Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore วิชาเอกดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรีไทย

Published by ศุภณัฐ ธิบูรณ์บุญ, 2022-03-08 19:58:17

Description: วิชาเอกดนตรีไทย

Search

Read the Text Version

วชิ าเอกดนตรไี ทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เรือ่ ง ประวตั ิดนตรีไทยในสมยั ต่างๆ 1 ประวตั ิ ดนตรีไทยในสมัยต่างๆ ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตัม้ ดนตรไี ทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรื่อง ประวตั ดิ นตรไี ทยในสมยั ตา่ งๆ 2 หนว่ ยท่ี 1 ประวตั ศิ าสตร์ดนตรีโลกโบราณ และปัจจบุ ัน ดนตรีอุษาคเนย์กอ่ นประวตั ศิ าสตร์ จะแบ่งเปน็ 2 ยคุ คือ ยคุ หนิ และยุคโลหะ ยุคหนิ เคร่ืองดนตรีพบ เกราะ โกร่ง กรับ และโปง ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีท่ีพบทั่วไปในอุษาคเนย์จัดกลุ่ม ให้เป็นเครื่องดนตรใี น “วัฒนธรรมไม้ไผ่” นอกจากน้ี ยังพบ ระนาดหิน ซ่ึงเป็นเครื่องดนตรีที่นาขวานหินขนาดต่างๆ มาเรียงต่อกัน ผูก รอ้ ยดว้ ยเชอื กคลา้ ยระนาดไม้ เคาะแล้วเกิดเสยี งตา่ งกนั เปน็ เสียงดนตรี ในประเทศไทยพบระนาดหนิ ท่จี ังหวดั นครศรีธรรมราช และยังพบได้ทั่วไปในดินแดนสวุ รรณภูมิ ปจั จบุ ันประเทศเวียดนามยังใช้ระนาดหินในการแสดงอยู่ บทบาทและหน้าที่ของดนตรี ดนตรีอุษาคเนย์ในยุคหิน จะมีเพื่อใช้เป็นสัญญาณ และประกอบ พธิ กี รรม ติวสอบครูสายศลิ ป์ By อ.ต้มั ดนตรไี ทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรอ่ื ง ประวตั ดิ นตรไี ทยในสมยั ต่างๆ 3 ยคุ โลหะ เคร่ืองดนตรีพบ มโหระทึก เป็นเครื่องดนตรีที่จัดอยู่ใน “วัฒนธรรมฆ้อง” ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่ โดดเดน่ และเปน็ สัญลกั ษณ์ร่วมเฉพาะภมู ภิ าคเอเชียตะวนั ออกเฉียงใต้ กลองมโหระทึก เป็นกลองประเภทกลองโลหะ หน้ากลองจะมีรูปป้ันกบหรือเขียด ส่วนตรง กลางของหนา้ กลองเปน็ รูปพระอาทิตย์ ซึ่งทง้ั หมดเปน็ สัญลกั ษณ์แห่งความอุดมสมบูรณ์ ในประเทศไทยพบหลักฐานว่ามีมโหระทึกในยุคก่อนประวัติศาสตร์ คือ ภาพวาดฝาผนังถ้าตา ด้วง จังหวัดกาญจนบุรี และพบมโหระทึกในจังหวัดอื่นๆ เช่น นครศรีธรรมราช อุตรดิตถ์ อุบลราชธานี เป็นต้น เป็นรูปขบวนแห่ประกอบพิธีกรรม นอกจากน้ี กลองมโหระทึกยังพบที่พม่า ลาว อนิ โดนีเซยี จีน กลองมโหระทึกท่พี บครง้ั แรกท่ีเมืองดองซอน ประเทศเวยี ดนาม เราจงึ เรียกวฒั นธรรมสารดิ โดยมีกลอง มโหระทึกเป็นตัวแทนว่า “วัฒนธรรมดองซอน” ปัจจุบันประเทศไทยตีกลองมโหระทึกประกอบในพระ ราชพธิ จี รดพระนังคลั แรกนาขวัญ ในเดอื นพฤษภาคมของทกุ ๆ ปี นอกจากกลองมโหระทึกท่ีเป็นหลักฐานทางวัฒนธรรมโลหะท่ีแสดงค วามสัมพันธ์ของชาว อุษาคเนย์แล้ว ในยุคโลหะยังพบเคร่ืองดนตรีที่ใช้ในพิธีกรรม เช่น กระดิ่งหรือระฆังสาริด ในพม่า ไทย มาเลเซีย และกมั พชู า และยังพบกระพรวนอกี ดว้ ย บทบาทและหน้าทข่ี องดนตรี ดนตรอี ษุ าคเนย์ในยุคโลหะใชเ้ พ่ือประกอบพธิ กี รรม ดนตรีอุษาคเนย์ยุคประวัติศาสตร์ หลักฐานทางประวัติศาสตร์ทเี่ ก่ียวข้องกับดนตรีในยคุ ประวัติศาสตร์ ก่อนสมัยสุโขทัย ปรากฏหลักฐานต่างๆ ดังน้ี เทวรปู พระนารายณ์ เป็นเทวรปู ท่เี ก่าท่ีสุดในเอเชียอาคเนย์ พบที่อาเภอไชยา จงั หวัด สุราษฎร์ ธานี ปัจจุบนั รักษาอยู่ในพิพธิ ภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร เทวรูปองค์น้คี งมีอายุราวพุทธศตวรรษท่ี 9 - 10 เครอื่ งดนตรีทีป่ รากฏคอื สังขใ์ นหตั ถ์ซ้ายล่าง ตวิ สอบครูสายศลิ ป์ By อ.ตัม้ ดนตรไี ทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เรอ่ื ง ประวตั ิดนตรไี ทยในสมัยต่างๆ 4 สงั ข์ เปน็ เครื่องเปา่ เป็นเครอื่ งดนตรปี ระเภทเคร่ืองประโคม ใช้ในงานมงคล เทวรูปพระศิวะนาฏราช เปน็ ปางหนงึ่ ของพระศิวะ เปน็ บรมครขู องศลิ ปะการร่ายราหรือนาฏย ศาสตรข์ องอนิ เดยี ความเช่อื วา่ การเตน้ ราของพระศิวะก่อให้เกิดปฏิกริ ยิ าของการสร้างโลกและมนุษย์ ศิวนาฏราชจะปรากฏในท่าย่างสามขุม (ตรีวิกรม) ซึ่งเป็น 1 ใน 108 ท่าที่ออกแบบโดยพระศิวะ โดยมี สัญลักษณ์ที่พระกรขวาถือกลองคือการสร้างโลก พระกรซ้ายมีเปลวเพลิงล้อมเป็นกรอบคือการส้ินสุดที่ ไฟจะเผาผลาญโลก กลองในพระหัตถ์ของพระศิวะในปางศิวะนาฏราชนี้ เป็นกลองสองหน้าเอวตรงกลางคอด มี ลูกตุ้มยึดกับสายสาหรับใช้กระทบหน้ากลองท้ังสองข้าง กลองนี้เรียกว่ากลอง ทมรุ ซ่ึงเป็นเครื่องดนตรี เพียงชิ้นเดียวท่ีองค์พระศิวะท่านเลือกใช้ประกอบการร่ายราอันยิ่งใหญ่นี้ ผู้ประกอบพิธีในศาสนา พราหมณ์ - ฮินดู ไดน้ าเอากลองนี้มาใชใ้ นการประกอบพธิ ีมงคล และพัฒนามาเปน็ เครือ่ งดนตรีที่เรียกว่า “บัณเฑาะว์” เทวรูปอื่นๆ ที่เก่ียวข้องกับดนตรี เช่น พระคเณศถือสังข์ พระกฤษณะเป่าขลุ่ย และนางสุรัสวดี ดดี พิณ เปน็ ตน้ จดหมายเหตุของจนี ฉบับตา่ งๆ ทีบ่ ันทึกระหว่างพทุ ธศตวรรษที่ ๑๐ ถึง พทุ ธศตวรรษที่ ๑๒ พบ เครื่องดนตรีและอื่นๆ ที่เก่ียวข้องในดินแดนสุวรรณภูมิ ดังน้ี คนร้องเพลง สังข์ กลอง ระฆัง และการ ฟอ้ นรา สมยั ทราวดี ภาพปูนปั้นนักดนตรีหญิง 5 คน พบที่เมืองโบราณที่ตาบลคูบัว อาเภอเมือง จังหวัดราชบุรี เป็นปูนปั้นประดับฐานเจดีย์รูปนักดนตรีหญิง 5 คน นั่งพับเพียบเข่าชิด ไม่สวมเส้ือ มีสไบพาดคล้องบ่า บางคนสวมเคร่ืองประดับ คือ ตุ้มหู ลักษณะการบรรเลงดนตรีของนักดนตรีหญิงทั้ง 5 เรียงจากซ้ายไป ขวา ดังน้ี คนท่ี 1 ในมอื ถือเครือ่ งดนตรชี นิดหนง่ึ ซึ่งมีลักษณะใกล้เคยี งกับพณิ นา้ เตา้ กาลงั ทาท่าบรรเลง คนท่ี 2 ในมือถือเคร่ืองดนตรีชนิดหนึ่ง สันนิษฐานว่าเป็นฉ่ิง เนื่องจากมีลักษณะกลมป้อม เป็น ฝา 2 ฝา แสดงท่ากาลงั ตี ตวิ สอบครูสายศลิ ป์ By อ.ตมั้ ดนตรีไทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เรือ่ ง ประวตั ิดนตรีไทยในสมยั ต่างๆ 5 คนที่ 3 มเี ครื่องดนตรีคือพณิ 5 สาย วางพาดอยู่บนตัก แสดงอาการบรรเลงโดยการดดี คนท่ี 4 นั่งเทา้ แขนขวา ใช้แขนซ้ายจับบริเวณข้อศอกขวา ไม่ปรากฏเครือ่ งดนตรี สันนษิ ฐานว่า เป็นนักรอ้ ง คนท่ี 5 ถือเคร่ืองดนตรีชิ้นหนึ่ง สันนิษฐานว่าเป็นกรับ เน่ืองจากการบรรเลงเครื่องดนตรีช้ินน้ี คอื การตลี งไปบนมืออกี ขา้ งหนึง่ ใหเ้ กดิ เสียง ประติมากรรมยักษ์แคระ มีปีกถือเครื่องดนตรี พบที่ฐานเจดีย์จุลประโทน จังหวัดนครปฐม รายละเอียดภาพที่ปรากฏเป็นรูปบุคคลที่มีเศียรเป็นมนุษย์ ด้านหลังตัวมีปีกนก มีขาเป็นสัตว์ ถือเคร่ือง ดนตรี ลักษณะดงั กล่าวอาจะหมายถงึ ครฑุ เทวดา คนธรรพ์ หรอื วิทยาธร ท่ีกาลงั เลน่ เครือ่ งดนตรี เทวดา คนธรรพ์ กินรี กินนร หรือวิทยาธร โดยคติแล้วถือเป็นยักษ์จาพวกหนึ่ง อาศัยในป่าเขา ชอบเล่นดนตรี โดยเฉพาะคนธรรพ์ ดังนน้ั ประตมิ ากรรมปนู ปนั้ ดงั กลา่ วกค็ ือคนแคระทีห่ มายถงึ ยกั ษ์ อีก ทั้งประติมากรรมรูปคนแคระมีปีก หรือคนแคระเล่นเครื่องดนตรีก็ปรากฏอยู่ทั่วไปในงานศิลปกรรมของ อินเดยี และเอเชียตะวันออกใต้เช่นเดยี วกัน ระฆังหนิ เปน็ หินท่มี ีเสียง จะพบอยู่ในแหลง่ โบราณคดีสมยั ทวารวดี เช่น จงั หวัดราชบุรี จงั หวัด สพุ รรณบุรี จังหวัดนครปฐม เป็นหินลักษณะแบนๆ ความหนาประมาณ 20 - 30 ซม. รูปทรงเบี้ยวตาม ธรรมชาติ บางแผ่นมีความยาวถึง 1 เมตร ตรงมุมยืนจะเจาะเป็นรูกลมของแผ่นหิน ซึ่งนามาแขวนแล้ว ใช้ไมเ้ คาะมีเสยี งดงั กงั วาน พบอยู่ตามซากโบราณสถานสาคญั ตวิ สอบครูสายศิลป์ By อ.ตม้ั ดนตรไี ทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เรื่อง ประวตั ดิ นตรีไทยในสมยั ต่างๆ 6 ดนตรไี ทยในสมยั ลพบรุ ี มักพบภาพสลักหินเก่ียวกับเครื่องดนตรีแฝงอยู่ตามหน้าบันและทับหลังของโบราณสถานแบบ อทิ ธิพลศลิ ปะเขมรท่ีเรียกกนั ว่า “ปราสาท” มีอายุในราวกลางพุทธศตวรรษท่ี 16 ถึงกลางพุทธศตวรรษ ที่ 17 เท่าทพ่ี บมีดังนี้ 1. หน้าบนั ด้านตะวันออก ของปราสาทหรือพระธาตุนารายณเ์ จงเวง อาเภอเมอื ง จังหวัด สกลนคร เป็นภาพพระศิวนาฏราชหรือพระอิศวรทรงฟ้อนราอยู่ตรงกลางท่ามกลางเทพ 5 องค์ 2 ใน 5 คือ พระอุมาหรอื พระนางปารพตี มเหสี และพระคเณศ โอรส อีก 3 องค์ คอื - นักดนตรกี าลงั ดดี พิณ 1 องค์ - ตฉี ่ิง 1 องค์ - ทาทา่ คลา้ ยจะสซี ออีกองค์เพราะภาพชารดุ ไป 2. ทับหลังจากปราสาทศรีขรภูมิ อาเภอศรีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ เปน็ ภาพพระศิวนาฏราช พระอศิ วรทรงยนื ฟอ้ นราบนหลังหงส์เหนอื หนา้ กาลตรงกลาง ตอนล่างดา้ นขวาคือ - พระนารายณก์ าลงั ทาท่าคลา้ ยตีฉงิ่ - พระอมุ าคล้ายถอื บัณเฑาะวด์ ว้ ยพระหัตถ์ข้างหนึง่ - ด้านซ้ายคอื พระพรหมซง่ึ สองพระหตั ถ์ลา่ งกาลังตีฉง่ิ - พระคเณศกาลังตีกลอง ติวสอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตั้ม ดนตรไี ทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่อื ง ประวตั ดิ นตรีไทยในสมยั ตา่ งๆ 7 3. ทบั หลังทีป่ ราสาทหินพมิ าย อาเภอพิมาย จังหวดั นครราชสมี า มี 2 อันได้แก่ - ทับหลังทิศตะวันตก ประกอบด้วยภาพสลัก 2 แห่ง แนวบนเป็นภาพพระพุทธรูปทรง เคร่ืองยืนระหว่างต้นไม้คู่หน่ึง มีพระยามารเฝ้าอยู่ข้างๆ พร้อมบริวารและมีขบวนราชยานคานหามกับ เคร่ืองสูงอยู่ริมซ้ายแนวล่างเป็นรูปพนักงานชาวประโคมกับนักฟ้อนรา สันนิษฐานว่าเป็นภาพพระพุทธ ประวัติตอนเทศนาโปรดพระยามารตามพุทธศาสนาฝ่ายมหายานซึ่งอนุญาตให้มีดนตรีประกอบเทศนา ได้ สาหรับภาพพนกั งานชาวประโคมทีป่ รากฎในแนวล่าง ประกอบด้วย - ผู้เปา่ สังข์ 1 คน - ตีกลองหน้าเดียวโดยแขวนสะพายแล่งบา่ 1 คน - เป่าแตร (นา่ จะทาด้วยเขาสตั ว)์ 1 คน - ตกี ลองสองหน้าโดยแขวนสะพายแลง่ บนบ่า 1 คน - ผู้หามฆอ้ งขนาดใหญ่ 2 คน พรอ้ มคนตี 1 คน - และคนเปา่ ขลุ่ย 1 คน แตล่ ะคนเล่นดนตรไี ปดว้ ยเตน้ ไปด้วย - ทับหลังทิศตะวันออก เป็นภาพเร่ืองรามายณะตอนสุครีพครองเมือง ประกอบด้วย ภาพพระลักษมณ์ประทับบนราชยาน มีพลวานรเป็นพลแบกและพลบริวารเบ้ืองหน้า สุครีพประทัพบน คานหามแบกโดยพลลิงท้ังสองข้างแวดล้อมด้วยเคร่ืองสูง รงมทั้งเคร่ืองดนตรีประกอบเกียรติยศตรงใต้ ราชยานของพระลักษมณโ์ ดยพลวานรเปน็ ผู้บรรเลง เครื่องดนตรีที่ปรากฎได้แก่ - เคร่ืองเปา่ 2 ชนิด คือ ขลุ่ยกับแตรเขาสัตว์ - เคร่ืองตี 2 ชนิด คือ ฆ้องแบกโดยพลวานร 2 ตน ตัวยืนข้างหลังเป็นผู้ตี กับกลอง สองหนา้ ที่มีสายคลอ้ งคอลงมาตดี ว้ ยมือ ติวสอบครูสายศิลป์ By อ.ตม้ั ดนตรไี ทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่ือง ประวตั ดิ นตรไี ทยในสมัยต่างๆ 8 สมยั กรงุ สุโขทยั ดนตรไี ทยมีลักษณะเป็นการขบั ลานา และร้องเล่นกนั อย่างพ้ืนเมอื ง เก่ียวกับเครอื่ งดนตรีไทยใน สมัยน้ีปรากฎหลักฐานกล่าวถึงไว้ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง ซ่ึงเป็นหนังสือวรรณคดี ที่แต่งในสมัยนี้ ได้แก่ แตร, สังข์, มโหระทึก, ฆ้อง, กลอง, ฉ่ิง, แฉ่ง (ฉาบ), บัณเฑาะว์ พิณ, ซอพุงตอ (สันนิษฐานว่าคือ ซอสามสาย) ปไ่ี ฉน, ระฆัง, และ กังสดาล เปน็ ต้น ลกั ษณะการผสมวงดนตรีกป็ รากฎหลักฐานทงั้ ในศลิ าจารึก และหนงั สอื ไตรภมู พิ ระร่วง กล่าวถึง \"เสียงพาทย์ เสียงพิณ\" ซึง่ จากหลกั ฐานท่ีกล่าวนส้ี ันนษิ ฐานวา่ วงดนตรีไทยในสมยั สุโขทัยมีดังนี้ คือ 1. การบรรเลงพิณ เป็นการบรรเลงเพียงคนเดียว ประกอบกับการขับลานาซ่ึงผู้ดีดเป็นคนขับ ลานาเอง พิณที่ใช้ดีดสันนิษฐานว่าเป็นพิณเป๊ียะ (ทางเหนือ) หรือ พิณน้าเต้า (เขมร,)หรือ กระจับปี่ (เขมร,) ซง่ึ การบรรเลงพณิ ประกอบการขับลานาน้ีใช้เนื้อร้องที่มีคากลอนในเชิงสังวาสแสดงความรักใคร่ จงึ มักจะใชเ้ กย้ี วสาวเป็นส่วนใหญ่ 2. วงขบั ไม้ ประกอบดว้ ยผู้บรรเลง 3 คน คือ คนขับลานา 1 คน คนสีซอสามสายคลอเสียงร้อง 1 คน และ คนไกวบัณเฑาะว์ ให้จังหวะ 1 คน มักใช้กับพิธีหลวงในสมัยน้ัน เช่น พิธีสมโภชพระมหา เศวตรฉตั ร พิธีสมโภชพระยาชา้ งเผือก 3. วงป่พี าทย์ เปน็ ลักษณะของวงปพี่ าทย์เครือ่ ง 5 มี 2 ชนิด คือ 3.1 วงป่ีพาทย์เคร่ืองห้าอย่างเบา (ป่ีพาทย์ชาตรี) ใช้บรรเลงประกอบการแสดง ละคร ชาตรี (เปน็ ละครเกา่ แกท่ ี่สดุ ของไทย) 1) ปี่ 2) กลองชาตรี 3) ทบั (โทน) 4) ฆ้องคู่ และ 5) ฉงิ่ 3.2 วงปี่พาทย์เครื่องห้าอย่างหนัก ใช้บรรเลงประโคมในงานพิธีและบรรเลง ประกอบการแสดงมหรสพต่างๆ เช่น โขน ละคร จะเห็นว่า วงปี่พาทย์เคร่ืองห้า ในสมัยน้ียังไม่มีระนาด เอกประกอบดว้ ย 1) ปใี่ น 2) ฆอ้ งวงใหญ่ 3) ตะโพน 4) กลองทัด และ 5) ฉ่งิ ตวิ สอบครูสายศลิ ป์ By อ.ตัม้ ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เร่อื ง ประวตั ดิ นตรไี ทยในสมัยตา่ งๆ 9 4. วงมโหรี เป็นลักษณะของวงดนตรีอีกแบบหน่ึงที่นาเอาวงบรรเลงพิณ กับวงขับไม้ มา ผสมกนั เปน็ ลักษณะของวงมโหรีเครอื่ งสี่ เพราะประกอบดว้ ยผ้บู รรเลง 4 คน คอื 4.1 คนขบั ลานาและตี กรับพวง ใหจ้ ังหวะ 4.2 คนสี ซอสามสาย คลอเสียงร้อง 4.3 คนดดี พิณ และ 4.4 คนตีทบั (โทน) ควบคมุ จังหวะ สมัยกรุงศรอี ยุธยา ปรากฎหลักฐานเกี่ยวกับดนตรีไทยในสมัยน้ีในกฏมลเฑียรบาลซึ่งระบุช่ือ เคร่ืองดนตรีไทย เพิ่มขึ้นจากที่เคยระบุไว้ในหลักฐานสมัยสุโขทัยจึงน่าจะเป็นเคร่ืองดนตรีที่เพิ่งเกิดในสมัยน้ี ได้แก่ กระจบั ป่ี ขลุ่ย จะเข้ และ รามะนา นอกจากนใ้ี นกฎมณเฑยี รบาลสมยั สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ. 1991-2031) ปรากฎขอ้ ห้ามตอนหนงึ่ วา่ \" ห้ามรอ้ งเพลงเรอื เปา่ ขลุย่ เปา่ ป่ี สีซอ ดีดกระจับปี่ ดีดจะเข้ ตีโทนทบั ในเขตพระราชฐาน \" ซึ่งแสดงว่าสมัยนี้ดนตรีไทยเปน็ ท่ีนิยมกนั มากแม้ในเขตพระราชฐาน ก็มีคนไปร้องเพลงและเล่น ดนตรีกันเป็นที่เอิกเกริกและเกินพอดี จนกระท่ังพระมหากษัตริย์ต้องทรงออกกฎมลเฑียรบาล ดังกล่าว ข้ึนไว้เกี่ยวกับลักษณะของ วงดนตรีไทยในสมัยนี้มีการเปล่ียนแปลง และพัฒนาขึ้นกว่าในสมัยสุโขทัย ดงั นี้ คือ 1. วงป่ีพาทย์ ในสมัยนี้ก็ยังคงเป็นวงป่ีพาทย์เครื่องห้าเช่นเดียวกับในสมัยสุโขทัย แต่มี ระนาดเอกเพ่มิ ข้ึน ดังนน้ั วงปพี่ าทย์เครื่องหา้ ในสมัยนีป้ ระกอบด้วยเครอื่ งดนตรี ดังต่อไปนี้ คอื 1.1 ระนาดเอก 1.2 ป่ใี น 1.3 ฆอ้ งวง (ใหญ่) 1.4 กลองทัด ตะโพน 1.5 ฉ่งิ 2. วงมโหรี ในสมัยน้ีพัฒนามาจากวงมโหรีเครื่องส่ี ในสมัยสุโขทัยเป็นวงมโหรีเคร่ืองหก เพราะได้เพม่ิ เครอ่ื งดนตรีเข้าไปอีก 2 ชิ้น คือ ขลุ่ย และ รามะนา ทาให้ วงมโหรีในสมยั น้ี ประกอบดว้ ย เคร่อื งดนตรีจานวน 6 ช้ิน (เรียกวงมโหรีเคร่อื ง 6) คือ 2.1 ซอสามสาย 2.2 กระจับป่ี (แทนพิณ) 2.3 ทบั (โทน) 2.4 รามะนา 2.5 ขลุย่ 2.6 กรบั พวง ติวสอบครสู ายศิลป์ By อ.ตั้ม ดนตรไี ทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่อื ง ประวตั ิดนตรีไทยในสมยั ต่างๆ 10 สมยั กรงุ ธนบุรี เนื่องจากในสมยั นีเ้ ป็นช่วงระยะเวลาอันส้นั เพยี งแค่ 15 ปี และประกอบกับเป็นสมัยแห่งการก่อ รา่ งสรา้ งเมือง และการป้องกันประเทศเสียโดยมากวงดนตรีไทยในสมัยนี้จึงไม่ปรากฎหลักฐานไว้ว่า ได้มี การพัฒนาเปลี่ยนแปลงข้ึน สันนิษฐานว่ายังคงเป็นลักษณะและรูปแบบของดนตรีไทย ในสมัยกรุงศรี อยุธยานั่นเองแต่มีเคร่ืองดนตรีของชาติต่างๆ เข้ามาในประเทศไทยหลายชนิด ดังปรากฏใน หมายกาหนดการของพระมหากษัตริย์ในสมัยน้ันว่า “ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พิณพาทย์ไทย พิณ พาทย์รามัญ มโหรีไทย ฝร่ัง มโหรญี วน เขมร ผลัดเปลี่ยนกันสมโภช 2 เดือนกับ 12 วนั ” ในงานสมโภช พระแกว้ มรกตเปน็ ต้น สมยั กรุงรัตนโกสนิ ทร์ สมัยรัชกาลที่ 1 ดนตรีไทยในสมัยนี้ส่วนใหญ่ยังคงมีลักษณะและรูปแบบตามท่ีมีมาตั้งแต่ สมัย กรุงศรีอยุธยาท่ีพัฒนาข้ึนบ้างในสมัยนี้ก็คือการเพ่ิมกลองทัดขึ้นอีก 1 ลูก คือให้มีเสียงสูง (ตัวผู้) และ เสียงต่า (ตัวเมีย) สมัยรัชกาลท่ี2 อาจกล่าวว่าในสมัยนี้เป็นยุคทองของดนตรีไทยยุคหน่ึงทั้งน้ีเพราะองค์ พระมหากษัตริย์ทรงสนพระทัยดนตรีไทยเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถในทางดนตรีไทย มีซอคพู่ ระหัตถช์ ่อื ว่า \"ซอสายฟา้ ฟาด\" ซง่ึ เปน็ ช่ือซอสามสายทีพ่ ระองคท์ รงโปลด ทงั้ พระองคไ์ ดพ้ ระราชนพิ นธ์ เพลงไทยขึน้ ซงึ่ มีชอื่ ว่า\"บหุ ลันลอยเลื่อน\" การพัฒนาเปล่ียนแปลงของดนตรีไทยในสมัยน้ีก็คือ ได้มีการนาเอาวงปี่พาทย์มาบรรเลง ประกอบการขับเสภาเป็นครง้ั แรก นอกจากน้ียังมีกลองชนิดหนง่ึ เกดิ ขึน้ โดยดัดแปลงจาก \"เปงิ มาง\" ของ มอญ ต่อมาเรียกกลองชนิดน้ีว่า \"กลองสองหน้า\" ใช้ตีกากับจังหวะแทนเสียงตะโพนในวงปี่พาทย์ ประกอบการขับเสภา เน่ืองจากเห็นว่าตะโพนดังเกินไป จนกระท่ังกลบเสียงขับ กลองสองหน้าน้ี ปจั จบุ นั นยิ มใช้ตกี ากับจังหวะหน้าทับ ในวงปพ่ี าทย์ไมแ้ ขง็ สมัยรัชกาลที่ 3 เกิดวงปี่พาทย์ได้พัฒนาขึ้นเป็นวงปี่พาทย์เคร่ืองคู่โดยได้มีการประดิษฐ์ระนาด ทุ้ม มาคู่กบั ระนาดเอก และประดษิ ฐ์ฆอ้ งวงเลก็ มาคูก่ บั ฆอ้ งวงใหญ่ มกี ารร้องเพลงสามช้ันคร้ังแรกโดย พระประดิษฐ์ไพเราะ (มี ดุริยางคก์ รู ) หรือครูมแี ขกเป็นผู้ รเิ ร่ิม และพฒั นาการแต่งขยายเพลง 2 ช้ันข้ึน ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตม้ั ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เร่อื ง ประวตั ดิ นตรไี ทยในสมยั ต่างๆ 11 สมัยรัชกาลที่ 4 เกิดวงปี่พาทย์เครื่องใหญ่ โดยได้มีการประดิษฐ์ระนาดเอกเหล็ก (หรือระนาด ทองเน่ืองจากสมัยแรกได้นิยมนาทองเหลืองมาทาเคร่ืองดนตรี) และระนาดทุ้มเหล็ก นามาบรรเลงเพ่ิม ในวงป่ีพาทย์เครือ่ งคู่ วงการดนตรีไทยนิยมการร้องเพลงส่งให้ดนตรีรับ หรือที่เรียกว่า \"การร้องส่ง\" กันมาก จนกระทง่ั การขบั เสภา่ซงึ่ เคยนิยมกนั มากอ่ นคอ่ ยๆ หายไป การร้องส่งก็เป็นแนวทางให้มีผู้คิดแต่งขยายเพลง 2 ช้ันของเดิมให้เป็นเพลง 3 ช้ัน และตัด ลง เปน็ ชน้ั เดียว เรียกเพลงทีม่ ีลกั ษณะแบบนว้ี า่ เพลงเถา เช่น เพลงแขกบรเทศ เถา, เพลงกล่อมนารี เถา ฯลฯ นับวา่ เพลงเถาเกิดข้ึนมากมายในสมยั น้ี นอกจากน้ีวงเครื่องสาย ก็เกดิ ขึ้นในสมยั รัชกาลนี้เชน่ กนั สมัยรัชกาลท่ี 5 ไดม้ ีการปรับปรุงวงป่ีพาทย์ข้นึ ใหม่ชนดิ หน่ึงซึ่งต่อมาเรียกว่า \"วงปี่พาทย์ดึกดา บรรพ\"์ โดยสมเดจ็ กรมพระยานรศิ รานุวัดติวงศ์ สาหรับใช้บรรเลงประกอบการแสดง \"ละครดกึ ดาบรรพ์\" ซ่งึ เปน็ ซ่ึงพฒั นามาจากวงโอเปรา่ ของตะวนั ตก หลักการปรับปรุงของท่านก็โดยการตัดเคร่ืองดนตรีชนิดเสียงเล็กแหลมหรือดังเกินไปออกคงไว้ แต่เคร่ืองดนตรที ีม่ เี สยี งทุม้ นมุ่ นวล กับเพม่ิ เครื่องดนตรีบางอย่างเขา้ มาใหม่ เครื่องดนตรีในวงปี่พาทย์ดึกดาบรรพ์ จึงประกอบด้วยระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ ระนาดทุ้ม ระนาดทุม้ เหลก็ ขลยุ่ ซออู้ ฆ้องหุ่ย (ฆ้อง 7 ใบ) ตะโพน กลองตะโพน และเคร่ืองกากบั จังหวะ สมัยรัชกาลท่ี 6 ได้การปรับปรุงวงปี่พาทย์ข้ึนมาอีกชนิดหน่ึง โดยนาวงดนตรีของมอญมาผสม กับ วงปี่พาทย์ของไทย ต่อมาเรียกวงดนตรีผสมน้ีว่า \"วงปี่พาทย์มอญ\" โดยหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศลิ ปบรรเลง) การนาเคร่ืองดนตรีของชวาหรืออินโดนีเซีย คือ \"อังกะลุง\" มาเผยแพร่ในเมืองไทยเป็นครั้ง แรก โดยหลวงประดิษฐไพเราะ(ศร ศิลปบรรเลง) ท้ังน้ีโดยนามาดัดแปลงปรับปรุงข้ึนใหม่ให้มีเสียงครบ 7 เสยี ง (เดมิ มี 5 เสียง) ปรับปรุงวธิ ีการเล่นโดยถอื เขยา่ คนละ 2 เสยี ง การนาเครื่องดนตรีของต่างชาติเข้ามาบรรเลงผสมในวงเครื่องสายได้แก่ ขิมของจีน และ ออร์แกนของฝรัง่ ทาเกดิ วงเครื่องสายผสม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทานุบารุงบรรดาครูดนตรีฝีมือดีให้กินอยู่ดี มีสุข พรอ้ มทง้ั พระราชทานราชทินนามใหด้ ้วย สมัยรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงสนพระทัยทางด้าน ดนตรีไทย มากเช่นกัน พระองค์ได้พระราชนพิ นธ์ เพลงไทยท่ีไพเราะไว้ถึง 3 เพลง คือ เพลงโหมโรงคลน่ื กระทบฝั่ง 3 ชน้ั ราตรีประดบั ดาว และเพลงเขมรลออองค์ ติวสอบครูสายศิลป์ By อ.ตม้ั ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เร่อื ง ประวตั ิดนตรไี ทยในสมัยตา่ งๆ 12 สมัยรชั กาลท่ี 8 การดนตรีไทยในสมัยนี้เปน็ สมัยหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นการปกครองในระบอบประชาธิปไตย สมัยนี้“เป็นระยะท่ีดนตรีไทยเข้าสู่ สภาวะมืดมนเพราะรัฐบาลไม่ส่งเสริมดนตรีไทย และยังพยายามให้คนไทยหันไปเล่นดนตรีสากลแบบ ตะวนั ตก” ต่อมาก็เกดิ รัฐนิยมข้ึน “ การทีม่ ีรัฐนิยมเกิดขึ้น กล่าวคือ ห้ามการบรรเลงดนตรไี ทย รชั กาลที่ 9 พระบาทสมเดจ็ พระมหาภมู พิ ลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร – มีการนาทานองเพลงพ้ืนเมืองหรือเพลงไทยเดิมสองชั้น ช้ันเดียว มาใส่เน้ือร้องใหม่แบบ เนอ้ื เต็มตามทานอง เกดิ เป็นเพลงลูกท่งุ เพลงลกู กรงุ – พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงให้วงดนตรีไทยท่ีมีช่ือเสียงมาบรรเลง บันทึกเสียงออกอากาศผ่านทางสถานีวิทยุ อ.ส. พระราชวังดุสิตเป็นประจา เช่น คณะศรทองของหลวง ประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) คณะพาทยโกศล วงของคุณหญิงช้ิน ศิลปบรรเลง และวงของนาย มนตรี ตราโมท เป็นต้น บางครั้งพระองค์ทรงบันทึกเสียงกับวงดนตรีไทยด้วย เช่น วงของข้าราชบริพาร และวงเครื่องสายผสมของคณะแพทยส์ มาคม (แพทย์อาวโุ ส) เปน็ ต้น - พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้กรมศิลปากรจัดพิมพ์สมุดโน๊ตเพลงไทย ออกเผยแพรเ่ ปน็ คร้ังแรกเม่อื พ.ศ. 2505 – พ.ศ. 2512 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วดั ความถข่ี องเสยี งดนตรีไทยเพื่อใหเ้ ป็นมาตรฐาน – การสอนดนตรีไทยได้รับการสง่ เสริมเข้าสูโ่ รงเรียนและสถาบนั การศึกษาทั่วประเทศ ท้ังใน ระดับประถมฯ มัธยมฯ จนถึงอุดมศึกษา มีการก่อต้ังชุมนุมดนตรีไทยในสถาบันการศึกษาต่างๆ และมี การจดั ประกวดวงดนตรไี ทยในระดับต่างๆโดยภาครัฐและเอกชน – พ.ศ. 2528 สานกั งานคณะกรรมการวัฒนธรรมแหง่ ชาติ เร่ิมตน้ การประกาศยกยอ่ งศลิ ปิน แห่งชาติเป็นปีแรก โดยนายมนตรี ตราโมท ได้รับการยกย่องเป็นศิลปินแห่งชาติสาขาศิลปะการแสดง ดนตรไี ทยผลการค้นหารปู ภาพสาหรับ นายมนตรี ตราโมท – ศิลปินรุ่นใหม่พัฒนาดนตรไี ทยในแนวทางร่วมสมัย เช่น การประสมวงทีม่ เี ครือ่ งดนตรไี ทย กับเคร่อื งดนตรตี ะวันตก การใช้เทคโนโลยกี ารบันทึกเสียงสร้างมิติเสยี งใหมๆ่ ในดนตรีไทย – ดนตรีไทยได้รับการเผยแพร่ผ่านทางส่ือรูปแบบใหม่ ทัง้ แถบบันทึกเสียง และซีดี รายการ วิทยุ รายการโทรทัศน์ และเวบ็ ไซต์ สมเดจ็ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกมุ ารี ทรงเปน็ องคอ์ ุปถัมภ์ พระองค์ทรงพระปรชี าสามารถในทางการบรรเลงดนตรีไทยและขับร้องตลอดจนพระราชนิพนธ์ เน้ือร้องสาหรบั นาไปบรรจุเพลงต่างๆ ผลงานเพลงพระราชนิพนธ์ท่ีมีชอื่ เสียง เช่น เพลงไทยดาเนินดอย เพลงเตา่ เห่ เพลงชื่นชุมนมุ กลมุ่ ดนตรีไทย เปน็ ต้น ติวสอบครสู ายศิลป์ By อ.ตม้ั ดนตรไี ทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรือ่ ง ประวตั ดิ นตรีไทยในสมยั ต่างๆ 13 หน่วยท่ี 2 ประวตั ิและพัฒนาการของเพลงไทย เพลงไทยสมยั ต่างๆ 1. สมัยกรงุ สโุ ขทัย จากการศึกษาหลักฐานทางประวัติศาสตรส์ มัยกรุงสุโขทัย เกี่ยวกบั เพลงไทยพบว่ามีปรากฏ น้อยมากเม่ือเทียบกับเครื่องดนตรี บทเพลงส่วนใหญส่ ันนิษฐานกันว่าเป็นเพลงพื้นเมืองทรี่ ้องเล่นเพ่ือขับ กล่อม หรือพักผ่อนหลังจากการทางาน ไม่มกี ารแสดงประกอบ เป็นเพลงท่ีมีจังหวะ ทานองรวดเรว็ และ กระฉับกระเฉง เทียบได้กับอัตราจังหวะชั้นเดียว โดยเพลงท่ีมีช่ือว่า เทพทอง ถือเป็นบทเพลงที่เก่าแก่ ท่ีสุดมีอายุกว่า 700 ปี ต่อมาเม่ือนาเพลงน้ีมาใช้ขับร้องเพ่ือประกอบการแสดงละคร มีวงดนตรีรับ-ส่ง จึงได้ช่ือเรียกอีกชื่อหน่ึงว่า เพลงสุโขทัย เพลงที่สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดขึ้นในสมัยนี้คือเพลงเทพทอง เพลงนางนาค และเพลงขับไม้บัณเฑาะว์ โดยระบาสุโขไทยได้นาเพลงเทพทองไปใช้ในการบรรเลง ประกอบการแสดง 2. สมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา เพลงไทยสมัยน้ีมีหลักฐานพอท่ีจะเชื่อได้ว่าเป็นเพลงท่ีมีจังหวะปานกลางไม่ช้าไม่เร็ว เทียบ ได้กับอัตราจังหวะ 2 ช้ัน ท้ังน้ี เน่ืองจากสมัยกรุงศรีอยุธยาเร่ิมมีการแสดงประเภทโขนละครและหนัง ใหญข่ ึน้ จึงตอ้ งมีการสรา้ งสรรค์บทเพลงเพ่อื ใช้ประกอบการแสดงให้มคี วามเหมาะสมกับ ท่ารา และการ บรรเลงขับกล่อมในตอนปลายสมัยกรงุ ศรอี ยุธยา ประชาชนนยิ มเลน่ เพลงเรอื สกั วา ลักษณะเพลงไทยสมัยกรงุ ศรอี ยุธยา สามารถแยกประเภทเพลงได้ ดังน้ี 1. เพลงร้องมโหรี ใชส้ าหรบั ขบั รอ้ งและบรรเลงวงมโหรี เพือ่ ขบั กลอ่ ม ไดแ้ ก่ - เพลงตับ เช่น เพลงตับเร่ืองพระนคร เพลงตับเร่ืองนางร้องไห้ เพลงตับเร่ืองเกสร มาลา เพลงตบั เร่ืองยิกนิ เปน็ ต้น - เพลงเกร็ด เช่น นางตานีร้องไห้ ศรีประเสริฐ ระส่าระสาย มดน้อยล่องเรือละคร เปน็ ต้น 2. เพลงปี่พาทย์ ใช้สาหรับขับร้องและบรรเลงวงปี่พาทย์ เพ่ือประกอบโขน ละคร และ พิธกี ารตา่ งๆ มีดังน้ี - เพลงหนา้ พาทย์ เช่น สาธุการ ตระรัว ชา้ ปี่ โอ้รา่ ย ชมตลาด ชา้ ครวญ เปน็ ตน้ - เพลงเร่อื ง เช่น เพลงเรอ่ื งทาขวญั เพลงเรื่องพระนเรศวร เปน็ ตน้ 3. เพลงภาษา เนื่องจากในสมัยนี้มีการติดต่อกับต่างประเทศ การแลกเปลี่ยน ศิลปวัฒนธรรมด้านต่างๆ จึงเกิดข้ึน ด้านดนตรีได้มีการประพันธ์บทเพลงโดยเลียนสาเนียงชาติต่างๆ ติวสอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตม้ั ดนตรไี ทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เรื่อง ประวตั ดิ นตรไี ทยในสมัยต่างๆ 14 เพื่อบรรเลงประกอบตวั ละครตามชาตินนั้ เช่น เพลงมอญ ไดแ้ ก่ เพลงหงส์ลลี า หงสร์ ่อนเหราเล่นนา้ ลูก ติดแม่ สามภาษา เป็นต้น เพลงจนี ได้แก่ จีนเก็บดอกไม้ จีนหลวงนางกลับเขา้ ที่ เปน็ ตน้ 3. สมยั กรงุ รัตนโกสนิ ทร์ รัชกาลท่ี 1 เน่ืองจากเป็นช่วงฟ้ืนฟูศิลปวัฒนธรรม ดังนั้นบทเพลงส่วนใหญ่จึงยังคง ใช้ของเดมิ ที่มีมาแตส่ มัยกรุงศรอี ยุธยา รัชกาลที่ 2 การดนตรีมีความเจริญข้ึนเป็นลาดับ มีบทเพลงพระราชนิพนธ์ ชื่อว่า บุหลนั ลอยเล่อื น 2 ชัน้ รัชกาลที่ 3 มีการร้องเพลง 3 ชั้นประกอบการบรรเลงดนตรีขึ้นโดยพระประดิษฐ์ ไพเราะ (มี ดุริยางกูร หรือครูมแี ขก) นาเพลงทม่ี ีจังหวะปานกลาง 2 ช้นั มาขยายให้มีจงั หวะช้าและยาว ขึ้นเป็นคนแรก ได้แก่ เพลงจีนขิมเล็ก เพลงจีนขิมใหญ่ เพลงแขกบรเทศ เพลงภิรมย์สุรางค์ เป็นต้น นอกจากน้ี เพลงสาเนียงภาษาต่างๆ ยังเกิดขึ้นเป็นจานวนมาก เพราะในรัชกาลน้ี เร่ิมมีการติดต่อค้าขาย กับนานาอารยประเทศมากขนึ้ รัชกาลท่ี 4 เกดิ ประเภทของเพลงท่เี รยี กว่า “เพลงเถา” ข้นึ เพลงเถา หมายถึง เพลง ไทยที่มีลักษณะการบรรเลงติดต่อกนั ตั้งแต่ 3 อัตราจังหวะ ข้ึนไป เพลงเถาเพลงแรกมีช่อื ว่า เพลงทยอย ใน ผู้ประพันธ์คือครูเพ็ง (ไม่ทราบนามสกุล) กล่าวกันว่าเป็นญาติผู้น้องของพระประดิษฐ์ไพเราะ (ครูมี แขก) ความก้าวหน้าทางด้านดนตรีสมัยน้ีอีกอย่างหนึ่ง คือ พระ-ประดิษฐ์ไพเราะ ได้ประพันธ์เพลงท่ี เรียกว่า เพลงทยอย หมายถึง การประพันธ์บทเพลงท่ีมีการลักจังหวะ มีการแบ่งเครื่องดนตรีในการ บรรเลงก่อน บรรเลงหลัง หรือ “ลูกล้อลูกขัด” ข้ึนเป็น คร้ังแรก จนได้รับการยกย่องว่าเป็น “เจ้าแห่ง เพลงทยอย” นอกจากน้ี ท่านยังได้เป็นผู้ประพันธ์เพลงสาหรับอวดฝีมือนักดนตรีและทางของเครื่อง ดนตรขี ้ึนเปน็ เพลงแรก คือ เพลงทยอยเดย่ี ว สาหรบั เครื่องดนตรปี โ่ี ดยเฉพาะ และกลายเป็นตน้ แบบของ เพลงเดีย่ วต่างๆ ในปจั จบุ นั รัชกาลที่ 5 เกิดเพลงใหม่ขนึ้ หลายบทเพลงและได้รับความนิยมอยา่ งสูงแมใ้ นปัจจบุ ัน เช่น เพลงแขกมอญบางขุนพรหม เถา พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุม พนั ธ์ุ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต เพลงเขมรไทรโยค 3 ช้นั พระราชนพิ นธใ์ นสมเด็จพระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เพลงลาวดวงเดือน 2 ชั้น พระ-นิพนธ์ในพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรม หมื่นพิไชยมหินทโรดม เพลงลาวคาหอม 2 ช้ัน ของจ่าเผ่นผยองย่ิง หรือจ่าโคม นอกจากน้ี สมเด็จพระ ตวิ สอบครูสายศิลป์ By อ.ตัม้ ดนตรไี ทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรอื่ ง ประวตั ิดนตรไี ทยในสมัยต่างๆ 15 เจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานวุ ัดติวงศ์ยังเป็นผู้พระราชนพิ นธ์เพลงสรรเสริญพระบารมีขึ้น เป็นครั้งแรก อันเป็นตน้ เค้าของเพลงสรรเสรญิ พระบารมใี นปจั จุบัน รัชกาลท่ี 6 เกิดเพลงทางกรอ เพลงทางเปล่ียนและเพลงที่มีลูกนาขึ้นต้น (Intro) โดยหลวงประดษิ ฐไ์ พเราะ (ศร ศลิ ปบรรเลง) รัชกาลที่ 7 - รัชกาลท่ี 9 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราช นิพนธ์เพลงไว้ 3 เพลง คือ เพลงโหมโรงคล่ืนกระทบฝั่ง 3 ชั้น เพลงเขมรลออองค์ เถา และ เพลงราตรี ประดับดาว เถา หลังจากการเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองในปี พ.ศ. 2475 ในระยะแรกดนตรีไทย ซบเซาลงเนื่องจากรัฐบาลไม่สนับสนุนการดนตรีไทย ระยะต่อมามีนักดนตรีหลายท่านเห็นว่าการดนตรี ไทยใกล้ถึงจุดวิกฤติจึงร่วมกันฟื้นฟู และพัฒนาการดนตรีข้ึนใหม่ให้มีความเจริญเหมือนดังแต่ก่อนผู้ท่ีมี บทบาทสาคัญในคร้ังน้ี ได้แก่ ครูมนตรี ตราโมท ดุริยางศิลปิน อาวุโสและศิลปินแห่งชาติ ซึ่งมีผลงาน การประพันธ์เพลงไทยมากมาย ได้แก่ เพลง 3 ช้ัน เพลงเถา เพลง 2 ชั้นและชั้นเดียว เพลงเด่ียว เพลง ประเภทร้องสอดดนตรี เพลงระบา เพลงเบ็ดเตล็ด และเพลงไทยสากล จานวนมากกว่า 300 เพลง หลวงประดษิ ฐ์ไพเราะ (ศร ศลิ ปบรรเลง) มผี ลงานการประพันธ์เพลงไทยจานวนหลายร้อยเพลง ตวิ สอบครูสายศิลป์ By อ.ตัม้ ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรอื่ งเครอ่ื งดนตรีไทย วงดนตรี และความสัมพนั ธท์ างดนตรใี นอาเซียน 16 เครือ่ งดนตรีไทย วงดนตรี และความสัมพนั ธ์ทางดนตรีในอาเซยี น ตวิ สอบครูสายศิลป์ By อ.ต้มั ดนตรีไทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เรอ่ื งเคร่ืองดนตรไี ทย วงดนตรี และความสมั พันธ์ทางดนตรใี นอาเซียน 17 หนว่ ยที่ 1 เครอ่ื งดนตรี และวงดนตรีไทย 1. เครื่องดนตรีไทย - จะเข้ - ซงึ - พณิ เพยี ะ - ไหซอง 1.1 เครือ่ งดดี - กระจบั ป่ี - พิณนา้ เตา้ 1.2 เครอ่ื งสี - รอื บบั - ซอ ไดแ้ ก่ ซอสามสาย ซอด้วง ซออู้ - สะลอ้ 1.3 เครือ่ งเป่า 1) ขลยุ่ ได้แก่ ขลยุ่ หลบิ ขลุย่ เพียงออ ขลุ่ยอู้ ขล่ยุ กรวด ขลุ่ยล้านนา(ขลยุ่ เมือง) ขลุ่ยโก้ ขลยุ่ นก แคน 2) ปี่ ไดแ้ ก่ ปน่ี อก ปีก่ ลาง ปี่ใน ปไี่ ฉน ปีช่ วา ปี่มอญ ป่ีออ้ ปี่จมุ ปภ่ี ไู ท 3) โหวด 1.4 เครื่องตี - กลองแขก - กลองสะบดั ชัย - กลองสองหน้า - กลองทดั - กลองมโหระทึก - กลองมังคละ - กลองมลายู - กลองยาว - ฆ้องวงเลก็ - ฆ้องวงใหญ่ - ฉงิ่ - กรับ ไดแ้ ก่ กรับเสภา, กรบั พวง, กรบั ไม้ไผ่ - โทน - โปงลาง - ระนาดเอก - ระนาดเอก - ฉาบ ได้แก่ ฉาบเลก็ , ฉาบใหญ่ ฯลฯ - อังกะลงุ - เปงิ มาง - ตะโพน ไดแ้ ก่ ตะโพนไทย, ตะโพนมอญ - ระนาดทุ้ม - ระนาดทุ้มเหล็ก เหล็ก - ระนาดแก้ว - รา้ มะนา - โหมง่ - บัณเฑาะว์ 2. วงดนตรีไทย คือ การประกอบเคร่ืองเล่นดนตรีไทยต่างๆ เพ่ือบรรเลงเนือเพลงและทา้ นองออกมา ซ่ึงการจะเป็นวงดนตรีไทยนันจะต้องมี เคร่ืองดนตรีไทยเท่านัน โดยเคร่ืองดนตรีไทยก็สามารถแบ่ง ออกเปน็ 4 ชนดิ ตามรปู แบบของการกา้ เนดิ เสยี ง ได้แก่ ดีด สี ตี เปา่ ตวิ สอบครูสายศิลป์ By อ.ตม้ั ดนตรไี ทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เร่ืองเครอ่ื งดนตรไี ทย วงดนตรี และความสมั พนั ธท์ างดนตรใี นอาเซียน 18 2.1 เครื่องดีดจะใช้นิวมือ หรือสิ่งอ่ืนใด ดีดไปที่สายของเคร่ืองดนตรีเพ่ือท้าให้เกิดเสียง ได้แก่ จะเข้ พิณ 2.2 เครื่องสีจะใชเ้ ส้นหางม้ารวมกันหลายๆ เส้นในการสีไปสีสายของเครื่องดนตรี อาทิ ซอด้วง ซออู้ ซอสามสาย 2.3 เคร่ืองตีใช้มือหรือไม้ตีไปท่ีเคร่ืองดนตรีเพ่ือท้าให้เกิดเสียงขึน ได้แก่ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆอ้ งโหมง่ ฆอ้ งวง ฉาบ กลองทัด โทน ร้ามะนา 2.4 เคร่ืองเป่า ใช้การเป่าลมเข้าไปที่เคร่ืองดนตรีเพ่ือท้าให้เกิดเสียง ได้แก่ ขลุ่ย ป่ี ซึ่งสามารถ แบง่ ชนดิ แยกยอ่ ยออกเปน็ อกี หลายรปู แบบตามลักษณะเฉพาะของแตล่ ะชนิด วงดนตรไี ทยมกี ี่ประเภท 3. ประเภทของวงดนตรีไทย หากจะแบ่งประเภทของวงดนตรีไทยนัน สามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภท คอื วงปพี่ าทย์ วงเครอ่ื งสาย วงมโหรี 3.1 วงปพี่ าทย์ วงป่ีพาทย์เป็นวงดนตรีท่ีประกอบด้วยเคร่ืองตี เป็นหลักโดยมีเคร่ืองเป่าคือขลุ่ยหรือป่ีร่วมอยู่ด้วย ใช้ ส้าหรับเป็นเครื่องประโคมในพิธีกรรมต่าง ๆ รวมทังการแสดงโขน – ละคร ฟ้อนร้า และมีการผสมวง ตามโอกาสท่ีใชท้ า้ ใหจ้ ้านวนของเคร่ืองดนตรมี นี อ้ ยมากแตกต่างกนั ไป ดังนี 1) วงป่ีพาทย์ชาตรี เป็นวงที่บรรเลงประกอบการแสดงโนรา หนังตลุง และละครชาตรี เครือ่ งดนตรใี นวงบรรเลงประกอบด้วย 1.1) ป่ีนอก 1.2) โทน 1 คู่ 1.3) กลองชาตรี 1 คู่ 1.4) ฆ้องคู่ 1 ราง 1.5) กรับ 1.6) ฉิ่ง 2) วงป่ีพาทย์ไม้แข็ง วงป่ีพาทย์ไม้แข็งเป็นวงท่ีใช้ส้าหรับประกอบการแสดงและประ โคม ทวั่ ไปมี 3 ขนาดคือ 2.1) วงป่ีพาทย์เคร่อื งหา้ เครื่องดนตรใี นวงบรรเลงประกอบด้วย ๑. ป่ใี น ๒. ระนาดเอก ๓. ฆ้องวงใหญ่ ๔. ตะโพน ๕. กลองทดั ๖. ฉ่ิง ติวสอบครสู ายศิลป์ By อ.ตัม้ ดนตรไี ทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เรอื่ งเครอ่ื งดนตรไี ทย วงดนตรี และความสมั พนั ธ์ทางดนตรใี นอาเซียน 19 2.2) วงปี่พาทยเ์ ครื่องคู่ เครอ่ื งดนตรใี นวงบรรเลง ประกอบดว้ ย ๑. ปใี่ น ๒. ปนี่ อก (ปจั จุบนั ไม่ค่อยได้ใช้) ๓. ระนาดเอก ๔. ระนาดทมุ้ ไม้ ๕. ฆอ้ งวงใหญ่ ๖. ฆอ้ งวงเล็ก ๗. ตะโพน ๘. กลองทัด ๙. ฉ่งิ ๑๐. ฉาบ ๑๑. โหมง่ 2.3) วงปพ่ี าทยเ์ คร่ืองใหญ่ เคร่ืองดนตรีในวงบรรเลง ประกอบดว้ ย ๑. ปใ่ี น ๒. ป่นี อก (ปจั จุบันไมค่ อ่ ยไดใ้ ช)้ ๓. ระนาดเอก ๔. ระนาดท้มุ ไม้ ๕. ระนาดเอกเหล็ก ๖. ระนาดทุ้มเหลก็ ๗. ฆอ้ งวงใหญ่ ๘. ฆอ้ งวงเล็ก ๙. ตะโพน ๑๐. กลองทดั ๑๑. ฉิง่ ๑๒. ฉาบ ๑๓. โหมง่ 3) วงปี่พาทย์ไม้นวม มีเครื่องดนตรีในวงบรรเลงและขนาดเหมือนวงปี่พาทย์ไม้แข็งทุก อย่าง แต่มีความแตกต่างกันที่ วงปี่พาทย์ไม้แข็งใช้ไม้ตีท่ีท้าด้วยเชือกแล้วชุบรักเวลาตีลงบนผืนระนาด แลว้ เสยี งจะกร้าวแกรง็ แตว่ งปพี่ าทยไ์ มน้ วมจะใชไ้ ม้ระนาดทพ่ี ันดว้ ยผ้าและเชือก ตีลงบนผืนระนาดแล้ว มเี สียงนุ่มนวล และในวงปี่พาทย์ไมน้ วมนี ใช้ขลุ่ยเพียงออ แทนป่ี รวมทังใช้ซออู้เข้ามาผสมอยู่ในวงด้วย การบรรเลงจะมีลักษณะแตกต่างกับวงปีพ่ าทย์ไม้แขง็ โดยเฉพาะเสียงทใี่ ช้บรรเลงจะต่า้ กวา่ เสียงของวงปี่ พาทยไ์ มแ้ ขง็ ๑ เสียง 3.1) วงปีพ่ าทยไ์ ม้นวมเครอื่ งห้า เครือ่ งดนตรใี นวงบรรเลงประกอบดว้ ย ๑. ขลยุ่ ๒. ระนาดเอก ๓. ฆ้องวงใหญ่ ๔.ซออู้ ๕. ตะโพน ๖. กลองแขก ๗. ฉิง่ ติวสอบครสู ายศิลป์ By อ.ตั้ม ดนตรไี ทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เรอื่ งเคร่ืองดนตรีไทย วงดนตรี และความสมั พันธ์ทางดนตรีในอาเซียน 20 3.2) วงปพ่ี าทย์ไมน้ วมเครอื่ งคู่ เคร่ืองดนตรีในวงบรรเลง ประกอบดว้ ย ๑. ขลุ่ย ๒. ระนาดเอก ๓. ระนาดทุ้มไม้ ๔. ฆอ้ งวงใหญ่ ๕. ฆ้องวงเล็ก ๖. ซออู้ ๗. ตะโพน ๘. กลองแขก ๙. ฉ่ิง ๑๐. ฉาบ ๑๑. โหม่ง 3.3. วงปี่พาทย์เคร่อื งใหญ่ เครื่องดนตรใี นวงบรรเลง ประกอบด้วย ๑. ขลุ่ย ๒. ระนาดเอก ๓. ระนาดทมุ้ ไม้ ๔. ฆอ้ งวงใหญ่ ๕. ฆ้องวงเล็ก ๖. ระนาดเอกเหล็ก ๗. ระนาดทุ้มเหล็ก ๘. ซออู้ ๙. ตะโพน ๑๐. กลองแขก ๑๑. ฉ่ิง ๑๒. ฉาบ ๑๓. โหม่ง 4) วงปีพ่ าทย์เสภา มเี ครื่องดนตรีและขนาดของวงเหมือนวงป่ีพาทย์ไมแ้ ขง็ ทุกอยา่ ง แต่ นา้ ตะโพน – กลองทัดออก ใช้กลองสองหน้าแทน แต่โบราณใช้บรรเลงประกอบการขับเสภาที่เป็นเรื่อง เปน็ ตอน มีระเบียบของการบรรเลงโดยเริ่มจาก โหมโรงเสภา และมีการขับร้องรบั ป่ีพาทย์ด้วยเพลงพม่า ห้าท่อน เพลงจระเข้หางยาว เพลงส่ีบท และเพลงบหุ ลัน เรียงล้าดับกันไป ต่อจากนันจะเปน็ เพลงอ่ืนใด กไ็ ด้ วงปีพ่ าทย์เสภานเี กดิ ขึนในสมยั รชั กาลที่ 2 4.1) วงป่ีพาทย์เครอ่ื งหา้ เครอ่ื งดนตรใี นวงบรรเลงประกอบดว้ ย ๑. ปีใ่ น ๒. ระนาดเอก ๓. ฆอ้ งวงใหญ่ ๔. กลองสองหน้า/กลองแขก ๕. ฉงิ่ 4.2) วงปีพ่ าทยเ์ คร่ืองคู่ เคร่ืองดนตรใี นวงบรรเลง ประกอบดว้ ย ๑. ป่ีใน ๒. ปีน่ อก (ปัจจุบันไมค่ ่อยไดใ้ ช)้ ๓. ระนาดเอก ๔. ระนาดทุ้มไม้ ๕. ฆอ้ งวงใหญ่ ๖. ฆ้องวงเล็ก ติวสอบครสู ายศิลป์ By อ.ตัม้ ดนตรีไทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เรือ่ งเครอื่ งดนตรไี ทย วงดนตรี และความสัมพนั ธท์ างดนตรใี นอาเซยี น 21 ๗. กลองสองหน้า / กลองแขก ๘.ฉิง่ ๙.ฉาบ ๑๐.กรบั ๑๑.โหมง่ 4.3) วงปีพ่ าทยเ์ ครอ่ื งใหญ่ เคร่ืองดนตรีในวงบรรเลง ประกอบด้วย ๑. ปี่ใน, ๒. ปีน่ อก (ปัจจบุ นั ไม่คอ่ ยได้ใช้) ๓. ระนาดเอก ๔. ระนาดท้มุ ไม้ ๕. ระนาดเอกเหล็ก ๖. ระนาดทมุ้ เหลก็ ๗. ฆ้องวงใหญ่ ๘. ฆ้องวงเล็ก ๙. กลองสองหน้า / กลองแขก ๑๐. ฉ่งิ ๑๑. ฉาบ ๑๒. กรบั ๑๓. โหมง่ 5) วงป่ีพาทย์ดึกดาบรรพ์ วงป่ีพาทย์ดึกด้าบรรพ์เป็นวงดนตรีที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์ เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงปรับปรุงขึนใหม่ โดยใช้เครื่องดนตรีที่มีเสียงทุ้มนุ่มนวม และไม่ใช้เครื่องดนตรีท่ีมีเสียงเล็กแหลม เช่น น้าเอาฆ้องวงเล็ก และระนาดเอกเหล็ก ออกไป ใช้ขลุ่ย เพียงออแทนป่ี และยังมีขลุ่ยอู้เพ่ิมขึน 1 เลา ใช้กลองตะโพนแทนกลองทัด และเพ่ิมซออู้ กรับพวงเข้า มาร่วมบรรเลงด้วย สัญลักษณ์ทีโ่ ดดเดน่ เห็นชัดเจนส้าหรับเคร่ืองดนตรีอีกชนิดหนง่ึ กค็ ือ ฆ้องหุ่ย 7 ใบ 7 เสียง วงปี่พาทย์ดึกด้าบรรพ์นี ใช้ส้าหรับบรรเลงประกอบการแสดงละครดึกด้าบรรพ์เท่านัน เคร่ือง ดนตรีในวงบรรเลงประกอบดว้ ย ๑. ระนาดเอก (ใช้ไมน้ วม) ๒. ระนาดท้มุ ไม้ ๓. ระนาดทุ้มเหลก็ ๔. ฆอ้ งวงใหญ่ ๕. ขลุ่ยเพยี งออ ๖. ขลยุ่ อู้ ๗. ซออู้ ๘. ฆ้องห่ยุ ๗ ใบ ๗ เสียง ๙. ตะโพน ๑๐. กลองตะโพน ๑๑. กลองแขก ๑๒. ฉ่ิง ๑๓. กรบั พวง 6.) วงป่ีพาทย์นางหงส์ เป็นวงดนตรีที่ใช้ในงานอวมงคล(งานศพ) มีเคร่ืองดนตรีในวง เหมือนกับวงป่ีพาทย์ไม้แข็งเพียงแต่เปล่ียนมาใช้ปี่ชวาแทนป่ีใน ใช้กลองมลายู1 คู่ เข้ามาร่วมบรรเลง ด้วย เครอ่ื งดนตรีในวงบรรเลงแบง่ ได้ 3 ขนาด ดงั นี ตวิ สอบครูสายศิลป์ By อ.ตมั้ ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เร่ืองเคร่ืองดนตรไี ทย วงดนตรี และความสมั พันธ์ทางดนตรใี นอาเซยี น 22 6.1) วงป่พี าทยน์ างหงส์เครื่องห้า เครื่องดนตรใี นวงบรรเลง ประกอบด้วย ๑.ป่ีชวา, ๒.ระนาดเอก, ๓.ฆอ้ งวงใหญ่, ๔.ฆอ้ งวงเลก็ , ๕กลองมลายู, ๖.ฉง่ิ 6.2) วงป่พี าทย์นางหงส์เคร่อื งคู่ เคร่ืองดนตรีในวงบรรเลง ประกอบดว้ ย ๑. ป่ีชวา ๒. ระนาดเอก ๓. ระนาดท้มุ ๔. ฆ้องวงใหญ่ ๕. ฆอ้ งวงเล็ก ๖. กลองมลายู ๗. ฉาบเลก็ ๘. ฉ่งิ ๙. โหม่ง ๑๐. ฉาบใหญ่ 6.3) วงปี่พาทย์นางหงสเ์ ครอ่ื งใหญ่ เครอ่ื งดนตรีในวงบรรเลง ประกอบดว้ ย ๑. ป่ีชวา ๒. ระนาดเอก ๓. ระนาดทุ้ม ๔. ระนาดเอกเหล็ก ๕. ระนาดทุ้มหล็ก ๖. ฆ้องวงใหญ่ ๗. ฆอ้ งวงเลก็ ๘. กลองมลายู ๙. ฉาบเลก็ ๑๐ ฉาบใหญ่ ๑๑ ฉิ่ง ๑๒ โหม่ง ๑๓ ฉาบใหญ่ 7) วงป่ีพาทย์มอญ เป็นวงดนตรีท่ีชาวมอญน้าเครื่องดนตรีเข้ามา พร้อมกับการย้ายถิ่น ฐานบ้านเรือน ต่อมาได้มีการพัฒนาเป็นวงปี่พาทย์มอญ โดยใช้หลักการของวงปี่พาทย์ไม้แข็งเป็นหลัก แต่ใช้เครื่องดนตรีของมอญตังอยู่ด้านหน้าของวง เช่น ฆ้องมอญ ป่ีมอญ ตะโพนมอญ เปิงมางคอก ด้านหลังจะเป็นระนาดเอก ระนาดทุ้ม และเครื่องดนตรีชินอ่ืนๆ ของวงป่ีพาทย์(ไทย) เม่ือตังวงดนตรี แล้วจะเห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน โอกาสที่ใช้ชาวมอญจะใช้บรรเลงทังงานมงคลและงานอวมงคล ส้าหรับชาวไทยจะใช้บรรเลงเฉพาะงานอวมงคลเท่านัน เคร่ืองดนตรีในวงบรรเลงของวงปี่พาทย์ แบง่ เปน็ 3 ขนาด ดงั นี 7.1) ปพี่ าทยม์ อญเครอื่ งห้า เครื่องดนตรใี นวงบรรเลง ประกอบด้วย ๑. ฆอ้ งมอญวงใหญ่ ๒. ระนาดเอก ๓. ปีม่ อญ ๔. ตะโพนมอญ ๕. เปิงมางคอก ๖. ฉ่งิ ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตัม้ ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เร่อื งเคร่ืองดนตรไี ทย วงดนตรี และความสัมพันธ์ทางดนตรีในอาเซยี น 23 7.2) ปพ่ี าทย์มอญเครอื่ งคู่ เคร่ืองดนตรใี นวงบรรเลง ประกอบดว้ ย ๑. ฆอ้ งมอญวงใหญ่ ๒. ฆอ้ งมอญวงเล็ก ๓. ระนาดเอก ๔. ระนาดทุม้ ๕. ปมี่ อญ ๖. ตะโพนมอญ ๗. เปิงมางคอก ๘. โหมง่ ๓ ลูก ๙. ฉิง่ ๑๐. ฉาบเลก็ ๑๑. ฉาบใหญ่ ๑๒. กรบั 7.3) ป่ีพาทย์มอญเครื่องใหญ่ เคร่ืองดนตรีในวงบรรเลง ประกอบด้วย ๑. ฆอ้ งมอญวงใหญ่ ๒. ฆอ้ งมอญวงเล็ก ๓. ระนาดเอก ๔. ระนาดทุ้มไม้ ๕. ระนาดเอกเหลก็ ๖. ระนาดทมุ้ เหล็ก ๗. ปม่ี อญ ๘. ตะโพนมอญ ๙. เปงิ มางคอก ๑๐. โหม่ง ๓ ลูก ๑๑. ฉง่ิ ๑๒. ฉาบเล็ก ๑๓. ฉาบใหญ่ ๑๔. กรับ 2. วงเครื่องสาย เป็นวงดนตรีไทยที่ใช้เคร่ืองสายเป็นหลักในการบรรเลง มีเคร่ืองเป่า ประกอบเป็นทา้ นอง และมเี ครือ่ งตีในการใหจ้ ังหวะ มจี ้านวน 4 ขนาด ดังนี 2.1 วงเคร่ืองสายเล็ก จะประกอบด้วยเคร่ืองดนตรีจ้านวน 8 ชนิด ได้แก่ จะเข้ ซออู้ ซอ ดว้ ง ขลุ่ยเพียงออ โทน ร้ามะนา ฉาบเลก็ ฉง่ิ 2.2 วงเครื่องสายเครื่องคู่ จะมีขนาดใหญ่ขึนเนื่องจากจะมีเคร่ืองสาย 2 ชิน ดังนี จะเข้ 2 คัน ซออู้ 2 คนั ซอด้วง 2 คนั ขลยุ่ เพยี งออ โทน กรับ ร้ามะนา ฉาบเลก็ ฉิง่ โหม่ง 2.3 วงเคร่ืองสายผสม คือ วงเครื่องสายที่น้าเอาเคร่ืองดนตรีอื่นๆมาผสมกับเคร่ืองสาย ธรรมดา เช่น ขิม ก็จะมลี กั ษณะเป็นผสมแตย่ ังมเี คร่อื งสายเปน็ หลกั 2.4 วงเครือ่ งสายป่ีชวา คอื วงเครอ่ื งสายทใ่ี ช้ขลุ่ยหลบิ มาแทนปอ่ี ้อ จึงไดใ้ ช้ช่ือวงเคร่ืองสาย ปี่ชวา เป็นการผสมวงระหวา่ งวงเคร่อื งสาย และวงกลองแขก ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตมั้ ดนตรีไทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เรอ่ื งเครื่องดนตรีไทย วงดนตรี และความสัมพันธ์ทางดนตรใี นอาเซยี น 24 3. วงมโหรี เป็นการผสมผสานดนตรีทุกประเภท ทังดีด สี ตี เป่า แต่ย่อขนาดให้พอเหมาะ และเพม่ิ ซอสามสายเข้าไปด้วย สามารถแขง่ ตามขนาดวงได้ 3 ขนาด ดังนี 3.1 วงมโหรขี นาดเลก็ ใช้เครอ่ื งดนตรไี ทย 10 ชนิ ได้แก่ ระนาดเอกมโหรี ฆ้องวงใหญม่ โหรี จะเข้ ซอสามสาย ซออู้ ซอดว้ ง ขล่ยุ เพยี งออ โทน ร้ามะนา ฉงิ่ 3.2 วงมโหรเี ครื่องคู่ จะเพมิ่ จะเข้ ซออู้ ซอด้วง ซอสามสาย ฆอ้ งวง ขึนมาใหม้ ีคู่ รวมเครื่อง ดนตรีไทยทังสิน 18 ชิน ดังนี จะเข้ 2 ตัว ซอสามสาย ซอสามสายหลีบ ระนาดเอก ระนาดทุ้ม ฆ้องวง ใหญ่ ฆอ้ งวงเล็ก ซออู้ 2 คนั ซอดว้ ง 2 คัน ขลุ่ยหลบี ขล่ยุ เพยี งออโทน ร้ามะนา ฉิ่ง ฉาบเล็ก กรับ โหมง่ 3.3 วงมโนรีเครื่องใหญ่ เรียกว่าจัดเต็มที่สุดในวงดนตรีไทย ใช้เครื่องดนตรี 23 ชิน ดังนี จะเข้ 2 ตัว ขลุ่ยหลีบ ขลุ่ยเพียงออ ขลุ่ยอู้ ซออู้ 2 คัน ซอด้วง 2 คัน ซอสามสาย 2 คัน ระนาดเอก ระนาดทุม้ ระนาดเอกเหล็ก ระนาดทมุ้ เหลก็ ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก โทน รา้ มะนา ฉงิ่ ฉาบ กรับ โหม่ง ตวิ สอบครูสายศิลป์ By อ.ตม้ั ดนตรีไทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เรื่องเคร่อื งดนตรีไทย วงดนตรี และความสัมพันธ์ทางดนตรีในอาเซียน 25 หน่วยท่ี 2 เครอ่ื งดนตรีประจาชาตขิ องประเทศสมาชกิ อาเซียน 1. ประเทศไทย ซอสามสาย เป็นเคร่ืองดนตรีไทยชนิดหนึ่งจ้าพวกเครื่องสายมีขนาดใหญ่กว่าซอด้วงหรือซออู้ และมีลักษณะพิเศษ คือมีสามสาย มีคันชักอิสระ กะโหลกซอมีขนาดใหญ่ นับเป็นเคร่ืองดนตรีท่ีมีความ สง่างามชินหนึ่งในวงเคร่ืองสาย ผู้เล่นจะอยู่ในต้าแหน่งด้านหน้าของวง เป็นซอท่ีมีมาแต่โบราณ มีเสียง ไพเราะ น่มุ นวล รปู รา่ งวจิ ติ รสวยงามกวา่ ซอชนดิ อ่ืน เปน็ เครื่องดนตรชี ันสูงใชใ้ นราชสา้ นัก ฆ้องวง เป็นเครอ่ื งดนตรีประเภทเพอร์คัสชนั ทา้ ด้วยโลหะที่มีหลายรูปแบบ คา้ ว่าฆอ้ งนันมที ่ีมา จากภาษาชวา ปรากฎการใช้ฆ้องในหลายชาติในทวีปเอเชีย เช่น จนี อินโดนีเซีย ไทย มาเลเซยี เป็นต้น ปจั จบุ ันฆ้องเข้าไปมสี ว่ นในดนตรตี ะวันตกด้วยเชน่ กนั ระนาดเอก เป็นเคร่ืองดนตรที ่ีววิ ัฒนาการมาจากกรับ โดยการน้าเอากรบั ที่มขี นาดเล็กบ้างใหญ่ บ้าง สันบ้าง ยาวบ้าง น้ามารวมกันเป็นชมุ จึงมีระดับเสียงท่ีแตกต่างกัน ระนาดเอกนีนักดนตรีนิยมเรียก กันสันๆว่า “ระนาด” เริ่มมีการน้าเอาระนาดเอกมาประสมในวงดนตรีในสมัยกรุงศรีอยุธยา ส่วนประกอบของระนาดเอกมีอยู่ด้วยกัน 2 ส่วนใหญ่ คือ รางและผืนระนาด หน้าท่ีในการบรรเลง ติวสอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตมั้ ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรื่องเครื่องดนตรีไทย วงดนตรี และความสัมพนั ธท์ างดนตรใี นอาเซยี น 26 ระนาดเอกปสมร่วมอยู่ในวงมโหรี วงเคร่อื งสายผสมวงปีพาทย์ไมน้ วม วงปพี าทย์นางหงส์ วงปีพาทย์ดึก ดา้ บรรพ์ และวงปพี าทย์มอญ โดยท้าหน้าทีเ่ ป็นผู้น้าของวง 2.ประเทศเมียนมาร์ Saung เป็นเครื่องดนตรีพืนเมือง Saung มีลักษณะเฉพาะ มี จุดเด่นตรงท่ีเปน็ พิณโบราณของชาวพืนเมอื งทย่ี ังคงอยจู่ นถงึ ทุกวันนี Myanma saing waing หรือที่เรียกว่าวงมโหรีของพม่า ซีง่ มีกล่นิ อายของวงออเคสตร้า นิยมเล่นในอาคาร 3.ประเทศลาว Khene เป็นเครื่องเป่ามีสินโลหะ เสียงเกิดจากลมผ่านสินโลหะไปตามล้าไม้ ที่เป็นลูกแคน การเป่าแคนต้องใช้ทังเป่าลมเข้าและดูดลมออกด้วย จึงเป่ายากพอสมควร แคนมีหลาย ขนาดบางขนาดมีเสียงประสานอยู่ดว้ ย แคนมีหลายประเภทตามจ้านวนสกู แคน นอกจากบรรเลงเป็นวง แลว้ กย็ งั ใชบ้ รรเลงประกอบการรา้ (การขับรอ้ ง) หรอื ใชบ้ รรเลงรว่ มกับพณิ โปงลาง ฯลฯ ตวิ สอบครูสายศิลป์ By อ.ตั้ม ดนตรไี ทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรือ่ งเครือ่ งดนตรีไทย วงดนตรี และความสัมพันธ์ทางดนตรีในอาเซยี น 27 4.ประเทศกมั พชู า Krapeu หรือท่ีเรียกว่า จะเข้ เป็นเครื่องดนตรีที่มีรูปร่าง เหมือนจะเข้ ประดับด้วยลวดลายมีสายสามสายส้าหรับดีด ค้าว่า Krapeu ในภาษากัมพูชาหมายถึง จะเข้ เป็นเคร่ืองดนตรีคลาสสิคของกัมพูชาสมัยปัจจุบนั จะเขม้ ักจะมี 3 หรือ 5 ขารองรับตวั เครื่อง เมื่อ แสดงผู้เล่นจะน่ังข้างเคร่ืองดนตรี มือซ้ายดีดพิณขึนและลง ขณะท่ีมือขวาดึงด้วยการใช้ไม้ดีด จะเข้จะใช้ สา้ หรบั เปน็ เครอ่ื งดนตรีในงานแต่งงาน Sampho เปน็ กลองยาวขนาดเล็กของชน พืนเมืองในประเทศกัมพูชา มีสองหัวและเล่นโดยดารใช้มอื สองมือ ผู้เล่น Sampho เป็นผู้น้ากลมุ่ เคร่ือง เปา่ และกลองคอยกา้ หนดจงั หวะ Sampho มีลกั ษณะคล้ายกับตะโพน Tro ซอกัมพชู าเป็นเคร่อื งดนตรีพนื เมืองประเภทเครอ่ื งสาย ของกัมพูชา ตัวซอท้ามาจากกะลามะพร้าวชนิดพิเศษ ปลายข้างหน่ึงจะถูกปิดด้วยหนงั สัตว์ สายทังสาม ท้ามาจากเส้นไหม ซอกัมพชู ามีลกั ษณะคลา้ ยคลึงกบั ซอสามสายของไทย ติวสอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ต้ัม ดนตรีไทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เรื่องเครอ่ื งดนตรไี ทย วงดนตรี และความสัมพนั ธท์ างดนตรใี นอาเซียน 28 5.ประเทศเวยี ดนาม Dan nhi เป็นเครื่องดนตรีประเภทเครื่องสาย (เครื่องสี) มีลักษณะ คลา้ ยซอด้วงของไทยมเี สียงสงู ต้่าท่ีเปน็ เอกลัษณเ์ ฉพาะ Dan nhi มี สาย 2สาย มลี ักษณะยาว สายทา้ มา จากไหมถัก และกล่องเสียงท้ามาจากหนังงู ในปัจจุบัน Dan nhi สายมักท้าจากลวด และกล่องเสียงท้า ด้วยไม้ Dan Bau เป็นเคร่ืองดนตรีเวียดนามโบราณ ตัวสายจะพาดอยู่บนตัวเครื่องทีม่ ีลักษณะยาว ปลายเส้นข้างหน่ึงจะถูกตะปตู รึง เคร่ืองดนตรีนีต้องใช้วิธี เลน่ เป็นพิเศษเพอ่ื ทจี่ ะท้าใหเ้ กดิ เสียงท่ีกลมกลืน ผู้เล่นจะใช้หลงั มือดดี ท่ีสายตามความยาวของสาย และ อีกมือหน่ึงก็จะดึงสายโดยใช้แท่งไม้ในเวลาเดียวกัน ปัจจุบัน Dan Bau จะเล่นกับล้าโพงหรืออุปกรณ์ เชอ่ื มต่อชนดิ อ่นื ๆ จงึ ท้าให้ เสียงของมนั อ่อนลงไป เม่ือเล่นกับวงดนตรี Dan nguyet เป็นซอสองสายพืนเมืองของเวียดนาม ใช้ทังใน ดนตรีพืนเมืองและดนตรีคลาสสิค และยังคงเป็นท่ีนิยมในประเทศเวียดนาม สายของ Dan nguyet แต่ ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตั้ม ดนตรไี ทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เร่ืองเครื่องดนตรไี ทย วงดนตรี และความสัมพันธท์ างดนตรีในอาเซยี น 29 เดิมแลว้ ท้ามาจากไหม แต่ทุกวนั นี โดยทัาวไปแล้วท้ามาจากเอ็นตกปลา ในการเลน่ จะใช้ัปิกเล็กๆ ในการ ดีด หรือโดยมากแล้วจะใชป้ ก๊ิ พลาสติกท่ใี ช้ดดี กตี าร์เลน่ Dan tranh เปน็ เครอ่ื งดนตรปี ระเภทเครือ่ งสาย (เคร่ืองดีด) มีลักษณะคล้ายพิณ มีสายทังหมด 16สาความยาวประมาน 100 ซม. เคร่ืองดนตรีชนิดนี ประดษิ ฐ์ขึนโดยจักรพรรดิของจนี Phuc Hi ปัจจุบัน Dan tranh เป็นเครื่องดนตรที ี่นิยมอย่างมากในหมู่ นักเรียนหญงิ ชาวเวียดนาม 6.ประเทศฟลิ ิปปินส์ Debakan หรือ Dabakan เป็นเคร่ืองดนตรีท่ีดัดแปลงมาจากทางตะวันออก กลาง Debakan มาจากค้าว่า Debak ซ่ึงแปลว่า ตี Debakan จึงหมายถึง ท่ีใช้ตี Debakan มีรูปร่าง คล้ายกับนาฬิกาทรายหรือกรวย โดยท่ัวไปแล้ว Debakan จะมีความยาวมากกว่า 2 ฟตุ และมีเส้นผ่าน ศูนย์กลางของส่วนที่กว้างทีส่ ุดมากกว่า 1 ฟตุ ชันนอกสุดของกลองมีลักษณะโค้งเว้าทา้ ดว้ ยไมห้ รือล้าต้น ของต้นมะพร้าวซึ่งท้าให้กลวงตลอด หน้ากลองถูกขึงจนตึงท้าจากหนังแกะ หนังควาย หนังกวาง หรือ หนงั งู Gandigan เป็นชุดของฆ้องแขวนขนาดใหญ่ 4 อัน ใช้เล่นเป็นส่วนหนึ่งของ วงมโหรี Kulintang เม่ือรวมเข้ากับวงแล้ว Gandigan จะเป็นเครื่องดนตรีชินที่ 2 ที่เล่นหลังจากเครื่อง ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตมั้ ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรอ่ื งเครอ่ื งดนตรีไทย วงดนตรี และความสมั พันธ์ทางดนตรีในอาเซยี น 30 ดนตรีท้านองหลัก เมื่อเล่น Gandigan เดี๋ยวๆ จะเป็นสัญญาณส่ือสาร โดยส่งข้อความหรือค้าเตือนใน ระยะไกล Chimes หรือกระดิ่ง เป็นเครื่องท่ีท้าให้ เกิดเสียงอย่างง่าย เป็นเครื่องเคาะ มักจะมีรูปเปิดด้านหน่ึง ปดิ ด้านหนึ่ง ซ่ึงท้าให้เกิดเสียงก้องเมื่อเคาะ ลักษณะเด่นเพิ่มเติม คือ มีลูกกระด่ิงห้อยอยู่ในตัว ส่วนใหญ่กระด่ิงมักจะท้าด้วยโลหะ แต่กระด่ิงเล็กๆ สามารถท้าจากเซรามกิ หรอื แก้วก็ได้ มขี นาดตามการใชง้ าน Kulintang เป็นชื่อของวงมโหรี และยังเป็นช่ือของเครื่อง ดนตรีอีกด้วย Kulintang เป็นเคร่ืองส่งสัญญาณในสมัยดังเดิมของชนพืนเมือง ประกอบด้วยฆ้อง ประมาณ 8 อัน จะวางอยู่บนฐานที่ประดับลวดลาย ฆ้องแต่ละลูกจะให้เสียงดนตรีท่ีแตกต่างกัน มักจะ เลน่ โดยผูเ้ ล่นคนเดยี วพรอ้ มกบั ไมข้ นาดเลก็ 2 อัน 7.ประเทศมาเลเซีย Sape เปน็ เครื่องดนตรที ่ีมีลกั ษณะคล้ายกตี าร์ Sape ถูกท้าให้โค้งงอ ด้วยล้าไม้ เครื่องดนตรีสมัยใหม่จ้านวนมากมักจะมีความยาวเป็นเมตร Sape เป็นเครื่องดนตรีแบบท่ี เรียบงา่ ย เส้นแต่ละเส้นจะเป็นหน่ึงเสียง ส่วนเส้นที่เสริมเข้ามาจะถูกดดี เพ่ือใหเ้ กิดเสียงต่้า ดนตรี Sape มกั จะไดร้ ับแรงบนั ดาลใจจากความฝัน ติวสอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตมั้ ดนตรีไทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่อื งเครือ่ งดนตรไี ทย วงดนตรี และความสัมพนั ธ์ทางดนตรใี นอาเซยี น 31 Kulintangan เป็นเคร่ืองดนตรีท่ีน้าเข้ามาทางตะวันตก ของซาบาห์โดยชาวบรูไน แต่เป็นเครื่องดนตรีโบราณของชาว Bajaus ชาว Dusun และชาว Kadazan มักใช้เล่นในวันงานเทศกาล เช่น งานแต่งงานและพิธีกรรมทางศาสนาจะใช้เล่นร่วมกับฆ้อง (gong) พืนเมืองชนิดอื่น ๆ Kulintangan ประกอบด้วยฆ้องเล็ก ๆ 8-9 ลูก วางเรียงต่อกันตามระดับท้านอง ผู้ เลน่ จะนงั่ บนพนื หนา้ เครื่องดนตรีและตดี ว้ ยไมท้ ีถ่ กู หุ้มดว้ ยผ้าเล็ก ๆ Rebab เป็นเครื่องดนตรีพืนเมืองของชาวมาเลย์ประเภทเคร่ืองดีด สามสาย ส่วนโค้งของตัวเครื่องท่ียื่นออกไปเป็นไม้เนือแข็งรูปสามเหลี่ยม มักจะท้าจากไม้ของต้นขนุน ด้านหน้าตัวเคร่ืองปิดด้วยแผ่นกระเพาะด้านในของวัว ใช้ก้อนขผี ึงเล็กๆยึดกับส่วนตัวเคร่ืองด้านบนทาง ซา้ ยมือเพื่อขึงหนา้ ให้ตงึ Serunai เป็นเคร่ืองเป่าดังเดิมของชาวมาเลย์ เป็นเครื่องดนตรีท่ีมี นานและเล่นโดยชมุ ชนชาวมาเลย์ในรฐั กลันตันชายฝง่ั ทะเลตะวันออกของมาเลเซีย ตวั serunai มีรูท่ีใช้ นิวปิดข้างหนา้ 7 รู ขา้ งหลัง 1 รู จะสรา้ งเสียงผา่ นรูตา่ ง ๆ เป่าไปพร้อม ๆ กับการแสดงวายัง กลุ ิด (การ เลน่ หนงั ตะลุง) หรอื วงมโหรีหลวง ตวิ สอบครูสายศิลป์ By อ.ตม้ั ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรือ่ งเคร่อื งดนตรไี ทย วงดนตรี และความสัมพนั ธท์ างดนตรีในอาเซียน 32 8.ประเทศสิงคโปร์ Dizi เป็นขลุย่ จีนดังเดิมมีปุ่ม 3 ปุ่ม อาจจะมีแผ่นบาง ๆ เพ่ือปิดรูไว้เพือ่ ท้าให้ เกดิ เสียงรัว เชื่อกนั วา่ Dizi น้ามาจากทิเบตในชว่ งยคุ ราชวงค์ฮ่ันและตังแต่นนั มากม็ ีการใชใ้ นประเทศจีน มาเปน็ เวลากวา่ 2 พันปแี ล้ว ผูเ้ ลน่ จะมเี ทคนิคในการเปา่ มากมาย ซง่ึ ก็จะทา้ ให้เกดิ เสียงที่แตกต่างกันไป Veena เป็นเคร่ืองดดี ที่ส่วนใหญแ่ ล้วจะใชใ้ นดนตรี Carnatic (ดนตรี ที่เล่นกันทางตอนใต้ของอินเดีย) รูปแบบของ Veena มีลกั ษณะที่แตกต่างกันออกไปผทู้ ่ีเล่น Veena เรา จะเรียกเขาวา่ Vainika Konghou ลักษณะเด่นที่ Konghou ต่างจากพิณคอนเสิร์ตใน ตะวันตกคือ สายของ Konghou จะถูกพับเพ่ือท้าให้เกิดแถวสองแถว ซ่ึงท้าให้ผู้เล่นสามารถใช้เทคนิค การเล่นชนั สงู ได้ สายทมี่ ีสองแถวนันยังเหมาะกับการเล่นจงั หวะเร็วและเสียงประกอบดว้ ย Zhongruan เป็นเครื่องดีดของจีนที่อาจจะใช้นิว หรือปกิ๊ ดีดกไ็ ด้ มีลักษณะคลา้ ยกับ pipa มีคอตงั ตรง มกี ล่องเสียงเป็นวงกลมและมลี วดลายสลัก ตวิ สอบครูสายศลิ ป์ By อ.ตั้ม ดนตรไี ทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรื่องเครือ่ งดนตรีไทย วงดนตรี และความสัมพันธ์ทางดนตรใี นอาเซยี น 33 9.ประเทศอินโดนีเซีย Angklung เป็นเคร่ืองดนตรีท่ีท้ามาจากท่อไม้ไผ่ 2 ชินแนบกับโครงไม้ไผ่ท่อ มีลักษณะเป็นวงโค้งเวลาเขย่าจึงเกิดเสียงก้องกังวาน ฐานของโครงนันจะถูกยึดกุมด้วยมือเดียว ขณะท่ี อีกมือหน่ึงเขย่าอย่างเร็วจากด้านหนึ่งไปด้านหนึ่ง Angklung ทังสามอันหรือมากกว่านันจะแสดงเป็น กลุ่ม แต่ละอันจะเล่นเพียงโน้ตเดียว และเมื่อเสียงของแต่ละอันรวมกันก็จะเกิดเป็นท่วงท้านองหลักขึน Angklung ได้รับความนยิ มทัว่ ทังเอเชียตะวันออกเฉยี งใต้ แต่มีถน่ิ ก้าเนินท่ีอนิ โดนเี ซีย (ชาวชุนดาใช้และ เล่นมาตังแต่สมัยโบราณ) Gambang หรือท่ีเรียกว่า Gambang kayu (Gambang ไม้) เป็นเครอ่ื งดนตรีท่ีมีลักษณะคล้ายกับระนาดที่ใช้ในหมู่ชาวอินโดนเี ซียและทางตอนใตข้ องฟิลปิ ปินส์ ในวงมโหรี Gamelan และ Kulintang Gamelan เป็นกลุ่มของเครื่องดนตรีประกอบด้วยเคร่ืองดนตรี หลากหลายชนิด เชน่ metallophones, xylophones และ gongs ขลุ่ยไม้ไผ่ อาจมนี ักรอ้ งดว้ ยก็ได้ ค้า ว่า “Gamelan” มาจากค้าของชาวชวา ค้าว่า “ gamel” มีความหมายว่า ตี หรือ เคาะ และตัวท้าย “an” ใส่เพ่ือท้าใหน้ ามนันเป็นพหพู จน์ ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ต้มั ดนตรีไทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่ืองเครือ่ งดนตรีไทย วงดนตรี และความสมั พันธท์ างดนตรใี นอาเซยี น 34 10.ประเทศบรูไน ดารุสซาลาม Gambus เป็นเคร่ืองดนตรีท่ีมีลักษณะคล้ายกีตาร์ มีสาย ทังหมด 12 เส้น ดีดด้วยปกิ๊ ไม่เหมือนกบั เคร่ืองดนตรีตะวนั ตก เช่น แมนโดลนิ ตรงท่ี Gambus ไม่มีลาย สลัก การปรับเสียงและรูปแบบการเล่นของ Gambus นันมีส่วนคล้ายคลึงกับเครื่องดนตรีของชาว อาหรับ Tawak เป็นเครื่องดนตรีผลิตจากทองเหลือง พบท่ีซาราวักบนเกาะ บอร์เนียว เคร่ืองดนตรีท่ีท้าจากทองเหลืองของบรูไน ดารุสซาลามและที่อื่น ๆ บนเกาะบอร์เนียวใน สมัยก่อนนันโดยมากมักจะได้รับอิทธิพลจากประเทศจีน เห็นได้จากการท่ีมีลวดลายด้านหน้าเป็นรูป มังกรและสัตว์ทะเล ปูและปลา ขอบด้านข้างเป็นรูปจระเจ้และปลา ครังหน่ึง Tawak Tawak ใช้เป็น สัญญาณเรยี กคนใหม้ ารวมตัวกันไมไ่ ดใ้ ชเ้ ป็นส่วนหนึ่งของวงมโหรี Gamelan เหมือนเช่นในอินโดนีเซยี Gandang เป็นค้าทั่วไปท่ีใช้แสดงความหมายถึงกลองทุกชนิด ตัวกลองมี ขนาดยาว ผิวหน้าของกลองมีสองด้าน ซึ่งมีขนาดตา่ งกนั ท้ามาจากหนังแกะหรือหนงั วัว หนังกลองแนบ ชิดไปกับตัวกลองด้วยเส้นหวาย Gandang จะพบได้ที่กลุ่มของ Gamelan ของชาวชวาในรัฐยะโฮร์ Gandang มลายเู ปน็ เคร่อื งดนตรที ่สี ้าคญั ในการแสดงดนตรใี นโรงมหรสพ เชน่ เดียวกบั Gamelan ติวสอบครูสายศลิ ป์ By อ.ต้มั ดนตรไี ทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เรอ่ื งความรู้ความเขา้ ใจเรื่องของเพลงไทย 35 ความรู้ความเข้าใจ เรื่องของเพลงไทย ติวสอบครูสายศลิ ป์ By อ.ตมั้ ดนตรไี ทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรื่องความรคู้ วามเข้าใจเรื่องของเพลงไทย 36 บทนา ประเภทของเพลงไทย อาจแบง่ ออกได้เป็นพวกๆ คอื ๑. เพลงสาหรบั บรรเลง ดนตรีล้วนๆ ไมม่ กี ารขับรอ้ ง เปน็ เพลงท่ีใชบ้ รรเลงประโคมพธิ ีตา่ งๆ เพลงโหมโรง และเพลงหน้าพาทย์ จะเป็นเพลงสาหรับใช้ประกอบกิริยาอาการและแสดงอารมณ์ต่างๆ ของการรา ๒. เพลงสาหรับขับร้อง คือ เพลงซึ่งร้องแล้วรับด้วยการบรรเลง เรียกวา่ ร้องส่งดนตรี เช่น เพลงประกอบการขบั เสภา(ร้องสง่ เสภา) เพลงที่รอ้ งสง่ เพ่ือฟังไพเราะทวั่ ไป ส่วนมากจะเป็นเพลงเถาและ เพลงตับ ๓. เพลงประกอบการรา คือ เพลงร้องตามบทร้อง ให้ผู้ราได้ราตามบทหรือเน้ือร้อง ส่วนมากจะเป็นเพลงสองช้ัน เพื่อให้เหมาะกับการราไม่ช้าไปไม่เร็วไป นอกจากนั้น ก็ยังใช้เพลงหน้า พาทย์ประกอบการแสดงกิรยิ าอาการของผูแ้ สดงอีกด้วย เพลงไทยท่ใี ช้ขบั รอ้ งและบรรเลงในปจั จบุ ันนี้ มี ทั้งเพลงเก่าสมัยโบราณ เพลงท่ดี ดั แปลงจากของเกา่ และเพลงที่แตง่ ข้ึนใหม่ แยกเปน็ ประเภทต่างๆ ตาม ลกั ษณะและวธิ ใี ช้ได้หลายประเภท ได้แก่ เพลงช้ันเดียว หมายถึง เพลงที่มีจังหวะเร็ว หรือเรียกว่าเพลงเร็ว จะสังเกตได้จากเสียงฉ่ิง ปกติแลว้ การตฉี งิ่ จะเรม่ิ ดว้ ยเสียง ฉิง่ และจบดว้ ยเสยี ง ฉบั ตีสลบั กันไปจนกว่าจะจบการบรรเลง ถ้าชว่ ง ระหว่างเสียงฉ่งิ และฉบั เรว็ กระชับติดกนั ก็แสดงวา่ เปน็ เพลงชน้ั เดยี ว หรอื สังเกตได้จากทานองร้อง เพลง ช้นั เดียวจะร้องเอ้อื นน้อย หรือไมม่ กี ารร้องเอื้อนเลยกไ็ ด้ เพลงสองช้ัน หมายถึง เพลงท่ีมีจงั หวะปานกลาง ไม่ช้าหรือเร็วจนเกินไป ส่วนใหญ่เป็นเพลง ส้ันๆ ท่ีร้องและจาทานองง่าย มีความยาวกว่าเพลงช้ันเดียวหน่ึงเท่าตัว หรือสังเกตจากเสียงฉ่ิง ช่วง ระหว่างเสียงฉิ่งและฉับห่างกันปานกลาง มีทานองร้อง การร้องเอื้อนไม่มากไม่น้อย ข้ึนอยู่กับลักษณะ ของเพลงเพลงสองชั้น ใช้ขับรอ้ งและบรรเลงเพื่อเปน็ การขับกล่อม และประกอบการแสดงมหรสพต่างๆ เพลงสามชั้น หมายถึง เพลงที่มีจังหวะช้า ต้องใช้เวลาบรรเลงและขับร้องนานกว่าเพลงใน อัตราอื่นๆถ้าจะสังเกตเสียงฉ่ิง ช่วงระหว่างเสียงฉิ่งและฉาบห่างกันมาก ทานองร้องจะมีการร้องเอื้อ ยาวๆ เพลงหน้าพาทย์ คือ เพลงท่ีใช้บรรเลงประกอบกิริยา พฤติกรรมต่างๆ และอารมณ์ของตัว ละคร เพลงโหมโรง หมายถึง เพลงท่ีบรรเลงในอนั ดับแรกสาหรับงานตา่ งๆ เพื่อเปน็ การประกาศให้ รู้ว่า ขณะน้ีงานดังกล่าวกาลังจะเริ่มข้ึนแล้ว และเป็นการบรรเลงเพ่ือเคารพสักการะครูอาจารย์ และ อญั เชญิ เทพยดามายงั สถานมงคลพธิ ีน้ันด้วย ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตม้ั ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เร่อื งความรคู้ วามเข้าใจเร่อื งของเพลงไทย 37 เพลงเร่ือง คือ เพลงท่ีโบราณาจารย์ประดิษฐ์ขึ้น โดยนาเอาเพลงที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน หลายๆ เพลงมาบรรเลงติดต่อกันเป็นชุด เป็นเรือ่ ง เพื่อความสะดวกในการใช้บรรเลงในโอกาสต่างๆ กัน เช่น เพลงเร่ือง นางหงส์ สาหรับใช้บรรเลงประกอบพิธีศพ เพลงเรื่องฉ่ิงพระฉัน สาหรับใช้บรรเลง ประกอบพระฉันภัตตาหาร และเพลงเรือ่ งสรอ้ ยสน สาหรบั ใช้บรรเลงในโอกาสทว่ั ๆ ไป นอกจากน้ัน ยัง เป็นการรวบรวมเพลงท่ีมีลักษณะคล้ายๆ กันมาไว้ด้วยกัน เพื่อความสะดวกในการจดจา ที่น่าสังเกตคือ มกั จะนยิ มบรรเลงเพลงเร่ือง โดยการบรรเลงเฉพาะดนตรี ไมม่ รี อ้ ง การบรรเลงเพลงเรอ่ื ง โดยท่ัวไปประกอบด้วยเพลงช้า เพลงสองไม้ เพลงเร็ว และจบลงดว้ ยเพลง ลา เช่น เพลงเรื่องสร้อยสน ประกอบด้วยเพลงสร้อยสน เพลงพวงร้อย แล้วออกท้ายด้วยเพลงสองไม้ และเพลงเรว็ จบด้วยเพลงลา เพลงหางเครื่อง คือ เพลงเล็กๆ ส้ันๆ แปลกๆ ที่บรรเลงต่อจากเพลงแม่บท (เพลงเถาหรือ เพลงสามชั้น) โดยทันทีทันใดหลังจากที่บรรเลงเพลงนั้นจบลงแล้ว บางคร้ังเรียกว่า เพลงลูกบท เพราะ ใช้บรรเลงเพลงต่อจากเพลงแม่บท เพลงหางเคร่ืองเป็นเพลงในอัตตราจังหวะสองชั้นหรือชั้นเดียว ท่ีมี ท่วงทานองค่อนข้างเร็ว กระฉับกระเฉง ให้ความเพลิดเพลิน สนุกสนาน ละเป็นเพลงที่มีเสียงและ สาเนียงเดียวกันกบั แม่บททีบ่ รรเลงนามาก่อน เพลงลูกหมด เป็นเพลงเล็กๆ ส้ันๆ มัจังหวะเร็ว เทียบเท่าเพลงชั้นเดียว สาหรับบรรเลง ต่อท้ายเพลงต่างๆ เพ่ือแสดงว่า จบเพลง หรือที่เรียกกันเป็นสามัญว่า \"ออกลูกหมด\" การบรรเลงเพลง ลูกหมดหรือการออกลูกหมดนี้ นอกจากจะมีความหมายว่า เพลงได้จบลงแลว้ ยังเป็นการใหเ้ สียงกับคน ร้อง ช่วยให้คนร้อง ร้องได้ตรงกับระดับเสียงของวงดนตรีที่บรรเลง คนร้องท่ีมีความสามารถ เมื่อดนตรี บรรเลงเพลงลกู หมดจบลงแล้ว ก็รอ้ งเพลงไดท้ ันทโี ดยไม่ตอ้ งรอนกั ดนตรีให้เสียง เพลงลูกหมดมักจะใช้ บรรเลงต่อจากเพลงสามชัน้ เพลงเถา และเพลงหางเคร่ือง แลว้ แตก่ รณแี ละไมม่ ีรอ้ ง เพลงภาษา หมายถงึ เพลงไทยท่ีมีช่ือขึ้นต้นเป็นชอ่ื ของชาติอ่ืน ภาษาอืน่ เชน่ เพลงจีนขมิ เล็ก เพลงเขมรพายเรือ เพลงมอญราดาบ เพลงมอญราดาบ เพลงพม่าราขวาน เพลงแขกยิงนก เพลงฝั่งรา เท้า เป็นต้น เพลงภาษาเป็นเพลงท่ีนักดนตรีไทยได้แต่งข้ึนเอง โดยเลียนสาเนียงภาษาต่างๆ เหล่านั้น เป็นเพลงอัตราจังหวะสองช้ันคล้ายๆ กับเพลงหางเคร่ือง ต่างกันท่ีว่า เพลงหางเคร่ืองนิยมบรรเลง ต่อท้ายเพลงแม่บทที่บรรเลงนามาก่อนเพียง ๑ เพลงหรือ ๒ เพลงเท่าน้ัน และต้องเป็นเพลงท่ีมีเสียง หรือสาเนีงเดียวกันกับเพลงแม่บท ส่วนเพลงภาษาบางทีบรรเลงติดต่อกันไปหลายๆ ภาษา หรือที่ เรียกว่า \"ออกภาษา\" หรือ \"ออกสิบสองภาษา\" วิธีออกภาษาตามระเบียบแบบแผนวิธีการบรรเลงเพลง ภาษา ที่นิยมใช้บรรเลงกันอยู่โดยทั่วไปนั้น มีหลักอยู่วา่ ต้องออก ๔ ภาษาแรก คือ จีน เขมร ตลุง พม่า แล้วจึงออกภาษาอ่ืนๆ ต่อไป ซึ่งสมัยก่อนคงจะมีถึง ๑๒ ภาษา จึงมักนิยมเรียกกันติดปากว่า \"ออกสิบ สองภาษา\" การบรรเลงเพลงภาษาและออกภาษาน้ี เป็นทน่ี ยิ มกนั มาก บางทีบรรเลงเพลงสามชนั้ สาเนียงแขก กอ็ อกภาษาแขกต่อทา้ ย บางทีก็นาเพลงภาษามาบรรเลง ๒-๓ เพลง ติดต่อกัน บางทีก็นาเพลงภาษาไป ติวสอบครูสายศลิ ป์ By อ.ตม้ั ดนตรไี ทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่อื งความรู้ความเขา้ ใจเร่อื งของเพลงไทย 38 ใช้ในละครพันทาง บางครั้งก็ใช้สาหรับวงป่ีพาทย์นางหงส์ ท่ีบรรเลงในงานศพ เพ่ือเป็นการผ่อนคลาย ความเศรา้ โศก เพลงออกภษาที่ใช้บรรเลงกันมาแต่เดิม ใช้บรรเลงเฉพาะดนตรีล้วนๆ ไม่มีร้อง ในปัจจุบัน บางครั้งได้มีการนาเอาเนื้อร้องเข้าประกอบเพลงภาษาด้วย เพื่อเป็นการสร้างความสนุกสนาน เพลิดเพลนิ แก่ผู้ชมและผู้ฟงั ไดอ้ กี แบบหนึ่ง เพลงเดี่ยว หมายถึง เพลงประเภทท่ีกาหนดให้เครื่องดนตรีชนิดใดชนิดหนึ่งบรรเลงเพลง เครื่องเดียว เป็นการแสดงความสามารถในการบรรเลงของนักดนตรีแต่ละคน มักจะเลือกเอาเพลงที่มี เสียงครบ ๗ เสียงเพราะเพลงไทยบางเพลงมีเพียง ๕ เสียง จึงไม่เหมาะกับการบรรเลงเดี่ยว เพลงเด่ียว หรือการเด่ียวดว้ ยเครื่องดนตรีมีหลายแบบ คือ การเด่ียวด้วยเคร่ืองดนตรีช้ินเดียวตลอดเพลง เช่น ซออู้ ใช้เพลงแขกมอญ หรือเพลงกราวใน เพราะเป็นเครื่องดนตรีท่ีมีเสียงทุ้มเสียงใหญ่ ซอด้วง ใช้เพลงเชิด นอก เพลงพญาโศกฯ เพราะเป็นเครื่องดนตรีท่ีเสียงแหลมเล็ก นอกจากน้ัน เพลงเดี่ยวที่นิยมกันท่ัวไป ได้แก่ แขกมอญ สารถี พญาโศก ลาวแพน นกขมิ้น เชิดนอก กราวใน ทะยอย อาหนู อาเฮีย แป๊ะ กา ระเวก ม้าย่อง นารายณ์แปลงรูป ดอกไม้ไทร ต่อยรูป การเด่ียวด้วยเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นในวงดนตรี มักจะเป็นวงปี่พาทย์ และเริ่มด้วยปี่ใน ระนาดเอก ฆ้องวงใหญ่ ฆ้องวงเล็ก ระนาดทุ้ม ตามลาดับ ส่วน จะบรรเลงเพลงใดกอ่ น ขน้ึ อยู่กบั ความพร้อมของนักดนตรที ่ีร่วมวงกันอยู่ รวมทั้งสถานการณ์ในขณะนั้น เปน็ สว่ นประกอบด้วย เคร่ืองดนตรอี ืน่ ๆ ที่บรรเลงร่วมกบั การเดย่ี ว ไดแ้ ก่ กลองสองหนา้ และฉิง่ เพลงหมู่ หมายถึง เพลงท่ีเคร่ืองดนตรีทุกเครื่องบรรเลงพร้อมๆ กันเป็นหมู่ หรือเป็นวง การ บรรเลงลักษณะน้ีจะต้องยึดถือความพร้อมเพรียงเป็นหลัก มีจังหวะช้าเร็วอย่างเดียวกัน ทุกคนบรรเลง ตามหน้าท่ีของตนให้สดคล้องต้องกัน เช่น การบรรเลงของวงป่ีพาทย์ วงเคร่ืองสาย วงมโหรี ในโอกาส ตา่ งๆ เพลงตบั หมายถึง เพลงที่บรรเลงเป็นเร่อื ง มแี ขนงย่อยแบ่งออกเปน็ ตับเรื่อง และตับเพลง ๑. ตับเรื่อง หมายถึง เพลงท่ีนามารวมร้องและบรรเลงติดต่อกัน มีบทร้องที่เป็นเรื่อง เดียวกัน และดาเนินไปโดยลาดับ ฟังแล้วรู้เรอ่ื งโดยตลอดตั้งแต่ต้นจนจบ ส่วนทานองเพลงจะเป็นคนละ อัตรา คนละประเภท หรือหมายถึง เพลงท่ีร้องและบรรเลงประกอบการแสดงโขนและละครท่ีเป็นเร่ือง เป็นชุด หรือเป็นตอน ตัวอยา่ งของเพลงตับเรื่อง เชน่ ตบั นางลอย ตบั พระลอ(ตบั เจรญิ ศรี) และตบั นางซินเดอริลลา - ตบั นางลอย ได้แก่เพลง ยานี เชดิ ฉง่ิ แขกตอ่ ยหม้อ โล้ ชา้ ปี่ หรุม่ ร่าย เตา่ เห่ ตะลมุ่ โปง พอ้ ขวัญอ่อน กล่อมพญา พราหมณ์เก็บหัวแหวน แขกบรเทศ เชิดนอก - ตับพระลอ(ตับเจริญศรี) ได้แก่เพลง เกริ่น ลาวเล็กตัดสร้อย ลาวเล่นน้า สาวกระตุกกี่ กระแตเล็ก ดอกไม้เหนอื ลาวเฉียง ลาวครวญ ลาวกระแช - ตับนางซินเดอริลลา ได้แก่เพลง วิลันดาโอด ฝรั่งจรกา ครอบจักรวาล ฝร่ังราเท้า เวสสกุ รรม หงส์ทอง ตวิ สอบครสู ายศิลป์ By อ.ตั้ม ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรอ่ื งความรูค้ วามเขา้ ใจเร่อื งของเพลงไทย 39 ๒. ตับเพลง หมายถึง เพลงท่ีนามารวมร้องและบรรเลง จะต้องมีสานวนทานองสอดคล้อง ตอ้ งกัน คือ มีเสียงข้ึนต้นเพลงคลา้ ยๆ กนั คอื สาเนียงคลา้ ยๆ กัน เป็นเพลงในอตั ราจงั หวะเดยี วกัน เช่น เป็นสองชั้นเหมือนกนั หรือสามช้ันเหมอื นกัน ส่วนบทร้องจะมีเนื้อเรอ่ื งอย่างไร เร่ืองเดียวกันหรือไม่ ไม่ ถือเป็นสิ่งสาคัญ ตัวอย่างตับเพลง เช่น ตับลมพัดชายเขา (สามช้ัน) ตับต้นเพลงฉิ่ง (สามชั้น) และตับ ตน้ เพลงฉิ่ง (สองช้ัน) - ตับลมพัดชายเขา (สามช้ัน) ได้แก่เพลง ลมพัดชายเขา แขกมอญบางช้าง ลมหวน เหราเล่น น้า - ตบั ต้นเพลงฉงิ่ (สามช้นั ) ได้แก่เพลง ตน้ เพลงฉิ่ง จระเข้หางยาว ตวงพระธาตุ นกขม้นิ - ตบั ตน้ เพลงฉิง่ (สองชน้ั ) ไดแ้ กเ่ พลง ต้นเพลงฉิ่ง สามเส้า ตวงพระธาตุ นกขมนิ้ ธรณรี ้องไห้ เพลงเกร็ด เป็นเพลงขนาดย่อม นามาขับร้องและบรรเลงเป็นเพลงๆ ไป อาจเป็นอัตราจงั หวะ ใดจังหวะหนึ่ง ในชุดของเพลงเถา หรือเป็นเพลงใดเพลงหน่ึงจากชุดเพลงตับ หรือเพลงเรื่องก็ได้ เพลง เกร็ดที่ขับร้องและบรรเลงกันอยู่โดยทั่วๆ ไป มักจะมีบทร้องท่ีมีความหมาย มีคติ มีความซาบซึ้ง ประทบั ใจและมีช่วงทานองทมี่ ีความไพเราะเป็นพเิ ศษ ตัวอย่างเพลงเกรด็ เชน่ เพลงแป๊ะ (สามช้นั ) เพลง แขกสาหร่าย (สองช้ัน) และเพลงเต่าเห่ (สองชัน้ ) เพลงใหญ่ เป็นเพลงสามชั้นท่ีมีขนาดยาว มีการร้องเอื้อนมากและสลับซับซ้อน หลายชั้น หลายเชิง ยิ่งกว่าเพลงในประเภทสามช้ันใดๆ และการบรรเลงก็ค่อนข้างยาก ยืดยาว ตอ้ งใช้เวลาในการ บรรเลงนานมากกว่าจะจบเพลง เนอ่ื งจากผู้ประพันธไ์ ด้สอดแทรกเทคนิค และวิธีการบรรเลงไว้มากมาย สาหรับใช้ขับร้องและบรรเลง เพ่ือเป็นการอวดทางเพลงและฝีมือของผู้บรรเลง มีข้อสังเกตเก่ียวกับ เพลงประเภทนี้ คอื มที างรอ้ งสน้ั แตท่ างรับยาวมาก เพลงละคร หมายถึง เพลงที่ใช้ขับร้องและบรรเลงในการแสดงโขน ละคร และมหรสพต่างๆ มที ง้ั รอ้ งแลว้ ดนตรีรับ ทง้ั ร้องคลอดนตรี เคล้า และลาลอง ขึน้ อยู่กับลกั ษณะการแสดงนน้ั ๆ เพลงลา หมายถึง เพลงที่ผู้ขับร้องและบรรเลงแสดงเป็นอันดับสุดท้ายก่อนท่ีการแสดงจะจบ ลง ซ่ึงเป็นไปตามแบบแผนของการแสดงกิจกรรมการบรรเลงดนตรีไทย ที่โบราณจารย์ได้กาหนดไว้ กล่าวคือ เพลงแรกท่ีบรรเลงคือเพลงโหมโรง และเพลงสุดท้ายต้องบรรเลงเพลงลา เพ่ือเป็นการร่าลาให้ ศลี ให้พรแก่เจ้าของงานหรือผู้ชมผู้ฟัง เนื้อรอ้ งมคี วามหมายในทางรา่ ลา อาลัย อาวรณ์ และใหศ้ ีลให้พร แล้ว มักจะมี สร้อย คือ มีการร้องว่า \"ดอกเอ๋ย เจ้าดอก...\" และจะมีเคร่ืองดนตรีชิ้นใดชิ้นหน่ึง บรรเลง เลียนเสียงร้องให้คล้ายคลึงกันมากท่ีสุด ซ่ึงเรียกกันเป็นทางภาษาสามัญว่า \"ว่าดอก\" เคร่ืองดนตรีท่ีใช้ก็ อาจใช้ ซออู้ ติวสอบครูสายศิลป์ By อ.ตัม้ ดนตรีไทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เรื่องความรคู้ วามเขา้ ใจเรือ่ งของเพลงไทย 40 หนว่ ยที่ 1 เพลงหน้าพาทย์ เพลงหน้าพาทย์ คือเพลงท่ีใช้บรรเลงประกอบอากัปกิริยาของตัวโขน ละคร หรือใช้สาหรับ อัญเชิญพระเป็นเจ้า ฤษี เทวดา และครูบาอาจารย์ทั้งหลายให้มาร่วมในพิธีไหว้ครู และพิธีที่เป็นมงคล ต่างๆ อากัปกิริยาของตัวโขนละครต่างๆ นั้น เป็นกิริยาท่ีมองเห็นได้ เพราะกาลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน เช่น กิริยาเดิน ว่ิง นั่ง นอน กนิ เศร้าโศก ร้องไห้ ฯลฯ เปน็ ตน้ สว่ นอากปั กริ ิยาของพระเป็นเจ้า ฤษี และ เทพพรหมต่างๆ ที่อัญเชิญมาร่วมในพิธีไหว้ครู และพิธีมงคลต่างๆ น้ันถือว่าเป็นกิรยิ าสมมุติ เพราะมอง ไม่เหน็ เชน่ สมมตุ ิวา่ เวลาน้ไี ด้เสดจ็ แลว้ กบ็ รรเลงเพลงหน้าพาทยร์ บั เสดจ็ อน่ึง เพลงหน้าพาทย์น้ันถือเป็นเพลงช้ันสูง และมีความศักด์ิสิทธิ์ จึงมักจะบรรเลงตามขนบ ดัง้ เดิม ไม่นิยมดัดแปลงหรือแต่งเดิมอยา่ งเพลงท่ีใช้บรรเลงทั่วไป นอกจากน้แี ล้ว เพลงหนา้ พาทย์ยงั เป็น เพลงทใ่ี ช้บรรเลงเพยี งอย่างเดียว ไม่มีบทรอ้ งหรอื เนอ้ื รอ้ งประกอบ เพลงทีเ่ กย่ี วกบั การแสดงอทิ ธฤิ ทธิ์ ตระนมิ ิตร - ใชส้ าหรับแปลงกาย รวั - ใช้สาหรบั การแสดงอทิ ธิฤทธ์หิ รือแปลงกายในเวลาสน้ั ๆ รัวมอญ - ใชเ้ หมือนรัวแตใ่ ชก้ บั ตวั ละครท่เี ปน็ มอญ รวั พม่า - ใชเ้ หมอื นรัวแตใ่ ชก้ ับตัวละครทเี่ ป็นพมา่ เพลงทเี่ กี่ยวกับการแผลงฤทธ์ิเดช คกุ พาทย์ - ใช้สาหรบั ตัวแสดงสาคัญ และการเชญิ พระพฆิ เนศ รัวสามลา - ใชส้ าหรบั ตัวละครท่ัวไปในการแผลงฤทธ์ิเดชท่สี าคัญ เพลงทเ่ี กีย่ วกบั การจัดทัพและยกทพั ปฐม (ใช้ในการราตรวจพลเด่ียวของแมท่ พั ตวั ละครที่ราเพลงนี้มสี ุครพี และมโหทร) กราวนอก (ใช้บรรเลงประกอบการตรวจพลของฝ่ายลิงและฝ่ายมนษุ ย)์ กราวใน (ใช้บรรเลงประกอบการตรวจพลและยกทัพของฝ่ายยักษ์ หรือการเดินทางเดี่ยวๆ ของยกั ษส์ าคัญๆ) กราวกลาง (ใชบ้ รรเลงประกอบการตรวจพลของฝา่ ยมนุษย์ สว่ นมากใชใ้ นการใสเ่ นอื้ ร้อง) ติวสอบครูสายศิลป์ By อ.ตั้ม ดนตรไี ทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เรื่องความรคู้ วามเขา้ ใจเรื่องของเพลงไทย 41 เพลงทเี่ กี่ยวกบั การไปมาหรือเดนิ ทาง เพลงโคมเวยี น (ใช้ประกอบกริ ยิ าการเดินทางในอากาศของเทวดาและนางฟา้ ) เพลงเหาะ (เป็นเพลงหน้าพาทย์ใช้บรรเลงขณะ ตัวละครกาลังทากิริยาเก่ียวกับการเหาะ สว่ นมากใชใ้ นละครใน) เพลงเสมอ ใชใ้ นการเดนิ ทางใกลๆ้ เพลงเสมอมดี งั น้ี เสมอธรรมดา (ใช้กบั ตัวละครทั่วไป) เสมอเถร (ใชก้ บั ฤๅษี นักพรต) เสมอมาร (ใชก้ ับยกั ษ)์ เสมอเขา้ ที่ (ใชก้ ับครูบาอาจารย์) บาทสกณุ ี (ใชก้ บั ตัวละครฝา่ ยพระ นาง ท่สี าคัญ เชน่ พระราม พระลกั ษมณ์ ) เสมอมอญ (ใช้กับตัวละครทเี่ ปน็ มอญ) เสมอลาว (ใชก้ บั ตัวละครท่ีเปน็ ลาว) เสมอพม่า (ใช้กับตัวละครที่เปน็ พมา่ ) เพลงเข้าม่าน (ใชป้ ระกอบการเดินเข้าที่พานัก หรือเขา้ หอ้ งตา่ งๆ ) เพลงเชดิ ใช้ในการเดนิ ทางไกล การไลล่ า่ การรบ แบง่ เปน็ เชิดธรรมดา (ใชก้ บั มนษุ ยท์ ่ัวไป) เชิดนอก (ใชก้ บั การไลล่ า่ จบั ตัวของอมนษุ ย์กับอมนษุ ย์ ส่วนมากในการเดย่ี วระนาดเอกหรือ ปีใ่ น ประกอบแสดงจบั นาง) เชดิ ฉาน (ใช้กบั การไลล่ ่า จบั ตัวของมนษุ ย์กับสตั ว์ เช่น พระรามตามกวาง ) เชิดฉ่ิง (ใช้ประกอบการแสดงถึงท่ีลึกลับ หรือการเหาะของตัวละคร หรือใช้ประกอบการรา ก่อนท่ีจะใช้อาวุธสาคญั หรือกอ่ นกระทากจิ สาคญั ) เชดิ กลอง (สาหรับการต่อสู้ การรกุ ไล่ฆ่าฟนั กันโดยท่วั ไปใช้บรรเลงต่อจากเชดิ ฉิ่ง) เพลงอน่ื ๆ กลม (ใช้กับเทพเจา้ ระดบั สูง) โคมเวยี น (ใชก้ ับเทวดาระดับทวั่ ไป) พญาเดนิ (ใชก้ บั พระมหากษัตริยจ์ นพญาต่างๆ เชน่ พญาวานร พญายักษ)์ กลองโยน (ใชใ้ นกระบวนพยหุ ยาตรา) เพลงฉิง่ (ใชใ้ นการชมสวน ดอกไม้) เพลงโล้ (ใช้ในการเดนิ ทาง ทางนา้ ) เพลงแผละ (ใช้กับการบินของสัตว์ที่มีปีกเช่น พญาครุฑ นกสดายุ หรือยุงในตอน หนุมาน หกั ดา่ นเมอื งบาดาล) เพลงชุบ (ใชป้ ระกอบการเดินของนางกานลั ) ติวสอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ตั้ม ดนตรไี ทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรื่องความรคู้ วามเขา้ ใจเร่อื งของเพลงไทย 42 เพลงหนา้ พาทย์เบด็ เตล็ด ตระนอน (ใช้ในการนอน) ตระบรรทมไพร (ใช้ในการนอนในป่าของพระราม) ลงสรง (ใช้ในการอาบนา้ ของตวั ละครเอก และยังใชใ้ นการสรงนา้ เทวรูปต่างๆ) ลงสรงโทน (ใชใ้ นการแต่งตวั ) นง่ั กนิ (สาหรบั อัญเชิญครูบาอาจารย์ เพ่อื ถวายกระยาหารสงั เวย) เซ่นเหล้า (ใชต้ อนดืม่ สุรา หรือใชต้ อนภตู ผี ปศี าจออกแสดง) เพลงทเ่ี ก่ยี วกบั แสดงความภาคภมู ิใจ ฉุยฉาย แมศ่ รี เพลงทเี่ กีย่ วกับการอญั เชญิ เทพยดาและส่งิ ศกั ด์สิ ทิ ธิ์ สาธุการ (ใช้เชิญส่ิงศักดิ์สิทธิ์ท้ังหมดให้มาชุมนุมในพิธี ถือว่าเป็นเพลงศักดิ์สิทธิ์ และใช้เป็น เพลงบูชาพระรัตนตรยั หรอื สง่ิ ศกั ด์สิ ทิ ธิ์ต่างๆ) ตระเชิญ (ใช้เชญิ เทวดาผูใ้ หญ่) เพลงประกอบการแสดงอารมณท์ ่ัวไป เพลงโลม (ใช้เกย้ี วพาราสขี องตวั ละครเอก มกั จะใชค้ ู่กบั เพลงตระนอน) เพลงกลอ่ ม (สาหรบั การขับกล่อมเพือ่ การนอนหลบั ทยอย (ใช้ในตอนเดินเศร้าโศกเสียใจรอ้ งไห้) โอดสองชน้ั (ใช้ในการเศรา้ โศกเสียใจของตัวละครท่มี ศี ักดส์ิ งู ) โอดชั้นเดียว (ใช้ในการเศร้าโศกเสียใจตวั ละครทัว่ ไป และใชใ้ นการตายของตัวละครตา่ งๆ) โอดมอญ (ใช้ในการเศรา้ โศกเสียใจของตัวละครที่เปน็ มอญ) โอดลาว (ใในการเศร้าโศกเสยี ใจของตวั ละครทีเ่ ปน็ ลาว) ทยอยเขมร (ประกอบกิรยิ าครุ่นคิดหรอื ความโศกเศรา้ เสยี ใจ) เพลงสาหรบั กริ ยิ าเยาะเยย้ กราวรา เพลงสาหรบั แสดงความรน่ื เรงิ แก้ไข - เพลงเร็ว - สนี วล - เพลงช้า ตวิ สอบครูสายศลิ ป์ By อ.ตั้ม ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เร่อื งความร้คู วามเขา้ ใจเร่อื งของเพลงไทย 43 เพลงหนา้ พาทย์สาหรบั พิธไี หวค้ รู การประกอบพธิ ไี หว้ครูโดยสว่ นใหญ่จะเรยี กเพลงคล้ายๆกัน จะแตกตา่ งท่ีลาดับการเรยี ก เพลงที่จะเรยี ก คือ 1. สาธุการ - ใชใ้ นการจุดธูปเทียนบชู าพระรตั นตรยั และสิง่ ศกั ดิส์ ิทธิ์ 2. สาธุการกลอง - ใชใ้ นการบชู าครูและเทพเทวดา 3. ตระสันนิบาต - ใชใ้ นการเชิญสิ่งศกั ด์ิสิทธิ์มาประชุมพร้อมกัน ณ ปะราพธิ ี 4. ตระเชิญ - ใช้ในการเชญิ เทพยดาตา่ งๆ 5. โหมโรง - ใชใ้ นการเชิญเทพยดา ความหมายเทยี บเท่าโหมโรงเย็น 6. พราหมเ์ ขา้ ,ดาเนนิ พราหมณ์ - ใชใ้ นการเชิญพระภรตมุณี(พอ่ แก)่ และ ฤๅษตี ่างๆ 7. เสมอเถร - ใชใ้ นการราของผ้ปู ระกอบพธิ ที ี่จะสมมตุ ิเป็นพระภรตมณุ ี(พ่อแก่) 8. ตระนารายณบ์ รรทมสินธุ์ - ใชใ้ นการเชิญพระนารายณ์ 9. ตระพระพิฆเนศ - ใช้ในการเชิญพระพิฆเนศ เทพแห่งความสาเร็จ 10. ตระพระปรโคนธรรพ - ใชใ้ นการเชิญพระปรโคนธรรพ เทพแห่งดนตรีปีพ่ าทย์ 11. บาทสกุนี(เสมอตนี นก) - ใชใ้ นการเชญิ พระวิศนกุ รรม เทพแห่งการช่าง 12. องค์พระพิราพเต็มองค์ - ใช้ในการเชิญพระพิราพ เทพแห่งการรา ถือเป็นเพลงหน้า พาทยส์ ูงสุดของวงการนาฏดรุ ิยางคศลิ ป์ การท่จี ะตอ่ เพลงนี้ได้นัน้ มีกฎเกณท์อยู่หลายประการ 13. ราดาบเฉือนหมู - ใช้ในการตัดแบ่งเครื่องสังเวยต่างๆไปให้แก่สัมภเวสีท่ีไม่สามารถเข้า มาในปะราพิธีได้ 14. น่ังกิน,เซ่นเหล้า - จะเรียกเพลงคู่กัน ใช้ในการถวายเครื่องสังเวยแก่ครูบาอาจารย์ ตลอดจนเทพยดาทั้งหลาย เปรียบเสมอื นการรับประทานอาหารและการด่ืมสุรา 15. มหาชยั - ใชใ้ นตอนท่ีทาพธิ ีครอบ ถอื เปน็ การประสทิ ธิป์ ระสาทวิชาใหแ้ ก่ลูกศษิ ย์ 16. โปรยขา้ วตอก - ใชใ้ นการโปรยขา้ วตอกดอกไม้ 17. พราหมณ์ออก,เสมอเข้าท่ี - ใช้ในการเชิญพระภรตมณุ ีกลบั 18. เชิด,กราวรา - ใชใ้ นการบรรเลงเพือ่ เปน็ การส่งครูและเทพยดากลบั ตวิ สอบครูสายศลิ ป์ By อ.ต้มั ดนตรไี ทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรอื่ งความร้คู วามเข้าใจเร่อื งของเพลงไทย 44 หนว่ ยที่ 2 ประวตั ิเพลงบรรเลงท่สี าคัญ 1. สมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟ้ากรมพระยานรศิ รานวุ ัดตวิ งศ์ เพลงเขมรไทรโยค เถา เป็นเพลงไทยเดิม พระนิพนธ์โดยสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เม่ือครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดาเนิน ประพาสน้าตกไทรโยค จังหวดั กาญจนบุรี เมอ่ื พ.ศ. 2431 เพลงสรรเสริญพระบารมี ประพันธ์โดยคาร้องโดย สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟา้ กรมพระ ยานริศรานวุ ัดติวงศ์สว่ นทานอง แต่งโดย ปโยตร์ สซูโรฟสก้ี (Pyotr Schurovsky) นักประพันธ์เพลงชาว รัสเซีย ในปัจจุบัน คาร้องของเพลง ได้ถูกดัดแปลงไป ซึ่งในตอนแรก ท่อนสุดท้าย ใช้คาว่า ฉะนี้ แต่ ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกฎุ เกลา้ เจา้ อยู่หัว ทรงเปลี่ยนคาวา่ ฉะน้ี ใหเ้ ป็น ไชโย เพลงตับแม่ศรีทรงเคร่ือง คาร้อง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติ วงศ์ ทานอง สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ คาร้องจากละครดึกดา บรรพเ์ รอื่ งอิเหนา พระราชนพิ นธ์ในสมเดจ็ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟา้ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ตอน “ตัดดอกไม้ขายกริช” ซึ่งองคพ์ ระนิพนธ์ ได้แรงบนั ดาลใจมาจากวรรณคดีเรื่องอิเหนา พระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเดจ็ พระพุทธเลิศหล้านภาลยั กล่าวถงึ อิเหนาและสงั คามาระตา พร้อมพี่เลี้ยงเสนา เทย่ี วชม ปา่ ชื่นชมความงามธรรมชาติ นก และไกป่ า่ อย่างมีความสขุ 2. พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจา้ อยู่หวั รชั กาลท่ี 7 เพลงราตรีประดบั ดาว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หวั พระราชนพิ นธ์เพลงไทยสาเนียง มอญขึ้น เม่ือ พ.ศ. ๒๔๗๒ ทรงนาเพลงมอญเก่าที่ชื่อว่า มอญดูดาว เป็นเพลงอัตราสองชั้น ทรงนามา แต่งขยายเป็นอัตราสามชั้นและทรงแต่งย่อลงเป็นอัตราช้ันเดียว รวมบรรเลงเป็นเพลงเถาท่ีมีอัตราสาม ชน้ั สองชั้น และช้ันเดียว ทรงประพันธ์เน้อื ร้องและพระราชทานนามเพลงว่า เพลงราตรีประดับดาว ซึ่ง เปน็ เพลงลาดบั ท่ี 1 เพลงเขมรละออองค์ เถา เป็นเพลงท่ี 2 ท่ีพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 7 ทรงพระราชนิพนธ์ เพลงน้ีมีความไพเราะไม่แพ้เพลงราตรีประดับดาว เพลงเขมรละออองค์ เถา ทรง พระราชนพิ นธ์จาก ทานองเพลงเขมรเอวบาง 2 ชั้น ของเกา่ สาเรจ็ ครบเป็นเพลงเถา เม่อื ปี พ.ศ.2473 ติวสอบครูสายศิลป์ By อ.ตัม้ ดนตรไี ทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรอ่ื งความรคู้ วามเขา้ ใจเรอื่ งของเพลงไทย 45 เพลงโหมโรงคลนื่ กระทบฝงั่ พระราชนิพนธ์ : พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจา้ อยหู่ ัว รัชกาลที่ ๗ แต่เดิมเพลงโหมโรงคล่ืนกระทบฝั่ง ของเดิมเป็นอัตรา ๒ ชั้น ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๗๔ สมเด็จ พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้นมาใหม่ และเป็นเพลงที่ ๓ ท่ีทรงพระราช นิพนธ์ โดยขยายเป็นอัตรา ๓ ชั้น ใช้เป็นเพลงโหมโรงประเภทเสภาและทรงประดิษฐ์ลูกล้อลูกขัดที่ สอดแทรกหลายอารมณ์ไว้ในเพลงนี้ ทานองมีความไพเราะพลวิ้ ไหวใหค้ วามรสู้ กึ เหมือน \" คลื่นกระทบฝ่ัง \" สมดังชื่อเพลง ลานาของเพลงในท่อนต้นเป็นเสียงคล่ืนกระฉอกในเม่ือ กระทบกบั แง่หินท่ยี ื่นยอ้ ยออกมา ส่วนท่อนที่ ๒ เที่ยวแรกแสดงถึงคล่ืนใต้นา้ อันเนื่องหนุนซ้อนๆกันมาผสมกับคล่ืนเหนือน้า ส่วน ตอนทา้ ยของเพลงแสดงถึงคลื่นลูกเล็กๆ ทว่ี ่ิงพลว้ิ ตามกระแสลมอยา่ งรวดเรว็ 3. พระบาทสมเด็จพระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลัย บุหลันลอยเล่ือน เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ซึ่ง พระองค์ทรงเป็นศิลปินที่มีพรสวรรค์ท้ังทางด้านกวีนิพนธ์และการดนตรีที่ชานาญการเป็นเย่ียม ยากจะ หาผู้ใดมาเทียบ พระองค์ทรงโปรดซอสามสายมากเป็นพิเศษ ถึงกับโปรดให้ยกหรืองดเก็บภาษีอากร ส่วนใดก็ตามท่ีที่มีต้นมะพร้าวชนิดพิเศษที่ใช้ผลทากะโหลกซอสามสาย ทรงสร้างซอสามสายด้วย พระองคเ์ องไว้หลายคนั มีอยู่คันหนงึ่ โปรดมากพระราชทานนามวา่ “ซอสายฟ้าฟาด” และโปรดทรงซอนี้ เสมอในเวลาว่างพระกิจยามราตรี ถ้าไม่ร่วมวงก็มักทรงเดี่ยวตามลาพังพระองค์เอง จนกระท่ังเกิดเป็น เพลง “บุหลันเลือ่ นลอยฟา้ ” ขน้ึ ในคนื วนั หน่งึ 4. สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรม ราชกมุ ารี ไทยดาเนินดอย ที่มาของเพลงไทยดาเนินดอยน้ัน สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จ พระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงพระราชนิพนธ์ เม่ือคร้ังตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระ บรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จไปทอดพระเนตรโครงการ ชลประทาน ท่ีอาเภอเถิน จังหวัดลาปาง ในเดอื นมกราคม 2523 ส่วนทานองใชท้ านองเพลงลาวดาเนิน ทราย ติวสอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ต้มั ดนตรไี ทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เรื่องความรูค้ วามเข้าใจเรือ่ งของเพลงไทย 46 5. พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมหมื่นพิไชยมหนิ ทโรดม เพลงลาวดาเนินเกวียน พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหม่ืนพิไชยมหินทโรดม เมื่อคร้ังทรงรับ ราชการอยูใ่ นกระทรวงเกษตราธิการ ราวปี 2451 ได้เสดจ็ ตรวจราชการภาคตะวนั ออกเฉียงเหนอื ซง่ึ ต้อง ใช้เกวยี นเป็นพาหนะ ขณะที่ทรงเดินทางน้ันพระองค์ทรงนิพนธ์เพลงนี้ข้นึ ซึ่งภายหลงั เรียกว่า เพลงลาว ดวงเดือน ต่อมาอาจารยม์ นตรี ตราโมท ทาเปน็ เพลงเถาใหช้ อ่ื วา่ เพลงโสมสอ่ งแสง 6. ประวัตเิ พลงชาติ สาหรับเพลงชาตไิ ทยฉบับปจั จบุ ัน ถือเป็นฉบบั ท่ี 7 โดยมีขุนวิจิตรมาตรา เป็นผปู้ ระพนั ธ์คารอ้ ง และพระเจนดุริยางค์ (ปิติ วาทยะกร) เป็นผู้ประพันธ์ทานอง แต่งขึ้นช่วงหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 แต่ต่อมาในปี พ.ศ.2482 มีการเปล่ียนช่ือประเทศจาก \"สยาม\" เป็น \"ไทย\" ทาให้รัฐบาลจัด ประกวดคาร้องใหม่ขึ้น (เน้ือเพลง) แต่กาหนดว่าให้ใช้ทานองตามฉบับเดิมของพระเจนดุริยางค์ ผู้ได้รับ รางวลั ชนะเลศิ ได้แก่ พนั เอกหลวงสารานุประพนั ธ์ (นวล ปาจิณพยคั ฆ)์ เพลงชาตไิ ทยฉบบั ที่ 1 เพลงชาติไทยมีขึ้นคร้ังแรก ในช่วงปลายสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) ในปี พ.ศ.2395 เป็นการใช้ทานองและรบั อทิ ธพิ ลมาจากเพลง \"God save the Queen\" ซึ่งเปน็ เพลง ชาติของอังกฤษ เพ่ือถวายเกียรติยศแก่องค์พระมหากษัตริย์ รู้จักกันในชื่อ \"เพลงสรรเสริญพระบารมี\" นน่ั เอง ต่อมาเพลงดังกลา่ วถกู นามาประพันธ์คาร้องข้นึ ใหม่ โดยพระยาศรีสนุ ทรโวหาร (นอ้ ย อาจารยาง กรู ) ตง้ั ช่ือใหม่วา่ \"เพลงจอมราชจงเจรญิ \" เนื้อเพลงจอมราชจงเจริญ ความสขุ สมบัตทิ ั้งบรวิ าร เจรญิ พละ ปฏภิ าณผ่องแผ้ว จงยืนพระชนมาน นับรอบรอ้ ย แฮ มีพระเกยี รติเพริศแพร้ว เลห่ ์ เพยี้ ง จันทร์ เพลงชาติไทยฉบับที่ 2 ราวปี พ.ศ.2414 สมัยพระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั (รชั กาลท่ี 5) เสดจ็ ประพาส สิงคโปร์ ทอดพระเนตรกองทหารดรุ ยิ างค์ ถวายเคารพดว้ ยการบรรเลงเพลง \"God save the Queen\" (เน่ืองจากสมัยนั้นสงิ คโปร์ยงั อยภู่ ายใตอ้ งั กฤษ) ทาให้ทรงคดิ วา่ ประเทศควรมีเพลงชาติเป็นของตนเอง เพอ่ื แสดงถงึ ความเปน็ เอกราช เม่อื กลับประเทศ ทรงใหค้ รูดนตรไี ทยเข้าเฝา้ ฯ ลงความเห็นกนั วา่ เลอื ก \"เพลงบุหลันลอยเลื่อน\" สาหรับใช้เปน็ เพลงชาติ และเพลงสาหรับถวายความเคารพ ตวิ สอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ต้มั ดนตรไี ทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เรื่องความรู้ความเขา้ ใจเรอื่ งของเพลงไทย 47 เนอื้ เพลงบหุ ลันลอยเลอื่ น กิดาหยนั หมอบกรานอยู่งานพัด พระบรรทมโสมนัสอยูใ่ นที่ บุหลนั เลอ่ื นลอยฟ้าไม่ราคี รศั มีสอ่ งสวา่ งดงั กลางวนั พระนง่ิ นึกตรึกไตรไปมา ทีจ่ ะแตง่ คูหาสะตาหมนั ปา่ นนี้พระองคท์ รงธรรม์ จะนบั วนั เครา่ คอยทุกเวลา ครนั้ ลว่ งเข้ายามดึกสงดั สงบเงียบเสยี งสตั ว์ทุกภาษา วังเวงวเิ วกวญิ ญาณ์ พระนิทราหลบั ไปในราตรีฯ เพลงชาติไทยฉบับที่ 3 มีการนาเพลงสรรเสริญพระบารมี มาประพันธ์ทานองใหม่ ในปี พ.ศ.2431 โดยใช้คาร้องของ สมเดจ็ ฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ โดยในขณะนั้นใช้เปน็ \"เพลงชาติ\" ซึ่งได้กลายเปน็ เพลงสรรเสริญ พระบารมี ฉบับทใ่ี ชก้ นั ในปัจจบุ ันน่ันเอง เนือ้ เพลงสรรเสริญพระบารมี (ฉบับปัจจุบัน) ข้าวรพทุ ธเจ้า เอามโนและศริ ะกราน นบพระภูมบิ าล บุญญดิเรก เอกบรมจักรนิ พระสยามนิ ทร์ พระยศยงิ่ ยง เยน็ ศริ ะเพราะพระบรบิ าล ผลพระคุณ ธ รักษา ปวงประชาเป็นสุขศานต์ ขอบันดาล ธ ประสงคใ์ ด จงสฤษฏด์ ัง หวังวรหฤทัย ดจุ จะถวายชัย ชโย เพลงชาติไทยฉบับท่ี 4 เจ้าพระยาธรรมศักด์ิมนตรี (สนนั่ เทพหสั ดิน ณ อยุธยา) ได้ประพนั ธ์เนื้อรอ้ งเพลงชาติขึ้นใหม่ เพอ่ื ใช้ปลกุ ใจความสามคั คีและความรักชาติ โดยเปน็ การนามาใชช้ วั่ คราว ระหว่างทรี่ อเพลงชาตทิ ี่แตง่ โดย พระเจนดุริยางค์ ในช่วงเปลี่ยนผ่านทางการเมือง เนือ้ เพลงชาตมิ หาชัย สยามอยู่คู่ฟา้ อยา่ สงสยั เพราะชาติไทยเปน็ ไทยไปทุกเมอ่ื ชาวสยามนาสยามเหมอื นนาเรอื ผา่ นแก่งเกาะเพราะเพื่อชาติพ้นภัย เรารว่ มใจรว่ มรักสมัครหนุน วางธรรมนญู สถาปนาพาราใหม่ ติวสอบครสู ายศิลป์ By อ.ตั้ม ดนตรีไทย

วิชาเอกดนตรไี ทย เรอื่ งความร้คู วามเขา้ ใจเร่อื งของเพลงไทย 48 ยกสยามยงิ่ ยงธารงชยั ใหค้ งไทยตราบสน้ิ ดนิ ฟ้า เพลงชาตไิ ทยฉบบั ท่ี 5 ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาสู่ระบอบ ประชาธิปไตย ในปี พ.ศ.2475 มีการแตง่ เพลงชาตขิ ้นึ ใหม่ ประพันธ์แตง่ คาร้องโดยขุนวจิ ิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพนั ธุ์) และประพันธท์ านองโดยพระเจนดรุ ิยางค์ เนือ้ รอ้ งเพลงชาติ ฉบบั ของขนุ วิจิตรมาตรา แผน่ ดนิ สยามนามประเทืองว่าเมืองทอง ไทยเขา้ ครอง ตง้ั ประเทศ เขตตแ์ ดนสงา่ สบื เผา่ ไทยดกึ ดาบรรพ์ โบราณลงมา รวมรกั ษาสามัคคี ทวไี ทย บางสมยั ศัตรู จู่โจมตี ไทยพลี ชวี ิตรว่ ม รวมรุกไล่ เข้าลุยเลอื ดหมายมงุ่ ผดุงไผท สยามสมยั โบราณรอด ตลอดมา อันดินสยามคือวา่ เน้ือของเช้ือไทย นา้ รนิ ไหล คือวา่ เลอื ด ของเชอื้ ข้า เอกราชคือ เจดยี ์ ทเี่ ราบชู า เราจะสามคั คี ร่วมมใี จ รักษาชาติ ประเทศ เอกราชจงดี ใครยา่ ยี เราจะไม่ละให้ เอาเลอื ดล้างให้ส้ิน แผ่นดินไทย สถาปนา สยามให้ เทิดไทย ไชโย เพลงชาติไทยฉบับท่ี 6 ต่อมาในปี พ.ศ.2477 มีการจัดประกวดเน้ือร้องเพลงชาติขึ้นใหม่อีกครั้ง ฉบับที่ได้รับการ คดั เลือกได้แก่ ฉบับของขุนวิจติ รมาตรา และฉบับของนายฉันท์ ขาวไิ ล ซึ่งเมื่อรวมกันแล้วจะได้เนื้อเพลง ชาติ จานวน 4 บท นับว่าเปน็ เพลงชาติไทย ฉบับทางการครัง้ แรก เพลงชาติ ฉบับราชการฉบบั แรก เหลา่ เราทั้งหลายขอนอ้ มกายถวายชวี ิต รกั ษาสทิ ธอิ์ สิ ระ ณ แดนสยาม ทีพ่ ่อแมส่ ูย้ อมม้วยด้วยพยายาม ปราบเส้ยี นหนามให้พินาศสบื ชาตมิ า แม้ถงึ ไทยไทยด้อยจนย่อยยบั ยงั กู้กลับคงคนื ไดช้ ่นื หน้า ควรแก่นามงามสุดอยุธยา นั้นมใิ ช่วา่ จะขัดสนหมดคนดี เหลา่ เราทัง้ หลายเลือดและเนื้อเชือ้ ชาติไทย มใิ หใ้ ครเข้าเหยียบยา่ ขยาขย้ี ประคบั ประคองป้องสทิ ธิ์อสิ รเสรี เมอ่ื ภัยมีช่วยกันจนวันตาย จะสนิ้ ชพี ไว้ชือ่ ให้ลือล่ัน ว่าไทยมันรักชาติไม่ขาดสาย ติวสอบครูสายศิลป์ By อ.ต้มั ดนตรไี ทย

วชิ าเอกดนตรไี ทย เร่อื งความรู้ความเขา้ ใจเร่อื งของเพลงไทย 49 มไี มตรดี ยี ่ิงทงั้ หญิงทัง้ ชาย สยามมิวายผู้มุ่งหมายเชดิ ชัย ไชโย เพลงชาติไทยฉบับท่ี 7 (ฉบบั ปจั จุบนั ) ในสมัยรัฐบาลของจอมพลแปลก พิบูลสงคราม ได้จัดประกวดเนื้อร้องเพลงชาติใหม่ เนื่องจาก ต้องการให้สอดคล้องกับนโยบายการเปล่ียนช่ือประเทศอย่างเป็นทางการ โดยเลือกใช้ฉบับเนื้อร้องของ พันเอกหลวงสารานุประพันธ์ (นวล ปาจิณพยัคฆ์) ท่ีส่งเข้าประกวดในนามของกองทัพบก แล้วจึง ประกาศยกเลิกเพลงชาติฉบับก่อนหน้า ทาให้นับต้ังแต่วันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ.2482 เป็นต้นมา เพลง ชาติฉบับนีไ้ ด้กลายเป็นเพลงชาติไทยท่ีใช้กนั ในปัจจุบัน 7. สรรเสริญพระบารมี ก่อนหน้าจะมีเพลง “สรรเสริญพระบารมี” ซึ่งเป็นบทเพลงเพ่ือสรรเสริญพระบารมีแห่ง พระมหากษัตริย์ที่ประชาชนชาวไทยได้ยินและร้องกันในปัจจุบันน้ัน เดิมทีในสมัยพระบาทสมเด็จพระ จอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 4 ได้ใช้เพลง “God Save the Queen” (หรือ \"God Save the King\" ขึ้นอยู่กับกษัตริย์ในรัชสมัยนั้น) ซ่ึงเป็นเพลงสรรเสริญพระบารมีและเพลงชาติของอังกฤษ มาเป็นเพลง ถวายความเคารพพระมหากษัตรยิ ์ไทย เนอื่ งจากตอนนั้นมีครฝู ึกทหารชาวอังกฤษเดนิ ทางมาฝึกทหารใน วังหลวงและนาเพลงนี้มาถวาย ต่อมาได้มีการประพันธ์เนื้อร้องใหม่โดยพระยาศรีสุนทรโวหาร (น้อย อาจารยางกรู ) โดยใชช้ ือ่ เพลงว่า “จอมราชจงเจรญิ ” ดังน้ี ความ ศขุ สมบัติทัง้ บรวิ าร เจริญ พละปฏภิ าณ ผ่องแผว้ จง ยนื พระชนม์นาน นับรอบ รอ้ ยแฮ มี พระเกียรตเิ ลศิ แลว้ เล่ห์เพ้ียงเพญ็ จนั ทร์ กระทั่งข้ึนรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี 5 พระองค์ได้เสด็จ ประพาสเมืองสิงคโปร์ในปี พ.ศ. 2414 ซึ่งในเวลานั้นสิงคโปร์ตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ เกิดปัญหาว่า ทาไมอังกฤษและสยามจงึ ใช้เพลง “God Save the Queen” ทั้งที่สยามมิไดต้ กเป็นเมืองข้ึนของอังกฤษ เม่ือรัชกาลท่ี 5 ทรงได้ยินเช่นน้ันก็ตกพระทัย และทันทีท่ีเสด็จฯ กลับก็ได้ประชุมครูดนตรีเพ่ือหาเพลง สรรเสริญพระบารมีใหม่แทน โดยมีการเลือกทานองเพลง “บุหลันลอยเล่ือน” ซ่ึงเป็นพระราชนิพนธ์ใน พระบาทสมเด็จพระพุทธเลศิ หล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 พร้อมให้นายเฮวดุ เซน ครูแตรทหารมหาดเลก็ ชาว ฮอลันดามาเรียบเรียงทานองขึ้นใหม่ให้เป็นดนตรีตะวันตก และใช้เป็นเพลงสรรเสริญพระบารมีใน ระหว่างปี พ.ศ. 2414- พ.ศ. 2431 ติวสอบครสู ายศลิ ป์ By อ.ต้มั ดนตรีไทย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook