แผนการเรียนรู้รายสปั ดาห์ กลํุมสาระการเรยี นรู๎......................-.........................รายวชิ า........-................................รหัสวิชา.........-..................... เรือ่ ง..............การปฐมนิเทศนักศึกษา......................................................................................................................... ระดับชัน้ ...............มธั ยมศกึ ษาตอนตน๎ ................................................................จานวน................3................ชวั่ โมง วนั ที่จดั การเรียนการสอน.................................................................การพบกลมุํ คร้งั ท.่ี .............1............................... 1. ตัวช้วี ัด/ผลการเรียนร๎ูท่ีคาดหวัง 1.1 รู๎และเข๎าใจหลักสตู ร / วธิ ีเรยี น /การจัดการเรียนการสอน 1.2 รูแ๎ ละเข๎าใจ การทากจิ กรรม กพช. 1.3 อธบิ ายกระบวนการการเรยี นร๎ู ตามหลกั สูตรการศึกษานอกระบบ ระดบั การศึกษาขัน้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2551 1.4 มีความรู๎ ความเขา๎ ใจโครงการ จดุ เนน๎ นโยบายของสถานศกึ ษาได๎ 2. เนอ้ื หา ขน้ั จดั กระบวนการเรียนรู๎ ขั้นท่ี 1 กาหนดสภาพปญั หาความตอ๎ งการในการเรียนรู๎ - ผ๎สู อนแนะนาตนเอง นาเข๎าสํบู ทเรียน - ผสู๎ อนอธิบายวธิ กี ารเรยี นรแู๎ บบ กศน. - ผ๎ูสอนอธิบายใหค๎ วามร๎ู ความเขา๎ ใจด๎านโครงการ จุดเนน๎ นโยบายของสถานศึกษา ขั้นท่ี 2 การแสวงหาข๎อมลู และจดั การเรยี นร๎ู - แบํงผเู๎ รยี นกลุํมเปน็ ๕-๗ คน เพื่อวิเคราะห์ปัญหาดา๎ นชุมชนสงั คม ท่ีเกีย่ วข๎องกับการเรียนร๎ู แบบ กศน. มาแกป๎ ญั หารํวมกนั และนาความรูท๎ ี่ได๎ไปตรวจสอบความถกู ต๎อง - ผเ๎ู รยี นวิเคราะห์สภาพปญั หาที่อาจจะเกิดขนึ้ จากการจดั กระบวนการเรียนรู๎ ข้ันที่ 3 ปฏิบตั ิและนาไปประยุกตใ์ ช๎ - ผ๎เู รียนปฏิบตั ติ ามขน้ั ตอนท่ีได๎วเิ คราะห์แลว๎ โดยสังเกตปรากฏการณ์ จดบันทกึ - ผูเ๎ รยี นสํงตัวแทนในกลมุํ 2 คน ออกมาอภิปรายสรุปวิธีการจัดการเรียนร๎ู โดยยํอหน๎าชน้ั เรียน - ชํวงทา๎ ยชัว่ โมง ผ๎สู อนใหผ๎ ู๎เรยี นเขยี นสภาพความต๎องการการเรยี นรขู๎ องตนเอง - กจิ กรรมกลุมํ สมั พนั ธ์ ผูเ๎ รียนแลกเปลี่ยนเรียนรู๎กับเพ่อื นในชั้นเรยี น ขั้นท่ี 4 ประเมนิ ผลการเรียนร๎ู - ตรวจสอบหาข๎อบกพรํอง และรวบรวมไวใ๎ นแฟูมสะสมงาน - ผเ๎ู รยี นสรุปผล เกบ็ รวบรวมไวใ๎ นแฟมู สะสมงาน - ผ๎ูสอนอธิบายสรุปผลการเรียนรู๎ และนัดหมายในการพบกลุํมครงั้ ตอํ ไป
3. สือ่ อุปกรณ์และแหลงํ เรียนรู๎ 3.1 เอกสารประกอบการปฐมนเิ ทศ 3.2 คมํู อื หลักสตู รการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 4. การวัดผลและประเมินผล 4.1 แบบสอบถาม 4.2 การสงั เกต ลงชอื่ .........................................................ผู๎สอน ( ........................................................ ) ตาแหนงํ ครู กศน.ตาบล ความเห็นของผู๎บรหิ ารสถานศึกษา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชือ่ ......................................................... (นางสาวสมนึก พระนาค) ครู รกั ษาการในตาแหนงํ ผอ๎ู านวยการ กศน.อาเภอสวํางอารมณ์
ใบความรู้ท่ี 1 (ปฐมนเิ ทศ) การชีแ้ จงการจดั กระบวนการเรยี นร๎หู ลักสูตรการศกึ ษานอกระบบระดับการศกึ ษาขั้นพน้ื ฐาน 2551 การจัดการเรียนรู๎ ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 มํุงเน๎นการ จัดการเรยี นรู๎ตามปรัชญา “คดิ เป็น” และยึดหลกั วาํ ผเู๎ รยี นทกุ คนสามารถเรียนรูแ๎ ละพัฒนาตนเองได๎ ผเู๎ รยี นแตํละคนมี ธรรมชาติท่ีแตกตํางกัน ทั้งด๎านวัย วุฒิภาวะ ความถนัด ความสนใจ วิธีการเรียนร๎ู ตลอดจนมีการดาเนินชีวิตและ ส่ิงแวดล๎อมท่ีแตกตํางกัน ซึ่งสํงผลตํอการเรียนร๎ูของผู๎เรียน ดังนั้นการจัดการเรียนรู๎จึงต๎องยึดผู๎เรียนเป็นสาคัญ เพ่ือ สํงเสริมให๎ผ๎ูเรียนได๎พัฒนาความสามารถของตนเอง ตามธรรมชาติ เต็มตามศกั ยภาพที่มีอยํู และเรยี นรู๎อยาํ งมคี วามสุข ขั้นตอนการจดั การเรียนรู๎ ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มี 4 ขั้นตอน ดังน้ี ขั้นตอนท่ี 1 การแนะแนว การแนะแนวเปน็ ข้ันตอนแรกทมี่ คี วามสาคัญ สถานศึกษาต๎องจัดบริการแนะแนว เกี่ยวกับหลักสูตรการศึกษา นอกระบบระดบั การศึกขนั้ พืน้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 เพราะเป็นข๎อมูลเบ้ืองต๎นท่ีประชาชนหรือกลุํมเปูาหมายควรจะ ไดม๎ ีความเข๎าใจเกี่ยวกบั วธิ ีเรียน กศน. ซง่ึ มกี ารจดั การเรียนรท๎ู ่หี ลากหลาย ทีก่ ลุํมเปาู หมายสามารถเลือกเรียนได๎ และ จะต๎องให๎ข๎อมูลเกย่ี วกับการจบหลักสูตรการศึกษา การเทียบโอนความรู๎และประสบการณ์ การเทียบโอนผลการเรียน ที่ผู๎เรียนสามารถนาผลการเรียน หรือนาประสบการณ์ มาขอเทียบโอนความรู๎ตามหลักสูตรฯ และเรียนเพิ่มเติมบาง สาระที่ไมสํ ามารถเทียบโอนได๎ สถานศึกษาจะต๎องจัดบริการแนะแนวให๎กับกลํุมเปูาหมายได๎เข๎าใจแตํเร่ิมต๎น เพ่ือเขา จะไดต๎ ัดสินใจเลอื กเรียนได๎อยํางเหมาะสมสอดคล๎องกบั ความตอ๎ งการและวิถีชีวติ ของตนเอง ขั้นตอนที่ 2 การรับสมัครผเู๎ รียน และการตรวจสอบหลกั ฐานการศึกษา การรบั สมัครผูเ๎ รยี น และการตรวจสอบหลกั ฐานการศึกษา สถานศึกษาจะต๎องตรวจสอบหลักฐานการสมัคร ให๎ถูกต๎องครบถว๎ น เชํน การกรอกใบสมัครเป็นนกั ศกึ ษา กศน. วฒุ ิการศกึ ษา สาเนาทะเบียนบ๎านผูส๎ มคั รทม่ี ีชื่อบิดา มารดา บตั รประจาตัวประชาชน ใบเปลีย่ นชื่อ – ชอ่ื สกุล หรือใบทะเบียนสมรส ใบหยํา รูปถาํ ยหน๎าตรงไมสํ วมแวนํ ตา ดาและไมสํ วมหมวก เป็นต๎น เม่อื ตรวจสอบหลักฐานและใบสมัครเป็นนกั ศึกษา กศน. ถูกต๎องครบถว๎ นแล๎ว ให๎กรอกใบ ลงทะเบยี นเรียน การลงทะเบียนเรียนนั้น นักศกึ ษาตอ๎ งย่ืนขอลงทะเบยี นเรยี นตามสาระรายวิชาทีส่ ถานศกึ ษาเปิดสอน และตามจานวนหนวํ ยกิตที่กาหนดใหล๎ งทะเบยี นไดต๎ ามวันเวลาที่ ระดับประถมศึกษา ลงทะเบยี นเรยี นไดภ๎ าคเรยี นละ 12 – 14 หนํวยกติ ระดบั มธั ยมศึกษาตอนต๎น ลงทะเบียนเรยี นได๎ภาคเรยี นละ 15 – 17 หนวํ ยกติ ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ลงทะเบยี นเรยี นได๎ภาคเรยี นละ 18 – 23 หนวํ ยกติ ขนั้ ตอนท่ี 3 การปฐมนเิ ทศ และการวางแผนการเรยี น การปฐมนิเทศและการวางแผนการเรยี น เปน็ ข้นั ตอนท่มี ีความสาคัญมากสาหรับผูเ๎ รียน สถานศึกษาต๎องชี้แจง ให๎ผ๎เู รยี นเขา๎ ใจเก่ยี วกบั วธิ เี รยี น กศน. การวดั ผลและประเมินผล ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกข้ัน พ้นื ฐานพทุ ธศักราช2551ท่เี ปิดโอกาสใหผ๎ เู๎ รียนท่ีลงทะเบียนเรียนได๎เลอื กรูปแบบการเรยี นรูท๎ ีเ่ หมาะสม ตามความ ต๎องการ สอดคล๎องกับวิถชี วี ติ และการทางานของผู๎เรียน เชนํ การเรียนแบบพบกลุมํ การเรียนร๎ูด๎วยตนเอง การเรียนรู๎ แบบทางไกล การเรียนรแู๎ บบช้นั เรียน และการเรียนร๎ูรปู แบบอนื่ ๆ ซ่งึ การเรียนรู๎ตามรูปแบบตําง ๆ ดังกลําว ในแตลํ ะ รายวชิ าผู๎เรยี นสามารถเลอื กเรยี นรปู แบบใดรูปแบบหนึง่ หรอื อาจเลือกการเรียนหลาย ๆ รูปแบบ ไดต๎ ามความ ตอ๎ งการและความเหมาะสมของผเ๎ู รียน ท่ผี เู๎ รียนคิดวาํ จะทาให๎ประสบความสาเรจ็ ในการเรยี น ท้งั นี้ขนึ้ อยูํกับความ พร๎อมของสถานศึกษา สถานศกึ ษาจะต๎องชแ้ี จงใหผ๎ ู๎เรียนเขา๎ ใจถงึ วธิ กี ารเรียนร๎ูรูปแบบตํางๆ ดงั กลําว
ขน้ั ตอนที่ 4 การวดั และประเมนิ ผล การวดั และประเมินผลการเรียนตามหลักสตู รการศกึ ษานอกระบบระดับการศกึ ขนั้ พื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 มเี ปาู หมายสาคัญเพ่ือนาผลการประเมินไปพฒั นาผูเ๎ รยี นให๎บรรลมุ าตรฐานการเรยี นร๎ขู องหลกั สูตรฯหรอื นาไปใชเ๎ ปน็ ขอ๎ มลู ในการปรับปรงุ แก๎ไข สํงเสรมิ การเรยี นรแู๎ ละพฒั นาการของผู๎เรียน โดยตรง และนาไปปรบั ปรงุ แก๎ไขการจัด กระบวนการเรยี นรู๎ใหม๎ ปี ระสิทธภิ าพย่งิ ขึ้นรวมทั้งการนาไปใชใ๎ นการพจิ ารณาตัดสินความสาเรจ็ ทางการศึกษาของ ผู๎เรียน การวัดผลและประเมินผลการเรียนตามหลักสูตรการศกึ ษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พทุ ธศักราช 2551 มี 2 ลกั ษณะ ดังนี้ 1. การวัดและประเมนิ ผลการเรียน 1.1 การวัดและประเมินผลการเรยี นรายวิชา 1.2 การประเมินกิจกรรมพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ 1.3 การประเมินคณุ ธรรม 2. การประเมนิ คณุ ภาพการศึกษานอกระบบระดับชาติ สถานศกึ ษาต๎องจัดทาระเบียบการประเมินผลการเรียนของสถานศึกษา รวมท้งั จดั ทาหลกั เกณฑ์และแนว ปฏิบตั ิในการวัดผลและประเมินผลการเรียนรข๎ู องผูเ๎ รียนตามหลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศึกษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 ของสถานศกึ ษาใหช๎ ัดเจนเพื่อใหบ๎ ุคลากรท่เี กี่ยวข๎องทุกฝุายถือปฏิบตั ริ ํวมกันและเป็นไปตาม มาตรฐานเดยี วกัน 3. วธิ เี รยี น กศน. การจัดการเรยี นร๎ตู ามหลกั สูตรการศกึ ษานอกระบบระดบั การศกึ ขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551 ยดึ หลกั การ ดงั น้ี 1) พระราชบัญญตั กิ ารศึกษาแหงํ ชาติพทุ ธศักราช 2542 และแก๎ไขเพ่ิมเติม(ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 2) พระราชบญั ญัติการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัย พุทธศักราช 2551 3) หลกั ปรัชญา “คดิ เปน็ ” วิธเี รียน กศน. ตามตามหลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกขัน้ พ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 ท่เี หมาะสมกบั ผ๎เู รยี น เชํน การเรียนร๎ูแบบพบกลมํุ การเรยี นร๎ูด๎วยตนเอง การเรยี นร๎แู บบทางไกล การเรียนรูแ๎ บบชน้ั เรียน ซง่ึ การ เรียนรู๎แตํละรปู แบบมีลักษณะ ดังตํอไปนี้ 1. การเรียนรูแ๎ บบพบกลมํุ การเรยี นร๎แู บบพบกลุมํ เป็นการจดั การเรียนรู๎ที่กาหนดให๎ผ๎ูเรยี นมาพบกนั โดยมคี รูเป็นผดู๎ าเนินการให๎เกิด กระบวนการกลมํุ เพื่อให๎มีการอภิปราย แลกเปลี่ยนเรยี นรู๎และหาข๎อสรปุ รํวมกัน ทุกสปั ดาห์ครูจะต๎องจัดให๎มีการพบ กลมํุ อยํางนอ๎ ยสปั ดาห์ละ 3 ชัว่ โมง 2. การเรยี นร๎ูดว๎ ยตนเอง การเรยี นร๎ูด๎วยตนเอง เปน็ การเรียนรู๎ทีผ่ ู๎เรียนแสวงหาความรู๎ดว๎ ยตนเอง โดยผ๎เู รียนกาหนดแผนการเรียนร๎ู ของตนเองให๎สอดคล๎องกับรายวชิ าทล่ี งทะเบียน โดยระบขุ ั้นตอนการเรียนรต๎ู ้ังแตตํ น๎ จนจบ และมีครเู ปน็ ทปี่ รึกษา ให๎ คาแนะนาในการศึกษาหาความรู๎จากส่ือตําง ๆและแหลํงการเรียนรู๎ 3. การเรยี นร๎แู บบทางไกล การเรยี นรูแ๎ บบทางไกล เปน็ การจัดการเรียนร๎ู ท่ผี ูเ๎ รยี นจะเรียนร๎จู ากสอื่ ตาํ ง ๆ โดยผ๎ูเรียนและครจู ะสอ่ื สาร ทางส่ืออเิ ล็กทรอนิกส์เปน็ สํวนใหญํ เชนํ การเรียนรแู๎ บบ e – learning
4. การเรยี นร๎ูแบบชน้ั เรยี น การเรียนรู๎แบบช้ันเรียน เป็นการเรียนร๎ูในลักษณะแบบห๎องเรียน ท่ีสถานศึกษากาหนดรายวิชา เวลาเรียน และสถานที่ทเี่ รียนชัดเจน การเรยี นรแู๎ บบชั้นเรียนเหมาะสาหรับผู๎เรียนท่ีมีเวลามาเข๎าช้ันเรียนสม่าเสมอการเรียนร๎ูท้ัง 4 รูปแบบ ดังทกี่ ลําวขา๎ งต๎น สถานศกึ ษาและผเ๎ู รยี นจะรวํ มกนั กาหนดวาํ ในแตลํ ะรายวิชาจะเรียนรู๎แบบใด ซ่ึงข้ึนอยูํกับ ความยากงํายของเนื้อหาสาระของแตํละรายวิชานั้น ๆ โดยให๎สอดคล๎องกับวิถีชีวิตและการประกอบอาชีพของผู๎เรียน และขึ้นอยํูกับความพร๎อมของสถานศึกษาในการจัดสอนเสริมเพ่ือเติมเต็มความรู๎ให๎กับผู๎เรียนได๎เรียนรู๎ให๎บรรลุ มาตรฐานการเรยี นรทู๎ ี่กาหนดไว๎ นอกจากน้ันสถานศึกษาสามารถออกแบบการเรียนรู๎แบบอ่ืน ๆ ได๎ตามความต๎องการ ของผู๎เรียนและความพร๎อมของสถานศึกษาแตํละแหํง สานักงานสํงเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อธั ยาศัย,(2553).
ใบความรู้ ท่ี 2 การจดั การเรยี นร้แู บบบรู ณาการ บูรณาการ หมายถงึ การนาศาสตรห์ รือความรวู๎ ชิ าตําง ๆ ท่สี มั พนั ธก์ ันนามาเข๎าดว๎ ยกันหรอื ผสมผสานได๎ อยาํ งกลมกลืน เพ่ือนามาจัดเป็นการเรยี นการสอนภายใต๎หัวขอ๎ เดียวกัน เชอ่ื มโยงกนั เพ่ือให๎เกิดประโยชนส์ ูงสดุ โดย มีการเน๎นองคร์ วมของเน้ือหามากกวําองค์ความรูข๎ องแตํละรายวชิ า และเนน๎ การสรา๎ งความรข๎ู องผู๎เรียนท่ี มากกวํา การใหเ๎ น้ือหาโดยครูเปน็ ผ๎กู าหนด ลกั ษณะสาคญั ของการสอนแบบบรู ณาการ เปน็ การบรู ณาการระหวาํ งความรู๎ กระบวนการ และการปฏิบตั ิ 1. เป็นการบรู ณาการระหวํางวชิ าไดอ๎ ยํางกลมกลนื 2. เป็นการบูรณาการระหวาํ งส่งิ ท่เี รยี นกับชวี ติ จริง 3. เป็นการบรู ณาการเพ่ือจดั ความซา้ ซ๎อนของเน้ือหาตาํ งๆ 4. เปน็ การบรู ณาการให๎เกดิ ความสัมพนั ธ์กันระหวาํ งความคดิ รวบยอดของวชิ าตาํ งๆ เพื่อทาใหเ๎ กิดการ เรยี นร๎ูทมี่ ีความหมาย การจดั การเรียนการสอนแบบบรู ณาการ การจดั การเรยี นการสอนในการเขียนแผนการสอนของครูผ๎ูสอนแบงํ ออกเป็น 2 ประเภท (การเขยี นแผน แบบบูรณาการมมี ากกวาํ นี้ ตามความเหมาะสม) ดงั นี้ (1) การบูรณาการภายในวชิ า มจี ุดเน๎นอยภูํ ายในวิชาเดียวกนั อาจนาวิชาตาํ งๆ ที่สัมพนั ธก์ นั มาบรู ณาการ กนั เองของวิชานน้ั และไมแํ ยกหรอื ขยายไปกบั วิชาอ่นื (2) การบรู ณาการระหวาํ งวชิ า มีจุดเนน๎ อยูทํ ่ีการนาวิชาอน่ื เขา๎ เช่ือมโยงดว๎ ยกัน ตง้ั แตํ 2 วชิ าขึน้ ไป โดย ภายใต๎หัวข๎อเดยี วกนั วําวชิ าใดที่สามารถนาเขา๎ มาบรู ณาการด๎วยกันได๎ ไมจํ าเปน็ วําต๎องทุกวชิ า หรือทกุ กลุมํ ประสบการณ์เขา๎ ด๎วยกัน หรืออาจครบทุกวชิ าหรอื ทุกกลุํมประสบการณ์ก็ได๎ การวางแผนการจดั ทาแผนแบบบูรณาการ การจัดทาแผนการสอนแบบบรู ณาการ เป็นการนาวิชาหรือสาระการเรยี นรต๎ู ําง ๆ ท่มี ีความสมั พันธก์ นั มา เชื่อมโยงกนั ซึง่ สามารถทาได๎โดยการสรา๎ งหัวข๎อเร่ืองที่มีความสอดคล๎องกบั วชิ านนั้ ๆ เขา๎ ด๎วยกัน ผ๎ูสอนตอ๎ งคานึง สิ่งตํอไปน้ี 1. การเลอื กหัวเรื่อง จากประเด็นตํางๆ ท่ตี ๎องการเรยี น เชํน ประเด็กแนวคิด ประเด็นของเนื้อหา เมอ่ื ไดแ๎ ลว๎ นาจุดประสงค์ของแตํละรายวชิ า ทตี่ ๎องการใหเ๎ กดิ การเรยี นรข๎ู องผู๎เรยี น เขา๎ มาสร๎างเปน็ กจิ กรรมการเรียนการ สอนแบบบรู ณาการ 2. การนาจดุ ประสงค์ของรายวิชาตํางๆ ที่สัมพันธก์ นั มาสรา๎ งเป็นหวั ข๎อเรื่องและนามาจดั กจิ กรรมการ เรยี นการสอนแบบบูรณาการ
ประโยชน์ของการบรู ณาการ 1. เป็นการนาวิชาหรือศาสตร์ตํางๆ เช่ือมโยงกันภายใตห๎ ัวขอ๎ เดียวกนั 2. ชํวยใหผ๎ ๎ูเรยี นเกดิ การเรียนที่ลึกซ้ึง และมีลกั ษณะใกล๎เคยี งกับชวี ิตจริง 3. ชํวยใหผ๎ ู๎เรียนไดร๎ บั ความร๎ู ความเข๎าใจ ในลักษณะองค์รวม 4. ชวํ ยให๎ผู๎เรยี นสามารถแสวงหาความร๎ู ความเข๎าใจ จากสงิ่ ตาํ งๆ ทม่ี ีอยํรู อบตวั 5. เป็นแนวทางทีช่ ํวยใหค๎ รูได๎ทางานรํวมกัน หรือประสานงานรวํ มกนั อยํางมคี วามสุข 6. สํงเสรมิ สนับสนุนให๎ครไู ด๎คดิ วิธีการหรือนาเทคนิคใหมํๆ มาใช๎ ทาอยํางไรจึงจะจัดการเรียนร๎ูแบบบูรณาการ 1. ครมู ีความเชื่อม่ันและเขา๎ ใจตรงกันในเรื่องการจัดการเรียนรแ๎ู บบบรู ณาการ 2. ครไู ด๎วางแผน ได๎คดิ กระบวนการเรียนรแู๎ ละมีการประเมนิ ผลรํวมกัน 3. ต๎องยึดผ๎เู รยี นเปน็ ศูนยก์ ลาง ให๎ผ๎เู รียนสามารถค๎นหาคาตอบได๎ดว๎ ยตนเองและไดล๎ งมือปฏบิ ตั ิจรงิ 4. เนน๎ การเรียนรท๎ู เี่ กิดจากการนาวชิ าตาํ งๆ เชื่อมโยงกันมากกวาํ ทจี่ ะเกดิ จากเนื้อหาใดเน้อื หาหนึง่ เทํานนั้ 5. มกี ารนาขอ๎ มูล ทรพั ยากรทอ๎ งถนิ่ และภูมิปญั ญาทอ๎ งถิ่นมาจัดการเรยี นรแ๎ู บบองค์รวมหรือแบบบรู ณ การ ในกลํมุ สาระการเรียนร๎ูตาํ งๆ จะรไู๎ ด๎อยํางไรวําไดม๎ ีการจดั การเรียนรู๎แบบบรู ณาการ เราจะทราบไดอ๎ ยํางไรวํามีการจดั การเรยี นการสอนแบบบรู ณาการแลว๎ หรอื ยังโดยดูไดจ๎ ากหัวข๎อตํอไปน้ี 1. ผเ๎ู รยี นมโี อกาสได๎เลือกเรยี นตามความถนดั ความสนใจของตนเอง 2. มกี ารจดั กิจกรรมการเรยี นรอู๎ ยาํ งหลากหลาย กว๎างขวางตามความพรอ๎ มของผเ๎ู รียน 3. เปิดโอกาสให๎ผ๎เู รียนไดค๎ ิด ได๎ทา ได๎แกป๎ ญั หา ได๎คน๎ พบคาตอบดว๎ ยตนเอง และผูเ๎ รียนลงมือปฏบิ ัติเองโดย มีครผู ู๎สอนเปน็ เพยี งให๎คาแนะนา ใหค๎ าปรกึ ษา 4. มกี ารเชอ่ื มโยงเนื้อหาในวิชาเดยี วกัน หรอื ตาํ งวชิ าของกลมํุ สาระการเรียนร๎ู 5. มกี ารยืดหยนํุ เวลาเรียนได๎ตามสถานการณ์ 6. มกี ารเชือ่ มโยงสาระสาคัญหรือความคิดรวบยอดตาํ งๆ อยํางมีความหมาย 7. มีการใชแ๎ หลงํ ความร๎ู หรอื แหลํงการเรยี นได๎อยํางหลากหลาย เชนํ หอ๎ งสมดุ ห๎องปฏบิ ัติการทาง ภาษา หอ๎ งวทิ ยาศาสตร์ ชุมชน ฯลฯ อยํางสมั พนั ธก์ นั ตามสภาพท่แี ทจ๎ ริงหรอื ตามความเป็นจรงิ 8. มีการประเมนิ ตามสภาพท่ีแท๎จรงิ 9. ผ๎เู รยี นไดร๎ วํ มสะทอ๎ นความคิดหรือสรุปความร๎ูโดยอสิ ระ 10. ผูเ๎ รยี นมีวจิ ารณญาณในการคดิ แก๎ปัญหา และอยูํรวํ มกันอยํางมีความสขุ
แผนการเรยี นรู้รายสัปดาห์ กลมํุ สาระการเรียนร๎ู....ความรพู๎ ื้นฐาน............รายวชิ า...........วทิ ยาศาสตร์..........รหสั วชิ า........พว21001......... เรือ่ ง.............ธรรมชาตทิ างวิทยาศาสตร์และทักษะทางวิทยาศาสตร์................................................................ ระดบั ชนั้ ...............มัธยมศกึ ษาตอนต๎น.....................................................จานวน...................6..................ชั่วโมง วนั ที่จัดการเรียนการสอน..................................................................การพบกลมํุ ครั้งท.ี่ ........2............................. ตวั ช้วี ัด อธบิ ายธรรมชาติและความสาคัญของวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี เน้ือหา 1. กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 1.1 ความหมายและความสาคัญของวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 1.2 กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 1.2.1 วธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ 5 ข้ัน 1.2.2 ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 13 ทักษะ 1.2.3 เจตคตทิ างวิทยาศาสตร์ 6 ลักษณะ 1.2.4 จติ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ขน้ั ตอนการจดั กระบวนการเรียนร๎ู ขน้ั ที่ 1 การกาหนดสภาพ ปัญหา ความต๎องการในการเรยี นร๎ู 1. ครูพูดคยุ กบั นักศกึ ษา ถึงเทคโนโลยีสมัยใหมํและสิง่ อานวยความสะดวกในการดาเนินชีวิตของคนเรา เชํน ดา๎ นการสอื่ สาร เทคโนโลยีดา๎ นการแพทยเ์ ทคโนโลยีดา๎ นอวกาศ ขน้ั ท่ี 2 การแสวงหาข๎อมูล และจัดการเรียนร๎ู 1. ครูกับผ๎ูเรยี นรํวมกันวางแผนการเรียนรูใ๎ นเรื่อง ธรรมชาตแิ ละความสาคัญของวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี 2. ครูสนทนากบั ผ๎ูเรียนเกี่ยวกับความสาคัญของวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ขน้ั ที่ 3 การปฏบิ ัติและนาไปประยุกต์ใช๎ 1. แบงํ กลํุมผู๎เรียนกลุมํ ละ 3 คน ให๎รวํ มกนั แลกเปล่ียนเรยี นรศ๎ู กึ ษาใบความร๎ู เร่ือง ธรรมชาติ ทางวิทยาศาสตร์ และทักษะทางวิทยาศาสตร์ แล๎วทากิจกรรมในใบงาน 2. ผ๎ูเรยี นแตํละกลุมํ รํวมกันสรปุ กิจกรรมจากใบความร๎ู ครูกับผ๎ูเรยี นรํวมกันสรปุ ความร๎ู ท่ีได๎รบั ขน้ั ท่ี 4 การประเมนิ ผล 1. ครแู ละผ๎ูเรยี นรํวมกนั สรปุ เรือ่ งกระบวนทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยที างวิทยาศาสตร์ 2. ให๎ผ๎ูเรยี นทาแบบทดสอบยํอย
สื่อการเรียนร๎ู 1. ใบความรู๎ 2. ใบงาน 3. อุปกรณ์การวาดภาพ 4. เครือ่ งมือวิทยาศาสตร์ การวัดและประเมนิ ผล 1. แบบทดสอบ 2. ใบงาน 3. แบบประเมนิ ลงชื่อ.........................................................ผส๎ู อน ( ......................................................... ) ตาแหนํง ครู กศน.ตาบล ความเหน็ ของผู๎บริหารสถานศึกษา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอ่ื ......................................................... (นางสาวสมนกึ พระนาค) ครู รกั ษาการในตาแหนํง ผูอ๎ านวยการ กศน.อาเภอสวํางอารมณ์
แบบทดสอบก่อน-หลังเรยี น วิชาวทิ ยาศาสตร์ ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนต๎น 1. ความแตกตาํ งของการแพรํกบั ออสโมซิสคอื อะไร ก. ออสโมซสิ เปน็ การเคลอ่ื นท่ีของเย่ือบาง ๆ ข. การแพรํไมํต๎องผํานเย่ือบาง ๆ แตํออสโมซสิ ต๎องผํานเยื่อบาง ๆ ค. การแพรเํ กิดจากสารเคลอ่ื นที่จากท่ีทมี่ โี มเลกุล นอ๎ ยไปสูํทที่ ม่ี ีโมเลกุลมากเทําน้นั ง. ถกู ทุกข๎อ 2. กลํุมเซลล์ที่ทาหนา๎ ทเ่ี ปน็ ทํอลาเลียงน้าพบไดใ๎ นสํวนใดของพชื ก. เฉพาะราก ข. รากและลาตน๎ ค. ราก ลาตน๎ และกง่ิ ง. ราก ลาต๎น กิง่ และใบ 3. ขอ๎ ความใดถกู ต๎อง ก. การสงั เคราะหด์ ๎วยแสงของพชื เกดิ ขึน้ ทบี่ รเิ วณใบเทาํ นน้ั ข. พืชสงํ อาหารไปเล้ยี งสํวนตาํ ง ๆ ของลาต๎นในรปู ของนา้ ตาล ค. แกส๏ คาร์บอนไดออกไซด์เกิดจากกระบวนการสงั เคราะห์ดว๎ ยแสง ง. แกส๏ ออกซิเจนเป็นวัตถุดบิ ทใ่ี ชใ๎ นกระบวนการสงั เคราะห์ดว๎ ยแสง 4. สํวนประกอบที่ทาใหด๎ อกครบสวํ นเหมือนกบั ดอกสมบรู ณเ์ พศคอื อะไร ก. มรี งั ไขํและกลีบดอก ข. มีกลบี เล้ยี งและกลีบดอก ค. มเี กสรเพศผ๎ูและเกสรเพศเมีย ง. มกี ลีบเลย้ี ง กลีบดอก และเกสรเพศผ๎ู 5. คากลาํ วใด ไมํถูกต๎อง ก. ถ๎ามกี ารถําย(ละออง)เรณูแลว๎ จะตอ๎ งมีการปฏสิ นธิเกดิ ขึ้นเสมอ ข. การถาํ ย(ละออง)เรณูต๎องอาศยั ลมน้า สัตว์ หรือคนชวํ ยให๎เกดิ ขึน้ ค. การถาํ ย(ละออง)เรณูในดอกเดียวกันจะเกิดเฉพาะดอกสมบูรณ์ เพศเทําน้นั ง. การถําย(ละออง)เรณู หมายถึง การที่ละอองเรณูไปตกลงบนยอดเกสรเพศเมยี เทาํ นั้น 6.ข๎อความใดถูกต๎อง ก. การสังเคราะหด์ ว๎ ยแสงของพชื เกดิ ขน้ึ ท่ีบริเวณใบเทาํ นั้น ข. พืชสํงอาหารไปเล้ยี งสวํ นตําง ๆ ของลาต๎นในรปู ของนา้ ตาล ค. แก๏สคารบ์ อนไดออกไซด์เกิดจากกระบวนการสงั เคราะห์ดว๎ ยแสง ง. แกส๏ ออกซิเจนเปน็ วัตถุดบิ ท่ใี ชใ๎ นกระบวนการสงั เคราะห์ด๎วยแสง 7. การขยายพันธโ์ ดยวธิ กี ารใดที่ทาให๎ไดต๎ ๎นใหมทํ ี่เหมือนต๎นเดมิ จานวนมากในชวํ งเวลาส้ันๆ ก.การตอนกิ่ง ข.การตํอกิง่ ค.การเพาะเมลด็ ง.การเพาะเลีย้ งเน้ือเย้อื
8. สํวนประกอบที่ทาให๎ดอกครบสํวนเหมอื นกับดอกสมบูรณ์เพศคอื อะไร ก. มีรงั ไขํและกลบี ดอก ข. มีกลีบเลยี้ งและกลีบดอก ค. มีเกสรเพศผู๎และเกสรเพศเมยี ง. มกี ลีบเลี้ยง กลีบดอก และเกสรเพศผู๎ 9.ลกู อ๏อดหายใจ โดยอวยั วะใด ก. ทํออากาศ ข. ผิวหนัง ค.เหงือก ง.ปอด 10. ข๎อใดกลําวถกู ต๎องเก่ยี วกับการหายใจเข๎า ก. ปอดพองออก ท๎องแฟบลง ข. กะบังลมหดตัว กระดกู ซโี่ ครงลดตา่ ลง ค. ปอดขยายใหญํข้นึ กะบงั ลมยกตัวสูงข้นึ ง. กระดูกซี่โครงยกตัวสงู ขนึ้ กะบังลมลดต่าลง
ใบงานที่ 1. ใหน๎ ักศึกษาอธิบายทกั ษะทางวิทยาศาสตร์ ประกอบดว๎ ยอะไรบ๎าง ............................................................................................................................. ............................... ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................... ............................................................................................................................. ............................... ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................... ........................................................................................................................................... ................. ................................................................................................................. ........................................... 2. แบํงกลํมุ และรํวมกันอภิปราย สรปุ 6 คุณลกั ษณะของบุคคลทีม่ ีจิตวทิ ยาศาสตร์ ............................................................................................................................. ............................... ............................................................................................................................. ............................... ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................... ................................................................................................................................................. ........... ....................................................................................................................... ..................................... ............................................................................................................................. ............................... ............................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................... ................................................................................................................................ ............................ ...................................................................................................... ...................................................... ............................................................................................................................. ............................... ............................................................................................................................................................
แผนการเรียนรู้รายสัปดาห์ กลุํมสาระการเรียนรู.๎ ...ความรพู๎ นื้ ฐาน.............รายวิชา...........วิทยาศาสตร์..........รหสั วชิ า........พว21001............ เร่อื ง.............โครงงานวิทยาศาสตร์....................................................................................................................... ระดับช้นั ...............มัธยมศกึ ษาตอนต๎น.....................................................จานวน...................6..................ชัว่ โมง วนั ทจี่ ดั การเรียนการสอน..................................................................การพบกลุํมครั้งท่ี.........3............................. ตวั ชว้ี ัด 1. อธบิ ายประเภท การเลือกหัวข๎อ วิธีดาเนินการ และการนาเสนอโครงงาน 2. นาความร๎เู กย่ี วกบั กระบวนการทางวิทยาศาสตรแ์ ละโครงงานไปใช๎ 3. เกดิ กระบวนการกลุมํ เนื้อหา 1. ประเภทของโครงงาน 2. การเลือกหัวขอ๎ โครงงาน 3. การเขียนโครงงาน 4. การวางแผน และการทาโครงงาน 5. การนาเสนอโครงงาน ขนั้ ตอนการจัดกระบวนการเรียนรู๎ ขนั้ ที่ 1. กาหนดสภาพปัญหา (O : Orientation) 1. ทบทวนความรเ๎ู ดิม 2. ครูนาตวั อยํางโครงงานวิทยาศาสตร์มาให๎ผู๎เรียนดู แล๎วครแู ละผู๎เรียนรวํ มกันสนทนา เก่ียวกบั ความหมาย จุดประสงค์ประเภท และการจัดทาโครงงานวิทยาศาสตร์ 3. ผ๎ูเรียนดแู ผนภูมิ วิธีการจดั ทาโครงงานวิทยาศาสตร์ แล๎วรวํ มกนั สนทนาซักถามในส่ิงท่ี สงสยั ครอู ธบิ าย เกยี่ วกบั การจดั ทาโครงงานวิทยาศาสตร์ใหผ๎ ๎ูเรียนเข๎าใจ ขน้ั ท่ี 2 แสวงหาขอ๎ มลู และจัดกิจกรรมการเรยี นรู๎ (N : New ways of learning) 1. ผู๎เรยี นแบํงกลุํม กลุํมละ 5-6 คน ให๎แตํละกลํุมวางแผนการจัดทาโครงงาน โดยเลือก หัวข๎อโครงงานท่ี สนใจ และจัดทาเป็นเค๎าโครงยอํ ของโครงงาน เพ่ือนาเสนอใหค๎ รู ตรวจพจิ ารณา แล๎วนามาแก๎ไขปรบั ปรงุ ตามท่ีครู เสนอแนะ 2. ให๎แตลํ ะกลมุํ วางแผนการจัดทาโครงงานโดยมีครเู ป็นทีป่ รึกษา และดาเนนิ การจัดทา โครงงานตามที่ได๎ วางแผนไว๎ ขน้ั ท่ี 3 การปฏิบัตแิ ละการนาไปประยุกต์ใช๎ (I : Implementation) 1. ตวั แทนแตลํ ะกลุํมออกมานาเสนอผลการจัดทาโครงงาน 2. ครูและผู๎เรียนกลํุมอนื่ ๆ รํวมกนั สนทนาซักถาม 3. ครูและนกั เรยี นรํวมกนั นาเสนอโครงงาน โดยทาเปน็ แผงโครงงาน หรือจัดนิทรรศการ รวํ มกันภายใน กศน. 4. ผู๎เรยี นรํวมกันอภปิ รายวาํ จะนาความร๎ทู ี่ได๎จากการจัดทาโครงงานวทิ ยาศาสตรไ์ ปใช๎ ประโยชน์ใน ชวี ิตประจาวันไดอ๎ ยํางไร
ขน้ั ท่ี 4 การประเมินผลการเรียนร๎ู (E : Evaluation) 1. ครแู ละผู๎เรียนชํวยกันสรุปสาระสาคัญทกุ หัวข๎อ/ลงในกระดาษรวบรวมสํงเป็นรปู เลมํ 2. ประเมินผลการจัดกจิ กรรม ส่อื ประกอบการเรียนรู๎ 1. ตัวอยาํ งโครงงานวิทยาศาสตร์ ทค่ี รูนามาให๎นักเรียนดู 2. แผนภูมวิ ิธกี ารจดั ทาโครงงานวิทยาศาสตร์ 3. แบบบันทึกเสนอโครงงาน การวัดผลและประเมินผล 1. สังเกตการณ์ทากิจกรรมของนักเรยี น 2. ฟังรายงานผลการทากิจกรรมของนักเรยี น และตรวจผลงาน ลงชอ่ื .........................................................ผู๎สอน ( ....................................................... ) ตาแหนํง ครู กศน.ตาบล ความเหน็ ของผบู๎ ริหารสถานศึกษา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่ือ......................................................... (นางสาวสมนกึ พระนาค) ครู รกั ษาการในตาแหนํง ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอสวํางอารมณ์
ใบงานท่ี 1 ประเภทโครงงานวทิ ยาศาสตร์ จงบอกประเภทของโครงงานวทิ ยาศาสตร์ 1. ก๎านผักตบชวากบั การลดปริมาณสารพษิ ในในควนั บุหร่ี ................................................................................................................................................................................ 2. เปลอื กผลไมล๎ บคาผดิ ................................................................................................................................................................................ 3. เคร่อื งแยกไขแํ ดงไขํขาว .................................................................................................... ............................................................................ 4. การสารวจลักษณะทางพันธุกรรมของนักเรียนโรงเรียนบา๎ นบางสาน .................................................................................................... ............................................................................ 5. การอธิบายคลื่นยักษ์ สึนามิ .................................................................................................... ..................................................... ....................... 6. การทากระดาษสาจากใบพืช .................................................................................................... ..................................................... ....................... 7. ปิโตรเลียมเกดิ ขน้ึ ไดอ๎ ยาํ งไร ................................................................................................................................................................................ 8. เครื่องให๎อาหารปลาดุก .................................................................................................... ............................................................................ 9. เตาอบพลังงานแสงอาทิตย์ .................................................................................................... ..................................................... ....................... 10. การวิเคราะหค์ ํามุม โดยใช๎หลกั ปโิ ตรเลียม .................................................................................................... ..................................................... .......................
ใบงานที่ 2 สารวจและเลือกเร่ืองทจ่ี ะทาโครงงาน ตอนที่ 1 เลอื กวเิ คราะห์สภาพปญั หาตํางๆ ในท๎องถิ่น ตามความสนใจและระดับความร๎ขู องผ๎ูเรยี น 1.1 คณุ ภาพของน้า ดิน หรือปญั หาทรพั ยากรธรรมชาติในท๎องถิ่นถกู ทาลาย ปัญหา ...................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................ ......................................................... สาเหตขุ องปัญหา ............................................................................................................................. ......................................................... ............................................................................................................................ ......................................................... แนวคดิ ในการแกป๎ ญั หาโดยใชค๎ วามรท๎ู างวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี .......................................................................................................................................................................... ............ ....................................................................................................................... ............................................................... 1.2 ด๎านการเกษตรหรอื ผลผลิตทางการเกษตรในท๎องถิน่ ปญั หา ............................................................................................................................. ......................................................... ............................................................................................................................ ............................................ ............. สาเหตขุ องปัญหา .................................................................................... ............................................................................................ ...... ............................................................................................................................. ....................................................... แนวคดิ ในการแกป๎ ญั หาโดยใช๎ความรทู๎ างวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ............................................................................................................................. ......................................................... ............................................................................................................................ ......................................................... 1.3 ดา๎ นอุตสาหกรรมในท๎องถิ่น อุตสาหกรรมประเภท ......................................................................................................................................................... ............................. การใช๎วัตถุดิบ ............................................................................................. ............................................................ ............................ ผลผลิตของอุตสาหกรรม ............................................................................................................................. ....................................................... ของเสียของเหลอื ทง้ิ จากกระบวนการผลิต ............................................................................................................................. ........................................................ แนวคดิ ในการแก๎ปัญหาโดยใชค๎ วามรทู๎ างวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ............................................................................................................................. ......................................................... ............................................................................................................................ .........................................................
ตอนที่ 2 ศึกษาเร่ืองราวทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยีตามความสนใจจากแหลํงข๎อมูลตํางๆ เชํน หนังสือพิมพ์ วารสาร โทรทศั น์ อินเทอรเ์ นต็ ภมู ปิ ญั ญาทอ๎ งถ่ิน เอกสารวชิ าการตํางๆ เร่อื งท่ีศกึ ษา ............................................................................................................................. ......................................................... ............................................................................................................................ .......................................................... ................................................................................................................................................... .................................. แหลํงข๎อมูลท่ีศึกษาเรื่องนี้ คือ ............................................................................................................................. ......................................................... ...................................................................................................................................................................................... .................................................................................................................... .................................................................. ............................................................................................................................. ......................................................... สาระสาคัญของเร่ืองที่ศึกษา ............................................................................................................................. ......................................................... ...................................................................................................................................................................................... ........................................................................................................................ .............................................................. ............................................................................................................................. ......................................................... ...................................................................................................................................................................................... แนวคิดของผ๎เู รยี นท่มี ตี ํอเรื่องทศี่ ึกษา ........................................................................................................................................................................... ........... ........................................................................................................................ .............................................................. ............................................................................................................................. ......................................................... ......................................................................................................................................... ............................................. ...................................................................................... ................................................................................................ ..................................................................................................................................... .................................................
แผนการเรยี นรู้รายสปั ดาห์ กลุมํ สาระการเรยี นรู.๎ ...ความรพ๎ู ื้นฐาน.............รายวิชา...........วทิ ยาศาสตร์..........รหสั วชิ า........พว21001............ เรอื่ ง............. สิ่งมีชีวิตและส่งิ แวดล๎อม.................................................................................................................. ระดับชน้ั ...............มัธยมศึกษาตอนต๎น.....................................................จานวน...................6..................ชัว่ โมง วันที่จดั การเรียนการสอน..................................................................การพบกลุํมคร้ังท.่ี ........4............................. ตวั ชวี้ ัด 1. อธบิ ายลักษณะ โครงสรา๎ งองค์ประกอบ และหน๎าที่ของเซลล์ 2. เปรียบเทียบความแตกตํางระหวํางเซลล์พชื และเซลล์สัตว์ เนื้อหา 1. ลักษณะ รปู ราํ งของเซลล์พืชและสตั ว์ 1.1 สงิ่ มชี วี ิตเซลล์เดียว 1.2 สงิ่ มชี วี ิตหลายเซลล์ 2. องคป์ ระกอบโครงสร๎าง และหน๎าที่ของเซลล์พชื และเซลล์สัตว์ 3. กระบวนการทสี่ ารผาํ นเซลล์ 3.1 การแพรํ 3.2 การออสโมซิส ขน้ั ตอนการจัดกระบวนการเรียนรู๎ ขน้ั ที่ 1. กาหนดสภาพปญั หา (O : Orientation) 1. ทบทวนความร๎เู ดมิ 2. ครนู าตวั อยํางเซลลพ์ ืชและเซลล์สัตว์มาให๎ผู๎เรยี นดู แล๎วครแู ละผ๎ูเรียนรํวมกันสนทนา เก่ียวกับรปู รํางของ เซลล์พชื และเซลล์สัตว์ ขน้ั ท่ี 2 แสวงหาขอ๎ มูลและจัดกิจกรรมการเรียนร๎ู (N : New ways of learning) 1. ครใู หผ๎ ๎ูเรียนนาแบบสารวจเซลล์พชื และเซลล์สัตว์แล๎วจดบันทึก 2. ครใู หน๎ กั ศึกษาแบํงกลํุม ทดลอง แบบความสามารถ 3. ให๎นักศึกษาตง้ั ปญั หาและใช๎กระบวนการกลุํม สบื ค๎นข๎อมูล 4. ให๎นักศกึ ษาวิเคราะห์ปัญหา ต้ังสมมุติฐาน วิเคราะห์ข๎อมูล สรา๎ งแบบจาลองจากขอ๎ มลู ทไ่ี ด๎จากการสารวจ ขนั้ ที่ 3 การปฏบิ ัตแิ ละการนาไปประยุกต์ใช๎ (I : Implementation) 1. ตัวแทนแตลํ ะกลุํมออกมานาเสนอข๎อมูลที่ได๎ไปสารวจมา 2. ครูและผเู๎ รียนกลมํุ อนื่ ๆ รวํ มกันสนทนาซักถาม ขน้ั ท่ี 4 การประเมินผลการเรียนรู๎ (E : Evaluation) 1. ครแู ละผเู๎ รยี นชวํ ยกันสรุปสาระสาคัญทุกหวั ขอ๎ /ลงในกระดาษรวบรวมสํงเป็นรปู เลํม 2. ประเมินผลการจัดกิจกรรม
สื่อประกอบการเรียนร๎ู 1. ใบความรู๎ 2. ใบงาน 3. แบบทดสอบ การวัดผลและประเมนิ ผล 1. สังเกตการณ์ทากิจกรรมของผ๎ูเรียน 2. ฟงั รายงานผลการทากิจกรรมของผู๎เรียน และตรวจผลงาน ลงชอ่ื .........................................................ผูส๎ อน ( ........................................................ ) ตาแหนงํ ครู กศน.ตาบล ความเห็นของผบ๎ู รหิ ารสถานศึกษา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอื่ ......................................................... (นางสาวสมนึก พระนาค) ครู รักษาการในตาแหนํง ผ๎ูอานวยการ กศน.อาเภอสวาํ งอารมณ์
เซลล์พชื vs เซลล์สตั ว์ ตารางเปรยี บเทียบความแตกตาํ งระหวํางเซลล์แตํละชนดิ โพรคารโิ อต ยคู าริโอต พชื สตั ว์ ผนงั เซลล์ มี มี ไมมํ ี เย่อื ห๎ุมเซลล์ มี มี มี นิวเคลยี ส ไมํมี มี มี โครโมโซม ไมํมี (เป็นเพยี งรูปวงแหวน) มี มี นิวคลโี อลสั ไมมํ ี มี มี ไรโบโซม มี (ขนาด 70 s) มี (ขนาด 80 s) มี ER ไมมํ ี มี มี กอลจบิ อดี ไมํมี มี มี ไมโทคอนเครีย ไมํมี มี มี พลาสติด ไมํมี มี มี แวควิ โอล ไมมํ ี มี มี (ในบางเซลล)์ ไลโซโซม ไมมํ ี มี (ในบางเซลล์) มี (เป็นสวํ นใหญํ) ขนาดเซลล์ เล็กมาก ( 1-10 ไมครอน) 30-50 ไมครอน 10-20 ไมครอน การหายใจระดับเซลล์ ในไซโทพลาซมึ ในไมโทคอนเดรีย การแบงํ เซลล์ โดยการแบงํ จาก 1 เปน็ 2 หรอื การแตกหนํอ ไมโอซสิ หรือไมโทซสิ สรุปไดว๎ ําสิง่ มีชวี ติ ทุกชนดิ ประกอบไปด๎วยเซลล์ โดยมที ้ังส่งิ มชี วี ิตเซลล์เดยี วและส่ิงมชี ีวิตหลายเซลล์ จนทาให๎ เกิดลักษณะรูปรํางของสิง่ มีชวี ิตแตํละชนิด เชํน พชื สัตว์ มนษุ ย์ และสิ่งมชี วี ติ เหลํานีก้ ส็ ามารถดารงชีวิตอยํูได๎ ปจั จัยที่ เกย่ี วขอ๎ งกบั การดารงชีวิตของส่งิ มีชวี ติ คอื อาหาร เซลล์ก็เชนํ เดยี วกนั เซลล์กม็ ชี วี ิต อาหารของสิ่งมีชวี ติ แตํละชนดิ ก็ ต๎องเป็นอาหารของเซลลด์ ๎วย แตเํ น่ืองจากเซลล์มีขนาดเล็ก นักเรยี นคิดวํา อาหารจะเข๎าสํเู ซลล์นั้น จะผํานเขา๎ โดยวิธี ใด ใหน๎ กั เรียนศึกษาเร่ือง กระบวนการนาสารเขา๎ สูเํ ซลล์
แบบทดสอบ คาชแี้ จง ใหน๎ ักศึกษาเลือกคาตอบท่ีถูกทส่ี ุดเพียงข๎อเดยี ว 1. ขอ๎ ใดมีสมบัตเิ ปน็ เยอื่ เลือกผาํ น ข. คลอโรพลาสต์ ก. แวคิวโอล ง. ไซโทพลาสซึม ค. เยอื่ หุ๎มเซลล์ 2. ใครคือผู๎ต้งั ทฤษฎีเซลล์ ข. โรเบิร์ต ฮุก ก. เทโอดอร์ ชวันน์ ง. ชาลส์ ดาร์วิน ค. หลยุ ส์ ปาสเตอร์ 3. การดภู าพครง้ั แรกของกล๎องจุลทรรศน์ควรเร่ิมใชเ๎ ลนสว์ ตั ถุกาลงั ขยายเทาํ ใดกํอน ก. 100x ข. 40x ค. 20x ง. 10x 4. ถา๎ นาเลนสใ์ กล๎วัตถกุ าลังขยาย 40x และเลนสใ์ กลต๎ ากาลังขยาย 5x ไปตรวจดูวัตถุจะขยายวตั ถุได๎กเี่ ทาํ ก. 200 เทํา ข. 45 เทาํ ค. 100 เทํา ง. 40 เทํา 5. สํวนประกอบของเซลล์สวํ นใดที่ทาหน๎าที่เป็นแหลํงสร๎างพลังงานใหแ๎ กํเซลล์ ก. นวิ เคลียส ข. ไมโทคอนเดรีย ค. คลอโรพลาสต์ ง. ออร์แกเนลล์ 6. ออร์แกเนลล์ที่พบได๎เฉพาะในเซลล์พชื ไมพํ บในเซลลอ์ ื่นคอื ข๎อใด ก. คลอโรพลาสต์และแวควิ โอ ข. คลอโรพลาสต์และนิวเคลียส ค. ไมโทคอนเดรยี และนวิ เคลยี ส ง. กอลจบิ อดีและแวควิ โอล 7. ขอ๎ ใดคือรงควัตถสุ เี ขียวที่สามารถพบอยูํภายในเมด็ เลือดคลอโรพลาสต์ ก. โครโมโซม ข. คลอโรฟลิ ล์ ค. แคโรทนี อยด์ ง. เซลลูโลส 8. เพราะเหตุใดจึงกลําววาํ เซลล์เปน็ หนํวยพื้นฐานของสิง่ มีชีวิต ก. เพราะเป็นหนํวยโครงสรา๎ งท่ีใหญํท่ีสุดของสงิ่ มชี วี ติ ทกุ ชนิด ข. เนอ้ื เยือ่ ของสิ่งมชี วี ิตทกุ ชนิดประกอบด๎วยเซลล์ ค. ส่งิ มชี ีวติ 1 ชนดิ มี 1 เซลล์ ง. เปน็ สิ่งแรกท่ีศึกษาพบ 9. นวิ เคลยี สมีความสาคัญยกเว๎นขอ๎ ใด ข. ควบคมุ การถํายทอดลักษณะทางพันธกุ รรม ก. ควบคุมการทางานของเซลล์ ง. เป็นที่สรา๎ งสารพนั ธุกรรม ค. ควบคุมการผํานเขา๎ ออกของสาร 10. ออรแ์ กเนลล์สํวนใดท่ีสามารถพบได๎ท้ังในเซลลพ์ ชื และเซลล์สัตว์ ก. กอลจิบอดี ข. คลอโรพลาสต์ ค. แวคิวโอล ง. เซนทริโอล
11. การแบํงเซลลแ์ บบไมโทซิส จานวนโครโมโซมในเซลลใ์ หมจํ ะเปน็ เทําใด ก. ครงึ่ หนึง่ ของเซลล์เดมิ ข. เทาํ กับเซลล์เดิม ค. สองเทาํ ของเซลล์เดิม ง. หน่ึงในสข่ี องเซลลเ์ ดมิ 12. การแบํงเซลลแ์ บบไมโทซิส เซลล์ใหมทํ ไ่ี ดม๎ ีลักษณะเป็นอยํางไร ก. เซลล์ เหมอื นเดมิ ทุกประการ ข. เซลล์ เหมือนเดมิ ทุกประการ ค. เซลล์ มีจานวนโครโมโซมลดลงครึง่ หนึ่งของเซลล์เดิม ง. เซลล์ มีจานวนโครโมโซมลดลงครึ่งหนึ่งของเซลลเ์ ดิม 13. การแบงํ เซลลแ์ บบไมโอซิส เซลลใ์ หมทํ ีไ่ ดม๎ ีลักษณะเป็นอยาํ งไร ก. เซลล์ เหมอื นเดมิ ทกุ ประการ ข. เซลล์ เหมือนเดมิ ทุกประการ ค. เซลล์ มจี านวนโครโมโซมลดลงครึง่ หน่ึงของเซลล์เดมิ ง. เซลล์ มจี านวนโครโมโซมลดลงครง่ึ หนึ่งของเซลลเ์ ดิม 14. เซลล์ตอํ ไปน้ี คือ ง. เซลลผ์ วิ หนงั ก. อสจุ ิ ข. ไขํ ค. เซลลเ์ ม็ดเลอื ดขาว ข. ก , ค เซลลใ์ นขอ๎ ใดเกดิ จากการแบงํ เซลลแ์ บบไมโอซิส ง. ค , ง ก. ก , ข ค. ข , ค 15. การแบํงเซลลแ์ บบไมโอซิส มีความสาคญั ตํอสิ่งมชี ีวิตอยํางไร ก. ทาให๎สิง่ มีชวี ิตมีการเจริญเติบโต ข. ทาให๎มีเซลลใ์ หมํทดแทนเซลลท์ ีช่ ารุด ค. ทาให๎สงิ่ มชี วี ติ มีจานวนโครโมโซมคงท่ใี นทุกรํนุ ง. ทาให๎เกิดการรวมกันของเซลลส์ ืบพันธ์ุ 2 เพศ 16. ถา๎ เซลลข์ องส่งิ มชี วี ิตชนิดหน่ึงมีจานวนโครโมโซม 8 คํู เมือ่ มีการแบํงเซลล์แบบไมโอซิสส้นิ สดุ ลง เซลล์ใหมํ ที่ได๎จะมี จานวนโครโมโซมเทําใด ก. 2 โครโมโซม ข. 4 โครโมโซม ค. 8 โครโมโซม ง. 16 โครโมโซม 17. การแบงํ เซลลแ์ บบไมโทซิส แตกตํางจากไมโอซิสอยํางไร ก. ไมโทซสิ ใช๎เวลานานกวําไมโอซิส ข. ไมโทซิสเปน็ การสรา๎ งเซลล์สบื พันธ์ุ ไมโอซิสสรา๎ งเซลลร์ ํางกาย ค. ไมโทซสิ ไดเ๎ ซลล์ใหมํ 4 เซลล์ ไมโอซิสได๎เซลลใ์ หมํ 2 เซลล์ ง. ไมโทซสิ ไมมํ ีการไซแนปซสิ ไคแอสมาและครอสซงิ โอเวอร์ แตํไมโอซสิ มี 18. ขอ๎ ใดกลําวถึงการแบงํ เซลล์แบบไมโอซิสถกู ต๎อง ก. เกดิ ขึน้ กบั เซลลร์ าํ งกายทว่ั ไป ข. แบํงครง้ั เดียว ไดเ๎ ซลลใ์ หมํ 2 เซลล์ เหมือนเดิมทุกประการ ค. แบงํ 2 ครัง้ ไดเ๎ ซลล์ใหมํ 4 เซลล์ มีจานวนโครโมโซมลดลงครง่ึ หน่งึ ของเซลลเ์ ดิม (n) ง. แบํง 2 ครัง้ ไดเ๎ ซลล์ใหมํ 4 เซลล์ เซลลใ์ หมํมจี านวนโครโมโซมเทาํ กบั เซลล์เดิม (2n)
19. เซลลใ์ หมํที่ได๎จากการแบํงแบบไมโอซิส มีสารพนั ธุกรรมเหมอื นเดิมหรอื ไมํ เพราะเหตุใด ก. เหมอื นแนนํ อน เพราะมีการจาลองโครโมโซมขนึ้ มาอกี 1 ชดุ ข. เหมอื นแนนํ อน เพราะมีการแบํงเซลลค์ รั้งเดยี ว เปน็ การแบํงครงึ่ โครโมโซม ค. อาจไมเํ หมือนเดิม เพราะขณะแบํงเซลล์อาจเกดิ ความผดิ พลาด มีบางสํวนของโครโมโซม ขาดหายไป ง. อาจไมเํ หมือน เพราะขณะแบํงเซลล์มีการแลกเปล่ียนบางสวํ นของโครโมโซมจากการไซแนปซสิ ไคแอสมา และครอสซงิ โอเวอร์ 20. เซลลไ์ ขทํ ่ีได๎รับการปฏสิ นธแิ ลว๎ หรือที่เรยี กวําไซโกต (zygote) เจริญเตบิ โตไปเปน็ ตัวอํอน หรือ เอมโอ (embryo) ต๎องอาศยั การแบํงเซลลใ์ นข๎อใด ก. ไมโทซิส หลาย ๆ ครัง้ ข. ไมโอซิส หลาย ๆ คร้ัง ค. ไมโทซสิ สลบั กับไมโอซิส ง. แบํงแบบไมโอซสิ เพยี งอยาํ งเดียว
แผนการเรียนรู้รายสัปดาห์ กลุํมสาระการเรียนร.ู๎ ...ความรพู๎ นื้ ฐาน.............รายวชิ า...........วทิ ยาศาสตร์..........รหสั วิชา........พว21001............ เร่ือง............. เกณฑใ์ นการจาแนกสาร................................................................................................................... ระดบั ชั้น...............มัธยมศึกษาตอนตน๎ .....................................................จานวน...................6..................ช่วั โมง วนั ทจี่ ัดการเรียนการสอน..................................................................การพบกลํมุ ครั้งที.่ ........5............................. ตวั ชว้ี ัด 1.อธิบายความแตกตาํ งและจาแนกธาตุ สารประกอบ สารละลาย และสารผสม 2. สามารถจาแนกสารโดยใช๎เน้ือสารและสถานะเปน็ เกณฑ์ เน้ือหา 1. เกณฑใ์ นการจาแนกสาร 2. การใช๎สถานะใช๎เน้ือสาร 3. สมบัติของธาตุ สารประกอบสารละลาย สารผสม ขั้นตอนการจัดกระบวนการเรียนร๎ู ขนั้ ท่ี 1 การกาหนดสภาพปัญหา ความต๎องการในการเรยี นร๎ู 1. ครูสร๎างความค๎ุนเคยกับผู๎เรยี นทาความเข๎าใจเนื้อหาวิชาวิทยาศาสตรเ์ รื่องเกณฑ์ในการ จาแนกสาร ชีแ้ จง ตวั ชว้ี ัดของหนวํ ยการเรยี นรู๎ 2. ครูทกั ทายกลําวนาอธิบายการกาหนดเปาู หมายและการวางแผนการเรยี นรเ๎ู กณฑใ์ นการ จาแนกสารสมบัติ ของธาตุสารประกอบ สารละลาย สารผสม ขัน้ ท่ี 2 การแสวงหาข๎อมูล และการจัดการเรียนร๎ู 1. ครูและผู๎เรียนวางแผนวิธีการเรียนรู๎เนือ้ หาท่ีกาหนด 2. ผู๎เรียนแบํงกลุํมตามหัวข๎อทกี่ าหนดให๎ โดยวิธกี ารจบั ฉลาก 2.1. เกณฑใ์ นการจาแนกสาร 2.2. สมบัติของธาตุ สารประกอบ สารละลาย สารผสม 2.3. ผ๎ูเรียนศกึ ษาใบความรจ๎ู ากท่แี ตํละกลมํุ จับฉลากได๎โดยให๎เวลาศกึ ษา 15 นาที 2.4. ผู๎เรยี นแตํละกลุํมสํงตวั แทนนาเสนอเรื่องท่ีศึกษา กลํมุ ละไมเํ กิน 5 นาที หน๎าชน้ั เรียน 2.5. ผู๎เรยี นทาแบบทดสอบเรื่องสมบัติของสาร เพ่ือทดสอบความเข๎าใจ ข้นั ท่ี 3 การปฏบิ ัตแิ ละการนาไปประยุกตใ์ ช๎ 1. ครแู ละผ๎ูเรียนสรปุ เนื้อหาท่ีได๎เรียนรูร๎ ํวมกัน ขั้นท่ี 4 การประเมนิ ผล 1. ผ๎ูเรยี นมสี วํ นรํวมในการประเมนิ แบบฝึกหัดของแตลํ ะกลุํมโดยการเขียนชอ่ื ตนเองไว๎ใน ใบงาน 2. ครสู งั เกตจากการมีสํวนรวมของผ๎ูเรียน สอ่ื การเรยี นรู๎ 1. ใบความรู๎ เรอื่ ง เกณฑ์การจาแนกสาร 2. แบบเรยี น
การวัดผลประเมินผล 1. แบบทดสอบ 2. ใบงาน ลงช่อื .........................................................ผ๎สู อน ( ............................................................ ) ตาแหนํง ครู กศน.ตาบล ความเหน็ ของผบ๎ู ริหารสถานศึกษา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงช่อื ......................................................... (นางสาวสมนกึ พระนาค) ครู รกั ษาการในตาแหนํง ผูอ๎ านวยการ กศน.อาเภอสวาํ งอารมณ์
ใบความทรี่ ู้ 1 เร่อื งเกณฑใ์ นการจาแนกสาร เรือ่ งที่ 1 สมบัตขิ องสาร และเกณฑ์ในการจาแนกสาร สมบัตขิ องสาร หมายถงึ ลกั ษณะเฉพาะตัวของสาร เชนํ เนือ้ สาร สี กลนิ่ รส การนาไฟฟูา การละลายนา้ จุดเดือด จดุ หลอมเหลว ความเป็นกรด – เบส เปน็ ตน๎ สารแตลํ ะชนิดมสี มบัตเิ ฉพาะตวั ทแ่ี ตกตาํ งกนั แบํงเปน็ 2 ประเภทคือ 1. สมบัติทางกายภาพของสาร เปน็ สมบตั ขิ องสารท่ีสามารถสังเกตไดง๎ ําย เพื่อบอกลักษณะของสารอยํางครําว ๆ ไดแ๎ กํ สถานะ ความแขง็ ความอํอน สี กลน่ิ ลักษณะผลึก ความหนาแนนํ หรือเป็นสมบตั ิท่ีอาจตรวจสอบไดโ๎ ดยทาการ ทดลองอยํางงาํ ย ๆ ไดแ๎ กํ การละลายนา้ การหาจุดเดือด การหาจุดหลอมเหลว หรือจดุ เยอื กแขง็ การนาไฟฟูา การหา ความถวํ งจาเพาะ การหาความร๎อนแฝง 2. สมบตั ิทางเคมี หมายถงึ สมบัตเิ ฉพาะตัวของสารท่ีเกยี่ วข๎องกบั การเกิดปฏกิ ริ ยิ าเคมี เชํน การเกดิ สารใหมํ การ สลายตัวให๎ได๎สารใหมํ การเผาไหม๎ การระเบดิ และการเกดิ สนิมของโลหะ เป็นตน๎ เกณฑ์ในการจาแนกสาร ในการศึกษาเร่ืองสาร จาเปน็ ตอ๎ งแบงํ สารออกเปน็ หมวดหมํู เพ่อื ใหง๎ าํ ยตํอการจดจาสาร โดยทวั่ ไปนยิ มใช๎ สมบัตทิ างกายภาพด๎านใดดา๎ นหนึ่งของสารเป็นเกณฑ์ในการจาแนกสาร ซึ่งมีหลายเกณฑ์ด๎วยกัน เชนํ 1. ใชส๎ ถานะเป็นเกณฑ์ จะแบํงสารออกได๎เป็น 3 กลมํุ คือ 1.1 ของแข็ง ( solid ) หมายถึงสารทมี่ ีลักษณะรปู ราํ งไมเํ ปลยี่ นแปลง และมีรูปราํ งเฉพาะตัว เนือ่ งจาก อนุภาคในของแข็งจดั เรยี งชิดตดิ กันและอดั แนนํ อยํางมรี ะเบียบไมํมีการเคล่ือนที่หรือเคลื่อนที่ได๎ น๎อยมาก ไมํสามารถ ทะลผุ าํ นได๎และไมํสามารถบบี หรอื ทาให๎เลก็ ลงได๎ เชํน ไม๎ หิน เหล็ก ทองคา ดนิ ทราย พลาสติก กระดาษ เป็นตน๎ 1.2 ของเหลว ( liquid ) หมายถึงสารทม่ี ีลักษณะไหลได๎ มรี ูปราํ งตามภาชนะทบ่ี รรจุ เน่ืองจากอนภุ าคใน ของเหลวอยหํู าํ งกนั มากกวาํ ของแข็ง อนุภาคไมยํ ึดติดกนั จงึ สามารถเคลื่อนที่ได๎ในระยะใกล๎ และมแี รงดงึ ดดู ซง่ึ กันและ กนั มปี ริมาตรคงที่ สามารถทะลผุ ํานได๎ เชํน น้า แอลกอฮอล์ นา้ มันพืช นา้ มนั เบนซนิ เปน็ ตน๎ 1.3 แกส๏ ( gas ) หมายถึงสารทลี่ ักษณะฟูงุ กระจายเตม็ ภาชนะที่บรรจุ เนื่องจากอนภุ าคของแก๏สอยูหํ ํางกัน มาก มีพลังงานในการเคล่ือนท่ีอยาํ งรวดเรว็ ไปได๎ในทุกทิศทางตลอดเวลา จงึ มีแรงดึงดดู ระหวํางอนภุ าคน๎อยมาก สามารถทะลุผํานไดง๎ ําย และบบี อดั ให๎เล็กลงไดง๎ ําย เชํน อากาศ แก๏สออกซิเจน แกส๏ หุงตม๎ เป็นตน๎ 2. ใช๎ความเปน็ โลหะเปน็ เกณฑ์ แบงํ ไดเ๎ ป็น 3 กลมํุ คือ 2.1 โลหะ ( metal) 2.2 อโลหะ ( non-metal ) 2.3 กึง่ โลหะ ( metaliod ) 3. ใช๎การละลายน้าเปน็ เกณฑ์ แบํงได๎ 2 กลํุม คือ 3.1 สารทีล่ ะลายนา้ 3.2 สารทไี่ มลํ ะลายน้า 4. ใชเ๎ น้ือสารเปน็ เกณฑ์ แบํงออกเป็น 2 กลมํุ คือ 4.1 สารเน้อื เดียว ( homogeneous substance ) 4.2 สารเนือ้ ผสม ( heterogeneous substance
ใบความร้ทู ี่ 2 สมบตั ขิ องธาตุ สารประกอบ สารละลาย สารผสม ธาตุ (Element) หมายถึง สารบริสุทธ์ิท่ีมีองค์ประกอบอยํางเดียว ธาตุไมํสามารถจะนามาแยกสลายให๎ กลายเป็นสารอ่ืนโดยวิธีการทางเคมี ธาตุมีทั้งสถานะที่เป็นของแข็ง เชํน ธาตุสังกะสี(Zn) ตะก่ัว (Pb) เงิน (Ag) และ ดีบุก (Sn) , เป็นของเหลว เชํน ปรอท (Hg) เป็นก๏าซ เชํน ไนโตรเจน (N2) ฮีเลียม (He) ออกซิเจน (O2) ไฮโดรเจน (H2) เปน็ ตน๎ สารประกอบ (compound) หมายถึง “สารบริสุทธิ์เน้ือเดียวที่เกิดจากธาตุตั้งแตํสองชนิดข้ึนไปเป็น องค์ประกอบ” สารประกอบเกิดจากการรวมตวั ของธาตุโดยวิธีการทางเคมี สามารถแยกสลายให๎เกิดเป็นสารใหมํหรือ กลับคืนเป็นธาตุเดิมได๎ สารประกอบจะมีสมบัติเฉพาะตัวท่ีแตกตํางจากธาตุเดิม เชํน น้า มีสูตรเคมีเป็น H2O น้าเป็น สารประกอบท่ีเกิดจากธาตไุ ฮโดรเจน (H) และออกซิเจน (O) แตํมีสมบัติแตกตํางจากไฮโดรเจนและออกซิเจน น้าตาล ทรายประกอบดว๎ ยธาตุคารบ์ อน ( C ),ไฮโดรเจน (H) ,และออกซเิ จน (O) เป็นต๎น สารละลาย (solution) หมายถึง สารเน้ือเดียวทไ่ี มบํ ริสุทธิ์ เกดิ จากสารตง้ั แตํ 2 ชนิดขึน้ ไปมารวมกนั สารผสม หมายถึง สารท่ีมีองค์ประกอบภายในแตกตํางกัน หรือสารที่เน้ือไมํเหมือนกันทุกสํวน เชํน พริก เกลือ คอนกรีต ดินหรืออาจเป็นสารตั้งแตํสองชนิดข้ึนไปผสมกันอยํู โดยท่ีสารเหลําน้ียังมีสมบัติเหมือนเดิมและ สามารถแยกออกจากกันได๎โดยวิธงี ํายๆ
แบบทดสอบ คาช้ีแจง จงเลือกคาตอบท่ีคดิ วาํ ถูกตอ๎ งทีส่ ดุ เพียงคาตอบเดียวในแตํละข๎อ 1) ขอ๎ ใดไมํใชสํ สาร ก. เกลอื แกงใสลํ งในอาหาร ข. เสียงของสนุ ัขหอน ค. นา้ แกงกาลงั เดือด ง. สายไฟทท่ี าจากพลาสติก 2) ทองเหลืองจดั เปน็ สารประเภทใด ก. ธาตุ ข. สารประกอบ ค. สารละลาย ง. สารเน้อื ผสม 3) ขอ๎ ใดตํอไปนเ้ี ป็นความหมายของสารประกอบ ก. โมเลกลุ ของสารประกอบดว๎ ยธาตุ 2 อะตอมขนึ้ ไป ข. สารทธี่ าตเุ ป็นชนดิ เดยี วกนั ค. สารท่เี กดิ จากธาตุ 2 ชนดิ ขึ้นไปมารวมกัน ง. ผลิตภณั ฑท์ ่ไี ด๎จากการทาปฏกิ ริ ยิ ากนั ของสาร 2 ชนดิ 4) ขอ๎ ความตํอไปนี้ขอ๎ ใดถูกต๎อง ก. สารละลายทุกชนดิ เป็นสารบรสิ ุทธิ์ ข. สารบรสิ ทุ ธิ์บางชนิดเป็นสารเนอื้ เดียว ค. สารประกอบทุกชนดิ เปน็ สารเนื้อเดยี ว ง. ธาตบุ างชนิดเปน็ สารเน้ือเดยี ว 5) ถา๎ จัดเหล็ก นา้ เช่ือม และสารละลายกรดซัลฟิวริก ให๎อยํูในกลมุํ เดยี วกนั จะต๎องใช๎อะไรเป็นเกณฑ์ในการจดั ก. การนาไฟฟูา ข. การละลาย ค. การเปน็ สารเนอ้ื เดียวกัน ง. สมบตั เิ ปน็ กรด-เบส 6) วธิ กี ารกลน่ั น้าใหบ๎ รสิ ทุ ธแิ์ บบธรรมดาจะไมเํ หมาะสม เม่ือนามาใช๎กับอะไร ก. น้าทะเล ข. นา้ คลอง ค. นา้ ผสมแอลกอฮอล์ ง. สารละลายโพแทสเซียมคลอไรด์ 7) การแยกนา้ มนั ดิบสํวนใหญํอาศยั วธิ ีการแบบใด ก. การสันดาป ข. การกลน่ั ลาดับสวํ น ค. การตกตะกอนลาดบั สํวน ง. การสลายตัวดว๎ ยความร๎อน
8) กรดในข๎อใดเปน็ กรดอินทรีย์ทง้ั หมด ก. นา้ มะขาม กรดไฮโดรคลอรกิ ข. นา้ มะนาว กรดไนตริก ค. กรดแอซิติก นา้ มะนาว ง. นา้ มะขาม กรดซลั ฟวิ ริก 9) สารใดตํอไปนมี้ สี ภาพเป็นเบส ทงั้ หมด ก. นา้ มะนาว นา้ อัดลม ข. น้ามะขาม นา้ เกลอื ค. สารละลายผงซักฟอก นา้ ข้เี ถ๎า ง. สารละลายยาสฟี ัน น้ายาลา๎ งจาน 10) สบูํเกิดจากปฏกิ ริ ยิ าเคมีระหวํางสง่ิ ใด ก. แชมพกู บั นา้ มันพืช ข. กรดกบั ไขมนั สตั ว์ ค. ไขมนั สัตว์กับนา้ ข้ีเถ๎า ง. ไมํมขี ๎อใดถกู
แผนการเรยี นรู้รายสัปดาห์ กลมุํ สาระการเรียนร.ู๎ ...ความรพ๎ู ้นื ฐาน.............รายวิชา...........วิทยาศาสตร์..........รหสั วิชา........พว21001............ เรือ่ ง............. การจาแนกธาตุ....................................................................................................... ระดับชั้น...............มัธยมศึกษาตอนต๎น.....................................................จานวน...................6..................ชั่วโมง วนั ทีจ่ ดั การเรยี นการสอน..................................................................การพบกลุํมครั้งท่.ี ........6............................. ตวั ชว้ี ัด 1. อธิบายและจาแนกธาตุ สารประกอบ โลหะ อโลหะ และโลหะก่ึงอโลหะได๎ 2. บอกผลกระทบที่เกิดจากธาตกุ ัมมันตรังสไี ด๎ 3. อธิบายการเกิดสารประกอบได๎ 4. บอกธาตแุ ละสารประกอบทใ่ี ช๎ในชีวิตประจาวันได๎ เนื้อหา 1. สมบัติของโลหะ อโลหะ และโลหะก่งึ อโลหะ 2. ธาตุกัมมันตรงั สี 3. สารประกอบ 3.1 ความหมาย 3.2 การเกดิ สารประกอบ 3.3 ธาตแุ ละสารในชวี ิตประจาวัน ขน้ั ตอนการจดั กระบวนการเรียนร๎ู ขนั้ ที่ 1 การกาหนดสภาพปัญหาความต๎องการในการเรียนรู๎ 1. ครูสร๎างความคุ๎นเคยทาความเข๎าใจกบั วิชาพร๎อมมาตรฐานและชีแ้ จงตัวช้ีวัดของหนํวยการเรียนร๎ู 2. ครูทักทายกลําวนาอธิบายการกาหนดเปาู หมายและการวางแผนการเรียนร๎ู เกย่ี วกบั การจาแนกธาตุ 3. ครแู ละผ๎ูเรียนรํวมกันอภิปรายความหมายและสมบัติของธาตุแตลํ ะประเภท 4. ครูเปดิ โอกาสให๎ผ๎ูเรียนซักถามข๎อสงสยั กํอนนาเข๎าสํูบทเรียน ขนั้ ที่ 2 การแสวงหาข๎อมูลและการจดั การเรียนรู๎ 1. ครูและผู๎เรียนวางแผนวิธีการเรียนรู๎เนื้อหาท่ีกาหนด 2. ครอู ธิบายความหมายและสมบัติของธาตุแตํละประเภท 3. ครใู ห๎ผู๎เรยี นศึกษาใบความรูเ๎ รือ่ ง การจาแนก 4. ครแู ละผ๎ูเรยี นรํวมกันสรุปสมบัตขิ องธาตแุ ตํละประเภทธาตุ และให๎ผู๎เรียนบันทึกลงสมดุ เรียนร๎ู 5. ผู๎เรียนทาใบงานเรื่อง การจาแนกธาตุ ขนั้ ที่ 3 การปฏบิ ัตแิ ละการนาไปประยุกต์ใช๎ 1. ครูและผเู๎ รยี นสรปุ เนอ้ื หาทีไ่ ด๎เรียนรร๎ู วํ มกนั ขน้ั ที่ 4 การประเมนิ ผล 1. ผ๎ูเรียนมีสํวนรํวมในการประเมินใบงานของแตํละกลํุมโดยการเขยี นชือ่ ตนเองไว๎ในใบงาน 2. ครสู ังเกตจากการมีสํวนรํวมของผู๎เรยี น
สือ่ การเรยี นร๎ู 1. ใบความรู๎ เร่ืองและสารประกอบ 2. ใบงาน เรอ่ื งและสารประกอบ 3. หนงั สอื เรยี นวิชาวิทยาศาสตร์ ม.ต๎น 4. อนิ เตอร์เนต็ การวัดและผลประเมิน 1. ใบงาน 2. สมดุ บันทึกการเรียนร๎ู ลงช่ือ.........................................................ผู๎สอน ( ........................................................ ) ตาแหนํง ครู กศน.ตาบล ความเหน็ ของผบู๎ รหิ ารสถานศึกษา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชือ่ ......................................................... (นางสาวสมนึก พระนาค) ครู รกั ษาการในตาแหนํง ผู๎อานวยการ กศน.อาเภอสวาํ งอารมณ์
ใบความรู้ เร่ือง การจาแนกธาตุ 1. สมบตั ขิ องโลหะ อโลหะ และโลหะก่งึ อโลหะ โลหะ (Metal) เป็นกลํมุ ธาตุที่มีสมบตั เิ ป็นตัวนาไฟฟูาได๎ นาความรอ๎ นที่ดเี หนียว มจี ุดเดือดสงู ปกติเปน็ ของแข็งที่อุณหภมู หิ ๎อง (ยกเวน๎ ปรอท) เชนํ แคลเซยี มอะลูมิเนยี ม เหลก็ เป็นต๎น สมบตั ขิ องโลหะ 1. มีสถานะเป็นของแข็งท่อี ุณหภูมิปกติ (ยกเวน๎ ปรอท เป็นของเหลว) 2. มจี ดุ เดือดและจุดหลอมเหลวสูง 3. แขง็ และเหนียวสามารถตเี ป็นแผํนบางๆ หรือดงึ ใหเ๎ ปน็ เสน๎ ได๎ 4. นาไฟฟาู และนาความร๎อนได๎ดี การนาไฟฟูาลดลงเม่ืออุณหภมู สิ ูงข้นึ 5. มีความแตกตาํ งของอุณหภูมริ ะหวาํ งจดุ เดือดและจุดหลอมเหลวกวา๎ ง 6. เคาะมีเสียงดังกงั วาน 7. ขดั เป็นมนั วาว 8. มีความหนาแนํนสูง แตํบางชนดิ มีความหนาแนํนตา่ ได๎แกํ โลหะเบา เชนํ ธาตุหมูํ I A และ II A 9. มีคํา EN ตา่ จงึ เสยี อิเลก็ ตรอนได๎งํายเกิดเป็นไอออนบวก เชํน Li+ Na+ 10. ทาปฏิกิริยากับกรดเกดิ ก๏าช ไฮโดรเจน ยกเว๎นโลหะมีตระกูล อโลหะ (Non-metal) เปน็ กลมํุ ธาตทุ ีม่ ีสมบัติไมํนาไฟฟูา มจี ดุ หลอมเหลวและจดุ เดือดตา่ เปราะบาง และมี การแปรผันทางด๎านคุณสมบตั ิทางกายภาพมากกวําโลหะ เชนํ ออกซิเจน กามะถัน ฟอสฟอรสั เปน็ ต๎น สมบตั ิของอโลหะ 1. มที ง้ั 3 สถานะ คอื ของแข็ง เชํน คาร์บอน (C) กามะถนั (S) ของเหลว เชํน โบรมนี (Br2) และก๏าช เชํน ไฮโดรเจน (H2) ออกซิเจน (O2) 2. มจี ดุ เดอื ดและจดุ หลอมเหลวตา่ ยกเว๎นแกรไฟต์ 3. เปราะ แตกงําย ตเี ปน็ แผนํ หรอื ดงึ เปน็ เสน๎ ไมไํ ด๎ 4. ไมนํ าไฟฟูาและความร๎อน ยกเวน๎ แกรไฟต์ 5. มีความแตกตาํ งของอณุ หภูมิระหวาํ งจดุ เดือด และจุดหลอมเหลวแคบ 6. เคาะไมมํ เี สียงกังวาน 7. ผวิ ไมํมนั วาว 8. มคี วามหนาแนนํ ต่า 9. มคี ํา EN สงู จึงรับอิเลก็ ตรอนได๎งํายเกดิ เปน็ ไอออนลบ เชนํ Cl- Br- กงึ่ โลหะ (Metalloid) เปน็ กลุํมธาตุท่ีมีสมบตั ิกา้ ก่ึงระหวาํ งโลหะและ อโลหะ เชํน ธาตซุ ลิ ิคอน และเจอเม เนยี ม มีสมบัตบิ างประการคล๎ายโลหะ เชนํ นาไฟฟาู ได๎บ๎างที่อุณหภูมิปกติ และนาไฟฟูาได๎มากข้ึนเมื่ออุณหภูมิเพ่ิมข้นึ เป็นของแขง็ เป็นมนั วาวสเี งิน จุดเดอื ดสูง แตํเปราะแตกงํายคลา๎ ยอโลหะ 2. ธาตุกัมมนั ตรงั สี กัมมนั ตภาพรังสมี ี 3 ชนิด คอื 1. รงั สีแอลฟา (alpha, a) คือ นิวเคลยี สของอะตอมธาตุฮเี ลยี ม 42He มีประจุ ไฟฟาู +2 มีมวลมาก ความเรว็ ตา่ อานาจทะลทุ ะลวงนอ๎ ย มพี ลงั งานสงู มากทาใหเ๎ กดิ การ แตกตวั เป็นอิออนไดด๎ ที ีส่ ดุ 2. รงั สีเบต๎า (Beta, b) มี 2 ชนดิ คอื อิเลคตรอน 0e-1 (ประจุลบ) และ โฟซติ รอน 0e+1 (ประจุบวก) มี ความเรว็ สูงมากใกลเ๎ คยี งกบั ความเรว็ แสง 3. รงั สแี กมมา (gamma, g) คอื รงั สีท่ีไมมํ ีประจไุ ฟฟาู หมายถึง โฟตอนหรือควอนตมั ของแสง มีอานาจใน การทะลุทะลวงไดส๎ งู มาก ไมํเบีย่ งเบนในสนามแมเํ หลก็ และสนามไฟฟูา เปน็ คลนื่ แมํเหลก็ ไฟฟูาที่มีความถ่ีสูงกวํารังสี เอกซ์
คุณสมบัติของกมั มันตภาพรงั สี 1. เดนิ ทางเปน็ เส๎นตรง 2. บางชนดิ เกิดการเลี้ยวเบนเม่ือผาํ นสนามแมํเหล็กและสนามไฟฟูา เชํน a , b 3. มีอานาจในการทะลุสารตาํ งๆ ได๎ดี 4. เม่ือผาํ นสารตาํ ง ๆ จะสูญเสยี พลังงานไป โดยการทาใหส๎ ารนน้ั แตกตัวเป็นอิออน ซึง่ อิออนเหลําน้ันจะ กอํ ให๎เกดิ ปรากฏการณ์อื่น ๆ เชนํ ปฏกิ ิริยาเคมี เกิดรอยดาบนฟลิ ์มถาํ ยรูป ประโยชนข์ องธาตุกมั มนั ตรงั สี 1. ทาเตาปฏกิ รณ์ปรมาณู ทาโรงงานไฟฟูาพลังงานปรมาณู และเรอื ดานา้ ปรมาณู 2. ใชส๎ รา๎ งธาตุใหมํหลังยูเรเนียม สร๎างขึ้นโดยยิ่งนวิ เคลียสของธาตุหนักด๎วยอนภุ าคแอลฟา หรอื ด๎วย นิวเคลียสอื่นๆ ที่คํอนขา๎ งหนัก และมีพลงั งานสงู 3. ใชศ๎ ึกษากลไกของปฏิกริ ยิ าเคมี เชํน การเกดิ ปฏิกิริยาของเอสเทอร์ 4. ใช๎ในการหาปรมิ าณวเิ คราะห์ 5. ใชใ๎ นการหาอายุของซากสิ่งมชี วี ติ (C - 14) 6. การรักษาโรค เชนํ มะเร็ง (Ra - 226) 7. ใชใ๎ นการถนอมอาหารใหอ๎ ยไูํ ดน๎ านๆ (Co-60) 8. ใช๎ ศึกษาความต๎องการปุย๋ ของพชื และ ปรับปรุงเมล็ดพันธ์ุทต่ี อ๎ งการ(P - 32) อันตรายจากกมั มนั ตภาพรงั สี 1. รังสแี กมมา มอี านาจการทะลุทะลวงมากและสามารถทาลายเนือ้ เยื่อของรํางกายได๎ 2. รงั สีแอลฟาและรงั สเี บตา๎ เป็นรังสีท่มี ีอนภุ าคสามารถทาลายเน้ือเย่อื ได๎ดี ถึงแม๎จะมีอานาจการทะลุทะลวง เทาํ กับรังสแี กมมา แตํถ๎าหากรังสีชนดิ นไี้ ปฝังบริเวณเน้อื เย่ือของราํ งกายแลว๎ กม็ ีอานาจการทาลายไมแํ พร๎ งั สีแกมมา 3. รงั สีเอ็กซ์ สามารถปลอํ ยประจุไฟฟูาแรงสงู ในท่ีสญุ ญากาศ อันตรายอาจจะเกดิ ขึ้น ถา๎ หากรังสีเอ็กซร์ ัว่ ไหล ออกจากเครือ่ งมอื และออกสํูบรรยากาศ สมั ผัสกบั รงั สเี อก็ ซม์ ากเกนิ ไป เชนํ จากหลอดเอก็ ซเ์ รย์ก็จะเกดิ โรคผวิ หนงั ที่ มอื มลี กั ษณะหยาบผวิ หนงั แห๎งมีลกั ษณะคล๎ายหดู แห๎งและเลบ็ หักงาํ ย ถา๎ สมั ผสั ไปนาน ๆ เขา๎ กระดกู ก็จะถูกทาลาย 4. รงั สที ีส่ ามารถมองเหน็ และรังสอี ัลตราไวโอเลตหรอื รังสเี หนือมวํ ง รังสีชนิดนจ้ี ะไมทํ ะลุ ทะลวงผาํ นชั้นใต๎ ผิวหนงั รังสีอลั ตราไวโอเลตจะมีอนั ตรายรนุ แรงกวาํ รงั สอี นิ ฟราเรด และจะทาให๎ผิวหนงั ไหม๎เกรยี ม และทาอันตรายตํอ เลนซต์ า คนทว่ั ๆ ไปจะไดร๎ ับรงั สีอัลตราไวโอเลตจากแสงอาทิตย์ ฉะนั้นคนท่ที างานกลางแสงอาทติ ยแ์ ผดกลา๎ ติดตํอกนั เป็นระยะเวลานาน โอกาสท่จี ะเปน็ เนื้องอกตามบริเวณผวิ หนงั ทถ่ี ูกแสงแดดในท่ีสดุ ก็จะกลายเป็นเน้ือร๎าย หรือมะเร็งได๎ รังสอี ลั ตราไวโอเลตจะมีอันตรายตอํ ผวิ หนังมากขนึ้ ถา๎ หากผิวหนงั ของเราไปสัมผัสกับสารเคมบี างอยาํ ง เชนํ ครโี ซล ซึ่งเป็นสารเคมีท่ีมีความไวตํอแสงอาทติ ย์มาก 3. สารประกอบ 3.1 ความหมาย สารประกอบ ( Compound ) หมายถงึ สารบรสิ ุทธ์ิท่เี กิดจากธาตตุ ้งั แตํ 2ชนดิ ข้ึนไป รวมตวั กนั ทางเคมี ในอตั ราสวํ นโดยมวลคงท่ี มีจดุ เดือด จุดหลอมเหลวคงที่และมีสมบัติตํางจากธาตุองค์ประกอบเดิมและไมสํ ามารถแยก กลบั เป็นสารเดิมไดโ๎ ดยงาํ ย เชนํ CO2 , H2O , KMnO4 , Cu (NH 3)4 SO4 , NaCl เปน็ ตน๎ 3.2 การเกิดสารประกอบ สารประกอบเกิดจากการสรา๎ งพนั ธะเคมีระหวาํ งอะตอมของธาตุตาํ งชนดิ กนั โดยการแลกเปล่ยี นอนภุ าค มูลฐานภายในอะตอม การรวมตัวของธาตุเป็นสารประกอบนัน้ เป็นทีน่ าํ สงสัยวาํ สารประกอบทเ่ี กดิ ขึ้นน้ันมีสมบัตทิ ่ี แตกตาํ งกนั ไป และแตกตาํ งไปโดยสิน้ เชิงจากสมบตั ขิ องธาตุเดมิ ท่ีเปน็ องค์ประกอบ ตวั อยําง เชนํ นา้ ตาลทราย เป็น สารประกอบทีเ่ กิดจากธาตุคารบ์ อน (C) ไฮโดรเจน (H) และ ออกซิเจน (O)
นา้ เปน็ สารประกอบท่เี กิดจากธาตุไฮโดรเจน (H) และออกซเิ จน (O) ดงั ภาพ
ใบงาน เรอ่ื ง การจาแนกธาตุ ตอนท่ี 1 ตอบคาถามตํอไปน้ี 1. ความแตกตํางของธาตุ และธาตุกมั มันตรงั สี คอื อะไร ............................................................................................................................................................................... .......... ......................................................................................................................... ................................................................ ............................................................................................................................. ........................................................... 2. บอกรงั สที ี่ได๎จากธาตุกมั มันตรงั สี 3 ชนิด พร๎อมทั้งสญั ลกั ษณ์ และการทะลุทะลวง ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................. .................................................................................................... .................... 3. ยกตัวอยํางโลหะ อโลหะ และโลหะก่งึ อโลหะ มา 1 อยําง พรอ๎ มเหตุผล ............................................................................................................................. ............................................................ ...................................................................................................................................... ................................................... ......................................................................................................................................................................................... 4. บอกประโยชนข์ องธาตุกัมมนั ตรังสมี า พร๎อมยกตัวอยาํ งมา 2 ขอ๎ ............................................................................................................................. ............................................................ .......................................................................................................................................... ............................................... .................................................................................... ..................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ........................................................... 5. ยกตวั อยํางสารประกอบที่ใช๎ในชีวิตประจาวัน 3 ชนดิ พรอ๎ มทัง้ บอกองคป์ ระกอบ ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................................................ ......................... .......................................................................................................... ............................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ...........................................................
ตอนท่ี 2 ให๎ผ๎ูเรยี นศกึ ษาคน๎ ควา๎ และเสนอความคดิ เหน็ แล๎วบันทกึ รายงานในหวั ข๎อ ดังนี้ 2.1 ธาตุกมั มนั ตรงั สี กบั โรงไฟฟาู ในประเทศไทย ............................................................................................................................. .......................................................... .. ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ....................................................................................................................................................... .................................. ................................................................................................. ........................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ........................................................... 2.2 อาหารอาบกัมมันตรังสี ............................................................................................................................. ............................................................ .............................................................................................................................................................................. ........... ........................................................................................................................ ................................................................. ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................... ...................................................... ......................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................................................... .......................... ......................................................................................................... ................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................................
แผนการเรยี นรู้รายสปั ดาห์ กลมํุ สาระการเรียนร.๎ู ...การประกอบอาชีพ..รายวิชา.....พัฒนาอาชพี ให๎มคี วามเข๎มแข็ง....รหัสวิชา....อช21003...... เรอ่ื ง.............ศักยภาพธรุ กิจ.................................................................................................................................... ระดับช้นั ...............มัธยมศึกษาตอนต๎น.....................................................จานวน...................6..................ชว่ั โมง วนั ทจ่ี ัดการเรยี นการสอน..................................................................การพบกลุํมครั้งที่.........7............................. ตัวชี้วัด 1.อธบิ ายความหมาย ความสาคญั และความจาเป็นของการพฒั นาอาชีพเพื่อความเข๎มแข็ง 2.สามารถวเิ คราะห์ตาแหนงํ ธุรกจิ ในระยะตําง ๆ เนือ้ หา 1.ความหมาย ความสาคัญและความจาเป็นในการพฒั นาอาชพี 2.การวเิ คราะห์ตาแหนงํ ธุรกิจ - ระยะเร่มิ ตน๎ - ระยะสร๎างตัว - ระยะทรงตวั - ระยะตกต่าหรือสงู ข้นึ ขัน้ ตอนการจัดกระบวนการเรียนรู๎ ข้ันที่ 1 กาหนดสภาพปญั หาความตอ๎ งการ 1.ครอู ธิบายแนวทางในการศึกษาค๎นคว๎าข๎อมูลทม่ี อบหมาย 2.ครูสนทนาแลกเปลยี่ นเรียนร๎กู บั ผ๎ูเรยี น ขั้นท่ี 2 แสวงหาข๎อมลู และการจัดการเรียนร๎ู ครูมอบหมายให๎ผ๎เู รยี นไปศึกษาเกยี่ วกบั เรื่องดังนี้ 1.ความหมาย ความสาคัญและความจาเป็นในการพัฒนาอาชพี 2.ความจาเป็นของการวิเคราะห์ศักยภาพธุรกจิ 3.การวเิ คราะหต์ าแหนงํ ธรุ กจิ - ระยะเรมิ่ ต๎น - ระยะสรา๎ งตวั - ระยะทรงตวั - ระยะตกต่าหรือสูงขน้ึ 4.การวเิ คราะหธ์ ุรกจิ ตามศักยภาพ 5 ด๎านไดแ๎ กศํ ักยภาพของทรพั ยากรธรรมชาติในแตํละพน้ื ที่ ศักยภาพของพื้นท่ีตามลักษณะภมู อิ ากาศ ศกั ยภาพของภูมิประเทศและทาเลท่ตี ง้ั ของแตํละพน้ื ที่ศักยภาพ ของศิลปวัฒนธรรม ประเพณีและวิถชี ีวิตของแตลํ ะพน้ื ท่ีศักยภาพของทรัพยากรมนุษย์ในแตํละพื้นทบี่ น เสน๎ ทางของเวลา
ขั้นที่ 3 การปฏิบตั ิและนาไปประยุกตใ์ ช๎ 1.ครูสรุปผลจากการนาเสนอและการชักถามของผูเ๎ รยี นเรื่องการพัฒนาอาชพี และความสาคัญของ การพัฒนาอาชพี ครูสงั เกตพฤติกรรมผเ๎ู รยี นโดยใช๎แบบบันทึกการสงั เกตพฤติกรรมผูเ๎ รียน และใหผ๎ ูเ๎ รียน บนั ทกึ กิจกรรมลงในสมุดบันทึกกจิ กรมในสัปดาห์ที่ 1 ใชเ๎ วลา 20 นาทคี รูตรวจงาน 10 นาที มอบหมาย งานบทเรียน เรือ่ งการจัดทาแผนการตลาด บทที่ 2 ในการพบกลํมุ ครง้ั ตอํ ไป 2.ครูใหผ๎ ๎ูเรยี นไปศึกษาคน๎ คว๎าในเรือ่ งศักยภาพธรุ กิจ ทีส่ ามารถนาไปประยุกต์ใช๎ในชวี ิตประจาวัน โดยจัดทาเปน็ รูปเลํมรายงาน ข้นั ท่ี 4 การประเมนิ ผลการเรียนร๎ู 1. ใบงาน 2. รายงาน ส่ือการเรยี นรู๎ ใบความร๎ู วดั ผลประเมินผล 1.ใบงาน 2.ชน้ิ งาน ลงช่ือ.........................................................ผ๎สู อน ( ........................................................ ) ตาแหนํง ครู กศน.ตาบล ความเห็นของผบู๎ รหิ ารสถานศึกษา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชื่อ......................................................... (นางสาวสมนึก พระนาค) ครู รกั ษาการในตาแหนํง ผอู๎ านวยการ กศน.อาเภอสวํางอารมณ์
ใบความรทู้ ี่ 1 การพัฒนาอาชีพเพ่ือความเข๎มแขง็ การพฒั นาอาชพี หมายถงึ การประกอบอาชีพท่ีมีการพฒั นาสินคา๎ หรอื ผลติ ภัณฑ์ให๎ตรงกับความต๎องการของลูกคา๎ อยํู ตลอดเวลา โดยมีสํวนครองตลาดไดต๎ ามต๎องการของผู๎ผลิตแสดงถึงความม่นั คงในอาชีพ การพัฒนาอาชพี เพ่ือความเข๎มแข็ง มีความจาเป็นและสาคัญ คอื 1. ทาให๎อาชีพทีป่ ระกอบการเจรญิ กา๎ วหน๎าขนึ้ เข๎มแข็ง พ่ึงตนเองได๎ 2. ทาผป๎ู ระกอบการพฒั นาตนเองไมํล๎าสมัย 3. ชํวยให๎สรา๎ งภาพลักษณท์ ี่ดีให๎กับตนเองและกิจการหรือองค์กร 4. ทาให๎องค์กรดงึ บุคลากรที่มคี วามสามารถสงู เข๎ามาทางานได๎มากขึ้น 5. เปน็ การรบั ประกันบคุ คลมีความสามารถทางานอยํูกบั องค์กรตํอไป
ใบความรทู้ ่ี 2 การวิเคราะห์ศกั ยภาพธุรกิจ ศกั ยภาพ คอื ความสามารถภายในราํ งกายทซี่ อํ นเร๎น และยังไมถํ ูกนามาใชใ๎ นการพัฒนาธุรกจิ หรอื ดาเนินการในสง่ิ ตาํ งๆ การพัฒนา คอื การเปลยี่ นแปลงอยํางมกี ระบวนการโดยมีจุดมุํงหมายกาหนดไว๎ การพฒั นา ศกั ยภาพ คือ การนาเอาความสามารถท่ีซํอนเรน๎ ภายในมาใช๎ประโยชนอ์ ยาํ งมกี ระบวนการ เพื่อให๎ได๎ผลงานเกิด ประสทิ ธภิ าพทดี่ ีทส่ี ดุ การวเิ คราะห์ คือ การแยกแยะส่งิ ทจี่ ะพิจารณาออกเป็นสํวนยอํ ย ทมี่ ีความสัมพันธก์ ัน รวมถงึ สืบค๎นความสมั พันธส์ ํวนยอํ ยเหลาํ นน้ั การวเิ คราะหศ์ ักยภาพธุรกจิ คือ การแยกแยะสํวนยอํ ยของความสามารถที่ซอํ น เร๎นใยตัวตนนามาใชป๎ ระโยชนอ์ ยาํ งมีกระบวนการ เพื่อผลงานทดี่ ที ี่สุด คณุ คําและความจาเป็นของการวิเคราะห์ศักยภาพธรุ กจิ 1. ผป๎ู ระกอบการรจ๎ู กั ตัวเอง, คูแํ ขํงขัน 2. ผ๎ปู ระกอบการสามารถวางกลยทุ ธ์ทางธุรกิจได๎หลายระดับ และแบงํ แยกหนา๎ ท่ีไดช๎ ัดเจน เหมาะสมกับ ความถนัด 3. ผป๎ู ระกอบการสามารถมองหาลูํทางการลงทนุ ไดด๎ ีขนึ้ ตวั อยาํ งการวิเคราะหศ์ ักยภาพธุรกิจ คุณพงษศ์ ักด์ิ ชัยศิริ เจ๎าของร๎านเฟอร์นิเจอร์เครื่องเรือนไม๎ 1. มีใจรกั ด๎านการคา๎ เฟอรน์ ิเจอร์ ชอบบริการงานดา๎ นการขาย 2. มมี นษุ ยส์ ัมพันธท์ ี่ดี ยิ้มแย๎มแจํมใส เปน็ กันเอง ออํ นน๎อมถํอมตน 3. มคี วามซ่ือสัตยต์ ํอลูกค๎า ขายสนิ คา๎ เหมาะสมกบั ราคา ไมเํ อาเปรยี บลูกคา๎ 4. มีความรด๎ู ๎านเฟอรน์ เิ จอรเ์ ครือ่ งเรือนไมเ๎ ปน็ อยํางดี 5. ทาเลทต่ี ้ังรา๎ นมีความเหมาะสม 6. มเี งินทุนหมุนเวียนคลอํ งตวั 7. มีสํวนแบํงตลาดในท๎องถน่ิ ประมาณ 30% 8. ลูกคา๎ สวํ นใหญอํ าชีพพนักงานบรษิ ทั ขา๎ ราชการ ระดบั รายไดป๎ านกลาง ในหมูํบา๎ นจดั สรรบรเิ วณใกลเ๎ คยี ง ประมาณ 7 หมูํบา๎ นแถบชานเมือง 9. ในท๎องถิ่นมีผป๎ู ระกอบกิจการค๎าเฟอร์นิเจอร์ไม๎เชํนเดยี วกนั 3 ราย 10. ทศิ ทางในอาชีพน้ี ยงั มีอนาคตอีกยาวไกลจะมจี านวนหมบูํ ๎านจัดสรรเพมิ่ ขึน้ ในแถบน้ีอีกประมาณ 5 หมบูํ ๎าน จะเห็นได๎วาํ การวเิ คราะห์ศกั ยภาพมีความสาคญั และจาเป็นตอํ การพัฒนาอาชีพใหเ๎ ข๎มแข็งมาก หากได๎ วเิ คราะห์แยกแยะศกั ยภาพของตนเองอยํางรอบด๎าน ปัจจัยภายในตัวตนผป๎ู ระกอบการ ปัจจยั ภายนอกของ ผู๎ประกอบการ โอกาสและอุปสรรคในการประกอบธุรกจิ การคา๎ ย่ิงวเิ คราะห์ไดม๎ ากและถูกต๎องแมนํ ยามาก จะทาให๎ ผ๎ปู ระกอบการรจ๎ู ักตนเอง อาชีพของตนเองไดด๎ ีย่ิงขึน้ เหมือนคากลาํ ว รเู๎ ขา ร๎เู รา รบรอ๎ ยครั้ง ชนะทง้ั ร๎อยครัง้
ใบความรู้ที่ 3 การวเิ คราะห์ตาแหนํงธุรกิจ ตาแหนํงธุรกจิ หมายถึง ระยะเวลาในชํวงการประกอบอาชีพหรอื ธุรกจิ ของผป๎ู ระกอบการแตํละระดบั ขั้นตอนของการ ดาเนินกจิ การ โดยทัว่ ไปแบํงระยะดังนี้ 1. ระยะเรมิ่ ตน๎ 2. ระยะสรา๎ งตัว 3. ระยะทรงตัว 4. ระยะตกตา่ หรอื สูงขึน้ ซง่ึ จะอธบิ ายเป็นรูปแบบกราฟดังน้ี มลู คา่ ธุรกจิ 4.1 ธรุ กิจกา๎ วหนา๎ จะมผี ค๎ู นเข๎ามาเรยี นรูท๎ า ตาม ทาให๎เกดิ วกิ ฤตสวํ นแบงํ ทางการตลาด กราฟวเิ คราะห์ตาแหน่งวงจรธุรกจิ 1. ระยะเริ่มต๎น 2. ระยะสรา๎ งตัว 3.ระยะทรงตัว 4.2 ถ๎าไมมํ ีการพัฒนาธรุ กจิ จะเป็นขาลง จาเป็นต๎องขยายขอบขาํ ย จึงมคี วามต๎องการ ใชน๎ วัตกรรมเทคโนโลยีเข๎ามาใช๎ เวลา 4. ระยะสูงข้นึ หรือตกตา่ 1. เปน็ ระยะทอ่ี าชีพหรอื 2- 3 ธุรกิจอยํูในชํวงพัฒนาขยายตัว หรือยงั ธรุ กิจอยูํในระยะฟกั ตวั ของ ทรงตวั จะมคี นจบั ตามองและพร๎อมทาตาม การเข๎าสํอู าชีพ (เรมิ่ มคี แูํ ขํงขัน)
กราฟวิเคราะหต์ าแหนง่ วงจรธรุ กิจ 1 ระยะเริ่มตน๎ เปน็ ระยะที่อาชีพหรือธรุ กิจอยํูในระยะฟักตัวของการเข๎าสูํอาชพี 2 – 3 ระยะสรา๎ งตวั และระยะทรงตัว ธรุ กิจอยใูํ นชํวงพฒั นาขยายตวั หรือยงั ทรงตวั อยูํจะมคี นจับตาและพร๎อมทา ตาม (เร่มิ มีคูแํ ขํงขนั ทางการค๎า) 4 ระยะตกตา่ หรือสงู ขนึ้ 4.1 เม่ือธรุ กิจก๎าวหน๎าจะมผี ูค๎ นเขา๎ มาเรยี นร๎ู ทาตาม ทาใหเ๎ กดิ วิกฤติสํวนแบํงทางการตลาด 4.2 ถา๎ ไมํมกี ารพฒั นาธรุ กจิ จะเปน็ ขาลง จาเป็นต๎องขยายขอบขํายจงึ มคี วามต๎องการใชน๎ วัตกรรม เทคโนโลยีเข๎าใชง๎ าน ผปู๎ ระกอบการต๎องมีการวเิ คราะห์ตาแหนงํ ธุรกจิ ในอาชีพหรือกจิ การของตนให๎ไดว๎ าํ อยูํในชํวงระยะใด กาลงั ขยายตวั ทรงตวั หรือเปน็ ขาข้นึ และหรือขาลง ซึ่งในใบความรู๎ตอํ ไปจะเปน็ การวเิ คราะห์มุมมองกจิ การผลประกอบการกาไร – ขาดทนุ แตลํ ะระยะเวลาในการดาเนินธรุ กิจทตี่ ํอเน่ืองกัน ทาให๎เราไดท๎ ราบวํา ขณะนีเ้ ราจดั อยูใํ นชํวงไหนในการ วเิ คราะหจ์ ดั ตาแหนํงธุรกิจ ระยะทรงตัว ขาขึ้นหรือขาลง
ใบงานที่ 1 วชิ าพฒั นาอาชพี ให๎มคี วามเข๎มแขง็ อช 21003 คาช้แี จง ใหผ๎ ู๎เรียนเขยี นคาตอบลงในชอํ งวําง 1. การพัฒนาอาชพี มีความจาเป็นจรงิ หรือ อยํางไร ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ........................................................... 2. ใหผ๎ ู๎เรียนวิเคราะหศ์ กั ยภาพธุรกจิ อาชีพของตนเอง หรืออาชีพที่ตนเองสนใจจากปจั จยั ภายในตวั ตนของผู๎เรยี นและ ปจั จยั ภายนอกท่ีแวดล๎อม รวมถึงโอกาสที่ดี อุปสรรคที่อาจเกิดขึ้นเปน็ ลาดบั เหมือนตวั อยํางใบความรู๎ที่ 2 .................................................................................................................................................................................... ..... ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................... ................................................ ......................................................................................................................................................................................... 3. ใหผ๎ เ๎ู รียนวิเคราะห์ตาแหนํงธรุ กจิ อาชพี ของตนเองหรือาชีพท่ตี นเองสนใจวําในขณะน้ันอยํูในระยะใด และใหเ๎ หตุผล ประกอบดว๎ ย ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ........................................................................................................................................................ ................................. .................................................................................................. ....................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ........................................................... 4. ใหผ๎ ู๎เรียนจดั ทาผังการไหลของการพัฒนาอาชีพของตนเองหรืออาชีพที่สนใจ แลว๎ ิเคราะหศ์ ักยภาพของธรุ กจิ แตลํ ะ ขัน้ ตอนวํามีความสามารถอะไรได๎อีก ........................................................................................................................... .............................................................. ............................................................................................................................. ............................................................ ...................................................................................................................................... ................................................... ......................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................
ใบงานท่ี 2 การวเิ คราะห์ศักยภาพธรุ กิจ 1.ใหผ๎ ู๎เรยี นวเิ คราะห์ศักยภาพธุรกิจอาชีพของตนเอง หรอื อาชพี ท่ีตนเองสนใจจากปัจจัยภายในตัวตนของผเ๎ู รยี นและ ปจั จัยภายนอกท่แี วดล๎อม รวมถึงโอกาสทดี่ ี อปุ สรรคท่ีอาจเกิดขนึ้ เป็นลาดบั เหมือนตวั อยํางใบความรทู๎ ี่ 2 ............................................................................................................................................ ............................................. ...................................................................................... ................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ ..................................................................................................................... .................................................................... ......................................................................................................................................................................................... ................................................................................................................. ........................................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ......................................................................................................................................................................................... .................................................................................................... ..................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ ....................................................................................................................................................... .................................. ................................................................................................. ........................................................................................ ..................................................................................................................... .................................................................... .................................................................................................... .....................................................................................
ใบงานท่ี 3 การวเิ คราะห์ทีต่ าแหนํงธุรกิจ ใหผ๎ ๎ูเรยี นวเิ คราะหต์ าแหนงํ ธุรกจิ อาชีพของตนเองหรือาชีพท่ตี นเองสนใจวาํ ในขณะน้ันอยใํู นระยะใด และใหเ๎ หตผุ ล ประกอบด๎วย ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................................... .......................................... ......................................................................................... ................................................................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ ........................................................................................................................................................................... .............. ......................................................................................................................................................................................... ............................................................................................................................. ............................................................ ................................................................................................................................ ......................................................... .......................................................................... ............................................................................................... ................ ............................................................................................................................. ............................................................ ............................................................................................................................. ............................................................ .
แผนการเรียนรู้รายสปั ดาห์ กลํุมสาระการเรียนร.ู๎ ...การประกอบอาชีพ..รายวชิ า.....พฒั นาอาชพี ให๎มีความเข๎มแขง็ ....รหัสวชิ า....อช21003...... เร่อื ง.............การจดั ทาแผนการตลาด........................................................................................................................ ระดบั ชน้ั ...............มธั ยมศึกษาตอนตน๎ .....................................................จานวน...................6..................ช่ัวโมง วันทจี่ ดั การเรยี นการสอน..................................................................การพบกลมุํ คร้ังท่.ี ........8............................. ตวั ชว้ี ดั 1. วิธีกาหนดเปาู หมายของตลาด 2. กาหนดกิจกรรมและแผนการพฒั นาการตลาดผลผลิตหรือการบริการ 3. ท่มี าของทนุ ปจั จยั การผลติ หรอื การบริการ เน้อื หา 1. บอกวิธีกาหนดเปูาหมายของตลาด 2. สามารถกาหนดกิจกรรมและแผนการพัฒนาการตลาดผลผลิตการบริการ 3. บอกท่มี าของทนุ ปัจจยั การผลติ หรือการบรกิ ารได๎ ขั้นตอนการจัดกระบวนการเรียนร๎ู ข้นั ที่ 1 กาหนดสภาพปัญหาความต๎องการ 1. ครูสอบถามงานทม่ี อบหมายให๎ไปศึกษากอํ นมาพบกลมุํ เร่ืองการจัดทาแผนการตลาด 2. ครสู นทนาวิธีการจดั ทาแผนการตลาดและรํวมกับผเ๎ู รียนแลกเปลีย่ นความรูว๎ ธิ กี ารทาแผนการตลาด วิธี กาหนดเปูาหมายของตลาด ให๎ผู๎เรียนบอกท่ีมาของทุนและปจั จัยการผลิตหรือการบริการจากประสบการณ์ที่พบเหน็ และเรียนรู๎ ขั้นท่ี 2 แสวงหาข๎อมูลและการจัดการเรยี นรู๎ 1. ครรู วํ มกับผู๎เรียนแลกเปลยี่ นความรู๎เรอ่ื งการทาแผนการตลาด ทมี่ าของทนุ ปัจจยั การผลิตหรือการบรกิ าร โดยการสนทนา ตคี วามหมายและท่มี า ใช๎เวลา 30 นาที 2. ใหผ๎ ูเ๎ รียนอาํ นใบความรู๎เร่ืองวิธกี ารจัดทาแผนการตลาด ใช๎เวลา 20 นาที 3. ผ๎ูเรยี นใชว๎ ธิ กี ารแกป๎ ญั หาจากการเรียนโดยการชักถามครูและเพ่ือนๆและทาใบงาน 30 นาที ขัน้ ที่ 3 การปฏบิ ตั แิ ละนาไปประยกุ ตใ์ ช๎ 1. ครูสรปุ ผลจากการทาใบงานเรื่อง การจัดทาแผนการตลาดโดยครูสงั เกตพฤติกรรมผเู๎ รียนในการทาใบงาน ใช๎เวลา 30 นาที และให๎ผ๎เู รยี นบันทึกกจิ กรรมลงในสมุดบันทกึ กจิ กรมในสัปดาห์ท่ี 2 เวลา 30 นาทีครูตรวจงานที่ผ๎ูเรยี นทาใชเ๎ วลา 20 นาที ครูมอบหมายให๎ผเู๎ รียนไปศึกษาเรอื่ งจดั ทาแผนพฒั นาการ ผลติ และการบรกิ ารมากํอนพบกลํมุ ในสปั ดาหต์ ํอ
ขน้ั ที่ 4 การประเมินผลการเรียนร๎ู 1. ใบความร๎ู 2. ใบงาน สอื่ การเรียนรู๎ ใบความร๎ู แบบเรยี น วดั ผลประเมนิ ผล 1.ใบงาน 2.ชน้ิ งาน ลงชอื่ .........................................................ผู๎สอน ( ........................................................ ) ตาแหนงํ ครู กศน.ตาบล ความเหน็ ของผู๎บริหารสถานศึกษา ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………… ลงชอื่ ......................................................... (นางสาวสมนึก พระนาค) ครู รกั ษาการในตาแหนงํ ผูอ๎ านวยการ กศน.อาเภอสวํางอารมณ์
ใบความรู้ท่ี 1 การกาหนดทิศทางและเปูาหมายการตลาด ( 1. กาหนดทิศทางการตลาดได๎ 2. การกาหนดเปูาหมายการตลาดได๎) การกาหนดทศิ ทางธรุ กจิ เปน็ การคดิ ให๎มองเห็นอนาคตการขยายอาชพี ให๎มีความพอดี จะตอ๎ งกาหนดให๎ไดว๎ ําในชํวงระยะขา๎ งหน๎าควร จะไปถึงไหน อยาํ งไร การกาหนดเปาู หมายการตลาด เปาู หมายการตลาดเพ่ือการขยายอาชพี คอื การบอกให๎ทราบวาํ สถานประกอบการนั้นสามารถทาอะไรได๎ ภายในระยะเวลาเทาํ ใด ซึ่งอาจจะกาหนดไว๎เปน็ ระยะสนั้ หรือระยะยาว 3 ปี หรือ 5 ปี ก็ได๎ การกาหนดเปูาหมายของ การพฒั นาอาชพี ต๎องมคี วามชัดเจนสามารถวดั และประเมินผลได๎ การกาหนดเปูาหมายหากสามารถกาหนดเปน็ จานวนตวั เลขได๎ก็จะยงิ่ ดี เพราะทาให๎มคี วามชัดเจนจะชํวยให๎การวางแผนมีคุณภาพย่ิงขึ้น และจะสงํ ผลในทางปฏบิ ตั ิ ไดด๎ ียง่ิ ขนึ้ การบรหิ ารการตลาด (Marketing Management) เป็นกระบวนการตัดสนิ ใจที่เกย่ี วกับการวางแผน การ ปฏิบัตกิ ารและการควบคุมกจิ กรรมตํางๆ ท่ีทาใหธ๎ รุ กจิ บรรลุเปาู หมายทต่ี ั้งไว๎ ประกอบด๎วย 3 สํวน 1. การวางแผนวธิ กี ารเพื่อบรรลุเปาู หมาย 2. การปฏบิ ตั ิตามแผน 3. การควบคุมและตรวจสอบ การตลาดในยคุ โลกาภิวัฒนม์ ีการเปลยี่ นแปลงเร็วมากซ่งึ ขึ้นอยํกู ับกระแสของสังคม กาลังซื้อของผู๎บรโิ ภค และสํวนแบงํ ของตลาด ดงั นน้ั ผป๎ู ระกอบอาชีพจาเป็นตอ๎ งศึกษากระบวนการตลาดอยตํู ลอดเวลา เพ่ือนามากาหนด ทศิ ทางและเปาู หมายทางการตลาด โดยพยายามผลติ สินคา๎ หรือบรกิ ารข้ึนมาทจี่ ะสามารถตอบสนองความพึงพอใจ ของผ๎บู ริโภคให๎ไดม๎ ากท่ีสุด ดังนั้นจาเป็นทจ่ี ะต๎องมกี ารกาหนดทิศทางและเปูาหมายทางการตลาดมาใช๎ทางการตลาด เพื่อเอาชนะคูแํ ขํงขนั ทางการตลาดและเป็นผ๎ูประสบความสาเร็จในทส่ี ดุ การกาหนดทิศทางและเปูาหมายทางการตลาดจะตอ๎ งตอบคาถามเหลาํ นี้ให๎ไดด๎ ังนี้ 1. ตลาดต๎องการซ้อื อะไร หมายถึง สินคา๎ ทผ่ี ู๎บรโิ ภคต๎องการ 2. ทาไมจึงซ้ือ หมายถึง จดุ ประสงคใ์ นการซื้อสนิ คา๎ ไปทาไม 3. ใครคือผู๎ซื้อ หมายถงึ กลมุํ เปาู หมายทจ่ี ะซื้อคือกลมุํ ใด 4. ซื้ออยํางไร หมายถึง กระบวนการซ้อื อยาํ งไร เชนํ ซอื้ แบบต้ังคณะกรรมการการประมูล 5. ซอ้ื เม่อื ไร หมายถงึ โอกาสทีจ่ ะซื้อสนิ ค๎าเม่ือไร เชํน ทุกวนั ทุกเดอื น 6. ซื้อทไ่ี หน หมายถึง สินคา๎ ท่ีจะซ้ือมีขายตามรา๎ นคา๎ ประเภทใด เชนํ รา๎ นขายของเบด็ เตล็ด ร๎านขายทวั่ ไป ผ๎ูประกอบการจะต๎องสรุปให๎ได๎วาํ ผูบ๎ ริโภคตอ๎ งการสนิ คา๎ ชนิดใดนาไปใชท๎ าอะไร กลุํมเปูาหมายที่ตอ๎ งซือ้ เปน็ กลํุมทม่ี ี กาลงั ซื้อหรือไมํ วิธกี ารทซี่ อ้ื เชนํ ซ้อื ไดท๎ ั่วไปหรอื ต๎องผาํ นคณะกรรมการ ซื้อใช๎เม่ือใดและควรซือ้ แหลงํ ใด ส่ิงเหลาํ น้จี ะ เปน็ ทศิ ทางในการผลิตสินคา๎ แลว๎ นามากาหนดเปาู หมายทีจ่ ะผลิตสินค๎า เชํน ผลิตผักอินทรยี ์ ผ๎ซู ้ือต๎องการกนิ อาหาร ปลอดสารเคมี คอื กลํมุ เปาู หมายผส๎ู งู อายใุ นหมบูํ า๎ น ซอื้ ปลีกใช๎ทกุ วนั ตามร๎านค๎าในชุมชน นอกจากน้ีอาจจะตอ๎ ง วเิ คราะห์สง่ิ ตํางๆ ดังนี้ เพ่ือนามาพิจารณากาหนดทิศทางด๎วย
ตัวอยาํ ง การวเิ คราะห์พฤติกรรมการบรโิ ภคของลูกค๎าสายการบนิ 1. ตลาดต๎องการซ้อื อะไร : การเดนิ ทางที่สะดวก สบาย รวดเร็ว การบรกิ ารทีป่ ระทับใจ มเี ที่ยวบินใหเ๎ ลอื ก มาก มีเทย่ี วบินตรง 2. ทาไมจงึ ซื้อ : ตอ๎ งการประหยดั เวลา ตอ๎ งการเดินทางอยํางรวดเรว็ มีความภมู ใิ จ 3. ใครคอื ผู๎ซ้ือ : นกั ธรุ กิจ นักทอํ งเทย่ี ว 4. ซ้อื อยํางไร : ซอ้ื ซ้า ซอ้ื เมื่อมธี ุระดวํ นและจาเป็น ซือ้ จากความประทับใจ 5. ซอื้ เมอ่ื ไร : ซ้อื สมา่ เสมอ ซือ้ เรงํ ดวํ นเปน็ คร้ังคราว ซื้อเมื่อตอ๎ งการเดนิ ทางทํองเท่ียว 6. ซ้อื ทไี่ หน : ตวั แทนจาหนําย สานกั งานขายของสายการบนิ การเลือกตลาดเปูาหมาย (Target Market) น้ัน เปน็ องคป์ ระกอบท่สี าคัญของกลยทุ ธ์ทางการตลาด ซึ่งนักการตลาด จะเลอื กตลาดเปูาหมายได๎ จะตอ๎ งทาการวิเคราะหส์ ง่ิ ตาํ งๆ ดงั ตํอไปนี้ 1. ผ๎ทู ่คี าดวําจะเปน็ ลูกค๎าในอนาคตมีลกั ษณะการบรโิ ภคอยํางไร มีความต๎องการสินคา๎ ชนิดใด มรี ูปแบบ พฤติกรรมการบรโิ ภคอยาํ งไร? และผทู๎ ค่ี าดวําจะเป็นลกู ค๎าในอนาคตเป็นใครอยูํท่ีไหน 2. สํวนผสมทางการตลาด และความสามารถในการจัดสํวนผสมทางการตลาดให๎เข๎าถึงเปูาหมายทางการ ตลาดท่ีไดว๎ างไว๎ 3. เปาู หมายของกิจการ โดยวิเคราะหถ์ ึงการแสวงหาโอกาสทางการตลาดทเี่ หน็ วําพอมชี ํองทาง 4. ปัจจัยอ่นื ๆ ซงึ่ สํวนมา ได๎แกํ ตวั แปร หรือสภาพแวดล๎อมทางการตลาดทค่ี วบคุมไมไํ ด๎ เพราะปัจจยั น้ีมผี ล ตอํ การเลือกตลาดเปูาหมายเชนํ กนั 5. การแบํงสํวนตลาด เพื่อทจ่ี ะได๎กลยุทธแ์ ละยุทธวธิ ที างการตลาดใหเ๎ หมาะสมกับตลาดแตํละสํวน เปาู หมายทางการตลาด เป็นการคดั เลือกกลมํุ ลกู ค๎าทเ่ี ป็นเปูาหมายโดยต๎องคานงึ ถึงปัจจยั สาคัญ คือ สํวนผสมทาง การตลาด ผท๎ู ีค่ าดหวังวาํ จะเป็นลูกค๎าในอนาคตและกรณีมีสํวนแบงํ ในการตลาด หลกั การกาหนดเปาู หมายทางการตลาด มีดังนี้ 1. เปาู หมายที่กาหนดต๎องมีความเปน็ ไปได๎ 2. เปาู หมายตอ๎ งชัดเจน 3. การกาหนดเปาู หมายต๎องมีความละเอยี ดเพียงพอ
ใบความรูท้ ่ี 2 การกาหนดและวเิ คราะหก์ ลยุทธ์สเํู ปูาหมาย ( 3. กาหนดกลยุทธ์สํูเปูาหมายได๎ 4. วเิ คราะห์กลยุทธ์ได๎ ) การกาหนดกลยุทธ์ เป็นการพัฒนาแผนระยะยาวบนพน้ื ฐานของโอกาสและอุปสรรคภายในสภาพแวดล๎อม ภายนอก จุดแขง็ และจดุ อํอนภายในสภาพแวดล๎อมภายในของบริษัท การกาหนดกลยุทธจ์ ะตอ๎ งรวมทั้งการรุก การรับ การกาหนดเปูาหมายกํอนการพฒั นากลยุทธ์ และการกาหนดนโยบายของบริษัท การกาหนดกลยุทธ์ เปน็ การทาให๎ ธุรกิจเจรญิ เติบโตเพอ่ื ความอยรํู อดเปน็ สาคญั การสรา๎ งความเจรญิ เติบโตอยํางตอํ เนื่องอันจะนามาซ่ึงยอดขายทส่ี ูงขน้ึ ต๎นทนุ ตํอหนํวยลดลงและเป็นผลเนื่องจากประสบการณ์ในการผลิตและเป็นผลทาใหก๎ าไรสูงขน้ึ อีกด๎วย ถอื วําไดเ๎ ปน็ กล ยทุ ธ์การเจรญิ เตบิ โตโดยวิธีทางลัด เพ่อื ตดั ลดคาํ ใชจ๎ ํายท้ังทางด๎านการเงนิ และการบรหิ ารจดั การกลยุทธ์ กลยุทธก์ ารพฒั นาการตลาด เป็นกลยทุ ธ์ท่นี ามาใชเ๎ พ่ือเพ่ิมยอดขายและขยายการเติบโต โดยใช๎ผลิตภัณฑท์ มี่ อี ยํู ออกจาหนํายในตลาดใหมํ กลมุํ ลูกคา๎ ในพ้ืนท่ีแหงํ ใหมํ เพื่อให๎สามารถครอบคลมุ ให๎ครบทุกพ้ืนที่ทัง้ ในประเทศและ ตาํ งประเทศ กลยทุ ธ์ เปน็ แนวทางปฏบิ ัติ เพื่อให๎บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ กลยุทธ์ คอื หลักวิธีการและแนวทางในการปฏิบตั ิ เพ่ือให๎สอดคล๎องกบั วัตถุประสงค์ ซึง่ จะใชก๎ ลยุทธ์ในระดับปฏบิ ัติการ การวเิ คราะห์กลยทุ ธ์สูเํ ปาู หมายอาจใชว๎ ิธกี ารวเิ คราะห์จุดอํอน จุดแขง็ (SWOT Analysis) ซึง่ มอี งค์ประกอบดังนี้ SWOT Analysis จดุ แข็ง จุดอํอน โอกาส อปุ สรรค SWOT Analysis เปน็ การวเิ คราะห์สารวจสภาพภายในองค์กร และสภาพแวดล๎อมภายนอก เพือ่ นามาสังเคราะห์วาํ องค์กรมจี ดุ ออํ น (S) จดุ แขง็ (W) อปุ สรรค (T) และโอกาส (O) อยํางไร ปจั จัยภายใน คอื ส่งิ ทเี่ ราควบคุมไว๎ ไดแ๎ กํจดุ อํอน จดุ แขง็ ปัจจยั ภายนอก คอื สิ่งที่เราควบคมุ ไมํได๎ ไดแ๎ กํ อุปสรรคและโอกาส จดุ แข็ง (Strengths) มีลักษณะ ดงั นี้ 1. เป็นงานทเ่ี ราถนัด ทาแลว๎ มีความสขุ 2. เปน็ งานท่ีโดดเดํน ชมุ ชนช่ืนชอบ 3. ทรพั ยากรและเครื่องมือมีความพร๎อม จดุ อํอน (Weakness) มลี ักษณะดงั นี้ 1. เปน็ งานทเ่ี ราไมสํ บายใจท่จี ะทา 2. ตอ๎ งการรับความชวํ ยเหลอื จากคนอ่นื 3. ทกั ษะบางอยํางท่เี รายังไมํมั่นใจ 4. ขาดทรัพยากรในการทางานใหบ๎ รรลเุ ปาู หมาย อุปสรรค (Threats) มลี กั ษณะดงั นี้ 1. ใครคือคแํู ขํงขันที่ทาได๎ดีกวําเรา 2. ถ๎าสภาพแวดลอ๎ มเปลยี่ นจะทาให๎แผนโครงการเรามีปญั หา 3. ความขัดข๎องทีจ่ ะเกิดจากเราเอง
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178