Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือ ม.ต้น N-net

คู่มือ ม.ต้น N-net

Description: คู่มือ ม.ต้น สมบูรณ์

Search

Read the Text Version

คำนำ สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเช้ือไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ในปัจจุบัน ทาให้ การจัดกระบวนการเรียนรู้ กศน. ไม่สามารถดาเนินการได้ตามปกติ สานักงาน กศน. มีนโยบายให้ สถานศึกษาในสังกัด ปรับเปล่ียนรูปแบบการจัดการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์ เพ่ือให้นักศึกษา สามารถเรียนรู้ได้ทุกที่ทุกเวลา และสานักงาน กศน.จังหวัดพิจิตร มีหน้าท่ีส่งเสริม สนับสนุน ใหส้ ถานศึกษาในสงั กดั มีรูปแบบการจัดกระบวนการเรียนรู้ท่ีหลากหลาย มีวิธีการจัดการเรียนการสอน ให้มีความเหมาะสม เพอื่ ใหผ้ เู้ รียนเกดิ การเรยี นรู้อย่างตอ่ เน่ือง การจัดทาคู่มือยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายบุคคล ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น เล่มนี้ เป็นการพฒั นาจากคู่มอื ยกระดับผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายบคุ คล ปีการศกึ ษา 2563 โดยมวี ตั ถปุ ระสงค์ เพ่ือให้ผู้เรียนได้ศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง ให้เกิดทักษะการอ่านและทักษะทางวิชาการเพื่อยกระดับ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนในการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ภายในเล่มประกอบด้วยรายละเอียดสรุปเน้ือหาตามสาระการเรียนรู้ จานวน 14 รายวิชา แบบทดสอบหลังเรียน และแบบบันทึกการยกระดับผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายบุคคล เพอ่ื ให้ผู้เรยี นไดป้ ระเมนิ ตนเอง และพัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ือง ตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรการศึกษา นอกระบบระดับการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2551 ขอขอบคุณคณะผู้จัดทาทุกท่าน ในการมีส่วนร่วมดาเนินการพัฒนาคู่มือเล่มน้ีให้สาเร็จ ลุล่วง ด้วยดี อันจะเป็นประโยชน์แก่ครูและผู้เรียนโดยตรงต่อไป และหวังเป็นอย่างย่ิงว่าคู่มือยกระดับ ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรายบุคคล ระดับประถมศึกษา เล่มนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียน ในการเรียนรู้ เพือ่ พัฒนาตนเองให้มผี ลสัมฤทธ์ิทางการศึกษาสูงขึ้น ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษา ขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 และยกระดับการสอบทางการศึกษาระดับชาติด้านการศึกษานอกระบบ โรงเรยี น (N-NET) ของสถาบันทดสอบทางการศกึ ษาแห่งชาติ (องค์การมหาชน) สานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั จงั หวัดพิจิตร กรกฎาคม 2564

สำรบญั หนำ้ คานา 1 สารบัญ 20 คาชีแ้ จงการใช้คมู่ ือยกระดบั ผลสัมฤทธิ์ผูเ้ รยี นรายบคุ คล 24 ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น ปกี ารศึกษา 2564 29 32 1. สรปุ เนื้อหารายวิชาทกั ษะการเรยี นรู้ (ทร21001) 52 แบบทดสอบรายวชิ าทกั ษะการเรยี นรู้ (ทร21001) 57 89 2. สรุปเนอื้ หารายวิชาภาษาไทย (พท21001) 94 แบบทดสอบรายวชิ าภาษาไทย (พท21001) 105 108 3. สรุปเนื้อหารายวชิ าภาษาองั กฤษ (พต21001) 113 แบบทดสอบรายวชิ าภาษาองั กฤษ (พต21001) 116 148 4. สรุปเนอ้ื หารายวิชาคณิตศาสตร์ (พค21001) 152 แบบทดสอบรายวชิ าคณติ ศาสตร์ (พค21001) 155 158 5. สรปุ เนื้อหารายวิชาวิทยาศาสตร์ (พว21001) 173 แบบทดสอบรายวิชาวทิ ยาศาสตร์ (พว21001) 177 180 6. สรปุ เนื้อหารายวชิ าช่องทางการพัฒนาอาชพี (อช21001) 182 แบบทดสอบรายวิชาชอ่ งทางการพัฒนาอาชีพ (อช21001) 187 189 7. สรปุ เนอ้ื หารายวิชาทักษะการพัฒนาอาชีพ (อช21002) 197 แบบทดสอบรายวิชาทกั ษะการพัฒนาอาชีพ (อช21002) 8. สรปุ เนอ้ื หารายวิชาพฒั นาอาชพี ให้มีความเข้มแขง็ (อช21003) แบบทดสอบรายวิชาพัฒนาอาชีพให้มีความเข้มแข็ง (อช21003) 9. สรปุ เนื้อหารายวชิ าเศรษฐกจิ พอเพียง (ทช21001) แบบทดสอบรายวิชาเศรษฐกิจพอเพยี ง (ทช21001) 10. สรุปเนอ้ื หารายวิชาสขุ ศกึ ษา พละศกึ ษา (ทช21002) แบบทดสอบรายวิชาสขุ ศกึ ษา พละศกึ ษา (ทช21002) 11. สรปุ เนื้อหารายวิชาศลิ ปศึกษา (ทช21003) แบบทดสอบรายวิชาศิลปศึกษา (ทช21003) 12. สรปุ เนื้อหารายวิชาสังคมศึกษา (สค21001) แบบทดสอบรายวชิ าสงั คมศึกษา (สค21001)

สำรบญั (ตอ่ ) หนำ้ 13. สรุปเนอื้ หารายวชิ าศาสนาและหนา้ ท่ีพลเมือง (สค21002) 200 แบบทดสอบรายวชิ ารายวิชาศาสนาและหน้าทีพ่ ลเมอื ง (สค21002) 203 206 14. สรุปเน้อื หารายวิชาพฒั นาตนเอง ชมุ ชน สังคม (สค21003) 209 แบบทดสอบรายวชิ าพฒั นาตนเอง ชุมชน สังคม (สค21003) 212 214 เฉลยแบบทดสอบ 215 แบบบนั ทกึ ยกระดับผลสมั ฤทธ์ทิ างการเรยี น รายวชิ าบังคับ ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น 216 เกณฑก์ ารประเมินผลการยกระดับผลสมั ฤทธผิ์ เู้ รยี นรายบุคคล ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนต้น 218 บรรณานุกรม คณะผูจ้ ดั ทา

คำช้แี จงกำรใชค้ ู่มอื ยกระดบั ผลสัมฤทธผ์ิ ู้เรียนรำยบคุ คล ระดับมัธยมศกึ ษำตอนตน้ ปีกำรศกึ ษำ 2564 คู่มือยกระดับผลสัมฤทธิ์ผู้เรียนรายบุคคล ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ปีการศึกษา 2564 เล่มนี้ จัดทาข้ึนเพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความสามารถทางด้านวิชาการในรายวิชาบังคับ ตามหลักสูตร การศกึ ษานอกระบบระดับการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 ในการศกึ ษาเอกสารเล่มนี้ ผู้เรยี นควรปฏิบตั ิ ดงั น้ี 1. ผู้เรียนสารวจวิชาท่ีตนเองลงทะเบยี นเรียนในปกี ารศกึ ษา 2564 2. ผ้เู รียนศึกษาเนอื้ หารายวิชาท่ตี นเองลงทะเบียนเรยี น หรือรายวชิ าอืน่ ๆ ที่ตอ้ งการเรยี นรู้ 3. หลังจากศึกษาในรายวิชาน้ัน ๆ แล้วผู้เรียนต้องทาแบบทดสอบ แล้วนามาเฉลย แบบทดสอบ 4. ผู้เรียนบันทึกคะแนนผลการทดสอบรายวิชาในแบบบันทึกการพัฒนาทักษะวิชาการ ผูเ้ รยี นรายบุคคล (อยทู่ า้ ยเลม่ ) เพ่อื เป็นแนวทางในการพฒั นาตนเองอยา่ งต่อเน่อื ง 5. ใหผ้ เู้ รียนศกึ ษาค้นคว้าหาความรเู้ พ่มิ เติมในรายวชิ าต่าง ๆ ไดจ้ ากแบบเรียนตามหลักสูตร การศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 แหล่งเรยี นรู้ และสื่อออนไลน์อื่น ๆ

1 สรุปเน้อื หำรำยวชิ ำทกั ษะกำรเรยี นรู้ ทร21001 จุดประสงค์กำรเรยี นรู้ 1. สามารถวเิ คราะห์ ตระหนักถึงความสาคัญ และปฏบิ ตั กิ ารแสวงหาความรู้จากการอ่าน ฟัง และสรุปไดถ้ กู ต้องตามหลักวิชาการ 2. สามารถจาแนก จดั ลาดบั ความสาคญั และเลอื กใช้แหล่งเรียนรไู้ ดอ้ ยา่ งเหมาะสม 3. สามารถจาแนกผลทีเ่ กิดข้นึ จากขอบเขตความรู้ ตัดสนิ คุณค่า กาหนดแนวทางพฒั นา 4. ความสามารถในการศกึ ษา เลือกสรร จัดเกบ็ และการวเิ คราะห์ สังเคราะห์ขอ้ มลู ทง้ั สามประการ และการใชเ้ ทคนิคในการฝกึ ทกั ษะการคดิ เป็น เพอ่ื ใช้ประกอบการตัดสนิ ใจแก้ปัญหา 5. สามารถวเิ คราะห์ปญั หา ความจาเปน็ เห็นความสมั พันธ์ของกระบวนการวจิ ัยกบั การนาไปใช้ ในชีวติ และดาเนนิ การวิจัยทดลองตามขั้นตอน ขอบเขตเน้อื หำ 1. การเรียนรดู้ ้วยตนเอง 2. การใชแ้ หล่งเรยี นรู้ 3. การจดั การความรู้ 4. การคิดเป็น 5. การวจิ ัยอย่างง่าย 1. กำรเรยี นรู้ด้วยตนเอง กำรเรียนรู้ดว้ ยตนเอง (Self-Directed Learning : SDL) การเรียนร้เู ร่ืองราวต่าง ๆ ไม่ใช่เร่ือง ทต่ี ิดตัวมาแตเ่ กดิ แต่การเรยี นรเู้ ร่อื งราวหรือทักษะในเรอ่ื งนั้น ๆ มาจากการเรียนรู้ หรือการฝึกฝนทักษะ และประสบการณ์ทงั้ สนิ้ การเรยี นร้จู งึ เปน็ กระบวนการเปล่ยี นแปลงพฤติกรรมจากเดมิ ไปสู่พฤติกรรมใหม่ ซ่งึ คนทุกคนสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ ควำมหมำยของกำรเรียนรู้ดว้ ยตนเอง การเรียนรู้ด้วยตนเอง หมายถึง กระบวนการเรียนรู้ ท่ีผู้เรียนมีความคิดริเร่ิมด้วยตนเอง เรียนรู้ ในส่ิงที่ตรงกับความต้องการ ความสนใจ และความถนัดของตนเอง โดยมีเป้าหมายการเรียนรู้ การแสวงหา และเข้าถึงแหล่งข้อมูลในการเรียนรู้ มีวิธีการเรียนรู้ที่เหมาะสม และมีการประเมินผลการ เรยี นรูข้ องตนเอง ควำมสำคัญของกำรเรียนร้ดู ว้ ยตนเอง สังคมปัจจุบัน เป็นสังคมที่ต้องมีความรู้ มีการเปล่ียนแปลงความรู้อย่างรวดเร็ว มีความรู้ใหม่ เกิดขึ้นทุกวัน การนาความรู้ไปปฏิบัติ ทาให้เกิดสิ่งใหม่ๆ เป็นนวัตกรรม สร้างอาชีพที่หลากหลาย

2 การเรียนรู้ด้วยตนเองจึงมีความสาคัญ ทาให้เกิดสังคมแห่งการเรียนรู้ความสาคัญของการเรียนรู้ ดว้ ยตนเอง แบ่งเปน็ 2 ส่วน คือ 1. ควำมสำคญั ตอ่ ตวั ผู้เรยี น 1) ทาใหค้ นมีการพฒั นาทางปัญญา จากคนท่ไี มม่ ีความรมู้ าเปน็ ผู้รู้ 2) ทาให้คนสามารถปรับและประยุกต์ใช้ความรู้ไปสู่สถานการณ์ใหม่ ทาให้ประสบ ความสาเร็จในการปฏบิ ัตงิ าน 3) ทาให้คนสามารถดารงชีวิตอยู่ในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา อย่างมี ศักยภาพเป็นผู้แกป้ ัญหาเปน็ และมคี วามสขุ 2. ควำมสำคัญตอ่ สังคม สังคมปัจจุบัน เป็นสังคมที่มีการเปล่ียนแปลง มีความรู้ใหม่ๆ ข้อมูลข่าวสารมากมายเกิดข้ึน ตลอดเวลา ซึ่งส่งผลต่อการดาเนินชีวิตของคนในสังคม สามารถแสวงหาความรู้และนาความรู้ ที่ได้ไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์และอยู่รอดในสังคมได้ ถ้าคนเราสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ก็จะเกิดสงั คมแห่งการเรยี นรูต้ ลอดชวี ิต เป็นสงั คมที่มีการพฒั นาให้เจริญก้าวหน้าตอ่ ไป ลกั ษณะและองค์ประกอบกำรเรยี นร้ดู ว้ ยตนเอง การเรียนรู้ด้วยตนเอง จะช่วยให้ผู้เรียนประสบผลสาเร็จ ผู้เรียนจะต้องมีการแลกเปลี่ยน ประสบการณ์ สร้างความรู้ร่วมกนั นาเสนอความรู้ และนาไปประยุกตใ์ ช้ หรอื ลงมอื ปฏบิ ัติ ลักษณะของกำรเรยี นรู้ด้วยตนเอง การเรยี นรดู้ ้วยตนเอง จาแนกออกเป็น 2 ลักษณะสาคัญ ดงั นี้ 1. ลักษณะที่เป็นลักษณะส่วนบุคคลของผู้เรียน ในการเรียนรู้ด้วยตนเองจัดเป็นองค์ประกอบ ภายใน ทจ่ี ะทาให้ผ้เู รยี นมแี รงจงู ใจอยากเรียนตอ่ โดยผูเ้ รียนทม่ี ีคุณลกั ษณะในการเรียนรู้ด้วยตนเอง จะมี ความรับผดิ ชอบต่อความคดิ และการกระทาเกี่ยวกับการเรียน และมกี ารจัดสภาพการเรยี นร้ทู ี่ส่งเสรมิ กนั 2. ลักษณะทเี่ ปน็ การจัดการเรยี นรู้ให้ผ้เู รียนได้เรียนด้วยตนเองประกอบด้วยขั้นตอน การวางแผน การเรียน การปฏบิ ัตติ ามแผน และการประเมนิ ผลการเรยี น จดั เป็นองค์ประกอบภายนอก ที่สง่ ผลต่อการ เรียนดว้ ยตนเองของผู้เรียน ซงึ่ การจัดการเรยี นร้แู บบนจ้ี ะไดป้ ระโยชนจ์ ากการเรียนมากทีส่ ดุ องคป์ ระกอบของกำรเรียนรูด้ ้วยตนเอง มดี ังน้ี 1. การวิเคราะห์ความต้องการของตนเอง เริ่มจากให้ผู้เรียนแต่ละคนบอกความต้องการ และความสนใจในการเรยี นกบั เพอื่ นอีกคน ซึ่งทาหน้าท่ีเป็นท่ีปรึกษา แนะนา และเพ่ือนอีกคนทาหน้าที่ จดบนั ทึก และใหก้ ระทาเช่นนีห้ มุนเวียนท้ัง 3 คน แสดงบทบาทครบท้งั 3 ด้าน คือ ผู้เสนอความต้องการ ผู้ให้คาปรึกษา และผู้คอยจดบันทึกการสังเกตการณ์ เพ่ือประโยชน์ในการเรียนรู้ร่วมกัน และช่วยเหลือ ซึง่ กันและกนั 2. การกาหนดจุดมุ่งหมาย โดยเร่ิมจากบทบาทของผู้เรียนนี้เป็นสาคัญ ผู้เรียนควรศึกษา จุดมุ่งหมายของวิชา แล้วเขียนจุดมุ่งหมายในการเรียนของตนให้ชัดเจน เน้นพฤติกรรมที่คาดหวัง วดั ได้ มีความแตกตา่ งของจดุ มุ่งหมายในแต่ละระดบั 3. การวางแผนการเรียน ใหผ้ เู้ รยี นกาหนดแนวทางการเรียน ตามวัตถุประสงค์ท่ีระบุไว้จัดเน้ือหา ใหเ้ หมาะสมกับสภาพความต้องการและความสนใจของตนมากที่สุด

3 4. การแสวงหาแหล่งวทิ ยาการท้ังท่ีเป็นวัสดแุ ละบุคคล - แหลง่ วทิ ยาการทเ่ี ปน็ ประโยชน์ในการศึกษาคน้ คว้า เช่น หอ้ งสมุดพพิ ธิ ภณั ฑ์ ฯลฯ - ทกั ษะต่าง ๆ ที่มีส่วนในการแสวงหาแหลง่ วิทยาการได้อยา่ งสะดวกรวดเร็ว เช่น ทักษะการตัง้ คาถาม ทักษะการอ่าน ฯลฯ 5. การประเมินผล ควรประเมนิ ผลการเรียนรู้ด้วยตนเอง ตามท่ีกาหนดจุดมุ่งหมายของการเรียน ไวแ้ ละใหส้ อดคล้องกบั วตั ถุประสงคเ์ ก่ยี วกบั ความรู้ ความเขา้ ใจทักษะ ทัศนคติ คา่ นยิ ม กำรกำหนดเป้ำหมำยและกำรวำงแผนกำรเรยี นรู้ด้วยตนเอง กำรกำหนดเปำ้ หมำย หรือจุดมงุ่ หมำยกำรเรยี นรู้ เป้าหมายของชีวิต คือ การคิดถึงภาพของตนเองในอนาคตในหลาย ๆ ด้านไปพร้อม ๆ กัน ท้ังเป้าหมายที่จับต้องได้และจับต้องไม่ได้ การวางเป้าหมายชีวิต ทาให้มีทิศทางในการคิด อย่างมีจุดมงุ่ หมาย ไม่เสยี เวลา มีแผนทจ่ี ะเดินทางไปสู่ความสาเร็จท่ีตอ้ งการในอนาคต ควำมหมำยของกำรกำหนดเป้ำหมำยกำรเรยี นรู้ การกาหนดเป้าหมายการเรียนรู้ คือ การกาหนดจุดหมายปลายทางของผู้เรียนว่าต้องบรรลุ ถึงจุดหมายอะไรบ้าง ภายหลังการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งสามารถกาหนดได้ ท้ังด้านทักษะทางปัญญา เช่น ความรู้ ความจา ความเข้าใจ การนาไปใช้ เป็นต้น ด้านทักษะความสามารถ เช่น การปฏิบัติ การ แสดงออก เป็นต้น และทางพฤติกรรมอารมณ์และความรู้สึก เช่น เจตคติ ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม เปน็ ต้น ประโยชน์ของกำรกำหนดเป้ำหมำยกำรเรยี นรู้ เม่ือผู้เรียนมีจุดมุ่งหมายปลายทางการเรียนรู้ของตนเอง จะสามารถวางแผนการเรียนรู้ และกาหนดแผนการเรียนรู้ ให้สอดคล้องกับเป้าหมายที่ต้องการ ผู้เรียนสามารถเลือกวิธีการเรียนรู้ ช่องทางหรือแหล่งเรียนรู้และสื่อท่ีเหมาะสม ทาให้สามารถดาเนินกิจกรรมการเรียนรู้ได้ อย่างมีประสิทธภิ าพ หลกั กำรในกำรกำหนดเป้ำหมำยกำรเรยี นรู้ มีดังนี้ 1. ระบุสงิ่ ท่ีเราตอ้ งการใหเ้ กดิ ต้องการเปน็ ใหช้ ดั เจน 2. ตอ้ งสามารถระบุ และวดั ผลลพั ธ์ไดอ้ ยา่ งชดั เจน 3. ต้องมคี วามมงุ่ มน่ั และลงมอื ปฏบิ ัติจริง 4. ตอ้ งสมเหตุสมผล และเป็นสิง่ ทมี่ ีโอกาสเปน็ ไปได้ 5. มีระยะเวลาเป็นกรอบกาหนดสงิ่ ท่ีตอ้ งทาให้สาเร็จ กำรวำงแผนกำรเรยี นรดู้ ้วยตนเอง การเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นคุณลักษณะท่ีสาคัญ ช่วยให้ผู้เรียนมีความตั้งใจ มีแรงจูงใจ มีความคิด ริเร่ิมสร้างสรรค์ สามารถทางานร่วมกับผู้อื่นได้ นาประโยชน์ของการเรียนรู้ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ต่อการดาเนนิ ชวี ติ

4 ควำมหมำยของกำรวำงแผนกำรเรยี นรู้ การวางแผนการเรียนรู้ คือ การกาหนดแนวทางการเรียนรู้ของตนเองขึ้นมา เพื่อให้บรรลุ จุดมุ่งหมายท่ีกาหนดไว้ โดยต้องกาหนดเวลาเรียนรู้ของตนเอง ว่ากิจกรรมมีอะไรบ้าง และจะสิ้นสุด เมื่อใด ประโยชนข์ องกำรวำงแผนกำรเรียนรู้ดว้ ยตนเอง 1. ชว่ ยใหผ้ ้เู รียนสามารถระบเุ ปา้ หมาย หรือผลงานการเรียนรไู้ ด้อย่างชดั เจน 2. ช่วยในการกาหนดและระบกุ จิ กรรมหรืองานทผี่ ูเ้ รยี นทาได้อยา่ งชัดเจน 3. ชว่ ยใหก้ ารเรยี นรูเ้ ปน็ ไปอยา่ งมีประสทิ ธิภาพ ตามกรอบทกี่ าหนดไว้ หลักกำรวำงแผนกำรเรยี นรดู้ ้วยตนเอง 1. การวางแผนการเรียนรู้ของผู้เรียน ควรเริ่มต้นจากการกาหนดจุดมุ่งหมายในการเรียนรู้ ดว้ ยตนเอง 2. ผูเ้ รยี นเปน็ ผูก้ าหนดการวางแผนการเรียนของตนเอง 3. ผู้เรยี นเปน็ ผูจ้ ัดการเนือ้ หาให้เหมาะสมกับความตอ้ งการและความสนใจของตนเอง 4. ผเู้ รยี นเปน็ ผรู้ ะบุวิธีการเรยี นรู้ เพอ่ื ให้เหมาะสมกบั ตนเองมากทสี่ ดุ 5. ผู้เรียนกาหนดและแสวงหาแหลง่ เรียนร้ดู ้วยตนเอง กระบวนกำรวำงแผนกำรเรยี นรูด้ ้วยตนเอง 1. วิเคราะหแ์ ละกาหนดความต้องการหรือความสนใจในการเรียนรขู้ องตนเอง 2. กาหนดจดุ ม่งุ หมายในการเรยี นรู้ หรือสิ่งท่ตี ้องการให้เกดิ กบั ตนเองภายหลงั การเรียนรู้ 3. วางแผนการเรียนรู้โดยผู้เรียนกาหนดแนวทางการเรียนของตนเอง เรื่องเวลาเรียน เน้ือหา กจิ กรรมการเรยี นรใู้ นแตล่ ะช่วง ต้งั แตเ่ รมิ่ ตน้ จนสิน้ สดุ 4. เลอื กรูปแบบกจิ กรรมการเรียนรู้ แหลง่ เรยี นรู้ และสอ่ื การเรยี นรู้ 5. ในกรณีบางเร่อื งไม่สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเองท้ังหมด ต้องมีผู้ช่วยเหลือซึ่งอาจเป็นครูเพ่ือน ทพี่ บกลุ่มรว่ มกนั ฯลฯ ผู้เรยี นจะต้องกาหนดบทบาทของผชู้ ่วยเหลอื การเรียนรใู้ ห้ชัดเจน 6. กาหนดวิธีการตรวจสอบตนเอง วิธีการประเมินผลการเรียนของตนเองร่วมกับ ครู เชน่ การทดสอบ การสงั เกต การสอบถาม ทกั ษะพน้ื ฐำนทำงกำรศึกษำหำควำมรู้ ทกั ษะกำรแกป้ ัญหำและเทคนิคกำรเรียนร้ดู ว้ ยตนเอง ทกั ษะพืน้ ฐำนทำงกำรศกึ ษำหำควำมรู้ การเรียนรู้ด้วยตนเอง จะต้องมีทักษะที่สาคัญหลาย ๆ ด้าน เพ่ือให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ มากทสี่ ุด ทักษะทส่ี าคัญและจาเปน็ ตอ่ การเรียนรู้ ได้แก่ ทกั ษะกำรอำ่ น การอ่าน คือ การรับรู้ความหมาย จากถ้อยคาที่อ่านในหนังสือ หรือส่ิงพิมพ์ต่าง ๆ การอ่าน มหี ลายประเภท เชน่ 1. การอ่านสารวจ เป็นการอ่านอย่างรวดเร็ว เพ่ือรู้ลักษณะโครงสร้างของข้อเขียน สานวนภาษา เนอ้ื เร่อื งโดยสงั เขป

5 2. การอ่านข้าม เป็นการอ่านอย่างรวดเร็ว โดยเลือกอ่านข้อความเฉพาะบางตอน ท่ตี รงกบั ความต้องการ เช่น การอ่านคานา สาระสงั เขป บทสรุป 3. การอ่านผ่าน เป็นการอ่านแบบกวาดสายตาอย่างรวดเร็ว ไปยังข้อเขียนที่เป็น เป้าหมาย เชน่ คาสาคัญ ตวั อกั ษร หรือสญั ลักษณ์ แล้วอา่ นรายละเอยี ดเฉพาะทต่ี อ้ งการ 4. การอ่านจับประเด็น เป็นการอ่านทาความเข้าใจสาระสาคัญ โดยต้องสังเกตคา หรือประโยคสาคญั และยอ่ สรปุ บนั ทึกประโยคสาคญั ไว้ 5. การอ่านสรุปความ เป็นการอ่านตีความหมายส่ิงท่ีอ่าน ให้เข้าใจชัดเจนแยกส่วน ประเดน็ หลัก ประเดน็ รอง ท่ีสาคัญหรือไม่สาคัญได้ 6. การอา่ นวิเคราะหค์ วามหมายข้อความ ทกั ษะกำรฟงั การฟัง คอื การรับรู้ความหมายจากเสียงที่ได้ยิน เป็นการรับรู้ข้อมูล โดยใช้ประสาทสัมผัสทางหู การฟังเพ่อื ใหเ้ กดิ การเรียนรู้ส่ิงต่าง ๆ จาเป็นต้องใช้ความคิดพิจารณา ไตร่ตรอง และเอาใจใส่เป็นพิเศษ จึงจะช่วยใหก้ ารฟังมีประสิทธภิ าพ ทักษะกำรสงั เกต การสังเกต คือ การดูสิ่งที่เกิดข้ึนเก่ียวกับพฤติกรรม หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้น โดยใช้ประสาทสัมผสั คอื ตาดู หูฟงั กายสัมผัส วิธกี ารสังเกต แบ่งออกเป็น 2 แบบ คือ 1. การสังเกตทางตรง เปน็ การสงั เกตโดยผู้ถูกสงั เกตได้สัมผัสกับบุคคล หรือเหตุการณ์น้ัน โดยตรง 2. การสังเกตทางอ้อม เป็นการสังเกต ที่ผู้สังเกตไม่ได้เฝ้าดูพฤติกรรม หรือเหตุการณ์นั้น ดว้ ยตนเอง แตอ่ าศยั ถามจากผู้อืน่ ที่ไดส้ ังเกตมา ทักษะกำรจำ การจา คือ ความสามารถของสมองในการเก็บข้อมูล และเรียกข้อมูลออกมาใช้ ซึ่งอาจเป็น ระยะส้นั ๆ หรอื ยาวนานตลอดชีวติ กไ็ ด้ การจา เปน็ ความสามารถเฉพาะตัวท่ีต้องการการฝึกฝน เช่น การเชื่อมโยงสิ่งที่ต้องจาไปหาสิ่งที่ จางา่ ยและตดิ ตากว่า การแต่งประโยคเด็ดชว่ ยจา การจาข้อความเปน็ ภาพ เป็นต้น ทักษะกำรจดบนั ทึก การบันทึก คอื การเขียนข้อความที่ได้รับรู้ไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เพราะถ้าใช้การจาอย่างเดียว ผู้เรียนอาจรบั เนอื้ หาได้ไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ การจดบันทกึ จึงจาเป็นมากสาหรับการเรียนรู้ การจดบนั ทึกท่ดี ี ควรจดสั้นๆ เฉพาะส่วนที่สาคัญ เป็นวลี คาสัญลักษณ์ หรือตัวย่อจดเป็นหัวข้อ โดยใชห้ มายเลข หรอื สัญลกั ษณ์นาหนา้ และจดเฉพาะคาสาคญั ทักษะกำรแกป้ ัญหำ ทักษะการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการจัดการกับปัญหา ท่ีเกิดข้ึนในชีวิตได้อย่างมีระบบ ไมเ่ กิดความเครยี ดทางกาย และจติ ใจ จนอาจลุกลามเป็นปญั หาใหญ่โตเกนิ แก้ปัญหา

6 2. กำรใชแ้ หล่งเรยี นรู้ แหล่งเรียนรู้ มีความสาคัญในการพัฒนาความรู้ของมนุษย์ให้สมบูรณ์มากย่ิงข้ึน นอกเหนือ จากการเรียนในช้ันเรียน และเป็นแหล่งท่ีอยู่ให้สังคม ชุมชน สามารถเข้าไปศึกษาค้นคว้าเพื่อการเรียนรู้ ไดต้ ลอดชีวิต ควำมหมำยของแหลง่ เรยี นรู้ แหล่งเรียนรู้ หมายถึง สถานที่ แหล่งข่าวสารข้อมูล สารสนเทศ แหล่งความรู้ทางวิทยาการ ภมู ปิ ัญญาชาวบ้าน และประสบการณ์ ท่สี นบั สนุนสง่ เสริม ใหผ้ ูเ้ รยี นเกดิ การเรียนรู้ ประเภทของแหล่งเรยี นรู้ 1. ประเภทของแหล่งเรียนรู้ แบง่ ตำมลกั ษณะกำยภำพและวตั ถุประสงค์ เป็น 5 กลมุ่ ดงั น้ี 1) กลุ่มบริการข้อมูล ได้แก่ ห้องสมุด อุทยานวิทยาศาสตร์ ศูนย์วิทยาศาสตร์เพื่อการศึกษา ศนู ย์การเรยี น สถานประกอบการ 2) กลุ่มงานศิลปวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ ได้แก่ พิพิธภัณฑ์ อุทยานประวัติศาสตร์ อนุสรณส์ ถาน อนุสาวรยี ์ ศนู ย์วฒั นธรรม หอศลิ ป์ ศาสนสถาน 3) กลุม่ ขอ้ มูลท้องถน่ิ ได้แก่ ภูมิปัญญา ปราชญ์ชาวบา้ น สอื่ พ้ืนบา้ น แหลง่ ทอ่ งเทยี่ ว 4) กลุม่ ส่อื ได้แก่ วิทยุ วทิ ยชุ มุ ชน หอกระจายขา่ ว โทรทศั น์ เคเบลิ ทวี ี สื่ออเิ ลก็ ทรอนิกส์ อินเทอร์เน็ต หนงั สืออเิ ล็กทรอนกิ ส์ (e-book) 5) กลมุ่ สันทนาการ ไดแ้ ก่ ศูนย์กฬี า สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ ศนู ย์นันทนาการ 2. ประเภทของแหล่งเรยี นรู้ จำแนกตำมลกั ษณะ มี 6 ประเภท ดังน้ี 1) แหล่งเรียนรู้ประเภทบุคคล หมายถึง บุคคลท่ีมีความรู้ ความสามารถ ในด้านต่าง ๆ สามารถถ่ายทอดความรู้ ที่ตนมีอยใู่ หผ้ ู้สนใจ หรือผู้ตอ้ งการเรยี นรู้ ได้แก่ บุคคลที่มีทักษะความเชี่ยวชาญ ในสาขาวิชาชีพต่าง ๆ รวมทั้งผู้อาวุโส ท่ีมีประสบการณ์ พัฒนาเป็นภูมิปัญญาท้องถิ่น ปราชญ์ชาวบ้าน ภมู ิปญั ญาชาวบา้ น และภูมปิ ญั ญาไทย 2) แหล่งเรียนรู้ประเภทธรรมชาติ หมายถึง สิ่งต่าง ๆ ท่ีเกิดขึ้นตามธรรมชาติ และให้ ประโยชน์ต่อมนุษย์ เช่น ดิน น้า อากาศ พืช สัตว์ ป่าไม้ แร่ธาตุ เป็นต้น แหล่งเรียนรู้ประเภทน้ี เช่น อทุ ยาน วนอทุ ยาน เขตรกั ษาพนั ธสุ์ ัตวป์ า่ สวนพฤกษศาสตร์ ศูนย์ศกึ ษาธรรมชาติ เปน็ ตน้ 3) แหล่งเรยี นรู้ประเภทวัตถุและสถานที่ หมายถึง อาคาร ส่ิงก่อสร้าง วัสดุอุปกรณ์ และ ส่ิงต่าง ๆ เช่น ห้องสมุด ศาสนสถาน ศูนย์การเรียน พิพิธภัณฑ์ สถานประกอบการตลาด นิทรรศการ สถานท่ีทางประวตั ิศาสตร์ เปน็ ต้น 4) แหล่งเรียนรู้ประเภทสื่อ หมายถึง ส่ิงที่ติดต่อให้ถึงกันหรือชักนาให้รู้จักกัน ทาหน้าท่ี เป็นส่ือกลางในการถ่ายทอดเน้ือหา ความรู้ ทักษะและเจตคติ ไปสู่ทุกพ้ืนท่ีของโลกอย่างท่ัวถึง และ ตอ่ เนอื่ ง ท้งั สือ่ สิ่งพิมพ์ และสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ทีม่ ที ง้ั ภาพและเสยี ง

7 5) แหล่งเรียนรู้ประเภทเทคนิค ส่ิงประดิษฐ์คิดค้น หมายถึง ส่ิงท่ีแสดงถึงความก้าวหน้า ทางเทคโนโลยี และนวัตกรรมด้านต่าง ๆ ซึ่งเป็นสิ่งประดิษฐ์คิดค้น หรือทาการพัฒนาปรับปรุง ช่วยให้ มนุษย์เรียนรู้ถึงความก้าวหน้า เกิดจินตนาการ แรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ท้ังความคิด และ สิ่งประดิษฐ์ ต่าง ๆ 6) แหลง่ เรียนรู้ประเภทกจิ กรรม หมายถงึ การปฏิบัติการดา้ นวัฒนธรรม ประเพณีต่าง ๆ การปฏิบัติงานของหน่วยราชการ ตลอดจนความเคล่ือนไหว เพื่อแก้ปัญหาและปรับปรุงพัฒนาสภาพ ต่าง ๆ ในท้องถ่ิน การเข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่าง ๆ เหล่าน้ี จะทาให้เกิดการเรียนรู้ที่เป็นรูปธรรม เช่น ประเพณีงานทอดกฐิน งานบุญ การรณรงค์ป้องกันยาเสพติด การส่งเสริมการเลือกต้ังตามระบอบ ประชาธิปไตย การรณรงค์ความปลอดภยั ของเด็กและสตรใี นท้องถิ่น เป็นต้น ประโยชน์ของแหลง่ เรยี นรู้ การเรยี นการสอนโดยใช้แหล่งเรยี นรู้ มีประโยชนห์ ลายดา้ น ดังนี้ 1. เป็นแหล่งรวมขององค์ความรู้อันหลากหลาย พร้อมจะให้ผู้เรียนเข้าไปศึกษาค้นคว้า ด้วยกระบวนการจดั การเรียนรู้ ท่ีแตกต่างกันของแตล่ ะบุคคล และเปน็ การส่งเสรมิ การเรยี นรู้ตลอดชวี ิต 2. เปน็ แหล่งเชื่อมโยงให้สถานศึกษา และชุมชนมีความสัมพันธ์และใกล้ชิดกันทาให้คนในชุมชน มีสว่ นรว่ มจัดการศกึ ษาแก่บุตรหลานของตน 3. เป็นแหล่งเรียนรู้ที่ทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข เกิดความสนุกสนาน และมคี วามสนใจทจ่ี ะเรียน ไม่เกดิ ความเบื่อหนา่ ย 4. ทาให้ผเู้ รยี นเกิดการเรียนรจู้ ากการได้คิด ได้ปฏิบัติ และสร้างความรู้ด้วยตนเอง ขณะเดียวกัน กส็ ามารถเข้ารว่ มกิจกรรมและทางานรว่ มกบั ผ้อู น่ื ได้ 5. ทาให้ผู้เรียนได้รับการปลูกฝังให้รู้ และรักท้องถิ่นของตนเอง มองเห็นคุณค่าและตระหนัก ถึงปัญหาในชุมชนของตน พรอ้ มทีจ่ ะเปน็ สมาชกิ ทีด่ ีของชุมชนทง้ั ในปจั จบุ ันและอนาคต บทบำทหน้ำท่แี ละกำรบรกิ ำรของแหล่งเรียนรู้ บทบำทและหน้ำที่ของห้องสมุด ห้องสมุดประชาชน มีบทบาทหนา้ ที่และบรกิ าร ดงั นี้ 1. บทบาทและหน้าที่ทางการศึกษา ห้องสมุดประชาชนเป็นแหล่งให้การศึกษานอกระบบ โรงเรยี น มีหน้าทใี่ หก้ ารศึกษาแก่ประชาชนท่ัวไป ทุกระดบั การศกึ ษา 2. บทบาทและหน้าที่ทางวัฒนธรรม ห้องสมุดประชาชนเป็นแหล่งสะสมมรดกทางปัญญา ของมนุษย์ ถ่ายทอดเป็นวัฒนธรรมทอ้ งถ่ินท่หี อ้ งสมุดตง้ั อยู่ 3. บทบาทและหน้าที่ทางสังคม ห้องสมุดประชาชนเป็นสถาบันสังคม ได้รับเงินอุดหนุน จากรัฐบาลและท้องถ่ินมาดาเนินกิจกรรม จึงมีหน้าท่ีแสวงหาข่าวสารข้อมูล ท่ีมีประโยชน์มาบริการ ประชาชน 4. ส่วนการให้บริการ ห้องสมุดประชาชนให้บริการภายในห้องสมุดและภายนอกห้องสมุด บรกิ ารทส่ี าคญั มดี งั น้ี 1) บรกิ ารการอ่าน เป็นบริการ เพ่ือให้ผู้ใช้ได้ค้นคว้า หาความรู้ภายในห้องสมุด จากวัสดุ หอ้ งสมดุ ทกุ ชนดิ ตามความตอ้ งการ และความสนใจของแต่ละคน โดยการอ่าน ดู และฟัง

8 2) บริการยืม – คืน คือ การอนุญาตให้ผู้ใช้ ที่เป็นสมาชิกของห้องสมุด ยืมวัสดุออกจาก ห้องสมดุ ได้ ตามระเบยี บการให้บรกิ ารยืม - คืน ที่ห้องสมุดได้กาหนดไว้ 3) บรกิ ารหนงั สืออ้างอิง 4) บรกิ ารเอกสารสนเทศ หรอื บริการตอบคาถามและช่วยคน้ ควา้ มที งั้ บริการตอบคาถาม ท่ัว ๆ ไป และคาถามวิชาการทตี่ อ้ งใชเ้ วลาค้นควา้ 5) บริการให้ข้อมูลเกี่ยวกับเอกสารการวิจัย หรือบรรณานุกรม ประกอบหลักสูตร การศึกษาพน้ื ฐานและการศกึ ษาอ่ืน ๆ 6) บรกิ ารสอนการใชห้ อ้ งสมุด ฝกึ ปฏบิ ตั งิ านเก่ียวกบั การใช้ห้องสมุดแก่นักเรียนนักศึกษา และผู้สนใจทั่วไป 7) บริการสืบค้นสารนเิ ทศ คอื การสืบค้นข้อมูล ขา่ วสาร ข้อเท็จจริงต่าง ๆ อย่างละเอียด ลึกซ้ึง โดยมุ่งเน้นให้ผู้รับบริการได้รับบริการอย่างสะดวก ถูกต้อง รวดเร็ว ตามความต้องการโดยการ สืบค้นข้อมูลภายในห้องสมดุ หรอื สบื คน้ ข้อมลู แบบออนไลน์ 8) บรกิ ารหอ้ งสมดุ เคลอื่ นท่ี (Mobile Library Service) คือ การจัดทาห้องสมุดเคล่ือนท่ี ไปให้บริการตามสถานท่ีต่าง ๆ หรือท้องถิ่นห่างไกล ที่ประชาชนมาใช้ห้องสมุดไม่สะดวก เป็นการให้บริการภายนอกห้องสมุด 3. กำรจดั กำรควำมรู้ การจัดการความรู้ (Knowledge Management) หมายถงึ การจัดการกบั ความรูป้ ระสบการณ์ ท่ี มีอยู่ในตัวบุคคล และนาความรู้มาแบ่งปัน ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและองค์กรด้วยการผสมผสาน ความสามารถของคนเข้าด้วยกันอย่างเหมาะสม มีเป้าหมายเพื่อการพัฒนางาน พัฒนาคน และพัฒนา องค์กรใหเ้ ปน็ องคก์ รแหง่ การเรยี นรู้ ควำมสำคัญของกำรจัดกำรควำมรู้ การจัดการความรู้ท่ีมีอยู่ในตัวบุคคล โดยเฉพาะบุคคลที่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติงาน จนประสบผลสาเร็จ กระบวนการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ระหว่างคนกับคน หรือกลุ่มกับกลุ่มจะก่อให้ เกิดการยกระดบั ความรู้ ที่สง่ ผลตอ่ เป้าหมายของการทางาน น่ันคือเกิดการพัฒนาประสิทธิภาพของงาน คนเกดิ การพฒั นาและส่งผลตอ่ เนอ่ื งไปถึงองคก์ ร เป็นองค์กรแห่งการเรยี นรู้ หลักกำรของกำรจดั กำรควำมรู้ การจัดการความรู้เพอ่ื ใหบ้ รรลุเป้าหมายเร่อื งใดเร่อื งหน่ึง มหี ลักการสาคญั 4 ประการ คือ 1. ให้คนหลากหลาย ท้ังด้านทกั ษะ วธิ คี ิด มาทางานร่วมกนั อยา่ งสรา้ งสรรค์ 2. ร่วมกันพัฒนาวิธกี ารทางานรูปแบบใหมๆ่ 3. ทดลองและเรียนรู้ เพื่อใหไ้ ด้วธิ กี ารทางานแบบใหม่ 4. นาเข้าความรู้จากภายนอกอย่างเหมาะสม โดยผนวกกับความรู้เดิม เป็นความรู้ใหม่ท่ีตนเอง ตอ้ งการ

9 กระบวนกำรจดั กำรควำมรู้ กระบวนการจัดการความรู้ เป็นกระบวนการแบบหนึ่ง ท่ีจะช่วยให้องค์กรเข้าใจถึงข้ันตอน ที่ทาให้การจดั การความรู้ หรือพัฒนาการของความรู้ ที่จะเกิดขน้ึ ภายในองค์กร รปู แบบกำรจัดกำรควำมรู้ การจดั การความรมู้ ี 2 รูปแบบ คือ รูปแบบปลาทู และรูปแบบปลาตะเพียน 1. รูปแบบปลาทู (โมเดลปลาทู) ประกอบด้วย การจัดการความรู้ 3 ส่วน คือ ส่วนหัว เป็นการ กาหนดเป้าหมายท่ีชัดเจน ส่วนตัว เป็นการแลกเปล่ียนเรียนรู้ และส่วนหาง เป็นความรู้ท่ีได้ จากการแลกเปลย่ี นเรยี นรู้ 2. รูปแบบปลาตะเพียน (โมเดลปลาตะเพียน) เป็นการจัดการความรู้ของกลุ่มหรือองค์กร ปลาตัวใหญ่ เสมือนวิสัยทัศน์ พันธกิจขององค์กร ปลาตัวเล็กท้ังหลาย เสมือนเป้าหมายของการจัดการ ความรู้ ทมี่ ุง่ ตอบสนองเปา้ หมายใหญ่ขององคก์ ร ซงึ่ มที ศิ ทางเดยี วกนั ทกั ษะในกำรจัดกำรควำมรูด้ ว้ ยตนเอง ในชุมชนมีปญั หาซับซ้อน ท่ีคนในชุมชนต้องร่วมกันแก้ไข การจัดการความรู้จึงเป็นเร่ืองท่ีทุกคน ตอ้ งใหค้ วามรว่ มมอื และใหข้ ้อเสนอแนะเชงิ สร้างสรรค์ การรวมกลุ่มเพื่อแก้ปัญหาหรือร่วมมือกันพัฒนา โดยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน เรียกว่า “ชุมชนนักปฏิบัติ” (Community of Practice : CoPs) หรือ อาจจะเรยี กวา่ “ชุมชนแหง่ การเรียนรู้” หรือ “ชมุ ชนปฏิบัติการ” รปู แบบของ CoPs ทใี่ ช้ในกำรจดั กำรควำมรู้ กระบวนการจัดการความรู้โดยใช้กระบวนการกลุ่ม เป็นกระบวนการท่ีคนในกลุ่มเรียนรู้ จากประสบการณ์การทางานร่วมกัน เมื่อบุคคลที่ประสบความสาเร็จนาความรู้มาแลกเปล่ียนกัน ทาให้คนท่ไี มร่ ู้และคนท่ีรู้บ้างได้เพิ่มพูนความรู้ และนาความรู้ไปปฏิบัติได้ การดึงความรู้ท่ีฝังลึกอยู่ในตัว บุคคลออกมา แล้วสกัดเป็นขุมความรู้ จาเป็นต้องมีคนกลาง ท่ีส่งเสริมให้เกิดกระบวนการแลกเปลี่ยน เรียนรู้ 4 คน ไดแ้ ก่ 1. คุณเอ้ือ (เอ้ือระบบ) เป็นผู้นาระดับสูงขององค์กร มีหน้าที่ ทาให้การจัดการความรู้เป็นวิถี เดียวกับการปฏบิ ตั ิงานตามปกติขององค์กร และเปิดโอกาสให้ทุกคนขององค์กรนาวิธีการทางานของตน มาแบ่งปันและแลกเปล่ียนกับเพื่อนร่วมงาน ประการสุดท้าย คุณเอื้อต้องหากุศโลบายท่ีจะทาให้วิธีการ น้นั ถูกนาไปใช้กันมากขนึ้ 2. คุณอานวย (ผู้อานวยความสะดวก) เป็นผู้กระตุ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และอานวย ความสะดวกต่อการแลกเปล่ียนเรียนรู้ โดยเฉพาะต้องทาหน้าที่เชื่อมโยงคนสองประเภทเข้าหากัน คอื คนทีม่ คี วามรู้ ประสบการณ์ และคนทีต่ ้องการเรียนรูแ้ ละใช้ความร้เู หล่านนั้ รวมท้ังติดตามประเมินผล ความเปลยี่ นแปลงที่ต้องการ 3. คุณกิจ (ผู้ปฏิบัติงาน) ซึ่งเป็นผู้จัดการความรู้ตัวจริง เน่ืองจากเป็นผู้กาหนดเป้าหมาย ค้นหา แลกเปลี่ยนเรียนรู้ภายในกลุ่ม และพร้อมจะดูดซับความรู้จากภายนอกมาปรับใช้ให้บรรลุเป้าหมาย ท่ีตัง้ ไว้ และหมุนเวยี น ตอ่ ยอดความรอู้ ยา่ งตอ่ เน่ืองไมม่ ที ่ีสิน้ สุด 4. คณุ ลขิ ิต (ผจู้ ดบันทกึ ) ทาหน้าทบี่ ันทึก และจดั เกบ็ ความร้ใู ห้เปน็ คลงั ความรขู้ ององค์กร

10 4. คดิ เป็น โลกปัจจุบัน เป็นโลกแห่งการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วในทุก ๆ ด้าน ทั้งเร่ืองข่าวสารข้อมูล ความรู้ การเมือง เศรษฐกิจ การศึกษา ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่นน้ี ถ้าไม่สามารถปรับตัวให้ทันเหตุการณ์ ไม่เปล่ียนแปลง ก็จะเกิดปัญหาขึ้นกับตนเอง ครอบครัว สงั คมและชุมชน วธิ ีการหนึ่งทจ่ี ะช่วยให้ชวี ติ อย่อู ยา่ งมคี วามสขุ ได้ คือ“การคิดเป็น” การคิดเป็น เป็นการใช้ทักษะการคิดที่ใช้ข้อมูลอย่างน้อย 3 ด้าน มาสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน เพ่ือการตัดสินใจสู่การกระทา โดยปกติแล้วการกระทาของคนน้ัน เกิดมาจากการคิด ถ้าคิดดีก็ทาดี การคิดทีม่ ขี อ้ มูลประกอบการตดั สินใจ จะทาให้การคิดนั้นมีความรอบคอบ มีเหตุผลมีความพอประมาณ ไม่โลภ ไม่เบียดเบียนผู้อื่น การคิดดีนาไปสู่การปฏิบัติท่ีดี ถ้าในสังคมผู้คนปฏิบัติดีต่อกัน สังคม กอ็ ยรู่ ่วมกนั อยา่ งมคี วามสุข ควำมเชือ่ พื้นฐำนทำงกำรศึกษำผู้ใหญ่/กำรศึกษำนอกระบบ ความเชื่อพื้นฐานทางการศึกษาผู้ใหญ่/การศึกษานอกระบบ เชื่อว่าคนมีความแตกต่างกันอย่าง หลากหลาย ท้ังรูปลักษณะภายนอก ภูมิหลัง พ้ืนฐานทางครอบครัว ฯลฯ ความต้องการของคนจึงไม่ เท่าเทยี มกัน ไม่เหมอื นกัน แตส่ งิ่ หนง่ึ ท่ที ุกคนตอ้ งการคือ “ความสุข” ความสุขของแต่ละคนจะเกิดขึ้นได้ ต่อเมื่อมนุษย์กับสภาวะแวดล้อมท่ีเป็นวิถีชีวิตของตนสามารถปรับเข้าหากันได้อย่างกลมกลืน จนเกิด ความพอดีและพึงพอใจ ความสุขของแต่ละคนจึงไม่จาเป็นต้องเหมือนกัน เม่ือมนุษย์ต้องการความสุข เป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิต การคิดตัดสินใจเลือกกระทาหรือไม่กระทาใด ๆ ล้วนต้องใช้เหตุผล หรือ ข้อมูลมาประกอบการคิดอย่างน้อย 3 ด้าน คือ ข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง ข้อมูลเก่ียวกับสังคม และข้อมูล ทางวิชาการ ทฤษฎกี ำรเรยี นรู้สำหรับผู้ใหญ่ ทฤษฎีการเรียนรู้สาหรับผู้ใหญ่น้ัน กล่าวได้ว่า เริ่มมีการศึกษาค้นคว้า และพัฒนาการ มาจาก แนวความคิดของเดิม ของธอร์นได้ค์ (Edward L. Thorndike. 1982) จากการเขียนเก่ียวกับ \"การเรียนรู้ของผู้ใหญ่\" ซึ่งมิได้ทาการศึกษาเกี่ยวกับการเรียนรู้ของผู้ใหญ่โดยตรงแต่ศึกษาถึง ความสามารถในการเรียนรู้ โดยเน้นให้เห็นว่า ผู้ใหญ่นั้นสามารถเรียนรู้ได้ ซ่ึงเป็นสิ่งที่มีความสาคัญมาก จากสงครามโลกคร้ังท่ีสอง มีนักการศึกษาผู้ใหญ่จานวนมาก ได้ศึกษาค้นคว้า จนได้พยานหลักฐานทาง วทิ ยาศาสตร์เพิม่ ข้นึ อีกวา่ ผู้ใหญ่สามารถเรยี นรู้ได้ รวมท้ังได้พบว่า กระบวนการเกี่ยวกับด้านความสนใจ และความสามารถนน้ั แตกต่างออกไปจากการเรยี นรขู้ องเด็กเป็นอันมาก นอกจากวธิ ีการทางวิทยาศาสตรแ์ ลว้ ยังมีแนวความคิดทางด้านที่เป็นศิลป์ ในการเรียนรู้ ซ่ึงเป็น การคน้ หาวิธีการในการรบั ความรู้ใหม่ ๆ และการวเิ คราะห์ถึงความสาคัญของประสบการณ์ ซึ่งส่ิงเหล่าน้ี จะเก่ียวขอ้ งกับว่า “ผใู้ หญ่เรยี นร้อู ย่างไร”(How Adult Learn) ลินเดอร์แมน (Edward C. Linderman) ได้เขียนหนังสือชื่อ “ความหมายของการศึกษาผู้ใหญ่”แนวความคิดของลินเดอร์แมนน้ันได้รับอิทธิพล คอ่ นขา้ งมาก จากนักปรัชญาการศึกษาผูท้ ่ีมชี ่อื เสียง คอื จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) โดยได้เน้นเก่ียวกับ การเรียนรู้ของผู้ใหญ่ว่าควรเริ่มต้นจากสถานการณ์ต่างๆ (Situations) มากกว่าเริ่มจากเนื้อหาวิชา ซ่ึง

11 วธิ กี ารเรยี นการสอนโดยทั่ว ๆ ไปมักจะเร่ิมต้นจากครูและเนือ้ หาวชิ าเป็นอนั ดบั แรก และมองดผู เู้ รยี นเป็น ส่วนที่สอง ในการเรียนแบบเดิม ผู้เรียนจะต้องปรับตัวเองให้เข้ากับหลักสูตร แต่ในการศึกษาผู้ ใหญ่นั้น หลักสูตรควรจะได้สร้างขึ้นมาจากความสนใจ และความต้องการของผู้เรียนเป็นหลักสาคัญ ผู้เรียนจะพบว่า ตัวเองมีสถานการณ์เฉพาะเกี่ยวกับหน้าที่ การงาน งานอดิเรก หรือสันทนาการ ชีวิตครอบครัว ชีวิตในชุมชน สถานการณ์ต่าง ๆ นี้ จะช่วยให้ผู้เรียนได้ปรับตัวและการศึกษาผู้ ใหญ่ ควรเร่มิ จากจดุ น้ี ส่วนดา้ นตาราและผ้สู อนน้นั ถือว่ามีหน้าที่และบทบาทรองลงไป แหล่งความรู้ท่ีมีคุณค่าสูงสุดในการศึกษาผู้ใหญ่ คือ ประสบการณ์ของผู้เรียนเอง และมีข้อคิด ที่สาคัญว่า “หากการศึกษา คือชีวิตแล้ว ชีวิตก็คือ การศึกษา” (If Education is Life, then Life is Education) สรุปไดว้ ่า ประสบการณน์ ้ัน คอื ตาราท่ีมีชีวิตจิตใจ สาหรับนักศึกษาผู้ใหญ่จากแนวความคิด ของลินเดอร์แมน ทาให้ได้ข้อสันนิษฐานท่ีสาคัญ ๆ และเป็นกุญแจสาคัญ สาหรับการเรียนรู้ของผู้ใหญ่ รวมท้ังการวิจัยในระยะต่อ ๆ มาทาให้ โนลส์ (M.S.Knowles.1954) ได้พยายามสรุปเป็นพื้นฐานของ ทฤษฎกี ารเรียนรสู้ าหรบั ผู้ใหญ่สมยั ใหม่ ซง่ึ มสี าระสาคัญ ดังต่อไปน้ี 1. ความตอ้ งการและความสนใจ ผู้ใหญ่จะถูกชักจูงให้เกิดการเรียนรู้ได้ดี ถ้าตรงกับความต้องการ และความสนใจ ในประสบการณ์ทผ่ี ่านมา เขาจะเกิดความพึงพอใจ เพราะฉะนั้นควรเริ่มต้นในส่ิงเหล่าน้ี อยา่ งเหมาะสม โดยเฉพาะการจดั กจิ กรรมท้ังหลาย ทต่ี ้องการให้ผู้ใหญ่เกดิ การเรยี นรู้ 2. สถานการณ์ท่ีเก่ียวข้องกับชีวิตผู้ใหญ่ การเรียนรู้ของผู้ใหญ่จะได้ผลดี ถ้าหากถือเอาตัวผู้ใหญ่ เป็นศูนย์กลางในการเรียนการสอน ดังน้ัน การจัดหน่วยการเรียนท่ีเหมาะสมเพื่อการเรียนรู้ของผู้ ใหญ่ ควรจะยดึ ถอื สถานการณ์ทง้ั หลาย ทเี่ ก่ยี วขอ้ งกับชวี ติ ผู้ใหญ่เปน็ หลกั สาคญั มิใช่ตวั เน้ือหาวิชาทง้ั หลาย 3. การวิเคราะห์ประสบการณ์ เนื่องจากประสบการณ์ เป็นแหล่งการเรียนรู้ ท่ีมีคุณค่ามากท่ีสุด สาหรับผู้ใหญ่ ดังน้ัน วิธีการหลักสาหรับการศึกษาผู้ใหญ่ก็คือ การวิเคราะห์ถึงประสบการณ์ของผู้ใหญ่ แต่ละคนอย่างละเอียด ว่ามีส่วนไหนของประสบการณ์ ท่ีจะนามาใช้ในการเรียนกา รสอนได้บ้าง แลว้ จงึ หาทางนามาใช้ใหเ้ กดิ ประโยชน์ต่อไป 4. ผู้ใหญ่ต้องการเป็นผู้นาตนเอง ความต้องการท่ีอยู่ในส่วนลึกของผู้ใหญ่ คือการมีความรู้สึก ต้องการท่ีจะสามารถนาตนเองได้ เพราะฉะน้ัน บทบาทขององค์ความรู้จึงควรอยู่ในกระบวนการสืบหา หรอื คน้ หาคาตอบร่วมกับผู้เรียน มากกว่าการทาหน้าท่ีส่งผ่าน หรือเป็นสื่อสาหรับความรู้ แล้วทาหน้าที่ ประเมินผลว่าเขาคลอ้ ยตามหรือไม่เพียงใด 5. ความแตกต่างระหว่างบุคคล ความแตกต่างระหว่างบุคคลจะเพ่ิมมากขึ้นเรื่อย ๆ ในแต่ละ บุคคล เมือ่ มอี ายเุ พ่ิมมากขึน้ เพราะฉะนั้น การสอนผู้ใหญ่จะต้องเตรยี มการดา้ นน้ีอย่างดีพอ เช่น รูปแบบ ของการเรียนการสอน เวลาทใี่ ชส้ อน สถานทีส่ อน เป็นต้น ปรัชญำกำรคิดเป็น ดร.โกวิท วรพิพัฒน์ อดีตปลัดกระทรวงศึกษาธิการ และเคยเป็นอธิบดีกรมการศึกษานอก โรงเรยี น ได้อธบิ ายถึงคณุ ลักษณะทพี่ งึ ประสงค์ของคน ในการดารงชีวิตอยู่ในสังคม ท่ีมีการเปล่ียนแปลง อย่างรวดเร็ว รุนแรง และซับซ้อน ไว้ว่า “คิดเป็น” มาจากความเช่ือพ้ืนฐานเบื้องต้นที่ว่า คนมีความ แตกต่างกนั เปน็ ธรรมดา แต่ทุกคนมีความต้องการสงู สุดเหมือนกนั คือความสขุ ในชวี ิต คนจะมีความสุขใน

12 ชีวิตได้ ตอ้ งมีการปรบั ตวั เอง และสังคมส่งิ แวดล้อม ให้เข้าหากันอยา่ งกลมกลนื จนเกิดความพอดี นาไปสู่ ความพอใจ และมีความสุข คนที่จะทาได้เช่นน้ีต้องรู้จักคิด รู้จักใช้สติปัญญา รู้จักตัวเอง และธรรมชาติ สังคมสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างดี สามารถแสวงหาข้อมูลท่ีเก่ียวข้องอย่างหลากหลายและพอเพียง นามา พิจารณาข้อดี ข้อเสียของแต่ละเรื่อง เพื่อนามาใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ อาจกล่าวได้ว่า “คิดเป็น” เป็นแนวคิดท่ีสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ ที่สอนให้บุคคลสามารถ พ้นทุกข์ และพบความสุขได้ด้วยการ คน้ หาสาเหตุของปัญหา สาเหตุของทกุ ข์ ซงึ่ สง่ ผลให้บุคคลผูน้ ้ัน สามารถอยูใ่ นสังคมไดอ้ ย่างมีความสขุ การคิดแบบ “คิดเป็น” เป็นการใช้ข้อมูลประกอบการคิดอย่างรอบด้าน นามาสู่การตัดสินใจ เลือกที่จะเช่ือ เลือกท่ีจะกระทา โดยสามารถอธิบายเหตุผลของตนเองได้ ซึ่งความคิดของแต่ละคน ไม่จาเป็นต้องเหมือนกันเสมอไป การจัดการศึกษานอกระบบ จึงต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนคิดและตัดสินใจ ด้วยตนเองท่ีสาคัญ คือ การยอมรับ และเคารพการตัดสินใจในเรื่องน้ัน ๆ ซ่ึงเป็นรากฐาน ของประชาธิปไตยในระดบั พน้ื ฐานดว้ ย ขอ้ มูลท่นี ำมำใชป้ ระกอบกำรคดิ การคิดเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ น้ัน จาเป็นต้องใช้ข้อมูลมาประกอบการคิด อย่างน้อย 3 ประการ ได้แก่ 1. ข้อมูลเก่ียวกับตนเอง หมายถึง การรู้จักตนเองอย่างถ่องแท้ เที่ยงธรรมโดยพิจารณา ความพร้อมดา้ นการเงิน สขุ ภาพอนามัย ความรู้ อายุ และวยั รวมทัง้ การมีเพื่อนฝงู และอ่นื ๆ 2. ข้อมูลเก่ียวกับสังคม หมายถึง สังคมและส่ิงแวดล้อม หมายถึง คนอื่นนอกเหนือจากเรา และครอบครัว จะเรียกว่าบุคคลที่ 3 ก็ได้ คือ ดูว่าสังคมเขาคิดอย่างไรกับการตัดสินใจของเรา เขาเดือดร้อนไหม เขารังเกียจไหม เขาชื่นชมด้วยไหม เขามีใจปันให้เราไหมรวมตลอดถึงเศรษฐกิจ และสังคมนั้น ๆ เหมาะกับเรื่องที่เราตัดสินใจหรือไม่ รวมทั้งขนบธรรมเนียม ประเพณี คุณธรรม และคา่ นยิ มของสงั คม

13 3. ขอ้ มูลเกี่ยวกบั วิชาการ หมายถงึ ความรู้ทางวิชาการ เป็นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ หรือความรู้ วิชาการ ในเร่อื งทเี่ ราจะตอ้ งใชป้ ระกอบการตัดสนิ ใจ ข้อมูลทั้ง 3 ประการนี้ ต้องใช้ประกอบกัน จึงจะช่วยให้เกิดการวิเคราะห์พิจารณาท่ีดีที่ถูกต้อง มากกว่าการใช้ขอ้ มูลเพียงด้านใดด้านหนง่ึ เท่าน้ัน ซึ่งปกติมักจะตัดสินใจกัน ด้วยข้อมูลด้านเดียว ซึ่งอาจ มีการพิจารณาว่าเหมาะสมกับตนเองแล้ว เหมาะสมกับคนส่วนใหญ่แล้ว หรือเหมาะสมตามตารา หรอื จากคาแนะนาทางวชิ าการแล้ว อาจเป็นเหตุให้ตดั สินใจผิดพลาดได้ กระบวนกำรและข้นั ตอนกำรแกป้ ญั หำอยำ่ งคนคิดเป็น การแก้ไขปัญหาของคนคดิ เป็นนนั้ มกี ระบวนการคดิ เพ่อื แก้ปญั หาตามขั้นตอนดงั ตอ่ ไปนี้ 1. สารวจปญั หา 2. หาสาเหตุของปญั หา 3. วเิ คราะห์หาวิธีแก้ไขปัญหา 4. ตดั สินใจเลอื กวธิ ีแกป้ ัญหา 5. ลงมอื ปฏิบตั เิ พื่อแก้ปญั หา 6. การประเมินผลการแกป้ ัญหา ฝกึ ทกั ษะกำรคดิ เปน็ “คิดเปน็ ” เร่ืองน้ี นอกจากจะตอ้ งทาความเขา้ ใจกับหลักการและแนวคิดแล้ว การเป็นผู้ที่มีทักษะ การคิดเป็นได้น้ัน ต้องฝึกฝนกระบวนการคิดและฝึกปฏิบัติ โดยใช้เหตุการณ์จริงในชีวิตประจาวัน รวมท้ัง มีการแลกเปลี่ยนความคิด วิธีการพูดคุย ถกเถียงกับเพื่อนฝูง ญาติมิตรด้วยการมีประสบการณ์ ในการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ แล้วเกิดความพอใจและมีความสุข น่ันเท่ากับว่าได้เริ่มต้นเป็นคนคิดเป็นแล้ว เพือ่ ใหเ้ กดิ ผลดแี ก่ตนเอง ผ้ฝู กึ ปฏิบตั คิ วรหมน่ั ฝกึ ปฏิบตั ิตามกระบวนการอยา่ งต่อเนอื่ ง เพ่ือเพิ่มพูนทักษะ ใหม้ ากยิ่งขนึ้ จึงจะแก้ไขปญั หาต่าง ๆ ได้ดีไม่เกดิ ข้อผดิ พลาดบอ่ ย และสามารถคิดไดร้ วดเร็วยง่ิ ขนึ้ โดยสรปุ คือ การสอนแบบคดิ เปน็ ไม่มีการสอนแบบสาเรจ็ รูปว่า อะไรถูก อะไรผดิ ข้ึนอยู่กับบริบท และสิ่งแวดล้อม แต่ละคนจะมีบริบทไม่เหมือนกัน แต่เมื่อนามาถกเถียงกันนามาอภิปรายกัน จะเกิดความรู้แตกฉานยงิ่ ข้ึน คนท่ีคิดเป็น จะเป็นผู้ท่ีรู้จักปรับตนเอง และสภาพแวดล้อมให้เข้ากันได้อย่างดี เป็นคนท่ีอยู่ ในสังคมไดอ้ ยา่ งมีความสุข และมสี มรรถภาพของการเป็นคนคิดเป็น ดงั น้ี 1. สามารถเผชญิ ปญั หาและแก้ปัญหาในชีวิตประจาวันได้อย่างมรี ะบบ 2. สามารถแสวงหาและใชข้ ้อมลู หลาย ๆ ดา้ นในการคดิ แก้ไขปญั หา 3. รู้จักชั่งน้าหนัก คุณค่า และตัดสินใจหาทางเลือก ให้สอดคล้องกับค่านิยมความสามารถ และสถานการณ์ หรอื เง่อื นไขสว่ นตวั และระดับความเป็นไปได้ของทางเลอื กต่าง ๆ

14 5. กำรวิจยั อย่ำงงำ่ ย กำรวิจัย หมายถงึ กระบวนการแสวงหาความรู้อย่างมีประสิทธิภาพ และมีจุดมุ่งหมายท่ีแน่นอน ภายในขอบเขตที่กาหนด โดยใช้วิธีทางวิทยาศาสตร์ เพ่ือให้ได้มาซึ่งความรู้ ความจริงเป็นท่ียอมรับ การวิจัยจึงเป็นเคร่ืองมือในการค้นหาองค์ความรู้หรือข้อค้นพบในการแก้ปัญหา หรือพัฒนางาน หรอื การเรียนได้อย่างเปน็ ระบบ น่าเช่อื ถือ มีความชดั เจน ตรวจสอบได้ การวจิ ัยอย่างง่าย หมายถึง การศึกษา ค้นคว้า เพื่อหาคาตอบของคาถามที่สงสัย หรือหาคาตอบ มาใช้ในการแก้ปัญหา โดยใช้วิธีการ และกระบวนการต่าง ๆ อย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้คาตอบ ท่ีน่าเชอื่ ถอื ควำมสำคัญของกำรวจิ ยั อย่ำงง่ำย 1. ทาใหผ้ ู้วจิ ยั ได้รบั ความรู้ใหม่ ๆ 2. การวิจยั ชว่ ยหาคาตอบท่ีผู้วจิ ยั สงสัย หรอื แกป้ ัญหาของผวู้ ิจยั 3. การวิจัยชว่ ยให้ผวู้ จิ ัยทราบผลการดาเนนิ งาน และข้อบกพรอ่ งระหว่างการดาเนินงาน 4. การวิจยั ช่วยใหผ้ วู้ ิจยั ได้แนวทางพฒั นาการทางาน 5. การวจิ ยั ช่วยให้ผวู้ ิจยั ทางานอย่างมรี ะบบ 6. การวจิ ยั ชว่ ยให้ผวู้ จิ ยั เปน็ คนช่างคดิ ชา่ งสังเกต ประโยชนข์ องกำรวจิ ัยอย่ำงงำ่ ย ประโยชน์ต่อผวู้ จิ ยั 1. เปน็ การพัฒนาความคดิ ให้เปน็ ระบบ คดิ เป็นข้ันตอน ใชก้ ระบวนการที่เปน็ เหตุเปน็ ผล 2. เปน็ การพฒั นากระบวนการสร้างความรอู้ ย่างเปน็ ระบบ 3. ฝกึ ให้ผู้วจิ ยั เป็นคนชา่ งสงั เกต มีทักษะการจดบนั ทึก และสรุปความ ประโยชนต์ ่อชุมชน 1. สมาชิกในชุมชนมีความรู้ เข้าใจสภาพปัญหา และสามารถวิเคราะห์หาวิธีการ แก้ปัญหาได้ อยา่ งเปน็ ระบบ 2. สามารถใชก้ ระบวนการวจิ ยั หรือผลการวจิ ัยมาเป็นแนวทางการพฒั นาคุณภาพชวี ิตในด้านตา่ ง ๆ กระบวนกำรและขน้ั ตอนของกำรวจิ ัยอย่ำงง่ำย ขัน้ ตอนของกำรวจิ ัยอย่ำงง่ำย ข้นั ตอนของการวิจัยอย่างงา่ ย ประกอบดว้ ย 5 ข้ันตอน ดังน้ี 1. ขั้นตอนการระบุปัญหาการวิจัย เป็นขั้นตอนการเลือกเรื่องที่สนใจหรือเป็นปัญหาที่ต้องการ แกไ้ ข มากาหนดเปน็ คาถามการวิจยั 2. ข้ันตอนการเขียนโครงการวิจัย เป็นการเขียนแผนการวิจัย โดยจะต้องเขียนให้ครอบคลุม ในหัวข้อ ดังน้ี 2.1 ชือ่ โครงการวจิ ยั เปน็ การเขยี นบอกวา่ ศึกษาอะไร กบั ใคร อยา่ งไร และทีไ่ หน 2.2 ชื่อผวู้ ิจยั บอกชอ่ื ของผ้ทู าวิจยั

15 2.3 ความเป็นมาและความสาคัญ เป็นการเขียนให้เห็นถึงประเด็นปัญหา และนาไปสู่ วตั ถปุ ระสงค์ของการวิจัย 2.4 วตั ถุประสงค์ของการวจิ ัย เป็นการเขียนในลักษณะที่บ่งบอกว่า ผู้วิจัยต้องการรู้อะไร หรอื จะทาอะไร เพ่ือให้ไดค้ าตอบของการวิจยั โดยมีหลักการเขียนวัตถุประสงคข์ องการวิจยั ดงั นี้ (1) ต้องสอดคลอ้ งกับช่อื เร่ือง ความเป็นมาและสภาพปญั หา (2) ครอบคลุมสง่ิ ท่ีตอ้ งการศกึ ษา (3) เขียนเป็นประโยคบอกเลา่ สั้น กะทัดรัด ได้ใจความ และชัดเจน (4) วิธีการดาเนินการวิจัย เป็นการวางแผนเก่ียวกับวิธีการและกระบวนการ เริ่มตั้งแต่การเก็บข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล รวมไปถึงการนาเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อให้ได้ คาตอบของปญั หา (5 ) ป ฏิทิ น ป ฏิบั ติงา น แ ล ะแ ผ น ก าร ดาเ นิ น งา น เป็ น ก าร เขีย น ระ บุ ว่าการดาเนินการวิจัยคร้ังน้ี จะใช้เวลานานเท่าใด เร่ิมต้นและส้ินสุดเม่ือใด โดยระบุกิจกรรมท่ีทา และสถานท่ที ่ใี ช้ในการวิจยั ใหช้ ัดเจน (6) ประโยชน์ของการวิจัย เป็นการบอกว่า เม่ือได้คาตอบของการวิจัยมาแล้ว จะสามารถนาไปแกป้ ัญหา หรือพฒั นางานไดอ้ ย่างไร 3. ข้ันตอนการดาเนินการวิจัย เป็นการดาเนินการวิ จัยตามแผนท่ีกาหนดไว้ ในโครงการวิจัย ซึ่งจะต้องคานึงถงึ องค์ประกอบ ดงั นี้ 3.1 กลุ่มตวั อยา่ ง เป็นการกาหนดวา่ จะศกึ ษาใคร 3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย เป็นการสร้างเครื่องมือ เพื่อไปเก็บข้อมูลมา วเิ คราะห์ มี 3 ประเภท คอื แบบสงั เกต แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ 3.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล ในส่วนนี้กล่าวถึงขั้นตอนต่าง ๆ ในการเก็บรวบรวม ข้อมูล ต้ังแต่การเก็บข้อมูลด้วยตนเอง หรือส่งทางไปรษณีย์ ตลอดจนการกระทาต่าง ๆ หลังจากเก็บ ขอ้ มูลไดแ้ ลว้ เชน่ การตรวจนบั ให้คะแนน เป็นต้น 3.4 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล จะกล่าวถึงสถิติท่ีใช้วิเคราะห์ข้อมูลมีสถิติ พื้นฐานใดบา้ ง เช่น ค่าเฉลยี่ ร้อยละ 4. ข้ันตอนการรายงานผลการวิเคราะห์ข้อมูล เป็นการกล่าวถึงผลของการวิจัย โดยการวิเคราะห์ตามจุดประสงค์ ให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการวิจัย อาจนาเสนอเป็นข้อความ ตัวเลข ตาราง แผนภูมิ หรือแผนภาพ เพ่ือใหผ้ ู้อ่านเข้าใจมากขึน้ 5. ขั้นตอนการสรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ เป็นการสรุปผลตามวัตถุประสงค์ วา่ ได้ผลการวิจยั ตามวตั ถปุ ระสงค์ทตี่ ้ังไวห้ รอื ไม่ และมขี อ้ เสนอแนะของการวจิ ยั อยา่ งไร กำรเขียนโครงกำรวจิ ัย ควำมสำคัญของโครงกำรวจิ ัย โครงการวิจัย คือ แผนดาเนินการวิจัย ที่เขียนข้ึนก่อนการทาวิจัยจริง เพ่ือใช้เป็นแนวทาง ดาเนินการวิจัยสาหรับผูว้ ิจัย และผูเ้ ก่ียวขอ้ ง ให้เปน็ ไปตามแผนการวจิ ยั ท่กี าหนด

16 องค์ประกอบของโครงกำรวิจัย โดยทั่วไป โครงการวิจยั ประกอบดว้ ยหวั ขอ้ ดังตอ่ ไปน้ี 1. ช่ือเร่ืองการวิจัย การเขียนชื่อเร่ือง ควรส่ือความหมายท่ีชัดเจน อ่านแล้วทราบได้ทันที วา่ เปน็ การวิจัยเก่ยี วกบั ปญั หาอะไร 2. ช่ือผ้วู ิจยั บอกชอ่ื ของผ้ทู าวิจัย 3. ความเป็นมาและความสาคัญ การเขียนความเป็นมาและความสาคัญ เป็นการเขียนระบุ ให้ผ้อู า่ นทราบว่า ทาไมจ่ งึ ต้องทาการวิจัยเรื่องนี้ ควรกล่าวถึงสภาพปัญหาให้ชัดเจน หากปัญหาดังกล่าว ไดแ้ กไ้ ขโดยวิธกี ารวจิ ัยแล้ว จะเกิดประโยชนอ์ ย่างไร 4. วตั ถุประสงคข์ องการวิจัย เป็นการระบุให้ผู้อ่านทราบว่า การวิจัยนี้ผู้วิจัย ต้องการศึกษาอะไร กบั ใคร และจะเกดิ ผลอยา่ งไร 5. วิธีดาเนินการวิจัย เป็นการอธิบาย วิธีการศึกษา หรือวิธีการดาเนินงาน อย่างละเอียด ควรครอบคลุมหวั ขอ้ ดงั ต่อไปน้ี 1) กลุ่มเปา้ หมายที่ต้องการศกึ ษา 2) เครอ่ื งมือท่ใี ช้ในการวิจยั 3) การรวบรวมข้อมลู 4) การวิเคราะหข์ ้อมลู 6. ปฏิทินปฏิบัติงาน เป็นการเขียนขั้นตอนการดาเนินการวิจัยโดยละเอียด และระยะเวลา การดาเนินการแตล่ ะขนั้ ตอน 7. ประโยชน์ท่ีคาดว่าจะได้รับ กล่าวถึง ผลของการวิจัยว่า จะเกิดผลที่เป็นประโยชน์ ในการนาไปใช้แกป้ ญั หา หรือพัฒนางานอย่างไร หมำยเหตุ : ให้นักศึกษาศึกษาเพม่ิ เตมิ จากหนังสอื แบบเรียนรายวิชาทกั ษะการเรยี นรู้ ทร21001

17 ศกึ ษำเพิ่มเตมิ คลปิ วดี โี อ รำยวิชำทกั ษะกำรเรยี นรู้ ทร 21001 ระดับมธั ยมศึกษำตอนตน้ บทที่ 1 กำรเรียนร้ดู ้วยตนเอง ตอนท่ี 1 - กำรเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง ตอนที่ 2 - กำรกำหนดเปำ้ หมำยและกำรวำงแผนกำรเรียนรู้ด้วยตนเอง ตอนท่ี 3 - ทกั ษะพืน้ ฐำนทำงกำรศกึ ษำหำควำมรู้ ทักษะกำรแกป้ ญั หำ และ เทคนคิ ในกำรเรียนรู้ด้วยตนเอง - ปัจจัยที่ทำให้กำรเรียนรูด้ ้วยตนเองประสบควำมสำเรจ็ บทที่ 2 กำรใชแ้ หลง่ เรยี นรู้ ตอนที่ 4 - ควำมหมำย และควำมสำคญั ของแหล่งเรียนรู้ - หอ้ งสมุด : แหล่งเรยี นรู้ ตอนท่ี 5 - แหลง่ เรยี นรสู้ ำคญั ในชมุ ชน บทท่ี 3 กำรจัดกำรควำมรู้ ตอนที่ 6 - ควำมหมำย ควำมสำคญั หลกั กำรกระบวนกำรจดั กำรควำมรู้ ตอนที่ 7 - เครืองมือท่ีเกย่ี วข้องกบั กำรจัดกำรควำมรู้

18 บทที่ 3 กำรจัดกำรควำมรู้ ตอนที่ 8 - ทกั ษะกระบวนกำรจดั กำรควำมรดู้ ้วยกำรรวมกลมุ่ ปฎิบัตกิ ำร บทท่ี 4 กำรคดิ เป็น ตอนท่ี 9 - ควำมเชอ่ื พื้นฐำนทำงกำรศกึ ษำผใู้ หญ่ ตอนที่ 10 - ปรัชญำคิดเปน็ ตอนที่ 11 - ขอ้ มลู ประกอบกำรตดั สินใจในกระบวนกำรของกำรคดิ เปน็ ตอนท่ี 12 - กระบวนกำรคิดกำรแก้ปัญหำอยำ่ งคนคดิ เปน็ - ตวั อย่ำงกำรนำไปปฎิบัตใิ นวิถกี ำรดำเนนิ ชวี ติ จริง บทท่ี 5 กำรวิจัยอยำ่ งง่ำย ตอนท่ี 13 - ควำมหมำยและประโยชน์ของกำรวจิ ัยอย่ำงง่ำย - ขั้นตอนกำรวิจัยอย่ำงง่ำย ตอนท่ี 14 - สถิตงิ ำ่ ย ๆ เพอื่ กำรวิจัย

19 บทท่ี 5 กำรวิจัยอย่ำงงำ่ ย ตอนท่ี 15 - เครื่องมอื วจิ ยั เพ่ือเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล ตอนท่ี 16 - กำรเขยี นโครงกำรวจิ ยั อยำ่ งงำ่ ย

20 แบบทดสอบรำยวชิ ำทกั ษะกำรเรียนรู้ ทร21001 ระดบั มัธยมศึกษำตอนตน้ 1. ขอ้ ใดไม่ใช่ความสาคญั ของการเรยี นรู้ 5. เหตใุ ดจึงต้องมีการทาสญั ญาการเรียนรู้ ด้วยตนเอง ก. เพอื่ ให้นกั ศกึ ษาควบคุมตนเองได้ ก. มรี ะเบียบวนิ ยั ในตนเองสูง ข. เพื่อควบคมุ ความประพฤติของนักศึกษา ข. มเี หตุผลและทางานร่วมกบั ผู้อ่นื ได้ ค. เพอื่ กาหนดให้นักศกึ ษามแี นวทางในการเรียน ค. ทาให้เป็นคนมคี วามคดิ สร้างสรรค์ ง. เพ่อื ควบคมุ คุณภาพของนกั ศึกษาใหม้ ีมาตรฐาน ง. ทาใหผ้ เู้ รยี นมีความตั้งใจและมแี รงใจสูง ตามท่สี งั คมยอมรบั 2. ข้อใดคอื บทบาทขององคค์ วามรูใ้ นการจดั การ 6. “การสือ่ ความหมายของมนุษยโ์ ดยการใช้เสยี ง เรยี นการสอนโดยใหผ้ ู้เรยี นได้เรยี นร้ดู ้วยตนเอง ซ่ึงมีคาพูด น้าเสียง และกรยิ าท่าทางเปน็ เคร่อื ง ก. มีความรับผิดชอบในการเรียนรู้ ถ่ายทอดความรู้ ความคิด และความรูส้ ึกจากผพู้ ดู ข. แนะนาขอ้ มลู ให้ผู้เรียนคดิ วเิ คราะหเ์ อง ไปส่ผู ฟู้ ัง” ขอ้ ความขา้ งตน้ สอดคลอ้ งกบั ข้อใด ค. วางโครงสร้างของโครงการเรียน มากทส่ี ุด ของผู้เรียน ก. การฟงั ง. เลอื กส่งิ ทจี่ ะเรียนจากทางเลอื กต่าง ๆ ข. การพูด ทกี่ าหนด ค. การอ่าน ง. การเขียน 3. ส่งิ ทเี่ ป็นตัวควบคมุ ทีส่ าคญั ทสี่ ุดต่อการเรียนรู้ ดว้ ยตนเอง คอื อะไร 7. “ความสามารถในการจัดการกบั ปญั หาที่เกิดขน้ึ ก. ความเชือ่ ม่ันในตวั เอง ในชีวติ ได้อย่างมีระบบ ไมเ่ กดิ ความเครยี ดทางกาย ข. คามซอื่ สัตยต์ ่อตนเอง และจิตใจ” จากข้อความข้างต้นเป็นการใชท้ กั ษะ ค. ความอยากรู้อยากเหน็ ด้านใด ง. ความรับผิดชอบต่อตนเอง ก. ทักษะการคิด ข. ทักษะการแก้ปญั หา 3. ข้อใดคอื การเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง ค. ทักษะการสงั เกตและการจา ก. น้อยชอบลอกการบ้านเพือ่ น ง. ทักษะการคดิ วิเคราะห์ แยกแยะ ข. นิดทานา้ ส้มปน่ั ตามท่ีครูแนะนา ค. หนอ่ ยชอบดสู ารคดีชีวติ สัตว์โลก 8. ข้อใด ไม่ใช่ บทบาทของผเู้ รียนในการประเมนิ ผล ทางอนิ เทอร์เนต็ ก. มสี ่วนรว่ มในการประเมิน ง. นชุ สอนน้องให้รูจ้ กั วธิ ีสบื ค้นขอ้ มูล ข. ผู้เรียนประเมนิ ผลสมั ฤทธิ์ดว้ ยตนเอง จากอินเทอรเ์ นต็ ค. มีการประเมินผลการเรยี นรู้ด้วยตนเอง ง. ให้เพ่อื นมีสว่ นรว่ มประเมินผลการเรียนของเรา 4. ขอ้ ใดไมใ่ ชอ่ งคป์ ระกอบของการเรยี นรู้ ก. วางแผนการเรยี น ข. วเิ คราะห์ความตอ้ งการ ค. ตรวจสอบและตดิ ตามผล ง. กาหนดจุดมุ่งหมายในการเรยี น

21 9. ขอ้ ใดไมใ่ ชค่ วามเช่ือพน้ื ฐานของการเรียนรู้ 14. ขอ้ ใดอยู่นอกเหนือการให้บริการ ตามสภาพจรงิ ของห้องสมดุ ประชาชน ก. ความเชอื่ เกย่ี วกบั ศาสนา ก. บริการยมื - คืน ข. ความเชอื่ เกย่ี วกับการสอน ข. บรกิ ารสืบคน้ สารสนเทศ ค. ความเชือ่ เก่ยี วกบั การเรยี นรู้ ค. บริการผลิตและจัดจาหน่ายหนังสอื ง. ความเช่ือเกย่ี วกบั การจัดการศกึ ษา ทุกประเภท 10. ขอ้ ใดเปน็ การใชแ้ หลง่ เรยี นรโู้ ดยการเข้าไป ง. บริการใหข้ ้อมูลท่เี ก่ยี วขอ้ งกบั เอกสาร หาความรจู้ ากแหล่งกาเนดิ ของความรู้ การวจิ ัยต่าง ๆ ก. การดูภาพยนตร์ วีดทิ ัศน์ 15. ขอ้ ใดคอื ความหมายของการจดั การความรู้ ข. การสารวจโบราณสถาน โบราณวัตถุ ก. กระบวนการถา่ ยทอดความรู้ ค. การประดิษฐ์คิดคน้ ส่ิงตา่ ง ๆ ข้ึนมาใหม่ ข. กระบวนการเขา้ ถึงความรูแ้ ละนามาปฎบิ ตั ิ ง. การตระหนักและเหน็ คุณคา่ ของแหล่งเรยี นรู้ ค. การเช่ือมโยงความรู้และบรู ณาการความคดิ 11. พพิ ิธภณั ฑ์ เป็นแหล่งเรยี นรู้ประเภทใด ง. กระบวนการจัดการความรู้และ ประสบการณ์ แลว้ นามาแบ่งปันให้เกิด ก. กล่มุ ส่ือ ประโยชน์ ข. กลมุ่ บรกิ ารขอ้ มลู ค. กลุ่มขอ้ มูลทอ้ งถ่นิ 16. ขอ้ ใดไมใ่ ชเ่ ป้าหมายของการจัดการความรู้ ง. กลุม่ ศิลปวัฒนธรรม ก. พัฒนาคน 12. ถา้ นกั ศึกษาต้องการร้เู ก่ียวกับโลกและดวงดาว ข. พฒั นางาน ควรไปใช้บริการแหลง่ เรยี นรู้ใด ค. พฒั นาองคก์ ร ก. ห้องสมดุ ง. พฒั นาประเทศ ข. พิพิธภณั ฑ์ 17. ข้อใดคือหวั ใจของการจัดการความรู้ ค. เมืองโบราณ ก. การจดั การความรู้ที่มีอยูใ่ นตารา ง. ทอ้ งฟ้าจาลอง ข. การจัดการความรทู้ ม่ี อี ยูใ่ นตัวบคุ คล 13. “แหล่งเรยี นรู้ทีร่ วบรวม ศึกษา คน้ คว้า วจิ ยั ค. การจัดการความรทู้ อ่ี ยูร่ อบ ๆ ตัวเรา และจดั แสดงหลักฐานวัตถุสง่ิ ของทสี่ มั พันธ์ ง. ความรูท้ ่ีกระจดั กระจายให้เขา้ ในระบบ กับมนษุ ยแ์ ละส่ิงแวดล้อม” ข้อความขา้ งต้น สมั ฤทธผิ์ ล สอดคล้องกบั ขอ้ ใดมากทส่ี ดุ 18. การยกระดับความรู้สง่ ผลตอ่ เป้าหมาย ก. พพิ ิธภัณฑ์ ของการทางานอย่างไร ข. หอสมดุ แห่งชาติ ก. งานด้อยประสิทธภิ าพ ค. ห้องสมดุ โรงเรียน ข. ไมม่ ีการพัฒนาบุคลากร ง. หอสมุดมหาวทิ ยาลยั ค. องค์กรได้รับการพฒั นา ง. พนกั งานขาดขวัญและกาลังใจ

22 19. ขอ้ ใด ไม่ใช่ ความเชื่อพื้นฐานของการศึกษา 24. ข้อใดคอื ขอ้ มลู เชิงปริมาณ ผใู้ หญ่ ก. ผู้เรียนเป็นคนมีมนษุ ย์สัมพันธ์ดี มนี ้าใจ ก. คนทกุ คนแตกต่างกนั เสยี สละ ข. คนทุกคนตอ้ งการความสขุ ข. ห้องสมุดประชาชนประจาอาเภอมผี ูเ้ ขา้ มา ค. คนทกุ คนตอ้ งการความร่ารวย ศกึ ษาคน้ คว้าวันละ 50 คน ง. คนทุกคนมคี วามต้องการไมเ่ หมอื นกัน ค. ผเู้ รียนชอบการสอนของค์รู้ กศน. ท่ีมาสอน 20. ขอ้ ใดไมใ่ ช่วธิ กี ารแสดงสมรรถนะของการเป็น ทุกวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดอื น คนคดิ เป็น ง. คณุ ภาพผลิตทางการเกษตรของตาบล ก. แก้ปญั หาในชีวิตประจาวนั ไดอ้ ยา่ งมรี ะบบ เขาทรายปนี ี้เป็นทนี่ ่าพอใจมาก ข. สามารถแสวงหาและใชข้ อ้ มูลหลาย ๆ ดา้ น 25. การวจิ ัย หมายถึง อะไร ค. หาหนทางหลกี เลี่ยงทีจ่ ะเผชิญกบั ปัญหาได้ ก. กระบวนการแสวงหาความรู้ ง. รจู้ ักชัง่ น้าหนัก และตดั สินใจหาทางเลือก อย่างมีประสิทธภิ าพ แกไ้ ขปญั หา ข. กระบวนการสรา้ งองค์ความรู้ใหม่ ๆ 21. ข้อใดไมใ่ ชว่ ิธกี ารแก้ไขปญั หาของคนคดิ เปน็ ของนักวิจัย ก. สารวจปญั หา ค. ผลงานการคนคว้าทเ่ี ปน็ ลายลักษณ์อักษร ข. ลงมอื สร้างปญั หา ค. หาสาเหตขุ องปญั หา ของนกั ศกึ ษา ง. ตดั สินใจเลอื กวิธีแก้ปญั หา ง. โครงงาน รายงาน แฟ้มสะสมงานตา่ ง ๆ ของนกั ศกึ ษา 22. “การเก็บรวบรวมความรู้ประเภทตา่ ง ๆ ใหเ้ ปน็ 26. ขอ้ ใดเปน็ ความหมายของการวจิ ัยอย่างง่าย ระเบียบเพือ่ ใหค้ น้ หางา่ ยเมื่อต้องการนาความรู้ ก. การวางแผนงานอย่างเป็นระบบ มาใช้” ข้อความขา้ งตน้ สอดคล้องกบั ข้อใด ข. การคาดเดาคาตอบอยา่ งมีระบบ มากท่สี ุด ค. การศกึ ษาค้นคว้าเรือ่ งท่ีสนใจทไ่ี ม่ ก. การเขา้ ถึงความรู้ สลับซบั ซอ้ น ข. การแบง่ ปนั แลกเปล่ียนเรียนรู้ ง. กระบวนการแสวงหาความรู้อยา่ งมี ค. การจดั การความรใู้ ห้เปน็ ระบบ ประสิทธภิ าพ ง. การประมวลและกลน่ั กรองคว์ ามรู้ 27. การวิจัยทาใหเ้ กดิ ความคดิ อยา่ งเปน็ ระบบได้ 23. ขอ้ มูลที่เกย่ี วกับผรู้ ู้ ภูมิปญั ญา หรอื เทคโนโลยี อยา่ งไร สารสนเทศ เปน็ ขอ้ มลู ด้านใด ก. การวิจัยต้องมีปัจจยั นาเข้า ก. ข้อมลู ตนเอง ข. กระบวนการวิจยั ทาใหค้ าตอบ ข. ข้อมลู วิชาการ ค. การวจิ ัยเปน็ การเชอ่ื มโยงความรู้ ค. ข้อมูลสิง่ แวดล้อม ง. การวจิ ยั ต้องมีผดู้ าเนินการวจิ ยั ที่มี ง. ข้อมูลท้งั 3 ดา้ น ความสามารถสงู

23 28. เครอ่ื งมอื ทใ่ี ช้ในการวิจัยเชิงสารวจควรใช้ 30. สชุ าตติ ้องการทาการศกึ ษาว่า เหตุผลในการ เคร่ืองมอื ประเภทใด ตัดสินใจของพนกั งานโรงเรียนท่ีเลือกมาเรียน ก. แบบสงั เกต หลักสตู ร กศน. ควรต้ังช่ือโครงการวจิ ยั ตาม ข. แบบสอบถาม ขอ้ ใด ค. แบบประเมิน ก. ผลการสารวจและศึกษาเหตผุ ลของ ง. แบบสัมภาษณ์ พนกั งานโรงงานในการศึกษาตอ่ หลักสูตร กศน. 29. ข้นั ตอนใดสาคัญทส่ี ดุ ของการทาวจิ ยั อย่างง่าย ข. ความสมั พนั ธร์ ะหว่างเหตผุ ลกับการ ก. การดาเนินการวิจยั ตดั สินใจ ข. การเผยแพรง่ านวิจยั เลอื กเรียนตอ่ พนักงานโรงงาน ค. การเขียนโครงการวจิ ัย ค. ความตอ้ งการในการพัฒนาคุณภาพชีวิต ง. การกาหนดคาถามวิจยั /ปญั หาวิจยั ของสาวโรงงานด้วยการเรียนต่อหลักสตู ร กศน. ง. การศึกษาปัจจัยท่มี ีผลตอ่ การเลอื กตัดสนิ ใจ เรียนตอ่ หลกั สตู ร กศน.ของกลุ่มพนักงาน โรงงาน

24 สรปุ เน้ือหำรำยวิชำภำษำไทย พท21001 จุดประสงค์กำรเรียนรู้ 1. รู้ และเข้าใจชนิดและหน้าที่ของคา พยางค์ วลี ประโยค และสามารถอ่าน เขียนได้ถูกต้อง ตามหลกั เกณฑข์ องภาษา 2. สามารถใชเ้ คร่ืองหมายวรรคตอน อกั ษรยอ่ คาราชาศัพท์ 3. สามารถวเิ คราะห์ความแตกตา่ งระหว่างภาษาพดู และภาษาเขยี น 4. รแู้ ละเข้าใจสานวน สภุ าษติ คาพงั เพยในการพูด และเขยี น ขอบเขตเนื้อหำ 1. สามารถสะกดคาโดยการออกเสียง และรูปอักษรไทยประสมเป็นคาอ่านและเขียนได้ถูกต้อง ตามหลกั การใช้ภาษา 2. ความหมายของคา พยางค์ วลี ประโยค การสะกดคา 3. การใชเ้ คร่อื งหมายวรรคตอน 4. การใช้สานวน สุภาษิต คาพังเพย หน่วยท่ี 1 กำรฟังกำรดู มำรยำทในกำรฟังและดู การฟัง และการดูเป็นกิจกรรมในการดาเนินชีวิตที่ทุกคนในสังคมมักจะต้องเข้าไปมีส่วนร่วม เกือบทุกวัน การเป็นผู้มีมารยาทในการฟังท่ีดี นอกจากเป็นการสร้างบุคลิกภาพที่ดีให้กับตนเองแล้ว ยังเป็นสิ่งแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้ได้รับการอบรมฝึกฝนมาอย่างดี เป็นผู้มีมารยาทในสังคม การท่ีทุกคน มีมารยาทที่ดีในการฟังและการดู ยังเป็นการสร้างระเบียบในการอยู่ร่วมกันในสังคม ช่วยลดปัญหาการ ขัดแยง้ และชว่ ยเพ่มิ ประสทิ ธภิ าพในการฟังอีกด้วย ผมู้ มี ารยาทในการฟัง และการดคู วรปฏิบัตติ นดงั นี้ 1. เม่ือฟงั อย่เู ฉพาะหน้าผู้ใหญ่ ควรฟังโดยสารวมกริ ิยามารยาท 2. การฟังในที่ประชุม ควรเข้าไปน่ังก่อนผู้พูดเร่ิมพูด โดยน่ังท่ีด้านหน้าให้เต็มเสียก่อน และควร ต้งั ใจฟังจนจบเรือ่ ง 3. ฟังด้วยใบหน้าย้ิมแย้มแจ่มใสเป็นกันเองกับผู้พูด ปรบมือเมื่อมีการแนะนาตัวผู้พูด และเมื่อ ผ้พู ูด พดู จบ 4 .เมือ่ ฟงั ในท่ปี ระชมุ ต้องตง้ั ใจฟัง และจดบันทกึ ขอ้ ความท่สี นใจ หรอื ข้อความท่ีสาคัญ หากมีข้อ สงสยั เกบ็ ไว้ถามเม่อื มีโอกาส และถามดว้ ยกิรยิ าสภุ าพ 5. เม่ือไปดูละคร ภาพยนตร์ หรือฟังดนตรี ไม่ควรสร้างความราคาญให้บุคคลอ่ืน ควรรักษา มารยาทและสารวมกริ ิยา

25 หนว่ ยที่ 2 กำรพดู มำรยำทในกำรพดู การพูดทด่ี ไี ม่วา่ จะเปน็ การพดู ในโอกาสใด ผู้พูดจะต้องคานึงถึงมารยาทในการพูด ซ่ึงจะช่วยสร้าง ความชนื่ ชมจากผู้ฟงั มผี ลใหก้ ารพูดแต่ละครงั้ ประสบความสาเรจ็ ตามวตั ถุประสงคท์ ีต่ ้ังไว้ มารยาทในการ พูดสรุปไดด้ ังนี้ 1. เรอื่ งท่ีพดู นนั้ ควรเป็นเรอ่ื งทที่ ้งั สองฝา่ ยสนใจรว่ มกันหรอื อยู่ในความสนใจของคนทั่วไป 2. พูดให้ตรงประเดน็ จะออกนอกเรอื่ งบา้ งก็เพยี งเล็กน้อย 3. ไม่ถามเรือ่ งส่วนตวั ซง่ึ จะทาให้อีกฝา่ ยหนึ่งรู้สึกอึดอัดใจ หรอื ลาบากใจในการตอบ 4. ต้องคานงึ ถงึ สถานการณ์และโอกาส เช่น ไม่พูดเรื่องเศร้า เรื่องท่ีน่ารังเกียจ ขณะรับประทาน อาหารหรอื งานมงคล 5. สรา้ งบรรยากาศทีด่ ี ยิม้ แยม้ แจ่มใส และสนใจเรื่องทีก่ าลังพดู 6. ไมแ่ สดงกริ ยิ าอนั ไมส่ มควรในขณะท่พี ูด เช่น ล้วง แคะ แกะ เกา สว่ นใดสว่ นหนึง่ ของร่างกาย 7. หลกี เลยี่ งการกล่าวร้าย การนินทาผู้อ่ืน ไมย่ กตนข่มท่าน 8. พูดใหม้ เี สยี งดังพอได้ยนิ ทั่วกนั ไมพ่ ูดตะโกน หรอื เบาจนกลายเปน็ กระซิบกระซาบ 9. พดู ดว้ ยถ้อยคาวาจาทีส่ ภุ าพ 10. พยายามรกั ษาอารมณ์ในขณะพดู ให้เป็นปกติ 11. หากนาคากล่าวหรอื มกี ารอ้างอิงคาพูดของผู้ใดควรระบุนามหรือแหล่งท่ีมาเพ่ือให้เป็นเกียรติ แก่บุคคลท่กี ลา่ วถงึ 12. หากพูดในขณะทีผ่ ู้อื่นกาลงั พูดอยคู่ วรกลา่ วขอโทษ 13. ไม่พูดคุยกันข้ามศรี ษะผู้อืน่ หน่วยท่ี 3 กำรอำ่ น การอา่ นอยา่ งมีมารยาทเปน็ เรือ่ งทจ่ี าเป็นและสาคัญ เพราะการอ่านอย่างมีมารยาทเป็นเรื่องการ ประพฤตปิ ฏบิ ตั อิ ย่างมีวนิ ยั และความรับผดิ ชอบ รวมทั้งการมจี ติ สานึก และแสดงถึงความเจริญทางด้าน จิตใจท่คี วรยึดถือใหเ้ ป็นนิสัย มำรยำททีด่ ีในกำรอ่ำน 1. ไม่ส่งเสียงดังรบกวนผู้อื่น 2. ไมท่ าลายหนังสือ โดยการ ขดู ลบ ขีด ทับ หรือฉีกสว่ นที่ตอ้ งการ 3. เมือ่ คัดลอกเนอื้ หาเพ่ืออ้างอิงในข้อเขียนของตน ต้องอ้างอิงแหล่งที่มาให้ถูกต้องตามหลักการ เขียนอา้ งอิงโดยเฉพาะงานเขยี นเชิงวชิ าการ 4. เมือ่ อ่านหนังสือเสรจ็ แลว้ ควรเกบ็ หนังสือไว้ทเ่ี ดิม 5. ไม่ควรอ่านเร่อื งสว่ นตวั ของผู้อื่น 6. อา่ นอยา่ งตั้งใจ และมสี มาธิ รวมทง้ั ไมท่ าลายสมาธผิ ้อู นื่ 7. ไมใ่ ชส้ ถานที่อ่านหนงั สอื ทากจิ กรรมอย่างอน่ื เช่น นอนหลับ รับประทานอาหาร

26 หน่วยท่ี 4 กำรเขียน การเขียนเพ่ือส่ือความหมายให้ผู้อ่ืนเข้าใจตามต้องการนั้น มีความจาเป็นต้องระมัดระวังให้มาก เก่ยี วกบั การใชภ้ าษา ควรใช้ถอ้ ยคาท่ีคนอา่ น อา่ นแล้วเขา้ ใจทนั ที เขียนด้วยลายมือท่ีชัดเจนอ่านง่ายเป็น ระเบียบและผู้เขียนจะต้องใช้ภาษาให้ถูกต้องตามหลักการเขียน ใช้คาท่ีเหมาะสม กับกาลเทศะ และ บุคคลด้วย จึงจะถอื ว่าผูเ้ ขยี นมีหลักการใชภ้ าษาได้ดี มีประสทิ ธภิ าพ กำรเขียนมหี ลกั ท่คี วรปฏิบตั ิดังต่อไปน้ี 1. เขียนใหช้ ดั เจน อา่ นง่าย เป็นระเบียบ 2. เขียนใหถ้ กู ตอ้ ง ตรงตามตัวสะกด การนั ต์ วรรณยุกต์ 3. ใชถ้ อ้ ยคาทสี่ ภุ าพ เหมาะสมกบั กาลเทศะ และบุคคล 4. ใชภ้ าษาที่เข้าใจง่าย ภาษาทสี่ ภุ าพ กระทัดรดั ส่ือความหมายเขา้ ใจได้ดี 5. ใช้ภาษาเขยี นที่ดี ไม่ควรใชภ้ าษาพดู ภาษาโฆษณา หรือภาษาทไ่ี ม่ไดม้ าตรฐาน 6. ควรใชเ้ ครอ่ื งหมายวรรคตอนใหถ้ ูกตอ้ ง เชน่ เว้นวรรค ย่อหนา้ ฯลฯ 7. เขียนใหส้ ะอาด หนว่ ยท่ี 5 หลักกำรใช้ภำษำ กำรใช้ภำษำทีเ่ ป็นทำงกำรและไม่เป็นทำงกำร 1. ภำษำที่เป็นทำงกำร ภาษาทีเ่ ปน็ ทางการ หมายถงึ ภาษาท่ีใช้อยา่ งเปน็ ทางการ มีลักษณะเป็นแบบพิธี ถูกต้อง ตามแบบแผนของภาษาเขียน มีทั้งเสียงเคร่งขรึม จริงจัง อาจเรียกว่าภาษาแบบแผนก็ได้ ภาษาทางการ มักใช้ในการเขียนหนังสือราชการ การกล่าวรายงาน คากล่าวเปิดงาน การแสดงสุนทรพจน์ การเขียน ตาราวิชาการ และการบนั ทึกรายงานการประชมุ เป็นต้น 2. ภำษำไมเ่ ปน็ ทำงกำร ภาษาไมเ่ ปน็ ทางการ หมายถึง ภาษาท่ีใชถ้ อ้ ยคางา่ ย ๆ น้าเสียงเป็นกันเอง ไม่เคร่งเครียด แสดงความใกลช้ ดิ สนิทสนมระหวา่ งผูส้ ่งสารและผรู้ บั สาร อาจเรียกว่าภาษาปากก็ได้ ภาษาไม่เป็นทางการ อาจจาแนกเป็นภาษากลุ่มย่อย ๆ ได้อีกหลายกลุ่ม เช่น ภาษาถ่ิน ภาษาแสลง ภาษาตลาด ฯลฯ ใช้ในการสนทนาระหว่างสมาชิกในครอบครัว คนสนิทคุ้นเคย ใช้เขียน บันทึกส่วนตวั และงานเขียนที่ตอ้ งการแสดงความเป็นกนั เองกับผูอ้ ่าน เปน็ ต้น สาหรับการเลือกใช้ภาษาแบบเป็นทางการ และไม่เป็นทางการจะต้องพิจารณา ใหเ้ หมาะสมกับองค์ประกอบต่าง ๆ ดงั นี้ 2.1 วตั ถุประสงค์ จะต้องพิจารณาวา่ งานเขียนนั้นนาไปใช้เพือ่ อะไร 2.2 สถานการณ์ตา่ ง ๆ ที่แตกตา่ งกนั ผู้เขยี นจะใช้ระดับภาษาท่ีต่างกัน เชน่ เชิญเพอ่ื น “เชญิ ทานอาหารไดแ้ ล้ว” เชิญผใู้ หญ่ “ขอเชญิ รบั ประทานไดแ้ ล้วครบั ”

27 หน่วยที่ 6 วรรณคดี และวรรณกรรม วรรณคดี ใช้ในความหมายว่า วรรณกรรมหรือหนังสือที่ได้รับการยกย่องว่าแต่งดีมีวรรณกรรม วรรณศิลป์ กลา่ วคอื มีลักษณะเด่นในการใชถ้ อ้ ยคาภาษา และเด่นในการประพันธ์ ให้คุณค่าทางอารมณ์ และความรูส้ ึกแก่ผอู้ า่ น สามารถใชเ้ ปน็ แบบฉบบั อ้างอิงได้ หนังสอื ท่ีเปน็ วรรณคดี สำมำรถบ่งบอกลักษณะได้ ดงั นี้ 1. มีเนือ้ หาดี มีประโยชน์ และเปน็ สุภาษติ 2. มีศิลปะการแตง่ ท่ียอดเย่ียมท้ังด้านศิลปะการใช้คา การใชโ้ วหารและถกู ต้องตามหลกั ไวยากรณ์ 3. เป็นหนังสอื ท่ไี ด้รับความนิยมและสบื ทอดกันมายาวนานกว่า 100 ปี วรรณกรรม ใช้ในความหมายว่า งานหนงั สือ งานนิพนธท์ ีท่ าขึน้ ทุกชนิด ไม่ว่าแสดงออกมาโดยวิธี หรือในรูปอย่างใด เช่น หนังสือ จุลสาร สิ่งเขียน ส่ิงพิมพ์ ปาฐกถา เทศนา คาปราศรัยสุนทรพจน์ สง่ิ บนั ทึก เสียง ภาพ เปน็ ต้น วรรณกรรม แบ่งออกเปน็ 2 ประเภท 1. สารคดี หมายถึง หนังสือท่ีแต่งข้ึนเพ่ือให้ความรู้ ความคิด ประสบการณ์แก่ผู้อ่าน ซึ่งอาจใช้ รูปแบบร้อยแก้วหรือรอ้ ยกรองก็ได้ 2. บันเทิงคดี คือ วรรณกรรมท่ีแต่งขึ้นเพื่อมุ่งให้ความเพลิดเพลิน สนุกสนาน บันเทิงแก่ผู้อ่าน จึงมักเปน็ เร่อื งทีม่ ีเหตกุ ารณ์ และตวั ละคร หนว่ ยท่ี 7 ภำษำไทยกับช่องทำงกำรประกอบอำชพี ในปัจจุบันมีอาชีพมากมายที่คนรุ่นก่อน ๆ อาจมองข้ามความสาคัญไป แต่กลับเป็นอาชีพท่ีทา รายไดอ้ ย่างงามแก่ผ้ปู ระกอบอาชีพน้ัน และกลายเปน็ อาชีพทเี่ ป็นทีน่ ยิ มของคนไทยในปัจจุบัน เป็นอาชีพ ท่ใี ช้ภาษาไทยเป็นพื้นฐาน โดยเฉพาะใช้ทักษะการพดู และการเขียนเป็นพืน้ ฐาน ดงั น้ี 1. อาชีพที่ใช้ทักษะการพูดเป็นช่องทางในการประกอบอาชีพ การพดู เปน็ ทักษะสาคัญอีกทักษะหนงึ่ ที่ตอ้ งอาศัยวรรณศลิ ป์ คือ ศิลปะการใช้ภาษาท่ีจะสามารถ โน้มน้าวใจ ก่อให้เกิดความน่าเช่ือถือ เห็นคล้อยตาม สร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างผู้พูด และผู้ฟัง หรือ ผู้ฟังต่อส่วนรวม หรือโน้มน้าวใจให้ใช้บริการหรือซื้อส่ิงอุปโภคบริโภคในทางธุรกิจได้ การพูดจึงเป็น ช่องทางนาไปสู่อาชีพตา่ ง ๆ ไดด้ ังน้ี 1.1 อาชพี นกั โฆษณาประชาสัมพันธ์ 1.2 อาชีพนกั จดั รายการวิทยุ 1.3 อาชพี พธิ ีกร 2. อาชพี ท่ใี ชท้ กั ษะการเขยี นเป็นชอ่ งทางในการประกอบอาชพี การเขียนเป็นทักษะสาคัญอีกทักษะหน่ึงท่ีเป็นช่องทางในการนาภาษาไทยไปใช้ประโยชน์ ในการประกอบอาชีพต่าง ๆ ได้ การจะใช้ภาษาเขียนเพื่อประโยชน์ในการประกอบอาชีพก็เช่นเดียวกับ การพูด คือ ต้องมีวรรณศิลป์ของภาษา เพ่ือให้ส่ิงที่เขียนสามารถดึงดูดความสนใจดึงอารมณ์ความรู้สึก รว่ มของผ้อู า่ นโน้มน้าวใจให้ผอู้ า่ นเหน็ คล้อยตาม และเพื่อสร้างความบันเทิงใจ รวมท้ังสร้างความรู้ ความ

28 เข้าใจแก่ผู้อ่าน ตลอดถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของส่วนรวม อาชีพที่สามารถนาทักษะการเขียน ภาษาไทยไปใชเ้ พื่อประกอบอาชพี ได้โดยตรง ไดแ้ ก่ อาชีพดังต่อไปนี้ 2.1 อาชีพด้านสือ่ สารมวลชนทกุ รูปแบบ ท้งั ในวงราชการ เอกชน และวงการธุรกิจ ได้แก่ อาชพี ผูส้ อ่ื ข่าว อาชพี ผู้เขียนข่าว อาชพี ผู้พิสจู น์อกั ษร และบรรณาธกิ าร 2.2 อาชีพด้านการสร้างสรรค์งานศิลปะรูปแบบต่าง ๆ ทั้งในวงราชการ เอกชน และ วงการธุรกจิ ไดแ้ ก่ อาชีพกวี นกั เขียน นอกเหนือจากอาชีพที่ใช้ภาษาไทยเป็นช่องทางในการประกอบอาชีพโดยตรงแล้ว ยังมีการ ประกอบอาชพี อน่ื ๆ อกี ทใ่ี ช้ภาษาไทยเป็นชอ่ งทางโดยอ้อม เพื่อนาไปสู่ความสาเร็จในอาชีพของตนเอง เช่น อาชีพล่าม, มคั คุเทศก์ เลขานุการ นกั แปล นกั ฝึกอบรม ครู อาจารย์ เป็นตน้ หมำยเหตุ : ให้นกั ศกึ ษาไดศ้ ึกษาเพ่มิ เตมิ จากหนังสือแบบเรียนรายวชิ าภาษาไทย พท21001 หนังสอื เรยี น วิชาภาษาไทย พท 21001 คลิปบรรยายเนือ้ หา 1 วชิ าภาษาไทย พท 21001 คลิปบรรยายเนอื้ หา 2 วชิ าภาษาไทย พท 21001

29 แบบทดสอบรำยวชิ ำภำษำไทย พท21001 จงเลือกคำตอบทีถ่ กู ตอ้ งท่สี ุดเพียงคำตอบเดยี ว 1. ขอ้ ใดเปน็ การพูดเพื่อแสดงความเป็นเหตุเปน็ ผล 5. สิง่ ทสี่ าคัญท่ีสุดของการพดู ในโอกาสต่างๆ กัน ตอ้ งคานงึ ถึงมากท่ีสดุ คือข้อใด ก. วนั นร้ี อ้ นมากสงสัยฝนจะตก ก. ผูฟ้ ัง ข. วันนี้ฝนตกฉันจงึ ต้องกางร่มไปทางาน ข. โอกาสที่จะพดู ค. อาหารเย็นวันนข้ี องฉนั คอื กว๋ ยเตี๋ยวผัด ค. เนอื้ หาที่จะพดู ง. วันนฉ้ี นั กาลังจะไปตรวจหาเชอื้ โควิด 2019 ง. มารยาทในการพดู 2. บคุ คลในข้อใดมีมารยาทการฟังและการดูมาก 6. ? เครอ่ื งหมายวรรคตอนน้ีคอื ข้อใด ที่สุด ก. จลุ ภาค ก. นกดลู ะครเวทีแล้วหัวเราะดีใจทุกครงั้ ข. ปรัศนี ข. นา้ ดหู นังตลกเสยี งดังล่นั ข้างบา้ น ค. นขลิขิต ค. หนอ่ ยดสู ารคดที กุ เย็นวันศุกรก์ ับครอบครวั ง. สัญประกาศ ง. นิดดลู ะครหลังข่าวพร้อมกับวจิ ารณ์ตวั ละคร ให้ เพ่ือนฟัง 7. ถา้ นักศึกษาเขียนจดหมายถึงนายกรัฐมนตรี ตอ้ งใชค้ าขึ้นต้นและลงท้ายว่าอยา่ งไร 3. การดูแล้วสามารถเล่าเรอ่ื งได้แสดงว่าผดู้ ูปฏิบตั ิ ก. เรยี น - ขอแสดงความนบั ถอื ในข้อใด ข. กราบเรียน - ขอแสดงความนบั ถอื อย่างสงู ก. ดดู ว้ ยความซาบซึ้ง ค. กราบสวัสดี - ขอแสดงความนบั ถืออยา่ งยง่ิ ข. ดูดว้ ยความผอ่ นคลาย ง. เรยี นสวัสดี - ขอแสดงความนับถอื อยา่ งยิง่ ค. ดดู ้วยความสนุกสนาน สูง ง. ดูตลอดเร่อื งอย่างมีสมาธิ 4. การต้งั จุดมุ่งหมายในการฟังที่มีประโยชน์เด่นชัด 8. หนงั สือเรื่องใดควรเขยี นมาจากจนิ ตนาการ ทสี่ ดุ คอื ข้อใด ก. ตะวันขึ้นทอี่ า่ วพงั งา ก. ประหยัดเวลา ข. ได้เนือ้ หาสาระมากกวา่ ข. สมเด็จพระปยิ มหาราช ค. ทาให้เกิดความตั้งใจมากข้ึน ค. พิพิธภัณฑเ์ จ้าพระยาบดนิ ทรเดชา ง. ได้เน้ือหาตรงตามวัตถปุ ระสงค์ ง. ประเทศไทยนวมเลือดเนอ้ื ชาติเชื้อไทย

30 9. “โวหาร หมายถงึ ชัน้ เชิง สานวน หรอื 13. โวหารทกี่ ล่าวถงึ ความงามของธรรมชาติ สถานที่ ท่วงทานองการแต่งหนังสือใหผ้ ้อู ่านเขา้ ใจมี หรอื ความรู้สึกนึกคดิ อย่างละเอียด เพือ่ ให้ผู้อา่ น ความรู้สึกคลอ้ ยตามจดุ มุง่ หมายของผู้เขียน” ซาบซ้งึ หรอื เกดิ อารมณ์ความรู้สกึ คล้อยตามคอื ขอ้ จากข้อความขา้ งต้น ผู้เขยี นมจี ุดประสงค์ ใด อย่างไร ก. สาธกโวหาร ก. อธบิ าย ข. อปุ มาโวหาร ข. นาเสนอ ค. บรรยายโวหาร ค. ตักเตือน ง. พรรณนาโวหาร ง. เชญิ ชวน 14. ใชช้ ีวติ เรียบงา่ ยแตพ่ อดี ไมว่ ุน่ วายใชจ้ า่ ยแต่พอ 10. สมศักด์มิ คี วามสามารถในการพดู แบสร้างสรรค์ งาม……………………………… ดว้ ยวถิ ีคานี้คอื พอเพียง และมีประสบการณ์ในงานเขียนสมศักด์ิเหมาะ ควรเติมคาในชอ่ งว่าง จงึ จะถูกฉันทลกั ษณ์และมี กับอาชพี ในข้อใดดังตอ่ ไปนี้ ใจความทเ่ี หมาะสม ก. บรกิ ร ก. รูจ้ ักทาร้จู ักใช้ใหอ้ ว้ นทว้ น ข. ผ้สู ่อื ขา่ ว ข. ทางานบ้างเลน่ บ้างสนุกดี ค. บรรณารักษ์ ค. ยามออมใช้สอยรูใ้ ห้เข้าที ง. นักโฆษณาประชาสมั พนั ธ์ ง. อยูบ่ ้านนอกกส็ บายทัง้ กายใจ 11. คาในขอ้ ใดมีพยางค์เท่ากบั คาว่า “กรกฎาคม” 15. ดวงจนั ทร์โบกมอื ลาฉันอย่างรีบร้อน ในขณะท่ี ทงั้ 2 คา พระอาทติ ยย์ ิ้มเดนิ มาทักทายอย่างฉนั อยา่ งสดช่ืน ก. กมุ ภาพันธ์ มิถนุ ายน ขอ้ ความนใ้ี ชภ้ าพพจน์โวหารแบบใด ข. พฤษภาคม นักศกึ ษาผู้ใหญ่ ก. อปุ มา ค. มิถุนายน สหกรณก์ ารเกษตร ข. อธิพจน์ ง. พฤศจกิ ายน ประจวบครี ขี นั ธ์ ค. บุคลาธิษฐาน 12. ข้อใดเปน็ ประโยคความเดียว ง. สัทพจน์โวหาร ก. นายแดงไถนา ข. เธอจะขึ้นเหนือหรือลงใต้ 16. ข้อใดใชส้ รรพนามได้เหมาะสมทสี่ ุด ค. พชี่ อบร้อง น้องชอบเต้น ก. นายกรัฐมนตรอี อกตรวจพืน้ ที่ ง. พ่อไปทางานแต่เชา้ ทบี่ รษิ ัท ข. นายกรฐั มนตรที า่ นกาลังประชมุ ค. นายกรัฐมนตรเี ขาไม่อยู่ไปราชการ ง. นายกรฐั มนตรกี าลงั ให้การชว่ ยเหลอื ประชาชน

31 17. ขอ้ ใด ไม่ใช่ ประโยชนข์ องการศึกษาเรอื่ งการ 19. “แม่น้า” มคี วามหมายตรงกบั ข้อใด ใชเ้ ครื่องหมายวรรคตอน ก. นภา ชลาลยั วารี ก. การสื่อสารถกู ต้องชัดเจน ข. คงคา สิงขร นาที ข. การสอื่ สารมปี ระสิทธภิ าพ ค. สินธุ์ ชลที สาคร ค. เขยี นหนังสอื อ้างอิงไดถ้ ูกต้อง ง. ชโลทร ทิฆัมพร มาลา ง. ใชภ้ าษาเขยี นไดส้ ละสลวยขึน้ 20. อธิป + บดี รวมกนั เปน็ คาสนธไิ ด้อยา่ งไร 18. พฤตกิ รรมใดทไ่ี ม่ควรทาในการใช้บริการของ ก. อธิปดี หอ้ งสมุดประชาชน ข. อธิบดี ก. อ่านหนังสอื ท่ชี อบหลายๆ รอบทย่ี ืมมาจาก ค. บดีธิป หอ้ งสมดุ ประชาชน ง. ธิปบดี ข. ใชป้ ากกาขดี เสน้ ใต้ใจความสาคัญหนังสอื ท่ี ยืมหอ้ งสมดุ ประชาชน ค. จดบนั ทึกขอ้ ความที่ประทับใจในสมดุ ท่ียืม มาจากหอ้ งสมุดประชาชน ง. ถกู ทกุ ข้อ

32 สรปุ เนอ้ื หำรำยวชิ ำภำษำองั กฤษในชีวิตประจำวัน พต 21001 จุดประสงคก์ ำรเรียนรู้ 1. มคี วามรู้ และเข้าใจลักษณะของประโยคในภาษาอังกฤษ ประโยคบอกเล่า/ประโยคคาถาม /ประโยคปฏิเสธ/ประโยคอุทาน 2. ใช้ภาษาองั กฤษในการส่อื สารสาหรบั การฟัง พูด อา่ น เขยี นได้ ขอบเขตเน้ือหำ ศกึ ษาและฝึกทกั ษะเก่ียวกบั เรือ่ งตอ่ ไปน้ี ประโยคบอกเล่า/ประโยคคาถาม/ประโยคปฏิเสธ/ประโยคอุทาน หนว่ ยท่ี 1 กำรใช้ภำษำในกำรสอ่ื สำรควำมหมำยในชวี ิตประจำวัน 1 (Language in Daily Life) เร่ืองท่ี 1 กำรทกั ทำยและกำรกลำ่ วลำ (Greeting and Leave Taking) ตามปกตใิ นชีวิตประจาวัน เมือ่ เราพบผูค้ นในที่ตา่ ง ๆ เราจะตอ้ งมกี ารทักทาย และกล่าวลากันให้ เหมาะสมตามโอกาส ในภาษาอังกฤษมีวิธีการทักทาย (Greeting) และกล่าวลา (Leave taking) กัน อย่างไร 1. กำรทักทำย (Greeting) ถ้าเป็นคนที่คุ้นเคยและสนิทสนมกัน มักจะใช้คาว่า Hello หรือ Hi ซึ่งแปลว่า สวัสดี แต่การทักทายอย่างเป็นทางการสาหรับผู้ไม่คุ้นเคยกันหรืออยู่ในสถานภาพที่แตกต่าง กัน เช่น เจ้านายกับลูกน้อง ครูกับลูกศิษย์ จะใช้คาว่า Good morning. (สวัสดีตอนเช้า) Good afternoon. (สวัสดีตอนกลางวัน) และ Good evening. (สวัสดีตอนเย็น) ต่อด้วยคาทักทายว่า How are you? (คุณสบายดหี รือ) ซงึ่ ค่สู นทนาก็จะตอบและถามกลับในทานองเดียวกนั เชน่ Sandee: Hi, Lisa. How are you? Lisa: Fine, thanks. And you? Sandee: Very well, thank you. สาหรับช่วงเวลาของการกลา่ วคาทักทายในภาษาองั กฤษ แบง่ ออกไดเ้ ป็น 3 ชว่ งดังนี้ Good morning. ใช้คาทักทายในตอนเชา้ ตั้งแต่เวลา 06.00 น. ถงึ ตอน 12.00 น. (เท่ยี งวนั ) Good afternoon. ใช้คาทักทายในตอนหลงั เที่ยงวัน ตง้ั แต่เวลา 13.00 น. ถงึ ก่อนพระอาทติ ยต์ ก

33 Good evening. ใชค้ าทักทาย หลังเวลา 17.00 น. หรือหลังดวงอาทติ ยต์ ก เปน็ ต้นไป สานวนที่ใช้สอบถามทุกข์สุขว่าเป็นอย่างไรบ้างเมื่อพบกันในภาษาอังกฤษนิยมใช้หลายสานวนด้วยกัน เชน่ How are you? How are you today? สบายดไี หม/ เปน็ อย่างไรบ้าง How are you doing? How have you been? สบายดีไหม/เป็นอย่างไรบา้ ง (ใชใ้ นกรณที ีไ่ มไ่ ดพ้ บเจอกันเปน็ เวลานาน) สานวน How are you? ใชท้ ักทายอยา่ งเป็นทางการ สว่ นสานวนอ่นื ๆ ใช้ทักทายอย่างไม่เปน็ ทางการ สานวนที่ใช้ตอบรบั ถงึ การสอบถามทุกข์สุขว่าเป็นอยา่ งไรเม่ือพบกนั เช่น สบายดี, ขอบคุณ แล้วคณุ ล่ะ สบายดมี าก, ขอบคณุ แลว้ คณุ สบายดีมาก, ขอบคุณ แล้วคุณ กเ็ ร่อื ย ๆ นะ สบายดีนะ, ขอบคณุ แลว้ คณุ ล่ะ ไม่สบายนกั , เป็นหวดั แล้วคณุ ละ่ 2. กำรกล่ำวลำ (Leave Taking) โดยปกติ ก่อนจะจบส้ินการสนทนาตามมารยาทและ ธรรมเนียมปฏบิ ตั ิของคนทัว่ โลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศใดก็ตาม ส่ิงสาคัญประการหนึ่งท่ีไม่สามารถละเลย ได้ คือ การกล่าวลา (Leave Taking) โดยทั่วไป สานวนท่ีใช้ในการกล่าวลา ได้แก่ Goodbye, Bye แปลว่า ลาก่อนนอกจากน้ียังมีสานวนท่ีใช้ในการกล่าวลาอ่ืน ๆ อีก ซ่ึงจะใช้ตามสถานการณ์ต่าง ๆ ท่ี เกดิ ข้ึน เชน่ แล้วเจอกันใหม่ แล้วพบกันใหม่ ลาที (คนสนิท) แลว้ ค่อยพบกนั ใหม่ กล่าวลาตอนกลางวัน กล่าวลาตอนกลางคืน

34 Conversation 1: David: Hello, Oliver. Oliver: Hello, David. How are you? David: Fine, thanks. And you? Oliver: Very well, thanks. Where's Malee? David: She goes to the hospital. Oliver: What's happened? David: She accompanies her mother to see the doctor. Oliver: Please tell her, I miss her. I've to go to now. Goodbye. David: See you later. สานวน See you later. ใชใ้ นกรณที ี่ไม่ไดร้ ะบเุ วลา ในกรณีท่ีผู้สนทนาต้องการกล่าวลา โดยการ ระบเุ วลาทจ่ี ะพบกันอกี ครั้งหนึง่ แนน่ อน ให้ใชส้ านวน ดงั น้ี แลว้ พบกนั วนั พรุ่งน้ี ไวพ้ บกันปหี นา้ แล้วพบกนั วนั อาทิตย์ เร่อื งที่ 2 กำรแนะนำตนเองและผู้อ่ืน (Introducing Yourself and Others) การแนะนาตนเอง (Introducing Yourself) ในการแนะนาตนเองใหผ้ อู้ น่ื รู้จัก จะเร่ิมต้นด้วย การกล่าวทักทายและแนะนาตนเองดว้ ยสานวนต่าง ๆ ดังน้ี Hello. My name is (ชือ่ ของผู้พูด) (สาหรับผู้ท่อี ยู่ในสถานะเดยี วกนั เชน่ เป็นนกั ศกึ ษาด้วยกัน เป็นตน้ ) Hi. I'm (ชอ่ื ของผู้พดู ) (สาหรับผู้ทีอ่ ยูใ่ นวัยเดยี วกนั ) Good morning. My name is (ช่ือของผู้พูด) สวัสดีฉนั /ผม/ดฉิ ันชอื่ ____ Good morning. I'm (ช่อื ของผู้พูด) (สาหรับการพดู คยุ อยา่ งเปน็ ทางการ) เมือ่ กล่าวแนะนาตวั แล้ว คู่สนทนาจะตอบว่า It's nice to meet you. Nice to meet you. ยินดีที่ได้ร้จู ักคณุ I'm glad to meet you. I'm glad to see you. Conversation 1 Laura: Hi. I'm Laura. What's your name? Jenifer: Hi. My name is Jenifer. Laura: Nice to meet you. Jenifer: Nice to meet you, too.

35 Conversation 2 Somchai: Hello. I'm Somchai, my nickname is Chai. Mana: Hello. My name is Mana and my nickname is Na. Somchai: I'm glad to meet you. Mana: I'm glad to meet you, too. กำรแนะนำผู้อ่ืน (Introducing Others) ในสภาพความเป็นจริงของสังคม การพบปะสังสรรค์ ระหวา่ งกลมุ่ เพอ่ื นหรอื บุคคลทที่ างานในที่เดยี วกนั ตอ้ งเกดิ ขนึ้ อยู่ตลอดเวลาการแนะนา บุคคลอ่ืนให้รู้จัก กัน จงึ เป็นเร่ืองปกติที่เกิดขึ้นอยู่เสมอในสังคมของชาวตะวันตกและถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ว่าหากจะ พดู คุยระหว่างบุคคลทไ่ี ม่รู้จกั จะตอ้ งไดร้ บั การแนะนาให้ร้จู กั เสียก่อน ยกตวั อย่าง เช่น สุดาตอ้ งการแนะนาใหม้ าลีรจู้ ักกบั สวุ ฒั น์ สดุ าต้องกล่าวแนะนาดังน้ี Suda: Malee, this is Suwat. Suwat, this is Malee. (มาลีนีค่ อื คุณสุวัฒน์ คณุ สุวฒั น์น่คี ือคุณมาลี) หน่วยท่ี 2 กำรพดู โทรศัพท์ (Telephone Conversation) ในชีวิตประจาวันของเราน้ัน โทรศัพท์นับว่าเป็นเคร่ืองมืออานวยความสะดวกท่ีสาคัญอย่างยิ่ง เพราะนอกจากจะใช้ในการติดต่อสอื่ สารไดอ้ ยา่ งฉบั ไวแล้ว ยังจะช่วยประหยดั ค่าใชจ้ า่ ยในการเดินทางอีก ด้วย อย่างไรก็ตาม โทรศัพท์ไม่ว่าเป็นชนิดติดตั้งในตัวอาคารหรือโทรศัพท์เคลื่อนท่ีติดรถยนต์ (Mobile Telephone) หรือโทรศัพท์มือถือ (Portable / Handheld telephone) ต่างก็ใช้ภาษา สนทนาอย่างเดยี วกัน ตามปกตเิ มอ่ื มเี สียงโทรศพั ท์ดังขน้ึ เราควรรีบรบั แลว้ ทักทายดว้ ยประโยคเหล่าน้ี 1. Hello! Good morning / afternoon / evening. This is ………….. company. May I help you? สวัสดีครบั (ตอนเช้า / ตอนบา่ ย / ตอนเย็น ) นคี่ ือบริษัท ....................ผมช่วยอะไรคณุ ได้บา้ งครบั ? 2. Hello! Wichai speaking. What can I do for you? สวัสดคี รบั วิชัยกาลังพูดครับ ผมช่วยอะไรคุณไดบ้ า้ งครบั ? 3. Hello, this is Wichai Saendee speaking. สวสั ดคี รับ น่ีวิชยั แสนดี กาลงั พูดครับ 4. Hello, this is 3735135. May I help you? สวสั ดคี รับ น้ี 3735135 ผมชว่ ยอะไรคุณไดบ้ า้ งครับ 5. This is Doctor Thongchai’s residence. What can I do for you? ที่นีบ่ า้ นพักคุณหมอธงไชย มอี ะไรใหช้ ่วยไหมครบั หลงั จากทีเ่ ราทราบแล้ววา่ ผ้ทู ีร่ ับโทรศัพท์น้นั เปน็ ใคร เราซึ่งเป็นผู้โทรก็จะต้องแนะนาตัวเองบ้าง พร้อมท้งั ชแ้ี จงจดุ ประสงค์ทโ่ี ทรมาดว้ ย เชน่ 1. This is Roger Aslin. May I speak to Mr. Thanapol Chadchaidee? นผ่ี มโรเจอร์ แอสลิน ขอคุยกบั คุณธนพล จาดใจดี หน่อยได้ไหมครบั 2. This is Roger Aslin. Is Mr. Thanapol there? นี่ผมโรเจอร์ แอสลนิ ครบั คณุ ธนพลอย่ทู ่นี ัน่ หรือเปลา่ ครบั 3. I’m Peter Thomson. Could I speak to Mr. Thanapol, please? ผมชื่อปีเตอร์ ทอมสนั ครบั ผมขอพดู กบั คณุ ธนพล หน่อยไดไ้ หมครับ

36 4. I’m calling from the board of Investment and I like to speak to Mr. Somsak of TYK Company. Would you get him on the phone, please? ผมโทรจากคณะกรรมการสง่ เสรมิ การลงทนุ และผมอยากจะพูดคยุ กับคณุ สมศกั ด์ิ ทอ่ี ยูบ่ ริษทั ทวี ายเค คุณชว่ ยตามเขามารบั สายหน่อยได้ไหมครบั 5. Can I speak to Mr. Decha, please? ผมขอพูดกบั คณุ เดชา หน่อยไดไ้ หมครับ ในกรณีท่เี บอร์โทรศัพท์น้นั ไมใ่ ช่สายตรง หรือที่เรียกว่า “Direct line” จาเป็นต้องผ่านพนักงาน ตอบรบั โทรศพั ท์ (Operator) และเราไมท่ ราบเบอรต์ ิดตอ่ ภายใน จงึ ต้องขอให้เขาตอ่ สายให้ โดยพดู ว่า 1. Extension 124 please. ชว่ ยกรุณาติดต่อ 124 หนอ่ ยครับ 2. The Managing Director’s office, please. ชว่ ยกรณุ าตดิ ตอ่ ห้องผูจ้ ดั การใหผ้ มหน่อยครับ 3. Room number 407 please. ชว่ ยกรณุ าติดต่อหอ้ ง 407 ใหผ้ มหนอ่ ยครับ 4. Please give me Sales Department. ชว่ ยตดิ ต่อแผนกขายให้ผมหน่อยครบั 5. Could I have extension 318, please? ชว่ ยกรณุ าตดิ ต่อ 318 ให้หน่อยครบั ถ้ำบุคคลทีเ่ รำถำมหำไมอ่ ยู่ ฝำ่ ยผู้รบั กอ็ ำจจะพูดว่ำ 1. I’m sorry he isn’t in right now. Would you like to leave a message? เสยี ใจครบั เขาไมอ่ ยู่ตอนน้ี คณุ จะทิ้งข้อความไวห้ รอื ไม่ครับ 2. I’m sorry he is out for lunch. Shall I have him call you back? เสยี ใจครับ เขาออกไปทานอาหารกลางวันครบั จะให้ผมบอกใหเ้ ขาโทรกลบั หาคณุ ไหมครบั 3. I’m sorry he just left and I don’t think he’ll be back again today. ผมเสยี ใจครับ เขาเพิ่งจะออกไป และผมกไ็ มค่ ดิ ว่าเขาจะกลับเข้ามาอีกวนั น้ี 4. He’s just stepped out. เขาเพง่ิ จะเดนิ ออกไปเดยี๋ วนีเ้ อง 5. I’m sorry Mr. Thanapol is tied up at the moment. เสียใจครับ คณุ ธนพลไม่ว่างทีจ่ ะรบั สายในขณะนี้ 6. I’m sorry he’s not available at the moment. เสียใจครับเขาไม่วา่ งเลยในขณะน้ี 7. I’m sorry he has a visitor with him right now. Is there any message? เสยี ใจครบั เขามีแขกขณะน้ี มขี ้อความอะไรไหมครบั 8. I’m sorry he is in a meeting. เสียใจครบั เขาอยู่ในทปี่ ระชุมครับ 9. I’m sorry he’s on another line at the moment. เสียใจครับ เขาตดิ อยอู่ ีกสายหน่งึ ในขณะนี้

37 หน่วยท่ี 3 กำรแสดงควำมรสู้ กึ ตำ่ งๆ (Expression of feeling) เรื่องที่ 1 พอใจ/ไมพ่ อใจ (That’s great/That’s bad) ในการสนทนาโดยท่ัวไป เมือ่ มีการคุยสอบถามเรือ่ งต่าง ๆ แลว้ การแสดงความชอบ ความไม่ชอบ หรือความพึงพอใจ ความไม่พึงพอใจ เป็นเร่ืองธรรมดาและสามารถเห็นได้โดยทั่วไปคาศัพท์ท่ีใช้แสดง อากปั กริยาดังกลา่ วข้างต้นจะประกอบด้วยคาตอ่ ไปน้ี That’s great. ยอดเย่ยี มจริง ๆ That is bad. แยจ่ ริง How wonderful. วิเศษมาก I am so pleased to hear that. ฉนั ดใี จทไ่ี ด้ทราบเรอ่ื งน้ี I am afraid I don’t like it. ฉนั คดิ วา่ ฉนั ไมช่ อบ I love it /I like it/I enjoy it ฉันชอบมนั I am disappointed to see that. ฉนั ผิดหวังทเี่ หน็ เชน่ น้นั นอกจากน้ยี ังมีสานวนที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกพอใจ หรือไมพ่ อใจ เชน่ That’s great. (ยอดเยีย่ มจริง) That’s bad. (แย่จริง ๆ) How wonderful! (วิเศษมาก) How awful! (แยม่ าก) เรอ่ื งท่ี 2 สนใจ/ไม่สนใจ (Interested/Disinterested) โดยท่วั ไป บคุ คลมักมีความสนใจและไม่สนใจแตกต่างกนั ไป คาศัพท์ที่ใช้บอกความสนใจคือ คาว่า Interested ส่วนคาศพั ทท์ ี่ใช้บอกความไมส่ นใจ คอื Disinterested อาจจะใช้สานวนอ่ืน ๆ ได้อกี เชน่ I’m interested in…/Disinterested in… ฉันสนใจใน……/ไมส่ นใจใน……….. I don’t care (about that) ฉันไมใ่ ส่ใจในเร่อื ง…………………... I have no ideas. ฉนั ไมร่ ู้เร่อื งเลย Conversation 1 Picha: Let’s go to exercise at the sport club. เราไปออกกาลังกายท่ีสปอร์ตคลบั กนั เถอะ Suda: I’m disinterested in exercising. I’m interested in staying at home. ฉันไมส่ นใจในการออกกาลังกาย ฉันสนใจทจ่ี ะอยู่บ้าน Picha: O.K. Bye. ครบั ลาก่อน Suda: Bye. See you. ลากอ่ น แลว้ พบกนั คะ่ Conversation 2 Suphit: I will buy a new dress. Which color it better? ฉันจะซื้อชดุ ใหม่ สีไหนดี ? Udom: I have no idea. Suda should advise you. ผมไม่รู้เร่ืองเลย สุดาควรจะแนะนา คุณได้ Suphit: That’s a good idea. Thank you. เปน็ ความคิดทีด่ ี ขอบคณุ คะ่ Udom: You’re welcome. ไมเ่ ป็นไรครับ

38 เรือ่ งที่ 3 ใหก้ ำลังใจ/เห็นใจ/ปลอบใจ (Don’t worry./Relax./Take it easy.) การแสดงการให้กาลังใจ เห็นใจ และปลอบใจ ในเหตุการณ์ สถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใน ชวี ติ ประจาวันเปน็ สิง่ สาคญั และจาเปน็ ในการใช้ชีวิตประจาวันของมนุษย์ในสังคมที่จะต้องปฏิบัติต่อกัน ผู้พูดต้องมีความจาเป็นท่ีต้องใช้คาพูดในการแสดงออกต่อผู้อ่ืนที่ต้องการให้กาลังใจในการต่อสู้ สาหรับ การใชช้ ีวิต ต่อไปสานวนทม่ี กั นิยมใช้ในการแสดงการใหก้ าลังใจ เห็นใจ และปลอบใจ ในโอกาสตา่ ง ๆ Don’t worry. ไมต่ อ้ งกงั วล Cheer up. สู้ ๆ /ไชโย Take it easy. ใจเย็น ๆ ไว้ Relax. ทาใจให้สบาย You will be fine. เธอต้องไม่เป็นไรเดยี๋ วก็ดีเอง Well done. ทาไดด้ มี าก You did a good job. ทางานได้ดมี าก Conversation 1 Anne: I lost my mobile phone. ฉันทาโทรศพั ท์เสยี Suda: Don’t worry. You should buy the new one or repair it. ไมต่ ้องกังวล เธอควรซื้อใหมห่ รือเอาไปซ่อม Anne: Thank you. And have you done your homework yet? ขอบคณุ และคณุ ทาการบ้านแล้วหรือยัง Suda: Oh! I forgot it. โอ้ ฉนั ลืมทา Anne: Take it easy. I can help you. Let’s start right now. ใจเยน็ ๆ ไว้ ฉนั ชว่ ยเธอได้ เรามาทาการบ้านกันเด๋ยี วน้ีเถอะ Suda: Thanks a lot. ขอบคณุ มาก Anne: O.K. จะ้ Conversation 2 Suphit: Somsri is the champion. สมศรเี ปน็ ผูช้ นะเลิศ Suda: She did a good job. She is the winner. เธอทาได้ดีมาก เธอคือผชู้ นะ Suphit: Congratulations to our champion. ยินดดี ้วยกบั ผ้ชู นะเลิศของเรา เรอื่ งที่ 4 ดีใจ/เสยี ใจ (Happened/Sorry) การแสดงความดีใจกับเพ่ือน ผู้ใหญ่ในโอกาสท่ีบุคคลน้ัน ๆ ได้รับความเจริญก้าวหน้าในหน้าท่ี อาชีพการงาน ตลอดจนการได้เล่ือนตาแหน่ง เป็นมารยาททางสังคมท่ีผู้มีน้าใจพึงปฏิบัติต่อกัน ส่วนการแสดงความเสียใจต่อเร่ืองหรือเหตุการณ์ท่ีสูญเสียของบุคคล ผู้พูดจึงต้องใช้คาพูดและสานวน ที่แสดงความเหน็ อกเหน็ ใจ ต่อผูส้ ูญเสยี ท่ีอยู่ในอารมณเ์ ศร้าให้ผ่อนคลายและเกิดกาลังใจในการต่อสู้และ ดารงชวี ิตตอ่ ไป

39 สานวนทม่ี ักนิยมใช้ในการแสดงการดีใจ/เสยี ใจ ในโอกาสตา่ ง ๆ มีดงั น้ี I’m glad that you can come. ฉนั ดใี จท่ีคุณมาได้ I’m so pleased to see you. ฉันดใี จมากทไ่ี ดพ้ บคณุ I’m glad to hear from you. ฉนั ดใี จท่ีไดท้ ราบขา่ วจากคุณ I’m so sorry to hear that...... ฉนั เสยี ใจท่ไี ดท้ ราบขา่ วนั้น………. I’m so sorry for being late. ฉันเสยี ใจที่มาชา้ I’m terribly sorry for ………… ฉันเสยี ใจในสิ่งที่รา้ ยแรงต่อ ……………….. It’s my sympathy to hear that.…… ฉันเศรา้ ใจในสิง่ นั้น………………………… I’m deeply regret about. ………… ฉนั เสยี ใจสลดใจเปน็ อยา่ งมาก………… Please pass my sympathy to……… ขอให้สง่ิ ท่ีเศร้าใจให้ผา่ นพ้นไป…………….. Conversation 1 Nid: Congratulations on your success. ขอแสดงความยินดกี บั ความสาเร็จของคุณ Wit: I’m so pleased to hear that. ผมดใี จมากทท่ี ราบขา่ ว Nai: Thank you. ขอบคุณคะ่ Conversation 2 Malee: I’m so sorry for being late. ฉนั รู้สกึ เสียใจที่มาชา้ Suda: Don’t worry. You are still in time. ไมต่ อ้ งกงั วล คุณยังมาทันเวลา Malee: It’s my sympathy to hear that your father passed away. I deeply regret. ฉนั ร้สู ึกเหน็ ใจที่ทราบวา่ คณุ พอ่ ของเธอเสยี ฉันรูส้ ึกเสียใจมาก Suda: Thank you. ขอบคณุ คะ่ หน่วยท่ี 4 กำรพูดแสดงควำมคิดรูปแบบตำ่ ง ๆ (Expression of opinion, Ideas/wishes/offering helps, etc.) เร่อื งท่ี 1 กำรแสดงควำมคิดเห็น (เหน็ ดว้ ย/ไมเ่ ห็นด้วยยอมรบั /ไมย่ อมรบั ) Agreement/Disagreement Agreement เป็นรูปแบบของการสนทนาทีม่ คี วามเหน็ พอ้ งด้วยเม่ือฝ่ายหน่ึงแสดงความเห็นอาจ อยู่ในรูปประโยคบอกเล่าธรรมดา และคู่สนทนา ก็แสดงความเห็นด้วย และสานวนท่ีใช้ในการแสดง ความเหน็ ดว้ ย อาจเลอื กใช้ตามโอกาสอนั สมควร ไดแ้ ก่ Yes, I think so. ใช่ ฉันกค็ ิดอย่างนั้น Yes, I agree with you. ใช่ ฉนั เหน็ ดว้ ย Yes, you are right. ใช่ คณุ พูดถกู Yes, I think you are right. ใช่ คดิ ว่าคุณพูดถูก Yes, that’s my opinion too. ใช่ ความเหน็ ฉนั กเ็ ป็นเช่นนัน้ แหละ

40 Disagreement คือ คาพูดที่ใช้ในการสนทนาอีกลักษณะหนึ่ง เป็นคาพูดที่มีความหมายใน ทานอง ขดั แยง หรือไมเ่ ห็นดว้ ยกับความเห็นของคูสนทนา ซงึ่ จะตอ้ งมีศลิ ปะในการพูด เพ่ือไม่ให้เป็นการ ขัดแยง และจะทาให้การสนทนาเป็นไปอย่างราบร่ืน ซ่ึงคาพูดที่ใช้ในการแสดงความไม่เห็นด้วย อาจเลือกใช้ในโอกาสอนั สมควร ได้แก่ No, I don’t think so. ไม่ ฉนั ไม่คดิ อย่างนนั้ Well, I really don’t think so. เออ่ ฉนั ไมไ่ ดค้ ดิ เชน่ นัน้ จรงิ ๆ No, I don’t agree with you. ไมล่ ะ ฉนั ไมเ่ ห็นดว้ ยกับคณุ No, I don’t think you are right. ไม่ ฉันไม่คิดว่าคณุ ถกู นะ I can’t say I agree with you. ฉันไมส่ ามารถพดู ได้วา่ เหน็ ดว้ ยกับคณุ Conversation 1 A: The weather in Bangkok is hotter than Singapore. B: I think so. /I don’t think so. /I agree with you. A: Living in Bangkok is not so pleasant. Don’t you think that? B: Yes, but living in rural areas is less convenient. ให้นักศกึ ษาสแกน QR code ศกึ ษาเกย่ี วกับประโยคทแี่ สดงความรสู้ ึก เรื่องท่ี 2 กำรแสดงควำมตอ้ งกำรและตอบรับ (Need/Want, Yes/Please, do/sure) เม่ือต้องการใหผ้ ูอ้ ืน่ ทาบางส่ิงบางอยา่ งให้ อาจเปน็ การรบกวนผู้อนื่ รูปประโยคท่ีใช้จึงแสดงความ สุภาพอย่างย่ิง อาจใชป้ ระโยคบอกเล่าธรรมดา หรือ ประโยคคาถามมีถ้อยคาสานวนท่ีใช้ในโอกาสต่างๆ ดังน้ี I’d like some more coffee. ฉนั ชอบด่มื กาแฟ I want to go to……… ฉนั ตอ้ งการจะไป…………………………… I wish you should go with me. ฉันอยากให้คุณพาฉนั ไป I need……………………… ฉนั ตอ้ งการ…………………………………. การตอบรับ อาจใช้สานวนสน้ั ๆ ตอ่ ไปนี้ตามความเหมาะสม Yes…/please do./sure. ใช่/ขอความกรณุ า/แนน่ อน Thank you, I’d love to. ขอบคณุ ที่ใหค้ วามรกั กับฉัน Thank you, I’d happy to go. ฉนั ขอบคณุ ท่ที าใหฉ้ นั มคี วามสขุ With pleasure. ดว้ ยความยนิ ดี Thank you so much. ขอบคุณมาก Very kind of you. ด้วยความเมตตาจากคณุ

41 Conversation 1 1. A: What would you like some drink? B: I’d like some more coffee. 2. A: Where do you go? B: I want to go to school. เรื่องท่ี 3 กำรแสดงควำมช่วยเหลอื และบรกิ ำรผูอ้ ่ืนรวมทง้ั ตอบรับ (Can I help you?/Yes, of course) การใช้ชวี ิตประจาวันของคนเราต้องเก่ียวข้องกับการจับจ่ายใช้สอยไม่ว่าจะเป็นอาหารเครื่องดื่ม เสื้อผ้า และของใช้ ตลอดจนยารักษาโรค การแสดงความช่วยเหลือและบริการผู้อื่นจาแนกออกตาม สถานการณ์ต่าง ๆ มกั นิยมใช้สานวนท่ีใช้ถาม เม่ือใหบ้ ริการ ดังนี้ What can I do for you? ฉนั จะชว่ ยอะไรคณุ ได้บ้าง Can I help you? May I help you? Need some help? Do you need some help? If you need anything, please tell me. If you need anything, please let me know. Certainly. แน่นอน Yes, of course. ใช่ ไมเ่ ปน็ ไร I’m afraid……………….. ฉันเกรงใจ…………………………….. Sorry, but……………….. เสยี ใจ แต่…………………………….. บทสนทนำ At the Embassy Receptionist: Sawasdee Ka, anything can I do for you, Madame? Suda: I'm so glad, you can speak Thai. Receptionist: Oh! I can speak and understand Thai just a little bit. Suda: I've lost my passport yesterday and I went to the police station to inform the matter. This is the police record. Receptionist: Please wait for a few minutes. I will ask Mr. John at the consular section to help you. Suda: Thank you for your help. Receptionist: It's my pleasure.

42 เรือ่ งท่ี 4 กำรกล่ำวขอบคณุ และตอบรับ (Thank you./You’re welcome) การกลา่ วขอบใจ เปน็ ความจาเปน็ ในโอกาสทบ่ี ุคคลอนื่ ทาคุณประโยชน์หรอื ไดเ้ อ้อื เฟอ้ื ช่วยเหลือ โดยการแสดงออกทางวาจา โดยการขอบใจและซาบซง้ึ ดงั สานวนตอ่ ไปนี้ Thank you for you help. ขอบคณุ ที่ใหค้ วามช่วยเหลือ Thank you every much for your kindness. ขอบคุณที่คณุ ใหค้ วามเมตตา Thank you for your invitation. ขอบคุณสาหรบั การเชอ้ื เชิญ การกล่าวตอบรบั เมอ่ื อีกฝา่ ยกล่าวขอบคุณ เชน่ Don’t mention it. You’re welcome. You’re quite welcome. ทุกคามีความหมายว่า “ไมเ่ ป็นไร” หา้ มใช้ never mind เดด็ ขาด เร่อื งท่ี 5 กำรพดู ขออนญุ ำตและตอบรับ (May I come in ?/Yes you can) การพูดเพือ่ ขออนญุ าต เป็นมารยาททพ่ี งึ กระทา เมื่อต้องการทาอะไร และสานวนท่ีมกั ใช้กันทั่วไป มดี ังน้ี May I interrupt you for a moment? ขออนุญาต ฉนั ขอขัดจังหวะคุณสกั คร่ไู ด้ไหม May I come in? ขออนญุ าตเข้าขา้ งในได้ไหม Can I borrow your pen? ฉนั ขอยืมปากกาคณุ ไดไ้ หม (It’s) my pleasure. ฉนั ยนิ ดี Don’t mention it. ไม่เป็นไร Yes, you can. ได้ครบั /ใช่ คุณสามารถทาได้ หน่วยที่ 5 ประโยคตำ่ ง ๆ ในภำษำองั กฤษ (Different Types of English Sentences) เรื่องท่ี 1 ประโยคบอกเลำ่ (Affirmative or Statement or Dedication Sentence) คอื ประโยคทใี่ ชใ้ นการสือ่ สารเร่ืองราว ขา่ วสาร ข้อคิดเห็นต่าง ๆ ในชีวิตประจาวันประกอบด้วย ประธาน (Subject) และกริยา (Verb) ซึ่งอาจจะมกี รรม (Object) หรือส่วนขยาย (Complement) ด้วย กไ็ ด้ ประธาน + กรยิ า + กรรม (Subject) + (Verb) + (Object) ตัวอยา่ ง He is your teacher. เขาคอื ครูของเธอ He likes you. เขาชอบเธอ ในประโยคบอกเลา่ การกระจายกริยาตอ้ งเป็นไปตามประธาน (Subject) และกาล (Tense) ที่บอกเล่า เรอ่ื งน้ัน

43 เรื่องที่ 2 ประโยคคำถำม (Question Sentence) เป็นประโยคที่ใช้ถามเพื่อต้องการคาตอบจากผู้ท่ีเราสนทนาด้วย และข้ึนต้นด้วยคาท่ีเป็นคาถาม ไดแ้ ก่ what (อะไร), when (เมื่อไหร่), where (ที่ไหน), who (ใคร), whom (ถึง,แก่ใคร), whose (ของ ใคร) , which (อนั ไหน/ สิ่งไหน), why (ทาไม), how (อยา่ งไร) ในการตั้งคาถามด้วยคาเหล่าน้ี ส่วนใหญ่ จะต้องตามด้วยกริยาช่วย ยกเว้น who ตามด้วยกริยาแท้ และ whose ตามด้วยคานาม ส่วน which ตามดว้ ยคานามที่เปน็ กรรมหรอื กรยิ าช่วย เชน่ What is your name? คุณชอ่ื อะไร Where do you teach? คณุ สอนทีไ่ หน When did he leave school? เค้าจบเมือ่ ไหร่ How do you like it? คุณชอบหรอื ไม่ เรื่องท่ี 3 ประโยคปฏิเสธ (Negative Sentence) คือประโยคบอกเล่าท่ีมีคาหรือวลีที่มีความหมายในเชิงปฏิเสธอยู่ในประโยค ซึ่งจะเป็นคากริยา วิเศษณ์ (Adverb) เช่น not, never, hardly, scarcely, rarely เป็นต้น หรือคาสรรพนามแสดง การปฏิเสธ เชน่ no one, nobody, none, no, nothing เปน็ ตน้ เชน่ There are not former. ไม่ใช่รูปแบบที่ถกู ต้อง He doesn’t like Bobby. เขาดไู มเ่ หมอื นกบั บอ๊ บบ้ี I don’t want to go with him. ฉันไม่ตอ้ งการไปกับเขา เร่ืองที่ 4 ประโยคคำสง่ั (Imperative or Order Sentence) เป็นประโยคท่ีบอกใหท้ าหรอื ขอรองใหท้ าตามท่ีผนู้ ัน้ บอก ซ่ึงผู้ที่รับคาสั่งคือผู้ท่ีคนสั่งพูดด้วย ซ่ึง คนท่ีจะส่ังจะเป็นบุรุษท่ี 1 คือผู้พูด (I หรือ we) ส่วนคนที่ถูกส่ังจะเป็นบุรุษที่ 2 (You) เม่ือเป็นประโยค คาส่ังจะตัด ประธาน (You) ออกประโยคคาส่ังต้องข้ึนต้นด้วยคากริยาช่องที่ 1 เสมอ ซึ่งอาจจะเป็นรูป บอกเลา่ หรือปฏิเสธ ก็ได้ เชน่ Don't walk on the loan! หา้ มเดินในสนาม Enter your personal code. ใสร่ หัสสว่ นตัวของทาน Sit down here! นั่งตรงน้ี Follow me! ตามฉนั มา เรือ่ งที่ 5 ประโยคอุทำน (Exclamatory Sentence) คอื ประโยคท่ใี ช้แสดงความรู้สึกและอารมณ์ เชน่ เสยี ใจ ดใี จ เปน็ ต้น ใชไ้ ดท้ ้งั ประโยคเต็มรูปและ ลดรูป เชน่ Oh! My god โอ้ พระเจ้าช่วย How marvelous เหลือเชอ่ื จริง ๆ What a wonderful party ชา่ งเป็นงานที่มหศั จรรย์อะไรเชน่ นี้

44 หน่วยที่ 6 ประโยคควำมรวม (Compound Sentence) Compound sentence คือประโยคความรวม การนาประโยคความเดียวมากกว่า 2 ประโยค ขึ้นไปมาเช่ือมเข้าด้วยกัน โดยใชค้ าสันธาน หรอื ที่เรียกงา่ ย ๆ ว่าคาเชอื่ มประโยค ปกติแล้วเราสามารถเขียนประโยคความเดียวเพื่อสื่อความหมายได้ แต่การสร้างประโยคความ รวมจะทาให้ประโยคดูไหลล่ืนมากข้ึน หรือเชื่อมโยงกันมากกวา่ การใส่เครื่องหมายจุด full stop เพ่ือแบ่ง ประโยค ตัวอย่างประโยคหลังเคร่ืองหมาย “•” คือ การเขียนประโยคความเดียวแยกกัน ส่วนประโยค ดา้ นหลงั เครอ่ื งหมาย “→” จะเป็นการสรา้ งประโยคความรวมโดยใช้คาเช่อื มแลว้ • I cannot live without my mobile phone. Mary cannot live without her computer. → I cannot live without my mobile phone, but Mary cannot live without her computer. • Students wear uniforms. Teachers wear formal clothes. Lawyers wear suits. → Students wear uniforms, but teachers wear formal clothes, and lawyers wear suits. คำเชอื่ มในประโยคควำมรวม โดยปกติแล้ว เราจะใช้คาเชื่อมเพ่ือสร้างประโยคความรวม คาที่เราสามารถใช้ได้มี 7 คา ดังต่อไปน้ี for, and, nor, but, or, yet, so หรือท่ีเรียกสั้นๆว่า FANBOYS การเลือกใช้คาเชื่อม ประโยคนั้นข้ึนอยู่กับความหมายของประโยคที่ผู้เขียนประโยคต้องการ ดังนั้นพวกเราจึงต้องเลื อก คาเชอื่ มใหเ้ หมาะสม

45 For เพรำะ คาเชื่อมว่า for ในกรณีของการใช้เพ่ือสร้างประโยคความรวมจะมีความหมายเหมือนคาว่า because ท่ีแปลว่าเพราะว่าไม่ใช่แปลว่าสาหรับ เราจะใช้เมื่อประโยคท่ี 2 เป็นสาเหตุของประโยคที่ 1 ตัวอย่างประโยค  I went to school late, for it rained heavily.  Kayla cannot drink milk, for she is lactose-intolerant.  Deforestation is a serious problem, for logging companies destroy forests illegally. And และ คาเชื่อม and เป็นคาเชื่อมท่ีนิยมใช้อย่างแพร่หลายและสามารถใช้ได้ในหลายกรณี เช่น เช่ือม ประโยคทม่ี คี ณุ ค่าเท่าเทียมกัน บอกวา่ ประโยคท่ี 2 เกดิ ข้ึนตามมาหลงั จากประโยคที่ 1 บอกวา่ ประโยคท่ี 2 เป็นผลลพั ธข์ องประโยคท่ี 1 ตวั อย่างประโยค  I went to Hong Kong in 2019, and I loved it so much.  Playing the piano is beneficial to children, and many parents support this activity. Nor ไม่ด้วยเช่นกนั คาเช่ือม nor จะใช้ในประโยคความเดียวประโยคที่ 2 ท่ีนามาต่อกับประโยคท่ี 1 ที่ใช้คาว่า never /neither เพ่อื บอกว่าประโยคความรวมน้ไี ม่ได้เกิดขนึ้ หรอื ไม่เปน็ จรงิ นอกจากนี้โครงสร้างประโยคหลังคา nor จะต้องมีการสลับนาคากริยาขึ้นต้นก่อนประธานใน ประโยค ตัวอยา่ งประโยค  Celebrities never enjoy their privacy, nor can they go on vacation.  Some students never go abroad, nor do they eat international food.  This show never stops promoting vitamins, nor does it end on time. But แต่ คาเช่ือม but จะใช้ในกรณีทป่ี ระโยคท่ี 2 ขดั แย้งกบั ประโยคท่ี 1 ตัวอย่างประโยค  I want to go to your house, but I need to finish my work.  The blue necktie is gorgeous, but the red one is cheaper. Or หรอื เราจะใชค้ าเชือ่ ม or เพ่อื บอกถึงทางเลอื ก ตวั อย่างประโยค  Should we go to Phuket, or should we stay at home?  He can order a pizza, salad, or fried chickens.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook