Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คู่มือการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้า (1)

คู่มือการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้า (1)

Published by Chalermkiat Deesom, 2022-06-21 08:33:33

Description: คู่มือการบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้า (1)

Search

Read the Text Version

หลักสตู ร การบริหารจัดการพลังงานไฟฟ้า การพลังงานความ  รูปแบบท่ี 3 กระบวนการผลิตถกู ออกแบบมาที่กาลงั ผลิตเดยี ว ไมส่ ามารถแปรค่าตัวแปร  รปู แบบที่ 4 สามารถสร้างเส้นตรง แต่จุดตง้ั Dominate ค่าความชัน อาจเปน็ เพราะมีการ รวั่ ไหลสูงมาก หรือมีคา่ ใชเ้ บื้องตน้ สงู มาก  รูปแบบที่ 5 ความสัมพันธเ์ ป็นแบบ N o n - L i n e a r  รูปแบบที่ 6 ความสัมพันธแ์ สดงค่าประสทิ ธิภาพอปุ กรณ์ 2 คา่ โดยในช่วงแรกมี ประสิทธภิ าพตา่ กว่าในชว่ งท่ีสอง ตัวอยา่ งเช่น ในโรงงานทีม่ ี Boiler 2 ชดุ โดยทีช่ ดุ ทห่ี นงึ่ ใช้เช้อื เพลิงชีวมวล (เช่น เศษขี้เลือ่ ย) และอกี ชดุ ใชน้ า้ มันเตา เมื่อความต้องการไอน้าต่าจะ เดิน B o i l e r โดยใช้ขเี้ ลอ่ื ยเนื่องจากต้นทนุ ตา่ แต่มีประสทิ ธิภาพต่าเช่นกนั เมอ่ื ความ ต้องการเกินขีดความสามารถของ Boiler ท่ใี ชเ้ ศษข้เี ลอ่ื ยจึงจะเดิน Boiler ทีใ่ ชน้ ้ามนั เตา ทาให้ประสทิ ธภิ าพโดยรวมดีขน้ึ เปน็ ต้น 38

หลักสูตร การบริหารจดั การพลังงานไฟฟ้า การพลงั งานความ  รปู แบบท่ี 7 ไมส่ ามารถสรา้ งความสัมพนั ธใ์ ด ๆ ได้  รปู แบบท่ี 8 สร้างความสัมพนั ธ์ได้ แต่ความชันของเส้นเป็นค่าลบ แสดงว่าย่งิ มีการเพม่ิ ค่าตวั แปร จะยิ่งใชพ้ ลงั งานน้อยลง แผนภูมิลักษณะนจ้ี ะสามารถพบไดใ้ นโรงงานทีม่ ีการ ทาปฏิกริ ิยาเคมปี ระเภทคายความรอ้ น และมกี าร Integrate ความร้อนท่ดี ี นาความรอ้ นที่ ปลดปล่อยออกจากปฏิกิริยามาใช้ เมอื่ สรา้ งความสัมพันธแ์ ลว้ พจิ ารณาดูว่าแผนภมู ิที่ไดเ้ ป็นรูปแบบทค่ี าดไวห้ รือไม่ ตัวอยา่ งเช่น หากสรา้ งแผนภมู ิพลงั งานไฟฟ้าทีใ่ ช้ในหอ้ งเรียนเพือ่ แสงสว่าง กับ ปรมิ าณนักเรยี นท่ีใชห้ อ้ ง คิดว่าแผนภูมคิ วรเปน็ รปู แบบใด และหากได้แผนภมู ิรูปแบบที่ 1 คิดว่าเป็นเพราะสาเหตุใด เปน็ ต้น ปัญหาของการสร้างความสมั พนั ธ์ คอื การไม่มีขอ้ มูลหรือมไี มเ่ พยี งพอ ในกรณที ีม่ ขี อ้ มูลไม่ ครบถ้วน การตีความรูปแบบของเสน้ ตรงต้องทาด้วยความระมัดระวงั เมื่อมั่นใจในขอ้ มูลทม่ี อี ยู่ และสามารถสรา้ งเส้น แสดงความสัมพนั ธ์แลว้ ให้พจิ ารณากาหนดสมการท่ดี ีทีส่ ุดสาหรับเส้นนน้ั ๆ สมการนจี้ ะเปน็ หวั ใจของการประเมินผล การอนรุ ักษ์พลงั งานในอนาคต 39

หลักสตู ร การบริหารจัดการพลงั งานไฟฟ้า การพลงั งานความ 2.1.5.2 การกาหนดดชั นที ่ีจะใชป้ ระเมนิ และ/หรือ B e n c h m a r k อปุ กรณ์ เพ่อื ให้ทราบประสิทธภิ าพและศกั ยภาพของอุปกรณใ์ นองค์กร จงึ จาเป็นต้องเปรยี บเทยี บกับข้อมูล ของอปุ กรณ์ประเภทเดียวกนั ทม่ี ีการรวบรวมเผยแพร่ไว้ โดยในการเปรียบเทียบนี้ มกั จะใช้ดัชนที เี่ ปน็ ท่ียอมรับโดยท่วั กัน ในกรณพี ลงั งานมักเรยี กว่า “ค่า S p e c i f i c E n e r g y C o n s u m p t i o n ( S E C ) ” เชน่ Boiler: Thermal Efficiency :  thermal = Heat Transferred to Water Side Air Compressor: : Specific Energy Consumption Heat Released by Fuel = kWh 100 scfm-hr ในบางกรณี การเปรยี บเทียบอาจไม่ใชค้ ่า SEC เปน็ เกณฑอ์ าจกาหนดเป็นดัชนีประเภทอื่นๆ ตามแต่ ข้อมูลทีม่ ี เชน่ ค่าดัชนสี าหรับหม้อบดดิน (Ball Mill) ในโรงงานเซรามิก มักใช้ค่าความเร็วรอบของหม้อบด โดยมีค่าที่ เหมาะสม คา่ ความเร็วรอบทีเ่ หมาะสมสาหรับ Ball Mills (รอบ/นาที): 72  73% of 42.3 Di โดยท่คี ่า Di คอื เส้นผ่าศนู ย์กลางภายในของหม้อบดดนิ มหี นว่ ยเป็นเมตร และคา่ 42.3 มักเรียกกนั Di ว่า “ค่า Critical Speed” ของ Ball Mill น้ัน ๆ 2.1.5.3 การเก็บขอ้ มูล เพอื่ ใหไ้ ด้ขอ้ มลู ทที่ ันสมยั ท่ีสามารถใช้คานวณค่าดัชนีทรี่ ะบุในขอ้ 2 . 5 . 2 องค์กรตอ้ งวางแผนวัด Parameters ท่จี าเป็นสาหรับคานวณดัชนีทีต่ อ้ งการ การเก็บข้อมูลดิบ (Raw Data) เป็นขนั้ ตอนทม่ี คี วามสาคัญมาก หากขอ้ มลู ไมถ่ ูกตอ้ ง การเก็บไม่รอบคอบเพียงพอ ดชั นีที่ได้ก็จะไมเ่ หมาะสมในการนาไปประเมินประสทิ ธิภาพ ดงั ทมี่ ี คาพูดเสมอว่า “Gabage In Gabage Out” ท่ีต้องพงึ ระวงั เช่น อุณหภมู ิ ความดนั ความชืน้ หนว่ ยของขอ้ มลู ดบิ ท่ใี ชใ้ น การคานวณ D i m e n s i o n l e s s P a r a m e t e r s เปน็ ตน้ ประเด็นที่ตอ้ งใหค้ วามสนใจไดแ้ ก่ Accuracy และ Precision ของการเก็บข้อมลู ครั้งนน้ั ๆ ข้อมลู ทีด่ ี ต้องมีท้งั Accuracy และ Precision กลา่ วคือ ในการเก็บข้อมลู ที่ทาซา้ หลาย ๆ ครงั้ ค่าท่ไี ดแ้ ตล่ ะครง้ั ใกลเ้ คยี งกัน (Precision) และค่าที่อา่ นได้ยงั ใกลเ้ คียงกับค่าทเ่ี ป็นจรงิ (Accuracy) การคัดเลอื กอุปกรณ์ การสอบเทยี บอุปกรณล์ ้วน แลว้ แตม่ ีผลต่อความนา่ เชื่อถือของข้อมลู ทว่ี ดั ได้ วิธีการเก็บข้อมูลควรใช้แนวทางมาตรฐานที่เป็นท่ียอมรับ เช่น ข้อแนะนาโดยกรมพัฒนาพลังงา น ทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน โดยสถาบันท่ีเป็นท่ียอมรับ (เช่น ISO Method เป็นต้น) วิธีการเดียวกับแหล่งข้อมูลที่ใช้ ในการเปรียบเทียบดชั นี เปน็ ต้น 40

หลักสูตร การบริหารจดั การพลงั งานไฟฟา้ การพลงั งานความ 2.1.5.4 การทา Benchmarking เปน็ การวดั ประสิทธิภาพของการใชพ้ ลงั งานของอปุ กรณน์ ัน้ ๆ โดยเปรยี บเทยี บกับข้อมูลจากอุปกรณ์ ในที่อื่น Ahmad และ Benson ได้ให้คาจากัดความไว้ว่าเป็นการเปรียบเทียบกระบวนการผลิตขององค์กร กับ กระบวนการผลิตที่มีลักษณะคล้ายกันท่ีมีประสิทธิภาพดีที่สุดเพื่อช่วยปรับปรุงกระบวนการผลิตอย่างต่อเน่ือง ด้าน พลังงาน การทา Benchmarking มักเปน็ การเปรียบเทยี บกับประสิทธภิ าพทด่ี ีท่ีสดุ ค่าเฉลย่ี และทีแ่ ย่ท่ีสุด เกณฑ์ทั่วไป เมอ่ื ทา Benchmarking ไดแ้ ก่  หากพบว่าประสิทธิภาพของอปุ กรณ์ทม่ี อี ยตู่ า่ กวา่ ค่าเฉลี่ยและใกล้ค่าท่แี ยท่ ีส่ ุด ควรกาหนด มาตรการปรบั ปรุงทันทีท่เี ป็นมาตรการเรง่ ดว่ น  หากพบว่าประสิทธิภาพของอปุ กรณท์ ม่ี ีอยใู่ กล้เคียงกับค่าเฉลีย่ ควรกาหนดมาตรการปรับปรุง เปน็ มาตรการระยะปานกลาง  หากพบว่าประสิทธิภาพของอุปกรณ์ทม่ี อี ยูใ่ กล้เคยี งกบั ค่าท่ีดีทีส่ ุด ควรกาหนดมาตรการ ปรบั ปรงุ เปน็ มาตรการระยะยาว ตัวอย่างเช่น จากการประเมินประสิทธิภาพ Lubricated Screw Type Air Compressor พบว่าค่า Specific Energy Consumption เท่ากับ 35.64 kWh/100 scfm-hr ซึ่งเมื่อเทียบกับข้อมูล Benchmark ซ่ึงระบุว่าที่ดี ทีส่ ดุ มีคา่ เท่ากับ 17.24 kWh/100 scfm-hr ค่าเฉล่ียเท่ากับ 21.63 kWh/100 scfm-hr และค่าท่ีแย่ที่สุดเท่ากับ 50.93 kWh/100 scfm-hr (รูปท่ี 2.13) จากการเปรียบเทียบดังกล่าวจะสรุปได้ว่าประสิทธิภาพที่วัดได้ต่ากว่าค่าเฉล่ียและ ใกล้เคียงกับค่าท่ีแย่ท่ีสุด ดังนั้นจึงควรกาหนดมาตรการเร่งด่วนเพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพของ Air Compressor เครื่อง ดังกล่าว เปน็ ต้น Average คา่ ท่วี ัดได้ 21.63 35.64 Best 17.24 50.93 Worst คา่ Specific Energy Consumption, SEC ของ Lubricated Screw typre Air Compressor หนว่ ย เป็น kWh/100 scfm-hr รูปที่ 2.13 การเปรยี บเทยี บประสทิ ธภิ าพของอุปกรณ์ Lubricated Screw Type Air Compressor 41

หลักสตู ร การบริหารจัดการพลงั งานไฟฟา้ การพลงั งานความ 2.1.6 ขั้นตอนท่ี 5 การกาหนดมาตรการ เปา้ หมาย และการคานวณผลตอบแทนทางการเงนิ 2.1.6.1 การกาหนดมาตรการ แนวทางการกาหนดมาตรการที่ช่วยแก้ไขปัญหาเก่ียวกับประสิทธิภาพของอุปกรณ์ที่พบจาก การทา Benchmarking มดี ้วยกันหลากหลายวิธี ขน้ึ กบั ความคุน้ เคยของแตล่ ะองคก์ ร ในค่มู ือน้ีใช้หลักการของ Cause- and-Effect Diagram หรือท่ีในบางครั้งเรียกว่า “Fishbone Diagram” หรือ “Ishikawa Diagram” เป็นแนวทางในการ ระดมความคิดเห็น โดยเร่มิ จากผลท่ีได้รับ (Effect) คือ อปุ กรณป์ ระสิทธิภาพต่าเป็นหัวปลาอยู่ทางขวามือ (รูปท่ี 2.14) และพิจารณาทลี ะประเดน็ เรมิ่ จาก เครอ่ื งจักร/อุปกรณ์ วิธีการทางาน วัสดุที่ใช้ และพนักงาน ทุกประเด็นสามารถเป็น สาเหตทุ ี่ทาให้มกี ารใช้พลังงานสูงได้ จงึ ไม่ควรละเลย ท่ีสาคัญคาตอบท่ีว่า “ก็เราเคยทาแบบนี้มาตั้งแต่ก่อตั้งโรงงาน” ไม่เพยี งพออกี ต่อไปแล้ว การอนุรักษพ์ ลังงานอย่างยง่ั ยืน ต้องอาศยั การเรียนรูว้ ธิ กี ารทางานใหม่ ๆ อยตู่ ลอดเวลา ไม่มี ทส่ี ิ้นสดุ เคร่ืองจกั ร/อปุ กรณ์ วิธีการทางาน สาเหตุทอ่ี าจเปน็ ไปได้ เปน็ ไปได้ ผลทไี่ ดร้ บั (Effect) วสั ดุท่ใี ช้ พนกั งาน รูปที่ 2.14 Cause –and-Effect Diagram (หรือ Fishbone Diagram) เมื่อทราบสาเหตุท่ีก่อให้เกิดการใช้พลังงานสูงกว่าเกณฑ์แล้ว ลาดับถัดไป คือ การกาหนด มาตรการท่ีเหมาะสม การแก้ไขสาเหตุที่ค้นพบข้างต้น จะเป็นเคร่ืองชี้แนะแนวมาตรการท่ีจะนามาประยุกต์ใช้ เช่น หากหนง่ึ ในสาเหตุทท่ี าให้ค่า SEC ของ Air Compressor สูงกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรมคืออุณหภูมิของอากาศที่ใช้ (Air Intake) ดังนั้น มาตรการที่ควรกาหนดคือการปรับปรุงให้อากาศนี้มีอุณหภูมิที่ลดลง อาจโดยปรับปรุงการถ่ายเทของ Compressor House ก็ได้ เปน็ ตน้ รูปท่ี 2.14 แสดงแนวทางข้ันต่าในการกาหนดมาตรการอนรุ กั ษพ์ ลังงานที่กาหนดให้ องค์กรที่นาระบบการจดั การพลงั งานมาประยกุ ตใ์ ช้ต้องพิจารณา ซ่ึงรวมถงึ การใช้ระบบปัจจุบันท่ีมีอยู่ให้เกิดประโยชน์ สงู สุด โดย  ควบคุมการทางานแนวทางเดิมให้ดีข้ึนโดยการใช้ Standard Operating Procedures (สาเหตทุ ่พี บจากการทา Cause-and-Effect Analysis คือพนกั งาน)  การปรับเปล่ียนวิธีการทางานโดยพิจารณาจาก Best Practices (สาเหตุที่พบจากการทา Cause-and-Effect Analysis คอื วิธกี ารทางาน) 42

หลักสูตร การบริหารจดั การพลงั งานไฟฟา้ การพลงั งานความ  การปรับปรุงงานซ่อมบารุง โดยพิจารณาให้ประยุกต์องค์ประกอบของหลักการ Total Preventive Maintenance (TPM) ซ่ึงประกอบด้วย Preventive Maintenance, Corrective Maintenance, Maintenance Prevention และ Breakdown Maintenance องค์กรไม่ จาเปน็ ตอ้ งประยุกตใ์ ช้ทง้ั 4 องค์ประกอบ หากแต่ควรนาองคป์ ระกอบท่ีเหมาะสมกับสภาพ/ ความพร้อมมาใช้ (สาเหตุที่พบจากการทา Cause-and-Effect Analysis คือเครื่องจักร/ อปุ กรณ์)  การปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิต (สาเหตุท่ีพบจากการทา Cause-and-Effect Analysis คือ วสั ดุทใี่ ช้)  การปรับปรุงส่ิงที่มีอยู่ เช่น การปรับสภาพของ Compressor House เพื่อให้ Air Intake มี อณุ หภมู ลิ ดลง เปน็ ตน้  การเปลย่ี นแปลงสิ่งทีม่ ีอยู่ เช่น การติดตั้ง Air Compressor เครื่องใหม่ท่ีมีประสิทธิภาพสูง กว่าของเดิมเพ่ือช่วยดึงค่าประสิทธิภาพโดยรวมในการผลิต Compressed Air ขององค์กร เป็นตน้ ในการคดิ หามาตรการตา่ ง ๆ สง่ิ สาคัญอีกประการหน่ึง คอื การมสี ่วนร่วมของพนกั งาน เพราะใน ทส่ี ดุ แล้ว พนักงานสว่ นใหญจ่ ะเป็นผู้ทน่ี ามาตรการเหล่านน้ั ไปปฏบิ ตั ิ นอกจากน้ี กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและ อนุรักษพ์ ลงั งาน ได้พฒั นาแนวทางตา่ ง ๆ เพื่อช่วยส่งเสริมการอนุรกั ษ์พลงั งานในองค์กร เช่น มาตรการการมีส่วนร่วม มาตรการวศิ วกรรมคุณคา่ ( V a l u e E n g i n e e r i n g ) เปน็ ต้น 43

รปู ที่ 2.15 แนวทางการกา

หลกั สตู ร การบรหิ ารจดั การพลงั งานความรอ้ น การพลงั งานความ าหนดมาตรการอนรุ ักษ์พลังงาน 44

หลกั สูตร การบรหิ ารจดั การพลงั งานความร้อน การพลงั งานความ 2.1.6.2 การกาหนดเป้าหมาย จากมาตรการต่าง ๆ ท่ีกาหนดตามแนวทางท่ีกล่าวถึงข้างต้น องค์กรต้องตัดสินใจกาหนด เป้าหมายในการอนุรักษ์พลังงานเพ่ือใช้เป็นหลักในการประเมินความสาเร็จ ใช้เป็นจุดท่ีใช้รวมความพยายามของ พนักงานทั้งองค์กร โดยท่ัวไป มแี นวทางท่ใี ช้ในการกาหนดเป้าหมายอยู่ 3 แนวทาง ได้แก่  แนวทางที่ 1 ผู้บริหารระดับสงู “ทบุ โตะ๊ ” หรอื “ฟนั ธง” กาหนดเป้าหมายโดยมิได้พจิ ารณา ขอ้ มลู ในอดีต หรือความเป็นไปได้ในอตุ สาหกรรม การกาหนดเป้าหมายแนวทางนี้เป็นท่ี แพรห่ ลายในวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดยอ่ ม ทง้ั ยังไดย้ นิ บ่อยครัง้ ในชว่ งวิกฤตท่มี ีการลด คา่ ใชจ้ ่ายทกุ หน่วยงานในองค์กรเทา่ ๆ กัน ตัวอย่างเช่น ในกรณีของ Air Compressor ที่วดั ค่า SEC ไดเ้ ท่ากับ 35.64 kWh/100 scfm-hr หากกาหนดเป้าหมายโดยแนวทางน้ี ผบู้ รหิ าร เมือ่ เหน็ ว่ามีคา่ สงู มาก อีกทั้ง จากการทา Process Mapping พบว่าสัดส่วนการใชพ้ ลังงาน ไฟฟ้าท่ีระบบผลติ Compressed Air คิดเป็นสัดส่วนถึงรอ้ ยละ 25 ของทั้งโรงงาน อาจระบใุ ห้ ลดค่า SEC ลง 50% ภายใน 1 ปี หรอื คา่ SEC ใหม่เท่ากับ 17.82 kWh/100 scfm-hr ซง่ึ ใกลเ้ คยี งกบั คา่ ที่ดที ส่ี ุดในฐานขอ้ มลู แตผ่ บู้ ริหาร ไม่ทราบข้อมลู น้ี จงึ ไมต่ ระหนกั ถึงอปุ สรรค ที่อาจเกดิ จากการกาหนดเป้าหมายแนวทางนี้ เป็นต้น การกาหนดเป้าหมายแบบนี้ ขัดกบั หลักการ “Achievable” ใน SMART ที่กลา่ วถึงในหวั ขอ้ การประชาสมั พันธ์ อาจก่อให้เกิด ทัศนคตทิ ว่ี ่า “ทาให้ตายก็ไมม่ ที างเปน็ ไปได้ จะทาไปทาไม” ก็ได้  แนวทางที่ 2 เปน็ การกาหนดโดยศึกษาข้อมูลที่ใช้ในการทา Benchmark โดยกาหนดคา่ ที่ดี ถัดไปเปน็ เปา้ หมาย ตัวอยา่ งเช่น ในกรณีของ Air Compressor ค่าท่ีดถี ัดไปคอื คา่ เฉลย่ี (21.63 kWh/100 scfm-hr) ซง่ึ จะเป็นเป้าหมายทีอ่ งค์กรกาหนด เปน็ ตน้ ข้อดีของการกาหนด แนวทางนี้ คอื มีหลักฐานว่ามผี ู้สามารถทาได้ อยา่ งไรกต็ าม อาจเปน็ คา่ ท่ีได้จากการใช้ อุปกรณท์ แ่ี ตกตา่ งกนั โดยสิ้นเชงิ ไมส่ ามารถบรรลุไดโ้ ดยใช้อปุ กรณท์ ่อี งคก์ รน้นั มีอยู่ การจะ บรรลุเปา้ หมาย อาจจาเป็นต้องมกี ารลงทนุ ในระดบั ท่ีสงู มากจนไมค่ ุ้มกับการลงทนุ  แนวทางท่ี 3 กาหนดให้เป้าหมายเปน็ ค่าท่ีต่าสุดในแผนภมู ิท่ีไดจ้ ากการศึกษาความสัมพนั ธ์ ระหว่างระดับพลังงานท่ีใช้กบั ตัวแปร (Driver) ในหัวข้อ 2.2 ดงั ท่ีแสดงในรูปที่ 2.16 เส้น หมายเลข 1 เป็นค่าเฉลย่ี ระดับการใช้พลังงานในอดตี ในขณะท่ีเส้นหมายเลข 2 ลากผ่านจุด การใช้พลังงานท่ตี ่าสุดและเปน็ เส้นกาหนดเปา้ หมายการอนุรักษ์พลังงาน การท่ีมขี ้อมูลแสดง ไวย้ ืนยนั ว่าสามารถทาได้ภายในองคก์ ร เพยี งแตไ่ มม่ คี วามแนน่ อน ข้ันแรกในการกาหนด มาตรการจึงเปน็ การสร้างความสามารถในการควบคมุ ( C o n t r o l - a b i l i t y ) 45

หลกั สตู ร การบริหารจดั การพลังงานความรอ้ น การพลงั งานความ 250 Power Consumption (kWh) 200 y = 0.798x + 49.722 150 100 2 1 50 0 160 0 20 40 60 80 100 120 140 Steam Production (tons/hr) รปู ที่ 2.16 แผนภมู ิความสัมพนั ธร์ ะหว่างพลังงานทใ่ี ชก้ ับปริมาณ Steam ทผี่ ลติ และเสน้ กาหนดเปา้ หมายการอนรุ ักษพ์ ลังงาน 2.1.6.3 การคานวณผลตอบแทนทางการเงิน ภายหลงั จากทก่ี าหนดเปา้ หมายโดยใช้แนวทางใดแนวทางหน่งึ ตามท่ีกลา่ วไว้ข้างต้นแลว้ องค์กร ต้องประมาณค่าใช้จ่ายท่ีจาเป็นเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายที่กาหนด ในที่สุด องค์กรจะมีตารางแสดงมาตรการอนุรักษ์ พลังงาน เป้าหมาย เงินลงทุน และคา่ ใช้จ่ายด้านพลังงานที่ประหยัดได้ อย่างไรก็ตาม องค์กรส่วนใหญ่ไม่มีทรัพยากร เพยี งพอ โดยเฉพาะดา้ นการเงนิ ท่ีจะลงทุน จึงจาเป็นตอ้ งตดั สนิ ใจลงทนุ ในมาตรการทเี่ หมาะสมท่ีสุด ให้ผลตอบแทนดี ผ่านเกณฑข์ ององค์กร การนาเสนอผลตอบแทนตอ่ ผบู้ รหิ ารท่ดี ที ่ีสุด จึงเป็นการคานวณบนฐานการเงิน ซ่ึงเครื่องมือท่ี ใชใ้ นการวิเคราะหผ์ ลตอบแทนการลงทนุ มรี ายละเอยี ดดังนี้ 1) มูลคา่ ปจั จบุ นั สทุ ธิ (Net Present Value) มูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net Present Value: NPV) คือ ผลต่างระหว่างมูลค่าปัจจุบันของ ผลประโยชน์ท่ีได้รับจากการลงทุน เช่น การประหยัดต้นทุน พลังงาน ฯลฯ ในรูปตัวเงินที่คาดว่าจะได้รับในแต่ละปี ตลอดอายุของโครงการ กับมูลค่าปัจจุบันของเงินท่ีจ่ายออกไปภายใต้โครงการที่กาลังพิจารณา ณ อั ตราคิดลด (Discount rate) หรือค่าของทุน (Cost of capital) ที่กาหนดจากคานิยามข้างต้น การคานวณหามูลค่าปัจจุบันสุทธิ จะตอ้ งทราบข้อมลู ดงั น้ี - กระแสเงนิ สดจ่ายสาหรับลงทนุ สุทธิ - กระแสเงินสดรบั จากการดาเนนิ งานสทุ ธริ ายปีตลอดอายโุ ครงการ - ระยะเวลาของโครงการ - อตั ราคดิ ลดหรืออตั ราดอกเบ้ีย 46

หลักสตู ร การบรหิ ารจัดการพลังงานความรอ้ น การพลงั งานความ จากสูตร n (Bt  Ct )  (1 r)t NPV = t 0 โดยท่ี n = จานวนปีทใี่ ช้ประเมนิ ทางด้านเศรษฐกิจ Bt = ผลประโยชน์ในปีที่ t Ct = คา่ ใช้จ่ายในปที ี่ t r= อัตราส่วนลด อัตราดอกเบ้ียหรืออัตราคิดลด (Discount rate) จะมีค่าเดียวกันตลอดอายุโครงการ และ ขึ้นอยู่กับอัตราดอกเบี้ยของตลาดที่ผู้ลงทุนเผชิญอยู่ ซึ่งค่าที่เป็น base case ซึ่งอย่างน้อยควรมีค่าเท่ากับอัตรา ดอกเบี้ยเงนิ ฝากประจาที่ผ้ลู งทุนได้รับ ในการเลือกโครงการ ค่า NPV จะแสดงให้เห็นว่าโครงการที่กาลังพิจารณา มีมูลค่าปัจจุบัน สุทธิ ของการลงทนุ เป็นมูลค่าเทา่ ไรเม่อื สิ้นสดุ โครงการ ถา้ คา่ NPV มคี ่าเปน็ บวกแสดงว่าโครงการดงั กล่าว สมควรที่จะ ลงทนุ และควรเลอื กโครงการทใ่ี หค้ า่ NPV เปน็ บวกสูงทส่ี ดุ แตก่ ารใช้ NPVเพยี งอย่างเดียวอาจทาให้มีข้อจากัดในการ ตดั สินใจเลอื กโครงการได้ เชน่ ในกรณที ่โี ครงการมขี นาดหรือระยะเวลาดาเนินงานต่างกัน แต่ให้ค่า NPV ท่ีเป็นบวก เท่ากนั ดงั นัน้ การตดั สินใจให้การสนับสนนุ ควรจะตอ้ งนาเครอ่ื งมอื อ่นื มาประกอบการพิจารณาควบคกู่ นั ไปดว้ ย 2) อัตราผลตอบแทนภายใน (Internal Rate of Return) อัตราผลตอบแทนภายใน (IRR: Internal Rate of Return) หมายถึงอัตราลดค่า (Discount rate) ท่ีทาให้มลู ค่าปัจจุบนั ของผลประโยชน์ทค่ี าดวา่ จะเกิดข้ึนท้ังหมดเท่ากับมูลค่าปัจจุบันของต้นทุนและค่าใช้จ่ายท่ี คาดวา่ จะเกดิ ข้ึนทัง้ หมด โดยคดิ ตลอดอายุโครงการ อัตราน้ีจะแสดงให้เห็นถึงผลตอบแทนท่ีจะได้รับจากการลงทุนใน โครงการ สามารถนามาใช้เปรียบเทียบว่าโครงการใดให้ผลตอบแทนในอัตราที่สูงกว่ากันซึ่งในการคานวณหา IRR จะตอ้ งทราบขอ้ มูลดังน้ี - ตน้ ทนุ ค่าใช้จา่ ยรายปีตลอดอายโุ ครงการ - ผลประโยชนท์ ่จี ะไดร้ บั รายปตี ลอดอายุโครงการ การคานวณค่า IRR มีสูตรดงั นี้ n (Bt  Ct )  0  (1 r)t t 0 โดยท่ี r = อตั ราผลตอบแทนภายในของโครงการ IRR ใชเ้ ปน็ หลกั เกณฑ์ในการวิเคราะหโ์ ครงการว่าโครงการน้ัน ๆ มีเปอร์เซ็นต์ตอบแทนการ ลงทนุ ของโครงการสูงเพียงไร เปน็ หลักเกณฑ์ในการประเมินความได้เปรียบในทางการเงินและทางเศรษฐศาสตร์ของ โครงการหนงึ่ ๆ หรือใชจ้ ัดลาดบั โครงการเพอ่ื แสดงประสิทธิภาพของโครงการในการใช้ทรพั ยากรได้อย่างคุ้มค่าอย่างไร ก็ตาม การหาคา่ IRR จะไมไ่ ด้ผลสาหรับโครงการทไี่ ม่มีการลงทุนในระยะเรม่ิ แรก 47

หลักสตู ร การบรหิ ารจัดการพลังงานความร้อน การพลงั งานความ 3) อตั ราส่วนผลประโยชนต์ อ่ ทนุ (Benefit-Cost Ratio) อัตราส่วนผลประโยชน์ต่อต้นทุน (B/C : Benefit Cost Ratio) เป็นดัชนีการลงทุนท่ีแสดงให้ เห็นถึงสัดส่วนมูลค่าเงินปัจจุบันของผลประโยชน์กับมูลค่าปัจจุบันของเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายของโครงการ ถ้า อัตราส่วนของผลประโยชน์ต่อทุนหรือค่า B/C มากกว่า 1 หมายถึง โครงการจะให้ผลตอบแทนคุ้มค่าที่จะลงทุน มี วธิ กี ารคานวณดังน้ี (1) คานวณผลประโยชน์และค่าใชจ้ า่ ยที่เกดิ ขึ้นในแต่ละปี (จากการวเิ คราะหก์ ระแสเงินสด) (2) คานวณมูลค่าปัจจุบันของโครงการ (Present Value) จากข้อ (1) ทั้งค่าใช้จ่ายและผล ประโยชน์ (PVb, PVc) (3) คานวณ BC Ratio = PVb/PVc ดงั แสดงสูตรการคานวณดังน้ี B/C = n (1 Bt t t0  r) n t0 (1 Ct t  r) อตั ราสว่ นผลประโยชน์ตอ่ ทุนของโครงการแสดงถึงประสิทธิภาพการลงทุนของโครงการ ใช้ เป็นองค์ประกอบของหลักเกณฑ์ในการตัดสินโครงการว่าโครงการน้ีควรลงทุนหรือไม่ หรืออาจใช้เป็นเกณฑ์ ประกอบการตดั สินใจเปรยี บเทยี บระหวา่ งโครงการดว้ ยกันวา่ โครงการใดมี BC Ratio ดกี วา่ 4) ระยะเวลาคืนทุน (Payback Period) ระยะเวลาคืนทนุ (PB : Payback Period) คอื ระยะเวลาท่ีผลประโยชน์สุทธิที่โครงการได้รับ จากการดาเนินงานสามารถชดเชยเงนิ ลงทนุ สุทธติ อนเร่มิ โครงการพอดี การหาคา่ PB สามารถทาได้ 2 แบบ คอื ก. Static method ในกรณที ่มี รี ายรบั หรือผลประโยชน์สุทธิเทา่ กันทกุ ปี สามารถคานวณโดย ระยะเวลาคนื ทนุ  ค่าใช้จา่ ยลงทนุ ผลประโยชนท์ ไี่ ด้รับสุทธติ ่อปี ในกรณีที่มีรายรับหรือผลประโยชน์สุทธิแต่ละปีไม่เท่ากัน จะต้องคานวณผลประโยชน์ สุทธสิ ะสม จนได้คา่ ทีเ่ ปน็ ศนู ย์ หรอื คืนทนุ พอดี ข. Dynamic method ระยะเวลาคนื ทนุ = จานวนปที ี่ทาใหม้ ูลค่าปจั จบุ นั สทุ ธเิ ท่ากับหรอื มากกวา่ ศนู ย์ ค่า PB ทงั้ 2 แบบ จะมคี วามแตกต่างกัน โดย PB แบบ Static method จะให้ระยะเวลา คืนทุน เร็วกว่าแบบ Dynamic method เน่อื งจาก Dynamic method จะใชก้ ารคานวณค่าแบบสะสมจากมูลค่าปจั จบุ นั ของตน้ ทนุ และผลประโยชน์ซงึ่ คิดลดค่าแล้ว การใช้ค่าดัชนี PB ในการตัดสินใจเลือกโครงการ จะแสดงให้เห็นว่าต้องใช้เวลานาน เพียงใดในการได้ทนุ คนื ถา้ สามารถได้ทนุ คืนเรว็ โครงการก็จะนา่ สนใจ แต่จะมีจุดด้อย คือ วิธีน้ีจะไม่ให้ความสนใจ ถึง ผลประโยชน์สทุ ธิในส่วนท่ีจะได้รบั หลังจากชว่ งเวลาคนื ทนุ แล้ว ซึ่งอาจจะมีผลตอบแทนภายหลังมากกว่าโครงการที่มี PB เร็วกวา่ กไ็ ด้ 48

หลักสตู ร การบริหารจัดการพลงั งานความรอ้ น การพลังงานความ 2.1.6.4 การคานวณผลตอบแทนการลงทนุ ในการหาค่า NPV, IRR หรอื PB นั้น มลู ค่ากระแสเงินสดท่ีแสดงถึงการใช้จ่ายในการลงทุนและ รายรับหรือผลประโยชนข์ องโครงการ มีการพจิ ารณา ดงั น้ี 1) ค่าใช้จ่ายการลงทุน : โครงการที่เกี่ยวข้องกับการจัดการด้านไฟฟ้าหรือพลังงานความร้อน สามารถแบง่ รูปแบบการลงทุนออกไดห้ ลายลักษณะ เช่น การเปลี่ยนเคร่ืองจักร การใช้วัสดุอุปกรณ์ประหยัดพลังงาน (replacement) เปน็ ตน้ ข้อมูลทตี่ อ้ งใชใ้ นการวิเคราะห์ คือ - ประเภท ราคา และจานวนของเคร่อื งจกั ร หรือ วสั ดอุ ุปกรณ์ที่นามาเปลี่ยน - คา่ ใช้จ่ายในการเปล่ยี นหรอื ติดตงั้ - คา่ ใชจ้ า่ ยในการบารุงรกั ษา 2) การปรบั ปรุงเครือ่ งมอื เคร่ืองจักร หรืออุปกรณ์ทมี่ อี ย่ใู หส้ ามารถชว่ ยประหยัดพลังงานได้ดีข้ึน รวมท้ังการปรบั ปรุงกระบวนการผลติ ใหส้ ามารถประหยัดพลงั งานได้ (Modification) ขอ้ มลู ที่ตอ้ งใช้ในการวิเคราะห์ คือ - วธิ กี ารท่ใี ช้ในการปรับปรงุ - คา่ ใช้จ่ายในการลงทุนปรับปรงุ เครื่องมอื เครอื่ งจักร อปุ กรณ์ หรอื กระบวนการผลติ - การติดต้ังระบบใหม่ เช่น ระบบควบคุมอัตโนมัติหรือเปลี่ยนกระบวนการผลิตใหม่ (modernization) - สิ่งท่ตี ้องทราบในการคานวณ - ลักษณะของระบบหรือกระบวนการผลติ ใหม่ - ค่าใช้จา่ ยในการจัดซ้ือ ภาษแี ละค่าตดิ ต้งั - ค่าใช้จ่ายในการจัดการและบารงุ รักษา 3) ต้นทุนพลังงานที่ประหยดั ได้ จะคานวณเปน็ รายปี ข้อมูลที่ตอ้ งใช้ในการวเิ คราะห์ คือ - ปรมิ าณพลงั งานท่ีใช้ในโครงการอื่น ๆ กอ่ นทากจิ กรรมตามท่กี าหนดในโครงการ - คา่ ทางเทคนิคในการประเมนิ ผลการประหยดั - ปริมาณพลังงานที่ใช้ในโครงการน้ัน ๆ หลงั ทากจิ กรรมตามมาตรการ - ราคาพลังงานทใ่ี ช้ ได้แก่ ค่าไฟฟา้ ราคาน้ามันเตา ราคาก๊าซปโิ ตรเลยี ม การประเมินผลตอบแทนการลงทุนในมุมมองของเจ้าของโครงการหรือผู้ประกอบการจะ มงุ่ เนน้ ที่ผลตอบแทนสุทธิหลังจากหักภาษีเงนิ ได้นิติบุคคลแล้ว ดังน้ันเคร่ืองมือท่ีใช้ในการประเมินไม่ว่าจะเป็น NPV, IRR หรือ PB จะใชก้ ับกระแสเงินสดหลังจากหกั ภาษเี งินไดน้ ิตบิ ุคคลแล้ว 49

หลักสูตร การบริหารจัดการพลงั งานความร้อน การพลังงานความ 2.1.6.5 ข้อควรคานงึ 1) ข้อมูลผลประโยชน์หรือปริมาณพลังงานที่ประหยัดได้จะต้องประเมินจา กค่าทางเทคนิคที่มี หลกั ฐานอา้ งอิง รวมท้ังมกี ารพิจารณาคา่ ความคลาดเคลอื่ นทอี่ าจจะเกดิ ขึ้นได้ 2) ราคาของวัสดุ หรืออุปกรณ์ ควรมาจากแหล่งที่น่าเช่ือถือ และสะท้อนความเป็นจริงให้มากท่ีสุด ในกรณที ี่จะต้องใช้เปน็ ปรมิ าณมากควรจะมีการสืบราคาจาก Supplier หลายราย 3) การกาหนดอายุของโครงการ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับอายุการใช้งาน (service life) ของเคร่ืองมือ เครื่องจกั ร หรือวสั ดุ อปุ กรณท์ ี่นามาใช้ ดงั นน้ั การเลือกย่ีห้อ และ suppliers ก็อาจจะมีผลต่อการ ระบุอายุการใช้งานของเคร่อื งมือ เคร่อื งจกั ร หรือวัสดุอุปกรณ์น้ัน ๆ ได้ 4) ความผนั ผวนของอตั ราแลกเปลยี่ นส่งผลต่อตน้ ทนุ ของเคร่ืองมือ เครอ่ื งจักร และวัสดุอปุ กรณ์ต่างๆ ท่ีต้องนาเข้าอย่างมาก ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนทาให้ต้องติดตามราคาอย่างใกล้ชิด และยังส่งผลต่ออตั ราเงนิ เฟอ้ และราคาพลงั งานทีอ่ าจจะเปลยี่ นแปลงอยู่ตลอดเวลาเชน่ กนั 5) อัตราการปรับตัวเลขอัตราค่าพลงั งานทปี่ ระหยดั ไดแ้ ละคา่ ใช้จ่ายแปรผันอ่ืนๆ ตลอดจนการลงทุน ซ้า จะตอ้ งสะท้อนถงึ การคาดการณภ์ าวะเศรษฐกจิ ทอี่ าจเปล่ียนแปลงไดต้ ลอดเวลา อัตราการปรับ จงึ ตอ้ งเปลีย่ นแปลงตามสถานการณ์เศรษฐกจิ 6) ไฟฟ้าจะเป็นพลังงานรูปแบบหน่ึงท่ีได้รับความสนใจมากที่สุด ปริมาณไฟฟ้าท่ีประหยัดได้ จากการดาเนินโครงการ จะต้องระบุทั้งจานวนหน่วย (กิโลวัตต์-ช่ัวโมง) พลังไฟฟ้าสูงสุด (กโิ ลวัตต์) และกิโลวาร์ (กรณีที่มีผลประหยัดจากกิโลวาร์) ในแต่ละช่วงเวลาตามอัตราค่าไฟฟ้า การประหยัดไฟฟา้ จะหมายถึงการลดจานวนกิโลวัตต์-ช่ัวโมง หรือจานวนกิโลวัตต์ หรือกิโลวาร์ หรือทงั้ สามอย่าง ไม่ใช่เฉพาะจานวนกิโลวตั ต์-ชว่ั โมง 7) ควรจะใช้อัตราค่าไฟฟ้าในขั้นสุดท้าย (marginal rate) ท่ีหน่วยงานนั้นต้องชาระให้กับการไฟฟ้า ในการคดิ คานวณ FIRR เน่ืองจากการไฟฟ้าฝ่ายจาหน่ายได้คิดค่าไฟฟ้ากับลูกค้าในรูปของอัตรา กา้ วหนา้ หากมกี ารประหยดั พลงั งานไฟฟา้ หรือกาลงั ไฟฟ้า ผปู้ ระหยัดไฟก็จะประหยัดได้ในอัตรา ข้นั สุดท้ายไมใ่ ช่อตั ราเฉลีย่ 8) ในกรณที อ่ี ุปกรณ์ท่ีต้องลงทนุ ซา้ ยังมีอายกุ ารใช้งานเหลืออยู่เม่ือส้ินสุดอายุโครงการ ให้คิดมูลค่า ซากตามสัดส่วนของอายุการใช้งานที่ยังเหลืออยู่ ส่วนค่าใช้จ่ายในการติดต้ังอุปกรณ์หรือวัสดุก็ เชน่ เดียวกัน 2.1.7 ข้ันตอนท่ี 6 การจัดทาแผนปฏิบตั ิการ ดังทไ่ี ด้ช้แี จงใหท้ ราบในเบือ้ งต้นแลว้ วา่ วตั ถปุ ระสงค์ของการจัดให้มีมาตรฐานระบบการจัดการพลังงานก็ เพอื่ ใหเ้ กดิ การอนุรกั ษพ์ ลังงานทีย่ ่งั ยนื แผนปฏบิ ตั ิการทจี่ ะสนับสนุนหัวใจของการอนุรักษ์พลังงาน ได้แก่ ใช้พลังงาน อย่างมีประสิทธิภาพ พนักงานมีจิตสานึก และพนักงานมีความรู้ ความเข้าใจ ท่ีเหมาะสม ดังน้ัน แผนปฏิบัติการท่ี องค์กรต้องจดั ทา จะตอ้ งประกอบด้วย  แผนเพือ่ รองรับมาตรการอนุรกั ษพ์ ลังงานที่คัดเลอื ก โดยใช้ขอ้ มูลทไี่ ดจ้ ากขนั้ ที่ 5  แผนประชาสมั พันธ์เพื่อสร้างจิตสานึกของพนกั งานในองค์กร โดยใช้ข้อมูลท่ไี ดจ้ ากข้นั 3  แผนการฝึกอบรมเพ่ือสร้างความรู้ ความเข้าใจทถ่ี ูกต้อง หวั หนา้ งานจะต้องทาการวิเคราะห์ ความจาเป็นในการฝึกอบรมดา้ นพลงั งาน (Training Need Analysis) ของพนักงานทุกคนทีอ่ ยู่ในความ รับผดิ ชอบ และจดั ส่งใหผ้ ้ทู เี่ กี่ยวข้องนาไปจดั ทาเปน็ แผนการฝกึ อบรมรวมขององคก์ ร ระดับการ ฝึกอบรมที่ตอ้ งได้รบั ควรสอดคล้องกับระดับ Impact (Awareness, Interest, Desire, Action) ท่ี คาดหวงั จากพนกั งานคนน้ัน ๆ แผนปฏิบัติการทจี่ ัดทาขึ้นจะต้องแสดงวัตถปุ ระสงคข์ องมาตรการ ตัวชว้ี ัดความสาเรจ็ ของมาตรการ ผ้รู ับผดิ ชอบงบประมาณ ระยะเวลาดาเนินการ และกล่มุ เป้าหมาย เป็นอยา่ งน้อย ในประเด็นระยะเวลาดาเนินการน้ัน หากเปน็ มาตรการเพอ่ื ให้เปน็ ตามท่กี ฎหมายกาหนดจะตอ้ งไมเ่ กิน 6 เดอื น ยกเว้นองค์กรมีเหตผุ ลท่จี าเป็นอยา่ งยง่ิ 50

หลักสูตร การบรหิ ารจดั การพลังงานความรอ้ น การพลงั งานความ 2.1.8 ข้นั ตอนที่ 7 การดาเนินการตามแผนปฏบิ ตั ิการ หลังจากที่มาตรการต่าง ๆ ผ่านการอนุมัติจากผู้บริหารระดับสูงขององค์กร ผู้ที่ได้รับมอบหมายก็จะมี หน้าท่ีนาไปปฏิบัติเพ่ือให้เกิดผลตามกาหนดเวลาท่ีระบุ ในระหว่างที่กาลังดาเนินการยังไม่แล้วเสร็จ จาเป็ นจะต้อง ตดิ ตามความก้าวหนา้ และเปรยี บเทยี บกับแผนงาน (%Completion) เมื่อดาเนินการตามจนแลว้ เสร็จตามที่กาหนดแล้ว การติดตามตรวจสอบก็มีความสาคัญ โดยเทคนิคที่ใช้ กันโดยท่วั ไปจะเป็นการสร้าง “แผนภูมิควบคุม (Control Chart)” ซึ่งมีได้หลายรูปแบบ องค์กรสามารถเลือกใช้ตามท่ี เหมาะสม  รูปแบบท่ี 1 แผนภูมคิ วบคุมแบบธรรมดา เปน็ การสร้างแผนภมู ิของคา่ Parameter ทคี่ วบคมุ โดยใน แผนภมู จิ ะแสดงค่า Upper Control Limit (UCL) และค่า Lower Control Limit (LCL) ไวเ้ พ่ือให้ สามารถเหน็ ได้ชัดเจนว่าช่วงใดที่ค่าเกนิ จากเกณฑ์ท่ีควบคมุ (รูปที่ 2.17 ซงึ่ แสดงแผนภูมิของข้อมลู ในตารางที่ 2.5 )  รปู แบบท่ี 2 “Moving Average” Chart หรอื แผนภมู ิแสดงคา่ เฉลยี่ เคลอ่ื นที่ ซ่ึงเหมาะสมในกรณีที่ สามารถเกบ็ ขอ้ มูลไดเ้ พยี ง 1 คา่ ตอ่ 1 ช่วงเวลาที่คงท่ี โดยค่าท่ีนามาสร้างแผนภูมจิ ะเปน็ คา่ เฉลีย่ ของ คา่ ทีอ่ ่านได้จานวน n ตวั อย่างทค่ี งท่ี ตัวอย่างเชน่ ในกรณีของขอ้ มลู ในตารางท่ี 2 . 5 หากสามารถ บนั ทึกค่าได้เพยี ง 1 คา่ (สมมตใิ นทน่ี วี้ า่ เปน็ ค่าที่ 1) และกาหนดให้ใช้ค่าเฉล่ยี ของข้อมลู จานวน 3 ค่า จะได้วา่ ค่าเฉลี่ยคา่ แรกจะเกิดตอนเวลา 10:00 น. โดยใช้คา่ ของเวลา 8:00 น., 9:00 น. และ 10:00 น. ในการคานวณซ่งึ จะได้เท่ากบั 51.33 ค่าเฉลย่ี ลาดับถดั ไป จะใช้คา่ ของเวลา 9:00 น.,10:00 น. และ 1 1 : 0 0 น. ในการคานวณซ่ึงจะไดเ้ ทา่ กับ 5 1 . 3 3 เปน็ ตน้ (รูปท่ี 2 . 1 8 ) 58 56 54 Value 52 50 48 46 7.00 6.00 5.00 4.00 3.00 2.00 1.00 24.00 23.00 22.00 21.00 20.00 19.00 18.00 17.00 16.00 15.00 14.00 13.00 12.00 11.00 10.00 9.00 8.00 Tim e รปู ท่ี 2.17 Simple Control Chart 51

หลกั สูตร การบริหารจัดการพลงั งานความรอ้ น การพลงั งานความ Value 60 59 58 57 56 55 54 53 52 51 50 49 48 47 46 45 Tim e รูปที่ 2.18 Moving Average Control Chart ความถ่ใี นการเก็บขอ้ มูลเพอ่ื สรา้ งแผนภูมิขึ้นอยู่กับความพร้อมขององค์กร ตัวอย่างเช่น องค์กรที่มีระบบ ข้อมูลท่ีพร้อม การเก็บข้อมูลเป็นไปโดยอัตโนมัติ และมีเครื่องคอมพิวเตอร์ท่ี On Line คานวณได้ทันที ก็ควรท่ีจะ Update แผนภูมิทุก ๆ ชั่วโมงสาหรับข้ันตอนท่ีมีการใช้พลังงานสูง ๆ หากแต่ถ้าเป็นองค์กรท่ีไม่พร้อม สามารถ Update แผนภมู ิวนั ละครงั้ หรอื กะละครง้ั อยา่ งไรกต็ าม ต้องระวงั การทที่ ิง้ ชว่ งนานเกนิ ไปอาจทาให้มีการสูญเสียโอกาส ทจ่ี ะประหยดั พลังงานไปได้ ตารางที่ 2.5 ตวั อย่างข้อมลู ทใ่ี ชใ้ นการแสดงแผนภูมิควบคุม เวลา คา่ ท่ี 1 คา่ ท่ี 2 คา่ ที่ 3 ค่าเฉลีย่ คา่ Moving Average 8:00 56.00 54.00 58.00 56.00 51.33 9:00 50.00 52.00 58.00 53.33 51.33 10:00 48.00 52.00 59.00 53.00 54.00 11:00 56.00 56.00 51.00 54.33 57.67 12:00 58.00 53.00 52.00 54.33 56.00 13:00 59.00 54.00 52.00 55.00 54.00 14:00 51.00 59.00 56.00 55.33 51.67 15:00 52.00 58.00 53.00 54.33 53.33 16:00 52.00 52.00 54.00 52.67 53.67 17:00 56.00 51.00 59.00 55.33 54.33 18:00 53.00 50.00 58.00 53.67 55.33 19:00 54.00 47.00 52.00 51.00 57.00 20:00 59.00 44.00 51.00 51.33 56.33 21:00 58.00 59.00 50.00 55.67 53.67 22:00 52.00 61.00 47.00 53.33 51.00 23:00 51.00 55.00 44.00 50.00 49.33 0:00 50.00 52.00 59.00 53.67 47.00 1:00 47.00 53.00 61.00 53.67 50.00 2:00 44.00 50.00 55.00 49.67 54.67 3:00 59.00 48.00 52.00 53.00 58.33 4:00 61.00 56.00 53.00 56.67 56.00 5:00 55.00 58.00 50.00 54.33 53.33 6:00 52.00 59.00 48.00 53.00 7:00 53.00 51.00 56.00 53.33 52

หลกั สตู ร การบรหิ ารจัดการพลงั งานความรอ้ น การพลังงานความ 2.1.8.1 การทบทวนโดยฝา่ ยบรหิ าร (Management Review) การทบทวนการจดั การ ผบู้ รหิ ารระดับสงู ขององค์กรต้องทบทวนระบบการจัดการพลังงานตามระยะเวลาทก่ี าหนดไว้เพอื่ ให้ แน่ใจว่าระบบการจดั การยังคงมคี วามเหมาะสม มีความเพียงพอ มปี ระสิทธภิ าพและประสทิ ธิผล โดยตอ้ งพิจารณาถึง 1) ผลการดาเนนิ งานของระบบการจัดการพลังงานทั้งหมด 2) ผลการดาเนนิ งานเฉพาะแต่ละขอ้ กาหนดของระบบการจัดการ 3) สงิ่ ที่พบจากการตรวจประเมนิ 4) ปัจจยั ภายในและภายนอก เช่น การเปลย่ี นโครงสร้างขององค์กร แนวทางดาเนินงาน ดา้ นพลงั งานท่ีมีอยูใ่ นองค์กร ขอ้ ปฏิบตั ิและการดาเนนิ งานทีด่ ีกว่าซึ่งองค์กรหรือ หนว่ ยงานอ่นื ไดจ้ ดั ทาเอาไว้ (best practice) การแกไ้ ขตามขอ้ กาหนดของกฎหมาย การ นาเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ เป็นต้น นอกจากน้ผี ู้บริหารระดับสงู ขององคก์ รตอ้ งวิเคราะห์ว่าการกระทาใดทจ่ี าเปน็ ตอ้ งแก้ไขจาก ขอ้ บกพรอ่ งของระบบการจัดการพลังงาน องค์กรตอ้ งพจิ ารณาความจาเปน็ ของการเปลย่ี นแปลงนโยบาย การเตรียมการจัดการพลังงาน รวมทัง้ การเปล่ยี นแปลงองคป์ ระกอบอื่น ๆ ของระบบการจัดการพลังงานโดยพิจารณาจากผลการตรวจประเมนิ ระบบ การจัดการพลังงานสภาวการณท์ เี่ ปลย่ี นไปและเจตจานงทจ่ี ะใหม้ ีการปรับปรุงอย่างตอ่ เนือ่ ง ตามท่ไี ดร้ ะบุในหวั ข้อการจดั ต้งั โครงสร้างว่าคณะกรรมการบรหิ ารด้านอนุรักษ์พลังงานมหี น้าท่ี กาหนดทศิ ทางการอนุรกั ษ์พลงั งานขององค์กร ดังนนั้ จึงต้องมกี ารทบทวนการดาเนนิ งานอยา่ งสม่าเสมอ เพอื่ ปรับเปลีย่ นแนวทางการดาเนินงานตามความเหมาะสมตามหลกั การ PDCA ความถ่ีของการทบทวนขน้ึ กับการกาหนด โดยองคก์ ร แต่อยา่ งน้อยตอ้ งทบทวนปลี ะ 1 คร้งั ในระหวา่ งการทบทวน ผู้จัดการพลงั งานมีหนา้ ทีเ่ สนอผลและประสิทธิภาพของการดาเนนิ งานที่ ผา่ น มา ผลการตรวจประเมนิ ภายใน และนาเสนอแนวทางการอนุรักษพ์ ลงั งานเพ่ือให้คณะกรรมการฯ พจิ ารณา 2.1.9 ขัน้ ตอนท่ี 8 การทบทวนผลการดาเนินการ 2.1.9.1 การตรวจประเมิน ข้อกาหนดการตรวจประเมนิ องค์กรต้องจดั ทาและปฏิบตั ติ ามเอกสารข้ันตอนการดาเนนิ งานในการตรวจประเมนิ ระบบการจัด การพลังงานตามช่วงเวลาท่ีกาหนดอย่างสมา่ เสมอ และมีการตรวจประเมินตลอดทัง้ องคก์ ร โดยตอ้ งครอบคลุม ขอบข่าย ความถี่ วธิ ีการตรวจประเมนิ รวมท้ังความรบั ผิดชอบในการตรวจประเมนิ และผู้ตรวจประเมินต้องเป็นบคุ คล ท่ีมคี วามรู้ความสามารถในการตรวจประเมนิ ระบบการจดั การพลังงาน และมีความเปน็ อิสระจากกจิ กรรมที่ทาการตรวจ ประเมิน ซึ่งอาจมาจากบุคคลภายในองค์กรก็ได้ เพ่ือตัดสนิ ว่า 1) ระบบการจัดการพลงั งานขององค์กรเปน็ ไปตามมาตรฐานนี้ 2 ) องคก์ รได้ดาเนนิ การและบรรลผุ ลตามนโยบายและการเตรียมการจัดการพลงั งาน 3 ) แผนการตรวจประเมินขึ้นกับระดับการใช้พลงั งานและผลการตรวจประเมนิ ท่ีผ่านมา 53

หลักสตู ร การบริหารจัดการพลงั งานความร้อน การพลงั งานความ นอกจากนีต้ ้องมีการรายงานผลการตรวจประเมิน และสง่ ให้บุคคลทถ่ี กู ตรวจประเมิน ผบู้ ังคับบญั ชาของหน่วยงานท่ถี ูกตรวจประเมินรวมทง้ั ผูเ้ ก่ยี วขอ้ งเพื่อทาการแกไ้ ข เพือ่ เป็นการติดตามตรวจสอบการ ดาเนนิ งานตามแผน องค์กรควรจดั ให้มีคณะผตู้ รวจประเมนิ ภายในเพื่อตรวจสอบการปฏิบตั ิตามแผน การปฏิบตั ติ าม ข้ันตอนการทางานท่ีกาหนดข้ึน เช่น S O P การบนั ทึกข้อมูล เป็นต้น การตรวจประเมินภายในเป็น Impact Findings กล่าวคือ ผู้ตรวจประเมินจะมองหา Evidence ที่ แสดงว่าการทางานเปน็ ไปตามทกี่ าหนดหรือไม่ ระบบการจัดการพลังงานมีประสิทธิภาพหรือไม่ จะเห็นว่าเป็นข้อมูล ประเภท Lag (เหตุการณเ์ กิดขน้ึ แลว้ จงึ พบเหน็ หลักฐาน) ก่อนการตรวจประเมินแต่ละครั้งควรมีการประชุมเพื่อกาหนดแผนงาน ขอบเขตของการตรวจ ประเมินไม่จาเป็นต้องครบท้ังองค์กรเสมอไป แต่ต้องมั่นใจว่าเมื่อครบรอบท่ีกาหนด แต่ละพ้ืนที่ต้องได้รับการตรวจ ประเมินตามความถีท่ ่กี าหนด ความถ่ขี องการตรวจประเมนิ ภายในข้ึนกับการกาหนดโดยองค์กร ท้ังนี้ ควรจะทาอย่าง นอ้ ยปีละ 1 คร้ัง 2.2 การสร้างจิตสานึกการอนรุ ักษพ์ ลังงาน การอนุรักษ์อย่างยั่งยืนเกิดขึ้นจากการปฏิบัติการอนุรักษ์พลังงานอย่างต่อเน่ือง จากทุกระดับและทุกคนใน องค์กร ต้ังแต่ผู้บริหารสูงสุดจนถึงพนักงานปฏิบัติการ ซ่ึงการที่จะเกิดการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องน้ัน โรงงานจะต้อง มีระบบการจดั การพลังงานทส่ี มบรู ณ์ และมกี ารสรา้ งจิตสานึกในการอนรุ ักษพ์ ลังงานใหก้ ับทกุ คนในองค์กร ซ่ึงจิตสานึก นน้ั ไม่ไดเ้ กดิ ข้ึนไดใ้ นทันที ดังน้ันโรงงานจะตอ้ งมขี ้นั ตอน มแี ผนและมีกิจกรรมตา่ งๆ อย่างตอ่ เนือ่ ง เพอ่ื ให้ทุกคนตระหนัก ถึงความสาคัญที่มีต่อตนเอง ครอบครัว ประเทศชาติและโลก ซึ่งในบทน้ีผู้รับผิดชอบด้าน พลังงานหรือผู้จัดการ พลังงานจะได้นาความรู้ตา่ งๆไปใช้ในการสรา้ งจิตสานึกให้เกิดขนึ้ ในโรงงานไดอ้ ยา่ งมีประสิทธผิ ลต่อไป 2.2.1 ความจาเป็ นในการสร้างจิตสานึก ทาไมจะต้องอนรุ ักษ์พลังงาน ? ถา้ วนั นี้ พรุ่งนี้ ไฟฟ้าดบั ทง้ั วัน ? วันนรี้ าคาน้ามันหน้าปัม๊ น้ามันเปน็ อย่างไร ? พลงั งานมคี วามสาคัญต่อการสร้างความสะดวกสบายของมนุษย์หรอื ไม่? พลงั งานมเี หลอื เฟอื ใช้ได้อย่างไม่มวี นั หมดสน้ิ หรือไม่ ? ต้นทุนราคาพลังงานแพงและหายากหรือไม่ ? การใช้พลังงานมผี ลกระทบต่อสิ่งแวดลอ้ มหรอื ไม่? โลกรอ้ นข้ึนหรอื ไม่ ? คาตอบของปญั หาเหล่านี้จะเปน็ ขอ้ มูลอยา่ งดีทีใ่ หเ้ ราได้ตัดสินใจวา่ ทาไมจงึ ต้องอนุรกั ษ์พลังงาน 1) รปู แบบของพลงั งาน มนุษย์เริ่มร้จู กั ใช้พลังงานและนาพลังงานไปใช้ในการดารงชวี ติ และพฒั นาการทางดา้ นวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี โดยพลังงานท่มี นษุ ย์นามาใช้นแ้ี บง่ ไดเ้ ป็น 2 รปู แบบ  พลงั งานหมนุ เวยี น (Renewable Energy) พลงั งานหมุนเวยี น เป็นพลังงานทเ่ี กดิ ขึ้นจากธรรมชาติเป็นสว่ นใหญ่ เช่น แสงอาทิตย์ ลม ความ ร้อนใต้พิภพ ซึ่งมีอยู่ไม่จากัด และใช้แล้วไม่หมดไป นอกจากน้ี พลังงานหมุนเวียนยังรวมไปถึงชีวมวลท่ีได้จาก การเกษตร และกสิกรรม เช่น ชานอ้อย แกลบ และมูลสัตว์ เป็นต้น พลังงานหมุนเวียนเป็นพลังงานทางเลือกที่มี ความสาคัญเพิม่ มากข้นึ ทกุ ขณะซึง่ ในอนาคตมนุษย์ อาจจะต้องพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนมากกว่าพลังงานรูปแบบอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พลังงานจากนิวเคลียร์ ซึ่งถือเป็นพลังงานหมุนเวียนด้วยเช่นกัน นอกจากน้ีการใช้พลังงาน หมนุ เวียนยงั ก่อให้เกิดมลภาวะต่อสง่ิ แวดลอ้ มนอ้ ยกวา่ พลงั งานในรูปแบบอ่นื 54

หลักสูตร การบรหิ ารจัดการพลงั งานความรอ้ น การพลังงานความ รปู ที่ 2.19 แสดงพลังงานหมุนเวยี นชนดิ ตา่ ง ๆ เช่น แสงอาทิตย์ ลม น้า กา็ ซชีวภาพและชีวมวล (แหลง่ ท่มี าของรูป : สานักงานนโยบายและแผนพลงั งาน)  พลังงานสิ้นเปลือง (Modern Energy) พลังงานส้นิ เปลือง เปน็ พลังงานท่ีเกดิ จากอินทรยี ส์ าร เช่น ซากพืชและซากสัตว์ที่ตายทับถมกัน ในยคุ ดึกดาบรรพ์เป็นชัน้ ๆ โดยใช้ระยะเวลากว่าร้อยล้านปี ทาให้เกิดน้ามันก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินข้ึน พลังงาน ส้ินเปลืองน้ี จงึ มกั เรียกชื่อเป็นพลงั งานฟอสซลิ (Fossil Energy) พลงั งานสิ้นเปลืองเปน็ พลงั งานที่มอี ยู่ในจานวนจากัด หากขดุ หรือนามาใช้ตลอดเวลา พลังงานดังกล่าวน้ีก็จะหมดไป ปัจจุบันมนุษย์ใช้พลังงานสิ้นเปลืองเป็นหลัก โดยมี ปรมิ าณการใช้มากกวา่ พลังงานหมุนเวยี นถึงร้อยละกวา่ 95 กล่มุ ประเทศทีม่ ีปรมิ าณสารองพลังงาน สิน้ เปลืองที่สารวจ พบแล้วมากท่ีสุดในโลกขณะน้ี (ปี พ.ศ. 2548) จะเป็นกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง รองลงมาคือ ประเทศในแถบ ยโุ รป และอเมริกาใต้ รปู ที่ 2.20 แสดงลักษณะการเกิดพลงั งานสน้ิ เปลืองหรือ Fossil 55

หลักสูตร การบรหิ ารจัดการพลงั งานความรอ้ น การพลังงานความ รูปท่ี 2.21 แสดงพลงั งานส้ินเปลอื งชนิดต่างๆ เชน่ นา้ มนั และถา่ นหนิ 2) การอนรุ กั ษพ์ ลงั งานคอื อะไร? การปิดอุปกรณ์ไม่ใช้งานเป็นการอนุรักษ์พลังงานแล้วหรือไม่ ? คาตอบนี้ยังไม่ใช่คาตอบที่ถูกต้อง หลักการอนรุ ักษพ์ ลงั งานไม่ใชม่ ีพลังงานแล้วไม่ให้ใช้แต่หมายถึง “ การใช้พลังงานอย่างประสิทธิภาพใช้พลังงานให้ เพียงพอต่อความต้องการลดในส่วนท่ีเกิน ” “ในการอนุรักษ์พลังงานไม่ได้ดูแค่พลังงานท่ีลดลงอย่างเดียว จะต้องดู ผลผลติ ประกอบด้วยเน่ืองจากบางคร้ังพลงั งานท่ีลดลงอาจเกิดจากโรงงานเดินเคร่ืองไม่เต็มกาลังการผลิตหรือ หยุดผลิต บางแผนกก็ได้ ” 3) สถานการณพ์ ลงั งานของโลก ความต้องการใช้พลังงานของโลก ยังคงมีอัตราเพิ่มข้ึนในระดับสูง ทาให้กลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ามัน จาเปน็ ต้องผลิตน้ามันเพมิ่ ข้ึน เพื่อให้เพยี งพอตอ่ ความต้องการใช้พลงั งานของโลก โดยกล่มุ ประเทศผูผ้ ลิตนา้ มันจะผลิต น้ามนั ให้น้อยกวา่ ความตอ้ งการใชพ้ ลังงานของโลกเลก็ นอ้ ยเพอ่ื คงรักษาระดับราคาไว้ หากพจิ ารณาปริมาณความตอ้ งการใช้ พลงั งานของโลกแยกตามภมู ภิ าคจะพบว่า ประเทศในกลุม่ อเมริกาเหนือเป็นประเทศที่มีสัดส่วนความต้องการใช้พลังงาน สงู สดุ รองลงมาคอื ประเทศในกลุ่มเอเชยี และ ยโุ รปตามลาดบั ดังน้ัน น้ามันท่ีผลิตได้จากกลุ่มประเทศในตะวันออกกลาง จะถูกใช้ในแถบเอเชียเป็นส่วนใหญ่ ส่วนน้ามันท่ีผลติ ได้ในอเมรกิ ากลางและอเมริกาใตก้ ็จะใชใ้ นทวีปอเมริกาเหนอื และใตเ้ ป็นส่วนใหญเ่ ช่นเดยี วกนั ความตอ้ งการใช้พลงั งานของโลก จะเพมิ่ ข้ึนตามผลผลิตมวลรวมของโลก และจานวนประชากรของ โลกทาใหต้ อ้ งผลติ พลงั งานเพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการ ส่งผลให้ปริมาณหรือแหล่งสารองน้ามันลด น้อยลง โดยน้ามันที่สารวจพบแล้ว ถึงปลายปี พ.ศ. 2546 มีปริมาณเหลืออยู่เพียง เก้าแสนถึงหน่ึงล้านล้านบาร์เรล โดยความตอ้ งการใช้น้ามันของโลกอยู่ในระดับสามหมื่นหกถึงสี่หม่ืนล้านบาร์เรลต่อปี หากความต้องการใช้พลังงาน ของโลกดังกล่าวอยู่ในระดับทรงตัว ไม่เพ่ิมขึ้น เราจะมีน้ามันใช้ได้อีกไม่เกิน 40 ปี ซึ่งเป็นสาเหตุหน่ึงท่ีทาให้ระดับ ราคาน้ามันเช้ือเพลิงทรงตัวอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเน่ือง ประกอบกับการขนส่งน้ามันทางทะเลจากกลุ่มประเทศ ตะวันออกกลาง ซ่ึงเป็นแหล่งจาหน่ายน้ามันท่ีใหญ่ท่ีสุด จะต้องผ่านช่องแคบ เกาะแก่ง และเขตแผ่นดินไหวท่ีเร่ิม เกดิ ข้ึนในหมู่เกาะอนิ โดจีนและมหาสมทุ รอินเดียต้ังแต่ปลายปี พ.ศ. 2547 ทาให้ราคาค่าขนส่งน้ามันทางทะเลเพ่ิมขึ้น ตามไปด้วย 56

หลกั สตู ร การบริหารจดั การพลงั งานความร้อน การพลังงานความ ความต้องการใช้พลงั งานของโลกในภมู ภิ าคต่าง ๆ ทวปี เอเซีย, 29% ทวปี อเมริกาเหนือ, 30% ทวปี แอฟริกา, 3% ทวปี อเมริกากลาง และอเมริกาใต,้ 6% ประเทศในแถบ ตะวนั ออกกลาง, 7% ทวปี ยโุ รป, 25% รูปท่ี 2.22 แสดงความต้องการใช้พลงั งานของโลกในภูมภิ าคต่างๆ 57

หลกั สูตร การบรหิ ารจัดการพลังงานความรอ้ น การพลงั งานความ รูปท่ี 2.23 แสดงแผนท่ปี ระเทศทีผ่ ลติ น้ามันในตะวันออกกลางกบั การขนสง่ แผนท่ีแสดงประเทศที่ผลิตน้ามันในตะวันออกกลางซึ่งเรือบรรทุกน้ามันเชื้อเพลิง จะต้องผ่าน ช่องแคบๆ เพ่ือขนส่งน้ามันไปยังเอเชียอาคเนย์ ประเทศญี่ปุ่น และประเทศจีน ปัจจุบันนี้เส้นทางดังกล่าวเป็นเขต แผ่นดนิ ไหวมผี ลทาใหค้ ่าขนสง่ และประกันภยั สงู ขึ้น นอกจากนี้ ยังมีนักลงทุนและนักค้าน้ามันเข้ามาเก็งกาไรกับราคาน้ามันท่ีต้องส่งมอบในอนาคต หลังจากทาการซื้อขาย ซึ่งโดยทั่วไป น้ามันจะถูกส่งมอบในระยะ 3-4 เดือนหลังทาการซื้อขายระยะเวลาของการ ส่งมอบน้ามันเช้ือเพลิงจะขึ้นอยู่กับระยะทางท่ีต้องใช้ในการขนส่งเป็นปัจจัยหลัก น้า มันท่ีผลิตจากกลุ่มประเทศ 58

หลักสูตร การบริหารจดั การพลังงานความร้อน การพลงั งานความ ตะวนั ออกกลางกวา่ รอ้ ยละ 70 ของปรมิ าณทผี่ ลิตไดจ้ ะถูกสง่ ไปยงั ประเทศญ่ีปุ่นและจีน ซ่ึงมีความต้องการใช้พลังงาน สงู สดุ ในเอเชยี ผ่านทางเรอื บรรทกุ น้ามัน ซ่ึงทั้ง 2 ประเทศยังไม่สามารถผลิตพลังงานให้เพียงพอต่อความต้องการใช้ พลังงานภายในประเทศได้ จากการสารวจแหล่งพลังงานของโลกในรอบ 20 ปี แทบจะไม่พบแหล่งพลังงานขนาดใหญ่อีก แสดง ว่าพลังงานในโลกน้ี ได้สารวจพบและนามาใชแ้ ล้ว พลังงานเหล่านี้มีจานวนจากัด ตารางที่......แสดงปริมาณพลังงาน สารองของโลก ตารางท่ี 2.6 แสดงปรมิ าณพลังงานสารองของโลก ชนิดพลังงาน ปรมิ าณสารองของโลกทีใ่ ช้ได้ (ปี) น้ามัน 42 ปี ก๊าซธรรมชาติ 64 ปี 220 ปี ถา่ นหิน นอ กจากน้ีผ ล กร ะ ทบที่ เกิ ดขึ้น กั บสิ่ ง แวดล้อ ม จากการ ใช้ พ ลัง ง าน เ ช่น ปัญ ห าม ล พิ ษ ปัญหาโลกร้อน ซึง่ กลายเป็นปัญหาทท่ี ุกประเทศตอ้ งรว่ มมอื กนั แกไ้ ข ตามสนธิสัญญาเกียวโต ได้มีการลงปฏิญญาให้ ประเทศสมาชิกต่าง ๆ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่บรรยากาศ เป็นที่หน้ายินดีที่ประเทศสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็น ประเทศทป่ี ลดปลอ่ ยกา๊ ซเรือนกระจกมากที่สุดในโลก ซึ่งเดิมไม่ยอมลงนามในสัญญา ปัจจุบันได้แสดงเจตจานงท่ีจะ ลงนามเพือ่ ช่วยลดการปลดปลอ่ ยกา๊ ซเรือนกระจก สว่ นกา๊ ซเรือนกระจกทเ่ี กิดขึ้นจากการใช้พลังงานสิ้นเปลืองของมนุษย์ ซ่ึงพลังงานสิ้นเปลืองน้ีจะใช้ ก๊าซออกซิเจนทาการสนั ดาปรว่ มกบั เชื้อเพลิงฟอสซลิ ที่มีองค์ประกอบของคารบ์ อนและไฮโดรเจนเป็นหลัก ผลที่ได้จาก การสันดาปจะเกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และความชื้น ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์นี้จะทาให้เกิดภาวะเรือนกระจก เพ่มิ ข้ึนท่ชี ้นั บรรยากาศ ซง่ึ มผี ลกระทบตอ่ สง่ิ แวดล้อมและการดารงชีวิตของมนษุ ย์มากมาย เช่น ระดับอุณหภูมิผิวของ โลกสงู ขน้ึ ภัยพบิ ตั ทิ ่ีเกดิ จากนา้ ท่วม และการทาลายระบบนเิ วศน์ เป็นตน้ องค์การสหประชาชาติจึงได้จัดให้มีการประชุมระดับชาติ และจัดทาข้อตกลงตามพิธีสารเกียวโต (Kyoto Protocol) ท่ีประเทศญี่ปนุ่ เพือ่ ลดระดับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ของโลกให้มีปริมาณเท่ากับปี ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533) ระดับการปล่อยกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ ของการใช้พลังงานสิ้นเปลือง สามารถเปรียบเทียบได้ดังน้ี ในกรณขี องรถยนตข์ นาดเลก็ ไมเ่ กิน 1,400 ซีซี ว่ิงในระยะทาง 1,000 กม. จะปล่อยกา๊ ซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาใน จานวน 18.72 ตัน เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้จานวน 19 ต้น หากรถยนต์คันดังกล่าวใช้น้ามันดีเซลก็จะปล่อยก๊าซ คารบ์ อนไดออกไซด์ออกมา 10.44 ตัน เทยี บเท่ากับการปลกู ตน้ ไม้ 10 ต้น 59

หลกั สูตร การบริหารจดั การพลังงานความร้อน การพลังงานความ 4) สถานการณ์พลงั งานของประเทศไทยในปี พ.ศ. 2551 และแนวโนม้ ในปี พ.ศ. 2552  ภาพรวมพลังงานปี พ.ศ. 2551 สานกั งานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจ ไทยในปี พ.ศ. 2551 ขยายตัวรอ้ ยละ 4.0 อัตราเงินเฟ้ออยู่ท่ีระดับ 5.6 ดุลบัญชีเดินสะพัดขาดดุลประมาณ 300 ล้าน ดอลลาร์สหรฐั ทั้งนเ้ี นื่องจากอปุ สงคภ์ ายในประเทศและการสง่ ออกชะลอลงในไตรมาสทีส่ าม ซงึ่ เกิดจากผลกระทบของ ปัญหาภาวะเศรษฐกจิ โลกทซ่ี บเซา และคาดวา่ เศรษฐกจิ ไทยปี 2552 มแี นวโน้มชะลอตัวลง เนื่องจาก ได้รับผลกระทบ จากปญั หาเศรษฐกิจการเงนิ โลกชะลอตวั อยา่ งชัดเจนมากข้ึน และทาให้การส่งออกชะลอตัวมาก ในขณะที่การใช้จ่าย และการลงทุนในประเทศยังขยายตัวต่า จึงคาดว่าโดยรวมเศรษฐกิจไทย จะขยายตัวร้อยละ 2.0-3.0 อัตราเงินเฟ้อ เท่ากบั ร้อยละ 2.5 – 3.5 และดุลบญั ชเี ดนิ สะพัดขาดดลุ รอ้ ยละ 1.2 ของ GDP โดยปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อภาพรวมการ ใช้พลงั งานของประเทศ ซ่งึ สามารถสรปุ ไดด้ งั นี้ ตารางท่ี 2.7 การใช้ การผลติ การนาเข้าพลังงานเชงิ พาณิชย์ขั้นตน้ การใช้ หน่วย : เทียบเทา่ พันบาร์เรลนา้ มนั ดบิ ตอ่ วัน การผลิต การนาเข้า (สทุ ธ)ิ 2547 2548 2549 2550 2551* การนาเขา้ / การใช้ (%) 1,450 1,520 1,548 1,606 1,639 676 743 765 794 859 อตั ราการเปลีย่ นแปลง (%) 988 980 978 998 973 68 64 63 62 59 การใช้ การผลติ 7.7 4.8 1.8 3.8 2.0 การนาเข้า (สทุ ธ)ิ 1.5 9.9 3.0 3.7 8.2 13.8 -0.9 -0.2 2.0 -2.4 GDP (%) 6.3 4.5 5.0 4.8 4.0 การใช้พลังงานเชงิ พาณิชย์ขน้ั ต้น สถานการณพ์ ลังงานในช่วงปี พ.ศ. 2551 มีความผันผวนมาก เนื่องจากในช่วงต้นปีจนถึงเดือนกรกฎาคมราคาน้ามันเพิ่มสูงขึ้นทาสถิติสูงสุดเป็นรายวัน มีผลให้การใช้น้ามันลดลง อย่างไรก็ตามภาวะเศรษฐกิจของโลกและของไทยยังคงดีอยู่ โดย GDP ในช่วง 6 เดือนแรกของไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.6 ซงึ่ มผี ลให้การใช้พลังงานเชงิ พาณชิ ยข์ ้นั ตน้ เพ่ิมขึน้ รอ้ ยละ 3.6 ในช่วงไตรมาสท่ีสามราคาน้ามันตลาดโลกเร่ิมลดลงพร้อมๆ กับมีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับสถานการณ์ การเงินของประเทศสหรัฐอเมริกา และในที่สุดได้เลวร้ายลงจนเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในประเทศอเมริกาและประเทศ ยโุ รป และไดล้ กุ ลามไปท่วั โลกในชว่ งไตรมาสสุดท้ายของปีน้ี ประเทศไทยนอกจากจะได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจจากภาวะการเงินของอเมริกาแล้ว ยังได้รับ ผลกระทบอยา่ งรุนแรงจากสถานการณ์การเมอื งในประเทศ โดยเฉพาะการปิดสนามบินในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน ซ่ึงมี ผลให้อตั ราการเจรญิ เตบิ โตทางเศรษฐกจิ ของไตรมาสสามและไตรมาสสี่ชะลอลง สง่ ผลใหก้ ารใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ข้ันต้น ในชว่ งครึ่งปีหลงั ชะลอตัวลงจากคร่ึงปีแรกค่อนข้างมาก โดยในชว่ งครง่ึ ปหี ลังการใช้เพ่ิมขึ้นเพียงร้อยละ 0.4 เท่าน้ัน โดยมี รายละเอียดดังน้ี 60

หลักสูตร การบรหิ ารจัดการพลังงานความรอ้ น การพลังงานความ การใชพ้ ลงั งานเชงิ พาณิชยข์ ัน้ ตน้ ในปี พ.ศ. 2551 อยู่ที่ระดับ 1,639 เทียบเท่าพันบาร์เรลน้ามันดิบ ต่อวนั เพ่มิ ขึ้นรอ้ ยละ 2.0 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยการใช้ก๊าซธรรมชาติ เพิ่มข้ึนร้อยละ 7.7 การใช้ถ่านหินนาเข้ายังคง เพ่ิมข้นึ ในอัตราท่ีสงู รอ้ ยละ 13.7 การใชล้ ิกไนต์เพิม่ ข้ึนเพียงร้อยละ 1.8 เน่ืองจากมีการใช้ถ่านหินนาเข้ามาเป็นเชื้อเพลิง แทนการใช้ลกิ ไนต์ ในขณะท่ีการใช้น้ามันลดลงจากปีก่อนร้อยละ 5.4 การใช้น้ามันลดลงต่อเนื่องเป็น ปีท่ีสอง เนื่องจาก ราคาน้ามันทรงตัวอยู่ในระดับสูงอย่างต่อเน่ือง ถึงแม้ว่าช่วงไตรมาสสุดท้ายราคาน้ามันมีแนวโน้ม ลดลงแล้วก็ตาม แตร่ าคาท่สี ูงในชว่ งสามไตรมาสแรกมีผลมากกวา่ ทาให้ปริมาณการใช้น้ามันท้ังปีลดลง การใช้ไฟฟ้าพลังน้า/ไฟฟ้านาเข้า ในปนี ้ีลดลงร้อยละ 13.9 เนื่องจากปีน้ีมีปริมาณน้าน้อยกว่าปีที่แล้ว สาหรับสัดส่วนการใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ขั้นต้นนั้น ในปี พ.ศ. 2551 น้ีนับเป็นปีแรกท่ีสัดส่วนการใช้ก๊าซธรรมชาติมากกว่าการใช้น้ามัน โดยก๊าซธรรมชาติมีสัดส่วนการใช้ มากท่ีสดุ ร้อยละ 41 รองลงมาเปน็ น้ามนั รอ้ ยละ 38 ลกิ ไนต์/ถ่านหนิ นาเขา้ ร้อยละ 19 และพลงั น้า/ไฟฟา้ นาเข้ารอ้ ยละ 2 ตารางท่ี 2.8 การใชพ้ ลงั งานเชิงพาณชิ ย์ข้ันตน้ หนว่ ย : เทยี บเทา่ พนั บารเ์ รลน้ามันดบิ ต่อวัน การผลิตพลังงานเชิงพาณิชย์ข้ันต้น อยู่ที่ระดับ 859 เทียบเท่าพันบาร์เรลน้ามันดิบต่อวัน เพ่ิมขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 8.2 เนื่องจากการผลิตน้ามันดิบ คอนเดนเสท และก๊าซธรรมชาติเพ่ิมข้ึน โดยมีการผลิต น้ามนั ดิบเพิม่ ขึน้ รอ้ ยละ 6.1 เน่อื งจากมีแหลง่ บวั หลวงซึง่ เปน็ แหลง่ น้ามันดบิ แหลง่ ใหม่เริม่ ทาการผลิตตงั้ แตป่ ลายเดือน สิงหาคม คอนเดนเสทเพม่ิ ขน้ึ ร้อยละ 12.3 และก๊าซธรรมชาติเพมิ่ ขึ้นร้อยละ 12.4 เนื่องจากแหล่งอาทิตย์ซ่ึงเป็นแหล่ง ก๊าซธรรมชาตแิ หลง่ ใหม่ เริ่มทาการผลิตตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม และแหล่งเจดีเอเร่ิมนาก๊าซธรรมชาติเข้ามาตั้งแต่ เดอื นมกราคม ในขณะที่การผลิตไฟฟ้าพลงั นา้ ลดลงร้อยละ 12.6 เน่ืองจากมีปริมาณน้าในเข่ือนน้อยกว่าปีท่ีแล้ว และ การผลิตลกิ ไนต์ลดลงร้อยละ 3.3 เนื่องจากแหล่งสมั ปทานภายในประเทศทยอยหมดลง และไม่มีการให้สัมปทานใหม่ เพ่มิ เติม 61

หลักสูตร การบริหารจดั การพลงั งานความร้อน การพลังงานความ ตารางท่ี 2.9 การผลติ พลังงานเชงิ พาณชิ ย์ข้นั ต้น หน่วย : เทยี บเทา่ พันบารเ์ รลน้ามนั ดิบต่อวัน การใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ขั้นสุดท้าย ในช่วงต้นปี 2551 จนถึงเดือนกรกฎาคมเกิดภาวะ วกิ ฤตราคานา้ มนั มผี ลให้การใชน้ ้ามันลดลง ในขณะท่ีการใช้กา๊ ซธรรมชาติในการผลิตไฟฟา้ อุตสาหกรรม และรถยนต์ (NGV) รวมทงั้ ถ่านหนิ ยงั คงเพิ่มขนึ้ ในอตั ราท่ีสงู อยู่ ทง้ั นีเ้ นื่องจากภาวะเศรษฐกจิ ของโลกและของไทยยังคงดีอยู่ในช่วง 6 เดอื นแรก ซึง่ มผี ลให้การใชพ้ ลังงานเชิงพาณิชย์ข้ันสุดท้ายในช่วงครึ่งปีแรก ขยายตวั เพิม่ ขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 4.2 ในช่วงไตรมาสทีส่ ามราคานา้ มนั ตลาดโลกเริ่มลดลงพร้อมๆ กับภาวะเศรษฐกิจถดถอยท่ีลุกลาม ไปท่วั โลกในชว่ งไตรมาสสุดท้ายของปีน้ี ซึ่งประเทศไทยได้รับผลกระทบทางด้านเศรษฐกิจจากภาวะการเงินเช่นกัน นอกจากนปี้ ระเทศไทยยงั ไดร้ บั ผลกระทบอย่างรุนแรงจากสถานการณ์การเมืองในประเทศ ดังได้กล่าวมาแล้ว มีผลให้ อัตราการเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกิจของไตรมาสสามและไตรมาสส่ชี ะลอลง และสง่ ผลให้การใช้พลังงานเชิงพาณิชย์ข้ัน สดุ ท้ายในช่วงครงึ่ ปหี ลงั เพิ่มข้ึนเพียงรอ้ ยละ 0.1 ภาพรวมการใช้พลงั งานเชิงพาณิชยข์ น้ั สดุ ท้ายท้งั ปีเพ่ิมขน้ึ ร้อยละ 1.9 โดยการใช้ก๊าซธรรมชาติ เพมิ่ ขน้ึ รอ้ ยละ 21.2 ถ่านหินนาเข้าเพม่ิ ข้ึนรอ้ ยละ 23.7 เพอื่ ทดแทนลิกไนต์ในประเทศ ที่มีการใช้ลิกไนต์เพ่ิมข้ึนเพียง เล็กน้อยร้อยละ 3.1 การใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 ในขณะที่น้ามันสาเร็จรูปลดลงร้อยละ 4.3 โดยสัดส่วนการใช้ พลังงานเชิงพาณิชย์ข้ันสุดท้ายน้ัน น้ามันสาเร็จรูปยังครองสัดส่วนการใช้สูงสุดอยู่ที่ร้อยละ 56 รองลงมาเป็นไฟฟ้า ร้อยละ 21 ลกิ ไนต/์ ถา่ นหินนาเข้ารอ้ ยละ 15 และก๊าซธรรมชาติร้อยละ 8 ตารางท่ี 2.10 การใชพ้ ลังงานเชิงพาณิชย์ขนั้ สุดท้าย หน่วย : เทียบเท่าพนั บารเ์ รลนา้ มันดิบตอ่ วัน 62

หลกั สูตร การบรหิ ารจัดการพลังงานความร้อน การพลังงานความ มูลคา่ พลังงาน การใช้พลงั งานข้ันสุดทา้ ย มีมลู คา่ 1,709,340 ลา้ นบาท เพิ่มข้ึนจากปีก่อน 207,326 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 13.8 โดยมูลค่าการใช้พลังงานข้ันสุดท้ายทุกชนิดเพ่ิมขึ้น กล่าวคือ มูลค่าการใช้น้ามันสาเร็จรูป เพ่ิมขน้ึ ร้อยละ 17.3 มูลคา่ การใชก้ ๊าซธรรมชาติเพ่ิมข้ึนร้อยละ 61.7 มูลค่าการใช้ลิกไนต์/ถ่านหินเพ่ิมข้ึนร้อยละ 32.4 มลู ค่าการใชไ้ ฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 และมลู ค่าการใชพ้ ลังงานทดแทนเพ่มิ ข้นึ ร้อยละ 5.1 ตารางท่ี 2.11 มลู ค่าการใชพ้ ลงั งานขน้ั สุดทา้ ย หน่วย : ล้านบาท การนาเข้าพลังงาน ในปีนี้มีมูลค่ารวม 1,239,314 ล้านบาท เพิ่มข้ึนจากปีก่อน 359,236 ล้านบาท หรอื คิดเป็นรอ้ ยละ 40.8 โดยมูลค่าการนาเข้าน้ามันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินเพ่ิมขึ้น ในขณะท่ีมูลค่า การนาเข้านา้ มนั สาเรจ็ รปู และไฟฟา้ ลดลง ตารางที่ 2.12 มูลคา่ การนาเขา้ พลงั งาน หน่วย : ล้านบาท การส่งออกพลังงาน ในปีนี้มีมูลค่ารวม 348,614 ล้านบาท เพ่ิมขึ้นจากปีก่อน 141,619 ลา้ นบาท หรือคิดเปน็ รอ้ ยละ 68.4 โดยการส่งออกน้ามันดิบและน้ามันสาเร็จรูปมีมูลค่ารวม 346,558 ล้านบาท (99%) เพ่มิ ขึ้นจากปกี ่อน 141,669 ล้านบาท เพ่มิ ข้นึ ร้อยละ 69.1 63

การพลังงานความ หลกั สตู ร การบริหารจัดการพลังงานความรอ้ น ตารางท่ี 2.13 มูลคา่ การส่งออกพลังงาน หนว่ ย : ลา้ นบาท การนาเขา้ พลงั งานสุทธิ ในปีน้ีมีมูลค่ารวม 890,700 ล้านบาท เพิ่มข้ึนจากปีก่อน 217,619 ล้าน บาท หรอื คดิ เปน็ รอ้ ยละ 32.3 โดยมลู ค่านาเขา้ น้ามนั ดิบและน้ามนั สาเรจ็ รปู สุทธิ อยทู่ ี่ 759,173 ล้านบาท เพิ่มข้ึนจากปี กอ่ นถงึ ร้อยละ 35.8 ตารางท่ี 2.14 มลู คา่ นาเข้าพลังงานสุทธิ หนว่ ย : ล้านบาท สถานการณ์พลังงานแตล่ ะชนิด น้ามันดบิ ราคาน้ามนั ดบิ ในตลาดโลกพุ่งสงู ข้ึนเปน็ ประวัติการณ์ โดยในปี พ.ศ. 2551 ช่วงเดือน มกราคมราคานา้ มันดิบดไู บเฉล่ยี อย่ทู รี่ ะดับ 87.36 เหรยี ญสหรัฐต่อบาร์เรล และเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเน่ือง โดยในเดือน เมษายนราคาเฉล่ยี อยทู่ ีร่ ะดบั 103.41 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล จนกระท่ังถึงในเดือนกรกฎาคม ซ่ึงมีระดับราคาสูงสุด อยู่ท่ี 140.77 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล หลังจากน้ันราคาค่อยๆ ปรับลดลงแต่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงที่ราคา 100 กวา่ เหรียญสหรัฐต่อบารเ์ รล และปรบั ลดลงมาอย่างเร็วในช่วงเดือนตุลาคมถึงธันวาคมจนถึงระดับ 40 เหรียญ สหรัฐต่อบาร์เรลในเดือนธันวาคม ซ่ึงมีผลให้ไทยมีมูลค่าการนาเข้าน้ามันดิบในปี 2551 เพิ่มข้ึนร้อยละ 49.6 และมี ปริมาณการนาเขา้ เพมิ่ ขน้ึ ร้อยละ 2.6 ท้ังนี้เนื่องจากคา่ การกล่ันอยู่ในระดับสูง ถงึ แมว้ ่าความต้องการใช้ภายในประเทศ จะลดลง แต่สามารถสง่ ออกเพิ่มข้ึนซ่ึงยังได้กาไรมากอยู่ ทาให้โรงกลั่นน้ามันไม่ลดการกล่ันลง จึงมีผลทาให้ปริมาณ การนาเข้าน้ามันดิบไมล่ ดลง 64

หลักสูตร การบรหิ ารจดั การพลังงานความรอ้ น การพลงั งานความ ตารางที่ 2.15 การนาเขา้ นา้ มันดิบ น้ามันสาเร็จรูป การใช้น้ามันสาเร็จรูปมีปริมาณรวม 678 พันบาร์เรลต่อวัน ลดลงจากปีก่อน รอ้ ยละ 4.0 เนื่องจากราคานา้ มนั ภายในประเทศทรงตัวอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้การใช้น้ามันเบนซินและดีเซลชะลอตัว ลง อีกท้งั การไฟฟ้าฝา่ ยผลิตลดการใชน้ ้ามันเตาเปน็ เช้ือเพลงิ ในการผลติ ไฟฟ้าลง เนื่องจากราคาอยู่ในระดับสูง การใช้ นา้ มนั เครอื่ งบนิ ลดลงร้อยละ 4.9 เน่ืองจากปญั หาความไมส่ งบในประเทศและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกซึ่งมีผลทา ใหก้ ารทอ่ งเท่ียวชะลอลง จึงทาให้ภาพรวมการใช้น้ามันลดลง ขณะที่การใช้ LPG เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.6 ซ่ึงเพ่ิมขึ้นใน อตั ราสงู ติดตอ่ กนั 3 ปี เนื่องจากรถยนต์สว่ นบคุ คลจานวนมากไดป้ รบั เปล่ยี นเครอื่ งยนต์ไปใช้ LPG แทน ในช่วงท่ีราคา นา้ มันสูง ตารางท่ี 2.16 มลู คา่ นาเข้าพลังงานสุทธิ หน่วย : พนั บาร์เรลตอ่ วนั น้ามันเบนซิน การใช้น้ามันเบนซินมีแนวโน้มลดลงตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 เป็นต้นมา ทั้งน้ี เน่ืองจากการประกาศลอยตัวราคาน้ามันเบนซนิ ในชว่ งปลายปี พ.ศ. 2547 ซึ่งส่งผลให้ระดับราคาเพิ่มสูงข้ึนจากอดีตท่ี ผา่ นมา ประกอบกบั สถานการณร์ าคาน้ามันในตลาดโลกท่ีปรับตวั ขึ้นสงู เปน็ ประวัติการณต์ ้งั แต่ชว่ งต้นปีท่ีแล้ว ซ่ึงส่งผล ให้ในปีน้ีมีปรมิ าณการใชน้ า้ มนั เบนซนิ รวมเทา่ กับ 121 พนั บาร์เรลตอ่ วัน ลดลงรอ้ ยละ 4.1 โดยในช่วงคร่ึงปีแรกการใช้ น้ามันเบนซินลดลงร้อยละ 3.5 และในช่วงคร่ึงปีหลังการใช้ลดลงร้อยละ 4.6 เนื่องจากมีการเปล่ียนไปใช้เช้ือเพลิง ทางเลอื กอื่นๆ แทน ได้แก่ LPG และ NGV โดยมีรายละเอยี ด ดงั นี้ 65

หลกั สูตร การบรหิ ารจัดการพลังงานความร้อน การพลงั งานความ ในเดือนมกราคมของปี พ.ศ. 2551 ราคาน้ามันเบนซินเฉลี่ยอยู่ท่ีระดับ 33.17 บาทต่อลิตร ปริมาณการใช้อยู่ที่ 122 พันบาร์เรลต่อวัน และราคาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเน่ืองจนกระท่ังสูงสุดในเดือนกรกฎาคม ซึ่งราคาเฉลี่ยอยู่ท่ีระดับ 42.69 บาทต่อลิตร ปริมาณการใช้จึงลดลงมากที่สุดในเดือนนี้ อยู่ท่ี 113 พันบาร์เรลต่อวัน จากการที่ราคาน้ามันท รง ตัวอยู่ในระดับสูง ท าให้ประชาชนปรับเปลี่ย นพ ฤติกรรมล ดการ ใช้น้ามันเป็นเช้ือเพ ลิง ใน รถยนต์อย่างชัดเจนในปีน้ี โดยส่วนหนึ่งหันไปใช้เช้ือเพลิงทางเลือกอื่นๆ เพ่ือทดแทนน้ามัน ได้แก่ LPG และ NGV ส่งผลให้การใช้ LPG ในรถยนต์เพิ่มข้ึนถึงร้อยละ 34.8 และ NGV เพิ่มข้ึนร้อยละ 229.5 จานวนรถที่ติดต้ัง NGV เพมิ่ ขึ้นอย่างรวดเร็วจากจานวน 55,868 คัน จานวนสถานี 166 สถานี ณ สิ้นปี 2550 เป็น 122,576 คัน ณ วันท่ี 1 ธนั วาคม 2551 และมีการเร่งสร้างสถานี NGV เพ่ิมข้ึน เน่ืองจากความต้องการ NGV ที่สูงขึ้นอย่างมากในปีนี้ ซึ่ง ณ วนั ท่ี 1 ธันวาคม 2551 มีสถานบี รกิ าร NGV ถึง 272 สถานี ตารางที่ 2.17 สถานการณ์ NGV ณ วนั ที่ 1 ธันวาคม 2551 แกส๊ โซฮอล์ การใชเ้ พิ่มจาก 4.8 ลา้ นลิตรต่อวันในปี พ.ศ. 2550 เป็น 8.9 ล้านลิตรต่อวันในปีน้ี หรอื เพ่มิ ขึ้นร้อยละ 86.3 โดยการใช้เพิม่ ข้ึนจาก 7.1 ล้านลิตรต่อวันในเดือนมกราคมปีน้ี เป็น 10.8 ล้านลิตรต่อวันใน เดือนธันวาคม เนื่องจากรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนเพื่อลดการนาเข้า โดยใช้เอทานอลผสมใน นา้ มันเบนซนิ ทดแทนสาร MTBE ในการเพ่ิมค่าออกเทน โดยลดอัตราเงินส่งเข้ากองทุนน้ามันแก๊สโซฮอล์ให้ ต่ากว่า น้ามันเบนซินมีผลทาให้ราคาแก๊สโซฮอล์ต่ากว่าเบนซนิ มาก (ประมาณ 4 – 6 บาทต่อลิตร) ซงึ่ มีผลกระตุ้นให้ประชาชน หนั มาใชแ้ กส๊ โซฮอล์เพิม่ ข้นึ ในปี พ.ศ. 2551 คร่ึงปีแรกการใช้แก๊สโซฮอล์ อยู่ท่ีระดับ 7.9 ล้านลิตรต่อวัน และในช่วงครึ่งปี หลังการใช้อยู่ที่ 10.1 ล้านลิตรต่อวัน เม่ือรวมทั้งปีการใช้แก๊สโซฮอล์ อยู่ท่ีระดับ 8.9 ล้านลิตรต่อวัน เป็นการใช้ แกส๊ โซฮอล์ 91 อยทู่ รี่ ะดบั 2.4 ล้านลิตรตอ่ วัน เพ่มิ ข้ึนรอ้ ยละ 264.6 และการใชแ้ กส๊ โซฮอล์ 95 (E10) 6.5 ล้านลิตรต่อ วนั ในปนี ้ี หรือเพ่มิ ข้ึนรอ้ ยละ 55.6 นอกจากนี้รัฐบาลได้ส่งเสริมให้มีการจาหน่ายน้ามันแก๊สโซฮอล์ 95 ( E20) ตั้งแต่วันท่ี 1 มกราคม 2551 ที่ผ่านมา โดยลดภาษีสรรพสามิตสาหรับรถยนต์ที่ใช้น้ามันแก๊สโซฮอล์ 95 ( E20) จากร้อยละ 30 เหลอื ร้อยละ 20 ซึ่งทาใหใ้ นปนี ้ีการใช้แก๊สโซฮอล์ 95 (E20) อยทู่ รี่ ะดับ 0.08 ลา้ นลติ รตอ่ วนั ถงึ แม้วา่ การใช้แก๊สโซฮอล์ 95 (E20) เรม่ิ ตน้ ปี แต่การใชย้ ังเพม่ิ ไม่มากนัก เน่อื งจากข้อจากดั ทางด้านจานวนรถและปมั๊ มนี อ้ ย และเพ่ือเป็นการส่งเสริมให้มีการใช้เอทานอลเพิ่มมากขึ้น คณะกรรมการนโยบายพลังงาน แห่งชาติ (กพช.) ในการประชุมเมื่อวันท่ี 13 พฤศจิกายน 2551 ได้มีมติเห็นชอบให้มีการส่งเสริมการใช้แก๊สโซฮอล์ (E85) แบบครบวงจร โดยสง่ เสรมิ ให้มกี ารนาเข้าและประกอบรถยนต์ท่ีใช้ E85 หรือรถยนต์ FFV น้ันจะมีการส่งเสริม เป็นพเิ ศษในปี 2552-2553 โดยภายในปี 2552 จะลดภาษนี าเขา้ จากอตั ราปกติ รอ้ ยละ 80 เหลือรอ้ ยละ 60 คาดว่าจะมี รถยนตน์ าเข้าประมาณ 2,000 คัน ส่วนภาษีสรรพสามิตยังคงให้เท่ากับ E20 ซึ่งเก็บในอัตราร้อยละ 25 แต่เพื่อจูงใจ ให้เกิดการใช้ E85 ในช่วงแรก จึงลดภาระภาษีสรรพสามิตแก่ผู้ซื้อรถยนต์ ด้วยการนาเงินกองทุนน้ามันเช้ือเพลิง สนับสนุนส่วนต่างร้อยละ 3 หรือเท่ากับว่ามีภาระจ่ายภาษีประมาณร้อยละ 22 เท่าน้ัน ส่วนในระยะยาวนั้น กระทรวงการคลังจะมีการกาหนดอัตราภาษสี รรพสามิตอีกครงั้ หน่ึง 66

หลักสูตร การบริหารจดั การพลงั งานความรอ้ น การพลงั งานความ สาหรบั จานวนสถานบี รกิ ารจาหนา่ ยน้ามันแก๊สโซฮอล์มีการขยายตัวสูงขึ้นสอดคล้องกับปริมาณ การจาหน่ายทีเ่ พ่ิมขึน้ โดย ณ สิ้นเดือนตุลาคม 2551 มีจานวนสถานีบริการจาหน่ายน้ามันแก๊สโซฮอล์ ทั้งส้ิน 4,171 แหง่ แบ่งเป็นสถานบี ริการจาหน่ายนา้ มันแก๊สโซฮอล์ 95 (E10) 4,044 แหง่ สถานบี ริการจาหนา่ ยนา้ มนั แก๊สโซฮอล์ 91 (E10) 2,500 แห่ง สถานบี ริการจาหน่ายน้ามันแก๊สโซฮอล์ (E20) 180 แห่ง สถานีบริการจาหน่ายน้ามันแก๊สโซฮอล์ (E85) 3 แห่ง ตารางท่ี 2.18 ปรมิ าณการใช้นา้ มันแก๊สโซฮอลลร์ ายเดอื น หน่วย : ล้านลติ รตอ่ วัน เอทานอล ในปัจจบุ นั มีโรงงานผลิตเอทานอลที่ได้รับอนุญาตแล้วท้ังส้ิน 47 โรง แต่มีโรงงานท่ี เดินระบบแลว้ เพียง 11 โรง มกี าลงั ผลิตรวมทัง้ สน้ิ 1,575,000 ลิตรตอ่ วนั โดยในปี พ.ศ. 2551 มกี ารผลติ เอทานอลเพื่อ ใช้เปน็ พลังงาน 0.9 ลา้ นลติ รต่อวัน โดยราคาเฉล่ยี เอทานอลเทยี บกบั ปีทีแ่ ลว้ เพิม่ ขน้ึ รอ้ ยละ 7.0 จากราคาเฉลี่ย 17.52 บาทต่อลิตร มาอยทู่ ร่ี าคา 18.74 บาทต่อลิตร ตารางที่ 2.19 รายชื่อโรงงานทดี่ าเนนิ การผลิตเอทานอลเพือ่ ใชเ้ ป็นเช้อื เพลิงแล้ว ผปู้ ระกอบการ จงั หวดั วตั ถดุ ิบ หน่วย: ลติ รตอ่ วัน กาลงั การผลิตตดิ ตงั้ 1. บรษิ ัท พรวไิ ล อนิ เตอรเ์ นชน่ั แนล กรปุ๊ เทรดด้งิ จากดั * อยธุ ยา กากนา้ ตาล 25,000 2. บริษทั ไทยอะโกรเอนเนอร์จี จากัด (มหาชน) สุพรรณบรุ ี กากนา้ ตาล 150,000 3. บรษิ ทั ไทยแอลกอฮอล์ จากดั (มหาชน) นครปฐม กากน้าตาล 200,000 4. บริษัท ขอนแกน่ แอลกอฮอล์ จากดั ขอนแก่น ออ้ ย/กากนา้ ตาล 150,000 5. บริษัท ไทยง้วน เอทานอล จากัด (มหาชน) ขอนแกน่ มันสาปะหลงั 130,000 6. บริษทั เพโทรกรีน จากดั ชยั ภมู ิ อ้อย/กากนา้ ตาล 200,000 7. บริษัท น้าตาลไทยเอทานอล จากดั กาญจนบุรี อ้อย/กากนา้ ตาล 100,000 8. บรษิ ัท เคไอเอทานอล จากดั นครราชสมี า ออ้ ย/กากนา้ ตาล 100,000 9. บริษทั เพโทกรนี จากัด กาฬสินธุ์ ออ้ ย/กากนา้ ตาล 200,000 10. บรษิ ทั เอกรัฐพฒั นา จากัด นครสวรรค์ กากน้าตาล 200,000 11. บรษิ ทั ไทยรุ่งเรืองพลงั งาน จากัด สระบรุ ี ออ้ ย/กากนา้ ตาล 120,000 รวม 1,575,000 * พรวิไลฯ ผลติ กรดอะซิตกิ แทนเอทานอล 67

หลักสตู ร การบริหารจดั การพลงั งานความรอ้ น การพลงั งานความ นา้ มันดเี ซล ในปี พ.ศ. 2551 มปี ริมาณการใช้รวม 47.9 ล้านลิตรต่อวัน ลดลงร้อยละ 6.3 โดย ในช่วงครึ่งปีแรกการใชล้ ดลงรอ้ ยละ 2.1 และในช่วงครงึ่ ปหี ลงั ลดลงร้อยละ12.0 เน่อื งจากราคาน้ามันดเี ซลปรับตวั สูงข้ึน ตัง้ แต่ต้นปที ผ่ี ่านมา จากระดับ 29.43 บาทตอ่ ลิตรในเดือนมกราคม 2551 และเพ่ิมสูงขึ้นอย่างต่อเน่ือง จนสูงสุดอยู่ที่ เดือนกรกฎาคมทร่ี ะดับ 42.57 บาทตอ่ ลติ ร ปรมิ าณการใชด้ เี ซลจึงลดลงมากท่ีสุดในเดือนนี้ อยู่ที่ 40.2 ล้านลิตรต่อวัน จากน้ันราคาขายปลีกน้ามันดีเซลได้เร่ิมปรับตัวลดลง เน่ืองจากการลดภาษีสรรพสามิตจาก 6 มาตรการ 6 เดือน ฝ่าวิกฤตเพื่อคนไทยทุกคนและการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก โดยในเดือนพฤศจิกายนปีนี้ราคาเฉล่ียอยู่ที่ 22.46 บาทตอ่ ลิตร จึงทาให้ปริมาณการใชก้ ลบั มาเพ่มิ ข้ึนอีกในช่วงปลายปี อย่างไรก็ตามภาพรวมท้ังปีราคายังคงทรงตัวอยู่ ในระดับสูง จึงทาให้ปริมาณการใช้ของทั้งปีลดลง ในปัจจุบันกระทรวงพลังงานกาหนดให้น้ามันดีเซลหมุนเร็วต้อง ผสมไบโอดีเซลรอ้ ยละ 2 (B2) โดยปรมิ าตร ซง่ึ มผี ลบังคับใชแ้ ล้วตง้ั แตว่ ันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2551 เปน็ ต้นมา ตารางท่ี 2.20 ปริมาณการใช้นา้ มันแก๊สโซฮอลล์รายเดอื น หนว่ ย : ลา้ นลติ รตอ่ วนั ไบโอดีเซล ปริมาณการจาหน่ายไบโอดีเซล (B5) ได้เพ่ิมจาก 1.7 ล้านลิตรต่อวันในปี พ.ศ. 2550 เป็น 9.9 ล้านลิตรต่อวันในปีนี้ หรือเพ่ิมข้ึนร้อยละ 478.9 เน่ืองจากรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการใช้พลังงาน ทดแทนอย่างจรงิ จัง โดยลดอัตราเงินส่งเขา้ กองทนุ น้ามันและอัตราเงินส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์พลังงานของ ไบโอดีเซล (B5) ตา่ กว่าน้ามันดีเซล เป็นผลให้ราคาขายปลีกต่ากว่า 1.00 – 1.50 บาทต่อลิตร ทาให้การใช้มีแนวโน้มเพ่ิมสูงข้ึน อย่างต่อเน่ือง กลา่ วคือเดือนมกราคมอยู่ท่ีระดับ 4.9 ล้านลิตรต่อวัน เพิ่มเป็น 10.6 ล้านลิตรต่อวันในเดือนมิถุนายน และในเดือนธันวาคม 2551 มีการจาหนา่ ยถงึ 16.5 ลา้ นลติ รตอ่ วนั โดย ณ สนิ้ เดือนตุลาคม มีสถานีบริการน้ามันไบโอ ดีเซล (B5) รวมท้ังส้นิ 2,866 แหง่ และมีบริษัทผู้ค้าน้ามันท่ีขายน้ามันไบโอดีเซล(B5) เป็นจานวนถึง 11 บริษัท โดย บางจากมีสัดสว่ นสถานีบรกิ ารมากที่สดุ คิดเปน็ รอ้ ยละ 35 ปตท.มีสัดส่วนรองลงมาคดิ เป็นร้อยละ 28 รวมเป็น ร้อยละ 63 ของจานวนสถานบี ริการไบโอดีเซล (B5) ท้งั หมด 68

การพลังงานความ หลักสูตร การบรหิ ารจดั การพลังงานความร้อน ตารางท่ี 2.21 ปริมาณการจาหน่ายนา้ มนั ดเี ซลหมนุ เรว็ บี 5 หนว่ ย : ลา้ นลติ รต่อวนั LPG ในปี พ.ศ. 2551 การใช้เพิม่ ข้ึนรอ้ ยละ 20.7 ซ่ึงเพ่ิมขึ้นในอัตราท่ีสูงต่อเน่ืองเป็นเวลา 3 ปี แลว้ โดยในช่วงคร่ึงปีแรกการใช้เพิม่ ข้นึ ร้อยละ 20.5 และในช่วงคร่ึงปีหลังการใช้เพิ่มข้ึนร้อยละ 21.7 การใช้ LPG ปีน้ี ในทุกสาขาขยายตัวเพ่ิมข้ึนเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยการใช้ LPG รถยนต์ปีนี้ขยายตัวเพ่ิมสูงถึง ร้อยละ 35.2 เนอื่ งจากระดบั ราคานา้ มนั เบนซนิ สงู ทาให้ผู้ใชร้ ถยนต์สว่ นหน่ึงหันมาใช้ LPG ทดแทน การใช้ในครัวเรือนเพิ่มข้ึนมาก ถึงรอ้ ยละ 14.0 และการใชใ้ นอุตสาหกรรมเพิม่ ขึ้นร้อยละ 12.7 ตารางที่ 2.22 การจดั หาและความต้องการ LPG หน่วย : พันตนั 69

หลักสตู ร การบริหารจดั การพลงั งานความร้อน การพลงั งานความ จากการทีร่ ัฐบาลอดุ หนนุ ราคา LPG มาโดยตลอด ขณะที่ปล่อยเสรีราคาน้ามันเบนซิน มีผล ให้ระดับราคาของเช้ือเพลิงทั้งสองแตกต่างกันมาก ผู้ใช้รถยนต์โดยเฉพาะรถแท็กซ่ีได้ปรับเปล่ียนเครื่องยนต์ไปใช้ LPG แทน เป็นผลให้การใช้ LPG ในรถยนต์สูงขึ้นโดยตลอด อีกทั้งมีการใช้ทดแทนน้ามันเตาในภาคอุตสาหกรรม และใช้เป็นวัตถุดิบของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี จึงทาให้ปีนี้เป็นปีแรกท่ีต้องนาเข้า LPG มาใช้ในประเทศต้ังแต่ เดือนเมษายน จานวน 22 พนั ตนั (นาเขา้ ในรูปโพรเพนและบวิ เทน) และนาเข้าเพม่ิ ขึ้นมาโดยตลอด โดยเฉพาะในช่วง เดือนตลุ าคมถงึ พฤศจิกายน ซึ่งโรงกล่ันและโรงแยกกา๊ ซธรรมชาตไิ ดห้ ยดุ ซ่อมประจาปี โดยรวมทั้งปีมีการนาเข้า LPG จานวน 504 พันตัน โดยราคาเฉล่ียของโพรเพนและบิวเทนในเดือนมกราคม 2551 อยู่ที่ 872 เหรียญสหรัฐต่อตัน หลงั จากน้นั ไดท้ รงตัวอย่ใู นระดับ 802 - 900 เหรียญสหรัฐต่อตัน จนกระทั่งราคาเฉลี่ยสูงสุดอยู่ท่ี 923 เหรียญสหรัฐ ตอ่ ตนั ในเดือนกรกฎาคม และทยอยลดลงตามราคาน้ามัน และลดลงมาต่าสุดอยู่ที่ 338 เหรียญสหรัฐต่อตันในเดือน ธนั วาคม ตารางท่ี 2.23 เปรียบเทยี บสัดสว่ นการใช้ LPG . การใช้ก๊าซธรรมชาติ ในปี พ.ศ. 2551 ปริมาณการใช้อยู่ที่ระดับ 3,534 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อ วนั เพิ่มข้ึนจากปีก่อนร้อยละ 7.5 เน่ืองจากในปีนี้มีแหล่งผลิต 2 แหล่งท่ีสาคัญได้ทาการผลิต คือ แหล่งอาทิตย์และ JDA โดยแหล่งอาทิตย์สามารถผลติ ได้มากกว่า 400 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวันในช่วงปลายปี พ.ศ. 2551 ก๊าซธรรมชาติ ถูกนาไปใช้ในภาคการผลิตต่างๆ ได้แก่ การผลิตไฟฟ้าคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 70 ของการใช้ท้ังหมด จานวน 2,453 ล้านลกู บาศก์ฟตุ ตอ่ วัน เพ่ิมข้นึ จากปกี ่อนร้อยละ 4.6 ใช้ในโรงแยกก๊าซปริมาณ 627 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน คิดเป็น สดั สว่ นร้อยละ 17 เพม่ิ ขึ้นจากปีกอ่ นรอ้ ยละ 9.6 ใช้เป็นเช้ือเพลิงในโรงงานอตุ สาหกรรม ปรมิ าณ 375 ล้านลูกบาศก์ฟุต ตอ่ วนั เพิ่มข้ึนรอ้ ยละ 8.1 และท่ีเหลือรอ้ ยละ 2 ใช้ในภาคการขนส่ง (รถยนต์ NGV) ปริมาณ 74 ล้านลูกบาศก์ฟุตต่อวัน เพิม่ ข้นึ รอ้ ยละ 208.3 70

หลกั สูตร การบรหิ ารจัดการพลังงานความรอ้ น การพลังงานความ ตารางที่ 2.24 การใช้ก๊าซธรรมชาตริ ายสาขา หนว่ ย : ลา้ นลกู บาศก์ฟุตต่อวนั 2547 2548 2549 2550 2551* 2551 อตั ราการ สดั สว่ น เปล่ยี นแปลง (%) (%) 2550 2551* ผลิตไฟฟ้า 2,134 2,242 2,257 2,346 2,453 70 3.9 4.6 627 17 8.5 9.6 โรงแยกก๊าซ 389 491 527 572 375 11 19.5 8.1 74 2 117.6 208.3 อุตสาหกรรม 248 258 291 347 NGV 3 6 11 24 รวม 2,774 2,997 3,086 3,288 3,534 100 6.6 7.5 การใช้ลกิ ไนต/์ ถ่านหิน ในปี พ.ศ. 2551 การใช้อยูท่ รี่ ะดับ 35 ล้านตนั เพ่ิมข้ึนจากปีก่อน (คิด จากค่าความร้อน) ร้อยละ 9.7 ประกอบด้วยการใช้ลิกไนต์ 18 ล้านตัน และถ่านหินนาเข้า 17 ล้านตัน เป็นการใช้ ลิกไนต์ในภาคการผลิตไฟฟ้าของการไฟฟ้าฝ่ายผลิต จานวน 16 ล้านตัน ท่ีเหลือจานวน 2 ล้านตัน ถูกนาไปใช้ใน ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ได้แก่ การผลิตปูนซีเมนต์ กระดาษ อุตสาหกรรมอาหาร และอื่นๆ โดยการใช้ลิกไนต์ในภาค อุตสากรรมลดลงมากเน่ืองจากอุปทานในประเทศลดจากการที่บริษัท ลานนารีซอร์สเซส จากัด (มหาชน) หยุดผลิต เนือ่ งจากปรมิ าณสารองหมด ไมม่ แี หลง่ สัมปทานใหม่ ทาให้ตอ้ งใช้ถา่ นหินนาเขา้ ทดแทน ขณะที่การใช้ถ่านหินเพ่ิมข้ึน ร้อยละ 13.7 (คิดจากคา่ ความรอ้ น) แบ่งเปน็ การใช้ในอุตสาหกรรมจานวน 11 ล้านตัน ท่ีเหลือใช้เป็นเช้ือเพลิงในการ ผลิตไฟฟ้าของ SPP และ IPP จานวน 6 ล้านตนั ตารางท่ี 2.25 การใชล้ ิกไนต์/ถา่ นหนิ หนว่ ย : ล้านตนั อัตราการ** 2547 2548 2549 2550 2551* 2551 เปลี่ยนแปลง (%) สัดสว่ น(%) 2550 2551* การใช้ลกิ ไนต์ 20.4 21.0 18.9 18.1 18.4 55 -6.7 1.8 ผลติ กระแสไฟฟ้า(กฟผ.) 16.5 16.6 15.8 15.8 16.1 48 -0.03 2.2 อตุ สาหกรรม 3.9 4.4 3.1 2.3 2.3 7 -24.8 1.7 การใช้ถ่านหนิ 7.6 8.6 11.4 14.5 16.5 45 26.9 13.7 ผลติ กระแสไฟฟา้ (SPP และ IPP) 2.2 2.1 3.4 5.4 5.3 17 56.9 -2.8 อุตสาหกรรม 5.4 6.5 8.0 9.1 11.2 28 13.8 24.0 รวมการใชล้ ิกไนต์ / ถา่ นหนิ 28.0 39.6 30.3 32.6 34.9 100 12.4 9.7 71

หลักสูตร การบรหิ ารจัดการพลงั งานความร้อน การพลังงานความ ไฟฟา้ กาลังการผลิตติดตั้งไฟฟ้า ในปี 2551 อยู่ท่ี 29,892 เมกะวัตต์ ความต้องการไฟฟ้าสูงสุด เกิดขนึ้ ณ วันท่ี 21 เมษายน 2551 ที่ระดบั 22,568 เมกะวัตต์ ต่ากว่าปี 2550 ซ่ึงอยู่ที่ระดับ 22,586 เมกะวัตต์ ค่าตัว ประกอบไฟฟ้าเฉลี่ย (Load Factor) อยู่ที่ร้อยละ 75.6 และกาลังผลิตสารองไฟฟ้าต่าสุด (Reserved Margin) อยู่ท่ีร้อยละ 23.8 รูปที่ 2.24 กาลังผลิตตดิ ตั้งไฟฟ้าปี พ.ศ. 2551 การผลิตไฟฟ้า ปริมาณการผลิตและการรับซ้ือของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตในปี พ.ศ. 2551 มีจานวน 148,790 กกิ ะวัตตช์ ่ัวโมง เพมิ่ ขึ้นจากปกี ่อนรอ้ ยละ 1.2 โดยมีสัดสว่ นการผลิตจากเช้ือเพลิงชนิดต่างๆ ได้แก่ ก๊าซธรรมชาตริ อ้ ยละ 70 ลิกไนต/์ ถา่ นหินร้อยละ 21 จากพลงั น้าร้อยละ 5 การนาเข้าร้อยละ 3 และน้ามนั รอ้ ยละ 1 รปู ท่ี 2.25 สดั ส่วนการผลิตไฟฟา้ จากเชือ้ เพลิงตา่ ง ๆ ปี พ.ศ. 2551 72

หลกั สูตร การบริหารจดั การพลังงานความรอ้ น การพลงั งานความ การใชไ้ ฟฟา้ รวมทัง้ ประเทศ ในปี พ.ศ. 2550 อยทู่ ่รี ะดับ 136,025 กิกะวัตต์ช่ัวโมง ขยายตัว เพ่ิมขึ้นจากปีกอ่ นร้อยละ 2.5 ซ่ึงขยายตัวในอัตราที่ชะลอตวั ลงจากปีกอ่ นสอดคล้องตามการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ ไทยปีนี้ทช่ี ะลอตัวลง โดยในชว่ งคร่งึ ปีแรกการใชไ้ ฟฟา้ ขยายตัวร้อยละ 4.3 และอัตราเพ่ิมชะลอลงเหลือร้อยละ 0.8 ในช่วง ครงึ่ ปีหลัง ซ่ึงสง่ ผลใหท้ ้งั ปกี ารใช้ไฟฟ้าขยายตัวร้อยละ 2.5 แบง่ เป็นการใชใ้ นเขตนครหลวงและเขตภูมภิ าค ดงั นี้ เขตนครหลวง การใช้อยู่ท่ีระดับ 42,245 กิกะวตั ตช์ ่วั โมง เพิ่มขึ้นรอ้ ยละ 0.5 โดยในช่วงคร่ึงปี แรกเพิ่มขน้ึ ร้อยละ 2.1 และอตั ราเพ่มิ ชะลอลงในชว่ งคร่งึ ปหี ลงั รอ้ ยละ 0.8 โดยเฉพาะในเดือนพฤศจิกายน และเดือน ธันวาคม ทป่ี รมิ าณการใชล้ ดลงมากเม่อื เทยี บกบั เดอื นเดียวกนั ของปี 2550 เขตภูมิภาค การใช้อยู่ที่ระดับ 90,944 กิกะวัตต์ชั่วโมง เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.6 โดยในช่วงครึ่งปี แรกเพิ่มข้ึนร้อยละ 5.1 และในช่วงครึ่งปีหลังเพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 2.3 และการใช้จากลูกค้าตรงของ การไฟฟ้า ฝ่ายผลิต 2,850 กิกะวตั ตช์ ัว่ โมง เพิ่มข้ึนรอ้ ยละ 5.5 ตารางท่ี 2.26 ปรมิ าณการใช้ไฟฟา้ หนว่ ย : กกิ ะวตั ตต์ ่อช่วั โมง การใช้ไฟฟ้ารายสาขา ในปี พ.ศ. 2551 สาขาอุตสาหกรรม ยังคงมีสัดส่วนการใช้มากที่สุดคิด เป็นรอ้ ยละ 45 ของการใช้ไฟฟ้าท้ังประเทศ โดยคร่ึงปีแรกภาวะเศรษฐกิจของโลกและของไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ ในช่วงไตรมาสท่ีสามประเทศไทยได้รับผลกระทบด้านเศรษฐกิจโลก นอกจากนี้ยังได้รับผลกระทบจากสถ านการณ์ การเมืองในประเทศที่ไม่สงบ ซ่ึงส่งผลตอ่ อัตราการเจรญิ เติบโตทางเศรษฐกจิ ของไทยในช่วงไตรมาสสามและไตรมาสส่ี ชะลอลง ทาให้การใช้ไฟฟ้าสาขาต่างๆ ชะลอลงด้วย โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายน และเดือนธันวาคมที่อัตรา เพม่ิ ของการใชไ้ ฟฟา้ ติดลบ เมอ่ื เทยี บกับเดอื นเดยี วกนั ของปี พ.ศ. 2550โดยมรี ายละเอียด ดังนี้ ช่วงคร่ึงปีแรกสาขาอุตสาหกรรมใช้ไฟฟ้าเพิ่มข้ึนร้อยละ 4.5 สาขาธุรกิจเพ่ิมขึ้นร้อยละ 3.9 บ้านและทอ่ี ยูอ่ าศยั เพมิ่ ขนึ้ ร้อยละ 3.3 สาขาเกษตรกรรมเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.8 และอื่นๆ เพ่ิมข้ึนร้อยละ 8.6 แต่ในช่วง ครึ่งปหี ลังสาขาอตุ สาหกรรมใชไ้ ฟฟ้าเพิ่มขึ้นเพียงรอ้ ยละ 0.4 เทา่ นั้น เน่ืองจากภาวะเศรษฐกจิ ทช่ี ะลอลง บ้านและท่ีอยู่ อาศัยใชไ้ ฟฟ้าเพิม่ ข้ึนรอ้ ยละ 5.0 สาขานี้การใชไ้ ฟฟ้าไม่ลดลงเน่ืองจากยงั มีความจาเป็นต้องใช้ไฟฟ้าในชีวิตประจาวัน อยู่ ถงึ แมว้ ่าเศรษฐกิจจะชะลอลงกต็ าม ในขณะท่ีสาขาธุรกิจ ลดลงรอ้ ยละ 0.1 สาขาเกษตรกรรมลดลงร้อยละ 3.5 และ อน่ื ๆ ลดลงรอ้ ยละ 0.7 สรุปภาพรวมท้ังปีสาขาอุตสาหกรรมใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากปีก่อนเพียงร้อยละ 2.2 สาขาธุรกิจ เพิม่ ขึ้นรอ้ ยละ 1.6 บ้านและทอ่ี ยู่อาศยั เพ่มิ ข้นึ รอ้ ยละ 4.1 สาขาเกษตรกรรมเพ่ิมขึ้นร้อยละ 3.7 และอื่นๆ เพิ่มข้ึนร้อย ละ 3.7 73

การพลังงานความ หลกั สูตร การบริหารจัดการพลังงานความรอ้ น ตารางท่ี 2.27 ปริมาณการใชไ้ ฟฟา้ รายสาขา หน่วย : กิกะวัตต์ตอ่ ชว่ั โมง ค่าเอฟที ในปีนี้มีการปรับค่าเอฟที 4 ครั้ง รวมเป็นจานวนเงินเพ่ิมขึ้น 9.28 สตางค์/หน่วย ค่าเอฟทีปรับเพิ่มข้ึนในอัตราที่น้อยกว่าราคาน้ามันเนื่องจากราคาก๊าซธรรมชาติซึ่งอิงกับราคาน้ามันเตาย้อนหลัง ประมาณ 6 – 12 เดือน ทาให้ราคาก๊าซธรรมชาติเพ่ิมข้ึนช้ากว่าราคาน้ามัน แต่ค่าเอฟทีจะเร่ิมเพ่ิมขึ้นในช่วงปลายปี 2551 และตอ่ เนื่องจนถงึ กลางปี พ.ศ. 2552 สรุปไดด้ ังน้ี ครัง้ ท่ี 1 ในช่วงเดอื นตลุ าคม 2550 – มกราคม 2551 ลดลง 2.31 สตางค์/หน่วย ปัจจัยสาคัญที่ ทาให้ค่าเอฟทีลดลง เน่ืองจากความต้องการใช้ไฟฟ้าในช่วงน้ีลดลง และการบริหารการใช้เช้ือเพลิงในช่วงเดือน มถิ นุ ายน – กนั ยายน 2550 ท่ีผา่ นมา มีการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้าและก๊าซธรรมชาติเพ่ิมข้ึน ทาให้สามารถลดการใช้ เช้ือเพลิงทม่ี รี าคาแพงในการผลิตไฟฟ้าหรือน้ามนั เตาลงได้ คร้งั ท่ี 2 ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ – พฤษภาคม 2551 เพ่ิมขึ้น 2.75 สตางค์/หน่วย เน่ืองจาก ราคาก๊าซธรรมชาติเพ่มิ สูงขึ้น ทาให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าเพ่ิมสงู ขน้ึ ครั้งที่ 3 ในช่วงเดือนมิถุนายน – กนั ยายน 2551 ลดลง 6.01 สตางค์/หนว่ ย เน่อื งจากโครงการ ก๊าซธ รรมช าติแห ล่งอาทิตย์ ได้เลื่ อนการจ่าย เข้าร ะบบซึ่งจะ สามารถเรี ยกส่วนลดค่าก๊าซธรร มชาติ จากปริมาณ ท่ีขาดส่งได้ ประกอบกับผลของการได้เงินคืนจากแผนการลงทุนที่ต่ากว่าแผนของการไฟฟ้าท้ัง 3 แห่ง ส่งผลให้ค่า เอฟทีปรับลดลงดว้ ย คร้ังท่ี 4 ในช่วงเดือนตุลาคม 2551 – ธันวาคม 2551 เพ่ิมขึ้น 14.85 สตางค์/หน่วย ปัจจัย สาคญั ท่ที าใหค้ า่ เอฟทีเพม่ิ ขนึ้ เน่อื งจากราคากา๊ ซธรรมชาติเพิม่ สูงขน้ึ ถงึ 23.43 บาทต่อล้านบีทียู ซ่ึงในปัจจุบันใช้ก๊าซ ธรรมชาตใิ นการผลิตไฟฟา้ เกอื บ 70% จึงสง่ ผลใหค้ า่ ไฟฟ้าสูงขึ้น ประกอบกับอัตราแลกเปล่ียนที่อ่อนค่าลงจาก31.50 เปน็ 34 บาทตอ่ เหรยี ญสหรฐั ก็มีส่วนทาใหค้ า่ เอฟทปี รบั เพ่มิ ขึน้ ดว้ ย 74

หลักสูตร การบรหิ ารจัดการพลังงานความร้อน การพลังงานความ ตารางท่ี 2.28คค่า่าเเออฟฟที ที หนว่ ยห: นส่ตวยา:งคสต์ ตอ่ าหงนค่วต์ย่อหน่วย ประ จาเ ด ือน ค ่ าเ อฟท ี การเปลย่ี นแปลง ค่าไฟฟ้ าทเี่ ก็บ ต.ค. 50 –ม..ค. 51 ค ่ าเ อฟท ี จากประชาชน ก.พ. 51 –พ..ค. 51 66.11 (บาท/หนว่ ย) ม.ิ ย. 51 –ก..ย. 51 68.86 ต.ค. 51–ธ..ค. 51 62.85 -2.31 2.91 77.70 +2.75 2.94 -6.01 2.88 +14.85 3.02  แนวโน้มการใชพ้ ลังงานปี พ.ศ. 2552 จากการประมาณการภาวะเศรษฐกิจของไทย โดยสานักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ (สศช.) คาดวา่ ในปี 2552 เศรษฐกิจจะขยายตวั ร้อยละ 2.0-3.0 สนพ. และคาดว่าราคาน้ามันจะอยู่ ในระดับต่าคือประมาณ 40 – 50 เหรียญต่อบาร์เรลในปี 2552 และคาดว่ารัฐบาลจะมีการปรับราคา LPG และ NGV เพ่ิมขึ้นเพือ่ ใหส้ ะท้อนตน้ ทุนมากขน้ึ และในช่วงตน้ ปถี งึ กลางปีจะมีการปรับค่าเอฟทีเพิ่มข้ึนตามราคาก๊าซธรรมชาติที่ สูงขึน้ ในชว่ งน้ี จึงประมาณการความต้องการพลังงานของประเทศภายใต้สมมุติฐานดังกล่าว ซ่ึงพอสรุปสถานการณ์ พลังงานในปี 2552 ได้ดงั นี้ ความตอ้ งการพลงั งานเชิงพาณิชย์ขั้นต้น คาดว่าจะอยู่ท่ีระดับ 1,670 พันบาร์เรลน้ามันดิบ ต่อวนั เพิ่มขึน้ จากปี 2551 รอ้ ยละ 1.9 โดยความต้องการนา้ มันเพิ่มขนึ้ เล็กนอ้ ยร้อยละ 0.3 ก๊าซธรรมชาติ เพ่ิมขึ้นร้อย ละ 3.9 ลกิ ไนต/์ ถา่ นหนิ เพ่ิมข้ึนร้อยละ 1.3 และพลังน้า/ไฟฟา้ นาเขา้ เพิ่มขนึ้ ร้อยละ 2.6 ตารางท่ี 2.29 ประมาณการใช้พลังงานเชงิ พาณชิ ยข์ ัน้ ตน้ หนว่ ย : เทียบเท่าพันบาร์เรลนา้ มันดิบตอ่ วนั 75

หลกั สูตร การบรหิ ารจัดการพลังงานความรอ้ น การพลงั งานความ น้ามันสาเร็จรูป ประมาณการว่าความต้องการใช้น้ามันเบนซินจะเพิ่มข้ึนร้อยละ 3.3 การใช้ น้ามนั ดเี ซลเพิม่ ขึน้ รอ้ ยละ 2.5 และ LPG คาดว่าจะมีการใชเ้ พ่ิมขึน้ ร้อยละ 6.1 ในขณะท่ีน้ามันก๊าดและเครื่องบินคาด ว่าจะมีการใช้ลดลงร้อยละ 5.3 และการใช้น้ามันเตายังคงลดลงร้อยละ 15.4 ค่อนข้างมากตามแผน PDP ของ การ ไฟฟา้ ฝ่ายผลติ สง่ ผลใหท้ ัง้ ปีปรมิ าณการใชน้ ้ามนั คาดวา่ จะลดลงร้อยละ 0.8 โดยมรี ายละเอยี ด ดงั นี้ การใชน้ ้ามนั เบนซินและดเี ซลเพมิ่ ข้นึ เล็กนอ้ ย เพราะคาดวา่ ราคาน้ามันยังคงทรงตัวอยู่ในระดับ ตา่ ตลอดชว่ งปี 2552 โดยการใชน้ ้ามันเบนซินจะเพ่ิมขึ้นร้อยละ 3.3 และการใช้น้ามันดีเซลเพ่ิมข้ึนร้อยละ 2.5 การใช้ LPG ในรถยนต์จะชะลอตัวลงจากปี 2551 เนื่องจากน้ามันมีราคาถูกลง ซ่ึงไม่จูงใจให้มีการเปล่ียนเครื่องยนต์ไปใช้ LPG นอกจากน้ีรัฐบาลยังมีนโยบายส่งเสริมให้รถแท็กซ่ีท่ีใช้ LPG เปลี่ยนไปใช้ NGV แทน การใช้ LPG ใน ภาคอุตสาหกรรมจะชะลอตวั ลงในชว่ งคร่งึ ปีแรก หลงั จากนัน้ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยดังน้ันจึงคาดว่าการใช้ LPG จะ เพิม่ ขน้ึ เพียงรอ้ ยละ 6.1 ตารางที่ 2.30 ประมาณการใชน้ ้ามนั สาเรจ็ รูป หนว่ ย : ลา้ นลิตร ก๊าซธรรมชาติ คาดว่าปริมาณความต้องการในปี พ.ศ. 2552 จะเพิ่มข้ึนจากปี พ.ศ. 2551 รอ้ ยละ 3.9 โดยการใชจ้ ะมปี รมิ าณ 3,850 ลา้ นลกู บาศกฟ์ ุตตอ่ วัน เน่ืองจากในปี พ.ศ. 2551 มีแหล่งผลิตใหม่ๆ ท่ีเข้า มาในช่วงต้นปี เริ่มทาการผลิต ซ่ึงจะส่งผลให้ก๊าซธรรมชาติในปี พ.ศ. 2552 มีปริมาณมากขึ้นกว่าเดิม ได้แก่ แหล่ง อาทติ ยแ์ ละแหล่ง JDA โดยคาดวา่ ปี พ.ศ. 2552 แหล่ง JDA สามารถผลติ ไดเ้ ต็มท่ี การใช้ลิกไนต์/ถา่ นหนิ นาเข้า เพ่มิ ขึน้ ร้อยละ 1.3 โดยคาดวา่ การใชล้ ิกไนต์ภายในประเทศจะ ลดลงมาก สาเหตุจากการจัดหาภายในประเทศลดลง ซ่ึงมีผลมาจากสัมปทานที่หมดลงของบริษัทลานนารีซอร์สเซส จากดั (มหาชน) และแหล่งสัมปทานบ้านปูที่คาดว่าจะหมดลงในอนาคต ขณะที่การใช้ถ่านหินนาเข้าจะเพ่ิมสูงข้ึนใน ภาคอุตสาหกรรม เพ่ือทดแทนลิกไนต์และทดแทนน้ามันเตา ส่วนการใช้ในการผลิตไฟฟ้าจะใกล้เคียงกับปริมาณปี พ.ศ. 2551 ไฟฟ้า คาดว่าการผลิตและการซ้ือไฟฟ้าของ การไฟฟ้าฝ่ายผลิต จะเพิ่มข้ึนเป็น 150,458 กิก กะวัตตช์ ่วั โมง หรือเพ่ิมขน้ึ ร้อยละ 2.2 โดยการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติจะเพิ่มข้ึนมาก เนื่องจาก ปตท. สามารถ จดั หาก๊าซธรรมชาติใหก้ ารไฟฟา้ ฝ่ายผลิตเพ่ิมขนึ้ ขณะทปี่ ริมาณการผลิตไฟฟ้าจากพลังน้า น้ามันเตา และการนาเข้า ไฟฟา้ จะลดลง โดยเป็นไปตามแผน PDP ของการไฟฟา้ ฝ่ายผลติ 76

หลักสูตร การบรหิ ารจดั การพลงั งานความร้อน การพลังงานความ 2.2.2 องค์ประกอบในการสร้างจิตสานึกดา้ นอนรุ กั ษพ์ ลังงาน จิตสานึกส่วนใหญ่แล้วไม่ได้เกิดข้ึนเองตามธรรมชาติ หากแต่เกิดจากการผ่านกระบวนการเรียนรู้ ซ้าแล้ว ซา้ อกี จนสามารถมองเหน็ และเขา้ ใจถึงปญั หาเหล่านั้นได้อย่างลึกซึ้ง และสุดท้ายกลายเป็นจิตสานึกที่เกิดข้ึน ในใจ ในการสร้างจิตสานึกให้เกิดขึ้นในองค์กรมีองค์ประกอบดังน้ี คือ “ ผู้บริหารระดับสูง ผู้บริหารระดับกลางและ พนักงานทุกฝ่ายตอ้ งให้ความรว่ มมอื ” และมีบทบาท ดังนี้ ผ้บู ริหารระดับสงู - ประกาศนโยบายดา้ นพลังงานขององค์กร - กาหนดเป้าหมายดา้ นพลงั งานทชี่ ดั เจน - อานวยความสะดวกในการดาเนินการ - สนบั สนนุ ค่าใช้จ่ายตลอดจนการสรา้ งขวัญกาลังใจ - จัดให้งานดา้ นพลังงานเป็นภาระงานอย่างหน่ึง - แสดงความเอาจรงิ เอาจงั อยา่ งตอ่ เน่อื ง ผูบ้ รหิ ารระดบั กลาง - รบั นโยบายด้านพลงั งานขององค์กร - จัดตงั้ ทีมงานเผยแพรป่ ระชาสมั พันธอ์ ยา่ งต่อเนอ่ื ง - จดั การอบรมใหค้ วามรู้ด้านพลงั งานแกพ่ นักงาน - จัดกิจกรรมด้านการอนุรกั ษ์พลังงาน โดยเนน้ กจิ กรรมท่ีมีส่วนรว่ ม - จัดทามาตรฐานด้านพลงั งานในโรงงาน ผูป้ ฏิบัติงาน - ใหค้ วามรว่ มมือในการดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ - รบั การอบรมและฝกึ ทกั ษะตา่ ง ๆ - ดาเนินการและปฏบิ ัติงานอย่างต่อเนอ่ื ง การสร้างจติ สานึกตอ้ งร่วมมอื กันทง้ั 3 ฝ่าย แต่ “ผู้บริหารระดับสูงจะเป็นผู้กาหนดความสาเร็จหรอื ความล้มเหลวในการอนรุ ักษพ์ ลังงานของโรงงาน ” 2.2.3 ขน้ั ตอนในการสรา้ งจติ สานึก 1) การสร้างองค์ความรู้ด้านจิตสานึกใหเ้ กิดขึน้ ในองค์กรซงึ่ สามารถกระทาไดโ้ ดยการอบรมให้ความรู้ ให้ขา่ วสารประชาสัมพันธจ์ ัดบอร์ดดงั ตวั อย่างรายละเอยี ดในหัวข้อ 2.2.4 2) การสรา้ งใหเ้ กดิ ความรกั ในงานด้านการอนุรักษพ์ ลังงานใหผ้ ู้ปฏบิ ตั ิกระทาโดยความสมัครใจ 3) การสรา้ งความสามัคคีใหเ้ กิดข้ึนในองค์กรเพ่อื ใหก้ จิ กรรมต่าง ๆ เกดิ ความย่งั ยนื 2.2.4 กจิ กรรมตา่ ง ๆ ในการสรา้ งจิตสานกึ กิจกรรมตา่ ง ๆ ในการสร้างจติ สานกึ มหี ลายประเภท กจิ กรรมแต่ละประเภทจะมีเป้าหมายแตกต่างกัน บางกิจกรรมให้ตระหนักและมีความรู้ บางกิจกรรมก็ให้ความสนใจ และบางกิจกรรมให้สามารถปฏิบัติได้ ดังนั้นการ เลอื กกิจกรรมท่เี หมาะสมจะทาใหป้ ระสบผลสาเร็จในการอนุรกั ษพ์ ลงั งาน 77

หลักสตู ร การบริหารจัดการพลงั งานความร้อน การพลังงานความ ตารางท่ี 2.31 แสดงตวั อยา่ งกิจกรรมในการสร้างจติ สานึก กิจกรรม สรา้ ง สร้าง สรา้ ง กระตนุ้ ให้เกดิ ความรู้ ความสนใจ ความพึงพอใจ การปฏบิ ัติ การนาเสนอ การฝกึ ปฏิบัติ     การอบรม    การชมสอื่ , VDO     การจัดทาวารสาร     จดหมายข่าวพลังงาน     บอรด์ ประชาสมั พนั ธ์   การประกวด/แขง่ ขัน   การแจกของรางวลั   การเยีย่ มชมโรงงานตัวอย่าง  2.2.5 แผนการรณรงคป์ ระชาสัมพันธเ์ พ่ือสร้างจติ สานึก การสร้างจิตสานึกที่ดีจะต้องประชาสัมพันธ์อย่างต่อเนื่อง มีกิจกรรมหลายอย่าง ดังน้ันจึงต้องมีการ วางแผนรณรงค์ จดั ทาประชาสมั พนั ธ์ เพ่อื ให้บรรลุผลสาเร็จ ตารางที่ 2.32 แสดงตวั อย่างแผนการรณรงค์ประชาสมั พันธ์เพือ่ สรา้ งจิตสานึก กิจกรรม มกราคม ุกมภา ัพน ์ธ การนาเสนอ ีมนาคม การชมสื่อ , VDO เมษายน การอบรม พฤษภาคม การฝกึ ปฏบิ ตั ิ มิ ุถนายน การจดั ทาวารสาร กรกฎาคม จดหมายข่าวพลังงาน สิงหาคม บอร์ดประชาสมั พันธ์ ักนยายน การประกวด ตุลาคม การแจกของรางวัล พฤศจิกายน การเยี่ยมชมโรงงาน ัธนวาคม ตวั อยา่ ง           78

หลกั สูตร การบริหารจดั การพลังงานความรอ้ น การพลังงานความ 2.2.6 บนั ได 5 ข้นั สู่ความสาเรจ็ ในการอนุรักษ์พลงั งานอยา่ งมัน่ คงและยัง่ ยืน ข้ันที่ 1 ปลุกใหต้ ่ืนในเร่ืองของการอนุรักษ์พลังงาน - จดั ประกวดคาขวัญการอนุรักษพ์ ลงั งานในโรงงาน มีการใหร้ างวัลสาหรบั คาขวัญทช่ี นะเลิศ และมีการทาป้ายคาขวญั ติด - จัดบอร์ดพลงั งาน - การจัดอบรมความรู้ด้านพลังงาน - เสียงตามสาย ฯลฯ ขั้นท่ี 2 ระดมสมอง - สร้างกล่องรับข้อเสนอแนะและความคิดเห็นจากพนักงานทุกระดับในเรื่องของการอนุรักษ์ พลังงานและทุกขอ้ เสนอแนะและความคิดเหน็ ที่สามารถนาไปปฏิบัติได้มีผลตอบแทนให้เป็น รางวลั ขน้ั ที่ 3 สร้างฝนั ใหเ้ ปน็ จริง - คดั เลอื กจากความคิดเหน็ ในขนั้ ที่ 2 ท่สี ามารถนาไปปฏิบตั ไิ ด้ นามาปฏบิ ตั ิ ขั้นท่ี 4 ตอบแทนสพู่ นักงาน แบ่งปนั ความสาเร็จ - เมื่อนามาปฏิบัติแล้วเกิดผลการอนรุ กั ษ์พลังงาน ควรมีการปันสว่ นผลการประหยัดคืนสู่ พนกั งาน ขัน้ ที่ 5 ใหค้ วามสาคัญกับพนกั งานทุกคน - ทาป้ายประกาศขอบคุณพนักงานทุกคนทมี่ ีส่วนร่วมในการอนุรักษพ์ ลังงานซ่งึ จะทาใหเ้ กิด ความภาคภูมิใจ - จัดประกวดและบุคคลมอบประกาศเกยี รตคิ ุณดีเดน่ ด้านการอนรุ กั ษพ์ ลงั งาน 79

หลักสตู ร การบรหิ ารจดั การพลังงานไฟฟา้ บทท่ี 3 การจัดการพลงั งานในระบบไฟฟา้ แสงสว่าง 3.1 ความร้พู น้ื ฐานเกย่ี วกบั แสงสว่าง แสง แสงเป็นคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าที่ผ่านจากวัตถุหน่ึงไปยังอีกวัตถุหน่ึง โดยไม่ต้องอาศัยตัวนา ซึ่งคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้าท่ีมาจากดวงอาทิตย์จะประกอบด้วย รังสีแกมมา รังสีเอ็กซ์ รังสีอุลตราไวโอเลต คล่ืนแสง และรังสี อนิ ฟราเรด โดยปกติแล้ว รังสีแกมมา รังสีเอ็กซ์ และรงั สีอลุ ตราไวโอเลต จะถูกดูดซบั ดว้ ยโอโซนในชนั้ บรรยากาศ สว่ นรังสีอนิ ฟราเรด จะถูกดูดดว้ ยละอองนา้ และคารบ์ อนไดออกไซดใ์ นชนั้ บรรยากาศ ดังน้ัน รังสีที่ส่องผ่านมายังพื้นโลกจะมีความยาวคล่ืนตั้งแต่ 290-1,400 นาโนเมตร คือ รวมท้ังรังสี อุลตราไวโอเลต (บางสว่ น) คลนื่ แสง และรงั สีอนิ ฟราเรด (บางส่วน) CIE แบง่ ยา่ นของรงั สอี ุลตราไวโอเลตเปน็ 3 ย่าน คือ UV- A ความยาวคลื่น 315 - 400 นาโนเมตร UV- B ความยาวคลน่ื 380 - 315 นาโนเมตร UV- C ความยาวคลน่ื 100 - 280 นาโนเมตร ส่วนคล่นื แสง จะมคี วามยาวคลืน่ อยรู่ ะหว่าง 380 – 760 นาโนเมตร ดงั รูปที่ 3.1 รปู ท่ี 3.1 ความยาวคล่นื ของรังสี 80

หลักสตู ร การบริหารจดั การพลงั งานไฟฟ้า การมองเห็น การมองเหน็ เปน็ วตั ถุเป็นสีต่างๆ ไดน้ นั้ เกิดจากการที่สเปคตรัมของแสงท้ัง 7 สี (ม่วง คราม น้าเงิน เขียว เหลือง แสด และแดง) ตกกระทบไปยังวัตถุ โดยวัตถุจะดูดซับสเปคตรัมบางส่วนไว้ และสะท้อนสเปคตรัม บางสว่ นออกไป สเปคตรัมทส่ี ะทอ้ นออกมาน้นั ทาใหส้ ามารถมองเหน็ เป็นสีต่างๆ ได้ ดงั รูปที่ 3.2 รูปท่ี 3.2 การสะท้อนของสเปคตรัม 3.2 หนว่ ยวดั และการคานวณทางแสง พลงั งานของการสอ่ งสวา่ ง (Luminous Energy, Q) พลังงานของการสอ่ งสว่าง (Luminous Energy, Q) เป็นค่าพลงั งานของแสงในรูปของคลนื่ แม่เหล็กไฟฟ้า มี หนว่ ยเป็น “Lumen-Second” ฟลักซส์ อ่ งสว่าง (Luminous Flux, ) ฟลกั ซส์ อ่ งสวา่ ง (Luminous Flux, ) คืออัตราการแผพ่ ลังงานของแสงตอ่ หนว่ ยเวลา มหี นว่ ยเปน็ “Lumen (lm)” สมการของ  สามารถแสดงได้เปน็ = dQ (3.3) dt เมอ่ื Q เปน็ ค่าพลงั งานของแสงที่แผ่ออกมาจากแหลง่ กาเนดิ ตวั อย่างเชน่ หลอดฟลูออเรสเซนต์ 40 W / 3250 lumen จะ สง่ พลงั งานแสงออกมา 3250 lumen ความเขม้ ของการส่องสวา่ ง (Luminous Intensity, I) เปน็ ค่าความหนาแน่นของฟลักซ์ส่องสว่างจากแหล่งกาเนิดแสง ในทิศทางที่กาหนด ต่อค่ามุมกรวยตัน ค่า ความเขม้ ของการส่องสว่าง เป็นค่าท่ีแสดงความสามารถของแหล่งกาเนิดแสงในการส่องสว่างในทิศทางที่กาหนด มี หนว่ ยเป็น “Candela (cd)” 81

หลักสตู ร การบริหารจัดการพลงั งานไฟฟา้ ความสว่าง (Luminance, L) ความสวา่ ง (Luminance, L) เปน็ คา่ ฟลกั ซส์ ่องสว่าง จากจดุ ทีก่ าหนดไปยงั ทิศทางท่ีกาหนด ต่อพนื้ ทีท่ ่ตี กกระทบ (A) ตอ่ มุมกรวยตัน มีหนว่ ยเป็น lumen/m2 (Lux) หรือ lumen/ft2 (footcandle (fc)) ตวั อย่างความสว่างของแหล่งกาเนิดแสง cd/m2 cd/m2 ดวงจนั ทร์ 2500 cd/m2 cd/m2 เทียนไข 8000 หลอดฟลูออเรสเซนต์ 10000 1.6 x 109 - 2.3 x 109 ดวงอาทติ ย์ ความส่องสว่าง (Illumination, E) ความส่องสว่าง (Illumination, E) เปน็ ค่าฟลกั ซ์ส่องสว่างท่ตี กกระทบพืน้ ผวิ เลก็ ๆ ตอ่ หนว่ ยพืน้ ท่ีของพนื้ ผวิ นัน้ มหี นว่ ยเปน็ lumen/ft2 (footcandle (fc)) หรือ lumen/m2 (Lux) ซง่ึ เป็นหนว่ ยเดียวกับค่าความสว่างในขอ้ 3.5 สมการของค่า E แสดงไดเ้ ป็น E= d lumen/ft2 (footcandle (fc)) หรือ lumen/m2 (Lux) (3.9) dA ตวั อย่างที่ 3.1 ถา้ ฟลกั ซส์ ่องสว่าง 1000 lm ตกกระทบบนพ้นื ที่ 4 ตารางเมตร (m2) จงคานวณค่า Illuminace (E) E    1000  250 Lux A4 การคานวณค่าความสอ่ งสวา่ งอีกวิธีหน่งึ เรยี กวา่ วธิ แี บบจดุ ต่อจุด (Point-by-Point) โดยคานวณจากคา่ ความเข้มของ การส่องสว่างในทศิ ทางท่ีคานวณ โดยท่ีระยะหา่ ง d จากแหล่งกาเนิดแสง จะมคี า่ ความสอ่ งสว่างเปน็ I lumen/ft2 (footcandle (fc)) หรือ lumen/m2 (Lux) (3.11) E= d2 เรยี กว่า กฎผกผันกาลังสอง (Inverse Square Law) ซ่ึงเป็นพ้ืนฐานสาคญั ในการคานวณทางวิศวกรรมสอ่ งสวา่ ง 82

หลกั สตู ร การบริหารจัดการพลงั งานไฟฟ้า I E = I dm d2 รปู ที่ 3.3 แสดงการคานวณคา่ ความส่องสว่าง การคานวณด้วยกฎกาลงั สองผกผนั น้นั จะต้องพิจารณาแสงสว่างทส่ี ่องมาตงั้ ฉากกบั พื้นผวิ ท่พี ิจารณาเทา่ นน้ั ในกรณีท่แี สงสว่างส่องทามุมทไี่ ม่ตง้ั ฉากกับพน้ื ผวิ จะต้องใช้สมการ EA = I A  I cos (3.12) d '2 d '2 (3.13) (3.14) แต่ d '  d cos ดังนั้น E  I cos 3  d2 83

หลักสตู ร การบริหารจดั การพลงั งานไฟฟา้ I E= I cos d '2  I E = d2 d' m dm  รปู ท่ี 3.4 แสดงการคานวณคา่ ความสอ่ งสว่างทจ่ี ุดไม่ตง้ั ฉากกบั แสงที่พุง่ ตวั อยา่ งท่ี 3.2 แหล่งกาเนดิ แสงมีความเขม้ ของการส่องสว่าง (I) 3000 candela จะทาใหเ้ กดิ ความส่องสวา่ ง (Illuminance, E) ทจ่ี ุดหา่ งออกไป 10 เมตร เท่าได E  I  3000  30 Lux d 2 102 3.3 มาตรฐานที่เกยี่ วข้องกบั ระบบแสงสวา่ ง มาตรฐานด้านแสงสว่าง มี 2 มาตรฐานสากลที่สาคัญ คือ มาตรฐานของ Illumination Engineering Society (IES) และมาตรฐานของ Commission International de l’Eclairage (CIE) สาหรับประเทศไทยมีสมาคม ไฟฟ้าแสงสว่างแห่งประเทศไทย หรือ Illumination Engineering Association of Thailand, TIEA) ท้ังน้ี มาตรฐานสากลทัง้ สองได้แนะนาระดับความส่องสว่างในสถานที่ต่าง ๆ ไว้ใกล้เคียงกัน และ TIEA ยังได้แนะนาระดับ ความสว่างในสถานที่ไว้ด้วย โดยขอยกตัวอย่างระดับความส่องสว่างเฉล่ียอย่างต่าสาหรับพ้ืนที่ทางาน และกิจกรรม ตา่ งๆ ภายในอาคารในบรเิ วณที่สาคัญ ดังนี้ ประเภทของพน้ื ท่ีและกิจกรรม Lux โถงทางเขา้ อาคาร 100 โถงนัง่ พัก 200 พนื้ ท่ีทางเดนิ ภายในอาคาร 100 บนั ได บันไดเลอ่ื น ทางเล่อื น 150 พื้นทีข่ นถ่ายสนิ ค้าภายในอาคาร 150 หอ้ งอาหารท่วั ไปภายในอาคาร 200 หอ้ งพกั ผอ่ นทว่ั ไป 200 หอ้ งออกกาลงั กาย 200 84

หลกั สตู ร การบรหิ ารจดั การพลงั งานไฟฟ้า ห้องนา้ หอ้ งสุขา หอ้ งรบั ฝากของ 300 ห้องปฐมพยาบาล 300 หอ้ งตรวจคนไขท้ ว่ั ไป 500 หอ้ งอุปกรณ์ Switch gear 200 หอ้ งชุมสายโทรศัพท์ / ไปรษณีย์ / พัสดุ 500 หอ้ งเก็บของ 100 หอ้ งบรรจหุ บี หอ่ , ขนถ่ายวัสดุ 300 ห้องควบคุม 150 3.4 อุปกรณป์ ระหยดั พลังงานในระบบไฟฟา้ แสงสว่าง 3.4.1 ความรูเ้ บอ้ื งตน้ ของหลอดไฟ ก่อนทาการศึกษาระบบแสงสว่าง ควรทราบถึงคาศัพท์พื้นฐานของหลอดไฟฟ้าที่มักพบเห็นกัน บ่อยคร้งั และใช้อา้ งอิงในการเลอื กใชห้ ลอดไฟ ตลอดจนนาไปใช้งานได้อย่างถกู ตอ้ ง ซง่ึ ข้อกาหนดเฉพาะของหลอดไฟ ท่ีควรทราบมี ดังนี้ ก. ชนิดของหลอดไฟ (Lamp type) คือ ประเภทของหลอดไฟ เช่น หลอดไฟอินแคนเดสเซนต์ หลอดฟลอู อเรสเซนต์ หลอดดิสชารจ์ เปน็ ตน้ ข. ฟลักซ์การส่องสว่าง (Lumilux flux) คือ ปริมาณแสงท้ังหมดท่ีแผ่กระจายมาจาก แหล่งกาเนิด มีหน่วยเปน็ ลเู มน (Lumen) หรอื แคนเดลา (Candela) ค. กาลังไฟฟ้า (Power) คือ ค่ากาลังไฟฟ้าที่หลอดไฟต้องการใช้ในการจุดติดหลอด เพื่อให้ เกิดการสอ่ งสว่างได้ตามที่ระบไุ ว้ มหี นว่ ยเปน็ วตั ต์ (Watt) ง. อณุ หภมู ิสี (Color temperature) คอื สีของแสงทเี่ กิดจากหลอดไฟ เทยี บเทา่ กับการเผาวัตถุ ดาท่อี ุณหภมู ิตา่ งๆ กนั ซ่งึ ท่ีจะทาให้เกดิ สีออกมาแตกต่างกัน ดังน้ี 1,500 เคลวิน มสี ีเหลืองอมแดง (แสงเทยี น) 2,200 เคลวิน มีสเี หลืองจัด 2,500 เคลวิน มีสีเหลืองทอง 2,800 เคลวนิ มสี ีเหลอื งออ่ น (หลอดอนิ แคนเดสเซนต์) 3,000 เคลวิน มีสเี หลืองขาว (หลอดวอรม์ ไวท์ ฟลอู อเรสเซนต์) 4,000 เคลวิน มสี ีขาวอมเหลือง (หลอดคลไู วท์ ฟลูออเรสเซนต์) 4,500 เคลวิน มีสีขาวเย็น 5,500 เคลวนิ มสี ีขาวจ้า 6,500 เคลวิน มสี ีขาวอมฟา้ (หลอดเดย์ไลท์ ฟลอู อเรสเซนต์) 85

หลักสูตร การบริหารจดั การพลังงานไฟฟ้า จ. ดัชนีความถูกต้องสี (Color Rendering Index, CRI) คือ ค่าท่ีใช้ให้เห็นว่าสีที่เห็นเม่ืออยู่ ภายใตแ้ สงท่มี คี ่าดัชนีความถูกตอ้ งสนี ัน้ ๆ จะมีสเี พยี้ นไปจากเดมิ เพียงใด เป็นค่าทไ่ี ม่มหี นว่ ย ฉ. ค่าประสิทธิผลความส่องสว่าง (Luminance efficacy) คือ ปริมาณแสงสว่างของ แหลง่ กาเนิด (ลูเมน) ต่อกาลังไฟฟ้าทป่ี อ้ นเขา้ (วตั ต์) หรอื อัตราสว่ นระหวา่ งความส่องสว่างกับ กาลงั ไฟฟ้า มหี นว่ ยเปน็ ลูเมนตอ่ วัตต์ (Lumen/Watt) ช. อายุการใชง้ าน คอื อายุการใช้งานของหลอดเมื่อเปิดต่อเน่ือง มีหน่วยเป็น ช่ัวโมง (Hour) จากความรเู้ บอื้ งต้นของหลอดไฟ สามารถเลือกใช้หลอดไฟประเภทต่างๆ โดยสามารถดูจาก Catalog ของผู้ผลติ ได้ 3.4.2 องค์ประกอบในระบบแสงสว่าง 1) อุปกรณ์หลกั ในระบบแสงสว่าง จะประกอบดว้ ย ก. หลอดไฟ (Lamp) แหล่งกาเนดิ แสงสว่าง เพ่ือส่องสว่างในพ้ืนทใ่ี ชง้ าน ข. โคมไฟ (Luminaries) เปน็ อปุ กรณ์ทีใ่ ชใ้ นการควบคุมทิศทางของการสอ่ งสว่างให้เหมาะสม และไมท่ าใหเ้ กดิ ความไม่สบายในการมองเห็น ค. สวิตซ์ (Switch) เปน็ อุปกรณ์ที่ใช้ในการเปิด/ปิด ระบบแสงสว่าง ง. ระบบควบคุม (Control System) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการควบคุมการเปิด/ปิด หรือหร่ี แหลง่ กาเนดิ แสงสวา่ งทใ่ี ชง้ าน จ. แหล่งจ่ายไฟฟ้า (Power Supply) เป็นแหล่งจา่ ยพลงั งานใหแ้ ก่หลอดและโคมไฟฟา้ ก. ชนดิ ของหลอดไฟ หลอดไฟที่มีการใช้งานในระบบแสงสว่าง จะมีอยู่หลายชนิด โดยสามารถแบ่งออกเป็น ประเภทหลักได้ 5 ประเภท ดังนี้  หลอดไส้ หลอดไส้ ประกอบดว้ ยหลอด ดังต่อไปน้ี (1) ทังสเตน ฟลิ าเมนท์ แสงสว่างเกิดจากการร้อนของเส้นลวดทังสเตนท่ีบรรจุอยู่ใน กระเปาะแก้วซึ่งมีก๊าซเฉ่อื ยอยภู่ ายใน เพื่อป้องกันไมใ่ ห้เสน้ ลวดร้อนจนเกดิ การลุกไหม้ คุณสมบัติของหลอดประเภทนี้ คอื - ประสิทธิภาพต่าโดยที่ 95% ของพลังงานที่ใช้ จะสูญเสียไปในรูปของ ความร้อน (ประสิทธิภาพประมาณ 10-25 ลูเมนต่อวัตต์) โดยท่ัวไปใช้เป็น ไฟในการตกแตง่ สถานที่ - อายุการใช้งานส้ันประมาณ 1,000 ชม. โดยท่ัวไปกินกาลังไฟฟ้าไม่เกิน 300 วตั ต์ ส่วนใหญม่ ีขนาดถงึ แค่ 150 วตั ต์ - ควรหลีกเลย่ี งการใชห้ ลอดประเภทน้ี ถ้าสามารถหลกี เลี่ยงได้ 86


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook