Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้า (1)

คู่มือการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้า (1)

Published by Chalermkiat Deesom, 2022-06-21 08:33:33

Description: คู่มือการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้า (1)

Search

Read the Text Version

หลักสตู ร การบรหิ ารจัดการพลังงานไฟฟา้ การพลังงานความ 2) อัตราสว่ นประสิทธภิ าพพลงั งาน (Energy Efficiency Ratio) เช่นเดยี วกบั สัมประสิทธิใ์ นการทางาน เพียงแต่พลังงานความเย็นท่ีใช้มีหน่วยเป็น บีทียู/ชม. แต่ พลังงานไฟฟา้ ทใี่ ช้มีหน่วยเป็นวตั ต์ เพราะฉะนั้น ประสิทธิภาพออี อี าร์มีหน่วยเป็น บที ียู/ชม.ตอ่ วัตต์ EER = ความสามารถในการทาความเยน็ (btu/h) กาลงั ไฟฟา้ ทมี่ อเตอรข์ อง Compressor (kW) 6.1.6 การประหยดั พลงั งานท่ีใชใ้ นเคร่ืองทานา้ เยน็ เคร่ืองทานา้ เยน็ เปน็ อปุ กรณ์ท่ีใชพ้ ลังงานไฟฟ้ามากท่ีสดุ ในระบบทาความเยน็ ดังนน้ั จงึ ควรพยายามหา วิธีการลดพลงั งานในสว่ นนี้ ซง่ึ จะทาให้สามารถประหยัดได้ปริมาณมาก วิธีการมาตรฐานท่ีใช้กับเครื่องทาน้าเย็นมี 4 วิธี ดงั นี้ 1) การปรบั ตั้งอุณหภมู นิ ้าเยน็ ท่อี อกจากเครือ่ งทานา้ เย็นใหส้ งู ข้ึน การปรับต้ังอุณหภมู ิของน้าเยน็ ทอี่ อกจากเคร่อื งทานา้ เย็น จะมีผลตอ่ ความสน้ิ เปลอื งพลงั งานอย่าง มาก ในบางอาคารท่ีปรบั ตง้ั คา่ อุณหภูมินา้ เย็นท่ีออกจากเครื่องทาน้าเย็นไว้ต่าเกินไปสามารถเพิ่มอุณหภูมิของน้าเย็น ข้นึ ได้ โดยไมก่ ระทบต่อสภาพของห้องต่างๆ ในอาคารมากนัก การเพิ่มอุณหภมู ขิ องน้าเย็นข้ึน 1oF จะทาให้พลังงานที่ ใช้ในเคร่อื งทานา้ เยน็ ลดลง 1.5-2% 2) การลดอณุ หภูมิน้าหลอ่ เย็นที่ออกจาก Cooling Tower ลดอุณหภูมิน้าหล่อเย็นจาก Cooling Tower ที่เข้าสู่ Condenser สามารถประหยัดพลังงานของ เครือ่ งทาน้าเยน็ ได้ 1.5-2% สาหรบั ทกุ ๆ 1oF ของอณุ หภูมินา้ หล่อเย็นที่ลดตา่ ลง โดยที่อากาศในประเทศไทยค่อนข้าง ชืน้ การทานา้ หล่อเย็นให้มีอุณหภูมิต่ามากๆ ต้องลงทุนด้วยการซื้อ Cooling Tower ที่มีขนาดใหญ่ข้ึน หรือมิฉะนั้นก็ เดิน Cooling Tower ชดุ สารองในขณะท่คี วามรอ้ นภายในอาคารเกดิ ขน้ึ สงู สุด 3) การควบคุมความต้องการกาลงั ไฟฟ้าสงู สดุ ควบคมุ ค่าความต้องการกาลังไฟฟ้า (Electric Demand) ของเคร่ืองทาน้าเย็นมิให้สูงเกินไปทาได้ 2 วธิ ี (1) ทาการหยดุ เคร่อื งเป่าลมทีใ่ ช้ทาความเย็นแก่บริเวณที่มีความสาคัญน้อยช่ัวขณะในช่วงเวลาที่ ความตอ้ งการไฟฟา้ มีแนวโนม้ จะสูงเกินค่าทตี่ ั้งไว้ (2) ควบคุมการใชพ้ ลังงานไฟฟ้าของเครอ่ื งทานา้ เย็น โดยการบังคับมิให้ Inlet Vanes ของเครื่อง Centrifugal ทาน้าเยน็ เปดิ กวา้ งเกนิ ไป วิธีแรกให้ผลดีในการใช้งานมากกว่า เพราะไม่ทาให้เกิดผลกระทบต่อการควบคุมอุณหภูมิใน บริเวณสาคัญของอาคาร แต่พลังงานท่ีประหยัดได้ค่อนข้างน้อย ส่วนวิธีท่ีสองสามารถประหยัดพลังงานได้มาก แต่ อุณหภูมขิ องอากาศในบริเวณสาคัญของอาคารจะสูงขึ้น จึงควรใช้เฉพาะเมื่อจาเป็นหรือเมื่อเริ่มเดินเครื่องทาน้าเย็น หลงั จากหยดุ ระบบปรับอากาศไปเปน็ เวลานานหลายวันแล้วเทา่ น้นั 186

หลกั สตู ร การบรหิ ารจัดการพลงั งานไฟฟา้ การพลังงานความ 4) การจดั ตารางเดนิ เครอ่ื งใหเ้ หมาะสมกบั ภาระ พยายามจดั ลาดบั การเดินเครอ่ื งให้สอดคลอ้ งกับปริมาณความร้อนท่ีเกิดข้ึนภายในอาคารอยู่เสมอ โดยที่ความร้อนภายในอาคารมักไม่คงท่ี โดยจะแปรเปลี่ยนไปตามฤดูกาล เวลาในแต่ละวันและกิจกรรมที่เกิดขึ้น ดังนั้น หากเดินเครื่องทานา้ เยน็ ให้นอ้ ยชดุ และให้ทาความเย็นเต็มที่ตามสมรรถนะของแต่ละชุดแล้วประสิทธิภาพการ ทาความเยน็ จะสงู สดุ และช่วยประหยดั พลงั งานไดเ้ ป็นจานวนมาก ข้อสาคญั คอื ควรหลีกเลีย่ งการใช้เครื่องทาน้าเย็น ทางานต่ากว่า 40% ของสมรรถนะเต็มทีข่ องตัวเครอ่ื งโดยเด็ดขาด 6.1.7 การประหยดั พลงั งานในอุปกรณ์อ่ืนๆ ในระบบปรบั อากาศ 1) การหมุ้ ฉนวนทอ่ นา้ ใหม้ คี วามหนาทเ่ี หมาะสม ระบบปรับอากาศแบบใช้เคร่ืองทาน้าเย็น (Water Chiller) จะต้องมีท่อน้า เพ่ือจ่ายน้าเย็นไปยัง เครอ่ื งส่งลมเย็นตามสว่ นต่างๆ ภายในอาคาร อุณหภูมิของน้าเย็นประมาณ 7.2 – 10oC ดังนั้นเพื่อป้องกันการถ่ายเท ความร้อนจากภายนอกถ่ายเทเข้าไปในน้าเย็น จึงต้องหุ้มฉนวนท่อน้าเย็น การพิจารณาใช้ฉนวนท่อน้าเย็น การ พิจารณาใช้ฉนวนกันความร้อนท่ีมีความหนาท่ีเหมาะสมจะช่วยประหยัดพลังงานในระบบปรับอากาศลง ฉนวนกัน ความรอ้ นท่ใี ช้มกั เปน็ Styrene Foam หรอื Closed Cell Foam การพจิ ารณาใช้ฉนวนกันความร้อนที่มีความหนามากๆ จะลดการถ่ายเทความร้อนได้สูงแต่ราคา ลงทุนก็สงู มากเช่นกัน การพิจารณาหาความหนาทีเ่ หมาะสมของฉนวนกันความร้อนจึงต้องพิจารณาหลายๆ ด้าน คือ ลักษณะการใช้งาน ช่ัวโมงการใช้งานของอาคาร อุณหภูมิของอากาศของท่อน้า ราคาของฉนวนและความหนาของ ฉนวน ซง่ึ จะตอ้ งเพียงพอตอ่ การป้องกันการเกดิ การควบแนน่ ของความชื้น (Condensation) 2) การเลือกใชอ้ ุปกรณ์แลกเปลี่ยนความรอ้ นระหว่างอากาศ ในการปรับอากาศ เราจะต้องนาอากาศบางส่วนในพื้นท่ีปรับอากาศท้ิงไป และนาอากาศบริสุทธิ์ จากภายนอกเข้ามาชดเชย เพ่ือถ่ายเทให้อากาศภายในบริสุทธิ์ตลอดเวลา อากาศท่ีท้ิงไปเป็นอากาศท่ีเย็น มักมี อุณหภูมปิ ระมาณ 25.6-26.7oC และอากาศที่ถ่ายเทท้ิงไปจะเป็นประมาณ 10% ของปริมาณลมส่งในแต่ละพื้นที่ เห็น ไดว้ ่าเปน็ การสญู เสียพลงั งานเปน็ จานวนมาก เราสามารถนาพลังงานส่วนนี้กลับมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ โดยการใช้ Air to Air Heat Exchanger (ATA) อุปกรณ์ดังกล่าวจะทาให้เกิดการถ่ายเทความร้อนระหว่างอากาศที่จะท้ิงไปกับ อากาศท่ีจะนาเข้ามาใหม่ อากาศภายนอกที่มอี ุณหภูมิสูงจะถูกทาให้เย็นลงก่อนที่จะผ่านเข้าเครื่องส่งลมเย็น อุปกรณ์ ดังกล่าวจะถ่ายเทความรอ้ นระหวา่ งอากาศบรสิ ทุ ธ์ิและอากาศเสีย โดยไม่ให้สัมผัสกันโดยตรง อุปกรณ์น้ีเหมาะสาหรับ อาคารทมี่ ีหอ้ งเคร่ืองส่งลมเยน็ อยู่ในแนวเดยี วกัน เพอื่ สะดวกต่อการรวบรวมอากาศท่นี าทิง้ ไปมาเข้าอุปกรณ์ ATA และ สามารถจ่ายอากาศบริสุทธ์ิผ่านที่อปุ กรณ์ ATA กลบั ไปยังเครอื่ งสง่ ลมเยน็ แตล่ ะเครื่อง สาหรับในอาคารเก่า จะปรับปรุงใช้ระบบนี้โดยการติดต้ังท่อลม เพ่ือรวบรวมอากาศท่ีจะท้ิงไป กลับมาท่อี ุปกรณ์ ATA และติดต้ังทอ่ ลมเพ่ือส่งอากาศบริสุทธ์ิกลับไป การพิจารณาติดตั้งจะต้องคานึงถึงความเป็นไป ได้และพื้นท่ีในการติดต้ัง ชั่วโมงการใช้งานของอาคาร พลังงานที่จะต้องใช้เพ่ิมเติมและราคาในการลงทุน สาหรับ อาคารใหมค่ วรคานงึ ถึงการตดิ ตั้งอปุ กรณ์ ATA และเตรียมการเพ่อื การติดต้งั ไวใ้ นชว่ งออกแบบ จะช่วยลดค่าใช้จ่ายใน การลงทนุ ได้ ในการใชง้ านอุปกรณ์ ATA ควรคานงึ ถึงพลังงานที่จะต้องใช้สาหรับพัดลมท่ีอุปกรณ์ ATA ด้วยว่า คุ้มกบั พลังงานทป่ี ระหยัดลงได้หรอื ไม่ โดยเฉพาะอาคารทีใ่ ชง้ าน 24 ชว่ั โมง ในช่วงเวลากลางคืน เมื่ออากาศภายนอก ลดต่าลง การประหยัดพลังงานด้วยอุปกรณ์ ATA จะลดลง ซึ่งอาจจะไม่คุ้มกับการเปิดใช้งานในช่วงเวลาดังกล่าว ลกั ษณะเช่นนีจ้ งึ ควรพิจารณาใช้ ATA เฉพาะในช่วงเวลากลางวนั และปิดในช่วงเวลากลางคืน 187

หลกั สูตร การบริหารจดั การพลงั งานไฟฟา้ การพลังงานความ รูปที่ 6.24 เครอ่ื งแลกเปล่ียนความร้อนระหวา่ งอากาศแบบลอ้ ความร้อน (HEAT WHEEL AIR TO AIR HEAT EXCHANGER) รปู ที่ 6.25 เครอื่ งแลกเปลี่ยนความร้อนระหวา่ งอากาศแบบแผน่ 188

หลกั สตู ร การบรหิ ารจัดการพลังงานไฟฟ้า การพลงั งานความ 6.2 การประหยดั พลังงานโดยการปรบั ปรงุ กรอบอาคารและทิศทางของอาคาร 1) การติดตัง้ ฉนวนกนั ความร้อน การตดิ ต้งั ฉนวนกันความรอ้ นให้แก่อาคารในบรเิ วณหลงั คา และกาแพงดา้ นทิศตะวนั ออก และทิศตะวันตก จะชว่ ยลดปริมาณความร้อนท่จี ะถ่ายเทเข้าสตู่ วั อาคารไดอ้ ย่างมาก ทาให้ระบบปรับอากาศทางานน้อยลงในห้องขนาด เลก็ (21 ตารางเมตร) ทีใ่ ชเ้ ครื่องปรับอากาศตั้งแต่เวลา 8.30 น. ถึง 16.30 น. วันจันทร์ถึงวันศุกร์จะต้องเสียค่าไฟฟ้า ประมาณ 7,750 บาทต่อปี แต่ถ้าได้บุฉนวนด้วยใยแก้วหนา 2 นิ้ว ทุกด้านแล้ว ค่าไฟฟ้าจะลดลงเหลือเพียง 4,770 บาทตอ่ ปี 2) การจัดทิศทางของอาคาร การจัดทศิ ทางของอาคารมผี ลตอ่ ความสขุ สบายภายในอาคาร จากผลของการแผร่ ังสีความร้อน ประเทศใน เขตร้อนควรจะออกแบบอาคารใหห้ ลกี เลย่ี งการแผร่ ังสคี วามร้อนใหม้ ากทสี่ ดุ สถาปนิกควรจะต้องคานึงถึงสิ่งเหล่านี้ให้ มากสว่ นทยี่ าวทส่ี ุดของอาคาร รวมถึงหนา้ ตา่ งควรหนั หนา้ ทางทิศเหนือและใต้ เพ่ือลดการรับความร้อนเข้ามาภายใน อาคาร โดยการส่งผ่านความร้อนและการแผ่รังสีความร้อนผ่านผนัง และหน้าต่างด้านทิศตะวันออกและตะวันตก โดยเฉพาะทศิ ตะวันตกเฉียงใต้มีค่าสงู กวา่ ดา้ นทิศเหนอื และใต้มาก 3) อาคารถาวรขา้ งเคยี ง ถ้าอาคารถูกบังแสงโดยอาคารถาวรข้างเคียง การรับความร้อนเข้าภายในอาคาร โดยการส่งผ่านความ ร้อนและการแผร่ งั สีความร้อนจะลดลงไปได้มาก ผลดังกลา่ วจะเหมือนกับการมีม่านกันแสงด้านนอกอาคาร นอกจากน้ี อาคารข้างเคียงยังชว่ ยบงั ลมท่จี ะปะทะกบั อาคารใหล้ ดน้อยลง ซ่ึงจะเปน็ ผลให้ - ลดการรัว่ ของปรมิ าณอากาศภายนอกที่มีอณุ หภูมแิ ละความช้นื สูงกวา่ ท่ีผ่านเขา้ ตามกรอบประตูและ หน้าต่าง เป็นผลให้ลดภาระความร้อนสัมผัส (Sensible Heat) และความร้อนแฝง (Latent Heat) ภายในพื้นท่ปี รับอากาศ - ลดค่าสัมประสิทธ์ิการถ่ายเทความร้อนของผนังอาคาร เน่ืองจากการเกิดฟิล์มของอากาศที่ผนัง อาคาร ซึ่งจะเป็นฉนวนความรอ้ นไดด้ ีกว่า 4) การใชผ้ ิวสะทอ้ นแสง, กระจก ผวิ สะท้อนแสงจะชว่ ยสะทอ้ นแสงและความร้อนท่ีจะเข้าไปภายในอาคารที่มีการปรับอากาศ ปริมาณแสง และความร้อนท่ีจะสะทอ้ นได้ขึ้นกับสมั ประสิทธิ์การสะท้องแสงของวัสดุท่ีใช้ ในขณะเดียวกันสถาปนิกจะต้องคานึงถึง การจัดทศิ ทางของอาคารให้อย่ภู ายใต้ข้อจากัดอนื่ ๆ ของบริเวณทีจ่ ะกอ่ สร้างอาคารดว้ ย 5) รปู ร่างของอาคาร วัตถุประสงค์การใช้สอยอาคาร จะเป็นหัวข้อหลักในการกาหนดรูปร่างของอาคารอย่างไรก็ดี ถ้าหาก อาคารใดมีข้อจากดั เน่ืองจากการใช้สอยอยู่น้อยหรือไม่มีเลย ผู้ออกแบบควรจะเลือกรูปร่างของอาคารที่จะลดการรับ ความรอ้ นเข้าสูอ่ าคารให้นอ้ ยที่สุด อาคารในประเทศเขตร้อน อาคารควรจะมีรูปร่างเป็นสี่เหล่ียมผืนผ้าโดยให้หันส่วน แคบของอาคารไปทางทิศตะวันออกและตะวันตก 6) ผนงั อาคาร ผนังอาคารท่ีมีการปรับอากาศควรจะทาด้วยวัสดุที่มีค่าสัมประสิทธ์ิการถ่ายเทความร้อนรวมต่า (U- VALUE) เช่น ผนังก่ออิฐฉาบปูน 2 หน้า หนา 4 \" จะมีค่าสัมประสิทธ์ิการถ่ายเทความร้อน = 2.556 W/M2oK Composite Walls และ Curtain Wall ท่ีบุด้วยฉนวนกันความร้อน จะให้ค่าสัมประสิทธิ์การถ่ายเทความร้อนท่ีต่ากว่า ผนังคอนกรตี หรอื ผนังกอ่ อิฐ 7) หลังคา หลงั คาของอาคารควรให้บุฉนวนกนั ความรอ้ น และควรใหม้ กี ารระบายอากาศที่ดี ไม่ควรติดตั้งกระจกช่อง แสงบนหลังคา 8) หน้าตา่ ง หน้าต่างของอาคาร ควรทาด้วยกระจกสีชา หรือกระจกสะท้อนแสง กระจกสีชาที่ดูดซับพลังงาน แสงอาทิตย์ได้ 50% (50% Absorbing Glass) จะมีค่าตัวประกอบการถ่ายเทความร้อนต่ากว่ากระจกใสธรรมดา (Ordinary Glass) ประมาณ 27% ในอาคารปรบั อากาศควรมหี นา้ ตา่ งใหน้ อ้ ยท่สี ุด การใช้กระจกสองช้ัน จะช่วยลดการ ส่งผ่านความร้อนได้มาก เช่น กระจก 2 ช้ัน ท่ีกระจกชั้นนอกเป็นกระจกแบบดูดซับพลังงานแสงอาทิตย์ได้ 50% และ ชั้นในเป็นกระจกใสธรรมดา จะมีค่าตัวประกอบการถา่ ยเทความรอ้ นต่ากว่ากระจกใสธรรมดาชั้นเดยี วประมาณ 40% 189

หลกั สูตร การบรหิ ารจัดการพลงั งานไฟฟา้ การพลังงานความ 9) การบังแสง การบงั แสงจากภายนอกอาคาร จะสามารถลดการถ่ายเทความรอ้ นจากภายนอกอาคารได้มากกว่า การใช้ มา่ นหรือมู่ลี่กันแสงภายในอาคาร เช่น ถา้ หน้าตา่ งเป็นแบบกระจกใสธรรมดาชน้ั เดียว และใช้ม่านบังแสงภายนอก จะมี ค่าตัวประกอบการถ่ายเทความร้อนต่ากวา่ การใชม้ ่านบงั แสงภายในประมาณ 41% การบังแสงภายนอกสามารถทาได้ โดยการใช้กันสาดในแนวต้ังและนอน (Horizontal and Vertical Overhang) หรอื การหลบแนวหน้าตา่ งเข้ามาภายใน (Set Back Window) สาหรับประเทศในเขตร้อน ควรใช้กันสาดใน แนวนอนด้านทิศตะวันออกและตะวันตก และใช้กันสาดในแนวต้ังด้านทิศเหนือและทิศใต้ การออกแบบการบังแสง ดงั กลา่ ว ควรจะปอ้ งกนั ไมใ่ หห้ นา้ ตา่ งไดร้ ับแสงแดดไดโ้ ดยตรงเลย 10) ตาแหนง่ ห้องเคร่อื ง โดยท่ัวไปแลว้ ตาแหนง่ ห้องเครอื่ งระบบปรบั อากาศจะถูกจัดไว้ให้ที่ช้ันใต้ดิน หรือบนหลังคา ซ่ึงตาแหน่ง เหล่าน้ีตามปกติจะไม่ใช่ตาแหน่งท่ีเหมาะสมท่ีสุด เน่ืองจากระบบปรับอากาศจะแพงและมีประสิทธิภาพต่าลง ผอู้ อกแบบควรพยายามกาหนดตาแหน่งท่ีเหมาะสมทสี่ ดุ โดยให้มรี ะยะทางจากหอ้ งเคร่อื งหลักไปยงั ตาแหน่งต่างๆ ที่มี การปรับอากาศน้อยและใกล้เคียงท่สี ุด 6.3 การเลือกอปุ กรณร์ ะบบปรับอากาศเพอ่ื การประหยัดพลงั งาน ระบบปรับอากาศและวิธีการที่จะใช้ในการควบคุมสภาวะอากาศภายในอาคารมีอยู่หลายแบบ ในการเลือกใช้ ระบบต่างๆ จะต้องพจิ ารณาข้อดีข้อเสียที่เหมาะสมกับลักษณะการใช้งานของอาคารและตัดสินใจเลือกระบบที่ดีท่ีสุด การแปรเปล่ยี นของภาวะความรอ้ น ความต้องการในการแบ่งโซน เน้ือที่ที่มีอยู่ และราคาเป็นตัวแปรท่ีจะกาหนดชนิด ของระบบปรับอากาศที่ควรจะเลือกใช้ การเลือกใชอ้ ปุ กรณ์ระบบปรับอากาศเพอ่ื ให้ประหยัดพลงั งาน มหี ลักในการพจิ ารณาดังนี้ 1) ชนิดของเคร่อื งทานา้ เยน็ การพจิ ารณาเลอื กเครอ่ื งทาน้าเยน็ จะตอ้ งเลือกเคร่อื งทม่ี ีค่า COP หรอื EER สงู เครื่องทาน้าเย็นดังกล่าว จะมีคอนเดนเซอร์ และอีแวพอเรเตอร์ท่ีมีขนาดใหญ่ และจะมีวงจรการทางานที่อุณหภูมิของการควบแน่นต่า (Low Condensing Temperature) อณุ หภูมิของการระเหยสูง (high evaporating temperature) เคร่ืองทาน้าเย็นชนิดนี้จะมี ราคาสูง แต่คา่ ใชจ้ า่ ยในการใชง้ านต่า นอกจากน้ีการเลอื กใช้เครือ่ งทานา้ เยน็ แบบระบายความรอ้ นด้วยน้า และเครอ่ื งทาน้าเย็นแบบระบายความ ร้อนด้วยอากาศ ซึง่ มคี วามแตกต่างในการพิจารณาใช้เคร่ืองทาน้าเย็นแบบระบายความร้อนด้วยน้า จะมีค่าใช้จ่ายใน การดาเนินการตา่ กว่าแบบระบายความร้อนด้วยอากาศ ยกตัวอย่าง เช่น เครื่องทาน้าเย็นแบบระบายความร้อนด้วย นา้ จะมคี า่ ใช้จา่ ยในการดาเนินการประมาณ 0.798 บาท/กโิ ลวัตตค์ วามเยน็ ในขณะที่เคร่ืองทาน้าเย็นระบายความร้อน ด้วยอากาศ มีค่าใช้จ่ายในการดาเนินการประมาณ 0.863 บาท/กิโลวัตต์ความเย็น เห็นได้ว่าการใช้เคร่ืองทาน้าเย็น แบบระบายความรอ้ นด้วยน้าจะประหยดั กวา่ แต่การเลือกใชต้ ้องพิจารณาในแง่อนื่ ๆ ด้วย รวมถึงการลงทนุ 2) การใช้เครอ่ื งทานา้ เย็นหลายๆ ตัว จากการประเมนิ ภาระความเย็น เราสามารถพิจารณาเลือกเคร่ืองทาน้าเย็นท่ีมีขนาดที่เหมาะสมกับภาระ ในแต่ละขณะได้ การใชเ้ ครือ่ งทาน้าเย็นหลายๆ เคร่ือง ทาให้สามารถปิดเคร่ืองทาน้าเย็นบางตัวลงได้ ในขณะท่ีภาระ ของอาคารตา่ เครอื่ งทานา้ เยน็ ทย่ี งั เปดิ อยู่ เม่ือใช้งานทีภ่ าระเต็มท่กี ็จะมีประสทิ ธิภาพสงู เคร่อื งขนาดเล็กหลายๆ เคร่ือง มักจะแพงกวา่ การใชเ้ ครอ่ื งขนาดใหญจ่ านวนนอ้ ยเคร่ืองกวา่ แต่การใช้เคร่ืองขนาดเล็กหลายๆ เคร่ือง มักจะสะดวกใน ด้านการออกแบบ เพือ่ ให้ประหยดั พลังงาน 190

หลักสูตร การบริหารจดั การพลงั งานไฟฟา้ การพลงั งานความ 3) การใชเ้ ครื่องทาน้าเยน็ แบบปรับความเร็วรอบได้ ในอาคารบางประเภทที่มีการเปล่ียนแปลงภาระมาก และใช้งานท่ีภาระเพียงบางส่วนตลอดเวลา การใช้ INVERTER เพ่ือแปรเปล่ียนรอบของมอเตอร์ป๊ัมน้า เพ่ือให้เหมาะสมกับภาระในแต่ละขณะ จะสามารถประหยัดลง ได้มาก ปจั จบุ ันราคาของ INVERTER มีราคาต่าลง จึงสามารถจะนาไปใช้ประกอบกับมอเตอร์ในระบบทาความ เย็นได้อีกหลายส่วน แต่ในส่วนของมอเตอร์คอมเพรสเซอร์ที่มีขนาดใหญ่มาก ๆ กระแสของมอเตอร์จะมีค่าสูง เม่ือ เทยี บกับขนาดกาลงั ของ INVERTER ทม่ี อี ยูย่ ังไมม่ ขี นาดกาลังเพียงพอทีจ่ ะนามาใช้กบั มอเตอร์คอมเพรสเซอร์ได้ 4) การใช้เคร่ืองสูบนา้ ทม่ี ีประสิทธภิ าพสูง เครอื่ งสบู น้าทใ่ี ช้ในระบบปรับอากาศ ควรจะเลอื กใชข้ นาดที่ถูกต้อง และเลือกใช้ในจุดที่ประสิทธิภาพของ เครื่องสูบนา้ สูงสุด การคานวณความดันสูญเสียรวมท้ังหมด (หัวน้ารวม) และอัตราการไหลของน้าในระบบให้แม่นยา จะสามารถเลอื กเครอ่ื งสูบน้าท่เี หมาะสมและประหยดั พลังงานไดก้ ารใชท้ ่อน้าใหญ่ข้ึน ราคาก็จะต้องสูงข้นึ ฉะน้ันจะต้อง นามาวิเคราะห์ด้วยในบางครั้งเราอาจจะพิจารณาเพิ่มขนาดท่อเฉพาะในช่วงท่ีเป็นสาเหตุให้เกิดความดันสูญเสียสูง เท่าน้นั 5) การใช้ท่อน้าและวาล์วที่มคี วามดันสญู เสยี เราสามารถลดความดนั สูญเสียในทอ่ โดยเลือกท่อให้มีขนาดใหญ่ข้ึนได้ ความดันสูญเสียของการไหลของ น้าจะเปน็ สัดสว่ นโดยตรงกบั ปรมิ าณหรอื ความเรว็ ของน้ายกกาลังสอง กล่าวไดค้ ือ ในท่อเดียวกัน ถ้าทาให้ความเร็วน้า ในท่อลดลง 2 เท่า ความดนั สญู เสยี ในท่อจะลดลงเป็น 4 เท่าของเดิม ซึง่ กจ็ ะลดขนาดของเคร่ืองสูบน้าลง การใช้ท่อน้า ไหลข้นึ ราคาก็จะตอ้ งสงู ขึ้น ฉะน้นั จะต้องนามาวิเคราะห์ดว้ ยในบางครัง้ เราอาจจะพิจารณาเพิ่มขนาดท่อเฉพาะในช่วงท่ี เป็นสาเหตใุ ห้เกิดความดนั สูญเสยี สูงเท่าน้นั วาลว์ ตา่ งๆ ทใ่ี ชใ้ นระบบควรพิจารณาใช้วาล์วผีเสื้อ (Butterfly Valve) ซึ่งมี ความดันสญู เสียต่ากว่าโกลบวาล์ว (Globe Valve) และเกทวาล์ว (Gate Valve) รวมถึงการเลือกใช้วาล์วมีขนาดใหญ่ ขน้ึ ด้วย นอกจากน้ี การลดความดันสูญเสยี ในระบบท่อน้า โดยให้ระยะทางจากห้องเครื่องไปยังอุปกรณ์ต่างๆ สั้น ท่สี ุด เช่น ในอาคารที่มลี กั ษณะยาว ถ้าหอ้ งเครื่องอยู่สุดปลายด้านใดดา้ นหนง่ึ ก็จะทาให้ระยะทางจากห้องเคร่ืองไปยัง เคร่อื งส่งลมเยน็ ตัวสุดท้ายไกล ฉะนน้ั ก็สามารถให้ห้องเคร่ืองอยู่กลางส่วนยาวของอาคารได้ ก็จะสามารถลดความดัน สูญเสียรวมในท่อน้าได้เช่นเดียวกับอาคารสูงๆ ถ้าในห้องเครื่องอยู่ช้ันกลางๆ ได้ ระยะทางก็จะลดลงและประหยัด พลงั งานเครือ่ งสบู น้าลงได้ 6) การใชพ้ ัดลมทม่ี ปี ระสทิ ธิภาพสงู เช่นเดียวกับการเลือกเคร่ืองสูบน้า การเลือกพัดลมควรคานวณความดันสูญเสียรวมท้ังหมดท่ีเกิดข้ึนใน ระบบส่งลมเย็นและปริมาณลมให้แม่นยา และเลือกพัดลมใช้ในจุดที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการเลือกพัดลม ถ้าใช้ค่า ความดันสญู เสียสูงเกินไปในการเลอื ก เราจะไดพ้ ัดลมขนาดใหญ่กว่าความจาเปน็ และถ้าเราใหพ้ ัดลมหมุนด้วยความเร็ว ตามท่ีเลือกไว้ ก็จะไดอ้ ตั ราการส่งลมเยน็ มากเกนิ ความจาเป็น เป็นการส้นิ เปลอื งพลังงานไฟฟา้ โดยไม่จาเปน็ แม้ว่าเราจะลดรอบของพัดลมลง มอเตอร์ท่ีใหญ่กว่าความต้องการมากก็จะทาให้ประสิทธิภาพต่าลงได้ การเลอื กใช้พัดลมท่ถี ูกต้องจะสามารถประหยดั พลังงานในระบบปรบั อากาศได้ 191

หลักสตู ร การบรหิ ารจดั การพลังงานไฟฟา้ การพลงั งานความ 7) การใชท้ ่อลมทม่ี คี วามดันสญู เสียต่า ความดนั สถิตของระบบเกิดจากความฝืดภายในท่อตา่ งๆ และความดนั ท่ตี อ้ งการท่ีปลายทางความดันสถิต รวมจะลดลงได้ โดยการลดความดันสูญเสียในท่อลม รวมถึงความสูญเสียต่างๆ เช่นการสูญเสียเนื่องจากการเปล่ียน ทิศทางลมในข้อโค้งหรือข้องอ ความดันสูญเสียหรือความสูญเสียเนื่องจากอุปกรณ์อื่นๆ ที่ลมผ่าน เช่น แผงกรอง อากาศ ขดท่อทาความเยน็ เปน็ ต้น การลดความดันสูญเสียและความสูญเสียต่างๆ ในท่อลม ทาได้โดยการออกแบบท่อลมให้มีขนาดใหญ่ สาหรับทอ่ สีเ่ หลย่ี มกต็ อ้ งใหท้ ่อดา้ นกวา้ งและดา้ นสงู มีขนาดใกล้เคียงกันมากที่สุดเท่าท่ีจะทาได้ ในกรณีท่ีออกแบบท่อ ลมโดยใชว้ ธิ ี Equal Friction Loss น้นั ถ้าใช้ท่อใหญข่ นึ้ ทกุ ทอ่ จะทาใหร้ าคาสงู ขนึ้ มาก เราอาจเลย่ี งโดยออกแบบให้ท่อ ชว่ งทีไ่ กลทส่ี ุด (Longest Run) เท่านน้ั ให้มขี นาดใหญข่ นึ้ เพื่อลดความดนั สญู เสยี ระยะทางจากเคร่อื งส่งลมเย็นไปยังตาแหน่งหัวจ่ายหัวสุดท้ายควรให้ใกล้เคียงกันและควรจะให้ใกล้ที่สุด เพื่อลดความดันสถิตรวมลง กจ็ ะสามารถประหยดั พลงั งานในระบบปรับอากาศได้ 8) การใช้ระบบแปรเปลยี่ นปริมาณลม ระบบท่สี ามารถแปรเปลย่ี นปรมิ าณลมได้ มกั จะเป็นระบบที่มีประสิทธิภาพสูง เพราะการลดปริมาณลมลง จะส่งผลใหล้ ดพลังงานทีใ่ ช้ในระบบการส่งลมเย็นไดโ้ ดยตรง ระบบ VAV (Variable Air Volume System) เป็นระบบที่ออกแบบให้จานวนลมเย็นที่จะเข้าสู่ห้องปรับ อากาศแปรเปล่ียนไปตามภาระความร้อนท่เี ขา้ ในพ้นื ทปี่ รับอากาศ โดยสามารถควบคุมเป็นจุดย่อยๆ ได้ เห็นได้ว่าเป็น วธิ ที แ่ี กป้ ัญหาต่างๆ ท่ีเกดิ ขน้ึ ในระบบปรมิ าตรลมส่งคงที่ได้ เช่น การท่จี ะต้องใช้เครื่องส่งลมเย็นใหญ่กว่าความจาเป็น แต่ในระบบ VAV จะสามารถออกแบบให้เคร่ืองเป่าลมเย็นมีขนาดพอดีกับภาระความร้อนที่เกิดข้ึนได้และสามารถ ควบคุมอณุ หภูมิห้องได้ดีทส่ี ดุ และประหยดั พลงั งานทใ่ี ช้ในพดั ลมได้ดี ท้ังนจี้ ะต้องขึน้ อยู่กับตวั แปรอนื่ ๆ อีกคือ - ลักษณะการใชง้ านของอาคาร - ภาระความรอ้ นทีเ่ ขา้ สูอ่ าคาร และความแม่นยาการคานวณภาระความร้อน - การเลือกใช้ระบบ - การลงทนุ ภาวะความร้อนทเี่ ข้าส่อู าคาร ถ้ามีการเปล่ียนแปลงมากตลอดวันหรือตลอดปี ระบบน้ีจะมีประโยชน์มาก โดยเฉพาะอาคารที่ใชง้ านตลอด 24 ชว่ั โมง มักจะไดป้ ระโยชนจ์ ากการใช้ระบบนม้ี าก หลกั การของระบบ VAV คอื จะมีอปุ กรณค์ วบคมุ ปริมาณลมหลายๆ กล่อง โดยแต่ละกล่องจะจ่ายลมไปยัง หวั จ่ายลมตามจานวนท่ีแต่ละพ้ืนท่ีต้องการอย่างเหมาะสม โดยที่กล่องควบคุมปริมาณลมนี้ภายในจะมีเหล็กควบคุม ปรมิ าณลม (Volume Damper) ทสี่ ามารถเปิด-ปิด และหร่ีให้ปริมาณลมจ่ายไปยังหัวจ่ายได้มากน้อยตามต้องการโดย อัตโนมัติ โดยอาศัยมอเตอร์ไฟฟ้า (Motorized Actuator) หรือควบคุมด้วยลม (Pneumatic Actuator) ซึ่งสั่งการโดย เทอร์โมสแตทที่ควบคุมอุณหภูมิห้อง ปริมาณลมท่ีส่งเข้าไปในพ้ืนที่ปรับอากาศก็สามารถควบคุมได้ตามปริมาณที่ จาเป็นต้องใชจ้ ริง ปริมาณลมทจ่ี า่ ย 192

หลกั สตู ร การบรหิ ารจัดการพลังงานไฟฟ้า การพลงั งานความ โดยพดั ลมท่ีเคร่อื งสง่ ลมเยน็ กจ็ ะจา่ ยออกมาตามจานวนที่ใช้จริงเท่านั้น เคร่ืองส่งลมเย็นสามารถควบคุม ปริมาณลมสง่ ได้โดยใชว้ ิธดี งั น้ี - Inlet Guide Vane Control เพ่ือหร่ีปริมาณลมท่ีทางเข้าของพัดลม Guide Vane จะถูกสั่งให้เปิด-ปิด หรอื หร่ีสัมพันธ์กบั ปรมิ าณลมที่ตอ้ งการที่หวั จา่ ยแตล่ ะหัว - Discharge Damper Control เพื่อหรป่ี ริมาณลมทท่ี างออกของพัดลม - Variable Speed Control โดยจะใช้ INVERTER ลดรอบของพัดลม เพ่ือลด-เพิ่มปริมาณลมให้สัมพันธ์ กับปรมิ าณลมท่ีตอ้ งการ แบบนส้ี ามารถลดปรมิ าณลมได้ดี และประหยัดพลังงานได้มากกว่าแบบ Inlet Guide Vane Control และ Discharge Damper Control แตร่ าคาลงทุนยังสูงอยู่มาก อย่างไรกต็ าม ในแง่ของการลงทุนที่สงู มาก เม่อื ทา VAV ทัง้ ระบบ เราอาจจะพิจารณาทาเพียงบางส่วนได้ โดยในระบบท่อลมยังใช้ท่อลมแบบลมส่งคงที่ แต่ให้มีการปรับปริมาณลมส่งให้เหมาะสมกับภาระในแต่ละขณะได้ท่ี เครื่องส่งลมเย็น ระบบท่ีเหมาะสมอาจเป็นแบบ Inlet Guide Vane Control หรือ Discharge Damper Control เพื่อ ปรับปริมาณลมที่ทางเข้าและทางออกของพัดลม โดย Actuator หรือใช้ Inverter ลดรอบของพัดลมทั้ง 3 แบบ จะ ควบคุมการปรับปรมิ าณลมโดยเทอร์โมสแตท ทงั้ น้ีการปรับแต่งปริมาณลม จะต้องให้สัมพันธ์กับการปรับแต่งปริมาณ นา้ ดว้ ย การแปรเปลี่ยนปรมิ าณลมดังกลา่ วไมค่ วรลดปริมาณลมให้ต่ากว่า 50% ของปริมาณลมเดิมท่ีจ่ายในพื้นที่ น้นั ๆ เนอื่ งจากการเคล่ือนไหวของอากาศในพ้ืนท่ีนน้ั จะต่าเกินไป และทาให้คนในพนื้ ทปี่ รับอากาศรูส้ ึกอดึ อดั ได้ การใชร้ ะบบ VAV จะสามารถควบคุมอุณหภูมิในพ้ืนท่ีปรับอากาศได้ดี และลดพลังงานท่ีใช้ในระบบปรับ อากาศได้โดยตรง แตจ่ ะตอ้ งพจิ ารณาใช้ระบบท่ีเหมาะสมกับความต้องการ รวมถึงการลงทุนของระบบดังกล่าวยังสูง มาก 9) การใชร้ ะบบแปรเปลยี่ นปริมาณนา้ (VWV) การลดอัตราการไหลของนา้ เมื่อภาระลดลงจะชว่ ยลดพลังงานที่ใช้เครื่องสูบน้าได้ แต่เนื่องจากทาน้าเย็น ต้องให้อัตรานา้ เยน็ ไหลผ่านคงที่ การใช้ระบบแปรเปล่ยี นปริมาณน้า จึงตอ้ งแยกวงจรน้าเย็นออกเปน็ 2 วงจร คือ วงจร แรก จะมีเคร่อื งสบู น้าเพอ่ื ควบคมุ ให้นา้ เยน็ ไหลผา่ นเครอื่ งทานา้ เยน็ คงที่ตลอดเวลา วงจรทีส่ อง จะมีเครื่องสูบน้าอีกชุด หน่งึ เพอ่ื สบู นา้ เยน็ จ่ายไปยงั จุดต่างๆ ภายในอาคาร วิธีการดังกล่าวจะสามารถลดขนาดของเครื่องสูบน้าในวงจรแรก ลงได้ และในวงจรทสี่ องใช้เครอ่ื งสูบน้าขนาดเล็กจานวนหลายๆ เคร่ือง หรือใช้เคร่ืองสูบน้าแบบแปรเปลี่ยนความเร็ว รอบได้ เพอื่ ควบคมุ ปริมาณน้าเยน็ ตามท่ตี อ้ งการ ระบบนตี้ ้องใชช้ ุดควบคมุ การเปดิ -ปิด หรอื หรเ่ี คร่อื งสบู น้าและชุดควบคุมการเปิด-ปิดเครื่องทาน้าเย็น ตาม ภาระที่เปล่ียนแปลงไป ซึ่งประกอบด้วย Calorie Computer หรือ Enthalpy Control Unit อุปกรณ์ดังกล่าวจะวัด อุณหภมู ขิ องน้าเย็นเขา้ และนา้ ออก และอตั ราการไหลของนา้ เย็นเพือ่ คานวณภาระใน ขณะนั้น และส่ังการไปยังเคร่ือง สบู นา้ และเคร่อื งทาน้าเย็นให้จา่ ยน้าเย็นเทา่ ท่ตี อ้ งการเทา่ นน้ั ระบบนี้จะสามารถประหยัดพลังงานท่ีเคร่ืองทาน้าเย็นได้ แต่อุปกรณ์ต่างๆ ที่ใช้ยังมีความซับซ้อนและ ราคาในการลงทนุ ยงั สงู มาก 193

หลกั สูตร การบรหิ ารจดั การพลงั งานไฟฟ้า การพลงั งานความ 6.4 การดูแลระบบปรับอากาศเชิงอนรุ กั ษ์พลงั งานแบบมีส่วนร่วม การใช้งานระบบปรบั อากาศมกั มผี ูท้ เ่ี กย่ี วข้องหลายฝ่าย โดยเฉพาะระบบท่ีมีการใช้งานนานแล้วจนระบบเสื่อม ประสิทธิภาพลงไปมาก การอนุรักษ์พลังงานในระบบปรับอากาศเช่นน้ีจึงอาจแบ่งหน้าท่ีกันดาเนินการและรับผิดชอบ ดงั น้ี 1) ผ้รู บั ผดิ ชอบด้านการอนรุ กั ษพ์ ลงั งาน ทาการสารวจและวิเคราะห์ประสิทธิภาพเครอื่ งปรับอากาศรายเคร่ือง 2) ผูร้ บั ผดิ ชอบด้านการซ่อมและบารงุ รกั ษาดาเนินการปรับปรุงเครื่อง และพ้ืนท่ีปรับอากาศให้กลับมาดีท่ีสุด เทา่ ทีจ่ ะเปน็ ไปได้ 3) ผู้รับผิดชอบพ้ืนท่ี กาหนดการปรับต้งั ระดบั อณุ หภมุ ิ ปริมาณอากาศเข้าพ้นื ท่ีและปริมาณอากาศท่ีต้องถ่าย ออกจากพนื้ ทใ่ี หเ้ หมาะสม พร้อมทง้ั กาหนดการเปิดปดิ เครอื่ งปรับอากาศท่ีเหมาะสมกับแผนการผลติ 4) จดั ให้มกี ารประชมุ พลังงานเพ่ือรายงานผลและแก้ปญั หา อปุ สรรค์ตา่ งๆทเ่ี กิดข้ึน ทั้งนี้การลดการใช้พลังงานจะเกิดขึ้นเมื่อเวลาการเปิดใช้งานระบบลดลง หรือ ประสิทธิภาพของระบบดีขึ้น รวมท้ังการทาให้ปริมาณ หน่วยไฟฟ้า หรือ kWh ในการใช้งานเครื่องลดลง ในแง่การอนุรักษ์พลังงาน การปรับปรุง เครื่องปรับอากาศให้ดีข้ึนแต่ปรับตั้งให้เคร่ืองต้องทาความเย็นให้พ้ืนท่ีที่อุณหภูมิต่าลงกว่าเดิม อาจไม่เกิดผลการ ประหยดั พลังงาน 194

หลักสตู ร การบรหิ ารจัดการพลงั งานไฟฟ้า การพลความ บทที่ 7 การจดั การพลังงานโดยการควบคมุ กาลังไฟฟ้า 7.1 การแยกประเภทผู้ใชไ้ ฟฟา้ และส่วนประกอบของคา่ ไฟฟ้า 7.1.1 ประเภทผใู้ ช้ไฟฟ้า เฉพาะในหัวขอ้ น้ีขอแบง่ ลาดับหวั ข้อย่อยตามท่กี ารไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคกาหนด ไว้ เพ่ือใหห้ มายเลขของประเภทผู้ใช้ไฟฟ้าตรงตามในใบแจ้งหนคี้ ่าไฟฟ้า ในการคิดอัตราค่าไฟฟ้า การไฟฟา้ ไดจ้ าแนกผ้ใู ชไ้ ฟฟา้ ออกเปน็ 7 ประเภท ไดแ้ ก่ ประเภทที่ 1 บา้ นอยูอ่ าศยั ประเภทที่ 2 กิจการขนาดเล็ก ประเภทที่ 3 กิจการขนาดกลาง ประเภทท่ี 4 กจิ การขนาดใหญ่ ประเภทที่ 5 กจิ การเฉพาะอย่าง ประเภทท่ี 6 สว่ นราชการ และองคก์ รทีไ่ มแ่ สวงหากาไร ประเภทท่ี 7 สบู นา้ เพือ่ การเกษตร 1) ประเภทท่ี 1 บ้านอย่อู าศยั ลักษณะการใช้ สาหรับการใช้ไฟฟ้าในบ้านเรือนที่อยู่อาศัย วัด และโบสถ์ของศาสนาต่าง ๆ ตลอดจนบรเิ วณทีเ่ กยี่ วข้องโดยต่อผ่านเครื่องวดั ไฟฟ้าเครือ่ งเดยี ว 1.1 อัตราปกตปิ ริมาณการใช้ไฟฟา้ ไม่เกนิ 150 หน่วยตอ่ เดอื น อัตรารายเดอื น ค่าพลงั งาน ค่าบริการ ไฟฟ้า (บาท/เดือน) 5 หน่วยแรก (กโิ ลวตั ตช์ วั่ โมง) (หน่วยที่ 1-5) 10 หน่วยต่อไป (หน่วยท่ี 6-15) (บาท/หนว่ ย) 10 หนว่ ยต่อไป (หน่วยท่ี 16-25) 10 หน่วยตอ่ ไป (หนว่ ยท่ี 26-35) 0.00 65 หน่วยตอ่ ไป (หน่วยที่ 36-100) 50 หน่วยตอ่ ไป (หน่วยท่ี 101-150) 1.3576 250 หน่วยต่อไป (หนว่ ยท่ี 151-400) เกินกว่า 400 หนว่ ย (หน่วยท่ี 401 เปน็ ตน้ ไป) 1.5445 1.7968 8.19 2.1800 2.2734 2.7781 2.9780 195

หลกั สตู ร การบรหิ ารจัดการพลงั งานไฟฟา้ การพลความ 1.2 อตั ราปกตปิ รมิ าณการใชพ้ ลงั งานไฟฟ้าเกินกวา่ 150 หน่วยต่อเดอื น อตั รารายเดอื น คา่ พลงั งานไฟฟ้า คา่ บริการ (บาท/หน่วย) (บาท/เดอื น) 150 หนว่ ยแรก (กโิ ลวัตตช์ ั่วโมง) (หนว่ ยท่ี 1-150) 1.8047 40.90 250 หน่วยต่อไป (หน่วยที่ 151-400) 2.7781 เกนิ กว่า 400 หนว่ ย (หน่วยท่ี 401 เป็นต้นไป) 2.9780 1.3 อตั ราตามชว่ งเวลาของการใช้ (Time of Use Tariff หรอื TOU) ค่าพลงั งานไฟฟา้ ค่าบรกิ าร อตั รารายเดอื น (บาท/หน่วย) (บาท/เดือน) 1* 2* 1.3.1 แรงดนั 12-24 หรือ 22-33 กิโลโวลต์ 3.6246 1.1914 228.17 1.3.2 แรงดันตา่ กว่า 12 หรือ 22 กิโลโวลต์ 4.3093 1.2246 57.95 หมายเหตุ 1*On Peak : เวลา 09.00-22.00 น. วนั จันทร์-วนั ศุกร์ วนั จนั ทร์-วันศุกร์ 2*Off Peak : เวลา 22.00-09.00 น. วนั เสาร์-วนั อาทติ ย์ และวันหยดุ ราชการ ตามปกติ (ไมร่ วมวนั หยุดชดเชย) : เวลา 00.00-24.00 น. 2) ประเภทท่ี 2 กจิ การขนาดเล็ก ลกั ษณะการใช้สาหรับการใช้ไฟฟ้าเพื่อประกอบธุรกิจ ธุรกิจรวมกับที่อยู่อาศัย อุตสาหกรรม และ หนว่ ยงานรฐั วิสาหกิจ หรืออืน่ ๆ ตลอดจนบริเวณทเ่ี กย่ี วขอ้ ง ซึง่ มีความตอ้ งการกาลงั ไฟฟ้าเฉล่ียใน 15 นาทีท่ีสูงสุดต่า กว่า 30 กิโลวัตต์ โดยตอ่ ผา่ นเคร่ืองวดั หนว่ ยไฟฟา้ เครือ่ งเดยี ว 2.1 อัตราปกติ อตั รารายเดอื น คา่ พลังงานไฟฟา้ คา่ บริการ (บาท/หน่วย) (บาท/เดอื น) แรงดัน 12-24 หรอื 22-33 กิโลโวลต์ แรงดันต่ากว่า 12 หรือ 22 กโิ ลโวลต์ 2.4049 228.17 150 หน่วยแรก (กิโลวตั ต์ชวั่ โมง) (หน่วยที่ 1-150) 250 หน่วยต่อไป (หนว่ ยที่ 151-400) 1.8047 40.90 เกนิ กว่า 400 หน่วย (หนว่ ยท่ี 401 เป็นต้นไป) 2.7781 2.9780 196

หลักสตู ร การบรหิ ารจัดการพลังงานไฟฟ้า การพลความ 2.2 อัตราตามชว่ งเวลาของการใช้ (Time of Use Tariff หรือ TOU) คา่ พลงั งานไฟฟา้ ค่าบริการ อัตรารายเดือน (บาท/หน่วย) (บาท/เดอื น) 1* 2* 2.2.1 แรงดนั 12-24 หรือ 22-33 กิโลโวลต์ 3.6246 1.1914 228.17 2.2.2 แรงดนั ตา่ กวา่ 12 หรอื 22 กิโลโวลต์ 4.3093 1.2246 57.95 หมายเหตุ 1*On Peak : เวลา 09.00-22.00 น. วันจนั ทร์-วนั ศุกร์ 2*Off Peak : เวลา 22.00-09.00 น. วนั จันทร์-วนั ศกุ ร์ : เวลา 00.00-24.00 น. วันเสาร์-วนั อาทติ ย์ และวันหยุดราชการ ตามปกติ (ไม่รวมวนั หยุดชดเชย) 3) ประเภทท่ี 3 กจิ การขนาดกลาง ลักษณะการใช้ สาหรับการใช้ไฟฟ้าเพ่ือประกอบธุรกิจ อุตสาหกรรม หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ สถานทท่ี าการเกี่ยวกับกิจการของต่างชาติ และสถานทที่ าการขององคก์ ารระหว่างประเทศ ตลอดจนบรเิ วณท่ีเกี่ยวข้อง ซึ่งมคี วามต้องการกาลงั ไฟฟา้ เฉล่ยี ใน 15 นาทีท่ีสูงสุด ตัง้ แต่ 30 ถงึ 999 กโิ ลวตั ต์ และมีปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้า เฉลย่ี 3 เดอื น ไม่เกนิ 250,000 หนว่ ยต่อเดอื น โดยตอ่ ผ่านเครอื่ งวัดหน่วยไฟฟ้าเครอ่ื งเดยี ว 3.1 อตั ราปกติ คา่ ความตอ้ งการ ค่าพลงั งานไฟฟ้า กาลงั ไฟฟ้า อัตรารายเดือน (บาท/กิโลวัตต)์ (บาท/หนว่ ย) 3.1.1 แรงดนั ต้ังแต่ 69 กิโลโวลต์ขนึ้ ไป 175.70 1.6660 3.1.2 แรงดัน 12-24 หรือ 22-33 กโิ ลโวลต์ 196.26 1.7034 3.1.3 แรงดนั ตา่ กวา่ 12 หรือ 22 กโิ ลโวลต์ 221.50 1.7314 ความตอ้ งการกาลังไฟฟา้ ความตอ้ งการกาลงั ไฟฟา้ แตล่ ะเดือน คือ ความต้องการกาลังไฟฟ้าเป็น กโิ ลวัตต์เฉลี่ยใน 15 นาทที ีส่ ูงสุด ในรอบเดือน เศษของกโิ ลวัตต์ ถา้ ไมถ่ งึ 0.5 กโิ ลวตั ตต์ ัดทิ้ง ตั้งแต่ 0.5 กิโลวตั ต์ข้ึนไป คิดเป็น 1 กิโลวัตต์ ค่าไฟฟ้าต่าสุด ค่าไฟฟ้าต่าสุดในแต่ละเดือน ต้องไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ของค่าความต้องการ กาลังไฟฟ้า (Demand Charge) ที่สูงสุดในรอบ 12 เดอื นทีผ่ า่ นมา ค่าเพาเวอรแ์ ฟคเตอร์ สาหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีเพาเวอร์แฟคเตอร์ (Lagging) ถ้าในรอบเดือนใดผู้ใช้ ไฟฟ้ามีความตอ้ งการรีแอ็กตีฟเฉล่ียใน 15 นาทีท่ีสูงสุด เม่ือคิดเป็นกิโลวาร์เกินกว่าร้อยละ 61.97 ของความต้องการ กาลงั ไฟฟ้าแอ็กตฟี เฉล่ียใน 15 นาทที ี่สงู สดุ เมือ่ คิดเป็นกิโลวัตต์แล้ว เฉพาะสว่ นทเี่ กนิ จะตอ้ งเสียคา่ เพาเวอร์แฟคเตอร์ ในอตั รากโิ ลวารล์ ะ 14.02 บาท สาหรบั การเรยี กเกบ็ เงนิ ค่าไฟฟา้ ในรอบเดอื นนั้น เศษของกิโลวาร์ถ้าไม่ถึง 0.5 กิโลวาร์ ตัดทงิ้ ต้งั แต่ 0.5 กิโลวาร์ขนึ้ ไป คดิ เป็น 1 กโิ ลวาร์ 197

หลักสูตร การบริหารจัดการพลังงานไฟฟา้ การพลความ 3.2 อัตราตามชว่ งเวลาของการใช้ (Time of Use Tariff หรือ TOU) อตั รารายเดือน ค่าความต้องการ คา่ พลงั งานไฟฟ้า คา่ บริการ กาลงั ไฟฟ้า (บาท/หน่วย) (บาท/เดือน) (บาท/กิโลวัตต์) 1* 1* 2* 3.2.1 แรงดันตงั้ แต่ 69 กิโลโวลต์ขึ้นไป 74.14 2.6136 1.1726 228.17 3.2.2 แรงดัน 12-24 หรือ 22-33 กิโลโวลต์ 132.93 2.6950 1.1914 228.17 3.2.3 แรงดันต่ากวา่ 12 หรือ 22 กิโลโวลต์ 210.00 2.8408 1.2246 228.17 หมายเหตุ 1*On Peak : เวลา 09.00-22.00 น. วนั จันทร์-วันศุกร์ 2*Off Peak : เวลา 22.00-09.00 น. วันจันทร์-วนั ศุกร์ : เวลา 00.00-24.00 น. วนั เสาร์-วันอาทติ ย์ และวันหยดุ ราชการ ตามปกติ (ไม่รวมวันหยดุ ชดเชย) ความต้องการกาลงั ไฟฟา้ ความต้องการกาลงั ไฟฟ้าแต่ละเดือน คือ ความต้องการกาลังไฟฟ้าเป็น กิโลวตั ต์เฉลี่ยใน 15 นาทีท่ีสูงสุด ในช่วงเวลา On Peak ในรอบเดือน เศษของกิโลวัตต์ ถ้าไม่ถึง 0.5 กิโลวัตต์ตัดท้ิง ต้งั แต่ 0.5 กิโลวัตตข์ นึ้ ไป คิดเปน็ 1 กิโลวัตต์ ค่าไฟฟ้าต่าสุด ค่าไฟฟ้าต่าสุดในแต่ละเดือน ต้องไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ของค่าความต้องการ กาลังไฟฟ้า (Demand Charge) ที่สูงสุดในรอบ 12 เดือนทผี่ า่ นมา คา่ เพาเวอรแ์ ฟคเตอร์ สาหรับผู้ใช้ไฟฟ้าท่ีมีเพาเวอร์แฟคเตอร์ (Lagging) ถ้าในรอบเดือนใดผู้ใช้ ไฟฟ้ามีความต้องการกาลังไฟฟ้ารีแอ็กตีฟเฉลี่ยใน 15 นาทีท่ีสูงสุด เม่ือคิดเป็นกิโลวาร์ เกินกว่าร้อยละ 61.97 ของ ความต้องการกาลังไฟฟ้าแอ็กตีฟเฉลี่ยใน 15 นาทีที่สูงสุด เมื่อคิดเป็นกิโลวัตต์แล้ว เฉพาะส่วนท่ีเกินจะต้องเสียค่า เพาเวอร์แฟคเตอร์ในอตั รากิโลวาร์ละ 14.02 บาท สาหรับการเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้าในรอบเดือนนั้น เศษของกิโลวาร์ ถา้ ไม่ถงึ 0.5 กิโลวารต์ ัดทง้ิ ตั้งแต่ 0.5 กิโลวารข์ ้ึนไป คิดเปน็ 1 กโิ ลวาร์ 4) ประเภทท่ี 4 กจิ การขนาดใหญ่ ลักษณะการใช้ สาหรับการใช้ไฟฟ้าเพื่อประกอบธุรกิจ อุตสาหกรรม หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ สถานทที่ าการเกย่ี วกับกิจการของตา่ งชาติ และสถานท่ที าการขององคก์ ารระหว่างประเทศ ตลอดจนบรเิ วณที่เก่ียวข้อง ซึ่งมีความต้องการกาลังไฟฟ้าเฉล่ียใน 15 นาทีท่ีสูงสุด ต้ังแต่ 1,000 กิโลวัตต์ข้ึนไป หรือมีปริมาณการใช้พลังงาน ไฟฟ้าเฉลยี่ 3 เดือน เกินวา่ 250,000 หน่วยต่อเดอื น โดยตอ่ ผ่านเครอ่ื งวดั หน่วยไฟฟ้าเคร่ืองเดยี ว 198

หลกั สตู ร การบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้า การพลความ 4.1 อตั ราตามช่วงเวลาของวัน (Time of Day Tariff หรอื TOD) คา่ ความตอ้ งการกาลงั ไฟฟา้ คา่ พลงั งาน ไฟฟา้ อัตรารายเดือน (บาท/กิโลวัตต์) (บาท/หน่วย) 1* 2* 3* 1.6660 4.1.1 แรงดนั ตงั้ แต่ 69 กิโลโวลต์ข้ึนไป 224.30 29.91 0 1.7034 1.7314 4.1.2 แรงดัน 12-24 หรือ 22-33 กิโลโวลต์ 285.05 58.88 0 4.1.3 แรงดันต่ากวา่ 12 หรอื 22 กิโลโวลต์ 332.71 68.22 0 หมายเหตุ 1*On Peak : เวลา 18.30-21.30 น. ของทุกวนั ของทกุ วัน คิดคา่ ความตอ้ งการกาลงั ไฟฟา้ 2*Partial Peak : เวลา 08.00-18.30 น. เฉพาะส่วนท่ีเกนิ จากช่วง On Peak ของทุกวนั ไม่คิดค่าต้องการกาลังไฟฟ้า 3*Off Peak : เวลา 21.30-08.00 น. ความต้องการกาลังไฟฟา้ ความต้องการกาลังไฟฟา้ แตล่ ะเดอื น คือ ความต้องการกาลังไฟฟ้าเป็น กิโลวตั ตเ์ ฉลี่ยใน 15 นาทที ี่สูงสดุ ในชว่ งเวลา On Peak และช่วงเวลา Partial Peak เฉพาะสว่ นที่เกินจากช่วงเวลา On Peak ในรอบเดือน เศษของกิโลวัตต์ถ้าไม่ถงึ 0.5 กโิ ลวัตต์ตัดทง้ิ ตงั้ แต่ 0.5 กโิ ลวัตต์ขน้ึ ไปคดิ เป็น 1 กโิ ลวตั ต์ ค่าไฟฟ้าต่าสุด ค่าไฟฟ้าต่าสุดในแต่ละเดือน ต้องไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ของค่าความต้องการ กาลงั ไฟฟ้า (Demand Charge) ทสี่ ูงสุดในรอบ 12 เดอื นทีผ่ า่ นมา คา่ เพาเวอรแ์ ฟคเตอร์ สาหรับผู้ใช้ไฟฟ้าท่ีมีเพาเวอร์แฟคเตอร์ (Lagging) ถ้าในรอบเดือนใดผู้ใช้ ไฟฟ้ามคี วามต้องการกาลงั ไฟฟา้ รีแอก็ ตฟี เฉลยี่ ในรอบ 15 นาทีทีส่ ูงสดุ เมื่อคิดเป็นกิโลวาร์ เกินกว่าร้อยละ 61.97 ของ ความต้องการกาลังไฟฟ้าแอ็กตีฟเฉล่ียใน 15 นาทีท่ีสูงสุด เม่ือคิดเป็นกิโลวัตต์แล้ว เฉพาะส่วนที่เกินจะต้องเสียค่า เพาเวอรแ์ ฟคเตอร์ในอตั รากิโลวาร์ละ 14.02 บาท สาหรับการเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้าในรอบเดือนน้ัน เศษของกิโลวาร์ ถ้าไมถ่ ึง 0.5 กิโลวาร์ตดั ทงิ้ ตงั้ แต่ 0.5 กโิ ลวาร์ขนึ้ ไป คดิ เปน็ 1 กโิ ลวาร์ 4.2 อัตราตามชว่ งเวลาของการใช้ (Time of Use Tariff หรอื TOU) อัตรารายเดือน ค่าความต้องการ คา่ พลังงานไฟฟ้า คา่ บรกิ าร กาลังไฟฟ้า (บาท/หน่วย) (บาท/กโิ ลวตั ต)์ (บาท/เดือน) 1* 1* 2* 4.2.1 แรงดนั ตง้ั แต่ 69 กิโลโวลต์ข้ึนไป 74.14 2.6136 1.1726 228.17 4.2.2 แรงดนั 12-24 หรือ 22-33 กิโลโวลต์ 132.93 2.6950 1.1914 228.17 4.2.3 แรงดนั ตา่ กว่า 12 หรอื 22 กโิ ลโวลต์ 210.00 2.8408 1.2246 228.17 หมายเหตุ 1*On Peak : เวลา 09.00-22.00 น. วนั จันทร์-วนั ศุกร์ 2*Off Peak : เวลา 22.00-09.00 น. วันจันทร์-วันศุกร์ : เวลา 00.00-24.00 น. วนั เสาร์-วนั อาทิตย์ และวันหยดุ ราชการ ตามปกติ (ไม่รวมวนั หยุดชดเชย) 199

หลกั สตู ร การบรหิ ารจัดการพลงั งานไฟฟา้ การพลความ ความต้องการกาลงั ไฟฟ้า ความต้องการกาลังไฟฟ้าแต่ละเดือน คือ ความต้องการกาลังไฟฟ้าเป็น กิโลวัตต์เฉล่ียใน 15 นาทีที่สูงสุดในช่วงเวลา On Peak ในรอบเดือน เศษของกิโลวัตต์ ถ้าไม่ถึง 0.5 กิโลวัตต์ตัดท้ิง ตั้งแต่ 0.5 กโิ ลวตั ตข์ ้นึ ไป คดิ เปน็ 1 กโิ ลวตั ต์ ค่าไฟฟ้าต่าสุด ค่าไฟฟ้าต่าสุดในแต่ละเดือน ต้องไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ของค่าความต้องการ กาลังไฟฟา้ (Demand Charge) ท่ีสงู สุดในรอบ 12 เดือนทผี่ า่ นมา คา่ เพาเวอรแ์ ฟคเตอร์ สาหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีเพาเวอร์แฟคเตอร์ (Lagging) ถ้าในรอบเดือนใดผู้ใช้ ไฟฟ้ามีความต้องการกาลังไฟฟ้ารีแอ็กตีฟเฉล่ียใน 15 นาทีท่ีสูงสุด เม่ือคิดเป็นกิโลวาร์ เกินกว่าร้อยละ 61.97 ของ ความต้องการกาลังไฟฟ้าแอ็กตีฟเฉลี่ยใน 15 นาทีท่ีสูงสุด เมื่อคิดเป็นกิโลวัตต์แล้ว เฉพาะส่วนท่ีเกินจะต้องเสียค่า เพาเวอรแ์ ฟคเตอรใ์ นอตั รากิโลวาร์ละ 14.02 บาท สาหรับการเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้าในรอบเดือนนั้น เศษของกิโลวาร์ ถา้ ไม่ถึง 0.5 กโิ ลวาร์ตัดทงิ้ ตงั้ แต่ 0.5 กโิ ลวาร์ขึน้ ไป คดิ เป็น 1 กิโลวาร์ 5) ประเภทท่ี 5 กิจการเฉพาะอยา่ ง ลักษณะการใช้ สาหรับการใช้ไฟฟ้าเพ่ือประกอบกิจการโรงแรม และกิจการใช้เช่าพักอาศัย ตลอดจนบรเิ วณที่เก่ียวข้อง ซึ่งมีความต้องการกาลังไฟฟ้าเฉลี่ยใน 15 นาทีท่ีสูงสุดต้ังแต่ 30 กิโลวัตต์ข้ึนไป โดยต่อ ผา่ นเครื่องวัดหน่วยไฟฟา้ เครอ่ื งเดียว 5.1 อัตราปกติ (อตั ราชว่ั คราวกอ่ นเปลีย่ นเป็นอตั รา TOU) อัตรารายเดือน ค่าความตอ้ งการ คา่ พลังงานไฟฟา้ กาลงั ไฟฟ้า (บาท/หนว่ ย) (บาท/กโิ ลวตั ต์) 1.6660 1.7034 5.1.1 แรงดนั ต้งั แต่ 69 กโิ ลโวลตข์ ึ้นไป 220.56 1.7314 5.1.2 แรงดัน 12-24 หรอื 22-33 กิโลโวลต์ 256.07 5.1.3 แรงดนั ต่ากวา่ 12 หรอื 22 กโิ ลโวลต์ 276.64 ความตอ้ งการกาลงั ไฟฟ้า ความตอ้ งการกาลังไฟฟ้าแต่ละเดือนคือ ความต้องการกาลังไฟฟ้าเป็น กิโลวตั ต์เฉล่ยี ใน 15 นาททีส่ ูงสดุ ในรอบเดอื น เศษของกโิ ลวตั ต์ ถา้ ไม่ถึง 0.5 กโิ ลวัตตต์ ัดทิ้ง ตั้งแต่ 0.5 กิโลวัตต์ข้ึนไป คดิ เป็น 1 กิโลวัตต์ ค่าไฟฟ้าต่าสุด ค่าไฟฟ้าต่าสุดในแต่ละเดือน ต้องไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ของค่าความต้องการ กาลังไฟฟา้ (Demand Charge) ที่สงู สุดในรอบ 12 เดอื นทผี่ ่านมา ค่าเพาเวอรแ์ ฟคเตอร์ สาหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีเพาเวอร์แฟคเตอร์ (Lagging) ถ้าในรอบเดือนใดผู้ใช้ ไฟฟ้ามีความต้องการกาลังไฟฟ้ารีแอ็กตีฟเฉลี่ยใน 15 นาทีท่ีสูงสุด เม่ือคิดเป็นกิโลวาร์ เกินกว่าร้อยละ 61.97 ของ ความตอ้ งกาลังไฟฟ้าแอก็ ตีฟเฉลย่ี ใน 15 นาทที ส่ี ูงสดุ เมือ่ คดิ เป็นกิโลวัตต์แลว้ เฉพาะส่วนที่เกินจะต้องเสียค่าเพาเวอร์ แฟคเตอรใ์ นอัตรากโิ ลวาร์ละ 14.02 บาท สาหรับการเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้าในรอบเดือนน้ัน เศษของกิโลวาร์ ถ้าไม่ถึง 0.5 กโิ ลวาร์ตัดท้ิง ต้งั แต่ 0.5 กโิ ลวาร์ข้นึ ไป คิดเป็น 1 กโิ ลวาร์ 200

หลักสตู ร การบรหิ ารจดั การพลังงานไฟฟ้า การพลความ 5.2 อัตราตามช่วงเวลาของการใช้ (Time of Use Tariff หรอื TOU) อัตรารายเดอื น ค่าความตอ้ งการ คา่ พลังงานไฟฟา้ ค่าบริการ กาลังไฟฟ้า (บาท/หนว่ ย) (บาท/กโิ ลวัตต)์ (บาท/เดือน) 1* 1* 2* 5.2.1 แรงดันตงั้ แต่ 69 กิโลโวลต์ข้ึนไป 74.14 2.6136 1.1726 228.17 5.2.2 แรงดัน 12-24 หรือ 22-33 กิโลโวลต์ 132.93 2.6950 1.1914 228.17 5.2.3 แรงดนั ตา่ กว่า 12 หรือ 22 กิโลโวลต์ 210.00 2.8408 1.2246 228.17 หมายเหตุ 1*On Peak : เวลา 09.00-22.00 น. วันจนั ทร์-วนั ศกุ ร์ 2*Off Peak : เวลา 22.00-09.00 น. วนั จนั ทร์-วนั ศกุ ร์ : เวลา 00.00-24.00 น. วนั เสาร์-วันอาทติ ย์ และวนั หยุดราชการ ตามปกติ (ไมร่ วมวนั หยดุ ชดเชย) ความตอ้ งการกาลังไฟฟา้ ความตอ้ งการกาลงั ไฟฟา้ แตล่ ะเดือน คือ ความต้องการกาลังไฟฟ้าเป็น กิโลวัตต์เฉล่ียใน 15 นาทีท่ีสูงสุดในช่วงเวลา On Peak ในรอบเดือน เศษของกิโลวัตต์ ถ้าไม่ถึง 0.5 กิโลวัตต์ตัดท้ิง ต้งั แต่ 0.5 กโิ ลวตั ตข์ ึน้ ไป คดิ เปน็ 1 กิโลวัตต์ ค่าไฟฟ้าต่าสุด ค่าไฟฟ้าต่าสุดในแต่ละเดือน ต้องไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ของค่าความต้องการ กาลังไฟฟา้ (Demand Charge) ท่สี ูงสุดในรอบ 12 เดอื นท่ผี ่านมา คา่ เพาเวอร์แฟคเตอร์ สาหรับผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีเพาเวอร์แฟคเตอร์ (Lagging) ถ้าในรอบเดือนใดผู้ใช้ ไฟฟ้ามีความต้องการกาลังไฟฟ้ารีแอ็กตีฟเฉลี่ยใน 15 นาทีที่สูงสุด เมื่อคิดเป็นกิโลวาร์ เกินกว่าร้อยละ 61.97 ของ ความต้องการกาลังไฟฟ้าแอ็กตีฟเฉล่ียใน 15 นาทีท่ีสูงสุด เมื่อคิดเป็นกิโลวัตต์แล้ว เฉพาะส่วนที่เกินจะต้องเสียค่า เพาเวอรแ์ ฟคเตอรใ์ นอตั รากิโลวารล์ ะ 14.02 บาท สาหรับการเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้าในรอบเดือนนั้น เศษของกิโลวาร์ ถา้ ไม่ถงึ 0.5 กิโลวารต์ ัดทงิ้ ตง้ั แต่ 0.5 กิโลวาร์ข้นึ ไป คดิ เปน็ 1 กโิ ลวาร์ 6) ประเภทท่ี 6 สว่ นราชการและองค์กรที่ไม่แสวงหากาไร ลักษณะการใช้ สาหรับการใช้ไฟฟ้าของราชการ หน่วยงานตามกฏหมายว่าด้วยระเบียบบริหาร ราชการสว่ นทอ้ งถ่ิน ตลอดจนบริเวณทีเ่ ก่ยี วข้อง ซึง่ มีความต้องการกาลงั ไฟฟ้าเฉลี่ยใน 15 นาทีท่ีสูงสุด ต่ากว่า 1,000 กโิ ลวัตต์ และมีปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าเฉลี่ย 3 เดือน ไม่เกิน 250,000 หน่วยต่อเดือน และองค์การที่ไม่ใช่ส่วน ราชการ แตม่ ีวตั ถปุ ระสงค์ในการให้บรกิ ารโดยไม่คิดคา่ ตอบแทน รวมถึงสถานที่ท่ีใช้ในการประกอบศาสนกิจ ตลอดจน บริเวณทเ่ี ก่ียวขอ้ ง แต่ไม่รวมถงึ หนว่ ยงานรฐั วสิ าหกิจ สถานท่ีทาการเกี่ยวกับกิจการของต่างชาติ และสถานที่ทาการ ขององค์การระหวา่ งประเทศ โดยต่อผ่านเครอื่ งวดั หน่วยไฟฟ้าเครือ่ งเดียว 201

หลักสูตร การบริหารจดั การพลงั งานไฟฟา้ การพลความ 6.1 อตั ราปกติ อตั รารายเดอื น คา่ พลงั งานไฟฟ้า ค่าบรกิ าร (บาท/หนว่ ย) (บาท/เดอื น) 6.1.1 แรงดนั ตง้ั แต่ 69 กโิ ลโวลต์ขึน้ ไป 6.1.2 แรงดัน 12-24 หรือ 22-33 กิโลโวลต์ 1.9712 228.17 6.1.3 แรงดันตา่ กวา่ 12 หรอื 22 กโิ ลโวลต์ 2.1412 228.17 10 หน่วยแรก (กิโลวตั ต์ชั่วโมง) (หน่วยท่ี 1-10) 1.3576 20.00 เกินกว่า 10 หนว่ ย (หน่วยที่ 11 เปน็ ต้นไป) 2.4482 6.2 อตั ราตามช่วงเวลาของการใช้ (Time of Use Tariff หรอื TOU) อัตรารายเดอื น ค่าความตอ้ งการ คา่ พลงั งานไฟฟา้ คา่ บริการ กาลังไฟฟ้า (บาท/หนว่ ย) (บาท/กโิ ลวตั ต์) (บาท/เดอื น) 1* 1* 2* 6.2.1 แรงดันตง้ั แต่ 69 กโิ ลโวลต์ขึ้นไป 74.14 2.6136 1.1726 228.17 6.2.2 แรงดัน 12-24 หรือ 22-33 กิโลโวลต์ 132.93 2.6950 1.1914 228.17 6.2.3 แรงดันตา่ กวา่ 12 หรอื 22 กโิ ลโวลต์ 210.00 2.8408 1.2246 228.17 หมายเหตุ 1*On Peak : เวลา 09.00-22.00 น. วันจันทร์-วันศุกร์ 2* Off Peak : เวลา 22.00-09.00 น. วันจันทร์-วนั ศกุ ร์ : เวลา 00.00-24.00 น. วันเสาร์-วันอาทติ ย์ และวันหยุดราชการ ตามปกติ (ไม่รวมวนั หยุดชดเชย) ความต้องการกาลงั ไฟฟา้ ความตอ้ งการกาลังไฟฟา้ แตล่ ะเดือน คือ ความต้องการกาลังไฟฟ้าเป็น กิโลวัตต์เฉล่ียใน 15 นาทีท่ีสูงสุดในช่วงเวลา On Peak ในรอบเดือน เศษของกิโลวัตต์ ถ้าไม่ถึง 0.5 กิโลวัตต์ตัดทิ้ง ตง้ั แต่ 0.5 กโิ ลวตั ตข์ ึน้ ไป คิดเป็น 1 กิโลวตั ต์ ค่าไฟฟ้าต่าสุด ค่าไฟฟ้าต่าสุดในแต่ละเดือน ต้องไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ของค่าความต้องการ กาลงั ไฟฟ้า (Demand Charge) ทีส่ งู สดุ ในรอบ 12 เดือนท่ผี ่านมา ค่าเพาเวอรแ์ ฟคเตอร์ สาหรับผู้ใช้ไฟฟ้าท่ีมีเพาเวอร์แฟคเตอร์ (Lagging) ถ้าในรอบเดือนใดผู้ใช้ ไฟฟ้ามีความต้องการกาลังไฟฟ้ารีแอ็กตีฟเฉลี่ยใน 15 นาทีที่สูงสุด เมื่อคิดเป็นกิโลวาร์ เกินกว่าร้อยละ 61.97 ของ ความต้องการกาลังไฟฟ้าแอ็กตีฟเฉล่ียใน 15 นาทีท่ีสูงสุด เมื่อคิดเป็นกิโลวัตต์แล้ว เฉพาะส่วนที่เกินจะต้องเสียค่า เพาเวอรแ์ ฟคเตอร์ในอัตรากิโลวารล์ ะ 14.02 บาท สาหรับการเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้าในรอบเดือนน้ัน เศษของกิโลวาร์ ถ้าไม่ถงึ 0.5 กิโลวาร์ตดั ทง้ิ ตง้ั แต่ 0.5 กิโลวารข์ น้ึ ไป คิดเป็น 1 กิโลวาร์ 202

หลักสูตร การบริหารจดั การพลังงานไฟฟา้ การพลความ 7) ประเภทที่ 7 สูบนา้ เพอ่ื การเกษตร ลกั ษณะการใช้ สาหรับการใชไ้ ฟฟ้ากับเคร่อื งสูบนา้ เพ่ือการเกษตรของส่วนราชการ กลุ่มเกษตรกร ที่ทางราชการรบั รอง หรอื สหกรณ์เพ่ือการเกษตร โดยตอ่ ผา่ นเครอ่ื งวดั ไฟฟ้าเคร่อื งเดยี ว 7.1 อัตราปกติ อัตรารายเดือน คา่ พลงั งานไฟฟา้ ค่าบรกิ าร (บาท/หนว่ ย) (บาท/เดอื น) 100 หน่วยแรก (กโิ ลวัตตช์ ว่ั โมง) (หน่วยที่ 1-100) 0.6452 115.16 เกนิ กว่า 100 หน่วย (หน่วยท่ี 101 เปน็ ต้นไป) 1.7968 7.2 อตั ราตามชว่ งเวลาของการใช้ (Time of Use Tariff หรอื TOU) อตั รารายเดือน คา่ ความต้องการ ค่าพลังงานไฟฟ้า คา่ บรกิ าร กาลังไฟฟ้า (บาท/หน่วย) (บาท/กโิ ลวัตต์) (บาท/เดือน) 1* 1* 2* 7.2.1 แรงดนั 12-24 หรือ 22-33 กิโลโวลต์ 132.93 2.6950 1.1914 228.17 7.2.2 แรงดันตา่ กว่า 12 หรอื 22 กิโลโวลต์ 210.00 2.8408 1.2246 228.17 หมายเหตุ 1*On Peak : เวลา 09.00-22.00 น. วนั จันทร์-วนั ศุกร์ 2*Off Peak : เวลา 22.00-09.00 น. วนั จนั ทร์-วันศุกร์ : เวลา 00.00-24.00 น. วันเสาร์-วนั อาทิตย์ และวนั หยดุ ราชการ ตามปกติ (ไมร่ วมวันหยดุ ชดเชย) ความตอ้ งการกาลงั ไฟฟา้ ความตอ้ งการกาลังไฟฟา้ แตล่ ะเดือน คือ ความต้องการกาลังไฟฟ้าเป็น กิโลวัตต์เฉล่ียใน 15 นาทีท่ีสูงสุดในช่วงเวลา On Peak ในรอบเดือน เศษของกิโลวัตต์ ถ้าไม่ถึง 0.5 กิโลวัตต์ตัดท้ิง ต้ังแต่ 0.5 กโิ ลวัตต์ขนึ้ ไป คดิ เปน็ 1 กโิ ลวตั ต์ ค่าไฟฟ้าต่าสุด ค่าไฟฟ้าต่าสุดในแต่ละเดือน ต้องไม่ต่ากว่าร้อยละ 70 ของค่าความต้องการ กาลงั ไฟฟ้า (Demand Charge) ที่สูงสดุ ในรอบ 12 เดือนทผี่ า่ นมา 203

หลกั สตู ร การบริหารจดั การพลังงานไฟฟา้ การพลความ  อัตราคา่ ไฟฟา้ สารอง ลักษณะการใช้ไฟฟ้า มี 2 กรณี คือ กรณที ่ี 1 สาหรบั ผูใ้ ชไ้ ฟฟา้ เฉพาะทีม่ ีเครื่องกาเนิดไฟฟา้ ของตนเองและไฟฟา้ ทีผ่ ลิตจากเครือ่ ง กาเนิดไฟฟา้ ของตนเองเป็นหลัก แต่ต้องการไฟฟ้าจากการไฟฟา้ นครหลวง/การไฟฟา้ ส่วนภูมิภาคเพ่ือสารองไว้ใช้ทดแทน ในกรณีที่เคร่ืองกาเนิดไฟฟ้าดังกล่าวขัดข้อง หรือ หยดุ เพือ่ ซอ่ มแซมและบารงุ รกั ษาตามแผนงานทไ่ี ด้แจง้ การไฟฟ้าไว้ โดยต่อผ่านเครื่องวัด ไฟฟา้ เครอื่ งเดยี ว กรณที ่ี 2 สาหรับผู้ใช้ไฟฟ้าเฉพาะที่มีเคร่ืองกาเนิดไฟฟ้าของตนเอง ผลิตกาลังไฟฟ้าร่วมกับ พลังงานความรอ้ น (Cogeneration) และใช้ไฟฟา้ ทผ่ี ลติ จากเครอื่ งกาเนดิ ไฟฟ้าตนเองเป็น หลัก แต่ต้องการไฟฟ้าจากการไฟฟ้านครหลวง/การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค เพื่อสารองไว้ใช้ ทดแทนในกรณที ีเ่ คร่อื งขดั ขอ้ ง หรือหยุดเพ่ือซ่อมแซม และบารุงรักษาตามแผนงานท่ีได้ แจง้ การไฟฟ้าไว้ โดยต่อผ่านเครื่องวดั ไฟฟา้ เครอ่ื งเดียว  อตั ราคา่ ไฟฟา้ ประเภทที่สามารถงดจา่ ยไฟฟ้าได้ (Interruptible Tariff) อตั ราค่าไฟฟ้าประเภทท่ีสามารถงดจ่ายไฟฟ้าได้ตามช่วงเวลาของการใช้ เป็นอัตราเลือกอีกประเภท หน่ึงทใ่ี ช้ควบคกู่ ับอัตราปกติ สาหรบั ผใู้ ชไ้ ฟฟา้ ประเภทกิจการขนาดใหญ่ มเี ง่ือนไขดงั นี้ (1) คุณสมบัติของผู้ใช้ไฟฟ้า เป็นผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดใหญ่ ท่ีมีความต้องการกาลังไฟฟ้า ต้ังแต่ 5,000 กิโลวัตต์ข้ึนไป และมีปริมาณกาลังไฟฟ้าท่ีสามารถงดจ่ายไฟฟ้าได้ (Interruptible Demand) เมื่อการ ไฟฟา้ ร้องขอไม่น้อยกวา่ 1,000 กิโลวัตต์ (2) คาจากัดความ  Interruptible Demand หมายถึง ปริมาณกาลังไฟฟ้าท่ีผู้ใช้ไฟฟ้ายินยอมให้การไฟฟ้างดจ่าย ไฟฟา้ ได้ เมอ่ื การไฟฟา้ รอ้ งขอ  Firm Demand หมายถงึ ผลต่างของ Maximum Demand (กาลงั ไฟฟ้าสูงสุด) และ Interruptible Demand  Maximum Take หมายถงึ ปรมิ าณกาลงั ไฟฟ้าสูงสดุ ช่วง On Peak ทผ่ี ู้ใชไ้ ฟฟ้าทาสัญญากับการ ไฟฟ้าว่าจะไม่สามารถงดการใช้ไฟฟา้ ไดต้ า่ กว่านี้ (3) เงือ่ นไขการรับซอ้ื ไฟฟ้า  ปริมาณกาลังไฟฟ้าตามสัญญา ผู้ใช้ไฟฟ้าที่มีความต้องการซ้ือไฟฟ้าประเภทที่สามารถงดจ่าย ไฟฟา้ ไดจ้ ะตอ้ งทาสัญญาระบปุ ริมาณ Interruptible Demand และ Maximum Take  การแจ้งงดจ่ายไฟฟ้า การไฟฟ้าจะแจ้งให้ผู้ใช้ไฟฟ้าทราบเวลางดจ่ายไฟฟ้า และระยะเวลางด จ่ายไฟฟ้าล่วงหน้าไม่น้อยกว่า 1 ช่ัวโมง โดยทางโทรสาร โทรศัพท์ เครือข่ายวิทยุติดตามตัว (Pager) หรอื Internet 204

หลกั สตู ร การบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้า การพลความ ตารางที่ 7.1 อตั ราค่าไฟฟ้าท่ีการไฟฟ้าเรียกเกบ็ จากผใู้ ชไ้ ฟฟา้ แต่ละประเภทสามารถสรปุ ได้ ดังตอ่ ไปน้ี ประเภทผ้ใู ช้ ความตอ้ งการ ปรมิ าณการใช้ คา่ พลังงาน อัตราค่าไฟฟา้ อัตรา อตั รา TOU กาลังไฟฟา้ เฉลี่ย พลังงานไฟฟ้า ไฟฟ้า TOD เฉลี่ย 3 เดือน อตั ราปกติ ใน15 นาที ท่ี (หนว่ ย/เดอื น) (บาท/หน่วย) (คา่ พลงั งาน สงู สุด ไฟฟา้ (บาท/หนว่ ย) และค่า ความต้องการกาลงั ไฟฟ้า (กิโลวตั ต์) (บาท/ กโิ ลวตั ต์)) 1. บ้านอย่อู าศัย ไมก่ าหนด ไมก่ าหนด บงั คบั - - เลือก 2. กิจการขนาดเล็ก <30 ไมก่ าหนด บงั คบั - - เลอื ก 3. กจิ การขนาดกลาง 30 – 999 ≤ 250,000 - เลือก - เลือกแล้ว เปลย่ี น ไมไ่ ด/้ บงั คบั สาหรบั ผใู้ ช้ราย ใหม่ตงั้ แต่ ต.ค. 2543 4. กิจการขนาดใหญ่ ≥ 1,000 > 250,000 - - เลอื ก เลอื กแลว้ เปลย่ี น ไม่ได/้ บังคับ สาหรับผูใ้ ช้ราย ใหมต่ งั้ แต่ ต.ค. 2543 5. กิจการเฉพาะอย่าง ≥ 30 ไมก่ าหนด - บงั คบั - บังคบั (ก่อนติดเครื่องวัด TOU) 6. สว่ นราชการและ ≤ 1,000 ≤ 250,000 บังคบั - - เลอื กแล้ว องคก์ รทีไ่ มแ่ สวงหา เปลยี่ น กาไร ไมไ่ ด้ 7. สูบนา้ เพื่อการเกษตร ไมก่ าหนด ไมก่ าหนด บงั คับ -- 7.1.2 โครงสร้างอัตราค่าไฟฟา้ ค่าไฟฟา้ ท่ีการไฟฟา้ เรยี กเก็บจากผู้ใช้ไฟฟ้า ซึ่งปรากฏอยู่ในใบเสร็จรับเงินค่าไฟฟ้าในแต่ละเดือนจะ ประกอบไปด้วยสว่ นประกอบตา่ งๆ ดังต่อไปนี้ 1) ค่าพลงั งานไฟฟา้ (Energy Charge) คิดตามปริมาณการใชไ้ ฟฟา้ (ตามหน่วยหรือกิโลวัตต์ -ช่ัวโมง) ท่ใี ชใ้ นแตล่ ะเดอื น ตามประเภทของอัตราค่าไฟฟ้าทีใ่ ช้ 2) ค่าความต้องการกาลังไฟฟ้า (Demand Charge) คิดจากความต้องการกาลังไฟฟ้าเป็นกิโลวัตต์ เฉลย่ี ใน 15 นาทีท่ีสงู สุดของชว่ งเวลาในแต่ละเดอื น ตามประเภทของอตั ราคา่ ไฟฟา้ ท่ีใช้ 3) ค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์ ใช้สาหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดกลาง กิจการขนาดใหญ่ และ กิจการเฉพาะอยา่ ง ในกรณีท่ีผูใ้ ชไ้ ฟฟา้ มีค่าตวั ประกอบกาลงั (Power Factor) ล้าหลัง (Lag) โดย ถา้ ในรอบเดือนมีความต้องการกาลังไฟฟ้ารีแอ็กตีฟเฉลี่ยใน 15 นาทีท่ีสูงสุด เม่ือคิดเป็นกิโลวาร์เกิน กว่ารอ้ ยละ 61.97 ของความต้องการกาลงั ไฟฟา้ แอก็ ตฟี เฉล่ียใน 15 นาทีท่ีสูงสุดเม่ือคิดเป็นกิโลวัตต์เฉพาะส่วนที่เกิน จะตอ้ งเสียคา่ เพาเวอร์แฟคเตอรใ์ นอตั รากิโลวาร์ละ 14.02 บาท 205

หลักสตู ร การบริหารจดั การพลังงานไฟฟ้า การพลความ 4) คา่ บริการรายเดอื น 5) ค่าตัวประกอบการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ หรือท่ีเรียกกันส้ันๆ ว่าค่า Ft เป็นค่าไฟฟ้าท่ี ปรบั เปลี่ยนเพ่ิมขึ้นหรอื ลดลงตามภาวะต้นทุนการผลิต การจัดส่ง และการจาหน่ายไฟฟ้าท่ีเปลี่ยนแปลงไปเน่ืองจาก ปัจจยั ท่อี ยูน่ อกเหนอื การควบคมุ ของการไฟฟ้าทั้งฝ่ายผลิต และฝา่ ยจาหน่าย ไดแ้ ก่  การเปลย่ี นแปลงของค่าใชจ้ ่ายเช้ือเพลงิ และค่าซือ้ ไฟฟา้  การเปลย่ี นแปลงของอัตราแลกเปล่ียนเงินตราต่างประเทศ  การเปลี่ยนแปลงของอตั ราเงินเฟอ้  การเปลี่ยนแปลงของความต้องการไฟฟ้า Ft เดมิ หมายถึง Fuel Adjustment Charge หรอื การปรับคา่ ไฟฟา้ ตามราคาเชอื้ เพลงิ ท่ีมีผลกระทบต่อ ต้นทุนการผลิตไฟฟ้า ปจั จุบันกาหนดใหม้ ีความหมายกวา้ งขึ้น คอื Energy Adjustment Charge ท้ังนเี้ พือ่ ให้ครอบคลุม ถึงปัจจยั อ่ืนๆ ทม่ี ีผลกระทบตอ่ ต้นทุนการผลิต การจดั ส่ง และการจาหน่ายไฟฟ้า ส่วนตัว t (Subscript) หมายถึง การ เปลี่ยนแปลงตามระยะเวลา เร่มิ ใชต้ ั้งแตป่ ี 2535 ในระยะแรกมีการปรับทุกเดือน ปจั จบุ นั จะทาการปรบั 4 เดอื นตอ่ ครงั้ 6) ภาษมี ูลคา่ เพ่ิมในอตั รารอ้ ยละ 7 ตารางที่ 7.2 ส่วนประกอบค่าไฟฟ้าต่าง ๆ คา่ ไฟฟา้ ฐาน ค่าไฟฟ้าผนั แปร ภาษมี ลู ค่าเพ่มิ 6. ภาษีมูลค่าเพิม่ 1. คา่ พลงั งานไฟฟา้ 5. ค่าตัวประกอบการปรับอตั ราคา่ 2. คา่ ความต้องการกาลังไฟฟ้า ไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ 3. ค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์ 4. คา่ บริการรายเดือน 7.1.3 ควรใช้อตั ราคา่ ไฟฟ้าแบบใด อตั ราคา่ ไฟฟ้าได้ออกแบบมาเพอื่ จงู ใจใหผ้ ู้ใชไ้ ฟฟ้าหลีกเลี่ยงการใช้ไฟฟ้าในช่วงที่มีความต้องการการ ใช้ไฟฟ้าสูง โดยคดิ อัตราค่าไฟฟา้ สูงในชว่ งท่มี คี วามต้องการการใช้ไฟฟ้าสูง และคิดอัตราค่าไฟฟ้าท่ีต่ากว่าในช่วงท่ีมี ความต้องการการใช้ไฟฟ้าต่า ดังน้ันการเลือกอัตราค่าไฟฟ้าท่ีเหมาะสมกับความต้องการและลักษณะการใช้ไฟฟ้า รวมทง้ั หลกี เลี่ยงการใชไ้ ฟฟ้าในช่วงทอี่ ตั ราค่าไฟฟ้าสูง จะทาใหส้ ามารถประหยัดคา่ ใชจ้ ่ายเป็นจานวนมาก 206

หลักสตู ร การบรหิ ารจดั การพลงั งานไฟฟา้ การพลความ 7.1.4 ตวั อย่างการคานวณคา่ ไฟฟา้ 1) คิดจากใบแจง้ หน้ที ี่ได้รับ ก. อตั รา TOD (ตัวอยา่ งท่ี 1) 89,594.31 บาท 1,369,513.00 บาท รปู ที่ 7.1 แสดงใบแจง้ หนส้ี าหรับผใู้ ชไ้ ฟฟ้าในอตั รา TOD จากใบแจ้งหนใ้ี นรปู ที่ 7.1 จะได้ (1) พลังงานไฟฟา้ ทใี่ ชไ้ ป 394,000 หน่วย เป็นเงิน 671,139.49 บาท (หน่วยละ 1.7034 บาท) (2) ความตอ้ งการกาลังไฟฟ้าสูงสุด On Peak = 1,523 kW เป็นเงนิ 434,131.00 บาท (kW ละ 285.05 บาท) Partial Peak = 1,885 kW เปน็ เงนิ 21,315.00 บาท (kW ละ 58.88 บาท) (3) คา่ กาลงั ไฟฟา้ รีแอก็ ตีฟ (เพาเวอรแ์ ฟคเตอร์) kVAR สว่ นเกิน = 1,347 – (1,885 x 0.6197) = 178.86 kVAR = 179 kVAR เปน็ เงิน 2,510.00 บาท (kVAR ละ 14.02 บาท) (4) ค่า Ft เป็นเงนิ 150,823.20 บาท (394,000 x 0.3828) (5) ค่าไฟฟ้ารวม (1) + (2) + (3) + (4) = 1,279,918.69 บาท (6) ภาษมี ูลคา่ เพิ่มเป็นเงิน 89,594.31 บาท (1,279,918.69 x 0.07) (7) รวมเป็นเงนิ ที่ต้องชาระทั้งส้นิ (5) + (6) = 1,369,513.00 บาท 207

หลกั สตู ร การบริหารจัดการพลงั งานไฟฟา้ การพลความ ข. อัตรา TOU (ตัวอยา่ งที่ 2) รูปที่ 7.2 แสดงใบแจง้ หน้สี าหรับผใู้ ชไ้ ฟฟ้าในอตั รา TOU จากใบแจ้งหนีใ้ นรปู ท่ี 7.2 จะได้ (1) พลงั งานไฟฟ้า On Peak 232,020 หน่วย เป็นเงิน 625,293.90 บาท (หนว่ ยละ 2.6950 บาท) Off Peak 216,330 + 150,240 หนว่ ย เป็นเงนิ 436,731.50 บาท (หน่วยละ 1.1914 บาท) รวมค่าพลงั งานไฟฟ้า 1,062,025.40 บาท (2) ความตอ้ งการกาลังไฟฟา้ สูงสดุ On Peak = 1,140 kW เปน็ เงนิ 151,540.20 บาท (kW ละ 132.93 บาท) 208

หลักสูตร การบริหารจดั การพลงั งานไฟฟา้ การพลความ (3) ค่ากาลงั ไฟฟ้ารแี อก็ ตฟี (เพาเวอรแ์ ฟคเตอร์) kVAR สว่ นเกนิ = 303 – (1,143 x 0.6197) = -405.32 kVAR = 0 kVAR เปน็ เงิน 0.00 บาท (kVAR ละ 14.02 บาท) (4) คา่ Ft เป็นเงิน 340,178.70 บาท (598,590 x 0.5683) (5) ค่าไฟฟ้ารวม (1) + (2) + (3) + (4) = 1,553,744.30 บาท (6) ค่าบริการรายเดือน 228.17 บาท (7) คา่ ไฟฟ้ารวมค่าบริการรายเดือน (5) + (6) = 1,553,972.47 (8) ภาษมี ูลค่าเพิ่ม เป็นเงิน 108,778,07 บาท (1,553,972.47 x 0.07) (9) รวมเป็นเงนิ ทีต่ อ้ งชาระทั้งสิน้ (7) + (8) = 1,662,750.54 บาท ค. อัตราปกติ TOU (ตวั อย่างที่ 3) รปู ท่ี 7.3 แสดงใบแจง้ หน้ีสาหรับผู้ใชไ้ ฟฟ้าในอัตราปกติ 209

หลักสูตร การบริหารจัดการพลังงานไฟฟา้ การพลความ จากใบแจ้งหนี้ในรปู ที่ 7.3 จะได้ (1) พลงั งานไฟฟา้ ทีใ่ ชไ้ ป 96,000 หนว่ ย เปน็ เงนิ 163,526.40 บาท (หนว่ ยละ 1.7034 บาท) (2) ความต้องการกาลงั ไฟฟ้าสูงสดุ On Peak = 380 kW เป็นเงนิ 74,579.00 บาท (kW ละ 196.26 บาท) (3) ค่ากาลงั ไฟฟา้ รีแอก็ ตีฟ (เพาเวอร์แฟคเตอร์) kVAR ส่วนเกนิ = 300 – (380 x 0.6197) = 64.5 kVAR = 65 kVAR เป็นเงิน 911.00 บาท (kVAR ละ 14.02 บาท) (4) ค่า Ft เป็นเงนิ 54,556.80 บาท (96,000 x 0.5683) (5) คา่ ไฟฟ้ารวม (1) + (2) + (3) + (4) = 293,573.20 บาท (6) ภาษมี ูลค่าเพ่ิม เป็นเงนิ 20,550.12 บาท (293,573.20 x 0.07) (7) รวมเป็นเงนิ ท่ีต้องชาระทั้งสนิ้ (5) + (6) = 314,123.32 บาท 2) ดูจากตัวเลขท่ีเครือ่ งวัดพลงั งานไฟฟ้า ก. กจิ การขนาดใหญ่ อตั รา 4.1.1 TOD (ตวั อย่างท่ี 4) ผ้ใู ชไ้ ฟฟ้ามีการใชไ้ ฟฟา้ ดงั น้ี แรงดนั ไฟฟ้า 69 กิโลโวลต์ กิโลวัตต์ ความต้องการกาลงั ไฟฟา้ ชว่ ง On Peak 18,480 กโิ ลวตั ต์ กิโลวตั ต์ ความตอ้ งการกาลังไฟฟ้าชว่ ง Partial Peak 19,580 กิโลวัตต์ - ช่วั โมง กโิ ลวาร์ ความตอ้ งการกาลงั ไฟฟา้ ชว่ ง Off Peak 18,200 สตางค์/หนว่ ย พลงั งานไฟฟา้ 11,939,400 ความต้องการพลังงานไฟฟา้ รแี อก็ ตฟี 10,960 การปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมตั ิ (Ft) (ม.ิ ย.-ก.ย. 50) 68.42 210

หลักสตู ร การบรหิ ารจัดการพลงั งานไฟฟ้า สว่ นท่ี 1 ค่าไฟฟ้าฐาน = การพลความ 1. คา่ ความต้องการกาลังไฟฟ้า (ความตอ้ งการกาลังไฟฟ้าช่วง On Peak x อตั ราช่วง On Peak) 2. ค่าพลงั งานไฟฟ้า = + (ความตอ้ งการกาลังไฟฟา้ ช่วง Partial Peak เฉพาะส่วนท่ีเกนิ = จาก On Peak x อตั ราชว่ ง Partial Peak) 3. ค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์ = (18,480x224.30) + ((19,580-18,480) x 29.91) จานวนกิโลวาร์ทคี่ ิดเงิน = 4,177,965.00 บาท = จานวนพลังงานไฟฟา้ x อตั ราค่าพลังงานไฟฟา้ จานวนเงนิ = 11,939,400 x 1.6660 = 19,891,040.40 บาท = จานวนกิโลวาร์ทเ่ี กินกวา่ ร้อยละ 61.97 ของกโิ ลวตั ต์สูงสุด = 10,960 - (19,580 x 0.6197) -1,174 กิโลวาร์ (แสดงวา่ ค่า PF สงู กว่า 0.85) 0.00 บาท รวมค่าไฟฟา้ ฐาน = 4,177,965.00 + 19,891,040.40 = 24,069,005.40 บาท สว่ นที่ 2 คา่ ไฟฟ้าผันแปร (Ft) จานวนกาลังไฟฟา้ x Ft = 11,939,400 x 0.6842 = 8,168,937.48 บาท สว่ นที่ 3 คา่ ภาษีมลู คา่ เพิม่ 7% = (24,069,005.40 + 8,168,937.48) x .07 (คา่ ไฟฟา้ ฐาน + คา่ Ft ) x 0.7 = 2,256,656.00 บาท รวมเงินค่าไฟฟ้า = 24,069,005.40 + 8,168,937.48 + 2,256,656.00 = 34,494,598.88 บาท ข. กิจการขนาดใหญ่ อตั รา 4.2.1 TOU (ตวั อยา่ งท่ี 5) 69 กิโลโวลต์ ผใู้ ช้ไฟฟา้ มีการใช้ไฟฟ้าดังน้ี 3,339 กโิ ลวัตต์ แรงดันไฟฟ้า 3,735 กิโลวัตต์ ความตอ้ งการกาลงั ไฟฟา้ ชว่ ง On Peak 1,852,000 กโิ ลวัตต์- ชว่ั โมง ความตอ้ งการกาลงั ไฟฟ้าช่วง Off Peak 964,000 กิโลวัตต์ - ช่ัวโมง พลังงานไฟฟา้ (ยอดรวม) 888,000 กิโลวัตต์ - ชัว่ โมง พลังงานไฟฟา้ ช่วง On Peak 1,413 กโิ ลวาร์ พลังงานไฟฟา้ ชว่ ง Off Peak 68.42 สตางค์/หน่วย ความตอ้ งการกาลังไฟฟา้ รแี อ็กตีฟ การปรับอัตราคา่ ไฟฟา้ โดยอตั โนมตั ิ (Ft) (ม.ิ ย.- ก.ย. 50) 211

หลกั สูตร การบริหารจัดการพลังงานไฟฟา้ การพลความ สว่ นที่ 1 ค่าไฟฟา้ ฐาน = ความตอ้ งการกาลังไฟฟ้าช่วง On Peak x อัตราช่วง On Peak 1. คา่ ความตอ้ งการกาลงั ไฟฟ้า = 3,339 x 74.14 = 247,553.46 บาท 2. คา่ พลงั งานไฟฟา้ = (จานวนพลังงานไฟฟา้ ชว่ ง On Peak x อตั ราชว่ ง On Peak) + (จานวนพลังงานไฟฟา้ ชว่ ง Off Peak x อตั ราช่วง Off Peak) 3. คา่ เพาเวอร์แฟคเตอร์ = (964,000 x 2.6136) + (888,000 x 1.1726) จานวนกิโลวาร์ที่คดิ เงิน = 3,560,779.20 บาท = จานวนกิโลวาร์ท่ีเกินกว่ารอ้ ยละ 61.97 ของกิโลวตั ต์สงู สุด จานวนเงิน = 1,413 -3,735 x 0.6197) 4. ค่าบริการ = -902 กโิ ลวาร์ (แสดงวา่ ค่า PF สงู กว่า 0.85) = 0.00 บาท = 228.17 บาท รวมคา่ ไฟฟ้าฐาน = 247,553.46 + 3,560,779.20 + 228.17 = 3,808,560.83 บาท สว่ นที่ 2 ค่าไฟฟ้าผนั แปร (Ft) = 1,852,000 x 0.6842 จานวนกาลังไฟฟ้า x คา่ Ft = 1,267,138.40 บาท ส่วนท่ี 3 คา่ ภาษมี ลู ค่าเพิม่ 7% = (3,808,560.83 +1,267,138.40) x .07 (คา่ ไฟฟา้ ฐาน + ค่า Ft ) x 0.7 = 355,298.95 บาท รวมเงนิ ค่าไฟฟา้ = 3,808,560.83 + 1,267,138.40 + 355,298.95 = 5,430,998.18 บาท 212

หลักสูตร การ การพลความ ตารางที่ 7.3 รายละเอยี ดคา่ ไฟฟ้าของผใู้ ชไ้ ฟฟา้ ตัวอยา่ ง ส่วนประกอบค่าไฟฟ้า ตัวอยา่ งท่ี 1 (TOD) ตัวอย่างท่ี 2 (TOU) 1. ค่าพลงั งานไฟฟ้า บาท บาท/ สดั สว่ น บาท บาท/ สัดสว่ น 2. ค่าความตอ้ งการกาลังไฟฟ้า หนว่ ย (%) หน่วย (%) 3. คา่ เพาเวอร์แฟคเตอร์ 4. คา่ Ft 671,139.49 1.7034 49.01 1,062,025.40 1.7742 63.87 5. คา่ บริการ 6. ภาษีมูลคา่ เพิ่ม 455,446.00 1.1560 33.26 151,540.20 0.2532 9.11 7. คา่ ไฟฟา้ รวม 2,510.00 0.0064 0.18 0.00 0.00 0.00 150,823.20 0.3828 11.01 340,178.70 0.5683 20.46 -- - 228.17 0.0004 0.01 89,594.31 0.2274 6.54 108,778.07 0.1817 6.54 1,369,513.00 3.4759 100.00 1,662,750.54 2.7778 100.00

รบรหิ ารจัดการพลังงานไฟฟ้า ตวั อย่างที่ 3 (ปกติ) ตัวอย่างที่ 4 (TOD) ตัวอยา่ งที่ 5 (TOU) บาท บาท/ สัดสว่ น บาท บาท/ สดั สว่ น บาท บาท/ สัดสว่ น หน่วย (%) หน่วย (%) หน่วย (%) 163,526.40 1.7034 52.06 19,891,040.40 1.6660 57.66 3,560,779.20 1.9227 65.56 74,579.00 0.7769 23.74 4,177,965.00 0.3499 12.11 247,553.46 0.1337 4.56 911.00 0.0095 0.29 - 0.00 0.00 0.00 0.00 0.00 54,556.80 0.5683 17.37 8,168,937.48 0.6842 23.68 1,267,138.40 0.6842 23.33 -- - - - - 228.17 0.0001 0.00 20,550,12 0.2141 6.54 2,256,656.00 0.1890 6.54 355,298.95 0.1918 6.54 314,123.32 3.2721 100.00 34,494,598.88 2.8891 100.00 5,430,998.18 2.9325 100.00 212

หลักสูตร การบรหิ ารจัดการพลงั งานไฟฟา้ การพลความ 7.2 การวดั ความตอ้ งการกาลังไฟฟา้ สูงสดุ 7.2.1 ความหมายของความตอ้ งการกาลังไฟฟา้ สูงสดุ ความตอ้ งการกาลงั ไฟฟ้าสงู สดุ คือ ค่าความต้องการกาลังไฟฟ้าสูงท่ีสุด (ค่ากิโลวัตต์เฉลี่ยทุก ๆ 15 นาที) ทว่ี ดั ในช่วง 1 เดอื น กาลังไฟฟา้ (kW) Pa T เวลา รูปที่ 7.4 การวัดความต้องการกาลงั ไฟฟ้า จากรูปที่ 7.4 สามารถสร้างสมการแสดงความสมั พนั ธข์ องกาลงั ไฟฟ้าเฉลย่ี (Pa) และพลงั งานไฟฟ้าทีใ่ ช้ใน คาบเวลา T ได้ดงั น้ี Pa x T =  P.dt = E15 Pa = E15 = 4 x E15 T เม่ือ Pa คือ กาลังไฟฟา้ เฉลี่ยในคาบเวลา T T คอื คาบเวลาที่กาหนด โดยการวัดความต้องการกาลังไฟฟ้าสงู สุด กาหนดให้ T มคี ่า 14 ชว่ั โมง (หรือ 15 นาท)ี E15 คอื ปรมิ าณพลังงานไฟฟา้ ท่ีใชไ้ ปในชว่ งเวลานาน 15 นาที 213

หลักสูตร การบริหารจัดการพลงั งานไฟฟ้า การพลความ กา ัลงไฟฟ้า (kW) 210 180 150 120 90 60 30 0 5 10 15 20 25 30 35 40 45 50 55 60 65 70 75 เวลา (นาท)ี ก) กาลังไฟฟา้ ของโหลดทเี่ ปลย่ี นแปลงตามเวลา 50 40 37.5 32.5 32.5 E (kWh) 30 27.5 22.5 20 10 0 5 10 15 20 25 30 35 40 45 50 55 60 65 70 75Demand (kW) เวลา (นาท)ี ข) ปริมาณพลังงานไฟฟ้าทใ่ี ช้ทกุ คาบเวลา 15 นาที 210 180 150 150 130 130 120 110 90 90 60 30 0 5 10 15 20 25 30 35 40 45 50 55 60 65 70 75 เวลา (นาท)ี ค) ความต้องการกาลงั ไฟฟา้ (Demand) ท่ีเกิดข้นึ ทกุ คาบ 15 นาที รปู ท่ี 7.5 ตวั อยา่ งการวดั ความตอ้ งการกาลังไฟฟา้ (Demand) ใน 5 คาบเวลา (75 นาท)ี 214

หลกั สูตร การบริหารจัดการพลงั งานไฟฟา้ การพลความ รูปท่ี 7.5 แสดงตวั อย่างการวดั ความต้องการกาลังไฟฟ้า (Demand) ใน 5 คาบเวลา (75 นาที) ในคาบเวลาท่ี 1 (0-15 นาท)ี จะใช้พลงั งานไฟฟา้ ไปทง้ั หมด 22.5 หนว่ ย ทาให้แปลงเปน็ ความตอ้ งการกาลงั ไฟฟา้ คร้ังที่ 1 ได้ 90 KW การวัดความต้องการกาลังไฟฟ้าจะเกิดขึ้นทุก ๆ 15 นาที ใน 1 ชั่วโมงจะเกิดขึ้น 4 คร้ัง ใน 1 วันจะเกิดข้ึน 96 ครัง้ ในเวลา 31 วนั จะมีความต้องการกาลงั ไฟฟ้าเกดิ ขนึ้ ท้งั หมด 2,976 คร้ัง ในกรณีที่ใช้ไฟฟ้าตามอัตราปกติจะใช้ ความต้องการกาลงั ไฟฟ้าทสี่ งู ที่สดุ ในจานวน 2,976 ครั้งนไี้ ปคิดค่าไฟฟา้ ในส่วนของค่าความต้องการกาลังไฟฟ้าสูงสุด นนั่ หมายความวา่ จะเกิดขนึ้ คร้งั แรกหรือครั้งสุดท้ายกม็ ีผลในการคิดคา่ ไฟฟ้าเหมอื นกัน รูปท่ี 7.6 แสดงค่าความต้องการกาลังไฟฟ้าของโรงงานขนาดใหญ่ แห่งหน่ึงในช่วงระยะเวลาคร่ึงชั่วโมง ถึงแม้ว่ากาลังไฟฟ้าจะเปล่ียนแปลงระหว่าง 3,150-2,700 kW แต่ค่าความต้องการกาลังไฟฟ้าสาหรับระยะเวลา 15 นาที ใน 2 ช่วงติดกันดังกล่าว สามารถคานวณหาค่าเฉล่ียแต่ละช่วงของ 15 นาที ได้ดังแสดงเป็นเส้นประ คือ 3,080 และ 2,990 kW ตามลาดับ ค่าความตอ้ งการกาลงั ไฟฟา้ สงู สดุ ใน 2 คาบเวลาคอื 3,080 kW ค่าความ ้ตองการของโรงงาน (kW) กาลังไฟฟ้าท่ใี ช้จริง ความต้องการกาลงั ไฟฟา้ (กาลงั ไฟฟ้าเฉลยี่ ) รปู ท่ี 7.6 ค่ากาลังไฟฟา้ ท่ีใช้จริงและความต้องการกาลงั ไฟฟ้า ความต้องการกาลังไฟฟ้าสามารถจะคานวณได้จากการวัดค่า kWh ที่ใช้ในช่วงเวลานั้นๆ สาหรับค่า ความตอ้ งการกาลังไฟฟา้ คดิ จากคาบเวลา 15 นาที จงึ คานวณจากพลงั งานทใี่ ช้ได้ (kWh) ใน 15 นาที คา่ ความต้องการกาลังไฟฟ้า (kW) = พลงั งานท่ใี ช้ (kWh) 15 นาที ค่าความตอ้ งการกาลงั ไฟฟ้า (kW) = พลังงานทใี่ ช้ (kWh) 0.25 ชว่ั โมง = พลังงานที่ใช้ (kWh) x 4 ตัวอย่าง จงหาคา่ ความตอ้ งการพลงั ไฟฟา้ ถา้ ภายในระยะเวลา 15 นาที ใชพ้ ลังงานไฟฟ้าไป 625 kWh คา่ ความต้องการกาลังไฟฟ้า = พลงั งานทีใ่ ช้ (kWh) x 4 = 625 x 4 = 2,500 kW 215

หลักสูตร การบริหารจดั การพลังงานไฟฟา้ การพลความ รูปที่ 7.7 แสดงการแปรเปลี่ยนของความต้องการกาลังไฟฟ้าตลอดระยะเวลา 2 วัน (จานวน 96x2 = 192 ครั้ง) ของโรงงานแหง่ หนึ่ง ความตอ้ งการกาลังไฟฟ้าสูงสุดมีคา่ ประมาณ 2,300 kW เกดิ ข้นึ ตอนประมาณ 15.00 น. ของวนั แรก สงู สุด ควคาวามต้มอต้งอกงากรารพกัลงาไ ัลงฟไ ้ฟฟา ้ขฟาอขงโอรงงโงรางงนา(kน (Wk)W) เวลาของวัน รูปท่ี 7.7 รปู แบบของความต้องการกาลงั ไฟฟา้ (ค่านเ้ี ปน็ ค่าเฉลยี่ และบนั ทึกทุกๆ 15 นาท)ี รูปท่ี 7.8 แสดงค่าความต้องการกาลังไฟฟ้าตามช่วงเวลาของอัตรา TOD จะเห็นว่าค่าความต้องการ กาลังไฟฟ้าสูงสุดในช่วง Off Peak (21.30 น.- 08.00 น.) มีค่า 2,500 kW ค่าความต้องการกาลังไฟฟ้าสูงสุดในช่วง Partial Peak (08.00 น.- 18.30 น.) มีค่า 2,450 kW และค่าความต้องการกาลังไฟฟ้าสูงสุดในช่วง On Peak (18.30 น.- 21.30 น.) มคี า่ 2,200 kW Off Peak Partial Peak Off Peak Peak เวลาของวัน รปู ที่ 7.8 แสดงคา่ ความต้องการกาลังไฟฟา้ ตามชว่ งเวลาของอัตรา TOD การควบคุมความต้องการกาลังไฟฟ้าสูงสุดของโรงงาน โดยปกติจะเริ่มทาการควบคุมความต้องการ กาลงั ไฟฟ้าในชว่ งสดุ ท้ายของ 15 นาที ทที่ าการวัดคา่ ความตอ้ งการกาลงั ไฟฟา้ สงู สุด 216

กา ัลงไฟ ้ฟาของโรงงาน (kW) หลกั สูตร การบรหิ ารจดั การพลงั งานไฟฟ้า การพลความ รูปที่ 7.9 แสดงการควบคุมความต้องการกาลังไฟฟ้า ถ้าโรงงานมีค่าความต้องการกาลังไฟฟ้าเฉล่ีย ใน 15 นาที (12.45-13.00 น.) เท่ากับ 3,034 kW การควบคุมความต้องการกาลังไฟฟ้าไม่ให้เกิน 3,000 kW สามารถทาได้ โดยการหยุดปั๊มน้าขนาด 80 kW เป็นเวลา 6 นาที (12.45-13.00 น.) ในช่วง15 นาที ดังกล่าว ก็จะทาให้ค่าความ ต้องการกาลงั ไฟฟ้าในชว่ ง 15 นาทนี น้ั ลดลงอยู่ในเป้าหมายทก่ี าหนดได้ กาลงั ไฟฟ้าของโรงงานท่ีลดลง เวลาของวัน รูปท่ี 7.9 แสดงการควบคุมความต้องการกาลังไฟฟ้า 7.3 แนวทางการควบคุมความต้องการกาลังไฟฟ้า การใช้พลงั งานไฟฟ้าของโรงงานอตุ สาหกรม และอาคารธุรกิจทั่วไป มีองค์ประกอบท่ีมีผลต่ออัตราค่าไฟฟ้า ดังน้ี คือ พลงั งานไฟฟ้า ความตอ้ งการกาลังไฟฟา้ และเพาเวอร์แฟคเตอร์ จากองค์ประกอบเหล่าน้ีการไฟฟ้าจะเรียก เกบ็ เงินจากลกู ค้าโดยระบุค่าธรรมเนยี มตา่ งๆ ไวด้ งั นี้ คอื ค่าพลังงานไฟฟ้า (kWh) คอื คา่ ธรรมเนยี มท่ีคดิ จากปรมิ าณพลงั งานไฟฟ้าที่ใช้ไปในหน่ึงเดือนโดยมีอัตราท่ี แตกตา่ งกันแตล่ ะประเภทผใู้ ชไ้ ฟฟา้ ค่าความต้องการกาลังไฟฟ้า (Demand Charge) เป็นค่าธรรมเนียมที่คิดจากจานวนความต้องการ กาลังไฟฟา้ เฉลี่ยใน 15 นาทีที่สงู สุดของเดือนนั้น เชน่ ผใู้ ชไ้ ฟฟา้ ประเภทที่ 3 คือ ธุรกิจขนาดกลาง (30-999 กิโลวัตต์) ท่ีมีปริมาณการใช้พลังงานไฟฟ้าเฉล่ีย 3 เดือนสุดท้ายไม่เกิน 250,000 หน่วยต่อเดือน ท่ีระดับแรงดันไฟฟ้า 12-24 กิโลโวลต์ อัตราค่าไฟฟา้ แบบปกติจะมคี ่าความตอ้ งการกาลงั ไฟฟา้ กิโลวตั ตล์ ะ 196.26 บาทต่อกโิ ลวตั ต์ เป็นตน้ ค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์ สาหรับผู้ใช้ไฟฟ้าท่ีมี Lagging Power Factor ถ้าในรอบเดือนใดผู้ใช้ไฟฟ้ามีความ ต้องการกาลังไฟฟ้ารแี อก็ ตีฟเฉล่ียแอ็กตีฟใน 15 นาทีสูงสุด (Maximum 15 minute kilovar Demand) เกินกว่าร้อยละ 61.97 ของความต้องการกาลังไฟฟ้าแอ็กตีฟเฉลี่ยใน 15 นาทีสูงสุด เม่ือคิดเป็นกิโลวัตต์ (Maximum 15 minute kilowatt Demand) แล้ว เฉพาะส่วนทเี่ กนิ จะตอ้ งเสยี คา่ เพาเวอรแ์ ฟคเตอร์ในอัตรากโิ ลวาร์ (kVar) ละ 14.02 บาท 217

หลกั สูตร การบรหิ ารจัดการพลงั งานไฟฟ้า การพลความ ตัวอย่างที่ 6 การพิจารณาองค์ประกอบของค่าไฟฟ้าในเขตกรุงเทพมหานคร ใช้ไฟฟ้าจากการไฟฟ้านคร หลวง ซง่ึ จดั อยู่ในประเภทที่ 3 คือ กจิ การขนาดกลาง ค่าความต้องการกาลังไฟฟ้าสูงสุดต้ังแต่ 30-999 กิโลวัตต์ เมื่อ ครบหนึ่งเดือน การไฟฟ้านครหลวงได้จัดส่งใบเรียกเก็บเงินค่าไฟฟ้า จากใบเรียกเก็บเงินจะมีข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณ การใชไ้ ฟฟ้าตา่ งๆ รวมทัง้ ค่าใชจ้ ่ายที่ต้องเสยี ดังน้ี - พลังงานไฟฟา้ ทใ่ี ช้ 243,000 หนว่ ย (กโิ ลวตั ต์-ช่วั โมง) - ความตอ้ งการกาลงั ไฟฟ้าสูงสุด 590 กโิ ลวตั ต์ - ความตอ้ งการพลงั งานไฟฟ้ารีแอ็กทฟี 400 กโิ ลวาร์ - ระดับแรงดัน 24 กโิ ลโวลต์ คา่ ไฟฟ้าทตี่ อ้ งจ่ายในเดอื นนนั้ เป็นดงั น้ี 1. ค่าพลังงานไฟฟา้ (Energy Charge) = 243,000 หนว่ ย x 1.7034 บาท/หนว่ ย = 413,926.20 บาท 2. ค่าความตอ้ งการกาลงั ไฟฟ้าสูงสุด (Demand Charge) = 590 กโิ ลวตั ต์ x 196.26 บาท/กโิ ลวัตต์ = 115,793.40 บาท 3. คา่ ปรับเพาเวอร์แฟคเตอร์ (Power Factor) กาลงั ไฟฟา้ รีแอ็กตีฟท่ีการไฟฟา้ ฯ ยอมให้ใช้ได้โดยไมต่ ้องเสยี ค่าปรับ มีค่าไม่เกิน 61.97 % ของ ความตอ้ งการกาลังไฟฟา้ สงู สุด 61.97 x 590 = 365.6 กิโลวาร์ 100 (เศษของเควาร์ เกนิ 0.5 คดิ เปน็ 1) = 366 กโิ ลวาร์ ดงั น้ัน สว่ นทตี่ อ้ งเสียคา่ ปรับ = 400 - 366 กโิ ลวาร์ = 34 กิโลวาร์ คดิ เป็นเงินค่าปรับ = 34 กโิ ลวาร์ - 14.02 บาท/กโิ ลวาร์ = 476.68 บาท 4. คิดเปน็ เงนิ คา่ ไฟฟ้าท้งั 3 สว่ น (ยังไมไ่ ด้รวมภาษมี ลู ค่าเพิม่ และคา่ ไฟฟา้ ผันแปร Ft) = (คา่ พลังงานไฟฟ้า + ค่าความต้องการกาลังไฟฟ้าสูงสุด + คา่ ปรบั เพาเวอรแ์ ฟคเตอร์) = (413,926.20 + 115,793.40 + 476.68) [78.07% + 21.84% + 0.09%] = 530,196.28 บาท (อัตราคา่ ไฟฟา้ ประเภทที่ 3 กิจการขนาดกลาง (30-999 กิโลวัตต์) ระดับแรงดันไฟฟ้า 12-24 กิโลโวลต์ ค่าความต้องการกาลังไฟฟ้ากิโลวัตต์ละ 196.26 บาท ค่าพลังงานไฟฟ้าหน่วยละ 1.7034 บาท ท่ีปริมาณการใช้ พลงั งานไฟฟ้าเฉลีย่ 3 เดือนสุดท้ายไมเ่ กนิ 250,000 หนว่ ยต่อเดอื น ) จากองคป์ ระกอบของเงินคา่ ไฟฟา้ ทกี่ ลา่ วมาท้งั หมดจะเห็นได้ว่า ค่าธรรมเนียม ความต้องการกาลังไฟฟ้า สูงสุด (Demand Charge) มีสัดส่วนค่อนข้างสูง โดยจะเป็นอันดับสองรองจากค่าพลังงานไฟฟ้า ดังนั้น ถ้าสถาน ประกอบการใดสามารถลดคา่ ความตอ้ งการกาลงั ไฟฟา้ สูงสุดได้ คา่ ใช้จ่ายด้านไฟฟา้ ในแตล่ ะเดอื นกจ็ ะลดลงไปไดเ้ อง 218

หลกั สตู ร การบริหารจัดการพลังงานไฟฟา้ การพลความ 7.3.1 โหลดแฟคเตอร์ หรอื ตวั ประกอบโหลด(Load Factor) ในความเปน็ จรงิ การใชก้ าลงั งานไฟฟ้าของผู้ประกอบการแต่ละแห่งมีการพฤติกรรมการใช้งานที่ไม่ เหมอื นกนั ค่าโหลดแฟคเตอร์(LF) หรือค่าตัวประกอบโหลดนั้นจะเป็นตัวเลขที่บอกถึงว่าผู้ใช้รายใดใช้ไฟฟ้าได้อย่าง สม่าเสมอหรือมีการเปล่ียนแปลงมากหรอื ไม่ LF(%) = ควคาวมาตม้อตงอ้ กงากราพรลพงัลงงั างนาไนฟไฟฟ้าฟค้า่าเฉสลูงสย่ี ใุนดชใ่วนงชเว่วลงาเลวทาุทีี่กุ่ ากหานหดนดx100% 250   ( .) kW  200 6 12 18 24  ( .) 150 6 12 18 24 250 100 200 50 150 100 0 50 0 ก) ผู้ใชไ้ ฟฟ้ารายท่ี 1 ข) ผู้ใช้ไฟฟา้ รายท่ี 2 รปู ตวั อยา่ งการใช้ไฟฟ้าของผูใ้ ชไ้ ฟฟ้า จากรูปตวั อยา่ งข้างตน้ เป็นการบันทกึ การใช้พลังงานไฟฟา้ ในหนง่ึ วันของผู้ใช้ไฟฟ้า 2 ราย ซึ่งสามารถหา คา่ โหลดแฟคเตอรไ์ ด้ดังนี้ ผู้ใช้ไฟฟ้ารายท่ี 1 ค่าความต้องการพลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยเป็น 200 kW.และมีความต้องการใช้พลังงาน 200 ไฟฟา้ สูงสุด 250 kW. ดังนนั้ LF(%) = 250 x100% = 80% ผู้ใช้ไฟฟ้ารายท่ี 2 ค่าความต้องการพลังงานไฟฟ้าเฉลี่ยเป็น 150 kW.และมีความต้องการใช้พลังงาน 150 ไฟฟ้าสงู สดุ 250 kW. ดังน้ัน LF(%) = 250 x100% = 60% คา่ โหลดแฟตเตอร์จะมีค่าไม่เกิน 100% โดยผู้ใช้พลังงานไฟฟ้าที่มีค่าโหลดแฟกเตอร์สูง จะแสดงว่าค่า ความต้องการพลงั งานไฟฟา้ เฉลีย่ มีค่าใกลเ้ คียงกบั ค่าการใช้พลงั งานไฟฟา้ สงู สุด(ดังเชน่ ผใู้ ช้ไฟฟ้ารายที่ 1) ซ่ึงแสดงให้ เห็นวา่ พฤติกรรมการใช้งานพลังงานไฟฟ้าค่อนข้างจะสม่าเสมอตลอดเวลา ในทางตรงกันข้ามถ้าผู้ใช้พลังงานไฟฟ้า รายใดมีคา่ โหลดแฟกเตอรท์ ีต่ ่า ก็แสดงใหเ้ ห็นว่าค่าความตอ้ งการพลงั งานไฟฟา้ เฉลี่ยมีค่าห่างจากค่าการใช้พลังงงาน ไฟฟ้าสงู สุดอยูม่ าก(ดงั เช่นผู้ใช้ไฟฟ้ารายที่ 2) พฤตกิ รรมการใช้พลงั งานไฟฟา้ มีการเปลยี่ นแปลงมาก 219

หลกั สูตร การบริหารจัดการพลงั งานไฟฟ้า การพลความ โดยปกติคา่ โหลดแฟกเตอรจ์ ะทาการคานวณในช่วงเวลา 1 เดือนดังนั้นสมการที่ใช้หาค่าโหลดแฟกเตอร์ สามารถหาได้ดงั นี้ Average Demand x เวลาในรอบเดือน x100% Maximum Demand x เวลาในรอบเดือน LF(%) = ปริมาณพลงั งานไฟฟ้าทีุ่ ใช้ไปในรบอเดอื น(kWh) x100% ความต้องการพลงั งานสูงสดในรอบเ ดอื น(kW ) xจานวนชวั่ โมงในรอบเดือนนนั้ LF(%) = พฤติกรรมการใช้ไฟฟ้าในลักษณะท่ีมีค่า LF% สูงจะส่งผลทาให้ค่าไฟฟ้าต่อหน่วย (บาทต่อหน่วย) มีค่าค่าไฟ ้ฟาเฉลี่ย (บาท/ห ่นวย) ลดลงได้ ดงั นน้ั แนวทางในการเพิ่มค่าโหลดแฟตเตอรใ์ หส้ ูงมากขึน้ มี 2 วิธดี งั น้ี 1. ควบคมุ ค่าความตอ้ งการพลงั งานไฟฟ้าสงู สุดให้มีคา่ ลดลง 2. ปรบั ปรุงการใชพ้ ลังงานไฟฟา้ ใหม้ ีความสมา่ เสมอในการใชง้ านอยอู่ ย่างตอ่ เนอื่ ง 7.00 6.00 อตั ราคา่ ไฟฟ้ าแบบ TOD (P>PP) 5.00 4.00 3.00 2.00 1.00 0.00 10 20 30 40 50 60 70 80 90 100 Load Factor (%) รปู การแสดงค่าไฟฟ้าต่อหน่วยเทียบกับโหลดแฟตเตอรอ์ ตั ราค่าไฟฟ้าแบบ TOD 7.3.1 การวเิ คราะห์ความสัมพนั ธข์ องคา่ ไฟฟา้ กับลักษณะการใช้ไฟฟา้ การวิเคราะห์ใช้อัตราค่าไฟฟ้าระดับแรงดัน 12-24 KV ของการไฟฟ้านครหลวง และ 22-33 KV ของการไฟฟ้าสว่ นภูมิภาค ก. อัตราปกติ กาหนดให้ C คือ คา่ ไฟฟ้ารวมทุกส่วน (บาทตอ่ เดือน) P คือ ความต้องการกาลงั ไฟฟา้ สูงสดุ (กิโลวตั ต์) E คือ ปริมาณพลังงานไฟฟา้ (หนว่ ย) Q คือ ความต้องการกาลงั ไฟฟา้ รแี อ็กตีฟสว่ นเกิน (กิโลวาร์) Ft คอื ค่าปรบั อตั ราค่าไฟฟ้าโดยอตั โนมัติ (บาทตอ่ หน่วย) 1.07 คอื การคดิ คา่ ไฟฟา้ ที่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% 220

หลักสตู ร การบรหิ ารจัดการพลังงานไฟฟ้า การพลความ จะได้ C = 196.26P  1.7034  FtE 14.02Qx1.07 C = 209.9982P  1.822638 1.07FtE 15.0014Q C = 210P  1.822638 1.07FtE 15Q C = 210 P  1.822638  1.07Ft  15 Q E E E ค่าไฟฟา้ ตอ่ หนว่ ย (บาทต่อหนว่ ย) ในอัตราปกตทิ ี่ได้กระจายภาษีมูลค่าเพิ่ม 7 % ลงไปในทุก ส่วนแลว้ จะประกอบไปดว้ ยคา่ ไฟฟ้า 4 ส่วน คือ (1) คา่ ความต้องการกาลังไฟฟ้าสูงสุด 210 P/E เป็นส่วนท่ีผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถควบคุมให้มีค่า สงู หรอื ตา่ ได้ (2) ค่าพลังงานไฟฟ้า (ค่าไฟฟ้าฐาน) 1.822638 บาทต่อหน่วย เป็นค่าคงท่ีไม่สามารถ เปลีย่ นแปลงได้ (3) ค่าพลงั งานไฟฟ้า (คา่ ปรบั ราคาอัตโนมตั ิเพื่อใหส้ อดคล้องกับสถานการณป์ ัจจุบัน) 1.07 Ft บาทตอ่ หน่วย เป็นค่าที่ปรับตวั เลขทกุ ๆ รอบ 4 เดือน และเปน็ ส่วนท่ีผู้ใช้ไฟฟ้าไมส่ ามารถควบคุมใหล้ ดลงได้ (4) ค่าเพาเวอรแ์ พคเตอร์ 15Q/E มีสดั สว่ นตา่ มาก (ดจู ากตารางที่ 7.3) ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถทา ให้กลายเปน็ ศูนยไ์ ด้โดยการใช้กาลังไฟฟ้ารีแอ็กตีฟให้อยู่ในเกณฑ์ที่การไฟฟ้ากาหนด หรือติดต้ังชุดตัวเก็บประจุเพ่ือ ปรับคา่ ตวั ประกอบกาลังไฟฟา้ ให้มคี า่ สงู กว่า 85 % ตลอดทง้ั เดอื น ดงั นัน้ ผูใ้ ช้ไฟฟ้าประเภทอัตราปกติจะควบคมุ คา่ ไฟฟ้าไดเ้ ฉพาะส่วนของ 210 P/Eเทา่ น้ัน 221

หลักสตู ร การบริหารจัดการพลงั งานไฟฟ้า การพลความ P (kW) P (kW) 600 450 xx x xx 600 x x x 300 450 x x x x 150 x 0 แพงที่ ุสด x ถูกที่ ุสด P (kW) แพงท่ี ุสด300แพงทสี่ ุด 600 ถกู ทส่ี ดุ 450 150 300 50 100 150 200 0 50 100 150 200 150 E (X 1000 kWh) E (X 1000 kWh) ก. ข. P (kW) แพงทส่ี ุด x x x x 600 xx x ถกู ทสี่ ดุ x x 450 x x x x x 300 ถกู ทีส่ ุด 150 0 0 50 100 150 200 50 100 150 200 E (X 1000 kWh) E (X 1000 kWh) ค. ง. รปู ท่ี 7.10 ความสัมพนั ธ์ของ P กบั E ในรปู แบบตา่ ง ๆ รปู ท่ี 7.10 ก. แสดงความสัมพนั ธ์ของ P กบั E ของโรงงานทม่ี ปี รมิ าณการผลิตขนึ้ กับฤดูกาล หรอื สภาพ ตลาด คือ มีการผลิตมาก (ใชพ้ ลงั งานมาก) และผลิตน้อย (ใชพ้ ลงั งานนอ้ ย) ผ้ใู ชไ้ ฟฟา้ กลุ่มน้สี ามารถลดค่าไฟฟ้าได้ โดยการเน้นด้านการตลาด คือ พยายามหาตลาดเพิ่มในช่วงทผ่ี ลิตนอ้ ยเพ่ือใหก้ ารกระจายตวั ของกลมุ่ ข้อมูลเล่ือนไปอยู่ ทางขวามอื รปู ท่ี 7.10 ข. แสดงความสมั พนั ธข์ อง P กับ E ของโรงงานทมี่ ปี รมิ าณการผลิตค่อนข้างคงท่ีแต่ความต้องการ กาลังไฟฟ้าสูงสุดแกว่งขึ้นลงมาก ผู้ใช้ไฟฟ้าในกลุ่มนี้ต้องเน้นการวางแผนการเดินเคร่ืองจักรในการผลิตและการทา กจิ กรรมเสรมิ ตา่ ง ๆ ต้องกระจายให้สมา่ เสมอตลอดเวลาทางาน ไม่ควรให้กระจุกตัวอยู่ในช่วงเวลาใดเวลาหน่ึง หากมี เคร่อื งจกั รต้องทางานพร้อม ๆ กัน แล้วใช้พลังงานเพ่มิ ขน้ึ 1 หน่วยใน 15 นาที จะทาให้เกิดความต้องการกาลังไฟฟ้า เพิ่มขน้ึ 4 กโิ ลวัตตท์ ันที รปู ท่ี 7.10 ค. แสดงความสมั พนั ธข์ อง P กบั E ของโรงงานที่ทางานได้ตามทฤษฎี คือ อัตราส่วน P ต่อ E มี ค่าคอ่ นขา้ งคงท่ี การกระจายตวั ของขอ้ มูลอย่ใู นช่วงแคบ ๆ 222

หลกั สตู ร การบรหิ ารจดั การพลังงานไฟฟ้า การพลความ รูปที่ 7.10 ง. แสดงความสัมพันธ์ของ P กับ E ของโรงงานท่ีไม่เป็นไปตามทฤษฎี คือ ผลิตมากใช้ความ ต้องการกาลงั ไฟฟ้าต่า แตต่ อนผลติ น้อยกลับใชค้ วามต้องการกาลงั ไฟฟา้ สงู โรงงานกลุ่มนี้ต้องรีบดาเนินการวิเคราะห์ หาสาเหตุท่ที าให้เกิดสภาพการใช้ไฟฟ้าแบบนแี้ ล้วรีบดาเนินการปรบั ปรุงแกไ้ ขเพื่อให้รูปแบบการใช้งานเป็นไปตามรูป ท่ี 7.10 ค. ข. อตั รา TOD หากพิจารณาลักษณะการใช้ไฟฟา้ ในอตั รา TOD จะมีอยู่ 6 กรณี ซึ่งจะส่งผลใหก้ ารลดค่าไฟฟ้าในส่วนของ คา่ ความต้องการกาลงั ไฟฟ้าสงู สดุ แตกตา่ งกนั ออกไป ดังนี้ 223

หลกั สูตร การบริหารจดั การพลงั งานไฟฟา้ การพลความ รปู ที่ 7.11 กราฟแสดงรูปแบบการใชไ้ ฟฟา้ ตามอตั รา TOD 224

หลักสตู ร การบรหิ ารจดั การพลงั งานไฟฟา้ การพลความ ผ้ใู ช้ไฟฟ้าต้องหลีกเลี่ยงการใช้ไฟฟ้าตามรูปแบบในรูปท่ี 7.11 ก. , 7.11 ข. และ 7.11 จ. เพราะใช้แบบฝืน ธรรมชาติ คอื มีคา่ P สูงกว่าค่า PP ผ้ใู ช้ไฟฟ้าตอ้ งพยายามใช้ไฟฟ้าให้มีรูปแบบเข้าหารูปท่ี 7.11 ฉ. ให้มากท่ีสุดเท่าที่จะทาได้ รองลงมาได้แก่ รูปแบบตามรปู ท่ี 7.11 ง. และรูปที่ 7.11 ค. ตามลาดบั การวิเคราะห์ความสัมพันธข์ องคา่ ไฟฟ้ากับลักษณะการใช้ไฟฟ้าจะทาเฉพาะ 3 รปู แบบหลังเทา่ น้นั กาหนดให้ ค่าไฟฟา้ รวมทุกสว่ น (บาท/เดือน) ความตอ้ งการกาลังไฟฟ้าสงู สุดในชว่ ง On Peak (กิโลวตั ต์) C คือ ความต้องการกาลังไฟฟา้ สูงสุดในช่วง Partial Peak (กิโลวตั ต์) P คอื ปรมิ าณพลงั งานไฟฟา้ ท่ีใช้ (กโิ ลวตั ต์-ชั่วโมง หรอื หน่วย) PP คอื ความตอ้ งการกาลังไฟฟา้ รีแอ็กตีฟสว่ นเกนิ (กิโลวาร)์ E คือ ค่าปรับอัตราคา่ ไฟฟา้ โดยอัตโนมตั ิ (บาทต่อหนว่ ย) Q คือ การคิดค่าไฟฟา้ ทร่ี วมภาษมี ลู คา่ เพม่ิ 7% Ft คือ 1.07 คอื จะได้ C = 285.05P  58.88PP  P 1.7034  FtE 14.02Q1.07 C = 226.17P  58.88PP  1.7034  FtE 14.02Q1.07 C = 242.0019P  63.0016PP  1.822638 1.07FtE 15.0014Q C = 242P  63PP  1.822638 1.07FtE 15.Q C = 242 P  63 PP  1.822638  1.07Ft  15 Q E E E E ค่าไฟฟ้าต่อหน่อย (บาทต่อหน่วย) ในอัตรา TOD ท่ีได้กระจายภาษีมูลค่าเพ่ิม 7% ลงไปในทุกส่วนแล้วจะ ประกอบไปด้วยค่าไฟฟา้ 5 ส่วนยอ่ ย คือ (1) คา่ ความต้องการกาลงั ไฟฟ้าสูงสุดช่วง On Peak 242P/E เป็นส่วนที่ผู้ใช้ไฟฟ้าสามารถควบคุมให้มี ค่าสงู หรือตา่ ได้ (2) ค่าความตอ้ งการกาลงั ไฟฟ้าสงู สุดช่วง Partial Peak 63PP/E เป็นส่วนทีผ่ ู้ใชไ้ ฟฟา้ สามารถควบคมุ ให้ มีค่าสงู หรอื ต่าได้ (3) คา่ พลงั งานไฟฟา้ (คา่ ไฟฟา้ ฐาน) 1.822638 บาทต่อหนว่ ย เป็นค่าคงที่ (4) คา่ พลังงานไฟฟา้ (ค่าปรบั ราคาอัตโนมตั ิ Ft) 1.07Ft บาทต่อหนว่ ยเป็นค่าคงท่ี (ปรับค่าทกุ รอบ 4 เดือน) (5) คา่ เพาเวอรแ์ พคเตอร์ 15Q/E มสี ัดสว่ นตา่ มาก และทาให้หมดไปได้ เนอ่ื งจากค่าความต้องการกาลงั ไฟฟา้ สูงสุดช่วง On Peak มีราคาสงู กว่าช่วง Partial Peak 3.84 เทา่ (242/63) และใช้เวลาในการควบคมุ เพยี งวนั ละ 3 ช่ัวโมง (วันละ 12 ครั้ง) จึงตอ้ งเนน้ ในช่วง On Peak เป็นอนั ดบั แรก ผู้ใช้ไฟฟ้าที่จะได้ประโยชน์จากอัตรา TOD คือ ผู้ใช้ไฟฟ้าท่ีสามารถหยุดหรือลดการใช้พลังงานช่วงหัวค่า (18.30 น. - 21.30 น.) ได้ เช่น โรงงานที่ทางานเพียงวนั ละ 20 ชั่วโมง (22.00 น. – 18.00 น.) หรือลดกาลังการผลิต ชว่ งหวั ค่า แลว้ ผลติ เพมิ่ เพ่ือชดเชยตอนกลางคืน เป็นต้น หากเป็นโรงงานท่ีจาเป็นต้องเดินต่อเน่ืองตลอด 24 ช่ัวโมง และทางานทุกวันในแต่ละสัปดาห์ตอ้ งพจิ ารณาเปลีย่ นไปใชอ้ ัตรา TOU แทน เพราะสว่ นใหญจ่ ะมีคา่ ไฟฟ้าถูกกว่า การวเิ คราะหค์ วามสัมพนั ธข์ อง P/E กับลกั ษณะการใชไ้ ฟฟา้ จะเหมือนกับของอัตราปกตทิ ี่กล่าวมาแล้ว 225

หลักสตู ร การบรหิ ารจัดการพลังงานไฟฟา้ การพลความ ค. อตั รา TOU มีลักษณะคล้ายกับอัตรา TOD แต่เน่ืองจากในอัตรา TOU มีการแบ่งอัตราค่าไฟฟ้าตามช่วงเวลาเพียง 2 อตั รา จึงเกดิ กรณีการใช้งานท่ีแตกต่างกันเพียง 2 กรณี ดงั น้ี ก. วันธรรมดา จนั ทร์- ศุกร์ ข. เสาร์-อาทติ ย์ และวนั หยดุ ราชการที่ไม่ใช่วันหยุดชดเชย กาหนดให้ รปู ที่ 7.12 กราฟแสดงรูปแบบการใชไ้ ฟฟา้ ตามอัตรา TOU C P คอื คา่ ไฟฟ้ารวมทกุ สว่ น (บาท/เดอื น) E1 คือ ความต้องการกาลังไฟฟ้าสูงสุดในช่วง On Peak (กโิ ลวัตต์) E2 คือ ปริมาณพลงั งานไฟฟา้ ทใ่ี ช้ในช่วง On Peak (กโิ ลวตั ต์-ช่ัวโมง หรือ หนว่ ย) E คือ ปริมาณพลงั งานไฟฟา้ ทีใ่ ชใ้ นช่วง Off Peak (กิโลวตั ต์-ชัว่ โมง หรอื หนว่ ย) Q คือ ปริมาณพลังงานไฟฟา้ ท่ีใช้ท้ังเดือน (กิโลวตั ต์-ชวั่ โมง หรอื หนว่ ย) Ft คือ ความตอ้ งการกาลังไฟฟ้ารีแอ็กตีฟส่วนเกนิ (กิโลวาร)์ 1.07 คือ คา่ ปรับอัตราคา่ ไฟฟา้ โดยอตั โนมตั ิ (บาทตอ่ หน่วย) คอื การคิดค่าไฟฟ้าทร่ี วมภาษีมูลคา่ เพ่ิม 7% 226

หลกั สตู ร การบริหารจดั การพลังงานไฟฟ้า การพลความ จะได้ = 132.93P  2.695E1 1.1914E2  Ft.E14.02Q  228.171.07 C = 132.93P  1.5036 1.1914E1 1.1914E2  Ft.E14.02Q  228.171.07 C = 132.93P 1.5036E1  1.1914  FtE 14.02Q  228.171.07 C = C 142.2351P 1.608852E1  1.274798 1.07FtE 15.0014Q  244.1419 C = 142.2351P  1.608852 E1  1.274798  1.07Ft  15.0014 Q  244.1419 E EE EE ค่าไฟฟ้าต่อหน่วย (บาทต่อหน่วย) ในอัตรา TOU ท่ีได้กระจายภาษีมูลค่าเพ่ิม 7% ลงไปในทุกส่วนแล้วจะ ประกอบไปด้วยคา่ ไฟฟ้า 6 ส่วน ยอ่ ย คอื (1) คา่ ความตอ้ งการกาลงั ไฟฟ้าสงู สดุ ช่วง On Peak 142.2351P/E เป็นส่วนทผ่ี ู้ใช้ไฟฟ้าสามารถควบคุมให้ มีค่าสงู หรือตา่ ได้ โดยการควบคุมใหม้ ีการใช้ไฟฟา้ อย่างสม่าเสมอในวนั ทาการปกติ (จนั ทร์ –ศุกร)์ วันละ 13 ชัว่ โมงระหว่างเวลา 09.00 – 22.00 น. (2) ค่าพลังงานไฟฟ้าช่วง On Peak (ค่าไฟฟ้าฐาน) 1.608852 E1/E บาทต่อหน่วย เป็นส่วนที่ผู้ใช้ไฟฟ้า สามารถควบคุมให้มีค่าสูงหรือต่าได้ท้ังน้ีข้ึนกับสัดส่วนการใช้พลังงานไฟฟ้าช่วง On Peak เทียบกับ ปริมาณพลังงานไฟฟ้าที่ใช้ไปทั้งเดือน หากลดอัตราส่วน E1/E ลงได้ 10% จะสามารถลดค่าไฟฟ้าต่อ หน่วยลงได้ 0.161 บาทตอ่ หน่วย (คิดจากทุกหน่วยทีใ่ ช)้ (3) คา่ พลงั งานไฟฟา้ (ค่าไฟฟา้ ฐาน) 1.274798 บาทต่อหน่วย เปน็ ค่าคงที่ (4) ค่าพลงั งานไฟฟา้ (คา่ ปรบั ราคาอตั โนมัติ Ft) 1.07 Ft บาทตอ่ หน่วย เปน็ ค่าคงท่ี (ปรับค่าทุกรอบ 4 เดอื น) (5) คา่ เพาเวอร์แพคเตอร์ 15Q/E มสี ดั ส่วนตา่ มาก (6) ค่าบริการรายเดือน 244.1419/E บาทต่อหน่วย มีสัดส่วนต่ามากไม่มีผลต่อการนาไปกาหนดแนว ทางการลดคา่ ไฟฟ้า จากการวเิ คราะห์ความสัมพันธ์ของค่าไฟฟ้ากับลักษณะการใช้ไฟฟ้าของอัตราค่าไฟฟ้าทั้ง 3 ประเภท สรุป สว่ นของค่าไฟฟา้ ท่ผี ใู้ ช้ไฟฟา้ สามารถจัดการเพ่ือให้คา่ ไฟฟ้าลดลงได้ดังแสดงในตารางที่ 7.4 ตารางที่ 7.4 สว่ นของคา่ ไฟฟา้ (เฉลย่ี เป็นบาทต่อหนว่ ย) ทผี่ ู้ใช้ไฟฟา้ สามารถควบคุมได้ ประเภทส่วนของคา่ ไฟฟา้ ปกติ TOD TOU 1. ค่าความต้องการกาลงั ไฟฟ้าสูงสดุ 210 P 242 P P 2. คา่ พลงั งานไฟฟ้า E E E PP 142.24 63 E - - 1.609 E1 E 227

Demand (KW) หลักสูตร การบรหิ ารจดั การพลังงานไฟฟ้า 600 การพลความ 400 Demand (KW) 400 00:00 08:00 12:00 13:00 17:00 เวลา (น.) 00:00 08:00 12:00 13:00 17:00 เวลา (น.) ก. ทางาน 1 กะ (22 วัน/เดอื น) ข. ทางาน 1 กะ (27 วัน/เดือน) Demand (KW) Demand (KW) 400 400 00:00 08:00 16:00 24:00 เวลา (น.) 0:00 08:00 16:00 24:00 เวลา (น.) ค. ทางาน 2 กะ (31 วัน/เดือน) ง. ทางาน 3 กะ (31 วนั /เดอื น) รูปท่ี 7.13 รปู แบบการใช้ไฟฟ้าอตั ราปกติ คา่ ไฟฟา้ เฉลี่ยตอ่ หน่วยจากส่วนของคา่ ความตอ้ งการกาลังไฟฟา้ สูงสุดของอตั ราปกตติ ามรปู แบบการใช้งาน ในรูปท่ี 7.13 คิดได้ ดงั ตอ่ ไปน้ี (ค่าตามทฤษฎี) รูปแบบ ก. 210xP = 210 600 = 1.7898 บาทตอ่ หนว่ ย E 400 8 22 210P 210  400 รปู แบบ ข. E = 400  8x27 = 0.9722 บาทตอ่ หนว่ ย รปู แบบ ค. 210P = 210  400 = 0.4234 บาทต่อหนว่ ย E 400 16 31 210P 210  400 รูปแบบ ง. E = 400  24  31 = 0.2823 บาทตอ่ หน่วย หมายเหตุ รูปแบบ ง. ใช้พลงั งานไฟฟ้ารวม 297,600 หน่วยตอ่ เดอื น เฉล่ยี 3 เดือน จะเกนิ 250,000 หน่วย จะตอ้ งเปล่ยี นไปใช้อัตรา TOU แทน 228

หลกั สูตร การบรหิ ารจัดการพลังงานไฟฟา้ การพลความ ผลสรุปจากรปู ท่ี 7.13 คือ (1) ตอ้ งใชไ้ ฟฟา้ ใหส้ มา่ เสมอทส่ี ดุ เทา่ ทจี่ ะทาได้ ห้ามใชแ้ บบรูปที่ 7.13 ก. (2) ต้องทางานให้ได้ช่ัวโมงทางานในแต่ละเดือนสูงที่สุด คือ ทา 24 ชั่วโมงทุกวัน (เน้นการทาตลาดให้ได้ ยอดสัง่ ซ้ือสงู สุด) Demand (kW) ทาก่อน 9.00 น. ทาหลัง 22.00 น. 0.00 9.00 เวลา (ชม.) 22.00 24.00 ก. รูปแบบการใช้ไฟฟา้ วนั ทางานปกติ (จันทร์-ศกุ ร์) Demand (KW) ยา้ ยไปวันหยดุ 0:00 24:00 เวลา (ชม.) ข. รูปแบบการใชไ้ ฟฟ้าวันหยดุ รปู ที่ 7.14 การปรับรูปแบบการใชพ้ ลงั งานของอตั รา TOU 229

หลักสูตร การบรหิ ารจดั การพลงั งานไฟฟา้ การพลความ รูปที่ 7.14 แสดงแนวคิดการปรับรูปแบบการใช้พลังงานของอัตรา TOU เพื่อให้ค่าไฟฟ้าจากส่วนของค่า พลงั งานไฟฟา้ ชว่ ง On Peak ลดลง (1.608852 E1 /E) เช่น ทางานบางส่วนก่อน 09.00 น. หรือหลัง 22.00 น. หรือ ย้ายงานบางส่วนจากวันธรรมดาไปทาในวันหยุดแทน เช่น เดิมหยุดวันอาทิตย์อาจเปลี่ยนไปหยุดวันจันทร์แทน เปน็ ต้น ในขณะเดยี วกันในชว่ ง On Peak (09.00 น. – 22.00 น.) ของวันทาการปกติต้องใช้ไฟฟ้าให้สม่าเสมอให้มาก ทส่ี ดุ เพื่อลดค่าไฟฟ้าจากสว่ นของค่าความต้องการกาลังไฟฟ้าสูงสุด 142.235 P E โดยอาจต้ังเป้าหมายให้ค่า Load Facter จรงิ ทเ่ี กิดข้นึ ในชว่ งเวลาดงั กล่าวมีคา่ ไม่ตา่ กวา่ 80 % ซึ่งหาค่าได้จาก LF = E1 100% P13D เมอ่ื D คอื จานวนวันทาการปกติในเดอื นนนั้ ๆ เชน่ E1 จานวน 205,000 หนว่ ย P ขนาด 900 กิโลวตั ต์ และ D จานวน 26 วนั จะได้ LF เป็น 67 % แสดงวา่ P ยงั มคี ่าสูงเกินไปควรพจิ ารณา สารวจ และปรบั แผนงานการใช้ เครอื่ งจักรตา่ ง ๆ ใหม่ใหก้ ระจายตัวออกไปเพ่อื ลด P ลงใหเ้ หลอื ไมเ่ กิน 750 กิโลวัตต์ เปน็ ตน้ 7.3.2 ขั้นตอนการควบคุมความต้องการกาลงั ไฟฟ้าสูงสดุ ขั้นตอนที่ 1 การรวบรวมข้อมูล (1) จดั ทารายการแสดงเคร่ืองจกั ร และอุปกรณใ์ ช้ไฟฟ้าหลักทั้งหมดภายในโรงงานให้เป็นหมวดหมู่เพ่ือ ง่ายตอ่ การคน้ คว้าและตรวจสอบ (2) จัดทาวงจรทางไฟฟ้า (One Line Diagam) เพ่ือให้เป็นแนวทาง สาหรับตรวจสอบตาแหน่งของ อุปกรณ์ไฟฟา้ และขนาดแรงดันไฟฟา้ (Voltage) ทีใ่ ช้ (3) สารวจการใชป้ ริมาณไฟฟ้า โดยการตรวจวัดเคร่ืองจักร และอุปกรณใ์ ชไ้ ฟฟ้าหลักอย่างละเอียด เช่น ต้องรวู้ า่ เป็นเครื่องชนิดไหน มีขนาดเท่าไร สภาพการใช้งานเป็นอย่างไร แล้วจึงนาข้อมูลเหล่านี้มาใช้ในการควบคุม ความต้องการกาลงั ไฟฟา้ สูงสดุ ซงึ่ จะทาใหก้ ารควบคมุ ทาไดผ้ ลดี (4) คานวณหาค่าตัวประกอบโหลด และจัดทากราฟโหลด (Load Curve) โดยปกติช่วงทางานของ อุปกรณไ์ ฟฟ้าแตล่ ะชนิดจะแตกตา่ งกนั บางชนดิ มีโหลดคงที่ บางชนิดโหลดไม่คงท่ี มากบ้างน้อยบ้าง บางชนิดใช้งาน ได้ตลอดเวลา บางชนิดหยุดทางานเป็นระยะๆ เมื่อดูผลของการใช้โหลดรวมกัน ปรากฏว่าการใช้ไฟฟ้าของสถาน ประกอบการในแตล่ ะเวลามคี ่าไม่เท่ากนั ในการควบคุมค่าความต้องการกาลังไฟฟ้าสูงสุดควรพิจารณาค่าตัวประกอบ โหลดทง้ั รายเดือนและในช่วงเวลาท่ีกาหนด เช่น ในช่วง On Peak เป็นต้น การพจิ ารณาตัวประกอบโหลดรายเดอื น กเ็ พือ่ ทจ่ี ะทราบศกั ยภาพในการลดค่าความต้องการกาลังไฟฟ้า สูงสุดของผู้ใช้ไฟฟ้าอัตราปกติ ตัวอย่างเช่น สถานประกอบการแห่งหนึ่ง ทางาน 24 ช่ัวโมง มีตัวประกอบโหลดราย เดือน 60 % แตต่ ัวประกอบโหลดรายเดือนท่ีเหมาะสมควรไม่น้อยกว่า 80 % จึงควรหาวิธีปรับปรุงตัวประกอบโหลด ของโรงงานตอ่ ไป 230

หลกั สตู ร การบริหารจดั การพลงั งานไฟฟ้า การพลความ ขนั้ ตอนที่ 2 การวางแผนดาเนนิ การ (1) พจิ ารณาว่าเครื่องใชไ้ ฟฟา้ เคร่ืองใดสามารถเปล่ยี นเวลาการใชง้ านไปเป็นเวลาอน่ื ไดบ้ ้าง ในขณะที่มี การใช้กาลงั ไฟฟา้ สูงสุด (2) ตามหลักการประหยัดพลังงานท่ัวไป ช่วงเวลาท่ีคาดว่าจะมีการใช้กาลังไฟฟ้าสูงสุด (โดยพิจารณา จาก Load Curve) ควรจะมีสญั ญาณบอกวา่ เคร่ืองใชไ้ ฟฟ้าเคร่ืองไหนที่ไม่จาเป็น หรืออาจมีความจาเป็นไม่มากก็ควร ตัดออก หรอื หยุดการใชง้ านชั่วคราวจนกวา่ ชว่ งเวลาดังกล่าวได้ผ่านไปจึงจะเปิดใช้ตามลาดับก่อนหลัง ซ่ึงในการท่ีจะ หยุดการใช้งานชว่ั คราวควรแจ้งช่วงเวลาท่ีหยดุ และแจง้ ช่วงเวลาที่อาจกลับไปใช้งานได้ โดยไม่ควรตั้งเป้าหมายความ ตอ้ งการใชไ้ ฟฟา้ ไว้สูงเกนิ ขอบเขตความจาเป็น (3) พิจารณาว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าสามารถแก้ไขหรือเปล่ียนขนาดให้ใช้กาลังไฟฟ้าน้อยลง โดยยอมให้ เดินเครื่องนานขึ้นได้หรือไม่ การลดขนาดของเครื่องให้เล็กลงโดยยอมให้ทางานนานขึ้นนี้ นอกจากจะช่วยลดค่า กาลังไฟฟ้าสูงสดุ ลงได้ในชว่ งเวลาโหลดสูงสุดแล้ว ยังชว่ ยลดพลังสูญเสียในระบบลงได้และจะทาให้ต้นทุนเฉล่ียไฟฟ้า ตอ่ ผลผลิตน้นั ต่าลงดว้ ย (4) พิจารณาเลือกส่ิงท่ีจะไม่ต้องใช้ไฟฟ้า ซ่ึงมีข้ันตอนและวิธีการทางานให้สาเร็จได้ ในช่วงท่ีมีความ ต้องการกาลังไฟฟา้ สงู สุด เชน่ แรงงานคน (5) พิจารณาเครื่องใช้ไฟฟ้าแต่ละเครื่องที่ใช้มีขนาดใหญ่ไป หรือใช้เต็มกาลังหรือไม่ โดยเปรียบเทียบ ระหวา่ งคา่ ทางไฟฟ้าท่ีแผน่ ป้ายประจาเครอ่ื งกับค่าที่วัดไดจ้ ริง ถา้ คา่ ท่วี ดั ได้จริงต่ากว่าท่ีระบุไว้ท่ีแผ่นป้ายมากจะทาให้ ประสทิ ธภิ าพของการใช้เครื่องต่า ประสิทธิภาพของเคร่ืองใช้ไฟฟ้าจะมีค่าสูงเมื่อใช้งานที่โหลด 80-100% ถ้ามีค่าต่า ควรพิจารณาลดขนาดลง (6) พิจารณาว่าในปัจจุบันมีอุปกรณ์หรือระบบไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงในการประหยัดพลังงาน และ สามารถนามาใช้กับระบบการผลิตเดิมได้หรือไม่ เช่น Inverter สาหรับควบคุมความเร็วของมอเตอร์ Peak Demand Control หลอดประหยดั พลงั งาน สายพานแบบ Flat ฯลฯ (7) พิจารณาเปล่ียนแปลงและปรับปรุงระบบการผลิต พยายามศึกษาระบบการผลิตบางอย่างเท่าท่ี สามารถทาได้ เพอ่ื ควบคุมไมใ่ ห้การใชก้ าลังไฟฟ้าสูงสดุ เกิดข้ึนในช่วง 15 นาที สงู เกนิ กว่าทีค่ วรจะเปน็ (8) หลีกเลย่ี งการสตาร์ทมอเตอร์ขนาดใหญ่ และอุปกรณ์ให้ความร้อนต่างๆ เช่น เตาหลอมไฟฟ้าหรือ เตาไฟฟา้ เปน็ ตน้ ในเวลาเดียวกัน (9) ในการนาพลังงานไฟฟ้ามาใช้ทาความร้อน และน้าเย็น ไม่ควรเลือกเวลาท่ีมีความต้องการ กาลงั ไฟฟ้าสงู สุดและในเวลาดงั กล่าวควรจดั การใหม้ ีถังนา้ รอ้ นและน้าเยน็ ให้เพียงพอกับความตอ้ งการสูงสดุ (10) สนบั สนุนให้มกี ารประหยดั ในช่วงทีม่ ีความตอ้ งการกาลังไฟฟา้ สงู สุด เช่น ปิดเครื่องปรับอากาศ ปิด เคร่ืองทานา้ เยน็ ฯลฯ เป็นตน้ ข้ันตอนที่ 3 การจดั ทาเอกสารสรุปผลฝา่ ยบริหาร ในการควบคมุ คา่ กาลังไฟฟา้ สงู สดุ อย่างมีประสิทธิภาพ บางเรื่องก็ไม่มีค่าใช้จ่ายหรือต้องลงทุนเพิ่มเติม บางกรณีอาจมผี ลกระทบต่อการปฏิบตั งิ านของคนงาน เพ่อื ความสะดวกของฝา่ ยบรหิ ารทจี่ ะตัดสินใจว่าควรดาเนินการ หรอื ไม่ ผู้ท่ไี ด้รับมอบหมายจากฝ่ายบริหารให้มาพจิ ารณาปรับปรุงจะตอ้ งเสนอการปรับปรุงเป็นลายลักษณ์อักษร ระบุ สภาพเดมิ และสภาพทีค่ าดว่าจะเกิดข้ึนเมื่อได้ปรับปรุงแล้ว วิธีการดาเนินการ ประมาณการเงินลงทุนค่าใช้จ่าย และ ผลตอบแทน เพื่อให้เหน็ วา่ การลงทุนได้ผลคุ้มค่าเพียงใดรวมท้ังผลดีผลเสียท่ีไม่สามารถตีค่าใช้จ่ายและผลตอบแทน ระยะเวลาที่จะใชด้ าเนินการผลกระทบตอ่ กจิ การของโรงงานขณะดาเนินการปรับปรุง การทาเอกสารน้ีนอกจากจะเป็น เอกสารประกอบการควบคุมการดาเนินการปรับปรุงให้เป็นไปตามท่ีกาหนดและใช้ประโยชน์ในการวัดผลที่เกิดข้ึนว่า เป็นไปตามท่ตี ้องการหรือไม่ 231

หลักสูตร การบรหิ ารจัดการพลังงานไฟฟา้ การพลความ ขัน้ ตอนที่ 4 การดาเนนิ การควบคุมและติดตามผล เม่อื มีการวางแผนอยา่ งรอบคอบแล้ว กม็ าถงึ ข้นั ตอนการปฏิบัติ การควบคุมการปฏิบตั งิ านมี 2 วธิ ี คือ (1) ใชพ้ นักงานควบคุมการเปิดและปิดอุปกรณ์ไฟฟ้า การควบคุมโดยใช้พนักงานน้ี จะต้องให้แน่ใจว่ามี การปฏิบตั งิ านอยา่ งต่อเน่ือง ไม่ใช่ทาอย่างเข้มงวดในระยะแรก พอนานๆ ไปก็ละเลยและลืมไปในที่สุด เพราะความ ต้องการกาลังไฟฟ้าสูงสุดจะคดิ ทกุ ชว่ งเวลา 15 นาที ที่มีการเปล่ียนแปลงการใช้กาลังไฟฟ้า ดังนั้นฝ่ายบริหารจะต้อง มอบหมายให้บุคคล และควบคมุ ตดิ ตามดแู ลอยา่ งใกล้ชิด และมกี ารเสนอผลที่ไดร้ ับเป็นระยะๆ (2) การใช้เคร่ืองควบคุมอัตโนมัติทาการตัดต่อโหลด การใช้เครื่องควบคุมนี้ง่ายต่อการปฏิบัติงาน แต่ การลงทุนคอ่ นขา้ งสูง 7.3.3 การลดค่าไฟฟ้าจากการแก้ไขเพาเวอร์แฟคเตอร์ โดยท่วั ไปแล้วกาลังงานในระบบไฟฟ้ากระแสสลับสามารถแบ่งออกได้เป็นสองส่วนด้วยกัน คือ กาลัง งานจริง (Real Power) มหี น่วยเปน็ วัตต์ หรือกิโลวัตต์ ( W or kW )เป็นกาลังงานท่ีสามารถเปลี่ยนแปลงโดยอุปกรณ์ ไฟฟา้ ใหเ้ ป็นพลังงานรูปอื่นได้ เช่น ความร้อน แสงสว่าง หรือ กาลังงานกล และอีกส่วนหนึ่ง คือ กาลังงานรีแอ็กตีฟ (Reactive power) มหี น่วยวดั เป็น วาร์ หรือ กิโลวาร์ (VAR or kVAR) เป็นกาลังงานที่ไม่สามารถเปล่ียนแปลงไปเป็น พลงั งานรูปอ่ืนได้ แตอ่ ปุ กรณ์ไฟฟา้ ท่ีตอ้ งทางานโดยอาศัยสนามแม่เหล็ก เช่น หม้อแปลง มอเตอร์ ต้องใช้กาลังงานรี แอ็กตีฟน้ีสร้างสนามแม่เหล็ก ผลรวมของกาลังงานท้ังสองส่วนน้ี เรียกว่า กาลังงานปรากฏ (Apparent Power) มี หน่วยวัดเป็นโวลต์แอมแปร์ หรือ เควีเอ (VA or kVA) เป็นกาลังงานที่แหล่งจ่ายกาลังไฟฟ้าต้องจ่ายให้กับอุปกรณ์ ไฟฟ้าตา่ งๆ และขนาดเท่ากบั ผลการคณู ของกระแสไฟฟ้าในวงจรกบั แรงดนั ของแหล่งกาลังไฟฟ้า อัตราส่วนกาลังงาน จรงิ ต่อกาลงั งานปรากฏเราเรยี กวา่ เพาเวอรแ์ ฟคเตอร์ (Power Factor) ซึ่งเป็นตัวบอกให้ทราบว่าอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ใช้กาลังงานจริงเป็นสัดส่วนเท่าไรเม่ือเทียบกับกาลังปรากฏ ดังนั้น ในระบบไฟฟ้าท่ีมีค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์สูงจะมี ความสามารถ หรอื ประสทิ ธิภาพในการทางานดีกว่าระบบไฟฟ้าทีม่ ีค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์ตา่ กว่า อุปกรณ์ไฟฟ้าส่วนใหญ่ที่ใช้งานอยู่ในกิจการต่าง ๆ จะเป็นชนิดต้องการกาลังงานรีแอ็กตีฟจาก แหล่งจ่ายกาลังไฟฟ้า มีเพียงเครื่องกลซิงโครนัส (Synchronous Machines) และคาปาซิเตอร์กาลัง (Power Capacitor) เทา่ น้นั ทสี่ ามารถจา่ ยกาลงั งานรแี อก็ ตีฟใหก้ บั แหล่งจา่ ยกาลงั ไฟฟ้า หรืออปุ กรณ์ไฟฟ้าท่ีต้องการกาลังงาน รีแอ็กตีฟได้ ดังน้ันการติดต้ังคาปาซิเตอร์กาลัง ไม่ว่าจะเป็นคาปาซิเตอร์กาลังท่ีใช้กับระบบแรงต่า (แรงดันไม่เกิน 1,000 โวลต์) หรือระบบแรงดันสูง เพ่ิมเติมเข้าไปในระบบไฟฟ้า จึงเป็นวิธีการที่ประหยัดที่สุดในการปรับปรุงค่า เพาเวอรแ์ ฟคเตอร์ของระบบไฟฟา้ ให้ดีขึน้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบไฟฟ้าที่กาลังใช้งานอยู่ และมคี ่าเพาเวอร์แฟคเตอรต์ ่า ตัวคาปาซิเตอร์กาลังมีคุณสมบัติที่ดีอยู่หลายอย่าง คือ นอกจากจะมีราคาถูกกว่าเครื่องกลซิงโคร นัสมากแล้ว ยงั ตดิ ต้งั ใช้งานไดง้ ่าย ในทางปฏิบัติแทบไม่ต้องการบารุงรักษาเลย เพราะไม่มสี ่วนที่มกี ารเคลื่อนไหว และ ประการสาคญั คอื มกี าลงั งานสูญเสยี ในตวั เองต่ามาก ในปัจจบุ นั สามารถผลิตคาปาซิเตอร์กาลังให้มีกาลังงานสูญเสีย ได้ต่ากวา่ 0.5 วตั ตต์ อ่ กโิ ลวาร์ (กิโลวาร์สูงๆ) จะได้จากการนาเอาคาปาซเิ ตอรต์ วั เล็กๆ มารวมกันเป็นกลุ่มแล้วบรรจุลง ในภาชนะ สาเหตุที่ไม่ผลิตเป็นตัวใหญเ่ ลยเพราะเหตุผลทางดา้ นเศรษฐศาสตรแ์ ละวิศวกรรม ดงั นัน้ การตดิ ตั้งตัวคาปาซเิ ตอร์กาลังเข้ากับระบบไฟฟ้าเพ่ือการปรับปรุงค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์จะต้อง พจิ ารณาทั้งขนาดทใ่ี ช้ ตาแหน่งที่ตดิ ตั้ง ตลอดจนการต่อวงจร และขนาดของอุปกรณ์ป้องกันต่างๆ ข้อดีต่าง ๆ ท่ีกล่าว มานั้นจะไดผ้ ลมากท่ีสดุ ก็ต่อเม่ือตาแหน่งท่ีติดตั้งคาปาซิเตอร์อยู่ติดกับอุปกรณ์ไฟฟ้าที่มีค่าเพาเวอร์แฟคเตอร์ต่า ๆ เทา่ นน้ั เชน่ มอเตอร์เหนย่ี วนา กระแสสลับ เครอ่ื งเชอ่ื มไฟฟ้า เป็นต้น 232

หลกั สูตร การบรหิ ารจัดการพลงั งานไฟฟ้า การพลความ 1) หลักการของเพาเวอร์แฟคเตอร์ อุปกรณไ์ ฟฟ้าส่วนใหญต่ อ้ งการกระแสสองส่วนด้วยกนั คอื ก. กระแสส่วนท่ีทาให้เกิดการทางาน (Active Current) เป็นกระแสส่วนที่อุปกรณ์ไฟฟ้าเปลี่ยนไป เปน็ งาน ซ่ึงอาจจะอย่ใู นรูปของความร้อน แสงสวา่ ง หรอื กาลงั งานกลท่ีใช้ในการขับเคล่ือนต่างๆ มีหน่วยท่ีใช้วัดกาลัง งานเปน็ วตั ต์ (Watt) หรอื กโิ ลวัตต์ (kW) ข. กระแสส่วนท่ีใช้สร้างสนามแม่เหล็ก (Reactive Current) เป็นกระแสส่วนท่ีใช้ในการสร้าง สนามแม่เหลก็ ซ่งึ มีความจาเป็นมากในอปุ กรณท์ ่ีต้องทางานโดยอาศยั สนามแม่เหลก็ เช่น หม้อแปลง มอเตอร์ ฯลฯ ถ้า ไมม่ สี นามแมเ่ หล็ก อุปกรณด์ ังกลา่ วจะทางานไม่ได้เลย เราเรียกกาลังงานท่ีต้องใช้ส่วนนี้ว่ากาลังงานรีแอ็กตีฟ และมี หน่วยวัดเป็น วาร์ (VAR) หรือกโิ ลวาร์ (kVAR) ความสมั พนั ธ์ระหว่างคา่ ต่างๆ ดังกล่าวได้แสดงไวใ้ นรูปที่ 7.15 รูปที่ 7.15 แสดงเว็กเตอร์สามเหลีย่ มกระแส และสามเหล่ียมกาลัง จากรปู ท่ี 7.14 เราสามารถหาค่ากระแสทงั้ หมดท่ีอุปกรณไ์ ฟฟา้ ดึงจากแหลง่ จา่ ยไฟได้ ดงั นี้ Total current = (Activecurrent)2  (Reactivecurrent)2 I = (I cos)2  (I sin)2 (1) ถา้ เอาแรงดนั V คณู ตลอดทางดา้ นซา้ ยมือ และดา้ นขวามือของสมการที่ (1) เราจะได้ความสัมพันธ์ ระหว่างกาลังปรากฏ กาลงั ประสิทธผิ ล และกาลังงานรแี อ็กตฟี ดังน้ี Apparent power = (Activepower)2  (Reactivepower)2 (2) VA = (VI cos)2  (VI sin)2 233


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook