Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Essential English Grammar Book

Essential English Grammar Book

Published by milkmap, 2022-07-05 13:54:35

Description: Essential English Grammar Book

Search

Read the Text Version

6. to be similar to ... = เหมอื นหรือคล้าย เชน่ - The red dress is similar to the blue one. (one = dress) - Her idea is similar to mine. (mine = my idea) 2. การเปรียบเทยี บขั้นกว่า (Comparative Degree) การเปรยี บเทยี บขัน้ กวา่ เป็นการเปรยี บเทยี บในจํานวนสองเทา่ นั้ น เชน่ - Your cooking is better than my cooking. (การทาํ อาหารของคุณดกี ว่าการทําอาหารของฉัน) - Their house is further from here than our house. (บ้านของพวกเขาไกลจากทน่ี ่ี มากกว่าบ้านของพวกเรา) วิธกี ารเปรยี บเทยี บ คือ 1. เตมิ er หลังคํา adjective หรอื คํา adverb ขนั้ ธรรมดา เชน่ hard = harder fast = faster small = smaller 2. เตมิ more หน้ าคํา adjective หรอื คํา adverb ขนั้ ธรรมดา เชน่ diligent = more diligent beautiful = more beautiful Intelligent = more Intelligent cheerful = more cheerful 3. การเปรยี บเทยี บขั้นสงู สุด (Superative Degree) การเปรยี บเทยี บขัน้ สงู สดุ เป็นการเปรยี บเทยี บในจํานวนมากกว่าสองข้นึ ไป เชน่ - Paris is the most beautiful city I’ve ever seen. (ปารสี คือเมืองทส่ี วยท่สี ุดท่ฉี ันเคยเห็น) - It’s the shortest route to the stadium. (มันคือทางท่สี ั้นทส่ี ุดทจ่ี ะไปสเตเดียม) วธิ กี ารเปรยี บเทยี บ คือ 1. เตมิ est หลงั คํา adjective หรอื คํา adverb ขนั้ ธรรมดา เชน่ common = commonest wise = wisest hot = hottest 2. เตมิ the most หน้ าคํา adjective หรอื คําadverb ขัน้ ธรรมดา เชน่ beautiful = the most beautiful Important = the most important careful = the most careful ** ข้อสังเกต adjective และ adverb บางตัวในตัวอย่างไม่ได้เตมิ -er หรอื -est โดยตรง อาจมกี ารเปล่ยี นรูปเพ่ิมตัวสะกด หรอื เตมิ เพียง -r หรอื -st ในกรณีท่ี ลงทา้ ยด้วย e 99

หลักการสรา้ งคํา adjective และคํา adverb ขั้นกว่าและขั้นสุด 1. คําพยางค์เดียว ลงทา้ ยดว้ ยพยัญชนะ 2 ตวั หรอื ลงทา้ ยดว้ ยพยัญชนะตวั เดยี วมี สระ 2 ตวั ให้เติม -er และ -est ได้ เชน่ soft softer softest น่ มุ long longer longest ยาว deep deeper deepest ลกึ clear clearer clearest ชดั เจน fair fairer fairest ยตุ ธิ รรม 2. คําพยางค์เดยี ว มีสระเดียว มีตัวสะกดเดยี ว ให้เพ่ิมตัวสะกดอีกตวั ก่อนเตมิ - er และ -est เชน่ wet wetter wettest เปียก thin thinner thinnest ผอม fat fatter fattest อ้วน big bigger biggest ใหญ่ hot hotter hottest รอ้ น 3. คํา adjective หรอื adverb ทล่ี งทา้ ย -e ให้เติม -r หรอื -st ในขนั้ กวา่ และขัน้ สุด ตามลําดบั เชน่ wise wiser wisest ฉลาด large larger largest ใหญ่, กวา้ ง brave braver bravest กลา้ หาญ safe safer safest ปลอดภยั 4. คํา adjective หรอื adverb ทล่ี งทา้ ยดว้ ย y และหน้ า y เป็นพยญั ชนะ เปล่ยี น y เป็น i และเตมิ -er หรอื -est เชน่ dry drier driest แห้ง grey greyer greyest สี เทา **หน้ า y เป็นสระ เติม -er , -est 5. คําสองพยางค์ท่ลี งทา้ ยด้วย er , le และ ow ให้เติม -er และ -est เชน่ clever cleverer cleverest ฉลาด shallow shallower shallowest ตื้น narrow narrower narrowest แคบ bitter bitterer bitterest ขมขนื่ 6. คําสองพยางค์ ลงเสียงหนั ก (stressed) พยางค์หลังให้เตมิ -er และ -est เชน่ polite politer politest สภุ าพ pretty prettier prettiest สวย sincere sincerer sincerest จรงิ ใจ 7. คําบางคําใชไ้ ดท้ งั้ 2 แบบ คือ เติม er , est หรอื more , the most เชน่ quiet quieter quietest เงยี บ more quiet the most quiet cheerful cheerfuler cheerfulest รา่ เรงิ more cheerful the most cheerful 100

8. คําทต่ี ้องเตมิ more / most คือ คํามากกวา่ 2 พยางค์ หรอื คําสองพยางค์ท่ลี งเสียง หนั ก (stressed) พยางค์แรก เชน่ hopeful more hopeful most hopeful มคี วามหวัง learned more learned most learned คงแก่เรยี น charming more charming most charming มีเสน่ ห์ 9. คําทเ่ี ปล่ยี นรูป better best ดี เชน่ good (well) worse worst เลว bad (badly) more most มาก much (many) less least น้ อย little farther farthest ไกล far further furthest เหนื อขนั้ , สูง far การใช้ Comparatives Degree 1. ใช้ comparative หรอื ขัน้ กว่า เมอ่ื เปรยี บเทยี บส่ิงหน่ึ งกับอีกส่ิงหน่ึ ง (แสดงวา่ ตอ้ งมี สองส่ิงหรอื สองบคุ คลจะน้ อยกวา่ น้ี หรอื เกินจากน้ี ไมไ่ ด)้ ใชโ้ ครงสรา้ งดงั น้ี adjective + er หรอื more + adjective … (than) เชน่ - Martin is taller than Annie. - Annie is shorter than Martin. 2. บางครงั้ หากมีการเอย่ ถึงส่ิงนั้ นในเชงิ การเปรยี บเทยี บกับอีกส่ิงท่ไี มไ่ ด้เอย่ ข้ึนมา เพียงแตบ่ อกถึงส่ิงท่ี “…มากกวา่ ” เทา่ นั้ นก็พอ อยา่ งน้ี ไมต่ อ้ งมี than ตามมา เชน่ - My book is thicker than yours, (yours = your book) - My book is thicker. 3. หากตอ้ งการเน้ นปรมิ าณมากน้ อยของ comparative adjectives กส็ ามารถทําได้ โดยวางคําหรอื วลีดังต่อไปน้ี ข้างหน้ า ไดแ้ ก่ (very) much, a lot, a little, a (little) bit, rather, หรอื far (= very much) เชน่ - Ridding a motorbike is much more dangerous than driving a car. (การขบั ข่รี ถมอเตอรไ์ ซค์อันตรายกว่าการขับรถยนต์เป็นอยา่ งมาก) - David’s kitchen is very dirty. Mine is a little bit cleaner. (ครวั ของเดวดิ สกปรกมาก ครวั ของผมสะอาดกว่าเลก็ น้ อย) 4. ใช้ double comparatives เพ่ือแสดงว่าสองส่ิงนั้ นผนั แปรตามกัน โครงสรา้ งคือ The + comparative clause, the + comparative clause เชน่ - The smaller a car is, the easier it is to park. (ย่งิ รถยนต์มีขนาดเลก็ ลงเทา่ ไร ก็ย่ิงหาทจ่ี อดได้งา่ ยข้ึนเทา่ นั้ น) - The colder the weather is, the higher my heating bills are. (ย่งิ อากาศหนาวเยน็ ลงเทา่ ใด ค่าใชจ้ า่ ยด้านเครอ่ื งทํา ความรอ้ นก็สงู ข้นึ เทา่ นั้ น) 101

การใช้ Superlative Degree 1. ใช้ superlative หรอื ขนั้ สดุ เมื่อมีการเปรยี บเทยี บส่ิงหน่ึ งในจํานวนตัง้ แตส่ ามข้ึนไป (แสดงวา่ ตอ้ งมีจํานวนตัง้ แต่ 3 ถงึ จะใช้ superlative ได)้ ใชโ้ ครงสรา้ งดังน้ี the + adjective + est หรอื the + most/least + adjective เชน่ - Martin is the tallest of the three children. - The river Danube is the shortest. 2. หน้ า superlative adjectives อาจจะเสรมิ ดว้ ยคําหรอื วลตี อ่ ไปน้ี กไ็ ด้ คือ easily หรอื by far ทงั้ น้ี เพ่ือให้การเน้ นยาํ้ มากเป็นพิเศษ เชน่ - The Nile is by far the longest river in the world. - What’s easily the most interesting book you’ve ever read? 3. เปรยี บเทยี บความมากกว่า/น้ อยกว่าของนาม (more/less/fewer + Noun + than) โดยใชโ้ ครงสรา้ ง ดงั น้ี more + Countable/Uncountable Noun + than + Countable/ Uncountable Noun หรอื fewer + Countable Noun + than + Countable Noun หรอื less + Uncountable Noun + than + Uncountable Noun เชน่ - There’s more steak than chicken. - There’s less chicken than steak. 102

Direct and Indirect Speech บางครงั้ เราจําเป็นต้องยกคําพูดของผอู้ น่ื มาเลา่ เรอื่ ง โดยในภาษาองั กฤษมี 2 วิธี คือ Direct Speech (การพูดโดยตรง) และการพดู โดยเปล่ียน Direct Speech เป็น Indirect Speech (การนํ าคําพดู คนอื่นมาพูดต่อ) ซง่ึ มกี ฎการเปล่ยี นค่อนข้างยงุ่ ยากที เดยี ว ดังนั้ นเราจะมาอธบิ ายกันอย่างละเอยี ดเลย Direct Speech คือ การนํ าคําพูดของผอู้ น่ื มาพูดแบบตรง ๆ โดยไม่มกี ารเปล่ียนแปลงโครงสรา้ งหรอื เติมคําพดู ใดๆ เข้าไป และคําพดู นั้ นจะอย่ใู นเครอื่ งหมายคําพดู (Quotation Mark “...”) เชน่ - Tom said, “I have dinner with my wife.” หรอื “I have dinner with my wife.”, Tom said. (ทอมพูดวา่ “ผมทานม้ือเยน็ กบั ภรรยาของผม”) หรอื - She said, “I’m teaching English online.” “I’m teaching English online,” she said. (เธอพูดวา่ “ฉันกําลงั สอนภาษาอังกฤษออนไลน์ ”) ข้อควรจาํ 1. หลังประโยคหลักจะตอ้ งคัน่ ดว้ ยเครอ่ื งหมาย comma (,) เสมอ เชน่ She said, “I’m teaching English online.” 2. หากสลับเอาประโยคในเครอ่ื งหมายคําพดู ข้ึนก่อน เม่อื จบประโยค ให้ใส่ toเครอื่ งหมาย comma แลว้ ปิดดว้ ยเครอื่ งหมายคําพูด จึงตามด้วยชอ่ื ผพู้ ูด เชน่ “I’m teaching English online,” she said. 3. ประโยคในเครอื่ งหมายคําพูดจะข้นึ ตน้ ดว้ ยตัวพิมพ์ใหญ่ Indirect Speech คือ การนํ าคําพดู ของผอู้ ่ืนมาดดั แปลงเป็นคําพูดของผพู้ ูดเอง แลว้ เล่าให้ผอู้ ื่นฟัง จะมกี ารเปล่ียนแปลงโครงสรา้ งประโยคเดิม และไมม่ กี ารใส่เคร่อื งหมายคําพดู เชน่ Direct Speech: Tom said, “I have dinner with my wife.” (ทอมพดู ว่า “ผมทานม้ือเย็นกบั ภรรยาของผม”) Indirect Speech: Tom said (that) he had dinner with his wife. (ทอมพูดว่าเขาทานมอื้ เยน็ กับภรรยาของเขา) Direct Speech: She said, “I’m teaching English online.” (เธอพูดวา่ “ฉันกําลังสอนภาษาองั กฤษออนไลน์ ”) Indirect Speech: She said (that) she was teaching English online. (เธอพูดว่าเธอกําลังสอนภาษาอังกฤษออนไลน์ ) 103

กฎพื้นฐานในการเปล่ยี น Direct เป็น Indirect Speech 1. เปล่ยี น Tense Direct Speech Indirect Speech FiDirectSpeechPresent simple Past simple Present continuous Past continuous Present perfect simple Past perfect simple Present perfect continuous Past perfect continuous Past simple Past perfect Past continuous Past perfect continuous Past perfect Past perfect continuous Past perfect Future simple Past perfect continuous Future in past forms (would) เปล่ยี น Modal Verbs (กรยิ าชว่ ย) Indirect Speech Direct Speech would / should could will / shall might can had to may must **Direct Speech ท่ใี ช้ Modal Verbs – could, would, should, might และ ought to อยแู่ ลว้ เมือ่ ทําเป็น Indirect Speech ไมต่ อ้ งเปล่ยี นคํากรยิ าชว่ ยเหล่าน้ี 2. เปล่ียนคํากรยิ าของประโยคนํ า (Reporting Verb) Indirect Speech says says (that) said said (that) say to + บคุ คล tell + บคุ คล + (that) said to + บคุ คล told + บคุ คล + (that) 3. เปล่ยี นคําแสดงระยะใกลเ้ ป็นไกล (Nearness → Remoteness) Direct Speech Indirect Speech here there this that these those 104

4. เปล่ยี นสรรพนามบคุ คล (Personal Pronoun) Direct Speech Indirect Speech I he/she me him/her my his/her mine his/hers myself himself/herself we us they our them ours their ourselves theirs you (ประธาน) themselves you (กรรม) he/she your me yours my yourself mine yourselves myself ourselves 5. เปล่ยี นคําบอกเวลา (Adverbs of time) Direct Speech Indirect Speech today that day yesterday the day before tomorrow last night/week/month/year the next day next night/week/month/year the night/week/month/year before the following night/week/month/ year ago a year/month ago before a year/month before now come then go Indirect Speech แบ่งเป็น 3 ประเภท ดงั น้ี 1. Indirect Speech – Statement คือ รูปประโยคบอกเลา่ หรอื ประโยคปฏเิ สธ มีหลักการเปล่ียนดงั น้ี ตดั เครอื่ งหมาย comma (,) และเครอื่ งหมายคําพูด (“.....”) ออก เปล่ียน Reporting Verb ตามความเหมาะสม เปล่ียนสรรพนามให้เหมาะสม เปล่ยี นคําแสดงระยะใกลเ้ ป็นไกล และคําระบเุ วลา 105

- เปล่ียน Tense ให้เหมาะกบั Reporting Verb ดงั น้ี ถา้ Reporting Verb ใน Direct Statement อย่ใู นรูป Present Tense ไม่ต้อง เปล่ียน Tense ใน Indirect Statement แตต่ อ้ งเปล่ียนรูปกรยิ าตามประธานในประโยค เชน่ Direct Speech: She says, “I am happy.” Indirect Speech: She says (that) she is happy. ถา้ Reporting Verb ใน Direct Statement อย่ใู นรูป Past tense ต้องเปล่ยี น Tense ใน Indirect Statement (ดกู ฎการเปล่ยี น Tense ได้ตามตารางดา้ นบน) เชน่ เปล่ียนจาก Present simple tense เป็น Past simple tense Direct Speech: She said, “I drink milk.” Indirect Speech: She said (that) she drank milk. เปล่ยี น will เป็น would Direct Speech: He said, “I will meet her here tomorrow.” Indirect Speech: He said (that) he would meet there the next day. ! !ตดั , และ “...” เปล่ยี นสรรพนาม เปล่ียน Reporting Verb “I เปล่ยี น Tense ให้เหมาะกบั Reporting Verb i. เปล่ยี นคําแสดงเวลา deci.di ed to leave earlier today.” Direct speech : She said, She#said (that) she had decided - Indirect speech : to earlier that day. leave - 2. Indirect Speech – Commands, Requests, Suggestions คือ รูป ประโยคคําสั่ง ขอรอ้ ง หรือขออนุญาต มีหลกั การเปล่ียนดังน้ี I ใชก้ รยิ านํ า (Reporting Verb) ให้เหมาะสม เชน่ tell/told (บอก), ask/asked (ขอรอ้ ง), request/requested (ขอรอ้ ง), beg/begged (วงิ วอน), advise/advised (แนะนํ า), propose/proposed (เสนอแนะ), command/commanded (สั่ง), order/ ordered (สั่ง), forbid/forbade (สั่ง ห้าม), warn/warned (เตือน) / ใช้ to+V.1 ในการ บอก, แนะนํ า, ขอรอ้ งหรอื สั่งให้ทํา ถา้ เป็นปฏเิ สธหรอื ห้ามทาํ ใช้ not to + V.1 . ถา้ ประโยค Direct Speech ไมม่ กี รรม ให้เตมิ กรรมในประโยค Indirect Speech - ถ้าในประโยค Direct Speech มีคําว่า please ให้ตดั ออก เชน่ Direct Speech: The teacher said, “come in.” Indirect Speech: The teacher told him to come in. Direct Speech: Tom begged, “Please move into the living room.” Indirect Speech: Tom begged me to move into the living room. Direct Speech: The doctor said, “Don’t smoke.” Indirect Speech: The doctor advised me not to smoke. ใช้ Reporting Verb ให้เหมาะสม ตดั ออก เปล่ยี นสรรพนาม b bt Direct Speech : He asked, “Plea. se let . go to the party.” me Indirect Speech : He=asked me to let her go to the party. ถ้า direct ไมม่ ีกรรม ตอ้ งเตมิ กรรมใน indirect ใช้ to + V.1 ในการขอร้อง 106

3. Indirect Speech – Question คือ รูปประโยคคําถาม มีหลักการเปล่ยี นดังน้ี I ตัดเครอ่ื งหมายคําถาม (?) ออก เพ่ือให้อย่ใู นรูปประโยคบอกเล่า 1 เปล่ยี นกรยิ านํ า (Reporting Verb) จาก say, said, told เป็น ask/ asked (ถาม), inquire/inquired of (สอบถาม) . ประโยคคําถามทข่ี ้นึ ต้นด้วย Verb to do, to have, to be, และกรยิ าชว่ ย จะตอ้ ง เชอ่ื มประโยคด้วย if, whether, whether or not, whether....or not to I ประโยคคําถามทข่ี ้ึนด้วย Wh-Questions: What, Where, When, Why, Who, Whom, Whose และ How ใชค้ ําเหลา่ น้ี เป็นตวั เชอ่ื มประโยคไดเ้ ลย - เขยี นประโยคให้อยใู่ นรูปประโยคบอกเล่า I เปล่ียน Tense ให้เหมาะกบั Reporting Verb เชน่ Direct Speech: James said to us, “Are you leaving for Bangkok today?” Indirect Speech: James inquired of us whether we were leaving for Bangkok that day. Direct Speech: She said to me, “Can you sing a song?” Indirect Speech: She asked me if I could sing a song. Direct Speech: He said to her, “What are you doing now?” Indirect Speech: He asked her what she was doing then. เปล่ยี น Reporting Verb ใช้ Wh-Question เชื่อมประโยคไดเ้ ลย เปล่ียนสรรพนาม Direct Speech : He said to her, “How did you make it?” ตดั ออก Indirect Speech : He asked her how she had done it. เปล่ยี น Tense ให้เหมาะสมกับ Reporting Verb ** เขียนให้อย่ใู นรูปประโยคบอกเล่า 107

Subjunctive Sentences คือ ประโยคแสดงความตอ้ งการ (Demand or Request), ความปรารถนา (Wish), เงอ่ื นไขสมมตุ ิ (Condition), ความสงสัยไม่แน่ ใจ (Doubt) หรอื ส่ิงท่อี าจเกิดข้ึนได้ (Possibility) Present Subjective แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ Past 1.Present Subjunctive Past Perfect 2.Past Subjunctive 3.Past Perfect Subjective Present Subjunctive คือ ประโยคทแ่ี สดงความต้องการ ( Demands or Requests) ความจําเป็น ( Necessities) หรอื ความปรารถนา (Wish) ท่เี ป็นไปได้ Demands or Requests (แสดงความตอ้ งการ) Subject + V. + that + Subject + (should) + V.infinitive มักละ should ในฐานทเ่ี ข้าใจหลังคํากรยิ าเหลา่ น้ี advise (แนะนํ า,สั่งสอน) ask (ขอรอ้ ง) command (สั่ง) move (เสนอ) demand (ตอ้ งการ) insist (ยืนกราน) propose (เสนอ) require (ต้องการ) order (สั่ง) prefer (ชอบมากกว่าท่จี ะ) maintain (ยืนยนั ) urge (กระตุ้น) recommend (แนะนํ า) request (ขอรอ้ ง) decree (บญั ชา) desire (ปรารถนาให้เป็น) pray (ออ้ นวอน) suggest (แนะนํ า) เชน่ - The teacher demands that we be on time. - I insisted that he pay me the money. - I suggested that you should come early. ** ไมม่ ีการเตมิ s หรอื es ท่กี รยิ าในประโยคหลัง that แมว้ ่าประธานจะเป็นเอกพจน์ ไม่มกี ารเปล่ยี น Tense ในประโยคหลัง that โดยเดด็ ขาด ถ้าในประโยค มี Verb to be ให้ใช้ be / ถา้ เป็นปฏิเสธก็ให้ใส่ not เข้าไปหน้ ากรยิ ารูปธรรมดา 108

Necessities (แสดงความจําเป็น) ItIt is+ important + that + subject + (should) + V.infinitive necessary essential imperative advisable significant necessary preferable เชน่ - It is advisable that you should go meet the doctor. - It is essential that we have healthy meals and snacks. Wishes (แสดงความปรารถนา) It is (my,their, his etc.) wish that + subject+ (should) + V.infinitive เชน่ - It’s my wish that you should get back home now. - It’s my wish that you should study hard. Past Subjunctive คือ ประโยคท่แี สดงความปรารถนา ทไ่ี ม่สามารถเกิดข้นึ จรงิ เป็นไปไมไ่ ด้หรอื ตรงขา้ ม กับความเป็นจรงิ ในปัจจบุ ัน ( Present Unreal) Subject + wish (es) + (that) Subject + V.2 If only + (that) Subject + V.2 เชน่ - I wish I were Big John. (but I am not) - I wish I were a millionaire. (but I am not) - Molly looks as if she knew the answer. Keywords wish, if only, as if, as though สามารถใช้ if only แทน wish ได้ ** ประโยคเหลา่ น้ี กรยิ าท่ตี ามหลังจะเป็น Past tense เสมอ สําหรบั verb to be ให้ใช้ were กับทกุ บรุ ุษ ส่วนกรยิ าชว่ ย(Modals)ประเภทอื่นๆการใชม้ กั อยใู่ นรูปอดีตเสมอ 109

นอกจากน้ี Past Subjunctive ยงั ถกู นํ าไปใชต้ ามหลังกลมุ่ คําหรอื หลงั ขอ้ ความตอ่ ไปน้ี it’s time + subject + V.2 = ถึงเวลาแล้วท่…ี it’s hight time + subject + V.2 = ถึงเวลาพอดแี ลว้ ท…่ี it’s hight noon + subject + V.2 = ถึงกําหนดเต็มทแ่ี ลว้ ท…่ี Subject + would rather + subject + V.2 = …อยากจะให้เป็นว่า… เชน่ - It’s time the kids were in bed. - I would rather you boyfriend stopped calling you in the middle of the night. Past Perfect Subjunctive คือ ประโยคทแ่ี สดงความปรารถนา ท่ไี มส่ ามารถเกิดข้ึนจรงิ เป็นไปไมไ่ ดห้ รอื ตรงขา้ มกับ ความเป็นจรงิ ในอดีต (Past Unreal) Subject + wish (es) + (that) Subject + had + V.3 If only + (that) Subject + had + V.3 เชน่ - I wish she had gone to the party last night. (but she didn't) - He wished he had been here yesterday. (but he didn't) - Jim talked as though it had rained very hard yesterday. ( but it didn’t) Keywords wish, if only, as if, as though นอกจากน้ี ยังมวี ลีและคําอ่นื ๆ ทใ่ี ชใ้ นลกั ษณะเดียวกันอกี ได้แก่ It's time = ถึงเวลาแลว้ would rather = อยากจะ...มากกว่า It's high time = สมควรแกเ่ วลาแล้ว would sooner = อยากจะ...มากกวา่ It's about time = จวนจะไดเ้ วลา supposed (that) = สมมติว่า supposing (that) = สมมตวิ า่ เชน่ - It is time students had breakfast. - It's about time the class began. - It’s high time Big John gave up smoking 110

Causative forms คือ รูปแบบของคํากรยิ าในไวยากรณ์ภาษาองั กฤษ ท่นี ํ ามาใชใ้ นประโยค เพ่ือแสดงให้ เห็นวา่ ประธานไมไ่ ด้กระทําส่ิงนั้ นดว้ ยตนเอง แตใ่ ห้คนอนื่ กระทําส่ิงนั้ นให้ กรยิ าในกลมุ่ Causative verbs ทเ่ี ราเห็นหรอื ใชก้ นั บ่อยๆ ไดแ้ ก่ l have --n l get l , - -' help i ll -i yl ll l l -t -t -t - make let - กรยิ าในกล่มุ Causative verbs น้ี (have, make, get, let) เป็นคํากรยิ าท่กี อ่ ให้เกดิ บาง ส่ิงบางอย่างข้ึน ซง่ึ causative กม็ าจาก cause ท่แี ปลว่า “ กอ่ ให้เกิด “ นั่ นเอง Have โครงสรา้ งท่ี 1 “ have someone do something “ ให้ใครทาํ อะไรให้ ( have + someone + V.infinitive + something ) เชน่ - Tim will have his lawyer look into it. (ทมิ จะให้ทนายของเขาดูให้) - I’ll have John check my car. (ฉันจะให้จอนตรวจเชค็ รถให้) โครงสรา้ งท่ี 2 “ have something done ” เอาอะไรไปให้ใครทาํ ให้ ( have + something + V.3 ) เชน่ - Bill will have his car repaired. (บลิ จะให้ชา่ งซอ่ มรถให้) - Bob had his teeth whitened. (บอ๊ บทําให้ฟันของเขาขาวข้นึ ) ** หมายเหตุ โครงสรา้ งน้ี คลา้ ยๆกับ Passive voice คือมีแตส่ ่ิงท่ถี ูกกระทาํ (something) โดยทเ่ี ราตอ้ งการเน้ นแต่เพียงวา่ เราเอาอะไรไปให้ใครทาํ โดยไม่บอกว่าใครเป็นผกู้ ระทํา โดยเน้ นแตว่ ่าส่ิงนั้ นทาํ เสรจ็ เรยี บรอ้ ยแล้ว 111

แตถ่ ้าต้องการบอกว่าใครเป็นคนกระทํา กส็ ามารถเปล่ยี นเป็นโครงสรา้ งท่ี 1 ได้ เชน่ - Bill will have the mechanic repair his car. - Bob had the dentist whiten his teeth. Make โครงสรา้ ง “ make someone do something ” ( make + someone + V.infinitive + something) บงั คับหรอื ตอ้ งการให้ใครทาํ อะไรให้ โดยทเ่ี ขาไมเ่ ตม็ ใจ เชน่ - The teacher makes all the students rewrite their papers. (คุณครูต้องการให้นั กเรยี นทกุ คนเขยี นรายงานใหม่) - My mom made me study Japanese last month. (แมบ่ ังคับให้ผมเรยี นภาษาญ่ีป่นุ เดือนท่แี ลว้ ) - No one will make me change my mind. (ไมม่ ใี ครทาํ ให้ผมเปล่ยี นใจ) I** ข้อสังเกต เราสามารถใช้ force/require ในความหมายเดียวกัน แต่เป็นทางการ มากกว่า “ force/require someone to do something ” ท่ตี า่ งกัน คือ หลงั force/ require ต้องตามดว้ ย to + V.1 เชน่ - The school requires the students to wear uniforms. (โรงเรยี นกําหนดให้นั กเรยี นสวมเครอ่ื งแบบนั กเรยี น) - The hijacker forced the pilots to take the plane to another destination. (สลดั อากาศบงั คับให้นั กบนิ นํ าเครอ่ื งบินไปยังจุดหมายปลายทางอืน่ ) Get โครงสรา้ งท่ี 1 “ get someone to do something ” ให้ใครทําอะไรให้ ( get + someone + to + V.infinitive + something ) เชน่ - I’ll get Somsir to teach international students Thai. (ผมจะให้สมศรสี อนภาษาไทยนั กเรยี นต่างชาต)ิ ** ขอ้ สังเกต get ใชเ้ หมือนกนั กับ have โดย get ใชใ้ นภาษาพดู ส่วน have ใชไ้ ดท้ งั้ ภาษาพูดและภาษาเขยี น แต่ทต่ี ่างกันคือ หลงั get ตอ้ งตามด้วย to + V.1 โครงสรา้ งท่ี 2 “ get someone done ” เอาอะไรไปให้ใครทาํ ให้ (get + something + V.3 ) เชน่ - She will get her clothes cleaned tomorrow. ** โครงสรา้ งน้ี ต้องการเน้ นวา่ เราเอาอะไรไปให้ใครทาํ โดยไม่บอกว่าใครเป็นผกู้ ระทํา 112

Let โครงสรา้ ง “ let someone do something ”ปลอ่ ยหรอื ยอมให้ใครทําอะไรให้ เชน่ - I don’t let my kids watch violent movies. (ฉันจะไมป่ ลอ่ ยให้ลกู ๆของฉันดูหนั งท่มี ีความรุนแรง) - My father lets me adopt a puppy. (พ่อของฉันยอมให้ฉันรบั ลกู สุนั ขมาเล้ยี ง) - Jane’ll let me borrow her car. (เจนจะยอมให้ฉันยมื รถของเธอ) ** ข้อสังเกต เราสามารถใช้ allow/permit ในความหมายเดยี วกนั แต่เป็นทางการมากกว่า “ allow/permit someone to do something” ท่ตี า่ งกันคือ หลัง allow/permit ตอ้ งตาม ด้วย to + V.1 เชน่ - Our boss doesn’t permit us to have lunch at our desks. (เจ้านายของเราไมอ่ นญุ าตให้เราทานอาหารเท่ยี งทโ่ี ตะ๊ ทาํ งาน) - Will you allow me to use your computer? (คุณจะอนญุ าตให้ผมใชค้ อมพิวเตอรข์ องคุณหรอื ไม่) Help โครงสรา้ ง “ help someone do something “ หรอื “ help someone to do something ” เราชว่ ยใครทาํ อะไร หรอื ใครชว่ ยทําอะไรให้เรา คือ กลายเป็นเราคนทําอะไรให้คนอ่ืนดว้ ย เชน่ - I will help my mom cook dinner. (ฉันจะชว่ ยแม่ทําอาหารเย็น) I’ll help my mom to cook dinner. - Sri helps her mother do housework. (ศรชี ว่ ยแม่ของเธอทาํ งานบา้ น) isSri helps her mother to do housework. จะเห็นได้วา่ โครงสรา้ งใน Causative verbs น้ี จะมกี รยิ า 2 ตวั กรยิ าตวั ท่ี 1 เป็น Causative (have, make, get, let) กรยิ าตวั ท่ี 2 เป็นตวั บ่งบอกว่าทําอะไร โดยกรยิ าตวั แรกท่เี ป็น Causative น้ี จะผนั ตามประธาน (Subject) และ Tenses ส่วนกรยิ าตวั ท่ี 2 จะอยใู่ นรูป v1 (infinitive) หรอื v3 (Past participle) 113

นอกจากกรยิ ากลมุ่ ด้านบนท่มี กั จะใชเ้ ป็น Causative verbs บอ่ ยๆ แลว้ ยงั มี กรยิ าตัวอ่ืนๆ ทส่ี ามารถใชเ้ ป็น Causative verbs ดังน้ี tf 114

Inversion ในทางหลักภาษาก็คือการสลบั ตําแหน่ งของคําในประโยค โดยการ การกลบั คํากรยิ าหรอื คํากรยิ าวิเศษณ์ข้นึ ไปไว้หน้ าประธาน เพื่อถามหรอื เพ่ือเน้ นความ Subject Verb (ประธาน) (กรยิ า) Adverb (กรยิ าวเิ ศษณ์) ซง่ึ inversion ทท่ี กุ คนรูจ้ กั กนั ดี ก็คือ การเปล่ียนประโยคบอกเล่า เป็นประโยค คําถามใน verb to be เชน่ She is a doctor. (ประโยคบอกเลา่ ) Is she a doctor? (ประโยคคําถาม) Inversion สามารถทาํ ในรูปแบบตา่ งๆ ได้ดงั น้ี 1. ทําประโยคบอกเลา่ เป็นประโยคคําถาม โดยการสลับตําแหน่ งกันระหวา่ งประธานกับกรยิ า ท่เี ราคุ้นเคยมากท่สี ดุ กค็ ือ verb to be กบั กรยิ าชว่ ยตา่ งๆ t.EEHe reads the Newspaper. Does he read the Newspaper?เชน่ ประโยคบอกเล่าประโยคคําถาม He is a student. Is he a student? you have finished work. Have you finished work? A dog can swim. Can a dog swim? It will rain tomorrow. Will it rain tomorrow? He came from Chiangmai. Did he come from Chiengmai? กฎของ inversion ในบางประโยคให้ใชส้ ตู ร . Verb ช่วยไม่มี V.to be ไมอ่ ยู่ เอา V.to do มาใช้ 115

2. ใช้เพ่ือเน้นความในประโยค โดยการสลบั ท่กี ันระหวา่ งประธานและกรยิ า หรอื การกลบั ประโยค เพื่อเน้ นใจความ ให้มีความหมายมากย่ิงข้นึ หรอื ให้ดเู ป็นทางการสภุ าพมากข้นึ วธิ ีการทาํ ให้ประโยคเป็น Inversion สามารถทําไดด้ งั ตอ่ ไปน้ี 1. ถา้ มกี รยิ าวิเศษณ์ (Adverb) หรอื สํานวนท่มี ีความหมายในเชงิ ปฏเิ สธต่อไปน้ี นํ าหน้ า ประโยค ประธานจะต้องสลับท่กี ันกับกรยิ า ตามโครงสรา้ งดงั ต่อไปน้ี Adv./สํานวน(ท่มี คี วามหมายเชิงปฏเิ สธ) + helping V. + Subject + V.แท้ Adverb เชิงปฏิเสธท่เี ราพบบ่อย ได้แก่ hardly (ever) never rarely seldom barely not + object Helping Verb เชน่ scarcely only nowhere is, am, are, เชน่ It hardly rains in the morning. was, were, เปล่ยี นเป็น (ฝนแทบจะไม่ตกในตอนเชา้ เลย) do, does, did, Harldy does it rain in the moring. have, has, (แทบจะไมเ่ ลย ท่ฝี นจะตกในตอนเชา้ ) had, will, shall, can สํานวนเชิงปฏเิ สธท่เี ราพบบ่อย ไดแ้ ก่ at no time no longer in no time not often not until no on account not once not only no sooner…than only after/by in no way by no means under no circumstances เชน่ He had no sooner left than the telephone rang. เปล่ียนเป็น No sooner had he left than the telephone rang. 2. กรณีท่ใี นประโยคมีคําเหลา่ น้ี วางอยขู่ า้ งหน้ า เราก็จะใชป้ ระโยคให้วางอย่ใู นรูป ของการ inversion อีกเหมอื นกัน few little so such ** โดยทม่ี เี งอื่ นไขคือ คําเหลา่ น้ี จะต้องไมม่ ีคํานาม (noun) ตามหลัง เชน่ - Little does she know about the present he gave her. - Such was the thing he gave us yesterday พวก preposition บางตัว ไดแ้ ก่ on in at near between behind here there in front of เชน่ - In walked a woman with a gift in his hand. - Here is the paper you asked for. 116

3. กรณีถ้าเป็นประโยคแบบ Passive voice (ถกู กระทํา) แล้วมีการใช้ V.3 ข้นึ ตน้ ประโยค กจ็ ะใชป้ ระโยคเป็นแบบ Inversion เชน่ This building has been built in 1987 by the protesters. เปล่ยี นเป็น Built by the protester in 1987 has been this building. เปล่ยี นเป็น He was bitten by the dog. Bitten by the dog was he. 3. ใช้ในประโยคเง่ือนไข ( Conditional Sentence) ในประโยคเงอื่ นไขท่ไี ม่ใช่ if เราสามารถสลับ ประธานกบั กรยิ า (Inversion) ข้นึ ไปไว้ต้นประโยคได้เสมอ ในประโยค If clause เราจะใช้ should กบั if-clause แบบท่ี 1 were กับ if-clause แบบท่ี 2 had กับ if-clause แบบท่ี 3 เชน่ แบบท่ี 1 If she goes now, I will go with her. Should she go now, I will go with her. แบบท่ี 2 (ถ้าหล่อนไปเด๋ยี วน้ี ฉันจะไปกบั หลอ่ น) แบบท่ี 3 If I were a bird,I would fly as high as I can. Were I a bird, I would fly as high as I can. If I had studied hard, I would have passed an exam. Had I studied hard, I would have passed an exam. (ถา้ ฉันเรยี นหนั ก ฉันคงสอบผา่ นไปแลว้ ) 4. ใช้กลา่ วเสรมิ ข้อความข้างหน้า เสรมิ ความรับ มีโครงสรา้ งดังน้ี ประโยคข้างหน้าเป็นบอกเล่า, So/As + helping V. + Subject เชน่ - I can sing a song, So can she. - Rose can swim well, As can Billy. เสรมิ ความปฏเิ สธ มโี ครงสรา้ งดังน้ี ประโยคข้างหน้าเป็นปฏิเสธ, Neither/Nor + helping V. + Subject เชน่ - He can’t bear this situation, Nor can I. - Her didn’t work hard, Neither did she. 117

4. ใช้กลา่ วเสริมความขัดแย้ง แบบท่ี 1: ประโยคข้างหน้าเป็นปฏิเสธ, but + Subject + helping V. เชน่ You can’t speak Chinese, but I can. แบบท่ี 2: ประโยคข้างหน้าเป็นบอกเล่า, but + Subject + helping V. + not เชน่ My sister likes to go to Bangsaen, but I don’t. 5. ใช้กลา่ วเสริมในการแสดงความแปลกใจหรือไมเ่ ช่ือ Oh, + Subject + helping V., + helping V. + Subject เชน่ A : “I’ve lost my camera.” ผมทาํ กล้องถา่ ยรูปหาย B: “Oh, you have, have you?” ตายแล้ว จรงิ หรอื น่ี 6. ใช้กล่าวเป็นคําถามใน Question Tag แบบท่ี 1: ประโยคข้างหน้าเป็นบอกเล่า, helping V. + not + Subject ? เชน่ He gets up in early morning, doesn’t he? แบบท่ี 2: ประโยคข้างหน้าเป็นปฏเิ สธ, helping V. + Subject ? เชน่ His mother can’t drive a car, can she? 118

 1. Prefix Prefix คือ คําอุปสรรค หรอื คําทเ่ี ติมหน้ าคําศัพทอ์ ื่นๆ ซง่ึ เรยี กกันว่ารากศัพท์ (root) เพื่อเพ่ิมความหมาย หรอื เปล่ยี นความหมายของคํา (meaning) ดังนั้ นคําอุปสรรค กค็ ือ  คําท่เี ติมด้านหน้ าคําศัพทอ์ ืน่ ๆนั่ นเอง Prefix แบ่งออกเป็น 3 ชนิด ตามลกั ษณะของคํา ได้แก่ 1. Prefix ท่เี ติมขา้ งหน้ าคําใด แล้วทาํ ให้คํานั้ นมีความหมายตรงกนั ขา้ ม หรอื มคี วาม หมายเป็นปฏิเสธ (negative prefix) ได้แก่ prefiix ตอ่ ไปน้ี  un-, dis-, in- (รวมทัง้  im-, il-, ir-)   un- (ไม่) โดยปกติใชเ้ ติมข้างหน้ าคําคุณศัพท์ (Adjective) เชน่ dis- (ไม)่ ใชเ้ ตมิ ข้างหน้ ากรยิ า (Verb), คํานาม (noun), คุณศัพท ์ (adjective) เชน่  in-, (im-, il-, ir) (ไม)่ ใชเ้ ติมข้างหน้ าคําคุณศัพทเ์ ทา่ นั้ น แต่จะใชอ้ ุปสรรคตวั ไหนเติม มีหลักเกณฑด์ งั น้ี           ใช ้ im- เตมิ เมอื่ คุณศัพทต์ วั นั้ นข้นึ ดว้ ยพยัญชนะ b, m, p เชน่           ใช ้ il- เตมิ เม่อื คุณศัพทต์ วั นั้ นข้ึนตน้ ด้วยพยัญชนะ 1 เชน่   ใช ้ ir- เติม เม่อื คุณศัพทต์ ัวนั้ นข้ึนต้นดว้ ยพยญั ชนะ r เชน่ 119

ใช ้ in- เติม เมื่อคุณศัพทท์ ่ขี ้ึนตน้ ดว้ ยพยัญชนะนอกจากทก่ี ล่าวมาแล้ว เชน่ non- (ไม)่ คําน้ี มกั จะใชเ้ ป็นศัพทท์ างวชิ าการ (Technical Word) ใชเ้ ติมหน้ าคํานามบ้าง คุณศัพทบ์ ้าง เชน่ mis-  อุปสรรคตวั น้ี ไม่ทาํ ให้ความหมายตรงกันข้ามเหมือนตัวอืน่ แตใ่ ชใ้ นความหมายว่า “ผดิ , ไมถ่ กู ต้อง” ใชเ้ ตมิ ข้างหน้ ากรยิ าเทา่ นั้ น เชน่ 2. Prefix ท่เี ติมขา้ งหน้ าคําใด แลว้ ทําให้คําๆนั้ นกลายเป็นกรยิ าข้ึนมาไดแ้ ก ่ en-  en- (ทาํ ให้เป็นเช่นนั้น, ทําให้กลายเป็น) ใชเ้ ติมหน้ าคําท่ขี ้ึนตน้ ดว้ ยพยญั ชนะทวั่ ไป เชน่ 3.  Prefix ท่ใี ชเ้ ตมิ ข้างหน้ าคําอนื่ แลว้ ทาํ ให้คํานั้ นมีความหมายแตกตา่ งกันออกไป เป็นตวั ๆได้แก่ prefix ต่อไปน้ี anti- co- ex- Pre- Post-  Re- Sub- multi- Poly- Trans- Tri- Bi- inter- Over- anti- (ขัดขวาง, สกัดกัน้ ”) เชน่ 120

co-  (รว่ มกนั , สห, รวม) ใชเ้ ตมิ หน้ านามหรอื กรยิ า เชน่ ex-  (เกา่ , พ้น, กอ่ น) ใชเ้ ตมิ หน้ าคํานาม (noun) เชน่ Pre-  (กอ่ น, หน้า, ล่วงหน้า) ใชเ้ ตมิ หน้ าคํานาม, คุณศัพท์ เชน่ Post-  (เก่า, หลัง, ภายหลงั ) ใชเ้ ติมไดท้ งั้ หน้ านามและคุณศัพท์ เชน่     Re-  (อีก, ใหม,่  อกี ที) ใชเ้ ตมิ ขา้ งหน้ าคํากรยิ าเทา่ นั้ น เชน่ Sub-  (ใต,้  รอง, ยอ่ ย, ตา่ํ กว่า) ใชเ้ ตมิ หน้ าคําได้ทวั่ ไป เชน่ 121

Super-  (เหนือ, เกินกว่า, สูงกว่า, ดีกว่า) ใชเ้ ตมิ หน้ าคํานาม, คุณศัพท์ เชน่           multi- (มาก, หลาย, ผสม) ใชเ้ ตมิ หน้ าคํานาม, คุณศัพท์ เชน่ Poly- (มาก, หลาย) ใชเ้ ติมหน้ าคํานาม, คุณศัพท์ เชน่   Trans- (ข้าม, ผ่าน, ตลอด, ทะล)ุ ใชเ้ ตมิ หน้ าคํานาม, คําคุณศัพท์ เชน่ Tri- (สาม) ใชเ้ ติมหน้ าคํานามและคุณศัพท์ เชน่   Bi- (สอง) ใชเ้ ตมิ หน้ าคํานามและคุณศัพท์ เชน่ Over- (มากเกนิ ไป) ใชเ้ ตมิ หน้ ากรยิ าเทา่ นั้ น เชน่ 122

inter- (ระหวา่ ง, ซ ่ึงกันและกัน, ภายใน) ใชเ้ ติมหน้ าคํานามและคุณศัพท์ เชน่ 2. Suffix Suffix คือ หน่ วยคําท่ไี ปเกิดรวมกับคําอืน่ และจะอยขู่ ้างหลังเสมอ เมอื่ เติมลงไปจะ ทําให้คํานั้ นเปล่ียนชนิ ดของคําไป (เชน่ อาจเปล่ยี นจากคํานามเป็นคําคุณศัพท)์ แต่ ความหมายของคํานั้ นยงั เหมือนเดมิ Suffix ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น 3 ประเภทตามชนิดของคํา ไดแ้ ก่ 1. Noun-Forming Suffixes  ไดแ้ ก่ “ปัจจัยทเ่ี ตมิ ทา้ ยคําอื่น แล้วทาํ ให้คํานั้ นกลบั กลายเป็นคํานามข้นึ มา” ไดแ้ ก่ -ment -ee, -e -ism, ist -tion -an, -n -ty, -ity -ation -ant -ness -ition -ent -y, ery -ification -er, or -ing -sion -ese -dom -al -ess -hood -ance -ence -ure -ship -ment ใชเ้ ติมหลังคํากรยิ า เพ่ือทาํ กรยิ าตัวนั้ นให้เป็นคํานาม เชน่ -sion ใชเ้ ติมทา้ ยคํากรยิ า เพื่อให้เป็นคํานาม และกรยิ าตวั นั้ นมักจะลงทา้ ยดว้ ย -de เสมอ การออกเสียงให้ลงเสียหนั กทพ่ี ยางค์หน้ า -sion เชน่ 123

-tion นิ ยมใชเ้ ติมทา้ ยคํากรยิ า เพ่ือทําให้เป็นคํานาม -al ใชเ้ ตมิ ทา้ ยคํากรยิ าท่ลี งทา้ ยด้วย e, w, และ y เพ่ือทาํ ให้กรยิ านั้ นเป็นคํานาม เชน่ -ance, -ence ใชเ้ ตมิ ทา้ ยคํากรยิ า เพ่ือให้เป็นคํานาม เชน่ -Ship ใชเ้ ตมิ หลงั คํานาม (common noun) เพ่ือให้เป็นอาการนาม (Abstract noun)  เพื่อแสดงสภาพการเป็นอยู่ หรอื สถานภาพทางตําแหน่ งหน้ าท่ี เชน่ -er, -or, -ist ใชเ้ ตมิ ขา้ งหน้ าคํากรยิ า เพื่อทาํ ให้เป็นนามหมายถึง ผกู้ ระทํา (doer) นั้ นๆ เชน่ 124

-ee, -e ใชเ้ ตมิ หลงั กรยิ า หลังนาม หรอื คุณศัพท์ เพ่ือให้เป็นตํานาน อนั หมายถงึ ผกู้ ระทํา (doer) เชน่ -ism ใชเ้ ติมหลงั คํากรยิ า, คุณศัพท์ และนาม เพื่อบอกถงึ ความเป็นอาการนาม บอกถึง ลกั ษณะนิ สัย และบอกถึงลทั ธิ คําสั่งสอนหรอื ตวั การ ความเคล่อื นไหว เชน่ -ty, ity ใชเ้ ตมิ ทา้ ยคําคุณศัพท์ เพื่อทาํ ให้เป็นคํานาม เชน่ -hood ใชเ้ ติมหลงั นาม เพ่ือเป็นนามอันแสดงถงึ สภาพหรอื ลกั ษณะ, ลําดบั ขนั้ ภาวะของ ชวี ิต มสี ําเนี ยงแปลว่า “ความ, วยั , สมัย, ภาวะ” เชน่ -ure ใชเ้ ติมหลงั คํากรยิ า เพื่อทําให้เป็นนาม แสดงถงึ การกระทํา วิธกี าร หรอื กรรมวิธี เชน่ 125

-ness ใชเ้ ตมิ ทา้ ยคําศัพท์ (Adjective) เพื่อทําให้เป็นคํานาม เชน่ -ery, -y ใชเ้ ตมิ ทา้ ยคําอื่น เพ่ือทําให้เป็นคํานามประเภทบอกสภาวะการกระทาํ , หรอื สภาพ การ เชน่ -dom ใชเ้ ติมหลังคํานาม, คุณศัพท์ เพ่ือบอกสภาวะ ขอบเขต อาณาจักร วง หรอื ลัทธิ ครอบงาํ เชน่ I 2. Verb-Forming Suffixes คําทเ่ี ติมลงไปขา้ งทา้ ยคําแล้วทาํ ให้คํานั้ นๆ เป็นกรยิ า (Verb) ข้ึนมา ไดแ้ ก่ -ate -ize -en -s, -es -ify -ed -ate ใชเ้ ตมิ ทา้ ยคํานาม เพ่ือทาํ ให้คํานั้ นเป็นกรยิ า เชน่ 126

-en ใชเ้ ติมทา้ ยคําคุณศัพท์ เพ่ือทําให้เป็นคํากรยิ า มคี วามหมายว่า “ทาํ ให้ (มคี ุณสมบัติ อย่างคุณศัพทต์ ัวนั้ น)” เชน่ -ify ใชเ้ ติมทา้ ยคํานาม เพื่อให้เป็นกรยิ า มคี วามหมายว่า “ทําให้เป็นเชน่ นั้ น” เชน่ -ize ใชเ้ ตมิ ทา้ ยคํานาม ให้เป็นคํากรยิ า มีความหมาย “ทําให้มสี ภาพเหมอื นนามนั้ น” เชน่ 3. Adjective-Forming Suffixes  ได้แก่ “ปัจจัยทเ่ี ตมิ ทา้ ยคําใดแล้ว ทาํ ให้คํานั้ นมรี ูป เป็นคุณศัพท์ (Adjective)” ได้แก่ -able, -ible -en, -n -less -al, -ial -er, -r, -est, -st -like -an, -n -ese -ly -ant, -ent -fold -most -ary, -ory -ful -y -ous -ing -some -ative -ish -word -ed -ive, -ative -ular -able, -ible ใชเ้ ติมหลงั คํานาม เพื่อให้เป็นคุณศัพทบ์ อกความสามารถหรอื ลักษณะ เชน่ 127

-al, -ial ใชเ้ ตมิ หลังคํานาม เพื่อทาํ ให้เป็นคําคุณศัพท์ เชน่ -ant, -ent ใชเ้ ตมิ หลงั กรยิ า เพ่ือให้เป็นคําคุณศัพท์ เชน่ -ary, -ory ใชเ้ ตมิ ทา้ ยคํานามบ้าง ทา้ ยคํากรยิ าบ้าง เพื่อให้เป็นคุณศัพท์ (Adjective) เชน่ -ous ใชเ้ ติมทา้ ยคํานาม เพื่อให้เป็นคุณศัพท์ มคี วามหมายว่า “ซง่ึ เตม็ ไปด้วย, ซง่ึ ม”ี เชน่ -ative ใชเ้ ติมหลงั คํากรยิ าบา้ ง, หลังคํานามบ้าง เพ่ือให้เป็นคุณศัพท์ เชน่ -ed ใชเ้ ตมิ หลงั คํานาม เพ่ือใชเ้ ป็นคุณศัพท์ มีความหมายทํานองว่า “มีลักษณะของ” เชน่ 128

-en, -n ใชเ้ ตมิ หลงั นาม เพื่อทําให้นามนั้ นเป็นคุณศัพทแ์ ปลวา่ “ทําดว้ ย” หรอื “มี ลักษณะเหมือน” เชน่ 3. Roots Roots คือ รากศัพท์ ส่วนใหญ่มาจาก ภาษากรกี (Greek roots) และละตนิ (Latin roots) เป็นส่วนท่แี สดงความหมายหลกั หรอื ความหมายพ้ืนฐานของคําท่ใี ชส้ ําหรบั สรา้ งคําอนื่ ๆ ตัวรากศัพท์ (roots) จะมคี วามหมายตรงกวา่ ส่วนประกอบอื่นๆของคํา และ เป็นตวั ชแ้ี นะท่สี ําคัญตอ่ ความหมายของคําศัพทท์ ่สี รา้ งข้นึ ทงั้ คํา เชน่ รวมรากศั พท์ท่สี ําคัญ 1. arch = chief, rule (หัวหน้ า , ปกครอง) archbishop = arch(หัวหน้ า) + bishop(สังฆราช) อัครสังฆราช monarch = mono(หน่ึ งเดียว) +arch(ปกครอง) ประมขุ ปกครองประเทศ 129

2. bio = life (ส่ิงมชี วี ติ ) biology = bio(ส่ิงมีชวี ติ ) + logy(การศึกษา) วิชาเก่ยี วกบั ส่ิงมีชวี ิต, ชวี วิทยา antibiotic = anti(ต่อตา้ น) + bio(ส่ิงมีชวี ิต) + tic ยาปฏิชวี นะ 3. ced, cede, ceed, cess = go, move (ไป) concede = con(รว่ มกนั , ดว้ ยกัน) + cede(ไป) รว่ มกันไป, ยอมรบั รู้ exceed = ex(ภายนอก) + ceed(ไป) ไปไกลกวา่ , เกนิ ขอบเขต process = pro(ข้างหน้ า, ก่อน) + cess(ไป) ดําเนิ นไป, วิธปี ฏิบัติ 4. chron = time (เวลา) chronometer = chron (เวลา) + meter (เครอ่ื งวดั ) เครอื่ งวัดเวลา , นาbิกา chronic = chron (เวลา) + ic (ทําให้เป็น adj) เป็นตดิ ตอ่ กันยาวนาน, เรอื้ รงั 5. dict = tell, say (พูด , บอก) contradict = contra(ขดั กัน, ตรงข้ามกนั ) + dict(บอก, พูด) พูดขัดแยง้ กนั predict = pre(กอ่ น) + dict(บอก, พดู ) บอกหรอื พูดไวก้ อ่ น, ทาํ นายลว่ งหน้ า 6. duce, duct = lead (ชกั นํ า , นํ าทาง) induce = in(ภายใน) + duce(ชกั นํ า) = ชกั นํ าให้ทํา, เกล้ียกลอ่ ม conduct = con(ด้วยกนั ) + duct(นํ าทาง) = นํ าทาง, ไปดว้ ยกันเพ่ือชท้ี าง 7. enn, ann = year (ปี) anniversary = ann (ปี) + versary = ประจําปี, งานฉลองประจําปี biannual = bi(สอง) + ann(ปี)+ual = สองปี 8. grade, gress = step, walk (ขนั้ ) degrade = de(ลดลง)+grade(ขัน้ ) = ทําให้ตา่ํ ลง, ลดยศ progress = pro (ไปขา้ งหน้ า) + gress (ก้าว) = กา้ วไปขา้ งหน้ า , กา้ วหน้ า 9. graph , graphy = write (เขียน) biography = bio(ชวี ิต)+graphy(เขยี น) = ประวตั บิ ุคคล,ชวี ประวตั ิ homograph = homo(เหมือนกัน, แบบเดยี วกนั )+graph (เขียน) = เขยี นแบบเดียวกัน 10. here, hes = stick to (ตดิ แน่ น) adhere = ad (ส่,ู แก,่ ยงั ) + here (ตดิ แน่ น) = ยึดตดิ , แนบติดกัน adhesive = ad (ส่,ู แก,่ ยัง) + hes (ติดแน่ น) +ive = ตดิ , เกาะติด , เหนี ยว 11. ject = throw (โยน) inject = in(ใน)+ject(โยน) = โยนให้เข้าไปขา้ งใน, ฉีดเขา้ สู่รา่ งกาย reject = re(ยอ้ น, กลับ)+ject(โยน) = โยนกลับมาอกี ครงั้ , ปฏิเสธ, ไมย่ อมรบั 12. logy = study of (คําพูด , การศึกษา, วชิ า) eulogy = eu(ดี) + logy(คําพดู ) = คําสรรเสรญิ geology = geo(พ้ืนดิน) + logy(การศึกษา) = วิชาธรณีวทิ ยา psychology = psycho(จิตใจ) + logy(การศึกษา) = วชิ าจติ วิทยา 130

13. merg = under the surface (จมน้ํ า) emerge = e(ออกไป) + merg(จมน้ํ า) = โผล่พ้นนํ้ า, ปรากฏออกมา submerge = sub(ขา้ งใต้, เบอ้ื งล่าง) + merg(จมนํ้ า) = ดําน้ํ า, จุม่ น้ํ า, ซอ่ นความรูส้ ึก 14. miss, mit = send (ส่ง , ปลอ่ ย) promise = pro(ก่อนหน้ า, ขา้ งหน้ า) + mise(ส่ง, ปลอ่ ย) = ส่งไปก่อนหน้ า , สัญญา admit = ad(ไปส่)ู + mit(ส่ง, ปลอ่ ย) = ปลอ่ ยให้เข้า , ส่งมอบ emit = e(ออก) + mit(ส่ง, ปลอ่ ย) = ส่งไป , ปล่อยออก 15. move, mote, mobil = move (เคลื่อนท่)ี remove = re(ยอ้ น) + move(เคลื่อนท)่ี = ย้าย, เอาออก demote = de(ลดลง) + mote(เคล่ือนท่)ี = ลดลงมา, ลดลําดับ, ลดตําแหน่ ง automobile = auto (ดว้ ยตนเอง) + mobil(เคลอ่ื นท)่ี = เคล่อื นท่ดี ว้ ยตนเอง, รถยนต์ 16. onym, nom = name (ชอื่ ) anonymous = an(ไม)่ +onym(ชอื่ )+ous(เต็มไปด้วย) = ปิดปังชอ่ื , นิ รนาม pseudonym = pseudo(แอบ)+onym(ชอ่ื ) = ชอื่ แฝง, นามแฝง nominate = nom(ชอื่ )+ate(ก่อให้เกิด) = เสนอชอื่ 17. pathy = feeling, suffering (ความรูส้ ึก) apathy = a(ไม)่ + pathy(ความรูส้ ึก) = ไรค้ วามรูส้ ึก sympathy = sym(รว่ มกนั , เหมือนกัน) + pathy(ความรูส้ ึก) = ความรูส้ ึกเห็นใจ 18. ped, pede, pod = foot (เทา้ ) pedal = ped(เทา้ ) + al = เก่ียวกบั เทา้ , ท่เี ทา้ เหยียบ centipede = centi(รอ้ ย) + pede(เทา้ ) = สัตว์ท่มี เี ทา้ เป็นรอ้ ยๆ tripod = tri(สาม) + pod(เทา้ ) = สามขา, ขาตัง้ กลอ้ ง 19. pel, pulse = drive, push (ขับ , ผลกั ดัน) compel = com(ดว้ ยกัน) + pel(ขบั , ผลักดัน) = ขบั ให้เข้ามาอย่ดู ้วยกนั repulse = re(ข้างหลงั ) + pulse(ขบั , ผลักดนั ) = ขับไล่, ทําให้ถอยหลงั 20. port = carry (ขนส่ง) transport = trans(ขา้ ม, ผา่ น) + port(ขนส่ง) = ขนส่งขา้ มไป portable = port(นํ าพาไป) + able(สามารถ) = เคลือ่ นยา้ ยได้ 21. pone, pose, posit = put, place (วาง , ใส่) postpone = post(ภายหลัง) + pone(วาง) = เล่อื นเวลาออกไป compose = com(รว่ มกนั ) + pose(วาง, ใส่) = ใส่ไว้ด้วยกนั , ทาํ ให้ลงตัว deposit = de(ลง) + posit(วาง, ใส่) = ใส่ลงไป, วางเงนิ มดั จํา 22. rupt = break (แตก) disrupt = dis(แยกจากกนั )+rupt(แตก) = ทําให้แตกแยก, ทําให้วุ่นวาย interrupt = inter(ระหว่าง)+rupt(แตก) = ขดั จังหวะ 131

23. sect = cut (ตดั ) sector = sect(ตัด) + or = ส่วนของวงกลมท่แี บง่ ออก intersect = inter(ระหว่าง) + sect(ตัด) = ตัดผา่ นกนั 24. serve = keep, save (เก็บ , รกั ษา) preserve = pre(ก่อน)+serve(เกบ็ , รกั ษา) = รกั ษาไวก้ อ่ น, ถนอม reserve = re(ยอ้ นกลบั )+serve(เก็บ, รกั ษา) = ยอ้ นกลบั ไปเก็บ, จองไว้ก่อน 25. sist = stand (ยืน) insist = in(ภายใน) + sist(ยืน) = ยนื ยัน resist = re(ยอ้ นกลับ) + sist(ยืน) = ต่อต้าน 26. son, sonic = sound (เสียง) sonorous = son(เสียง)+ous(เต็มไปดว้ ย) = เตม็ ไปด้วยเสียง, กังวาน consonant = con(ดว้ ยกัน)+son(เสียง)+ant(ทําให้เป็นคํานาม) = เสียงพยญั ชนะ 27. unison = uni(หน่ึ ง)+son(เสียง) = การเขา้ กนั เป็นหน่ึ งเดยี ว supersonic = super(เหนื อกว่า)+sonic(เสียง) = เรว็ กวา่ เสียง subsonic = sub(ตํา่ กวา่ )+sonic(เสียง) = ตา่ํ กว่าเสียง 28. spec = see, look at (มองด)ู prospect = pro (ข้างหน้ า) + spect (มองด)ู = โอกาสขา้ งหน้ า suspect = sus (อย่างลบั ๆ , ขา้ งใต้) + spect (มองด)ู = คาดเดา , สงสัย 29. therm, thermo = heat (ความรอ้ น) thermal = therm (ความรอ้ น) + al(เก่ียวกับ) = เก่ยี วกบั ความรอ้ น thermoelectricity =thermo(ความรอ้ น)+electricity(ไฟฟ้า)= ไฟฟ้าทเ่ี กดิ จากความรอ้ น 30. tract = pull, drag, draw (ดงึ , ลาก) attract = at(ไปสู่, ไปยัง) + tract(ดึง) = ดงึ ดูด, ทําให้เอาใจใส่ extract = ex(ออก) + tract(ดึง, ลาก) = ดงึ ออก, บีบคัน้ , สกดั ออกมา retract = re(กลับ, กลับคืน) + tract(ดงึ , ลาก) = เอากลับคืน, ถอนคําพดู I 132

Idioms  คือ สํานวนภาษาองั กฤษ ทม่ี คี ําศัพท์ หรอื ประโยค ท่มี คี วามหมายไม่ตรงตวั พูด ให้เขา้ ใจงา่ ยๆ ก็คือ เปรยี บเหมือนสํานวนไทย หรอื คําสุภาษิต ในบา้ นเรานั่ นเอง 100 สํานวนท่ีออกสอบบอ่ ย To pull someone’s leg : การแหย่เล่น/การแกลง้ เลน่ To kick someone’s leg : ลอ้ เล่น/แกล้งเลน่ It’s just a joke : เรอ่ื งตลก ขําๆ Just kidding : ลอ้ เลน่ ขํา To have a thing for someone/something : ชอบคนนั้ น หรอื ชอบส่ิงนั้ น To be into someone/something : ชอบคนนั้ น หรอื ชอบส่ิงนั้ น To have a crush on someone : แอบหลงรกั /แอบชอบ A big fan of something/someone : ชอบส่ิงนั้ น/ชอบคนนั้ นมากๆ heart breaker : บุคคลทเ่ี พศตรงขา้ มหลงรกั คนท่มี เี สน่ ห์มาก  Head over heels : หลงรกั แบบหัวปักหัวปํา Love at first sight : รกั แรกพบ Fall for someone : ตกหลมุ รกั Fall in love with someone : ตกหลมุ รกั บางคน Be fond of something : ชอบทาํ ส่ิงนั้ น give (someone) a ride : ขับรถไปส่ง(ใครบางคน) pick (someone) up : ไปรบั (ใครบางคน) Throw in the towel : ยอมแพ้ Lay down one’s arm : ยอมแพ้ To be at sea : งง/ไมร่ ูเ้ รอื่ ง I have no idea.  : ฉันไมร่ ูเ้ ลย To be in the dark : ไม่รูเ้ รอื่ งรูร้ าวอะไรเลย fish out of the water : คนทเ่ี หมือนอย่ผู ดิ ท่ผี ดิ ทาง หรอื ไมถ่ ูกท่ี behind one's back : พูดหรอื กระทําโดยอกี คนหน่ึ งไมร่ ูต้ ัว, พดู ลบั หลงั   hold something back : ซอ่ น ไม่เปิดเผย ไม่เต็มใจเปิดเผย A storm in the tea cup : เป็นเรอ่ื งเลก็ ๆน้ อยๆ A piece of cake : เรอ่ื งงา่ ยๆ กล้วย 133

call to mind : ระลึก จําได้  keep in mind : จําไว,้ อยา่ ลมื learn by heart : ทอ่ งจําให้ข้ึนใจ เรยี นรูอ้ ยา่ งตัง้ ใจ  bear (something) in mind  : พิจารณา(บางส่ิง)ให้ดี take a day off  : ลาหยดุ หน่ึ งวนั the day before yesterday : เมื่อวานซนื a couple of months ago : ไม่ก่เี ดือนกอ่ น once in a while : นานๆ ครงั้ take time : ค่อยๆ ทําชา้ ๆ ไมร่ บี รอ้ น  To take a rain check : เลื่อนนั ดไปวนั หลัง To cry over spilled milk : การจมเศรา้ อย่กู บั อดตี Square one : เรากลบั ไปอยทู่ จ่ี ุดเรม่ิ ตน้ when pig fly : บางส่ิงไม่มีวนั เกดิ ข้นึ เหมอื นหมูท่ไี มม่ ีวันบนิ ได้ call it a day : ลางาน หยดุ งานสักระยะ (ใชพ้ ดู เมอื่ ตอ้ งการหยดุ ทาํ งาน) just around the corner : อย่ใู กล้ๆ, อกี ไมน่ าน in advance  : ลว่ งหน้ า make a change : แก้ไข, เปล่ยี นแปลง adopt a new policy :  รบั นโยบายใหมม่ าใช้ to put a new face on : เปล่ียนโฉมหน้ า เปล่ียนสภาพการณ์  Cat got your tongue? : เป็นใบ้เหรอ black eye : ตาเขยี วชาํ้   Go Dutch : หารครง่ึ ละกนั Rain cats and dogs : ฝนตกหนั กมากๆ To cap a feel : แต๊ะอัง๋ Be a cool cat : ดดู ี มสี ไตล์ อินเทรนด์ To kill two birds with one stone : ยิงปืนนั ดเดียวไดน้ กสองตวั get something off your chest : ยกภูเขาออกจากอก take back : กลับมา ถอนคําพูด นํ ากลบั คืนมา  better than nothing : ดีกว่าไมไ่ ดอ้ ะไรเลย big-headed : หย่งิ ยะโส black sheep : คนไม่เอาถ่าน , คนเหลือขอในครอบครวั   available upon request  : มีให้หากตอ้ งการ meet someone’s expectations :  ทําได้ตามทค่ี าดหวัง carry out the plan : ดําเนิ นแผนตามท่วี างไว้ I haven’t made up my mind.  :   ฉันยงั ไม่ได้ตัดสินใจเลย Saturday is just around the corner : ส่ิงนั้ นใกลเ้ ขา้ มาแล้ว without a doubt  : อยา่ งไมต่ ้องสงสัย as a token of appreciation : เพื่อแทนคําขอบคุณ 134

go through : ทนความลําบาก อดทน  Hang in there : อดทนไวน้ ะ สู้ๆ against all odds : ส้ตู าย Keep your fingers crossed : ขอให้โชคดี out of order : เสีย, ใชง้ านไม่ได้ Be out of order : เสีย/พัง The cat is out of the bag : ความลบั แตก go out of business  : เลกิ กิจการ run out of (something) : (บางส่ิงบางอยา่ ง)หมด, ไมเ่ หลือ turn one's back on : ไม่สนใจ ไมช่ ว่ ยเหลอื ทอดท้งิ   beyond hope : ไมม่ โี อกาสทจ่ี ะดขี ้ึน break one's heart : ทําให้หัวใจสลาย ทํารา้ ยความรูส้ ึก  To be under the weather : ป่วย/ไมส่ บาย get along with : เข้ากันไดด้ ,ี ไปดว้ ยกนั ได้ Let’s make a deal : มาตกลงกนั เถอะ To be hand in glove : สนิ ทกนั มากๆ ซก้ี ัน be my guest : พดู หรอื ทําตัวตามสบาย ไม่ตอ้ งเกรงใจกนั have a heart : มคี วามเห็นใจ มีความเกรงใจ  get in touch with (someone) : ติดตอ่ กับ (ใครบางคน) get used to (something)  : คุ้นเคยกับ(บางส่ิงบางอย่าง) fish out of the water see eye to eye : การเห็นดว้ ยกับใครคนหน่ึ ง could go either way : อาจเป็นไปไดห้ รอื ไม่ได้เทา่ กนั keep one's words : รกั ษาคําสัญญาไว ้ take it easy : ปล่อยตามสบาย  turn down (something) : ปฏิเสธ(บางส่ิงบางอย่าง) bring (something) along : นํ า(บางส่ิงบางอย่าง)มาด้วย sign up for (something)  : สมคั ร(บางส่ิงบางอย่าง) make an appearance  : ปรากฎตัว conduct a meeting  : คุมการประชมุ To bite the hand that feeds : การแวง้ กดั ผมู้ พี ระคุณ A cat fight : ผหู้ ญงิ ทะเลาะตบตีกนั get back at : แก้แค้น แก้เผด็ เอาคืน  To put someone to sleep with fish : ฆา่ to make a face : แสดงหน้ าตาว่าเบื่อหน่ าย หรอื ชงิ ชงั   Talk to the hand : เบือ่ ทจ่ี ะฟัง be tired of : ราํ คาญ เบื่อ 135

รวม SYNONYMS ท่มี กั ออกข้อสอบ โดดเรยี น (Verb) skip class ditch class skive cut class play hooky play truant be truant bunk off ปลอดภยั (Adj.) secure intact all right safe unharmed undamaged uninjured unhurt unscathed safe and sound alive and well untouched สําคัญ (Adj.) pivotal significant vital important key crucial chief essential main critical major central imperative fundamental weighty principal อยา่ งมาก (Adj./Adv.) great (ly) large (ly) sharp (ly) sizable (-y) substantial (ly) substantive (ly) significant (ly) dramatic (ally) considerable (-y) ชดั เจน (Adj.) striking noticeable conspicuous marked distinct obvious evident remarkable clear มดื มวั /คลมุ เครอื (adj.) slurred unclear dim blurred vague เพ่ิมข้ึน (Verb) raise rise grow increase soar mount augment climb surge escalate skyrocket maximize 136

ลดลง (Verb) fall drop decline decrease minimize curtail reduce diminish plunge plummet cut down lower wane down ebb down turn down accede assent consent เห็นดว้ ย (Verv.) agree concur accept comply say no say yes deny repudiate escape ปฏเิ สธ (Verb.) reject shun away refuse decline abscond turn down run away brainy brilliant หลบหนี /หลกี เล่ยี ง (Verb) bright scholarly intelligent flee avoid educated thick dumb elude evade silly brainless idiotic dodge dim. chilling horrifying ฉลาด (Adj.) smart spooky menacing clever wise terrifying acute learned worrying unsafe knowledgeable ruinous disastrous threatening โง่ (Adj.) dense risky stupid slow treacherous 137 foolish dull dummy half-witted half-baked น่ ากลัว (Adj.) creepy scary intimidating frightening alarming shocking destructive อันตราย (Adj.) hazardous dangerous precarious harmful perilous

รา้ ยแรงถึงตาย (Adj.) deadly lethal fatal mortal critical life-threatening receive ได้รบั (Verb) gain earn supply get attain acquire hand obtain bestow ให้ (Verb) offer award attractive give present contribute charming provide hand over grant adorable hand out furnish glamorous confer good-looking สวย/น่ ารกั (Adj.) stunning cute by coincidence beautiful lovely gorgeous striking elegant fetching rapid pretty alluring pleasant prompt exquisite personable nice-looking appealing wonderful outstanding โดยบังเอิญ (Adv.) by chance by accident awesome by luck incidentally coincidentally accidentally faulty imperfect เรว็ (Adj.) quick speedy fast express high-speed 138 swift brisk ดี/เย่ียม (Adj.) great excellent good terrific brilliant fantastic magnificent amazing superb impressive poor flawed deficient substandard แย่/ห่วย (ADj.) bad defective inferior

สําเรจ็ (Verb.) accomplish achieve complete succeed prosper attain thrive flourish win reach capacity skill aptitude expertise ความสามารถ (Noun) capability ability gift diligent studious talent studious sedulous competence indolent lethargic ขยัน (Adj.) assiduous shiftless remiss hard-working persevering industrious career calling painstaking vacation profession ข้ีเกียจ (Adj.) idle delighted gratified lazy slothful joyful jubilant sluggish cheerful gleeful inactive down low อาชพี (Noun) job down-hearted low-spirited work occupation gloomy joyless pursuit employment miserable disconsolate livelihood doleful crestfallen ดีใจ/พึงพอใจ(Adj.) pleased 139 happy glad satisfied cheery contended ecstatic blissful เศรา้ /เสียใจ (Adj.) blue sad downcast upset dejected depressed despondent saddened woeful sorrowful melancholy

หายนะ (Noun) apocalypse debacle catastrophe disaster havoc destruction calamity ruin act of god instruct guide coach tutor educate cram สอน (Verb) discipline teach launch kick off train start set up set about edify get going initiate commence open เรม่ิ ต้น (Verb) queer peculiar begin odd weird bizarre get off eccentric unusual uncommon set in motion erratic extraordinary outlandish irregular แปลก (Adj.) strange eerie curious atypical mysterious อรอ่ ย (Adj.) tasteful tasty yummy delicious toothsome scrumptious appetizing savoury delightful flavoursome palatable delectable harmless risk-free ไมม่ อี นั ตราย (Adj.) benign innocent innocuous safe non-violent undamaged non-toxic unoffending inoffensive vast jumbo ใหญโ่ ต (Adj.) large giant immense big huge mammoth sizable tremendous oversize whopping gigantic outsize massive enormous extensive colossal titanic stupendous 140

ทงั้ หมด (Adj.) whole entire total complete all full tiny mini little miniature peewee เล็ก/จ๋ิว (Adj.) minuscule pocket bitty small petite minute sluggish teeny belated gradual dilatory pint-size delayed drawn-out time-consuming protracted surrender ชา้ (Adj.) admit defeat slow tardy occur stagnant eventuate ยอมแพ้ (Verb) give in give away confine give up submit capitulate curb succumb throw in the towel frustrate lay down your arms desist เกิดข้ึน (Verb) transpire come to pass let up come about happen materialise put an end to rise take place plain ห้าม (Verb) restrict confine 141 prohibit hinder hamper impede obstruct retard bar prevent cease keep from หยดุ /ยตุ ิ (verb) halt discontinue Stop break off pause terminate traditional suspend customary ธรรมดา/ทวั่ ไป (adj.) conventional common simple ordinary

ยอมรบั (Verb) grant concede acknowledge accede yield consent approve, assent conform to comply deny refuse disaffirm turn down ปฏเิ สธ/ไมย่ อมรบั (Verb) fatigued, reject contradict weary controvert disclaim extreme raging decline abjure polite เหน็ ดเหนื่ อย (adj.) irksome tiresome well-born enervated worn out wearied worn down rub out exhausted acute annul rigid รุนแรง (adj.) severe drastic insolvent strong turbulent moneyless violent vehement intense stimulate encourage สภุ าพ (adj.) courteous well-mannered urge decorous polished well-bred cultivated 142 กําจดั /ขจดั /เอาออก (Verb) blot out remove wipe out cancel delete/ strike out cross out obliterate efface expunge ยากจน/ขดั สน/ส้ินเนื้ อประดาตวั (adj.) needy bankrupt impoverished penniless indigent destitute broke down and out กระตุน้ /ดลใจ (Verb) inspire activate motivate instigate rouse arouse spur provoke prompt agitate

-08 เทคนิควิธีการอ่านภาษาอังกฤษแบบง่าย ๆ วิธกี ารอ่านภาษาอังกฤษ มีอยู่ 3 อย่างคือ Skim, Scan และ Speed ซง่ึ ทกุ ๆคนต้อง ฝึกทกั ษะเหล่าน้ี และเลือกใชต้ ามความเหมาะสม Skim Scan Speed 1. Skimming reading เป็นการอ่านแบบครา่ วๆ ผวิ เผนิ เพียงเพื่อทราบวา่ บทความน้ี พูดถงึ เรอื่ งอะไร มภี าพ รวมอยา่ งไร หลักการอา่ นมีดงั น้ี 1. อา่ นชอื่ เรอื่ ง หัวเรอื่ ง และหัวข้อตา่ งๆ เพื่อหาว่าบทความน้ี เก่ยี วข้องกบั เรอื่ งใด 2. ดภู าพประกอบเพื่อหาขอ้ มลู เพ่ิมเตมิ เก่ยี วกบั หัวขอ้ นั้ นๆ 3. อ่านประโยคแรกและประโยคสดุ ทา้ ยของทกุ ยอ่ หน้ า 4. อยา่ อ่านทกุ คําทกุ ประโยค ใชส้ ายตากวาดไปทงั้ บทความแลว้ เลอื กคําสําคัญ 5. พิจารณาถึงความหมายของคําต่างๆ ท่เี ลือกมา EXAMPLE Passage 1 Every second, one hectare of the world's rainforest is destroyed. That's equivalent to two football fields. An area the size of New York City is lost every day. In a year, that adds up to 31 million hectares -- more than the land area of Poland. This alarming rate of destruction has serious consequences for the environment; scientists estimate, for example, that 137 species of plant, insect or animal become extinct every day due to logging. In British Columbia, where, since 1990, thirteen rainforest valleys have been clearcut, 142 species of salmon have already become extinct, and the habitats of grizzly bears, wolves and many other creatures are threatened. Logging, however, provides jobs, profits, taxes for the government and cheap products of all kinds for consumers, so the government is reluctant to restrict or control it. 1) The main idea of paragraph is ? a. Scientists are worried about New York City. b. Logging is destroying the rainforests. c. Governments make money from logging. d. Salmon are an endangered species. 143

เฉลย ตอบขอ้ b. Logging is destroying the rainforests. จากประโยคแรก พดู ถงึ ปัญหาป่าดบิ ชนื้ ทไ่ี ดถ้ กู ทําลาย จนถึงประโยค \"This alarming rate of destruction has serious consequences for the environment; scientists estimate, for example, that 137 species of plant, insect or animal become extinct every day due to logging \" Passage 2 Much of Canada's forestry production goes towards making pulp and paper. According to the Canadian Pulp and Paper Association, Canada supplies 34% of the world's wood pulp and 49% of its newsprint paper. If these paper products could be produced in some other way, Canadian forests could be preserved. Recently, a possible alternative way of producing paper has been suggested by agriculturalists and environmentalists: a plant called hemp. 1) The main idea of paragraph is ? a. Canadian forests are especially under threat. b. Hemp is a kind of plant. c. Canada is a major supplier of paper and pulp. d. Canada produces a lot of hemp เฉลย ตอบข้อ c. เพราะตัง้ แตป่ ระโยคแรกถึงประโยคสดุ ทา้ ย ไดก้ ล่าวไว้ อยา่ งเจาะจง เลยว่า ประเทศเเคนาดา เป็นแหล่งผลติ หลกั ของกระดาษ และ เนื้ อไม้ Passage 3 Hemp has been cultivated by many cultures for thousands of years. It produces fibre which can be made into paper, fuel, oils, textiles, food, and rope. For centuries, it was essential to the economies of many countries because it was used to make the ropes and cables used on sailing ships; colonial expansion and the establishment of a world-wide trading network would not have been feasible without hemp. Nowadays, ships' cables are usually made from wire or synthetic fibers, but scientists are now suggesting that the cultivation of hemp should be revived for the production of paper and pulp. According to its proponents, four times as much paper can be produced from land using hemp rather than trees, and many environmentalists believe that the large-scale cultivation of hemp could reduce the pressure on Canada's forests. 1) The main idea of paragraph is ? a. Paper could be made from hemp instead of trees. b. Hemp is useful for fuel. c. Hemp has been cultivated throughout history. d. Hemp is essential for building large ships. 144

เฉลย ตอบขอ้ a. Paper could be made from hemp instead of trees. สังเกตจาก ประโยคสุดทา้ ย \" According to its proponents, four times as much paper can be produced from land using hemp rather than trees \" ซง่ึ กลา่ ววา่ คน มกั จะใชก้ ัญชาในการทาํ กระดาษมากกวา่ ต้นไม้ 2. Scanning reading เป็นการอ่านเพื่อหาข้อมลู เฉพาะจากบท สั งเกต Conjunction ให้ดี ความนั้ นๆ ดงั นั้ น Skim และ Scan จึงเป็น AใSใSชlใiชtoเชn้ hเ้ชc,เ้ชoอช่ื eอC่ืuอม่ื ,มgoมปBhคnคร,esววะecEาโาqaมvยมuueหคหesnมคenมtา,tวาhยlาaยyoเมsค,ปuหTลg็นมhh้อเeห,ายยrEตตeตvเุาfปeรมonง็นrกกeผiันfันล, ขกB้าันuมt ทกั ษะการอา่ นทจ่ี ําเป็นในการสอบ หรอื ใช้ เมอ่ื มีเวลาจากดั หลักการ อา่ น มดี งั น้ี 1. อย่าพยายามอ่านทกุ คํา ให้ใชส้ ายตา อา่ นไปอย่างรวดเรว็ ทวั่ ทงั้ หน้ าจนเจอส่ิงท่ี เราต้องการหา 2. ใชน้ ั ยตา่ งๆ บนหน้ านั้ นๆ เชน่ หัวขอ้ และชอ่ื เรอื่ งชว่ ยในการอา่ น 3. ในพจนานกุ รม หรอื สมุดโทรศัพท์ ใชค้ ําใน “หัวขอ้ ” เพ่ือชว่ ยในการมองหา เรา สามารถมองหาคําเหลา่ น้ี ได้จากตวั หน้ าทส่ี ่วนบนของทกุ หน้ า 4. ถ้าเราอา่ นเพื่อศึกษา เพ่ือการเรยี น เรม่ิ ต้นโดยการคิดถึงและเขยี นคําถามท่เี รา ตอ้ งการหาคําตอบก่อน ซง่ึ จะทาํ ให้เราสามารถโฟกสั ไปท่สี ่ิงท่กี ารหาขอ้ มูลต่างๆ เพ่ือ ตอบคาถามนั้ นๆ ไดง้ า่ ยข้ึน 5. ทําให้บทความต่างๆ สามารถหาได้งา่ ยข้นึ โดยอาจเรยี งตามตัวอักษร ใชด้ ชั นี ทา้ ยหนั งสือในการชว่ ยค้นหา 6. มหี ลายวิธใี นการฝึกทกั ษะการ Scan ได้ เชน่ การค้นหาเบอรโ์ ทรศัพท์ รา้ น อาหารตา่ งๆ เป็นต้น EXAMPLE Passage 1 E-Education begins RANGOON – Burma launched an ambitious e–education program over the weekend with the opening of 203 electronic learning centers in all states and divisions nationwide, official media reports said recently. The “Electronic Data Broadcasting System” we officially inaugurated recently by the Ministry of Education and Ministry of Information, said the state run New Light of Myanmar newspaper. Under the program, students will have access to lectures on “academic subjects and technology subjects” at special learning centers via computer, satellite links and television. 1) Where in Burma inaugurated e-education program? a. Myanmar b. Rangoon c. all the states d. centre of Burma 145

2) When did e-education program open? a. everyday b. every week c. every month d. only weekend 3) Which subjects do the students have on this program? a. technology and academic subjects b. academic subjects and electronic c. technology and science subject d. Mathematics and English 4) Ms. Chantana: Can I study the English subject via television? The students: ........................................................ a. Yes, I can. b. No, I can’t. c. Yes, you can. d. No, you can’t เฉลย 1. ตอบขอ้ b. Rangoon คําแรกของประโยคแรกในเรอ่ื ง บอกชดั เจนว่า RANGOON (เมืองย่างก้งุ ) ของประเทศพม่า เป็นสถานท่ที ใ่ี ชเ้ รม่ิ โปรแกรมการเรยี น การสอนแบบอเิ ลก็ ทรอนิ กส์ อยา่ งเป็นทางการ 2. ตอบข้อ d. over the weekend ในยอ่ หน้ าแรก เป็นคีย์เวิรด์ สําคัญนํ าไปส่คู ํา ตอบทว่ี ่าโปรแกรมการเรยี นการสอนแบบอเิ ลก็ ทรอนิ กส์ เปิดให้บรกิ าร ในชว่ งวัน หยดุ สุดสัปดาห์ (เสาร์ และอาทติ ย)์ เทา่ นั้ น 3. ตอบขอ้ a. technology and academic subject เทคโนโลยี และวิชาการ เป็นสองวิชา ท่นี ั กเรยี นจะไดเ้ รยี นในโปรแกรมน้ี ดู key word ไดจ้ ากประโยคท่วี า่ \" students will have access to lectures on “academic subjects and technology subjects” 4. ตอบขอ้ c. television ดู key word ในยอ่ หน้ าสดุ ทา้ ย และคําสุดทา้ ยของเรอ่ื ง ชว่ ยให้ไดค้ ําตอบว่า นั กเรยี นสามารถเรยี นภาษาองั กฤษ ผา่ นโทรทศั น์ ได้ 3. Speed reading คือ การฝึกอา่ นให้เรว็ ทําไดโ้ ดยการนํ าเอาเทคนิ คการ Skim มาปรบั ใช้ นั่ นคือ อ่าน ไปเรอื่ ยๆ หากไมเ่ ขา้ ใจคําใดให้พิจารณาหาความหมายของคําๆ นั้ นจากบรบิ ทของมัน ในกรณีท่คี ําถาม ถามว่าใจความสําคัญของเนื้ อเรอื่ งในบทความคืออะไร หรอื ควร จะตงั้ ชอ่ื บทความว่าอย่างไร กอ่ นอ่นื เราต้องรูจ้ กั กอ่ นว่าอะไรคือ Main ideas, Topic หรอื Subtopics และอะไรคือ supporting details Main # ¥Sub supporting ideas topics details . 146

- Main ideas/ Topics ก็คือส่ิงทบ่ี ทความนั้ นตอ้ งการจะส่ือจรงิ ๆ ส่วนมากพวกน้ี คือ ตัวทถ่ี ูกอธบิ าย และพูดยากวา่ จะอย่สู ่วนไหนของบทความ เพราะสามารถอย่ไู ดท้ กุ ท่ี และ ส่วนมากจะอย่ตู รงกลางๆ ของบทความ หรอื อาจอยใู่ นภาพรวม ตอ้ งอา่ นทงั้ หมดจึง จะรู้ วา่ ในบทความอะไรท่สี ําคัญ - Subtopics กค็ ือtopics หรอื หัวขอ้ ท่แี ยกย่อยมาจากtopicใหญๆ่ มีไวเ้ พ่ือ อธบิ ายหลกั ใหญใ่ จความของประโยค หา ไดง้ า่ ยมากในบทความ - Supporting details ก็คือส่วนทข่ี ยาย subtopics อกี ทหี น่ึ ง อาจเป็นตัวอย่างท่ี มไี ว้ เพ่ือเสรมิ ให้ใจความชดั เจนมากข้ึน EXAMPLE Passage 1 You are in Sydney with a friend. Now you are looking at a page of a city guide which gives information about Sydney’s best restaurants. Look at the list below and answer the questions that follow: Sydney’s best restaurants B = breakfast L = lunch D = dinner Alhambra – A Spanish/ Moroccan Diamond Century - One of Sydney’s best menu plus flamenco dancing and Chinese restaurants, specializes in habour views. LMon–Fri,&Ddaily. fresh seafood. L Mon- Sat, & D daily. 54 West Esplanade, Manly 876 – 878 Sussex Street, Haymarket Tel: 9976-2977 Tel: 9545-9885 Darling Pavilion - modern Australian Florence’s - Delicious Italian cuisine. cuisine in beachside setting. EnjoyF a three course meal or just L&Ddaily 68 Darlinghurst Rd., drop in for a coffee. Waterfront Darlinghurst location. Open24hours.B,L&Ddaily. Tel: 9887-6456 345 345 Harbourside, Darling Harbour Tel: 9656-7866 Ram & Rain - Authentic Thai dishes, Rani’s - Authentic and unique dishes plus Thai dances. Informal cafe from different regions of India. Outdoor upstairs. L Tue–Fri & D Tue-Sat. seating. L&DMon–Sat. 658 Commonwealth Street, Surry Hills 786 Commonwealth Street, Surry Hills Tel: 9787-7457 786 Tel: 9897-4959 1) Customers can enjoy Thai food with the telephone number “______.” a. 9787-7457 786 b. 9897-4959 c. 9976-2977 d. 9887-6456 345 147

2) You can order Indian food at ________. a. Ram & Rain b. Florence’s c. Rani’s d. Alhambra 3) The restaurant that serves lunch only in weekdays is_______. a. Darling Pavillion b. Alhambra c. Diamond Century d. Rani’s 4) Every restaurant serves dinner everyday except________. a. Ram & Rain, Rani’s b. Rani’s, Diamond Century c. Florence, Darling Pavillion d. Alhambra, Ram & Rain 5) The restaurant that serves breakfast, lunch and dinner everyday is located at ____. a. 658 Commonwealth Street, Surry Hills b. 68 Darlinghurst Rd. Darlinghurst c. 876 – 878 Sussex Street, Haymarket d. 345 Harbourside, Darling Harbour เฉลย 1. ตอบขอ้ a. 9787-7457 786 เพราะ Ram & Rain เป็นภัตตาคารเดยี วทข่ี าย อาหารไทย และเบอรโ์ ทรศัพทข์ องรา้ น คือ 9787-7457 786 ซง่ึ ตรงกับข้อ a. 2.ตอบข้อ c. Rani’s เพราะRani’s เป็นภัตตาคารเดียวทข่ี ายอาหารอนิ เดียโดย ในป้ายโฆษณาเขยี นว่า Authentic and unique dishes from different regions of India. 3.ตอบข้อ b. Alhambra เพราะในป้ายโฆษณาในส่วนของAlhambra เขยี นวา่ L Mon – Fri ซง่ึ หมายความว่ามีอาหาร กลางวนั วนั จนั ทรถ์ งึ ศุกร์ นั้ นหมายความวา่ เป็น weekdays เทา่ นั้ น 4. ตอบขอ้ a. Ram & Rain, Rani’s เพราะ Ram & Rain มีอาหารค่ําให้เฉพาะวนั อังคารถึงวนั เสาร์ และ Rani’s มีอาหารค่าให้เฉพาะวันจันทรถ์ ถึงวนั เสาร์ ในขณะ ท่ี ภตั ตาคารทอ่ี ่นื มอี าหารค่ําให้ทกุ วนั 5. ตอบข้อ d. 345 Harbourside, Darling Harbour เพราะ 345 Harbourside, Darling Harbour เป็นทอ่ี ยขู่ อง Florence’s ซง่ึ เขยี นวา่ B , L & D daily. หมายความ ว่า มอี าหารเชา้ อาหารกลางวนั และอาหารเย็นทกุ วนั 148


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook