หนังสือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา วัดปทมุ วนาราม เขตปทุมวนั กรงุ เทพมหานคร วดั ปทมุ วนาราม ราชวรวหิ าร : ๑
๒ : หนงั สือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา
พระสายน์ พระประธานพระอุโบสถ วดั ปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๓
๔ : หนงั สือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา
พระเสริม พระประธานพระวิหารวดั ปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๕
๖ : หนงั สือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา
พระบาทสมเด็จพระจอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั พระสยามเทวมหามกฏุ วทิ ยมหาราช รชั กาลท่ี ๔ ผูท้ รงสถาปนาวดั ปทุมวนาราม พุทธศกั ราช ๒๔๐๐ วดั ปทมุ วนาราม ราชวรวิหาร : ๗
๘ : หนงั สือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา
พระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยูห่ วั พระปิยมหาราช รชั กาลท่ี ๕ ทรงสบื สานพระราชปณิธาน แหง่ สมเด็จพระบรมชนกนาถ พระบาทสมเด็จพระสยามเทวมหามกุฏวทิวดัยปมทหมุรวาชนาราม ราชวรวหิ าร : ๙
๑๐ : หนงั สือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา
พระบาทสมเดจ็ พระบรมชนกาธิเบศร มหาภมู พิ ลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร พระราชทานกาเนิดศาลาพระราชศรทั ธา เพ่ือใหเ้ ป็ นสถานศกึ ษาและปฏิบตั ธิ รรมของวชัดาวปกทรุมุงวเนทาพรมามหรานาชควรรวิหาร : ๑๑
๑๒ : หนงั สือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา
พระบาทสมเดจ็ พระวชิรเกลา้ เจา้ อยูห่ วั ทรงสบื สาน รกั ษา และตอ่ ยอดพระราชปณิธาน แหง่ สมเดจ็ พระบรมชนกนวาดั ถปทุมวนาราม ราชวรวหิ าร : ๑๓
๑๔ : หนงั สือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา
พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศรมหาภมู ิพลอดลุ ยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดาเนินพรอ้ มดว้ ย สมเดจ็ พระกนิษฐาธิราชเจา้ กรมสมเดจ็ พระเทพรตั นราชสดุ า ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเททองหลอ่ พระเสริมจาลอง ท่ีจะอญั เชญิ ข้นึ ประดษิ ฐานเป็ นพระประธาน ประจาศาลาพระราชศรทั ธา วนั ที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๕๓๕ วดั ปทุมวนาราม ราชวรวหิ าร : ๑๕
๑๖ : หนงั สือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา
คำปรำรภ วัดปทุมวนาราม เป็นพระอารามหลวงฝ่ายอรัญวาสี ท่ีพระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ได้ทรงสถาปนาขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๐๐ ปัจจุบันได้รับประกาศจัดต้ังเป็นสานักปฏิบัติ ธรรมประจากรุงเทพมหานคร แห่งท่ี ๓ (ธรรมยุต) เป็นที่ตั้งของศาลาพระราชศรัทธา ท่ี พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดช บรมนาถบพิตร ทรงมีพระราชดาริให้สร้าง ข้ึนเพ่ือเป็นที่ปฏิบัติธรรมของชาวกรุงเทพมหานคร โดยได้เสด็จพระราชดาเนินทรงเปิดเมื่อ วันท่ี ๒๕ มนี าคม พ.ศ.๒๕๓๖ ซ่ึงทางคณะสงฆ์ไดม้ อบหมายให้พระเทพวิมลญาณ (ถาวร จติ ฺต ถาวโร) อดีตผู้ชว่ ยเจา้ อาวาสวัดปทมุ วนาราม ดาเนนิ การจดั ให้มีการศกึ ษาและปฏิบัติธรรมสืบ มาจนถึงกาลทีท่ า่ นมรณภาพ ใน พ.ศ. ๒๕๕๘ นับต้ังแต่ต้น พ.ศ. ๒๕๖๑ คณะสงฆ์ได้เข้ามาดูแลดาเนนิ การเพื่อให้การศึกษาอบรม และการปฏิบัติเป็นไปอย่างต่อเนื่องต้องตามแนวทางท่ีบูรพาจารย์ได้ริเร่ิม รักษา และนา ปฏิบัติสืบมา โดยระยะแรกได้ดาเนินการบูรณะศาลาพระราชศรัทธาและปรับปรุงภูมิทัศน์ โดยรอบ คืนสภาพให้มีความร่มรื่นสัปปายะ เป็นการเติมเต็มศักยภาพของพื้นที่เพื่อรองรับผู้ มาปฏิบัติธรรม พรอ้ มท้ังได้ปรับตารางการจัดกิจกรรมให้มีความสอดคล้องกับความต้องการ ของประชาชน ซ่งึ ต่างมุ่งหวังต่อความสงบสุขและการจรรโลงใจทางธรรม โดยเฉพาะได้ย้าย กิจกรรมทาวัตรเย็นของพระภิกษุสามเณรที่พระวิหาร มารวมทาพร้อมกับประชาชนท่ีศาลา พระราชศรัทธา ในเวลา ๑๗ นาฬิกา เพ่ืออนุเคราะห์ผู้มีจิตศรัทธาท่ีจะร่วมสวดมนต์ไหว้พระ พร้อมกับคณะสงฆ์ ท้ังได้จัดให้มีการอบรมสมาธิ ฟังธรรมบรรยาย กิจกรรมทาบุญตักบาตร เป็นประจาทุกวัน ท้ังน้ี เพ่ือให้ศาลาพระราชศรัทธา ได้เป็นจุดนัดพบเพื่อประโยชน์ในทาง ธรรมของชาวพุทธตามพระราชดาริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เฉพาะในส่วนกิจกรรมทาวัตรสวดมนต์ กาหนดไว้สองเวลา คือภาคเช้ากับภาคเย็น เหมือนเช่นนิยมท่ัวไป ถือเป็นเวลาที่พุทธบริษัทจะได้ทบทวนพุทธวจนะภาษิตต่าง ๆ และ วดั ปทมุ วนาราม ราชวรวิหาร : ๑๗
เสมือนหน่ึงกาลเปน็ ท่ีเขา้ เฝา้ พระบรมศาสดา จักไดบ้ งั เกิดพทุ ธานุสตแิ ละทศั นานตุ รยิ ะท่สี าวก บริษัทจะพึงประสบได้ในปจั จบุ นั หนังสือทาวัตรสวดมนต์เล่มนี้ คณะสงฆ์ได้รวบรวมจัดพิมพ์ข้ึนโดยความอุปถัมภข์ อง คณะผู้มาปฏิบัติธรรม ดังรายนามที่ปรากฏท้ายเล่ม ซ่ึงเน้ือหาอาจมีความแตกต่างจากเล่มที่ คณะสงฆ์ใช้ เพราะความมุ่งหมายแห่งประโยชน์บางประการแตกต่างกัน กล่าวคือ เล่มนี้ มุ่ง ผู้ใช้ คือประชาชนผู้มาปฏิบัติธรรมท่ีจะใช้สวดสาธยายต่อท้ายลาดับพิธีทาวัตรเย็นของ พระภกิ ษุสามเณร โดยได้จัดทาคาแปลเพื่อความเขา้ ใจในเน้อื หาของแตล่ ะพระสูตร พระคาถา หรือปาฐะต่าง ๆ ที่บรรจภุ ายในเลม่ เป็นกระบวนการอบรมปัญญาอยา่ งหนง่ึ คณะสงฆ์ขอถวายอนุโมทนาในพระราชกุศลปฏิบัติที่สมเด็จบรมบพิตร พระราช สมภารเจ้า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ผู้ทรงพระคุณอัน ประเสริฐ ทรงมีพระราชปณิธานอันแรงกล้าที่จะทรงสืบสานพระราชปณิธานแห่งสมเด็จพระ บรมชนกาธิราช พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ที่ทรง อปุ ถัมภเ์ ชดิ ชูพระพทุ ธศาสนา ซึ่งเปน็ กาลังใจให้คณะสงฆ์ได้ปฏบิ ัติสมณกิจทั้งในส่วนคันถธรุ ะ และวิปสั สนาธรุ ะโดยไพบลู ยย์ งิ่ ข้นึ ขออนุโมทนาสาธุการแก่ศรัทธาสาธุชนทั้งหลายที่ได้ถวายความอุปถัมภ์ในการ บรู ณปฏิสงั ขรณศ์ าลาพระราชศรัทธา รวมท้งั สนับสนนุ กิจกรรมทกุ อย่างท่ีคณะสงฆไ์ ดแ้ จ้งและ จัดข้ึน ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่อันเกื้อกูลสอดคล้องกันระหว่างพุทธบริษัทตามพระพุทธ ประสงค์ ท่ีจะเป็นไปเพื่อความเจริญต้ังมั่นแห่งพระศาสนาและความดีงามของผู้ปฏิบัติตาม สมควรแก่ฐานานรุ ูปโดยยิ่งข้ึนไป พระธรรมธชั มุนี เจา้ อาวาสวัดปทุมวนาราม ประธานอานวยการศาลาพระราชศรัทธา มกราคม ๒๕๖๒ ๑๘ : หนงั สอื สวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา
สำรบญั ทำวัตรเชำ้ ๒๗ ปักขคณนาวธิ านคาถา ๓๕ ตงั ขณิกปัจจเวกขณปาฐะ ๓๖ พ๎รัห๎มวหิ ารผรณปาฐะ ๓๗ ทำวัตรเยน็ ๓๙ อตตี ปจั จเวกขณปาฐะ ๔๗ อภณิ ห๎ ปัจจเวกขณปาฐะ ๔๙ ต้นสวดมนต์ ๕๑ บทเชิญชุมนมุ เทวดา ๕๑ บทมหานมสั การ (นะโม ฯ) ๕๓ บทไตรสรณคมน์ ๕๓ สัจจกิริยาคาถา ๕๔ มหาการุณิโก นาโถตอิ าทกิ า คาถา ๕๕ เขมาเขมสรณคมนปรทิ ปี กิ าคาถา ๕๖ ตริ ตนัปปณามคาถา ๕๗ บทเจริญพระพุทธมนต์ ๖๑ นมการสทิ ธิคาถา (สัมพุทเธ ฯ) ๖๑ นมการสทิ ธคิ าถา (โย จกั ขุมา ฯ) ๖๓ วดั ปทมุ วนาราม ราชวรวิหาร : ๑๙
นโมการอัฏฐกคาถา ๖๕ มงคลปริตร ๖๖ รตนปรติ ร ๖๙ กรณียเมตตปรติ ร ๗๖ ขันธปริตร ๗๙ โมรปริตร ๘๑ วัฏฏกปรติ ร ๘๓ อนสุ สรณปาฐะ ๘๔ อาฏานาฏิยปรติ ร ๘๖ องั คลุ มิ าลปริตร ๙๕ โพชฌังคปรติ ร ๙๖ อภยปรติ ร ๙๘ โอสถปรติ ร ๙๙ เทวตาอยุ โยชนคาถา (ส่งเทวดากลบั วิมาน) ๑๐๑ สนุ ักขัตตคาถา ๑๐๒ สุมงั คลคาถา ๑๐๓ ปริตตาวสานคาถา ๑๐๔ ธมั มจักกปั ปวัตตนสูตร ๑๐๕ อนตั ตลักขณสตู ร ๑๑๖ อาทิตตปรยิ ายสตู ร ๑๒๖ มหาสมยสูตร ๑๓๔ ๒๐ : หนงั สือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรัทธา
สาราณียธัมมสตู ร ๑๕๐ ภิกขุอปริหานิยธัมมสตู ร ๑๕๔ เมตตานิสังสสตุ ตปาฐะ ๑๕๘ สตปิ ฏั ฐานปาฐะ ๑๖๑ โอวาทปาฏิโมกขาทปิ าฐะ ๑๖๗ บทสวดสำมภำณ ๑๗๔ ๑๗๔ มหากสั สปโพชฌังคสุตตปาฐะ ๑๗๗ มหาโมคคลั ลานโพชฌงั คสุตตปาฐะ ๑๘๑ มหาจุนทโพชฌังคสุตตปาฐะ ๑๘๔ คิรมิ านนั ทสุตตปาฐะ ๑๙๔ ธชคั คปรติ ตปาฐะ ๒๐๐ จันทปรติ ตปาฐะ ๒๐๓ สรุ ยิ ปรติ ตปาฐะ ๒๐๕ โมกขปุ ายคาถา ๒๐๘ รตนัตตยปั ปภาวาภิยาจนคาถา ๒๑๑ สุขาภยิ าจนคาถา ๒๑๔ บทสวดพระพทุ ธมนต์ ๒๑๔ ปพั พโตปมคาถา ๒๑๕ อริยธนคาถา ๒๑๖ ธมั มนยิ ามสูตร วัดปทมุ วนาราม ราชวรวิหาร : ๒๑
วิปัสสนาภูมิปาฐะ ๒๑๙ ติลักขณาทิคาถา ๒๒๒ พทุ ธอุทานคาถา ๒๒๔ ภทั เทกรัตตคาถา ๒๒๕ พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ๒๒๗ พระสงั คณี ๒๒๗ พระวภิ งั ค์ ๒๒๙ พระธาตกุ ถา ๒๓๐ พระปคุ คลปญั ญัตติ ๒๓๐ พระกถาวตั ถุ ๒๓๒ พระยมก ๒๓๓ พระมหาปัฏฐาน ๒๓๔ บทสวดมำติกำ-บงั สกุ ุล ๒๓๖ ธัมมสงั คณมี าตกิ าปาฐะ ๒๓๖ ปัฏฐานมาตกิ าปาฐะ ๒๓๙ บงั สกุ ุลเปน็ ๒๔๐ บงั สกุ ลุ ตาย ๒๔๑ บทถวำยพรพระ ๒๔๒ พุทธชัยมงคลคาถา (พาหุง ฯ) ๒๔๒ ชยปริตร (มหาการณุ โิ ก ฯ) ๒๔๕ ๒๒ : หนังสอื สวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา
สัพพมงคลคาถา (ภวตุ สพั พ์ ฯ) ๒๔๗ มงคลจักรวาลใหญ่ ๒๔๘ มงคลจกั รวาลน้อย ๒๕๐ จุลลไชยมงคลปกรณ์ (บทไชยนอ้ ย) ๒๕๒ บทสวดคำถำอุทิศ (ท้ำยทำวัตร) ๒๖๑ อุททิสนาทิฏฐานคาถา ๒๖๑ สพั พปัตติทานคาถา (ปุญญัสสิทานิ ฯ) ๒๖๓ ปตั ตทิ านคาถา (ยา เทวตา ฯ) ๒๖๗ ปัตตทิ านคาถา สาหรับถวายพระราชกุศล รัชกาลที่ ๙ ๒๗๐ อนโุ มทนำวิธี ๒๗๓ ๒๗๓ อนโุ มทนารมั ภคาถา ๒๗๔ สามญั ญานโุ มทนาคาถา ๒๗๕ วริ ฬุ หกิ คาถา ๒๗๖ รตนตั ตยานุภาวาทคิ าถา ๒๗๗ สังเขปอาฏานาฏิยสตุ ตคาถา ๒๗๘ โภชนทานานุโมทนาคาถา ๒๗๘ อาทยิ สตุ ตคาถา ๒๗๙ อัคคปั ปสาทสุตตคาถา ๒๘๐ เทวตาทิสสทักขิณานโุ มทนาคาถา ๒๘๑ เทวตาภสิ มั มนั ตนคาถา วดั ปทุมวนาราม ราชวรวหิ าร : ๒๓
วิหารทานคาถา ๒๘๓ เกณิยานโุ มทนาคาถา ๒๘๔ กาลทานสตุ ตคาถา ๒๘๕ ตโิ รกุฑฑกัณฑสตุ ตคาถา (ยอ่ ) ๒๘๖ สพั พมังคลคาถา ๒๘๗ ศำสนพธิ ี ๒๘๘ การสมาทานรักษาศลี ๕ ๒๘๘ การสมาทานรักษาศีล ๘ ๒๙๐ การสมาทานรกั ษาอุโบสถศลี ๒๙๒ คาอาราธนาพระปริตร ๒๙๖ คาอาราธนาธรรม ๒๙๖ คาสาธกุ ารเวลาจบพระธรรมเทศนา ๒๙๗ คาขอขมาโทษ ๓๐๐ คาลาพระสงฆ์กลบั บา้ น ๓๐๐ คาถวายสังฆทาน สามัญ ๓๐๑ คาถวายสังฆทาน อทุ ิศ ๓๐๑ คาถวายผ้าปา่ ๓๐๒ คาถวายผ้าอาบน้าฝน ๓๐๒ คาถวายเทยี นพรรษา ๓๐๓ คาถวายธปู เทียนดอกไม้ ๓๐๓ คาถวายข้าวพระพุทธ ๓๐๔ ๒๔ : หนังสอื สวดมนต์ ศาลาพระราชศรัทธา
คาลาข้าวพระพทุ ธ ๓๐๔ คาบชู าในพิธแี ห่ปราสาทดอกผ้งึ ๓๐๔ บทสวดมนต์แปลท้ำยเลม่ ๓๐๗ บทแผ่เมตตาอทุ ศิ ๓๑๓ คาอธิษฐานกรวดนา้ อุทศิ สว่ นกศุ ล ๓๑๔ คณะผู้จดั ทา ๓๑๕ รายนามผูบ้ ริจาค ๓๑๖ วดั ปทมุ วนาราม ราชวรวหิ าร : ๒๕
๒๖ : หนงั สือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา
ทำวัตรเช้ำ บทนำนมัสกำร อะระหัง สมั มำสมั พทุ โธ ภะคะวำ, พทุ ธงั ภะคะวันตงั อะภวิ ำเทมิ. ส๎วำกขำโต ภะคะวะตำ ธัมโม, ธมั มงั นะมสั สำมิ. สปุ ะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สำวะกะสังโฆ, สังฆัง นะมำมิ. คำแปล พระผูม้ ีพระภาคเจ้า เป็นพระอรหนั ต์ ดบั เพลงิ กเิ ลส เพลิงทุกข์ส้ินเชงิ ตรัสรู้ ชอบได้โดยพระองคเ์ อง ข้าพเจ้าอภิวาทพระผูม้ ีพระภาคเจ้า ผ้รู ู้ ผู้ตน่ื ผเู้ บิกบาน พระธรรมเป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ดีแล้ว ข้าพเจ้านมัสการ พระธรรม พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีแล้ว ข้าพเจ้านอบน้อม พระสงฆ์ ฯ ปพุ พภำคนมกำระ (นา) หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะภำคะนะมะกำรัง กะโรมะ เส. นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมำสัมพุทธัสสะ. นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มำสมั พุทธัสสะ. นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มำสมั พทุ ธัสสะ. คำแปล (นา) เชญิ เถดิ เราทั้งหลาย ทาความนอบนอ้ มอันเป็นส่วนเบื้องตน้ แดพ่ ระผู้ มีพระภาคเจา้ เถิด ฯ วดั ปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๒๗
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ฯ ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองคเ์ อง ฯ ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์น้ัน ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรสั รูช้ อบไดโ้ ดยพระองค์เอง ฯ พทุ ธำภิถุติ (นา) หันทะ มะยงั พทุ ธำภิถตุ งิ กะโรมะ เส. (รับ) โย โส ตะถำคะโต อะระหัง สัมมำสัมพุทโธ, วิชชำจะระณะ- สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู, อะนุตตะโร ปุริสะทัมมะสำระถิ สัตถำ เทวะ- มะนุสสำนัง พุทโธ ภะคะวำ, โย อิมัง โลกัง สะเทวะกัง สะมำระกัง สะพ๎รัห๎มะกัง, สัสสะมะณะพ๎รำห๎มะณิง ปะชัง สะเทวะมะนุสสัง สะยัง อะภิญญำ สัจฉิกตั ๎วำ ปะเวเทสิ, โย ธมั มงั เทเสสิ อำทิกลั ๎ยำณงั มัชเฌ- กัล๎ยำณัง ปะริโยสำนะกัล๎ยำณัง, สำตถัง สะพ๎ยัญชะนัง เกวะละ- ปะริปุณณัง ปะริสุทธัง พ๎รัห๎มะจะริยัง ปะกำเสสิ, ตะมะหัง ภะคะวันตัง อะภิปชู ะยำมิ ตะมะหัง ภะคะวนั ตัง สริ ะสำ นะมำมิ. (กราบระลกึ ถงึ พระพุทธคุณ) คำแปล (นา) เชญิ เถิด เราทัง้ หลาย ทาความชมเชยเฉพาะพระพุทธเจ้าเถิด ฯ (รบั ) พระตถาคตเจ้านนั้ พระองค์ใด เป็นผู้ไกลจากกเิ ลส เป็นผูต้ รสั รู้ชอบได้ โดยพระองคเ์ อง เป็นผู้ถงึ พร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผไู้ ปแล้วดว้ ยดี เป็นผู้รโู้ ลก อย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษท่ีสมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็น- ๒๘ : หนังสอื สวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา
ครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ท้ังหลาย เป็นผู้รู้ ผูต้ ่ืน ผู้เบิกบานดว้ ยธรรม เป็นผู้มี ความจาเริญ จาแนกธรรม ส่ังสอนสัตว์ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด ได้ทรงทา ความดับทุกข์ให้แจ้งด้วยพระปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ทรงสอนโลกน้ี พร้อมทั้งเทวดา มาร พรหม และหมู่สัตว์ พร้อมท้ังสมณพราหมณ์ พร้อมท้ังเทวดา และมนุษย์ให้รู้ ตาม พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ใด ทรงแสดงธรรมแล้ว ไพเราะในเบ้ืองต้น ไพเราะในท่ามกลาง ไพเราะในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ คือแบบแห่งการ ปฏิบัตอิ ันประเสริฐ บรสิ ุทธิ์ บริบูรณ์ สิ้นเชิง พร้อมทง้ั อรรถะ (คาอธิบาย) พรอ้ มท้ัง พยัญชนะ (หัวข้อ) ข้าพเจ้าบูชาอย่างย่ิง เฉพาะพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ข้าพเจ้านอบนอ้ มพระผมู้ ีพระภาคเจา้ พระองค์นน้ั ด้วยเศียรเกล้า ฯ ธมั มำภถิ ตุ ิ (นา) หันทะ มะยงั ธมั มำภถิ ุติง กะโรมะ เส. (รับ) โย โส ส๎วำกขำโต ภะคะวะตำ ธัมโม, สันทิฏฐิโก อะกำลิโก เอหิปัสสิโก, โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ, ตะมะหัง ธัมมัง อะภปิ ูชะยำมิ ตะมะหัง ธัมมัง สิระสำ นะมำมิ. (กราบระลึกถงึ พระธรรมคุณ) คำแปล (นา) เชิญเถดิ เราท้ังหลาย ทาความชมเชยเฉพาะพระธรรมเถิด ฯ (รับ) พระธรรมน้ันใด เป็นส่ิงท่ีพระผู้มีพระภาคเจ้าไดต้ รัสไวด้ ีแล้ว เป็นสิ่งท่ี ผู้ศึกษาและปฏิบัติพงึ เห็นไดด้ ้วยตนเอง เปน็ สิง่ ที่ปฏิบตั ิได้และใหผ้ ลได้ไม่จากดั กาล เป็นสิ่งท่ีควรกล่าวกะผู้อนื่ วา่ ท่านจงมาดูเถิด เป็นสิ่งท่ีควรน้อมเข้ามาใส่ตัว เป็นส่ิง ที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ข้าพเจ้าบูชาอย่างย่ิงเฉพาะพระธรรมน้ัน ข้าพเจ้านอบน้อม พระธรรมนน้ั ด้วยเศยี รเกลา้ ฯ วัดปทมุ วนาราม ราชวรวหิ าร : ๒๙
สงั ฆำภิถุติ (นา) หนั ทะ มะยัง สงั ฆำภถิ ตุ ิง กะโรมะ เส. (รับ) โย โส สปุ ะฏิปนั โน ภะคะวะโต สำวะกะสังโฆ, อชุ ุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สำวะกะสงั โฆ, ญำยะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สำวะกะสงั โฆ, สำมีจิปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สำวะกะสงั โฆ, ยะททิ ัง จตั ตำริ ปุริสะยุคำนิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลำ, เอสะ ภะคะวะโต สำวะกะสังโฆ, อำหุเนยโย ปำหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลิกะระณีโย, อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกสั สะ, ตะมะหงั สังฆัง อะภิปูชะยำมิ ตะมะหัง สังฆัง สริ ะสำ นะมำมิ. (กราบระลึกถงึ พระสงั ฆคณุ ) คำแปล (นา) เชิญเถดิ เราท้ังหลาย ทาความชมเชยเฉพาะพระสงฆ์เถิด ฯ (รับ) สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นหมู่ใด ปฏิบัติดีแล้ว สงฆ์สาวก ของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติตรงแล้ว สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมใู่ ด ปฏบิ ตั เิ พ่ือรธู้ รรมเป็นเคร่ืองออกจากทกุ ขแ์ ลว้ สงฆส์ าวกของพระผู้มีพระภาค เจ้าหมู่ใด ปฏบิ ัติสมควรแลว้ ได้แก่บุคคลเหล่านค้ี ือ ค่แู หง่ บรุ ษุ ๔ คู่ นบั เรียงตวั บรุ ุษ ได้ ๘ บุรุษ น่ันแหละสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่ เขานามาบชู า เป็นสงฆ์ควรแกส่ กั การะที่เขาจดั ไวต้ ้อนรบั เปน็ ผู้ควรรับทักษิณาทาน เป็นผู้ที่บุคคลทั่วไปควรทาอัญชลี เป็นเน้ือนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอ่ืนย่ิงกว่า ข้าพเจ้าบูชาอย่างยิ่งเฉพาะพระสงฆ์หมู่นั้น ข้าพเจ้านอบน้อมพระสงฆ์หมู่นั้น ด้วย เศียรเกล้า ฯ ๓๐ : หนังสอื สวดมนต์ ศาลาพระราชศรัทธา
รตนัตตยปั ปณำมคำถำ (นา) หันทะ มะยัง ระตะนัตตะยัปปะณำมะคำถำโย เจวะ สังเวคะ- วัตถปุ ะรทิ ปี ะกะปำฐญั จะ ภะณำมะ เส. (รับ) พุทโธ สสุ ุทโธ กะรุณำมะหณั ณะโว, โยจจนั ตะสุทธัพพะระญำณะโลจะโน, โลกัสสะ ปำปูปะกิเลสะฆำตะโก, วนั ทำมิ พุทธงั อะหะมำทะเรนะ ตัง. ธัมโม ปะทีโป วยิ ะ ตสั สะ สัตถุโน, โย มคั คะปำกำมะตะเภทะภนิ นะโก, โลกุตตะโร โย จะ ตะทัตถะทปี ะโน, วันทำมิ ธมั มัง อะหะมำทะเรนะ ตัง. สงั โฆ สุเขตตำภ๎ยะตเิ ขตตะสญั ญโิ ต, โย ทิฏฐะสนั โต สคุ ะตำนโุ พธะโก, โลลัปปะหโี น อะริโย สเุ มธะโส, วันทำมิ สงั ฆัง อะหะมำทะเรนะ ตงั . อจิ เจวะเมกันตะภปิ ชู ะเนยยะกัง, วตั ถุตตะยงั วนั ทะยะตำภสิ งั ขะตัง, ปญุ ญัง มะยำ ยัง มะมะ สพั พปุ ัททะวำ, มำ โหนตุ เว ตสั สะ ปะภำวะสทิ ธิยำ. สังเวคปริทปี กปำฐะ อิธะ ตะถำคะโต โลเก อุปปันโน อะระหัง สัมมำสัมพุทโธ, ธัมโม จะ เทสิโต นยิ ยำนโิ ก อปุ ะสะมโิ ก ปะรนิ ิพพำนิโก สมั โพธะคำมี สุคะตปั - วัดปทุมวนาราม ราชวรวหิ าร : ๓๑
ปะเวทิโต, มะยันตัง ธัมมัง สุต๎วำ เอวัง ชำนำมะ,ชำติปิ ทุกขำ ชะรำปิ ทุกขำ มะระณัมปิ ทุกขัง, โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปำยำสำปิ ทุกขำ, อปั ปเิ ยหิ สัมปะโยโค ทกุ โข, ปิเยหิ วิปปะโยโค ทกุ โข, ยมั ปจิ ฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทกุ ขัง, สังขติ เตนะ ปญั จุปำทำนกั ขันธำ ทกุ ขำ, เสยยะ- ถีทัง, รปู ูปำทำนักขันโธ, เวทะนูปำทำนักขนั โธ, สัญญูปำทำนักขันโธ, สังขำรูปำทำนักขันโธ, วิญญำณูปำทำนักขันโธ, เยสัง ปะริญญำยะ, ธะระมำโน โส ภะคะวำ, เอวัง พะหุลัง สำวะเก วเิ นติ, เอวัง ภำคำ จะ ปะนัสสะ ภะคะวะโต สำวะเกสุ อะนุสำสะนี, พะหุลำ ปะวัตตะติ, รูปัง อะนิจจัง, เวทะนำ อะนิจจำ, สัญญำ อะนิจจำ, สังขำรำ อะนิจจำ, วิญญำณัง อะนจิ จัง, รูปงั อะนัตตำ, เวทะนำ อะนัตตำ, สัญญำ อะนตั ตำ, สังขำรำ อะนัตตำ, วิญญำณัง อะนัตตำ, สัพเพ สังขำรำ อะนิจจำ, สพั เพ ธมั มำ อะนตั ตำติ, เต มะยัง*, โอตณิ ณำมะหะชำตยิ ำ ชะรำมะระเณนะ, โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปำยำเสหิ, ทุกโขติณณำ ทุกขะปะเรตำ, อัปเปวะนำมิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อันตะ กริ ยิ ำ ปญั ญำเยถำติ. (บรรพชิตว่า) จิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง ภะคะวันตัง อุททิสสะ อะระหนั ตัง สัมมำสัมพุทธัง, สัทธำ อะคำรัส๎มำ อะนะคำริยัง ปัพพะชิตำ, ตัส๎มิง ภะคะวะติ พ๎รัห๎มะจะริยัง จะรำมะ, ภิกขูนัง สิกขำสำชีวะ- สะมำปันนำ, ตัง โน พ๎รัห๎มะจะริยัง, อิมัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ อนั ตะกริ ยิ ำยะ สงั วตั ตะตุ. (คฤหัสถ์ว่า) จิระปะรินิพพุตัมปิ ตัง ภะคะวันตัง สะระณังคะตำ, ธัมมัญจะ ภิกขุสังฆัญจะ, ตัสสะ ภะคะวะโต สำสะนัง ยะถำสะติ ยะถำ- * สตรี สวดวำ่ “ตำ มะยัง” ๓๒ : หนังสอื สวดมนต์ ศาลาพระราชศรัทธา
พะลงั มะนะสิกะโรมะ, อะนปุ ะฏปิ ัชชำมะ, สำ สำ โน ปะฏิปัตติ, อิมสั สะ เกวะลัสสะ ทุกขกั ขนั ธัสสะ อนั ตะกริ ยิ ำยะ สังวัตตะตุ. คำแปล (นา) เชิญเถิด เราท้ังหลาย กล่าวคานอบน้อมพระรัตนตรัยและบาลีที่ กาหนดวัตถเุ ครอ่ื งแสดงความสังเวชเถิด ฯ (รับ) พระพุทธเจา้ ผบู้ ริสุทธิ์ มีพระกรณุ า ดจุ ห้วงมหรรณพ พระองคใ์ ด มีตา คือญาณอันประเสริฐหมดจดถึงที่สุด เป็นผู้ฆ่าเสียซ่ึงบาป และอุปกิเลสของโลก ข้าพเจ้าไหว้พระพุทธเจ้าพระองค์น้ัน โดยใจเคารพเอ้ือเฟ้ือ พระธรรมของพระ ศาสดา สว่างรุ่งเรืองเปรียบดวงประทีป จาแนกประเภท คือ มรรค ผล นิพพาน ส่วนใดซึ่งเป็นตัวโลกุตตระ และส่วนใดที่ช้ีแนวแห่งโลกุตตระน้ัน ข้าพเจ้าไหว้พระ ธรรมนั้น โดยใจเคารพเอ้ือเฟื้อ พระสงฆ์เป็นนาบุญอันยิ่งใหญ่ กว่านาบุญอันดี ท้ังหลาย เป็นผู้เห็นพระนิพพาน ตรัสรู้ตามพระสุคต หมู่ใดเป็นผู้ละกิเลสเครื่อง โลเล เป็นพระอริยเจ้า มีปัญญาดี ขา้ พเจ้าไหวพ้ ระสงฆ์หมู่น้นั โดยใจเคารพเอ้ือเฟื้อ บญุ ใดท่ีข้าพเจ้าผู้ไหวอ้ ยู่ซึ่งวัตถสุ าม คือพระรัตนตรัย อันควรบชู ายิ่งโดยส่วนเดียว ได้กระทาแล้วเป็นอย่างย่ิงเช่นนี้ ขออุปัทวะ (ความช่ัว) ท้ังหลาย จงอย่ามีแก่ ข้าพเจ้าเลย ด้วยอานาจความสาเรจ็ อันเกดิ จากบญุ นัน้ พระตถาคตเจ้า เกิดข้ึนแล้วในโลกนี้ เป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดย พระองค์เอง และพระธรรมท่ีทรงแสดง เป็นธรรมเคร่ืองออกจากทุกข์ เป็นเคร่ือง สงบกิเลส เป็นไปเพื่อปรินิพพาน เป็นไปเพื่อความรู้พร้อม เป็นธรรมท่ีพระสุคต ประกาศ พวกเราเม่ือได้ฟังธรรมนั้นแล้ว จึงได้รู้อย่างน้ีว่า แม้ความเกิดก็เป็นทุกข์ แม้ความแก่ก็เป็นทุกข์ แม้ความตายก็เป็นทุกข์ แม้ความโศก ความร่าไรราพัน ความไมส่ บายกาย ความไม่สบายใจ ความคบั แคน้ ใจก็เป็นทุกข์ ความประสบกับส่ิง ไม่เป็นท่ีรักท่ีพอใจก็เป็นทกุ ข์ ความพลัดพรากจากส่งิ เป็นที่รักที่พอใจก็เป็นทุกข์ มี ความปรารถนาส่ิงใด ไม่ได้ส่ิงน้ัน นั่นก็เป็นทุกข์ ว่าโดยย่อ อุปาทานขันธ์ท้ัง ๕ วดั ปทมุ วนาราม ราชวรวิหาร : ๓๓
เปน็ ตัวทกุ ข์ ไดแ้ กส่ ่งิ เหลา่ นีค้ ือ ขันธ์อันเป็นทีต่ ้ังแห่งความยึดม่ัน คอื รูป ขันธอ์ ันเป็น ท่ีตั้งแห่งความยึดมั่น คือเวทนา ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือสัญญา ขันธ์อันเป็นที่ตั้งแห่งความยึดมั่น คือสังขาร ขันธ์อันเป็นท่ีต้ังแห่งความยึดม่ัน คือ วญิ ญาณ เพ่อื ให้สาวกกาหนดรอบรอู้ ุปาทานขันธ์เหลา่ นเี้ อง จึงพระผ้มู ีพระภาคเจ้า น้ัน เมอ่ื ยังทรงพระชนม์อยู่ ย่อมทรงแนะนาสาวกทง้ั หลาย เชน่ นเี้ ป็นสว่ นมาก อน่ึง คาสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าน้ัน ย่อมเป็นไปในสาวกทั้งหลาย ส่วนมาก มี ส่วน คือการจาแนกอย่างน้ีว่า รูปไม่เที่ยง เวทนาไมเ่ ท่ียง สัญญาไม่เท่ียง สังขารไม่ เท่ียง วิญญาณไม่เที่ยง รปู ไมใ่ ช่ตวั ตน เวทนาไม่ใช่ตัวตน สัญญาไม่ใช่ตัวตน สังขาร ไม่ใช่ตัวตน วิญญาณไม่ใช่ตัวตน สังขารท้ังหลายท้ังปวงไม่เท่ียง ธรรมทั้งหลายท้ัง ปวงไม่ใช่ตัวตน ดังน้ี พวกเราท้ังหลายเป็นผู้ถูกครอบงาแล้ว โดยความเกิด โดย ความแก่และความตาย โดยความโศก ความร่าไรราพัน ความไมส่ บายกาย ความไม่ สบายใจ ความคับแค้นใจท้ังหลาย เป็นผู้ถูกความทุกข์หยั่งเอาแล้ว เป็นผู้มีความ ทุกข์เปน็ เบือ้ งหนา้ แล้ว ทาไฉนการทาท่ีสุดแห่งกองทกุ ขท์ ั้งสิ้นน้ี จะพงึ ปรากฏชดั แก่ เราได้ เราทั้งหลาย อุทิศเฉพาะพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้ โดยพระองค์เอง แม้ปรินิพพานนานแล้วพระองค์น้ัน เป็นผู้มีศรัทธา ออกบวชจาก เรือน ไมเ่ ก่ียวข้องด้วยเรือนแลว้ ประพฤติอย่ซู ึ่งพรหมจรรย์ ในพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์น้ัน ถึงพร้อมด้วยสิกขาและธรรมเป็นเคร่ืองเลี้ยงชีวิตของภิกษุท้ังหลาย ขอให้พรหมจรรย์ของเราท้ังหลายน้ัน จงเปน็ ไปเพอื่ การทาท่สี ุดแห่งกองทุกข์ทงั้ สิ้น นี้ เทอญ เราทั้งหลาย ผู้ถึงแล้วซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้ปรินิพพานนานแล้ว พระองค์น้ัน เป็นสรณะ ถึงพระธรรมด้วย ถึงพระสงฆ์ด้วย จักทาในใจอยู่ ปฏิบัติ ตามอยู่ ซ่ึงคาส่ังสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ตามสติกาลัง ขอให้ความปฏิบัติ น้ันๆ ของเราทั้งหลาย จงเป็นไปเพอื่ การทาที่สดุ แห่งกองทกุ ข์ท้งั ส้นิ น้ี เทอญ ฯ ๓๔ : หนังสือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรัทธา
ปักขคณนำวธิ ำนคำถำ (นา) หนั ทะ มะยัง ปักขะคะณะนำวิธำนะคำถำโย ภะณำม เส. อทิ ำนิ สัตตะมภี ูเต มะหันเตเยวะ สัมพะยุเห, ปะฐะมสั เสวะ พย๎ ุหัสสะ ทุติเย สะมุเห อะยงั . ปัจฉมิ ัสเสวะ วัคคัสสะ ปักเข จะตตุ ถะสัญหิเต, ปะวัตตะติ ปัจจปุ ปันโน กำโล กัล๎ยปู ะลกั ขโิ ต, อิจจำยัง ปักขะคะณะนำ เวทติ ัพพำ วะ กำละโต. อะโห อะนิจจำ สังขำรำ เต กำลิกำ อะสัณฐติ ำ, สะกำลำ กำลิกำ สัพเพ หุต๎วำ หตุ ว๎ ำ นะ โหนติ เต. ตัง กเุ ตตถะ ลัพภำ โลเก ยะทปุ ปันนงั นะ นัสสะต,ิ เอวัมภูเตสเุ ปย๎ เตสุ สำธุ ตัตถำชฌเุ ปกขะนำ. อะปิ เตสงั นโิ รธำยะ ปะฏปิ ัต๎ยำตสิ ำธกุ ำ, สัพพัง สมั ปำทะนยี ัญหิ อัปปะมำเทนะ สพั พะทำ. คำแปล บัดน้ี เป็นสัมพยุหะใหญ่ท่ี ๗ พยุหะท่ี ๑ สมุหะท่ี ๒ ปัจฉิมวรรค ปักษ์ท่ี ๔ ปจั จบุ นั กาล อันท่านกาหนดตามยุคเป็นไปดังนี้ ความกาหนดปกั ษ์อย่างนี้ ๆ บณั ฑิต พงึ ทราบตามกาล โอ ! สงั ขารท้งั หลาย ไมเ่ ทยี่ ง สงั ขารเหล่านนั้ ดารงอย่ชู ่ัวคราว ไม่ ต้ังอยู่ได้ สังขารเหล่านั้นต้ังอยู่ช่ัวคราว มีแล้ว ๆ กลับไม่มีเล่า ส่ิงใดเกิดขึ้นแล้ว ไม่ ฉิบหายไป สัตว์จะได้สิ่งน้ันในโลกแต่ท่ีไหน เมื่อสังขารเหล่าน้ัน แม้เป็นแล้วอย่างนี้ ความวางเฉยในสังขารเหล่านัน้ เสีย เป็นการดี ที่ขดี เสน้ ใตใ้ หเ้ ปลยี่ นตามเวลาทสี่ วดในปัจจบุ นั วดั ปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๓๕
อนึ่ง ความปฏิบัติ เพื่อความดับสงั ขารเล่าน้ันย่ิงเป็นการดี กิจนี้ล้วนควรให้ ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท ในกาลทุกเม่ือแล ฯ ตงั ขณกิ ปัจจเวกขณปำฐะ (นา) หันทะ มะยัง ตังขะณิกะปัจจะเวกขะณะปำฐงั ภะณำมะ เส. (รับ) ปะฏิสังขำ โยนิโส จีวะรัง ปะฏิเสวำมิ, ยำวะเทวะ สีตัสสะ- ปะฏิฆำตำยะ, อุณ๎หัสสะ ปะฏิฆำตำยะ, ฑังสะมะกะสะวำตำตะปะสิริง- สะปะสัมผัสสำนงั ปะฏฆิ ำตำยะ, ยำวะเทวะ หิริโกปินะปะฏิจฉำทะนัตถงั . ปะฏิสังขำ โยนิโส ปณิ ฑะปำตัง ปะฏิเสวำมิ, เนวะ ท๎วำยะ นะ มะทำยะ นะ มัณฑะนำยะ นะ วภิ สู ะนำยะ, ยำวะเทวะ อิมสั สะ กำยัสสะ ฐิติยำ ยำปะนำยะ วิหิงสุปะระติยำ พ๎รัห๎มะจะริยำนุคคะหำยะ, อิติ ปรุ ำณญั จะ เวทะนงั ปะฏิหงั ขำมิ นะวญั จะ เวทะนัง นะ อุปปำเทสสำมิ, ยำตร๎ ำ จะ เม ภะวสิ สะติ อะนะวัชชะตำ จะ ผำสุวิหำโร จำติ. ปะฏิสังขำ โยนโิ ส เสนำสะนัง ปะฏิเสวำมิ, ยำวะเทวะ สีตัสสะ ปะฏิฆำตำยะ, อุณ๎หัสสะ ปะฏิฆำตำยะ, ฑังสะมะกะสะวำตำตะปะสิริง- สะปะสัมผัสสำนัง ปะฏิฆำตำยะ, ยำวะเทวะ อุตุปะริสสะยะวิโนทะนัง ปะฏิสลั ลำนำรำมัตถงั . ปะฏิสงั ขำ โยนิโส คิลำนะปจั จะยะเภสชั ชะปะรกิ ขำรังปะฏิเสวำมิ, ยำวะเทวะ อุปปันนำนัง เวยยำพำธิกำนัง เวทะนำนัง ปะฏิฆำตำยะ, อพั ๎ยำปชั ฌะปะระมะตำยำติ. ๓๖ : หนงั สือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา
คำแปล เราย่อมพิจารณาโดยแยบคายแล้วนุ่งห่มจีวร เพียงเพื่อบาบัดความหนาว เพ่ือบาบัดความร้อน เพื่อบาบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ ยุง ลม แดดและ สตั ว์เลอื้ ยคลานทั้งหลาย และเพยี งเพ่ือปกปิดอวยั วะอนั ให้เกดิ ความละอาย เราย่อมพิจารณาโดยแยบคายแล้วฉันบิณฑบาต ไม่ให้เป็นไปเพ่ือความ เพลิดเพลินสนุกสนาน ไม่ให้เป็นไปเพื่อความเมามัน เกิดกาลัง พลังทางกาย ไม่ให้ เป็นไปเพ่ือประดับ ไม่ใหเ้ ปน็ ไปเพ่ือตกแต่ง แตใ่ ห้เป็นไปเพียงเพอื่ ความต้งั อยู่ได้แห่ง กายน้ี เพ่ือความเป็นไปได้ของอัตภาพ เพ่ือความส้ินไปแห่งความลาบากทางกาย เพือ่ อนเุ คราะห์แก่การประพฤตพิ รหมจรรย์ ด้วยการทาอย่างน้ี เรายอ่ มระงบั เสียได้ ซ่ึงทุกขเวทนาเก่าคือความหิว และไม่ทาทุกขเวทนาใหม่ให้เกิดขึ้น อนึ่ง ความ เป็นไปโดยสะดวกแห่งอัตภาพน้ีดว้ ย ความเป็นผู้หาโทษมิได้ด้วย และความเป็นอยู่ โดยผาสุขดว้ ย จักมแี ก่เรา ดงั นี้ เราย่อมพิจารณาโดยแยบคายแล้วใช้สอยเสนาสนะ เพียงเพ่ือบาบัดความ หนาว เพ่ือบาบัดความร้อน เพ่ือบาบัดสัมผัสอันเกิดจากเหลือบ ยุง ลม แดดและ สัตว์เล้ือยคลานท้ังหลาย เพียงเพื่อบรรเทาอันตรายอันจะพึงมีจากดินฟ้าอากาศ และเพ่อื ความเปน็ ผยู้ นิ ดีอยู่ได้ ในท่ีหลีกเรน้ สาหรบั ภาวนา เราย่อมพิจารณาโดยแยบคายแล้วบริโภคเภสัชบริขารอันเก้ือกูลแก่คนไข้ เพียงเพอ่ื บาบดั ทุกขเวทนาอันบงั เกดิ ขนึ้ แล้ว มอี าพาธต่างๆ เป็นมลู เพ่ือความเป็นผู้ ไมม่ ีโรคเบียดเบยี นเปน็ อยา่ งยง่ิ ดังน้ี ฯ พร๎ หั ๎มวิหำรผรณปำฐะ (นา) หันทะ มะยัง พ๎รหั ๎มะวหิ ำระผะระณะปำฐงั ภะณำมะ เส. สพั เพ สัตตำ สตั ว์ท้ังหลายทง้ั ปวง อะเวรำ โหนตุ เปน็ ผไู้ มม่ ีเวรเถิด อพั ๎ยำปัชฌำ โหนตุ เปน็ ผไู้ ม่เบียดเบียนกันเถิด วัดปทมุ วนาราม ราชวรวิหาร : ๓๗
อะนฆี ำ โหนตุ เป็นผ้ไู ม่มีทกุ ขก์ ายทุกขใ์ จเถิด สุขี อัตตำนัง ปริหะรันตุ เป็นผมู้ สี ุขรกั ษาตนเถดิ สพั เพ สัตตำ สัตวท์ ง้ั หลายท้งั ปวง ทกุ ขำ ปะมุจจันตุ พน้ จากทกุ ข์เถดิ สัพเพ สัตตำ สัตว์ท้งั หลายท้งั ปวง มำ ลัทธะสัมปัตตโิ ต วคิ จั ฉันตุ อยา่ ไปปราศจากสมบัติอันตนได้ แล้วเถดิ สพั เพ สตั ตำ สัตว์ทัง้ หลายท้ังปวง กมั มัสสะกำ เป็นผมู้ ีกรรมเป็นของ ๆ ตน กมั มะทำยำทำ เปน็ ผู้รบั ผลของกรรม กมั มะโยนี เป็นผมู้ ีกรรมเป็นกาเนิด กมั มะพนั ธู เป็นผู้มีกรรมเปน็ เผ่าพันธุ์ กัมมะปะฏิสะระณำ เปน็ ผมู้ กี รรมเป็นท่ีพึ่งอาศัย ยัง กมั มงั กะริสสันติ จกั ทากรรมอนั ใดไว้ กัล๎ยำณัง วำ ปำปะกัง วำ ดีหรอื ชัว่ ตสั สะ ทำยำทำ ภะวิสสันติ จักเปน็ ผูร้ บั ผลของกรรมนั้น ฯ จบคำทำวตั รเชำ้ ๓๘ : หนังสือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา
ทำวัตรเย็น บทนำนมสั กำร อะระหัง สมั มำสัมพทุ โธ ภะคะวำ, พทุ ธัง ภะคะวันตงั อะภิวำเทมิ. ส๎วำกขำโต ภะคะวะตำ ธัมโม, ธมั มงั นะมัสสำมิ. สุปะฏปิ ันโน ภะคะวะโต สำวะกะสงั โฆ, สังฆงั นะมำมิ. คำแปล พระผมู้ ีพระภาคเจ้า เป็นพระอรหนั ต์ ดบั เพลิงกเิ ลส เพลงิ ทกุ ขส์ ิ้นเชิง ตรสั รู้ ชอบได้โดยพระองค์เอง ขา้ พเจา้ อภวิ าทพระผู้มพี ระภาคเจ้า ผู้รู้ ผ้ตู ื่น ผเู้ บกิ บาน ฯ พระธรรมเป็นธรรมท่ีพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้ดีแล้ว ข้าพเจ้านมัสการ พระธรรม ฯ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีแล้ว ข้าพเจ้านอบน้อม พระสงฆ์ ฯ ปุพพภำคนมกำระ (นา) หันทะ มะยัง พุทธัสสะ ภะคะวะโต ปุพพะภำคะนะมะกำรัง กะโรมะ เส. นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สมั มำสัมพุทธสั สะ. นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมำสมั พุทธสั สะ. นะโม ตสั สะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมำสัมพุทธสั สะ. คำแปล (นา) เชิญเถดิ เราท้งั หลาย ทาความนอบนอ้ มอันเป็นส่วนเบ้ืองต้น แด่พระผู้ มพี ระภาคเจ้าเถิด ฯ วัดปทุมวนาราม ราชวรวหิ าร : ๓๙
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์น้ัน ซ่ึงเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรสั รชู้ อบไดโ้ ดยพระองคเ์ อง ฯ ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซ่ึงเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรูช้ อบได้โดยพระองคเ์ อง ฯ ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ซ่ึงเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรสั รชู้ อบไดโ้ ดยพระองค์เอง ฯ พุทธำนุสสติ (นา) หนั ทะ มะยงั พทุ ธำนสุ สะตนิ ะยงั กะโรมะ เส. (รับ) ตัง โข ปะนะ ภะคะวันตัง เอวัง กัล๎ยำโณ กิตติสัทโท อัพภุคคะโต, อิตปิ ิ โส ภะคะวำ อะระหงั สัมมำสมั พทุ โธ, วิชชำจะระณะ- สัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู, อะนตุ ตะโร ปุรสิ ะทมั มะสำระถิ สัตถำ เทวะ- มะนุสสำนงั พุทโธ ภะคะวำติ. คำแปล (นา) เชิญเถิด เราทง้ั หลาย ทาความตามระลึกถึงพระพุทธเจา้ เถดิ ฯ ก็กิตติศัพท์อันงามของพระผู้มีพระภาคเจ้าน้ัน ได้ฟุ้งไปแล้วอย่างน้ีว่า เพราะเหตุอย่างน้ๆี พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลจากกเิ ลส เปน็ ผตู้ รัสร้ชู อบได้ โดยพระองค์เอง เปน็ ผู้ถึงพร้อมดว้ ยวิชชาและจรณะ เป็นผไู้ ปแล้วด้วยดี เป็นผู้รูโ้ ลก อย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้ อย่างไม่มีใครย่ิงกว่า เป็น ครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ต่ืน ผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มี ความจาเรญิ จาแนกธรรม ส่งั สอนสัตว์ ดงั น้ี ฯ ๔๐ : หนังสอื สวดมนต์ ศาลาพระราชศรัทธา
พทุ ธำภิคีติ (นา) หนั ทะ มะยัง พทุ ธำภคิ ตี ิง กะโรมะ เส. (รับ) พทุ ธ๎วำระหนั ตะวะระตำทคิ ุณำภยิ ุตโต, สุทธำภญิ ำณะกะรณุ ำหิ สะมำคะตตั โต, โพเธสิ โย สชุ ะนะตงั กะมะลังวะ สูโร, วนั ทำมะหงั ตะมะระณงั สริ ะสำ ชเิ นนทงั . พทุ โธ โย สัพพะปำณนี ัง สะระณงั เขมะมุตตะมัง, ปะฐะมำนสุ สะตฏิ ฐำนงั วนั ทำมิ ตงั สเิ รนะหัง. พุทธัสสำหัส๎มิ ทำโส๑ วะ พุทโธ เม สำมกิ ิสสะโร, พทุ โธ ทุกขัสสะ ฆำตำ จะ วิธำตำ จะ หติ ัสสะ เม. พุทธัสสำหงั นยิ ยำเทมิ สะรีรัญชีวติ ญั จทิ ัง, วนั ทนั โตหงั ๒ จะรสิ สำมิ พุทธัสเสวะ สุโพธติ ัง. นตั ถิ เม สะระณงั อัญญัง พทุ โธ เม สะระณัง วะรัง, เอเตนะ สจั จะวัชเชนะ วฑั เฒยยงั สตั ถุ สำสะเน. พทุ ธัง เม วนั ทะมำเนนะ๓ ยัง ปญุ ญงั ปะสุตงั อิธะ, สัพเพปิ อันตะรำยำ เม มำเหสงุ ตัสสะ เตชะสำ. (หมอบกราบลงว่า) กำเยนะ วำจำยะ วะ เจตะสำ วำ, พทุ เธ กุกมั มัง ปะกะตงั มะยำ ยัง, พุทโธ ปะฏิคคณั ห๎ ะตุ อัจจะยันตงั , กำลนั ตะเร สงั วะรติ งุ วะ พุทเธ. ๑. สตรี สวดว่า ทำสี วะ ๒. สตรี สวดวา่ วนั ทนั ตีหงั ๓. สตรี สวดว่า วันทะมำนำยะ วดั ปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๔๑
คำแปล (นา) เชิญเถิด เราทั้งหลาย ทาความขับคาถา พรรณนาเฉพาะพระพุทธเจ้า เถดิ ฯ (รับ) พระพุทธเจ้าประกอบด้วยคุณ มีความประเสริฐ แห่งอรหันตคุณเป็น ตน้ มีพระองคอ์ ันประกอบด้วยพระญาณ และพระกรณุ าอันบรสิ ทุ ธิ์ พระองคใ์ ดทรง กระทาชนที่ดี ให้เบิกบาน ดุจอาทิตย์ทาบัวให้บาน ข้าพเจ้าไหว้พระชินสีห์ผู้ไม่มี กเิ ลสพระองค์น้ัน ดว้ ยเศียรเกล้า พระพทุ ธเจ้าพระองค์ใดเปน็ สรณะอันเกษมสงู สุด ของสตั ว์ท้งั หลาย ข้าพเจ้าไหว้พระพทุ ธเจ้าพระองค์นน้ั อนั เปน็ ที่ต้ังแห่งความระลึก องค์ที่หน่ึง ด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเป็น นาย มีอิสระเหนือข้าพเจ้า พระพุทธเจ้าเป็นเครื่องกาจัดทุกข์ และทรงไว้ซึ่ง ประโยชน์แก่ข้าพเจา้ ข้าพเจา้ มอบกายถวายชีวติ น้ีแด่พระพุทธเจา้ ข้าพเจา้ ผไู้ หว้อยู่ จักประพฤติตาม ซ่ึงความตรัสรู้ดีของพระพุทธเจ้า สรณะอื่นของข้าพเจ้าไม่มี พระพุทธเจา้ เปน็ สรณะอันประเสรฐิ ของข้าพเจา้ ด้วยการกล่าวคาสตั ย์นี้ ข้าพเจา้ พึง เจริญในพระศาสนาของพระศาสดา ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ซึ่งพระพทุ ธเจ้า ได้ขวนขวาย บุญใดในบัดน้ี อันตรายท้งั ปวงอยา่ ได้มีแกข่ า้ พเจ้า ดว้ ยเดชแห่งบุญนนั้ ฯ (หมอบกราบลงวา่ ) “ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี กรรมน่าติเตียนอันใด ที่ข้าพเจ้า กระทาแล้วในพระพุทธเจ้า ขอพระพุทธเจ้าจงงดซ่ึงโทษล่วงเกินอันน้ัน เพ่ือการ สารวมระวังในพระพุทธเจ้า ในกาลตอ่ ไป” ฯ ธัมมำนุสสติ (นา) หันทะ มะยงั ธัมมำนุสสะตินะยงั กะโรมะ เส. (รับ) ส๎วำกขำโต ภะคะวะตำ ธัมโม, สันทิฏฐิโก อะกำลิโก เอหิ- ปสั สโิ ก, โอปะนะยโิ ก ปัจจัตตงั เวทิตพั โพ วิญญหู ตี .ิ ๔๒ : หนังสอื สวดมนต์ ศาลาพระราชศรัทธา
คำแปล (นา) เชิญเถิด เราทง้ั หลาย ทาความตามระลึกถงึ พระธรรมเถดิ ฯ (รับ) พระธรรมเป็นสิ่งที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสไว้ดีแล้ว เป็นส่ิงที่ผู้ ศึกษาและปฏิบัติพึงเห็นได้ด้วยตนเอง เป็นสิ่งท่ีปฏิบัติได้และให้ผลได้ไม่จากัดกาล เป็นสิ่งทค่ี วรกลา่ วกะผู้อืน่ วา่ ท่านจงมาดูเถิด เป็นส่ิงท่ีควรน้อมเข้ามาใส่ตัว เป็นสิ่ง ที่ผรู้ ูก้ ็รูไ้ ดเ้ ฉพาะตน ดงั น้ี ฯ ธมั มำภิคีติ (นา) หนั ทะ มะยัง ธัมมำภิคตี งิ กะโรมะ เส. (รับ) สว๎ ำกขำตะตำทิคณุ ะโยคะวะเสนะ เสยโย, โย มคั คะปำกะปะรยิ ตั ตวิ ิโมกขะเภโท, ธมั โม กุโลกะปะตะนำ ตะทะธำริธำรี, วันทำมะหัง ตะมะหะรัง วะระธมั มะเมตงั . ธมั โม โย สัพพะปำณีนัง สะระณงั เขมะมตุ ตะมงั , ทตุ ยิ ำนสุ สะตฏิ ฐำนัง วนั ทำมิ ตัง สเิ รนะหงั . ธัมมัสสำหัส๎มิ ทำโส วะ ธมั โม เม สำมกิ สิ สะโร, ธัมโม ทุกขัสสะ ฆำตำ จะ วธิ ำตำ จะ หติ สั สะ เม. ธัมมัสสำหงั นิยยำเทมิ สะรรี ัญชีวติ ญั จทิ ัง, วนั ทนั โตหัง จะรสิ สำมิ ธัมมัสเสวะ สุธัมมะตงั . นัตถิ เม สะระณงั อัญญัง ธมั โม เม สะระณัง วะรงั , เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ วัฑเฒยยัง สตั ถุ สำสะเน. ธัมมัง เม วนั ทะมำเนนะ ยัง ปุญญงั ปะสตุ ัง อิธะ, สัพเพปิ อันตะรำยำ เม มำเหสุง ตสั สะ เตชะสำ. วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๔๓
(หมอบกราบลงวา่ ) กำเยนะ วำจำยะ วะ เจตะสำ วำ, ธัมเม กุกมั มงั ปะกะตงั มะยำ ยัง, ธัมโม ปะฏิคคัณ๎หะตุ อจั จะยนั ตงั , กำลนั ตะเร สงั วะริตงุ วะ ธมั เม. คำแปล (นา) เชญิ เถดิ เราทง้ั หลาย ทาความขับคาถาพรรณนาเฉพาะพระธรรมเถิด ฯ (รับ) พระธรรมเป็นสงิ่ ท่ีประเสริฐเพราะประกอบดว้ ยคณุ คอื ความทีพ่ ระผู้มี พระภาคเจ้า ตรัสไว้ดีแล้วเป็นต้น เป็นธรรมอันจาแนกเป็นมรรค ผล ปริยัติ และ นิพพาน เป็นธรรมทรงไว้ซึ่งผู้ทรงธรรม จากการตกไปสู่โลกที่ชั่ว ข้าพเจ้าไหว้พระ ธรรม อันประเสริฐนั้น อนั เป็นเครื่องขจัดเสยี ซ่ึงความมืด พระธรรมใดเป็นสรณะอัน เกษมสูงสุด ของสัตว์ทั้งหลาย ข้าพเจ้าไหว้พระธรรมนั้นอันเป็นที่ต้ังแห่งความ ระลึก องค์ที่สอง ด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจ้าเป็นทาสของพระธรรม พระธรรมเป็น นาย มอี ิสระเหนือขา้ พเจ้า พระธรรมเป็นเคร่ืองกาจัดทุกข์ และทรงไว้ซึ่งประโยชน์ แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจา้ มอบกายถวายชีวิตน้ีแดพ่ ระธรรม ขา้ พเจ้าผู้ไหว้อยู่จกั ประพฤติ ตาม ซ่ึงความเป็นธรรมดีของพระธรรม สรณะอ่ืนของข้าพเจ้าไม่มี พระธรรมเป็น สรณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า ด้วยการกล่าวคาสัตย์น้ี ข้าพเจ้าพึงเจริญในพระ ศาสนาของพระศาสดา ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ซึ่งพระธรรม ได้ขวนขวายบุญใดในบัดนี้ อนั ตรายทั้งปวงอยา่ ได้มแี กข่ า้ พเจา้ ดว้ ยเดชแห่งบญุ นั้น ฯ (หมอบกราบลงวา่ ) “ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี กรรมน่าติเตียนอันใด ที่ข้าพเจ้า กระทาแล้วในพระธรรม ขอพระธรรมจงงดซ่ึงโทษล่วงเกินอันน้ัน เพื่อการสารวม ระวังในพระธรรม ในกาลต่อไป” ฯ ๔๔ : หนงั สือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรัทธา
สงั ฆำนสุ สติ (นา) หันทะ มะยัง สังฆำนุสสะตินะยงั กะโรมะ เส. (รับ) สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สำวะกะสังโฆ, อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สำวะกะสังโฆ, ญำยะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สำวะกะสังโฆ, สำมีจิปะฏปิ นั โน ภะคะวะโต สำวะกะสังโฆ, ยะทิทงั จตั ตำริ ปุริสะยคุ ำนิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลำ, เอสะ ภะคะวะโต สำวะกะสังโฆ, อำหุเนยโย ปำหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลิกะระณีโย, อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกสั สำต.ิ คำแปล (นา) เชญิ เถิด เราทั้งหลาย ทาความตามระลึกถึงพระสงฆ์เถิด ฯ (รับ) สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติดีแล้ว สงฆ์สาวกของ พระผู้มีพระภาคเจ้าหมใู่ ด ปฏิบัติตรงแล้ว สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้าหมู่ใด ปฏิบัติเพื่อรู้ธรรมเป็นเคร่ืองออกจากทุกข์แล้ว สงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า หมู่ใด ปฏิบัติสมควรแล้ว ได้แก่บุคคลเหล่าน้ีคือ คู่แหง่ บรุ ุษ ๔ คู่ นบั เรยี งตัวบุรษุ ได้ ๘ บุรุษ นั่นแหละสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจา้ เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะที่เขา นามาบูชา เป็นสงฆ์ควรแก่สักการะท่ีเขาจัดไว้ต้อนรับ เป็นผู้ควรรับทักษิณาทาน เป็นผู้ที่บุคคลท่ัวไปควรทาอัญชลี เป็นเนื้อนาบุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นย่ิงกว่า ดงั นี้ ฯ สงั ฆำภิคตี ิ (นา) หนั ทะ มะยัง สงั ฆำภิคีติง กะโรมะ เส. (รับ) สัทธัมมะโช สปุ ะฏิปตั ติคณุ ำทยิ ุตโต, โยฏฐัพพโิ ธ อะริยะปุคคะละสังฆะเสฏโฐ, สลี ำทิธัมมะปะวะรำสะยะกำยะจิตโต, วัดปทมุ วนาราม ราชวรวิหาร : ๔๕
วันทำมะหงั ตะมะรยิ ำนะ คะณงั สุสทุ ธงั . สงั โฆ โย สพั พะปำณีนงั สะระณงั เขมะมตุ ตะมัง, ตะตยิ ำนสุ สะตฏิ ฐำนงั วนั ทำมิ ตงั สเิ รนะหงั . สงั ฆสั สำหัส๎มิ ทำโส วะ สังโฆ เม สำมกิ สิ สะโร, สังโฆ ทกุ ขสั สะ ฆำตำ จะ วธิ ำตำ จะ หติ ัสสะ เม. สังฆสั สำหัง นยิ ยำเทมิ สะรีรัญชีวติ ญั จทิ งั , วันทนั โตหัง จะริสสำมิ สงั ฆสั โสปะฏปิ นั นะตัง. นตั ถิ เม สะระณัง อัญญัง สงั โฆ เม สะระณงั วะรงั , เอเตนะ สจั จะวัชเชนะ วัฑเฒยยงั สตั ถุ สำสะเน. สังฆงั เม วนั ทะมำเนนะ ยัง ปญุ ญงั ปะสตุ งั อธิ ะ, สัพเพปิ อนั ตะรำยำ เม มำเหสุง ตสั สะ เตชะสำ. (หมอบกราบลงว่า) กำเยนะ วำจำยะ วะ เจตะสำ วำ, สังเฆ กกุ มั มัง ปะกะตัง มะยำ ยงั , สังโฆ ปะฏคิ คัณห๎ ะตุ อจั จะยันตงั , กำลนั ตะเร สงั วะริตงุ วะ สังเฆ. คำแปล (นา) เชญิ เถิด เราทั้งหลาย ทาความขบั คาถา พรรณนาเฉพาะพระสงฆ์เถิด ฯ (รับ) พระสงฆ์ที่เกดิ โดยพระสัทธรรม ประกอบด้วยคุณ มีความปฏิบัตดิ ีเป็น ต้น เป็นหมู่แห่งพระอริยบุคคลอันประเสริฐแปดจาพวก มีกายและจิตอันอาศัย ธรรม มีศีลเป็นต้นอันบวร ข้าพเจ้าไหว้หมู่แห่งพระอริยเจ้าเหล่าน้ัน อันบริสุทธ์ิ ด้วยดี พระสงฆ์หมู่ใดเป็นสะระณะอันเกษมสูงสุดของสัตว์ทั้งหลาย ข้าพเจ้าไหว้ พระสงฆ์หมู่นั้น อันเป็นท่ีตั้งแหง่ ความระลึกองค์ท่ีสาม ด้วยเศียรเกล้า ข้าพเจา้ เป็น ๔๖ : หนงั สือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา
ทาสของพระสงฆ์ พระสงฆ์เปน็ นาย มอี ิสระเหนือขา้ พเจ้า พระสงฆ์เป็นเครื่องกาจัด ทุกข์ และทรงไว้ซึ่งประโยชน์แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้ามอบกายถวายชีวิตนี้แด่พระสงฆ์ ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่จักประพฤติตาม ซ่ึงความปฏิบัติดีของพระสงฆ์ สะระณะอ่ืนของ ข้าพเจ้าไม่มี พระสงฆ์เปน็ สะระณะอันประเสริฐของข้าพเจ้า ด้วยการกล่าวคาสัตย์นี้ ข้าพเจ้าพึงเจริญในพระศาสนาของพระศาสดา ข้าพเจ้าผู้ไหว้อยู่ซ่ึงพระสงฆ์ ได้ ขวนขวายบุญใดในบัดนี้ อนั ตรายทั้งปวงอยา่ ได้มีแกข่ า้ พเจ้า ดว้ ยเดชแห่งบญุ น้ัน ฯ (หมอบกราบลงว่า) “ด้วยกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี กรรมน่าติเตียนอันใดท่ีข้าพเจ้าได้ กระทาแลว้ ในพระสงฆ์ ขอพระสงฆ์จงงดซึ่งโทษลว่ งเกินอันนัน้ เพ่ือการสารวมระวัง ในพระสงฆ์ ในกาลตอ่ ไป” ฯ อตีตปัจจเวกขณปำฐะ (นา) หนั ทะ มะยัง อะตตี ะปจั จะเวกขะณะปำฐงั ภะณำมะ เส. (รับ) อชั ชะ มะยำ อะปัจจะเวกขิต๎วำ ยัง จีวะรัง ปะริภตุ ตงั , ตัง ยำวะเทวะ สตี ัสสะ ปะฏฆิ ำตำยะ, อณุ ๎หัสสะ ปะฏิฆำตำยะ, ฑงั สะมะกะ- สะวำตำตะปะสิรงิ สะปะสัมผัสสำนัง ปะฏิฆำตำยะ, ยำวะเทวะ หิริโกปิ- นะปะฏิจฉำทะนตั ถงั . อัชชะ มะยำ อะปัจจะเวกขิต๎วำ โย ปิณฑะปำโต ปะริภุตโต, โส เนวะ ทว๎ ำยะ นะ มะทำยะ นะ มณั ฑะนำยะ นะ วิภสู ะนำยะ, ยำวะเทวะ อิมัสสะ กำยัสสะ ฐิติยำ ยำปะนำยะ วิหิงสุปะระติยำ พ๎รัห๎มะจะริยำ- นุคคะหำยะ, อิติปุรำณัญจะ เวทะนัง ปะฏิหังขำมิ นะวัญจะ เวทะนัง นะ อปุ ปำเทสสำมิ, ยำต๎รำ จะ เม ภะวสิ สะติ อะนะวัชชะตำ จะ ผำสวุ ิหำโร จำติ. วัดปทมุ วนาราม ราชวรวิหาร : ๔๗
อัชชะ มะยำ อะปัจจะเวกขิต๎วำ ยัง เสนำสะนัง ปะริภุตตัง, ตงั ยำวะเทวะ สีตัสสะ ปะฏฆิ ำตำยะ, อณุ ๎หัสสะ ปะฏิฆำตำยะ, ฑงั สะมะ- กะสะวำตำตะปะสิริงสะปะสัมผัสสำนัง ปะฏิฆำตำยะ, ยำวะเทวะ อุตุ- ปะรสิ สะยะวิโนทะนัง ปะฏสิ ลั ลำนำรำมตั ถัง. อัชชะ มะยำ อะปัจจะเวกขิต๎วำ โย คิลำนะปัจจะยะเภสัชชะ- ปะริกขำโร ปะริภุตโต, โส ยำวะเทวะ อุปปันนำนัง เวยยำพำธิกำนัง เวทะนำนัง ปะฏฆิ ำตำยะ, อพั ย๎ ำปชั ฌะปะระมะตำยำติ. คำแปล จีวรใด อันเรานุ่งห่มแล้ว ไม่ทันพิจารณาในวันน้ี จีวรน้ัน เรานุ่งห่มแล้ว เพียงเพื่อบาบัดความหนาว เพ่ือบาบัดความร้อน เพื่อบาบัดสัมผัสอันเกิดจาก เหลือบ ยุง ลม แดด และสัตวเ์ ลื้อยคลานท้ังหลาย และเพียงเพื่อปกปดิ อวัยวะ อัน ให้เกิดความละอาย บิณฑบาตใด อันเราฉันแล้ว ไม่ทันพิจารณาในวันนี้ บิณฑบาตนั้น เราฉัน แล้ว ไมใ่ ชเ่ ปน็ ไปเพ่ือความเพลิดเพลินสนุกสนาน ไมใ่ ช่เป็นไปเพ่ือความเมามนั เกิด กาลังพลังทางกาย ไม่ใช่เป็นไปเพ่ือประดับ ไม่ใช่เป็นไปเพื่อตกแต่ง แต่ให้เป็นไป เพียงเพื่อความตั้งอยู่ได้แห่งกายนี้ เพ่ือความเป็นไปไดข้ องอัตภาพ เพื่อความสิ้นไป แห่งความลาบากทางกาย เพ่ืออนุเคราะห์แก่การประพฤติพรหมจรรย์ ด้วยการ กระทาอย่างน้ี เราย่อมระงับเสียได้ซึ่งทุกขเวทนาเก่า คือ ความหิว และไม่ทา ทุกขเวทนาใหม่ให้เกิดขึ้น อน่ึง ความเป็นไปโดยสะดวกแห่งอัตภาพน้ีด้วย ความ เปน็ ผู้หาโทษมิไดด้ ว้ ย และความเป็นอยู่โดยผาสุกด้วย จกั มีแก่เรา ดังน้ี เสนาสนะใด อันเราใช้สอยแล้ว ไมท่ ันพิจารณาในวันน้ี เสนาสนะนั้น เราใช้ สอยแล้ว เพียงเพือ่ บาบัดความหนาว เพ่ือบาบัดความร้อน เพื่อบาบัดสัมผัสอันเกิด จาก เหลือบ ยุง ลม แดด และสตั ว์เลื้อยคลานทั้งหลาย เพียงเพื่อบรรเทาอันตราย ๔๘ : หนังสอื สวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา
อันจะพึงมีจากดินฟ้าอากาศ และเพ่ือความเป็นผู้ยินดีอยู่ได้ ในท่ีหลีกเร้นสาหรับ ภาวนา คลิ านเภสัชบริขารใด อันเราบริโภคแล้ว ไม่ทันพิจารณาในวนั นี้ คลิ านเภสัช บริขารน้ัน เราบริโภคแล้ว เพียงเพ่ือบาบัดทุกขเวทนาอันบังเกิดขึ้นแล้ว มีอาพาธ ต่าง ๆ เป็นมลู เพือ่ ความเปน็ ผไู้ มม่ ีโรคเบียดเบียน เปน็ อย่างย่ิง ดังน้ี ฯ อภิณห๎ ปจั จเวกขณปำฐะ (นา) หันทะ มะยัง ปัญจะอภิณ๎หะปัจจะเวกขะณะปำฐัง ภะณำมะ เส. (รับ) ชะรำธัมโมม๎หิ ชะรัง อะนะตโี ต, พย๎ ำธธิ ัมโมม๎หิ พย๎ ำธิง อะนะตโี ต, มะระณะธมั โมม๎หิ มะระณัง อะนะตโี ต, สัพเพหิ เม ปิเยหิ มะนำเปหิ นำนำภำโว วินำภำโว, กัมมสั สะโกม๎หิ กัมมะทำยำโท กัมมะโยนิ กัมมะพันธุ กัมมะปฏิสะระโณ, ยัง กัมมัง กะรสิ สำมิ กลั ๎ยำณัง วำ ปำปะกงั วำ ตัสสะ ทำยำโท ภะวสิ สำม.ิ ชะรำธมั โมม๎หิ, เรามีความแก่เปน็ ธรรมดา, ชะรัง อะนะตีโต. จะลว่ งความแกไ่ ปไม่ได้. พ๎ยำธิธัมโมม๎ห,ิ เรามคี วามเจบ็ ไขเ้ ปน็ ธรรมดา, พ๎ยำธิง อะนะตีโต. จะลว่ งความเจ็บไข้ไปไมไ่ ด้. มะระณะธัมโมม๎ห,ิ เรามีความตายเป็นธรรมดา, มะระณงั อะนะตโี ต. จะล่วงความตายไปไมไ่ ด้. สัพเพหิ เม ปเิ ยหิ มะนำเปหิ นำนำภำโว วินำภำโว, วัดปทุมวนาราม ราชวรวหิ าร : ๔๙
เราจะละเว้นเป็นต่าง ๆ, คอื ว่าจะ พลัดพราก, จากของรกั ของเจรญิ ใจทัง้ หลายท้งั ปวง, กมั มัสสะโกม๎หิ, เราเป็นผมู้ กี รรมเปน็ ของๆ ตน, กมั มะทำยำโท, เป็นผู้รบั ผลของกรรม, กมั มะโยน,ิ เปน็ ผูม้ กี รรมเป็นกาเนดิ , กมั มะพนั ธ,ุ เป็นผูม้ ีกรรมเปน็ เผ่าพันธุ,์ กัมมะปะฏสิ ะระโณ, เปน็ ผู้มกี รรมเป็นที่พ่งึ อาศยั , ยัง กมั มงั กะรสิ สำม,ิ เราจักทากรรมอันใดไว้, กลั ย๎ ำณัง วำ ปำปะกัง วำ, ดหี รือชั่ว, ตัสสะ ทำยำโท ภวสิ สำมิ, เราจักเปน็ ผู้รบั ผลของกรรมนั้น, เอวัง อมั เ๎ หหิ อะภิณ๎หงั ปัจจะเวกขิตัพพัง. เราทง้ั หลาย ควรพจิ ารณางอยา่ งน้ี ทุกวัน. จบคำทำวัตรเย็น ๕๐ : หนงั สือสวดมนต์ ศาลาพระราชศรทั ธา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329