ก พฤติกรรมการส่ือสารสารสนเทศทางการเมืองของคนไทย POLITICAL INFORMATION COMMUNICATION BEHAVIOR OF THAI’S PEOPLE คมกริช รุมดอน วทิ ยานิพนธ์ปริญญาสารสนเทศศาสตรมหาบัณฑติ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น พ.ศ. 2562
ข พฤติกรรมการสื่อสารสารสนเทศทางการเมืองของคนไทย คมกริช รุมดอน วทิ ยานิพนธ์นีเ้ ป็ นส่วนหน่ึงของการศึกษาตามหลกั สูตรปริญญาสารสนเทศศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าสารสนเทศศาสตร์ บัณฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น พ.ศ. 2562
ค POLITICAL INFORMATION COMMUNICATION BEHAVIOR OF THAI’S PEOPLE MR. KOMGRIT RUMDON A THESIS SUMMITTED PARTIAL FUFILLMENT OF THE REQUIREMENTS FOR THE DEGREE OF MASTER OF INFORMATION SCIENCES GRADUATE SCHOOL KHON KAEN UNIVERSITY 2019
ง ใบรับรองวทิ ยานิพนธ์ มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น หลกั สูตรสารสนเทศศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าสารสนเทศศาสตร์ ชื่อวทิ ยานิพนธ์ : พฤติกรรมการส่ือสารสารสนเทศทางการเมืองของคนไทย ผู้ทาวทิ ยานิพนธ์ : นายคมกริช รุมดอน คณะกรรมการสอบวทิ ยานิพนธ์ : รศ.ดร.สมาน ลอยฟ้า ประธานกรรมการ รศ.ดร.กุลธิดา ทว้ มสุข กรรมการ ผศ.ดร.ชลภสั ส์ วงษป์ ระเสริฐ กรรมการ อาจารย์ทปี่ รึกษาวทิ ยานิพนธ์ : …………………………………………………… อาจารยท์ ี่ปรึกษา (ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ชลภสั ส์ วงษป์ ระเสริฐ) ................................................................ .............................................................. (ศาสตราจารย์ ดร.สุรศกั ด์ิ วงศร์ ัตนชีวนิ ) (รองศาสตารจารย์ ดร.กุลธิดา ทว้ มสุข) คณะบดีคณะมนุษยศาสตร์และสงั คมศาสตร์ คณบดีบณั ฑิตวทิ ยาลยั ลิขสิทธ์ิของมหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น
จ คมกริช รุมดอน. 2562. พฤติกรรมการส่ือสารสารสนเทศทางการเมืองของคนไทย. วิทยานิพนธ์ปริญญา สารสนเทศศาสตรมหาบณั ฑิต สาขาวชิ าสารสนเทศศาสตร์ บณั ฑิตวทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น. อาจารย์ทป่ี รึกษาวทิ ยานิพนธ์ : ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ชลภสั ส์ วงษป์ ระเสริฐ บทคดั ย่อ การวิจยั น้ีมีวตั ถุประสงค์เพ่ือมีวตั ถุประสงค์เพ่ือการศึกษาพฤติกรรมการสื่อสารสารสนเทศทาง การเมือง และการตดั สินใจการมีส่วนร่วมทางการเมืองของคนไทย ประชากรในการวิจยั เป็ นประชาชนที่มี อายุต้งั แต่ 18 ปี ข้ึนไป และมีภูมิลาเนาอยูใ่ นภาคตะวนั ออกเฉียงเหนือในประเทศไทย จานวน 330 คน สุ่ม กลุ่มตวั อยา่ งแบบเมทริกซ์ (Matrix Random Sampling) เครื่องมือท่ีใชใ้ นการวิจยั คือ แบบสอบถาม วเิ คราะห์ ขอ้ มูลดว้ ยคา่ สถิติร้อยละ คา่ เฉลี่ย และคา่ เบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวจิ ยั พบวา่ 1. ตดั สินใจในการมีส่วนร่วมทางการเมือง ภาพรวมอยใู่ นระดบั ปานกลาง โดยมีการใชส้ ิทธิเลือกต้งั มากท่ีสุด รองลงมาคือการแสดงความสนใจต่อกิจกรรมทางการเมือง และน้อยท่ีสุดคือการบริจาคเงิน สนบั สนุนและระดมทุน 2. พฤติกรรมการส่ือสารสารสนเทศทางการเมือง ประกอบดว้ ย (1) ความตอ้ งการสารสนเทศทางการเมือง ภาพรวมอยูใ่ นระดบั มาก โดยมีความตอ้ งการ สารสนเทศท่ีเกี่ยวกบั นโยบายที่ลงมาช่วยเหลือประชาชนมากท่ีสุด (2) การแสวงหาสารสนเทศทางการเมือง ภาพรวมอยู่ในระดบั น้อย โดยมีการแสวงหา สารสนเทศทางการเมืองจากแหล่งสารสนเทศบุคคล แหล่งส่ือมวลชน และแหล่งอินเตอร์เน็ต อยใู่ นระดบั ปานกลาง ผูต้ อบแบบสอบถามส่วนใหญ่ใช้โทรทศั น์เป็ นเคร่ืองมือในการเปิ ดรับสารสนเทศทางการเมือง สถานที่เปิ ดรับส่วนใหญ่อยทู่ ี่บา้ น วธิ ีการเปิ ดรับโดยไดย้ นิ จากการสนทนาทางการเมือง ลกั ษณะสารสนเทศ ทางการเมืองส่วนใหญ่เป็นโปสเตอร์หาเสียงและรถหาเสียง และใหค้ ุณภาพของสารสนเทศทางการเมืองวา่ มี ความทนั สมยั และทนั ตอ่ เหตุการณ์ในปัจจุบนั (3) การใชส้ ารสนเทศทางการเมือง ภาพรวมอยใู่ นระดบั ปานกลาง โดยมีการใชส้ ารสนเทศ ทางการเมืองในการใชส้ ิทธิเลือกต้งั มากท่ีสุด ผลการศึกษาน้ีจะเป็ นประโยชน์ในการท่ีจะพฒั นาสารสนเทศทางการเมืองท่ีสามารถตอบสนอง ความตอ้ งการของประชาชน และเพื่อให้ประชาชนมีพฤติกรรมทางการเมืองที่อยู่บนความรู้ความเขา้ ใจ ภายใตก้ ฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2560 ได้
ฉ Komgrit Rumdon. 2019. Political Information Communication Behavior of Thai’s People. Master of Information thesis in Information Sciences, Graduate School, Khon Kaen University. Thesis Advisor : Asst. Prof. Dr. Chollabhat Wongprasert ABSTRACT The objective of this research are to study behavior of political information communication and the decision of participation in the political of Thailand. There are 330 studied population who are the age over 18 and their domicile must be located in Northeast of Thailand. The research use Matrix random sampling. The tools for this research are percentage statistics, average and standard deviation. According to the research, 1. To decide to participate in politics is moderate by casting a ballot. Followed by, to be interested in political activities.is the least, to donate money and raise funds. 2. Behavior of political information communication consists of (1) The overview of seeking political information related to information to help people is the highest level. (2) The overview of seeking political information is very low by receiving source from individual information, mass media, internet is moderate. Most surveyors are using television as a tool to access the political information at their residences by hearing political conversation. The most used way of political information are posters and campaign cars. 3. The overview of using political information is moderate by voting the ballot. The result of this research will be benefit to develop political information which response the need of people to educate and understand for conducting under the constitution of the kingdom of Thailand B.E.2560.
ช งานวทิ ยานิพนธ์นีข้ อมอบส่วนดีให้บุพการีและคณาจารย์
ซ กติ ตกิ รรมประกาศ วทิ ยานิพนธ์ฉบบั น้ีสาเร็จไดด้ ว้ ยดี เพราะไดร้ ับความกรุณาและความอนุเคราะห์เอาใจใส่ในการให้ คาปรึกษาและใหก้ าลงั ใจอยา่ งดีจากผมู้ ีพระคุณหลายท่าน โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ชลภสั ส์ วงษ์ประเสริฐ อาจารยท์ ่ีปรึกษาวิทยานิพนธ์ ท่ีกรุณาให้ความช่วยเหลือและคอยช้ีแนะแนวทางในการทา วิทยานิพนธ์ ตลอดจนอบรมสั่งสอน บ่มเพาะความรู้และประสบการณ์ในการทางานให้แก่ผศู้ ึกษาดว้ ยความ เอาใจใส่ตลอดมา ผศู้ ึกษาซาบซ้ึงและขอกราบขอบคุณท่านดว้ ยความเคารพอยา่ งสูงไว้ ณ โอกาสน้ี ขอขอบพระคุณ รองศาสตราจารย์ ดร.สมาน ลอยฟ้า ประธานกรรมการสอบวทิ ยานิพนธ์ และรอง ศาสตราจารย์ ดร.กุลธิดา ทว้ มสุข กรรมการสอบวิทยานิพนธ์ ท่ีกรุณาตรวจสอบและใหข้ อ้ เสนอแนะในการ ปรับปรุงวทิ ยานิพนธ์ใหม้ ีความสมบูรณ์ยง่ิ ข้ึน ขอขอบพระคุณ รองศาสตราจารย์ ดร.สุกญั ญา เอมอ่ิมธรรม ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.ดุษฎี อายวุ ฒั น์ ดร.จุฑารัตน์ ช่างทอง ดร.อญั ชสา สีนวนแกว้ และดร.พิเชษฐ์ พลพิชิต ผูท้ รงผูท้ รงคุณวุฒิตรวจสอบความ เท่ียงตรงเชิงเน้ือหาของเคร่ืองมือวจิ ยั ในคร้ังน้ี ขอขอบพระคุณ บิดา มารดา และพี่สาว ที่คอยให้กาลังใจตลอดการทาวิทยานิพนธ์น้ีจนสาเร็จ ขอบคุณ นางสาวอารีรัตน์ สุขวฒั นสมบตั ิ (ปอนด)์ เพ่ือนร่วมหลกั สูตรสารสนเทศศาสตรมหาบณั ฑิต ท่ีได้ ช่วยเหลือผูว้ ิจยั ในการขอ้ มูลจนสาเร็จ ขอขอบคุณ นายเอกชยั คนคิด (พ่ีเอก) และนางสาวนภสั วรินทร์ พุ่มพฤกษ์ (พ่ีริ น) หลักสู ตรศิลปศาสตรมหา บัณฑิต (การจัดการสารสนเทศ) และ นายนวพล แกว้ สุวรรณ หลกั สูตรสารสนเทศศาสตรดุษฎีบณั ฑิต (พี่ตฤณ) ท่ีช่วยแนะนาการทาวิจยั จนสาเร็จไดด้ ว้ ยดี ขอบคุณเพ่ือน พี่ น้อง สาขาวิชาสนเทศศาสตร์ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น รวมถึง ญาติ และบุคคลที่รู้จกั ท่ีให้ ความร่วมมือใหก้ ารตอบแบบสอบถามเป็นอยา่ งดี คมกริช รุมดอน
สารบญั ฌ คาอุทิศ หน้า กิตติกรรมประกาศ ช บทที่ 1 บทนา ซ 1 ที่มาและความสาคญั 1 คาถามวจิ ยั 3 วตั ถุประสงคก์ ารวจิ ยั 4 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ 4 ประโยชนท์ ี่คาดวา่ จะไดร้ ับ 4 บทที่ 2 วรรณกรรมและงานวิจัยทเ่ี กยี่ วข้อง 5 แนวคิดเกี่ยวกบั การเมือง 6 6 - ความหมายของการเมือง 7 - ความสาคญั ของการเมือง 10 - การรับข่าวสารทางการเมือง 10 - การสื่อสารทางการเมือง 21 - การมีส่วนร่วมทางการเมือง 31 - การตดั สินใจทางการเมือง 33 แนวคิดเกี่ยวกบั พฤติกรรมสารสนเทศ 33 - ความหมายของพฤติกรรมสารสนเทศ 33 - ความสาคญั ของพฤติกรรมสารสนเทศ 34 - ความตอ้ งการสารสนเทศ 38 - การแสวงหาสารสนเทศ 52 - การใชส้ ารสนเทศ 53 งานวจิ ยั ที่เก่ียวขอ้ ง 57 กรอบแนวคิดการวจิ ยั 58 บทที่ 3 วธิ ีการดาเนินวจิ ัย 58 ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง 59 วธิ ีการและเคร่ืองมือท่ีใช้
ญ สารบญั (ต่อ) การสร้างและตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือ หน้า ตวั แปร 60 การเก็บรวบรวมขอ้ มูล 61 การวเิ คราะห์ขอ้ มูล 61 61 บทท่ี 4 ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล 62 - ขอ้ มูลทวั่ ไปของผูต้ อบแบบสอบถาม 62 - ความตอ้ งการสารสนเทศทางการเมือง 78 - การแสวงหาสารสนเทศทางการเมือง 87 - การใชส้ ารสนเทศทางการเมืองของคนไทย 110 - การตดั สินใจในการมีส่วนร่วมทางการเมืองของคนไทย 121 134 บทที่ 5 สรุปผล อภปิ รายผล และข้อเสนอแนะ 134 - สรุปผลการวจิ ยั 145 - อภิปรายผล 150 - ขอ้ เสนอแนะ 151 157 บรรณานุกรม 158 ภาคผนวก 167 176 ภาคผนวก ก. แบบสอบถามพฤติกรรมการสื่อสารสารสนเทศทางการเมืองของคนไทย ภาคผนวก ข. ผลการประเมินดชั นีความสอดคลอ้ งของเครื่องมือวิจยั ประวตั ิผเู้ ขียน
สารบัญรูปภาพ ฎ รูปภาพท่ี 1 แบบจาลองการสื่อสารของ Aristotle หน้า รูปภาพที่ 2 แบบจาลองการส่ือสารของ Lasswell (1948) 15 รูปภาพท่ี 3 แบบลาจองการส่ือสารของ Shanon & Weaver 16 รูปภาพท่ี 4 แบบจาลองการส่ือสารของ Berlo (1960) 16 รูปภาพที่ 5 แบบจาลองการส่ือสารของ McNair (1999) 17 รูปภาพที่ 6 แบบจาลองการส่ือสารทางการเมืองประยกุ ต์ 18 รูปภาพที่ 7 องคป์ ระกอบของการส่ือสารทางการเมือง 19 รูปภาพที่ 8 รูปแบบความตอ้ งการและการแสวงหาสารสนเทศ (Wilson, 1981) 19 รูปภาพท่ี 9 พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของ Ellis (1989) 36 รูปภาพที่ 10 พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของ Kuhlthau (2004) 42 รูปภาพที่ 11 พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศของ Leckei (1996) 44 รูปภาพท่ี 12 Every Life Information Seeking (Savolainen, 1995) 46 50
สารบญั ตาราง ฏ ตารางท่ี 1 ระดบั การมีส่วนร่วมทางการเมือง หน้า ตารางที่ 2 ความตอ้ งการใชส้ ารสนเทศในแง่มุมต่าง ๆ 31 ตารางท่ี 3 องคป์ ระกอบของรูปแบบพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ 37 ตารางท่ี 4 ข้นั ตอนการแสวงหาสารสนเทศ 46 ตารางที่ 5 การจดั กลุ่มข้นั ตอนการแสวงหาสารสนเทศ 47 ตารางท่ี 6 กลุ่มตวั อยา่ งจากประชากร 48 ตารางท่ี 7 จาแนกตามเพศ 59 ตารางท่ี 8 จาแนกตามช่วงอายุ 63 ตารางที่ 9 จาแนกตามระดบั การศึกษา 63 ตารางท่ี 10 จาแนกตามกลุ่มอาชีพหลกั 64 ตารางท่ี 11 จาแนกตามอาชีพเสริม 64 ตารางท่ี 12 จาแนกตามรายไดต้ อ่ เดือน 65 ตารางท่ี 13 จาแนกตามศาสนา 65 ตารางที่ 14 จาแนกตามเขตท่ีอยอู่ าศยั 66 ตารางท่ี 15 กลุ่มอาชีพหลกั จาแนกตามเพศ 66 ตารางท่ี 16 กลุ่มอาชีพหลกั จาแนกตามช่วงอายุ 66 ตารางท่ี 17 กลุ่มอาชีพหลกั จาแนกตามระดบั การศึกษา 68 ตารางท่ี 18 รายไดต้ อ่ เดือนจาแนกตามกลุ่มอาชีพหลกั 69 ตารางที่ 19 เขตท่ีอยอู่ าศยั จาแนกตามกลุ่มอาชีพหลกั 70 ตารางที่ 20 เขตที่อยอู่ าศยั จาแนกตามเพศ 71 ตารางที่ 21 เขตที่อยอู่ าศยั จาแนกตามช่วงอายุ 72 ตารางท่ี 22 เขตที่อยอู่ าศยั จาแนกตามระดบั การศึกษา 73 ตารางที่ 23 เขตที่อยอู่ าศยั จาแนกตามกลุ่มอาชีพหลกั 74 ตารางที่ 24 เขตที่อยอู่ าศยั จาแนกตามรายไดต้ อ่ เดือน 75 ตารางที่ 25 แสดงเขตท่ีอยอู่ าศยั จาแนกตามศาสนา 76 ตารางที่ 26 ความตอ้ งการสารสนเทศทางการเมือง 77 ตารางที่ 27 ระดบั ความตอ้ งการสารสนเทศทางการเมือง 78 79
สารบัญตาราง (ต่อ) ฐ ตารางท่ี 28 ความตอ้ งการสารสนเทศทางการเมืองจาแนกตามกลุ่มอาชีพหลกั หน้า ตารางที่ 29 ความตอ้ งการสารสนเทศทางการเมืองจาแนกตามเขตท่ีอยอู่ าศยั 81 ตารางที่ 30 การแสวงหาสารสนเทศทางการเมือง 85 ตารางที่ 31 ระดบั การแสวงหาสารสนเทศทางการเมือง 87 ตารางท่ี 32 การแสวงหาสารสนเทศทางการเมืองจาแนกตามกลุ่มอาชีพหลกั 88 ตารางท่ี 33 การแสวงหาสารสนเทศทางการเมืองจาแนกตามเขตที่อยูอ่ าศยั 89 ตารางท่ี 34 การใชเ้ ครื่องมือในการเปิ ดรับสารสนเทศทางการเมือง 91 ตารางที่ 35 ระดบั การใชเ้ คร่ืองมือในการเปิ ดรับสารสนเทศทางการเมือง 92 ตารางท่ี 36 เครื่องมือในการเปิ ดรับสารสนเทศทางการเมืองจาแนกตามกลุ่มอาชีพหลกั 92 ตารางท่ี 37 เคร่ืองมือในการเปิ ดรับสารสนเทศทางการเมืองจาแนกตามเขตที่อยอู่ าศยั 93 ตารางท่ี 38 สถานท่ีเปิ ดรับสารสนเทศทางการเมือง 94 ตารางที่ 39 ระดบั สถานท่ีเปิ ดรับสารสนเทศทางการเมือง 94 ตารางท่ี 40 สถานท่ีเปิ ดรับสารสนเทศทางการเมืองจาแนกตามกลุ่มอาชีพหลกั 95 ตารางท่ี 41 สถานท่ีเปิ ดรับสารสนเทศทางการเมืองจาแนกตามเขตท่ีอยอู่ าศยั 96 ตารางที่ 42 วธิ ีการเปิ ดรับสารสนเทศทางการเมือง 98 ตารางที่ 43 ระดบั วธิ ีการเปิ ดรับสารสนเทศทางการเมือง 98 ตารางท่ี 44 วธิ ีการเปิ ดรับสารสนเทศทางการเมืองจาแนกตามกลุ่มอาชีพหลกั 99 ตารางที่ 45 วธิ ีการเปิ ดรับสารสนเทศทางการเมืองจาแนกตามเขตที่อยอู่ าศยั 100 ตารางที่ 46 ลกั ษณะสารสนเทศทางการเมือง 102 ตารางท่ี 47 ระดบั ของลกั ษณะสารสนเทศทางการเมืองท่ีเปิ ดรับ 102 ตารางที่ 48 ลกั ษณะสารสนเทศทางการเมืองจาแนกตามกลุ่มอาชีพหลกั 103 ตารางท่ี 49 ลกั ษณะสารสนเทศทางการเมืองจาแนกตามเขตท่ีอยอู่ าศยั 104 ตารางท่ี 50 คุณภาพของสารสนเทศทางการเมือง 106 ตารางที่ 51 ระดบั คุณภาพของสารสนเทศทางการเมือง 107 ตารางที่ 52 คุณภาพสารสนเทศทางการเมืองจาแนกตามกลุ่มอาชีพหลกั 107 ตารางท่ี 53 คุณภาพสารสนเทศทางการเมืองจาแนกตามเขตท่ีอยอู่ าศยั 108 ตารางที่ 54 การใชส้ ารสนเทศทางการเมือง 110 110
สารบัญตาราง (ต่อ) ฑ ตารางท่ี 55 ระดบั การใชส้ ารสนเทศทางการเมือง หน้า ตารางที่ 56 การใชส้ ารสนเทศทางการเมืองจาแนกตามกลุ่มอาชีพหลกั 112 ตารางท่ี 57 การใชส้ ารสนเทศทางการเมืองจาแนกตามเขตที่อยอู่ าศยั 114 ตารางท่ี 58 การตดั สินใจในการมีส่วนร่วมทางการเมือง 119 ตารางที่ 59 ระดบั การตดั สินใจในการมีส่วนร่วมทางการเมือง 121 ตารางท่ี 60 การตดั สินใจในการมีส่วนร่วมทางการเมืองจาแนกตามกลุ่มอาชีพหลกั 122 ตารางที่ 61 การตดั สินใจในการมีส่วนร่วมทางการเมืองจาแนกตามเขตท่ีอยูอ่ าศยั 125 ตารางท่ี 62 ความตอ้ งการสารสนเทศทางการเมืองกบั ระดบั การมีส่วนร่วมทางการเมือง 129 ตารางที่ 63 การแสวงหาสารสนเทศทางการเมืองกบั ระดบั การมีส่วนร่วมทางการเมือง 131 ตารางที่ 64 การใชส้ ารสนเทศทางการเมืองกบั ระดบั การมีส่วนร่วมทางการเมือง 132 132
1 บทที่ 1 บทนา 1. ความเป็ นมาและความสาคัญ การเมืองเกี่ยวขอ้ งกบั ประชาชนทุกคน เพราะตอ้ งพ่ึงพาอาศยั กนั และดารงชีวิตอยูร่ ่วมกนั ในสังคม จึงตอ้ งมีการจดั สรรผลประโยชน์ของสมาชิกในสังคม หากมองการเมืองในระดบั ภาพใหญ่ของประเทศ การเมืองจะเป็ นเร่ืองซ่ึงเกี่ยวพนั กับทุกชีวิตท่ีอาศยั อยู่ในประเทศ อานาจทางการเมืองถูกใช้ในการเป็ น เครื่องมือในการจดั การให้มนุษย์อยู่กนั อย่างเป็ นระเบียบและเป็ นธรรม การเมืองการปกครองของแต่ละ ประเทศจะมีความแตกต่างกนั ตามภูมิหลงั ทางประวตั ิศาสตร์ สภาพแวดลอ้ มทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม แนวคิด ความเช่ือ และอุดมการณ์ทางการเมือง โดยระบอบการเมืองการปกครองท่ีนิยมใช้ในปัจจุบนั คือ ระบอบประชาธิปไตย การเมืองท่ีจึงผลต่อการดาเนินชีวิตประจาวนั ของเราเป็ นอย่างมากท้งั ทางตรงและ ทางออ้ ม เช่น การเสียภาษี การไดร้ ับสิทธิและเสรีภาพในดา้ นตา่ ง ๆ ภายใตข้ อบเขตของกฎหมาย การต่อรอง และเรียกร้องสิ่งท่ีตอ้ งการจากรัฐไดต้ ามขอบเขตที่กฎหมายกาหนด การสร้างความเสมอภาคในโอกาสแก่ กลุ่มคนทุกกลุ่มในสงั คม การกระจายความเจริญในสังคมอยา่ งเสมอภาคและยตุ ิธรรม การพฒั นาประเทศไป ในวิถีทางที่ถูกต้องและเหมาะสม และการช่วยให้สังคมและประเทศมีความสงบสุข ความสาคญั ของ การเมือง ไม่เพียงแค่การมีส่วนร่วมในการไปลงคะแนนเสียงเลือกต้งั เท่าน้นั แต่สามารถแสดงออกได้ใน หลายทาง เช่น การช่วยหาเสียงหรือบริจาคเงินสนับสนุนพรรคการเมือง การรวมตัวจากกลุ่มคนที่มี อุดมการณ์เดียวกนั เป็นพรรคการเมืองที่เขา้ มาดาเนินกิจกรรมทางการเมือง การมีส่วนร่วมในการแจง้ เบาะแส การคอรัปชน่ั ในแวดวงต่าง ๆ การติดตามการทางานของนกั การเมืองท่ีเราเลือกต้งั ไปเป็ นผูแ้ ทนฯ ในสภา ฯลฯ ดงั น้นั การเมืองจึงเป็ นเรื่องใกล้ตวั ท่ีไม่ควรมองขา้ ม เพราะการเมืองจึงเป็ นเร่ืองท่ีสัมพนั ธ์กบั บุคคล เศรษฐกิจ และสังคมของประเทศ โดยมีรัฐธรรมนูญเป็ นกติกาในการจดั สรรผลประโยชน์ของคนในสังคม ประชาชนจึงเขา้ ไปมีส่วนร่วมในการจดั ทารัฐธรรมนูญเพื่อให้ไดก้ ติกาในการจดั สรรผลประโยชน์ที่เป็ น ธรรมสูงสุดหรือมีส่วนร่วมในการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย (ศูนยศ์ ึกษาวจิ ยั การเมืองไทย, 2550; เกรียงศกั ด์ิ เจริญวงศศ์ กั ด์ิ, 2550 ; ชานาญ จนั ทร์เรือง, 2551; bootcampdemy, 2562ก) ซ่ึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทยไทย พ.ศ. 2560 มาตรา 50 ขอ้ 7 ไดก้ าหนดหนา้ ท่ีของปวงชนชาวไทย ไวว้ ่า “บุคคลมีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกต้ังหรือลงประชามติอย่างอิสระโดยคานึงถึงประโยชน์ส่วนรวมของ ประเทศเป็ นสาคัญ” บทบาทสาคญั ทางการเมืองจาเป็ นต้องต้งั อยู่บนพ้ืนฐานการเข้ามามีส่วนร่วมทางการเมืองของ ประชาชน ซ่ึงจะเกิดข้ึนไดห้ ลายรูปแบบ เช่น การรับรู้ขอ้ มูลข่าวสารทางการเมืองจากช่องทางต่าง ๆ การใช้ สิทธิในการเลือกต้งั การเลือกตวั แทนทางการเมือง รวมท้งั เปิ ดโอกาสให้ประชาชนร่วมแสดงความคิดเห็น และมีส่วนร่วมในการตรวจสอบและถอดถอนผทู้ ่ีทาหนา้ ท่ีแทนประชาชนที่บกพร่องต่อหนา้ ท่ีหรือไม่สุจริต
2 ประชาชนตระหนกั ถึงความสาคญั ในการรับรู้ข่าวสารทางการเมือง (สานกั งานเลขาธิการสภาผแู้ ทนราษฎร, 2557) ซ่ึงไดก้ าหนดในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย มาตรา 59 ไวว้ ่า “รัฐต้องเปิ ดเผยข้อมูลหรื อ ข่าวสารสาธารณะในครอบครองของหน่วยงานของรัฐที่มิใช่ข้อมูลเกี่ยวกับความม่ันคงของรัฐหรื อเป็ น ความลับของทางราชการตามที่กฎหมายบัญญัติ และต้องจัดให้ประชาชนเข้าถึงข้อมลู หรือข่าวสารดังกล่าว ได้โดยสะดวก” ซ่ึงการไดร้ ับขอ้ มูลข่าวสารทางการเมืองจะช่วยใหป้ ระชาชนมีความรู้และสามารถตดั สินใจ ทางการเมืองได้ การตดั สินเขา้ มามีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนข้ึนอยู่กบั การเปิ ดรับข่าวสารทางการเมือง จากช่องทางต่าง ๆ สื่อจึงเขา้ มามีบทบาทสาคญั มากทางการเมืองในการนาเสนอขา่ วสารทางการเมือง เม่ือใด ท่ีรัฐบาลตอ้ งการใหป้ ระชาชนไดร้ ับรู้เกี่ยวกบั การดาเนินงานของรัฐบาล รัฐบาลกจ็ ะอาศยั ส่ือในการถ่ายทอด ข่าวสารขอ้ มูลข่าวสารผ่านช่องทางที่ประชาชนจะเขา้ ถึงขอ้ มูลข่าวสารที่สะดวกและหลายช่องทาง ไดแ้ ก่ การเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง การสนทนากบั บุคคล และสื่อสารทางการเมืองผา่ นส่ือวิทยุ หนงั สือพิมพ์ โทรทศั น์ อินเตอร์เน็ต (สฤษด์ิ วิฑูรย,์ 2561) ในขณะเดียวกนั เม่ือประชาชนตอ้ งการทราบขอ้ มูลข่าวสาร เก่ียวกบั การดาเนินงานของรัฐบาล ประชาชนจะแสดงพฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศโดยอาศยั แหล่ง สารสนเทศต่าง ๆ เพ่ือใชเ้ ป็ นขอ้ มูลในการตดั สินใจในการมีส่วนร่วมทางการเมือง ซ่ึงประชาชนก็ตอ้ งรู้จกั เลือกใช้สารสนเทศหลากแหล่งต่าง ๆ ให้มีความหลากหลายอย่างมีคุณภาพ และตอ้ งมีความรู้เท่าทนั ส่ือ (media literacy) และไม่ตกเป็ นเครื่องมือของการโฆษณาชวนเช่ือจากแหล่งส่ือต่าง ๆ จนกวา่ จะพิจารณาได้ วา่ สารสนเทศท่ีไดร้ ับมีความถูกตอ้ ง ครบถว้ น และสามารถนามาใชใ้ นการตดั สินใจได้ (ดลภพ เหล่าวานิช, 2550) นอกจากน้นั Toda (อา้ งถึงใน ดลภพ เหล่าวานิช, 2550) ไดเ้ สนอวา่ กระบวนการตดั สินใจเร่ิมจากการ วิเคราะห์ปัญหาท่ีเกิดข้ึน (Detecting a decision problem) แล้วจึงรวบรวมสารสนเทศท่ีเก่ียวข้องเพื่อหา แนวทางในการแกป้ ัญหา จากน้นั กาหนดทางเลือกต่าง ๆ ตามดว้ ยการประเมินทางเลือกโดยการวิเคราะห์แล ละสังเคราะห์ว่าเหมาะสมหรือไม่ (conducting analysis-synthesis within an appropriate decision scope for each alternatives) จะเห็นไดว้ า่ การตดั สินใจท่ีดีน้นั จะตอ้ งอาศยั สารสนเทศท่ีมีคุณภาพและเพียงพอเพื่อใช้ เป็นฐานในการคิดและวเิ คราะห์ก่อนการตดั สินใจ ดงั น้นั การแสดงพฤติกรรมสารสนเทศของบุคคลจึงส่งผล ต่อการตดั สินใจทางการเมือง โดยแนวคิดพฤติกรรมสารสนเทศในสาขาสารสนเทศศาสตร์ ได้อธิบาย พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศในชีวติ ประจาวนั (Everyday Life Information Seeking) ของ Savolainen (2005) ไวว้ ่าพฤติกรรมสารสนเทศของบุคคลสามารถแบ่งออกเป็ น 2 ประเด็น ไดแ้ ก่ (1) พฤติกรรมการ แสวงหาสารสนเทศเชิงรับ (Passive Information) เป็ นการแสดงออกของบุคคลในการรับสารสนเทศจากส่ือ ต่าง ๆ เพียงด้านเดียว และ (2) พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศเชิงรุก (Active Information) เป็ นการ แสดงออกของบุคคลในการรับสารสนเทศและเกิดความสนใจต่อสารสนเทศน้ ันหรื อมีสารสนเทศไม่ เพียงพอต่อการตดั สินใจหรือแก้ปัญหา จึงเกิดความตอ้ งการสารสนเทศ (Information Need) บุคคลน้ันจึง แสดงพฤติกรรมสารสนเทศโดยการแสวงหาสารสนเทศ (Information Seeking) จากแหล่งสารสนเทศต่าง ๆ
3 เมื่อไดร้ ับสารสนเทศที่ตรงกบั ความตอ้ งการแลว้ บุคคลน้นั จึงจะมีการใชส้ ารสนเทศ (Information Use) ใน การตดั สินใจในกิจกรรมตา่ ง ๆ นับแต่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็ นระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็ นประมุขเม่ือวนั ที่ 24 มิถุนายน 2475 ได้มีการประกาศใช้ รัฐธรรมนูญฉบับถาวรและฉบับช่ัวคราวมาแล้ว ท้ังสิ้น 20 ฉบับ ซ่ึงฉบับท่ีบังคับใช้ในปัจจุบัน คือ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2560 โดยมีผลบงั คบั ใช้ ต้งั แต่วนั ท่ี 6 เมษายน 2560 เป็ นตน้ มา แมว้ ่าการเมืองไทยจะพฒั นาการเมืองประเทศท่ีแสดงถึงความเป็ นประชาธิปไตยเป็ นเวลากว่า 87 ปี (พ.ศ. 2475 – พ.ศ. 2562) แต่การเปลี่ยนแปลงการปกครองดงั กล่าวน้ันเป็ นเพียงการเปลี่ยนแปลงในเชิง รูปแบบเทา่ น้นั แตส่ ภาพการเมืองในปัจจุบนั ไม่สามารถที่จะพฒั นาการปกครองในระบอบประชาธิปไตยให้ มีประสิทธิภาพได้ อานาจการปกครองยงั ข้ึนอยู่กับกลุ่มคนเพียงบางกลุ่มที่เป็ นผูน้ าในสังคม โดยการ เปลี่ยนแปลงในทางการเมืองแต่ละคร้ังจึงเกิดจากความตอ้ งการของคนเพียงไม่ก่ีกลุ่ม โดยท่ีประชาชนส่วน ใหญ่ของประเทศไม่ไดม้ ีส่วนรับรู้หรือตดั สินใจในการกระทาเหล่าน้นั แมว้ ่าจะมีรัฐบาลพลเรือนหลายชุด ผลดั เปลี่ยนกนั เขา้ มาบริหารประเทศตามครรลองของประชาธิปไตย แต่ก็ไม่ประสบความสาเร็จ ดงั น้นั การ ปกครองในระบอบประชาธิปไตยของประเทศไทยจึงเป็นไปแบบลม้ ลุกคลุกคลานมาโดยตลอด จานวนของ การรัฐประหารยงิ่ มากเท่าไรยงิ่ แสดงความอ่อนแอของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมากเท่าน้นั และ แมว้ า่ เหตุผลของการรัฐประหารน้นั จะอา้ งเรื่องของความสงบเรียบร้อยหรือความสามคั คีของส่วนรวมก็ตาม แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลอนั ชอบธรรมของการทาการรัฐประหาร เพราะโดยธรรมชาติของการปกครองใน ระบอบประชาธิปไตย ความเห็นต่างทางการเมืองเป็ นเร่ืองปกติของการเมืองในระบอบประชาธิปไตย (เอก วทิ ย์ ธีรวโิ รจน์, 2553, bootcampdemy, 2562ข) ผูศ้ ึกษาจึงสนใจศึกษาพฤติกรรมการส่ือสารสารสนเทศทางการเมืองของคนไทย เพ่ือศึกษาว่า ประชาชนมีพฤติกรรมการเปิ ดรับสารสนเทศทางการเมืองอยา่ งไร และมีการใชส้ ารสนเทศทางการเมืองใน การตดั สินใจทางการเมืองอยา่ งไร ซ่ึงจะสะทอ้ นความรู้ความเขา้ ใจในเร่ืองการเมืองของสังคมไทย เพ่ือเป็ น แนวทางในการพฒั นาสารสนเทศท่ีสามารถตอบสนองความตอ้ งการ เพ่ือให้ประชาชนมีพฤติกรรมทาง การเมืองที่อยูบ่ นความรู้ความเขา้ ใจทางการเมืองภายใตก้ ฎหมายรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2560 ได้ 2. คาถามวจิ ัย 2.1. พฤติกรรมการส่ือสารสารสนเทศทางการเมืองของคนไทยเป็นอยา่ งไร 2.2. การตดั สินใจในการมีส่วนร่วมทางการเมืองของคนไทยเป็นอยา่ งไร
4 3. วตั ถุประสงค์การวจิ ัย 3.1. เพื่อศึกษาพฤติกรรมการสื่อสารสารสนเทศทางการเมืองของคนไทย 3.2. เพ่ือศึกษาการตดั สินใจในการมีส่วนร่วมทางการเมืองของคนไทย 4. นิยามศัพท์เฉพาะ 4.1. พฤติกรรมการส่ือสารสารสนเทศ หมายถึง มนุษยท์ ุกคนตอ้ งส่ือสารผา่ นช่องทางการสื่อสาร และรับข่าวสารทุกวนั โดยกิจกรรมการส่ือสารสารสนเทศของมนุษย์ ไดแ้ ก่ 4.1.1. การเปิ ดรับสารสนเทศในชีวิตประจาวนั หมายถึง การใชช้ ีวติ ประจาวนั ในการเปิ ดรับ รับข่าวสารจากช่องทางตา่ ง ๆ ในลกั ษณะพฤติกรรมสารสนเทศเชิงรับ (Passive Information Behavior) 4.1.2. การแสดงพฤติกรรมสารสนเทศ หมายถึง บุคคลที่แสดงพฤติกรรมสารสนเทศเชิงรุก (Active Information Behavior) โดยกาหนดความตอ้ งการสารสนเทศ และแสดงพฤติกรรมในการแสวงหา สารสนเทศจากแหล่งสารสนเทศต่าง ๆ 4.2. การตัดสินใจในการมีส่วนร่วมทางการเมือง หมายถึง ประชาชนไดร้ ับสารสนเทศทางการเมือง ท่ีตอ้ งการแลว้ จะแสดงพฤติกรรมสารสนเทศออกมาในการใชส้ ารสนเทศในการตดั สินใจทางการเมือง ซ่ึง แบ่งระดบั การมีส่วนร่วมทางการเมืองไดด้ งั น้ี (สมบตั ิ ธารงธญั วงศ์ 2545: 383–385) 4.2.1. การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดบั ต่า หมายถึง ประชาชนแสดงพฤติกรรมการมี ส่วนร่วมทางการเมืองโดยการแสดงความสนใจตอ่ กิจกรรมทางการเมือง และการใชส้ ิทธิเลือกต้งั 4.2.2. การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดบั ปานกลาง หมายถึง ประชาชนแสดงพฤติกรรม การมีส่วนร่วมทางการเมืองโดยการริเร่ิมประเด็นพูดคุยทางการเมือง การชักจูงผูอ้ ื่นให้เลือกต้งั ผูท้ ี่ตน สนบั สนุน การแสดงสญั ลกั ษณ์ในการสนบั สนุนพรรคการเมือง การบริจาคเงินสนบั สนุนและระดมทุน และ การร่วมรณรงคท์ างการเมือง 4.2.3. การมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดบั มาก หมายถึง ประชาชนแสดงพฤติกรรมการมี ส่วนร่วมทางการเมืองโดยการร่วมกิจกรรมของพรรคการเมืองและประชุมหรือชุมนุมทางการเมือง และการ เสนอตวั เป็นตวั แทนทางการเมือง 5. ประโยชน์ทค่ี าดว่าจะได้รับ 5.1. เพอ่ื ทราบพฤติกรรมการส่ือสารสารสนเทศทางการเมืองของคนไทย 5.2. เพอ่ื ทราบวา่ ประชาชนมีความรู้ความเขา้ ใจทางการเมืองเพยี งใด 5.3. หน่วยงานภาครัฐสามารถเอาผลลพั ธ์ที่ไดจ้ าการวจิ ยั ไปดาเนินการเพ่ือกระตุน้ ให้ประชาชนเขา้ มามีส่วนร่วมทางการเมืองมากข้ึน
5 บทที่ 2 วรรณกรรมและงานวจิ ัยทเี่ กีย่ วข้อง การศึกษาวจิ ยั เรื่องพฤติกรรมการสื่อสารสารสนเทศทางการเมืองของคนไทย ผวู้ จิ ยั ไดศ้ ึกษาเอกสาร และงานวจิ ยั ที่เกี่ยวขอ้ งดงั ตอ่ ไปน้ี 1. แนวคิดเก่ียวกบั การเมือง 1.1. ความหมายของการเมือง 1.2. ความสาคญั ของการเมือง 1.2.1. การเปลี่ยนแปลงการเมืองไทย (พ.ศ. 2475 - 2560) 1.2.2. ปรากฏการณ์ความขดั แยง้ ทางการเมืองไทย (พ.ศ. 2548 - 2557) 1.3. การรับขา่ วสารทางการเมือง 1.3.1. สื่อสารทางการเมือง 1.3.1.1. ความหมายของการส่ือสารทางการเมือง 1.3.1.2. บทบาทของการสื่อสารทางการเมือง 1.3.1.3. องคป์ ระกอบของการสื่อสาร 1.3.1.4. แบบจาลองการสื่อสารทางการเมือง 1.3.1.5. การส่ือสารทางการเมืองขององคก์ รทางการเมือง 1.4. การมีส่วนร่วมทางการเมือง 1.4.1. ความหมายของการมีส่วนร่วมทางการเมือง 1.4.2. ความสาคญั ของการมีส่วนร่วมทางการเมือง 1.4.3. รูปแบบของการมีส่วนร่วมทางการเมือง 1.4.4. ระดบั ของการมีส่วนร่วมทางการเมือง 1.5. การตดั สินใจทางการเมือง 1.5.1. กระบวนการตดั สินใจทางการเมือง 1.5.2. รูปแบบการตดั สินใจทางการเมือง 2. แนวคิดเกี่ยวพฤติกรรมสารสนเทศ 2.1. ความหมายของพฤติกรรมสารสนเทศ 2.2. ความสาคญั ของพฤติกรรมสารสนเทศ 2.3. ความตอ้ งการสารสนเทศ 2.3.1. ความหมายของความตอ้ งการสารสนเทศ 2.3.2. ปัจจยั ที่ส่งผลต่อความตอ้ งการสารสนเทศ 2.4. การแสวงหาสารสนเทศ
6 2.4.1. ความหมายของการแสวงหาสารสนเทศ 2.4.2. ปัจจยั ที่ส่งผลตอ่ การแสวงหาสารสนเทศ 2.4.3. แหล่งสารสนเทศ 2.4.4. พฤติกรรมการแสวงหาสารสนเทศ 2.5. การใชส้ ารสนเทศ 2.5.1. ความหมายของการใชส้ ารสนเทศ 2.5.2. ปัจจยั ท่ีส่งผลตอ่ การแสวงหาสารสนเทศ 3. งานวจิ ยั ท่ีเกี่ยวขอ้ ง 1. แนวคิดเกย่ี วกบั การเมือง 1.1. ความหมายของการเมือง จานง อดิวฒั นสิทธ์ิ และคณะ (2545) ให้ความหมายวา่ การเมือง หมายถึง กิจกรรมทางสังคมหรือ ความสัมพนั ธ์ทางสังคมที่เกี่ยวขอ้ งกบั อานาจ สังคมมีแบบแผนต่าง ๆ ที่เก่ียวกบั กิจกรรมหรือความสัมพนั ธ์ ทางอานาจ เช่น แบบแผนท่ีกาหนดวา่ ใครเป็ นผูม้ ีอานาจ การที่จะไดอ้ านาจ มีกฎเกณฑ์วิธีการอยา่ งไร มีการ แบ่งสรรอานาจกนั อยา่ งไร มีวิธีการและขอบเขตในการใชอ้ านาจอยา่ งไร ตลอดจนแบบแผนในการสืบทอด หรือเปลี่ยนแปลงอานาจ แบบแผนเหล่าน้ีเรียกวา่ สถาบนั การเมือง นกั สงั คมวทิ ยาถือวา่ เป็นสถาบนั การเมือง เป็นส่วนหน่ึงของการจดั ระเบียบสังคมในฐานะเป็นวธิ ีการควบคุมทางสงั คมอยา่ งเป็ นทางการ ชลธิศ ธีระฐิติ (2551) ให้ความหมายวา่ การเมือง หมายถึง การจดั สรรสิ่งท่ีมีคุณค่าหรือทรัพยากร โดยมีอานาจท่ีเป็ นที่ยอมรับกนั มา ทาใหเ้ กิดการปฏิบตั ิตาม หรือการเมืองเป็ นเร่ืองของการที่คนกลุ่มหน่ึงใช้ อิทธิพลตอ่ คนอีกกลุ่มหน่ึง เพื่อใหไ้ ดม้ าซ่ึงสิ่งท่ีมีคุณค่าทางสงั คม ส่ิงท่ีมีคุณคา่ ทางสงั คมในท่ีน้ีมีหลายอยา่ ง เช่น อานาจ ความศรัทธานบั ถือ ความยุติธรรม ความนิยมชมชอบ ความอยูด่ ีกินดี ความมง่ั คง่ั ความรอบรู้ ทกั ษะ เป็ นตน้ ในความหมายน้ี การเมืองจะถูกตีกรอบเอาไวเ้ ป็ นความสัมพนั ธ์ของมนุษยใ์ นแบบการเมือง ซ่ึงสามารถแยกออกจากความสัมพนั ธ์ของมนุษยใ์ นระบบย่อยอื่น ๆ ของสังคมได้ เช่น ระบบวฒั นธรรม ระบบเศรษฐกิจ ระบบการศึกษา พฤทธิสาณ ชุมพล (2535) ให้ความหมายวา่ การเมือง เป็ นเร่ืองเก่ียวกบั การตดั สินตกลงใจเพื่อที่จะ จดั สรรทรัพยากรและเพื่อควบคุมการดารงชีวิตร่วมกนั ในสังคม ดว้ ยการกาหนด และปฏิบตั ิตามขอ้ บญั ญตั ิ รวมท้งั การยอมรับการใชอ้ านาจในสังคม โดยที่มกั จะมีทางบงั คบั (saction) ในรูปแบบของการลงโทษหรือ การใหร้ างวลั อยูด่ ว้ ยเสมอ แตอ่ าจจะมีมาตรการอยา่ งอ่ืน เช่น ในสังคมที่พฒั นาแลว้ อาจจะใชว้ ธิ ีการชกั ชวน และการต่อรองประนีประนอม ส่วนในสังคมกาลงั พฒั นาที่ความเห็นรวมกนั ในสังคมน้อย มกั จะมีการใช้ วธิ ีการคุกคาม การติดสินบน การตอ่ สู้ สมบตั ิ ธารงธญั วงศ์ (2540) ให้ความหมายวา่ การเมือง เป็ นเร่ืองเกี่ยวกบั อานาจรัฐท้งั หมด อานาจ ที่ว่าน้ีไม่ใช่อานาจธรรมดาแต่เป็ นอานาจสูงสุดของแผ่นดิน ซ่ึงเป็ นอานาจที่ให้ไดท้ ้งั คุณและโทษ จาก
7 ประวตั ิศาสตร์ส่วนใหญ่ช้ีให้เห็นวา่ ผูท้ ่ีใชอ้ านาจเพ่ือประโยชน์สุขของตนเองและพรรคพวกจะไม่สามารถ ดารงอยไู่ ดอ้ ยา่ งยง่ั ยนื ฐิติราช หนองหารพิทกั ษ์ (2535) ให้ความหมายวา่ การเมืองมีความหมาย 2 อยา่ ง คือ หมายถึง การ ต่อสู้กนั และหรือร่วมมือกนั ให้ไดม้ าซ่ึงอานาจในการปกครองรัฐประการหน่ึง และหมายถึง วิธีการหรือ ระบบในการจดั การให้มหาชนหรือสังคมอยู่กนั อยา่ งปกติสุขโดยการใช้อานาจกระจายผลประโยชน์สุข ใหแ้ ก่ประชาชนกลุ่มต่าง ๆ Pennock & Smith (1964) ให้ความหมายว่า การเมือง หมายถึง ทุกสิ่งทุกอย่างท่ีเก่ียวกบั อานาจ สถาบนั และองคก์ รในสังคม ซ่ึงไดร้ ับการยอมรับว่ามีอานาจเด็ดขาดครอบคลุมสังคมน้นั ในการสถาปนา และทานุรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของสงั คม มีอานาจในการทาใหจ้ ุดประสงคร์ ่วมกนั ของสมาชิกใน สงั คมไดบ้ งั เกิดผลข้ึนมา และมีอานาจในการประนีประนอมความคิดเห็นท่ีแตกตา่ งกนั ของคนในสงั คม จากการสังเคราะห์ความหมายของการเมือง สรุปไดว้ า่ การเมืองมี 2 ความหมาย ดงั น้ี 1. การเมือง หมายถึง การตอ่ สู้เพ่อื ใหไ้ ดม้ าซ่ึงอานาจในการปกครองของรัฐ และเป็นอานาจ สูงสุดของแผน่ ดิน โดยอานาจอาจเป็นไดท้ ้งั คุณและโทษ 2. การเมือง เป็ นเร่ืองเกี่ยวกบั การใชอ้ านาจในการจดั ระเบียบสังคมหรือกิจกรรมทางสงั คม ดว้ ยการกาหนดขอ้ บญั ญตั ิ หรือจดั สรรทรัพยากร โดยมีทางบงั คบั (saction) ท่ีอยูใ่ นรูปแบบของการลงโทษ หรือการใหร้ างวลั เพอ่ื ใหเ้ กิดการปฏิบตั ิตามระเบียบขอ้ บญั ญตั ิ และควบคุมการใชช้ ีวติ ร่วมกนั ในสังคมอยา่ ง ปกติสุข 1.2. ความสาคญั ของการเมือง การเมืองเป็ นเร่ืองของการใช้อานาจท่ีเกิดข้ึนในกระบวนการทางสังคมท่ีแสดงออกมาในรูปแบบ ของกิจกรรมท่ีมีท้งั การการร่วมมือและการแข่งขนั และการใชอ้ านาจเพื่อใหไ้ ดม้ าซ่ึงผลประโยชน์และการ แจกจ่ายผลประโยชนใ์ นระดบั ปัจเจกบุคคล ระดบั กลุ่มบุคคล และระดบั สงั คม ซ่ึงโดยหลกั การแลว้ การเมือง เป็ นเรื่องของศาสตร์และศิลป์ ในการปกครองท่ีเก่ียวขอ้ งกบั รัฐ การใชอ้ านาจของรัฐในการจดั สรรทรัพยากร ท่ีมีอยู่อย่างจากดั และนโยบายสาธารณะ เพื่อให้คนในสังคมอยู่ดว้ ยกนั อย่างเป็ นระเบียบ การเมืองจึงมี ความสาคญั ท้งั ในบุคคล สังคม เศรษฐกิจ และประเทศชาติ เป็ นค่านิยมอนั พึงประสงค์ตามบทบงั คบั แห่ง กฎหมาย จารีต ประเพณีของสงั คม (วงธรรม สรณะ, 2560) 1.2.1. การเปลยี่ นแปลงการเมืองไทย (พ.ศ. 2475 - 2560) ประเทศไทยได้เปล่ียนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชเป็ นการ ปกครองภายใตก้ ารปกครองระบอบประชาธิปไตยในปี พ.ศ. 2475 ภายใตร้ ัฐธรรมนูญ ทาให้รัฐธรรมนูญ ฉบบั แรกถูกร่างข้ึน แต่การเมืองไทยยงั มีการต่อสู้ระหว่างกลุ่มการเมืองระหว่างกลุ่มประชาชน ขา้ ราชการ และนายพล ทาให้เกิดรัฐประหารหลายคร้ัง ซ่ึงมกั เปลี่ยนแปลงให้ประเทศไทยอยูภ่ ายใตอ้ านาจของคณะ รัฐประหารมาจนถึงปัจจุบนั ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญรวมแล้ว 20 ฉบับ สะท้อนให้เห็นถึงความไร้ เสถียรภาพทางการเมืองอยา่ งสูง
8 ก่อนหน้าการปฏิวตั ิการปกครอง ประเทศไทยยงั ไม่มีรัฐธรรมนูญใช้ในการปกครอง ประเทศ พระมหากษตั ริยท์ รงเป็ นองค์รัฏฐาธิปัตยแ์ ละประมุขฝ่ ายบริหาร ต่อมาในปี พ.ศ. 2475 จึงมีการ ประกาศใชร้ ัฐธรรมนูญฉบบั ลายลกั ษณ์อกั ษร โดยเป็นแนวปฏิบตั ิที่สาคญั ที่สุดในการปกครองประเทศ และ ในปี พ.ศ. 2477 ก็เกิดความขดั แยง้ ทางการเมืองข้ึนระหว่างกลุ่มมีอิทธิพล จึงไดเ้ กิดรัฐประหารข้ึน และ รัฐธรรมนูญฉบบั แรกของประเทศจึงถูกยกเลิก และประกาศใชร้ ัฐธรรมนูญฉบบั ใหม่ ก ฎ บ ัต ร แ ล ะ รั ฐ ธ ร ร ม นู ญ ท้ ัง ห ม ด ข อ ง ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย รั บ ร อ ง ว่ า ป ร ะ เ ท ศ ป ก ค ร อ ง แ บ บ ประชาธิปไตยภายใตร้ ัฐธรรมนูญ รัฐบาลไทยส่วนใหญ่ปกครองแบบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา แต่ รัฐธรรมนูญบางฉบบั ถูกเรียกว่าเป็ นเผด็จการ เช่น รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2500 ประเทศไทยไดใ้ ชท้ ้งั ระบบสภาเดี่ยวและสภาคู่ สมาชิกรัฐสภามีท้งั แบบเลือกต้งั และแต่งต้งั พระราชอานาจ ของพระมหากษตั ริยต์ ามรัฐธรรมนูญกไ็ ดม้ ีการเปล่ียนแปลงหลายคร้ังเช่นกนั รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2540 หรือท่ีเรียกกนั วา่ \"รัฐธรรมนูญฉบบั ประชาชน\" ไดม้ ีการประกาศใชห้ ลงั จากเหตุการณ์พฤษภาทมิฬท่ีเกิดข้ึนในปี พ.ศ. 2535 โดยมีการอา้ งว่า รัฐธรรมนูญฉบบั ดงั กล่าว เป็นตน้ เหตุของความวนุ่ วายทางการเมือง ซึงรัฐธรรมนูญฉบบั น้ีจะเนน้ ในดา้ นการ มีส่วนร่วมของประชาชนในการร่างรัฐธรรมนูญ (กิตติพงศ์ กิตยลกั ษณ์, ม.ป.ป.) และยงั บญั ญตั ิให้สมาชิก สภาไดม้ าจากการเลือกต้งั ท้งั หมด มีการรับรองสิทธิมนุษยชน และมีมาตรการต่าง ๆ เพอื่ เพม่ิ เสถียรภาพของ รัฐบาลท่ีมาจากการเลือกต้งั อยา่ งไรก็ตาม หลงั จากรัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2549 รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 จึงถูก ยกเลิก คณะรัฐประหารได้ประกาศกฎอยั การศึกและรัฐธรรมนูญฉบบั ช่วั คราวข้ึนปกครองประเทศ ซ่ึงมี เน้ือหาให้คณะรัฐประหารมีอานาจแต่งต้งั นายกรัฐมนตรี ฝ่ ายนิติบญั ญตั ิ และสภาร่างรัฐธรรมนูญ คณะ รัฐประหารถูกบงั คบั ให้จดั การเลือกต้งั ท้องถิ่นและเทศบาลเป็ นปกติในปี พ.ศ. 2550 รัฐธรรมนูญแห่ง ราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2550 มีการประกาศใชห้ ลงั การลงประชามติ โดยเน้ือหามีจุดเด่นดา้ นการเพิ่มสิทธิ เสรีภาพ การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน และการตรวจสอบการใชอ้ านาจรัฐผา่ นองคก์ รอิสระตาม รัฐธรรมนูญ แตไ่ ดถ้ ูกวพิ ากษว์ จิ ารณ์วา่ มาจากคณะรัฐประหารปี พ.ศ. 2549 ภายหลงั ความขดั แยง้ ทางการเมืองช่วงปี พ.ศ. 2556-2557 เกิดรัฐประหารในประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2557 พร้อมกบั การยกเลิกรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ภายใตก้ ารควบคุมอานาจของคณะรักษาความ สงบแห่งชาติ คณะรัฐประหารประกาศกฎอยั การศึกและรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย (ฉบบั ชวั่ คราว) พ.ศ. 2557 ปัจจุบนั รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั รไทย พ.ศ. 2560 เป็ นรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจกั ร ไทย ฉบบั ที่ 20 จดั ร่างโดยคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ในระหว่างปี พ.ศ. 2557–2560 ภายหลังการ รัฐประหารในประเทศโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติในปี พ.ศ. 2557 โดยรัฐธรรมนูญฉบบั น้ี สมเดจ็ พระ เจา้ อยู่หวั มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงลงพระปรมาภิไธยเมื่อวนั ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2560 ณ
9 พระที่นง่ั อนนั ตสมาคม พระราชวงั ดุสิต กรุงเทพมหานคร และมีพลเอก ประยทุ ธ์ จนั ทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นผรู้ ับสนองพระราชโองการ การเลือกต้งั สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎรไทยเป็ นการทวั่ ไป เพ่ือเลือกต้งั สมาชิกสภาผูแ้ ทน ราษฎรจานวน 500 คน นบั เป็นการเลือกต้งั ทว่ั ไปคร้ังแรกหลงั รัฐประหารในประเทศไทย พ.ศ. 2557 โดยพล เอก ประยทุ ธ์ จนั ทร์โอชา หวั หนา้ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนายกรัฐมนตรี ใหค้ ามนั่ วา่ จะ จดั ให้มีการเลือกต้งั ทวั่ ไปมาโดยตลอด เม่ือปลายปี พ.ศ. 2561 มีการเผยแพร่พระราชกฤษฎีกาให้มีการ เลือกต้งั สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎรเป็ นการทว่ั ไป พ.ศ. 2562 คณะกรรมการการเลือกต้งั จึงกาหนดวนั เลือกต้งั ในวนั ที่ 24 มีนาคม 2562 1.2.2. ปรากฏการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองไทย (พ.ศ. 2548 - 2553) วิกฤตการณ์การเมืองไทย พ.ศ. 2548-2553 เป็ นความขัดแยง้ ระหว่างกลุ่มการเมืองซ่ึง ต่อตา้ นและสนับสนุนทกั ษิณ ชินวตั ร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยวิกฤตการณ์ดงั กล่าวทาให้เกิดขอ้ สงสัย เกี่ยวกบั เสรีภาพสื่อเสถียรภาพทางการเมือง และยงั สะทอ้ นความไม่เสมอภาคและความแตกแยกระหว่าง ชาวเมืองและชาวชนบท การละเมิดพระราชอานาจ การหม่ินพระบรมเดชานุภาพ และผลประโยชน์ทบั ซ้อน ซ่ึงวกิ ฤตการณ์ดงั กล่าวไดบ้ นั่ ทอนเสถียรภาพทางการเมืองต้งั แตป่ ี 2548 ในปี พ.ศ. 2548 เริ่มมีการประทว้ งขบั ทกั ษิณ ชินวตั รออกจากตาแหน่ง เน่ืองจากขอ้ กล่าวหา การบริหารประเทศของรัฐบาลท่ีอาจมีผลประโยชน์ทบั ซ้อนในเรื่องต่าง ๆ รวมท้งั ปัญหาฉ้อราษฎร์บงั หลวง และขยายตวั เป็ นวงกวา้ งมากข้ึนโดยกลุ่มพนั ธมิตรประชาชนเพ่ือประชาธิปไตย หลงั จากน้นั ก็มีกลุ่มคนที่ สนบั สนุนนายกรัฐมนตรีออกมาเคล่ือนไหวเช่นเดียวกนั ทาใหเ้ กิดความคิดเห็นที่แตกตา่ งทางการเมือง ตอ่ มา เกิดรัฐประหาร จึงส่งผลให้ฝ่ ายทหารในนามคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมี พระมหากษตั ริยท์ รงเป็นประมุข ในปี พ.ศ. 2549-2550 คณะรัฐประหารไดแ้ ต่งต้งั รัฐบาลช่ัวคราว ในช่วงดงั กล่าวมีกลุ่ม ออกมาเคล่ือนไหวต่อตา้ นรัฐประหารหลายกลุ่ม กลุ่มท่ีมีชื่อเสียงที่สุด คือ แนวร่วมประชาธิปไตยต่อตา้ น เผด็จการแห่งชาติ โดยกล่าวหาวา่ พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ อยูเ่ บ้ืองหลงั รัฐประหารในคร้ังน้ี และตอ้ งการ ขบั ไล่คณะมนตรีความมน่ั คงแห่งชาติและรัฐบาล ในปี พ.ศ. 2550 พรรคพลงั ประชาชน ถูกมองวา่ เกี่ยวขอ้ งกบั กบั ทกั ษิณ ชินวตั ร ภายหลงั จากการชนะการเลือกต้งั ทวั่ ไป และจดั ต้งั รัฐบาลผสม ทาให้กลุ่มพนั ธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กลบั มาชุมนุมอีกคร้ัง ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2551 และได้ยึดท่าอากาศยานดอนเมืองและสุวรรณภูมิเพ่ือ กดดนั ใหน้ ายกรัฐมนตรีลาออกจากตาแหน่งก่อนยตุ ิการชุมนุม ผลการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีเม่ือเดือนธนั วาคม พ.ศ. 2551 ปรากฏวา่ พรรคประชาธิปัตย์ และผนู้ าฝ่ ายคา้ นในสภาผแู้ ทนราษฎรไดร้ ับเลือก ทาใหก้ ลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยตอ่ ตา้ นเผดจ็ การแห่งชาติ กลบั มาชุมนุมอีกคร้ังในปี พ.ศ. 2552-2553 และกดดนั ให้หัวหน้าพรรคประชาธิปไตยออกจากตาแหน่ง นายกรัฐมนตรีแต่ไม่ประสบผลสาเร็จ ต่อมาในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2553 จึงมีการสลายการชุมนุมท่ีแยก
10 ราชประสงค์ หลงั จากน้นั ยงั ไมม่ ีการชุมนุมจากกลุ่มการเมืองตา่ ง ๆ จนในปี พ.ศ. 2556 จึงไดเ้ กิดวกิ ฤตการณ์ การเมืองรอบใหม่ข้ึน ทาใหเ้ กิดรัฐประหารอีกคร้ังในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2557 เป็นวกิ ฤตการณ์การเมืองที่ เกิดข้ึนจากการประทว้ งต่อตา้ นรัฐบาล ทาใหน้ ายกรัฐมนตรียง่ิ ลกั ษณ์ ชินวตั ร พน้ จากตาแหน่ง และสถาปนา คณะทหารผูย้ ึดอานาจการปกครองโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยพลเอก ประยุทธ์ จนั ทร์ โอชา เป็นหวั หนา้ คณะ 1.3. การรับข่าวสารทางการเมือง การรับข่าวสารทางการเมือง (Political Information) จาเป็นอยา่ งยง่ิ ที่จะตอ้ งทาความเขา้ ใจกบั ทฤษฎี การส่ือสาร (Communication Theory) เน่ืองจากการที่บุคคลจะไดร้ ับข่าวสารหรือตอ้ งการส่งข่าวสารไปยงั ผูอ้ ่ืน ตอ้ งเกี่ยวขอ้ งโดยตรงกบั กระบวนการการส่ือสารมนุษยใ์ ช้การส่ือสารเพื่อแสดงออกซ่ึงพฤติกรรม ความรู้สึกนึกคิด การแสดงความคิดเห็น และแลกเปล่ียนประสบการณ์ซ่ึงกนั และกนั 1.3.1. การสื่อสารทางการเมือง 1.3.1.1. ความหมายของการสื่อสารทางการเมือง กาญจนา มีศิลปวิกกยั (2549) ให้ความหมายว่า การส่ือสาร หมายถึง พฤติกรรม ของมนุษยท์ ้งั ที่ใชภ้ าษาพูดและภาษาเขียน หรือพฤติกรรมทุกอยา่ งที่สามารถสื่อความหมายได้ ถึงแมว้ ่าผู้ แสดงพฤติกรรมน้ันจะไม่มีเจตนาส่ือสารก็ตาม การสื่อสารของมนุษย์มกั จะแตกต่างกันออกไปตาม แนวความคิดของแตล่ ะบุคคล ปรมะ สตะเวทิน (2536) ใหค้ วามหมายวา่ การส่ือสาร หมายถึง กิจกรรมท่ีเกิดข้ึน อย่างต่อเน่ืองกนั ระหว่างผูร้ ับสารกบั ผูส้ ่งสาร โดยท่ีองค์ประกอบของการสื่อสารแต่ละองค์ประกอบมี ความสัมพนั ธ์และเกี่ยวขอ้ งกนั Berlo (1960) ใหค้ วามหมายวา่ การส่ือสาร หมายถึง การส่งผา่ นข่าวสารจากบุคคล หน่ึงหรือกลุ่มบุคคลหน่ึงไปยงั อีกคนหน่ึงหรืออีกกลุ่มหน่ึง โดยใช้สัญลกั ษณ์ การสื่อสารมีลกั ษณะเป็ น กระบวนการอยา่ งหน่ึง เป็ นกิจกรรมที่มีการเคล่ือนไหวตลอดเวลา (dynamic) ไม่อยู่นิ่งและไม่มีจุดเริ่มตน้ หรือจุดจบท่ีเห็นเด่นชดั Hoveland, Janis & Kelly (1953) ให้ความหมายว่า การสื่ อสาร หมายถึ ง กระบวนการที่ผสู้ ่งสาร (sender) ส่งส่ิงเร้า (message) เพอื่ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผรู้ ับสาร (receiver) Wilmost (1987) ให้ความหมายว่า การสื่อสาร หมายถึง กิจกรรมท่ีเกิดข้ึนอย่าง ต่อเน่ืองกันระหว่างผู้ส่งสารและผูร้ ับสาร โดยท่ีองค์ประกอบของการส่ือสารแต่ละองค์ประกอบมี ความสมั พนั ธ์กนั และเกี่ยวขอ้ งกนั จากการสังเคราะห์ความหมายของการสื่อสาร พบว่าส่วนใหญ่ให้นิยามในเชิง กระบวนการ สรุปไดว้ า่ การสื่อสาร หมายถึง กระบวนการส่งสาร (message) จากผูส้ ่งสาร (sender) ไปยงั ผรู้ ับสาร (receiver) โดยใชภ้ าษาพูด ภาษาเขียน สัญลกั ษณ์ หรือพฤติกรรมต่าง ๆ ในการแลกเปลี่ยนข่าวสาร ระหวา่ งกนั หรือเปล่ียนแปลงพฤติกรรมของผูร้ ับสารผ่านช่องทางต่าง ๆ (channel) เป็ นกิจกรรมที่เกิดข้ึน
11 อย่างต่อเนื่องและมีความเคล่ือนไหวอยู่ตลอดเวลา (dynamic) โดยองค์ประกอบของการสื่อสารแต่ละ องคป์ ระกอบจะมีความสัมพนั ธ์กนั ถ้าหากมองในด้านการเมือง การส่ื อสารทางการเมืองก็จะมีกระบวนการ เช่นเดียวกนั กบั กระบวนการส่ือสาร โดยหนา้ ท่ีหลกั ของการส่ือสารทางการเมืองคือการถ่ายทอดความรู้และ ข่าวสารที่เก่ียวขอ้ งกบั การเมือง เม่ือประชาชนมีความรู้ความเขา้ ใจในเน้ือหาสาระต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนในระบบ การเมือง จะทาให้ประชาชนสามารถตดั สินใจในการเขา้ มามีส่วนร่วมทางการเมือง มีผูใ้ ห้ความหมายของ การสื่อสารทางการเมืองไวด้ งั น้ี ยุทธพร อิสรชยั (2555) ให้ความหมายว่า การส่ือสารทางการเมือง หมายถึง แบบ แผนหรือกระบวนการแพร่ของข่าวสาร ทางการเมืองระหว่างสมาชิกกบั หน่วยต่างๆ ในระบบการเมือง โดยเฉพาะเก่ียวกบั ข่าวสาร ทางการเมือง (Political information) โดยใชร้ ะบบสารสนเทศ เพ่ือให้สมาชิกใน ระบบการเมืองเกิดการเรียนรู้และมีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวใดๆ ก็ตามเก่ียวกบั ความรู้ ทศั นคติ และ พฤติกรรม ศรีดา สอนศรี (2555) ให้ความหมายวา่ การสื่อสารทางการเมือง เป็ นการสื่อสาร ของบุคคลกลุ่มต่างๆ ท้งั กลุ่มนักการเมือง ผูแ้ สดงบทบาททางการเมือง และบุคคลอื่นๆ ที่เกี่ยวขอ้ ง ซ่ึงมี วตั ถุประสงคเ์ พ่ือนาเสนอเรื่องราวทางการเมือง หรือการสนบั สนุนกระบวนการทางการเมืองโดยพฒั นา เน้ือหาสาระของข้อมูลข่าวสาร หรือประเด็นต่างๆ และนาเสนอผ่านช่องทางการสื่อสารต่างๆ ไปสู่ กลุ่มเป้าหมาย ที่พึงประสงค์ สินีนุช วบิ ูลรัตน์ (2548) ให้ความหมายวา่ การสื่อสารทางการเมือง หมายถึง การ รับรู้ข่าวสารทางการเมืองของประชาชน โดยการส่งผา่ นข่าวสารจากบุคคลหน่ึงหรือหลุ่มบุคคลหน่ึงไปยงั อีกคนหน่ึง หรือกลุ่มหน่ึงเพื่อถ่ายทอด ประสบการณ์ ความคิดเห็นและขอ้ เทจ็ จริงตา่ ง ๆ ในสังคม Ruch & Althoff (1971) ให้ความหมายว่า การสื่อสารทางการเมือง หมายถึง การ ถ่ายทอดข่าวสารทางการเมืองจากส่วนหน่ึงของระบบการเมืองไปยงั อีกส่วนหน่ึงของระบบการเมือง และ เป็นการถ่ายทอดระหวา่ งระบบสงั คมกบั ระบบการเมือง Chaffee (1975) ใหค้ วามหมายวา่ การสื่อสารทางการเมือง เป็ นระบบของการแพร่ ข่าวสารทางการเมือง ซ่ึงเป็ นความรู้ของสมาชิกในระบบการเมืองเก่ียวกบั การเปลี่ยนแปลงเคล่ือนไหวใดๆ ในการแบ่งสรรส่ิงที่มีคุณค่าในสังคม Allmond & Powell (1978) ให้ความหมายวา่ การส่ือสารทางการเมือง เป็ นหนา้ ที่ ข้นั พ้ืนฐานของระบบการเมืองน้นั จะมีผลสาคญั ต่อการรักษาสถานภาพเดิมหรือการเปล่ียนแปลงในส่วนที่ เก่ียวกบั วฒั นธรรมทางการเมืองและโครงสร้างทางการเมือง กล่าวคือ การส่ือสารทางการเมืองมีนยั สาคญั ต่อ การเปลี่ยนแปลงในบริบทท่ีหลากหลายต่างๆ ที่เกิดข้ึนในระบบการเมือง จากการสังเคราะห์ความหมายของการส่ือสารทางการเมือง สรุปไดว้ า่ การส่ือสาร ทางการเมือง หมายถึง การสื่อสารขอ้ มูลข่าวสารทางการเมืองระหวา่ งกลุ่มทางการเมืองกบั ประชาชนผา่ น
12 ช่องทางการสื่อสารต่าง ๆ โดยมีวตั ถุประสงคเ์ พื่อใหป้ ระชาชนไดท้ ราบข่าวสารทางการเมือง การยอมรับ ข่าวสารทางการเมือง การให้ความร่วมมือ และมีพฤติกรรมเป็ นไปในทิศทางท่ีกลุ่มทางการเมืองตอ้ งการ รวมถึงการมีทศั นคติท่ีดีต่อกลุ่มทางการเมืองดว้ ย 1.3.1.2. บทบาทของการสื่อสารทางการเมือง เสรี วงษม์ ณฑา (2537) ไดก้ ล่าวถึงบทบาทของการส่ือสารทางการเมืองไวด้ งั น้ี 1. การสร้างทศั นคติทางการเมือง ไดแ้ ก่ การพดู คุย การประชุม การชุมนุม การแจกใบปลิว การติดป้ายประกาศ การแจกแผน่ พบั ข่าวและบทความทางสื่อวทิ ยุ โทรทศั น์ หนงั สือพิมพ์ และนิตยสาร สามารถช่วยสร้างหรือปลูกฝังสานึกทางการเมือง ค่านิยมทางการเมือง และทศั นคติทางการ เมืองให้กบั ประชาชนได้ การให้ข่าวสารเก่ียวกบั การทางานของรัฐบาล เหตุผลของการออกกฎหมาย การ ออกนโยบาย การกาหนดโครงการและดาเนินกิจกรรมทางการเมืองต่าง ๆ จะทาประชาชนคิดวา่ ควรจะเขา้ ไปมีส่วนร่วมกิจกรรมทางการเมืองมากน้อยเพียงใด นกั วิชาการต่างประเทศไดก้ ล่าวถึงการเมืองไทยไวว้ า่ “การเมืองไทยเป็ นการเขา้ ร่วมของผูไ้ ม่รู้ แต่ผูร้ ู้ไม่เขา้ ร่วม (Uninformed participants and information non- participants)” หมายถึงวา่ บุคคลใดเมื่อรู้อะไรดี มกั จะหมดศรัทธาทางการเมือง และจะไม่เขา้ ร่วมกิจกรรม ทางการเมือง เช่น การไม่ไปใชส้ ิทธิเลือกต้งั แต่บุคคลใดท่ียงั ไม่รู้อะไรดี จึงยงั ศรัทธาทางการเมืองอยู่ เช่น การไปใชส้ ิทธิเลือกต้งั ของเกษตรกร เป็นตน้ 2. การสร้างความสนใจทางการเมือง ในสมยั ก่อนประชาชนส่วนใหญ่ไม่ ค่อยสนใจการเมืองเพราะไม่ค่อยไดร้ ับข่าวสารทางการเมือง ไม่เคยเห็นนกั การเมืองหรือผูบ้ ริหาร แต่ใน ปัจจุบนั ข่าวสารทางการเมืองมีให้ประชาชนได้รับรู้ผ่านสื่อต่าง ๆ ท้งั ในหนังสือพิมพ์ วิทยุโทรทศั น์ วิทยุกระจายเสียง และการวิพากษ์วิจารณ์ทางสื่อต่าง ๆ อยู่เป็ นประจา จึงทาให้ประชาชนมีความสนใจ ข่าวสารการเมืองเพิม่ มากข้ึน 3. การสร้างความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับการเมือง การส่ือสารทาง การเมืองทาให้ประชาชนมีความรู้และความเขา้ ใจเกี่ยวกบั การเมืองไดอ้ ยา่ งมาก การเผยแพร่ข่าวสารทางการ เมืองโดยสื่อบุคคลก็ดี โดยส่ือมวลชนก็ดี หรือการนาเสนอพระราชบญั ญตั ิที่ตอ้ งรับรู้และเขา้ ใจ เพื่อนามา ปฏิบตั ิในฐานะพลเมืองท่ีดี 4. การสร้างบทบาททางการเมือง ความสนใจทางการเมืองท่ีก่อให้เกิด ความรู้และทศั นคติทางการเมืองจะนาไปสู่การกาหนดบทบาททางการเมือง ประชาชนไดร้ ู้ถึงบทบาท หนา้ ที่ และสิทธิของตนเองในฐานะพลเมือง การเขียนจดหมายถึงส่ือมวลชนก็เป็ นการแสดงบทบาททางการเมือง การไดร้ ับข่าวสารทาให้ประชาชนไดร้ ู้ถึงบทบาททางการเมือง และการแสดงบทบาททางการเมืองก็เป็ นการ ส่งขา่ วสารไปยงั ผนู้ าทางการเมืองไดเ้ ช่นกนั 5. การส่ือสารเป็ นการนาเอารัฐบาลเข้าไปอยู่ในบ้านของประชาชน นกั รัฐศาสตร์จะมองว่าการส่ื อสารระหว่างบุคคล (Interpersonal Communication) เป็ นการส่ื อสารท่ีมี ความสาคญั มาก ส่วนการส่ือสารทางดา้ นส่ือมวลชนจะมีความสาคญั รองลงมา การที่นกั การเมืองไดพ้ บปะ
13 พดู คุยกบั ประชาชนยอ่ มดีกวา่ การกระจายขา่ วสารผา่ นส่ือสารมวลชน แตใ่ นกรณีที่การส่ือสารระหวา่ งบุคคล ไม่สามารถกระจายไปไดอ้ ย่างทวั่ ถึง ส่ือสารมวลชนก็จะเขา้ มามีบทบาทท่ีสาคญั ในการกระจายข่าวสาร ใหแ้ ก่ประชาชน 6. การสื่อสารมวลชนทาให้ความสนใจของประชาชนมีลักษณะความเป็ น นานาชาติ (Cosmopolitan-Oriented) ปัจจุบนั น้ีการส่งข่าวผา่ นดาวเทียมทาใหค้ วามสนใจของประชาชนมี เปล่ียนแปลง นอกจากการสนใจสิ่งกบั ที่อยใู่ กลต้ วั และยงั สนใจกบั สิ่งที่อยไู่ กลตวั ทาให้เกิดความคิดท่ีเป็ น สากลมากข้ึน ทาใหร้ ัฐบาลตอ้ งตื่นตวั กบั การสนองตอบความตอ้ งการของประชาชนตามมาตรฐานนานาชาติ เพ่อื ใหป้ ระชาชนไดร้ ับรู้มากข้ึน 7. การส่ื อสารถูกนามาใช้ ในการรับรองสถานภาพก่ อนที่จะเป็ น นักการเมือง นกั การเมืองบางคนไม่เป็ นที่รู้จกั แต่เม่ือสื่อสารมวลชนเขียนถึงอยูบ่ ่อย ๆ มีคนพูดถึงอยบู่ ่อย ๆ นกั การเมืองคนท่ีไม่มีความสาคญั ก็มีความสาคญั ข้ึน เพราะฉะน้ันในการเสนอข่าวของนักการเมืองน้ัน พรรคการเมืองนาเสนอนักการเมืองบุคคลดงั กล่าวน้ันกบั สื่อมวลชนด้วยความถี่สูงท่ีจะสามารถทาให้ ประชาชนไดร้ ู้จกั คุณสมบตั ิและผลงานของเขา ถึงแมน้ กั การเมืองบางคนจะมีผลงานและความสามารถสูง กวา่ แตถ่ า้ ไม่ไดร้ ับการเสนอในขา่ วของสื่อมวลชน ประชาชนก็จะไม่รู้คุณสมบตั ิและผลงานของนกั การเมือง คนน้นั นอกจากส่ือมวลชนจะมีบทบาทสาคญั ในการทที่จะทาให้นกั การเมืองเป็ นที่ยอมรับชองประชาชน แลว้ รัฐบาลกจ็ าเป็นตอ้ งใชส้ ื่อมวลชนเป็นเครื่องมือในการนาเสนอข่าวไปสู่ประชาชน ไมว่ า่ จะเป็นการสร้าง ภาพลกั ษณ์ทางการเมืองของรัฐบาล และการนาเสนอนโยบาย หรือแมก้ ระทงั่ การใชส้ ่ือมวลชนเป็นเครื่องมือ ในการรับฟังเสียงขากประชาชน ในขณะเดียวกนั ประชาชนก็จะไดร้ ับทราบขอ้ มูลข่าวสารทางการเมืองจาก สื่อมวลชน 1.3.1.3. องค์ประกอบของการสื่อสาร การสื่อสารเป็ นกระบวนการทางสังคมในการนาสารหรือข่าวสารจากที่หน่ึงไปยงั ที่ท่ีหน่ึง โดยมีจุดประสงคเ์ พ่ือส่ือความหมายหรือทาความเขา้ ใจร่วมกนั ระหว่างผูส้ ่งสารและผูร้ ับสาร ซ่ึง องคป์ ระกอบของการสื่อสารมีดงั น้ี (ชชั วาล วงษป์ ระเสริฐ, 2548) 1. แหล่งข่าวหรือแหล่งสารสนเทศ (Source of Information) สารหรือ ข่าวสารอยู่ภายในตวั มนุษย์ หากนามาถ่ายทอดจะทาให้เกิดการรับรู้ (cognitive) อารมณ์และความรู้สึก (emotion) ซ่ึงอาจจะเกิดการกระทาภายใน (conation) หรือการกระทาภายนอก (behavior) ขอ้ มูลข่าวสาร หรือสารสนเทศนอกจากจะอยภู่ ายในตวั มนุษยแ์ ลว้ อาจจะนามาจดั เก็บเป็ นเอกสารหรือส่ืออื่น ๆ ไดเ้ ช่นกนั ในการสื่อสารถา้ ผูส้ ่งสารและผูร้ ับสารมีภูมิหลงั ท่ีใกลเ้ คียงกนั การสื่อสารก็จะมีประสิทธิภาพเพิ่มมากข้ึน ภูมิหลงั ที่เป็ นปัจจยั ต่อการส่ือสารไดแ้ ก่ ระดบั ความรู้ ความคิด ประสบการณ์ ทศั นคติ ความเช่ือ ค่านิยม พฤติกรรม ลกั ษณะนิสัย ความสนใจ ความตอ้ งการ ความสามารถในการสื่อสาร และการยอมรับ เป็ นตน้ แหล่งสารสนเทศแบ่งออกเป็น 4 ประเภท ไดแ้ ก่ (สานกั วชิ าศึกษาทว่ั ไป มหาวทิ ยาลยั ขอนแก่น, 2555)
14 1.1. แหล่งสารสนเทศบุคคล เป็ นแหล่งสารสนเทศท่ีอยู่ในตวั บุคคลท่ีเป็ นผูร้ ู้ เกิดจากความรู้และประสบการณ์ของแต่ละบุคคล เช่น ปราฃญ์ชาวบ้าน ผูเ้ ชี่ยวชาญ นกั วชิ าการ เป็นตน้ 1.2. แหล่งสารสนเทศสถาบัน เป็ นแหล่งสารสนเทศท่ีจดั อยู่ใน กลุ่มองคก์ ร/สถาบนั โดยมีหนา้ ที่รวบรวม จดั การ และใหบ้ ริการสารสนเทศใหแ้ ก่ผูใ้ ชบ้ ริการ เช่น ห้องสมุด หอจดหมายเหตุ และศูนยส์ ารสนเทศ เป็นตน้ 1.3. แหล่งสารสนเทศส่ือมวลชน เป็ นแหล่งสารสนเทศท่ีเน้นไป ที่การเผยแพร่ขอ้ มูลข่าวสาร หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ โดยจะเผยแพร่ผ่านส่ือประเภท โทรทศั น์ วิทยุ และ หนงั สือพิมพ์ 1.4. แหล่งสารสนเทศบนอินเตอร์เน็ต อินเตอร์เน็ตเป็ นเครือข่าย คอมพิวเตอร์ท่ีครอบคลุมไปทวั่ ทุกมุมโลก และเช่ือมโยงกบั เว็บไซต์ที่เป็ นแหล่งจดั เก็บสารสนเทศใน รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์เป็ นจานวนมาก ทาให้อินเตอร์เน็ตเป็ นแหล่งสารสนเทศที่ไม่มีพรมแดน สารมารถ เขา้ ถึงไดท้ ุกท่ีทุกเวลา ซ่ึงมีประโยชนต์ ่อการติดต่อสื่อสาร การคน้ หา และการแลกเปล่ียนขอ้ มูล 2. สารหรือข่าวสาร (Message) สารหรือข่าวสารท่ีใชภ้ าษา เคร่ืองหมาย สัญลกั ษณ์ต่าง ๆ ท่ีแสดงออกไปแทนความหมายตามวตั ถุประสงคข์ องผูส้ ่งสาร โดย อณพศิษฐ ไชยเชษฐ์ (2543) ไดจ้ าแนกสารสนเทศทางการเมืองได้ 9 กลุ่มดงั น้ี 1. สารสนเทศท่ีเก่ียวกับการปฏิบัติงานความรับผิดชอบของ สมาชิกผแู้ ทนราษฎรท้งั ในฐานะฝ่ ายรัฐบาลและฝ่ ายคา้ น 2. สารสนเทศท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั นโยบายการบริหารประเทศโดยคณะ รัฐบาล กิจกรรมและการปฏิบตั ิของคณะรัฐมนตรี 3. สารสนเทศท่ีเก่ียวขอ้ งกบั กลุ่มผลกั ดนั หรือกลุ่มผลประโยชน์ 4. สารสนเทศที่เกี่ยวกบั พรรคการเมือง 5. สารสนเทศที่เกี่ยวกบั ระเบียบ ขอ้ บงั คบั และกฎหมายตา่ ง ๆ 6. สารสนเทศที่เกี่ยวขอ้ งกบั รัฐธรรมนูญ และสิทธิหน้าที่ของ ประชาชน 7. สารสนเทศที่เกี่ยวกบั การหาเสียงเลือกต้งั 8. สารสนเทศท่ีเก่ียวกบั การทุจริตคอรัปชน่ั ของนกั การเมืองและ ขา้ ราชการประจา 9. สารสนเทศที่เก่ียวกบั การเมืองทอ้ งถ่ิน 3. ผู้รับสาร (Receiver) ผูร้ ับสารสามารถรับรู้ (perceive) และก่อให้เกิด การรู้ (cognition) ข้ึนภายในตวั บุคคล การรับข่าวสารของผูร้ ับสาร ไดแ้ ก่ การไดย้ ิน การมอง การดมกล่ิน การลิ้มรส และการสัมผสั
15 4. สื่อ (Media) สื่อเป็นตวั กลางในการถ่ายทอดขอ้ มูลขา่ วสารระหวา่ งผูส้ ่ง สารและผรู้ ับสาร ส่ือสามารถแบ่งไดเ้ ป็น 2 ประเภทดงั น้ี 4.1. ส่ือมนุษย์ (Human Media) ไดแ้ ก่ การสื่อสารโดยใช้คาพูด หรือการใชถ้ อ้ ยคา การสนทนาในครอบครัว เพอื่ นร่วมงาน และวรรณกรรมมุขปาฐะ (Oral History) เป็นตน้ ส่ื อชนิดน้ีมีข้อจากัดในเร่ื องการจดจา และข้อจากัดในเรื่ องระยะทางซ่ึ งไม่สามารถเผยแพร ไปไกลได้ 4.2. สื่ อประดิษฐ์ ( Artificial Media) ได้แก่ ส่ื อสิ่ งพิมพ์ วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ ภาพยนตร์ โทนศพั ท์ โทรสาร วีดิทศั น์ คอมพิวเตอร์ และดาวเทียม เป็ นตนั 5. ผลของการส่ือสาร (Effect) ผลที่เกิดจากการรับข่าวสาร เม่ือสารถูก ประมวลผลและถอดความหมายกลายเป็ นข่าวสารหรือสารสนเทศ จะทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงทางด้าน อารมณ์และพฤติกรรมของผรู้ ับสาร 6. อัตรกิริยา (Interaction) เป็ นการตอบโตร้ ะหว่างแหล่งสาร 2 แหล่ง เป็ นกระบวนการที่ต่อเนื่องระหว่างผูส้ ่งสารและผู้รับสาร ซ่ึงเป็ นการส่ือสารแบบ 2 ทาง ท่ีจะทาให้ กระบวนการสื่อสารมีประสิทธิภาพมากข้ึน 1.3.1.4. แบบจาลองการสื่อสารทางการเมือง ชชั วาลย์ วงษป์ ระเสริฐ (2548) ไดก้ ล่าวถึงแบบจาลองการส่ือสารไวด้ งั น้ี Aristotle ได้กล่าวถึงการสื่อสารว่า เป็ นกระบวนการง่าย ๆ ระหว่างผูพ้ ูด (speaker) และผูฟ้ ัง (audience) โดยการใช้คาพูด (speech) แต่ต้องมีการจัดเรี ยงเน้ื อหาและการกระจายของข้อมูล ดงั รูปภาพที่ 1 ผ้พู ูด คำพูด ผ้ฟู ัง (Speaker) (Speech) (Audience) รูปภาพที่ 1 แบบจาลองการสื่อสารของ Aristotle แบบจาลองการส่ือสารของ Lasswell (1948) เป็ นการอธิบายถึงการสื่อสารเชิง พฤติกรรม ซ่ึง Lasswell ไดม้ องกระบวนการสื่อสารแตกต่างจาก Aristotle ที่วา่ การพดู (message) จาเป็นตอ้ ง มีส่ือ (medium) เป็ นตวั กลาง โดยกระบวนการส่ือสารตอ้ งมีการตอบคาถามท่ีวา่ ใคร พูดอะไร ผอ่ นช่องทาง ใด ถึงใคร และเกิดผลอยา่ งไร หากวเิ คราะห์การสื่อสารของ Lasswell สามารถแบ่งออกเป็น 5 มุมมอง ไดแ้ ก่ การวเิ คราะห์แหล่งสาร (Control Analysis) การวเิ คราะห์เน้ือหา (Content Analysis) การวเิ คราะห์ส่ือ (Media
16 Analysis) การวเิ คราะห์ผรู้ ับสาร (Audience Analysis) และการวเิ คราะห์ผลของการสื่อสาร (Effect Analysis) ดงั รูปภาพที่ 2 รูปรูปภภำพาพทท่ี 1ี่ 2แแบบบบจจำาลลอองงกกำารรสส่อื ื่อสสำารรขขอองงLLaasssswweellll ((11994488) ) แบบจาลองการสื่อสารของ Shanon & Weaver แตกต่างจาก แนวคิดการส่ือสาร ของ Lasswell ท่ีวา่ กระบวนการส่ือสารจะคานึงถึงเสียงรบกวน (noise) โดยมีเคร่ืองรับ เคร่ืองส่ง การแปลง สัญญาณ และแปลงสญั ญาณใหมอ่ ีกทีเมื่อถึงผรู้ ับ ดงั รูปภาพที่ 3 รรูปูปภภำาพพทท่ี 2่ี 3 แแบบบบลลำาจจอองงกกาำรรสสื่่อือสสำารรขขอองง SShhaannoonn &&WWeeaavveerr
17 กาญจนา มีศิลปวกิ กยั (2549) ไดก้ ล่าวถึงแบบจาลองการสื่อสารของ Berlo (1960) ไวด้ งั น้ี รูปภาพท่ี 4 แบบจาลองการสื่อสารของ Berlo (1960) จากรูปภาพที่ 4 แบบจาลองการส่ือสารของ Berlo (1960) ประกอบไปด้วย องคป์ ระกอบที่สาคญั ท้งั 4 องคป์ ระกอบในกระบวนการส่ือสาร ดงั น้ี 1. ผูส้ ่งสาร (source) ประกอบดว้ ย ทกั ษะในการส่ือสาร ความรู้ ทศั นคติ และระบบสังคมและวฒั นธรรม 2. สาร (message) ประกอบด้วย รหัสสาร เน้ือหาของสาร การจัด เรียงลาดบั สาร องคป์ ระกอบยอ่ ยของสาร และโครงสร้างของสาร 3. ช่องทาง (Channel) ประกอบดว้ ย การมองเห็น การไดย้ ิน การดมกล่ิน การลิ้มรส และการสมั ผสั 4. ผรู้ ับสาร (Receiver) ประกอบดว้ ย ทกั ษะในการสื่อสาร ความรู้ ทศั นคติ และระบบสงั คมและวฒั นธรรม นนั ทนา นนั ทวโรภาส (2548) ไดก้ ล่าวถึงแบบจาลองการสื่อสารทางการเมืองของ McNair (1999) โดยปรับประยกุ ตม์ าจากแบบลาลองการส่ือสารพ้ืนฐานของ Berlo (SMCR Model) ท่ีอธิบาย ถึงองค์ประกอบของการสื่อสาร ได้แก่ ผูส้ ่งสาร (sender) สาร (message) สื่อ (channel) และผูร้ ับสาร (receiver) ซ่ึงในแบบจาลองการส่ือสารทางการเมืองของ Mcnair (1999) ไดก้ ล่าวไวว้ ่า ผูส้ ่งสารคือ พรรค การเมือง ผูร้ ับสารคือ สื่อมวลชนและประชาชน ส่ือหรือช่องทางการเป็ นไดท้ ้งั ทางตรงไปยงั ยงั ประชาชน โดยตรง และทางออ้ มโดยการสื่อสารผา่ นส่ือมวลชน และสารคือ ขอ้ มูลขา่ วสารทางการเมือง
18 รูปภาพท่ี 5 แบบจาลองการสื่อสารของ McNair (1999) จากรูปภาพท่ี 5 แบบจาลองการส่ือสารทางการเมืองของ McNair (1999) แบ่ง ออกเป็น 3 กลุ่ม ดงั น้ี 1. กลุ่มองค์กรทางการเมือง ไดแ้ ก่ พรรคการเมือง รัฐบาล กลุ่มพลงั ทาง การเมือง หรือกลุ่มสาธารณะ เป็นตน้ ซ่ึงกลุ่มองคก์ รทางการเมืองจะเนน้ ท่ีการส่ือสารของพรรคการเมืองเป็ น หลกั โดยพรรคการเมืองเหล่าน้ันจะหาวิธีในการสร้างความเช่ือมน่ั ให้แก่ประชาชนเพ่ือจะนาไปสู่การนา นโยบายไปปฏิบตั ิหลงั ไดร้ ับการเลือกต้งั เสร็จสิ้นแลว้ 2. กลุ่มส่ือมวลชน เป็ นตวั กลางระหว่างพรรคการเมืองกับประชาชน ส่ือมวลชนมีหน้าท่ี 2 อยา่ งคือ เป็ นตวั ส่งผา่ นขอ้ มูลจากพรรคการเมืองหรือรัฐบาล และทาหนา้ ที่สร้างสาร ข้ึนมาเอง เช่น การเขียนบทบรรณาธิการ บทวเิ คราะห์ บทวจิ ารณ์ ไปยงั ประชาชน 3. กลุ่มประชาชน ไม่วา่ กลุ่มประชาชนจะเป็ นอยา่ งไร กลุ่มทางการเมืองก็ มุ่งท่ีจะส่งสารให้ประสบความสาเร็จ ไม่วา่ จะเป็ นการหาเสียงเลือกต้งั ประธานาธิบดี สมาชิกวฒุ ิสภา จนไป ถึงสมาชิกผูแ้ ทนราษฎร โดยกลุ่มทางการเมืองจะพยายามสร้างภาพเชิงบวกเพื่อส่งผลต่อพฤติกรรมทาง การเมืองของประชาชน จากการศึกษาของ นนั ทนา นนั ทวโรภาส (2548) ไดพ้ บวา่ แบบจาลองของ McNair (1999) ไมไ่ ดก้ ล่าวถึงการส่ือสารโดยตรงระหวา่ งกลุ่มองคก์ รทางการเมืองกบั กลุ่มประชาชน การสื่อสารทาง การเมืองถึงแมจ้ ะมีสื่อมวลชนเป็ นตวั กลางในกระบวนการส่ือสาร แต่พรรคการเมืองก็สามารถท่ีจะส่ือสาร กบั ประชาชนโดยตรงได้ เช่น การรณรงค์หาเสียงเลือกต้งั หรือรณรงค์ทางการเมืองในบางประเด็น การ ส่ือสารระหวา่ งองคก์ รทางการเมืองเมืองกบั ประชาชนโดยตรง จึงไดม้ ีการพฒั นาแบบจาลองการส่ือสารทาง การเมืองเพ่ิมเติมจาก McNair (1999) โดยการเพ่ิมช่องทางการส่ือสารตรงระหว่างพรรคการเมืองกับ ประชาชนข้ึน ดงั รูปภาพท่ี 6
19 รูปภาพท่ี 6 แบบจาลองการส่ือสารทางการเมืองประยกุ ต์ 1.3.1.5. การสื่อสารทางการเมืองขององค์กรทางการเมือง Mcnair (1999) (อา้ งถึงใน นันทนา นนั ทวโรภาส, 2548) ไดก้ ล่าวถึงการสื่อสาร ทางการเมืองไวว้ า่ ในระบบการสื่อสารทางการเมืองอาจจะเห็นตวั แสดงทางการเมือง (Political Actor) ท่ีเป็น องคป์ ระกอบสาคญั ในการส่ือสารโดยมีองคก์ รหลกั 3 กลุ่ม คือ องคก์ รทางการเมือง สื่อและกลุ่มพลเมืองที่มี ความสัมพันธ์ต่อกันภายใต้ความสัมพันธ์เชิงอานาจโดยจะเป็ นสื่ อสถาบันกลางในการเช่ือมโยง ความสมั พนั ธ์ดงั รูปภาพท่ี 7 รรูปูปภภำาพพทท่ีี่ 77 อองงคคป์ ์ปรระะกกออบบขขอองงกกาำรรสสื่อ่อื สสาำรรททาำงงกกาำรรเเมมือืองง
20 1. กลุ่มองค์กรทางการเมือง (Political Organizations) ได้แก่ รัฐบาล พรรคการเมือง กลุ่มกดดนั หรือกลุ่มผลประโยชน์ต่าง ๆ องคก์ รสาธารณะ กลุ่มพลงั ทางการเมือง และกลุ่ม ผกู้ ่อการร้าย เป็ นตน้ โดยกลุ่มองคก์ รทางการเมืองก็ตอ้ งการใชส้ ื่อเพ่ือตอบสนองวตั ถุประสงคท์ างการเมือง ของตน โดยส่วนของพรรคการเมือง ถึงแมว้ า่ แต่ละพรรคจะมีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกนั แต่จะมี การวางเป้าหมายท่ีเหมือนกนั คือ การชกั จูงใจใหป้ ระชาชนเช่ือถือไวว้ างใจผา่ นการดาเนินงานของพรรคเพื่อ หวงั ผลในการเลือกต้ังคร้ังต่อไป โดยมีการพยายามเผยแพร่ข่าวสารในรู ปแบบของการโฆษณา ประชาสมั พนั ธ์ผา่ นสื่อมวลชน 2. กลุ่มสื่อมวลชน (Media) พรรคการเมืองและนักการเมืองท้ังหมด จาเป็ นตอ้ งใชส้ ื่อมวลชนเป็ นช่องทางไปยงั ประชาชนที่เป็ นเป้าหมาย ดงั น้นั พรรคการเมืองและนกั การเมือง จึงตอ้ งพยายามเขา้ ถึงส่ือมวลชนในทางใดทางหน่ึง แต่ความจริงทางการเมือง (Political Reality) ที่ปรากฏ ทางสื่อมวลชนอาจจะไม่ใช่ความจริงเชิงปรนยั แต่เป็ นความจริงเชิงอตั นยั ท่ีรับรู้และตีความ โดยผูร้ ับสาร หรือเป็นความจริงที่ถูกสร้างข้ึนจากสื่อมวลชนนนั่ เอง 3. กลุ่มพลเมือง (Citizens) เป็นปัจเจกชนที่มีสิทธิและหนา้ ท่ีตามกฎหมาย เป็นผรู้ ับสารท่ีเป็ นเป้าหมายที่สาคญั ในการส่ือสารทางการเมือง ส่ือสารมวลชนจะเป็นตวั กลางในการนาสาร จากองคก์ รทางการเมืองมานาเสนอประชาชนผา่ นทางการรายงานขา่ ว บทบรรณาธิการ บทวเิ คราะห์วิจารณ์ ต่าง ๆ ในขณะเดียวกันประชาชนก็สามารถส่งสารผ่านส่ือมวลชนไปยงั องค์กรทางการเมืองได้ และ สื่อมวลชนก็จะนาสารจากประชาชนไปนาเสนอในการรายงานข่าว บทบรรณาธิการ บทวิเคราะห์วิจารณ์ เพอื่ ส่งไปใหอ้ งคก์ รทางการเมืองตอ่ ไป จะเห็นไดว้ า่ ส่ือมวลชนเขา้ มามีบทบาทสาคญั ในทางการเมืองในปัจจุบนั การรายงานข่าวสาธารณะส่วนใหญ่จะใช้สื่อมวลชนเป็ นหลกั ดงั น้นั ส่ือมวลชนจึงเป็ นแหล่งสารสนเทศที่ สาคญั แก่ประชาชนในสังคมการเมือง การส่ือสารทางการเมืองของส่ือมวลชนเป็ นส่วนสาคญั ที่จะทาให้ ประชาชนมีความรู้ความเขา้ ใจ ที่จะนาไปสู่การเขา้ มามีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน การสื่อสารถือ ไดว้ า่ เป็ นเคร่ืองมือทางการเมืองที่ทาหนา้ ที่เสริมสร้างระบบสังคมการเมืองให้มีความเขม้ แขง็ และมนั่ คงได้ โดยการป้อนข่าวสารและความรู้ทางการเมืองให้แก่ประชาชน ในขณะเดียวกนั ก็จะเก็บเกี่ยวขอ้ มูลหรือ ขอ้ คิดเห็นจากส่ือมวลชนและประชาชนเพือ่ นามาพฒั นากลไกของรัฐและการแสวงหาแนวทางในการแกไ้ ข ปัญหาของประเทศร่วมกนั
21 1.4. การมสี ่วนร่วมทางการเมือง 1.4.1. ความหมายของการมีส่วนร่วมทางการเมือง สิทธิพนั ธ์ พุทธหุน (2531) ใหค้ วามหมายวา่ การมีส่วนร่วมทางการเมือง หมายถึง กิจกรรม ของประชาชนท่ีมุ่งจะเขา้ ไปมีอิทธิพลต่อการตดั สินใจนโยบายของรัฐบาลในระดบั ต่าง ๆ ซ่ึงรูปแบบการเขา้ ไปมีส่วนร่วมในทางการเมืองในแต่ละสังคมยอ่ มแตกต่างกนั ไปดว้ ย นภดล นาประสิทธ์ิชัย (2538) ให้ความหมายว่า การมีส่วนร่วมทางการเมือง หมายถึง กิจกรรมของประชาชนทุกระดบั ของระบบการเมือง เช่น ผูล้ งคะแนนเสียงเลือกต้งั เขา้ มามีส่วนร่วมทางการ เมือง โดยการลงคะแนนเสียงเลือกต้งั การส่วนร่วมทางการเมืองโดยการรับเลือกต้งั หรือ การพูดคุยสนทนา แสดงความคิดเห็นในเรื่องเก่ียวกบั ทางการเมืองและบางคร้ังถ้อยคาน้ันสามารถใช้กบั การเมืองมากกว่า กิจกรรม เช่น ประชาชนเขา้ มีส่วนร่วมโดยให้ความสนใจต่อการเมืองและในบางคร้ังยงั หมายถึงการมีส่วน ร่วมนอกระบบการเมือง ยกตวั อยา่ งเช่น ครอบครัว โรงเรียน เป็นตน้ บณั ฑร อ่อนคา (2521) ให้ความหมายวา่ การมีส่วนร่วมทางการเมือง เป็ นการระดมประชา ชนใหเ้ ขา้ มามีส่วนร่วมตดั สินใจในการแกป้ ัญหา ลาดบั ความสาคญั ของปัญหา การแกป้ ัญหาและข้นั ตอนใน การแกป้ ัญหาของตน แนวคิดเร่ืองการมีส่วนร่วมของประชาชนน้ี มีสมมติฐานวา่ ถา้ ประชาชนมีส่วนร่วมใน การตดั สินในเรื่องต่าง ๆ แลว้ ประชาชนยอ่ มยนิ ดีใหค้ วามร่วมมือหรือมีพนั ธกรณีในเรื่องน้นั ๆ วรรณธรรม กาญจนสุวรรณ (2546) ใหค้ วามหมายวา่ การมีส่วนร่วมทางการเมือง หมายถึง กระบวนการทางการเมืองที่แสดงออกถึงพฤติกรรมการกระทาหรือกิจกรรมในลกั ษณะต่าง ๆ ในระบบ การเมืองโดยความสมคั รใจหรือไม่สมคั รใจอย่างไม่เป็ นทางการ และรวมไปถึงการดาเนินการอย่างเป็ น ทางการ ท่ีเป็นกิจกรรมที่เกิดข้ึนในระดบั ชาติหรือทอ้ งถ่ิน สมบตั ิ ธารงค์ธัญวงศ์ (2541) ให้ความหมายว่า การมีส่วนร่วมทางการเมือง หมายถึง การ แสดงออกซ่ึงกิจกรรมทางการเมืองของบุคคลในสังคม กิจกรรมเหล่าน้นั ก่อให้เกิดความสัมพนั ธ์ระหว่าง สมาชิกในสังคมการเมือง จนั ทนา สุทธิจารี (2524) ใหค้ วามหมายวา่ การมีส่วนร่วมทางการเมืองมีความหมายดงั น้ี 1. เป็ นกิจกรรมของประชาชนตามสิทธิที่กฎหมายกาหนด โดยเฉพาะสิทธิในการ ลงคะแนนเสียงเลือกต้งั สิทธิที่จะเขา้ สมาคมหรือก่อต้งั พรรคการเมืองหรือกลุ่มผลประโยชน์ สิทธิท่ีจะ อุทธรณ์ต่อรัฐบาล สิทธิเกี่ยวกบั การพูด ชุมนุม และการพิมพอ์ ยา่ งอิสระ และเป็ นกิจกรรมซ่ึงมุ่งหมายเพื่อมี อิทธิพลต่อรัฐบาลในการเลือกต้งั เจา้ หน้าท่ีของรัฐ รวมถึงการเขา้ มีส่วนร่วมต่อการปกครองโดยกระทา กิจกรรมต่างๆ เก่ียวกบั การปกครอง 2. เป็ นการกระทาด้วยความสมคั รใจของสมาชิกในสังคม เพื่อที่จะคดั เลือก ผูป้ กครอง และมีอิทธิพลต่อการกาหนดนโยบายสาธารณะท้งั ทางตรงและทางออ้ ม กิจกรรมเหล่าน้ี คือ การ ลงคะแนนเสียงเลือกต้งั การติดตามข่าวสารทางการเมือง การช่วยเหลือทางการเงินแก่ผูส้ มคั รรับเลือกต้งั หรือพรรคการเมือง การติดต่อสัมพนั ธ์กบั ผูแ้ ทนราษฎร และยงั มีลกั ษณะของความกระตือรือร้นทาง
22 การเมืองที่พิจารณาจากการสมคั รเป็ นสมาชิกพรรคการเมืองอยา่ งเป็ นทางการการช่วยรณรงคห์ าเสียง การ แขง่ ขนั กนั เป็นเจา้ หนา้ ที่พรรคการเมืองหรือเจา้ หนา้ ที่ของรัฐ 3. เป็ นกิจกรรมต่าง ๆ ตามความสมคั รใจของสมาชิกในสังคมการเมืองที่จะเลือก กระทา ซ่ึงมีจุดมุ่งหมายท้งั ทางตรงและทางอ้อมท่ีต้องการมีอิทธิพลต่อการกาหนดนโยบายหรือการ ดาเนินการของรัฐบาลในระดบั ชาติและระดบั ท้องถิ่น รวมท้งั อาจจะเป็ นกิจกรรมง่าย ๆ เช่น การพูดคุย ถกเถียงปัญหาการเมือง การไปใชส้ ิทธิเลือกต้งั หรือการสมคั รรับเลือกต้งั เป็ นตวั แทนของประชาชน เป็นตน้ ซ่ึงการกระทาอาจะผิดหรือถูกตอ้ งตามกฎหมาย อาจใช้หรือไม่ใชค้ วามรุนแรงก็ได้ หรือกระทาโดยสานึก ทางการเมืองหรือถูกชกั จูงระดมพลงั กไ็ ด้ McClosky (1968) ใหค้ วามหมายวา่ การมีส่วนร่วมทางการเมือง หมายถึง กิจกรรมตา่ ง ๆ ท่ี เป็ นไปโดยสมคั รใจซ่ึงสมาชิกในสังคมมีส่วนร่วมโดยตรงหรือโดยออ้ ม ในการเลือกผูป้ กครองประเทศการ กาหนดนโยบายสาธารณะ การลงคะแนนเสียงเลือกต้งั การติดตามข่าวสาร การอภิปราย การแลกเปลี่ยนความ คิดเห็น การเข้าร่วมประชุม การบริจาคเงิน และการติดต่อกบั สมาชิกสภาผูแ้ ทนราษฎร ลกั ษณะความ กระตือรือร้นของการเขา้ มีส่วนร่วมทางการเมืองอาจพิจารณาไดจ้ ากการสมคั รเป็ นสมาชิกพรรคการเมือง อย่างเป็ นทางการ การเขียนและกล่าวสุนทรพจน์การรณรงค์หาเสียงการแข่งขนั เป็ นเจา้ หน้าที่พรรคหรือ เจา้ หนา้ ที่ของรัฐแต่ไมร่ วมถึงกิจกรรมท่ีไม่สมคั รใจ เช่น การเสียภาษี การเป็นทหาร และหนา้ ที่ดา้ นตุลาการ Huntington & Dominguez (1975) ให้ความหมายวา่ การมีส่วนร่วมทางการเมือง หมายถึง กิจกรรมหรือการกระทาของประชาชน ที่ตอ้ งการมีอิทธิพลต่อการตดั สินใจของรัฐบาลโดยที่การกระทา เป็ นไปได้ท้งั ถูกต้องตามกฎหมายและไม่ถูกตอ้ งตามกฎหมาย ใช้กาลงั หรือไม่ใช้กาลังท้งั ท่ีสาเร็จและ ลม้ เหลว ท้งั ท่ีสมคั รใจหรือไมส่ มคั รใจรวมท้งั กิจกรรมเก่ียวกบั การเลือกต้งั การร่วมรณรงคห์ าเสียงหรือการ รวมตวั กนั เพื่อโน้มน้าวหรือกดดนั ต่อรัฐบาล ไดแ้ ก่ การประทว้ ง การใชค้ วามรุนแรงโดยท่ีเน้นการกระทา ของประชาชนเอง (Autonomous Participation) หรือกิจกรรมเกี่ยวกบั การปลุกระดมประชาชน (Mobilization Participation) Nie & Verba (1975) ใหค้ วามหมายวา่ การมีส่วนร่วมทางการเมืองวา่ หมายถึง กิจกรรมตา่ ง ๆ ท่ีถูกตอ้ งตามกฎหมายของประชาชน ซ่ึงมีวตั ถุประสงค์โดยตรงมากหรื อน้อย ในการมีอิทธิพลต่อการ เลือกของเจา้ หน้าที่ของรัฐบาล หรือการกระทาท่ีกาลงั ดาเนินการอยูข่ องเจา้ หน้าที่รัฐบาลโดยเน้นวา่ การมี ส่วนร่วมทางการเมืองจะตอ้ งมีลกั ษณะดงั น้ี 1. เป็ นเรื่องเกี่ยวกับกิจกรรมของพลเมืองเฉพาะบุคคลรวมท้ังผูท้ ่ีเฉ่ือยชาต่อ กฎเกณฑ์ต่อการเขา้ มีส่วนร่วมทางการเมืองโดยอาชีพ ซ่ึงรวมถึงเจา้ หนา้ ท่ีรัฐบาล เจา้ หนา้ ท่ีพรรคการเมือง และพวกหวั คะแนน 2. เป็ นกิจกรรมซ่ึงมีจุดมุ่งหมายท่ีจะมีอิทธิพลต่อการตดั สินใจในการเลือกของ รัฐบาลหรือเจา้ หนา้ ที่ของรัฐบาล 3. การมีส่วนร่วมในการปกครองโดยการกระทากิจกรรม
23 Milbrath & Goel (1977) ให้ความหมายวา่ การมีส่วนร่วมทางการเมือง หมายถึง กิจกรรม ท้งั หลายของประชาชนแต่ละคนที่ตอ้ งการมีอิทธิพลผลกั ดนั หรือยอมรับสนบั สนุนต่อรัฐบาล ซ่ึงไม่เพียงแต่ เป็ นการรวมบทบาทในการสร้างอิทธิพลผลกั ดนั ให้เกิดผลทางการเมืองตามตอ้ งการเท่าน้นั แต่ยงั รวมถึง กิจกรรมท่ีเป็ นที่ยอมรับอย่างพิธีการดว้ ย สาหรับผูท้ ี่ยอมรับรัฐบาลตอ้ งแสดงออกโดยการปรับพฤติกรรม ตามคาสัง่ หรือขอ้ เรียกร้องของรัฐบาลแตผ่ ทู้ ่ีไม่เห็นดว้ ยกพ็ ยายามสร้างอิทธิพลผลกั ดนั ใหม้ ีการเปลี่ยนแปลง หรือแกไ้ ขปัญหาใหม่การมีส่วนร่วมทางการเมืองจึงมีท้งั เป็ นการต่อตา้ น เช่น การเดินขบวนประทว้ งการ จลาจล และมีท้งั ท่ีเป็ นการสนบั สนุน เช่น การให้ความร่วมมือกบั ทางการในการเสียภาษีการเกณฑ์ทหาร เป็ นตน้ จากการสังเคราะห์ความหมายของการมีส่วนร่วมทางการเมือง สรุปไดว้ ่า การมีส่วนร่วม ทางการเมือง หมายถึง การแสดงออกซ่ึงกิจกรรมทางการเมืองของสมาชิกในสังคมตามสิทธิที่กฎหมาย กาหนด โดยความสมคั รใจหรือไม่สมคั รใจ อย่างเป็ นทางการและไม่เป็ นทางการ ไม่วา่ จะเป็ นการใชส้ ิทธิ เลือกต้งั การพูดคุยสนทนาแสดงความคิดเห็นในทางการเมือง การติดตามข่าวสาร การเขา้ ร่วมประชุม การ บริจาคเงิน การติดต่อกบั สมาชิกสภาผแู้ ทนราษฎร การรวมตวั กนั เพอ่ื โนม้ นา้ วหรือกดดนั ต่อรัฐบาล เช่น การ ประท้วง การใช้ความรุนแรงโดยท่ีเน้นการกระทาของประชาชนเอง (Autonomous Participation) หรือ กิจกรรมเก่ียวกับการปลุกระดมประชาชน (Mobilization Participation) โดยจุดมุ่งหมายท้งั ทางตรงและ ทางออ้ มท่ีตอ้ งการมีอิทธิพลในการกาหนดนโยบายหรือการดาเนินการของรัฐบาลในระดบั ชาติและระดบั ทอ้ งถ่ิน การเขา้ ร่วมกิจกรรมทางการเมืองก่อใหเ้ กิดความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสมาชิกในสังคมการเมือง 1.4.2. ความสาคัญของการมีส่วนร่วมทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางการเมืองข้ึนอยู่กบั ปัจจยั ที่สาคญั คือ ลกั ษณะของระบบการเมือง หาก เป็ นระบบการเมืองแบบประชาธิปไตย พฤติกรรมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนท้งั ระดบั ชาติ และระดับทอ้ งถิ่นจะมีความสาคัญมาก เช่น การคัดเลือกผูแ้ ทนมาบริหารประเทศ การบริหารกิจการ สาธารณะในทอ้ งถ่ิน การแสดงความคิดเห็นทางการเมือง เช่น การพูดคุย การเขียนบทความหรือจดหมาย แสดงความคิดเห็น การแสดงความคิดเห็นในรายการสนทนาทางการเมืองทางวทิ ยหุ รือโทรทศั น์ เป็นตน้ แต่ ในระบบการเมืองแบบ เผด็จการ อานาจรัฐปกครองประเทศจะข้ึนอยกู่ บั ผูม้ ีอิทธิพลทางการเมืองในการใช้ อานาจและอิทธิพลในการปกครองประเทศเพ่ือสนองประโยชน์ของตนเอง ระบบการเมืองแบบน้ีนอกจาก ประชาชนจะไม่สามารถแสดงการมีส่วนร่วมทางการเมือง และไมเ่ ป็นที่พึงปรารถนา ทาใหส้ ิทธิเสรีภาพทาง การเมืองของประชาชนแทบไมม่ ี หรือหากมีก็นอ้ ยมาก ปัจจยั ที่สาคญั อีกประการหน่ึงคือ รูปแบบและระดบั การมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน เป็ นปัจจยั ช้ีวดั ระดบั ความเป็ นประชาธิปไตยของระบบการเมือง (จนั ทนา สุทธิจารี, 2444)
24 1.4.3. รูปแบบการมสี ่วนร่วมทางการเมือง โกวทิ วงศส์ ุรวฒั น์ (2546: 31) ไดก้ ล่าวถึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนที่จะ แสดงออกทางการเมืองได้ 5 รูปแบบ ดงั น้ี 1. การออกเสียงเลือกต้งั (Election) เป็ นอานาจของประชาชน ที่จะเลือกรัฐบาลและผูท้ ี่จะ ดาเนินงานของรัฐ โดยใชห้ ลกั การเสมอภาคใหป้ ระชาชนทุกคนมีสิทธิในการเลือกต้งั 2. การออกเสียงประชามติ (Referendum) เป็ นอานาจที่ประชาชนตดั สินใจในปัญหาต่าง ๆ ของรัฐตามเจตจานงของตนเอง ซ่ึงส่วนใหญม่ กั จะเป็นเรื่องที่กบั กฎหมายรัฐธรรมนูญ 3. ประชาชนมีสิทธิเสนอร่างกฎหมาย (Initiative) ตามหลกั ประชาธิปไตยแลว้ ประชาชน จะใชอ้ านาจอธิปไตยในการร่างกฎหมายผา่ นทางฝ่ ายนิติบญั ญตั ิ กล่าวคือ ประชาชนมีสิทธิท่ีจะแสดงอานาจ อธิปไตยในการเสนอร่างกฎหมายเองได้ 4. ประชาชนสามารถตดั สินปัญหาสาคญั เก่ียวกับนโยบายรัฐ (Plebiscite) เมื่อรัฐบาลมี ปัญหาท่ีไม่สามารถตดั สินใจไดเ้ อง เน่ืองจากอาจจะเกิดผลกระทบต่อสังคมเป็ นอย่างมาก การลงคะแนน เสียงท่ีประชาชนลงคะแนนดว้ ยจะเป็นเรื่องสาคญั 5. ประชาชนสามารถเปลี่ยนผดู้ ารงตาแหน่งหนา้ ที่สาคญั ของรัฐบาลได้ (Recall) ประชาชน สามารถมีสิทธิออกเสียงถอดถอนเจา้ หน้าที่ตาแหน่งต่าง ๆ ซ่ึงได้มาโดยการเลือกต้งั (ไม่ไดม้ าจากการ แต่งต้งั ) เป็ นสิทธิทางการเมืองของประชาชนท่ีวา่ เม่ือประชาชนเลือกต้งั ให้เขา้ มาไดป้ ระชาชนก็สามารถท่ี จะปลดหรือถอดถอนไดเ้ ช่นกนั จนั ทนา สุทธิจารี (2544: 412-415) ไดแ้ บ่งรูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองออกเป็ น 2 รูปแบบคือ 1. การมีส่วนร่วมทางการเมืองเป็ นทางการ โดยมีกฎหมายรองรับใหก้ ระทาไดแ้ ละยอมรับ ปฏิบตั ิใชก้ นั โดยทว่ั ไป ไดแ้ ก่ 1.1 การเลือกต้งั ท้งั ในระดบั ชาติและทอ้ งถิ่น เป็ นรูปแบบการมีส่วนร่วมทางการ เมืองท่ีชดั เจนท่ีสุด 1.2 การใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองหรือเร่ืองราวท่ี เกี่ยวขอ้ งกบั ผลประโยชน์สาธารณะของประชาชน เช่น การพูด การเขียน และอ่ืน ๆ เพราะเป็ นช่องทางใน การส่ือสารทางการเมืองระหว่างประชาชนกับรัฐบาล รัฐบาลจะได้รับรู้ปัญหา ความคิดเห็น และ ขอ้ เสนอแนะ ในการทางานของรัฐบาลจากประชาชน 1.3 การจดั ต้งั และการเขา้ เป็นสมาชิกพรรคการเมือง โดยการรวมกลุ่มของบุคคลที่ มีความเห็นทางการเมืองตรงกนั และมีเป้าหมายเหมือนกนั เขา้ ไปทาหน้าที่บริหารประเทศให้เป็ นไปตาม อุดมการณ์ของพรรค
25 1.4 การมีส่วนร่วมโดยการรวมตวั เป็ นกลุ่มผลประโยชน์ เป็ นการรวมกลุ่มคนมา รวมกนั มีความมุ่งหมายอยา่ งใดอยา่ งหน่ึงร่วมกนั และใชพ้ ลงั ของกลุ่มให้มีอิทธิพลต่อกระบวนการกาหนด นโยบายของรัฐ 2. การมีส่วนร่วมทางการเมืองแบบไม่เป็ นทางการ การมีส่วนร่วมทางการเมืองท่ีไม่เปิ ด โอกาสใหป้ ระชาชนเขา้ มามีส่วนร่วมตามท่ีกฎหมายรองรับ ไดแ้ ก่ 2.1 การเดินขบวนหรือชุมนุมประทว้ ง กลุ่มประชาชนท่ีมีความคิดเห็นเหมือนกนั จะรวมตวั กนั เพ่ือแสดงความไม่เห็นดว้ ยกบั นโยบายหรือการดาเนินงานของรัฐบาลหรือเรียกร้องต่อรัฐบาล เพ่ือหาแนวทางแกไ้ ขปัญหาท่ีเกิดข้ึน 2.2 การก่อความวุน่ วายทางการเมือง เช่น การนดั หยุดงาน การงดให้ความร่วมมือ กบั รัฐบาล เป็ นการแสดงออกของประชานท่ีไม่เช่ือฟังอานาจของรัฐบาล ซ่ึงอาจเกิดผลกระทบต่อระบบ เศรษฐกิจ สงั คม และความมน่ั คงของประเทศได้ Huntington & Nelson (1976: 12-13) แบ่งรูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองออกเป็ น 5 รูปแบบ ดงั น้ี 1. กิจกรรมการเลือกต้งั (Electoral Activity) เป็ นออกเสียงเลือกต้งั และการรณรงค์หาเสียง ในการเลือกต้งั 2. การวิ่งเตน้ (Lobby) เป็ นการติดต่อเจา้ หน้าท่ีรัฐบาลหรือผูน้ าทางการเมือง มีอิทธิพลต่อ การตดั สินใจและการกาหนดนโยบายของรัฐบาล 3. กิจกรรมองคก์ าร (Organization Activity) เป็นกิจกรรมทางการเมืองของกลุ่มองคก์ รหน่ึง โดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือเข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่ องเก่ียวกับผลประโยชน์เฉพาะอย่าง หรื ออาจจะเป็ น ผลประโยชน์ตอ่ ส่วนร่วม 4. การติดต่อเฉพาะเร่ือง (Contracting) หมายถึงการติดตอ่ กบั เจา้ หนา้ ที่ของรัฐหรือเจา้ หนา้ ท่ี ของทางราชการเป็นการส่วนตวั โดยมุ่งหวงั ประโยชน์ส่วนตวั เฉพาะครอบครัวหรือหมูค่ ณะของตน 5. การใชค้ วามรุนแรง (Violence) หมายถึง กิจกรรมที่พยายามจะสร้างผลกระทบต่อการ ตดั สินใจของรัฐบาล เช่น การทาร้ายร่างกาย ทาลายทรัพยส์ ิน กิจกรรมน้ีอาจดาเนินไปดว้ ยจุดมุ่งหมายที่จะ ก่อใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงระบบทางการเมือง เช่น การก่อรัฐประหาร การลอบสังหารผนู้ าทางการเมือง หรือ อาจมุง่ ท่ีจะเปล่ียนแปลงการปกครอง เช่น การปฏิวตั ิ เป็นตน้ Milbrath (1971: 12-16) จาแนกรูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองออกเป็ น 6 รูปแบบ ดงั น้ี 1. การเลือกต้งั (Voting) การลงคะแนนเสียงเลือกต้งั เป็ นรูปแบบของการมีส่วนร่วมทางการ เมืองที่แยกออกมาจากกิจกรรมเกี่ยวกบั การรณรงคห์ าเสียงและกิจกรรมที่เก่ียวขอ้ งกบั พรรคการเมือง แต่ สามารถรวมไดก้ บั กิจกรรมท่ีเกี่ยวกบั ความรักชาติที่แสดงออกโดยการเคารพกบั พรรคการเมือง เคารพธง ชาติ การเคารพกฎหมาย และสนบั สนุนประเทศใหต้ ่อตา้ นสงคราม
26 2. การเป็ นเจา้ หน้าที่พรรคการเมืองและเจา้ หน้าที่รณรงค์หาเสียง (Party and Campaign Workers) เป็ นการท่ีบุคคลเขา้ ร่วมในพรรคการเมืองท้งั ในช่วงระหวา่ งการเลือกต้งั และในการเลือกต้งั ไดแ้ ก่ การมีบทบาทในการรณรงค์หาเสียง การบริจาคเงินช่วยเหลือพรรคหรือผูส้ มคั ร การชกั ชวนประชาชนไป ลงทะเบียนเพ่ือสิทธิในการลงคะแนนเสียงแก่พรรคหรือสมคั รท่ีตนชอบ เป็นตน้ การมีส่วนร่วมทางการเมือง ในรูปแบบดงั กล่าวน้ี เป็นแบบแผนของความสมั พนั ธ์ข้นั ตน้ ระหวา่ งปัจเจกชนกบั รัฐ 3. การเป็ นผูม้ ีบทบาทในชุมชน (Community Activists) กิจกรรมการมีส่วนร่วมทางการ เมืองในรูปแบบน้ี ไดแ้ ก่ การร่วมกนั แกป้ ัญหาสังคม การทางานร่วมกบั กลุ่มสังคม การมีบทบาทเกี่ยวกบั กิจการสาธารณะอ่ืน ๆ และการติดต่อกบั ทางราชการ ในเรื่องปัญหาสังคม “ผมู้ ีบทบาทในชุมชน” มีลกั ษณะ คลา้ ยกบั “เจา้ หนา้ ท่ีพรรคและเจา้ หนา้ ที่รณรงคห์ าเสียง” 4. การติดต่อกบั ทางราชการ (Contracting Officials) กิจกรรมการมีส่วนร่วมทางการเมือง ในรูปแบบน้ีเป็ นเร่ืองเฉพาะ เช่น การติดต่อกบั ทางราชการเร่ืองภาษีโรงเรือน การทาถนน การตรวจสอบ ความมน่ั คงทางสังคม เป็นตน้ การมีส่วนร่วมทางการเมืองรูปแบบน้ีมีผลโดยตรงต่อบุคคลน้นั เองเท่าน้นั การ เขา้ มีส่วนร่วมทางการเมืองรูปแบบน้ีเกือบจะไม่ใช่การมีส่วนร่วมทางการเมืองตามความหมายที่แทจ้ ริง แต่ เรียกการมีส่วนร่วมแบบน้ีวา่ “การมีส่วนร่วมอยา่ งแคบ” (Parochial Participation) 5. การเป็ นผูป้ ระทว้ ง (Protestors) กิจกรรมในการมีส่วนร่วมทางการเมืองในรูปแบบน้ี ไดแ้ ก่ การเขา้ ร่วมเดินขบวน หรือก่อใหเ้ กิดการจลาจล เพ่ือบงั คบั ใหร้ ัฐบาลแกไ้ ขปัญหาท่ีเกิดข้ึนให้ถูกตอ้ ง หรือยอมรับไดท้ ้งั 2 ฝ่ าย 6. การเป็ นผูส้ ่ือข่าว (Communicators) กิจกรรมการมีส่วนร่วมทางการเมืองในลกั ษณะน้ี ได้แก่ การเก็บรักษาขอ้ มูลเกี่ยวกบั การเมือง การส่งจดหมายสนับสนุนผูน้ าทางการเมือง การเขา้ ร่วมถก ปัญหาการเมือง การให้ขอ้ มูลความรู้เก่ียวกบั การเมืองแก่ประชาชนในชุมชนท่ีอาศยั อยใู่ นบริเวณน้นั การให้ ความสนใจกบั ทางราชการ และการเขียนจดหมายถึงบรรณาธิการหนงั สือพมิ พ์ กิจกรรมแต่ละอยา่ งตอ้ งการ แลกเปล่ียนข่าวสารภายในชุมชน ผูท้ ี่มีส่วนร่วมในระดบั “ผูส้ ื่อข่าว” มกั เป็ นพวกมีการศึกษาสูง มีขอ้ มูล เก่ียวกบั การเมืองมากพอ และมีความสนใจการเมืองมาก “ผูส้ ่ือข่าวทางการเมือง” จะวพิ ากษว์ จิ ารณ์รัฐบาล มากกวา่ “เจา้ หนา้ ที่พรรค” แตจ่ ะไมแ่ สดงออกดว้ ยการประทว้ ง Almond & Powell (1966: 145-146) จาแนกรูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมือง โดยแบ่ง ออกเป็น 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือ 1. เป็ นทางการ (Conventional Forms) ไดแ้ ก่ การออกเสียงเลือกต้งั การพูดจาปรึกษาเรื่อง การเมือง กิจกรรมการรณรงคห์ าเสียงเลือกต้งั การจดั ต้งั และเขา้ ร่วมเป็ นสมาชิกกลุ่มต่าง ๆ และการติดต่อ ส่วนตวั กบั เจา้ หนา้ ที่ทางการเมือง 2. ไม่เป็ นทางการ (Unconventional Forms) ไดแ้ ก่ การย่ืนขอ้ เรียกร้อง การเดินขบวน การ เขา้ ประจญั หนา้ กนั การละเมิดกฎระเบียบของสังคม การใชค้ วามรุนแรงทางการเมือง การก่อสงคราม และ การปฏิวตั ิ
27 Nie & Verba (1975: 9–12) จาแนกรูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองไว้ 4 รูปแบบ ดงั น้ี 1. การลงคะแนนเสียงเลือกต้ัง (Voting) รูปแบบการมีส่วนร่วมทางการเมืองน้ีทาให้ ประชาชนมีอิทธิพลเหนือผนู้ าทางการเมือง เพราะทาใหผ้ นู้ าตอ้ งปรับปรุงนโยบายเพ่อื คะแนนเสียงของ 2. กิจกรรมการรณรงคห์ าเสียง (Campaign Activity) การท่ีประชาชนในสังคมมีการส่วน ร่วมในการรณรงคห์ าเสียงเลือกต้งั ทาใหส้ ามารถเพม่ิ อิทธิพลเหนือผลการเลือกต้งั ไดโ้ ดยการกาหนดคะแนน เสียงใหก้ บั ผสู้ มคั รคนใดคนหน่ึง โดยกิจกรรมการรณรงคห์ าเสียง ไดแ้ ก่ การชกั ชวนใหผ้ อู้ ื่นลงคะแนนเสียง การทางานเพอ่ื พรรคการเมือง การร่วมประชุมสัมมนา การบริจาคเงินเพ่ือสนบั สนุนพรรคการเมือง และการ เขา้ ร่วมเป็นสมาชิกพรรคการเมือง 3. การติดต่อในฐานะของพลเมือง เป็ นการติดต่อเผชิญหน้าของบุคคลกบั รัฐบาลหรือ หน่วยงานของรัฐบาลซ่ึงเป็ นการกระทาตามลาพงั เป็ นกิจกรรมการมีส่วนร่วมทางการเมืองของบุคคลส่วน นอ้ ย กิจกรรมดงั กล่าวมกั ไม่มีความขดั แยง้ โดยตรงกบั กลุ่มบุคคลอ่ืน ๆ กิจกรรมการมีส่วนร่วมทางการเมือง ในรูปแบบน้ี ไดแ้ ก่ การติดต่อกบั เจา้ หนา้ ที่ทอ้ งถิ่นเกี่ยวกบั ปัญหาเฉพาะ เช่น ปัญหาครอบครัวหรือปัญหา ส่วนตวั การติดต่อกบั เจา้ หน้าท่ีทอ้ งถิ่นในเรื่องปัญหาสังคม เช่น ปัญหาอาชญากรรม หรือการบริหารงาน ของรัฐบาลทอ้ งถิ่น เป็นตน้ 4. การร่วมกิจกรรมของชุมนุมหรือองคก์ ารทางสังคม (Cooperative Activity) ลกั ษณะการมี ส่วนร่วมทางการเมืองในรูปแบบน้ี คือ การกระทารวมกนั เป็ นกลุ่มหรือกลุ่มองคก์ รในเร่ืองเก่ียวกบั ปัญหา การเมืองและสังคม เพือ่ ท่ีจะมีอิทธิพลเหนือจากการดาเนินกิจกรรมของรัฐบาล 1.4.4. ระดบั ของการมีส่วนร่วมทางการเมือง ถวิลวดี บุรีกุล (2549: 104) ไดแ้ บ่งระดบั การมีส่วนร่วมทางการเมือง ออกเป็ น 3 ระดับ ไดแ้ ก่ 1. การเขา้ ร่วมโดยตรงหรือการมีส่วนร่วมระดบั สูง ไดแ้ ก่ การเขา้ ร่วมในกิจกรรมการทาง การเมืองอยา่ งจริงจงั เช่น การสมคั รรับเลือกต้งั การดารงตาแหน่งทางการเมือง การมีส่วนร่วมทางานใน พรรคการเมือง และการเขา้ ดารงตาแหน่งทางการเมือง เป็นตน้ 2. การเขา้ ร่วมทางการเมืองระดบั กลาง ไดแ้ ก่ การรวมกลุ่มเพื่อผลกั ดนั นโยบายต่าง ๆ การ รวมกลุ่มประทว้ งหรือการเรียกร้องทางการเมือง และการจดั ต้งั กลุ่มผลประโยชน์ต่างๆ รวมไปถึงผูส้ นใจ และติดตามข่าวสารทางการเมืองอยา่ งสม่าเสมอดว้ ย 3. การเขา้ ร่วมทางการเมืองในระดบั ต่าหรือไม่ค่อยสนใจเขา้ ไปมีส่วนร่วมทางการเมือง ได้แก่ กลุ่มที่เข้าร่วมลงคะแนนเลือกต้ังเท่าน้ัน เพราะถือว่าเป็ นหน้าที่ของประชาชนตามระบอบ ประชาธิปไตย รวมถึงผไู้ มส่ นใจข่าวสารทางการเมืองดว้ ย
28 สานกั งานคณะกรรมการการเลือกต้งั (2559) ไดก้ ล่าวถึงระดบั การมีส่วนร่วมทางการเมือง จากระดบั ต่าไประดบั สูง ดงั น้ี 1. การติดตามขา่ วสารบา้ นเมือง 2. การใชส้ ิทธิเลือกต้งั 3. ริเร่ิมพดู คุยประเด็นการเมือง 4. ชกั จูง รณรงคใ์ หผ้ ูอ้ ่ืนสนบั สนุนบุคคลและพรรคการเมืองที่ตนสนบั สนุน 5. เสนอแนวคิด นโยบายต่อนกั การเมืองและผนู้ าทางการเมือง 6. บริจาคเงินสนบั สนุนกิจกรรมทางการเมือง 7. ร่วมประชุมรณรงคใ์ นการเคลื่อนไหวทางการเมือง 8. เป็นสมาชิกระดบั แกนนาพรรคการเมือง 9. ร่วมระดมทุน 10. เสนอตวั เป็นผลู้ งสมคั รรับเลือกต้งั 11. ดารงตาแหน่งทางการเมือง จากระดบั การมีส่วนร่วมทางการท่ีกล่าวไวข้ า้ งตน้ ผวู้ จิ ยั จึงไดจ้ ดั กลุ่มระดบั การมีส่วนร่วม ทางการเมืองในการวจิ ยั ในคร้ังน้ีได้ 3 ระดบั ดงั น้ี สมบตั ิ ธารงธญั วงศ์ (2545: 383–385) ไดจ้ ดั ลาดบั ของการมีส่วนร่วมทางการเมืองไวด้ งั น้ี 1. การแสดงความสนใจต่อกิจกรรมทางการเมือง การที่บุคคลจะแสดงความสนใจต่อ กิจกรรมทางการเมือง ย่อมแสดงว่าบุคคลน้ันได้รับปัจจยั กระตุ้นทางการเมือง (Political Stimuli) จาก ส่ิงแวดลอ้ มมากพอสมควร จนกระทง่ั เกิดความสนใจที่จะเขา้ ไปมีส่วนร่วมทางการเมืองดว้ ยตนเอง บุคคลท่ี คาดหวงั วา่ จะสร้างความสัมพนั ธ์กบั สิ่งแวดลอ้ มทางการเมืองอยา่ งมีประสิทธิภาพจะตอ้ งอุทิศความพยายาม เพื่อรวบรวมขอ้ มูลข่าวสารเก่ียวกบั การเมือง เพ่ือเพ่ิมพูนความรู้ทางการเมืองของตน กิจกรรมเหล่าน้ีถือเป็ น รากฐานเบ้ืองตน้ ที่จาเป็ นในการร่วมกิจกรรมทางการเมืองต่าง ๆ แมว้ า่ โดยทว่ั ไปปัจจยั กระตุน้ (Stimuli) จะ ถูกส่งผ่านทางสื่อต่าง ๆ มากมาย แต่บางคนอาจจะให้ความสนใจเพียงเล็กนอ้ ย หรือไม่ให้ความสนใจเลย การที่บุคคลจะตอบสนองต่อปัจจยั กระตุน้ ทางการเมืองอย่างไร ข้ึนอยูก่ บั เงื่อนไขเฉพาะบุคคล โดยทวั่ ไป การท่ีบุคคลไดร้ ับปัจจยั กระตุน้ ทางการเมืองยง่ิ มาก จะย่ิงทาให้บุคคลน้นั มีโอกาสมีส่วนร่วมทางการเมือง มากยง่ิ ข้ึน 2. การใชส้ ิทธิเลือกต้งั โดยทวั่ ไปการที่ประชาชนจะไปใชส้ ิทธิเลือกต้งั ประชาชนจะตอ้ งมี ความรู้ความเขา้ ใจ และตระหนกั ในคุณคา่ และความสาคญั ของการเลือกต้งั โดยเฉพาะเพื่อเป็นการแสดงออก ถึงการเป็ นเจา้ ของอานาจอธิปไตย ทาให้คู่แข่งขนั ทางการเมืองจะตอ้ งแสดงความรู้ ความสามารถ และการ เป็ นคนมีคุณธรรม เพื่อขอรับความไวว้ างใจจากประชาชน ให้เขา้ ไปดารงตาแหน่งทางการเมือง ดงั น้นั การ ใช้สิทธิเลือกต้งั แมจ้ ะเป็ นการแสดงออกในลาดบั พ้ืนฐานของการเก่ียวพนั ทางการเมือง แต่การใช้สิทธิ เลือกต้งั ของประชาชนเป็นการแสดงบทบาทการมีส่วนร่วมทางการเมืองท่ีนบั วา่ สาคญั มาก
29 3. การริเร่ิมประเด็นพูดคุยทางการเมือง โดยธรรมชาติของมนุษยจ์ ะให้ความสนใจเกี่ยวกบั สิ่งท่ีเป็ นประโยชน์ต่อตนเอง ดงั น้นั บุคคลท่ีคิดวา่ ตนไม่ไดร้ ับประโยชน์อยา่ งใดจากระบบการเมือง ก็จะไม่ สนใจการเมือง แมก้ ระทง่ั การพูดคุยทางการเมือง แต่บุคคลที่รู้และเขา้ ใจวา่ ระบบการเมืองมีความสาคญั และ มีประโยชน์ต่อตนอย่างไร จะให้ความสนใจทางการเมืองมาก โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เกี่ยวกบั ประเด็นทางการเมืองท่ีจะมีผลกระทบต่อการเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคม ดงั น้นั ระดบั ความสนใจเก่ียวกบั การริเริ่มพูดคุยทางการเมืองจึงแตกต่างกนั ไปในแต่ละบุคคล บางคนไม่สนใจ บางคน สนใจมาก บางคนเป็นผรู้ ับฟัง บางคนเป็นผนู้ าในการเสนอความคิดเห็นเก่ียวกบั ประเด็นทางการเมือง และผู้ ที่เป็ นผูน้ าในการแสดงความคิดเห็นทาการเมืองจะมีโอกาสเขา้ ไปมีส่วนร่วมในการต่อสู้ทางการเมือง โดยตรง มากกวา่ ผทู้ ่ีเป็นเพียงผรู้ ับฟังความคิดเห็นจากผอู้ ื่น 4. การชกั จูงใหผ้ อู้ ่ืนเลือกต้งั ผทู้ ี่ตนสนบั สนุน การแสดงออกในการชกั จูงใหผ้ ูอ้ ื่นไปใชส้ ิทธิ เลือกต้งั บุคลที่ตนเองสนบั สนุน นบั เป็ นความกา้ วหน้าอีกข้นั หน่ึงของผูท้ ี่สนใจเขา้ ไปมีส่วนเก่ียวขอ้ งทาง การเมือง ลกั ษณะของการแสดงออกเช่นน้ีมีลกั ษณะคลา้ ยกบั การเป็ น “หัวคะแนน” ของผูแ้ ข่งขนั ทางการ เมือง เป็นการแสดงออกถึงการผกู พนั ทางการเมืองท่ีชดั เจนมากกวา่ การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการพูดคุย ทางการเมือง ท้งั น้ีเพราะไดแ้ สดงความคิดเห็นดว้ ย และเชื่อวา่ ผูท้ ี่ตนสนบั สนุนจะเป็ นผูน้ าทางการเมืองที่ดี สามารถสร้างสรรคป์ ระโยชน์ใหแ้ ก่สังคมไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ 5. การติดกระดุมหรือติดสติ๊กเกอร์ เป็ นการแสดงออกอย่างเปิ ดเผยให้บุคคลทวั่ ไปรู้ว่าตน ให้ความสนับสนุนพรรคการเมืองใด หรือคู่แข่งขนั ทางการเมืองคนใด ท้งั น้ีเพราะการติดกระดุมที่เป็ น สญั ลกั ษณ์ของพรรคหรือของผสู้ มคั รรับเลือกต้งั ที่ปกเส้ือ ยอ่ มเป็นการประกาศตนในฐานะผสู้ นบั สนุนอยา่ ง ชดั เจน หรือการติดสติ๊กเกอร์ที่รถยนต์ ยอ่ มเป็นการแสดงเจตนาของเจา้ ของรถยนตว์ า่ ตนสนบั สนุนผใู้ ด และ มีลกั ษณะของการช่วยโฆษณาเผยแพร่อีกทางหน่ึงดว้ ย การกระทาเช่นน้ีอาจมีผลในการโนม้ นา้ วผูใ้ กลช้ ิดที่ ยงั มิไดต้ ดั สินใจ ให้เขา้ ร่วมสนบั สนุนเช่นเดียวกบั ตนได้ โดยเฉพาะบุคคลท่ีอยูใ่ นกลุ่มเดียวกนั จะสามารถ สร้างอิทธิพลในการชกั จูงไดง้ ่าย 6. การติดตอ่ กบั นกั การเมืองหรือผนู้ าทางการเมือง การกระทาทางการเมืองในลาดบั น้ีแสดง วา่ บุคคลไดเ้ พิ่มระดบั ความสนใจทางการเมืองข้ึน จนถึงกบั อยากจะสัมผสั พูดคุย หรือส่ือความเห็นโดยตรง กบั ผูน้ าทางการเมือง โดยอาจจะเสนอแนะขอ้ คิดเห็นเพิ่มเติมหรือให้กาลงั ใจนกั การเมืองให้มีขวญั และ กาลงั ใจในการตอ่ สู้ตอ่ ไป 7. การบริจาคเงิน เป็ นการแสดงออกถึงการสนบั สนุนทางการเมืองที่สาคญั ท้งั น้ีเพราะใน ระบอบประชาธิปไตย การเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยเฉพาะการรณรงค์และการแข่งขนั เลือกต้งั เป็ น กระบวนการท่ีมีค่าใชจ้ ่ายมาก ดงั น้นั การที่บุคคลร่วมบริจาคเงินยอ่ มแสดงถึงความมุ่งมนั่ ในการสนบั สนุน อย่างจริงจงั และอาจพฒั นาไปสู่การเป็ นผูเ้ ขา้ ร่วมต่อสู้ทางการเมืองโดยตรงในฐานะสมาชิกท่ีสาคญั ของ พรรค
30 8. การร่วมประชุมหรือชุมนุมทางการเมือง เป็ นการแสดงออกทางการเมืองท่ีมีความสาคญั ยง่ิ ข้ึน เป็นการแสดงออกถึงความเห็นพอ้ งและความผกู พนั มากข้ึน การเขา้ ร่วมประชุมและการเขา้ ร่วมชุมนุม ย่อมเป็ นการแสดงออกซ่ึงการสนับสนุนท้งั ทางกายและทางจิตใจ เป็ นการร่วมให้กาลงั ใจแก่ผูท้ ่ีมีความ คิดเห็นทางการเมืองตรงกนั เป็ นการแสดงออกซ่ึงการสังกดั กลุ่มอยา่ งชดั เจน การแสดงออกเช่นน้ีเป็ นพลงั สาคญั ในการต่อสู้ทางการเมือง และเป็ นสิ่งที่ผูแ้ ข่งขนั ทางการเมืองมีความประสงค์จะไดร้ ับการสนบั สนุน มาก 9. การร่วมรณรงค์ทางการเมือง เป็ นกิจกรรมท่ีสาคญั ในการขยายความสนับสนุนจาก ประชาชนให้มีความกวา้ งขวางและทวั่ ถึง การร่วมรณรงคท์ างการเมืองเป็ นการแสดงออกซ่ึงการมีภารกิจ ร่วมกนั ของผูท้ ่ีสนใจทางการเมือง การร่วมรณรงค์ทางการเมืองจะเกิดข้ึนเม่ือบุคคลมีความมนั่ ใจและ ความรู้สึกท่ีดีต่อพรรคการเมืองและคู่แข่งขนั ทางการเมือง ตอ้ งการแสดงให้เห็นว่าตนเองมีส่วนร่วมใน ความสาเร็จของการต่อสู้ทางการเมืองน้นั ดว้ ย 10. การเป็ นสมาชิกสาคญั ของพรรคการเมือง เป็ นการแสดงออกทางการเมืองอยา่ งชดั เจน วา่ ตนเองสังกดั พรรคใด และเป็ นการยอมรับภารกิจในฐานะสมาชิกของพรรคที่จะตอ้ งช่วยเสริมสร้างความ แขง็ แกร่งของพรรค และการร่วมผลกั ดนั เพื่อให้พรรคหรือผสู้ มคั รรับเลือกต้งั ของพรรคไดร้ ับชยั ชนะในการ เลือกต้งั 11. การร่วมประชุมแกนนาของพรรค เป็ นการแสดงออกซ่ึงการมีส่วนร่วมในการตดั สินใจ ในกิจกรรมของพรรค กล่าวไวว้ า่ เป็ นการมีส่วนร่วมทางการเมืองในระดบั สูง บุคคลที่จะเขา้ มามีบทบาทใน การร่วมประชุมแกนนาของพรรค หรือการร่วมประชุมวางแผนกลยทุ ธ์ของพรรค โดยทว่ั ไปจะตอ้ งผา่ นการ เป็ นสมาชิกที่มีบทบาทสาคญั ของพรรค จนพรรคเกิดความไวว้ างใจและมีความเช่ือมน่ั วา่ จะช่วยเสริมสร้าง กิจกรรมของพรรคใหม้ ีความแขง็ แกร่ง สามารถที่จะเอชนะคูแ่ ข่งขนั ทางการเมืองได้ 12. การร่วมระดมทุน เป็ นกิจกรรมสาคญั ของสมาชิกพรรคระดบั สูง ผทู้ ี่จะอยูใ่ นฐานะที่จะ ระดมทุนใหแ้ ก่พรรคการเมืองหรือผูส้ มคั รรับเลือกต้งั ได้ นอกจากจะตอ้ งเป็ นผูท้ ่ีมีความสามารถแลว้ ยงั ตอ้ ง เป็ นผทู้ ่ีมีฐานะทางเศรษฐกิจและสงั คมดว้ ย เพื่อให้สามารถติดต่อกบั บุคคลช้นั สูงในสงั คมท่ีมีฐานะดีและอยู่ ในวสิ ัยท่ีจะบริจาคทรัพยเ์ พ่อื ร่วมสนบั สนุนการแข่งขนั ทางการเมืองได้ 13. การเสนอตวั เป็ นคู่แข่งขนั ทางการเมือง อาจกล่าวไดว้ า่ เป็ นการแสดงออกการเมืองที่ สาคญั ย่ิง ท้งั น้ีเพราะการเสนอตวั เป็ นคู่แข่งขนั ทางการเมืองเพื่อให้ประชาชนพิจารณาให้ความไวว้ างใจ บุคคลท่ีจะมีบทบาทในระดบั น้ีไดต้ อ้ งเป็ นบุคคลท่ีมีความสามารถพิเศษ จะตอ้ งเป็ นบุคคลที่มีความคิดริเริ่ม สร้างสรรค์ และมีความเช่ือมน่ั ในตนเองสูง สามารถสร้างความนิยมศรัทธาให้เกิดแก่ประชาชนได้ ประการ สาคญั จะตอ้ งสร้างความประทบั ใจให้แก่ประชาชนอยา่ งกวา้ งขวาง สามารถทาให้ประชาชนเชื่อมน่ั ไดว้ า่ จะ เป็ นผนู้ าความสาเร็จและการมีชีวิตที่ดีย่งิ ข้ึนมาสู่ประชาชน ส่วนระดบั ของความสามารถของผูเ้ สนอตวั เขา้ แข่งขนั จะแตกต่างกนั ไปตามระดบั ของตาแหน่งท่ีจะเขา้ ไปรับผิดชอบ อาทิ นายกเทศมนตรี ผูว้ ่าราชการ หรือผนู้ าประเทศ
31 14. การดารงตาแหน่งทางการเมือง เป็ นการแสดงออกทางการเมืองในระดบั สูงสุด เป็ นผล จากการไดร้ ับชยั ชนะจากการเสนอตวั เขา้ แข่งขนั ทางการเมือง การแสดงบทบาทในฐานะที่ดารงตาแหน่ง ทางการเมืองนบั วา่ มีความสาคญั อยา่ งยิง่ ท้งั น้ีเพราะจะมีผลกระทบต่อความศรัทธาเช่ือมนั่ ของประชาชนใน ระยะยาว ถา้ ผูด้ ารงตาแหน่งทางการเมืองมีความสามารถในการพฒั นาประเทศ ทาให้ประชาชนมีชีวิตที่ดี และมีความสุข จะทาให้พรรคไดร้ ับความไวว้ างใจจากประชาชนมากยิ่งข้ึน ซ่ึงจะส่งผลถึงโอกาสที่จะไดร้ ับ ชัยชนะในการเลือกต้งั คร้ังต่อไปด้วย ในทางตรงกนั ขา้ มถา้ หากผูด้ ารงตาแหน่งทางการเมืองไม่สามารถ บริหารประเทศให้เป็ นตามความคาดหวงั ของประชาชนจะส่งผลกระทบให้ประชาชนเส่ือมศรัทธาต่อพรรค การเมืองที่สังกัดดว้ ย และจะทาให้โอกาสที่จะได้รับชัยชนะในการเลือกต้งั คร้ังต่อไปเป็ นไปด้วยความ ยากลาบาก ดงั น้นั การแสดงออกซ่ึงการมีส่วนร่วมทางการเมืองดว้ ยการดารงตาแหน่งทางการเมือง จึงเป็ น บทบาทสาคญั สูงสุดของประชาชนท่ีมีต่อระบบการเมือง จากการสังเคราะห์ระดบั การมีส่วนร่วมทางการเมือง ผูว้ ิจยั ไดส้ รุประดบั การมีส่วนร่วม ทางการเมืองได้ 3 ระดบั ดงั น้ี ตารางที่ 1 ระดบั การมีส่วนร่วมทางการเมือง ระดบั การมสี ่วนร่วมทางการเมือง ระดับต่า ระดบั ปานกลาง ระดบั สูง (1) การแสดงความสนใจต่อ (5) การแสดงสัญลกั ษณ์ในการ (8) การร่วมกิจกรรมของพรรค กิจกรรมทางการเมือง สนบั สนุนพรรคการเมือง การเมืองและประชุมหรือชุมนุม (2) การใชส้ ิทธิเลือกต้งั (6) การเป็ นสมาชิกและบริจาค ทางการเมือง (3) การเร่ิมพดู คุยประเดน็ เงินสนบั สนุนกิจกรรมทาง (9) การเสนอตวั เป็นผแู้ ข่งขนั ทางการเมือง การเมือง ทางการเมือง (4) การชกั จูงผูอ้ ื่นใหเ้ ลือกต้งั ผทู้ ่ี (7) การร่วมรณรงคท์ างการเมือง ตนสนบั สนุน 1.5. การตัดสินใจทางการเมือง การตดั สินใจ (Decision Making) เป็ นเร่ืองท่ีเก่ียวขอ้ งในชีวิตประจาวนั ของคนในสงั คม ทุกคนยอ่ ม มีปัญหาและหาทางออกดว้ ยการทางเลือกท่ีดีที่สุดในตดั สินใจ การตดั สินใจมีต้งั แต่เรื่องง่าย ๆ เช่น การเลือก รับประทานอาหาร ไปจนถึงเร่ืองท่ีซบั ซ้อน เช่น การเลือกคณะที่อยากศึกษาต่อ หรือการตดั สินในในการ เลือกท่ีทางาน เป็นตน้ การตดั สินใจเกิดข้ึนไดต้ ้งั แต่ระดบั ปัจเจกบุคคล ระดบั องคก์ าร ไปจนถึงระดบั มวลชน เช่น การตดั สินใจในการเขา้ ร่วมทางการเมืองของประชาชน เป็นตน้ (ดลภพ เหล่าวานิช, 2550)
32 1.5.1. กระบวนการตดั สินใจทางการเมือง การตดั สินใจทางการเมืองเป็ นการใช้ความคิดท่ีละเอียดละซับซ้อน Simon (อ้างถึงใน ดลภพ เหล่าวานิช, 2550) จึงไดแ้ บ่งกระบวนการจดั สินใจไวด้ งั น้ี 1. การระบุปัญหา (Problem Identification) เป็ นการคน้ หาขอ้ เทจ็ จริงของปัญหา วา่ เกิดจากอะไร ซ่ึงจะตอ้ งทาความเขา้ ใจกบั ปัญหาที่แทจ้ ริงก่อน 2. การค้นหาสารสนเทศท่ีเก่ียวข้องกับปัญหา (Information Search) เป็ นการ แสวงหาสารสนทศท่ีเกี่ยวขอ้ งกบั ปัญหา เพื่อให้รู้ถึงสาเหตุของปัญหา โดยการแสวงหาสารสนเทศให้ เพยี งพอต่อการแกไ้ ขปัญหาที่เกิดข้ึน 3. การประเมินสารสนเทศ (Evaluation of Information) เป็ นการประเมิน สารสนเทศท่ีได้จากการแสวงหาว่ามีความถูกต้องและเหมาะสมมากน้อยเพียงใด หากไม่ตรงกับความ ตอ้ งการจึงตอ้ งกลบั ไปแสวงหาสารสนเทศใหมจ่ นไดส้ ารสนเทศท่ีตอ้ งการ 4. การกาหนดทางเลือก (Listing of Alternatives) เป็ นข้ันตอนการกาหนด ทางเลือกในการแกป้ ัญหาใหไ้ ดม้ ากที่สุด ซ่ึงทางเลือกแต่ละทางเลือกจะมีความน่าจะเป็ นในการแกป้ ัญหาท่ี แตกตา่ งกนั 5. การเลือกทางเลือก (Selection of Alternatives) เป็ นการเลือกทางเลือกท่ีดีท่ีสุด ในการแกไ้ ขปัญหาที่เกิดข้ึน 6. การตัดสินใจกระทา (Implementation of Decision) เมื่อเลือกทางเลือกที่ดีท่ีสุด ในการแกป้ ัญหาแลว้ จึงตดั สินใจปฏิบตั ิตามทางเลือกที่ไดเ้ ลือกไว้ 1.5.2. รูปแบบของการตดั สินใจทางการเมือง การตดั สินใจทางการเมืองเป็ นเรื่องของการเขา้ ไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางการเมืองเร่ิม ต้งั แต่ระดบั ต่าสุดไปจนถึงระดบั สูงสุด สัญญา เคณาภูมิ (2559) ไดก้ ล่าวถึงรูปแบบของการตดั สินใจทาง การเมืองไวด้ งั น้ี 1. การเฝ้ าสั งเกต (Observation) การเฝ้าสังเกตการณ์ในปรากฏการณ์ ต่าง ๆ เพื่อใหเ้ ขา้ ใจองคป์ ระกอบของเหตุการณ์ท่ีเกิดข้ึน การสังเกตการถือวา่ เป็นการเก็บรวบรวมขอ้ มูลจาก เหตุการณ์หรือปรากฏการณ์ที่เกิดข้ึน จะนาไปสู่การประเมินและการใหค้ ุณค่ากบั ส่ิงที่พบเห็น 2. การมีส่ วนร่ วม (Participation) การให้ประชาชนเข้ามาเก่ียวข้องในการ ดาเนินงาน การตดั สินใจ และการแกไ้ ขปัญหา เป็นผลมาจากความคิดเห็นที่ตรงกนั ในเร่ืองของความตอ้ งการ และการกาหนดทิศทางต่อการเปล่ียนแปลง 3. การประสานงาน (Coordination) การทาให้บุคคลที่ทางานมีความสัมพนั ธ์กนั ในหนา้ ท่ี ความรับผดิ ชอบ และเป้าหมายในการดาเนินงาน
33 4. การร่วมงาน (Co-operation) การทากิจกรรมของบุคคลท้งั 2 ฝ่ ายเพื่อจุดมุ่ง หมายที่เหมือนกนั มีผลใหผ้ รู้ ่วมงานมีความพงึ พอใจและมีส่วนร่วมในการดาเนินงาน 5. ความร่วมมือ (Collaboration) การร่วมกิจกรรมต้งั แต่ 2 องคก์ รข้ึนไป เป็ นการ สร้างสิ่งที่น่าสนใจร่วมกนั การแบ่งปันอานาจและบทบาทหนา้ ที่ในการรับผดิ ชอบร่วมกนั 6. การเป็ นหุ้นส่ วน (Partnership) เป็ นการดาเนินงานท่ีมีความเก่ียวข้องกันท่ี มากกวา่ 1 กลุ่ม เพ่ือบรรลุวตั ถุประสงค์ของการดาเนินงานร่วมกนั มีเป้าหมายของการสร้างประโยชน์ทาง สังคม และไม่สามารถดาเนินการไดเ้ พยี งกลุ่มเดียว 2. แนวคดิ เกย่ี วพฤตกิ รรมสารสนเทศ 2.1. ความหมายของพฤติกรรมสารสนเทศ Wilson (1999) ให้ความหมายวา่ พฤติกรรมสารสนเทศ หมายถึง พฤติกรรมของมนุษยท์ ่ีแสดงออก เม่ือมีความตอ้ งการสารสนเทศ สามารถกาหนดความตอ้ งการสารสนเทศของตน สามารถสืบคน้ สารสนเทศ ไดห้ ลากหลายวธิ ีการ และสามารถใชส้ ารสนเทศหรือเปลี่ยนรูปสารสนเทศไดโ้ ดย Wilson มีฐานคิดวา่ ความ ตอ้ งการสารสนเทศที่แตกตา่ งกนั ของบุคคลยอ่ มนาไปสู่พฤติกรรมที่แตกตา่ งกนั Todd (2003) ให้ความหมายว่า พฤติกรรมสารสนเทศ หมายถึง เป็ นการศึกษาปฏิสัมพนั ธ์รูปแบบ ต่างๆ ระหวา่ งมนุษยก์ บั สารสนเทศ (หมายรวมถึงสารสนเทศทุกรูปแบบ อาทิขอ้ มูล/สารสนเทศ/ความรู้/ ปัญญา) ตวั อย่างพฤติกรรมเหล่าน้นั เช่น ความตอ้ งการ การแสวงหาสารสนเทศ รูปแบบของการเขา้ ถึง สารสนเทศ การสืบคน้ และการแพร่กระจายสารสนเทศ การประมวลผลสารสนเทศ และการใชส้ ารสนเทศ เป็ นตน้ อารีย์ ชื่นวฒั นา (2546) ให้ความหมายวา่ พฤติกรรมสารสนเทศ หมายถึง พฤติกรรมต่าง ๆ ที่มนุษย์ กระทาเพื่อที่จะไดร้ ับสารสนเทศจากแหล่งสารสนเทศและชิ่งทางสารสนเทศ รวมถึงพฤติกรรมการแสวงหา สารสนเทศและการใชส้ ารสนเทศ จากการสังเคราะห์ความหมายของพฤติกรรมสารสนเทศ สรุปไดว้ า่ พฤติกรรมสารสนเทศ หมายถึง พฤติกรรมของมนุษยท์ ี่เกิดข้ึนเม่ือมีความตอ้ งการสารสนเทศ โดยสามารถกาหนดความตอ้ งการสารสนเทศ การแสวงหาสารสนเทศ เขา้ ถึงสารสนเทศ การสืบคน้ และการแพร่กระจายสารสนเทศ การประมวลผล สารสนเทศ และการใชส้ ารสนเทศ เพ่ือตอบสนองตอ่ วตั ถุประสงคใ์ นการใชส้ ารสนเทศของตนเอง 2.2. ความสาคัญของพฤติกรรมสารสนเทศ มนุษยม์ ีความตอ้ งการพ้ืนฐานที่จะไดร้ ับสารสนเทศ เพราะสารสนเทศจะช่วยลดความไม่แน่ใจของ ผใู้ ชส้ ารสนเทศใหล้ ดนอ้ ยลง การตดั สินใจโดยสารสนเทศเป็ นฐานในการตดั สินใจท่ีมีการตรวจสอบความรู้ ที่มีอยูร่ อบดา้ น ซ่ึงจะทาให้การตดั สินใจเกิดขอ้ ผิดพลาดไดน้ อ้ ยท่ีสุดหรือในการตดั สินใจที่มีความยุ่งยาก ซบั ซอ้ นสารสนเทศเป็ นส่ิงท่ีเพิ่มความน่าจะเป็ นของความแน่ใจจึงตอ้ งแสวงหาสารสนเทศที่เกี่ยวขอ้ งหรือ ปัจจยั ท่ีเก่ียวขอ้ งกบั เรื่องน้นั ๆ มาใชใ้ นการตดั สินใจ (ชชั วาล วงษป์ ระเสริฐ, 2549)
34 สารสนเทศสามารถใชเ้ ป็ นพ้ืนฐานในการวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ เพ่ือแกไ้ ขปัญหาที่เกิดข้ึนท้งั ในชีวติ ประจาวนั และการทางาน ะการท่ีบุคคลไดร้ ับสารสนเทศที่ถูกตอ้ งเหมาะสมรวดเร็วและทนั ต่อการใช้ งานจะช่วยให้ประสบความสาเร็จในหนา้ ที่การงานไดด้ ีโดยเฉพาะเมื่ออยูใ่ นวยั ทางานสารสนเทศเกี่ยวกบั การปฏิบตั ิงานน้ันเป็ นส่ิงจาเป็ นอย่างย่ิง ในการศึกษาพฤติกรรมสารสนเทศเริ่มต้นจากความต้องการ สารสนเทศ การแสวงหาสารสนเทศ และการนาสารสนเทศไปใชต้ ามวตั ถุประสงค์ สมพร พุทธาพิทกั ษผ์ ล (2545) ไดก้ ล่าวไวว้ า่ การศึกษาผใู้ ชม้ ีความสาคญั ต่อผใู้ หบ้ ริการสารสนเทศ ดงั น้ี 1. ช่วยใหเ้ ขา้ ใจลกั ษณะของผใู้ ช้ บริบท และระดบั การใช้ 2. ทาใหท้ ราบลกั ษณะและความตอ้ งการสารสนเทศของผใู้ ช้ 3. ทาใหท้ ราบปัจจยั ท่ีมีผลต่อความตอ้ งการสารสนเทศ ปัญหาที่เกิดข้ึนในการจดั บริการที่ ตรงกบั ความตอ้ ง และจดั หาหรือรวบรวมสารสนเทศที่ตรงกบั ความตอ้ งการสารสนเทศของผใู้ ช้ 4. ช่วยให้เขา้ ใจสภาพการใช้สารสนเทศ ในการออกแบบระบบสารสนเทศ และบริการ สารสนเทศใหเ้ หมาะสมกบั สภาพการใชส้ ารสนเทศของผใู้ ช้ 5. ทาให้ทราบปัจจยั ท่ีมีผลต่อสภาพการใช้สารสนเทศ ปัญหาท่ีเกิดจากการใชส้ ารสนเทศ เพอื่ นามาปรับปรุงการบริการใหเ้ หมาะกบั การใชส้ ารสนเทศของผใู้ ช้ 6. ทาให้ทราบประสิทธิภาพ ขอ้ ดีและขอ้ จากดั ของวิธีการคน้ หาสารสนเทศ การนาเสนอ สารสนเทศ หรือแหล่งสารสนเทศ ในการพฒั นาวธิ ีการคน้ หาสารสนเทศที่เหมาะสมกบั ผใู้ ช้ Savolainen (2005) ไดก้ ล่าวไวว้ า่ พฤติกรรมสารสนเทศสารสนเทศแบ่งออก 2 กรณี คือ “Passive” เป็นการรับสารสนเทศจากแหล่งส่ือต่าง ๆ และ “Active” เป็นการเป็นการรับสารสนเทศและเกิดความสนใจ จึงเกิดพฤติกรรมสารสนเทศ โดยมีความตอ้ งการสารสนเทศ (Information Need) เพิม่ มากข้ึน บุคคลจึงแสดง พฤติกรรมสารสนเทศโดยการแสวงหาสารสนเทศ (Information Seeking) จากแหล่งสารสนเทศต่าง ๆ เมื่อ ผูใ้ ชไ้ ดร้ ับสารสนเทศท่ีตรงกบั ความตอ้ งการแลว้ จึงนาสารสนเทศท่ีไดจ้ ากการแสวงหามาใช้ (Information Use) 2.3. ความต้องการสารสนเทศ 2.3.1. ความหมายของความต้องการสารสนเทศ สมพร พุทธาพิทกั ษผ์ ล (2553) ให้ความหมายวา่ ความตอ้ งการสารสนเทศ เป็ นจุดเริ่มตน้ ที่ ผลักดนั ให้ผูใ้ ช้แสวงหาสารสนเทศด้วยวิธีการต่าง ๆ โดยเป็ นภาวะที่ผูใ้ ช้รู้สึกเกิดความจาเป็ นต้องใช้ สารสนเทศ แต่สารสนเทศท่ีตนมีอยูไ่ ม่เพียงพอ ไม่ตรงกบั ความตอ้ งการ หรือไม่ทนั สมยั จึงตอ้ งแสวงหา สารสนเทศจากแหล่งอื่น ๆ ประภาวดี สืบสนธ์ิ (2546) ให้ความหมายว่า ความตอ้ งการสารสนเทศ หมายถึง ความ ตระหนกั ถึงความไม่รู้ไม่เขา้ ใจท่ีตนมีอยู่ ความตอ้ งการสารสนเทศจึงเป็ นสิ่งที่ช่วยใหบ้ ุคคลน้นั ไม่ตกอยู่ใน สถานการณ์ที่เป็ นปัญหา
35 อารีย์ ช่ืนวฒั นา (2553) ให้ความหมายวา่ ความตอ้ งการสารสนเทศ หมายถึง ภาวะท่ีบุคคล ตระหนกั ถึง ช่องวา่ งทางความรู้หรือการขาดสารสนเทศ ซ่ึงผลกั ดนั ให้เกิดการแสวงหาสารสนเทศ ความ ตอ้ งการสารสนเทศมีลกั ษณะเป็ นพลวตั สามารถจาแนกไดต้ ามเงื่อนไขของเวลา ขอบเขต และลกั ษณะความ ตอ้ งการ ชชั วาลย์ วงษป์ ระเสริฐ (2539) ใหค้ วามหมายวา่ ความตอ้ งการสารสนเทศ เป็นกระบวนการ หรือข้นั ตอนการปฏิบตั ิเพ่ือใหไ้ ดม้ าซ่ึง สารสนเทศที่ตรงตามความตอ้ งการ ความตอ้ งการ สารสนเทศเป็ นคา ที่ใช้แทนแนวคิดเพื่ออธิบายว่าทาไมบุคคลหน่ึง ๆ จึงตดั สินใจแสวงหาสารสนเทศ และเม่ือบุคคลน้ัน ๆ ไดร้ ับสารสนเทศแลว้ จะนาสารสนเทศที่ไดร้ ับไปใชด้ ว้ ยวตั ถุประสงคใ์ ด จุฑารัตน์ ช่างทอง (2554) ใหค้ วามหมายวา่ ความตอ้ งการสารสนเทศ หมายถึง การท่ีบุคคล ตอ้ งการสารสนเทศสาหรับใชใ้ นการตดั สินใจหรือตอ้ งการขอ้ เทจ็ จริง เพื่อตอบสนองตามความตอ้ งการของ วตั ถุประสงค์ Willson (1997) ให้ความหมายวา่ ความตอ้ งการสารสนเทศ คือ ส่ิงที่เกิดมาจากคุณลกั ษณะ ส่วนบุคคล ความเป็นตวั ตนของแตล่ ะบุคคล และบริบทในแตล่ ะสถานการณ์ Pao & Westbrook (อ้างถึงใน อารีย์ ชื่นวฒั นา, 2553) ให้ความหมายว่า ความต้องการ สารสนเทศ หมายถึง ช่องว่างทางความรู้หรือการขาดสารสนเทศชิ้นใดชิ้นหน่ึง กล่าวคือ เมื่อคนมีปัญหา คาถามเกี่ยวกบั เร่ืองใดเร่ืองหน่ึง และตระหนกั ว่าความรู้ที่ตนมีอยไู่ ม่เพียงพอท่ีจะแกไ้ ขปัญหา จึงแสวงหา สารสนเทศเพื่อนามาใชแ้ กไ้ ขปัญหาน้นั จากการสังเคราะห์ความหมายของความต้องการสนเทศ สรุปได้ว่า ความต้องการ สารสนเทศ หมายถึง ช่องว่างทางความรู้หรือการขาดสารสนเทศของผูใ้ ช้ เป็ นภาวะที่ผูใ้ ชร้ ู้สึกเกิดความ จาเป็ นตอ้ งใช้สารสนเทศและผลกั ดนั ให้ผูใ้ ช้แสวงหาสารสนเทศดว้ ยวิธีการต่าง ๆ เพื่อนามาใชห้ รือแกไ้ ข บญั หา โดยความตอ้ งการสารสนเทศมีลกั ษณะเป็ นพลวตั (dynamic) ซ่ึงสามารถจาแนกไดต้ ามเงื่อนไขของ เวลา ขอบเขต และลกั ษณะความตอ้ งการ 2.3.2. ปัจจัยทสี่ ่งผลต่อความต้องการสารสนเทศ Wilson (อา้ งถึงใน ประภาวดี สืบสนธ์ิ, 2552) ไดก้ ล่าวถึงปัจจยั ที่ทาให้เกิดความตอ้ งการ สารสนเทศ ดงั น้ี 2.3.2.1. ปัจจัยที่เก่ยี วกบั ตนเอง ไดแ้ ก่ ปัจจยั ดา้ นความตอ้ งการพ้ืนฐาน และปัจจยั ดา้ นลกั ษณะส่วนตวั ภูมิหลงั แรงจูงใจในการคน้ หาสารสนเทศนกั จิตวทิ ยาไดแ้ บง่ ความตอ้ งการพ้ืนฐานของ มนุษยท์ ่ีเป็ นแรงจูงใจหรือแรงกระตุน้ ให้เกิดพฤติกรรมต่าง ๆ ความตอ้ งการพ้ืนฐานเป็ นเรื่องเฉพาะของคน แต่ละคนท่ีมีความแตกต่างกนั ออกไป ซ่ึงจะมีผลต่อความต้องการสารสนเทศ การแสวงหา และการใช้ สารสนเทศของแต่ละบุคคล ซ่ึงความตอ้ งการพ้ืนฐาน มีดงั น้ี 1. ความตอ้ งการทางดา้ นร่างกาย เป็ นความตอ้ งการพ้ืนฐาน เช่น ตอ้ งการ อาหาร ท่ีอยอู่ าศยั เครื่องนุ่มห่ม และยารักษาโรค
36 2. ความตอ้ งการทางจิต เป็นความตอ้ งการที่เกี่ยวกบั อารมณ์หรือความรู้สึก เช่น ตอ้ งการความสาเร็จ ตอ้ งการมีอานาจ และตอ้ งการความยอมรับนบั ถือ เป็นตน้ 3. ความตอ้ งการทางปัญญา เป็ นความตอ้ งการที่เก่ียวขอ้ งกบั ความเฉลียว ฉลาด เช่น ตอ้ งการวางแผนการตดั สินใจ และตอ้ งการเรียนรู้ใหเ้ กิดความชานาญ เป็นตน้ รูปภาพท่ี 8 รูปแบบความตอ้ งการและการแสวงหาสารสนเทศ (Wilson, 1981) 2.3.2.2. บทบาทและหน้าท่ีการงาน เป็ นปัจจยั ที่ทา ให้เกิดความตอ้ งการพ้ืนฐาน โดยเฉพาะความต้องการทางปัญญา จะทาให้เกิดความต้องการสารสนเทศต่อไป เช่น บุคลากรระดับ ปฏิบตั ิการ ระดบั หวั หนา้ งาน และผบู้ ริหารระดบั สูง มีความตอ้ งการสารสนเทศในลกั ษณะท่ีมีรายละเอียดที่ แตกตา่ งกนั 2.3.2.3. สภาพแวดล้อมโดยรอบ ประกอบดว้ ย 1. สภาพแวดล้อมเก่ียวกบั งาน งานบางประเภทหรือองค์การบางแห่งมี วฒั นธรรมของการใชส้ ารสนเทศในการดาเนินงาน เช่น งานวางแผน เป็ นตน้ ในขณะที่งานประจาที่ปฏิบตั ิ เป็นกิจวตั รมีความตอ้ งการสารสนเทศในการทางานนอ้ ย 2. สภาพแวดลอ้ มทางสังคม-วฒั นธรรม สังคมปัจจุบนั เป็นสงั คมอิงความรู้ หรือสังคมแห่งการเรียนรู้ ซ่ึงสารสนเทศและความรู้มีความสาคญั ต่อการที่ดารงชีวิตในสังคมปัจจุบนั มากกวา่ สมยั ก่อน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223