางเศรษฐกิจมากขึน ภาครัฐควรทยอยลดบทบาทลงเพือรักษาวินยั ทางการคลงัไม่ให้ภาระหนีเพิมขึนจนอาจกระทบต่อความมนั คงของฐานะการคลงั และความน่าเชือถือของประเทศดงั นนั นยั เชงิ นโยบายในระยะตอ่ ไปภาครัฐควรพิจารณาประเดน็ ดงั ตอ่ ไปนี ) การปรับลดรายจ่ายประจําและรายจ่ายผูกพันระยะยาว เนืองจากรายจ่ายประจําของประเทศมีจํานวนมากซงึ มีสดั สว่ นสงู ถึงประมาณร้อยละ 70 ถงึ 80 ของรายได้ภาครัฐ และมีแนวโน้มเพิมขนึทกุ ปี ดงั จะเห็นได้จาก การประมาณการฐานรายได้สทุ ธิปี 2554 จะสามารถจดั เก็บได้ถึง 1.65 ล้านล้านบาท แตเ่ ป็นงบรายจา่ ยประจําสงู ถึง 1.63 ล้านล้านบาท คดิ เป็นร้อยละ 98.79 ของฐานรายได้ ซงึ มีแนวโน้มสงู ขึนเมือเทียบกบั งบรายจา่ ยประจําปี 2550 ถึง 2551 ทีมีสดั ส่วนเฉลียร้อยละ 79 ของฐานรายได้ และรายจ่ายประจําปี งบประมาณ 2552 ทีมีสดั ส่วนประมาณร้อยละ 90 ของฐานรายได้ ซึงจะส่งผลทําให้รายได้สว่ นทีเหลือไมเ่ พียงพอตอ่ รายจา่ ยการลงทนุ และรายจา่ ยอืนๆ จากบทวิเคราะห์ของ National Bureau of Economic Research ประเทศทีประสบปัญหาหนีสาธารณะจะใช้มาตรการด้านรายได้ภาษีและด้านรายจ่ายภาครัฐในการแก้ปัญหาหนีสาธารณะ จากตารางที จะเห็นว่า ส่วนใหญ่ของประเทศเหล่านีจะเน้นใช้มาตรการปรับลดรายจ่ายของภาครัฐในการแก้ปัญหาหนีสาธารณะ ตารางที มาตรการการแก้ปัญหาหนีสาธารณะของประเทศต่างๆ4 กระทรวงการคลงั ได้กําหนดกรอบความยงั ยนื ทางการคลงั ประกอบด้วย ( ) ยอดหนสี าธารณะคงค้างตอ่ จีดีพี ไมเ่ กินร้อยละ 50 ( ) ภาระหนีต่องบประมาณไม่เกินร้ อยละ ( ) การจัดทํางบประมาณสมดุล และ ( ) สดั ส่วนงบลงทุนต่องบประมาณรายจา่ ยไมต่ ํากวา่ ร้อยละ
ประเทศ ชว่ งเวลา การเปลียนแปลงของรายได้ภาษี การเปลียนแปลงของรายจ่ายภาครัฐ (หนว่ ย: ร้อยละของจีดีพ)ี -3.7 การเปลยี นแปลงของดลุ การคลงัองั กฤษ 1931-1934 -0.1 -5.1 -9.2 3.6องั กฤษ 1975-1979 -2.2 -5.8 2.9 -6.7 4.3องั กฤษ 1982-1988 -4.9 -3.9 9.5 -14.3 2แคนาดา 1992-1999 3.7 -3.9 4.6 -7.8 10.6ฟิ นแลนด์ 1994-2000 5.3 1.4 14.8เยอรมนั 1996-2000 0.7ไอร์แลนด์ 1985-1996 -3.7เนเธอร์แลนด์ 1993-1997 -2.5สวีเดน 1993-2000 7ทมี า: The National Bureau of Economic Research ดงั นนั ภาครัฐควรลดรายจ่ายประจําทีไม่มีความจําเป็ นหรือเกินความจําเป็ น อาทิ รายจ่ายเงินบํานาญ รายจ่ายด้านคา่ รักษาพยาบาลโดยรายจ่ายด้านคา่ รักษาพยาบาลควรมีการกํากับตรวจสอบการเบกิ จา่ ยอยา่ งรอบคอบ ) การปฏิรูปโครงสร้างระบบภาษีและเพมิ ประสิทธิภาพการจัดเก็บ เพือรองรับรายจา่ ยทีมีแนวโน้มเพิมขึน ทงั จากโครงสร้างประชากรทีเปลียนไป ข้อกําหนดในรัฐธรรมนูญ และแรงกดดนั จากภาคการเมืองและสงั คม โดยต้องมีการขยายฐานภาษี โดยทวั ไป รายได้จากภาษีจะขนึ อยกู่ บั ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ หากเศรษฐกิจขยายตวั จะทําให้ภาครัฐสามารถเก็บภาษีได้เพิมขึน ขณะทีหากเศรษฐกิจซบเซาหรือหดตวั จะทําให้รายได้จากการเก็บภาษีลดลง ทําให้เกิดปัญหารายได้จากภาษีเพิมขนึ ไม่เพียงพอกบั รายจา่ ยทีเพิมขนึ อนั จะทําให้รัฐบาลก้หู นีมากขนึ ดงั นนั รัฐบาลควรมีการปฎิรูปการเก็บภาษีดงั นี • การขยายฐานภาษีภาษีเงินได้บคุ คลธรรมดา • การขยายฐานรายได้ของภาษีมลู คา่ เพมิ (VAT) • การขยายฐานภาษีทรัพย์สินทีดินซึงการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมือวันที เมษายน ได้มีมตเิ หน็ ชอบหลกั การร่างพระราชบญั ญตั ิ (พรบ.) ภาษีทีดนิ และสิงปลกู สร้าง ซงึ เป็นจดุ เริมต้นทีดีในการปฎิรูปโครงสร้างภาษีของไทย • การเก็บภาษีมรดก • การเก็บภาษีสงิ แวดล้อม ซงึ จดั เก็บจากกิจกรรมทีเป็นผลเสียตอ่ สงิ แวดล้อม55 โปรดดรู ายละเอียดการเก็บภาษีมรดกและภาษีสิงแวดล้อมใน ดิเรก ปัทมสิริวฒั น์ “ช่องว่างของนโยบายเศรษฐกิจไทยวเิ คราะห์มาตรการการคลงั ”
• การเพิมอตั ราภาษีทางอ้อมจากสินค้าและบริการทีเกิดผลเสียต่อสงั คม เช่น บหุ รี เบียร์ สรุ า เป็นต้นประการทสี อง การเจริญเตบิ โตทางเศรษฐกิจในระยะยาว : การลงทุนภาครัฐ วิกฤตเศรษฐกิจโลกสง่ ผลให้เศรษฐกิจไทยหดตวั เนืองจากการบริโภค การลงทนุ การท่องเทียวของไทยชะลอตวั ลงอยา่ งมาก ดงั นนั ทา่ มกลางการชะลอตวั ของอปุ สงค์ในประเทศของภาคเอกชนทงั ทางด้านการบริโภคและการลงทุน การลงทุนภาครัฐจึงถูกคาดหวังว่าจะเป็ นหวั รถจักรสําคญั ในการขับเคลือนเศรษฐกิจ การลงทนุ ของรัฐจะเป็ นปัจจยั สําคญั ในการเพิมความเชือมนั ของภาคเอกชนทงั ในระยะสนั และระยะปานกลางซึงจะส่งผลให้มีการขยายตวั ของการลงทุนโดยเฉพาะธุรกิจต่อเนืองตามมา อาทิ ก่อสร้างเหล็ก อสงั หาริมทรัพย์ เป็ นต้น และจะช่วยเพิมขีดความสามารถในการแข่งขนั ของประเทศในระยะยาวอย่างไรก็ตาม รัฐบาลต้องเผชิญปัญหาข้อจํากดั ด้านงบประมาณซึงมีผลอย่างมากตอ่ การกําหนดนโยบายโดยเฉพาะอยา่ งยงิ โครงการลงทนุ เพือกระต้นุ เศรษฐกิจ โดยทัวไป สดั ส่วนรายจ่ายด้านการลงทุนต่องบประมาณของไทยควรมีค่าไม่ตํากว่าร้ อยละ 25(ตามกรอบความยงั ยืนทางการคลงั ของกระทรวงการคลงั ) ซึงเป็ นระดบั ทีเหมาะสมตอ่ การเจริญเตบิ โตทางเศรษฐกิจอยา่ งยงั ยืน แตเ่ มือพิจารณางบประมาณรายจา่ ยประจําปี ของไทยในปี 2553 พบว่า รายจา่ ยด้านการลงทนุ มีสดั ส่วนเพียงร้อยละ . เทียบกับงบประมาณรายจา่ ยทงั หมด ซงึ เป็ นสดั ส่วนทีตํามากส่วนหนงึ เป็นผลมาจากการก่อหนีทีเพิมขนึ ซึงต้องมีการกนั เงินเพือชําระหนีสาธารณะสง่ ผลให้รายจ่ายด้านการลงทนุ ภาครัฐถกู เบียดเบียน ถึงแม้ว่ารัฐบาลจะเพิมงบลงทุนภาครัฐทงั ส่วนของภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ โดยภายใต้รายจ่ายปี งบประมาณ 2554 รัฐบาลตงั งบลงทนุ ทีร้อยละ 16.7 เพิมขนึ จากปี งบประมาณ 2553 ทําให้มีงบลงทนุ ในปี งบประมาณ 2554 เพิมขึนราว 1 แสนล้านบาท ซึงเมือรวมกับเงินก้ภู ายใต้แผนปฏิบตั กิ ารไทยเข้มแข็งนา่ จะสามารถขบั เคลือนเศรษฐกิจได้ แตอ่ ย่างไรก็ตาม เมือเทียบกบั สดั สว่ นเศรษฐกิจโดยรวมถือว่าไม่มากเพราะการลงทุนทีจะมีความยงั ยืนและสอดคล้องกับการฟื นตวั ของเศรษฐกิจโดยรวมจะต้องเป็ นบทบาทของการลงทนุ ภาคเอกชน ดงั นนั ในขณะทีการลงทนุ ภาคเอกชนยงั ชะลอตวั จงึ เป็ นหน้าทีของภาครัฐทีจะเข้ามาเพิมบทบาทในด้านนีให้มากขนึ โดยเพิมสดั ส่วนการลงทุนในงบประมาณเพือเพิมขีดความสามารถในการแข่งขนั ของประเทศในอนาคตเนืองจากปัจจบุ นั เม็ดเงินสําหรับการลงทนุ ในโครงสร้างพืนฐานยงั มีน้อย การลงทนุ ภาครัฐจะต้องเน้นโครงการทีสง่ ผลในเชิงบวกตอ่ โอกาสการพฒั นาเศรษฐกิจในระยะยาวเพือเพมิ ประสิทธิภาพของการผลติ เชน่ การลงทนุ ระบบชลประทาน การวจิ ยั และพฒั นาพนั ธุพืช และระบบ
ไอที เป็ นต้น และเพือลดต้นทนุ ด้านโลจิสติกส์ เช่น การลงทนุ ในโครงการระบบขนส่งทางนําและระบบรางการลงทนุ เหลา่ นีจะทําให้ประเทศไทยมีความสามารถในการแขง่ ขนั ทางเศรษฐกิจมากขนึ ในการลงทุนดงั กล่าว หน่วยงานของรัฐบาลควรมีการวิเคราะห์ความค้มุ ค่าทางเศรษฐกิจด้วยหลกั เกณฑ์ทีทําให้สามารถเปรียบเทียบความค้มุ คา่ ระหว่างโครงการของตา่ งหน่วยงานกนั (อาจจดั ทําคมู่ ือการวิเคราะห์ความค้มุ ค่าทางเศรษฐกิจทีใช้ร่วมกันได้หลายหน่วยงาน) ซึงจะทําให้สามารถจัดลําดับความสําคญั ของโครงการตา่ งๆของหนว่ ยงานของรัฐอยา่ งเป็นระบบมากขนึ ขณะเดยี วกนั รัฐบาลควรให้ความสําคญั ในการเพมิ ประสิทธิภาพการบริหารจดั การของภาครัฐ (ซงึรวมทงั รัฐวสิ าหกิจ)ประการสุดท้าย ความเป็ นธรรมทางเศรษฐกิจ : ระบบรัฐสวัสดกิ าร ในปัจจุบัน หลายประเทศโดยเฉพาะอย่างยิงประเทศพัฒนาแล้วได้ให้ความสําคัญในเรืองสวสั ดิการทางสงั คมแม้ว่าจะมีข้อจํากดั ตา่ งๆโดยเฉพาะในด้านงบประมาณของภาครัฐ ทําให้ประเดน็ ในเรืองระบบรัฐสวสั ดกิ ารเป็นแนวนโยบายทีภาครัฐควรให้ความสําคญั ซงึ การดําเนินนโยบายของภาครัฐควรเป็ นนโยบายทีเอือประโยชน์ตอ่ คนส่วนใหญ่ในประเทศเพือให้เกิดความเป็ นธรรมทางเศรษฐกิจและนําพาประเทศเข้าสรู่ ะบบสวสั ดกิ ารทีแท้จริง หรือ “การเป็นรัฐสวสั ดกิ าร” ทงั ในระยะปานกลางและระยะยาว โดยหลกั การ รัฐสวสั ดกิ าร (Welfare State) หมายถึง การดําเนินนโยบายของรัฐทีเน้นการสร้างหลกั ประกนั การดํารงชีวิตทีมีคณุ ภาพอย่างน้อยในระดบั พืนฐานให้แก่ประชาชนอย่างเทา่ เทียม เพือสร้างความเป็นธรรมในสงั คมและสร้างภมู ิค้มุ กนั จากวิกฤตเศรษฐกิจ หรือกล่าวอีกนยั หนึงได้ว่า รัฐสวสั ดิการจะรับประกนั สิทธิขนั พืนฐานของประชาชน และชว่ ยเหลือประชาชนในยามตกยาก โดยทวั ไป ระดบั ความเป็นรัฐสวสั ดกิ ารสามารถพิจารณาได้จากคณุ ลกั ษณะดงั นีประการแรก โครงสร้างระบบการจัดเก็บภาษี (Taxation) ประเทศทีมีระดบั ความเป็ นรัฐสวสั ดิการตําจะมีโครงสร้างการจดั เก็บภาษีถดถอยกว่าประเทศทีมีสวสั ดิการสงู ขณะทีประเทศทีมีขนาดของรายจ่ายด้านสวสั ดกิ ารในระดบั สงู จะมีการจดั เก็บภาษีเงินได้ในอตั ราภาษีก้าวหน้าซงึ อาจสงู ถงึ ร้อยละ 60 ของรายได้ รวมทงั มีอตั ราภาษีการบริโภคทีสงู ถึงร้อยละ 25 ของมลู คา่ สินค้าเพือนํามาใช้จา่ ยด้านบริการสาธารณะ การจดั เก็บภาษีโดยเฉลียทวั โลก พบว่า มีการจดั เก็บภาษีประมาณร้อยละ18.8 ของ GDP หากพิจารณาเป็ นรายทวีป พบว่า ประเทศในยุโรปมีระดบั การจัดเก็บภาษีในระดบั สูง คือ ประมาณร้ อยละ23.98 ของ GDP โดยประเทศสวีเดนมีรายได้จากการเก็บภาษีคิดเป็ นร้ อยละ 51.2 ของ GDP และมีรายจา่ ยด้านสวสั ดกิ ารทีสงู เชน่ กนั ประมาณร้อยละ 38.2 ของ GDP
ขณะทีประเทศในกลมุ่ อาเซียนมีระดบั การจดั เก็บภาษีในระดบั ตํา คือ ประมาณร้อยละ 14.67 ของGDP เป็นทีนา่ สงั เกตวา่ ในกลมุ่ ประเทศอาเซียน 7 ซงึ มีระดบั การพฒั นาเศรษฐกิจใกล้เคียงกบั ประเทศไทยประเทศฟิลปิ ปินส์และไทยมีระดบั การจดั เก็บภาษีตาํ ทีสดุ คอื ร้อยละ 16.1 และ 18.1 ตอ่ GDPตามลําดบั ภาพที 14 สัดส่วนรายจ่ายเพอื สวัสดกิ ารสังคมต่อจีดีพีประการทสี อง งบประมาณรายจ่ายด้านสวัสดกิ ารสังคม (Social expenditure) ระดบั ความเป็ นรัฐสวัสดิการจะมากหรือน้อยพิจารณาจากงบประมาณรายจ่ายด้านสวัสดิการสงั คม เช่น การให้บริการทางด้านสาธารณสุข การศึกษา เป็ นต้น ในประเทศกําลงั พัฒนา (Developingcountries) จะมีสดั ส่วนของรายจ่ายด้านสวสั ดิการสังคมค่อนข้างตําเมือเทียบกับประเทศทีพฒั นาแล้ว(Developed countries) เชน่ ประเทศไทยมีรายจา่ ยดงั กลา่ วอย่ทู ีร้อยละ 2.8 ของจีดีพี 6ขณะทีประเทศ6 รายจ่ายเพือสวสั ดิการสงั คมทสี าํ คญั ประกอบด้วย ( ) รายจ่ายสาํ หรับผ้สู งู อายุ (เช่น เงินบําเหนจ็ บํานาญ และเบยี ยงั ชีพเป็ นต้น) ( ) เงินสงเคราะห์ผ้เู ป็ นหม้ายหรือบตุ ร หรือบําเหน็จตกทอด ( ) เงินชดเชยหรือสงเคราะห์ผ้ทู พุ พลภาพ ( ) เงินเกียวกบั การรักษาพยาบาล (เช่น การประกนั สขุ ภาพถ้วนหน้า ค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ) ( ) เงินช่วยเหลอื เกียวกบัตลาดแรงงาน ( ) เงินทดแทนผ้วู า่ งงาน ( ) เงินช่วยเหลอื เกียวกบั ทีอย่อู าศยั ( ) อืนๆ เช่น เงินอดุ หนนุ ช่วยเหลอื ผ้ปู ระสบ
พฒั นาแล้วจะมีรายจา่ ยด้านสวสั ดิการคอ่ นข้างสงู อยทู่ ีร้อยละ 16 ถึง 32 ของ GDP เช่น ประเทศสวีเดนทีได้ชือวา่ เป็ นรัฐสวสั ดิการมีสดั สว่ นสวสั ดกิ ารสงั คมตอ่ GDP ทีร้อยละ 31 นอกจากนี กล่มุ ประเทศสหภาพยุโรป ญีป่ ุน และ สหรัฐอเมริกา มีรายจ่ายด้านสวสั ดิการอยู่ทีร้ อยละ 24.2 14.7 และ 14.6 ต่อ GDPตามลําดบั แสดงให้เห็นวา่ งบประมาณรายจา่ ยด้านสวสั ดกิ ารของประเทศไทยอย่ใู นระดบั ตําเมือเทียบกบัประเทศทีเป็นรัฐสวสั ดกิ าร สําหรับประเทศไทย การจดั สวสั ดิการทางสงั คมมีมาเป็ นเวลานานกว่า ปี แตร่ ะดบั ของการให้สวสั ดิการภาครัฐทีพิจารณาจากอตั ราส่วนของค่าใช้จา่ ยของรัฐตอ่ รายได้ของประเทศยงั อย่ใู นอตั ราทีตําและมีการกระจายของผ้ไู ด้รับประโยชน์อย่างไม่เป็ นธรรม แม้ในปัจจบุ นั ประเทศไทยก็ยงั ไมส่ ามารถถือว่าเป็นรัฐสวสั ดกิ าร เนืองจากแผนงานตา่ งๆยงั ไมค่ รอบคลมุ ถึงประชากรทกุ คนและไมม่ ีความตอ่ เนือง เพราะงบประมาณภาครัฐทีนํามาใช้ในด้านสวัสดิการทางสังคมยังมีอยู่จํากัด ซึงประเทศไทยจําเป็ นต้องดาํ เนินการอยา่ งคอ่ ยเป็นคอ่ ยไป นโยบายประชานิยมทีผ่านมาของรัฐบาลปัจจุบนั (ปี 2552) ทีแสดงให้เห็นถึงความตงั ใจทีนําพาประเทศเข้าส่คู วามเป็ นรัฐสวสั ดิการ ได้แก่ เบียกตญั ู มาตรการบรรเทาคา่ ครองชีพประชาชน โครงการสง่ เสริมอาสาสมคั รสาธารณสขุ และการสร้างประกนั สขุ ภาพแหง่ ชาติ เป็นต้น แต่ทว่ามาตรการเหล่านีกลบั เป็ นเพียงการแจกเงินโดยทีไม่ได้คํานึงถึงปัญหาด้านโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และเป็ นการเพิมภาระทางการคลงั ของรัฐในระยะยาวเนืองจากรัฐบาลต้องใช้เงินงบประมาณจํานวนมากเพือสร้างสวสั ดิการแก่ประชาชนแต่จากข้อจํากดั ทางด้านงบประมาณประกอบกบั รายได้จากภาษีทีไม่เพียงพอ ทําให้ภาครัฐต้องก้ยู ืมเงินเพือนํามาเป็ นค่าใช้จ่ายด้านสวสั ดิการทีเพิมสงู ขึน กล่าวโดยสรุป ข้อจํากดั สําคญั ทีทําให้ประเทศไทยยงั ไมส่ ามารถเข้าสคู่ วามเป็นรัฐสวสั ดกิ ารอยา่ งแท้จริงมีดงั นี 1. ความสามารถในการหารายได้เพิมของรัฐบาลขึนอยู่กับการเติบโตทางเศรษฐกิจหรือการขยายตวั ของผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึงมีความไม่แน่นอนสูง โดยหากเศรษฐกิจมีการเจริญเตบิ โต (GDP เพมิ สงู ขนึ ) จะทําให้ประเทศมีการจดั เก็บรายได้เพิมสงู ตาม แตใ่ นทางตรงกนั ข้าม หากเศรษฐกิจเข้าส่ภู าวะถดถอยหรือหดตวั (GDP ลดลง) ทําให้ประเทศจดั เก็บรายได้เพือมาใช้จา่ ยได้น้อยลงสง่ ผลให้รายจา่ ยด้านสวสั ดกิ ารลดลงตาม และถงึ แม้วา่ แนวโน้มของรายได้การจดั เก็บภาษีจะดีขนึ ตามการขยายตวั ของเศรษฐกิจไทย แตส่ ดั ส่วนรายได้การจดั เก็บตอ่ GDP ยงั อยใู่ นระดบั ตํา โดยมีสดั สว่ นเพียงร้อยละ 14 ถึง 15 ของ GDP (สงู สดุ เคยอย่ทู ีร้อยละ 18 ของ GDP) เทียบไมไ่ ด้กบั ประเทศในภูมิภาคเอเซียทีรายได้จากภาษีอยทู่ ีร้อยละ 20 ของ GDP หรือประเทศพฒั นาแล้วทีมีสดั สว่ นสงู ถึงร้อยละ 30 ของ GDPปัญหาทางสงั คมกรณีฉกุ เฉิน อนงึ สถิติรายจ่ายเพือสวสั ดิการสงั คม ไม่ได้รวมงบประมาณด้านการศกึ ษาของไทย ซงึ คิดเป็ นร้อยละ . ของจีดีพใี นปี (วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์, )
ดงั นนั หากประเทศไทยต้องการจดั สวสั ดกิ ารให้เพิมขนึ เชน่ จากร้อยละ . เป็ นร้อยละ ตอ่ GDPรัฐบาลจะต้องจดั เก็บภาษีเพิมขนึ และในขณะเดียวกนั ต้องมีการปรับลดรายจา่ ยด้านอืน ๆ ลง หรือ ควรมีการใช้งบประมาณให้เกิดประสทิ ธิภาพและมีการกํากบั ตรวจสอบเพือไมใ่ ห้เกิดการรัวไหล 2. งบประมาณและประสทิ ธิภาพการบริหารของภาครัฐ จะสงั เกตเห็นวา่ ในโครงการไทยเข้มแข็งยงัไมม่ ีงบประมาณสนบั สนนุ ด้านสวสั ดิการเลย ส่วนหนงึ อาจเป็ นเพราะนโยบายรัฐบาลยงั ไมม่ ีความชดั เจนด้านสวสั ดิการทีแท้จริง และขาดการออกแบบนโยบายด้านนี ทําให้ประเทศไทยมีเพียงสวสั ดิการเบืองต้นเท่านนั ทงั นีรัฐบาลต้องปรับลดรายจา่ ยบางอยา่ งทีเกินความจําเป็ น อาทิ ยกเลิกประชานิยมบางเรืองทีไม่เข้าถึงกล่มุ คนยากจน เชน่ ควรยกเลิกมาตรการลดคา่ นําคา่ ไฟฟ้ า เป็ นต้น ยกเลิกมาตรการทีเอือประโยชน์ให้กบั ชนชนั กลางและนกั ลงทนุ มากกว่าผ้ทู ีมีฐานะยากจน เชน่ การลดภาษีเงินได้นิตบิ คุ คลสําหรับบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลกั ทรัพย์ นอกจากนีข้อจํากัดด้านประสิทธิภาพการบริหารของภาครัฐ ปัญหาการคอร์รัปชนั และปัญหาความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองก็เป็ นอปุ สรรคสําคญั ทีทําให้ประเทศไทยไปไม่ถึงรัฐสวสั ดกิ าร จากข้อจํากดั ข้างต้น แสดงให้เห็นว่าหากต้องการยกระดบั สวสั ดกิ ารทางสงั คมไทย ยงั มีชอ่ งว่างทีรัฐบาลจะดําเนินมาตรการเพิมเตมิ ในด้านนโยบายสวสั ดกิ าร ซึงควรมีการศกึ ษาข้อเสนอทางนโยบายและมาตรการเพิมประสิทธิภาพการบริหารนโยบายด้านการคลงั ทงั ด้านรายได้ รายจ่าย และการบริหารหนีสาธารณะ เพือลดความเสียงทีเกิดจากโครงสร้างภาษี และภาระหนีสาธารณะทีสงู จนเกินความสามารถในการชําระคนื เพือให้ประเทศก้าวเข้าสรู่ ัฐสวสั ดกิ ารอยา่ งคอ่ ยเป็ นคอ่ ยไป โดยข้อเสนอทางนโยบายทีรัฐบาลสามารถนําไปเป็นแนวทาง ได้แก่ . เป้ าหมายของการจัดสรรสวัสดกิ ารทางสังคมในเชิงปริมาณ (Quantitative) • กาํ หนดทางเชิงปริมาณว่ารายจ่ายด้านสวัสดิการสังคมควรเป็ นเท่าใดและคิดเป็ น กีเปอร์เซนต์เมือเทียบกับ GDP ดงั จะเห็นได้จากกรณีประเทศองั กฤษซงึ มีการสนบั สนนุ นโยบายด้านสวสั ดิการได้มีการกําหนดเป็ นสดั ส่วนอย่างชดั เจนทีร้อยละ 25 ของ GDP แบ่งเป็ น สวสั ดิการทีคิดเป็ นตวั เงินโดยเน้นใช้จา่ ยในการอดุ หนนุ ประกนั รายได้ ประกัน สขุ ภาพ และบาํ นาญ คดิ เป็นสดั สว่ นร้อยละ 44 ของรายจา่ ยด้านสวสั ดิการทงั หมด ขณะที ร้อยละ 56 เป็นสวสั ดกิ ารทีไมค่ ิดเป็ นตวั เงินโดยเน้นสนบั สนนุ ด้านสขุ ภาพ การศกึ ษา และ อืนๆ ซึงประเทศไทยสามารถใช้เป็ นแนวทางในการออกแบบนโยบายด้านสวสั ดิการให้ ชดั เจนขนึ เช่น ด้านสวสั ดกิ ารในรูปตวั เงินเพือบรรเทาความยากจน อาทิ การจดั สรรด้าน การรักษาพยาบาล และปัจจยั พืนฐาน โดยต้องมีข้อมลู เพิมเตมิ ในด้านอุปสงค์เกียวกับ ความต้องการของกลมุ่ เป้ าหมาย
• ควรตังเงือนไขและระยะเวลาทีเหมาะสมทีประเทศไทยจะเพิมรายจา่ ยด้านสวสั ดกิ าร เป็ นกีเปอร์เซ็นต์ ภายในระยะเวลากีปี เช่น กําหนดว่าประเทศไทยจะมีรายจ่ายด้าน สวสั ดกิ ารเพมิ จากร้อยละ เป็นร้อยละ ภายในเวลา 5 ปี ข้างหน้า เป็นต้น • ควรมีการใช้งบประมาณสนับสนุนอย่างเต็มที รวมทงั ต้องดําเนินนโยบายสวสั ดิการ อยา่ งเข้มข้นตอ่ เนือง ระมดั ระวงั ไมใ่ ห้เกิดการรัวไหลและทจุ ริตเกิดขนึ ซงึ เป็ นเรืองทีท้าทาย แกร่ ัฐบาลเป็นอยา่ งมาก . เป้ าหมายด้านการจัดสรรสวัสดกิ ารเชงิ คุณภาพ (Qualitative) • ควรพิจารณาเป้ าหมายเพือยกระดับการครองชีพ โดยลดความยากจน ลดความ เสียงทีกระทบต่อคุณภาพชีวิต เชน่ หลกั ประกนั การตกงาน หลกั ประกนั สขุ ภาพ และ การออมชราภาพ • ควรเลือกนโยบายด้านสวัสดกิ ารทกี ่อให้เกิดการทุจริตได้ยาก • ในระยะยาว โครงสร้างของประชากรอาจจะเปลียนแปลง โดยจํานวนผ้สู งู อายจุ ะมีมากขนึ ดงั นนั สวัสดกิ ารต่างๆควรคาํ นึงถงึ การเปลียนแปลงโครงสร้างของประชากร ถึงแม้ว่า สวสั ดิการทางสงั คมเป็ นเรืองทีภาครัฐควรให้ความสําคญั เพือให้เกิดความเป็ นธรรมทางสงั คม ลดความเหลือมลําหรือช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจน แตอ่ ย่างไรก็ตาม ระดบั หรือความเข้มข้นของสวสั ดิการเป็ นเรืองยากแก่การระบใุ ห้ชดั เจนว่าประเทศไทยควรมีสวสั ดิการแค่ไหนเพือให้เกิดความเหมาะสมกบั โครงสร้างทางเศรษฐกิจและสงั คมของไทย จึงควรมีการศกึ ษารายละเอียดในด้านนีอย่างลกึ ซงึ ตอ่ ไปประเดน็ คาํ ถามด้านการวิจัย (Research Agenda) 1. ควรศกึ ษาการปฏิรูปโครงสร้างระบบภาษีในการเพมิ รายได้ภาครัฐ (และลดความเหลือลําของ รายได้ประชาชน) เพือเป็นรากฐานของการพฒั นาไปสรู่ ัฐสวสั ดกิ าร 2. วิเคราะห์การลงทนุ ทีเอือประโยชน์แก่ประเทศในระยะยาวเพือให้เกิดความค้มุ คา่ ในเชงิ เศรษฐกิจ สงั คมและสิงแวดล้อม และมีการจดั ลําดบั ความสําคญั ของโครงการลงทนุ ของรัฐอยา่ งเป็นระบบ 3. ควรศกึ ษาเรืองการบริหารเงินทนุ สํารองระหวา่ งประเทศทีเหมาะสม เพือประโยชน์ตอ่ ประเทศไทย ในระยะยาว
เอกสารอ้างอิงดเิ รก ปัทมสริ ิวฒั น์ ( ). “ชอ่ งวา่ งของนโยบายเศรษฐกิจไทย วเิ คราะห์มาตรการการคลงั ”พรายพล ค้มุ ทรัพย์ และคณะ (2552). “ภาพรวมเศรษฐกิจไทย : วิกฤติปี และแนวโน้มในปี ”บทความสมาคมเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ (2550). “คนไทยพร้อมจะจ่ายคา่ รัฐสวสั ดกิ ารหรือ?” รายงานการสมั มนาวิชาการประจําปี 2550 โดย สถาบนั วิจยั เพือการพฒั นาประเทศไทย วนั ที 10-11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550 ทีโรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซติ ี จอมเทียน ชลบรุ ี.วรวรรณ ชาญด้วยวิทย์ (2552). “ทางเลือกของสวสั ดกิ ารสงั คมสําหรับคนไทย” รายงานการสมั มนาวิชาการประจําปี 2552 โดย สถาบนั วิจยั เพือการพฒั นาประเทศไทย วนั ที 25-26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ทีโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์และบางกอกคอนเวนชนั เซ็นเตอร์ เซ็นทรัลเวลิ ด์ กรุงเทพ.เอือมพร พิชยั สนิธ (2552). “นโยบายเศรษฐกิจว่าด้วยสวสั ดิการสังคม: บทวิเคราะห์ประสบการณ์ในประเทศตะวนั ตก” โรงพมิ พ์มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์ พ.ศ.ข้อมลู จากแหลง่ อืนๆhttp://www.bot.or.thhttp://www.fpo.go.thhttp://www.moodys.comมมนาวชิ าการประจาํ ปี 2550
เชงิ อรรถ1 รองศาสตราจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์2 อาจารย์ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์3 สหภาพยโุ รปกําหนดเกณฑ์สําหรับประเทศทีเข้าร่วมใช้เงินสกลุ ยโู รว่า ต้องมีหนีสาธารณะไมเ่ กินร้อยละ 0 ของจีดีพี4 กระทรวงการคลงั ได้กําหนดกรอบความยงั ยืนทางการคลงั ประกอบด้วย ( ) ยอดหนีสาธารณะคงค้างตอ่จีดพี ี ไมเ่ กินร้อยละ 50 ( ) ภาระหนีตอ่ งบประมาณไมเ่ กินร้อยละ ( ) การจดั ทํางบประมาณสมดลุ และ( ) สดั สว่ นงบลงทนุ ตอ่ งบประมาณรายจา่ ยไมต่ ํากวา่ ร้อยละ5 โปรดดรู ายละเอียดการเก็บภาษีมรดกและภาษีสิงแวดล้อมใน ดิเรก ปัทมสิริวฒั น์ “ช่องว่างของนโยบายเศรษฐกิจไทย วิเคราะห์มาตรการการคลงั ”6 รายจ่ายเพือสวัสดิการสังคมทีสําคญั ประกอบด้วย ( ) รายจ่ายสําหรับผู้สูงอายุ (เช่น เงินบําเหน็จบาํ นาญ และเบยี ยงั ชีพ เป็นต้น) ( ) เงินสงเคราะห์ผ้เู ป็นหม้ายหรือบตุ ร หรือบาํ เหน็จตกทอด ( ) เงินชดเชยหรือสงเคราะห์ผู้ทุพพลภาพ ( ) เงินเกียวกับการรักษาพยาบาล (เช่น การประกันสุขภาพถ้วนหน้า ค่ารักษาพยาบาลข้าราชการ) ( ) เงินช่วยเหลือเกียวกับตลาดแรงงาน ( ) เงินทดแทนผู้ว่างงาน ( ) เงินชว่ ยเหลือเกียวกบั ทีอยอู่ าศยั ( ) อืนๆ เชน่ เงินอดุ หนนุ ชว่ ยเหลือผ้ปู ระสบปัญหาทางสงั คมกรณีฉกุ เฉิน อนึงสถิตริ ายจา่ ยเพือสวสั ดกิ ารสงั คม ไมไ่ ด้รวมงบประมาณด้านการศกึ ษาของไทย ซงึ คดิ เป็ นร้อยละ . ของจีดพี ีในปี (วรวรรณ ชาญด้วยวทิ ย์, )
บทคัดย่อช่องว่างของนโยบายด้านการศกึ ษาและสวัสดกิ ารแรงงานอ.ดร.ศุภชัย ศรีสุชาติคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปัญหาหลักทีเกิดขึนในปัจจุบัน คือ คุณภาพของการศึกษาทีลดลงในทุกระดับและไม่สามารถตอบสนองความต้องการของตลาดแรงงานได้อย่างดีพอ ประเด็นทีต้องมีการพิจารณา คือ ระบบการจดั สรรงบประมาณเพือการศึกษาทังในระดบั พืนฐานและระดับอุดมศึกษาว่าอาจยังมีประสิทธิภาพทียังไม่ดีพอคณุ ภาพของการศกึ ษาทีเป็ นอยใู่ นปัจจบุ นั เมือเทียบกบั งบประมาณเพือการศกึ ษาเมือคิดเป็ นสดั ส่วนกบั GDPหรืองบประมาณของประเทศในด้านอืนๆแล้วยงั มีความไมค่ ้มุ คา่ เพราะผลสมั ฤทธิทางการศกึ ษายงั อยใู่ นระดบัทีน้อยเมือเทียบกับประเทศเพือนบ้าน ในด้านของระบบการเงินอุดมศึกษา โดยเฉพาะกองทุนกู้ยืมเพือการศกึ ษาก็ไมส่ ามารถเป็นเครืองมือทีมีประสทิ ธิภาพในการขบั เคลือนกลไกในการพฒั นาระบบอดุ มศกึ ษา และอาจเป็ นเครืองมือทีทําให้กลไกราคาหรือดลุ ยภาพของการศกึ ษาในระดบั อดุ มศกึ ษามีการเปลียนแปลงไปและสง่ ผลตอ่ ตลาดแรงงานในระยะยาว ปัญหาทีเกิดขึนในตลาดแรงงานทีแสดงถึงความไม่สอดคล้องระหว่างกําลงั คน ทงั ในมิติของระดบัการศกึ ษา คณุ ภาพ ความต้องการเฉพาะทางนนั แสดงถึงการวางแผนการผลิตแรงงานอยา่ งบรู ณาการระหว่างหน่วยงานทีเกียวข้อง ได้แก่ กระทรวงศกึ ษาธิการ กระทรวงแรงงานและสวสั ดิการสงั คม และภาคธุรกิจ ทงั นีงานศกึ ษาและแนวนโยบายทีต้องทําอยา่ งเร่งดว่ น คอื การหาแนวทางของการจดั สรรงบประมาณทีเหมาะสม มีประสทิ ธิภาพ และเป็นเครืองมือทีใช้เพิมประสทิ ธิภาพให้กบั การพฒั นาการศกึ ษา และการสร้างความร่วมมือให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการจดั การศกึ ษารวมถึงส่งเสริมให้องค์กรปกครองส่วนท้องถินเข้ามาร่วมจัดการศกึ ษาอยา่ งมีคณุ ภาพโดยมีกรอบของความรับผิดชอบทีชดั เจน สําหรับแนวนโยบายทางด้านสวสั ดกิ ารแรงงานนนั ควรสร้างระบบหรือวฒั นธรรมของการพงึ พาตนเองมากทีสดุ ในการสร้างหลกั ประกนั ในยามเกษียณ โดยการสร้างการออมทีเป็ นระบบ มีความเพียงพอภายหลงัการเกษียณ โดยรัฐต้องสร้ างเครืองมือหรือองค์กรเพือกํากับสถาบนั การเงิน (กองทุน) ให้ดําเนินการอย่างเหมาะสม มีการรณรงค์ให้เกิดวฒั นธรรมการออมและการลงทนุ ในระยะยาว และในเชิงของการก้าวส่สู งั คมผ้สู งู อายแุ ละคณุ ภาพชีวิตของแรงงานภายหลงั ออกจากงาน รัฐจําต้องมีการเตรียมพร้อมเพือการสร้างอาชีพ
และการสะสมทุนมนุษย์ หรือให้แรงงานมีโอกาสในการเปลียนย้ายงานได้ตามความเหมาะสมต่อความรู้ความสามารถและสภาพร่างกายในวยั สงู อายุ
ช่องว่างของนโยบายด้านการศกึ ษาและสวสั ดกิ ารแรงงาน อ.ดร.ศุภชัย ศรีสุชาติ1 คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์บทนํา บทความการวิเคราะห์ชอ่ งวา่ งของนโยบาย (policy gap) ด้านการศกึ ษาและสวสั ดกิ ารสงั คม ม่งุ เน้นและให้ความสําคญั กับด้านการศึกษาและนโยบายทีเกียวข้อง เพราะการศกึ ษามีความสําคญั ตอ่ การพฒั นาประเทศโดยเป็ นกลไกในการสร้างความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศผ่านทางความรู้ความสามารถและผลิตภาพของกําลงั แรงงาน การสร้างฐานความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กําลงั ความคิดสร้างสรรค์ รวมถึงการเป็ นเครืองมือในการยกระดบัความเป็นอยทู่ ีดขี องประชาชนและแก้ไขปัญหาความเหลือมลําทางสงั คม ผ้เู ขียนจะนําเสนอปัญหาในลกั ษณะของการสงั เคราะห์ความรู้จากผ้รู ู้ เอกสารอ้างองิ และข้อมลู ทางสถิตเิ ชิงเปรียบเทียบ ในภาพรวมของการศกึ ษาไทยและสวสั ดิการด้านแรงงาน และมีการดึงเรืองทีมีความสําคญั ทีคิดว่าเป็นปัญหาสําคญั ทีควรได้รับการแก้ไขในเชิงนโยบายอยา่ งเร่งดว่ นมาพิจารณาเป็ นรายปัญหา โดยปัญหาการศกึ ษาทีหยิบยกขึนมาได้แก่ การปฏิรูปการศึกษาด้านคุณภาพของการศึกษา และระบบการเงินอุดมศึกษา ซึงปัญหามีความเกียวเนืองเชือมโยงกบั การจดั สรรงบประมาณทีขาดประสทิ ธิภาพในการกระต้นุ และเป็ นเครืองมือในการประเมินติดตามการพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษาและปัญหาของคณุ ภาพการศึกษาทีเกิดจาก ผ้เู รียน ครูและระบบการจัดการเรียนการสอนและสภาพแวดล้อมการเรียนการสอน เมือนักศึกษาได้สําเร็จหรือออกจากสถานศึกษาและมาอยู่ในสภาพการทํางาน ความรู้ความสามารถทีเกิดจากการบม่ เพาะมาจากสถานศกึ ษาจงึ เป็ นปัจจยั สําคญั ตอ่ การนําไปประกอบอาชีพและการสร้างรายได้ในอนาคต แตใ่ นปัจจบุ นั การทีความรัฐยงั ขาดนโยบายทีดีพอในการวางแผนการผลิตกํ าลังแรงงานให้ ตรงตามความต้ องการของตลาดแรงงานทังในเชิงปริ มาณและคณุ ภาพสง่ ผลให้เกิดปัญหา ความต้องการด้านแรงงานกับการผลิตแรงงานไม่สอดคล้องกันในด้านมิติของอปุ สงค์และอปุ ทาน และมิตคิ ณุ ภาพ ส่งผลให้ในบางสาขาแรงงานมีบุคคลว่างงานและมีความขาดแคลนในเวลาเดียวกัน และแนวโน้มของปัญหาจะทวีความรุนแรงมากขึน และสง่ ผลตอ่ ความสามารถในการแขง่ ขนั ของประเทศในระยะปานกลางและระยะยาว ทงั สามนโยบาย1 ผู้เขียนขอขอบพระคณุ ผู้ให้คําแนะนําในการศึกษาเกียวกับช่องว่างของนโยบายการศึกษาและสวสั ดิการแรงงาน และบุคคลทีผ้เู ขียนได้มีโอกาสพดู คยุ และแลกเปลียนความคิดเห็นในนโยบายต่างๆในวาระตา่ งๆ คือศ.ดร.บญุ เสริม วีสกุล รศ.ดร.มทั นา พนานิรามยั ดร.ยงยทุ ธ์ แฉล้มวงษ์ รศ.วิทยากร เชียงกลู ดร.แก้วขวญั ตงั ติพงศ์กลู และผ้ชู ่วยรวบรวมข้อมลู คอื น.ส.จิตสภุ า สขุ เกษม 1
นีเป็ นเพียงส่วนหนึงของภาพรวมของปัญหาการศกึ ษาและตลาดแรงงานของไทยทีแสดงถึงการขาดนโยบายของการวางแผนทีดีพอ หลงั จากทีเข้าส่รู ะบบของตลาดแรงงานอย่างเต็มตวั แล้ว การวางแผนเกียวกบั การออมและรายได้ภายหลงั การเกษียณเป็นสงิ ทีมีความสําคญั ตอ่ แรงงานในอนาคต ระบบประกนั สงั คมในกรณีชราภาพในปัจจบุ นั อาจยงั มีข้อด้อยบางประการทีต้องได้รับการปรับปรุง ดงั นนั การพิจารณาเพือการปรับปรุงนโยบาย ระบบบาํ เหน็จบาํ นาญ การประกันสังคม และการสร้างวัฒนธรรมในการออมระยะยาว จึงเป็ นเรืองทีมีความสําคญั และจะเป็ นประเด็นใหญ่ในอนาคตเนืองจากในช่วงทศวรรษหน้าประเทศไทยจะมีสดั ส่วนของประชากรผ้สู ูงอายุเพิมขึนซึงเป็ นผลมาจากการเปลียนแปลงในโครงสร้างประชากร การเตรียมความพร้อมลว่ งหน้าจากทงั แรงงานและภาครัฐจึงต้องมีการสร้างกลไกในการดําเนินการและมีการเตรียมความพร้อมอย่างเหมาะสมกบั เวลา โดยต้องมีการสร้างให้ประชาชนมีวฒั นธรรมของการออม การลงทนุ ในระยะยาว เพือให้กองทนุ ตา่ งๆทีจะถกู จดั ตงั ขึน ระบบประกันสงั คมและบําเหน็จบํานาญ และเครือข่ายความปลอดภัยทางสงั คม(social safety net) มีความยงั ยืน สําหรับปัญหาท้ายสดุ นนั คือ นโยบายชีวิตหลังออกจากโรงงาน (life after factory) ซึงผ้เู ขียนได้รับความรู้และเห็นความสําคญั ของการขาดนโยบายนีหลงั จากทีได้สนทนากบั ดร.ยงยทุ ธ์แฉล้มวงศ์ ผ้อู ํานวยการวิจยั การพฒั นาแรงงาน สถาบนั เพือการพฒั นาแห่งประเทศไทย ซงึ ท่านได้ให้ความสําคญั กบั ปัญหานี และปัญหานียงั ไม่ได้ถูกหยิบยกขึนมาเตรียมการอย่างเป็ นรูปธรรมเพราะเป็ นเรืองของการเตรียมความพร้อมในการสร้างงานให้กบั ผ้สู ูงอายทุ ีผ่านชีวิตการทํางานในระบบโรงงานซึงจะไม่สามารถไปประกอบอาชีพอืนๆได้ภายหลังออกจากโรงงาน เพราะบุคคลเหล่านีใช้เทคโนโลยีเพียงประเภทเดียวในการทํางานตลอดชีวิตการทํางานทีผ่านมา และไม่ได้มีโอกาสในการสะสมทนุ มนษุ ย์เพือการเปลียนแปลงประเภทงานในอนาคต จึงทําให้บคุ คลกล่มุ นีไม่สามารถสร้างรายได้อืนภายหลงั การเกษียณจากโรงงาน ดงั นนั ภาครัฐจึงต้องมีการเตรียมความพร้อมในการให้การสนบั สนนุ บคุ คลกล่มุ นี ปัญหานียงั มีความเชือมโยงกบั เรืองของการสร้างงานทีเหมาะสมให้กบั ผ้สู งู อายซุ งึ เริมมีการตืนตวั บ้างแล้ว ทงั สองปัญหานีเกียวข้องโดยตรงกบั สวสั ดกิ ารด้านแรงงานทีจะเกิดขนึ ในอนาคตและเป็นปัญหาทีจะสง่ ผลกระทบในเชิงเศรษฐกิจและสงั คม การออม และการลงทนุ ของภาครัฐ กล่าวโดยสรุปทงั 5 นโยบายทีมีการหยิบยกมานีเป็ นสว่ นหนึงเท่านนั ของปัญหาในด้านการศึกษาและสวัสดิการแรงงานทังหมดของประเทศไทย ซึงในส่วนต่อไป ผู้เขียนจะนําเสนอภาพรวมของแต่ละปัญหา ผลกระทบ และงานศึกษาทีเกียวข้องกับนโยบายทีใช้แก้ไขปัญหาในรายละเอียด 2
นโยบายที 1: นโยบายด้านคุณภาพของการศึกษาไทย (Education Quality) งานศกึ ษาทีเกียวข้องกบั การปฏิรูประบบการศกึ ษาของไทยตงั แต่ปี พ.ศ. 2542 - 2552เป็นต้นมาได้บง่ ชีวา่ คณุ ภาพของการศกึ ษาในการศกึ ษาทกุ ระดบั มีคณุ ภาพทีลดลง การลดลงของคณุ ภาพการศกึ ษานนั เกิดจากองค์ประกอบสําคญั คือ ปัจจยั นําเข้าได้แก่ผ้เู รียน ครูอาจารย์ ระบบของการให้การศกึ ษา และการจดั สรรทรัพยากรทางการศกึ ษา เพราะผลสมั ฤทธิของการศกึ ษานนัไมส่ ามารถเกิดขนึ หากขาดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึง ปัญหาของการศกึ ษาไทยในปัจจบุ นัอาจต้องมีการมองเป็ นภาพรวมของทงั ระบบ ทีประกอบด้วยปัจจยั นําเข้า กระบวนการผลิต และผลผลิต ซงึ ชว่ งทศวรรษทีสอง (พ.ศ. - )2 ของการปฏิรูปนีจําเป็ นต้องมงุ่ เน้นไปทีกลไกทีจะทําให้เกิดการเปลียนแปลงอย่างเป็ นรูปธรรม ด้วยวิสัยทัศน์ทีว่า “เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคณุ ภาพ” โดยมียทุ ธศาสตร์สําคญั คือ การพฒั นาคณุ ภาพของผ้เู รียน การผลิตและพฒั นาครู การเพิมโอกาสทางการศึกษา การเพิมประสิทธิภาพในการจดั การ การพฒั นากําลังคน การพัฒนาเทคโนโลยี การเงินเพือการศกึ ษา การแก้ไขกฎหมายทีเป็ นอปุ สรรค และ การเรียนรู้ตามอธั ยาศยัซงึ จากทีผา่ นมาจะพบวา่ การดาํ เนินการทียงั คงมีปัญหาอยา่ งมากและการแก้ไขปัญหาเชิงนโยบายยงั ไม่ประสบผลสําเร็จเทา่ ทีควร โดยจะมีอยู่ 4 เรืองสําคญั ทีรัฐพึงต้องดําเนินการอย่างเร่งดว่ น คือการจดั สรรงบประมาณเพือการศึกษา ปัญหาด้านคณุ ภาพของผู้เรียน คณุ ภาพของครู และการจดั การเรียนการสอนและสภาพแวดล้อมในการเรียนการสอน ซงึ มีรายละเอียด ดงั นี การจดั สรรงบประมาณเพือการศกึ ษา ประเด็นทีต้องมีการสร้างความเข้าใจให้ตรงกนั คือคําว่าปัญหาของการจดั สรรงบประมาณนนั ไม่ได้พิจารณาตามมูลค่าเงินทีหน่วยงานได้รับว่ามีจํานวนไมเ่ พียงพอ แตต่ ้องพจิ ารณาในเชงิ อตั ราสว่ นทีได้รับตอ่ งบประมาณทงั หมดและการนําไปใช้ให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล ทังนีข้อมูลงบประมาณในอดีตชีว่าประเทศไทยได้ให้ความสําคญั และทมุ่ เททรัพยากรการศกึ ษาเมือเทียบเป็ นอตั ราตอ่ งบประมาณทงั หมดของประเทศไม่น้อยไปกว่าประเทศทีพฒั นาแล้ว โดย Punyasavatsut, Mongkolsmai, Satsanguan, andKhoman (2005) ได้ชีให้เห็นว่างบประมาณด้านการศึกษานนั อยู่ทีประมาณร้ อยละ ของงบประมาณรายจ่ายประจําปี และคิดเป็ นร้ อยละ . ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(GDP) ในชว่ งปี พ.ศ. – ซงึ ในบางปี สงู กว่าคา่ เฉลียของประเทศในกลมุ่ OECD ดงั นนัในด้านการการจดั สรรงบประมาณเชิงเปรียบเทียบกบั นโยบายอืนๆของไทยไม่ได้น้อยกว่าประเทศอืนๆตามทีหลายฝ่ ายเข้าใจกัน อย่างไรก็ตามเป็ นทีน่าสังเกตว่ามีบางประเทศทีใช้งบประมาณ2 ในการปฏริ ูปการศกึ ษาในทศวรรษแรก ได้มกี ารเน้นทีการปรับปรุงโครงสร้างองค์กรทีกํากบั ดแู ลระบบการศกึ ษาการจดั ตงั องค์กรอิสระ เพือแบง่ ภาระหน้าทีใหม่ แต่การปรับปรุงด้านคณุ ภาพของการศึกษายงั ไมบ่ รรลผุ ลตามเป้ าทตี งั ไว้ 3
การศึกษาในอัตราทีน้อยกว่าไทยแต่สามารถพฒั นาได้อย่างก้าวกระโดดและมีผลสัมฤทธิทางการศกึ ษาทีสงู กว่าไทย เช่น เกาหลีและสิงคโปร์ นนั เป็ นสญั ญาณบง่ ชีประการหนึงวา่ ประเทศไทยยงั พบกบั ปัญหาของการใช้ทรัพยากรทางการศกึ ษาอยา่ งไมม่ ีประสทิ ธิภาพ3 งบประมาณการศึกษาไทยส่วนใหญ่ถึงร้ อยละ ถูกจัดสรรไปยังสํานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั พืนฐาน (ตารางที . ) และสํานกั งานคณะกรรมการการอดุ มศึกษาและมหาวิทยาลยั ของรัฐ แห่งและหน่วยงานพิเศษ แห่งประมาณร้ อยละ ซึงในประเด็นของการจดั สรรงบประมาณไปยังสํานกั งานอุดมศึกษาจะเป็ นประเด็นทีต้องลงในรายละเอียดในหวั ข้อของนโยบายที ระบบการเงินอดุ มศกึ ษา เนืองจากมีความเกียวข้องปัญหาเชิงสงั คมในด้านอืนๆ หลายฝ่ ายยงั มีข้อสงสัยทีควรตงั เป็ นประเด็นคําถามเกียวกับการจัดสรรงบประมาณเพือการศึกษาซึงยงั ไม่มีการศึกษาอย่างกว้างขวางในประเทศไทย คือ การประเมินประสิทธิภาพของงบประมาณและการจดั สรรงบประมาณเพือการศกึ ษา ซึงสอดคล้องกบั การตงั ประเด็นคําถามและข้อสังเกตของ วิทยากร เชียงกูล ( ) ว่าการจัดสรรงบประมาณไปอยู่ทีโครงสร้ างพืนฐานมากกว่าการลงทุนในการสร้ างงานวิจยั หรือพัฒนาการเรียนการสอน ทงั นีงบประมาณทีใช้ส่วนใหญ่เพือเป็นคา่ ตอบแทนบคุ ลากรคอื ประมาณร้อยละ จงึ ทําให้งบประมาณเพือการพฒั นามีอยู่อย่างจํากัด รัฐได้มีการนําเสนอแนวทางแก้ไข แต่ยังอย่ใู นช่วงของการเปลียนผ่านให้สู่รูปแบบทีเหมาะสมสมบรู ณ์ขนึ คือ การใช้งบประมาณแบบมงุ่ เน้นผลงาน (performance base budgeting)และการกระจายอํานาจในการจดั การศกึ ษาให้กบั องค์กรปกครองสว่ นท้องถิน แนวทางการให้องค์กรปกครองส่วนท้องถินเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารการศกึ ษานนัอาจทําให้ระบบการตรวจสอบและหลกั สตู รเพือตอบสนองความต้องการของท้องถินได้รับการบรรจุในการบริหารการศกึ ษา ทงั นีกระทรวงศกึ ษาและองค์กรปกครองส่วนท้องถินต้องมีการสร้างเกณฑ์และระบบของความรับผิดชอบ (accountability) เพือกําหนดขอบเขตการดําเนินการและรูปแบบของการบริหารระหว่างหน่วยงานทังสอง ซึงการดําเนินการนีจะช่วยให้การจัดสรรและการเคลือนย้ายทรัพยากรทําได้เร็วมากขึนและตรงตามความต้องการของพืนทีมากยิงขึน และงานศกึ ษาของ Punyasavatsut et al. (2005) ได้มีการนําเสนอกระบวนการแก้ไขปัญหาในเรืองของงบประมาณอย่างเป็ นรูปธรรม แต่การดําเนินการตามแนวนโยบายนนั ยงั มีช่องวา่ งของการนําไปปฏิบตั ิ เชน่ การให้โรงเรียนมีสว่ นร่วมในการจดั สรรและใช้งบประมาณอยา่ งอิสระ และให้มีการใช้ทรัพยากรจากแหล่งอืนนอกเหนือจากงบประมาณของรัฐ คือ การใช้ทรัพยากรจากครัวเรือนและองค์กรปกครองสว่ นท้องถิน เพราะการจดั สรรทรัพยากรอาจมีประสิทธิภาพมากกว่าแนวทางการจดั สรรทรัพยากรจากสว่ นกลางลงไป3 อย่างไรก็ตามอาจมีประเด็นโต้แย้งว่าประเทศอืนๆอาจได้รับการลงทนุ ทางการศึกษาจากประเทศทีเคยเป็ นเจ้าของอาณานคิ ม จงึ ทําให้รากฐานของการจดั การศกึ ษามคี วามมนั คงและในช่วงนนั มกี ารลงทนุ ทสี งู ไปแล้ว 4
ตารางที การจัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานในกระทรวงศึกษาธิการ หนว่ ยงาน ปี งบประมาณ ร้ อยละ ร้ อยละ การเปลียนแปลง เทียบกบั งบประมาณ (ลดลง) (ล้านบาท) (ล้านบาท) กระทรวงศกึ ษาธิการ 17.35 3.97สํานกั งานปลดั กระทรวงศกึ ษา , . 38,638.2 11.2 (1.61) (1.16)สาํ นกั งานเลขาธิการสภาการศกึ ษา . 245.9 0.1 (10.63)สาํ นกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขนั พนื ฐาน , . 218,067.9 63.0 (8.31) (1.33)สํานกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา , 18,240.6 5.3สาํ นกั งานคณะกรรมการอดุ มศกึ ษา , . 5,957.7 1.7มหาวิทยาลัยของรัฐ แห่งและหน่วยงานพิเศษ แหง่ , 64,761.1 18.7รวม กระทรวงศกึ ษาธิการ , . 345,911.4 100.0ทีมา สาํ นกั งบประมาณ คุณภาพของนักเรียน (student quality) เป็ นปั จจัยสําคัญทีส่งผลต่อคุณภาพของการศึกษาไทย เมือพิจารณาจากภาพที . พีรามิดของจํานวนนักเรียนในระดับชันเทียบกับประชากรในชว่ งอายนุ นั จะพบว่า จํานวนนกั เรียนทีมีการศกึ ษาตอ่ ในระดบั มธั ยมเริมลดลงโดยคิดเป็นเพียงร้อยละ ของประชากรในช่วงอายนุ นั และมีอตั ราส่วนทีลดลงอีกในระดบั มหาวิทยาลยัในแง่ของอตั ราการสําเร็จการศกึ ษาจะอยู่ทีประมาณร้ อยละ . ในระดบั มธั ยมศึกษาตอนต้นและร้อยละ ในระดบั มธั ยมศึกษาตอนปลาย ทงั นีเมือเทียบอตั ราการคงอย่ขู องนกั ศึกษาตามระดบั การศกึ ษาจะพบว่า (ตามตารางที . ) อตั ราการคงอยจู่ ะลดลงมากในช่วงมธั ยมศกึ ษาตอนปลายซึงเกิดจากการออกกลางคันเพือไปประกอบอาชีพ แม้ว่าภาครัฐจะให้การสนับสนุนการศกึ ษา ปี แตภ่ าครัฐไม่ได้ให้การสนบั สนนุ ในส่วนคา่ เสียโอกาสจาการไม่ได้ทํางานระหวา่ งเข้ารับการศกึ ษา กลา่ วคือ บคุ คลในกล่มุ ทีมีสถานภาพระดบั ล่างย่อมต้องการรายได้เพือใช้ในการดํารงชีพ การเข้าส่รู ะบบการศกึ ษาในสายสามญั ทําให้ขาดโอกาสในการประกอบอาชีพเพือสร้างรายได้ ดงั นนั กล่มุ นีจึงออกจากการศกึ ษา ดงั นนั แนวนโยบายทีรัฐควรสนบั สนุนแทนทีเป็ นการให้คา่ ใช้จา่ ยในลกั ษณะของการอดุ หนนุ ในเรืองเครืองแบบและตาํ รา คือ การสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งงานหรือรายได้เสริมทีมีความเพียงพอตอ่ การดํารงชีพในระหว่างการศกึ ษา คือ การเรียนไปและทํางานไปด้วยและการสร้างความยอมรับตอ่ ระบบอาชีวศึกษา เนืองจากนกั ศกึ ษาส่วนใหญ่มงุ่ หวงั อตั ราผลตอบแทนจากการศกึ ษาทีสงู เมือสําเร็จการศกึ ษาในระดบั อดุ มศกึ ษา ดงั นนั จึงทําให้นกั ศกึ ษาเลือกทีจะเรียนวิชาสายสามญั และใช้การเรียนสายสามญั ในลกั ษณะการเรียนเวลาเต็มเวลา (กรณีอาชีวศึกษาอาจทีใช้ใช้เวลาบางส่วนเพือการประกอบอาชีพ) ซึงในนโยบายที 5
เกียวกับความสอดคล้ องของแรงงานและการผลิตแรงงานจะชีว่าการขาดแคลนแรงงานระดับอาชีวศกึ ษาจะเป็นปัญหาสําคญั ในเชงิ โครงสร้างของแรงงานไทยในอนาคต ในเชิงคณุ ภาพเชิงวิชาการของการศึกษา ตามสภาพการณ์ปัจจบุ นั พบวา่ ผลสมั ฤทธิทางการศกึ ษาอย่ใู นระดบั ทีตํา กล่าวคือเมือพิจารณาจากคะแนนการสอบทางการศกึ ษาแห่งชาติขนัพืนฐาน (O-Net) ในช่วงปี การศึกษา – นกั เรียนทําคะแนนเฉลียใน วิชาหลักได้แก่ภาษาไทย สงั คมศกึ ษา คณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ และ ภาษาองั กฤษ ได้ตํากว่าร้อยละ และในปี ตามโครงการประเมินผลการศึกษานานาชาติ (Programme for International StudentAssessment: PISA 2006) และโครงการศึกษาแนวโน้มการจดั การศึกษาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ พ.ศ. (The Trends in International Mathematics and Science Study:TIMSS 2007) พบว่านกั เรียนไทยได้คะแนนวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์น้อยกว่าประเทศเพือนบ้านอืนๆยกเว้นอินโดนีเซีย (ตารางที . ) ซึงตวั แปรนีเป็ นตวั สะท้อนทีสําคญั ของปัญหาคณุ ภาพการศกึ ษาและผลสมั ฤทธิเชงิ วชิ าการของนกั เรียนไทย ภาพที พรี ามดิ การศกึ ษา ปี การศกึ ษา ทีมา สถิติการศกึ ษาของประเทศไทย ปี การศกึ ษา 6
ตารางที อตั ราการคงอย่ขู องนักเรียนในระดบั การศกึ ษาขนั พนื ฐาน ทีมา สถิติการศกึ ษาของประเทศไทย ปี การศกึ ษา ตารางที คะแนนการทดสอบ PISA และ TIMSSประเทศ PISA 2006 TIMSS 2007 Math Science Math Scienceฮอ่ งกงสงิ คโปร์ไต้หวนัญีป่ นุเกาหลีมาเลเซยีไทยอนิ โดนีเซยีทีมา PISA (2006) และ TIMSS (2007) อ้างใน สมรรถนะการศกึ ษาไทยในเวทสี ากล ปัจจยั ทีส่งเสริมและขดั ขวางการพฒั นาของผ้เู รียนส่วนหนึง คือ ปัจจยั ทางครอบครัวและสภาพแวดล้อม ซึงการศึกษาในต่างประเทศพบว่าพืนฐานทางครอบครัวส่งผลต่อการตดั สินของ 7
นกั เรียนและผลสมั ฤทธิทางการศกึ ษา ดงั นนั ในกรณีทีผ้ปู กครองอย่ใู นระดบั รายได้ทีสงู ก็สามารถใช้เพือสร้างโอกาสทีดีกวา่ ให้กบั บตุ ร ในขณะทีครัวเรือนทีมีความจําเป็ นด้านรายได้ก็บตุ รเป็ นส่วนหนึงในการช่วยสร้างรายได้ให้ครัวเรือนและส่งผลตอ่ การจดั สรรเวลาทีให้ในการศกึ ษา นอกจากนีงานศึกษาทีประเทศไทยยงั ขาด คือ การศึกษาเกียวกับผลกระทบของสมาชิกร่วมห้องและกลุ่มเพือนตอ่ ผลสมั ฤทธิทางการศกึ ษา (peer effect) รวมถึงการรับข้อมลู ข่าวสารของเยาวชนตอ่ ความรุนแรงทีเกิดขนึ ในสงั คม ซงึ ปัจจยั ตา่ งๆเหลา่ นีเป็ นปัจจยั ทีส่งผลตอ่ ความสามารถและผลสมั ฤทธิทางการศกึ ษาของเยาวชน คณุ ภาพของครู (teacher quality) เป็ นประเด็นสําคญั อีกประการหนงึ ทีมีการนําเสนอในการปฏิรูปการศึกษา ในการจดั การศกึ ษานนั แนวนโยบายทีเกียวกับคณุ ภาพของครูควรพิจารณาอย่างน้ อยใน ประเด็น ได้แก่ ประสบการณ์และความสามารถเฉพาะทางของครู ระบบผลตอบแทนและสวัสดิการครู การทดสอบและการมีประกาศนียบัตรในวิชาชีพครู (teachercertificates) และทศั นคติตอ่ วิชาชีพครู ซงึ ใน ประเด็นมีความสมั พนั ธ์ตอ่ กนั และอาจเป็ นปัญหาในลกั ษณะไก่กบั ไข่ ในมุมมองของผ้เู ขียนบทความนีเห็นวา่ ความพยายามปฏิรูปการศกึ ษาในชว่ งทศวรรษทีผ่านมามีการจดั ตงั องค์กรตา่ งๆขึนมา แต่ไม่ได้พิจารณาถึงต้นเหตทุ ีแท้จริงของปัญหาคณุ ภาพการศึกษาคือ ด้านผู้สอน ซึงงบประมาณของของการปฏิรูปนนั ควรนํามาดําเนินการในสว่ นของการพฒั นาครู ประเด็นหนึงทีต้องนํามาพิจารณา คือ ทศั นคติตอ่ วิชาชีพครูมีการเปลียนแปลงจากอดีตเป็นอยา่ งมาก ซงึ ในปัจจบุ นั บคุ คลทีเป็ นครูส่วนใหญ่คือบคุ คลทีไม่สามารถผ่านระบบการคดั เลือกในสาขาทีเป็นทีนิยม และแม้วา่ จะสําเร็จการศกึ ษาแล้ว การบรรจใุ นฐานะข้าราชการครูก็ไมไ่ ด้เป็ นเรืองง่ายด้วยข้อจํากดั ของอตั ราทีจดั สรรตามงบประมาณและพืนที ดงั นนั บคุ คลทีเข้ามาเป็ นครูจึงอาจถกู มองวา่ มีข้อจํากดั หลายๆด้านและบคุ คลทีมีความรู้ความสามารถก็เลือกทีจะศกึ ษาในสาขาอืนทีได้รับประโยชน์ตอบแทนและได้รับการยอมรับทีดีกว่า หากมองประเทศเพือนบ้านจะพบว่าทศั นคตแิ ละมมุ มองทีบคุ คลมีตอ่ ครูนนั ถือวา่ เป็ นอาชีพทีมีเกียรตแิ ละมีระดบั รายได้ทีสงู จนจงู ใจให้บคุ คลทีมีความสามารถเลือกทีจะเป็ นครู นโยบายทีรัฐเลือกใช้ในการเพิมระดบั ความสามารถของครูเพือวตั ถปุ ระสงค์ของการพฒั นาคณุ ภาพและผกู กบั ผลตอบแทนทีครูจะได้รับ เป็ นสว่ นหนึงทีทําให้ปัญหามีความซบั ซ้อนมากขนึ กลา่ วคือ การให้ครูทําผลงานเพือให้ผา่ นการประเมินแล้วเป็ นครูชํานาญการและได้ผลตอบแทนทีเพิมขึนนนั ส่วนหนึงทําให้ครูต้องพยายามหาแนวทางโดยใช้ทรัพยากรต่างๆทีมีอย่ทู งั จากโรงเรียนและจากครัวเรือนมาใช้เพือให้ผ่านการประเมิน ซึงในบางกรณีจะพบว่าผลงานทีส่งไม่ได้ มาตรฐานและครูต้ องเสียเงินจํานวนมากเพือสร้ างผลงานเหล่านีขึนมา และเวลาทีใช้ในการสร้างผลงานเหล่านีคือเวลาทีครูพึงจะนําไปพฒั นาตนเองในด้านการ 8
สอน และท้ายสดุ ผลงานทีผลิตขนึ มานีก็อาจไมไ่ ด้ถูกนําไปใช้กบั การเรียนการสอนในชนั เรียนจริงซึงการแนวทางการพัฒนาในรูปแบบโดยการสร้ างกลไกให้ครูทําผลงานเพือการแข่งขันและคา่ ตอบแทนไมไ่ ด้เป็นการพฒั นาในลกั ษณะยงั ยืน การทีผลตอบแทนจากเงินเดือนและสวัสดิการทีน้อยเมือเทียบกับภาคธุรกิจนนั เป็ นอีกปัจจยั หนงึ ทีทําให้ไมส่ ามารถดงึ บคุ คลทีมีความรู้ความสามารถมาเป็ นครูได้ ดงั นนั ครูทีอย่ใู นระบบปัจจบุ นั จงึ เป็ นครูในรูปแบบเดมิ ทีต้องรับกบั สภาพแวดล้อมทีไม่เอืออํานวยกบั การประกอบอาชีพแต่ ผ้เู ขียนไมอ่ ยากนําเสนอในสว่ นของปัญหาหนีสินของครูและนโยบายการให้ความช่วยเหลือจากภาครัฐเนืองจากปัญหาหนีสนิ นนั เป็ นในทกุ ภาพสว่ นราชการเพราะฐานเงินเดือนทีตําและระดบั คา่ครองชีพทีเพิมสงู ขนึ อย่างรวดเร็ว การเกิดภาวะหนีสินนนั ไมจ่ ําเป็ นต้องเป็ นอาชีพครูก็มีผลกระทบตอ่ การใช้ชีวิตและการจดั สรรเวลา การกล่าวว่าการทีครูมีหนีสินแล้วทําให้คณุ ภาพของการศกึ ษาแย่ลงนนั เป็ นเพียงผลกระทบทีเกิดจากพฤติกรรมส่วนบุคคลเท่านัน ดงั นันการช่วยเหลือจากภาครัฐนนั ไม่ควรจํากัดเฉพาะปัญหาหนีสินของครูแต่ควรพิจารณาในลกั ษณะปัญหาของอัตราผลตอบแทนของข้าราชการและบคุ ลากรของรัฐในทงั ระบบจึงจะเป็ นแนวทางการแก้ปัญหาของความเหลือมลําของอตั ราผลตอบแทนระหว่างภาครัฐและเอกชน แนวนโยบายทีรัฐควรให้การสง่ เสริมอยา่ งเป็นรูปธรรม คอื ก. การปรับเปลียนทศั นคตขิ องประชาชนเกียวกบั วิชาชีพครู รวมถึงการสร้างครูต้นแบบในด้านตา่ งๆ (นโยบายนีมีการดําเนินการอย่แู ล้วแตข่ าดการประชาสมั พนั ธ์ทีดีพอ) เพือให้เกิดกระแสทางบวกต่อวิชาชีพ และมีการสร้ างระบบแรงงจูงใจทีเหมาะสมทีสามารถดึงบุคคลทีมีความรู้ความสามารถมาประกอบอาชีพครู ข. การทุ่มงบในการพัฒนาความรู้ความสามารถของครู โดยต้องมีการประสานงานกับสํานกั งานคณะกรรมการการอดุ มศกึ ษา และอาชีวศกึ ษา ในการเพิมพนู ความรู้ให้กบั ครู หรือทนุ ให้การสนบั สนนุ ดงู าน อบรม ทงั ภายในและตา่ งประเทศ (ต้องมีความแตกตา่ งจากการดําเนินการในปัจจบุ นั เพราะในปัจจบุ นั เป็ นลกั ษณะของการดงู านเชิงทอ่ งเทียวและเป็ นสวสั ดกิ ารโดยใช้งบของแตล่ ะสถานศกึ ษา) ค. การเพิมงบประมาณในการเพิมกระบวนการใช้สารสนเทศในการจดั การเรียนการสอนและการพฒั นาคณุ ภาพของครู ง. ลดการประเมินผลงานทีมีความซําซ้อน และการควบคุมคุณภาพของผลงานทีขอประเมิน และจดั สรรผลตอบแทนหรือตาํ แหน่งด้วยความเป็ นธรรม มีหลกั เกณฑ์ทีชดั เจนแนน่ อนไม่เปลียนแปลงบอ่ ย การจดั การเรียนการสอนและหลกั สตู ร (administration and curriculum) รูปแบบของหลกั สตู รและการจดั การเรียนการสอนของระบบการศกึ ษาไทยยงั อย่ใู นกรอบทีจํากดั และขาดการ 9
ให้ผู้เรียนเกิดความคิดสร้ างสรรค์และการบูรณาการ แม้ว่าแนวนโยบายของการสร้ างความคิดสร้ างสรรค์และการเปิ ดโอกาสการเรียนรู้ตลอดชีวิตตามศกั ยภาพของตนจะถูกนําเสนอในการปฏิรูปในทศวรรษทีสองนีแตใ่ นทางปฏิบตั ทิ ําได้ยากเนืองจากคา่ นิยมและการตดั สินใจของนกั เรียนและผ้ปู กครองในการเลือกทีจะเรียนตอ่ ในระดบั อดุ มศกึ ษา ดงั นนั กระบวนการเรียนการสอนก็จะม่งุ ไปในทิศทางทีตอบสนองต่อความต้องการของนกั เรียน ส่งผลให้รายวิชาทีนกั เรียนไม่ได้ใช้ในการสอบเข้าเรียนในระดบั อดุ มศกึ ษาก็ไมไ่ ด้รับความสนใจในห้องเรียน และแม้วา่ การ ปรับเปลียนรูปแบบการสอบและคะแนนสอบ O-Net และ A-Net การเก็บคะแนนสะสมรวมก็ยงั ไมส่ ามารถแก้ ปัญหานีได้ และระบบของโรงเรียนกวดวิชาก็ได้รับความนิยมอย่างมาก แม้ ว่าในทางเศรษฐศาสตร์อาจพจิ ารณาได้วา่ การเรียนพิเศษเป็ นการทําให้ตลาดการศกึ ษาภาพรวมมีดลุ ยภาพ(market clear) กล่าวคือนกั เรียนทีมีความต้องการและมีความสามารถทีจะจ่ายค่าเรียนพิเศษเพือให้ตนเองมีความรู้ทีมากขนึ (หรือ เพือให้ตนเองเรียนทนั ผ้อู ืน) นอกจากนีนกั เรียนทีมีทรัพยากรการเงินทีดีกว่าก็มีโอกาสในการพฒั นาตนเองเพือการสอบเข้าในระดบั อุดมศึกษาทีสูงกว่า และกลายเป็ นค่านิยมทีนกั เรียนต้องเข้าส่รู ะบบการเรียนพิเศษ อย่างไรก็ตามหากคณุ ภาพการศกึ ษาของแตล่ ะโรงเรียนอยู่ในระดบั สูงและมีความแตกต่างกันทีน้อย ความต้องการเรียนพิเศษจะลดปริมาณลงและ เมือพิจารณาในแง่ของการใช้ทรัพยากรทีมีอยู่ในประเทศจะสามารถลดความซําซ้อนของการใช้ทรัพยากรได้ ปัญหาคณุ ภาพการศกึ ษานนั นอกจากเหตุปัจจยั ทีมีการนําเสนอแล้วยังมีปัจจัยอืนๆอีกมากมายทีสง่ ผลตอ่ การลดลงของคณุ ภาพการศกึ ษาของไทย และปัจจยั เหลา่ นีมีความซบั ซ้อน ซึงนโยบายของรัฐบาลทีผา่ นมาได้พยายามเข้ามาแก้ปัญหานี โดยทงั ในมมุ มองจลุ ภาคและมหภาคซงึ การใช้กลไกราคาทีเกียวข้องกบั แรงจงู ใจและคา่ ตอบแทนก็เป็ นหนึงในนโยบายนี อยา่ งไรก็ตามด้วยข้อจํากดั ด้านกฎระเบียบจึงทําให้ความคล่องตวั ในการใช้นโยบายต่างๆลดลง แม้ว่าจะมีการเปลียนแปลงปรับรูปแบบองค์กรตา่ งๆทีเกียวข้องแล้วการแก้ปฏิรูปก็ยงั ไม่ได้เห็นผลทีเดน่ ชดั ซึงแนวทางและนโยบายทีรัฐยงั ไมประสบความสําเร็จ คือ การพฒั นาคณุ ภาพของครู โดยการแก้ไขนนั ต้องใช้ระยะเวลาและวงเงินงบประมาณทีสงู ซงึ อาจเป็นข้อจํากดั หนงึ ในการดาํ เนินการ 10
นโยบายที 2: นโยบายด้านการเงนิ อุดมศกึ ษา (Higher Education Financing)การศกึ ษาในระดบั อดุ มศกึ ษาเป็ นการศกึ ษาทีให้ประโยชน์กบั ผ้เู รียนในระดบั ทีสงู มากเมือเทียบกบั การศกึ ษาในระดบั อืน ซึงงานศกึ ษาเชิงประจกั ษ์ของประเทศไทยชีชดั วา่ ผลตอบแทนทีได้จากการศึกษาในระดับอุดมศึกษาอยู่ในระดับทีสูงมาก (ชัยยุทธ์ ปัญญสวัสดิสุทธิ, )นอกจากนีการศกึ ษาในระดบั อดุ มศกึ ษายงั ให้ประโยชน์ตอ่ สงั คม (social benefit) ทีสงู เทียบเท่ากบั ผลประโยชน์สว่ นบคุ คล คือ ทีร้อยละ - (Canton, 2007) อยา่ งไรก็ตามยงั ไม่มีงานศกึ ษาในประเทศไทยทีระบปุ ระโยชน์สงั คมของการศกึ ษาในรูปของผลตอบแทนอยา่ งชดั เจน ดงั นนั อตั ราผลประโยชน์ทีได้จาการศกึ ษาในระดบั อดุ มศกึ ษาระหวา่ งผ้เู รียนกบั ภาครัฐหรือกล่าวอีกนยั หนงึ คือภาคสังคมมีอัตราส่วนเท่าไร ซึงประเด็นนีนํามาสู่คําถามทีสําคัญเชิงนโยบายว่ารัฐควรให้การสนบั สนนุ ระบบการศกึ ษาในระดบั อดุ มศกึ ษามากน้อยเพียงใด และรูปแบบควรเป็นอยา่ งไรประเด็นคําถามแรกเป็ นคําถามของการจดั งบประมาณอุดมศึกษามาเป็ นเวลานานแล้วคือ รัฐควรให้การสนบั สนนุ ผ้เู รียนในระดบั อดุ มศกึ ษาหรือไม่ และสดั สว่ นการให้การอดุ หนนุ จะเป็ นเท่าไร ซงึ สําหรับผ้เู รียนในมหาวิทยาลยั ของรัฐนนั ได้รับการสนบั สนนุ ถึงร้อยละ 73 - 85 (ตารางที2.1) ขึนกับสาขาวิชา ซึงบุคคลกลุ่มทีมีโอกาสเข้ารับการศึกษาในระดบั นีย่อมเป็ นผู้ทีผ่านการคดั เลือกมาจากระบบการ Entrance หรือ Admission และความสมั พนั ธ์ระหว่างโอกาสของบคุ คลทีเข้าศึกษา (ประมาณ 200,000 คนตอ่ ปี ) ตอ่ กับรายได้ของครอบครัวมีความสมั พนั ธ์ในเชิงบวกคือ ส่วนใหญ่แล้วเป็ นครอบครัวทีมีฐานะปานกลางถึงฐานะดี ซึงถือเป็ นกลุ่มบุคคลส่วนน้อยในสงั คม ดงั นนั นโยบายการให้การสนบั สนนุ ผ่านสถาบนั การศกึ ษาจึงเป็ นการให้ประโยชน์แก่กล่มุ ผ้ทู ีมีโอกาสอยแู่ ล้วและเป็นการสร้างความเหลือมลําในระยะยาวตารางที 4 ค่าใช้หวั จ่ายต่อหวั รายสาขาของการศกึ ษาในระดบั อุดมศกึ ษา หนว่ ย: บาทสาขาวชิ า ต้นทนุ ตอ่ หวั ทีแท้จริง ภาระของผ้เู รียน ภาระของรัฐบาลมนษุ ยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ 74,153 20,021 (27%) 54,132สถาปัตยกรรมศาสตร์ 65,521 15,070 (23%) 50,451วิทยาศาสตร์และวศิ วกรรมศาสตร์ 93,359 22,406 (24%) 70,953สงิ แวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ 121,264 19,402 (16%) 101,862วิทยาศาสตร์สขุ ภาพ 179,510 30,517 (17%) 148,993แพทยศาสตร์ 263,224 65,806 (25%) 197,418ทีมา: สาํ นกั งานปลดั ทบวงมหาวทิ ยาลยั (2002) 11
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180