Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การใช้กระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยใช้วิธีการสอนแบบ CLT ปีการศึกษา 2564

การใช้กระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยใช้วิธีการสอนแบบ CLT ปีการศึกษา 2564

Published by Teacher.Orawan Pudmon, 2022-03-26 02:37:12

Description: การใช้กระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยใช้วิ

Search

Read the Text Version

การพฒั นาทักษะส่ือสารภาษาองั กฤษของนักเรียนด้วยกระบวนการเรียนรู้ แบบ Active Learning โดยใช้วธิ ีสอนภาษาองั กฤษตามแนวคดิ ภาษาเพื่อการส่ือสาร (Communication Language Teaching) วชิ า ภาษาองั กฤษ เรื่อง Out and about ของนกั เรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 อรวรรณ พุดมอญ โรงเรียนวดั พืชนมิ ติ (คาสวสั ด์ริ าษฎร์บารุง) ตาบลคลองหน่ึง อาเภอคลองหลวง จงั หวดั ปทมุ ธานี สานกั งานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาทมุ ธานเี ขต 1 สานักงานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ

คานา เอกสารงานวจิ ยั ฉบบั น้ีจดั ทาข้นึ เพอื่ เป็นส่วนหน่ึง ในงานวิจยั ช้นั เรียนของการเรียนการสอนใน รายวชิ าภาษาองั กฤษของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 ซ่ึงงานวิจยั ชิ้นน้ีไดถ้ ูกพฒั นาข้นึ เพ่ือพฒั นาปรับปรุง การเรียนการสอนในโรงเรียนใหด้ ียง่ิ ข้นึ จากปัญหาการเรียนการสอนในหอ้ งเรียนที่ครูผสู้ อนไดพ้ บเจอพบวา่ ปัญหาการเรียนรู้ของนกั เรียน เนื่องดว้ ยความไมร่ ับผิดชอบของนกั เรียนและวฒุ ิภาวะ ทาใหผ้ ลสมั ฤทธ์ิทางการเรียนต่า และนกั เรียนเกิด ความเบื่อหน่ายในการเรียนในรายวิชา ครูผสู้ อนจึงไดใ้ ชเ้ ทคนิคการเรียนการสอน Active Learning การ จดั การเรียนการสอนแบบเนน้ ใหผ้ เู้ รียนไดป้ ฏิบตั ิในการแกป้ ัญหาดงั กล่าวหวงั เป็นอยา่ งยงิ่ วา่ จะเป็นเอกสาร ที่ก่อใหเ้ กิดประโยชนต์ ่อผอู้ า่ นทุกท่าน นางสาวอรวรรณ พุดมอญ ผจู้ ดั ทา

ก บทคดั ย่อ การศึกษาคร้ังน้ีมีวตั ถปุ ระสงคด์ งั น้ี เพื่อพฒั นาวธิ ีการเรียนของนกั เรียนใหเ้ อ้ือต่อการเรียนรู้ ของ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โดยมีเป้าหมายใหน้ กั เรียนทุกคนมีผลการเรียนผา่ นเกณฑท์ ี่กาหนด กา้ วทนั ต่อโลกยคุ ใหม่ และสามารถปรับตวั ใหเ้ ขา้ กบั สภาพสังคมที่ตนเองอยู่ มีเจตคติท่ีดีต่อการเรียนวิชา ภาษาองั กฤษ เครื่องมือที่ใชใ้ นการวิจยั ชุดกิจกรรมการเรียน ไดแ้ ก่ 1. รูปแบบการเรียนการสอนแบบ Active Learning โดยใชว้ ธิ ีสอนภาษาองั กฤษตามแนวคดิ ภาษาเพ่ือการส่ือสาร (Communication Language Teaching) 2. แบบบนั ทึกคะแนนเรื่องการพฒั นาทกั ษะการสื่อสาร (ดา้ นการฟังและการพดู ) 3. แบบฝึกหดั และใบกิจกรรมของนกั เรียน 4. แบบสังเกตพฤติกรรมนกั เรียนและแบบประเมินคุณลกั ษณะอนั พึงประสงคข์ องนกั เรียน ผลจากการจดั การเรียนการสอนแบบ Active Learning มาใชใ้ นการเรียนการสอนวิชาภาษาองั กฤษ ผลปรากฎวา่ คะแนนเฉล่ียของการทดสอบก่อนเรียนเทา่ กบั 11.93 คะแนนและคะแนนเฉล่ียหลงั เรียนเทา่ กบั 17.13 คะแนน ซ่ึงมีคะแนนเฉล่ียหลงั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรียน เทา่ กบั 5.20 คะแนน และนกั เรียนทกุ คนมี คะแนนสูงข้ึนกวา่ เดิมโดยมีคะแนนความกา้ วหนา้ เมื่อเทียบระหวา่ งคะแนนก่อนเรียนกบั คะแนนหลงั เรียน คดิ เป็นร้อยละ 79 และนกั เรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนในรายวชิ าเพม่ิ ข้ึนอยา่ งเห็นไดช้ ดั และกิจกรรมของ นกั เรียนทาให้เกิดบรรยากาศท่ีดีและเอ้ือต่อการเรียนการสอน ช่วยใหน้ กั เรียนมีความกระตือรือร้นสนใจ ต้งั ใจ และมีความรับผิดชอบต่อการเรียนมากข้ึนอีกท้งั ยงั ช่วยกระตนุ้ ใหน้ กั เรียนมีความกระตือรือร้นอยู่ ตลอดเวลา ช่วยสร้างความสามคั คีใหเ้ กิดข้ึนในกลุ่ม รู้จกั แกป้ ัญหาร่วมกนั ทางานเป็นทีมระดมความคิดของ หลายคน ซ่ึงแนวทางน้ีเหมาะสมในการแกป้ ัญหาในช้นั เรียนไดเ้ ป็นอยา่ งดี รวมถึงสามารถสร้างทศั นคติที่ดี ต่อการเรียนวิชาภาษาองั กฤษเป็นอยา่ งมาก การวิจยั คร้ังน้ีเป็ นการวิจยั เพ่ือศึกษาผลของการจดั การเรียนรู้โดยใชร้ ูปแบบการจดั การเรียนการสอนแบบ Active Learning การพฒั นาความสามารถดา้ นการสื่อสารภาษาองั กฤษ (การฟังและการพูด) ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปท่ี 6 โรงเรียนวัดพืชนิมิต (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารุง) โดยมีวัตถุประสงค์ 1 ) เพื่อพัฒนา ความสามารถในการส่ือสารภาษาองั กฤษของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6 โดยใช้วิธีสอนแบบ Active Learning และ2) เพ่ือเปรียบเทียบความสามารถในการสื่อสารภาษาองั กฤษของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่

ข 6 ก่อนและหลงั การใชว้ ิธีสอนตามแบบ Active Learning ประชากรในการวิจยั คือ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษา ปี ที่ 6 โรงเรียนวดั พืชนิมิต (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารุง) ปี การศึกษา 2564 กลุ่มตวั อยา่ งในการวจิ ยั คือ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 จานวน 15 คน เครื่องมือที่ใชใ้ นการวิจยั ไดแ้ ก่ 1) แผนการจดั การเรียนรู้โดยใชว้ ิธีสอน แบบ Active Learning 2) แบบทดสอบความสามารถในการสื่อสารด้านการฟัง จานวน 10 ขอ้ วิเคราะห์ ขอ้ มูลโดยหาค่าเฉลี่ย ค่าร้อยละ ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมุติฐานดว้ ยค่าที (t - test for dependent) โดยกาหนดระดบั นยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .05 ผลการวิจยั พบวา่ 1. ผลทดสอบความสามารถในการส่ือสารภาษาองั กฤษ หน่วยการเรียนรู้ที่ 8 เรื่อง Out and about ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปที่ 6 จากการจดั การเรียนรู้โดยใช้วิธีสอนตามแนวคิดภาษาเพ่ือการส่ือสาร พบวา่ ก่อนเรียนนกั เรียนมีคะแนนเฉลี่ย 11.93 คะแนน หรือคิดเป็นร้อยละ 53.00 หลงั เรียนนกั เรียนมีคะแนน เฉล่ีย เทา่ กบั 17.13 คะแนน หรือคดิ เป็นร้อยละ 79 2. ผลทดสอบความสามารถในการส่ือสารภาษาองั กฤษ หน่วยการเรียนรู้ที่ 8 เรื่อง Out and about ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปที่ 6 จากการจดั การเรียนรู้โดยใชว้ ิธีสอนตามแนวคิดภาษาเพื่อการสื่อสาร หลงั เรียนสูงกวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมีนยั สาคญั ทางสถิติท่ีระดบั .05 *******************************************

ค กติ ตกิ รรมประกาศ การศึกษาวิจยั คร้ังน้ีสาเร็จลุล่วงไปไดด้ ว้ ยดี ดว้ ยความอนุเคราะห์จากผูอ้ านวยการโรงเรียน ที่ให้ คาปรึกษาแนะนา ตรวจสอบแก้ไขข้อบกพร่อง ตลอดจนให้กาลังใจในการศึกษา ผูศ้ ึกษาขอกราบ ขอบพระคุณดว้ ยความเคารพอย่างสูง ขอกราบขอบพระคุณคณาจารยท์ ุกท่านที่ให้ความรู้และประสบการณ์ อนั มีค่ายิ่งแก่ผูศ้ ึกษาตลอดเวลา ขอขอบคุณ ผูบ้ ริหารสถานศึกษา โรงเรียนวดั พืชนิมิต (คาสวสั ด์ิราษฎร์ บารุง) และคณะครูทกุ ทา่ น ที่ไดใ้ หค้ วามร่วมมือในการศึกษาคร้ังน้ีจนสาเร็จลุลว่ งไปไดด้ ว้ ยดี ขอกราบขอบพระคุณ บิดา มารดา อนั เป็ นที่รักและเคารพสูงสุดในชีวิตท่ีได้มอบความรัก ความ เมตตา ความห่วงใย ใหก้ ารสนบั สนุน และเป็นกาลงั ใจอยา่ งดียงิ่ เสมอมา ผวู้ ิจยั

ง สารบัญ หนา้ บทคดั ยอ่ ....................................................................................................................................... ก กิตติกรรมประกาศ……………………………………………………………………………….ค สารบญั บทที่ 1 บทนา ท่ีมาและความสาคญั ของปัญหา……………………………………………. 1 วตั ถุประสงคก์ ารวจิ ยั ………………………………………………………. 4 ขอบเขตการวจิ ยั ............................................................................................. 5 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ............................................................................................. 6 ประโยชนท์ ี่คาดวา่ จะไดร้ ับ ............................................................................ 7 บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเก่ียวขอ้ ง หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ……………………………..….……. 10 แนวคิดเกี่ยวกบั ทฤษฎีการสอนภาษาเพ่ือการส่ือสาร (Communication Language Teaching) …………………………………….. 21 การเรียนการสอนแบบ Active Learning……………………………………. 27 แนวคดิ เก่ียวกบั แผนการจดั การเรียนรู้……………………………………….. 77 งานวจิ ยั ที่เกี่ยวขอ้ ง………………………………………………………….. 80 บทที่ 3 วธิ ีดาเนินการวจิ ยั แบบแผนการทดลอง..................................................................................... 86 กลมุ่ ตวั อยา่ ง.................................................................................................. 86 เครื่องมือท่ีใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล......................................................... 86 การเก็บรวบรวมขอ้ มลู ……………………………………………………… 90 การวเิ คราะหข์ อ้ มลู ………………………………………………………… 91 บทที่ 4 ผลการวเิ คราะหข์ อ้ มลู ผลการวเิ คราะหห์ าประสิทธิภาพกระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยใชว้ ิธีสอนภาษาองั กฤษตามแนวคิดภาษาเพอื่ การส่ือสาร (Communication Language Teaching) …………………………………….……………….. 100

สารบญั (ต่อ) หนา้ ผลการวิเคราะหป์ ระสิทธิภาพของกระบวนการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวนการ เรียนรู้แบบ Active Learning โดยใชว้ ธิ ีสอนภาษาองั กฤษตามแนวคดิ ภาษา เพ่อื การสื่อสาร (Communication Language Teaching) ………………………….. 101 ผลการวิเคราะห์ความความพึงพอใจต่อการใชก้ ระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยใชว้ ิธีสอนภาษาองั กฤษตามแนวคิดภาษาเพ่อื การสื่อสาร (Communication Language Teaching) การพฒั นาผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน วิชา ภาษาองั กฤษ เร่ือง Out and about ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6………… 102 องคค์ วามรู้จากงานวจิ ยั ............................................................................................... 103 บทท่ี 5 สรุป อภิปรายผลและขอ้ เสนอแนะ สรุปผลการศึกษา…………………………………………………………………… 107 การอภิปรายผล……………………………………………………………………… 108 ขอ้ เสนอแนะ................................................................................................................. 109 บรรณานุกรม…………………………………………………………………………………... 112 ภาคผนวก………………………………………………………………………………………. 116 ภาคผนวก ก รายนามผเู้ ชี่ยวชาญในการตรวจคุณภาพเคร่ืองมือ..................................... 118 ภาคผนวก ข เคร่ืองมือที่ใชในการวจิ ยั ......................................................................... 122 ประวตั ิผเู้ ขียน............................................................................................................................ 150

สารบญั ภาพ ภาพท่ี หน้า 1. กรอบแนวคดิ ในการวจิ ยั ........................................................................................ 8 2. กรวยแห่งการเรียนรู้............................................................................................... 33 3. ความสมั พนั ธข์ องหน่วยการเรียนรู้สู่การจดั ทาแผนการจดั การเรียนรู้………….… 40 4. บทบาทของครูในฐานะผกู้ ระตนุ้ การเรียนรู้………………………………… 45 5. การประเมินผลกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก………………………………….. 47 6. เทคนิคการสอนท่ีใชใ้ นการจดั การเรียนรู้แบบเนน้ ประสบการณ์…………. 56 7. รูปแบบการสอนแบบโครงงาน (Project Based Learning)………………… 57 8. รูปแบบการสอนแบบใชป้ ัญหาเป็นฐาน (Problem Based Learning)……... 57 9. รูปแบบการสอนท่ีเนน้ ทกั ษะกระบวนการคดิ (Thinking Based Learning)...... 58 10. วงจรการเรียนรู้เชิงประสบการณ์ (Experiential Learning Cycles).... 61 11. ข้นั ตอนการจดั การเรียนรู้แบบใชป้ ัญหาเป็นฐาน…………………..……… 68 12. โครงงานประเภทครูนาทาง (Guided Project).............................................. 70 13.โครงงานประเภทครูลดการนาทาง - เพิ่มบทบาทผเู้ รียน (Less – guided Project)... 71 14. โครงงานประเภทผเู้ รียนนาเอง ครูไมต่ อ้ งนาทาง (Unguided Project)............ 72 15.ข้นั ตอนการจดั การเรียนรู้แบบโครงงานของสานกั งานเลขาธิการสภาการศึกษา และกระทรวงศึกษาธิการ......................................................................................... 74 16.โมเดลจกั รยานแห่งการเรียนรู้แบบ PBL……………………………………… 75 17.ข้นั ตอนการจดั การเรียนรู้แบบใชโ้ ครงงานเป็นฐาน………………………….. 76

สารบญั ตาราง ตารางที่ หนา้ 1. กลยทุ ธก์ ารจดั การเรียนรู้เชิงรุกดา้ นร่างกาย……………………………….…… 51 2. กลยทุ ธ์การจดั การเรียนรู้เชิงรุกดา้ นสติปัญญา……………….…………….…. 52 3. กลยทุ ธก์ ารจดั การเรียนรู้เชิงรุกดา้ นสงั คม………………………….………….. 53 4. ความสอดคลอ้ งของเน้ือหา และจานวนขอ้ สอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน…… 89 5. ผลการวเิ คราะหห์ าประสิทธิภาพของการจดั กิจกรรมการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวน การเรียนรู้แบบ Active Learning โดยใชว้ ิธีสอนภาษาองั กฤษตามแนวคิด ภาษาเพ่ือการสื่อสาร (Communication Language Teaching)……………… 100 6. สรุปผลการวเิ คราะห์ประสิทธิภาพของกระบวนการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวน การเรียนรู้แบบ Active Learning โดยใชว้ ธิ ีสอนภาษาองั กฤษตามแนวคดิ ภาษาเพ่ือการสื่อสาร (Communication Language Teaching) ……..………. 101 7. สรุปผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของกระบวนการเรียนรู้โดยใชก้ ระบวน การเรียนรู้แบบ Active Learning โดยใชว้ ิธีสอนภาษาองั กฤษตามแนวคดิ ภาษาเพอ่ื การส่ือสาร (Communication Language Teaching) ……………… 101 8. ผลการวิเคราะห์ความความพึงพอใจต่อการใชก้ ระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยใชว้ ธิ ีสอนภาษาองั กฤษตามแนวคิดภาษาเพื่อการส่ือสาร (Communication Language Teaching) ในการพฒั นาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน วิชา ภาษาองั กฤษ เร่ือง Out and about ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6………. 102

บทที่ 1 บทนา ความเป็ นมาและความสาคัญ ในปัจจุบนั ภาษาองั กฤษเป็นภาษาสากลท่ีใชก้ นั อยา่ งแพร่หลาย และมีบทบาทสาคญั ในวิถีชีวิตของ ผูค้ น จากอิทธิพลของความก้าวไกลทางด้านเทคโนโลยีและการส่ือสาร ส่งผลให้ภาษาอังกฤษย่ิงทวี ความสาคญั มากย่ิงข้ึน เพราะถือเป็ นเครื่องมือที่ใช้ในการติดต่อส่ือสาร ศึกษาคน้ ควา้ แสวงหาความรู้จาก แหล่งเรียนรู้ท่ีหลากหลาย รวมถึงการประกอบอาชีพ การจดั การเรียนการสอนภาษาองั กฤษในประเทศไทย น้ัน กระทรวงศึกษาธิการได้ให้ความสาคัญโดยกาหนดภาษาอังกฤษไว้ในกลุ่มสาระการเรี ยนรู้ ภาษาต่างประเทศ ซ่ึงเป็ นหน่ึงในกลุ่มสาระการเรียนรู้ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 โดยสถานศึกษาต้องจัดการเรียนการสอนภาษาอังกฤษให้แก่ผูเ้ รียนทุกระดับช้ัน (กระทรวงศึกษาธิการ. 2551 : 220) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งหวงั ให้ผูเ้ รียนมีเจตคติที่ดีต่อ ภาษาองั กฤษ สามารถใชภ้ าษาองั กฤษส่ือสารในสถานการณ์ต่างๆ แสวงหาความรู้ ประกอบอาชีพและศึกษา ต่อในระดบั ที่สูงข้ึน รวมท้งั มีความรู้ความเขา้ ใจในวฒั นธรรมท่ีหลากหลายของประชาคมโลก และสามารถ ถ่ายทอดความคิดและวฒั นธรรมไทยไปยงั สังคมโลกได้อย่างสร้างสรรค์ (สานักวิชาการและมาตรฐาน การศึกษา. 2552 : 1) การเรียนรู้ภาษาองั กฤษจาเป็นตอ้ งเรียนรู้จากพ้ืนฐานภาษาองั กฤษท้งั 4 ทกั ษะ คือ ฟัง พูด อา่ น เขียน รวมท้งั ไวยากรณ์ นอกจากน้ีส่ิงสาคญั ท่ีสุดการรู้คาศพั ท์ภาษาองั กฤษ ในการติดต่อส่ือสารมีท้งั แบบเป็ น ทางการและไม่เป็ นทางการ ไม่ว่าจะเป็ นการสื่อสารแบบใดก็จาเป็นตอ้ งรู้จกั คาศพั ท์เพื่อนาไปผูกประโยค ตามลกั ษณะไวยากรณ์ที่ตอ้ งการส่ือสาร แต่ในการส่ือสารแบบไม่เป็นทางการแมว้ ่าจะสื่อสารผิดตามหลกั ไวยากรณ์แต่ถา้ รู้จกั คาศพั ทก์ ็สามารถทาให้การสื่อสารเขา้ ใจไดเ้ พียงแต่ไม่ถูกตามหลกั ไวยากรณ์ และการ สื่อสารลกั ษณะน้ีสามารถติดต่อสื่อสารกบั ชาวต่างชาติได้ แตถ่ า้ รู้จกั ท้งั คาศพั ทแ์ ละส่ือสารถกู ไวยากรณ์จะทา ให้การสื่อสารมีความสมบูรณ์ ในเชิงโครงสร้าง ทางภาษามากยงิ่ ข้ึน ความสาคญั ของคาศพั ทภ์ าษาองั กฤษน้ี จะช่วยให้นักเรียนที่เรียนภาษาองั กฤษเป็ นภาษาท่ีสองเขา้ ใจความหมายของคาศพั ท์ สามารถเรียงลาดับ ตวั อกั ษรไดถ้ ูกตอ้ ง กลา้ พูด กลา้ อ่าน และสามารถเขยี นเป็นประโยคตามหลกั ไวยากรณ์ไดอ้ ยา่ งมนั่ ใจ ทาให้ การเรียนรู้คาศัพท์ในการเรี ยนภาษาต่างประเทศเป็ นส่ิงสาคัญและจาเป็ นอย่างย่ิง เพราะคาศัพท์เป็ น องคป์ ระกอบที่เก่ียวขอ้ งกบั ทกุ ทกั ษะของการเรียนภาษา ภาษาเป็นเคร่ืองมือท่ีมนุษยใ์ ชส้ ่ือความถึงความรู้สึก นึกคิด ความตอ้ งการ การมีความรู้และความสามารถในการใชค้ าศพั ทข์ องบคุ คลคนหน่ึงถือเป็นปัจจยั หลกั ท่ี สามารถบ่งบอกไดว้ า่ บุคคลน้นั สามารถสื่อสารไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด คาศพั ทจ์ ึงเป็นส่ิงสาคญั ที่ทุก คนตอ้ งเรียน รู้และเพิ่มพูนความรู้อยเู่ สมอ(พรสวรรค์ สีป้อ, 2550) คาศพั ท์เป็ นหน่วยพ้ืนฐานของภาษาที่

สาคญั ที่สุดสาหรับการส่ือสาร เพราะคาศพั ทเ์ ป็นหน่วยกาเนิดความหมาย ความคิด ความรู้สึก ความตอ้ งการ ท่ีผสู้ ่ือสารตอ้ งการแสดงออกให้ผอู้ ื่นทราบ ในการเรียนและการสอนภาษาต่างประเทศโดยทว่ั ไปเร่ิมตน้ จาก สอนคาศพั ท์ แต่สาระหลกั ของการสอนมกั เน้นที่การสอนการใช้ไวยากรณ์เป็ นหลกั ในช่วงประมาณ 2 ทศวรรษท่ีผ่านมาวงการสอนภาษาต่างประเทศไดศ้ ึกษาคน้ ควา้ วิจยั ดา้ นการเรียนการสอนคาศพั ทแ์ พร่หลาย มา กข้ึนทาให้เกิดแนวโนม้ ว่าการสอนคาศพั ทม์ ีความสาคญั เทียบเท่ากบั การสอนไวยากรณ์ในปัจจุบนั (พร พิศ งามพงษ,์ 2557) เพราะคาศพั ทเ์ ป็นองคป์ ระกอบหน่ึงในการสร้างความหมายทางภาษาที่มีความสาคญั ใน การสื่อสารมาก ดงั ที่ วลิ คิน (Wilkins, 1972: 111) กล่าววา่ ถา้ ไมม่ ีความรู้ไวยากรณ์จะทาใหส้ ื่อความหมายได้ น้อยมาก แต่ถา้ ไม่รู้คาศพั ท์จะไม่สามารถสื่อความหมายไดเ้ ลยหมายความว่าการเรียนภาษาท่ีสองตอ้ งมี ความรู้ดา้ นคาศพั ทท์ ่ีเพียงพอเพื่อให้การส่ือสารจะสามารถเขา้ ใจได้ ถึงแมจ้ ะมีความรู้ด้านไวยากรณ์ท่ีจากดั ในทางตรงขา้ มกนั ถา้ ผูเ้ รียนภาษาต่างประเทศเป็ นภาษาที่สองไม่มีความรู้ดา้ นคาศพั ทจ์ ะไม่สามารถเขา้ ใจ และส่ือสารไดเ้ ลย ผูว้ ิจัยเป็ นครูผูส้ อนในระดับช้ันประถมศึกษาปี ที่ 6 มีข้อสังเกตพบว่านักเรียนไม่สามารถจา ความหมายคาศพั ทท์ ่ีเรียนไปแลว้ ได้ และไม่สามารถนาคาศพั ทท์ ี่ไดเ้ รียนไปแลว้ มาใชเ้ พ่ือต่อยอดการเรียน ในระดับที่สูงข้ึนได้ ทาให้นักเรียนมีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนวิชาภาษาองั กฤษต่า เนื่องจากนักเรียนมีพ้ืน ฐานความรู้ภาษาองั กฤษแบบคละความสามารถ (เก่ง กลาง อ่อน) ผูว้ ิจยั จึงไดค้ น้ ควา้ หาวิธีแกป้ ัญหาดงั กลา่ ว พบวา่ แนวทางในการสอนคาศพั ทใ์ ห้มีประสิทธิภาพ ท่ีทาให้นกั เรียนจดจาไดโ้ ดยไม่ตอ้ งท่องจา แต่เป็นการ เรียนรู้โดยอาศยั หลกั จิตวิทยา ท้งั น้ีผเู้ รียนจะเรียนรู้ไดด้ ีและเขา้ ใจเน้ือหาในบทเรียนก็ต่อเม่ือมีความสนใจใน วิชาน้นั ๆ ถา้ ตอ้ งการให้ผเู้ รียนสนใจและต้งั ใจเรียนตลอดช่วงเวลาเรียน ผูส้ อนตอ้ งพยายามสร้างบรรยากาศ ให้สนุกสนานเพลิดเพลิน การจดั การเรียนการสอนโดยผ่านกิจกรรมต่าง ๆ ท่ีหลากหลายเป็นส่วนหน่ึงที่จะ ช่วยสร้างบรรยากาศในขณะเรียนใหด้ ีข้ึน ท้งั ยงั ช่วยใหน้ กั เรียนจดจาเรื่องท่ีเรียนไดแ้ ม่นยา การจดั การศึกษาของประเทศไทยในอดีตท่ีผา่ นมาจนถึงปัจจุบนั มีการพฒั นาท่ีอยใู่ นระดบั ปานกลาง มุ่งเนน้ จดั การเรียนการสอนในหลกั สูตรที่เนน้ เน้ือหาเป็ นฐาน (Content Based Curriculum) กระบวนการ เรียนการสอนเนน้ การถ่ายทอดองคค์ วามรู้จากผสู้ อนไปสู่ผเู้ รียนเป็นหลกั ทาใหย้ งั ไม่ประสบความสาเร็จตาม วตั ถุประสงค์ ซ่ึงอาจส่งผลมาจากปัจจยั หลายอยา่ งท่ีส่งผลต่อกระบวนการเรียนรู้ของผเู้ รียน เช่น ปัจจยั ท่ีมา จากครู ครอบครัวหรือผปู้ กครองเพ่อื นร่วมช้นั เรียน บรรยากาศในช้นั เรียน ส่วนใหญป่ ัจจยั ท่ีมาจากครูมกั เกิด จากวธิ ีการสอนการนาเสนอเน้ือหา การส่ือสารความรู้ของครูสู่นกั เรียนท่ีเนน้ การฟังบรรยายจากครู ( Passive Learning) จนถึงปี พุทธศักราช 2544 มีการปรับหลักสูตรใหม่ จากที่เน้นเน้ือหามาเป็ นหลักสูตรที่เน้น กระบวนการเรียนรู้มากข้ึน เรียกวา่ หลกั สูตร (Standard Based Curriculum) เป็นหลกั สูตรท่ีเนน้ มาตรฐานที่ สามารถวดั ตวั ช้ีวดั ท่ีกาหนด การจดั การเรียนรู้จึงมีลกั ษณะเนน้ กระบวนการเรียนรู้เพ่ือเนน้ ผูเ้ รียนเป็นสาคญั (Child Centered) โดยครูเป็ นผูอ้ านวยความสะดวกและกาหนดกิจกรรมเพื่อให้ผูเ้ รียนเกิดการเรียนรู้ ผ่าน กิจกรรม สื่อการสอน และนวัตกรรมที่สามารถเรียนรู้ไดด้ ้วยตนเอง ซ่ึงเป็ นลกั ษณะที่ผูเ้ รียนไดล้ งมือทา

(Active Learning) เป็นการเรียนรู้ท่ีสอดคลอ้ งกบั การเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษท่ี 21 (สถาพร พฤฑฒิ กุล, 2555: 4) กระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning นบั เป็นส่ิงท่ีถกู กล่าวถึงมากที่สุดในการศึกษาช่วง ศตวรรษที่ ๒๑ ดว้ ยเพราะเป็นแนวจดั การเรียนรู้ ที่จะช่วยใหผ้ เู้ รียนสามารถเรียนรู้และตอบสนองต่อการ พฒั นาของสังคมโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอยา่ งรวดเร็ว โดยความหมายของ Active Learning น้นั หมายถึง กระบวนการจดั การเรียนรู้ที่ผเู้ รียนไดล้ งมือกระทาและไดใ้ ชก้ ระบวนการคิดเกี่ยวกบั สิ่งท่ีเขาไดก้ ระทาลงไป (Bonwell, 1991) เป็นการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ภายใตส้ มมติฐานพ้นื ฐาน ๒ ประการ คือ ๑) การเรียนรู้เป็นความพยายามโดยธรรมชาติของมนุษย์ ๒) แตล่ ะบุคคลมีแนวทางในการเรียนรู้ที่แตกต่างกนั (Meyers and Jones, 1993) โดยผเู้ รียนจะถกู เปลี่ยนบทบาทจากผรู้ ับความรู้ (receive) ไปสู่การมีส่วนร่วมในการสร้างความรู้ (co-creators) (Fedler and Brent, 1996) Active Learning เป็นกระบวนการเรียนรู้ผา่ นการปฏิบตั ิ หรือการลงมือทา ซ่ึง “ความรู้” ท่ีเกิดข้ึน ก็ เป็นความรู้ท่ีไดจ้ ากประสบการณ์ กระบวนการในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ท่ีผเู้ รียนตอ้ งไดม้ ีโอกาสลงมือ กระทามากกวา่ การฟังเพยี งอยา่ งเดียว ตอ้ งจดั กิจกรรมใหผ้ เู้ รียนไดก้ ารเรียนรู้โดยการอา่ น การเขยี น การ โตต้ อบ และการวิเคราะห์ปัญหา อีกท้งั ใหผ้ เู้ รียนไดใ้ ชก้ ระบวนการคิดข้นั สูง ไดแ้ ก่ การวิเคราะห์ การ สงั เคราะห์ และการประเมินคา่ ดงั กล่าวนน่ั เอง นอกจากน้นั ยงั เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่ใหผ้ ูเ้ รียนไดเ้ รียนรู้ อยา่ งมีความหมาย โดยการร่วมมือระหวา่ งผเู้ รียนดว้ ยกนั ในการน้ีครูตอ้ งลดบทบาทในการสอนและการให้ ขอ้ ความรู้แก่ผเู้ รียนโดยตรงลง แต่ไปเพิ่มกระบวนการและกิจกรรมที่จะทาใหผ้ เู้ รียนเกิดความกระตือรือร้น ในการจะทากิจกรรมตา่ งๆมากข้ึนและอยา่ งหลากหลาย ไม่วา่ จะเป็นการแลกเปล่ียนประสบการณ์โดยการ พูด การเขยี น และการอภิปรายกบั เพ่อื นๆ กระบวนการเรียนรู้ Active Learning ทาใหผ้ เู้ รียนสามารถรักษาผลการเรียนรู้ใหอ้ ยคู่ งทนไดม้ าก และนานกวา่ กระบวนการเรียนรู้ Passive Learning เพราะกระบวนการเรียนรู้ Active Learning สอดคลอ้ งกบั การทางานของสมองที่เก่ียวขอ้ งกบั ความจา โดยสามารถเกบ็ และจาส่ิงที่ผเู้ รียนเรียนรู้อยา่ งมีส่วนร่วม มี ปฏิสมั พนั ธ์กบั เพ่อื น ผสู้ อน สิ่งแวดลอ้ ม การเรียนรู้ไดผ้ า่ นการปฏิบตั ิจริง จะสามารถเก็บจาในระบบความจา ระยะยาว (Long Term Memory) ทาใหผ้ ลการเรียนรู้ ยงั คงอยไู่ ดใ้ นปริมาณที่มากกวา่ ระยะยาวกวา่ การเรียนการสอนโดยยดึ ผเู้ รียนเป็นศูนยก์ ลาง เป็นการจดั การเรียนการสอนที่ตอ้ งมีกิจกรรมอยา่ ง หลากหลายเพื่อใหน้ กั เรียนไดล้ งมือปฏิบตั ิ โดยใชก้ ิจกรรมและส่ือการสอนต่างๆ เป็นเคร่ืองมือเพื่อใหเ้ กิด กระบวนการรับรู้และเรียนรู้ ซ่ึงจะเร่ิมจากงา่ ยไปหายาก การเรียน การสอนโดยเนน้ ผเู้ รียนเป็นศนู ยก์ ลางนิยม ใชส้ ื่อประสมประกอบดว้ ยภาพเคลื่อนไหว เสียง สีสันเพอ่ื ใหเ้ น้ือหาเขา้ ใจไดง้ า่ ยและสื่อความหมาย สอดคลอ้ งกบั หวั ขอ้ หรือเร่ืองท่ีเรียน แนวความคดิ หรือทกั ษะตา่ ง ๆ เก่ียวกบั การจดั การเรียนการสอนท่ีเนน้ ผเู้ รียนเป็นศนู ยก์ ลาง Kaplan andNorton (1996) กล่าววา่ การศึกษาในศตวรรษท่ี 21 ที่ตอ้ งจดั การเรียนการ สอนที่เนน้ ผเู้ รียนเป็นศนู ยก์ ลาง เพราะตอ้ งเตรียมคนไปเผชิญการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว รุนแรง พลิกผนั และ

คาดไม่ถึงคนยคุ ใหมจ่ ึงตอ้ งมีทกั ษะสูงในการเรียนรู้และปรับตวั ทกั ษะของคนในศตวรรษที่ 21 ท่ีทุกคนตอ้ ง เรียนรู้ต้งั แตร่ ะดบั ช้นั อนุบาลไปจนถึงมหาวทิ ยาลยั และตลอดชีวิต คือ 3 R x 7C 3R ไดแ้ ก่Reading (อา่ นออก), Writing (เขียนได)้ และ Arithmetic (คิดเลขเป็น) 7C ไดแ้ ก่ Critical thinking & problem solving (ทกั ษะดา้ น การคดิ อยา่ งมีวิจารณ ญ าณ และทกั ษะในการแกป้ ัญ หา) Creativity & innovation (ทกั ษะดา้ นการสร้างสรรค์ และนวตั กรรม) Cross cultural understanding (ทกั ษะดา้ นความเขา้ ใจตา่ งวฒั นธรรมตา่ งกระบวนทศั น์) Collaboration, teamwork & leadership (ทกั ษะดา้ นความร่วมมือการทางานเป็นทีม และภาว ะผนู้ า) Communications, information & media literacy (ทกั ษะดา้ นการสื่อสารสารสนเทศ และรู้เทา่ ทนั สื่อ) Computing & ICT literacy (ทกั ษะดา้ นคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยสี ารสนเทศและการสื่อสาร) Career & learning skills (ทกั ษะอาชีพ และทกั ษะการเรียนรู้) (วิจารณ์ พานิช, 2555) จะเห็นไดว้ า่ ทกั ษะท่ีสอดคลอ้ งกบั ภาษาองั กฤษคอื ทกั ษะดา้ นการสื่อสารซ่ึงทกั ษะน้ีจาเป็นในการดารงชีวิต จากการที่ผูว้ ิจยั ไดศ้ ึกษาขอ้ มูลปัญหาการเรียนการสอนภาษาองั กฤษในห้องเรียนและการศึกษา วิทยานิพนธ์ท้งั ในประเทศและต่างประเทศ ดงั เหตุผลท้งั หมดที่ไดก้ ล่าวมาน้นั ผูว้ ิจยั มีความสนใจที่จะศึกษา การจดั การเรียนรู้ดว้ ยกระบวนการเรียนรู้ Active Learning โดยใชว้ ธิ ีสอนภาษาองั กฤษตามแนวคดิ ภาษาเพื่อ การสื่อสาร (Communication Language Teaching ) หรือ CLT เป็นวิธีสอนที่มีลาดบั ข้นั ตอนการสอนผเู้ รียน ให้เกิดการเรียนรู้ โดยให้ผูเ้ รียนสามารถนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวนั ได้อย่างแทจ้ ริง มี ส่วนรวมในการทากิจกรรม มีการบูรณาการ 4 ทกั ษะ (Integrated 4 skills) ทาให้เกิดทกั ษะภาษา 4 ดา้ น คือ ฟัง พูด อ่าน เขียน โดยมีการปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างผูเ้ รียนกับผูเ้ รียน และผูเ้ รียนกับผูส้ อน เน้นการสื่อ ความหมาย (focus on meaning) ระหว่างผูส้ อนกบั ผูเ้ รียน โดยการนาส่ือสภาพจริง (authentic material) มา เป็นส่ือในการจดั กิจกรรม และให้ผเู้ รียนสามารถเขาถึงขอ้ มูลข่าวสารไดด้ ว้ ยตนเอง (self - access) สามารถ นาภาษาองั กฤษไปใชใ้ นสถานการณ์จริง (real situation และเพื่อพฒั นาผลสัมฤทธ์ิดา้ นคาศพั ทภ์ าษาองั กฤษ ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 ของโรงเรียนวดั พืชนิมิต (คาสวสั ด์ิราษฎรบารุง) รวมถึงการศึกษาความ คิดเห็นของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 ที่มีตอ่ การเรียนรู้คาศพั ทภ์ าษาองั กฤษโดยใชว้ ิธีสอนภาษาองั กฤษ ตามแนวคิดภาษาเพื่อการสื่อสาร (Communication Language Teaching ) หรือ CLT และการศึกษาความ คงทนในการจาในการเรียนรู้คาศัพท์ภาษาอังกฤษของนักเรียนช้ันประถมศึกษาปี ที่ 6 โดยใช้วิธีสอน ภาษาองั กฤษตามแนวคดิ ภาษาเพ่อื การสื่อสาร (Communication Language Teaching ) หรือ CLT วัตถปุ ระสงค์ของการวจิ ัย 1.เพ่ือพฒั นาแผนการจดั การเรียนรู้ดว้ ยกระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยใช้วิธีสอน ภาษาอังกฤษตามแนวคิดภาษาเพ่ือการส่ือสาร (Communication Language Teaching) หรื อ CLT ช้ัน ประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนวดั พชื นิมิต (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารุง)

2.เพ่ือเปรี ยบเทียบ ผลสัมฤทธ์ ิ ทางการเรี ยนก่อนเรี ยนและหลังเรี ยนของนักเรี ยนที่เรี ยนรู้ด้วย กระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยใช้วิธีสอนภาษาอังกฤษตามแนวคิดภาษาเพื่อการส่ือสาร (Communication Language Teaching) หรือ CLT ช้ันประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนวดั พืชนิมิต (คาสวสั ด์ิ ราษฎร์บารุง) 3.เพ่อื ศึกษาความพึงพอใจของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนวดั พืชนิมิต (คาสวสั ด์ิราษฎร์ บารุง) ท่ีมีต่อกระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยใชว้ ธิ ีสอนภาษาองั กฤษตามแนวคิดภาษาเพ่ือการ สื่อสาร (Communication Language Teaching) หรือ CLT สมมตฐิ านของการวิจัย 1.แผนการจดั การเรียนรู้ดว้ ยกระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยใชว้ ิธีสอนภาษาองั กฤษ ตามแนวคิดภาษาเพื่อการสื่อสาร (Communication Language Teaching) หรือ CLT ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนวดั พชื นิมิต (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารุง) มีประสิทธิภาพเทา่ กบั หรือสูงกกวา่ เกณฑท์ ่ีกาหนด 80/80 2.นักเรี ยนที่ผ่านการเรี ยนรู้ด้วยกระบวนการเรี ยนรู้แบบ Active Learning โดยใช้วิธีสอน ภาษาอังกฤษตามแนวคิดภาษาเพื่อการส่ือสาร (Communication Language Teaching) หรื อ CLT ช้ัน ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนวดั พชื นิมิต (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารุง) มีผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนหลงั เรียนและก่อน เรียน 3.นักเรี ยนที่ผ่านการเรี ยนรู้ด้วยกระบวนการเรี ยนรู้แบบ Active Learning โดยใช้วิธีสอน ภาษาอังกฤษตามแนวคิดภาษาเพื่อการสื่อสาร (Communication Language Teaching) หรื อ CLT ช้ัน ประถมศึกษาปี ท่ี 6 โรงเรียนวดั พืชนิมิต (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารุง) มีความพึงพอใจต่อจัดการเรียนรู้ด้วย กระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยใช้วิธีสอนภาษาอังกฤษตามแนวคิดภาษาเพื่อการสื่อสาร (Communication Language Teaching) หรือ CLT ในระดบั มาก ขอบเขตของการวิจยั เพ่ือใหก้ ารวจิ ยั คร้ังน้ีตรงตามวตั ถุประสงคข์ องการวจิ ยั ท่ีต้งั ไว้ ผวู้ ิจยั ไดก้ าหนดขอบเขต ของการวิจยั ดงั น้ี 1. ประชากรและกลุ่มตวั อย่าง ประชากรท่ีใชใ้ นการวิจยั คร้ังน้ี คือ นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนวดั พืชนิมิต (คาสวสั ด์ิราษฎร์ บารุง)อาเภอคลองหลวง จงั หวดั ปทมุ ธานี สงั กดั กระทรวงศึกษาธิการ จานวน 2 หอ้ งเรียน คอื นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี่ ท่ี 6/1 , 6/2 จานวนนกั เรียนท้งั หมด 47 คน

กลุ่มตวั อยา่ ง คอื นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 ภาคเรียนที่ 2 ปี การศึกษา 2564 โรงเรียนวดั พืชนิมิต (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารุง) อาเภอคลองหลวง จงั หวดั ปทุมธานี จานวน 1 หอ้ งเรียน ที่มาเรียน On-site เนื่องจาก เกิดการแพร่ระบาดของเช้ือไวรัสโคโรน่า โรงเรียนจึงไดม้ ีการจดั การเรียนการสอนแบบ on-line และ on-site โดยใชว้ ธิ ีสุ่มอยา่ งง่ายใชห้ อ้ งเรียนเป็นหน่วยการสุ่มดว้ ยวิธีเฉพาะเจาะจง นกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 ท่ีมาเรียน on-siteจานวน 15 คน 2. ตัวแปรทศี่ ึกษา ตวั แปรท่ีศึกษาในการวิจยั คร้ังน้ีคือ ตัวแปรต้น กระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยใชว้ ธิ ีสอนภาษาองั กฤษตามแนวคดิ ภาษาเพื่อ การส่ือสาร (Communication Language Teaching) หรือ CLT ตวั แปรตาม 1. ผลสัมฤทธ์ิการเรียนรู้ 2. ความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนรู้กระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยใชว้ ิธีสอน ภาษาองั กฤษตามแนวคดิ ภาษาเพอื่ การสื่อสาร (Communication Language Teaching) หรือ CLT นิยามศัพท์เฉพาะ 1. การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวคิดภาษาเพอ่ื การสื่อสาร หมายถึง การออกแบบกิจกรรมการ เรียนรู้ภาษาองั กฤษสาหรับนกั เรียน เพื่อพฒั นาความสามารถในการสื่อสารภาษาองั กฤษ โดยอิงหลกั การ สอนภาษาเพื่อการส่ือสาร ซ่ึงผสู้ อนเป็นผคู้ อยใหค้ าแนะนาและอานวยความสะดวกในการจดั กิจกรรม ประกอบดว้ ย 5 ข้นั ตอน คือ 1. การเตรียมความพร้อม (Warm up) 2. การนาเสนอเน้ือหา (Presentation) 3. การฝึกปฏิบตั ิ (Practice) 4. การใชภ้ าษา (Production) 5. การสรุปบทเรียน (Wrap up) 2. ผลสัมฤทธ์ิการเรียนรู้คาศพั ทภ์ าษาองั กฤษ หมายถึง คะแนนสอบวิชาภาษาองั กฤษของนกั เรียน ช้นั ประถมศึกษาปี ท่ี 6 จากแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เป็นขอ้ สอบแบบปรนยั ดว้ ยการวดั ความรู้ความหมายของคาศพั ท์ จานวน 20 ขอ้ เป็นแบบเลือกตอบ (Multiple Choice) 4 ตวั เลือก ซ่ึงมีคาตอบ ท่ีถกู ตอ้ งเพยี งคาตอบเดียว โดยการเลือกรูปภาพที่เหมาะสมกบั คาศพั ทแ์ ละมีความหมายของคาศพั ทท์ ี่ตรง กบั รูปภาพ 3. ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกท่ีแสดงถึงความชอบ ความพอใจ ความยนิ ดีที่ผเู้ รียนแสดงออก ของนกั เรียนที่มีต่อการจดั การเรียนการสอนดว้ ยกระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยใชว้ ิธีสอน

ภาษาองั กฤษตามแนวคดิ ภาษาเพอ่ื การสื่อสาร (Communication Language Teaching) หรือ CLT ท่ีผวู้ ิจยั จดั การเรียนการสอนข้นึ โดยมีการสอบถาม ดา้ นเน้ือหาสาระที่นามาทากิจกรรมตา่ ง ๆ ดา้ นรูปแบบภาษาท่ี ใช้ ดา้ นกระบวนการจดั การเรียนการสอนดา้ นการประเมินผล ดา้ นรูปแบบทวั่ ไป และดา้ นประโยชนข์ อง การจดั การเรียนการสอนดว้ ยกระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยใชว้ ธิ ีสอนภาษาองั กฤษตาม แนวคิดภาษาเพอ่ื การส่ือสาร (Communication Language Teaching) หรือ CLT โดยวดั จากแบบสอบถาม ความคิดเห็น ประโยชน์คาดว่าจะได้รับ 1. เป็นแนวทางสาหรับครูและผทู้ ่ีสนใจในการจดั การเรียนกระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยใชว้ ิธีสอนภาษาองั กฤษตามแนวคดิ ภาษาเพื่อการสื่อสาร (Communication Language Teaching) หรือ CLT ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ 2. สถานศึกษามีแนวทางในการจดั การเรียนการสอนแบบใหม่ที่จะพฒั นาการสอนไดอ้ ยา่ งมี ประสิทธิภาพมากข้ึน

กรอบแนวคดิ ในการวจิ ัย วธิ กี ารสอน แผนการจดั การเรียนรู้ดว้ ย กระบวนการเรียนรู้แบบ Active learning การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ Active Learning โดยใชว้ ธิ ี (Bonwell, 1991) ตามแนวคิดภาษาเพอ่ื การ สอนภาษาองั กฤษตาม สื่อสาร หมายถึง การ แนวคิดภาษาเพื่อการ หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั ออกแบบกิจกรรมการ สื่อสาร (Communication พ้ืนฐานพทุ ธศกั ราช 2551กลุม่ เรียนรู้ภาษาองั กฤษสาหรับ Language Teaching) หรือ สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ นกั เรียน เพอื่ พฒั นา CLT สาระที่ 1 ภาษาเพ่อื การสื่อสาร ความสามารถในการ สาระที่ 2 ภาษาและวฒั นธรรม สื่อสารภาษาองั กฤษ โดย ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน สาระท่ี 3 ภาษากบั ความสมั พนั ธ์ อิงหลกั การสอนภาษาเพอื่ ก่อนเรียนและหลงั เรียน กบั กล่มุ สาระการเรียนรู้อ่ืน การส่ือสาร ซ่ึงผสู้ อนเป็นผู้ ของนกั เรียนที่เรียนรู้ดว้ ย สาระที่ 4 ภาษากบั ความสัมพนั ธ์ คอยใหค้ าแนะนาและ กระบวนการเรียนรู้แบบ กบั ชุมชนและโลก อานวยความสะดวกในการ Active Learning โดยใชว้ ิธี เรื่อง Out and about, จดั กิจกรรมประกอบดว้ ย 5 สอนภาษาองั กฤษตาม Transportation, Places ข้นั ตอน คือ แนวคิดภาษาเพือ่ การ 1. การเตรียมความพร้อม ส่ือสาร (Communication (Warm up) Language Teaching) หรือ 2. การนาเสนอเน้ือหา CLT ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ (Presentation) 6 โรงเรียนวดั พชื นิมิต (คา 3. การฝึกปฏิบตั ิ (Practice) สวสั ด์ิราษฎร์บารุง) 4. การใชภ้ าษา (Production) ความพงึ พอใจของนกั เรียน 5. การสรุปบทเรียน (Wrap ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 up) โรงเรียนวดั พืชนิมิต (คา สวสั ด์ิราษฎร์บารุง) ที่มีต่อ แผนภาพที่ 1 กรอบแบนทวทคี่ 2ิดในการวจิ ยั กระบวนการเรียนรู้แบบ Active Learning โดยใชว้ ธิ ี สอนภาษาองั กฤษตาม แนวคิดภาษาเพื่อการ สื่อสาร (Communication Language Teaching) หรือ CLT

วรรณกรรมท่ีเก่ียวขอ้ ง การศึกษาเรื่องการพฒั นาผลสัมฤทธ์ิการเรียนรู้คาศพั ทภ์ าษาองั กฤษโดยใชว้ ิธีสอนกิจกรรมเป็นฐาน ของนกั เรียนช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 โรงเรียนวดั พชื นิมิต (คาสวสั ด์ิราษฎร์บารุง) ผวู้ ิจยั ไดศ้ ึกษาเอกสารและ งานวิจยั ที่เกี่ยวขอ้ ง ดงั น้ี 1. หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาต่างประเทศ 1.1 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ 1.2 คณุ ภาพผเู้ รียน 1.3 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ช้นั ประถมศึกษาปี ที่ 6 2. แนวคดิ เกี่ยวกบั ทฤษฎีการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร (Communication Language Teaching) 2.1 ความหมายของการสอนภาษาเพ่ือการส่ือสาร 2.2 แนวคดิ พ้นื ฐานของการสอนภาษาเพอื่ การส่ือสาร 2.3 หลกั การสอนและจดั กิจกรรมตามแนวคดิ ภาษาเพ่อื การส่ือสาร 2.4 ข้นั ตอนการสอนภาษาเพอ่ื การส่ือสาร 2.5 ทฤษฎีการเรียนรู้ทางจิตวิทยาท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั วธิ ีการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร 3.การเรียนการสอนแบบ Active Learning 3.1 แนวคดิ และทฤษฎีของการจดั การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) 3.2 ความหมายของการจดั การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) 3.3 ความสาคญั ของการจดั การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) 3.4 ลกั ษณะของการจดั การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) 3.5 กระบวนการออกแบบกิจกรรมจดั การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) 3.6 บทบาทครูผสู้ อนในการจดั การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) 3.7 รูปแบบการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ Active Learning 4.แนวคิดเกี่ยวกบั แผนการจดั การเรียนรู้ 4.1 ความหมายของแผนการจดั การเรียนรู้ 4.2 องคป์ ระกอบของแผนการจดั การเรียนรู้ 4.3 ประโยชน์ของแผนการจดั การเรียนรู้ 5. งานวิจยั ที่เก่ียวขอ้ ง 5.1 งานวจิ ยั ภายในประเทศ 5.2 งานวิจยั ตา่ งประเทศ 1. หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พุทธศักราช 2551 กล่มุ สาระการเรียนรู้

ภาษาต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการไดก้ าหนดสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (สานกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา, 2551: 8-48) ไวด้ งั น้ี 1.1 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระท่ี 1 ภาษาเพือ่ การส่ือสาร มาตรฐาน ต 1.1 เขา้ ใจและตีความเรื่องท่ีฟังและอ่านจากส่ือประเภทตา่ ง ๆ และแสดง ความคิดเห็นอยา่ งมีเหตผุ ล มาตรฐาน ต 1.2 มีทกั ษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปล่ียนขอ้ มูลข่าวสาร แสดง ความรู้สึก และความคิดเห็นอยา่ งมีประสิทธิภาพ มาตรฐาน ต 1.3 นาเสนอขอ้ มูลขา่ วสาร ความคดิ รวบยอด และความคดิ เห็นในเรื่อง ต่าง ๆ โดยการพดู และการเขียน สาระที่ 2 ภาษาและวฒั นธรรม มาตรฐาน ต 2.1 เขา้ ใจความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งภาษากบั วฒั นธรรมของเจา้ ของภาษา และ นาไปใช้ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมกบั กาลเทศะ มาตรฐาน ต 2.2 เขา้ ใจความเหมือนและความแตกตา่ งระหวา่ งภาษาและวฒั นธรรมของ เจา้ ของภาษากบั ภาษาและวฒั นธรรมไทย และนามาใชอ้ ยา่ งถูกตอ้ งและเหมาะสม สาระที่ 3 ภาษากบั ความสัมพนั ธก์ บั กลมุ่ สาระการเรียนรู้อ่ืน มาตรฐาน ต 3.1 ใชภ้ าษาตา่ งประเทศในการเช่ือมโยงความรู้กบั กลุม่ สาระการเรียนรู้อ่ืน และเป็นพ้ืนฐานในการพฒั นา แสวงหาความรู้ และเปิ ดโลกทศั นข์ องตน สาระท่ี 4 ภาษากบั ความสมั พนั ธก์ บั ชุมชนและโลก มาตรฐาน ต 4.1 ใชภ้ าษาตา่ งประเทศในสถานการณ์ตา่ ง ๆ ท้งั ในสถานศึกษาชุมชน และ สงั คม มาตรฐาน ต 4.2 ใชภ้ าษาตา่ งประเทศเป็นเครื่องมือพ้ืนฐานในการศึกษาตอ่ การประกอบ อาชีพและการแลกเปล่ียนเรียนรู้กบั สังคมโลก คุณภาพผู้เรียน ช่วงช้ันท่ี 2 จบช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6  ปฏิบตั ิตามคาสั่ง คาขอร้อง และคาแนะนาที่ฟังและอ่าน อ่านออกเสียงประโยค ขอ้ ความ นิทานและบทกลอนส้ันๆ ถกู ตอ้ งตามหลกั การอา่ น เลือก/ระบปุ ระโยคและขอ้ ความ ตรงตามความหมาย ของสัญลกั ษณ์หรือเคร่ืองหมายท่ีอ่าน บอกใจความสาคญั และตอบคาถามจากการฟังและอา่ นบทสนทนา นิทานง่ายๆ และเร่ืองท่ีเลา่

 พดู /เขยี นโตต้ อบในการสื่อสารระหวา่ งบคุ คล ใชค้ าสง่ั คาขอร้อง คาขออนุญาต และให้ คาแนะนา พดู /เขียนแสดงความตอ้ งการ ขอความช่วยเหลือ ตอบรับและปฏิเสธการให้ ความช่วยเหลือในสถานการณ์ง่ายๆ พูดและเขยี นเพื่อขอและใหข้ อ้ มลู เก่ียวกบั ตนเอง เพื่อน ครอบครัว และ เรื่องใกลต้ วั พดู /เขียนแสดงความรู้เกี่ยวกบั เร่ืองต่างๆ ใกลต้ วั กิจกรรมต่างๆ พร้อมท้งั ใหเ้ หตผุ ลส้ันๆ ประกอบ  พูด/เขยี นใหข้ อ้ มูลเก่ียวกบั ตนเอง เพื่อน และสิ่งแวดลอ้ มใกลต้ วั เขียนแผนภาพ แผนผงั และ ตารางแสดงขอ้ มูลต่างๆ ท่ีฟังและอา่ น พดู /เขียนแสดงความคิดเห็นเก่ียวกบั เรื่องต่างๆ ใกลต้ วั  ใชถ้ อ้ ยคา น้าเสียง และกิริยาทา่ ทางอยา่ งสุภาพ เหมาะสม ตามมารยาทสงั คมและวฒั นธรรม ของเจา้ ของภาษา ใหข้ อ้ มลู เก่ียวกบั เทศกาล/วนั สาคญั /งานฉลอง/ชีวิตความเป็นอยขู่ องเจา้ ของภาษา เขา้ ร่วม กิจกรรมทางภาษาและวฒั นธรรมตามความสนใจ  บอกความเหมือน/ความแตกต่างระหวา่ งการออกเสียงประโยคชนิดต่างๆ การใชเ้ คร่ืองหมาย วรรคตอน และการลาดบั คาตามโครงสร้างประโยคของภาษาต่างประเทศและภาษาไทย เปรียบเทียบความ เหมือน/ความตา่ งระหวา่ งเทศกาล งานฉลอง และประเพณีของเจา้ ของภาษากบั ของไทย  คน้ ควา้ รวบรวมคาศพั ทท์ ่ีเกี่ยวขอ้ งกบั กลุ่มสาระการเรียนรู้อ่ืนจากแหล่งการเรียนรู้และนาเสนอ ดว้ ยการพูด/การเขยี น  ใชภ้ าษาส่ือสารในสถานการณ์ตา่ งๆ ที่เกิดข้นึ ในหอ้ งเรียนและสถานศึกษา  ใชภ้ าษาต่างประเทศในการสืบคน้ และรวบรวมขอ้ มลู ต่างๆ  มีทกั ษะการใชภ้ าษาตา่ งประเทศ (เนน้ การฟัง – พูด – อ่าน – เขยี น) สื่อสารตาม หวั เร่ือง เกี่ยวกบั ตนเอง ครอบครัว โรงเรียน ส่ิงแวดลอ้ ม อาหาร เครื่องดื่ม และเวลาวา่ งและนนั ทนาการ สุขภาพ และสวสั ดิการ การซ้ือ – ขาย และลมฟ้าอากาศ ภายในวงคาศพั ทป์ ระมาณ 1,050 – 1,200 คา (คาศพั ทท์ ่ี เป็นรูปธรรม) ใชป้ ระโยคเด่ียวและประโยคผสม(Compound Sentence) ส่ือความหมายตามบริบทตา่ งๆ สาระและมาตรฐานการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ระดับช้ันประถมศึกษาปี ที่ 6 ตัวชี้วัดและหน่วยการเรียนรู้ ช้ันประถมศึกษาปี ท่ี 6

สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการส่ือสาร มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องท่ฟี ังและอ่านจากส่ือประเภทต่างๆ และแสดงความ คิดเห็นอย่างมเี หตุผล ช้ัน ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.6 1. ปฏิบตั ิตามคาสั่ง คาขอร้อง และ  คาส่งั คาขอร้อง ภาษาทา่ ทาง และ คาแนะนาในการ คาแนะนาท่ีฟังและอา่ น เล่นเกม การวาดภาพการทาอาหารและเครื่องด่ืม และ การประดิษฐ์  คาสง่ั เช่น Look at the…/here/ over there/Say it again./ Read and draw./Put a/an…in/on/ under a/an…/Don’t go over there etc.  คาขอร้อง เช่น Please look up the meaning in a dictionary./Look up the meaning in a dictionary. please./Can/Could you help me. Please? etc.  คาแนะนา เช่น You should read everyday./Think before you speak./  คาบอกลาดบั ข้นั ตอน First,… Second,… Next,… Then,… Finally,… etc. สาระท่ี 1 ภาษาเพ่ือการสื่อสาร มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตคี วามเรื่องที่ฟังและอ่านจากส่ือประเภทต่างๆ และแสดงความ

คดิ เห็นอย่างมีเหตผุ ล สาระการเรียนรู้แกนกลาง ช้ัน ตัวชีว้ ดั  ขอ้ ความ นิทาน และบทกลอน ป.6 2. อ่านออกเสียงขอ้ ความ นิทาน และ  การใชพ้ จนานุกรม  หลกั การอ่านออกเสียง เช่น บทกลอนส้นั ๆ ถูกตอ้ งตาม หลกั การอ่าน  การอ่านออกเสียงพยญั ชนะตน้ คา และพยญั ชนะทา้ ยคา  การออกเสียงเนน้ หนกั – เบา ในคาและกล่มุ คา  การออกเสียงตามระดบั เสียงสูง – ต่า ในประโยค  การออกเสียงเชื่อมโยง (Linking sound) ในขอ้ ความ  การออกเสียงบทกลอนตามจงั หวะ 3. เลือก/ระบปุ ระโยค หรือขอ้ ความ  ประโยคหรือขอ้ ความส้ันๆ สญั ลกั ษณ์ เคร่ืองหมายและ ส้นั ๆ ตรงตามภาพ สัญลกั ษณ์ ความหมายเก่ียวกบั ตนเอง ครอบครัว โรงเรียน หรือ เครื่องหมายท่ีอ่าน สิ่งแวดลอ้ ม อาหาร เคร่ืองด่ืม เวลาวา่ งและ นนั ทนาการ สุขภาพและสวสั ดิการ การซ้ือ – ขาย และ ลมฟ้าอากาศ และเป็นวงคาศพั ทส์ ะสมประมาณ 1,050 – 1,200 คา (คาศพั ทท์ ่ีเป็นรูปธรรมและนามธรรม) สาระที่ 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร มาตรฐาน ต 1.1 เข้าใจและตีความเรื่องที่ฟังและอ่านจากสื่อประเภทต่างๆ และแสดงความ

คิดเห็นอย่างมีเหตผุ ล ช้ัน ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.6 4. บอกใจความสาคญั และตอบคาถาม  ประโยค บทสนทนา นิทาน หรือ เร่ืองเลา่ คาถาม จากการฟังและอา่ นบทสนทนา เก่ียวกบั ใจความสาคญั ของเรื่อง เช่น ใคร ทาอะไร ที่ นิทาน ง่ายๆ และเรื่องเลา่ ไหน เม่ือไร อยา่ งไร ทาไม  Yes/No Question เช่น Is/Are/Can…? Yes,…is/are/can./ No,…isn’t/aren’t/can’t Do/Does/Can/Is/Are… ? Yes/No… etc.  Wh – Question เช่น Who is/are… ? He/She is…/ They are… What… ?/Where… ? It is …/They are… What…doing ? …is/am/are… etc.  Or – Question เช่น Is this/it a/an…or a/an… ? It is a/an… Is/Are/Was/Were/Did…or… ? etc. สาระท่ี 1 ภาษาเพื่อการส่ือสาร

มาตรฐาน ต 1.2 มที กั ษะการส่ือสารทางภาษาในการแลกเปลยี่ นข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึก และความคิดเหน็ อย่างมีประสิทธิภาพ ช้ัน ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.6 1. พดู /เขียนโตต้ อบในการสื่อสาร  บทสนทนาท่ีใชใ้ นการทกั ทาย กล่าวลา ขอบคุณ ระหวา่ งบคุ คล ขอโทษ ชมเชย การพดู แทรก อยา่ งสุภาพ ประโยค/ขอ้ ความที่ใชแ้ นะนาตนเอง เพื่อน และ บคุ คลใกลต้ วั และสานวน การตอบรับ เช่น Hi/Hello/ Good morning/ Good afternoon/ Good evening/I am sorry./ How are you?/I’m fine./Very well./ Thank you. And you?/Hello. I can… Hello, I am… This is my sister. Her name is… Hello,…/ Nice to see you./ Nice to see you, too./Goodbye./Bye./ See you soon/later./Great!/Good./ Very good. Thank you./Thank you very much./You’re welcome./ It’s O.K./That’s O.K./ That’s all right./Not at all./ Don’t worry./Never mind./ Excuse me./ Excuse me, Sir./Madam. etc. 2. ใชค้ าสง่ั คาขอร้อง คาขออนุญาต  คาส่งั คาขอร้อง คาขออนุญาต และใหค้ าแนะนาท่ีมี และใหค้ าแนะนา 2 – 3 ข้นั ตอน สาระท่ี 1 ภาษาเพื่อการส่ือสาร มาตรฐาน ต 1.2 มที ักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลย่ี นข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึก

และความคดิ เห็นอย่างมีประสิทธิภาพ ช้ัน ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.6 3. พดู /เขียน แสดงความตอ้ งการ  คาศพั ท์ สานวนภาษา และประโยค ที่ใชบ้ อกความ ขอความช่วยเหลือ ตอบรับ และ ปฏิเสธการใหค้ วามช่วยเหลือใน ตอ้ งการ ขอความช่วยเหลือ ตอบรับและ สถานการณ์งา่ ยๆ ปฏิเสธการใหค้ วามช่วยเหลือ เช่น Please…/May…?/I need…/Help me!/ Can/Could… ?/ Yes,…/No,… etc. 4. พูดและเขียนเพือ่ ขอและใหข้ อ้ มูล  คาศพั ท์ สานวนภาษา และประโยค ที่ใชข้ อและให้ เกี่ยวกบั ตนเอง เพ่ือน ครอบครัว ขอ้ มูลเก่ียวกบั ตนเอง เพื่อน ครอบครัว และเร่ืองใกล้ และเร่ืองใกลต้ วั ตวั เช่น What do you do? I’m a/an… What is she/he? …is a/an(อาชีพ) How old/tall… ? I am… Is/Are…going to…or… ? … is/are going to… etc. สาระที่ 1 ภาษาเพ่ือการสื่อสาร

มาตรฐาน ต 1.2 มีทักษะการสื่อสารทางภาษาในการแลกเปลยี่ นข้อมูลข่าวสาร แสดงความรู้สึก และความคิดเหน็ อย่างมีประสิทธภิ าพ ช้ัน ตวั ชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.6 5. พดู /เขยี นแสดงความรู้สึกของ  คาและประโยคท่ีใชแ้ สดงความรู้สึกและการใหเ้ หตุผล ตนเอง เกี่ยวกบั เร่ืองตา่ งๆ ใกล้ ประกอบ เช่น ชอบ ไมช่ อบ ดีใจ เสียใจ มีความสุข เศร้า ตวั กิจกรรมตา่ งๆ พร้อมท้งั ให้ หิว รสชาติ สวย น่าเกลียด เสียงดงั ดี ไม่ดี เช่น เหตผุ ลส้นั ๆ ประกอบ I’m…/He/She/It is…/You/We/ They are… I/You/We/They like…/He/ She likes… because… I/You/We/They love…/ He/ She loves… because… I/You/We/They don’t like…/love/ feel… because… He/She doesn’t like…/love/ feel… because… I/You/We/They feel… because… etc. สาระท่ี 1 ภาษาเพื่อการสื่อสาร

มาตรฐาน ต 1.3 นาเสนอข้อมูลข่าวสาร ความคดิ รวบยอด และความคิดเห็นในเรื่องต่างๆ โดย การพดู และการเขียน ช้ัน ตวั ชีว้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.6 1. พูด/เขียน ใหข้ อ้ มูลเก่ียวกบั ตนเอง  ประโยคและขอ้ ความที่ใชใ้ นการใหข้ อ้ มลู เกี่ยวกบั เพอื่ น และสิ่งแวดลอ้ มใกลต้ วั ตนเอง กิจวตั รประจาวนั เพื่อน สิ่งแวดลอ้ มใกลต้ วั เช่น ขอ้ มูลส่วนบุคคล ส่ิงต่างๆ จานวน 1-1,000 ลาดบั ที่ วนั เดือน ปี รูปทรง ตาแหน่งของสิ่งตา่ งๆ ทิศทางงา่ ยๆ สภาพดินฟ้าอากาศ อารมณ์ ความรู้สึก  เครื่องหมายวรรคตอน 2. เขียนภาพ แผนผงั แผนภูมิ และ  คา กลุม่ คา และประโยคท่ีมีความหมายสมั พนั ธก์ บั ตารางแสดงขอ้ มูลตา่ งๆ ท่ีฟังหรือ ภาพ แผนผงั แผนภมู ิ และตาราง อา่ น 3. พดู /เขียน แสดงความคดิ เห็นเกี่ยวกบั  ประโยคท่ีใชใ้ นการแสดงความคดิ เห็น เรื่องต่างๆ ใกลต้ วั สาระที่ 2 ภาษาและวฒั นธรรม มาตรฐาน ต 2.1 เข้าใจความสัมพนั ธ์ระหว่างภาษากบั วฒั นธรรมของเจ้าของภาษา และ

นาไปใช้ได้อย่างเหมาะสมกบั กาลเทศะ ช้ัน ตัวชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.6 1. ใชถ้ อ้ ยคา น้าเสียง และกริ ิยา  การใชถ้ อ้ ยคา น้าเสียง และกิริยาทา่ ทาง ตามมารยาท ท่าทางอยา่ งสุภาพ เหมาะสม ตาม สงั คมและวฒั นธรรมของเจา้ ของภาษา เช่น การ มารยาทสังคมและวฒั นธรรมของ ขอบคณุ ขอโทษ การใชส้ ีหนา้ ทา่ ทางประกอบการพูด เจา้ ของภาษา ขณะแนะนาตนเอง การแสดงความรู้สึกชอบ/ ไมช่ อบ การกล่าวอวยพร การแสดงอาการตอบรับหรือปฏิเสธ 2. ใหข้ อ้ มูลเก่ียวกบั เทศกาล/วนั  ขอ้ มลู และความสาคญั ของเทศกาล/ วนั สาคญั /งานฉลอง สาคญั /งานฉลอง/ชีวติ ความเป็นอยู่ และ ชีวติ ความเป็นอยขู่ องเจา้ ของภาษา เช่น วนั คริสตม์ าส ของเจา้ ของภาษา วนั ข้นึ ปี ใหม่ วนั วาเลนไทน์ เครื่องแต่งกาย ฤดูกาล อาหาร เคร่ืองดื่ม 3. เขา้ ร่วมกิจกรรมทางภาษาและ  กิจกรรมทางภาษาและวฒั นธรรม เช่น การเลน่ เกม การ วฒั นธรรมตามความสนใจ ร้องเพลง การเลา่ นิทาน บทบาทสมมตุ ิ วนั ขอบคุณ พระเจา้ วนั คริสตม์ าส วนั ข้นึ ปี ใหม่ วนั วาเลนไทน์ สาระที่ 2 ภาษาและวัฒนธรรม มาตรฐาน ต 2.2 เข้าใจความเหมือนและความแตกต่างระหว่างภาษาและวฒั นธรรมของเจ้าของ ภาษากบั ภาษาและวฒั นธรรมไทย และนามาใช้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ช้ัน ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.6 1. บอกความเหมือน/ความแตกต่างระหวา่ ง  ความเหมือน/ความแตกต่างระหวา่ ง การออกเสียง การออกเสียงประโยคชนิดตา่ งๆ การใช้ ประโยคชนิดต่างๆ ของเจา้ ของภาษากบั ของไทย เคร่ืองหมายวรรคตอน และการลาดบั คา ตามโครงสร้างประโยคของ  ใชเ้ ครื่องหมายวรรคตอน และ การลาดบั คาตาม ภาษาต่างประเทศและภาษาไทย โครงสร้างประโยคของภาษาตา่ งประเทศและ ภาษาไทย 2. เปรียบเทียบความเหมือน/ ความ แตกตา่ งระหวา่ งเทศกาล งานฉลอง  การเปรียบเทียบความเหมือน/ ความแตกตา่ ง และประเพณีของเจา้ ของภาษากบั ของไทย ระหวา่ งเทศกาล งานฉลองและประเพณีของ เจา้ ของภาษากบั ของไทย สาระที่ 3 ภาษากบั ความสัมพนั ธ์กบั กล่มุ สาระการเรียนรู้อ่ืน มาตรฐาน ต 3.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในการเช่ือมโยงความรู้กบั กลุ่มสาระการเรียนรู้อ่ืน และ

เป็ นพืน้ ฐานในการพฒั นา แสวงหาความรู้ และเปิ ดโลกทศั น์ของตน ช้ัน ตัวชีว้ ัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.6 1. คน้ ควา้ รวบรวมคาศพั ทท์ ี่เก่ียวขอ้ ง  การคน้ ควา้ การรวบรวมและนาเสนอคาศพั ทท์ ี่ กบั กลุ่มสาระการเรียนรู้อ่ืนจากแหลง่ เก่ียวขอ้ งกบั กลุ่มสาระ การเรียนรู้อ่ืน การเรียนรู้ และนาเสนอดว้ ยการพูด/ การเขยี น สาระท่ี 4 ภาษากบั ความสัมพนั ธ์กบั ชุมชนและโลก มาตรฐาน ต 4.1 ใช้ภาษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่างๆ ท้งั ในสถานศึกษา ชุมชน และสังคม ช้ัน ตวั ชี้วดั สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.6 1. ใชภ้ าษาส่ือสารในสถานการณ์ตา่ งๆ  การใชภ้ าษาส่ือสารในสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดข้ึนใน ที่เกิดข้ึนในหอ้ งเรียนและ หอ้ งเรียน และสถานศึกษา สถานศึกษา มาตรฐาน ต 4.2 ใช้ภาษาต่างประเทศเป็ นเครื่องมือพืน้ ฐานในการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และการแลกเปลย่ี นเรียนรู้กบั สังคมโลก ช้ัน ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้แกนกลาง ป.6 1. ใชภ้ าษาต่างประเทศในการสืบคน้  การใชภ้ าษาตา่ งประเทศในการสืบคน้ และรวบรวม และรวบรวมขอ้ มลู ตา่ งๆ คาศพั ทท์ ่ีเก่ียวขอ้ งใกลต้ วั จากสื่อและแหล่งการ เรียนรู้ตา่ งๆ 2. แนวคิดเกย่ี วกบั ทฤษฎีการสอนภาษาเพื่อการสื่อสาร (Communication Language Teaching) 2.1 ความหมายของการสอนภาษาเพ่ือการสื่อสาร

นกั ภาษาศาสตร์ไดใ้ หค้ วามหมายของการสอนภาษาเพอื่ การสื่อสารไว้ ดงั น้ี สุมิตรา องั วฒั นกุล (2537 : 107) กล่าวว่า การสอนภาษาเพ่ือการส่ือสารเกิดจากแนวคิดท่ีเชื่อว่า ภาษาไมไ่ ดเ้ ป็นเพยี งระบบไวยากรณ์ที่ประกอบดว้ ยศพั ท์ เสียง โครงสร้างเท่าน้นั แตภ่ าษา คือ ระบบที่ใชใ้ น การสื่อความหมาย ดงั น้นั การสอนภาษาเพื่อสื่อสารจึงควรให้ผูเ้ รียนสามารถนาภาษาไปใช้ในการส่ือสาร หรือสื่อความหมายไดแ้ ละใชภ้ าษาไดอ้ ยา่ งเหมาะสมกบั บริบท กุลยา เบญจกาญจน์ (2530 : 22) กล่าววา่ แนวการสอนเพื่อการส่ือสาร หมายถึง การสอนใหผ้ เู้ รียน เรียนรู้ภาษาโดยใช้ภาษาได้อย่างเหมาะสมกบั สถานการณ์มากกว่าเรียนเพื่อสร้างประโยคท่ีถูกตอ้ งทาง ไวยากรณ์เท่าน้นั Littlewood (1981 : 17) กล่าววา่ การสอนภาษาเพอ่ื การส่ือสารควรเนน้ เร่ือง หนา้ ท่ีของภาษามากกวา่ รูปแบบของภาษา การเรียนภาษาไม่ได้เรียนแต่เฉพาะกฎเกณฑ์ไวยากรณ์เท่าน้ัน แต่ผูเ้ รียนจะต้องมี ความสามารถในการสื่อความหมายใหผ้ อู้ ่ืนเขา้ ใจได้ สรุปได้ว่า การสอนภาษาเพื่อการส่ือสาร (Communication Language Teaching) หมายถึง การสื่อ ความหมายใหผ้ ูอ้ ่ืนเขา้ ใจ เหมาะสมตามสถานการณ์ และบริบท ไม่ใช่เพียงยึดตามหลกั ไวยากรณ์ท่ีถูกตอ้ ง เพยี งเทา่ น้นั 2.2 แนวคดิ พื้นฐานของการสอนภาษาเพื่อการส่ือสาร ปัจจุบนั การสอนภาษาเพ่อื การส่ือสารมีบทบาทอยา่ งมาก ในการจดั การเรียนการสอน การสอนภาษา เพ่ือการส่ือสารมุ่งเนน้ ให้ผเู้ รียนสามารถนาความรู้ ไปใชใ้ นชีวิตประจาวนั ได้ ซ่ึงผเู้ รียนตอ้ งมีความรู้ในเรื่อง กฎเกณฑท์ างภาษา และนอกเหนือจากกฎเกณฑท์ างภาษา เช่น บทบาททางสังคม เจตคติของ คู่สนทนา โดย สื่อความหมายใหผ้ อู้ ื่นเขา้ ใจ Littlewood (1984 : 22) ใหค้ วามเห็นวา่ แนวความคิดของการสอนภาษา เพื่อการส่ือสารน้นั เนน้ การ ท่ีผเู้ รียนสามารถฝึกฝนส่ิงท่ีตนเองไดร้ ับกบั สถานการณ์ที่ตอ้ งสื่อสารโตต้ อบจริง ๆ Hymes (1981: 5) กล่าวว่า ผู้เรี ยนที่เรี ยนภาษาต่างประเทศเป็ นภาษาที่สองน้ัน ควรเน้นที่ ประสิทธิภาพในการส่ือสารมากกวา่ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ การใชภ้ าษาไดอ้ ยา่ งเหมาะสมกบั สภาพสงั คม สรุปไดว้ ่า แนวคิดพ้ืนฐานของการสอนภาษาเพ่ือการสื่อสารน้ันเน้นให้ผเู้ รียนฝึ กการใชส้ ่ือสารให้ เหมาะสมตามสถานการณ์ และบริบท 2.3 หลกั การสอนและจดั กจิ กรรมตามแนวคดิ ภาษาเพ่ือการสื่อสาร หลกั การสอนตามแนวคดิ ภาษาเพ่ือการสื่อสาร การสอนภาษาเพ่ือการสื่อสารมีหลักสาคัญอยู่หลายประการ ผู้เช่ียวชาญทางภาษา ได้กล่าวถึง หลกั การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ทางภาษาเพื่อการสื่อสารไว้ ดงั น้ี วิจิตรา การกลางและคณะ (2545 : 2) กลา่ วถึงหลกั การสอนภาษาเพ่ือการสื่อสาร ดงั น้ี ดา้ นการใชภ้ าษาเพื่อการส่ือสารเป็นเป้าหมายสาคญั

Finocchiaro and Bonomo(1989 : 65) กลา่ วถึงหลกั การสอนภาษาเพ่อื การสื่อสาร ดงั น้ี 1. วางแผนในการจดั ประสบการณ์การเรียนการสอนแก่ผูเ้ รียนอยา่ งรอบคอบ 2. จดั สถานการณ์และการใชอ้ ุปกรณ์เพอ่ื ช่วยใหผ้ เู้ รียนเขา้ ใจความหมายของเรื่องท่ีนาเสนอ 3. จดั บทเรียนใหม้ ีการฝึกใชก้ ิจกรรมเพอื่ การสื่อสาร 4. ใชภ้ าษาท่ีช่วยใหผ้ เู้ รียนเขา้ ใจขอ้ มลู ไดช้ ดั เจน 5. รู้วธิ ีการฝึกนกั เรียนพร้อมกนั ท้งั ช้นั เป็นรายกลมุ่ และรายบุคคล 6. มีความชานาญในการสอน 7. จดั หาบทเรียนที่หลากหลายรูปแบบ เพ่อื พฒั นาความสามารถในการส่ือสาร 8. จดั เตรียมอปุ กรณ์ เพื่อความคล่องตวั ในการจดั กิจกรรมในหอ้ งเรียน 9. ส่งเสริมใหน้ กั เรียนเขา้ ใจวฒั นธรรมของเจา้ ของภาษาจากการจดั กิจกรรมและบทสนทนา 10. เลือกโสตทศั นูปกรณ์อยา่ งมีประสิทธิภาพ 11. จดั ใหม้ ีการประเมินผล เพอื่ ทราบผลสมั ฤทธ์ิของผเู้ รียน และประสิทธิภาพในการสอน สรุปไดว้ า่ หลกั การสอนตามแนวคิดภาษาเพ่ือการสื่อสารมีหลกั การสาคญั ไดแ้ ก่ การสอนภาษาให้ ผูเ้ รียนต้องเป็ นการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ให้ความสาคัญกับบริบทและสถานการณ์จริง ใช้วิธีการ หลากหลาย ยดื หยนุ่ เหมาะสมกบั ผเู้ รียน และกระตนุ้ ผเู้ รียนใหไ้ ดใ้ ชภ้ าษาในส่ือสาร หลกั การจดั กจิ กรรมตามแนวคดิ ภาษาเพื่อการสื่อสาร สมถวลิ ธนโสภณ (2540 : 12) แบง่ กิจกรรมสอนภาษาเพอ่ื การส่ือสารเป็น 2 กิจกรรมหลกั คือ 1. กิจกรรมเพือ่ การสื่อสารตามจุดประสงคแ์ ละสถานการณ์การใชภ้ าษา (Functional Communication Activities) กิจกรรมน้ีมีจุดมุ่งหมาย เพ่ือพฒั นาทกั ษะทางภาษาเพ่ือการสื่อสารท่ีจาเป็ นในการสื่อสารให้ บรรลุตามจุดประสงค์ โดยผสู้ อนกาหนดสถานการณ์ใหผ้ เู้ รียนใชภ้ าษา 2. กิจกรรมการใช้ภาษาเพ่ือการสื่อสารท่ีเน้นพัฒนาทักษะ หมายถึง กิจกรรมที่ฝึ กให้ผูเ้ รียนมี ความสามารถในการใชภ้ าษาในสถานการณ์ตา่ ง ๆ ไดอ้ ยา่ งเหมาะสมและถูกตอ้ งเป็นท่ียอมรับของสงั คมท่ีใช้ ภาษาน้นั ๆ ตามจุดหมายหลกั ของการใชภ้ าษาเพอื่ การสื่อสารมุ่งพฒั นาทกั ษะท้งั 4 ดา้ น โดยผเู้ รียนมีโอกาส ไดท้ ากิจกรรมอยา่ งเสรี ผสู้ อนเป็นผใู้ หค้ วามช่วยเหลือในการใชภ้ าษา เช่น การสนทนาอภิปรายโตว้ าที การ เลียนแบบ การแสดงบทบาทสมมุติ เป็นตน้ สุภทั รา อกั ษรานุเคราะห์ (2530 : 15) กล่าวว่า หลกั การจดั กิจกรรมเพ่ือการสื่อสารผูส้ อนควรจดั กิจกรรมการสอนภาษาเพอ่ื การส่ือสาร ดว้ ยวธิ ีการ ดงั น้ี 1. ผู้สอนนาเหตุการณ์นอกห้องเรียนเข้าไปสู่ช้ันเรียนโดยใช้บทบาทสมมุติ (Role Play) การ เลียนแบบ (Simulation) และกิจกรรมการแกป้ ัญหา (Problem Solving Activity) 2. ผสู้ อนใชภ้ าษาที่เป็นสภาพจริง (Authentic Language) ใชภ้ าษาที่เป็นธรรมชาติเป็ นภาษาที่ใช้ได้ ท้งั ใน และนอกหอ้ งเรียนใหม้ ีเน้ือหาที่เป็นจริงในชีวิตประจาวนั

3. ผูส้ อนเน้นความหมายของภาษาเพ่ือการส่ือสารเพ่ือช่วยให้ผูเ้ รียนคาดเดา ผูพ้ ูดได้ ผูเ้ รียนเลือก เน้ือหา สอดคลอ้ งกบั วิชาที่สอนโดยยดึ จุดประสงคก์ ารสอนเป็นสาคญั 4. ผสู้ อนใหโ้ อกาสผเู้ รียนแสดงความรู้สึก ความคิดและทศั นคติ แลกเปลี่ยนขอ้ มูล 5. ผสู้ อนกระตนุ้ และส่งเสริมใหผ้ เู้ รียนร่วมมือ และทางานเป็นกลุ่ม เปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนแต่ละคนมี ส่วนร่วมในกิจกรรม โดยการสร้างแรงจูงใจ 6. ผสู้ อนออกแบบกิจกรรมท่ีเปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนไดใ้ ชภ้ าษาในการสื่อสารไดค้ รอบคลุม สรุปไดว้ ่า หลกั การจดั กิจกรรมตามแนวคิดภาษาเพื่อการสื่อสาร คือ การจดั กิจกรรมทางภาษาท่ีมุ่ง ใหผ้ เู้ รียนใชภ้ าษาในสถานการณ์จริงเป็นการเรียนรู้อยา่ งมีความหมาย 2.4 ข้นั ตอนการสอนภาษาเพ่ือการส่ือสาร กระบวนการสอนภาษาเพื่อการส่ือสาร 1.ข้นั นาเขา้ สู่บทเรียน (Warm up/Lead in) มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้นกั เรียนเกิดความพร้อมและอยากรู้ อยากเรียนในบทใหม่ เน้ือหาจะเช่ือมโยงไปสู่สาระสาคญั ของบทน้นั ๆ เม่ือครูผูส้ อนเห็นวา่ นกั เรียนมีความ พร้อม เกิดความสนุก และสนใจอยากเรียนแลว้ ก็เร่ิมเรียนเน้ือหาต่อไป กิจกรรมที่กาหนดไวใ้ นข้นั น้ีมี หลากหลาย เช่น เล่นเกม ปริศนาคาทาย เพ่อื ทบทวนความรู้ที่เรียนมาแลว้ 2.ข้นั นาเสนอ (Presentation) ในข้นั น้ีครูจะให้ขอ้ มูลทางภาษาแก่นกั เรียน มีการน าเสนอศพั ทใ์ หม่ เน้ือหาใหม่ให้เขา้ ใจท้งั รูปแบบและความหมาย กิจกรรมที่กาหนดไวป้ ระกอบดว้ ยการให้ฟังเน้ือหาใหม่ ให้ นกั เรียนฝึ กพูดตาม ในข้นั น้ีครูเป็ นผูใ้ ห้ความรู้ทางภาษาที่ถูกตอ้ ง และเป็ นแบบอย่างท่ีถูกตอ้ งในการออก เสียง คือ Informant (ผใู้ หค้ วามรู้) รูปแบบของภาษาจึงเนน้ ที่ความถกู ตอ้ ง (Accuracy) เป็นหลกั 3.ข้ันฝึ ก (Practice) ในข้ันน้ีนักเรี ยนจะได้ฝึ กใช้ภาษาท่ีเรี ยนมาแล้วในข้ันน าเสนอ โดยมี วตั ถุประสงค์ ให้นกั เรียนใช้ภาษาไดถ้ ูกตอ้ ง ขณะเดียวกนั ก็เน้นเร่ืองการใช้ภาษาให้คล่องแคล่ว (fluency) การฝึ กอาจจะฝึ ก ท้ังช้ัน เป็ นกลุ่ม เป็ นคู่ หรือรายบุคคล ข้นั น้ีเป็ นโอกาสท่ีครูจะแกไ้ ขขอ้ ผิดพลาดของ นกั เรียนในการใชภ้ าษา ซ่ึง การแกไ้ ขขอ้ ผดิ พลาดน้นั ควรท าหลงั การฝึกหากท าระหวา่ งที่นกั เรียนก าลงั ลอง ผิดลองถูกอยู่ความมนั่ ใจท่ีจะใช้ ภาษาให้คล่องแคล่วอาจลดลงได้ กิจกรรมท่ีก าหนดไวใ้ นคู่มือครูและ แผนการจดั การเรียนรู้ มีท้งั ในลกั ษณะท่ี กลา่ วมาน้ี และในลกั ษณะท่ีเปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนไดฝ้ ึกอย่างอิสระ Learning by Doing 4.ข้นั การใชภ้ าษา (Production) มีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้นกั เรียนนาคาหรือประโยคที่ฝึกมาแลว้ มาใชใ้ น สถานการณ์ต่างๆ ในรูปแบบกิจกรรมหลากหลาย เพื่อให้เกิดความคล่องแคล่ว (fluency) และเกิดความ สนุกสนาน ในข้นั น้ีเป็นข้นั ที่เนน้ นกั เรียนเป็นผู้ ทากิจกรรม ครูคอยให้ความช่วยเหลือ ถา้ นกั เรียนผิดพลาด อยา่ ขดั จงั หวะ ใหป้ ลอ่ ยไปก่อน เพื่อใหน้ กั เรียนรู้สึกสบายใจกิจกรรมท่ีกาหนดไวม้ ีหลากหลาย เช่น การเล่น เกม การทาชิ้นงาน การทาแบบฝึก การนาเสนอผลงาน

5.ข้ันสรุป (Wrap up) เป็ นข้ันสุดท้ายของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในแต่ละช่ัวโมง จุดประสงคค์ ือ เพ่ือสรุปสิ่งท่ีไดเ้ รียนแลว้ กิจกรรมท่ีเสนอแนะไวอ้ าจจะเป็นการน าเสนอรายงานของกลุ่ม ทาแบบฝึกหดั เพอื่ สรุปความรู้ หรือเลน่ เกมเพื่อทดสอบส่ิง ท่ีเรียนมาแลว้ Scott (1981 : 72) ไดแ้ บ่งข้นั ตอนในการสอนภาษาเพ่อื การสื่อสารเป็น 4 ข้นั ตอน ดงั น้ี 1. การต้งั จุดประสงค์ (Setting objective) เป็นการต้งั จุดประสงคป์ ลายทางและนาทาง 2. การนาเสนอเน้ือหา (Presentation) ผสู้ อนตอ้ งใหค้ วามชดั เจน และกระจ่างในเร่ืองท่ีสอน 3. การฝึก (Practice) ฝึกภาษาท่ีสอนไปแลว้ ในข้นั ที่สอง อาจฝึกเป็นรายบคุ คลหรือกลุ่ม 4. การถา่ ยโอน (Transfer) เป็นการเลือกฝึกการใชภ้ าษาผเู้ รียนอาจมีปฏิสัมพนั ธ์ซ่ึงกนั และกนั โดยใช้ ภาษาที่เรียนมาแลว้ อยา่ งเสรี เช่น การแสดงบทบาทสมมุติ เลน่ เกม เป็นตน้ เพอ่ื เปิ ดโอกาสใหใ้ ชภ้ าษาสื่อสาร ไดเ้ ตม็ ที่ หรืออาจจดั ใหผ้ เู้ รียนนาภาษาไปใช้ ในสถานการณต่าง ๆ สรุป ข้นั ตอนการสอนภาษาเพอ่ื การสื่อสาร ประกอบไปดว้ ย 5 ข้นั ตอน คอื 1. การเตรียมความพร้อม (Warm up) 2. การนาเสนอเน้ือหา (Presentation) 3. การฝึกปฏิบตั ิ (Practice) 4. การใชภ้ าษา (Production) 5. การสรุปบทเรียน (Wrap up) 2.5 ทฤษฎีการเรียนรู้ทางจิตวิทยาที่เกย่ี วข้องกบั วิธีการสอนภาษาเพื่อการส่ือสาร 1. แนวคิดทางดา้ นภาษาศาสตร์ อิทธิพลของนกั ภาษาศาสตร์ท่ีมีตอการเรียนการสอนภาษาท่ีสาคญั ไดแ้ ก่ นกั ภาษาศาสตร์ กลมุ่ โครงสร้าง (Structuralizes) กลมุ่ ไวยากรณ์ปริวรรต (Transformational lists) และ กลุ่มภาษาศาสตร์ (Sociologists) ซ่ึงมีรายละเอียด ดงั น้ี 1.1 กล่มุ ที่เนน้ โครงสร้าง กลมุ่ น้ีเนน้ วา่ ภาษาเป็นสิ่งท่ีวเิ คราะหไ์ ดแ้ ละแต่ละหน่วยของภาษาเกี่ยวพนั กนั ภาษาพดู ไม่ใช่ภาษาเขียน การวิเคราะหภ์ าษาจึงควรดูจากสิ่งท่ีเจา้ ของภาษาพดู 1.2 กลุ่มไวยากรณ์ปริวรรต กลุ่มน้ีนาโดย Noam Chomsky (1986 : 6) มีความคิดที่แตกต่าง ออกไป วา่ ภาษาเป็นเร่ืองของกฎเกณฑก์ ารวเิ คราะห์ไวยากรณ์ของประโยคทาให้เกิดแนวคิดเก่ียวกบั ประโยคหรือคา ที่เราไดย้ ินหรืออ่าน นอกจากน้ียงั มีแนวคิดว่า เราทุกคนมีความสามารถท่ีจะเขา้ ใจ และสามารถจะแสดง ออกมาได้ แตค่ วามสามารถที่จะเขา้ ใจภาษาน้นั จะตอ้ งมีมาก่อนถึงจะแสดงออกได้ 2. แนวคิดทางดา้ นมานุษวิทยาผูม้ ีความเชื่อทางด้านมานุษวิทยา เช่น Carl Rogers (1987 : 171) มี ความเห็นว่าผูท้ ่ีจะเรียนรู้ภาษาไดด้ ีน้นั จะตอ้ งเป็นผูท้ ่ีคิดและแสดงความรู้สึกหรือแสดงพฤติกรรม โดยตอ้ ง อยูบ่ นพ้ืนฐานไม่เพียงแต่ความสามารถทางดานสติปัญญาเท่าน้นั จะตอ้ งข้ึนอยู่กบั ความรู้สึกของตนเองดว้ ย

ดงั น้นั ในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน จะตอ้ งคานึงถึงเน้ือหาท่ีสัมพนั ธ์กบั ความรู้สึก ประสบการณ์ ความจา ความหวงั ความปรารถนา ความเชื่อ คา่ นิยมและความตอ้ งการของผเู้ รียนเป็นสาคญั ด้านจิตวิทยากลุ่มที่เน้นพฤติกรรมนิยม (อารี รังสินันท์ 2530 : 14) กล่าวว่า แนวคิดของกลุ่ม พฤติกรรมนิยมเน้นว่าพฤติกรรมทุกอย่างต้องมีสาเหตุและสาเหตุน้ัน อาจมาจากส่ิงเร้าในรูปใดก็ได้มา กระทบอินทรีย์ ทาใหอ้ ินทรียม์ ีพฤติกรรมตอบสนอง กลุ่มพฤติกรรมนิยม จึงศึกษาพฤติกรรมดว้ ยวิธีทดลอง และสังเกตอย่างมีระบบ และสรุปวา่ การวางเง่ือนไข (Conditioning) เป็นสาเหตุสาคญั ที่ทาให้เกิดพฤติกรรม และสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมได้ พฤติกรรมส่วนใหญ่ของมนุษยเ์ กิดจากการเรียนรู้มากกวา่ เกิดข้ึนเองตาม ธรรมชาติ จากการศึกษาพฤติกรรมการเรียนรู้ของสัตวท์ ี่ถกู ทดลองของ Pavlov เชื่อวา่ การเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิต เกิดจากการวางเงื่อนไข (Conditioning) แนวคิดเก่ียวกับการเรียนรู้ภาษา การเรียนรู้ภาษามี 2 แบบ คือ แบบรู้ภาษา (Acquisition) และ แบบเรียนภาษา (Learning) ซ่ึงท้งั สองแบบจะให้ผลต่างกนั คือ แบบรู้ภาษาจะช่วยให้ผูเ้ รียนใชภ้ าษาอย่าง คล่องแคล่ว ส่วนแบบเรียนภาษาจะช่วยในด้านความถูกต้องของภาษา นอกจากน้ียงั มี ปัจจัยอื่นที่มี ความสาคัญตอการเรียนรู้ภาษา เช่น ขอ้ มูลทางภาษาที่ผูเ้ รียนสามารถเข้าใจได้ และเจตคติของผู้เรียน แนวคิดเก่ียวกบั การสอนภาษาอาศยั ความเช่ือดา้ นจิตวิทยา ภาษาศาสตร์และมานุษยวิทยา ทาใหเ้ กิด แนวคิดเก่ียวกบั การสอนภาษา ดงั น้ี 1) กลุ่มที่เนน้ พฤติกรรมไดแ้ นวคิดจากทฤษฎีการเรียนรู้ แบบการกระตุน้ และการตอบสนอง การ เสริมแรง และแนวคิดจากทฤษฎีทางภาษากลุ่มโครงสร้าง โดยเชื่อวา่ ภาษาเป็นเร่ืองของนิสัย หรือความเคย ชิน การเรียนภาษาก็คือ การเลียนเสียง หรือ การเลียนแบบ การสอนภาษาจึงมุงเน้นที่การสร้างนิสัย ให้พูด ภาษาใหม่อย่างคล่องแคล่วโดยไม่ตอ้ ง คิดจะเนน้ ที่เน้ือหาที่จะพูดเท่าน้ัน (วิธีสอนตามแนวคิดน้ี ไดแ้ ก่ วิธี สอนแบบฟังพดู ซ่ึงจะเนน้ ที่ระบบเสียงและรูปประโยค) หลกั การสาคญั ของแนวคิดกลุ่มน้ี คอื 1. ภาษาคือภาษาพูดที่ไม่ใช่ภาษาเขียน เพราะการเรียนภาษาของตนเองเร่ิมจากเรียนภาษาพูดก่อนที่ จะเรียนภาษาเขยี น ลาดบั ข้นั ของการเรียนจึงเนน้ ความสาคญั ของการออกเสียงใหถ้ ูกตอ้ ง ผเู้ รียนจะตอ้ งฝึกฟัง ภาษาพูดจนเขา้ ใจ แลว้ พูดซ้าในระดบั ความเร็วปกติและใหค้ วามสนใจกบั การฝึ กตามลาดบั ข้นั ตอน คือ ฟัง พูด อ่าน และ เขียน ตามลาดบั 2. ภาษาเป็นเรื่องของนิสัย เป็นแนวคิดที่อาศยั หลกั การเรียนของสกินเนอร์ ที่วา่ นิสัยเกิดข้ึนเมื่อทา อะไรแลว้ ไดร้ ับรางวลั แนวคิดน้ีเป็นรากฐานของวิธีเรียนแบบจดจา มุ่งใหผ้ เู้ รียนเรียนโครงสร้างของภาษา โดยฟังและพูดตามจนถึงข้นั ท่ีจะตอบไดโ้ ดย อตั โนมตั ิ เม่ือถกู กระตนุ้ 3. การสอนภาษา ไม่ใช่เป็ นเรื่องเกี่ยวกบั ภาษา แต่เนน้ การฝึ กใช้ภาษา ไวยากรณ์เป็ นส่ิงที่จะช่วย นาไปสู่เป้าหมายในการเรียนภาษา 4. การสอนภาษาท่ีเจา้ ของภาษาใชพ้ ูดไม่ใช่สิ่งท่ีควรพูด สานวนที่ไดย้ ินในบทสนทนาของเจา้ ของ ภาษา ถึงแมว้ า่ จะไม่เหมือนกบั ไวยากรณ์แบบเก่าก็ถือวา่ ใชไ้ ด้ โดยผสู้ อนตอ้ งเลือกมาใชส้ อน

5. ภาษาแต่ละภาษามีโครงสร้างท่ีแตกต่างกนั ความแตกต่างระหว่างภาษาของตน และภาษาที่เรียน จะเป็นปัญหา วิธีสอนตามแนวคดิ น้ี ไดแ้ ก่ วธิ ีสอนแบบฟังพูด (Audio Lingual Method) 2) กลมุ่ ที่เนน้ ความรู้ความเขา้ ใจ กล่มุ น้ีมีความคิดตรงขา้ มกบั กล่มุ แรกไดร้ ับอิทธิพล จากแนวคิดทาง จิตวทิ ยาแบบความคิดความเขา้ ใจ และทฤษฎีภาษาศาสตร์ กลุ่มไวยากรณ์ปริวรรต โดยเชื่อวา่ การเรียนรู้ภาษา ของมนุษยม์ ีขอบเขตกวา้ งกว่าท่ีกลุ่มแรกอธิบาย การเรียนรู้ภาษาเป็ นกระบวนการอิสระไม่ผูกพนั กบั ส่ิงท่ี เรียนมาแลว้ มนุษยส์ ามารถสร้างประโยคใหม่ ๆ ข้ึนเองได้ และสามารถเขา้ ใจไดโ้ ดยไม่ตอ้ งสอน เพราะมี กลไกสมองที่จะวิเคราะห์ขอ้ มูล ผสู้ อนเป็นเพียงผปู้ ้อนขอ้ มลู ใหก้ บั ผเู้ รียน ส่วนเรื่องการเรียนรู้ผเู้ รียนจะเป็น ผกู้ ระทาเอง โดยอาศยั กลไกตามธรรมชาติ หลกั การสาคญั ของแนวคดิ กลุ่มน้ี คือ 1. คนเราใชภ้ าษาไปตามกฎเกณฑก์ ารสอนภาษาจึงควรสอนระบบภาษา 2. ภาษามีจานวนประโยคมิรู้จบ ภาษาหน่ึง ๆ มีจานวนประโยคมากมายและไม่สามารถสอน ประโยคไดท้ กุ ประโยค 3. คนมีความสามารถที่จะเข้าใจ และแสดงออก แต่ความสามารถที่จะเขา้ ใจภาษาน้ันมีมาก่อน ความสามารถในการแสดงออกทางภาษา ฉะน้นั ก่อนที่จะใหผ้ เู้ รียนแสดงออกผสู้ อนตอ้ งฝึกความเขา้ ใจภาษา ใหแ้ ก่ผเู้ รียนก่อน 4. ไวยากรณ์ของทุกภาษามีลกั ษณะสากล คอื มีโครงสร้างพ้ืนฐานคลา้ ยกนั 3) กลุ่มท่ีเน้นการส่ือสาร กลุ่มน้ีมีแนวคิดด้านจิตวิทยา ตามความคิดความเข้าใจ และกลุ่ม ภาษาศาสตร์สังคม เช่ือวา่ การเรียนภาษายอ่ มมีเป้าหมาย เนน้ ท่ีความสามารถในการใชป้ ระโยค และความคิด อยา่ งต่อเน่ืองในขณะส่ือสาร กระบวนการของการสื่อสารมีความสาคญั เท่ากบั รูปแบบทางภาษา ขอ้ ผิดพลาด ทางไวยากรณ์ไม่ใช่อุปสรรคสาคญั ในการสื่อสาร (วิธีสอนตามแนวคิดน้ี ไดแ้ ก่ วิธีสอนตามแนวการสอน ภาษาเพ่อื การส่ือสาร) หลกั การสาคญั ของแนวคิดกลมุ่ น้ี คอื 1. การเรียนภาษายอ่ มมีเป้าหมาย 2. ความสามารถในการใชป้ ระโยค และความคิดอย่างต่อเน่ืองท้งั หมดในขณะสื่อสารมีความสาคญั กวา่ ส่วนประกอบยอ่ ย ๆ ในประโยค 3. กระบวนการของการส่ือสารมีความสาคญั เทา่ กบั รูปแบบของภาษา 4. การเรียนภาษาเนน้ การปฏิบตั ิ 5. ขอ้ ผดิ พลาดทางไวยากรณ์มิใช่อปุ สรรคท่ีสาคญั ท่ีสุดของการส่ือสาร 4) กลมุ่ มานุษยวทิ ยากล่มุ น้ียดึ แนวความคดิ ทางมานุษยวิทยาเกี่ยวกบั การสอนภาษา มีหลกั การสาคญั คือ จุดประสงค์ของการเรียนรู้ภาษาไม่ใช่เพียงการส่ือสารกับผูค้ นเท่าน้ัน แต่เพื่อพฒั นาศกั ยภาพภายใน ตนเอง และถือวา่ ภาษาเป็นเครื่องมือของการปฏิสมั พนั ธท์ างสังคม (Social Interaction) วิธีสอนตามแนวคิดน้ี ไดแ้ ก่ วิธีสอนแบบกลุ่มสัมพนั ธ์ (Community Language Learning) วิธีสอนแบบการตอบสนองดว้ ยท่าทาง (Total Physical Response) และวธิ ีสอนแบบชกั ชวน (Suggestopedia)

สรุปได้ว่า การสอนภาษาอังกฤษผูส้ อนควรศึกษาแต่ละวิธีให้เข้าใจและเลือกใช้ให้ เหมาะสมกบั ผเู้ รียนและจุดม่งุ หมายของการเรียนการสอนในแตล่ ะระดบั ช้นั 3.การเรียนการสอนแบบ Active Learning 3.1 แนวคดิ และทฤษฎีของการจดั การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) การจดั การเรียนรู้เชิงรุก (Active learning) เป็นกระบวนการเรียนการสอนท่ีส่งเสริมให้ ผเู้ รียนมีส่วน ร่วมในช้นั เรียน สร้างปฏิสัมพนั ธร์ ะหว่างครูผสู้ อนกบั ผเู้ รียน มุ่งให้ผเู้ รียนลงมือปฏิบตั ิ โดยมี ครูเป็น ผอู้ านวย ความสะดวก (Facilitator) สร้างแรงบนั ดาลใจ ใหค้ าปรึกษา ดูแล แนะนา ทาหนา้ ท่ี เป็นโคช้ และพเี่ ล้ียง (Coach & Mentor) แสวงหาเทคนิควิธีการจัดการเรียนรู้ และแหล่งเรียนรู้ที่ หลากหลายให้ผูเ้ รียนได้เรียนรู้อย่างมี ความหมาย (Meaningful learning) ผเู้ รียนสร้างองคค์ วามรู้ได้ มี ความขา้ ใจในตนเอง ใชส้ ติปัญญา คิด วิเคราะห์ สร้างสรรคผ์ ลงานนวตั กรรมที่บ่งบอกถึงการมีสมรรถนะ สาคญั ในศตวรรษที่ 21 มีทกั ษะวิชาการ ทกั ษะชีวิต และทกั ษะวชิ าชีพ บรรลุเป้าหมายการเรียนรู้ตาม ระดบั ช่วงวยั (สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน, 2562: 4) สุระ บรรจงจิตร (2551: 35 – 37) ได้กล่าวถึงทฤษฎีการเรียนรูกับรูปแบบการเรียนการสอน แบบ Active Learning ไวว้ ่า ศาสตร์เกี่ยวกบั การเรียนรู้ ไดม้ ีการพฒั นาอย่างต่อเน่ืองควบคู่ไปกับการพฒั นา ดา้ น วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี โดยในช่วงแรกของการศึกษาเก่ียวกับพฤติกรรมการเรียนรู้ของมนุษย์ เป็ น การศึกษาในเชิงพฤติกรรมศาสตร์ โดยนกั พฤติกรรมศาสตร์ในช่วงตน้ ศตวรรษที่ 20 ไดใ้ ห้นิยาม การเรียนรู้วา่ เป็ น “กระบวน การ ท่ีเช่ือมโยงระหว่างสิ่งเร้า (Stimuli) กบั การตอบสนอง (Responses) โดยแรงจูงใจให้เกิด การเรียนรู้มกั มีท่ีมาจากความตอ้ งการพ้ืนฐาน” เชน การเรียนรู้ที่จะหาอาหารมาจาก สิ่งเร้าคอื ความหิว เป็นตน้ อย่างไรก็ดีนิยามของการเรียนรู้ในเชิงพฤติกรรมศาสตร์ยงั ไม่สามารถอธิบาย องคป์ ระกอบอ่ืนๆ ท่ี เก่ียวข้องกับการเรียนรู้ได้ เช่น การทาความเข้าใจและการใช้เหตุผล เป็ นต้น ต่อมา เมื่อการพฒั นาด้าน วิทยาศาสตร์การรู้คิด (Cognitive Science) ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 จึงไดม้ ี การศึกษาเก่ียวกบั การเรียนรู้ใน เชิงสหวิทยาการ (Multidisciplinary) มากยิ่งข้ึน โดยรวมเอาความรู้ใน สาขาวิชาต่างๆ เช่น มานุษยวิทยา จิตวิทยา ประสาทวิทยา และวิทยาการคอมพิวเตอร์ มาประยุกต์เพ่ือ ศึกษาและทาความเข้าใจเกี่ยวกับ กระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์ โดยการเรียนรู้ในมุมมองของิทยาศาสตร์ การรู้คิดมีความหมายที่ครอบคลุม มากกวา่ นิยามเดิม กล่าวคือ เป็นความสามารถในการ จดจา การทาความเขา้ ใจ การจดั โครงสร้างความรู้ และ การถ่ายทอดเพื่อนาความรู้ที่มีไปใชใ้ นการ แกป้ ัญหา อย่างไรก็ดีศาสตร์เก่ียวกบั การเรียนรู้ของมนุษยย์ งั ไม่ได้ ขอ้ ยุติและยงั คงอยู่ในระหว่าง การศึกษาคน้ ควา้ ของนักวิทยาศาสตร์อย่างต่อเน่ือง เพื่อให้เกิดความเขา้ ใจท่ี ลึกซ้ึงและชดั เจนมากยง่ิ ข้ึน จากความกา้ วหนา้ ดา้ นวทิ ยาศาสตร์การรู้คดิ ในปัจจุบนั นกั วทิ ยาศาสตร์ไดแ้ บ่งประเภทของ ความจาที่ เกี่ยวขอ้ งกบั การเรียนรู้ออกเป็นสองประเภทคือ ความจาระยะส้ัน (Working Memory) และ ความจาระยะยาว (Long-Term Memory) โดยความจาระยะส้ันคือ ส่วนของความจาท่ีใช้ในการคิด ประมวลผล จากการศึกษา

ของ Peterson and Peterson และ Miller พบว่า ความจาระยะส้ันสามารถ เก็บขอ้ มูลได้ไม่เกิน 7 ขอ้ มูล และ ขอ้ มูลในความจาระยะส้ันจะถูกลืมไปภายใน 30 วินาทีหากไม่มีการ ทบทวน ส่วนความจาระยะยาวคือ ส่วน ของความจาที่เก็บขอ้ มูลจานวนมาก ซ่ึงขอ้ มูลเหล่าน้ีมีอิทธิพล สาคญั ต่อการตดั สินใจในชีวิตประจาวนั ของ มนุษย์ การศึกษาเกี่ยวกบั การเรียนรู้และประเภทของ ความจาดงั ท่ีกล่าวมาขา้ งตน้ ไดน้ าไปสู่ความเขา้ ใจใน ความแตกต่างระหว่างผูเ้ ร่ิมตน้ (Novice) กบั ผูเ้ ชี่ยวชาญ (Expert) โดยคณะทางานเพ่ือพฒั นาวิทยาศาสตร์ใน การเรี ยนรู้ (Committee on Developments in the Science of Learning) ของสภาการวิจัยแห่ งชาติของ สหรัฐอเมริกา ไดใ้ ห้ นิยามของผเู้ ช่ียวชาญวา่ เป็น “ผทู้ ่ีสามารถคิดไดอ้ ย่างมีประสิทธิผลเกี่ยวกบั การแกป้ ัญหา ในสาขาความ ชานาญน้นั ซ่ึงการศึกษาความแตกต่างระหว่างผูเ้ ริ่มตน้ กบั ผูเ้ ชี่ยวชาญน้นั มีวตั ถุประสงคเ์ พื่อ นาไปสู่การ พฒั นาความสามารถในการคิดและแกป้ ัญหา ซ่ึงเป็นหน่ึงในองคป์ ระกอบของการเรียนรู้ โดยจาก การศึกษาพบว่า ผูเ้ ช่ียวชาญมีความแตกต่างจากผูเ้ ริ่มตน้ ตรงที่ผูเ้ ช่ียวชาญมีขอ้ มูลที่เก่ียวขอ้ งกบั สาขา ความ เช่ียวชาญอยู่ภายในความจาระยะยาวมากเพียงพอที่จะสามารถแยกแยะรูปแบบของข้อมูลที่สาคัญ ได้ นอกจากน้ีผูเ้ ชี่ยวชาญยงั มีแนวโน้มในการจดั เก็บความรู้ที่ดีโดยจดั ขอ้ มูลที่มีลกั ษณะเป็ นขอ้ มูล ปลีกย่อยไว้ รอบขอ้ มูลที่เป็ นหัวขอ้ สาคญั ซ่ึงการจดั เก็บขอ้ มูลดงั กล่าวช่วยให้ผูเ้ ช่ียวชาญสามารถดึงขอ้ มูล่ ที่เกี่ยวขอ้ ง ออกมาจากฐานขอ้ มลู ขนาดใหญใ่ นความจาระยะยาวเพ่อื นมาใชง้ านไดอ้ ยา่ งรวดเร็ว ทฤษฎีเกี่ยวกบั การเรียนรู้ท่ีเก่ียวของกบั วิทยาศาสตร์การรู้คิดอีกทฤษฎีหน่ึงคือ ทฤษฎีการจดั หมวดหมู่ วตั ถปุ ระสงคข์ องการศึกษา (Taxonomy of Educational Objectives) ซ่ึงทฤษฎีน้ีจดั แบ่ง หมวดหมู่วตั ถุประสงค์ ของการศึกษาในดา้ นการรู้คิด (Cognitive Domain) ไว้ 6 ระดบั โดยวตั ถปุ ระสงค์ ใน 3 ระดบั แรก ประกอบดว้ ย วตั ถุประสงคข้นั ตน ดงั น้ี 1. ความรู้หมายถึง ความสามารถในการจดจาขอ้ เทจ็ จริง แนวคดิ และหลกั การ ดว้ ยการ ทอ่ งจา 2. ความเขา้ ใจ หมายถึง ความสามารถในการตีความและทาความเขา้ ใจความหมายของส่ิง ที่จาไดใ้ น มุมมองของผเู้ รียนเอง 3. การนาไปใช้ หมายถึง การนาความรู้และความเขา้ ใจท่ีมีไปปรับใชใ้ นชีวติ ประจาวนั จะเห็นไดว้ ่าวตั ถุประสงค์แต่ละระดบั เป็ นพ้ืนฐานท่ีจะนาไปสู่วตั ถุประสงค์ในระดบั ต่อๆ ไป โดย วตั ถุประสงค์ข้นั ตน้ 3 ระดับแรกน้ีเป็ นพ้ืนฐานท่ีจาเป็ นสาหรับวตั ถุประสงค์ของการศึกษาในข้นั สูงอีก 3 ระดบั ดงั น้ี 4. การวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการแยกองคป์ ระกอบยอ่ ยของความรู้ที่มี และทาความเขา้ ใจ แตล่ ะองคป์ ระกอบน้นั ได้ 5. การประเมินค่า หมายถึง ความสามารถในการประเมินผลงานท่ีเก่ียวของกบั ความรู้ท่ีมี ดว้ ยเกณฑ์ การตดั สินท่ีเหมาะสม 6. การสังเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการสรางสรรคความรู้ใหม่จากพ้ืนฐานของความรู้ เดิมที่ มีอยูซ่ึงในเอกสารตนฉบับเดิมของ Bloom จดั การสังเคราะห์ไวท้ ี่ระดับที่ 5 แต่นักวิทยาศาสตร์ การรู้คิด

สมยั ใหม่นิยมท่ีจะจดั การสังเคราะหเ์ ป็นวตั ถุประสงคร์ ะดบั สูงสุด เนื่องจากในปัจจุบนั เปนท่ี ยอมรับกนั วาการ สงั เคราะห์ส่ิงใหม่เป็นงานที่ยากกวาการประเมินคาส่ิงท่ีมีอยแู่ ลว้ จากความกาวหนาดานวทิ ยาศาสตร์การรู้คิด ทาใหเ้ กิดแนวความคิดในการเรียนรู้แขนงใหม่ ข้ึนมา เรียกวา่ Constructivist ซ่ึงเป็นท่ีมาของแนวความคิดการเรียนรู้แบบ Active Learning โดย แนวคดิ Constructivist มีนิยามของการเรียนรู้วา่ เป็นการสร้างขอ้ มูลใหม่ในความจาระยะยาวดว้ ยการ นาขอมลู ท่ีไดร้ ับ ในความจาระยะส้นั ไปผสมผสานกบั ขอ้ มูลที่มีอยแู่ ลว้ ในความจาระยะยาว ดงั น้นั ผูเ้ รียน จึงเป็นผสู้ ร้างความรู้ จากขอ้ มลู ท่ีไดร้ ับมาใหม่ดว้ ยการนาไปประกอบกบั ประสบการ์ณส่วนตวั ที่ผา่ นมา ในอดีต ซ่ึงตวั ผูเ้ รียนเองจะมี บทบาทสาคญั ท่ีสุดในการเรียนรู้และการจดั องคค์ วามรู้ในความจาระยะยาว ของตนเอง ดว้ ยเหตุน้ีผทู้ ่ีสนบั สนุน แนวคดิ น้ีจึงเนนกระบวนการเรียนรู้ท่ีเปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนไดม้ ีโอกาส เรียนรู้จากประสบการ์ณดว้ ยการลงมือ ปฏิบตั ิ การแกป้ ัญหา และการทางานเป็ นกลุ่ม มากกวา่ การนง่ั ฟัง ผสู้ อนในหอ้ งเรียน ซ่ึงแนวคิดน้ีไดพ้ ฒั นา ต่อมาเป็นรูปแบบการเรียนรู้แบบ Active Learning 3.2 ความหมายของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) Active Learning เป็ นกระบวนการจัดการเรี ยนรู้ตามแนวคิดการสร้างสรรค์ทางปัญญา (Constructivism) ที่เน้นกระบวนการเรียนรู้มากกว่าเน้ือหาวิชา เพื่อช่วยให้ผูเ้ รียนสามารถเช่ือมโยง ความรู้ หรือสร้างความรู้ให้เกิดข้ึนในตนเอง ดว้ ยการลงมือปฏิบตั ิจริงผา่ นสื่อหรือกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีมี ครูผสู้ อน เป็ นผูแ้ นะนา กระตุน้ หรืออานวยความสะดวก ให้ผูเ้ รียนเกิดการเรียนรู้ข้ึน โดยกระบวนการคิด ข้นั สูง (Higher order thinking) กล่าวคือ ผูเ้ รียนมีการวิเคราะห์สังเคราะห์ และการประเมินค่าจากส่ิงที่ ไดร้ ับจาก กิจกรรมการเรียนรู้ ทาให้การเรียนรู้เป็ นไปอย่างมีความหมาย และนาไปใชใ้ นสถานการณ์อ่ืนๆ ไดอ้ ย่างมี ประสิทธิภาพ (สถาพร พฤฑฒิกุล, 2558) นกั การศึกษาท้งั ในและต่างประเทศไดก้ ล่าวถึง ความหมายของคา ว่า Active Learning เอาไวโ้ ดยนกั การศึกษาของประเทศไทยใชค้ าภาษาไทยคาว่า “การเรียนเชิงรุก” แทน Active Learning ซ่ึงมีการนิยามความหมายดงั ต่อไปน้ี Bonwell (2003) กล่าวว่า Active Learning หมายถึง การเรียนท่ีเนน้ ให้ผูเ้ รียนไดป้ ฏิบตั ิ และสร้างความรู้จากการลงมือปฏิบตั ิจริงในระหว่างการเรียนการสอน ส่งผลใหผ้ เู้ รียนเช่ือมโยงความรู้ ใหมก่ บั ความรู้เดิม Prince (2004) กล่าววา่ การเรียนเชิงรุก หมายถึง กิจกรรม การเรียนรู้ท่ีส่งเสริมพฤติกรรม การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม โดยเปิ ดโอกาสให้ผูเ้ รียนได้ร่วมแสดงความ คิดเห็น ไดใ้ ชท้ กั ษะการพูด ฟัง อ่าน เขียน และไตร่ตรองความคิด Felder and Brent (2009) กล่าวว่า Active Learning หมายถึง กิจกรรมใดๆ ก็ตามที่ เกี่ยวข้องกับรายวิชาที่ผูเ้ รียนทุกคนได้ถูกเรียกให้ทาส่ิงต่างๆ นอกเหนือจากการนง่ั ดู ฟัง และจดบนั ทึก อยา่ งเดียว Gifkins (2015) ใหค้ วามหมายไวว้ ่า เป็นการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ที่ผเู้ รียนมีปฏิสัมพนั ธ์กบั เน้ือหา ในรูปแบบใดๆ ท่ีสามารถแสดงความคิดผ่านกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้หรือผา่ นกระบวนการจดั ทา ขอ้ มูลเพ่ือ กระตนุ้ ความคดิ เกี่ยวกบั เน้ือหาแทนที่จะถ่ายทอดขอ้ มลู เพียงอยา่ งเดียว แตเ่ ป้าหมายคอื การ พฒั นาทกั ษะการ มีส่วนร่วมในกิจกรรม การอภิปราย การประยกุ ตใ์ ชห้ ลกั การเพือ่ ส่งเสริมความคิดข้นั สูง การคิดเชิงวิเคราะห์

กระทรวงศึกษาธิการ (2552) ที่ไดก้ ล่าวโดยสรุปว่า Active Learning หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ที่ ให้ผเู้ รียนไดเ้ รียนรู้อยา่ งมีความหมาย โดยการร่วมมือระหวา่ งผเู้ รียนดว้ ยกนั ในการ น้ีครูตอ้ งลดบทบาทใน การสอนและการให้ขอ้ ความรู้แก่ผูเ้ รียนโดยตรง แต่ไปเพิ่มกระบวนการและ กิจกรรมที่จะทาให้ผูเ้ รียนทา กิจกรรมต่างๆ มากข้นึ และอยา่ งหลากหลาย ไมว่ า่ จะเป็นการแลกเปลี่ยน ประสบการณ์โดยการพูด การเขียน การอภิปรายกบั เพอ่ื นๆ เพ่ือใหบ้ รรลุผลสาเร็จทางดา้ นวิชาการ เกิด ทกั ษะทางดา้ นการติดต่อส่ือสารระหวา่ ง กนั มีการพฒั นาทกั ษะ กระบวนการคิดไปสู่ในระดบั ที่สูงข้ึน เกิด เจตคติท่ีดีต่อวิชาท่ีเรียนและเกิดแรงจูงใจ ตอ่ การเรียน จิตณรงค์ เอี่ยมสาอาง (2558) ไดก้ ล่าวว่า Active Learning คือ แนวทางหรือวิธีการ จดั การเรียนการ สอนที่ยึดผูเ้ รียนเป็ นศูนยก์ ลางโดยให้ผูเ้ รียนไดค้ ิดและมีส่วนร่วมในการปฏิบตั ิในกิจกรรม การเรียนรู้ใช้ เคร่ืองมือ อุปกรณ์ต่างๆ แสดงความคิดเห็นของตนเองตามความเขา้ ใจ ตลอดจนร่วม รับผิดชอบในผลของ การปฏิบตั ิ โดยมีครูผูส้ อนเป็ นผูด้ ูแลให้คาปรึกษาแนะนา โดยผสมผสานเทคนิคการ สอนที่หลากหลายที่ มุ่งเนน้ ใหผ้ ูเ้ รียนนาความรู้จากห้องเรียนสู่การปฏิบตั ิในสถานการณ์ต่างๆ ท้งั ใน ห้องเรียนและในโลกแห่ง ความเป็ นจริ ง ดิเรก พรสีมา (2559) มีความเห็นว่า Active Learning คือ การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีมี ลกั ษณะทา ใหผ้ เู้ รียนแตล่ ะคนกระตือรือร้น คดิ คน้ หาความรู้และคาตอบอยตู่ ลอดเวลา (Active Learner) โดยจดั กิจกรรม การเรี ยนรู้ที่เน้นผู้เรี ยนเป็ นสาคัญ ส่งผลทาให้เกิดคาว่า Work-based Learning หรื อ Work-integrated Learning หรือ Site-based Learning จะเป็ นผลทาให้นกั เรียนและ ครูคน้ พบความรู้ใหม่ สร้างสรรค์ความรู้ ใหม่ และสร้างนวตั กรรมใหมไ่ ด้ ผเู้ รียนจะตอ้ งมีส่วนร่วมใน กิจกรรมการเรียนรู้โดยเนน้ ใหผ้ เู้ รียนสร้างองค์ ความรู้จากการแกป้ ัญหาจากการลงมือกระทาดว้ ยตนเอง มหาวิทยาลยั ทกั ษิณ คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์(2561: 1) ไดใ้ หค้ วามหมายของ การเรียน เชิงรุก (Active Learning) คือ การเรียนที่เนน้ ให้ผูเ้ รียนมีปฏิสัมพนั ธ์กบั การเรียนการสอน กระตุน้ ให้ผูเ้ รียน เกิดกระบวนการคิดข้นั สูง (Higher-Order Thinking) ดว้ ยการวิเคราะห์ สังเคราะห์และ ประเมินคา่ ไม่เพยี งแต่ ฟัง ผเู้ รียนตอ้ งอ่าน เขียน ถามคาถาม อภิปรายร่วมกนั และลงมือปฏิบตั ิจริง โดย ตอ้ งคานึงถึงความรู้เดิมและ ความตอ้ งการของผเู้ รียนเป็ นสาคญั ท้งั น้ีผเู้ รียนจะถูกเปล่ียนบทบาทจาก ผรู้ ับความรู้ไปสู่การมีส่วนร่วมใน การสร้างความรู้ วารินท์พร ฟันเฟื่ องฟู (2562: 135) สรุปว่า การจดั การเรียนรู้ Active Learning เป็ น กระบวนการ จดั การเรียนรู้ที่เน้นผูเ้ รียนเป็ นสาคญั เน้นบทบาทและการมีส่วนร่วมของผูเ้ รียน โดยให้ ผูเ้ รียนไดล้ งมือ ปฏิบตั ิ เรียนรู้และดาเนินกิจกรรมต่างๆ ดว้ ยตนเอง โดยมีครูเป็นผูใ้ หค้ าแนะนา ช้ีแนะ กระตุน้ หรืออานวย ความสะดวก ให้ผูเ้ รียนได้เกิดการเรียนรู้ผ่านกระบวนการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ การแลกเปล่ียนเรียนรู้ ระหวา่ งผเู้ รียน และการนาเสนอขอ้ มลู สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน (2562: 4) ไดใ้ หค้ วามหมายของการจดั การ เรียนรู้เชิง รุก (Active Learning) คือ การเรียนที่เนน้ ใหผ้ เู้ รียนมีปฏิสัมพนั ธ์กบั การเรียนการสอน กระตุน้ ใหผ้ เู้ รียนเกิด

กระบวนการคิดข้นั สูง (Higher-Order Thinking) ดว้ ยการวิเคราะห์สังเคราะห์และ ประเมินค่า ไม่เพียงแต่ เป็นผฟู้ ัง ผเู้ รียนตอ้ งอา่ น เขียน ต้งั คาถามและถาม อภิปรายร่วมกนั ผเู้ รียนลงมือ ปฏิบตั ิจริง โดยตอ้ งคานึงถึง ความรู้เดิมและความตอ้ งการของผเู้ รียนเป็นสาคญั ท้งั น้ีผเู้ รียนจะถูกเปลี่ยน บทบาทจากผรู้ ับความรู้ไปสู่การ มีส่วนร่วมในการสร้างความรู้ 3.3 ความสาคญั ของการจดั การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) การจดั กิจกรรมการเรียนรู้ใหส้ าเร็จน้นั มีหลายวธิ ี แต่ Active Learning สามารถทาใหบ้ รรลุ เป้าหมาย หรือวตั ถุประสงค์ของการจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เน่ืองจากเหตุผลหลายๆ ประการ ดังน้ี (Stanford Teaching Commons, 2015) 1. Active Learning ส่งเสริ มการมีอิสระทางด้านความคิดและการกระทาของผู้เรี ยน การมี วิจารณญาณและการคิดสร้างสรรค์ผูเ้ รียนจะมีโอกาสในการมีส่วนร่วมในการปฏิบัติจริงและมีการใช้ วิจารณญาณในการคิดและตดั สินใจในการปฏิบตั ิน้นั โดยครูเป็นผดู้ ูแล ให้คาปรึกษาและกระตุน้ ซ่ึงอาจ ใช้ การถามหรือเทคนิคการสอนต่างๆ ท่ีหลากหลายเพื่อใหผ้ เู้ รียนเกิดการวิเคราะห์สังเคราะห์ และ ประยกุ ตใ์ ช้ อุปกรณ์ตา่ งๆ ในการปฏิบตั ิงานหรือในการเรียนรู้อยา่ งสร้างสรรค์ 2. Active Leaning สนบั สนุนส่งเสริมใหเ้ กิดความร่วมมืออย่างมีประสิทธิภาพ ซ่ึงความ ร่วมมือใน การปฏิบตั ิงานกลุ่มจะนาไปสู่ความสาเร็จในภาพรวม 3. Active Learning ทาใหผ้ เู้ รียนทุ่มเทในการเรียน จูง ใจในการเรียนและทาให้ผูเ้ รียน แสดงออกถึงความรู้ความสามารถ เมื่อผูเ้ รียนไดม้ ีส่วนร่วมในการปฏิบัติ อยา่ งกระตือรือร้น ใน สภาพแวดลอ้ มที่เอ้ืออานวย ผเู้ รียนจะมีความทมุ่ เทเพื่อมุ่งสู่ความสาเร็จของงาน และมี ความรับผิดชอบ เช่นเดียวกนั ถา้ ผเู้ รียนมีส่วนร่วมในการตดั สินใจเขาก็จะทุ่มเทมุ่งเรียนรู้และใชค้ วามรู้อยา่ ง เตม็ ความสามารถ ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน (2562: 4-5) ไดก้ ล่าวถึง ความสาคญั ของการจดั การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ไวด้ งั น้ี 1. Active Learning ส่งเสริ มการมีอิสระทางด้านความคิดและการกระทาของผู้เรี ยน การมี วจิ ารณญาณ และการคดิ สร้างสรรค์ ผเู้ รียนจะมีโอกาส มีส่วนร่วมในการปฏิบตั ิจริงและมีการใช้ วิจารณญาณ ในการคิดและตดั สินใจในการปฏิบตั ิกิจกรรมน้ัน มุ่งสร้างให้ผูเ้ รียนเป็ นผูก้ ากบั ทิศทางการ เรียนรู้คน้ หา สไตล์การเรียนรู้ของตนเอง สู่การเป็ นผูร้ ู้คิด รู้ตดั สินใจดว้ ยตนเอง (Metacognition) เพราะฉะน้ัน Active Learning จึงเป็ นแนวทางการจัดการเรียนรู้ท่ีมุ่งให้ผูเ้ รียนสามารถพฒั นาความคิดข้ัน สูง (Higher order thinking) ในการมีวจิ ารณญาณ การวเิ คราะห์ การคิดแกป้ ัญหา การประเมิน ตดั สินใจ และการสร้างสรรค์ 2. Active Leaning สนบั สนุนส่งเสริมใหเ้ กิดความร่วมมือกนั อยา่ งมีประสิทธิภาพ ซ่ึงความ ร่วมมือ ในการปฏิบตั ิงานกล่มุ จะนาไปสู่ความสาเร็จในภาพรวม 3. Active Learning ทาใหผ้ เู้ รียนทุ่มเทในการเรียน จูงใจในการเรียน และทาใหผ้ เู้ รียน แสดงออกถึง ความรู้ความสามารถ เม่ือผเู้ รียนไดม้ ีส่วนร่วมในการปฏิบตั ิกิจกรรมอย่างกระตือรือร้นในสภาพแวดลอ้ มที่

เอ้ืออานวย ผา่ นการใชก้ ิจกรรมท่ีครูจดั เตรียมไวใ้ หอ้ ยา่ งหลากหลาย ผเู้ รียนเลือกเรียนรู้ กิจกรรมต่างๆ ตาม ความสนใจและความถนดั ของตนเอง เกิดความรับผิดชอบและทมุ่ เทเพ่ือม่งุ สู่ ความสาเร็จ 4. Active Learning ส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ท่ีก่อให้เกิดการพฒั นาเชิงบวกท้งั ตวั ผูเ้ รียน และตวั ครู เป็นการปรับการเรียนเปลี่ยนการสอน ผเู้ รียนจะมีโอกาสไดเ้ ลือกใชค้ วามถนดั ความสนใจ ความสามารถ ท่ีเป็ นความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual Different) สอดรับกับแนวคิดพหุปัญญา (Multiple Intelligence) เพ่ือแสดงออกถึงตัวตนและศกั ยภาพของตัวเอง ส่วนครูผูส้ อนต้องมีความ ตระหนักที่จะ ปรับเปล่ียนบทบาท แสวงหาวิธีการ กิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อช่วยเสริมสร้างศกั ยภาพ ของผเู้ รียนแต่ละคน สิ่งเหล่าน้ีจะทาให้ครูเกิดทกั ษะในการสอนและมีความเชี่ยวชาญในบทบาทหน้าที่ท่ี รับผิดชอบ เป็ นการ พฒั นาตน พฒั นางาน และพฒั นาผเู้ รียนไปพร้อมกนั นอกจากน้ี การจดั การเรียนรู้Active Learning มีประโยชน์ ดังน้ี(Center For Teaching Innovation, 2562) 1. พฒั นาการมีส่วนร่วมของผเู้ รียนใหค้ ดิ และทาตลอดจนพฒั นาความคิดและทกั ษะ 2. มีการใหข้ อ้ มลู ยอ้ นกลบั เพือ่ การพฒั นาของผเู้ รียน 3. ใหค้ วามสาคญั กบั ความแตกตา่ งของผเู้ รียน 4. เปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนไดค้ ิด และพดู ในสิ่งท่ีเก่ียวขอ้ งกบั การเรียนและไดฝ้ ึกปฏิบตั ิจริง 5. สร้างเครือข่ายระหว่างบุคคลรวมถึงสื่ออุปกรณ์ในการเรียนรู้ต่างๆ ซ่ึงทาให้ผูเ้ รียนเกิด ความ สนใจในการเรียนรู้ 6. มงุ่ ฝึกฝนทกั ษะสาคญั ใหก้ บั ผเู้ รียน เช่น การร่วมมือร่วมใจในการทางาน การทางาน ร่วมกบั ผอู้ ื่น 7. ทาใหผ้ เู้ รียนมีความมนั่ ใจในการนาเสนอผลงานของตนเอง 8. สร้างชุมชนแห่งการเรียนรู้ในห้องเรียน โดยการสร้างการมีปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างครูกบั นกั เรียน และนกั เรียนกบั นกั เรียนในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สาหรับวารินทพ์ ร ฟันเฟ่ื องฟู (2562: 139) สรุปวา่ การจดั การเรียนรู้Active Leaning มีขอ้ ดีคือ ผสู้ อน ใชว้ ิธีใดวิธีหน่ึงหรือหลากหลายในการจดั การเรียนรู้คร้ังหน่ึงๆ ซ่ึงเป็นวิธีสอนที่ให้ผูเ้ รียน มีส่วนร่วม โดย ผูส้ อนเป็นผูก้ ากบั และอานวยความสะดวก รวมท้งั เป็นผูส้ นบั สนุนและเสริมแรงใหผ้ เู้ รียน เป็นผแู้ สดงและ ตอบ ผเู้ รียนถูกกระตุน้ ใหม้ ีส่วนร่วมในการเรียน รวมท้งั เกิดสัมพนั ธภาพท่ีดีระหวา่ ง ผเู้ รียนดว้ ยกนั ผเู้ รียน ไดร้ ับการส่งเสริมในการทางานกลุ่ม มีปฏิสัมพนั ธ์กบั ผูอ้ ื่น (Interaction) ทาให้ ปรับตวั อยู่ในสังคมอย่างมี ความสุข ผูเ้ รียนถูกกระตุ้นให้มีความกระตือรือร้น (Active) ผูเ้ รียนเกิดการ ชอบเรียน ตอ้ งการเรียนรู้และ ตอ้ งการแสวงหาความรู้เพ่ิมเติมดว้ ยตนเอง ผูเ้ รียนเกิดการเรียนรู้ด้วยความ เขา้ ใจ (Meaningful Learning) นอกจากน้ีการจดั การเรียนรู้Active Leaning ยงั สามารถทาให้ผูเ้ รียน สามารถคิดวิเคราะห์สังเคราะห์และ ประเมินผลเป็ น

3.4 ลกั ษณะของการจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) กระบวนการเรียนรู้Active Learning ทาให้ผูเ้ รียนสามารถรักษาผลการเรียนรู้ให้อยู่คงทน ไดม้ าก และนานกวา่ กระบวนการเรียนรู้ Passive Learning เพราะกระบวนการเรียนรู้Active Learning สอดคลอ้ งกบั การทางานของสมองที่เก่ียวขอ้ งกบั ความจา โดยสามารถเก็บและจาสิ่งท่ีผูเ้ รียนเรียนรู้อย่าง มีส่วนร่วม มี ปฏิสัมพนั ธ์กับเพื่อน ผูส้ อน ส่ิงแวดล้อม การเรียนรู้ได้ผ่านการปฏิบัติจริง จะสามารถเก็บจา ในระบบ ความจาระยะยาว (Long Term Memory) ทาให้ผลการเรียนรู้ ยงั คงอยูไ่ ดใ้ นปริมาณท่ีมากกว่า ระยะยาวกว่า ซ่ึงอธิบายไวด้ งั แผนภาพที่ 2 แผนภาพท่ี 2 กรวยแห่งการเรียนรู้ จากแผนภาพท่ี 2 จะเห็นไดว้ า่ กรวยแห่งการเรียนรู้น้ีไดแ้ บง่ เป็น 2 กระบวนการ คือ 1. กระบวนการเรียนรู้Passive Learning 1.1 กระบวนการเรียนรู้โดยการอา่ น ท่องจา ผเู้ รียนจะจาไดใ้ นส่ิงท่ีเรียนไดเ้ พยี ง 10% 1.2 การเรียนรู้โดยการฟังบรรยายเพยี งอยา่ งเดียวโดยที่ผเู้ รียนไม่มีโอกาสไดม้ ีส่วนร่วม ในการเรียนรู้ ดว้ ยกิจกรรมอื่นในขณะที่ผสู้ อนสอน เมื่อเวลาผา่ นไปผเู้ รียนจะจาไดเ้ พยี ง 20% 1.3 หากในการเรียนการสอนผเู้ รียนมีโอกาสไดเ้ ห็นภาพประกอบดว้ ย กจ็ ะทาใหผ้ ล การเรียนรู้คงอยู่ ไดเ้ พมิ่ ข้ึนเป็น 30% 1.4 กระบวนการเรียนรู้ท่ีผูส้ อนจดั ประสบการณ์ให้กบั ผูเ้ รียนเพ่ิมข้ึน เช่น การให้ดู ภาพยนตร์การ สาธิต จดั นิทรรศการให้ผูเ้ รียนไดด้ ูรวมท้งั การนาผูเ้ รียนไปทศั นศึกษา หรือดูงาน ก็ทาให้ ผลการเรียนรู้ เพิม่ ข้ึน เป็น 50% 2. กระบวนการเรียนรู้Active Learning 2.1 การให้ผเู้ รียนมีบทบาทในการแสวงหาความรู้และเรียนรู้อยา่ งมีปฏิสัมพนั ธจ์ นเกิด ความรู้ความ เขา้ ใจ นาไปประยุกตใ์ ชส้ ามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่าหรือสร้างสรรคส์ ิ่งต่างๆ และพฒั นาตนเอง

เต็มความสามารถ รวมถึงการจดั ประสบการณ์การเรียนรู้ให้เขาไดม้ ีโอกาสร่วมอภิปราย ให้มีโอกาสฝึ ก ทกั ษะการสื่อสาร ทาใหผ้ ลการเรียนรู้เพ่ิมข้นึ 70% 2.2 การนาเสนองานทางวชิ าการ เรียนรู้ในสถานการณ์จาลอง ท้งั มีการฝึกปฏิบตั ิใน สภาพจริง มีการ เชื่อมโยงกบั สถานการณ์ต่างๆ ซ่ึงจะทาให้ผลการเรียนรู้เกิดข้ึนถึง 90% ไชยยศ เรืองสุวรรณ (มปป.) ได้ อธิบายถึงลกั ษณะสาคญั ของการจดั การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ดงั น้ี 1. เป็นการเรียนการสอนท่ีพฒั นาศกั ยภาพทางสมอง ไดแ้ ก่ การคิด การแกป้ ัญหา และการ นาความรู้ ไปประยกุ ตใ์ ช้ 2. เป็นการเรียนการสอนท่ีเปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้สูงสุด 3. ผเู้ รียนสร้างองคค์ วามรู้และจดั ระบบการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง 4. ผูเ้ รียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนท้งั ในดา้ นการสร้างองคค์ วามรู้ การสร้างปฎิสัมพนั ธ์ร่วม กน และร่วมมือกนั มากกวา่ การแข่งขนั 5. ผูเ้ รียนได้เรียนรู้ความรับผิดชอบร่วมกัน การมีวินัยในการทางาน และการแบ่งหน้าท่ี ความ รับผิดชอบ 6. เป็นกระบวนการสร้างสถานการณ์ใหผ้ เู้ รียนอ่าน พดู ฟัง คดิ อยา่ งลุ่มลึก ผเู้ รียนจะเป็น ผจู้ ดั ระบบ การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง 7. เป็นกิจกรรมการเรียนการสอนเนน้ ทกั ษะการคดิ ข้นั สูง 8. เป็ นกิจกรรมที่เปิ ดโอกาสให้ผูเ้ รียนบูรณาการขอ้ มูล ข่าวสาร สารสนเทศ และหลกั การสู่ การ สร้างความคดิ รวบยอด 9. ผสู้ อนจะเป็นผอู้ านวยความสะดวกในการจดั การเรียนรู้ เพือ่ ใหผ้ เู้ รียนเป็นผปู้ ฏิบตั ิดว้ ย ตนเอง 10. ความรู้เกิดจากประสบการณ์การสร้างองคค์ วามรู้ และการสรุปทบทวนของผเู้ รียน สาหรับทวีวฒั วฒั นกุลเจริญ (2555) ไดก้ ล่าวถึง ลกั ษณะสาคญั ของการเรียนเชิงรุก ที่เสนอ โดย Alaska Pacific University; Oklahoma University ไวด้ งั ต่อไปน้ี 1. การจดกั ิจกรรมใหผ้ เู้ รียนมีโอกาสศึกษาดว้ ยตนเองเพอื่ ให้เกิดประสบการณ์ตรงกบั การ แกป้ ัญหาในสถานการณ์จริง (Authentic Situation) 2. การจดั กิจกรรมเพ่ือใหผ้ เู้ รียนไดก้ าหนดแนวคิด วางแผน ยอมรับ ประเมินผลและ นาเสนอผลงาน ร่วมกนั 3. การบูรณาการเน้ือหารายวชิ าเพือ่ เชื่อมโยงความเขา้ ใจวิชาตา่ งๆ ที่แตกต่างกนั 4. การจดั บรรยากาศในช้นั เรียนใหเ้ อ้ือต่อการทางานร่วมกนั (Collaboration) 5. ใชก้ ลวธิ ีของกระบวนการกล่มุ (Group Processing) 6. การจดั ใหม้ ีการประเมินโดยเพอื่ น (Peer Assessment)

นอกจากน้ีจรรยา ดาสา (2552) กล่าวถึงลกษั ณะสาคญั พ้ืนฐานของกิจกรรมการเรียนรู้ดว้ ย วิธีการ เรียนเชิงรุก ไว้ 4 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ การฟังและพูด การอ่าน การเขียน และการไตร่ตรองหรือโตต้ อบ ความ คดิ เห็น โดยมีรายละเอียดดงั น้ี 1. การฟังและพดู ผสู้ อนจะตอ้ งใหผ้ เู้ รียนฟังให้เป็น คือจบั ใจความสาคญั ของเรื่องท่ีฟังให้ ไดเ้ ม่ือฟัง แลว้ ผเู้ รียนควรจะส่ือสารออกมาเป็นคาพูดใหผ้ อู้ ื่นเขา้ ใจได้ สามารถพูดส่ือสารขอ้ คดิ เห็นของ ตนเองได้ 2. การอ่าน ในการอ่านแต่ละคร้ัง ผสู้ อนตอ้ งมน่ั ใจว่าผูเ้ รียนสามารถจบั ใจความหรือ ประเด็นสาคญั จากเรื่องท่ีอา่ นได้ 3. การเขียน ในการเขียนหากผูเ้ รียนไม่เขา้ ใจเน้ือหาอยา่ งแทจ้ ริง จะไม่สามารถเขียนดว้ ย ภาษาของ ตนเองเพ่ือสื่อสารให้ตนเองหรือผูอ้ ่ืนเขา้ ใจได้ ดงั น้ีน การเขียนแต่ละคร้ังผูเ้ รียนตอ้ งกลนั่ กรอง และเรียบ เรียงความคดิ ของตนเองเป็นอยา่ งดีก่อนลงมือเขียน 4. การไตร่ตรองหรือการโตต้ อบความคิดเห็น การเปิ ดโอกาสให้ผูเ้ รียนไดม้ ีโอกาสโตต้ อบ ความ คิดเห็นของตนเองและแลกเปลี่ยนเรียนรู้สิ่งที่ตนเองคิดกบั ผูอ้ ื่นจะช่วยให้ผูเ้ รียนเกิดการเช่ือมโยง แนวคิดที่ มากข้นึ ทาใหร้ ู้ไดม้ ากข้นึ หรือทาใหก้ ารเรียนรู้น้นั มีความหมายมากข้ึน สรุป ลกั ษณะสาคญั ของการจดั กิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เป็นการเรียนรู้ ท่ีผเู้ รียน มีส่วนร่วมกบั กิจกรรมการเรียนรู้ นอกจากการฟังบรรยายอยา่ งเดียว หรือสร้างประสบการณ์ ผ่านการลงมือ ทา การสงั เกต ไดส้ นทนากบั ตนเองและผอู้ ่ืนผา่ นรูปแบบหรือเทคนิคการจดั กิจกรรมการ เรียนรู้ที่หลากหลาย โดยผูส้ อนสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับผูเ้ รียนได้ท้ังรายบุคคลหรือแบบกลุ่ม โดยพิจารณาให้ เหมาะสมกบั วตั ถุประสงค์ของการเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ เวลา และผเู้ รียน เพื่อให้ ผเู้ รียนไดร้ ับการพฒั นา ทกั ษะการคดิ ข้นั สูง 3.5 กระบวนการออกแบบกจิ กรรมจัดการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน (2562: 5) ไดเ้ สนอกระบวนการจดั การ เรียนรู้ดงั น้ี 1. จดั การเรียนรู้ที่พฒั นาศกั ยภาพทางสมอง ไดแ้ ก่ การคดิ การแกป้ ัญหาและการนาความรู้ ไป ประยกุ ตใ์ ช้ 2. จดั การเรียนรู้ที่เปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้สูงสุด 3. จดั ใหผ้ เู้ รียนสร้างองคค์ วามรู้และจดั กระบวนการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง 4. จดั ใหผ้ เู้ รียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ท้งั ในดา้ นการสร้างองคค์ วามรู้การสร้างปฏิสัมพนั ธ์ ร่วมกนั สร้างร่วมมือกนั มากกวา่ การแขง่ ขนั 5. จดั ใหผ้ เู้ รียนเรียนรู้เร่ืองความรับผิดชอบร่วมกนั การมีวินยั ในการทางานและการแบ่ง หนา้ ที่ความ รับผิดชอบในภารกิจตา่ งๆ 6. จดั กระบวนการเรียนท่ีสร้างสถานการณ์ใหผ้ เู้ รียนอ่าน พูด ฟัง คดิ อยา่ งลุ่มลึก ผเู้ รียนจะ เป็นผู้ จดั ระบบการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง

7. จดั กิจกรรมการจดั การเรียนรู้ท่ีเนน้ ทกั ษะการคิดข้นั สูง 8. จดั กิจกรรมที่เปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนบูรณาการขอ้ มูล ข่าวสาร หรือสารสนเทศและหลกั การ ความคดิ รวบยอด 9. ผสู้ อนจะเป็นผอู้ านวยความสะดวกในการจดั การเรียนรู้ เพือ่ ใหผ้ เู้ รียนเป็นผปู้ ฏิบตั ิดว้ ย ตนเอง 10. จดั กระบวนการสร้างความรู้ท่ีเกิดจากประสบการณ์ การสร้างองคค์ วามรู้และการสรุป ทบทวนของผเู้ รียน การจดั การเรียนรู้เชิงรุก (Active learning ) เป็ นกระบวนการเรียนรู้ท่ีผูเ้ รียนเป็ นผูม้ ีบทบาท หรือมี ส่วนร่วมอยา่ งต่ืนตวั (active) ในการดาเนินกิจกรรมการเรียนรู้ของตนเอง โดยความต่ืนตวั น้ีควรเป็นไป ท้งั ทางร่างกาย (physically active) ทางการคิดและสติปัญญา (intellectually active) ทางอารมณ์ และจิตใจ (emotionally active) และทางสังคม (socially active) การเรียนรู้ที่มีความต่ืนตวั ท้งั ๔ ดา้ น จะส่งผลให้การ เรียนรู้เกิดข้นึ ไดด้ ี ซ่ึงจะตา่ งจากการเรียนรู้เชิงรับ (passive learning) ซ่ึงผเู้ รียน เป็นผรู้ ับที่ไมม่ ีบทบาท หรือมี บทบาทนอ้ ยในกระบวนการสร้างความเขา้ ใจในเร่ืองที่เรียนรู้ ทาใหค้ วาม ตื่นตวั ท่ีจะเรียนรู้ให้เขา้ ใจมีน้อย จึงส่งผลใหก้ ารเรียนรู้ขาดประสิทธิภาพ ดงั น้นั กลยุทธ์ (Strategies) ใน การจดั การเรียนรู้เชิงรุกก็คือ การจดั กิจกรรมและประสบการณ์การเรียนรู้ให้ผเู้ รียนไดม้ ีส่วนร่วม ใน กระบวนการเรียนรู้ของตนอย่างต่ืนตวั ท้งั ทางกาย สติปัญญา สังคม และอารมณ์ กลา่ วคือ เป็นการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ใหผ้ เู้ รียน ดงั น้ี 1. ไดเ้ คล่ือนไหวทางร่างกาย (physically active) อยา่ งเหมาะสมตามวยั และความสนใจ ของตน เพ่ือ ช่วยให้ประสาทการรับรู้ มีความตื่นตวั สามารถรับขอ้ มูล ความรู้ และประสบการณ์ต่างๆ ได้ อย่างดีและ รวดเร็ว ดงั น้ันในการจดั กิจกรรมต่างๆ ควรให้มีลกั ษณะหลากหลายเพ่ือให้ผเู้ รียนไดเ้ ปล่ียน อิริยาบถ และ สามารถคงความสนใจของผเู้ รียนไวไ้ ด้ ซ่ึงเร่ืองน้ี จะมีความสาคญั เป็นพิเศษ สาหรับผเู้ รียน ในระดบั ปฐมวยั และประถมศึกษาตอนตน้ 2. ไดเ้ คลื่อนไหวทางสมองหรือสติปัญญา (intellectually active) ซ่ึงก็คือการคิดนั่นเอง ผูเ้ รียนจะ ตื่นตวั ถา้ ไดใ้ ช้ความคิด การคิดเป็ นเคร่ืองมือในการทาความเขา้ ใจในสิ่งที่เรียนรู้ การคิดในเร่ือง ที่ผูเ้ รียน สนใจ ประเด็นทา้ ทาย ประเด็นท่ีมีความหมายต่อตนเอง จะทาให้ผูเ้ รียนมีความผูกพนั ในการคิด และการ กระทา (engagement) ในเร่ืองที่เรียน ส่งผลใหก้ ารเรียนรู้มีประสิทธิภาพมากข้ึน 3. ไดเ้ คล่ือนไหวทางทางสังคม (socially active) คือไดม้ ีโอกาสนาเสนอความคิดของตน ต่อผูอ้ ื่น ไดร้ ับฟังและแลกเปล่ียนความคดิ เห็นของผอู้ ่ืน ไดร้ ับขอ้ มลู ยอ้ นกลบั ไดต้ รวจสอบความคิดของตน ไดข้ ยาย ความคิดของตนเอง ได้เรียนรู้จากผูอ้ ่ืน กระบวนการต่างๆ จะช่วยให้ผูเ้ รียนมีความตื่นตวั ใน การเรียนรู้ สามารถรับรู้และเกิดการเรียนรู้ไดด้ ี 4. ไดเ้ คล่ือนไหวทางทางอารมณ์ ความรู้สึก และจิตใจ (emotionally active) ซ่ึงหมายถึง กิจกรรม และประสบการณ์ที่จดั ให้ผูเ้ รียนน้นั ควรกระทบต่ออารมณ์ ความรู้สึกของผูเ้ รียนในทางท่ีเอ้ือต่อ การเรียนรู้ ในเร่ืองที่เรียน กิจกรรมใดกระทบต่อความรู้สึกของผูเ้ รียน กิจกรรมน้นั มกั มีความหมายต่อ ผูเ้ รียน และจะ ส่งผลต่อพฤติกรรมของผเู้ รียนดว้ ย

การออกแบบการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ตอ้ งพิจารณาว่ากิจกรรมท่ีออกแบบเป็ น กิจกรรม ลกั ษณะใด อาจจะเป็นกิจกรรมการเรียนรู้ตามมาตรฐานและตวั ช้ีวดั ของแต่ละวิชาหรือกลมุ่ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมพฒั นาผเู้ รียน หรือกิจกรรมเสริมทกั ษะอื่นๆ โดยผอู้ อกแบบพิจารณาแนวคิด ทฤษฎีท่ีเกี่ยวขอ้ ง อนั ประกอบดว้ ย แนวคิดของ บลูม (Bloom’s Taxonomy) ส่ีเสาหลกั ทางการศึกษา (Four Pillars of Education) หลกั การพฒั นาทกั ษะ 4 H (Head Heart Hand และ Health) และพระ บรมราโชบายดา้ นการศึกษา ของสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั วชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร โดยมี กระบวนการ ดงั น้ี 1. การเขียนแผนการจดั การเรียนรู้เชิงรุก แผนจดั การเรียนรู้ เป็ นการเตรียมการวางแผนการจัดการ เรียนการสอนอย่างเป็ นระบบ โดยนาสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ คาอธิบายรายวิชา และกระบวนการ เรียนรู้ โดยเขียนเป็ นแผนการ จดั การเรียนรู้ให้เป็ นไปตามศกั ยภาพของผูเ้ รียน เพื่อเป็ นแนวทางในการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน ซ่ึง มีเน้ือหา กิจกรรมการเรียนการสอน ส่ือการสอน และวิธีวดั ผลประเมินผลที่ ชดั เจน ช่วยใหค้ รูสามารถ ดาเนินกิจกรรมการเรียนการสอนใหก้ บั ผเู้ รียนไดเ้ หมาะสม ตรงตามเป้าหมายและ มีประสิทธิภาพ (ครู เชียงราย, 2562: บทความ) โดยมีองค์ประกอบของแผนการจดั การเรียนรู้ที่สาคญั แยก เป็นสองส่วน ไดแ้ ก่ 1.1 ส่วนหวั ของแผน ไดแ้ ก่ โรงเรียน... ช้นั ... หน่วยการเรียนรู้ท่ี... เรื่อง... เวลา... แผนการเรียนรู้ที่... เร่ือง...วนั ท่ี...เวลา...น. 1.2 ส่วนที่สองรายการท่ีสาคญั ท่ีตอ้ งระบุในแผนการจดั การเรียนรู้ ไดแ้ ก่ 1.2.1 สาระสาคญั (ความคิดรวบยอดหรือมโนมติของบทเรียน) หมายถึง สาระสาคญั ของ เน้ือหา ประสบการณ์ที่ตอ้ งการให้เกิดข้ึนกบั นกั เรียนหลงั จากนกั เรียนไดร้ ับการปลูกฝัง ดว้ ยเทคนิควิธีการ จากครู และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมรวมท้งั ทาหนา้ ท่ีเป็ นตวั กาหนดขอบเขตเน้ือหา ความรู้ จุดประสงค์ ของการเรียนการสอนในแต่ละคร้ัง ควรเขียนเป็นประโยคหรือขอ้ ความส้นั ๆ 1.2.2 จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ แบ่งเป็น 2 ลกั ษณะดงั น้ี 1) จุดประสงคป์ ลายทาง เป็นจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ท่ีเกิดข้นึ กบั นกั เรียน ซ่ึง สะทอ้ นผลรวมท้งั หมดที่มุ่งหวงั และปรารถนาจะใหเ้ กิดกบั นกั เรียนทุกคน เม่ือผ่านกระบวนการเรียน การ สอนวิชาน้นั แลว้ อีกท้งั ยงั สะทอ้ นจุดเน้นเด่นๆ ของเน้ือหาวิชาและพฤติกรรมสาคญั ๆ ของวิชาน้นั ๆ หรือ อาจจะสะทอ้ นผลสรุปข้นั สุดทา้ ยของกระบวนการเรียนรู้กไ็ ด้ วธิ ีการเขยี นใหย้ ดึ “สาระการเรียนรู้ เป็นหลกั ” และนากรอบพฤติกรรมบ่งช้ีมาวิเคราะห์ให้สอดคลอ้ งกับสาระการเรียนรู้และมาตรฐานการ เรียนรู้เช่น เพ่ือให้รู้และเข้าใจระบอบการปกครองระบอบประชาธิปไตย เพื่อให้ตระหนักถึงความสาคญั ของการ ปกครองระบอบประชาธิปไตย เพ่อื ใหป้ ฏิบตั ิตนเป็นพลเมืองดีตามวิถีประชาธิปไตยได้ เป็นตน้ 2) จุดประสงคน์ าทาง เป็นความคาดหวงั ท่ีเกิดข้ึนกบั นกั เรียนระหวา่ ง การเรียนใน แต่ละคร้ัง การเขยี นจุดประสงคน์ าทางมีวตั ถุประสงคใ์ หผ้ สู้ อนไดพ้ ิจารณาถึงผลการเรียน ยอ่ ยๆ หรือ พฤติกรรมต่างๆ ท่ีควรจะเกิดข้นึ ในระหวา่ งการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ วิธีการเขยี นผสู้ อนตอ้ ง กาหนด

พฤติกรรมยอ่ ยๆ ของสาระการเรียนรู้ย่อย เพ่ือนาไปสู่จุดประสงคป์ ลายทาง สามารถเปรียบเทียบ ใหเ้ ห็นได้ ดงั น้ี จุดประสงคป์ ลายทาง : เพื่อใหร้ ู้และเขา้ ใจระบอบการปกครองระบอบ ประชาธิปไตย จุดประสงคน์ าทาง : 1) บอกลกั ษณะและประเภทของการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย ได้ 2) อธิบายความสาคญั ของการปกครองระบอบประชาธิปไตย ได้ จุดประสงคป์ ลายทาง : เพอ่ื ใหต้ ระหนกั ถึงความสาคญั ของการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย จุดประสงคน์ าทาง : ยกตวั อยา่ งหลกั การของระบอบประชาธิปไตยใน การดารงชีวติ ได้ จุดประสงคป์ ลายทาง : เพ่อื ใหต้ ระหนกั ถึงความสาคญั ของการปกครอง ระบอบประชาธิปไตย จุดประสงคน์ าทาง : ปฏิบตั ิตนเป็นพลเมืองดีตามวถิ ีประชาธิปไตยใน ชีวิตประจาวนั ได้ 1.2.3 สาระการเรียนรู้หมายถึง ประมวลสาระแห่งองคค์ วามรู้หรือสาระการ เรียนรู้ที่ ปรากฏอยใู่ นขอบขา่ ยของเรื่องที่กาหนดใหเ้ รียน สามารถเขยี นโดยอาศยั พฤติกรรมการเรียนรู้ ของผเู้ รียนเป็น ตวั กาหนดไดเ้ ช่น 1) ดา้ นความรู้ ไดแ้ ก่ สาระความรู้ที่กาหนดใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียน 2) ดา้ นทกั ษะกระบวนการ หมายถึง ทกั ษะท่ีเก่ียวขอ้ งกบั สาระการ เรียนรู้ ทกั ษะการ ทางาน ทกั ษะการเรียนรู้ท่ีตอ้ งการใหผ้ เู้ รียนไดฝ้ ึก 3) ดา้ นเจตคติ คุณค่า หมายถึง อารมณ์ความรู้สึก การเห็นประโยชน์ คุณค่าของเร่ืองท่ี เรียน 1.2.4 กิจกรรมการเรียนรู้/กระบวนการจดั การเรียนรู้ หมายถึง วิธีการสอน รูปแบบการ สอนแบบตา่ งๆ ที่ใชใ้ นการจดั การเรียนรู้ หรือเป็นข้นั ตอนและวธิ ีการของการกระทากิจกรรม ตา่ งๆ ต้งั แต่ตน้ จนจบกระบวนการเรียนรู้ที่สามารถใหน้ กั เรียนไดแ้ สดงออกท้งั ดา้ นการปฏิบตั ิดว้ ยการใช้ ความคิด พดู และ กระทา เพ่ือสร้างประสบการณ์ท่ีก่อใหเ้ กิดการเรียนรู้ในขณะที่เรียน กิจกรรมการเรียนรู้ เป็นจดั การเรียนการ สอนที่เนน้ นกั เรียนเป็นศูนยก์ ลาง หลกั ของการนากิจกรรมการเรียนการสอนมาทาแผนการจดั การเรียนรู้คอื ยดึ หลกั นกั เรียนเป็นศูนยก์ ลาง ของการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน ใหน้ กั เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการ สอนมากที่สุด 1.2.5 สื่อและแหลง่ การเรียนรู้ หมายถึง การเตรียมสื่อตา่ งๆ เช่น ใบความรู้ สื่อ วสั ดุ อปุ กรณ์ ส่ือบุคคล กรณีศึกษา นิทาน เคร่ืองโสตทศั นูปกรณ์ วีดิทศั น์ แถบเสียง แผน่ โปร่งใส Power Point กระดาษ ปากกา สี บตั รคา บตั รความรู้ ใบงาน หนงั สือ ตารา เอกสารอา้ งอิง ฯลฯ แหล่งเรียนรู้ท่ีใชป้ ระกอบในการทากิจกรรมการเรียนรู้ในคาบน้นั ๆ เช่น แหล่งเรียนรู้ในชุมชน วดั ที่ทา การองคก์ ารบริหารส่วนตาบล ศาลจงั หวดั สถานีตารวจ อนามยั ตาบล ฯลฯ 1.2.6 การวดั และประเมินผล หมายถึง การออกแบบการประเมินผลและการ สร้าง เครื่องมือเพื่อใช้ในการประเมินผล ในที่น้ีหมายถึงการวดั และประเมินผลการเรียนเป็ นรายคาบ ไดแ้ ก่ การ สังเกตความสนใจและการมีส่วนร่วม การแสดงความคดิ เห็นและการตรวจผลงาน การใช้ แบบทดสอบ การ

ทาแฟ้มสะสมงาน เป็นตน้ การจดั กิจกรรมในข้นั น้ีไดแ้ ก่ การนาผลงานมาติดท่ีป้าย นิเทศ การอ่านหนังสือ เพ่ิมเติมนอกเวลา การทาแบบทดสอบ ฯลฯ 1.2.7 บนั ทึกผลการใชแ้ ผนการจดั การเรียนรู้ ผสู้ อนสามารถประเมินแผนการ จดั การ เรียนรู้ โดยใชบ้ นั ทึกผลการใชแ้ ผนฯ เพือ่ ปรับปรุงและพฒั นาแผนการจดั การเรียนรู้ต่อไป ข้นั ตอนในการทา แผนการจดั การเรียนรู้ การทาแผนการจดั การเรียนรู้ มีข้นั ตอนดงั น้ี 1. วิเคราะหค์ าอธิบายรายวิชา สาระการเรียนรู้รายปี หรือรายภาค และหน่วยการเรียนรู้ ที สถานศึกษาจดั ทาข้ึน เพอื่ ประโยชน์ในการเขยี นรายละเอียดของแตล่ ะหวั ขอ้ ของแผนการจดั การเรียนรู้ 2. วิเคราะหผ์ ลการเรียนรู้ที่คาดหวงั เพื่อนามาเขยี นเป็นจุดประสงคก์ ารเรียนรู้โดยให้ ครอบคลุมพฤติกรรมท้งั ดา้ นความรู้ ทกั ษะ/กระบวนการ เจตคติ และคา่ นิยม 3. วิเคราะหส์ าระการเรียนรู้โดยเลือกและขยายสาระท่ีเรียนรู้ใหส้ อดคลอ้ งกบั ผเู้ รียน ชุมชนและทอ้ งถิ่น 4. วเิ คราะห์กระบวนการเรียนรู้ โดยเลือกรูปแบบการจดั การเรียนรู้ที่เนน้ ผเู้ รียนเป็นสาคญั 5. วิเคราะหก์ ระบวนการประเมินผล โดยเลือกใชว้ ธิ ีการวดั ผลประเมินผลให้สอดคลอ้ ง กบั จุดประสงคก์ ารเรียนรู้และสร้างแบบวดั ประเมินผลใหค้ รอบคลมุ เน้ือหาดว้ ย 6. วิเคราะหแ์ หล่งเรียนรู้ โดยคดั เลือกสื่อการเรียนรู้และแหล่งการเรียนรู้ท้งั ในและนอก หอ้ งเรียนใหเ้ หมาะสมกบั กระบวนการจดั การเรียนรู้ การออกแบบหน่วยการเรียนรู้และแผนการจัดการเรี ยนรู้ที่เน้นการจัดการเรียนเชิงรุก (Active Learning) ครูผสู้ อนจะมีการพจิ ารณาตรวจสอบโครงสร้างรายวิชาท่ีสอนก่อน จึงดาเนินการ ออกแบบหน่วย การเรียนรู้และแผนการจัดการเรียนรู้ท่ีเน้นการจดั การเรียนเชิงรุก (Active Learning) ให้ สอดคลอ้ งกับ หลกั สูตรในแตล่ ะกลุ่มสาระการเรียนรู้/รายวิชา โครงสร้างรายวิชา เป็ นการกาหนดขอบข่ายของรายวิชาท่ีจะจัดสอนเพื่อช่วยให้ผูส้ อนและ ผเู้ กี่ยวขอ้ ง เห็นภาพรวมของแต่ละรายวชิ าวา่ ประกอบดว้ ย หน่วยการเรียนรู้ จานวนเทา่ ใด เรื่องใดบา้ ง แต่ละ หน่วยพฒั นาให้ผูเ้ รียนบรรลุตวั ช้ีวดั ใด เวลาท่ีใช้จดั การเรียนการสอน และสัดส่วนการเก็บคะแนน ของ รายวิชาน้นั เป็ นอย่างไร กระบวนการจดั ทาโครงสร้างรายวิชา และหน่วยการเรียนรู้ อาจดาเนินการ โดยมี ข้นั ตอนเร่ิมตน้ หรือลงทา้ ยที่แตกต่างกนั ไดห้ ลายวิธี

แผนภาพท่ี 3 ความสมั พนั ธ์ของหน่วยการเรียนรู้สู่การจดั ทาแผนการจดั การเรียนรู้ จากแผนภาพที่ 3 ภายหลังการออกแบบหน่วยการเรียนรู้เสร็จสิ้น เพ่ือให้การจัดการเรียนรู้ สอดคลอ้ งกบั หน่วยการเรียนรู้ ครูผูส้ อนควรวางแผนจดั แบ่งเน้ือหาสาระ เวลา ให้ครอบคลุมหน่วยการ เรียนรู้จากน้นั นามาจดั ทาแผนการจดั การเรียนรู้ให้เหมาะสมกบั เวลา และการพฒั นาผูเ้ รียน ในการ จดั ทา แผนการจดั การเรียนรู้ ครูผูส้ อนจะตอ้ งกาหนดเป้าหมายสาหรับผูเ้ รียนในการจดั การเรียนรู้ โดย สามารถ กาหนดเป็ นจุดประสงค์การเรียนรู้ของแผนการเรียนรู้น้ันๆ ซ่ึงจุดประสงค์การเรียนรู้ในแต่ละ แผนการ จัดการเรียนรู้ ต้องนาาพาผูเ้ รียนไปสู่มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวช้ีวดั สมรรถนะสาคัญของผูเ้ รียน และ คุณลกั ษณะอนั พึงประสงคท์ ่ีกาหนดไวใ้ นหน่วยการเรียนรู้ จากน้นั ตอ้ งกาหนดการจดั กิจกรรมการ เรียนรู้ เพ่ือให้ผเู้ รียนบรรลุเป้าหมาย ครูควรใชเ้ ทคนิค/วิธีการสอนท่ีหลากหลาย โดยพิจารณาเลือกนา กระบวนการ เรียนรู้ท่ีจะพฒั นาให้ผูเ้ รียนเกิดการเรียนรู้ ท่ีเนน้ การจดั การเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ซ่ึงสามารถนา กระบวนการเรียนรู้ดงั ต่อไปน้ีมาใช้ในการจดั การเรียนรู้ให้เหมาะสมกบั ธรรมชาติวิชา เช่น กระบวนการ เรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้ กระบวนการคิด กระบวนการทางสังคม ฯลฯ รวมท้งั ให้ ศึกษาการนาเทคนิควิธีการสอนมาใช้ในการจดั การเรียนรู้ดว้ ย และในการจดั การเรียนรู้ ครูผูส้ อนตอ้ งรู้จกั เลือกใช้ส่ือ/แหล่งเรียนรู้ ภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น มาใช้ในการจดั กิจกรรม เพ่ือให้ผูเ้ รียนเกิด การเรียนรู้ ส่ือที่ นามาใช้ตอ้ งกระตุน้ ส่งเสริมใหผ้ ูเ้ รียนเกิดการเรียนรู้ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ โดยไม่ยึดส่ือใด สื่อหน่ึงเป็ น หลกั ในการจดั การเรียนรู้ ท้งั น้ีกิจกรรมในแต่ละแผนการจดั การเรียนรู้ตอ้ งส่งเสริมและพฒั นาให้ผเู้ รียนมีความสามารถ ที่จะ ทาชิ้นงาน/ภาระงาน เมื่อครบทุกแผนการจดั การเรียนรู้ของหน่วยการเรียนรู้น้นั ๆ ผเู้ รียนตอ้ งสร้างชิ้นงาน/ ภาระงานของหน่วยการเรียนรู้ได้ นอกจากน้ีในการจดั การเรียนรู้ตอ้ งกาหนดว่า จะใชเ้ ครื่องมือ ใดวดั และ ประเมินผลผูเ้ รียนให้บรรลุตามเป้าหมายท่ีกาหนด ดงั น้นั ในการวดั และประเมินผลครูผูส้ อน ตอ้ งประเมิน

ผูเ้ รียนตลอดการจดั การเรียนรู้ โดยเลือกใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกบั ลกั ษณะกิจกรรมและส่ิงที่ ตอ้ งการวดั นอกเหนือจากการประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน ในการจดั ทาแผนการจดั การเรียนรู้ องคป์ ระกอบของแผนการจดั การเรียนรู้เป็ นไปตามที่ โรงเรียน กาหนด โดยควรมีองค์ประกอบหลกั ท่ีสาคญั คือ มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ช้ีวดั จุดประสงค์การ เรียนรู้ สาระสาคญั สาระการเรียนรู้ ทกั ษะ/กระบวนการ สมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รียน เจตคติ/ คุณลกั ษณะอนั พึง ประสงค์ ภาระงาน/ชิ้นงาน กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อและแหล่งการเรียนรู้ การวดั และ ประเมินผล บนั ทึกผล หลงั การจดั การเรียนรู้ ความคิดเห็นของผบู้ ริหารโรงเรียน และภาคผนวกแนบทา้ ย แผนการจดั การเรียนรู้ 2. การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) เป็นกระบวนการจดั การ เรียนรู้ท่ีผเู้ รียนไดล้ งมือกระทา และไดใ้ ชก้ ระบวนการคิดเกี่ยวกบั ส่ิงที่เขาไดก้ ระทาลงไป โดยผูเ้ รียนจะ เปล่ียนบทบาทจากผูร้ ับความรู้ (receive) ไปสู่การมีส่วนร่วมในการ สร้างความรู้ (Co-Creators) ความรู้ ที่เกิดข้นึ เป็นความรู้ท่ีไดจ้ ากประสบการณ์ ดงั น้นั กระบวนการในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ผเู้ รียนตอ้ งมี โอกาสลงมือกระทามากกวา่ การฟังเพียงอยา่ งเดียว การจดั กิจกรรมใหผ้ เู้ รียน ไดเ้ รียนรู้ดว้ ยการอ่าน การ เขียน การอภิปรายกบั เพื่อน การวิเคราะห์ปัญหา และใช้กระบวนการคิดข้นั สูง ไดแ้ ก่ การวิเคราะห์ การ สังเคราะห์ การประเมินค่า และการสร้างสรรค์ เป็นกระบวนการเรียนรู้ท่ีใหผ้ เู้ รียน ได้เรียนรู้อย่างมี ความหมาย โดยการร่วมมือระหว่างผูเ้ รียนด้วยกัน กิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) ทาให้ ผูเ้ รียนสามารถรักษาผลการเรียนรู้ให้อยู่คงทนได้นาน กระบวนการเรียนรู้เชิงรุก จะ สอดคลอ้ งกบั การ ทางานของสมองและความจา โดยผเู้ รียนสามารถเก็บขอ้ มูล และจาส่ิงที่เรียนรู้โดยมีส่วน ร่วม มี ปฏิสัมพนั ธ์กบั เพื่อน ผูส้ อน สิ่งแวดลอ้ ม ผ่านการปฏิบตั ิจริง สามารถเก็บความจาในระบบความจา ระยะ ยาว (Long Term Memory) การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก อาจแยกการออกแบบกิจกรรมได้ 2 ลกั ษณะ คือ 2.1 การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก ในหน่วยการเรียนรู้หรือแผนการจดั การ เรียนรู้ 2.2 การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้เชิงรุก ในกิจกรรมพฒั นาผเู้ รียนหรือกิจกรรม เสริมทกั ษะอื่นๆ การออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้การเรียนรู้เป็นหวั ใจสาคญั ที่จะช่วยใหน้ กั เรียนเกิดการ พฒั นา ทาใหน้ กั เรียน มีความรู้และทกั ษะตามมาตรฐานการเรียนรู้และตวั ช้ีวดั ช้นั ปี ท่ีกาหนดไวใ้ นแต่ละ หน่วยการเรียนรู้ รวมท้งั ช่วยในการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงคใ์ หเ้ กิดแก่ผเู้ รียน ดงั น้นั ผสู้ อนจึงควรทราบ หลกั การและข้นั ตอนในการจดั กิจกรรม ดงั น้ี 1. หลกั ในการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ 1.1 เป็นกิจกรรมท่ีพฒั นานกั เรียนไปสู่มาตรฐานการเรียนรู้ และตวั ช้ีวดั ช้นั ปี ท่ีกาหนด ไว้ ในหน่วยการเรียนรู้ 1.2 นาไปสู่การเกิดหลกั ฐานการเรียนรู้ ชิ้นงานหรือภาระงานท่ีแสดงถึงการบรรลุ มาตรฐาน การเรียนรู้และตวั ช้ีวดั ช้นั ปี ของนกั เรียน 1.3 นกั เรียนมีส่วนร่วมในการออกแบบและจดั กิจกรรมการเรียนรู้