Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ภาษาบาลีไวยากรณ์

ภาษาบาลีไวยากรณ์

Published by Noy4021, 2020-08-23 19:50:19

Description: ภาษาบาลีไวยากรณ์

Search

Read the Text Version

บาลีไวยากรณ์ (ฉบับวดั โพธท์ิ อง) เรยี บเรียงโดย พระมหาเสน่ห์ ธมฺมสเิ นโห ป.ธ.๗, พธ.บ. สำ� นกั ศาสนศึกษา วดั โพธ์ทิ อง อำ� เภอหนองเรือ จงั หวัดขอนแก่น

บาลไี วยากรณ์ (ฉบับวัดโพธิ์ทอง) พมิ พค์ รัง้ ท่ี ๑ : เมษายน ๒๕๖๐ จ�ำนวน : ๑,๐๐๐ เลม่ ISBN : ........................................ จัดพิมพ์โดย : สำ� นกั ศาสนศึกษาวดั โพธท์ิ อง โรงเรยี นรม่ โพธ์ทิ องธรรมวิทย์ ต�ำบลบ้านกง อ�ำเภอหนองเรอื จงั หวัดขอนแกน่ 40240 (043) 001 121 บรรณาธิการ : นายระพีพฒั น์ หาญโสภา กองบรรณาธกิ าร : พระมหาธนากร อนคฺฆเมธี พระมหาศุภสทิ ธ์ิ สุภสทิ ธิ พิมพ์ที่ : หจก. โรงพิมพค์ ลงั นานาวิทยา ๒๓๒/๑๙๙ หมูท่ ี่ ๖ ถ.ศรจี ันทร์ ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแกน่ โทร. ๐๔๓-๓๒๘๕๘๙-๙๑ แฟกซ์ ๐๔๓-๓๒๘๕๙๒ email: [email protected] www.klungnana.com

คำ� น�ำ หนังสือบาลีไวยากรณ์ ฉบับวัดโพธ์ิทอง เป็นหนังสือที่จัดท�ำข้ึน เพื่อเป็นคู่มือในการเรียนการสอนบาลีไวยากรณ์ ส�ำนักศาสนศึกษา วดั โพธิท์ อง ซ่ึงได้ใช้ประกอบการเรยี นการสอนมาร่วม ๑๐ ปี โดยได้องิ หลกั จากหนงั สอื บาลไี วยากรณ์ โดยสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมพระยา วชริ ญาณวโรรส, หลกั สตู รยอ่ บาลไี วยากรณ์ โดย พระมหานิยม อุตฺตโม วัดธาตุพระอารามหลวง, บาลีไวยากรณ์ฉบับย่อ โดย พระราชปริยัติ โสภณ (ถนอม ชินวํโส) เจ้าคณะจังหวัดขอนแก่น, แต่งและแปลบาลี โดย พระมหาประสิทธ์ิ สิริปญโฺ ญ ป.ธ.๙ เลขานกุ ารรองเจา้ คณะภาค ๙ ตลอดถึงแนวทางจากคู่มือเฉลยข้อสอบบาลีสนามหลวง ซ่ึงข้าพเจ้า ไดร้ วบรวมเรยี บเรยี งปรบั เปลยี่ นขอ้ ความบางทบ่ี างประการ เพอื่ ใหก้ ระชบั และเหมาะสมแก่ยุคสมัย ง่ายต่อการเรียนรู้ของพระภิกษุสามเณร ในปัจจุบัน จึงอาจมีส�ำนวนที่ขัดหูและความรู้สึกของผู้ท่ีเคยศึกษา (อ่าน-ท่อง) จากเล่มอื่น ท้ังน้ีข้าพเจ้าขออนุญาตโดยกุศลจิตต่อท่าน ผ้เู รียบเรยี งมากอ่ น เชน่ ข้อความ “ธาตุ คอื กริ ิยาศัพทท์ ีเ่ ป็นมูลราก” ผสู้ อนและผเู้ รยี นไมค่ อ่ ยเขา้ ใจความหมาย หรอื เขา้ ใจยาก จงึ ใชข้ อ้ ความ ว่า “ธาตุ คือ กิริยาศัพท์ที่เป็นมูลราก หรือ มูลรากของกิริยาศัพท์” เหน็ วา่ นา่ จะเขา้ ใจงา่ ยขน้ึ หรอื ในเรอื่ งของสนธกิ เ็ รยี บเรยี งใหก้ ระชบั และ ชัดเจนข้ึน เพ่ือสะดวกต่อการท�ำความเข้าใจของผู้เรียนและผู้ใคร่ศึกษา ท่วั ไป อยา่ งไรก็ตามไดย้ ึดหลักของบาลสี นามหลวงเปน็ เกณฑ์

ขอขอบคุณในแนวทางท่ีพระเถระได้เรียบเรียงเป็นแบบอย่างไว้ จนเกิดการสืบต่อมาโดยล�ำดับและขออนุโมทนาผู้มีส่วนในการจัดท�ำ หนังสือบาลีไวยากรณ์ ฉบับวัดโพธิ์ทองทุกรูปท่านหวังเป็นอย่างย่ิงว่า ผู้ศึกษาจักเกิดความสะดวกในการศึกษาจากหนังสือเล่มนี้ และหากมี ส่วนใดท่ีไม่ชัดเจนข้าพเจา้ ยินดีนอ้ มรบั เพื่อปรับปรงุ ในโอกาสตอ่ ไป พระมหาเสนห่ ์ ธมฺมสเิ นโห, ป.ธ.๗

สารบญั หนา ๑ บาลไี วยากรณ ๔ อกั ขรวธิ ี ๕ สมัญญาภิธาน ๖ สระ ๗ พยัญชนะ ๙ ฐานกรณของอกั ขระ ๑๒ เสียงของอักขระ พยัญชนะสงั โยค ๑๕ ๑๘ สนธิ ๑๙ สระสนธิ ๒๖ พยญั ชนะสนธิ นิคคหิตสนธิ ๓๐ ๓๓ วจวี ภิ าค ๓๓ นามศพั ท ๓๕ ลิงค วจนะ ๔๐ วภิ ตั ติ ๔๐ อายตนิบาต ๔๒ การันต ๔๓

นาม ๒ สารบัญ (ตอ ) ๔๔ สงั ขยา วธิ แี จกสามัญญศพั ท ๕๙ ๗๓ สัพพนาม วธิ ีแจกปกติสงั ขยา ๗๗ อัพยยศพั ท ปูรณสงั ขยา ๘๕ ๘๘ อาขยาต อุปสคั ๙๗ นิบาต ๙๗ ปจ จยั ๙๙ ๑๐๕ วภิ ัตติ ๑๑๐ กาล ๑๑๐ บท ๑๑๓ วจนะ ๑๑๕ บรุ ษุ ๑๑๖ ธาตุ ๑๑๖ ปจ จัย ๑๑๗ วาจก ๑๒๖ ๑๒๗

สารบญั (ตอ) ๑๓๓ กติ ก ๑๓๓ ๑๕๐ กริ ิยากติ ก ๑๗๗ นามกติ ก ๑๗๗ สมาส ๑๘๑ กัมมธารยสมาส ๑๘๒ ทคิ สุ มาส ๑๘๔ ตัปปรุ สิ มาส ๑๘๗ ทวันทวสมาส ๑๘๙ อัพยยีภาวสมาส ๑๙๘ พหุพพิหสิ มาส ๒๑๕ ตทั ธติ หลักสัมพนั ธ ๒๔๐ บรรณานกุ รม



1๑ ปฐมบทแหงบาลีไวยากรณ (ขอ ควรศึกษาเบอื้ งตนเก่ยี วกบั บาลีไวยากรณ) บาลีไวยากรณ มาจากศัพทวา บาลี + ไวยากรณ ศัพทเดิม คือ ปาลิ + วฺยากรณ ปาลิ (ภาสา) แปลวา“ภาษาท่ีรักษาไวซึ่งระเบียบแบบแผน” ในพจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน ใหค วามหมายวา “ภาษาที่ใชเปน หลกั ในพระพุทธศาสนานกิ ายเถรวาท” ในพจนานุกรมมคธ -ไทย (พันตรี ป.หลงสมบุญ) ใหความหมาย วา “บาลี หรือ พระบาลี คือ พระพุทธพจนอันเปนหลักเดิม ไดแกคําใน พระไตรปฎก จัดเปนพระปริยัติธรรม บาลี คือ คําที่ใชเปนหลักใน พระพุทธศาสนา” ในสัททนีติ สุตฺตมาลา (พระอัคควังสเถระ) ใหความหมายวา “ภาษาที่รกั ษาไว ซึ่งพระพุทธพจน” และดวยความท่ี ภาษาบาลี เปนภาษาท่ีรักษาซึ่งพระพุทธพจน จึงไดรับการยกยองจากนักไวยากรณวาเปนภาษาที่มีความพิเศษถึง ๔ ประการ คือ ๑. มูลภาษา คือ ภาษาหลักของเสฏฐบุคคล ๔ จําพวก คือ ๑. อาทิกัปปยบุคคล(บุคคลในยุคตนกัปป) ๒. พรหม ๓. อัสสุตาลาป-

๒2 บุคคล (บุคคลผูไมเคยสดับคําพูดของมนุษย) และ ๔. พระสัมมาสัม พุทธเจา ๒. ตันติภาษา คือ ภาษาทีม่ แี บบแผนมีกฎเกณฑทางไวยากรณท่ี ชดั เจน ๓. สกานิรุตติ คือ ภาษาทพี่ ระพทุ ธเจา ตรัสและเปน ภาษาหลกั ใน การประกาศพระพุทธศาสนา ๔. อุตตมภาษา คือ ภาษาช้ันสงู วฺยากรณ แปลวา การกระทําใหแจง , การทาย, การกลาวทาย, การคาดการณ, การยืนยัน, และ การพยากรณ (วิ + อา บทหนา กรฺ ธาตุ ยุ ปจจยั แปลง อิ เปน ย = วย = วฺยากรณ) ในพจนานุกรมพุทธศาสน ฉบับประมวลศพั ท (ป.อ.ปยุตฺโต) ใชคํา วา “ไวยากรณ” และใหค วามหมาย ๒ อยาง คอื ๑. ระเบียบของภาษา วชิ าวา ดว ยระเบยี บแหงภาษา ๒. คาํ หรือขอความท่เี ปนรอยแกว, ความรอยแกว พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน ใหความหมายของคําวา บาลไี วยากรณ วา “ระเบียบของภาษาบาลี” หรอื “การกระทําใหแจงซ่ึง ภาษาบาลี” คาํ วา “บาลไี วยากรณ” ซ่ึงมาจากศัพทเดิมวา “ปาลิวฺยากรณํ ” เปนศพั ทนามกติ ก ลง ยุ ปจจัย เปนกตั ตรุ ปู กรณสาธนะ

3๓ วิ.วา ปาลึ วฺยากโรติ เตนาติ = ปาลิวฺยากรณํ (วจนํ) (บุคคลยอม กระทําใหแจง ซ่ึงภาษาบาลี ดวยถอยคําน้ัน เพราะเหตุน้ัน ถอยคํานั้น ชื่อวา เปนเครือ่ งกระทาํ ใหแ จง ซ่งึ ภาษาบาล)ี สรุปวา บาลีไวยากรณ แปลวา ความชัดเจนแหงระเบียบแบบ แผนของภาษาบาลี

๔4 บาลไี วยากรณ (ใหท อง) บาลีไวยากรณ แบง ออกเปน ๔ สวน คือ ๑. อักขรวธิ ี ๒. วจีวภิ าค ๓. วากยสัมพันธ ๔. ฉนั ทลกั ษณ ๑. อักขรวธิ ี วา ดว ยอักษร จดั เปน ๒ อยาง คือ ๑. สมัญญาภิธาน แสดงชื่ออักขระท้ังท่ีเปนสระและพยัญชนะ พรอมดวยฐานกรณ ๒. สนธิ การตอ อักขระใหเ นื่องดว ยอกั ขระ ๒. วจีวิภาค วา ดวยสวนแหงถอยคํา หรือการแบงคําพูด ซึ่งแบง ออกเปน ๖ สว น คือ ๑. นามศัพท ๒. อพั ยยศพั ท ๓. อาขยาต ๔. กิตก ๕. สมาส ๖. ตทั ธติ ๓. วากยสัมพันธ วาดวยการก (ผูกระทํา) และสัมพันธคําพูดท่ี แบง ไวใ นวจวี ิภาคใหเขา เปน ประโยคเดียวกัน (สาํ หรับประโยค ป.ธ.๓) ๔. ฉันทลกั ษณ วา ดว ยการแตงฉันท คือคาถาท่ีเปนวรรณพฤทธิ์ และมาตราพฤทธ์ิ (สาํ หรับประโยค ป.ธ.๘, ๙)

5๕ อักขรวธิ ี ๒ อยา ง คอื ๑. สมัญญาภธิ าน ๒. สนธิ สมัญญาภธิ าน วา ดวยชอ่ื ของอักขระทั้งท่ีเปนสระและพยัญชนะ พรอมดวยฐานกรณ มีขอควรกาํ หนด ดงั นี้ ๑. เนื้อความของถอยคําท้ังปวง ตองหมายรูดวย อักขระ เม่ืออักขระวิบัติแลวก็เขาใจเน้ือความไดยาก เสียงก็ดี ตัวหนังสือก็ดี ช่ือวา อักขระ ๒. อกั ขระ แปลวา ไมรูจ ักสิ้น และ ไมเ ปนของแขง็ ๓. อักขระ ในภาษาบาลี มี ๔๑ ตวั โดยแบงเปน ๒ สวน คือ ๑. สระ มี ๘ ตัว คือ อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ๒. พยัญชนะ มี ๓๓ ตวั คอื กฺ ขฺ คฺ ฆฺ งฺ (ก วรรค) จฺ ฉฺ ชฺ ฌฺ ฺ (จ วรรค) ฏ ฺ ฑฺ ฒฺ ณฺ (ฏ วรรค) ตฺ ถฺ ทฺ ธฺ นฺ (ต วรรค) ปฺ ผฺ พฺ ภฺ มฺ (ป วรรค) ยฺ รฺ ลฺ วฺ สฺ หฺ ฬฺ อํ (อวรรค)

๖6 สระ ๘ ตวั อักขระเบื้องตน ๘ ตัว คือ อ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ช่ือวา สระ สระนั้นแปลวา เสียง คือ สิ่งที่ออกเสียงไดตามลําพังตนเอง และทํา พยัญชนะใหออกเสยี งไดด วย สระ ๘ ตัวนี้ ช่ือวา นิสสัย เพราะเปนท่ีอาศัยของพยัญชนะ พยญั ชนะทง้ั ปวงอาศยั สระจงึ ออกเสยี งได สระจดั เปน ๔ ประเภท คือ ๑. รัสสะ ไดแก สระท่ีมีมาตราเบา มีเสียงสั้น ๓ ตัว คือ อ อิ อุ เชน อติ ครุ ปติ มุนิ กุล ปุริส เปนตน และ เอ กับ โอ ที่มีพยัญชนะ สังโยค คือ ตัวสะกดซอนอยูเบ้ืองหลัง เชน เสยฺโย โสตฺถิ เปนตน ก็จดั เปน รสั สะ ๒. ทีฆะ ไดแก สระที่มีเสียงยาว ๕ ตัว คือ อา อี อู เอ โอ เชน ภาคี เสโข วายาโม เปน ตน ๓. ครุ ไดแก สระท่ีมีเสียงหนัก คือ สระท่ีเปนทีฆะลวน เชน ภปู าโล เอสี และสระท่ีเปนรัสสะที่มีพยัญชนะสังโยค หรือ มีนิคหิต อยเู บ้ืองหลงั เชน มนสุ สฺ ินฺโท โกเสยฺยํ เปนตน ๔. ลหุ ไดแก สระที่มีเสียงเบา คือ สระท่ีเปนรัสสะลวนไมมี พยญั ชนะสังโยคหรือนิคคหติ อยเู บื้องหลงั เชน ปติ มนุ ิ กุล เปน ตน

7๗ สระน้นั จัดเปนคูได ๓ คู คือ ๑. อ อา เรียกวา อวณฺโณ (พวก อ) ๒. อิ อี เรยี กวา อิวณโฺ ณ (พวก อ)ิ ๓. อุ อู เรยี กวา อวุ ณฺโณ (พวก อุ) สวน เอ กับ โอ เรียกวา สังยตุ ตสระ เพราะเกดิ จากการประกอบ สระ ๒ ตัว เปน เสียงเดยี วกนั คือ อ กับ อิ ผสมกันเปน เอ, อ กับ อุ ผสม กนั เปน โอ พยญั ชนะ ๓๓ ตัว พยญั ชนะ ในภาษาบาลีมี ๓๓ ตัว แบง เปน ๒ จําพวก คอื ๑. พยัญชนะวรรค มี ๒๕ ตวั แบงเปน ๕ วรรค ๆ ละ ๕ ตวั คือ ก วรรค มี กฺ ขฺ คฺ ฆฺ งฺ จ วรรค มี จฺ ฉฺ ชฺ ฌฺ ฺ ฏ วรรค มี ฏ ฺ ฑฺ ฒฺ ณฺ ต วรรค มี ตฺ ถฺ ทฺ ธฺ นฺ ป วรรค มี ปฺ ผฺ พฺ ภฺ มฺ ๒. พยญั ชนะอวรรค มี ๘ ตวั คอื ยฺ รฺ ลฺ วฺ สฺ หฺ ฬฺ อํ

๘8 ขอ ควรกําหนดเพมิ่ เติม ๑. อักขระ ๓๓ ตัว มี ก เปนตน มี อํ นิคคหิต เปนท่ีสุด ช่ือวา พยญั ชนะ พยญั ชนะ แปลวา ทําเน้ือความใหปรากฏ ๒. พยัญชนะ ช่ือวา นิสสิต เพราะตองอาศัยสระจึงออกเสียงให ปรากฏได และพยญั ชนะน้ี เปน มคู ะ คือเปนใบ ออกเสียงโดยลําพังไมได ตองอาศัยสระตาง ๆ เชน กฺ ขฺ คฺ ฆฺ งฺ เมือ่ อาศัยสระ อะ จึงออกเสียงเปน ก ข ค ฆ ง อาศยั สระ อา จงึ ออกเสียงเปน กา ขา คา ฆา งา แมวา สระ จะเปนทีอ่ าศัยของพยญั ชนะ คอื พยัญชนะจะอาศัยสระก็จริง แตถามีแต สระ ไมมพี ยญั ชนะเขาไปอาศยั ก็ไมสามารถส่ือความหมายใหปรากฏชัด ได เชน จะพดู วา “ไปไหนมา” ถา ไมม ีพยัญชนะอาศัย ก็จะออกเสียงเปน ตัว อ เหมือนกันหมดวา “ไอ ไอ อา” ตอเมื่อพยัญชนะเขาไปอาศัยจึง ออกเสียงปรากฏชัดเจนวา “ไปไหนมา” ดังนั้น พยัญชนะจึงแปลวา “ทําเน้อื ความใหปรากฏ” ๓. พยญั ชนะทจี่ ัดเปนวรรค เพราะเปนพวกเดียวกนั ตามฐานกรณ ทีเ่ กดิ จัดเปน อวรรค เพราะไมเปน พวกเดียวกันตามฐานกรณท ี่เกดิ ๔. อํ มชี ื่อเรียกอกี ๒ อยาง คอื ๑. นิคคหิต แปลวา กดสระ คือ กดอวัยวะทําเสียง โดยให ออกเสียงตางจากเดมิ เชน กุลํ มนุ ึ ครุ เปน ตน

9๙ ๒. อนสุ าร แปลวา ไปตามสระ คือ นิคหิตตองไปตามสระ อ อิ อุ เสมอ เชน อหํ เสตุ อกาสึ เปนตน และนิคคหิตนี้ตองอาศัยสระเหมือน นกจบั ตน ไม ฐานกรณข องอกั ขระ ฐานกรณ เปนตน กาํ เนิดของอกั ขระ แบง ออกเปน ๒ อยาง คือ ๑. ฐาน ๒. กรณ ฐาน คือ ที่ตัง้ ท่เี กิดของอักขระ มี ๖ อยา งคอื ๑. กณฺโฐ คอ ๒. ตาลุ เพดาน ๓. มทุ ธฺ า ศรี ษะหรือปุมเหงอื ก ๔. ทนโฺ ต ฟน ๕. โอฏโ ฐ ริมฝป าก ๖. นาสกิ า จมกู อกั ขระบางพวกเกิดในฐานเดยี ว บางพวกเกดิ ใน ๒ ฐาน - พวกที่เกดิ ในฐานเดียว คือ ๑. อ อา, ก ข ค ฆ ง, ห ๘ ตัวน้ี เกดิ ที่คอ เรียกวา กณฐฺ ชา ๒. อิ อี, จ ฉ ช ฌ ญ, ย ๘ ตวั น้ี เกดิ ท่ี เพดาน เรยี กวา ตาลชุ า ๓. ฏ ฐ ฑ ฒ ณ, ร ฬ ๗ ตัวนี้ เกดิ ที่ศีรษะหรือปุมเหงือก เรียกวา มุทธฺ ชา ๔. ต ถ ท ธ น , ล ส ๗ ตัวนี้ เกดิ ทฟี่ น เรยี กวา ทนตฺ ชา

๑1๐0 ๕. อุ อ,ู ป ผ พ ภ ม ๗ ตวั น้ี เกดิ ทรี่ ิมฝป าก เรียกวา โอฏฐชา ๖. อํ (นิคคหิต) เกิดที่จมกู เรยี กวา นาสิกฏฐ านชา - พวกที่เกดิ ใน ๒ ฐาน คือ ๑. พยญั ชนะท่ีสุดวรรค ๕ ตวั คือ ง ญ ณ น ม เกิดใน ๒ ฐาน คือ ตามฐานเดิมของตน และจมูก เรยี กวา สกฏฐานนาสกิ ฏฐานชา ๒. เอ เกดิ ที่คอและเพดาน เรียกวา กณฐฺ ตาลุโช ๓. โอ เกิดทค่ี อและริมฝป าก เรียกวา กณโฺ ฐฏฐ โช ๔. ว เกิดท่ฟี นและรมิ ฝปาก เรยี กวา ทนฺโตฏฐโช ๕. ห ที่ประกอบพยัญชนะ ๘ ตัว คือ ญ ณ น ม ย ล ว ฬ เชน ปโฺ ห ตณหฺ า วุฬโฺ ห เปน ตน เกิดท่ีอก ที่ไมไดประกอบเกิดที่คอตามฐาน เดิมของตน

1๑1๑ กรณ กรณ คือ ท่ีทําของอักขระ มี ๔ อยาง คือ ๑. ชิวหฺ ามชฌฺ ํ ทา มกลางลิน้ ๒. ชวิ ฺโหปคฺคํ ถดั ปลายล้นิ เขา มา ๓. ชิวหฺ คฺคํ ปลายลนิ้ ๔. สกฏฐ านํ ฐานของตน ขอกําหนดเพิม่ เติม ชิวฺหามชฺฌํ (ทามกลางลิ้น) เปนกรณของอักขระที่เปน ตาลุชา (อิ อี, จ ฉ ช ฌ ญ, ย) ชิวโฺ หปคคฺ ํ (ถดั ปลายลนิ้ เขา มา) เปน กรณของอักขระท่เี ปน มุทฺธชา (ฏ ฐ ฑ ฒ ณ, ร ฬ) ชิวฺหคฺคํ (ปลายลน้ิ ) เปน กรณข องอักขระทเี่ ปน ทนฺตชา (ต ถ ท ธ น, ล ส) สกฏฐานํ (ฐานของตน) เปน กรณของอักขระทเี่ หลอื จากน้ัน

๑1๒2 เสยี งของอกั ขระ ๑. วิธีออกเสียงของอักขระนั้น ทานกําหนดเปนมาตรา คือ สระส้ัน ๑ มาตรา (กึ่งวินาที), สระยาว ๒ มาตรา (๑ วินาที), สระที่มี พยัญชนะสังโยค และมีนิคคหิต อยูเบ้ืองหลัง ๓ มาตรา (วินาทีครึ่ง), พยญั ชนะทั้งปวงก่ึงมาตรา (๑ ใน ๔ ของวินาที), และพยัญชนะควบกัน เชน ตฺย ทรฺ ก็ก่ึงมาตรา (๑ ใน ๔ ของวนิ าที) ๒. เสียงของพยัญชนะแบงออกเปน ๒ ตามท่ีมีเสียงกองและไม กอง ดังน้ี ๒.๑. พยัญชนะที่มีเสียงไมกอง เรียกวา อโฆสะ ไดแก พยัญชนะที่ ๑ และ ท่ี ๒ ในวรรคท้ัง ๕ คือ ก ข, จ ฉ, ฏ ฐ, ต ถ, ป ผ, และ ส (รวมเปน ๑๑ ตวั ) ๒.๒. พยญั ชนะท่มี เี สยี งกอ ง เรียกวา โฆสะ ไดแกพยัญชนะท่ี ๓ ที่ ๔ ท่ี ๕ ในวรรคท้ัง ๕ คอื ค ฆ ง , ช ฌ ญ , ฑ ฒ ณ , ท ธ น , พ ภ ม , และ ย ร ล ว ห ฬ (รวมเปน ๒๑ ตวั ) สวน อํ (นิคหิต) นักปราชญผูรูศัพทศาสตร ประสงคเปน โฆสะ, แตน กั ปราชญฝ ายศาสนาประสงคเปน โฆสาโฆสวิมตุ ติ คอื พนจากโฆสะ และอโฆสะ เสยี งของ อํ น้ี ถา อา นตามวิธภี าษาบาลี มีสําเนียงเหมือนตัว ง สะกด เชน พุทธฺ ํ (พุทธงั ) ธมฺมํ (ธัมมงั ) แตถาอานตามวธิ ภี าษาสันสกฤต มสี ําเนยี งเหมือนตวั ม สะกด เชน พุทฺธํ (พทุ ธัม) สรณํ (สรณมั ) เปน ตน

1๑3๓ พยัญชนะวรรคทเ่ี ปน โฆสะ แบงเปน ๒ ตามเสียงหยอ นและเสียง หนกั “เสยี งหยอน เรยี กวา สถิ ิล เสียงหนักเรียกวา ธนิต” ๑. พยัญชนะท่ี ๑ ที่ ๓ ท่ี ๕ ในวรรคท้ัง ๕ คือ ก ค ง, จ ช ญ, ฏ ฑ ณ, ต ท น, ป พ ม , เปน สถิ ลิ (ในกัจจานเภท สงเคราะห พยัญชนะท่ี ๕ เขา ดวย) ๒. พยัญชนะที่ ๒ ท่ี ๔ คือ ข ฆ, ฉ ฌ, ฐ ฒ, ผ ภ, เปน ธนิต แผนผังพยญั ชนะทเ่ี ปนอโฆสะและโฆสะ อโฆสะ โฆสะ ๑๒๓๔๕ กขคฆ ง จ ฉ ชฌญ ฏ ฐฑฒณ ตถทธ น ปผพภม ส ยรลวหฬ ขอ ควรจําพเิ ศษ ๑. สระสั้นมาตราเดยี ว สระยาว ๒ มาตรา

๑1๔4 ๒. สระ ๘ ตัวน้นั มเี สยี งไมต า งจากภาษาไทยนัก สว นพยัญชนะก็ มีเสยี งไมต า งจากภาษาไทยเชน เดียวกัน ที่ตา งกนั มี ๕ ตัว คอื ค ช ฑ ธ พ (ค เทา กับ ง + ห , ช เทา กบั จ + ย , ฑ และ ธ เทา กับ ด, พ เทา กับ บ) จดั พยญั ชนะเปน ๔ หมวดพเิ ศษ เปน สิถิล - ธนติ ตามแผนผัง ดังนี้ พยญั ชนะวรรค พยญั ชนะอวรรค อโฆสะ โฆสะ อโฆสะ โฆสะ วิมตุ ติ สถิ ิล ธนิต สถิ ิล ธนติ สิถิล ยร ก ข ค ฆ ง ส ล ว อํ จ ฉ ชฌญ หฬ ฏ ฐ ฑฒณ ตถทธน ปผพภม เรียงแถวในแนวนอน ๑. สิถิลอโฆสะ คือ ก จ ฏ ต ป มีเสียงเบากวา ทุกพยญั ชนะ ฯ ๒. ธนติ อโฆสะ คอื ข ฉ ฐ ถ ผ มีเสยี งหนกั กวา สิถิลอโฆสะ ฯ ๓. สิถิลโฆสะ คือ ค ง ช ญ ฑ ณ ท น พ ม มีเสียงดังกวา ธนติ อโฆสะ ฯ ๔. ธนิตโฆสะ คอื ฆ ฌ ฒ ธ ภ มเี สียงกองกวา สิถิลโฆสะ ฯ

1๑5๕ ขอกําหนดพเิ ศษ ๑. พยญั ชนะที่ ๑ ในวรรคทงั้ ๕ คือ ก จ ฏ ต ป = สิถิลอโฆสะ ๒. พยัญชนะที่ ๒ ในวรรคทง้ั ๕ คือ ข จ ฐ ถ ผ = ธนิตอโฆสะ ๓. พยญั ชนะที่ ๓ ในวรรคท้งั ๕ คอื ค ช ฑ ท พ = สิถลิ โฆสะ ๔. พยญั ชนะที่ ๔ ในวรรคท้ัง ๕ คอื ฆ ฌ ฒ ธ ภ = ธนติ โฆสะ ๕. พยญั ชนะท่ี ๕ ในวรรคทง้ั ๕ คอื ง ญ ณ น ม = สถิ ิลโฆสะ บรรดาพยัญชนะเหลานนั้ พยัญชนะท่เี ปน สถิ ิลอโฆสะ มีเสียงเบา กวาทุกพยัญชนะ ธนิตอโฆสะมีเสียงหนักกวา สิถิลอโฆสะ สิถิลโฆสะ มเี สยี งดังกวา ธนติ อโฆสะ ธนิตโฆสะ มเี สียงดงั กอ งกวา สถิ ิลโฆสะ พยญั ชนะสงั โยค (ใหทอง) พยญั ชนะสังโยค คือ ลักษณะท่ซี อ นกนั ได มหี ลักเกณฑด งั น้ี ๑. พยัญชนะที่ ๑ ซอ นหนา พยัญชนะที่ ๑ และท่ี ๒ ในวรรคของ ตนได ๒. พยัญชนะที่ ๓ ซอ นหนาพยัญชนะที่ ๓ และท่ี ๔ ในวรรคของ ตนได ๓. พยัญชนะที่ ๕ ซอนหนาพยัญชนะไดหมดทุกตัวในวรรค เดียวกัน เวน เสยี แตตวั ง ซอนหนา ตัวเองไมไ ด ฯ พยญั ชนะสังโยคน้ี เรียกอกี อยา งหนึ่งวา ตวั สะกด

๑1๖6 ตัวอยา งการสงั โยคหรอื การซอ นพยญั ชนะตามหลกั เกณฑ วรรค ที่ ๑ ซอนท่ี ๑ ที่ ๑ ซอนท่ี ๒ ท่ี ๓ ซอนท่ี ๓ ท่ี ๓ ซอ นที่ ๔ ก สกโฺ ก ทกุ ฺขํ อคฺคิ อคฆฺ ํ จ สจจฺ ํ คจฉฺ ติ อชฺช วชฌฺ ํ ฏ วฏฏํ ปฏฐ นํ ฉฑฺฑิตํ อฑฺฒํ ต วตตฺ ํ วตฺถํ ภททฺ ํ สทธฺ า ป ปปโฺ ปติ ปุปผฺ ํ ปุพโฺ พ อารพภฺ ตวั อยา ง การซอนพยญั ชนะท่สี ุดวรรค ๑. วรรค ก เชน วงกฺ ํ อากงฺขํ สงโฺ ค สงโฺ ฆ (ง สดุ วรรค) ๒. วรรค จ เชน จจฺ ลติ อุ ฺฉ อฺชลี วฌฺ า (ญ สุดวรรค) ๓. วรรค ฏ เชน วณฏฺ ํ สณฐฺ านํ สณฑฺ ํ ปณฺณํ (ณ สุดวรรค) ๔. วรรค ต เชน ทนฺโต ปนฺโถ วนฺทนํ ทนฺธา (น สดุ วรรค) ๕. วรรค ป เชน จิรมฺปวาสี สมฺผสฺสํ กลมฺพํ ปารมฺโภ (ม สุด วรรค)

1๑7๗ พยญั ชนะอวรรค ๑. ย ล ส ซอนหนา ตนเองได เชน เสยฺโย สลฺลํ อสฺโส ฯ ๒. ย ร ล ว ถา อยูห ลังพยญั ชนะตวั อน่ื ออกเสียงผสมกบั พยญั ชนะ ตัวหนา เชน วากยฺ ํ ภทฺโร อเนวฺ ติ เปนตน ๓. ส เมื่อใชเปนตัวสะกดมีสําเนียงเปน อุสุม (ไอน้ํา) คือ มีลม ออกจากไรฟนหนอ ยหน่ึง เชน ตสมฺ า เปนตน ๔. ห ถา อยหู นาพยัญชนะอ่ืน ก็ทําใหพยัญชนะที่อยูหนาตนออก เสียง มลี มมากขน้ึ เชน พรฺ หมฺ า ถา อยูหลังพยญั ชนะ ๘ ตวั คือ ญ ณ น ม ย ล ว ฬ มีเสียงเขาผสมกับพยัญชนะนั้น เชน ปฺโห อุณฺโห ตุมฺหํ เปน ตน สวนพยญั ชนะอวรรค ๗ ตัว คือ ย ร ล ว ส ห ฬ เปนอัฑฒสระ มีเสียงก่ึงสระ คือ ก่ึงมาตรา เพราะพยัญชนะเหลานี้ บางตัวก็รวมลงใน สระเดียวกันกับพยัญชนะตัวอื่น ออกเสียงพรอมกันได บางตัวแมเปน ตัวสะกดก็คงออกเสียงไดหนอยหน่ึงพอใหรูวาเปนตัวสะกดเชน มยฺหํ, อินฺทรฺ ิยํ ชิวฺหา, ปลฺวํ, พฺรหฺมํ รฬุ โฺ ห เปนตน

๑1๘8 สนธิ สนธิ คอื การตออกั ขระใหเ นอื่ งดว ยอกั ขระ มี ๓ อยา ง คอื ๑. สระสนธิ การตอ สระ ๒. พยัญชนะสนธิ การตอพยัญชนะ ๓. นคิ คหติ สนธิ การตอนิคหติ สนธิ มปี ระโยชน ๓ อยาง คอื ๑. ยนอกั ขระ ใหน อ ยลง ๒. เปนอปุ การะในการแตง ฉันท ๓. ทําคําพูดใหสละสลวย (เชน เอกํ + อิธ + อหํ = เอกมิทาห,ํ เทฺว + อิเม = เทฺวเม, วร + อาภรณ=วราภรณ, พัชร+อาภา= พชั ราภา /ไทย) ศพั ทท่ีสนธกิ นั ได มี ๒ ประเภท คือ ๑. ศพั ทท ่มี ีวภิ ตั ตสิ นธกิ ับศัพททีม่ ีวภิ ัตติ เชน จตฺตาโร + อิเม = จตฺตาโรเม (บทหนามี โย ปฐมาวิภัตติ บทหลังก็มี โย ปฐมาวิภัตติ) ยสสฺ +อินฺทฺริยานิ = ยสฺสนิ ฺทฺรยิ านิ (บทหนา มี ส ฉฎั ฐีวิภัตติ บทหลังมี โย ปฐมาวิภัตต)ิ ๒. สนธิในบทสมาส เชน กต + อุปกาโร = กโตปกาโร, ชิต + อินฺทฺริโย = ชิตินฺทฺริโย (มีความเปนสมาสดวย คือ กอนตอก็เปน

1๑9๙ สมาส ตอเสร็จก็เปนสมาส คือ ตติยาพหุพพิหิ. ตุลยาธิกรณ) สพฺพา + อิตโิ ย = สพพฺ ีตโิ ย (เปน วเิ สสนบพุ พบท) หมายเหตุ ที่ปรากฏในตัวอยางท่ัว ๆไป มีศัพทนอกจากนี้ที่สนธิ กันไดก็มี คือ ศัพทนิบาตทั่วไป เชน ตถา + เอว = ตถริว, อิติ + เอวํ = อิจฺเจว,ํ เอวํ + หิ = เอวหฺ ิ เปนตน สนธิกริ โิ ยปกรณ สนธิกิริโยปกรณ คือ อุปกรณเปนเครื่องทําการตอ หรือวิธีทํา สนธิ มี ๘ อยาง คอื ๑. โลโป ลบตวั อักษร ๒. อาเทโส แปลงตวั อกั ษร ๓. อาคโม ลงตวั อกั ษรใหม ๔. วิกาโร ทําใหต างจากเดมิ ๕. ปกติ คงที่ ไมเปล่ียนแปลง ๖. ทโี ฆ ทําใหย าว ๗. รสฺสํ ทาํ ใหสั้น ๘. สโฺ ญโค ซอ นตัวอกั ษร (ยอเพอ่ื จาํ งายวา โล อา อา วิ ป ที ร ส) ๑. สระสนธิ (การตอสระ) สระสนธิ ใชส นธิกิริโยปกรณ ๗ อยาง คอื ๑. โลโป ๒. อาเทโส ๓. อาคโม ๔. วิกาโร ๕. ปกติ ๖. ทีโฆ ๗. รสสฺ ํ (เวน สโฺ ญโค)

๒2๐0 ๑. โลโป โลปสระสนธิ การตอ โดยการลบสระ มี ๒ อยา ง คือ ๑.๑. ลบสระหนา มี ๔ วิธี คือ ๑.๑.๑. ถาสระหนา เปน รัสสะ สระหลงั มีพยญั ชนะสังโยค หรือ เปนทีฆะ ใหล บสระหนา อยางเดยี ว เชน - ยสฺส + อินฺทฺรยิ านิ = ยสฺสนิ ฺทรฺ ิยานิ (ลบ อ ท่ี ส) - สลี + อทุ ฺเทโส = สลี ุทฺเทโส (ลบ อ ท่ี ล) - สเมตุ + อายสฺมา = สเมตายสฺมา (ลบ อุ ท่ี ต) เปน ตน (ขอควรกําหนด สระหลังของศัพทหนา เรียกวา สระหนา สระ หนาของศัพทหลัง เรียกวา สระหลัง ตัวอยาง การตอบในการสอบ สนามหลวง เชน ถามวา ยสฺสินฺทฺริยานิ เปนสนธิอะไร ? ตัดและตอ อยางไร ? ตอบวา ยสฺสินฺทฺริยานิ เปน โลปสระสนธิ ตัดเปน ยสฺส + อนิ ฺทรฺ ิยานิ เม่ือสระหนาเปนรัสสะ สระหลงั มพี ยัญชนะสังโยค ใหลบสระ หนาอยา งเดยี ว จงึ ตอ เปน ยสฺสนิ ทฺ ฺรยิ านิ) ๑.๑.๒. ถาสระท้ัง ๒ เปนรัสสะ มีรูปเสมอกัน ใหลบสระหนา ทีฆะสระหลัง เชน - ตตฺร + อยํ = ตตรฺ ายํ - ปน + อหํ = ปนาหํ เปนตน ๑.๑.๓. ถาสระท้ัง ๒ เปน รสั สะ มีรปู ไมเ สมอกนั และสระหลังไมมี พยัญชนะสังโยค ใหลบสระหนา ไมต องทีฆะสระหลงั เชน - จตูหิ + อปาเยหิ = จตหู ปาเยหิ

2๒1๑ - วนทฺ ามิ + อหํ = วนฺทามหํ เปนตน ๑.๑.๔. ถาสระหนาเปนทีฆะ สระหลังเปนรัสสะ ไมมีพยัญชนะ สังโยค ใหล บ สระหนา ทีฆะสระหลงั เชน - สทฺธา + อิธ = สทฺธีธ - ตรณุ า + อปจ = ตรณุ าปจ เปน ตน ๑.๒. ลบสระหลงั มี ๒ วธิ ี คอื ๑.๒.๑. ถาสระท้ัง ๒ มีรูปไมเสมอกนั ใหล บสระหลังกไ็ ด เชน - จตฺตาโร + อเิ ม = จตตฺ าโรเม - กินนฺ ุ + อิมา = กินฺนมุ า - ปรุ โิ ส + อติ ิ = ปุรโิ สติ เปน ตน ๑.๒.๒. ถา มนี คิ หติ อยูห นา ใหล บสระหลังกไ็ ด เชน - อภนิ นทฺ ุ + อติ ิ = อภินนฺทุนฺติ (อาเทศนิคคหิต เปน น) - ตํ + อิติ = ตนฺติ เปนตน ๒. อาเทโส อาเทสสระสนธิ การตอโดยการแปลงสระใหเปน พยญั ชนะ มี ๒ อยา ง คือ ๒.๑. แปลงสระหนา มี ๒ วธิ ี คือ ๒.๑.๑. ถา อิ เอ อยูหนา มีสระอยูหลัง ใหแปลง อิ เอ เปน ย และ ถาพยญั ชนะมีรปู เสมอกัน ซอ นกนั อยู ๒ ตัว ใหล บเสยี ตวั หนงึ่ เชน - วิ + อากรณํ = วยฺ ากรณํ

๒2๒2 - วิ + อากโรติ = พยฺ ากโรติ (แปลง วฺ เปน พ)ฺ - เต + อสฺส = ตฺยสฺส - เม + อยํ = มฺยายํ - ปฏิสณฐฺ ารวตุ ฺติ+อสสฺ = ปฎสิ ณฐฺ ารวตุ ยฺ สฺส - อคคฺ ิ + อาคารํ = อคยฺ าคารํ เปนตน ๒.๑.๒. ถา อุ โอ อยูหนา มีสระอยูหลัง ใหแปลง อุ โอ เปน ว เชน - พห+ุ อาพาโธ = พหฺวาพาโธ, จกขฺ ุ+อาปาถํ = จกฺขวฺ าปาถํ - สุ + อกฺขาโต = สฺวากฺขาโต, อถโข + อสฺส = อถขวฺ สสฺ - โส + อหํ = สฺวาหํ, สุ + อตฺถิ = สฺวตฺถิ เปน ตน หมายเหตุ เมื่อแปลง อิ เอ หรือ อุ โอ เปนพยัญชนะ ตองแทน ดว ย (.) ขา งลาง ๒.๒. แปลงสระหลัง มี ๑ วธิ ี คอื ถา สระอยหู นา เอว ศัพท อยูหลัง แปลง เอ แหง เอว ศัพท เปน ริ แลว รสั สะสระหนา เชน - ยถา + เอว เปน ยถรวิ - ตถา + เอว เปน ตถริว เปนตน

2๒3๓ ๓. อาคโม อาคมสระสนธิ การตอ โดยการลงสระใหม มี ๒ อยาง คือ ๓.๑. ถาสระ โอ อยูหนา พยัญชนะอยูหลัง ใหลบ โอ แลวลง อ อาคม เชน - โส + สลี วา = สสีลวา - โส + ปญฺ วา = สปญฺ วา - เอโส + ธมฺโม = เอสธมโฺ ม เปนตน ๓.๒. ถาสระ อ อยูหนา พยัญชนะอยูหลัง ใหลบ อ แลวลง โอ อาคม เชน - ปร + สหสฺสํ = ปโรสหสฺสํ - สรท + สตํ = สรโทสตํ - อย + มยํ = อโยมยํ - มน + คโณ = มโนคโณ - เตช + ธาตุ = เตโชธาตุ เปน ตน ๔. วกิ าโร วกิ ารสระสนธิ การตอโดยการแปลงสระหน่ึงใหเปน อีกสระหน่งึ มี ๒ อยา ง คือ ๔.๑. วกิ ารสระหนา มี ๑ วธิ ี คอื - เมื่อลบสระหลังแลวใหแปลงสระหนา คือ อิ เปน เอ อุ เปน โอ เชน

๒2๔4 มนุ ิ + อาลโย = มุเนลโย สุ + อตฺถิ = โสตฺถิ เปนตน ๔.๒. วิการสระหลงั มี ๑ วธิ ี คือ - เมือ่ ลบสระหนาแลว ใหแ ปลงสระหลังเหมือนกับวิการสระหนา คือ อิ เปน เอ, อุ เปน โอ เชน มารตุ + อิรติ ํ = มารเุ ตรติ ํ พุทธฺ สฺส + อิว = พทุ ธฺ สฺเสว น + อุเปติ = โนเปติ ยถา + อทุ เก = ยโถทเก อุทกํ + อูมิกชาตํ = อทุ โกมกิ ชาตํ เปน ตน ๕. ปกติ ปกตสิ ระสนธิ การตอโดยปกติ ไมมีพิเศษอะไร เชน ตถา + รโู ป = ตถารโู ป กโรติ + เอว = กโรติเอว สุ + คโต = สคุ โต ตํ + เอว = ตเํ อว เปน ตน

2๒5๕ ๖. ทีโฆ ทฆี สระสนธิ การตอ โดยการทําสระส้ันใหเปนสระยาวมี ๒ อยาง คอื ๖.๑. ทฆี ะสระหนา มี ๒ วธิ ี คือ ๖.๑.๑. เมอื่ ลบสระหลงั แลว ทีฆะสระหนา เชน กสึ ุ + อิธ = กสึ ธู สาธุ + อติ ิ = สาธูติ กโรติ + อิติ = กโรตตี ิ เปน ตน ๖.๑.๒. เม่อื พยัญชนะอยูห ลังทฆี ะสระหนาไดบ า ง เชน มุนิ + จเร = มนุ จี เร เปน ตน ๖.๒. ทีฆะสระหลงั มี ๑ วธิ ี คือ - ลบสระหนาแลวทฆี ะสระหลัง เชน สทฺธา + อิธ = สทฺธธี จ + อภุ ยํ = จูภยํ กโรติ + อติ ิ = กโรตตี ิ เสยฺยถา + อทิ ํ = เสยฺยถีทํ เปน ตน ๗. รัสสํ รัสสสระสนธิ การตอโดยการทําสระยาวใหเปนสระส้ัน มี ๑ อยาง คือ รสั สะสระหนา อยางเดียว มี ๒ วิธี คอื ๗.๑. พยญั ชนะอยหู ลัง รัสสะสระหนาไดบาง เชน โภวาที + นาม = โภวาทนิ าม

๒2๖6 เสฏฐ ี + ธีตา = เสฏฐิธตี า เปนตน ๗.๒. เอ แหง เอว ศัพทอ ยหู ลัง ใหรัสสะสระหนาไดเหมือนกัน เชน ยถา + เอว = ยถเอว ตถา + เอว = ตถเอว เปน ตน ๒. พยญั ชนะสนธิ (การตอ พยัญชนะ) พยัญชนะสนธิ ใชสนธิกิริโยปกรณ ๕ อยาง คือ ๑. โลโป ๒. อาเทโส ๓. อาคโม ๔. ปกติ ๕. สฺโญโค มรี ายละเอยี ด ดงั น้ี ๑. โลโป โลปพยัญชนะสนธิ การตอโดยการลบพยัญชนะ มี ๑ อยา ง คอื - เม่ือนิคหิตอยูหนา และสระหลังมีพยัญชนะซอนกันอยู ๒ ตัว ลบสระหลงั แลว ใหล บพยญั ชนะซอ นกนั เสียตัวหนง่ึ เชน เอวํ + อสสฺ = เอวสํ (ลบ อ และ ส) ปปุ ฺผํ + อสสฺ า = ปปุ ผฺ สํ า (ลบ อ และ ส) เปน ตน ๒. อาเทโสพยญั ชนะสนธิ การตอโดยการแปลงพยัญชนะหนงึ่ ให เปนอกี พยญั ชนะหนึ่ง มี ๔ อยาง คือ ๒.๑. ถา สระอยหู ลงั แปลงได ๓ กรณี คือ

2๒7๗ ๒.๑.๑. แปลง ติ เปน ตยฺ แปลง ตฺย เปน จจฺ เชน อิติ + เอวํ = อิจฺเจวํ ปติ + อุตฺตริตฺวา = ปจฺจุตฺตริตฺวา (ปฏิ แปลง ฏ เปน ต กอน) ๒.๑.๒. แปลง อภิ เปน อพภฺ เชน อภิ + อุคฺคนฺตวฺ า = อพฺภุคฺคนฺตวฺ า อภิ + โอกาโส = อพฺโภกาโส เปนตน ๒.๑.๓. แปลง อธิ เปน อชฺฌ เชน อธิ + โอกาโส = อชฺโฌกาโส อธิ + อคมา = อชฺฌคมา อธิ + โอตตฺ รติ วฺ า = อชโฺ ฌตฺตรติ ฺวา เปนตน ๒.๒. ถา เอก อยูหนา แปลง ธ เปน ท ได เชน เอกํ + อธิ + อหํ = เอกมทิ าหํ (แปลง อํ เปน ม) ๒.๓. แปลงแบบไมน ยิ มสระหรือพยญั ชนะเบอ้ื งหลัง เชน แปลง ท เปน ต เชน สุคโท เปน สุคโต แปลง ต เปน ฏ เชน ทุกกฺ ตํ เปน ทกุ ฺกฏํ แปลง ต เปน ธ เชน คนฺตพฺโพ เปน คนฺธพฺโพ แปลง ต เปน ร เชน อตฺตโช เปน อตรฺ โช แปลง ค เปน ก เชน กุลปุ โค เปน กลุ ุปโก แปลง ร เปน ล เชน มหาสาโร เปน มหาสาโล

๒2๘8 แปลง ย เปน ช เชน ควโย เปน ควโช (โคลาน) แปลง ต เปน ก เชน นิยโต เปน นิยโก แปลง ต เปน จ เชน ภตฺโต เปน ภจโฺ จ แปลง ว เปน พ เชน กุวโต เปน กพุ ฺพโต แปลง ย เปน ก เชน สยํ เปน สกํ แปลง ช เปน ย เชน นิชํ เปน นิยํ (กาํ เนดิ ) แปลง ป เปน ผ เชน นิปปฺ ตตฺ ิ เปน นปิ ฺผตตฺ ิ เปน ตน ๓. อาคโม อาคมพยัญชนะสนธิ การตอโดยการลงพยัญชนะเพม่ิ เขามา ซ่ึงพยัญชนะ ที่เพ่ิมเขามา เรียกวา พยัญชนะอาคม มี ๘ ตัว คือ ย ว ม ท น ต ร ฬ (ยวม ทน ตรฬ) มีวิธีการลง ๑ อยา ง คือ - เมอ่ื มีสระอยหู ลัง ใหลงพยัญชนะอาคมเหลานไี้ ด ดังนี้ ย อาคม เชน ยถา + อทิ ํ เปน ยถยิทํ (รสั สะ อา เปน อะ) ว อาคม เชน อทุ กิ ขฺ ติ เปน วทุ กิ ขฺ ติ ม อาคม เชน ครุ + เอสสฺ ติ เปน ครุเมสฺสติ ท อาคม เชน อตฺต + อตโฺ ถ เปน อตตฺ ทตโฺ ถ น อาคม เชน อิโต + อายติ เปน อโิ ตนายติ ต อาคม เชน ตสมฺ า + อิห เปน ตสฺมาติห ร อาคม เชน สพภฺ ิ + เอว เปน สพฺภิเรว ฬ อาคม เชน ฉ + อายตนํ เปน ฉฬายตนํ เปนตน ในสัททนตี วิ า ลง ห อาคมไดบ าง เชน

2๒9๙ สุ + อชุ ุ เปน สุหชุ ุ สุ + อฏุ ฐ ติ ํ เปน สหุ ฏุ ฐ ิตํ เปน ตน ๔. ปกติ ปกติพยัญชนะสนธิ การตอโดยการคงพยัญชนะไว เหมือนเดิม ไมมีพิเศษอะไร คือจะลบหรือแปลงก็ไดแตไมทํา เชน สาธุ ควรแปลง ธ เปน ห กไ็ ด แตไมแ ปลงจึงเปน สาธุ เทา เดมิ มหา + ปรุ โิ ส = มหาปุรโิ ส ทคุ ฺคต + ปรุ โิ ส = ทุคคฺ ตปรุ โิ ส อนุ + เถโร = อนุเถโร เปน ตน ๕. สัญโญโค สัญโญคพยัญชนะสนธิ การตอโดยการซอน พยัญชนะ มี ๒ อยาง คือ ๕.๑. ซอ นพยัญชนะ ทม่ี รี ปู เสมอกัน เชน อธิ + ปโมทติ = อธิ ปปฺ โมทติ จาตุ + ทสี = จาตทุ ฺทสี ทุ + คโต = ทุคคฺ โต มหา + พโล = มหพพฺ โล เปนตน ๕.๒. ซอนพยญั ชนะมีรปู ไมเสมอกัน เชน จตฺตาริ + ฐานานิ = จตฺตาริฏฐ านานิ ภคุ + เถโร = ภคตุ เฺ ถโร

๓3๐0 มหา + ผโล = มหปผฺ โล เปนตน ๓. นคิ คหติ สนธิ (การตอ นคิ คหิต) นิคคหิตสนธิ ใชส นธกิ ิรโิ ยปกรณ ๔ อยา ง คือ ๑. โลโป ๒. อาเทโส ๓. อาคโม ๔. ปกติ ๑. โลโป โลปนคิ คหิตสนธิ การตอ โดยการลบนคิ คหิต มี ๑ อยา ง คือ - เม่ือนิคคหิตอยูหนา สระหรือพยัญชนะอยูหลัง ลบนิคคหิตได เชน ตาสํ + อหํ = ตาสาหํ เอวํ + รูโป = เอวรูโป พุทฺธานํ + สาสนํ = พทุ ธฺ านสาสนํ อริยสจฺจานํ + ทสฺสนํ = อริยสจจฺ านทสฺสนํ เปนตน ๒. อาเทโส อาเทศนคิ คหติ สนธิ การตอ โดยการแปลงนิคคหิตให เปน พยญั ชนะมี ๕ อยา ง คือ ๒.๑. นิคคหติ อยูหนา พยัญชนะวรรคอยูหลังแปลงนิคคหิตเปน พยัญชนะสุดวรรค ๕ ตัว คือ ง ญ ณ น ม ตัวใดตัวหน่ึงอนุโลมตาม พยัญชนะวรรคทีอ่ ยูเบื้องหลัง เชน เอวํ + โข = เอวงโฺ ข

3๓1๑ ธมฺมํ + จเร = ธมมฺ จฺ เร สํ + ฐิติ = สณฺฐติ ิ ตํ + นพิ พฺ ุตํ = ตนนฺ ิพฺพตุ ํ จิรํ + ปวาสึ = จิรมปฺ วาสึ เปน ตน ๒.๒. ถา เอ และ ห อยูห ลัง แปลงนคิ คหิตเปน ญ เชน ปจจฺ ตตฺ ํ + เอว = ปจฺจตฺตฺเญว ตํ + หิ = ตหฺ ิ เอวํ + หิ = เอวหฺ ิ เปนตน ๒.๓. ถา ย อยูหลัง ใหแปลงนคิ คหิตกบั ย เปน ญฺ เชน สํ + โยโค = สโฺ ญโค เปน ตน ๒.๔. ถา สระอยหู ลงั ใหแปลงนิคคหิตเปน ม และ ท เชน ตํ + อหํ = ตมหํ เอตํ + อโวจ = เอตทโวจ เปน ตน ๒.๕. ในสัททนตี ิปกรณ กลาวไววา ถา ล อยหู ลังใหแปลงนิคคหิต เปน ล เชน ปุ + ลงิ ฺคํ = ปุลลฺ ิงคํ สํ + ลกขฺ ณา = สลฺลกขฺ ณา เปน ตน

๓3๒2 ๓. อาคโม อาคมนิคคหิตสนธิ การตอโดยการลงนิคคหิตอาคม เพิ่มเขามา เชน จกฺขุ + อุทปาทิ = จกขฺ ุอ ทุ ปาทิ อว + สโิ ร = อวสํ ิโร เปน ตน ๔. ปกติ ปกตินิคคหิตสนธิ การตอโดยการคงนิคคหิตไว ไมมี อะไรเปลี่ยนแปลง เชน ธมฺมํ + จเร = ธมฺมํจเร เอวํ + วาที = เอววํ าที ธมฺมํ + เอว = ธมฺมํเอว เปนตน จบสนธิ

3๓3๓ นามศพั ท นามศพั ท คือ ศพั ทท ่ีแสดงถงึ นาม มี ๓ คอื ๑. นามนาม ๒. คณุ นาม ๓. สัพพนาม ๑. นามนาม นามนาม คือ คําพูดท่ีเปนช่ือของคน สัตว ที่ สิ่งของ และ สภาวธรรมตาง ๆ เชน มนุสฺโส มนุษย ติรจฺฉาโน สัตวดิรัจจฉาน คาโม บาน นครํ เมือง ปุญญํ บุญ เปน ตน นามนาม แบง ออกเปน ๒ คอื ๑. สาธารณนาม คือ นามที่ท่ัวไป ไมจําเพาะเจาะจง เชน เถโร พระเถระ อติ ฺถี หญงิ ปเทโส ประเทศ นครํ เมือง เปน ตน ๒. อสาธารณนาม คอื นามท่ไี มทว่ั ไป เปนคาํ พูดจาํ เพาะเจาะจง เชน สารปี ตุ ฺตตฺเถโร พระเถระช่ือวา สารีบุตร อนาถปณฺฑิกเสฏฐี เศรษฐี ชือ่ วา อนาถบิณฑกิ ะ สาวตฺถีนครํ เมอื งสาวัตถี เปน ตน

๓3๔4 ๒. คณุ นาม คุณนาม คือ คาํ พดู ท่แี สดงลักษณะของนามนาม เพือ่ ใหรูว า ดีหรือชั่ว สูงหรอื ตา่ํ ดาํ หรือขาว อว นหรือผอม เปน ตน คุณนาม แบง เปน ๓ ชั้น คือ ๑. ช้นั ปกติ ๒. ช้นั วเิ ศษ ๓. ชน้ั อติวเิ ศษ ๑. ช้นั ปกติ แสดงลักษณะของนามนามตามปกติไมมีพิเศษอะไร และไมมีอะไรเปนเคร่ืองหมาย เชน สุนฺทโร ดี ปาโป ช่ัว อุจฺโจ สูง นีโจ ตํ่า กาโฬ ดํา สุกฺโก ขาว ถูโล อวน กีโส ผอม ปณฺฑิโต ฉลาด พาโล โง เปนตน ๒. ช้นั วเิ ศษ แสดงลักษณะของนามนามแบบพิเศษ มีคําแปลวา กวา และ ยิ่ง โดยมี ตร อิย อิยิสฺสก ปจจัย และ อติ อุปสัค เปน เครือ่ งหมาย เชน สุนฺทรตโร ดีกวา, ปาปโย ช่ัวกวา, พาลิยิสฺสโก โงกวา, อติปณฑฺ โิ ต ฉลาดย่ิง เปน ตน ๓. ช้ันอติวิเศษ แสดงลักษณะของนามนามแบบพเิ ศษยิ่งขนึ้ มคี ํา แปลวา ท่ีสุด และเกินเปรียบ มี ตม อิฏฐ ปจจัย และอติวิย (อุปสัค + นบิ าต) เปนเครื่องหมาย เชน สุนฺทรตโม ดีท่ีสุด พาลิฏโฐ โงที่สุด อติวิย ถูโล อวนเกนิ เปรียบ เปนตน

3๓5๕ ๓. สพั พนาม สพั พนาม คือ คําพดู สําหรบั ใชแ ทนนามนาม มี ๒ อยา ง คือ ๑. ปรุ สิ สพั พนาม คือ คาํ พูดท่ีใชแทนชื่อของนามนาม ที่ออกช่ือ มาแลว เชน คําวา ฉัน ขา กู ผม เจา ทาน สู เอง มึง เปน ตน ๒. วเิ สสนสพั พนาม คอื คําพดู ท่ีแสดงถึงนามนามวาอยูใกลหรือ อยูไกล แนนอนหรือไมแนนอน เชนคําวา น่ัน น้ัน น้ี โนน ใด คนใดคน หนึง่ เปนตน นามศัพทท้ัง ๓ นี้ ตองประกอบดวยลิงค วจนะ วิภัตติ จึงจะ นําไปใชใ นขอ ความนนั้ ๆ ได ตัวอยางการใชนามนาม คุณนาม และสัพพนามรวมกัน เชน โส ปณฑฺ โิ ต ปรุ โิ ส ปพฺพชโิ ต มหติยํ ธมฺมสาลายํ ปาลิวฺยากรณํ สชฺฌายนฺ โต อติปณฺฑโิ ต อโหสิ, โส โสตาปตฺตผิ ลํ ปาปุณาตฯิ (ใหนักเรียน ทําความเขาใจ วาบทใด เปนนามนาม บทใดเปน คณุ นาม และบทใดเปนสพั พนาม) ลิงค ลิงค คือ คําพูดหรือศัพทที่บงถึงเพศของนามนาม วาเปนเพศ อะไร ในภาษาบาลีแบงลิงคอ อก เปน ๓ คอื ๑. ปลุ งิ ค คอื คําพดู หรือศพั ทท ่บี งถงึ เพศของนามนามวาเปนเพศ ชาย เชน ปรุ โิ ส บุรษุ , เถโร พระเถระ, สามเณโร สามเณร เปนตน

๓3๖6 ๒. อติ ฺถีลิงค คอื คําพูดหรือศัพทท่ีบงถึงเพศของนามนามวาเปน เพศหญิง เชน กฺญา นางสาวนอย, มาตา แม , อิตฺถี หญิง เปน ตน ๓.นปุสกลิงค คือ คําพูดหรือศัพทที่บงถึงเพศของนามนามวา ไมใชเพศชาย และไมใชเพศหญิง เชน ปณฺณํ หนังสือ, ปาป ปาป, กมฺมํ กรรม, กลุ ํ ตระกูล เปนตน จดั นามศัพทลงในลงิ คทัง้ ๓ ดงั นี้ ๑. นามนามศพั ทเดยี ว บางศัพทเปนไดลงิ คเดยี ว คอื จะเปนปุลิงค อิตถีลิงค หรือนปสุ กลิงคก็เปนลิงคเ ดียวเทานัน้ เชน พทุ โฺ ธ พระพทุ ธเจา เปนปลุ ิงค นารี นาง เปนอติ ถฺ ีลิงค กุลํ ตระกลู เปน นปสุ กลงิ ค ๒. นามนามศัพทเดยี ว มีรปู อยา งเดยี วกันเปน ได ๒ ลิงค เชน อกฺขโร เปน ปลุ งิ ค อกขฺ รํ เปนนปสุ กลิงค แปลวา อักษร อคาโร เปนปลุ งิ ค อคารํ เปน นปสุ กลงิ ค แปลวา เรอื น ทิวโส เปน ปลุ ิงค ทิวสํ เปน นปสุ กลิงค แปลวา วัน ๓. คุณนามและสัพพนามท้ังปวงเปนได ๓ ลิงค คือ อนุโลมตาม นามนาม

3๓7๗ การจัดลิงคเปน ๒ ประเภท ลิงคม ี ๒ ประเภท คอื ๑. ลงิ คโ ดยกาํ เนิด ๒. ลงิ คโ ดยสมมติ ๑. ลิงคโดยกําเนิด ไดแกการจัดลิงคตามกําเนิด เชน พุทฺโธ พระพุทธเจา เปนปุลิงค นําไปแจกตามแบบปุลิงค คือ ปุริส, อจฺฉรา นางอัปสร เปนอิตถฺ ีลงิ ค นาํ ไปแจกตามแบบอติ ถฺ ลี ิงค คอื กฺญา เปนตน ๒. ลิงคโดยสมมติ ไดแก การจัดลิงคตามสมมติของภาษา เชน ทาโร เมีย เปนอติ ถีลิงค แตสมมติใหเปนปุลิงค นําไปแจกตามปุลิงค คือ ปุริส, รุกฺโข ตนไม เปน นปุสกลิงค ถูกสมมติใหเปนปุลิงค, ปฐวี แผนดิน เปน นปสุ กลิงค แตถกู สมมติใหเ ปน อิตถฺ ลี ิงค เปน ตน ตอ ไปนเ้ี ปน ตวั อยา งศพั ทท เี่ ปนลงิ คเ ดียว, ๒ ลิงค, ๓ ลิงค นามนามท่ีเปน ลงิ คเดียว (ไมต องทอง) ปลุ งิ ค อิตถฺ ีลิงค นปสุ กลิงค อมโร เทวดา อจฺฉรา นางอปั สร องคฺ ํ องค อาทจิ ฺโจ พระอาทิตย อาภา รัศมี อารมฺมณํ อารมณ อินโฺ ท พระอินทร อทิ ฺธิ ฤทธ์ิ อณิ ํ หน้ี อีโส คนเปนใหญ อสี า งอนไถดาว อรี ณิ ํ ทุงนา อุทธิ ทะเล อฬุ ุ เสา อทุ กํ น้าํ เอสกิ า ระเนียด เอรณฺโฑ ตน ระหงุ เอฬาลกุ ํ ฟก เหลือง

๓3๘8 ปลุ ิงค อิตถฺ ลี ิงค นปสุ กลิงค โอโฆ หว งนา้ํ โอชา โอชา โอกํ น้ํา กณโฺ ณ หู กฏิ สะเอว กมฺมํ กรรม จนฺโท พระจันทร จมู เสนา จกขฺ ุ นยั นต า ตรุ ตน ไม ตารา ดาว เตลํ น้าํ มนั ปพพฺ โต ภเู ขา ปภา รัศมี ปณณฺ ํ ใบไม ยโม พระยม ยาคุ ขาวตม ยานํ ยาน พึงสังเกตวา ชองลิงคทั้ง ๓ ศัพทใดเปนลิงคโดยสมมติ ศัพทใด เปน ลงิ คโ ดยกาํ เนิด นามนามศพั ทเ ดยี ว มีรูปอยา งเดยี วกนั เปนได ๒ ลงิ ค (ไมตองทอ ง) ปลุ งิ ค นปสุ กลิงค คาํ แปล อกขฺ โร อกขฺ รํ อกั ษร อคาโร อคารํ เรอื น อุตุ อุตุ ฤดู ทวิ โส ทิวสํ วัน สวํ จฉฺ โร สํวจฺฉรํ ป

3๓9๙ นามนามมีรากศัพทเปนอยางเดียวกัน เปลี่ยนแตสระท่ีสุดศัพท เปน ได ๒ ลงิ ค (ไมตองทอง) ปลุ งิ ค อติ ฺถีลิงค คาํ แปล อรหา หรอื อรหํ อรหนตฺ ี พระอรหนั ต อาชวี โก อาชีวิกา นักบวช อปุ าสโก อุปาสิกา อุบาสก, อุบาสกิ า กุมาโร กุมารี เด็ก ขตตฺ ิโย ขตตฺ ยิ า กษตั ริย โจโร โจรี โจร คณุ นามเปนได ๓ ลิงค (ไมตองทอง) ปลุ ิงค อติ ฺถลี ิงค นปสุ กลงิ ค คาํ แปล ปณฺฑโิ ต ฉลาด คุณวา ปณฑฺ ติ า ปณฑฺ ิตํ มคี ณุ จณโฺ ฑ ดุราย เชฏโฐ คณุ วตี คุณวํ เจริญทีส่ ุด มน่ั ถิโร จณฑฺ า จณฺฑํ ขยนั ทกโฺ ข ท่ีพง่ึ นาโถ เชฏฐา เชฏฐํ บาป ปาโป ถิรา ถิรํ ทกฺขา ทกฺขํ นาถา นาถํ ปาปา ปาป

๔4๐0 พึงสังเกตวา คุณนามและสัพพนาม เปนได ๓ ลิงค เพราะ คณุ นามและสัพพนามจะตองเปลย่ี นแปลงแสดงลักษณะไปตามนามนาม วจนะ วจนะ คือ คําพูดบอกจํานวนของนามนาม วามีจํานวนมากหรือ นอ ย มี ๒ อยา ง คอื ๑. เอกวจนะ คําพดู บอกใหร ูวา นามนามมอี ยูสิง่ เดียว ๒. พหุวจนะ คาํ พูดบอกใหร ูว านามนามมีมากต้ังแต ๒ สง่ิ ขนึ้ ไป วจนะท้ัง ๒ นี้ สังเกตที่วิภัตติทายศัพท เชน ปุริโส บุรุษคนเดียว ปุริสา บุรุษหลายคน วภิ ัตติ วิภัตติ คอื ศพั ทส ําหรับประกอบหลังนามศัพท แจกนามศัพทให มีรปู ตางๆ กัน เพื่อชว ยใหส ังเกตลิงคและวจนะไดง ายขึ้น และเพื่อทํานาม ศพั ทใ หเ น่อื งถงึ กนั

4๔1๑ วิภัตติ ในภาษาบาลีมี ๑๔ ตัว แบง เปนเอกวจนะ ๗ พหุวจนะ ๗ ดงั นี้ เอกวจนะ พหวุ จนะ ปฐมา ที่ ๑ สิ โย ทุติยา ท่ี ๒ อํ โย ตติยา ท่ี ๓ นา หิ จตตุ ถี ท่ี ๔ ส นํ ปญ จมี ที่ ๕ สฺมา หิ ฉฏั ฐี ที่ ๖ ส นํ สตั ตมี ท่ี ๗ สมฺ ึ สุ อาลปนะ สิ โย หมายเหตุ ปฐมาวิภัตติ คือ สิ โย ทําหนาท่ี ๒ ประการ คือ ใชเปนประธาน แปลวา อันวา... อันวา....ท. และใชเปนคํารองเรียก เรียกวา อาลปนะ แปลวา แนะ ดกู อน ขาแต

๔4๒2 อายตนบิ าต (ใหทอง) อายตนิบาต คือ คําแปลประจําหมวดวิภัตติท้ัง ๗ เพื่อเชื่อม เน้ือความใหเนือ่ งถึงกัน ดังน้ี เอกวจนะ พหวุ จนะ ปฐมา ที่ ๑ อนั วา อนั วา - ท. ทตุ ิยา ท่ี ๒ ซง่ึ , สู, ยัง, ส้ิน,ตลอด, ซึ่ง-ท., สู-ท., ยัง-ท., ส้ิน-ท. กะ, เฉพาะ ตลอด-ท., กะ-ท., เฉพาะ-ท. ตติยา ท่ี ๓ ดวย, โดย, อัน, ตาม, ดว ย-ท. โดย-ท. อัน-ท. ตาม-ท. เพราะ, มี, ดว ยทัง้ เพราะ-ท., ม-ี ท., ดว ยทั้ง-ท. จตตุ ถี ท่ี ๔ แก, เพือ่ , ตอ แก-ท., เพอ่ื -ท., ตอ-ท. ปฺจมี ท่ี ๕ แต, จาก, กวา, เหตุ แต- ท. จาก-ท. กวา -ท. เหต-ุ ท. ฉฏฐ ี ที่ ๖ แหง , ของ, เมือ่ แหง-ท. ของ-ท. เมือ่ -ท. สัตตมี ท่ี ๗ ใน, ใกล, ท่ี, ครน้ั เมื่อ, ใน-ท. ใกล-ท. ท่ี-ท. ในเพราะ, เหนือ, บน ครนั้ เมื่อ-ท. ในเพราะ-ท. เหนือ-ท. บน-ท. อาลปนะ แนะ, ดกู อ น, ขาแต แนะ-ท. ดูกอน-ท.ขา แต- ท. หมายเหตุ ท. ใหอ า นวา ทัง้ หลาย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook