คนไทย ใชกบเฒา? เถรวาท vs. ลัทธอิ าจารย พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) โรงเรียนทอสี โรงเรยี นวิถพี ทุ ธ และ มูลนธิ ิปญ ญาประทีป
คนไทย ใชก บเฒา ? (เถรวาท vs. ลัทธอิ าจารย) เลม เลม © พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ISBN 974-94143-8-1 พมิ พค ร้ังท่ี ๑ — มีนาคม ๒๕๕๒ - โรงเรียนทอสี โรงเรียนวิถีพุทธ และมลู นธิ ปิ ญญาประทีป แบบปก: พระชยั ยศ พทุ ฺธิวโร ผูถ อดเทป: สุภาวดี จนั ทรทตั ณ อยุธยา ม.ล. ศศิภา จันทรทตั พิมพท่ี
คําปรารภ ทุกวันนี้คนไทยจํานวนมากยังมีความรูความเขาใจในหลัก ธรรมคําสอนของพทุ ธศาสนาคอ นขา งนอ ย และส่งิ ทคี่ ดิ วารกู ม็ ีความ ไมถูกตองอีกพอสมควร การธํารงรักษาพุทธศาสนาใหอยูคูสังคม เพ่ือประโยชนและความสงบสุขของทุกฝายเปนหนาที่ของชาวพุทธ ทุกคน แตสวนใหญยังขาดการศกึ ษาและการปฏบิ ัตขิ ดั เกลาตนเอง เพ่ือสรางชีวิตท่ีดีงามใหเกิดข้ึน ระบบการศึกษาท่ีผานมาก็มิไดเอื้อ ใหเ ราไดเ รียนรทู ีจ่ ะเขาใจตนเอง เขา ใจผูค นโดยรอบ หรอื เขาใจใน หลักธรรมเทา ที่ควร คําวา “วิถีเถรวาท” ซึ่งเปนคาํ ท่ีมีความหมายพื้นฐานทีส่ ุด ของพทุ ธศาสนา ถกู ตคี วามผิดเพย้ี น สรางความสับสนใหเกิดข้นึ แต โชคดีที่เรายังมีครูบาอาจารยท่ีเปยมดวยเมตตาไมมีท่ีสุดไมมี ประมาณ และทรงภูมิปญญาอยางย่ิงยวด คอยชวยชี้แนะและให ความกระจาง พระเดชพระคุณทานเจาคุณอาจารยพระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ไดเมตตาตรวจชาํ ระตนฉบบั หนังสอื การตอบขอขอ ง ใจของพระนวกะเพ่ือสรางความเขาใจที่ถูกตองใหปรากฏ รวมถึงมี การขยายความเพ่ิมเติมเพื่อใหเปนแหลงอางอิงเก่ียวกับพทุ ธศาสนา วิถีเถรวาทที่มีเนื้อหาสาระครอบคลุมเพื่อประโยชนข องการศึกษาแก พุทธบรษิ ทั ทัว่ ไป
โรงเรียนทอสี โรงเรยี นวิถพี ทุ ธ ไดร บั ความเมตตาจากทาน เจาคุณอาจารยอ นุญาตใหจดั พิมพห นังสอื น้ี ตามอุดมการณแนว แน ท่ีจะนําหลักธรรมคําสั่งสอนของพระพุทธเจาออกเผยแผแกคนใน สังคมไทย โรงเรียนทอสีจึงใครขอกราบขอบพระคุณทานเจาคุณ อาจารยฯ และขออนุโมทนาบุญทกุ ๆ ทา นท่ีมสี วนรว มจดั ทาํ หนังสือ เลมนใ้ี หสมั ฤทธิ์ผลขึ้นมาได โรงเรยี นทอสี โรงเรียนวิถพี ทุ ธ และมลู นิธิปญญาประทีป มีนาคม ๒๕๕๒
สารบัญ คําปรารภ ก อนุโมทนา ค คนไทย ใชกบเฒา? (เถรวาท vs. ลัทธิอาจารย) ๑ ภาคนาํ : รวดเดยี วจบ ๑ - บทความที่ ๑: วถิ ีเถรวาท ๒ - บทความท่ี ๒: วิถีเถรวาทไทย ๕ - บทความกอ นท่ี ๑: กาลามสตู ร ๑๑ เถรวาทถูกกนั ออกไปนานแลว จากการศึกษาไทย ๑๓ ดูกนั กอ นวา เถรวาททพ่ี ูดถงึ เปน แบบของใคร ๑๖ ถา ไมมเี ถรวาท ก็ไมม ีกาลามสตู ร ๑๗ พระไทยไมส อน หรอื ไมใ สใ จ ในกาลามสตู ร ๒๒ พระไทยไมซ อื่ หรอื วา ไมร ู ๒๔ ๑. ดูสงั คมไทย กอนเขา ใจเถรวาท ๒๗ เม่อื คนไทยเมินถ่ิน หม่นิ ของไทย ๒๗ เถรวาทเลือนหาย คนไทยสูการศกึ ษาสมัยใหม ๓๑ ในภาวะขาดความรู สงั คมไทยปรับตวั อยา งไร ๓๖ ไมต อ งพดู ถึงคนไทย พระไทยกไ็ มร จู ักเถรวาท ๔๐
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) จ ๒. วถิ เี ถรวาทรักษาไว กาลามสตู รไมส นิ้ ๔๔ หลักทจี่ ะใหไ ดปญญา แตใ ชไ มเ ปน เลยย่ิงหมดปญญา ๔๔ คาํ แปลทถ่ี กู ตองและเต็มใจ ถงึ ยาก ก็ตอ งหา ๔๙ ทาํ ไมจงึ ฟง อรรถกถา ๕๒ หันมามองสังคมไทยกนั อกี ที ๕๕ ถา วถิ เี ถรวาทไมรักษาไว ไทยคงหมดตัว ๕๙ ๓. กาลามสูตร ตองขดุ ใหถึงปญ ญา ๖๔ เช่อื ฟง ใหไ ดศ ลี รับฟงใหไดปญ ญา ๖๔ อา งใหร ู อยา ตูวาอา งใหเชอื่ ๖๗ ขอมูลเพ่ือใหรู vs. ขอมลู เพือ่ ใหเ ช่อื ๗๑ ๔. กาลามสตู ร กบั พทุ ธทาส ๗๕ พุทธทาส วา เถรวาทไมมี? ๗๖ พทุ ธทาส ชวนฉีกพระไตรปฎ ก ๗๙ มองพระไตรปฎ ก นกึ ถงึ หวั อกไปทว่ั ทกุ คน ๘๔ พระไตรปฎก: รจู กั ฉกี ปก รกั ษาขอมลู ใหอยูดี ๘๘ ๕. เถรวาทมี อาจริยวาทก็มา ๙๒ จบสังคายนา ก็มาเปน เถรวาท ๙๒ เถรวาทตั้งตน อาจริยวาทแตกตอ ๙๘ มหายานเกดิ มา หนิ ยานกพ็ ลอยเกดิ มี ๑๐๑
ฉ คนไทย ใชก บเฒา? เถรวาทแคท างผาน ติดอาจารยคืออาจริยวาที ๑๐๕ ละมหายาน หันไปมองศาสนาเมอื งฝรงั่ ๑๐๘ ถกู กดข่บี บี ค้นั คือแรงดันใหดิ้นสคู วามเปน อสิ ระเสรี ๑๑๑ ๖. เถรวาท-มหายาน ทโี่ ลกตอ งการ ๑๑๕ คนไทย อยาเปน กบเฒา ๑๑๗ จะเอาขอมูลเดิมไว หรอื พอใจแคค ําแปล ๑๒๓ ปราชญม หายานวา ถา จะดขู องแท อยทู เี่ ถรวาท ๑๒๙ มหายานญีป่ ุน วุนหาวนิ ยั แลว เลกิ รา ๑๓๒ มหายานกา วไปไหนๆ พอถึงวนิ ยั ก็ใชหนิ ยาน ๑๓๖ เซน ทิเบต กูรู ซซู าเบงบานในอเมรกิ า ๑๓๘ คนไทย (คง)ไมใชก บเฒา ๑๔๑ ทิ้งทา ย ๑๔๖
คนไทย ใชกบเฒา?* เถรวาท vs. ลัทธอิ าจารย ภาคนํา: รวดเดียวจบ พระพรหมคณุ าภรณ: มอี ะไรจะคยุ กนั ก็วา กันไป คราวทีแ่ ลวมี อะไรติดคางอยู หรือจะตอเลย หรือจะเปลีย่ นเรื่อง ก็แลวแตท าน พระนวกะ: ครง้ั ทีแ่ ล้วค้างไว้ เปน็ เรื่องที่จะเรยี นถามในครง้ั น้ี ก็ คือปญั หาที่มีการเข้าใจผิดต่อคําวา่ “เถรวาท” โดยมีคอลมั นิสต์ เอาไปใช้ในทางที่ทําให้เกิดความเข้าใจผิดพลาดในความหมาย ก็เลยจะถามในประเด็นท่ีมาของคําว่า “เถรวาท” และการทํา ความเขา้ ใจทถี่ กู ตอ้ ง ในแงม่ มุ ตา่ งๆ พระพรหมคุณาภรณ: เอาเปนวาอะไรเปนตัวปญหาเกิดขึ้น ก็ ตอบใหตรงตัวปญหานน้ั ไปเลย ดีไหม พระนวกะ: ดคี รับ พระพรหมคณุ าภรณ: มคี อลัมนิสตวา กข็ อทราบทเ่ี ขาวาอยา งไร กอน แลว คอ ยตอบใหตรงกบั ทเ่ี ขาวา * พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) พูดคยุ กับพระนวกะในพรรษา วดั ญาณเวศกวนั เม่ือวันที่ ๒๖ สงิ หาคม ๒๕๕๑ และพดู เสรมิ เรอ่ื งมหายาน เม่ือวันที่ ๓๑ สงิ หาคม ๒๕๕๑
๒ คนไทย ใชก บเฒา? พระนวกะ: ปญั หานนั้ เกดิ จากบทความในหนงั สอื พมิ พม์ ตชิ น ฉบบั วนั ท่ี ๑๔ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ กค็ อื วา่ มบี ทความชอ่ื วา่ “การ ศกึ ษา ‘แหง่ ชาต’ิ ของไทย ใน ‘วถิ เี ถรวาท’ ทอ่ งจําคําครเู ปน็ สําคญั ” ซง่ึ เขยี นโดย สจุ ติ ต์ วงษเ์ ทศ ตอ้ งอา่ นคอลมั นด์ ว้ ยไหมครบั พระพรหมคุณาภรณ: ดี ทา นทม่ี าน่ีอาจจะยังไมไดฟ ง ยังไมได อานกนั หมด กจ็ ะไดฟง แลว เราจะไดทราบขอมูลทีเ่ ราจะพดู ถึง คือ สิ่งท่ีเราจะพูดถึง เรากต็ อ งรูใหชดั และพดู ใหต รงกบั ท่ีเขาวา บทความท่ี ๑: วถิ เี ถรวาท พระนวกะ: ขออนุญาตอ่านบทความให้ฟงั : “มตชิ น”วนั ท่ี 14 พฤษภาคม พ.ศ.2551 ปท ี่ 31 ฉบบั ท่ี 11022 คอลัมน สยามประเทศไทย โดย สจุ ิตต วงษเทศ การศกึ ษา“แหงชาติ”ของไทย ใน“วิถเี ถรวาท” ทองจาํ คําครูเปน สําคัญ (มีภาพประกอบนาํ เร่ือง เขาใจวา เปน ภาพนิสติ นกั ศึกษา หรือนักเรยี นใน เครอ่ื งแบบ นงั่ พบั เพยี บบนพน้ื หอ งประชมุ ในพธิ ไี หวค รู มคี าํ บรรยายใตภ าพวา วถิ ี เถรวาทในเครอื่ งแบบการศกึ ษา“แหง ชาต”ิ ตอ จากนนั้ เปน ตวั บทความ ดงั ตอ ไปน)้ี การศึกษา“แหงชาติ”ระดับอุดมศึกษาของไทยอยูในภาวะ ดอ ยประสทิ ธภิ าพ เหน็ ชดั เจนมาก จนเปน ทรี่ บั รทู ว่ั กนั สาํ นกั งาน คณะกรรมการอุดมศึกษาเลยตองจัดประชุมสัมมนาวิพากษการ อดุ มศกึ ษาไทย ในปลายเดอื นพฤษภาคมนี้
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๓ เอกสารของสํานักงานฯระบุวา “ในปจ จุบนั อดุ มศกึ ษาใน ภาพรวมประสบปญ หาเกย่ี วกบั ขาดปรชั ญาแนวทางการบรหิ ารจดั การทช่ี ดั เจน” และมรี ายละเอยี ดวา “ขดี ความสามารถในดา นการแขง ขนั ของมหาวทิ ยาลยั ไทย ในปจ จบุ นั มกี ารถดถอยลงอยา งตอ เนอื่ ง โดยสงั เกตไดจ ากการจดั อันดับมหาวิทยาลัยที่กระทําโดยหนวยงานตางๆ อาทิ Times Higher Education ซง่ึ ในป ค.ศ. 2005-2006 มมี หาวทิ ยาลยั ไทย เพยี ง 1 แหง ตดิ อนั ดบั แตในการประเมินครั้งลาสุดมหาวิทยาลัยไทยไมติดกลุม มหาวิทยาลัยช้ันนําท่ีมีคุณภาพท้ังในระดับโลกและระดับภูมิภาค ความสามารถในการสรางนวัตกรรมตํ่า โครงสรางพื้นฐานทาง วทิ ยาศาสตรอ ยใู นระดบั ทา ยๆของประเทศทไี่ ดร บั การจดั อนั ดบั ” “การศึกษาของธนาคารโลกในเร่ืองการอุดมศึกษาใน ประเทศกําลังพัฒนาที่ระบุวาปจจัยทําใหมหาวิทยาลัยในกลุม ประเทศเหลา นถี้ ดถอยลง ไดแ ก 1. คณุ ภาพของคณาจารยใ น มหาวทิ ยาลยั 2. ปญ หาทน่ี กั ศกึ ษาประสบ 3. ทรพั ยากรทไี่ มเ พยี ง พอและความเปนอสิ ระของมหาวทิ ยาลยั และ 4. การเมืองใน มหาวิทยาลัย เชน การไดมาของผูบริหารโดยการเลอื กต้ังของ มหาวทิ ยาลยั ” เหตุที่อุดมศึกษา“แหงชาติ”ของไทยดอยประสิทธิภาพก็ เพราะ มวี ถิ คี ดิ อยา ง“เถรวาท” หมายถงึ ทอ งจาํ ตามคาํ สอน(วาทะ) ของครอู าจารย( เถระ)เปน ใหญส ดุ ใครจะละเมดิ หรอื สงสยั มไิ ด
๔ คนไทย ใชกบเฒา ? ถา ไมป รบั เปลยี่ นวถิ เี ถรวาทใหล ดลงหรอื เลกิ ไป กเ็ ปลยี่ น อยา งอน่ื ไมไ ด หรอื เปลยี่ นไดล าํ บากมากจนไมเ ปลยี่ น วิถีเถรวาททําใหปรัชญาการศึกษา“แหงชาติ”ของไทยทุก ระดบั ตง้ั แตป ระถม, มธั ยม, อดุ ม เนน “รปู แบบ” สาํ คญั กวา “เนอ้ื หา” เห็นไดจากใหความสําคัญกับเคร่อื งแบบนักเรียน-นกั ศึกษา มากกวา ความคดิ ในสมอง และลงทนุ ทาํ รว้ั ทําปา ยชอื่ สถาบนั มาก กวา ลงทนุ หอ งสมดุ -หอ งแลบ็ ฯลฯ อาจารยมหาวิทยาลัย“แหงชาติ”ของไทยจึงมวั แตหมกมุน กับเครอ่ื งแบบนกั ศกึ ษาโดยไมเ อาใจใสค วามกา วหนา ทางวชิ าการ สงผลใหอาจารยใหความสําคัญกับรายไดของตัวเองอยูเหนือผล งานทางวชิ าการ สรา งสาํ นกึ กะลอ น, ขโ้ี กง, สงั่ สมสนั ดานเอารดั เอา เปรยี บคนอน่ื ฯลฯ เลยพากนั แยง งบฯ ทาํ งานพเิ ศษ แลว เรห าเปน “มา ใช” หนว ยงานอน่ื เชน กทม., เอกชน, ฯลฯ เพอ่ื เพมิ่ รายไดใ ห ตวั เองมากกวา ทมุ เทใหว ชิ าความรู การ“เลือกต้ัง”ผูบริหารมหาวิทยาลัยอยางที่เปนมาและ กาํ ลงั เปน อยขู ณะน้ี คอื ความเสอ่ื มของการบรหิ ารจดั การวชิ าความ รกู ารศกึ ษาทงั้ ระบบ ฉะนนั้ ตอ งพจิ ารณาลด ละ เลกิ วถิ เี ถรวาทเปน สาํ คญั เวน เสยี แตจ ะเหน็ เปน อยา งอน่ื ทดี่ กี วา แตถ า ยงั ไมย อมรบั ความจรงิ ก็ ตอ งตกอยใู นความดอ ยประสทิ ธภิ าพตอ ไปจนกวา จะหาไม
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๕ บทความท่ี ๒: วิถเี ถรวาทไทย พระนวกะ: จบ เปน็ บทความแรกทอี่ อกเมอื่ วนั ที่ ๑๔ พฤษภาคม ครบั และลา่ สดุ เมอ่ื วนั พฤหสั บดที ่ี ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๕๑ ใน หนงั สอื พมิ พม์ ตชิ นรายวนั เชน่ เดยี วกนั คณุ สจุ ติ ต์ วงษเ์ ทศ กอ็ อกมา เขยี นอกี บทความหนง่ึ เรอื่ ง “ของจรงิ -ของปลอม ในโลกของศลิ ป ศาสตรไ์ ทย” ขออนญุ าตอา่ น: คณะศิลปศาสตร มหาวทิ ยาลยั อุบลราชธานี สรุปแบบ ประเมินโครงการท่ีผมไปบรรยายพเิ ศษเร่ือง ประวัตศิ าสตรแหง ชาติและปราสาทพระวิหาร เมื่อวนั จันทรท่ี ๒๑ กรกฎาคม แลว สงมาใหผ มอา น มบี างขอบางคนเขยี นวา “ควรใชคําสุภาพตอคณะศิลปศาสตร ไมใชใชคํารุนแรง และควรใหเ กียรติคณะศลิ ปศาสตรดวย ไมใชอยากพดู อะไรก็พดู เขาเรยี กวาไมม มี ารยาทการเปนวิทยากร” ตอบวาผมต้งั ใจพูดอยา งนนั้ เตรียมการพดู อยางน้นั แทๆ เตรียมพูดนานมาก หลายวันหลายเดือนหลายป แมเขียนใน คอลมั นนี้ก็เขียนอยางทีพ่ ูดวันนัน้ ตอบวา ไดพ ูดอธิบายและบอกหลกั ฐานแลว ทกุ อยา ง แม เอกสารท่ีแจกก็มีใหเห็นหลักฐาน ปญหาอยูที่คนฟง สวนมากไม เคยรจู กั หลักฐาน สถาบนั การศึกษาระดับมหาวิทยาลยั (รวมทั้งที่ อุบลฯ) กม็ ักไมเ ผยแพรห ลักฐาน เพราะสอนกันตาม “วิถีเถรวาท ไทย” คือทองจําเปน นกแกวนกขนุ ทอง
๖ คนไทย ใชกบเฒา? “วิถีเถรวาทไทย” ใชท องจําเปนสรณะนเี้ อง ท่ีอาจารย ธรี ยทุ ธ บุญมี บอกไวในคราวปาฐกถาทบทวนทศิ ทางไทย เมื่อ เรว็ ๆ น้ี วามีรากเหงา ปญ หาขอหน่งึ อยทู ี่ “ศรทั ธาปลอมๆ” ศิลปศาสตรในมหาวิทยาลัยไทยสนับสนุนใหสังคมไทยมี “ศรัทธาปลอมๆ” ดวย “วิถีเถรวาทไทย” จะยกขอความของ อาจารยธรี ยุทธมาใหอานกอ นดงั นี้ “ปญหาคนไทยไมอยูกบั ปญญาความรู แตอยกู ับศรทั ธา ปลอมๆ เพราะไมเ คยมอี ํานาจจรงิ จงั ไมเ คยแกปญ หาตัวเองและ ของประเทศดวยหลักเหตุผล คนไทยจึงสอพลออุดมการณมา นาน เชน ยดึ มั่นประชาธิปไตยเลอื กตงั้ ท่ีมีแตการซื้อเสียงและผล ลัพธก็คือชาวบานไมไดอะไร แตกลุมทุนการเมืองเปนผูเสวย ประโยชนร ะบอบประชาธปิ ไตยแบบทนุ สามานยรงุ เรือง บางสว น กย็ ึดมั่นในอดุ มการณชาต-ิ ศาสน- กษตั ริย แบบปลอมๆ คอื ไมได เนนการยึดมั่นแบบใชปญญาที่จะทําใหสถาบันหลักของชาติกาว หนา เกิดประโยชนที่สถาพรตอบานเมืองและประชาชนจริงๆ เมื่อมีวิกฤตทุกหนก็เกิดการขัดแยงทางความคิดปลอมๆ ซ่ึงไม ไดเ กดิ จากแกนสารทางปญ ญา จงึ คลค่ี ลายไมได” เมื่ออยูในโลกปลอมๆ มานานมาก บรรดานักศิลป ศาสตรไ ทยเลยงงมากเมือ่ ไดย นิ ของจริงๆ ของไมป ลอม เพราะ ตา งจากของปลอมๆ ท่ีตวั เองคุนเคยแลว งมงายมานาน พระนวกะ: จบบทความครับ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๗ พระพรหมคณุ าภรณ: กไ็ มยาวเทาไร อยากจะถามทานท่ีฟงกอน วา ฟง แลว ทานมคี วามรสู ึกหรือความคิดเห็นอยา งไร แตก ารที่จะมคี วามรสู ึก หรอื ความคดิ เหน็ ก็ตอ งมีฐาน คอื มี ความรูความเขาใจวาเถรวาทคืออะไร จึงจะรูวาเขาเขียนผิดหรือ เขียนถกู ถาเราไมร ู เรากน็ ึกไมออกใชไหม อนั นมี้ ันกลายเปนวา เปนประโยชนขั้นท่ีหนึ่ง คือมาดูพวกเราเองในฐานะที่ทานเปนตัว แทนของพระไทย หรอื วา คนไทยท่วั ไป วา มีฐานความรใู นเรือ่ งเถร วาทท่ีจะฟง ทา นผูน ห้ี รอื ไม ฟงแลวมองเรอ่ื งออกหรือไม อยากจะฟงทานดวยวามีความคิดเห็นอยางไร รูสึกอยางไร ใครอยากจะพดู บางไหม นิมนตค รบั พระนวกะ: อนั นอ้ี าจจะยังเป็นความคดิ เหน็ นะครบั พระพรหมคุณาภรณ: ไมเปนไร ขั้นความคิดเห็น ตอนน้ีถาม ความคดิ เห็น พระนวกะ: คอื ผมเขา้ ใจวา่ เถรวาทน่ี หลกั การสําคญั คอื การ รกั ษาคําสง่ั สอนของพระพทุ ธเจา้ ใหถ้ กู ตอ้ งมากทสี่ ดุ ครบั จงึ ตอ้ งมี การทอ่ งจํา แตว่ า่ เวลาสงั คมนําไปใช้ ผมเขา้ ใจวา่ สงั คมเอาไปใช้ แบบผดิ ๆ ครบั คอื ทสี่ งั คมไทยบอกวา่ มรี ากฐานมาจากเถรวาท เปน็ การเขา้ ใจผดิ อยา่ งแรง คอื เอาแตต่ วั รปู แบบคอื การทอ่ งจํา แต่ ไมเ่ อาตวั เนอื้ หาวา่ กค็ อื คําสง่ั สอนของพระพทุ ธเจา้ ดงั นนั้ จงึ ยดึ ตดิ แตร่ ปู แบบหรอื ทอ่ งอยา่ งเดยี ว ตอ้ งเชอ่ื ฟงั อาจารยอ์ ยา่ งเดยี ว ทําให้ มนั เพย้ี นครบั แลว้ นกั วจิ ารณเ์ ขาวจิ ารณ์ เขามองเถรวาทในฐานะ รปู แบบครบั บางทเี ขาจะพดู แบบเหมารวมไป ขอบคณุ ครบั
๘ คนไทย ใชกบเฒา ? พระพรหมคุณาภรณ: เอาละขอบใจ ใครจะมีความเห็นอะไร ก็ นมิ นต แตอ ยาใหยาวนัก เพราะเวลาของเรานอย ใครอยากจะพดู อะไรไหมครบั พระนวกะ: จากการทไ่ี ดอ้ า่ นบทความ แลว้ ไปทําการบา้ นหาขอ้ มลู เกย่ี วกบั คําวา่ “เถรวาท” จากทม่ี าตา่ งๆ แลว้ ถามความคดิ เหน็ จาก อาจารยท์ สี่ อนทางดา้ นศาสนา ไดข้ อ้ มลู หลายอยา่ ง ทเี่ หน็ จดุ บอด ในการเขยี นคอลมั นน์ ว้ี า่ มขี อ้ มลู หลายอยา่ งทม่ี คี วามผดิ พลาด ถ้ายังไม่แตะเรื่องของเถรวาท การที่เขาเอาข้อมูลการ ประเมนิ ระดบั มหาวทิ ยาลยั ของไทยกผ็ ดิ พลาด ในทนี่ บ้ี อกวา่ ตดิ อยู่ แคค่ รงั้ เดยี ว มตี ดิ มหาวทิ ยาลยั เดยี วตอนการสํารวจครง้ั แรก ครงั้ ท่ี สอง ไมม่ มี หาวทิ ยาลยั ไทยตดิ เลย จากทผี่ มไดถ้ ามอาจารยท์ ค่ี ณะของผม ถา้ ผรู้ จู้ รงิ ๆ จะบอก ไดว้ า่ การสํารวจจรงิ ๆ มี ๒ ครงั้ ครง้ั แรกตดิ มหดิ ลกบั จฬุ าฯ สว่ น ครง้ั ท่ี ๒ เหลอื แตม่ หดิ ลอยมู่ หาวทิ ยาลยั เดยี ว นคี่ อื ขอ้ มลู กผ็ ดิ ใน เรื่องของการใส่ใจกับรปู แบบการแตง่ กายอะไรตา่ งๆ มนั มคี วาม สําคญั ทม่ี นั ตอ้ งใหเ้ กดิ ความปลอดภยั กบั นกั ศกึ ษา อนั นค้ี อื ผวิ เผนิ แต่ว่าพอมาแตะในเร่ืองของเถรวาท เขาใช้คํานี้เป็นการ เหมาภาพรวมวา่ การศกึ ษาไทยทเ่ี ปน็ อยทู่ กุ วนั แบบทอ่ งจํา ใชก้ บั คํา วา่ “ระบบเถรวาท” คอื ทอ่ งจําคําครู ซง่ึ จรงิ ๆ แลว้ มนั เปน็ คําทไ่ี ม่ ควรจะมาใชใ้ นบรบิ ทแบบนี้ มนั เปน็ การเรยี นแบบจํามากกวา่ นา่ จะใชบ้ รบิ ทคําอนื่ มากกวา่ นค้ี อื เขาไมใ่ หค้ วามหมายของเถรวาท อยา่ งชดั เจนจรงิ ๆ ซงึ่ ตามทมี่ าเถรวาทจากการทไี่ ดค้ ยุ กบั อาจารย์ ทงั้ สองทา่ น กบ็ อกวา่ ในหลกั ฐานตามพระไตรปฎิ กจรงิ ๆ ไมม่ คี ําวา่
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๙ เถรวาทปรากฏ คําว่า “เถรวาท” มาปรากฏหลังจากมกี าร สงั คายนามาแลว้ เมอ่ื เกดิ แตกเปน็ นกิ ายขน้ึ มา ซง่ึ คําวา่ เถรวาทใช้ โดยหา่ งชว่ งกนั ขาดหาย ไมม่ กี ารใชต้ อ่ เนอื่ งชดั เจน มาภายหลังนักวิชาการพยายามจะร้อยเรียงประวัติศาสตร์ รอ้ ยเรยี งทมี่ าใหเ้ ขา้ เปน็ เรอื่ งเดยี วกนั กเ็ ลยแตง่ เตมิ เขา้ ไปจนเจอคํา วา่ เถรวาท ซงึ่ คํานเ้ี อาเขา้ จรงิ ๆ เพงิ่ ใชเ้ มอื่ ตอนการประชมุ พทุ ธ- ศาสนกิ สมั พนั ธแ์ หง่ โลก (พสล.) เมอื่ ปี พ.ศ.๒๔๙๓ ซงึ่ จดั ทปี่ ระเทศ ศรลี งั กา โดย Dr. G.P. Malalasekera เปน็ ประธานของ พสล. เพราะวา่ มกี ารเขา้ ใจผดิ วา่ เมอื่ ฝรงั่ มาศกึ ษาพทุ ธศาสนาใน เอเชยี ไปเจอทางญปี่ นุ่ ทางจนี เกดิ การขดั แยง้ กนั ตอ่ วา่ กนั วา่ ตวั เองเปน็ มหายานแลว้ อกี ฝา่ ยหนง่ึ เปน็ ยานทตี่ ํา่ กวา่ หรอื สอนไม่ ถกู ตอ้ ง จงึ ใชค้ ําวา่ “หนิ ยาน” ขนึ้ มา ทนี พี้ อหนิ ยานทเ่ี ขาเอามาใช้ มนั เปน็ คําทอ่ี าจารยบ์ อก มนั เปน็ คําตอ่ วา่ พอเอามาใชผ้ ดิ บรบิ ท แลว้ คนไทยทไี่ มม่ คี วามรภู้ าษาตอนนน้ั พอไปฟงั ฝรง่ั มาเรยี กพระ ทางไทย ทางเอเชยี วา่ เปน็ หนิ ยาน กเ็ ลยรบั เอาอยา่ งนน้ั พอมา ประชมุ ทําความเขา้ ใจชดั เจนแลว้ วา่ ทมี่ ามนั เรยี กผดิ จงึ มกี ารตกลง ใหใ้ ชค้ ําวา่ “เถรวาท” ในการประชมุ ครง้ั นนั้ สําหรบั พทุ ธศาสนา นกิ ายทไ่ี มใ่ ชม่ หายาน นเ่ี ปน็ ขอ้ มลู เบอ้ื งตน้ สว่ นวถิ ที ปี่ รากฏในพระไตรปฎิ ก ในคําสอนอะไรตา่ งๆ ไม่ เคยมวี ถิ ไี หนเขยี นชดั เจนวา่ เราสอนแบบเถรวาท พระพรหมคุณาภรณ: ถามนิดหน่ึง ทานอานหมดหรือเปลา เพราะเคยไดยินคลา ยๆ วา ทานผเู ขียน พดู ถึงกาลามสตู ร อะไร ดว ย อา นหมดหรอื เปลาเม่ือก้ี มีหรอื เปลา “กาลามสตู ร”
๑๐ คนไทย ใชก บเฒา ? พระนวกะ: กาลามสตู รจะเป็นอีกบทความหนงึ่ ครับ พระพรหมคณุ าภรณ: พูดถงึ ทานพทุ ธทาส และกาลามสูตร พระนวกะ: อนั น้นั เปน็ บทความครัง้ แรกทเ่ี ขยี น แต่ไม่ได้เอามา พระพรหมคณุ าภรณ: ที่จริงตอ งรวมใหหมด ยอมเสยี เวลาอีกนิด หนง่ึ คอื อา นขอ มลู ใหเ พยี งพอ ถา ไมค รบถว นสมบรู ณ กใ็ หเ พยี งพอ ระหวา งทร่ี อไปหาบทความนนั้ ก็พูดไปพลางๆ นดิ ๆ หนอยๆ ยงั ไมเขาตวั เนือ้ หาสาระ เทา ที่ฟงกไ็ ดท ีส่ ังเกตวา บทความท่อี า นกอ น ใชคาํ วา “วถิ ี เถรวาท” สว นบทความหลงั เตมิ คาํ วา “ไทย” เปน “วถิ เี ถรวาทไทย” อันนก้ี ็เปนจุดทน่ี าสังเกตวา เหตใุ ดคราวหลงั จงึ เติม “ไทย” เขาไป ขอพูดนอกประเดน็ อกี นดิ หนอยกอ น คือเราจะไดย ินคําพระ ที่เปนคําสําคัญ คําท่ีถือวาสูง ถูกนํามาใชในภาษาไทยในความ หมายท่ีไมส ูเหมาะสม ยกตัวอยา งงายๆ คาํ วา “อรหนั ต” เขาพดู ถึง นักการเมืองบาง คนอะไรๆ บาง เชนวา “๘ อรหันต” อะไรอยางน้ี เคยไดยนิ ไหม ซ่ึงก็เปนขอ ท่ีควรสังเกตวา สงั คมไทยเรา มีการใช ถอยคําโดยไมคํานึงถึงความหมายท่ีแทจริง และไมระวังวาจะทํา ใหเกิดความสับสนในการศึกษา อันน้ีเปนแงหน่ึงที่เปนเร่ืองพ้ืนๆ ไมต องลงลึกอะไร แคน ก้ี ม็ ปี ญหา แงอนื่ เด๋ยี วคอยพูด แงที่วานี้ก็จะทําใหเกิดพฤติกรรมหรือการกระทํา ท่ีกลาย เปนวิถีปฏิบัติในแนวน้ีตอๆ กันไป เหมือนอยางท่ีวา พอพูดถึง บคุ คลแบบประชดประชันอยา งนี้ ก็เรยี กวา “อรหันต” ทีน้ี พอพูดถึง สถาบันหรือระบบอะไรสักอยางท่ีตองการประชดประชัน ก็เรียกวา
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๑๑ “เถรวาท” อะไรทาํ นองน้ี ถา เปน แบบนี้ กก็ ลายเปน วา เมอ่ื ตอ งการจะใหเ ปน คาํ ทเี่ ดน ทสี่ ะดดุ ในการทจี่ ะประชดประชนั กน็ าํ เอาคาํ ศพั ทท ค่ี วรจะใชแสดง ความหมายทด่ี ีงาม ไปใชส อื่ ความหมายท่ไี มดี หรือท่ีจะกระแหนะ กระแหน นีก่ เ็ ปนปญ หาของสังคมไทยในวงกวา ง อา ว หนั กลบั มาเรอ่ื งบทความของคณุ สจุ ติ ต เรอ่ื งทมี่ กี าลาม- สตู ร ตกลงไดไหมครบั นมิ นต บทความกอ นท่ี ๑: กาลามสูตร พระนวกะ: อนั นเ้ี ปน็ บทความทค่ี ณุ สจุ ติ ต์ วงษเ์ ทศ เขยี นไวเ้ มอื่ วนั ที่ ๒ มถิ นุ ายน ๒๕๕๑ ในคอลมั น์ สยามประเทศไทย โดยสจุ ติ ต์ วงษเ์ ทศ ชอ่ื เรอื่ ง “กาลามสตู ร ไมใ่ หเ้ ชอ่ื ตํารา-พระไตรปฎิ ก” ขอ อา่ นตอ่ ไปวา่ : ระบบการศึกษาไทยไมอยากใหคนฉลาด แลวกลัวคน ฉลาดเกนิ ไป เลยไมบอกเรอ่ื งกาลามสตู ร แลวไมยกยองปรัชญา กาลามสูตรมาเปนปรัชญาการศกึ ษาไทย “ครูบาอาจารยแตกาลกอนกลัวคนจะฉลาดเกินไปเพราะ อาศัยกาลามสูตร เลยไมเ อามาสอน. กาลามสูตรก็ไมถูกเอามาทําใหแพรหลายเหมือนสูตร อนื่ ๆ ทั้งท่เี ปนสูตรสําคัญท่สี ุดทีจ่ ะชวยใหเ กิดผลดี” ขอ ความทีย่ กมานอี้ ยูในเอกสารสิง่ พิมพชือ่ การขุดเพชร ในพระไตรปฎ ก ของทา นพุทธทาส (ธรรมสภาและสถาบนั บนั ลือ ธรรม เชิญขอความจากคําปราศรัย ที่กลาวแกชุมนุมผูมารวม
๑๒ คนไทย ใชก บเฒา? บําเพ็ญบุญลออายุปท่ี ๘๐ ของทา นพุทธทาส เมื่อวนั ท่ี ๒๗ พฤษภาคม ๒๕๒๘ มาพมิ พแจกและจําหนา ยท่ัวไป) กาลามสตู ร มี ๑๐ ขอ ทานพทุ ธทาสเทศนสรปุ งา ยๆ ไว ทัง้ หมด “วิถีเถรวาท” ชอบอางอิงตําราหลวงหรือพระไตรปฎก วามีมาแตคร้ังพุทธกาล แลวตองยึดมัน่ ถือมัน่ ตามน้ัน แตท าน พุทธทาสสอนวา “ในการสงั คายนาครงั้ แรก ยงั ไมม พี ระไตรปฎ ก แตก ม็ าพดู กนั ในบดั นี้ วา มพี ระไตรปฎ กมาแลว ตงั้ แตก ารทาํ สงั คายนาครงั้ แรก. นั่นเปนเพราะไปหลงตามคํากลาวช้ันหลังๆ เม่ือเขามี พระไตรปฎ กเตม็ รปู แบบในปจ จบุ ัน. การเทศนส งั คายนาทก่ี ลาวใหเ ขาใจวา มพี ระไตรปฎกมา แลว ตั้งแตก ารทําสงั คายนาคร้งั แรกน้ัน ไมตรงกบั ความจริง. ถา อาศยั หลกั กาลามสตู รแลวมนั กต็ องกลาวอยา งอน่ื คือ กลา ววา มแี ตธ รรมวินยั ที่ทอ งจําไวด ว ยปาก ยังไมไ ดจ ารึกลงไป ใหเ ปนปฎก” ทา นพุทธทาสเทศนย ้ําวา “พระไตรปฎกนัน้ ถาจะยืน่ ให แกนกั ศกึ ษาอาจจะปลดออกหรอื ฉกี ออกไดสกั ๓๐ เปอรเ ซ็นต ถา สําหรับนกั วิทยาศาสตร นกั โบราณคดีตวั ยงแหงยุคปรมาณูใน ปจจุบันหรอื อนาคต อาจจะปลดออกไดอกี ๓๐ เปอรเซ็นต, ถา สําหรับคนท่ัวไปรวมท้ังยายแกตาแกท่ีสอนเด็กใหตีกระปองชวย พระจันทรเ ม่อื ราหูจบั นน้ั ไมตอ งปลดอะไรออกเลย.”
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๑๓ สําหรับท่เี หลือ ๔๐ เปอรเ ซน็ ต จัดเปน เร่อื งการดับทกุ ข โดยวถิ ที างวทิ ยาศาสตร ที่ไมอาจจะปลดหรือฉกี ออกไดอ กี ตอ ไป ทา นพุทธทาสจึงเนนวา นัน่ แหละคอื หลักพทุ ธศาสนาช้ันท่เี ปน เพชรเม็ดเอก เถรวาทถูกกันออกไปนานแลว จากการศกึ ษาไทย พระพรหมคณุ าภรณ: เร่ืองนีท้ จี่ รงิ ตัวประเดน็ มีอยู ๒ ขอ ส้ันๆ นิด เดียวเทาน้นั แตถาจะรวบรัด ไมตองไปถึงนั่นหรอก เรอ่ื งน้ี ไมตอ งเขา ประเดน็ ดว ยซา้ํ ไมว า จะประเดน็ สน้ั หรอื ประเดน็ ยาว พดู ปด ไปไดเ ลย เรอ่ื งก็คือ คณุ สจุ ติ ตพ ูดถึงการศึกษาของชาติไทยในปจ จบุ นั วา เปน วถิ เี ถรวาทหรอื อยใู ตว ถิ เี ถรวาท แตเ ปน ทร่ี กู นั ดวี า พทุ ธศาสนาเถรวาทไดถ กู ตดั ถกู ปลดออกไป จากการศกึ ษาของรฐั ไทยนานตงั้ ศตวรรษหนง่ึ แลว และรฐั ไทยไดรบั เอาระบบการศกึ ษาสมยั ใหมแ บบตะวันตกเขา มาอยา งเต็มใจ พทุ ธ ศาสนาเถรวาทเวลานี้ เรียกไดวา อยูนอกวงการของการศึกษา (ถูก นมิ นตเขามาอยางคนนอกเปนคร้ังคราวตามเหตุการณ) แลวจะมาเอาอะไรกบั พทุ ธศาสนาเถรวาท การศกึ ษาของชาติไทยปจจบุ ันนี้ เปน การจัดตามระบบของ ตะวันตก แมแตการกําหนดเคร่ืองแบบนกั เรียนนกั ศึกษาท่ีพดู วา ไป นั้น ก็สืบมาจากฝร่ังอยางอังกฤษท่ีเราเคยเรียกวาเปนอารย-
๑๔ คนไทย ใชก บเฒา? ประเทศ ทเ่ี ราอยากจะเปน อยางเขา เปนของสมยั ใหมน้เี อง คนท่ีคณุ สุจิตตพูดถึงวา เปน พวกวถิ ีเถรวาทอะไรนนั้ กเ็ ปนผู เลา เรียนจบมาจากเมอื งนอก หรอื โตมาในระบบของตะวันตก ไม เคยรจู กั ดว ยซาํ้ วา เถรวาทคอื อะไร หรืออะไรเปน เถรวาท ทีน้ี ทานท่เี ขียนบทความก็อาจจะบอกวา เวลานี้ เถรวาทไม ไดคุมระบบการศกึ ษาทางการของรัฐไทยกจ็ รงิ แตม อี ทิ ธพิ ลอยใู น วฒั นธรรมไทย จงึ ทาํ ใหเปนอยา งน้ี กจ็ ะตอ งวเิ คราะหว จิ ัยกนั ตอ ไปอีกวา พุทธศาสนาเถรวาทมีอิทธิพลติดมาในวัฒนธรรมไทยใน ดานไหน สวนไหน แคไหน และในวัฒนธรรมไทยตามคติ “ในนํา้ มี ปลา ในนามขี า ว” (เหมือนกับบอกวา “อยูน ี่ดีแลว อยา ไปไหน เลย”) น้ี มอี ะไรอื่นอกี ทเี่ ปน ปจจัยเปนองคประกอบปรุงแตง สาํ คญั ทาํ ไมคนไทยสมยั ใหม คอ นศตวรรษมานี้ทนี่ ยิ มตามอยา งตะวนั ตกนกั หนา จงึ ไมซ มึ ซาบวฒั นธรรมฝรงั่ ตามคติ “บกุ ฝา ขยายพรมแดน” (คติ “frontier” - “ทีน่ ่ียากไร ตองรุกไปหาขางหนา ”) ถงึ ตอนน้ี กจ็ ะ กลายเปนวาตองพูดกันยาวยืดเย้ือไป (แตถาคิดจะวิเคราะหวิจัย ศึกษากนั จริงจงั ก็จะไดประโยชนมาก) เรอ่ื งน้เี รามองในแงดกี อนวา ทา นทเ่ี ขียนบทความนี้ทํางาน ในเร่ืองของสวนรวม คนทีท่ ํางานสวนรวม เราก็มองไวกอ นวาทา น มีเจตนาดีคํานึงถึงประโยชนตอ สวนรวม ในแงนี้ก็คือ คุณสุจิตตก็คงหวังดีตอการศึกษาของประเทศ ไทย อยา งในบทความน้ี ทานกอ็ ยากจะใหก ารศกึ ษาของไทยเจรญิ กา วหนา รุง เรือง แตดสู ภาพที่เปน อยนู ้ีแลวทา นก็เปน หว ง แลว ทาน ก็อาจจะไดยินไดฟงเร่ืองเถรวาทมาในแบบท่ีวาเมื่อกี้ กร็ ูสึกวามัน
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๕ ขัดขวาง มันทาํ ใหประเทศไทยไมเ จรญิ การศึกษามนั เลยเปนอยา ง น้ี เพราะทานเขา ใจวา เถรวาทคอื แคท อ งจํา และทเ่ี รยี นกันอยูนแ้ี ค ทองจําก็เพราะเถรวาท ทานคงรูเขาใจและคิดเห็นอยางนี้ จึงได เขยี นออกมาอยางนัน้ แตไ มว า จะอยา งไรกต็ าม เอาเปน วา ในชน้ั ตน เรามองในแงว า ทา นมเี จตนาดที มี่ งุ หวงั ความเจรญิ แกป ระเทศไทย แตเ จตนาดอี ยา ง เดยี วยงั ไมพอ จะตองรู ตองเขาใจเร่ืองทวี่ ากันนั้นใหช ัดเจนดว ย แลว ทีว่ านี้ เราจะพูดแตในดานขอมลู ความรู เรื่องขอเทจ็ จรงิ เรื่องของหลักฐานตามทมี่ ันเปน เราไมเขาไปยุงเกี่ยวกบั ความเหน็ ของทาน เชนวา ทา นจะชอบหรอื ไมช อบใจ ทานจะไมเ ห็นดว ย ไม เอาดว ยกบั เถรวาทอยางไร ก็เปนเรอ่ื งของทา น เปนเรอ่ื งทน่ี าเห็นใจอยู ถา หากวา ทานไปไดย นิ ไดฟงเขาพูด มาวา เถรวาทมคี วามหมายอยางน้ี แลว ทา นก็วา ไป เราฟงแลวก็ อยามัวไปโกรธ ไปขึง้ เคยี ด หรอื ไมพอใจ อะไรทเี่ ปน ความเห็นของ ทา น ก็ใหทา นวา ไป แตท ี่เปน เรือ่ งของหลักฐานขอ เทจ็ จริง กต็ องชี้ แจงบอกแจง ไปตามทีม่ นั เปน ใหไ ดความรูความเขา ใจ
ดกู นั กอ นวา เถรวาทท่พี ูดถึง เปนแบบของใคร ในเร่ืองน้ี ประเดน็ สาํ คญั มอี ยู ๒ จดุ คือ หน่งึ ความหมายของคาํ วา “เถรวาท” สอง เรือ่ งกาลามสตู ร สาํ หรบั ขอหน่งึ คอื ความหมายของคําวา “เถรวาท” นนั้ ตอน นเี้ ราแยกเปน ๑) ความหมายของเถรวาท หรอื เถรวาทในความหมายของ คณุ สุจติ ต วงษเทศ ๒) เถรวาทในความหมายของพระพทุ ธศาสนาเอง ตามทอ่ี า นนก่ี ช็ ดั อยแู ลว วา ในความหมายของคณุ สจุ ติ ต วงษเ ทศ “เถรวาท” คอื การเลา เรยี นศกึ ษาแบบเอาแตท อ งจาํ เชอ่ื ฟง ครู อาจารย ทา นบอกวา อยา งไร กเ็ ชอื่ ตามนน้ั แลว กว็ า ตามๆ กนั ไป อนั นไ้ี มไ ดวา ตามถอ ยคําตรงตัวอกั ษรของทา นผเู ขยี นนะ แต จับเอาความอยา งนี้ ผมจบั ความนีถ้ ูกไหม (เสยี งตอบวา “ถกู ”) เมอื่ จับความน้ีถกู เราก็มามองดวู า เถรวาทในความหมาย ของพระพทุ ธศาสนาเอง เปน อยางไร ในความหมายของพระพทุ ธศาสนา เถรวาท คือระบบการสืบทอดพระพุทธศาสนา ที่มุงจะ รักษาคาํ สอนเดมิ ของพระพทุ ธเจา โดยเฉพาะถาเปนไปได ก็รกั ษา ตัวพทุ ธพจนเ ดิมไว ใหซอ่ื ตรง และครบถว นทส่ี ดุ เทา ทจ่ี ะทาํ ได
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๑๗ น่หี มายความวา จะใหครบหมดจริงยอมไมไ ด กเ็ ทา ทจ่ี ะทาํ ได นีค้ ือความหมายของเถรวาทในพระพุทธศาสนา ในแงท ่ีหนึ่งนี้ จะเห็นวา เถรวาทมีความหมายไมเ หมือนกัน คือเราแยกไดเลยวา: ถา ใครมาพดู ถงึ เถรวาทวาคอื ลัทธทิ อ งจํา วา ตามครอู าจารย เช่ือไปเถอะ เรากบ็ อกนค่ี ือเถรวาทในความหมายของคณุ สุจิตต วงษเทศ หรอื ทา นจะบัญญัติอยางไรกแ็ ลวแต สวนความหมายของเถรวาททเ่ี ปนพุทธศาสนา เราบอกได ชัดเลยวา คือระบบการสืบทอดพุทธศาสนาที่มุงรักษาคําสอน ดั้งเดมิ โดยเฉพาะพุทธพจน ใหคงอยอู ยา งซือ่ ตรง และครบถว น ทีส่ ดุ เทา ทจ่ี ะทําได เปนอันตอ งดกู นั กอนวา เถรวาทที่เอามาพดู นัน้ เปนเถรวาท แบบของใคร ถา ไมม ีเถรวาท ก็ไมมีกาลามสตู ร ทีน้กี ็มาถึงประเด็นที่ ๒ คอื ท่ีทา นผเู ขียน หมายถึงคุณสุจิตต วงษเทศ พูดถงึ กาลามสูตร โดยโยงมาเขากบั เร่ืองเถรวาท คือ ไป ยกเอากาลามสตู รมาตีเถรวาท คณุ สจุ ติ ตบอกวา กาลามสตู รสอนไว ไมใ หเชอ่ื อยางน้ัน ไม ใหเ ชอื่ อยา งนี้ ไมใหเช่ือครูอาจารย แลว ทีน้ี กาลามสตู รนั้นคอื อะไร กาลามสตู ร ก็คอื พระสูตรหนง่ึ ในพระไตรปฎก เลม ๒๐ อยู ในติกนบิ าต อังคตุ ตรนกิ าย
๑๘ คนไทย ใชกบเฒา? ในประเดน็ ท่ี ๑ ไดบ อกแลววา ตามความหมายของพระพุทธ ศาสนา “เถรวาท คอื ระบบการสบื ทอดพระพทุ ธศาสนา ท่มี งุ จะ รักษาคําสอนเดมิ ของพระพุทธเจา โดยเฉพาะถา เปน ไปได กร็ ักษา ตวั พทุ ธพจนเดมิ ไว ใหซื่อตรง และครบถว นท่สี ุดเทา ทจี่ ะทาํ ได” จากความหมายน้ีแหละ เถรวาทก็ไดรักษาคําสอนเดิมของ พระพทุ ธเจาไวจ นมาถงึ เราในรูปท่ีเรยี กวา พระไตรปฎ กบาลี กาลามสูตรเปนพระสูตรหนึ่ง ซึ่งอยูในพระไตรปฎกบาลีที่ เถรวาทรกั ษาไว เพราะฉะนน้ั กาลามสูตรจงึ มาถึงเราได และเราจงึ รูจักกาลามสูตรได กเ็ พราะเถรวาทนแ่ี หละรักษาไว ถา พดู อยา งงา ยๆ ก็บอกวา ถาไมมีเถรวาท กไ็ มมีกาลาม- สตู รใหคณุ สุจิตตรจู กั ดว ย ทนี ้ีพอใครอา งพระไตรปฎ ก เขากห็ าวาติดคัมภีร คราวน้ี คุณสุจิตตอางกาลามสูตร ก็คืออางพระไตรปฎกตอนหน่ึงนั่นเอง ไปๆ มาๆ คณุ สจุ ติ ตกเ็ ลยกลายเปน ผตู ิดคัมภีรด ว ย แตทีจ่ ริง คนท่อี างพระไตรปฎ ก อา งคัมภรี ไมจ ําเปน ตอ งตดิ คัมภีร แตเขาอางเพื่อใหเห็นหลักฐาน และตัวคนอางเองก็จะได ระวังท่ีจะบอกขอมูลใหต รงกับของจริง แลว กจ็ ะไดร ทู ่ไี ปทีม่ า พอได หลกั ฐานหรือตวั ขอมูลเดมิ แลว ทีนลี้ ะ คนอนื่ ก็จะตรวจสอบคนที่ อา งน้ันได หรือจะคน ควา หาความรใู หยงิ่ ข้ึนไปอกี กท็ ําเองไดโดย ไมต อ งมาอาศัยคนท่ีอางนัน้ ดวย ตามท่วี ามาน้ี จะเหน็ วา เถรวาท กับกาลามสูตรนั้น อยดู วย กัน มาดว ยกนั แลวก็สอดคลองกนั
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๑๙ แตถ า เอาเถรวาทในความหมายของคณุ สจุ ิตตละก็ เถรวาท กับกาลามสตู รก็ตอ งขดั กนั ถาวาตามกาลามสูตร ก็ไมเ อาเถรวาท แตถ าไมเอาเถรวาท ก็ไมม กี าลามสูตรมาใหอา ง นี่กเ็ พราะวา เถรวาทของคุณสุจิตตมีความหมายวา ตอ งทอง จํา ตองเชอื่ ตามครูอาจารย ตอ งวาตามกนั ไป ไมต อ งถาม ถาม ไมได ของคณุ สจุ ติ ตม คี ําวา “ไมตองถาม” ดว ย ใชไ หม พระนวกะ: หา้ มถามครบั พระพรหมคณุ าภรณ: นีแ่ หละ ถา หากวา เถรวาทหมายความวา ตอ งทอ งจาํ ตอ งเชื่อตามครอู าจารย วาอยางไรก็วา ตามกันไป หาม ถาม อยา งที่คุณสุจิตต วงษเ ทศบอกน้นั เถรวาทของคุณสุจิตต ก็ ขดั กบั กาลามสูตร เพราะกาลามสูตรบอกวา อยาเพิ่งเช่ือ อยา ปลง ใจเชือ่ เพยี งดว ยนบั ถือวาเปนครอู าจารย แตถาเถรวาทของคุณสุจิตตขัดกับกาลามสูตร เถรวาทของ คุณสุจิตตก็ไมใชเถรวาทแท เพราะเถรวาทท่ีแทนี่แหละที่สอน กาลามสูตรวา อยา ปลงใจเช่อื เพยี งดวยนบั ถือเปน ครอู าจารย เถรวาทเกบ็ กาลามสตู รมา รกั ษากาลามสตู รไว ถา เราทาํ ตาม เถรวาท เราก็พากนั เรยี นชวยกันสอนกาลามสูตรออกไป แตถ า เรา ขเ้ี กยี จหรือโงเขลา เราไมเ รียน ไมชว ยกันสอนกาลามสตู ร กย็ งั มี กาลามสตู รทเ่ี ถรวาทเกบ็ รกั ษาไวใ หค นรนุ หลงั มโี อกาสศกึ ษากนั ตอ ไป รวมความวา ถา เอาเถรวาทตามแบบคุณสจุ ิตต ก็ขดั กันไป หมด เถรวาทก็ขัดกับกาลามสูตร และเถรวาทกข็ ัดกบั เถรวาทดวย ถกู ไหม
๒๐ คนไทย ใชก บเฒา? พระนวกะ: ถูกครับ พระพรหมคุณาภรณ: ทีนี้ ถาเราเอาเถรวาทตามความหมายของ พทุ ธศาสนา กไ็ มมีอะไรขัดกันเลย แตก ลับยิง่ สอดคลองกนั หมด บอกแลว วา เถรวาทในความหมายของพระพุทธศาสนา ก็ คือระบบสืบทอดพระพุทธศาสนา ท่ีมุงรักษาคําสอนเดิม โดย เฉพาะพุทธพจน ใหคงอยอู ยางซ่ือตรง และครบถว นที่สุด เทาทจ่ี ะ เปนไปได กเ็ พราะทา นมงุ รักษาคําสอนเดิมใหคงอยู ทา นจงึ รักษา กาลามสูตรไวดวย กาลามสูตรอยูมาในพระไตรปฎก เมื่อรักษา พระไตรปฎกไวได ก็จงึ รกั ษากาลามสตู รไวดว ย กาลามสูตรบอกวาอยาเพิ่งเชื่ออะไรงายๆ เถรวาทรักษา กาลามสตู รไวใ หเ ราแลว เราจะเชอื่ กาลามสตู รหรอื ไมเ ชอ่ื กาลามสตู ร ทา นกไ็ มว า อะไร มนั กไ็ มไ ดข ดั อะไรกนั เลย กลบั เขา กนั ดไี ปหมด แตถ า เราบอกวา กาลามสตู รสอนดนี ะ กก็ ลายเปน วา เถรวาท น่ันแหละสอนดนี ่ี เปนอนั วา เถรวาทกับกาลามสูตรกส็ อดคลอ งกนั เปนเรื่อง เดยี วกนั มาดว ยกนั ทีนี้ เม่ือเถรวาททานอุตสาหรักษากาลามสูตรมาใหเราแลว มันก็เปน เรอ่ื งของเราเอง ท่ีจะเอากาลามสตู รมาใชห รอื ไม หรือวา จะปฏบิ ตั ติ ามกาลามสูตรหรอื ไม ถาพระไทยจะสอนกันแบบทองจํา ไดแตวาตามกันไป ไม ยอมถามครู หรอื อะไรทาํ นองนี้ มนั กเ็ ปนเรอ่ื งของพระไทยเองที่ไม ปฏิบัติตามหลักกาลามสตู ร
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๒๑ อาจจะเปนเพราะเหตุน้ีกระมัง จึงปรากฏวา ในบทความ หลังๆ คุณสุจติ ต วงษเ ทศ ไดเ ปลี่ยนถอยคําไปหนอ ย คือจากเดมิ ท่ี เรียกวา “เถรวาท” ก็เตมิ “ไทย” เขา ไป กลายเปน “เถรวาทไทย” เหมือนจะบอกวาฉันไมไ ดว าเถรวาทนะ ฉันตเิ ตียนเถรวาทไทยเทา น้นั น่เี ปนขอ สังเกต แตทจี่ ริง ถา จะใหดี ไมพ ูดถงึ เสียเลยดีกวา เพราะทาํ ใหค น สบั สน กท็ ีจ่ ริงอีกแหละ ยงั มแี งท ี่นา พิจารณาอกี เยอะ ในยคุ ทผี่ า น มาน้ี ถาจะวาพระไทยและคนไทยไดแตเช่ือครูอาจารย ตองเอา ตามทอ่ี าจารยส อน ไดแ ตว า ตามกนั ไป ไมใหถ าม หรอื หามสงสัย อะไรนน้ั ก็ยงั นา ถามวาเปนอยา งน้นั จริงหรือเปลา เทาท่พี อนึกได ในยคุ ตนื่ สมัยใหมน ี้ นาจะเปนปญ หาตรงที่ วา พระไทยคนไทยไมค อยไดเ ช่อื ครูอาจารย เพราะวาไมไดส นใจ วาครูอาจารยสอนอะไร แลวก็เลยไมรูดวยซํ้าวาครูอาจารยสอน อะไร แลวจะเอาอะไรมาเชอ่ื ครอู าจารย เขาไดแ ตทาํ แบบไทยสมยั ใหม คอื ทองจาํ ตาํ ราไปสอบ เปน อยางน้ีตางหาก หนักกวานัน้ อกี ในยุคของการศกึ ษาสมัยใหมน ี้แหละ ผูเ รียน บางทีก็เรียกผูสอนวาครูอาจารยไปอยางน้ันเอง แคตามรูปแบบ แตมองผูสอนในความหมายท่ีเปนผูถายทอดขอมูล หาไดมองใน ความหมายของครูอาจารยแ ทจ รงิ ไม ออ… แลว กล็ ทั ธเิ ชอ่ื อาจารย วา ตามอาจารย ทําตามๆ กนั ไปนน้ั ก็มชี ื่อของเขาอยแู ลว น่นั คือท่เี รียกวา “อาจารยวาท” (เขียน อยางบาลีเปน “อาจรยิ วาท”) ซึง่ ตางไปไกลจากเถรวาท แทบตรง
๒๒ คนไทย ใชก บเฒา ? ขามกันเลย เถรวาทก็คือไมใชอ ยางนนั้ แลวจะมาบอกวา ลัทธิเชื่อ อาจารยเปนเถรวาทไดอยา งไรกนั (คุณสุจิตตเขยี นวา “วิถคี ิดอยา ง“เถรวาท” หมายถงึ ทองจํา ตามคําสอน(วาทะ) ของครูอาจารย(เถระ)เปนใหญสุด ใครจะ ละเมิดหรอื สงสยั มิได” ตรงน้แี หละคือ อาจารยวาท ไมใ ชเ ถรวาท) เอาละ เดย๋ี วจะแตกแขนงไปกนั ใหญ พอแคน ี้กอ น พระไทยไมสอน หรือไมใ สใจ ในกาลามสูตร เอาเปน วา กลบั มาพดู ในแงข องคณุ สจุ ติ ต ถา เรอื่ งนจ้ี ะเปน ปญ หา กต็ อ งบอกวา ปญ หากม็ าอยทู พี่ ระไทยและคนไทยเรานเี่ อง วา ตามบทความของคณุ สจุ ติ ต วงษเ ทศ เองนนั้ กม็ ตี อนหนงึ่ ใชไ หมท่ี เขยี นวา พระไทยไมเ อากาลามสตู รมาสอน นกี่ ช็ ดั อยแู ลว เทา กบั ยอม รบั วา เถรวาทมกี าลามสตู รไวใหแลว แตพ ระไทยเราเองน่ีแหละ ไม เอามาสอน การท่ีพระไทยไมเอากาลามสูตรมาสอนนั้น ก็มองได ๒ อยา ง คือ หน่ึง ไมส อนเพราะไมซอ่ื คือกลวั วา ถาเอากาลามสูตร ไปสอนชาวบาน เดี๋ยวเขาจะไมยอมเชือ่ ตวั พระทส่ี อนนนั้ อกี ตอ ไป ตวั พระเองไมซ อ่ื ตรงตามหลกั ก็เลยเกบ็ ไวเ ฉยๆ ไมยอมสอน แลว ก็ สอง ไมส อนเพราะไมร ู คือเพราะไมรูจกั กาลามสูตร ไมไดศ ึกษา พระไตรปฎกจรงิ จงั ก็เลยไมเ คยพบเคยเห็นกาลามสตู ร ถา วา ตามคณุ สุจิตต วงษเทศ พูดคลา ยๆ กับวาพระไทยนั้น ไมซ อ่ื จึงไมเ อากาลามสตู รมาสอน ถูกไหม
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๒๓ พระนวกะ: กลัวคนจะฉลาดเกนิ พระพรหมคุณาภรณ: นั่นสิ ตัวเหตมุ ันคืออะไรแน ที่จริงนัน้ เหตุ อาจจะไมใ ชแ ค ๒ อยางท่ีพดู ไปแลว สองอยางน้ันอาจจะเปน เพียง ขอปลกี ยอยเทานน้ั การท่ีพระไทยไมเอากาลามสตู รมาสอนน้ัน บางทจี ะมาจาก เหตผุ ลอีกอยา งหนง่ึ ซ่ึงอาจเปนสาเหตุตวั จริง คอื ดงั ท่รี ูกันดอี ยู แลว วา พระพุทธศาสนา โดยเฉพาะแบบเถรวาทน้ี ไมมีการบงั คบั ศรทั ธา เพราะถอื ปญญาเปนใหญ ใหศ รทั ธาเปน เร่อื งยอย มันก็ เลยเปนวถิ ีชีวติ เปนวฒั นธรรมที่ปลอ ยกันตลอดมา ทาํ นองวาคุณ จะเอาอยางไรก็แลวแตจะศรัทธาหรือไม คุณจะเชื่อหรือไมเชื่อก็ แลวแต ฉันไมวาอะไร สภาพอยางนี้กลายเปนเรื่องธรรมดา (เหมือนกบั วา คนไทยน้ีไดถ อื กาลามสูตรกันอยูแ ลว กลายๆ หรอื วา กาลามสูตรไดซึมซา นเขา ไปอยใู นวถิ ชี วี ติ ไทยเปนปกตอิ ยแู ลว ) เม่อื เรื่องเปน อยางท่ีวา มาน้ี พระไทยพบกาลามสูตร ถงึ แม ไดอ าน ก็ผา นๆ ไป ไมสะดุด ไมต ่นื ใจ เพราะไมเ หน็ แปลกอะไรนกั หนา กเ็ ปน เรอ่ื งธรรมดาๆ อยา งนัน้ กันอยูแลว ก็เลยไมใสใจอะไร กับกาลามสูตร (ย่ิงมาในยุคท่ีอยูกับนิทาน เอาแคตํานานและ อานสิ งส กเ็ ลยยิ่งไมสนใจ หรือไมอานไปถงึ ) ทีน้ีหันไปดูฝร่ัง ก็นาจะรูกันดีอยูแลววาประวัติศาสตรของ เขาเปนอยางไร ศาสนาของเขาเอาศรัทธาเปนใหญ ถึงขั้นบงั คับ ศรัทธา แลวก็บังคับกันตั้งแตขั้นฆาฟนสังหารบุคคลจนถึงทํา สงครามศาสนา อยางนอยก็ตัง้ พนั ปท่ีเขาอยใู ตการบังคบั อยา งน้ัน
๒๔ คนไทย ใชก บเฒา ? ฝร่ังเปน มาอยางนี้ พอมาเจอกาลามสูตรกต็ ืน่ ตะลึงวา อะไร กันน่ี ศาสนาอยางนก้ี ม็ ดี ว ยหรอื บอกวาไมตอ งเชอ่ื ไมเคยเห็นที่ ไหนเลย ศาสนามีแตบอกวาตองเชื่ออยางนั้นอยางนี้ แตน่ีกลับ หา มวาอยาเพ่ิงเช่ือนะ ยิ่งตอนน้ัน ฝรั่งเพ่ิงถอนตัวพนออกมาไดจากการบงั คบั ของ ศาสนา เขามาอยูในยุคต่นื หรอื นยิ มวทิ ยาศาสตร (scientism) ก็ถงึ ขน้ั อศั จรรยบอกวา โอ… พทุ ธศาสนานี่เปน อยา งวทิ ยาศาสตร ฝายคนไทย พอฝร่ังซึ่งเคยถูกศรัทธาบังคับเพ่ิงหลุดออกมา แสวงปญ ญากนั ใหญ แลวต่นื ใจสนใจกาลามสูตร กเ็ ลยตื่นไปดวย ท้งั ทต่ี ัวเองนนั้ เรือ่ งศรัทธากเ็ ร่ือยเฉือ่ ย จะเช่อื หรอื ไมก็ไมวา ไมมี ใครกดดันบังคับกีดกั้น จนกลายเปนคนขี้เกียจสงสยั ไปๆ มาๆ ปญ ญากไ็ มใ ฝห า ศรัทธาก็ไมเ อาไหน ถึงจะตนื่ กาลามสูตรไปกับ ฝร่งั กแ็ ทบไมต ื่นในการแสวงปญ ญา พระไทยไมซอ่ื หรอื วา ไมร ู หนั กลบั มาดกู นั อกี ในเร่ืองทวี่ า พระไทยเรานี่ ทําไมไมสอน กาลามสูตร เอาเฉพาะประเทศไทยนะ อยาไปวาประเทศอื่นเขา ประเทศเถรวาทดวยกนั ก็อยาเพิง่ ไปวาเขา ตอ งดูกนั ใหช ัดกอ น สาํ หรับประเทศไทยเรานี้ มีความเปนจริงอยางนอ ยคงจะใน ชวงศตวรรษนี้ ท่พี ระไทยเราแทบจะไมพูดถึงกาลามสตู ร แตไมน า จะเปน เพราะไมซ ือ่ คอื ไมใ ชวา รูแลว แตเ พราะตวั อยากใหเขาเชือ่ งายๆ ถาสอนกาลามสูตรไป กก็ ลวั วาตอ ไปเขาจะไมย อมเช่ือ เลย คิดวา ถาเราไมส อนกาลามสตู ร เราก็จะพดู อะไรไดส บายๆ คิดวา
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๒๕ คงไมใชอ ยางนั้น แตค งจะเปนเพราะความไมร ูเ สียมากกวา เหตุผลน้ไี ปโยงกับเร่อื งทจ่ี ะพูดใหฟงตอ ไป คือที่วา เมืองไทย เรานี้ คนไทยท้งั พระทัง้ โยมหันหลงั ใหพ ระพุทธศาสนา หนั หลงั ให กับสมบัติไทยและวถิ ีของตัว ไมสนใจศกึ ษาพระพุทธศาสนากันมา นาน ก็เลยไมรไู มเขา ใจพระพุทธศาสนาในแงเน้ือหาสาระ ตอมามีสวนท่ีเอามาจัดเปนแบบเรียนใหสอนใหเรียนกัน ก็ ไมไดสนใจไมไดต ั้งใจศึกษา แลว ก็ไมไดถอื เปนวชิ าสําคญั อะไร จงึ มกั จะแคฝน ใจเรียนกนั ไป เพราะจะตอ งสอบ ก็เรยี นกนั แคพ อให สอบได เมอื่ ไมค ิดจะเอาสาระ จะเอาแคใ หไดช ้นั กเ็ ลยเอาแคทอง จําไปสอบ นีค่ ือปรากฏการณในยคุ ของการศึกษาสมัยใหม พระในยุคสมัยใหมนี้ ยอมยากที่จะไดเรียนกาลามสูตรเปน ธรรมดา เพราะกาลามสูตรเปนเพียงพระสตู รเล็กๆ แมแตพระไตร ปฎ กกไ็ มม ีกําหนดในหลกั สตู รใหเ รยี นโดยตรง ย่งิ มาเปนยคุ ทเี่ รยี น แคเพื่อใหสอบไดชั้น พระไทยที่โดยทั่วไปไมไดคนควา ก็เปน ธรรมดาท่จี ะไมรจู กั กาลามสูตร กเ็ ทานั้นเอง เม่ือทานไมรู ทานก็ไมมีอะไรที่จะมาสอน นี่ก็คือเกิดจาก ความไมร ูที่เปนภมู ิหลงั ของเราทเี่ ปน กนั มาตั้งนานแลว คุณสุจิตต วงษเทศ อางคําของทานพุทธทาสวา “ครูบา อาจารยแตกาลกอนกลัวคนจะฉลาดเกินไปเพราะอาศัยกาลาม- สูตร เลยไมเ อามาสอน” แตคณุ สุจติ ตเ อาขอความนี้มาเขยี นโยงไว กับเร่ืองเถรวาท จึงทําใหคนอานเขาใจเขวไปไดวา พวกครูบา อาจารยท ่เี ปน อยางน้ี คือทีไ่ มสอนกาลามสูตรนนั้ เปนการปฏิบตั ิ ตามแบบเถรวาท กลายเปน วา พระเหลา น้ี ทีไ่ มสอนกาลามสตู รน้นั
๒๖ คนไทย ใชก บเฒา ? เปนเพราะปฏิบัติตามหลักของเถรวาท เพราะเปนพระเถรวาท เพราะถอื เถรวาท จงึ ไมส อน แตถาเรารูเขาใจเหตุผลอยางท่ีพูดขางตนน้ันแลว เร่ืองก็ กลายเปน ตรงกนั ขาม คอื กลายเปน วา พระเหลา น้ี ทงั้ ๆ ที่บวชใน เถรวาท อยูในสายเถรวาท แตก็เขาไมถึงเถรวาท คือ จะโดยไมร กู ็ ตาม หรือโดยไมซ ือ่ ก็ตาม พระเหลา นนั้ เขา ไมถ ึงเถรวาท จงึ เอา กาลามสูตรมาสอนไมได ถา ครูบาอาจารยห รอื พระเหลา นั้นเขา ถงึ เถรวาท หนึง่ ทาน ก็รูจักและเขาใจกาลามสูตร สอง ทานก็นํามาใชนํามาสอนได เพราะฉะน้ันก็ไมขัดกัน แตจะไปวา พระเหลา น้ีไมรูหรือรูแลว ไมทํา เพราะเปนเถรวาท อันนี้ไมถกู แน มันชดั อยแู ลววา เถรวาทเปนท่ี อาศยั ของพระเหลา นี้ แตพ ระเหลา น้เี ขา ไมถ ึงเถรวาท ถูกไหม น่ีก็เปนประเด็นหนึ่งท่ีจะตองพูดใหชัด ไมเชนนั้นจะสับสน หมด กลายเปน ตลบความเอาวา พระเถรวาทคอื พระอยางน้ัน หรือ วา พระอยางนน้ั เปน เถรวาท เราควรพดู วา พระในเมอื งไทยนี่ ทั้งทบ่ี วชเถรวาท อยใู นเถร วาทกันมา แตไมรูไมเขาใจเถรวาท นี่! ทานบวชในเถรวาทนะ ทําไมทานจึงเขาไมถึงเถรวาท พูดอยางนี้จะถูกตอ งดีกวา แลวก็ เปน การเตือนสติกัน เปน ทางใหมีการแกไขปรบั ปรงุ ไดดวย แตเ รอื่ งจริงไมใ ชแ คน้ี ถา สนใจ ก็มาดกู นั ตอไปอกี
๑ ดสู ังคมไทย กอ นเขา ใจเถรวาท ─☺─ เม่อื คนไทยเมินถ่ิน หมนิ่ ของไทย ทจ่ี รงิ เรอื่ งนม้ี ีแงม องเยอะเลย ตงั้ แตใ นแงข องสภาพสงั คม ไทย ซงึ่ แมจ ะไมอยใู นตวั ประเดน็ ก็เปน เร่ืองเก่ียวโยงทสี่ ําคญั จึง นาจะพูดถงึ ดวย เมื่อกี้ ไดบ อกวา เรื่องน้ีมีประเดน็ สนั้ ๆ ๒ ขอนดิ เดยี ว แตสอง ขอนิดเดียวนั้นมันโยงไปหาเรื่องอ่ืนอีกเยอะเลย ตอนนี้ก็อยากจะ พดู เรอ่ื งปลกี ยอ ยเล็กๆ นอ ยๆ กอ น คือปญหาเร่ืองพน้ื ความรหู รือ ฐานความเขา ใจของคนไทย เร่ืองท่ีถูกติเตียนน้ี ควรจะมองใหไดป ระโยชน อยา งนอยก็ เปน เครื่องกระตุกเตือนใหเรามองดตู วั สาํ รวจตนเอง จะเห็นวา พอ คุณสุจติ ตเขยี นบทความนี้ออกมา เร่ืองก็ฟอ งเลยวา คนไทยเราน้ี แมแ ตความรูขอมูล ความรพู ื้นๆ เกี่ยวกบั เรอ่ื งของตวั เองนี้ ก็ออน อยา งมาก
๒๘ คนไทย ใชกบเฒา? ถาเราถือวาพระพุทธศาสนา แลวก็โดยเฉพาะคือแบบที่เรา รบั เอามา ทเ่ี รียกวาแบบเถรวาทนี้ เราบอกวา เรานับถอื กันมาไมรกู ี่ รอยปแลว แตเราก็ไมคอยรเู รื่อง เขาวา อะไรมา ก็ไมมีหลักไมม ขี อรู ไมมีขอมูลท่ีจะเอามาใชพิจารณา ไดแตฟงตามเขางงๆ ไป บท ความที่เขาเขยี นน้ีเปนเรื่องทีฟ่ องใหท ราบสภาพอันน้ี อยางที่ผมเคยเลาท่ีน่ีวา ถอยหลังไปใกลๆ พ.ศ. ๒๔๙๐ ตอนนัน้ ทานยงั ไมเกิดกันใชไ หม ทผี่ มบอกวาตอนน้ันคนไทยกําลัง หันไปมองขา งนอก พากนั ฝากความหวงั ไวก ับอารยธรรมตะวันตก (ของ “อารยประเทศ”) นยิ มชมช่ืนความเจรญิ แบบสมยั ใหมยิ่งนัก ตามอยางฝรงั่ ตอนน้ัน ฝร่ังก็อยูในภาวะอยางนี้ ท่ีฝรั่งเองเรียกวา scientism คอื ตกอยใู ตล ัทธินิยมวทิ ยาศาสตร จะแปลวาคลัง่ วทิ ยา ศาสตรก็ได เขาฝากความหวังไวกับวิทยาศาสตร โยงไปยัง เทคโนโลยี และอุตสาหกรรม หวงั วากระบวนการน้จี ะพามนษุ ยให เจริญกาวหนายิ่งข้นึ ๆ เรื่อยไป จนลุถึงซึง่ ความสุข ความสมหวัง ความสมบูรณทุกประการ ดังท่ีเขาเรยี กความคดิ ฝน น้วี า “คติแหงความกาวหนา” (idea of progress) หรือเรยี กใหเ ตม็ วา “คติแหงความกาวหนาทม่ี ิอาจ หลีกเลย่ี งได” (idea of inevitable progress) คนไทยตอนน้นั มองไปทางเมืองนอก ใฝฝนถงึ เมืองฝรั่งเตม็ ที่ แลวกห็ นั หลังใหก บั สมบัตวิ ฒั นธรรมของตวั เอง (ไมน านนกั นี้ สัก ๔๐ ปมาน่ีเอง จึงชักจะเร่ิมหนั กลับมานึกถงึ สมบัตเิ กาของตวั แลว ก็เกิดมีศัพทใ หมๆ เชนคําวา “ภูมิปญ ญาไทย”)
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๒๙ ตอนน้นั วัฒนธรรมไทย พวงดว ยพทุ ธศาสนา เปนเรอ่ื งทคี่ น ไทยทว่ั ไปมองดว ยความรสู ึกดถู ูก วาครํา่ ครึ โดยเฉพาะคนทีเ่ รียก วาสมัยใหม สวนชาวบานในชนบทที่อาจจะไมร ูไมช้ี กม็ วั ๆ พรา ๆ ตามกันไป เพราะคนบานนอกก็นึกถึงเมืองกรุงเปนภาพของเมือง แมน เหมอื นอยางคนกรงุ นกึ ถึงเมอื งฝรัง่ เปน แดนสวรรค คนเมืองก็ มองฝรั่งอยางดูถกู ตัวเอง พรอ มกับมองคนบา นนอกอยา งเหยยี ดๆ ตอ งเขา ใจวา การคมนาคมสมยั นนั้ ไมส ะดวกอยางยงิ่ และ สื่อสารก็ไมมีหรือไมถึงกัน ฉะน้ัน สภาพท่ีแตกตางกันจึงชัดมาก คนบานนอกไดแตนกึ ฝน แตไมร จู กั เมอื งกรุง นอ ยนักจะมโี อกาส เขากรุง เวลาเขามากรุงเทพฯ เรยี กกันวา “บา นนอกเขา กรุง” กเ็ ดิน เกาะกันเปนหมู เขารูกันเลยวาน่ีคนบานนอกมาเขากรงุ เวลาจะ ขามถนนน่ี ตองรอกันมาใหพรอม แลว เดินเปน แถวเลย ขา มไป พรอมกัน ตามกนั ไป เพราะเขากลัว ไมเ คยชิน แตเ ดย๋ี วนี้ ตาง จงั หวัดกับกรุงเทพฯ แทบจะไมตา งกันแลว ใชไ หม สมยั กอ นโนน ชีวิตคนบา นนอกกไ็ ปอยา ง คนในเมืองหลวงก็ ไปอีกอยาง ไกลกันมาก อยางท่ีพูดแลววาคนบานนอกมอง กรุงเทพฯเปนเมืองสวรรค และคนกรุงเทพฯก็ดูถูกหรือเหยียดคน ชนบท คนตา งจังหวัด หรือคนบา นนอกคอ นขางจะมากอยู ทีว่ าคนไทยสมยั ใหมด ถู ูกคนบา นนอกนัน้ ลกึ ลงไป ความ เปนบานนอกก็โยงไปหาสิ่งที่เปนของไทยท่ีมีมาแตเดิม ซ่ึงรวมไป ถึงพุทธศาสนา มันโยงตอ กันไปเอง พอพูดถึงวัฒนธรรมไทย พูดถงึ เร่ืองพทุ ธศาสนา คนไทย สมัยใหมจ ะมคี วามรสู ึกไมด ี มีทาทีเหยยี ดๆ
๓๐ คนไทย ใชกบเฒา? สมัยน้ัน คําวา “สมาธิ” ถา พูดขึ้นมา คนไทยสมยั ใหมจ ะ เบือนหนาหรือเหยเก ถาใชคําของคนสมัยน้ีก็เรียกวารองยี้ (แต สมัยน้นั คําวา “ย้”ี ยงั ไมข้นึ มา) สมาธิ สมถะ วปิ ส สนา อะไรพวกนี้ ถกู มองวาเปนเรอ่ื งคราํ่ ครึ เหลวไหล ลาหลัง ทาํ นองจะเปน ไสย- ศาสตร ที่คนในยคุ นิยมวทิ ยาศาสตรเขารงั เกยี จ จนกระทั่งมาถึงยุคที่ฝร่ัง โดยเฉพาะอเมริกันหันมาต่ืนเรื่อง สมาธิ ตื่นศาสนาตะวนั ออก ต่ืนพวก “คุร”ุ (Guru) จากอนิ เดียแดน ชมพูทวีป (ทคี่ นไทยเดี๋ยวนเ้ี รียกตามฝร่ังกันโกไ ปวา “กูร”ู แตกลับ ไมสนใจคุณครขู องตน ท่เี ปน “กรู ”ู คอื ครุ ุ ตวั จริง) นน่ั คอื ในชว งท่ี counterculture (วัฒนธรรมสวนกระแส) ของฝรง่ั แรงข้นึ ตงั้ แตราว ป ๒๕๑๐ เปน ตน มา หลังจากนนั้ คาํ วา สมาธิ สมถะ วิปส สนา ฯลฯ กค็ อ ยๆ กลายเปนคํานยิ ม ชกั ทาํ ทาจะโกข ้นึ มา แมแ ตวัดตางๆ ในกรงุ เทพฯ คนไทยสมยั ใหมยคุ นั้นกม็ องวา วดั นี่กินเนอ้ื ทเ่ี ปลอื งไปเปลาๆ เกะกะ กีดขวาง ทาํ ใหเ ราสรางความ เจริญไมได ถาไมมีวัด ก็จะไดสรางโรงงานอุตสาหกรรม สราง อาคารพาณิชย แลวจะไดเจรญิ กนั ใหญ สมยั นน้ั คนยังไมรูจกั เร่ืองมลภาวะ เรือ่ งปญ หาสิง่ แวดลอ ม คําเหลาน้ยี ังไมเกิด ยงั ไมมี คนยังฝน เพลินกับความเจริญของอุต สาหกรรม ไมเห็นพิษภยั ของมัน (คาํ วา “สง่ิ แวดลอม” “มลภาวะ” อะไรพวกนั้น เพิ่งเกิดหลังจากอเมริกันเร่ิมตระหนักปญหาเหลาน้ี เม่ือกาวเขาสูทศวรรษ 1970s แลวดวยความตระหนก ก็ขยาย ความต่ืนกลัวไปทั่วโลกอยางรวดเร็วในทศวรรษนั้นเอง) คนไทย ตอนนนั้ กําลงั เขมน มองแตใ นเรื่องความเจริญแบบฝร่งั มุงหมายใฝ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๓๑ หาความสะดวกสบายบันเทิงจากผลิตภัณฑอุตสาหกรรม แลวก็ เทคโนโลยจี ากเมอื งนอก (ตอนหลงั นี้ จงึ กลับมาเหน็ คุณคา ของวดั ท่ีวา โดยไมร ูตัว ไมไดต ั้งใจ วดั ไดชว ยรักษาสภาพแวดลอ มไวใ หแก กรุงไดบ าง อยา งนอ ยก็พอมีท่โี ลง เหลือเปนปอดให) คนไทยไมรูตัววาสังคมของตนถูกครอบงําทางความคิด ถูก พัดพาไปในกระแสความเจริญที่ตอ มามีช่อื วาบรโิ ภคนิยม คนไทย ท้งั หมดท่ีกาํ ลังผจญชะตากรรมรว มกนั ไมร ทู นั สภาพความเปนจรงิ คนไทยไมเ ขาใจสังคมของตนเอง ไมเขาใจกันและกนั หนั มาขมมา คอนวาดากัน ดังเชนแนวคิดเศรษฐกิจสมัยใหมที่เฟองไปตาม กระแสนิยมตะวันตก ทาํ ใหมีเสียงกระทบกระแทกเขามาในวัดอยู เร่ือยๆ วา พระเณรเปน “กาฝากสังคม” เร่ืองก็เปน อยา งนีแ้ หละ ไปๆ มาๆ คนไทยก็เหนิ หางกนั ไปจน กระทั่งเราแทบไมร เู รื่องของตวั เอง เรือ่ งพุทธศาสนาก็ไมเขา ใจ มี ทาทีออกไปทางดูถูก เม่ือเปนกันไปถงึ ขนาดนี้ จนจะไมร ูจักพทุ ธ ศาสนาแลว คนไทยจะรูไดอยางไรวาอะไรคือเถรวาท หรอื วา เถร วาทคืออะไร เถรวาทเลือนหาย คนไทยสกู ารศึกษาสมัยใหม ที่วาไมรูจักเถรวาทนั้น ไมตองพูดถึงคนไทยทวั่ ไปทเี่ ปนชาว บา นชาวเมือง แมแ ตพ ระไทยท่ัวไปก็ไมร ูจ ักเถรวาท คาํ วาคนไทยในทีน่ รี้ วมท้งั พระไทยดวย เพราะอยา ลืมวาพระ ไทยก็มาจากคนไทย คือคนไทยมาบวช และสว นใหญก็มาบวชแค
๓๒ คนไทย ใชกบเฒา ? ตามประเพณีท่แี ทบจะหมดเน้ือ เหลือแตรูปแบบ กอนบวชกไ็ มได เอาใจใสเร่ืองของพระพุทธศาสนา บวชแลว พวกหน่งึ ก็ยดึ ถือรปู แบบนั้นไปสักแตวาตามท่ียึดถือสืบกันมา อีกพวกหนึ่งที่มาบวช ดว ยจาํ ใจกม็ าก จุดทนี่ า สังเกตอยตู รงท่ีวา การบวชตามประเพณีเกาน้ัน มา ประสานเขา กบั กระแสการศกึ ษาสมยั ใหมแบบตะวันตก กลายเปน ความจริงที่ยอนแยงวา การศึกษาสมัยใหมน่ันแหละเปนแรงผลัก ดนั ใหค นมาบวช นีห่ มายถงึ คนชนบทสมยั นั้น ทาํ ไมเปน อยา งนนั้ กค็ อื เรอื่ งของสงั คมไทยทจี่ ดั การบา นเมอื ง กนั มาโดยตอ งเนน ศนู ยก ลางและขา งบนกอ น เวลาผา นมาระยะหนึ่ง ขางลา ง ในชนบท การศึกษาขยายไปไมถ ึง เดก็ บานนอกแทบไมมี โอกาสเรยี นหนังสือในระบบของรฐั เลย อยางดจี บ ป. ๔ ก็สูงแลว เปนอันวา จบจริงๆ คือหมดแคน นั้ ไมมีทางไป ถงึ ตอนนี้ ชาวบานนอกก็ตอ งอาศัยประเพณีเกา และสถาบนั ดง้ั เดมิ ละ คอื พอ แมท ีอ่ ยากใหลกู ไดเ รียนตอ กพ็ าลกู มาฝากวัด ให เรยี นนักธรรม หรืออะไรทพี่ อมใี หไดเรยี นเปน ทางกาวหนา บา ง เดีย๋ วกอน อยานึกวา ชาวบา นนอกเขาเอาลูกมาบวชเพราะมี ศรทั ธาอยากใหลกู สบื ตอพระศาสนาหรืออะไรทํานองนั้นนะ ไมใช หรอก ตัวผลกั ดันใหบวชกค็ อื กระแสความนยิ มการศึกษาสมัยใหม แบบตะวันตกนี่แหละ ที่เขาใจกันวาการศึกษาเปนบันไดไตไปสู ความเจรญิ กา วหนาในสงั คม ท่จี ะไปเปนใหญเปน โต คนบานนอกกอ็ ยากใหลูกไดเ ขาสูระบบไตบ นั ไดน้ันดว ย แต เขาไมม โี อกาส การศึกษาของรฐั กไ็ ปไมถงึ ชนบท และตวั เขาเองก็
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๓๓ ไมม เี งนิ จะสงลูกมาเรยี นในกรงุ หรือแมแตใ นเมอื ง ถึงตอนน้ี การศึกษาเลาเรียนในวัด ก็กลายเปนเพียงภาค สมทบหรือสวนแซมที่มาเสริมฐานอยางไมเปนทางการใหแกการ ศกึ ษาสมยั ใหมของรัฐไทย สาํ หรบั ใหคนดอยโอกาสในชนบทมชี อ ง ทางเขามาแทรกในระบบการศึกษาสําหรับผูมีโอกาสเหนือกวาใน เมืองในกรุง เมื่อเด็กบานนอกเขามาในชองทางท่ีพอจะรอรับโอกาสได บางอยางน้ีแลว ถาอยากเรียนสูงขึ้นไป ก็เขามาเรียนตอท่ีวัดใน กรุงเทพฯ เมื่อสอบเปรยี ญไดช น้ั น้ันชัน้ น้ี ทางฝา ยรัฐกเ็ ทยี บวฒุ ิให พอไปเขารบั ราชการไดบ า ง วากนั ไป การเลาเรยี นในสายของวดั นก่ี ด็ ีอยางหนึ่ง คอื พวก พระเณรจากชนบท เขา มาอยูใ นกรงุ เทพฯ แลว ก็ตองไปเย่ียมญาติ โยมพอ แมพ่นี องในตา งจังหวัด ทาํ ใหมกี ารส่ือสารถึงกนั และมกี าร เคลื่อนยายถ่ิน คือ เดก็ บานนอกทไี่ มมีที่เลาเรียนในทอ งถิน่ ท่ีจะเขา ถงึ ระบบการศึกษาของรฐั ถงึ จะไมบ วชเณร กไ็ ปอยูเปนเดก็ วัด เมอ่ื อยากเรียนสูงข้นึ กต็ ามพระบานนอก ท่ีมาอยวู ัดในกรงุ ซ่งึ เปน ญาติหรอื เปน พระรูจกั เมอ่ื ทา นไปเยยี่ มบาน กใ็ หท า นพาเขามาอยู ท่วี ดั ในกรงุ น้นั แลว กม็ โี อกาสไดมาเรียนในกรงุ เทพฯ เปน อนั วา ยอ นหลังไปสักครงึ่ ศตวรรษ คนชนบท ท่มี ีโอกาส เขา ถงึ ระบบการศึกษาของรฐั ไดเ รยี นสงู ขึ้นบา ง ก็มาในสายของ วัดนเ่ี อง โดยแยกเปน ๒ กลุม คือ กลุม ท่ีมาในเพศพระเณร กับ กลมุ ที่มาอยูเปน ศิษยวัด สภาวการณน้ี ถามองในแงสังคม ก็เปนการชวยผอนเบา
๓๔ คนไทย ใชก บเฒา? ปญหาความไมเสมอภาคแหงโอกาสในการศึกษา ที่เปนปญหา ใหญอยา งหนึง่ ของสังคมไทยในยคุ ทีผ่ า นมา ถงึ จะมองในแงของพระศาสนา ก็มแี งด อี ยบู างทช่ี วยใหพ อมี พระเณรอยูรักษาวัดไวในสภาพทรงๆ หรือไมใหทรุดมากนัก ใน ขณะท่ีสังคมไทยเหินหางละเลยทอดทิ้งสมบัติแหงชาติของตัวเอง แตก็มีแงเสียที่วัดและพระศาสนาไมมีกําลังท่ีจะกาวเดินไปในทิศ ทางแหง การทาํ หนา ท่ตี ามบทบาททค่ี วรจะเปนของตน พูดงา ยๆ วา วัดและพระศาสนากลายเปนสว นซอ มเสรมิ หรือ เปน สว นแทรกแซมระบบของรฐั ในขณะทต่ี วั เองมแี ตอ อ นแอลงไปๆ ทาํ ไมเปน อยางน้ัน ดูเอาเองจากที่พดู มานัน้ กช็ ดั อยแู ลว ไม ตองชแี้ จงเลย เร่ิมตง้ั แตว า ทีใ่ หเดก็ ไปบวชนั้น ในใจจรงิ แลว ทั้งพอ แม และท้งั เดก็ กไ็ มร เู รอ่ื งพทุ ธศาสนา นอกจากตามประเพณสี ืบ กนั มาโดยรูปแบบ เชนท่ีวัดรักษาเปนพิธกี รรมไว แลวโดยทว่ั ไปก็ไม ไดค ดิ วาจะใหลกู ไปเรยี นใหร ูพทุ ธศาสนา แตพ อ แมน ัน้ ใจคิดเพยี งวา ลูกเราไมม ีโอกาสเลาเรยี น ทจ่ี ะ ไปเจรญิ กาวหนาในสังคมได เราจะทาํ อยา งไร มที างเดยี วท่อี าจจะ เปนชอ งทางเขา กรุงไปเรียนตอ ไดบ าง ก็ตองพาไปฝากวดั เพราะฉะนัน้ ที่เอาลกู มาบวชเณร กไ็ มไ ดหวังวาจะใหรพู ระ พุทธศาสนา แตอยากจะใหลกู มที างกา วหนาในสงั คมไทย เผอื่ จะ ไดไปเปนใหญเปนโตบาง ตามคานิยมของสังคมไทยท่ีผนวกเขา กบั ความหมายของการศกึ ษาสมยั ใหมของชาติไทยเรานี้ คา นิยมในทางการศึกษาของสังคมไทยในยุคทผี่ า นมา ยัง มิไดเลอื นลางหายไป สมัยนั้น เม่ือเด็กจะไปเลา เรียนในระบบการ
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต) ๓๕ ศึกษาสมัยใหม ผใู หญกจ็ ะใหพรทํานองนว้ี า “เธอนี่ ตงั้ ใจมานะ พากเพียรเลา เรียนเขานะ ตอไปจะไดเ ปน ใหญเปนโต เปนเจาคน นายคน” หลายทานคงพอจะนกึ ได และคา นิยมนก้ี ไ็ ดเ ปน พนื้ ฐานที่ สบื ตอสงผลมาถึงปจ จุบนั เพยี งแตเ บนไปหาจดุ เปา หมายใหม ยุคกอ นนั้น จุดเปาหมายคือมุงจะไปเปน ขาราชการ จงึ บอก วา “ใหเปนใหญเปน โต เปน เจา คนนายคน” แตไมนานมานเ้ี อง สังคมไทยกา วเขา สูยคุ ทธ่ี ุรกิจขนึ้ มาเปนใหญ จุดเปา หมายจึงยาย ออกจากระบบเดิมแบบขุนนาง หันเบนไปทางกิจการเอกชน ใน เรื่องการคาทํากําไร ถาพูดอยางภาษาพระก็คือเบนจากระบบท่ี เนน มานะ มาเปนระบบเนนตัณหา เปน ตวั กําหนดหนทางกา วหนา ในชวี ิต กห็ วังกนั อยา งน้ี ยา้ํ อกี ทวี า พอ แมเ ดก็ บา นนอกในชนบท ใหล กู มาบวชเปน พระ เปนเณร ก็หวังวาลูกของเขาอาจจะมีทางไปเลาเรียนในกรุงเทพฯ เขาสูระบบการศึกษาเสริมแซมของสังคมไทย ท่ีพอจะชวยใหได เปนใหญเปนโต เปนเจาคนนายคน ตามคานิยมของการศึกษา สมัยนน้ั เขาไมไ ดนกึ ตรงมาที่เร่อื งพระศาสนา สวนตัวเด็กเองที่เปนพระเปนเณรมาเรียน ก็เปนเพียงผล ผลติ ของสงั คมไทย ท่ีเกดิ จากเหตปุ จ จัยในสงั คมนน้ั ซึ่งถูกบบี ให เขา มาหาทางชดเชยการแสวงโอกาสในการศึกษาสมัยใหม จึงเปน ธรรมดาที่แทบจะไมไดใฝจิตสนใจในเรื่องท่ีเปนสาระของพระพุทธ ศาสนา หรือในเรือ่ งธรรมะนน้ั เลย พูดกันตรงๆ โดยมากกม็ าเรียนเอาช้ัน พอใหไ ดเปน เปรียญ เปน นกั ธรรม ท่ีเขาเทียบวฒุ ใิ หบา ง อยางเชน ไดป ระโยค ๓ สมยั
๓๖ คนไทย ใชก บเฒา? หนึ่งดูเหมอื นจะเทียบไดถงึ ม.๖ หรอื แมแตไ มไ ดเ ทยี บโดยตรง ก็ รับใหไ ปสมัครงานบางอยา งได เชน สมยั หน่งึ ถาไดน กั ธรรมโท ก็ ไปสมัครเปน ตาํ รวจ ดังที่สมยั กอนนีใ้ นตา งจังหวดั ตาํ รวจเปน นกั ธรรมโทกนั มาก ในสภาพสังคมที่เปนอยางน้ี พระท่ีรักษาวัดดูแลรับผิดชอบ การพระศาสนา ก็ตอ งปฏบิ ัติอยางรูเทาทนั คือมองออกวา เม่อื สังคมไทยมีใจทไ่ี มอ ยไู มเ อากบั เราแลว แตย ังมคี นบางสวนทเี่ ขาสง ผานเขา มาอาศยั เราบา ง คนเหลา น้ี กอ นท่ีจะผานออกไป เราจะ ตองพยายามฝกปรือเทาที่จะทําได ใหเขาผานออกไปแลวจะชวย สังคมของเขาไดดที สี่ ุด และพรอมกนั นั้น ก็พยายามคดั รงั้ คนเหลา นีจ้ าํ นวนหนงึ่ แมจ ะนอ ยนิดไว เพือ่ เปน แกนทจ่ี ะดแู ลรักษาชว ยงาน วัดและสืบตอ พระศาสนาตอ ไป ในภาวะขาดความรู สังคมไทยปรับตวั อยางไร ที่วามานี้ เปนสภาพสังคมไทยท่ีคนสมัยหลังน้ียากที่จะรู สวนคนสมยั น้นั เอง ทอ่ี ยูในเมืองใหญใ นกรุง โดยเฉพาะในชั้นทม่ี ี โอกาสเขาถงึ ความเจริญสมัยใหมเ ตม็ ท่ี ก็ไดยินไดเ หน็ เพยี งอาการ เคล่ือนไหว แตไมรูลึกลงไปถึงพ้ืนฐานและสมุฏฐาน ไมรูวาอะไร เปน ไปเปนมาอยา งไรในสงั คมของตนเอง ก็มองอาการปว ยไขห รือ พิการในสังคมไทยท่ีตัวก็รวมอยูนั้นดวยความไมเขาใจ แลวก็เลย คดิ เห็นไปตามความไมร ูไมเ ขาใจจนกลายเปนความเขาใจผิด และ มีทา ทที ศั นคตทิ ่ผี ดิ ซง่ึ ไมน ําไปสูการแกป ญ หา แตก ลายเปนเงือ่ น
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ ฺโต) ๓๗ ปมท่ที ําใหป ญ หาของสังคมไทยซับซอ นนุงนงั แกไ ขไดย ากยงิ่ ขน้ึ ในสมยั นน้ั มีเสียงพดู ตเิ ตียนทีไ่ ดยินกันอยูเปน ประจํา (แม แตในวัดเอง พระผูใหญบางทานก็วาก็เตือนหรือตําหนิพระท่ีเลา เรียน) วาพระเณรเหลาน้ี เขา มาบวชเอาเปรียบชาวบา น บานไม ตอ งเชา ขาวไมต อ งซอื้ อาศัยผาเหลอื งเลา เรียนหนังสอื เพื่อจะสึก ไปแยงอาชีพชาวบาน คาํ วา “บา นไมต อ งเชา ขา วไมต อ งซอื้ ” นี้ แมแ ตห วั หนา รฐั บาล คอื จอมพลสฤษดิ์ ธนะรชั ต (นายกรฐั มนตรี พ.ศ.๒๕๐๒–๐๖) กใ็ ช ในการกลา ววาพระเณร แตก ไ็ มใ ชเรอ่ื งท่จี ะไปโกรธเคอื งอะไรทาน หวั หนาคณะปฏวิ ตั ิ เพราะปญ หามิใชอ ยทู บี่ คุ คล คําพูดของทานเปนเพียงตัวแทนท่ีสื่อกระแสความคิดของ ชาวเมอื งหลวงและคนชนั้ บนจาํ นวนมาก ใหเ หน็ วา แมแ ตช นชน้ั นาํ ท่ี บริหารประเทศชาติ ก็มองปญหาไมออก แมวาผูเขามาบวชบาง สวนจะมพี ฤตกิ รรมความเปน อยซู ึ่งชวนใหคนมองอยางนั้น แตโดย พ้ืนฐานก็คือเปนปญหาการขาดความรูความเขาใจของคนไทย ที่ ไมตระหนักเทา ทนั ตอ สภาพความเปน จริงแหงสังคมของตน เวลานน้ั ถา มองในเชงิ สงั คมวทิ ยา วดั กค็ อื ชมุ ชนการศกึ ษาของ ชาวชนบทท่ี โดยมไิ ดต ง้ั ใจ ไดเ กดิ ขน้ึ มากลางกรงุ เปน ทซ่ี ง่ึ คนชนบท ผูดอยโอกาสมาอาศัยเพือ่ มีสว นเขา ถึงโอกาสทางการศกึ ษา เคียง ขา งคนช้นั บนและคนกรงุ ทมี่ ีโอกาสเหนอื กวาทางการศกึ ษานนั้ (ในสมัยตอมา ไดเกิดชุมชนชนบทกลางกรุงขึ้นมาใหมอีก อยา งหนง่ึ แตเ ปน ชมุ ชนทางเศรษฐกจิ คอื ชมุ ชนแออัดหรอื สลัม อนั
๓๘ คนไทย ใชก บเฒา? เปน แหลง ทคี่ นชนบทมาอาศัยเพือ่ เขาถงึ โอกาสทางเศรษฐกจิ ทใ่ี น เมืองกรุงมมี ากกวา หรอื หาแทบไมไ ดใ นชนบท) ในชว งป ๒๕๑๒-๖ มีสถติ อิ อกมาวา ทมี่ หาวิทยาลัยธรรม- ศาสตร ในจํานวนนักศึกษาท้ังหมด มีผูที่เปนลูกเกษตรกรชาว ชนบทประมาณ* ๕% ไดฟง แลวก็เลยประมวลตวั เลขสถิตทิ ่มี หา- จฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ขนึ้ มาเทียบ คอื แคอ อกจากกําแพง ม.ธ. (มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร) ขามถนนมหาราชมาเขากาํ แพง ม.ธ. (วัดมหาธาตุ) ทา พระจนั ทร ไดตัวเลขออกมาวา ทีม่ หาวิทยาลัยสงฆ ในป ๒๕๑๖ พระ เณรท้ังหมดที่เปนนิสิตนักศึกษานักเรียน เปนลูกกสิกรชนบท ๙๑.๖๙% (ลูกชาวนาแทบท้งั หมด) โดยเฉพาะในระดบั ปริญญาตรี มรี ูปเดยี วเกดิ ในกรุงเทพฯ นอกนั้นเกิดในชนบทท้งั สน้ิ (ตามสถติ ปิ ๒๕๑๑ พระเณรนิสิตนักศึกษานักเรียนมหาจุฬาฯ เกิดในตาง จังหวัด ๙๙.๗๑%) ตอนนนั้ ไดตัวเลขเปอรเ ซนตไวแลว ตอนนีจ้ ะใหช ัดย่ิงขนึ้ ก็ เลยหาตัวเลขจาํ นวนมาดูดว ย ปรากฏสถติ ิดงั นี้ ในป ๒๕๑๖ นั้น ทมี่ หาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร มนี ักศึกษา ๘,๕๐๐ คน ไดร ับเงนิ งบประมาณแผนดิน ๔๒,๘๘๓,๓๐๐.๐๐ บาท† คดิ เปน คาใชจ า ยเฉล่ียตอ หัว ๕,๐๔๕.๐๐ บาท * ตามสถิตขิ องปก ารศึกษา ๒๕๑๔–๒๕๑๗ ในจํานวนผสู อบไดเขา เรียนในสถาบันอดุ มศึกษา ของบา นเมืองท้งั หมด มผี ูท่เี ปนลกู เกษตรกรอยรู ะหวา ง ๕.๑๗ - ๕.๘๗% † จาํ นวนนกั ศกึ ษา ถอื ตามเอกสาร พธิ พี ระราชทานปรญิ ญาบตั ร ประจาํ ปก ารศกึ ษา ๒๕๑๕, ๑๓–๑๔ ก.ย.๒๕๑๖ (เปน ตวั เลขประมาณ) สวนงบประมาณ ถอื ตาม เอกสารงบประมาณ ฉบับท่ี ๓ รายละเอียด ประกอบงบประมาณรายจาย ประจาํ ปง บประมาณ พ.ศ.๒๕๑๖ ของสํานกั งบประมาณ (ขออนโุ มทนาผูทเี่ ออ้ื เฟอ เสาะหาเอกสารมาให เปนอยางมาก)
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) ๓๙ ในป ๒๕๑๖ น้นั เชน กัน ทมี่ หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย ซ่งึ มี พระเณรเรียนอยูท้ังหมด ๙๗๕ รูป มีเงินงบประมาณท้ังส้ิน ๖๐๐,๐๐๐ บาท (จากงบประมาณแผนดนิ ในรูปเงินอุดหนุน ๑๕๐,๐๐๐ บาท นอก นั้น ไดร ับอปุ ถัมภจ ากศาสนสมบัตกิ ลาง และมลู นิธอิ าเซีย กบั เงินบรจิ าคท่ัวไป) คดิ เปน คาใชจ ายเฉลยี่ ตอ หวั ๖๑๕ บาท การทรี่ าชการจัดงบประมาณใหแกมหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร เปนเงินจํานวนมาก ก็เปนเร่ืองทีด่ ี แสดงถึงการเห็นความสาํ คัญ ของการศกึ ษา แ ม ก า ร ท่ี ร า ช ก า ร ไ ม ไ ด เ อ า ใ จ ใ ส ส ง เ ส ริ ม ก า ร ศึ ก ษ า ที่ มหาวิทยาลัยสงฆ ซ่ึงเปนท่ีเลา เรียนของลูกหลานชาวชนบท กม็ ิใช วาราชการและสังคมไทยสมยั ใหมจ ะมเี จตนารายตอชนชนั้ ลา ง แตทั้งหมดนั้น เปนปญหาท่ีเกิดจากการขาดความรูความ เขา ใจ อยา งทก่ี ลา วแลวขา งตน น่เี ปน ตัวอยา งชี้สภาพความจรงิ ของสงั คมไทยทีช่ ัดเจน คนจาํ นวนมากเวลานั้น มองพระเณรท่ีมาเลาเรยี นในกรงุ วา เปนผเู อาเปรียบสังคม แตมองอีกที พระเณรเหลานั้นคือผูดอยโอกาสท่ีเสียเปรียบ ในสงั คมซงึ่ ไดอ าศยั วดั ในกรงุ เปน ชอ งทางทจี่ ะเขา ถงึ โอกาสไดบ า ง แลวมองใหมอ กี ที ใหลกึ อีกหนอย ใครจะเอาเปรียบใครกไ็ ม ตองมาเถียงกัน ที่แนก็คือ พุทธศาสนานี่แหละเปนท่ีรับเคราะห เพราะวา ในขณะทวี่ ดั และสถาบันสงฆ เหมือนกับวา ท้ังทีไ่ มร ูไมต้ัง ใจ กไ็ ดมาชวยผอนเบาปญหาสังคม แตพ อมาบริการสงั คมแบบน้ี ตวั เองท่ีถูกละเลยและถกู อาศัย ก็ยิง่ ทรดุ ถอยออนกาํ ลังลงไป
๔๐ คนไทย ใชกบเฒา? ไมต อ งพูดถงึ คนไทย พระไทยก็ไมร จู ักเถรวาท ในสงั คมไทย นบั แตเร่ิมเขาสยู ุคสมัยใหมม าจนถึงหรอื เกือบ ถึงขณะน้ี เม่ือมองลึกลงไปตามสภาพพื้นฐานของสงั คม ไมแ ยก พระแยกชาวบาน จะเห็นภาพรวมวา ท้ังคนกรุงคนมีในสถาน ศึกษาของรัฐ และผขู ัดสนคนบานนอกในวดั ตา งก็ว่งิ แขง กนั บา ง ดิ้นรนซอกซอนบาง หาทางทจ่ี ะเขาถึงวิถีแหงความเจริญกา วหนา แบบตะวันตกท่ีกําลังขยายเบงบานข้ึนในสังคมไทย ไมมีใครรูเขา ใจคิดคาํ นงึ ถงึ เถรวาท แมแ ตใ นหมขู องผทู ี่อยใู นวัด ก็มเี พยี งสว น นอยนักท่ีจะสง ใจมุงมาในทางของพระพทุ ธศาสนา สังคมไทยหันหลังใหตัวเอง ละเลยทอดทิ้งพุทธศาสนาและ อะไรๆ ท่ีเดยี๋ วน้ีมีคาํ เรียกขึ้นมาใหมวา ภมู ปิ ญ ญาไทย เปนอยา งนี้ มานานเรยี กไดวาตลอดศตวรรษ จนมาสะดุดอกี ทดี วยเจอพษิ ของความเจริญสมยั ใหม ที่ฝรั่ง ต่ืนกอนดว ยซํา้ และมสี วนนําใหไทยตืน่ ตาม ทาํ ใหห ันมาคิดถงึ พระ พทุ ธศาสนาและภมู ปิ ญ ญาไทย กลบั จะสนใจกันขน้ึ มา เรอ่ื งกก็ ลายเปน วา พทุ ธศาสนาทเี่ หมอื นถกู ทงิ้ ไปแลว ไดห ลง เหลือมาใหคนไทยปจจุบันพอไดเห็น ก็เพราะยังมีบางบุคคลมอง เห็นความหมายใสใจจริงจังลงลึกอยูบาง แตโดยสวนใหญก็เพียง อาศัยติดชายจวี รปลวิ ไปปลิวมาอยูในวดั กระจายมาถงึ ชายคาบา น ตอกันมา รวมแลวก็คือ เปนปญหารวมกันของคนไทยท้ังสังคมน่ีเอง ทง้ั คนกรุงคนบา นนอก ทง้ั คนชน้ั บนคนชั้นลาง ตางกถ็ ูกเหตุปจ จยั
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๔๑ ทั้งภายในและภายนอก ทต่ี ัวเองไมรูทนั ไมเ ขาใจ มาชกั นาํ บา ง มา บบี ค้ันบา ง ใหพากนั ถูกพดั พาไปในกระแสสงั คม พอถูกกระแสซดั มาเจอกัน กแ็ ปลกหนากนั ไมเขาใจกนั มอง กนั ไปตา งๆ ดถู กู เหยยี ดหยามกนั บาง ดาวา ติเตยี นกันบาง แตก แยกกนั อยางนอ ยก็เขา ไมถ ึงกัน แลวก็ไมคิดทจ่ี ะรวมมือรวมใจกนั ถาคนไทยรเู ขาใจสังคมของตน แคพ อทนั กระแสและจบั เหตุ ปจจยั ใกลต วั ไกลตวั ท่ตี างกนั ไดแ มเพยี งบางสวน กจ็ ะเขาใจกนั และเหน็ อกเหน็ ใจกัน แลว กจ็ ะรว มแรงรวมใจกัน เกิดความสามคั คี ทจี่ ะชว ยกนั แกป ญหา พาใหสงั คมของตนเดนิ หนาไปได เรานา จะ ชว ยกนั สรา งความรูค วามเขา ใจใหจ ิตและปญ ญาเขา มาถงึ กนั เอาเปนวา เมอ่ื เรื่องเปน อยางน้ี คือพระเณรมาเรียนหนังสือ ในวัด กท็ ํานองเดยี วกบั เด็กทม่ี าอยูวดั ไปเรยี นในโรงเรียนขา งนอก ตา งก็คดิ แตว า จะไดช ้นั ไดใบสาํ คัญ แลว กจ็ ะมโี อกาสสึกไปรบั ราช การบา ง ไปสมัครงานอะไรๆ บาง ไมไดต ัง้ ใจเรียนเนอ้ื หาธรรมะ จงึ สกั วาเรียนเพยี งวา ทองกันไป จําเอาไว พอใหส อบได ไมไ ดคดิ จะรู หรอื เขา ถึงสาระอะไร เปนอยางน้กี นั ท่ัวไป ไปๆ มาๆ การเลาเรียนแบบทอ งจาํ ทมี่ งุ เพียงวาเอาไปใชใน การสอบใหได โดยไมไดมุงเอาเนื้อหาสาระของพระธรรมวินัย ก็ กลายมาเปน ลกั ษณะแหง ระบบการศกึ ษาของพระ ซึง่ มนั ก็โยงกับ สภาพการศึกษาของประเทศไทยนี่เอง ที่การพระศาสนาไปอิงอยู กับสภาพความเปนไปและเหตุการณความเปล่ียนแปลงในสังคม ไทย ทวี่ าในระบบการศึกษาสมยั ใหมข องรัฐน้ี คนเลา เรยี นกนั ไป
๔๒ คนไทย ใชกบเฒา ? โดยมุงเพยี งเพอื่ ใหส อบได หรอื เอาดกี ันทส่ี อบ จะไปสอบบาลี บางทีไมไดมีความเขาใจ ไดแตท องจําเอา ทองๆๆๆ เขา ไป เวลาออกสอบมาตรงท่ที องไว ก็จะไดเขียนไปเลย อะไรทาํ นองน้ี ซง่ึ คดิ วา ขา งนอกวดั ในระบบของรฐั กม็ สี ภาพไมต า ง กนั เทา ไร ฉะน้ัน การเรียนที่วาเปนแบบทองจํานี้ ไมตองสืบไปถึง เร่ืองเถรวาทหรอก เปน เรื่องตืน้ ๆ ในสังคมไทยของเราเอง เปน เร่ืองของวิถีไทย ซ่ึงเกิดข้ึนจากสภาพแวดลอม ความเปล่ียน แปลงทางสงั คม ในการรับระบบการศกึ ษาแบบตะวันตก ท่ีไปไม ถึงสาระของเขา เชนเดยี วกับละทิ้งสาระของเรา นเ่ี ปนเร่อื งการปฏิบัติผลผี ลามของยคุ สมยั ซึง่ เราจะตอ งเขา ใจสังคมของตวั จะไดหาทางแกไ ขใหถ ูกตอ ง อนั น้ีกข็ อพดู ไวเ ปน ตวั อยา งอันหนึ่ง คือเอาแคที่ไดประสบมา หรือพอไดร ไู ดเห็น วาเปนกันมาอยา งนี้ สว นท่ีลกึ ลงไปอกี วา เลย จากท่ีทันเห็นถอยไปในสมัยกอนโนน กอนระบบการศึกษาแบบ ตะวนั ตกเขา มา พระไทย คนไทย ศกึ ษาเลาเรียนกันอยา งไร อนั นนั้ ขอไวกอน คงจะตองสืบคนอกี ไมนอ ย แตร วมแลว กค็ ือ เอาแคท พี่ อทันรูทันเห็นน้ัน ในแงห นงึ่ เมอ่ื การเรยี นเปนอยางนี้ ไมไ ดม ุงเอาเน้อื หาสาระ พระเณรเองกไ็ มคอ ย รูเรือ่ งพุทธศาสนา แควา พระพุทธศาสนาคืออะไรก็ไมเ ขาใจ คําวา เถรวาทกเ็ ลยยิง่ ไมรเู ร่ือง ไมร จู กั วาเปนอะไร ดงั ทค่ี งยอมรบั กนั วา พระทัว่ ไปไมรูจ ักเถรวาท น่ีคอื มันเปนปญหาของสงั คมไทยทัง้ หมด
พระพรหมคณุ าภรณ (ป. อ. ปยุตโฺ ต) ๔๓ ถ า ค น ไ ท ย ท่ี นั บ ถื อ พ ร ะ พุ ท ธ ศ า ส น า แ บ บ ข อ ง เ ร า ซ่ึ ง เ ป น เถรวาทนี้ มคี วามรเู ขา ใจพระพทุ ธศาสนาดี พอทจี่ ะเขา ใจคาํ วา เถรวาท พอคณุ สจุ ติ ตเ ขยี นอะไรมา คนไทยกร็ หู มด กไ็ มต อ งมา งนุ งงมาสงสยั อะไรกัน ใชไหม เรอ่ื งนก้ี ็กลายเปน วา เพราะความไมรูข องตัวนี่แหละ จงึ ทํา ใหแกวง อยา งนอ ยก็เกดิ ความสงสยั แลว กเ็ กดิ ความสบั สน จงึ ตองมองใหกวางวา นเ่ี ปน ปญหาของสังคมไทย คอื ไม เฉพาะวา ขอ เขยี นของคณุ สจุ ติ ตจ ะชไ้ี ปทป่ี ญ หาของคาํ วา “เถรวาท” เทา นน้ั แตขอเขียนของคณุ สจุ ิตต ชถ้ี ึงสภาพของสังคมไทย ที่ รวมถึงตวั คณุ สุจติ ตเ องดวย
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155