Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore Essential English Grammar Book

Essential English Grammar Book

Published by milkmap, 2022-07-05 13:54:35

Description: Essential English Grammar Book

Search

Read the Text Version

3. Adjective phrase คือ กล่มุ คําท่มี ี adjective เป็นคําหลกั และอาจมีส่วนขยายอย่ดู ้วย จะทาํ หน้ าท่ขี ยาย Noun, Noun Equivalent, Pronoun วางไวห้ ลังตัวท่มี ันขยายเสมอ แบง่ เป็น 3.1 infinitive phrase เชน่ This is the way to learn English. I have nothing to eat today. 3.2 participial phrase เชน่ The bird singing in the tree is very beautiful. เชน่ The bird shot down by the boy is very beautiful. 3.3 prepositional phrase ทําหน้ าท่เี ชอื่ ม Noun, Noun Equivalent เชน่ The book on the table is mine. 3.4 appositive phrase (a group of noun = noun + noun) อย่หู ลงั Noun ทม่ี นั ขยาย ต้องมี Comma เสมอ เชน่ Bangkok, the capital of Thailand, is very beautiful. Napoleon, the French Emperor, fought very bravely. Adjective phrase อาจจะประกอบดว้ ย adjective ตวั เดยี ว หรอื อาจจะมสี ่วนขยายข้าง หน้ าทเ่ี รยี กวา่ premodifer และส่วนขยายข้างหลงั ท่เี รยี กวา่ postmodifier ด้วยก็ได้ เชน่ Jack is handsome. (handsome เป็น Adj.phrase มี handsome คําหลกั ไมม่ ี modifier) John is very intelligent. (very intelligent เป็น Adj.phrase ทม่ี ี intelligent เป็นคําหลกั และมี very เป็น premodifier) John is afraid of heights. (afraid of heights เป็น Adj.phrase ทม่ี ี afraid เป็นคําหลัก และมี of heights เป็น postmodifier) We are happy to see you. (happy to see you เป็น Adj.phrase ทม่ี ี happy เป็นคําหลกั และมี to see you เป็น postmodifier) I am relieved that nobody was hurt. (relieved that nobody was hurt เป็น Adj.phrase ท่มี ี relieved เป็น คําหลัก และมี that nobody was hurt เป็น postmodifier) 49

4. Adverb phrase คือ กล่มุ คําทม่ี ี adverb เป็นคําหลักและอาจมีส่วนขยายอย่ดู ้วย แบ่งเป็น 4.1 infinitive phrase เป็น adverb of purpose เสมอ เชน่ She is glad to learn English. (ขยาย adjective) She runs fast to learn English. (ขยาย adverb) **โดยตําแหน่ งปกติแล้วจะอย่หู ลงั ตวั ท่มี ันขยาย ยกเวน้ กรณีตอ้ งการเน้ นประโยค เชน่ To learn English, I have to practice hard. 4.2 participial phrase แบ่งเป็น present participial (ประธานเป็นผกู้ ระทํากรยิ านั้ น เอง) และ past participial (ประธานถูกกระทาํ ) หากต้องการเน้ นประโยค จะวาง participial phrase ไว้หน้ าประโยคโดยมี comma คัน่ เชน่ Singing in the tree, the bird was shot down by the boy. Shot down by the boy, the bird lay dead under the tree. 4.3 absolute phrase เป็นวลที ่สี มบรู ณ์เหมือนประโยค (S + participial phrase) เชน่ John passing his exam, his father rewarded him. 4.4 prepositional phrase เชน่ Don't go without your raincoat. The girl ate her soup with a small spoon. During the Summer, some of my friend went to Hua Hin. Adverb phrase อาจจะประกอบด้วย adverb ตัวเดียวหรอื อาจจะมีส่วนขยายข้างหน้ าท่เี รยี ก ว่า premodifer และส่วนขยายข้างหลังท่เี รยี กวา่ postmodifier ดว้ ยกไ็ ด้ เชน่ The engine was running smoothly. (smoothly เป็น Adv.Phrase ท่มี ี smoothly เป็นคําหลัก ไมม่ ี modifier) You’re driving too fast! (too fast เป็น Adv.Phrase ท่มี ี fast เป็นคําหลกั มี too เป็น premodifier) 5. Prepositional phrase คือ บพุ บทวลี มโี ครงสรา้ งคือ preposition + noun phrase เชน่ I like to read in bed. (บุพบทวลี in bed ทาํ หน้ าท่เี ป็น adverbial ขยายกรยิ า read) I took several courses in history. (บพุ บทวลี in history เป็น postmodifier ของคํานาม courses) I am not happy with my marks this term. (บุพบทวลี with my marks เป็น postmodifier ของคําคุณศัพท์ happy) 50

Subject and Verb Agreement คือ หลักการใชค้ ํากรยิ าให้สอดคล้องกบั ประธานในภาษาองั กฤษ ประโยคมอี งค์ ประกอบหลักคือ ประธาน (Subjects) กรยิ า (Verbs) กรรม (Objects) โดยแตล่ ะภาษา มกี ฎไวยากรณ์แตกต่างกันไป ภาษาอังกฤษก็เชน่ กนั ทจ่ี ะมกี ฎในการใชป้ ระธานและ กรยิ ารว่ มกันในประโยค ซง่ึ เป็นเรอื่ งจําเป็นท่ตี อ้ งรู้ กฎการใช้ประธาน (Subjects) และ กรยิ า (Verbs) ร่วมกันในประโยค 1. ถ้าประธานเอกพจน์ อยใู่ น Present Simple Tense กรยิ าต้องเป็นเอกพจน์ คือเตมิ s/es เชน่ - She speaks English very well. - The dog barks at the cat. ถา้ ประธานพหูพจน์ หรอื หลายคน หลายส่ิง กรยิ าตอ้ งเป็นพหูพจน์ ด้วย คือ กรยิ ารูป ปกตไิ ม่ต้องเตมิ s/es เชน่ - The dogs bark at the cat. - These children live in Tokyo. 2. กรณีทม่ี ีประธาน 2 ตวั เชอ่ื มดว้ ย “and” โดยปกตถิ ือเป็นพหูพจน์ กรยิ าจงึ อยใู่ นรูป พหูพจน์ เชน่ Jean and David are moving back to Australia. 3. ประธาน 2 ตัวเชอ่ื มด้วย and แตค่ ิดเป็นส่ิงเดยี วกันหรอื เป็นหน่ วยเดียวกนั =ให้นับเป็นเอกพจน์ กรยิ าก็เป็นเอกพจน์ เชน่ - Rice and omelet is my favourite breakfast. - Bread and butter has been my breakfast for years. - Rice and curry is my daughter's favourite food. 4. ประโยคหรอื วลีทข่ี ยายประธาน ไม่มผี ลตอ่ การใชก้ รยิ าของประธาน เชน่ - Zico, with all his players, was on the field. - Mr. Clark, like our other neighbours, is very helpful. 51

5. ประธานท่มี คี ํานามมากกวา่ 1 เชอ่ื มดว้ ย and ถ้าเป็นคนหรอื ส่ิงเดยี วกัน จะใช้ article ท่ปี ระธานตวั หน้ าท่เี ดยี วเทา่ นั้ น เชน่ - The manager and owner of this restaurant is my brother. (The manager and owner = ผจู้ ัดการกบั เจ้าของเป็นคนเดียวกนั ) - The black and white dog under the table is my girlfriend’s dog. (The black and white dog = สนุ ั ข 1 ตัว มีสีดํา-ขาว) **แต่ถา้ เป็นคนละคนหรอื คนละส่ิงต้องใส่ article ท่หี น้ าคํานามทงั้ สองคํา เชน่ - The manager and the owner of this restaurant are my brothers. (ผจู้ ัดการและเจา้ ของเป็นคนละคนกัน) - The black and the white dog under the table are my dogs. (มีหมาสี ดําและหมาสี ขาว) =not (ไมใ่ ช)่ 6. ประธานท่มี วี ลีหรอื คําขยายตอ่ ไปน้ี ต่อทา้ ยจะใชก้ รยิ าทเ่ี ป็นเอกพจน์ หรอื พหูพจน์ นั้ น จะต้องยึดเอาประธาน/คํานามท่อี ย่ขู า้ งหน้ าเป็นหลัก accompanied by (พรอ้ มดว้ ย) but (ยกเวน้ ) in company with (พรอ้ มดว้ ย) plus (รวมทงั้ ) along with (พรอ้ มดว้ ย) except (ยกเวน้ ) including (รวมทงั้ ) together with (พรอ้ มด้วย) as well as (เชน่ เดียวกบั ) excluding (ไมน่ ั บ) like (เชน่ เดียวกับ) with (พรอ้ มกับ) besides (นอกจาก) in addition to (นอกจาก) เชน่ - Some people including my brother find cricket boring. - John together with his colleagues has agreed to work late tonight. - Ploy as well as her parents is going to Europe. 7. คําต่อไปน้ี เมอ่ื เป็นประธานให้ถอื เป็นเอกพจน์ กรยิ าก็เป็นเอกพจน์ เสมอ somebody anybody everybody someone anyone everyone something anything everything somewhere anywhere everywhere each + singular N. either + singular N. neither + singular N. each of + Plural N. either of + Plural N. neither of + plural N. เชน่ - Everyone is in the room. - Someone in the office likes you. - Either of us is to clean up the house after the party tonight. - Is there anybody here who could speak Japanese? - Each of the lessons takes an hour. - Neither of my sisters is married. 52

8. ประธานซง่ึ เชอ่ื มดว้ ยคําต่อไปน้ี กรยิ าถอื ตามประธานตวั หลงั either....or neither... nor or not only......but also เชน่ - Either the teachers or the principal is to blame for the accident. - Not only Jim but also his friends are coming to the party tonight. **ในกรณีประธาน 2 ตวั นิ ยมเอาประธานท่เี ป็นพหูพจน์ ไว้ ขา้ งหลงั มากกว่า =เชน่ - All were ready to leave the party by midnight. 9. คํา Indefinite Pronouns ตอ่ ไปน้ี ถ้าใชแ้ ทนคํานามนั บได้ ถือเป็นพหูพจน์ เสมอ all both (a) few many several some - Many were invited to the lunch but only twelve showed up. - Few were in the audience to see the horrible play. 10. การใชว้ ลบี อกปรมิ าณ มหี ลักดงั น้ี 10.1. วลบี อกปรมิ าณตอ่ ไปน้ี ถา้ ตามด้วยนามเอกพจน์ กรยิ าต้องใชเ้ อกพจน์ ถ้าตาม ด้วยนามพหูพจน์ กรยิ าต้องใชพ้ หูพจน์ เชน่ a lot of plenty of most of some of lots of all of none of percent of เชน่ - Some of my jewellery is missing. - A lot of books were left on the table. - Most of my friends live in Milan. 10.2. วลีบอกปรมิ าณต่อไปน้ี ใชก้ ับคํานามนั บไดท้ เ่ี ป็นพหูพจน์ และ กรยิ ากต็ อ้ งเป็น พหูพจน์ a number of many a large number of a good many a great number of a great many เชน่ - A number of students were studying very hard in the classroom even after school. - There are still a large number of problems to be solved. 10.3. วลีบอกปรมิ าณตอ่ ไปน้ี เม่อื ใชก้ บั นามนั บไมไ่ ด้ กรยิ าตอ้ งใชร้ ูปเอกพจน์ ตลอด much a large number of a great deal of a large amount of a good deal of a large quantity of เชน่ - A large amount of money was stolen from the bank. 53

11. จําไว้วา่ ‘There’ และ ‘Here’ ทข่ี ้นึ ต้นประโยคไม่ใชป่ ระธาน แต่เราจะเจอประธาน หลงั คําเหล่าน้ี ในประโยคเสมอ เชน่ - There are books in my bag. ( are สอดคล้องกบั books ซง่ึ เป็นประธานของประโยค) - Here is the report you wanted. ( is สอดคล้องกบั report ซง่ึ เป็นประธานของประโยค) 12. คํานามบางคําทอ่ี ยใู่ นรูปพหูพจน์ ให้ถอื เป็นเอกพจน์ กรยิ าต้องเป็นเอกพจน์ mumps, home economics, social studies economics, measles, calisthenics, statistics, civics, physics, gymnastics, phonics, news, acrobatics, aesthetics, thesis, mathematics เชน่ - Mathematics is an easy subject for some people. - Measles is a dangerous disease for pregnant women. 13. ประโยคท่มี ี who, which, that เป็น Relative Pronoun กรยิ าของ Relative Pronoun จะใชร้ ูปของเอกพจน์ หรอื พหูพจน์ ให้ถือเอาตามคําท่มี นั แทน ซง่ึ อยขู่ ้างหน้ า who, which, that เชน่ - There is a boy who is running in the park. (who = a boy) - No houses that were made of wood survived the fire. (that=houses) 14. ประธานท่ขี ้นึ ต้นดว้ ยวลีทน่ี ํ าหน้ าด้วย To+V.inf. (Infinitive Phrase) หรอื Gerund (V.ing) ถอื วา่ เป็นเอกพจน์ กรยิ าตอ้ งเป็นรูปเอกพจน์ เชน่ - To play tennis is fun. - Winning the national championship is her important achievement. 15. ประธานทเ่ี ป็นจํานวนเงนิ , มาตราตา่ งๆ,ชว่ งเวลา ถอื เป็นเอกพจน์ กรยิ าจงึ ใชเ้ อกพจน์ เชน่ - Ten million bahts is too high for this car. - Twenty years is a long time to wait. 16. ประธานท่เี ป็นเศษส่วนของคํานามพหูพจน์ กรยิ าจะเป็นพหูพจน์ และประธานทเ่ี ป็น เศษส่วนของคํานามเอกพจน์ กรยิ าจะเป็นเอกพจน์ เชน่ - Two-thirds of the boys are playing football. - One-third of the cheese is moldy. 17. ชอ่ื หนั งสือ, บทความ, หนั ง และเพลง เป็นเอกพจน์ เสมอ เชน่ - Harold and the Purple Crayon was my favorite book as a child. 54

Interrogative Sentence คือ ประโยคคําถาม ทผ่ี พู้ ูดหรอื ผเู้ ขยี นต้องการให้ผฟู้ ังหรอื ผอู้ ่านให้คําตอบ  ซง่ึ อาจจะเป็นคําตอบสั้น ๆ วา่   yes/no  หรอื เป็นคําตอบทเ่ี ป็นคําเดียว เป็นกลมุ่ คํา หรอื เป็นประโยค   Q:   Is this your book?                        A:   Yes. / Yes, it’s mine.      Q:   Have you got the time?                           A:   It’s five to nine.             Q:  You like Thai food, don’t you?                        A:  Oh yes. Very much. ประเภทของประโยคคําถาม                     1. Yes/No questions  ได้แกค่ ําถามท่ผี ตู้ อบมกั จะต้องตอบรบั หรอื ตอบปฏเิ สธ คือ ตอบ  yes หรอื   no  คําถาม ประเภทน้ี สรา้ งข้ึนจากประโยคบอกเลา่   ในประโยคท่ใี ช้ tense ต่าง ๆท่มี กี รยิ าชว่ ย หรอื ใน ประโยค ท่มี ี V.to be เป็นกรยิ าแทเ้ ป็น   present simple tense หรอื past simple tense มักวางประธานและกริยาสลับท่ีกันกลายเป็นประโยคคําถาม Yes/No questions  การตอบ คําถามส่วนมากจะเรม่ิ ด้วยคําตอบ yes หรอื  no  ตามขอ้ เทจ็ จรงิ ท่ผี ตู้ อบตอ้ งการสื่อและตาม ด้วยข้อมูลเพ่ิมเตมิ ซง่ึ อาจจะเป็นข้อความสั้น ๆ ท่อี ยใู่ นรูปของ  declarative sentence ดังตัวอย่าง 55

ประโยคท่มี ีกรยิ าอน่ื ๆ เชน่ walk, play, leave, study, etc.  เป็นกรยิ าแทแ้ ละ อยใู่ น present simple tense ตอ้ งใชก้ รยิ าชว่ ย  do/does ในประโยคคําถาม  ดงั ตวั อยา่ ง ใชก้ รยิ าชว่ ย  did ในประโยคท่มี กี รยิ าแทอ้ ย่ใู น past simple tense เม่อื เปล่ียน ประโยคบอกเล่าเป็นประโยคคําถาม   ดงั ตัวอยา่ ง ในประโยคทม่ี ี do และ have เป็นกรยิ าแทแ้ ละอยใู่ น present simple tense ต้องใชก้ รยิ าชว่ ย do/does ในประโยคคําถาม และใชก้ รยิ าชว่ ย did เมื่อ do หรอื have อย่ใู น past simple tense ดงั ตวั อย่าง 56

1. Wh-question  ไดแ้ ก่คําถามท่ผี ตู้ อบจะตอ้ งให้ข้อมูลแกผ่ ถู้ ามตาม Wh-word ทว่ี างไวต้ ้นประโยคคําถาม เชน่ Q: Where did Korn study? A: He studied in Bangkok. Wh-words ซง่ึ ใชน้ ํ าหน้ าประโยคคําถาม ได้แกค่ ําต่อไปน้ี who (ใคร = subject) whom (ใคร = object) what (อะไร = subject และ object) when (เมอื่ ไร) where (ท่ไี หน) how (อยา่ งไร) which (คน/อัน/ส่ิงไหน) whose (ของใคร) why (ทาํ ไม) การเรยี งคําในประโยคคําถามเหมอื นการเรยี งคําในประโยคบอกเลา่ ดงั น้ี Wh-word + กริยา (= present simple หรือ past simple)? Wh-word + กรยิ า (= aux. verb + main verb เมื่อเป็น tense อนื่ )? การเรยี งคําในประโยคคําถาม ประธานจะตอ้ งวางสลับกบั กรยิ าช่วย ดังน้ี ในประโยคทใ่ี ช้ tense ต่าง ๆ ทม่ี ีกรยิ าชว่ ย วางประธานและกรยิ าชว่ ยสลับท่กี ัน ในประโยคทม่ี ี V. to be เป็นกรยิ าแท้ อย่ใู น present simple tense หรอื past simple tense ต้องวางประธานและกรยิ า V. to be สลบั ท่กี นั I ในประโยคทม่ี ีกรยิ าอน่ื เชน่ walk, buy, come, etc. เป็นกรยิ าแท้ อยใู่ น present simple ต้องใช้ does/do วางหน้ าประธานทเ่ี ป็นบรุ ุษอ่นื ๆ แลว้ เปล่ยี นกรยิ า แทใ้ ห้อย่ใู นรูป V. base form วางไวห้ ลงั ประธาน ถ้ากรยิ านั้ นเป็น past simple ให้ใช้ did วางหน้ าประธาน แล้วเปล่ยี นกรยิ าแทใ้ ห้อยใู่ นรูป V. base form วางไว้หลัง ประธาน การสรา้ งประโยคคําถามด้วย Wh-words เชน่ Who ใชเ้ มอ่ื ถามถงึ ประธานของประโยคทเ่ี ป็นคน Subject Verb (Object) John telephoned Mary. 1 Who telephoned? นอกจาก who ทใ่ี ชถ้ ามถงึ ประธานของประโยคแลว้ ยงั ใช้ what, which, whose, how many ได้ ซง่ึ เรยี งคําในประโยคแบบเดยี วกบั who Whom ใชเ้ มอื่ ถามถึงบคุ คลท่เี ป็นกรรมของประโยค Subject Verb (Object) John telephoned Mary. I Whom did John telephone? **หมายเหตุ ปัจจุบนั นิ ยมใช้ who แทน whom ทงั้ ในภาษาพดู และภาษาไม่เป็นทางการ 57

Whose ใชเ้ พ่ือถามว่าใครเป็นเจา้ ของของส่ิงของส่ิงหน่ึ งหรอื จํานวนหน่ึ ง Whose car ran the fastest? (Whose car = ประธาน) Whose book are you reading? (Whose book = กรรม) whose + noun (= ประธาน) + กรยิ า (= present simple หรอื past simple)? whose + noun (=กรรม) + กรยิ าชว่ ย + ประธาน + กรยิ าแท้ ? Which ใชเ้ พ่ือถามว่า คนไหน/อันไหน/ส่ิงไหน ใชใ้ นลักษณะเดียวกบั whose คือมีนามตามมาหรอื ไม่มีคํานามตามมา และใชเ้ ป็นประธานหรอื กรรมของประโยคกไ็ ด้ Which car ran the fastest? (Which car = ประธาน) Which book did you buy? (Which book = กรรม) which + noun (= ประธาน) + กรยิ า (= present simple หรอื past simple)? which + noun (= กรรม) + กรยิ าชว่ ย + ประธาน + กรยิ าแท้ ? What มีความหมายว่าอะไร ส่วนมากใชเ้ พ่ือถามถึงส่ิงของ มคี ํานามตามมาหรอื ไมม่ คี ํานามตามมากไ็ ด้ และใชเ้ ป็นประธานหรอื กรรมของประโยคได้ What made that noise? (What = ประธาน) What musical instrument does he play? (What musical instrument =กรรม) what/ what + noun (= ประธาน) + กรยิ า(= present simple หรอื past simple)? what/ what + noun (= กรรม) + กรยิ าชว่ ย + ประธาน + กรยิ าแท้ ? When มคี วามหมายวา่ เมอื่ ไร ใชถ้ ามถึงเวลาซง่ึ ทาํ หน้ าท่เี ป็นส่วนขยายของประโยค When did he leave? When will they arrive? when + กรยิ าชว่ ย + ประธาน + กรยิ าแท้ ? Where มคี วามหมายว่าทไ่ี หน ใชถ้ ามถงึ สถานท่ี ทําหน้ าท่เี ป็นส่วนขยายของประโยค Where are the boys? Where did he study? where + BE (= กรยิ าแท)้ + ประธาน ? where + กรยิ าชว่ ย + ประธาน + กรยิ าแท้ ? 58

Why มีความหมายว่าทาํ ไม ใชถ้ ามถึงเหตผุ ล ทําหน้ าท่เี ป็นส่วนขยายของประโยค Why did he leave early? Why is he crying? why + กรยิ าชว่ ย + ประธาน + กรยิ าแท้ ? How มีความหมายว่าอยา่ งไร ใชถ้ ามถึงลักษณะการกระทําว่าเป็นอย่างไร ทาํ หน้ าทเ่ี ป็นส่วนขยายของประโยค How are the boys? How did he go to school? how + BE (= กรยิ าแท)้ + ประธาน ? how + กรยิ าชว่ ย + ประธาน + กรยิ าแท้ ? how ใชก้ บั คําคุณศัพทห์ รอื คํากรยิ าวิเศษณ์ได้ เชน่ How old is the boy? How often did he go to the cinema? How many people came to the party? How much water must we drink? สําหรบั how many + N และ how much + N ใชเ้ ป็นประธานไดแ้ ละเรยี งคําใน ประโยคเหมือน who หรอื ใชเ้ ป็นกรรมของประโยคและเรยี งคําในประโยคเหมือน whom 3. Question Tag Question Tag ไดแ้ ก่คําถามทส่ี ่วนหน้ าเป็นรูปประโยคบอกเลา่ หรอื รูปประโยค ปฏิเสธ และตอ่ ทา้ ยหรอื ต่อส่วนสรอ้ ยดว้ ยข้อความสั้น ๆ มีรูปเป็นคําถามคือ วาง ประธานและกรยิ าสลบั ท่กี นั **สามารถศึกษาเรอื่ ง Question Tag ได้อยา่ งละเอียดในบท Question Tag 59

Question Tag คือ กล่มุ คําท่ตี อ่ ทา้ ยประโยค เพื่อทําให้เป็นประโยคคําถาม ใชใ้ นบทสนทนาทวั่ ๆไป โครงสรา้ งของประโยคหลกั และ Question Tag จะสัมพันธก์ นั หรอื พูดงา่ ยๆคือ เป็น Tense เดยี วกนั นั่ นเอง Question Tag คืออะไร? Question แปลว่า คําถาม Tag แปลว่า วลี ทน่ี ํ ามาใชต้ ่อทา้ ยประโยค เพื่อทาํ ให้เป็นประโยคคําถาม ดังนั้ น ถา้ แปลตามคํานิ ยามแล้ว Question Tag คือ วลคี ําถาม นั่ นเอง แต่ภาษาไวยากรณ์ เขามกั จะเรยี กทบั ศัพทไ์ ปเลยว่า Question Tag. โครงสรา้ งประโยคของ Question Tag มรี ูปแบบคือ Statement Sentence + , (comma) + Question tag? (Statement Sentence = Subject + verb + Object) ประโยคทม่ี ี Question tag มสี องรูปแบบไดแ้ ก่ แบบท่ี 1 ประโยคหลกั บอกเล่า, Question Tag ถามเชิงปฏิเสธ ประโยคบอกเลา่ ท่ไี ม่มีรูปปฏิเสธ จะตามด้วย Question tag ทเ่ี ป็นรูปปฏิเสธ เชน่ He’s running, isn’t he? (เขากําลงั ว่ิง ไมใ่ ชร่ )ึ แบบท่ี 2 ประโยคหลกั ปฏเิ สธ, Question Tag ถามเชิงบอกเล่า ประโยคบอกเล่าทม่ี ีรูปปฏิเสธ จะตามดว้ ย Question tag ท่ไี มใ่ ชร่ ูปปฏิเสธ เชน่ You’re not a doctor, are you? (คุณไม่ได้เป็นหมอ ใชไ่ หม) รูปของ Question tag ท่ใี ช้นั้น ข้ึนอย่กู ับ Verb ของประโยคท่ีอย่ขู ้างหน้า หากประโยคขา้ งหน้ าเป็น Verb to be รูปของ Question tag ก็จะเป็น Verb to be เชน่ - Tom is not running, is he? - Jane was ill, wasn’t she? หากประโยคหลกั มกี ารใช้ Helping verb รูป Question tag ก็จะเป็น Helping verb เชน่ - I shouldn’t see him, should I? 0- She will go tomorrow, won’t she? หากรูปประโยคมีการใช้ Verb ปกติ รูปของ Question tag จะใช้ Verb to do เชน่ - We have two dogs, don’t we? - Sam went to school by bus, didn’t he? 60

รูปแบบสามารถสรุปไดต้ ามตารางดงั น้ี Subject +...Sentence - Positive Question tagSentence - Negative Question tag should She/He/It + is + ... isn’t + she/he/ it? She/He/It + isn’t+ ... is + she/he/ it? Eftshall I + am + ... aren’t I? I + am not + ... am I? We/You + are + ... aren’t + we/ you? We/You + aren’t + ... are + we/ you? I/She/He/It + was + ... wasn’t + I/she/ he/it? I/She/He/It + wasn’t + ... was + I/she/ he/it? We/You + were +... weren’t + we/ you? We/You + weren’t + ... were + we/ you? She/He/It + does + ... doesn’t + she/ he/it? She/He/It + doesn’t + ... does + she/ he/it? I/We/You + do +... don’t + I/we/ you? I/We/You + don’t + ... do+ I/we/ you? Subject + did + ... didn’t + Subject? Subject + didn’t +... did + Subject? She/He/It + has +... hasn’t + she/ he/it? She/He/It + hasn’t + ... has + she/he/ it? I/We/You + have + ... haven’t + I/we/ you? I/We/You + haven’t + ... have + I/we/ you? Subject+ had + ... hadn’t + Subject? Subject+ hadn’t + ... had+Subject ? shouldn’t + Subject? Subject +... should + Subject? shall + Subject +not? shouldn’t shall + Subject? shall not will won’t + Subject? will not will + Subject? would wouldn’t + Subject? wouldn’t would + Subject? can can’t +Subject? can’t can + Subject? could couldn’t +Subject? couldn’t could + Subject? She/He/It +verb doesn’t + she/ he/it? (Present tense) +... I/We/You +verb don’t + I/we/ you? (Present tense) +... Subject + verb didn’t + Subject? (Past tense) + ... 61

ตวั อยา่ งประโยคของ Question tag - We will not be late for class, will we? (เราจะไมไ่ ปเรยี นสายใชไ่ หม) ถ้าจะตอบวา่ ไปสายก็ต้องตอบว่า Yes, we will. ถา้ จะตอบว่าไมไ่ ปสายกต็ ้องตอบวา่ No, we won’t. - He is in the library, isn’t he? (เขาอย่ทู ห่ี ้องสมดุ ไม่ใชเ่ หรอ) - He plays tennis, doesn’t he? (เขาเลน่ เทนนิ สใชไ่ หม) - This jacket doesn’t look good, does it? (เสื้อแจ็คเก็ตตัวน้ี ดูไมส่ วยใชไ่ หม) - I shouldn’t be so mad, should I? (ฉันไมน่ ่ าจะโกรธขนาดนั้ นใชไ่ หม) Question tag ยงั มี 3 รูปแบบพิเศษ นั่ นคือ ประโยคข้นึ ต้นดว้ ย Let’s จะตอ้ งใช้ question tag ในรูปของ shall we เสมอ เชน่ - Let’s go out for dinner tonight, shall we? (ไปทานข้าวเยน็ คืนน้ี กันไหม) - Let’s grab some coffee, shall we? (ไปกินกาแฟกนั ไหม) ประโยคข้นึ ตน้ ด้วย Don’t จะตอ้ งใช้ question tag ในรูปของ will you เชน่ - Don’t drop that plate, will you? (อยา่ ทาํ จานตกนะ) - Don’t forget about your math exam, will you? (อยา่ ลืมการสอบคณิตฯ) ประโยคข้นึ ตน้ ด้วย I am รูปปฏิเสธของ question tag ท่นี ิ ยมใชจ้ ะใช้ aren’t I ถึง แม้วา่ am I not จะมีความหมายเหมอื นกับ aren’t I แตว่ ่า aren’t I จะนิ ยมใชม้ ากกว่า เชน่ - I am on time, aren’t I? (ฉันมาตรงเวลาไม่ใชห่ รอื ) - I am late, aren’t I? (ฉันมาสายใชไ่ หม) การถามเพื่อขอความช่วยเหลอื ไมว่ า่ จะเป็นการถามเพ่ือขอยืมของ หรอื ว่าถามเพื่อขอข้อมูล โดยจะใชโ้ ครงสรา้ งดังน้ี ประโยคหลักปฏเิ สธ, Question Tag ถามเชิงบอกเล่า เชน่ - You haven’t seen my phone, have you? (เธอไม่เห็นโทรศัพทฉ์ ันใชไ่ หม ซง่ึ มคี วามหมายแฝงเทา่ กบั เธอเห็นโทรศัพทฉ์ ันบ้างไหม) LT- You haven’t got a pen, have you? (เธอไม่มปี ากกาใชไ่ หม ซง่ึ มคี วาม หมายแฝงเทา่ กบั เธอมปี ากกาให้ฉันใชไ้ หม) - You couldn’t give me a ride home, could you? (เธอไปส่งฉันทบ่ี ้านไมไ่ ด้ ใชไ่ หม ซง่ึ มคี วามหมายแฝงเทา่ กับ เธอไปส่งฉันท่บี ้านไดไ้ หม) 62

Tenses คือ รูปแบบ(โครงสรา้ ง) ของกรยิ า ทแ่ี สดงให้เราทราบวา่ การกระทาํ หรอื เหตุการณ์นั้ นๆ เกดิ ข้นึ ในชว่ งเวลาใด ในอดีต(past), ปัจจุบนั (present) หรอื อนาคต(future) รวมทงั้ ยังบง่ บอกถงึ ลกั ษณะพฤติกรรมของเหตกุ ารณ์ทเ่ี กิดข้ึนดว้ ย แบง่ ออกเป็น 3 ชนิ ด ไดแ้ ก่ 1. Present Tense (ปัจจบุ ันกาล) - Present Simple Tense - Present Continuous Tense - Present Perfect Tense - Present Perfect Continuous Tense 2. Past Tense (อดตี กาล) - Past Simple Tense - Past Continuous Tense - Past Perfect Tense - Past Perfect Continuous Tense 3. Future Tense (อนาคตกาล) - Future Simple Tense - Future Continuous Tense - Future Perfect Tense - Future Perfect Continuous Tense Past Simple Tense Present Continuous Tense Future Perfect Tense Perfect continuous Tense 63

12 TENSES 64

Present Simple Tense I ①I อดีต ปัจจบุ ัน อนาคต โครงสรา้ ง: S. + V.1(s/es) ใช้ใน : 1. เหตกุ ารณ์ท่เี กดิ ข้ึนเป็นประจํา, ส่ิงท่เี ป็นความจรงิ เชน่ - The earth moves around the sun. - The sun rises in the east and sets in the west. 2. เหตุการณ์ท่จี ะเกิดข้ึนในอนาคตอนั ใกลท้ ก่ี ําหนดไว้แลว้ เชน่ - John often drinks beer. - She never sits in front of the church. 3. แสดงเหตกุ ารณ์หรอื กิจกรรมตา่ งๆ ทร่ี ูล้ ว่ งหน้ าวา่ จะเกิดข้นึ ในอนาคตอนั ใกลน้ ้ี เชน่ - I go to Chiangmai in the afternoon - He starts to study in five minutes. 4. ใชก้ บั สภุ าษิต คําพังเพย เชน่ - New brooms sweep clean. - Money makes friend. ดตู รงไหน : ดูกรยิ าเป็นหลกั และดคู ําบอกเวลา/ความถ่ี ตัวน้ี จะเจอบ่อยในชวี ิตประจําวัน always (เสมอ) normally /generally (โดยทวั่ ไป) 0sometimes (บางครงั้ ) Adverb of Frequency บอกถงึ ความถ่ขี องการกระทําว่าบ่อยแค่ไหน ไดแ้ ก่ usually (ปกติ) often / frequently (บอ่ ยๆ) occasionally (บางโอกาส) seldom (นานๆครงั้ ) hardly ever / rarely (แทบจะไมเ่ คย) never (ไมเ่ คย) 65

การสร้างประโยคปฏเิ สธและคําถาม เราจะใช้ Verb to do มาชว่ ย เชน่ - You do not like apple. หรอื You don’t like apple. - She does not eat meat. หรอื She doesn’t eat meat. - Do you like it? - Does he like it? หลักการเตมิ -s ท่คี ํากรยิ า 1. เตมิ s หลงั คํากรยิ านั้ นๆ เชน่ eat > eats. sing > sings. run > runs. 2. ถ้ากรยิ าลงทา้ ยด้วย s, sh, ch, x, o, z, ss ให้เตมิ es เชน่ teach > teaches go > goes brush > brushes 3. ถา้ กรยิ าลงทา้ ยดว้ ย y และหน้ า y เป็นพยญั ชนะ ให้เปล่ยี น y เป็น i แล้วเติม es เชน่ try > tries study > studies ** หมายเหตุ ถา้ หน้ า y เป็นสระ ไม่ต้องเปล่ยี น y เป็น i ให้เติม s ได้เลย เชน่ play > plays pay > pay destroy > destroys 66

Present Continuous Tense #I I อดีต ปัจจบุ ัน อนาคต โครงสรา้ ง: S. + is/am/are + V.ing ใช้ใน : 1. แสดงการกระทาํ ท่กี ําลงั ดําเนิ นอยใู่ นขณะพูด และคาดวา่ จะส้ินสดุ ลงในไม่ชา้ มกั มคี ําเหล่าน้ี คือ now, at the present time, at this moment เชน่ - She is eating. - Tom is running now. 2. แสดงการกระทําเรม่ิ ก่อนพูดเป็นเวลานาน ขณะท่พี ูดน้ี เหตุการณ์อาจไมไ่ ด้ กําลงั เกิดข้ึนจรงิ ๆ มกั มคี ําวา่ this week, this month เชน่ - I am working with my teacher this summer. - Tom is working for an examination. 3. ใชแ้ ทนอนาคตกําลงั จะมาถงึ ในไมช่ า้ หรอื อนาคตอนั ใกล้ มักมี adverb of time (tomorrow, next week, next month etc.) เชน่ - I am asking him tomorrow (= I will ask him tomorrow.) - He is leaving on Sunday (= He’ll leave on Sunday.) ดูตรงไหน : ดคู วามหมายของตวั บอกเวลา และดู V.ing กรยิ าท่ีนํามาใช้ใน Continuous Tense ไม่ได้ กรยิ าท่ีแสดงการรบั รู้ (Verb of Perception) ไดแ้ ก่ See (เห็น, เข้าใจ) Smell (ดม) feel (รูส้ ึก) hear (ได้ยิน) tasre (เข้าใจ) กรยิ าท่ีแสดงภาวะของจติ ใจ (State of Mind) แสดงความรู้สึก (Feeling) หรือ แสดงความสัมพันธ์ (Relationship) know (รูจ้ กั ) hate (เกลียด) forgive (ให้อภัย) love (รกั ) understand (เขา้ ใจ) want (ตอ้ งการ) believe (เชอ่ื ) seem (ดูเหมือน) like (ชอบ) belong (เป็นของ) appear (ปรากฏวา่ ) remember (จําได)้ 67

หลกั การเตมิ -ing ท่ีคํากรยิ า 1. คํากรยิ าทล่ี งทา้ ยดว้ ย e ให้ตัด e ท้งิ เสียก่อนแลว้ เตมิ ing เชน่ bite. > biting come > coming arise > arising write > writing 2. กรยิ าทล่ี งทา้ ยดว้ ย ee ให้เติม ing เลย เชน่ free > freeing see > seeing flee > fleeing 3. กรยิ าทล่ี งทา้ ยด้วย ie ให้เปล่ียน ie เป็น y แล้วเตมิ ing เชน่ lie > lying die > dying tie > tying 4. กรยิ าพยางค์เดยี ว มสี ระตัวเดียวและมตี ัวสะกดเป็นพยัญชนะตัวเดียว ให้เพ่ิมตวั สะกดอกี 1 ตวั ก่อน แล้วเติม ing เชน่ run > running sit > sitting hit > hitting get > getting 5. กรยิ าหลายพยางค์ลงทา้ ยดว้ ยพยัญชนะ 1 ตัว หน้ าพยัญชนะ มีสระหน่ึ งตวั ให้ เพ่ิมพยญั ชนะเขา้ ไปอีก 1 ตัว แลว้ เติม ing เชน่ forget > forgetting admit > admitting 6. กรยิ ามี 2 พยางค์ ซง่ึ ออกเสียงหนั กทพ่ี ยางค์หลงั มีสระตวั เดยี ว ตัวสะกดตวั เดยี ว ให้เพ่ิมตัวสะกดเขา้ มาอีกหน่ึ งตวั กอ่ น แลว้ เตมิ ing เชน่ offer > offerring refer > referring occur > occurring 7. คําต่อไปน้ี ใชไ้ ด้ 2 แบบ คือ trevel, quarrel เชน่ travel > traveling (แบบอเมรกิ นั ) travel > travelling (แบบองั กฤษ) quarrel > quarreling (แบบอเมรกิ นั ) quarrel > quarrelling (แบบอังกฤษ) 8. กรยิ าตวั อน่ื ๆ เติม ing ไดเ้ ลย เชน่ hear > hearing burn > burning bend > bending read > reading 68

Present Perfect Tense I ปัจจบุ ัน I อดีต อนาคต โครงสรา้ ง: S. + has/have + V.3 ใช้ใน : 1. แสดงถึงการกระทําท่เี กดิ ข้นึ ในอดีต แล้วเหตุการณ์ยังคงดําเนิ นต่อมาจนถงึ ปัจจุบนั (ตอนพดู ) และมีแนวโน้ มว่าจะดําเนิ นตอ่ ไปในอนาคต มักมคี ําว่า since, for เชน่ - Dr.Helen has lived in Bangkok since 1958. - I have studied in America for four years. 2. แสดงการกระทําซง่ึ เกดิ ข้นึ ในอดตี และพ่ึงเสรจ็ สมบูรณ์ไปไมน่ าน มักมี adverb เชน่ just, yet etc. ประกอบด้วย เชน่ - I have just passed my friend’s house. - They have already finished housework. 3. แสดงเหตุการณ์ทเ่ี กิดข้ึนในอดีต แต่ผลของการกระทาํ นั้ นยงั คงมาถึงปัจจบุ ัน ขณะท่พี ูด เชน่ - I have read this book before. - He has opened the door. 4. เหตกุ ารณ์ท่เี คยทาํ ซา้ํ ๆ กันหลายหนแล้วในอดตี อาจจะทาํ ตอ่ ไปในอนาคต แต่ ไมร่ ูว้ ่าเกิดข้นึ เมือ่ ใด ไมส่ ามารถบอกเวลาการเกดิ ข้ึนได้ มกั มี adverb of time เชน่ many times, several times ในประโยคด้วย เชน่ - I have been to America many times. - She has read this book three times. ดูตรงไหน : จะไมม่ คี ําบอกเวลาอย่างเจาะจงเดด็ ขาด และดโู ครงสรา้ งประกอบ มกั จะมคี ําวา่ since (ตงั้ แต)่ , for (เป็นเวลา), มาใชร้ ว่ มเสมอ เพ่ือบง่ บอกเวลาทเ่ี กดิ -ข้นึ จากอดตี มาถึงปัจจบุ ัน โดยท่ี since + จดุ เรม่ิ ต้นของเวลา และ for + ระยะเวลา มกั จะมคี ําวา่ just (พ่ึงจะ), already (เรยี บรอ้ ยแลว้ ), yet (ยัง), finally (ในท่สี ดุ ) 69

Present Perfect Continuous Tense i ปัจจุบนั I อดตี อนาคต (ภาพคลา้ ย Present Perfect Tense แต่วธิ ใี ชต้ ่างกนั ) โครงสรา้ ง: S. + has/have + been + V.ing ใช้ใน : ใชแ้ สดงการกระทําทเ่ี กิดข้ึนในอดีต และดําเนิ นมาโดยไมข่ าดตอน เชน่ - John has been living in America since 1984. - I have been thinking. - They have been talking. - She has been living here for 2 weeks. - He has been studying hard all year. - We have been studying English for three years. - I have been staying here for five years. (ขณะน้ี ก็ยงั อยทู่ ่นี ่ี ) ดูตรงไหน : ดูตวั บอกชว่ งเวลา (for _, since _) และดูโครงสรา้ ง ความแตกตา่ งของ Present Perfect Continuous Tense กบั Present Perfect Tense ถ้าใช้ Present Perfect Tense คือไม่แสดงความต่อเนื่ องการกระทาํ อาจจะทําแลว้ หรอื หยดุ แลว้ กท็ าํ ตอ่ ไปอีกก็เป็นได้ ถา้ ใช้ Present Perfect Continuous Tense คือแสดงความต่อเนื่ องของการกระทาํ ตดิ ต่อกันจรงิ ๆ ตงั้ แตอ่ ดีตจนถึงปัจจบุ นั แลว้ ก็จะทาํ ต่อไปอกี ในอนาคต เชน่ - He has studied English for two years. - He has been studying English for two years. ทงั้ 2 ประโยค แปลวา่ เขาได้เรยี นภาษาอังกฤษมาแล้วเป็นเวลา 2 ปี ประโยคท่ี 1 เป็นการพูดแบบธรรมดาว่า ไดเ้ รยี นมาแลว้ 2 ปี ส่วนประโยคท่ี 2 เป็นการพดู แบบเน้ นให้ เห็นชดั เจนว่า ตลอดระยะเวลา 2 ปี ไดเ้ รยี นภาษาองั กฤษมาแล้วจรงิ ๆ ไม่ไดห้ ยดุ เรยี น เรยี น หยดุ อะไรทาํ นองน้ี ซง่ึ หมายถงึ ว่า ปีท3่ี -4 กจ็ ะเรยี นต่อไปอีก 70

Past Simple Tense อดีต ปัจจุบัน อนาคต โครงสรา้ ง: S. + V.2 ใช้ใน : 1. ใชก้ ับเหตกุ ารณ์ทเ่ี กดิ ข้นึ ในอดตี และจบส้ินลงไปแลว้ ในอดตี เชน่ กัน มกั มคี ํา วา่ once, ago, last night, last week, last year เชน่ - I got sick yesterday. - I lived in Phuket 3 years ago. - She went to the university last week. 2. แสดงเหตุการณ์ท่เี ป็นนิ สัย ทท่ี ําประจําในอดีต (ปัจจบุ ันไม่ไดก้ ระทาํ แลว้ ) มักมี adverb ความถ่ีอยดู่ ว้ ย เชน่ always, every, frequently เชน่ - Chris walked every morning. - He always woke up late last year. - When I was young. I listened to the radio every night. 3. แสดงถงึ การกระทาํ ทงั้ สองอยา่ งท่เี กิดในเวลาเดยี วกนั มกั มีคําว่า as, while อยดู่ ้วย เชน่ - While she sang, I danced. - As she cooked, her son played football. ดตู รงไหน : ดตู วั บอกเวลาทเ่ี ป็นในอดีต (yesterday, last _) และ V.2 มกั จะมคี ําบง่ เวลาท่เี ป็นอดตี มารว่ มเสมอได้แก่คําวา่ yesterday, last night, last week, last month, last year, ago, this morning, recently และในปี พ.ศ., ค.ศ. ทผ่ี า่ นมาทงั้ หมด 71

Past Continuous Tense I #กําลังทํา I อดีต ปัจจุบัน อนาคต โครงสรา้ ง: S. + was/were + V.ing ใช้ใน : 1. ใชเ้ ม่อื เกิดเหตุการณ์ 2 อย่าง เกิดข้นึ ในอดตี เหตกุ ารณ์อย่างหน่ึ งเกดิ ข้นึ และ ดําเนิ นอย่กู อ่ นแล้ว เราจะใช้ Past Continuous และมเี หตุการณ์ท่ี 2 เกิดข้นึ จะใช้ Past Simple เชน่ - While I was cooking, the telephone rang. - We are walking along the street, it began to rain. 2. เหตุการณ์ท่เี กิดข้นึ ต่อเนื่ องในอดีต เชน่ - He was sleeping in the class. - He was running in the morning 3. แสดงเหตกุ ารณ์ 2 เหตกุ ารณ์ เกดิ ข้ึนพรอ้ มๆ กัน ในเวลาเดยี วกนั มักมีคําวา่ while ในประโยค เชน่ - While I was watching T.V, my brother was reading a book. - She was sleeping while he was talking with his friends. ดูตรงไหน : ดู was/were และ V.ing เป็นหลัก และดูประโยคท่บี อกเวลาว่ามนั เกดิ ในอดตี เหตกุ ารณ์ 2 อย่างท่เี กดิ ข้ึนไม่พร้อมกนั มีหลกั การเขียนดังน้ี เหตุการณ์ใดทํากอ่ นหรอื เกดิ ข้นึ ก่อนใช้ Past Continuous Tense ⑦S + was/were + V.ing เหตกุ ารณ์ใดทําทหี ลงั หรอื เกิดข้ึนทหี ลงั ใช้ Past Simple Tense S + V.2 เชน่ When we were eating our dinner, the light went out. การทานอาหารเกดิ ข้ึนก่อน ขณะทท่ี านอาหารอยนู่ ั้ น อยๆู่ ไฟกด็ ับ 72

Past Perfect Tense I ปัจจบุ ัน I อดีต อนาคต โครงสรา้ ง: S. + had + V.3 ใช้ใน : 1. แสดงเหตุการณ์ 2 อยา่ ง ท่เี กดิ ข้นึ ไม่พรอ้ มกันในอดตี เหตกุ ารณ์หน่ึ งเกิดข้นึ กอ่ นใช้ Past Perfect Tense อกี เหตุการณ์หน่ึ งเกิดทหี ลงั ใช้ Past Simple Tense เชน่ When I had finished my housework, I played T.V games. (ทํางานบา้ นเสรจ็ กอ่ นแล้วจงึ เล่น) 2. ใชเ้ ปล่ยี น Past Simple หรอื Present Perfect ให้เป็น Indirect Speech Direct Speech : “I have stayed in America for 2 years.”  Indirect Speech : She said that she had stayed in America for 2 years. Direct Speech : He said “I worked in Bangkok many years.” Indirect Speech : He said that he had worked in Bangkok many years. ดูตรงไหน : ดูโครงสรา้ งของประโยค แลว้ เอามาลองแปลเป็นภาษาไทยดู สังเกตหาคําว่า “already”, “never”, “ever” การเปล่ียน Direct Speech ให้เป็น Indirect Speech คือ เปล่ยี นจาก Past Simple หรอื Present Perfect เป็น Past Perfect oเชน่ Direct Speech : He said “I worked in Bangkok many years.” Indirect Speech : He said that he had worked in Bangkok many years. 73

Past Perfect Continuous Tense I ⑦-O l l อดีต ปัจจบุ ัน อนาคต (ภาพคล้าย Past Perfect Tense แต่วิธใี ชต้ ่างกัน) โครงสรา้ ง: S. + has/have + been + V.ing ใช้ใน: 1. ใชค้ ลา้ ยๆ กับ Past Perfect เราใชก้ ต็ ่อเม่อื เกิดมีเหตกุ ารณ์ 2 อย่าง เกดิ ข้ึนใน อดีต เพ่ือเน้ นว่าเหตกุ ารณ์ทเ่ี กิดข้ึนอยา่ งไม่ขาดตอน เราใช้ Past Perfect Continuous Tense แล้วเกดิ เหตุการณ์หน่ึ งข้ึน เราจะใช้ Past Simple Tense เชน่ - She had been living in America before she moved to Bangkok. (เธออยอู่ เมรกิ ากอ่ นทย่ี า้ นมาอยทู่ ่กี รุงเทพ) - I had been waiting two hour before He arrived. (ฉันคอยเป็นเวลา 2 ชวั่ โมงกอ่ นทเ่ี ขามาถึง) - She had been reading for several hours when I saw her. (เธอกําลงั อ่านหนั งสือหลายชวั่ โมง เมอ่ื ฉันเห็นเธอ) ดูตรงไหน: ดตู วั บอกชว่ งเวลา (for _, since _) หรอื ดูคําท่บี ง่ บอกสาเหตุ (เชน่ because), ดู โครงสรา้ ง 74

Future Simple Tense อดีต ปัจจบุ ัน อนาคต โครงสรา้ ง: S. + will/ be going to+ V.1 ใช้ใน : ใชแ้ สดงเหตกุ ารณ์หรอื การกระทาํ ในอนาคต มักมี adverb of time อย่ดู ้วย เชน่ to night, tomorrow, next week, next month เชน่ - I will go to see you tomorrow. - I shall go. - Mary will run. - I will see the movie tomorrow. - She is going to see the doctor next week.หน้ า - The plane will arrive at the airport in a few minutes. ดตู รงไหน : ดู will / going to และดูคําบอกเวลาในอนาคต มักมี adverb of time อย่ดู ้วย เชน่ to night, tomorrow, next week, next month การใช้ be going to แทน will, shall ใช้ be going to + V.1 เพื่อแสดงถงึ ความตงั้ ใจท่ไี ดค้ ิดไวล้ ว่ งหน้ าแลว้ หรอื เชอ่ื วา่ เป็นจรงิ - I am studying hard: I am going to try for scholarship. (แปลวา่ ฉันกําลังเรยี นหนั งสืออยา่ งหนั ก ฉันพยายามเพ่ือสอบชงิ ทนุ การศึกษา) - She is going to write to her parents. (แปลวา่ หล่อนตงั้ ใจว่าจะเขยี นจดหมายถงึ พ่อแม่ของเธอ) - She has bought flour : She is going to make cake. (แปลว่า หลอ่ นซอ้ื แป้งมาและจะทาํ เค้ก) ใช้ be going to + V.1 เพื่อแสดงการคาดคะเน - I think it is going to rain. (ฉันคิดวา่ ฝนจะตก อย่างแน่ นอน) 75

Future Continuous Tense กําลังทํา l l อนาคต อดีต ปัจจุบัน โครงสรา้ ง: S. + will + be + V.ing ใช้ใน : 1. แสดงเหตกุ ารห์ รอื การกระทําทจ่ี ะเกดิ ข้ึนในอนาคต ซง่ึ เหตกุ ารณ์นั้ นกําลงั ดําเนิ นอยู่ เชน่ - At ten o’clock tomorrow morning. I will be waiting my friend. - I will be cooking at 5 o’clock tomorrow evening. - He will be sleeping at 4 o’clock tomorrow morning. 2. ใชก้ ับเหตกุ ารณ์ 2 อย่างทเ่ี กดิ ข้ึน เหตุการณ์ทเ่ี กดิ กอ่ นใช้ Future Continuous Tense ส่วนเหตุการณ์หลังใช้ Present Simple Tense เชน่ - They will be playing football when you arrive at their house. - When he calls to you, she will be going to the market. ดูตรงไหน : ดตู ัวบอกเวลาทเ่ี ป็นอนาคต และดโู ครงสรา้ งของประโยค เหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึนในอนาคต เหตุการณ์ทเ่ี กิดกอ่ นใช้ Future Continuous Tense S + will + be + V.ing เหตุการณ์หลงั ใช้ Present Simple Tense S + V.1(s,es) เชน่ They will be playing football when you arrive at their house. 76

Future Perfect Tense l l อนาคต อดีต ปัจจุบัน โครงสรา้ ง: S. + will + have + V.3 ใช้ใน : 1. ใชเ้ ม่ือคิดวา่ เหตกุ ารณ์หรอื การกระทาํ จะส้ินสดุ ลงเวลาใดเวลาหน่ึ งในอนาคต มกั มคี ําเหลา่ น้ี เชน่ by that time, by then, by tomorrow, by next year, by next week, by at ten o’clock in two hours เชน่ - I will have slept in three hours. - They will have finished the new road by next week. 2. ใชก้ บั เหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ทเ่ี กิดข้นึ ไม่พรอ้ มกัน คาดวา่ เมอื่ ถึงเวลานั้ น เหตกุ ารณ์หนึ งจะเสรจ็ สมบูรณ์เราจะใช้ Future Perfect Tense กบั เหตุการณ์น้ี และ จะเกดิ เหตกุ ารณ์ท่ี 2 ตามมา เราจะใช้ Present Simple Tense เชน่ - By the time you arrive, I will have finished homework. (เมอ่ื เวลาทค่ี ุณมาฉันกท็ ําการบา้ นเสรจ็ พอด)ี - She will have eaten foods before you came. (หล่อนรบั ประทานอาหารเสรจ็ กอ่ นทค่ี ุณจะมา) - The movie will have started before we reach the theater. (ภาพยนตรเ์ รม่ิ ฉายก่อนท่พี วกเราจะมาถงึ โรงภาพยนตร)์ ดูตรงไหน : จะไมม่ คี ําบอกเวลาอยา่ งเจาะจงเด็ดขาด และดูโครงสรา้ งประกอบ มกั มคี ําเหล่าน้ี เชน่ by that time, by then, by tomorrow, by next year, by next week, by at ten o’clock in two hours เหตกุ ารณ์ 2 เหตุการณ์ท่เี กดิ ข้ึนไม่พร้อมกัน คาดวา่ เมื่อถึงเวลานั้น เหตกุ ารณ์หนึงจะเสรจ็ สมบรู ณ์ ใช้ Future Perfect Tense กบั เหตกุ ารณ์ท่จี ะเสรจ็ สมบรู ณ์ S + will + have + V.3 ใช้ Present Simple Tense กับเหตุการณ์ท่ี 2 ตามมา S + V.1(s,es) เชน่ She will have eaten foods before you come. 77

Future Perfect Continuous Tense l l , อดีต ปัจจบุ ัน อนาคต (ภาพคล้าย Future Perfect Tense แตว่ ธิ ใี ชต้ า่ งกนั ) โครงสรา้ ง: S. + will + have + been + V.ing ใช้ใน : สําหรบั Tense น้ี เน้ นให้เห็นถึงการต่อเน่ื องของการกระทําว่าถงึ เวลานั้ นในอนาคต การกระทํานั้ นยงั คงดําเนิ นอยู่ และจะดําเนิ นต่อไปอกี (ยงั ไมห่ ยดุ ) เชน่ - By ten o’clock I shall have been working without a rest. (ถึงเวลา 10 นาbิกา ฉันได้ทาํ งานติดต่อกนั มา โดยไม่พัก) - When you arrive, she will have been waiting for three hours. (เม่ือคุณมาถึง หลอ่ นคงจะไดร้ อคุณโดยไมห่ ยดุ รอ เป็นเวลา 3 ชวั่ โมง) - He will have been running. - I will have been eating pizza for 2 hours when you arrive. - By ten o’clock I shall have been working without a rest. ดตู รงไหน : ดูตัวบอกชว่ งเวลา (for _, since _) และดโู ครงสรา้ ง, สังเกตคําบอกชว่ งเวลาท่ี บง่ บอกถงึ อนาคต สรุปความแตกตา่ งของ Perfect Tense กับ Perfect Continuous Tense ถ้าใช้ Perfect Tense จะไมแ่ สดงความตอ่ เน่ื องการกระทาํ อาจจะทาํ แลว้ กห็ ยดุ หรอื หยดุ แลว้ ก็ทาํ ต่อไปอกี ก็เป็นได้ oถา้ ใช้ Perfect Continuous Tense จะแสดงความต่อเน่ืองของการกระทําติดตอ่ กัน จรงิ ๆ ทําไม่หยดุ ตัง้ แตอ่ ดตี จนถึงชว่ งเวลาหน่ึ ง 78

สตู รการใช้คําเชื่อมตา่ งๆ เชื่อมดว้ ย when 1. S + was/were + V.ing + when + S + V.2 (when อยตู่ รงกลาง) 2. When + S + V.2, S + was/were + V.ing (when อยตู่ น้ ประโยค) 3. S + had + V.3 when S + V.2 4. When S + V.2, S + had + V.3 เชน่ Yesterday evening I was taking a bath when the phone rang. เชื่อมดว้ ย while หรอื as 1. S + V.2 + while (as) + S + was/were + V.ing (เกดิ ไมพ่ รอ้ มกนั ) 2. S + was/were + V.ing while (as) + S + was/were + V.ing (เกดิ พรอ้ มกนั ) 3. While (as) + was/were + V.ing, S + V.2 4. While (as) + was/were + V.ing, S + was/were + V.ing เชน่ Mom was cooking while Dad was watching television. เชื่อมดว้ ย before (before อยตู่ รงกลาง) (before อยตู่ น้ ประโยค) 1. S + had + V.3 before + S + V.2 2.Before + S + V.2, S + had + V.3 เชน่ Before I arrived at the party, Tom had already gone home. เชื่อมดว้ ย after 1. S + V.2 after S + had + V.3 (after อยตู่ รงกลาง) 2. After + S + had + V.3, S + V.2 (after อยตู่ น้ ประโยค) เชน่ I listened to the radio after I had washed the dishes. 79

good ในภาษาอังกฤษ รูปประโยคทท่ี าํ เอาคนเรยี นมนึ เอามากๆเห็นจะเป็น ประโยค passive voice เพราะในภาษาไทยมันไมม่ ีโครงสรา้ งประโยคแบบน้ี ในภาษาองั กฤษจะมี โครงสรา้ งประโยค 2 รูปแบบดว้ ยกันคือ 1. Active voice คือ ประโยคทป่ี ระธานเป็นผกู้ ระทํากริยา ซง่ึ ก็คือประโยคทเ่ี ราถกู สอน กนั มาตัง้ แตเ่ รม่ิ เรยี นภาษาองั กฤษ เชน่ Johan is drinking coffee. (โจฮันกําลงั ดืม่ กาแฟ) Jack and Thomas always go to school together. (แจ๊คและโธมสั ไปโรงเรยี นด้วยกันเสมอ) 2. Passive voice คือ ประโยคทป่ี ระธานเป็นผู้ถูกกระทาํ ซง่ึ ในภาษาไทยเราไม่เคยพูด วา่ ฉันถกู บอก ฉันถูกถาม บ้านถูกกวาด น่ี คือ ความยากของ passive voice ท่ี ทําให้เรา สั บสน เชน่ My room was cleaned by my mom. (ห้องของฉันถกู ทาํ ความสะอาดโดยแม)่ The house was built in 2019. (บ้านถกู สรา้ งในปี 2019) ACTIVE PASSIVE Cats drank the milk. The milk was drunk. ตวั อยา่ งประโยค - I eat rice (ฉันกนิ ขา้ ว) - Rice is eaten by me (ขา้ วถูกกินโดยฉัน) ประธาน กรยิ า กรรม ภาคขยาย #Passive voice rice Active voice I eat rice. is eaten by me 80

ทําไมเราตอ้ งใช้ passive voice? เหตุผลท่ใี ช้ passive voice ประการแรกเลยคือต้องการเน้นประธานท่ีถูกกระทํา แตไ่ ม่ตอ้ งการเน้ นผกู้ ระทาํ อีกเหตุผลหน่ึ งคือไม่มีคนท่กี ระทาํ อยา่ งแน่ ชดั วา่ ใครทํา จึง ต้องเอากรรมมาเป็นประธาน Passive voice นั้ นมีไดท้ กุ tense ครบทงั้ 12 tense เลย แตร่ ูปรา่ งหน้ าตาของ โครงสรา้ ง passive voice ในแตล่ ะ tense จะแตกต่างกันออกไป โครงสร้างหลกั ของ passive voice S + Verb to be + V3 (by...) โดยทวั่ ไปแล้ว passive voice มกั จะถูกนํ ามาใชใ้ นเน้ื อหาท่เี ป็นทางการ การสลบั จากประโยคธรรมดาทป่ี ระธานเป็นผกู้ ระทํา (active voice) ให้เป็น passive voice จะทําให้ประโยคนั้ น ๆ ชดั เจนและอ่านไดง้ า่ ยข้ึน ประธานเป็นผู้ถูกกระทํา (Passive) ประธานเป็นผ้กู ระทํา (Active) A great deal of meaning is conveyed A few well-chosen words convey by a few well-chosen words. a great deal of meaning. Our planet is wrapped in a mass A mass of gases wrap around of gases. our planet. Waste materials are disposed of The city disposes of waste in a variety of ways. materials in a variety of ways. ใน passive voice หากคุณต้องการบอกวา่ ใครหรอื อะไรทาํ กรยิ านั้ น ๆ ให้ใชค้ ํา บพุ บท by ชว่ ย แตห่ ากเป็นทร่ี ูก้ นั ดวี ่าใครเป็นคนทํากรยิ านั้ น ๆ หรอื เราสนใจคนท่ี ทํากรยิ านั้ น ๆ มากกว่าคนหรอื ส่ิงท่ถี ูกกระทาํ จะนิ มยมใช้ active voice มากกว่า ประธานเป็นผ้ถู ูกกระทํา (Passive) ประธานเป็นผ้กู ระทํา (Active) The Beatles wrote \"A Hard \"A Hard Day's Night\" was written Day's Night\". by the Beatles. Spielberg directed the movie ET. The movie ET was directed My father built this house. by Spielberg. This house was built by my father. 81

การเปล่ยี นประโยคบอกเล่า Active Voice เป็น Passive Voice 1. ให้เอากรรมของประโยค Active Voice มาเป็นประธานในประโยค Passive Voice ถา้ เป็นคํานามไม่ตอ้ งเปล่ียนรูป แตถ่ า้ คําสรรพนามให้เป็นเปล่ยี นเป็นรูปกรรม ประโยคทม่ี ีกรรมตัวเดยี ว เอากรรมยา้ ยมาเป็นประธาน เชน่ Active: A snake did not bite her. Passive: She was not bitten by a snake. ประโยคท่มี ีกรรม 2 ตัว กรรมตรง (Direct Object) = ส่ิงของ กรรมรอง (Indirect Object) = คน เมื่อมี กรรม 2 ตวั เวลาเปล่ยี นเป็น passive voice นิ ยมเอา “คน” เป็นประธาน แตถ่ า้ เอา “ส่ิงของ” เป็นประธานก็ได้ แตต่ ้องใส่บุพบท to หน้ า “คน” เชน่ Active: Dome gives me a flower. Passive: I am given a flower by Dome. A flower is given to me by Dome. 2. ให้เปล่ียน Verb to be อย่ใู น Tense เดียวกบั กรยิ าหลกั ของประโยค Active Voice และผนั ตามประธานในประโยค Passive Voice 3. กรยิ าหลกั ในประโยค Active Voice เปล่ียนเป็นกรยิ าชอ่ งท่ี 3 4. ต่อดว้ ย by + ประธานในประโยค Active Voice ท่เี ปล่ยี นรูปกรรม ถ้าเป็นคํานาม ให้คงรูปเดมิ แต่คําสรรพนามให้เปล่ียนเป็นรูปกรรมก่อน ตวั อยา่ งท่ี 1 Active : The guide will show you the museum. Passive : The museum will be shown to you by the guide. ( กรรมตรงเป็นประธาน ) ตวั อย่างท่ี 2 Active : The teacher gave me a book. Passive : I was given a book by the teacher. ( กรรมรองเป็นประธาน ) 82

IEE6.Pastcontinuoustense ' 1. Present simple tense Active : S + V1 Passive : S + is / am / are + V3 เชน่ Active : Sarah cooks dinner. Passive : Dinner is cooked by Sarah. Present 2. Present continuous tense Active : S + V. to be + V.ing Passive : S + is / am / are + being + V3 เชน่ Active : Sarah is cooking dinner. Passive : Dinner is being cooked by Sarah. โครงส ้ราง passive voice ในแต่ละ tense ีม ัดง ้ีน 3. Present perfect tense Active : S + have / has + V3 Passive : S + have / has + been + V3 เชน่ Active : Sarah has cooked dinner. Passive : Dinner has been cooked by Sarah. 4. Present perfect continuous tense Active : S + have / has + been + V.ing Passive : S + have / has + been + being + V3 เชน่ Active : Sarah has been cooking dinner. Passive : Dinner has been being cooked by Sarah. 5. Past simple tense Active : S + V2 Passive : S + was / were + V3 เชน่ Active : Sarah cooked dinner. Passive : Dinner was cooked by Sarah. Active : S + was / were + V.ing Passive : S + was / were + being + V3 เชน่ Active : Sarah was cooking dinner. Past Passive : Dinner was being cooked by Sarah. 7. Past perfect tense Active : S + had + V3 Passive : S + had + been + V3 เชน่ Active : Sarah had cooked dinner. Passive : Dinner had been cooked by Sarah. 8. Past perfect continuous tense Active : S + had + been + V.ing Passive : S + had + been + being + V3 เชน่ Active : Sarah had been cooking dinner. Passive : Dinner had been being cooked by Sarah. 83

โครงส ้ราง passive voice ในแต่ละ tense ีม ัดง ้ีน9. Future simple tense Active : S + will + V1 Future Passive : S + will + be + V3 เชน่ Active : Sarah will cook dinner. Passive : Dinner will be cooked by Sarah. 10. Future continuous tense Active : S + will + be + V.ing Passive : S + will + be + being + V3 Ex. เชน่ Active : Sarah will be cooking dinner. Passive : Dinner will be being cooked by Sarah. 11. Future perfect tense Active : S + will + have + V3 Passive : S + will + have + been + V3 Ex. #เชน่ Active : Sarah will have cooked dinner. Passive : Dinner will have been cooked by Sarah. 12. Future perfect continuous tense Active : S + will have + been + V.ing Passive : S + will have + been + being + V3 เชน่ Active : Sarah will have been cooking dinner. Passive : Dinner will have been being cooked by Sarah. **ในประโยคน้ี I have warned you. กับ I have been warned. นั้ นมคี วามหมาย ต่างกันอยา่ งส้ินเชงิ ถึงแมโ้ ครงสรา้ งมนั จะดูเกือบเหมอื นกัน - I have warned you. แปลวา่ “ฉันเตอื นคุณแล้ว” ( Active voice ของ Present perfect tense) - I have been warned. แปลว่า “ฉันถูกเตอื น” ( Passive voice ของ Present perfect tense) ซง่ึ ถ้าเราแยกโครงสรา้ งระหว่าง active และ passive voice ไมอ่ อก จะทําให้เราแปล ความหมายผดิ ไปเลย 84

การใช้ infinitives ใน passive voice Infinitive passive voice ถูกนํ ามาใชห้ ลังคํากรยิ า modal และคํากรยิ าส่วน ใหญ่ทต่ี ามด้วย infinitive ได้ เชน่ - You have to be tested on your English grammar. - John might be promoted next year. - She wants to be invited to the party. - I expect to be surprised on my birthday. - You may be disappointed. การใช้ gerunds ใน passive voice Gerunds จะใชต้ ามหลงั คําบุพบทและคํากรยิ าส่วนใหญ่ท่สี ามารถใช้ gerund ตาม หลงั ได้ เชน่ - I remember being taught to drive. - The children are excited about being taken to the zoo. - The children are excited to be taken to the zoo. - Most film stars hate being interviewed. - Most film stars hate to be interviewed. - Poodles like to be pampered. - Poodles like being pampered. การใช้ \"to be born\" \"To be born\" คือ passive voice และมักจะนิ ยมใชใ้ น past tense อย่างไรก็ดี ในบางกรณี สามารถใชใ้ น present or future tense ได้ เชน่ - I was born in 1976. - Where were you born? - Around 100 babies are born in this hospital every week. - We don't know on exactly which day the baby will be born. คําท่ไี มส่ ามารถทาํ ให้เป็นประโยค Passive Voice ได้ 1. Intransitive Verb (คํากริยาท่ีไมต่ อ้ งการกรรม) เชน่ - They go to school every day. - She swims quite well. 2. Transitive Verb (คํากริยาท่ีไม่ตอ้ งการกรรม)บางคํา เชน่ - Jim had his breakfast. (His breakfast was had by Jang. = wrong) 3. Verb of Incomplete (กริยาซ่ึงไมส่ มบรู ณ์) เชน่ - She became queen. (A queen was become by her. = wrong เพราะ queen ใน ประโยคแรกเป็น complement ไมใ่ ช่ object) 85

Relative Clause คือ อนปุ ระโยคทท่ี าํ หน้ าทเ่ี หมอื นกับ Adjective นั่ นคือขยายคํานามท่อี ยขู่ า้ งหน้ า relative clause จะชว่ ยให้เรารูว้ ่าส่ิงทเ่ี รากําลังพูดถงึ อยู่ คือ ส่ิงใด หรอื ใครกันแน่   ทงั้ น้ี Relative Clause เวลาใชจ้ ะตามหลัง Relative Pronoun (who, whom, which, that, whose)  แบ่ง Relative Clause ออกเป็น 2 ประเภทคือ 1. Defining Relative Clause 2. Non-defining Relative Clause วิธสี รา้ งประโยคในรูปแบบ Relative Clause เชน่ A man is talking to Jenny. Do you know the man? ผชู้ ายกําลงั คุยกับเจนน่ี คุณรูจ้ กั ผชู้ ายคนนั้ นไหม? จากข้อความดงั กลา่ วมี 2 ประโยค และฟังดูแปลกๆ เราจึงนํ า relative clause จะมา เป็นชว่ ยให้ประโยคฟังดรู าบรน่ื ข้นึ โดยปกตเิ วลาจะเปล่ยี นประโยค 2 ประโยคให้เป็น Relative Clause เราจะตอ้ งหาประโยคหลกั และส่วนขยาย ไดด้ ังน้ี ประโยคหลัก คือ : Do you know the man ? =( เพราะเราอยากรูว้ ่าผชู้ ายคือใคร) ส่วนขยาย คือ : A man is talking to Jenny (เราไมม่ ที างรูเ้ ลยวา่ ผชู้ ายทพ่ี ูดถึงเป็นใคร ดังนั้ นเราจงึ ตอ้ งใส่ข้อมลู เพ่ิมเตมิ ) ใช้ A man เฉพาะในส่วนประโยคหลัก และในส่วนขยายเราแทนท่ดี ้วย relative pronoun (ใช้ who ในกรณีอา้ งถึงบุคคล) ดงั นั้ นประโยคจะเปล่ียนเป็น Do you know the man who is talking to Jenny? คุณรูจ้ ักผชู้ ายคนทก่ี ําลังคุยกับเจนน่ี ไหม? 86

Defining และ Non-defining Relative Clause เราใช้ Defining Relative Clause เพื่อบอกถงึ ส่ิงทเ่ี รากําลังพดู ถงึ (หากขาดไปก็จะ ไมส่ ามารถทราบได้ว่าพูดถงึ อะไร) เชน่ - I like the woman who lives next door. (ถ้าไมบ่ อกวา่ ‘who lives next door’ กจ็ ะไมร่ ูว้ ่าหมายถึงผหู้ ญิงคนไหน). เราใช้ Non-defining Relative Clause บอกถึงขอ้ มูลเพ่ิมเติมของส่ิงท่เี รากําลงั พดู ถงึ (เราไมจ่ ําเป็นตอ้ งมขี ้อมลู น้ี เพื่อทจ่ี ะเขา้ ใจวา่ พูดถงึ อะไร) เชน่ - I live in London, which has some fantastic parks. (ทกุ คนทราบดีว่าลอนดอนอย่ทู ไ่ี หน ดงั นั้ น ‘which has some fantastic parks’ ถือเป็นขอ้ มูลเพ่ิมเติม จะมีหรอื ไมม่ กี ็ได้). Defining Relative Clauses Defining Relative Clause มีลักษณะดังน้ี 1. ทาํ หน้ าท่คี ลา้ ยคําคุณศัพท ์ (Adjective) เพ่ือไปขยายนามท่อี ย่ขู ้างหน้ า ให้ได้ใจ ความสมบรู ณ์และชดั เจนวา่ หมายถงึ ใคร ส่ิงไหน หรอื ของใคร เป็นตน้ 2. ไมม่ เี ครอื่ งหมาย comma (,) คัน่ ระหว่างนามกบั  Defining Relative Clause 3. จะข้ึนตน้ ดว้ ยคําสรรพนาม (Relative Pronoun) และจะต้องสอดคล้องกับนาม ท่ขี ยาย เชน่  ถา้ ขยายนามทเ่ี ป็นคน relative pronouns ก็ต้องเป็นคําทใ่ี ชแ้ ทนคน เชน่ - Children who hate chocolate are uncommon. - They live in a house whose roof is full of holes. - An elephant is an animal that lives in hot countries. Non-defining relative Clause  Non-defining relative Clause มีลกั ษณะดงั น้ี      1. เป็น clause ทเ่ี พ่ิมเข้ามา ไม่มคี วามจําเป็นแกใ่ จความในประโยค เพียงแต่เพ่ิมเขา้ มาเพ่ือให้ได้ความละเอียดมากข้ึน     2. ตอ้ งมเี ครอื่ งหมาย comma ขา้ งหน้ าและข้างหลัง clause เสมอ     3. ต้องใช ้ relative pronouns  ซง่ึ ไม่ชเ้ี ฉพาะเจาะจง เชน่  who, whom, whose  หรอื  which เทา่ นั้ น จะใช ้ that ไม่ไดเ้ ลย เชน่   - My boss, who is very nice, lives in Manchester. - My sister, who I live with, knows a lot about cars. - My bicycle, which I’ve had for more than ten years, is falling apart. 87

Relative Pronouns คือ สรรพนามเชอื่ มความใชแ้ ทนคํานามในประโยคหน้ า และเชอ่ื มทงั้ สอง ประโยคมคี วามหมายไปในทางเดียวกัน ได้แก่ Who, Which, That, Whom, Whose, What หน้าท่ขี อง Relative Pronoun 3 ประการ คือ 1. ทําหน้ าทเ่ี ป็นประธาน มี 2 แบบ คือ 1.1  ถา้ เป็นคนใช้ who เชน่ - I’m looking for a secretary who can use a computer well. - She has a son who is a doctor. - The woman who was hit by a car is getting better. 1.2 ถ้าเป็นสัตว์หรอื ส่ิงของใช้ which หรอื that เชน่ เชน่ - We bought a house which/that is 200 years old. - The iPad which/that is on the table is from America. - The companies that sell mobile phones will make big profits. 2. ทําหน้ าทเ่ี ป็นกรรม มี 2 แบบ คือ 2.1 ถ้าเป็นคนใช้ whom เชน่ - The woman whom I talked to yesterday is our new boss. - The boy whom I met is my friend’s sister. 2.2 ถา้ เป็นสัตวห์ รอื ส่ิงของ ใช้ which หรอื that เชน่ เชน่ - I like the puppy which Gabriel bought last week. - The house that they sell is near the airport. 3. ทําหน้ าท่เี ป็นเจา้ ของ มี 2 แบบ คือ 3.1 เป็นคนใช้ whose เชน่ - The man whose car is blue is Mark. - She hires a carpenter whose son is a plumber. - What is the name of the man whose daughter you dated? 3.2 ถ้าเป็นสัตวห์ รอื ส่ิงของให้ใช้ of which เชน่ - The cabinet of which drawer is broken has already been repaired. Relative Adverbs ไดแ้ ก่ where/ when/ why Where เชน่ - Put that book into the place where it is. - That’s the restaurant where we had dinner last night 88

When เชน่ - The first time when I dated her, I fell in love with her. - Do you remember the day when we first met? Why เชน่ - This is the reason why I am here. - I have no idea why she dated him. การลดรูป Relative Clause วธิ ีท่ี 1 การละ relative pronoun (who, whom, which, that) ในกรณีท่ีคํานามท่ี ถูกขยายทําหน้ าท่ีเป็นกรรมในประโยค การละ relative pronoun เราสามารถทําไดใ้ น defining relative clause (เฉพาะ เจาะจง) เทา่ นั้ น เชน่ - The car that he bought is very expensive. ลดรูปเป็น The car he bought is very expensive. (เราตัดคําวา่ that ออกได้ เพราะ car เป็นกรรม ท่ถี กู เขาซอื้ ) ลดรูปเป็น - The man whom she quarrelled with was her ex-boyfriend. The man she quarrelled with was her ex-boyfriend. (ตัด whom ออกได้ เพราะ man เป็นกรรม ทเ่ี ธอมีเรอื่ งดว้ ย) วธิ ีท่ี 2 การละ relative pronoun โดยใช้ participle (V.ing/V.3) แบง่ ออกได้เป็น 2 กรณี 1. กรณีทป่ี ระธานกระทํากรยิ านั้ น (active relative clause) ให้เราตัด relative pronoun ออก แลว้ เปล่ียน verb ให้เป็น present participle (V.ing) เชน่ - She told me about the man who lives next door. ลดรูปเป็น She told me about the man living next door. (man เป็นคนทํากรยิ า live) ลดรูปเป็น - Do you see the cat which is lying on the roof? Do you see the cat lying on the roof? (cat เป็นตัวทํากรยิ า is lying) 2. กรณีท่ปี ระธานถูกกระทาํ (passive relative clause) ให้เราตดั relative pronoun ออก แล้วเปล่ียน verb ให้เป็น past participle (V.3) เชน่ - Strawberries which are grown in California are delicious. ลดรูปเป็น Strawberries grown in California are delicious. (Strawberries อยใู่ นรูป passive voice คือ ถกู กระทํา) ลดรูปเป็น - The man who was stabbed last night is dead. The man stabbed last night is dead. (The man อยใู่ นรูป passive voice คือ ถกู กระทาํ ) 89

ข้อสังเกต !! กรรมตามปกติ ลดรูปเป็น The car that he bought is very expensive. ลดรูปเป็น The car he bought is very expensive. กรรมอย่ใู นรูป passive voice The man who was stabbed last night is dead. The man stabbed last night is dead. The cat และ The man ท่ขี ยายดว้ ย relative clause เป็นกรรมเหมือนกนั ทงั้ 2 ประโยคเพราะถกู กระทาํ แต่ลดรูปต่างกนั ดงั น้ี - ถา้ หากเป็นกรรมตามปกติ สามารถตดั relative pronoun ได้เลย เหมอื นขอ้ The car - ถ้าหากเป็นกรรมอยใู่ นรูป passive voice จะต้องตัด relative pronoun แลว้ เปล่ยี น verb ให้เป็น past participle (V.3) เหมอื นข้อ The man วิธีท่ี 3 การลดรูป relative clause ลงเป็นคํานาม (noun) การใช้ relative clause ทม่ี ี who/which/that เป็นประธาน ถา้ relative clause นั้ นมคี ํานามปรากฎอยู่ เราสามารถลดรูปลงเหลอื เพียงคํานามคําเดียวได้ ถา้ ลด รูปแลว้ ไม่ทําให้เสียใจความสําคัญไป ดงั น้ี เชน่ The companies that sell mobile phones will make big profits. ลดรูปเป็น The mobile phone companies will make big profits. เราจะเห็นไดว้ ่าเม่อื ลดรูปลงเหลือแค่คํานามเพียงคําเดยี วแล้ว คํานามน้ี กจ็ ะถูกนํ ามา วางไว้หน้ าคํานามเดมิ ทถ่ี กู ขยายความ วิธที ่ี 4 การลดรูป relative clause ลงเป็นคําคุณศั พท์ (adjective) การใช้ relative clause ทม่ี ี who/which/that เป็นประธานนั้ น ถา้ มคี ําคุณศัพท์ (adjective) ปรากฎอยู่ เราสามารถลดรูป relative clause ลงเหลอื เพียง adjective เพียง คําเดยี วได้ ถา้ ลดรูปแล้วไมท่ าํ ให้เสียใจความสําคัญไป ดงั น้ี เชน่ The old books which are rare will be auctioned next month. ลดรูปเป็น The rare old books will be auctioned next month. วธิ ีท่ี 5 การลดรูป adjective clause ลงเป็นบพุ บทวลี (prepositional phrase) relative clause ท่มี ี who/which/that เป็นประธานนั้ น ถา้ มบี พุ บทวลี (prepositional phrase) ปรากฎอยู่ เราสามารถลดรูป adjective clause ลงเหลือ เพียงบพุ บทวลีได้ ถา้ ลด รูปแลว้ ไม่ทาํ ให้เสียใจความสําคัญไป ดงั น้ี เชน่ The man who dresses in gray suit is her dad. ลดรูปเป็น The man in gray suit is her dad. 90

Conditional sentences หรือ If-clause คือ ประโยคเงอ่ื นไข “ถ้า...แล้ว” เป็นประโยคท่ปี ระกอบด้วย 2 ประโยครวมกนั และเชอื่ มด้วย “if” ซง่ึ ประโยค 2 ประโยคนั้ น ประโยคหน่ึ งจะข้นึ ตน้ ดว้ ยคําว่า If กับอีกประโยคหน่ึ งมหี น้ าตาเหมอื นประโยคสมบรู ณ์ทวั่ ไป โดยท่ปี ระโยคสอง ประโยคน้ี สลบั ทก่ี นั ได้ จะยกประโยคไหนข้นึ ตน้ กไ็ ด้ แลว้ แต่การเน้ นและความ หมาย ประโยคท่นี ํ าหน้ าด้วย if แสดงเงอ่ื นไข เราเรยี กว่า if-clause ประโยคท่แี สดงผลเงอื่ นไขนั้ น เราเรยี กว่า main clause เชน่ - If it rains , I shall stay at home. Type Zero(If-clause) (main clause) Type- She would travel all over the world if she were rich. DEE1 (main clause) (If-clause) ประโยคเงอ่ื นไขน้ี มที งั้ หมด 4 ประเภทหลกั ๆ ดังน้ี Structure Type Usage If-clause Main-clause เหตกุ ารณ์ท่เี ป็น If + S + V.1 S + V.1 ความจรงิ If + S + V.1. S + will/+ V.inf 1.เหตกุ ารณ์ท่ี เป็นเหตุเป็นผล 2.เหตกุ ารณ์ท่คี าด ว่าจะเป็นไปได้จรงิ Type เหตุการณ์ท่ไี ม่เป็น If + S + V.2 S + would + V.inf 2 ความจรงิ ในปัจจุบัน และจะไม่เกิดข้ึน ในอนาคต Type เหตกุ ารณ์ท่แี สดง If + S + had + V.3 S + would + have + V.3 3 เงอ่ื นไขในอดีต ท่ไี ม่สามารถเป็นจรงิ ได้ในปัจจบุ ัน 91

1. ZERO Conditional Sentences (แบบ 0) ใช้กับเหตกุ ารณ์ท่เี ป็นความจรงิ Zero conditional sentences ใชส้ ําหรบั พดู ถึงความจรงิ ทวั่ ไป โดยใช้ present simple ในประโยคทงั้ สองประโยค (ประโยคหน่ึ งจะอย่ใู นรูปของ if-clause ส่วนอกี ประโยคจะอยใู่ นรูปของ main-clause ) If + S + V.1 , S + V.1. ประโยคแบบ zero conditional sentences ใชพ้ ูดถงึ กรณีท่ถี ้าเกดิ ส่ิงหน่ึ ง ตอ้ งเกดิ อกี ส่ิงหน่ึ งเสมอ เชน่ - If water reaches 100 degrees, it boils. เมื่ออุณหภมู นิ ํ้ าสงู เทา่ กับ 100 องศาเซลเซยี ส นํ้ าจะเดอื ดเสมอ - If I eat peanuts, I am sick. ถ้าฉันกินถัว่ ลิสงฉันจะแพ้ ตวั อย่างเพ่ิมเติม ซง่ึ ประโยคลักษณะน้ี - If people eat too much, they get fat. เราจะใชค้ ําเหล่าน้ี ถา้ กินมากจะอว้ น แทน if ได้ - If you touch a fire, you get burned. when even if ถา้ แตะไฟก็จะโดนลวก provided/providing supposed/supposing - People die if they don’t eat. คนเราจะตายถา้ ไมก่ นิ อาหาร - You get water if you mix hydrogen and oxygen. ถ้ารวมไฮโดรเจนกับอ๊อกซเิ จนจะได้น้ํ า - Snakes bite if they are scared. งจู ะกัดเวลารูส้ ึกกลัว - If babies are hungry, they cry. ทารกจะรอ้ งไห้ถา้ รูส้ ึกหิว จะเอา If-clause หรือ Main clause ข้ึนตน้ กอ่ นก็ได้ 1. ถ้าเอา If-clause ข้ึนต้นจะต้องใส่เครอ่ื งหมาย Comma (,) หลงั If-clause เชน่ If it is fine, we will play basketball. o2. ถ้าเอา Main clause ข้นึ ตน้ ไม่ต้องใส่เครอื่ งหมายComma(,)หลงั Main clause เชน่ We will play basketball if it is fine. 92

2. FIRST Conditional Sentences (แบบท่ี 1) ใช้กบั เหตกุ ารณ์ท่เี ป็นเหตเุ ป็นผลซ่ึงกันและกัน First conditional sentences ใชส้ ําหรบั พดู วา่ ถา้ ส่ิงหน่ึ งเกิดข้นึ อีกส่ิงหน่ึ งจะเกดิ ข้ึนหรอื อาจจะเกดิ ข้ึน โดยใช้ If + present simple แล้วตามดว้ ย future simple If + S + V.1 , S + will + V.infinitive. ประโยคแบบ first conditional sentences ใชพ้ ดู ถึงเหตกุ ารณ์เฉพาะซง่ึ อาจเป็นไป ได้ หรอื ผพู้ ูดคิดวา่ จะเกิดข้นึ เชน่ - If it rains, I won’t go to the park. ถ้าฝนตก ฉันจะไมไ่ ปสวนสาธารณะ - If I study today, I will go to the party tonight. ถ้าวันน้ี ฉันอา่ นหนั งสือ คืนน้ี จะไปปารต์ ้ี - She‘ll miss the bus if she doesn’t leave soon. เธอจะไม่ทนั รถเมลถ์ า้ ไม่ออกจากบา้ นตอนน้ี Zero conditional กบั First conditional ใช้กบั สถานการณ์คนละประเภท เชน่ Zero conditional: If you sit in the sun, you get burned. (ใครก็ตามท)่ี นั่ งตากแดดจะผวิ ไหม้ First conditional: If you sit in the sun, you’ll get burned. ถ้าเธอนั่ งตากแดดผวิ เธอจะไหม้นะ นอกจากน้ี แลว้ First conditional sentences อาจจะมีการเปล่ียนแปลงของคํา กรยิ าใน Main clause ใน 4 กรณี ดังน้ี 1. เงอื่ นไขทแ่ี สดงเหตุการณ์ท่เี กดิ ข้ึนอัตโิ นมัติ เป็นนิ สัย จะใชโ้ ครงสรา้ งดังน้ี If + present simple, S + present simple. เชน่ If you throw stone into the water, it sinks. (ถา้ คุณโยนก้อนหินลงไปในนํ้ า มันจะจม) 2. เงอื่ นไขท่แี สดงความอาจจะเป็นไปได้ จะใชโ้ ครงสรา้ งดงั น้ี €If + present simple, S + may/might + V.infinitive. เชน่ If we are free, we may/might go to the movie tonight. (ถ้าพวกเราว่างคืนน้ี พวกเราอาจจะไปดหู นั ง) 3. เงอื่ นไขทแ่ี สดงความสามารถ จะใชโ้ ครงสรา้ งดังน้ี If + present simple, S + can + V.infinitive. เชน่ If the rain stops, they can go out. (ถ้าฝนหยดุ ตก พวกเขาสามารถออกไปขา้ งนอกได้) 4. เงอ่ื นไขท่แี สดงการขอรอ้ งหรอื คําสั่ง จะใชโ้ ครงสรา้ งดังน้ี If + present simple, S + must/should + V.infinitive. เชน่ If you want to be fat, you must/should eat more. (ถา้ คุณตอ้ งการอว้ น คุณตอ้ งควรทานให้มากกวา่ น้ี ) 93

3. SECOND Conditional Sentences (แบบท่ี 2) ใช้กบั เหตกุ ารณ์ท่ีตรงข้ามความจรงิ ในปัจจบุ นั หรอื อนาคต Second conditional จะใชพ้ ูดถึงส่ิงทผ่ี พู้ ูดคิดว่าไม่น่ าจะเกิดข้ึน โดยใช้ If + past simple คู่กบั would + V.infinitive If + S + V.2 , S + would + V.infinitive. ประโยคแบบ second conditional ใชก้ บั เหตกุ ารณ์ดังน้ี 1. ใชพ้ ูดถึงความใฝ่ฝันว่าอยากให้เกดิ ข้ึนในอนาคตแตอ่ าจไมเ่ กดิ ข้นึ ก็ได้ เชน่ - If I won the lottery, I would buy a big house. ถา้ ถูกลอ็ ตเตอรจ่ี ะซอื้ บา้ นหลังใหญ่ (คิดว่าคงไม่ถูกลอ็ ตเตอรห่ี รอก) - If I met the Queen of England, I would say hello. ถ้าได้พบราชนี ี อังกฤษฉันจะกล่าวสวัสดี 2. ใชพ้ ูดถึงเหตการณ์ในปัจจบุ ันท่เี ป็นไปไมไ่ ดเ้ ลย ไมจ่ รงิ เลย เชน่ - If I had his number, I would call him. ถ้ามีเบอรเ์ ขาฉันจะโทรหาเขา (แต่จรงิ ๆฉันไม่มเี บอรเ์ ขา) - If I were you, I wouldn’t go out with that man. ถ้าฉันเป็นเธอฉันจะไมไ่ ปเท่ยี วกับเขา Second conditional ตา่ งกับ First conditional ตรงท่แี บบ 2 มคี วามเป็นไปไดน้ ้อยมาก First conditional: If I have enough money, I will buy some new shoes. ถา้ มเี งนิ พอฉันจะซอ้ื รองเทา้ ใหม่ Second conditional: If I had enough money I would buy a house with twenty bedrooms and a swimming pool. ถ้ามเี งนิ พอฉันจะซอื้ บ้านทม่ี ีห้องย่สี ิบห้องกบั สระวา่ ยนํ้ า นอกจากน้ี แล้ว Second conditional sentences อาจจะมกี ารเปล่ียนแปลงของคํากรยิ า eใน 2 กรณี ดังน้ี 1. ใช้ might แทน would เพื่อแสดงผลลพั ธท์ ่อี าจเป็นไปได้ และ ใช้ could แทน would เพ่ือแสดงความสามารถ จะใชโ้ ครงสรา้ งดงั น้ี If + past simple, S + might/could + V.infinitive. เชน่ If he tried again, he might get the answer. (ถา้ เขาพยายามอีกครงั้ เขาอาจจะได้คําตอบ=อาจจะได้หรอื ไม่ได)้ 2. ถ้าคํากรยิ าใน Main clause เป็นVerb to be จะตอ้ งใช้ were เพียงตวั เดียงไมว่ ่าประธานจะเป็นอะไรก็ตาม จะใชโ้ ครงสรา้ งดังน้ี If + S + were, S + would + V.infinitive. เชน่ If I were you, I would play with Fah. (ถา้ ผมเป็นคุณ ผมจะเลน่ กบั ฟ้า = เป็นไปไมไ่ ด้เพราะผมไมส่ ามารถเป็นคุณได้) 94

4. THIRD Conditional Sentences (แบบท่ี 3) ใช้กบั เหตุการณ์ท่ตี รงข้ามความจรงิ ในอดีต ประโยค conditional แบบสดุ ทา้ ยใช้ If + past perfect คู่กบั would have + V.3 If + had + V.3 , S + would + have + V.3 ประโยคแบบน้ี ใชพ้ ูดเก่ยี วกับอดีตท่ไี ม่ไดเ้ กิดข้นึ จรงิ ว่าถา้ เกิดข้นึ แลว้ จะเป็นอยา่ งไร เชน่ - If she had studied, she would have passed the exam. ถ้าเขาอา่ นหนั งสือ เขาคงสอบผา่ นไปแล้ว - If we had taken a taxi, we wouldn’t have missed the plane. ถา้ เราข้นึ แทก็ ซม่ี าเราคงไม่ตกเครอ่ื งบิน - She wouldn’t have been tired if she had gone to bed earlier. เธอจะไมเ่ พลียถา้ เข้านอนเรว็ กว่าน้ี - She would have become a teacher if she had gone to university. เธอคงจะเป็นครูถ้าเธอเขา้ เรยี นในมหาวทิ ยาลยั นอกจากน้ี แลว้ Third conditional sentences อาจจะมกี ารเปล่ยี นแปลงของคํากรยิ า ใน 2 กรณี ดงั น้ี 1. ใช้ could have แทน would have เพ่ือแสดงความสามารถ จะใชโ้ ครงสรา้ งดงั น้ี If + past perfect, S + could + have + V.3 เชน่ If he had met her, he could have helped her. (ถา้ เขาพบเธอเขาสามารถทจ่ี ะชว่ ยเธอได้=ความจรงิ เขาไม่ได้พบเธอ) # 2. ใช้ might have แทน would have เพ่ือแสดงความเป็นไปได้ จะใชโ้ ครงสรา้ งดังน้ี If + past perfect, S + might + have + V.3 เชน่ If we had finished our homework, we might have gone to the movie. (ถ้าพวกเราทาํ การบาน้ เสรจ็ พวกเราอาจจะไปดูหนั ง=ความจรงิ พวกเราไม่ได้ไป) 5. MIXED Conditional Sentences (แบบผสม) If + past perfect, S + would + V.infinitive. เป็นการนํ า conditional sentences สองแบบมาผสมกนั โดยมากใชเ้ วลาพดู ถงึ ส่ิงท่ี ไม่เป็นความจรงิ ในอดตี ทม่ี ีความสัมพันธก์ บั ปัจจบุ ัน เชน่ - She would be a rich widow now if she had married him. เธอคงจะได้เป็นแม่หม้ายเศรษฐไี ปแล้วถ้าเธอแต่งงานกบั เขา (ตอนนั้ นไม่แต่งกบั เขา ตอนน้ี เลยไม่ได้เป็นแมห่ ม้ายเศรษฐ)ี - If I had studied law, I would be an attorney now. ถา้ ตอนนั้ นเรยี นนิ ตติ อนน้ี ฉันกค็ งจะเป็นทนายความแล้ว 95

การละ if ในประโยค Conditional Sentences หรอื ประโยค If-clause  ส่วนใหญ่เราก็จะใช้ คําวา่   If กนั แตบ่ างทเี รากส็ ามารถละ if คือไมใ่ ส่ if ในประโยคแต่ให้ความหมาย เหมือนกันได ้  ซง่ึ Conditional Sentence แตล่ ะแบบกจ็ ะมกี ารละ if ตา่ งกนั ไป ดงั น้ี FIRST Conditional Sentences (แบบท่ี 1) เราจะใช้ Should แทน  แลว้ ตดั if ออก เชน่ If the weather is nice this afternoon, we will go camping. = Should the weather be nice this afternoon, we will go camping. If she doesn’t hand in the report on time, I won’t give her any points. =  Should she not hand in the report on time, I won’t give her any points. ** มองๆดแู ลว้ เหมือนโครงสรา้ งประโยคคําถาม  แต่อยา่ เผลอใส่เครอื่ งหมาย ‘?’ เด็ดขาด SECOND Conditional Sentences (แบบท่ี 2) เราจะใช้ were แทน แลว้ ตดั if ออก เชน่ If she didn’t come here tonight, she wouldn’t meet Rick. == Were she not to come here tonight, she wouldn’t meet Rick. If I were rich, I would travel around the world. = Were I rich, I would travel around the world. THIRD Conditional Sentences (แบบท่ี 3) เราจะใช้ had แทน แลว้ ตดั if ออก เชน่ If you had left home early, you wouldn’t have missed the train. = Had you left home early, you wouldn’t have missed the train. If I hadn’t known her, I wouldn’t have got married with her. = Had I not known her, I wouldn’t have got married with her. เทคนิ คการจํา ทาํ นองเพลง Happy Birthday aType 1 If you leave me, I will cry. Type 2 If you left me, I would die. Type 3 If you had left me lonely, I would have cried and died 96

การใช้ \"Unless\" Unless มีความหมายเหมอื น if...not (ถ้า...ไม)่ ซง่ึ unless ถกู นํ ามาใชแ้ ทน if...not ใน ประโยคเงอื่ นไขทกุ แบบ และการเรยี งลําดบั ประโยคก่อนหลังไมส่ ําคัญ สามารถใชป้ ระโยค ใดข้นึ กอ่ นกไ็ ด้ โดยท่ี unless จะตามด้วยประโยคบอกเลา่ FIRST Conditional Sentences: Unless + present tense SECOND Conditional Sentences: Unless + past tense THIRD Conditional Sentences: Unless + past perfect 97

Comparison of Adjectives and adverbs คือ การเปรยี บเทยี บคุณลกั ษณะต่างๆ ของ คน สัตว์ และส่ิงของตัง้ แต่ 2 อยา่ งข้นึ ไป การเปรยี บเทยี บมี 3 ระดบั คือ ขนั้ ปกติ (Positive Degree) ขนั้ กวา่ (Comparative Degree) ขัน้ สงู สุด (Superlative Degree) 1. การเปรยี บเทยี บขั้นปกติ (Positive Degree) โครงสรา้ งหลัก S + V. to be + as adj. as (เทา่ กนั ) S+V.to be not so adj.+as (ไมเ่ ทา่ กนั ) เราใช้ as...as ในการเปรยี บเทยี บของสองส่ิงท่เี ทา่ กัน โดยคําคุณศัพทท์ ใ่ี ชเ้ ปรยี บ เทยี บในขัน้ ปกติน้ี จะไมม่ กี ารเปล่ยี นรูปหรอื เติมคําใดๆ หลัง adjective นั้ นๆ เชน่ - Harry is as tall as his brother. (แฮรส่ี ูงเทา่ กนั กบั น้ องชายของเขา) - John is not so handsome as his father. (จอห์นไม่หล่อเทา่ กับพ่อของเขา) การเปรยี บเทียบแบบเท่ากัน และ ไมเ่ ท่ากัน (Equality and Unequality) มคี ําท่ใี ชใ้ นการเปรยี บเทยี บ ไดแ้ ก่ 1. as + adverb / adjective + as = เท่ากนั , เหมือนกับ เชน่ - This ball is as round as a marble. (round : adjective) - Jane works as hard as her sister. (hard : adverb) 2. not so + adverb / adjective + as = ไมเ่ ท่ากัน เชน่ - His handwriting is not so poor as his friend’s. (poor : adjective) - He doesn’t run so fast as his brother. (fast : adverb) 3. to be like = เหมือนกนั (ส่ิงเปรียบเทียบอยตู่ น้ และทา้ ยประโยค) เชน่ - Joy is like her mother. - The workers work hard like buffaloes. 4. to be alike = เหมือนกนั (ส่ิงเปรียบเทียบอย่ตู น้ ประโยค) เชน่ - The twins are alike. - Her bag and yours are alike. 5. the same + noun + as = เหมือนกนั เชน่ - My shirt is the same colour as that boy’s. - The two dresses are the same style. 98


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook