๗๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ณ วนั ๔๑ฯ๐๑ คำ่ ๑ ดาวหางหาย เมอ่ื จะหายนน้ั หางเลก็ บางสน้ั รบุ รู่ ปมี ะแม จ.ศ. ๑๒๔๕ หมดไปจนไมเ่ หน็ (พ.ศ. ๒๔๒๖) ณ วนั ๖๑ฯ๑๑ คำ่ ๒ (วนั ลงมอื ) ไลห่ นงั สอื พระเปรยี ญเกา่ ใหม่ ณ วัน ๑๑ฯ๓๑ ค่ำ๓ ประหารชีวิตอ้ายทองแดงกับพวกเพื่อนเข้ากัน ๑๑ คน โทษปลน้ ปากคลองบางลำภรู มิ บา้ นพระดฐิ การ ณ วนั ๕๑ฯ๐๒ คำ่ ๔ แห่โสกนั ตพ์ ระองคเ์ จา้ ลกู เธอ ๓ องค์ วนั แรกแห่ ณ วนั ๖๑ฯ๑๒ คำ่ ๕ สมเดจ็ เจา้ พระยาผสู้ ำเรจ็ ราชการแผน่ ดนิ ๖ กลบั เขา้ มาแตร่ าชบรุ ีถงึ กระทมุ่ แบน๗ถงึ แกพ่ ริ าลยั เวลา ๔ ทมุ่ เศษ ณ วนั ๑๑ฯ๓๒ คำ่ ๘ โสกนั ตเ์ วลาเชา้ บา่ ยแหส่ มโภช ณ วนั ๑๑ฯ๕๕ คำ่ ๙ มจี นั ทรปุ ราคา ณ วนั ๕ ๘ฯ ๘ คำ่ ๑๐ เวลายำ่ คำ่ ดาวอะไรไมร่ เู้ ขา้ พระจนั ทร์ ณ วนั ๑ ๘ฯ ๑๐ คำ่ ๑๑ เวลารงุ่ เชา้ เหน็ พระอาทติ ยเ์ ขยี ว ครน้ั สายหาย แต่แดดเหลือง เวลาบ่าย ๔ โมงพระอาทิตย์เขียวอีก เป็นอยู่ ๓ วัน (คราวเขาไฟประททุ เ่ี กาะกกั กระเตาทช่ี วา๑๒) ณ วนั ๔๔๑ฯ๕ฯ๒๑๒ คำ่ ๑๓ พระยาราชวรานกุ ลู ๑๔ยกทพั เสดจ็ ทะเลดว้ ย ณ วัน ค่ำ๑๕ เสด็จพระราชดำเนินทางชลมารคด้วยเรือไฟ ไปประพาสทะเล ๑๐ วนั ๑ ตรงกับวนั พุธท่ี ๒๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๒๕ ๒ ตรงกบั วนั ศกุ รท์ ่ี ๕ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๕ ๓ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๗ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๕ ๔ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๘ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๕ ๕ ตรงกบั วนั ศกุ รท์ ่ี ๑๙ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๕ ๖ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) ๗ เขตจังหวัดสมุทรสาคร ๘ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๕ ๙ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๕ ๑๐ ตรงกบั วันพฤหัสบดที ่ี ๑๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๒๕ ๑๑ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๒๕ ๑๒ ภเู ขาไฟที่เกาะครากะตว้ั (Krakatau Island) ในประเทศอนิ โดนเี ซยี ๑๓ ตรงกบั วนั พธุ ท่ี ๒๖ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ ๑๔ พระยาราชวรานกุ ลู (อว่ ม) ๑๕ ตรงกับวันพุธท่ี ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๖
จดหมายเหตโุ หรของจมน่ื กง่ ศลิ ป์ ๗๑ ณ วัน ๖ ๗ฯ ๒ ค่ำ๑ ครั้นเสด็จพระราชดำเนินแล้ว เจ้าคุณทหาร จบั ตอปโิ ดลกู ระเบดิ ทป่ี ากนำ้ ฝรง่ั เอาใสห่ บี เขา้ มา ฝรง่ั บอกวา่ พระนาย ไวยกอละแนล๒ สง่ั ใหเ้ อาเขา้ มา เสดจ็ กลบั พระราชวงั เจา้ คณุ ทหาร กราบทลู กรว้ิ ณ วัน ๓ ๒ฯ ๓ ค่ำ๓ ดาวหางขึ้นทิศหรดีไม่ชัด หางพอเป็นไร ๆ ยาวศอก ๑ ณ วนั ๒ ๘ฯ ๓ คำ่ ๔ พระพฤหศั บดีเขา้ ใกลแ้ งพ่ ระจนั ทรข์ า้ งทศิ เหนอื ประมาณศอก ๑ หวา่ งโรหณิ ี ๕ มคิ สริ ะ๖ ณ วัน ๔๑ฯ๐๓ ค่ำ๗ เวลารุ่งแล้ว ๒ โมงเศษเสด็จพระพุทธบาท ไปประทบั พระราชวงั บางปอนิ ๔ ราตรี ณ วนั ๑๑ฯ๔๓ คำ่ ๘ เสดจ็ แตพ่ ระราชวงั บางปอนิ แรมทา่ เจา้ สนกุ ณ วนั ๒๑ฯ๕๓ คำ่ ๙ เวลายำ่ รงุ่ เสดจ็ ทรงมา้ ขน้ึ ถงึ พระพทุ ธบาทเทย่ี ง ครน้ั เวลาคำ่ พวกทหารหนา้ ววิ าทกบั อา้ ยแสงทเ่ี ขาโพธล์ิ งั กา พระนายศรี ท่ี ๒ พระนายไวยสง่ั ใหย้ งิ อา้ ยแสง ลกู ปนื ถกู ตาทะลทุ า้ ยทอยลกู ๑ กบั ทอ่ี น่ื อกี ๒ ลกู รวมลกู ปนื ๓ ลกู อา้ ยแสงตาย ลกู ปนื ไปตกในวงั ทป่ี ระทบั ๒ ลกู ตอ่ หนา้ ทน่ี ง่ั กรว้ิ ใหก้ รมพระปราบ๑๐ ชำระ ณ วนั ๗ ฯ๕๓ ค่ำ๑๑ เสดจ็ กลบั ทางเดมิ ถงึ ทา่ เจา้ สนกุ มาแรมบางปะอนิ ณ วนั ๑ ฯ๖๓ ค่ำ๑๒ ใหส้ มเดจ็ กรมพระปราบชำระพวกววิ าทนน้ั คอื ๑ ตรงกบั วนั ศกุ รท์ ่ี ๔ มกราคม พ.ศ.๒๔๒๖ ๒ Colonel คอื ทหารยศพนั เอก ๓ ตรงกบั วนั องั คารท่ี ๒๙ มกราคม พ.ศ.๒๔๒๖ ๔ ตรงกบั วนั จนั ทร์ที่ ๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๒๖ ๕ ชื่อดาวฤกษ์ที่ ๔ ดาวพราหมี หรือดาวคางหมู ๖ ชื่อดาวฤกษท์ ่ี ๕ ๗ ตรงกับวันพุธที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๒๖ ๘ ตรงกบั วนั อาทติ ยท์ ่ี ๑๐ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ.๒๔๒๖ ๙ ตรงกับวนั จันทรท์ ี่ ๑๑ กมุ ภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๒๖ ๑๐ พระวรวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ ขจรจรสั วงศ์ กรมหมน่ื ปราบปรปกั ษ์ ๑๑ ตรงกบั วนั เสารท์ ่ี ๑๖ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ.๒๔๒๖ ๑๒ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๒๖
๗๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ปวี อก จ.ศ. ๑๒๔๖ นายนว่ มกบั ตนั ๑ ๑ นายหรนุ่ เลบ็ เตอแนล๒ ๑ นายเผอ่ื นเลบ็ เตอแนล ๑ (พ.ศ. ๒๔๒๗) กับซายัน๓ ไปรเวศ๔ รวม ๕ คน เสนาบดีลูกขุนวางบทปรับว่าเป็น ขบถโทษประหารชวี ติ ณ วนั ๖๑ฯ๑๓ คำ่ ๕ เรอื ไปรบั เอาเจา้ พนกั งานธำมรง ไปทบ่ี างปอนิ แลว้ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ฯพระราชทานชวี ติ ใหพ้ น้ ตาย แตใ่ ส่คกุ ไว้ ณ วนั ๗ ฯ๕๔ คำ่ ๖ เวลาบา่ ยเอาตวั นกั โทษ ๕ คนมาใสค่ กุ ณ วัน ๗๑ฯ๒๔ ค่ำ๗ พระองค์เจ้าคัคณางค์ ๘ เป็นกรมหมื่นพิชิต๙ เสดจ็ ไปจดั การเชยี งใหม่ ยกเวลาบา่ ย ๒ โมง ณ วนั ๓๑ฯ๒๕ คำ่ ๑๐ พระองคจ์ ติ รเจรญิ ๑๑ ทำการทหารหนา้ เวลาบา่ ย ณ วัน ๔๑ฯ๐๗ ค่ำ๑๒ เวลา ๘ ทุ่มเศษเจ้าคุณกลางน้องสาวสมเด็จ เจา้ พระยาถงึ อสญั กรรม ณ วนั ๓๑ฯ๔๙ คำ่ ๑๓ เจา้ พระยามหนิ ทร์ไดไ้ ปวา่ การทหารหนา้ แลเรยี ก บาญชเี งนิ บาญชคี นอายุ ๖๓ ปี ณ วนั ๕ ฯ๑ ๑๐ คำ่ ๑๔ เวลาบา่ ย ๔ โมงเศษทหารขน้ึ อยแู่ บแรก๑๕ พระนายไวยสง่ั ณ วนั ๑๑ฯ๓๑ คำ่ ๑๖ พระศรสำแดงถงึ แกก่ รรมเวลา ๙ ทมุ่ ๑ Captain คอื ทหารยศนายเรอื นาวาเอก ๒ Lieutenant คอื ทหารยศรอ้ ยโท ๓ Sergeant คอื ทหารยศสบิ เอก ๔ Private คอื พลทหาร ๕ ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๒ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๒๖ ๖ ตรงกบั วนั เสารท์ ่ี ๑ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๒๖ ๗ ตรงกบั วนั เสารท์ ่ี ๘ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๒๖ ๘ พระองคเ์ จา้ ชายคคั ณางคยคุ ล (พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงพชิ ติ ปรชี ากร) ๙ กรมหมื่นพิชิตปรีชากร ๑๐ ตรงกับวนั อังคารท่ี ๒๒ เมษายน .ศ. ๒๔๒๗ ๑๑ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ๑๒ ตรงกับวนั พุธที่ ๑๘ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๔๒๗ ๑๓ ตรงกับวนั องั คารที่ ๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๗ ๑๔ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๗ ๑๕ Barracks แปลวา่ โรงทหาร ๑๖ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๓๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๒๗
จดหมายเหตโุ หรของจมน่ื กง่ ศลิ ป์ ๗๓ ณ วนั ๕ ๗ฯ ๓ คำ่ ๑ เวลาเชา้ ๔ โมงเศษเสดจ็ พระราชดำเนนิ จนั ทบรุ ี เวลาค่ำเพลิงไหม้ริมถนนเฟื่องนครปากตรอกถานวัดเลียบตรอกเหนือ ถงึ ตรอกใตเ้ พลงิ ดบั ปรี ะกา จ.ศ. ๑๒๔๗ ณ วนั ๔๑ฯ๕๖ คำ่ ๒ ไฟไหม้ห้างมิศแกรซีใตป้ ากคลองสาน เวลา ๕ (พ.ศ. ๒๔๒๘) โมงเชา้ ณ วนั ๖ ๒ฯ ๗ คำ่ ๓ ลกู ขนุ ไปนง่ั โรงละครทงุ่ พระเมรุ๔ ณ วนั ๗๒ฯ๖ฯ๓๑๘๘๑คำ่ค๕ำ่ ๖ทา่ เนวลผาหู้ เญชา้ งิ อ๓ม่ิ โพมรงะเศยษาเจวนียี ลงไกู นจยา้ ตงาฝยรง่ัเวรลอ้ื าปบรา่ะยตโสู มะงพเศาษน ณ วนั เหล็ก ประตูหักพังทับจีนตาย ๓ คน เวลาบ่ายโมงเศษพระอมรยก ทหารออกจากโรงไปทัพฮ่อขึ้นเมืองพิศณุโลก กรมประจักษ์๗ยกบ่าย ๓ โมง ณ วนั ๓๑ฯ๑๑๑ ค่ำ๘ พระนายไวยยกเวลาบา่ ย ณ วนั ๖๓๑๑ฯฯ๔๐๑๑๑๒ คำ่ ๙ ในแรมเกดิ ไขท้ รพษิ ถงึ แกม่ รณะมาก ณ วนั คำ่ ๑๐ ไดข้ า่ วไข้อหวิ าเกดิ แรมหนามากขน้ึ แกไ้ ดน้ อ้ ย ไปมากกวา่ อยู่ ณ วนั ๕ ๕ฯ ๑๒ คำ่ ๑๑ ไดข้ า่ ววา่ ดาวตกรบุ รบั คนในโรงแสงวา่ ตกเปน็ หมู่ ลงท่พี ระมหาปราสาท ณ วนั ๖ ฯ๖๑๒ คำ่ ๑๒ ขรวั ตาใจวา่ เวลา ๕ ทมุ่ ดาวดวงใหญต่ กยอ้ ยลงมา แลว้ กลบั คนื ขน้ึ ไปดงั ลกู พลุ ๑ ตรงกับวนั พฤหัสบดีที่ ๒๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๗ ๒ ตรงกับวันพุธที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ๓ ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ๔ ทอ้ งสนามหลวงในปจั จบุ นั ๕ ตรงกับวนั เสาร์ท่ี ๑ สงิ หาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ๖ ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ๗ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมหลวงประจกั ษศ์ ลิ ปาคม ๘ ตรงกับวันอังคารท่ี ๓ พฤศจกิ ายน พ.ศ. ๒๔๒๘ ๙ ตรงกบั วันศุกร์ท่ี ๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๒๘ ๑๐ ตรงกบั วนั องั คารท่ี ๑๗ ธนั วาคม แตจ่ ะเปน็ วนั ขน้ึ ๑๑ คำ่ ๑๑ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๒๖ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๒๘ ๑๒ ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๗ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๒๘
๗๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ณ วนั ๖๑ฯ๒๑ คำ่ ๑ ลงมอื รอ้ื พระทน่ี ง่ั อมรนิ ทร์๒ ณ วนั ๗ ๒ฯ ๔ คำ่ ๓ เวลา ๖ ทมุ่ เศษเสดจ็ กลบั ถงึ กรงุ ฯ เวลาบา่ ย ปจี อ จ.ศ. ๑๒๔๘ ๓ โมงเศษเพลงิ ไหมถ้ นนใหม่ ( พ.ศ. ๒๔๒๙ ) ณ วนั ๔ ๔ฯ ๕ คำ่ ๔ งานหลวงมเี ทศนบ์ นพระทน่ี ง่ั จกั รี๕ถวายกระจาด กระจาดละ ๑๙ ชง่ั บา้ ง ๒๐ ชง่ั บา้ ง ๔ วนั ๓๔ กณั ฑ์ ถงึ ณ วนั ๗๗ฯ ๕ คำ่ ๖ จงึ ไดท้ รงแจกเหรยี ญเงนิ ทองแก่ขา้ ราชการ ณ วนั ๕๑ฯ๒๕ คำ่ ๗ หลวงศรมี โหสถถงึ แกก่ รรมเวลาบา่ ยโมง ๑ ณ วนั ๑๑ฯ๕๕ คำ่ ๘ เจา้ พระยาศรพี พิ ฒั น๙์ ถงึ แกก่ รรม ณ วนั ๖ ฯ๕๕ คำ่ ๑๐ ไมเ่ สดจ็ ออกขนุ นาง ๗๖๑ฯ๕ฯ๓๕๖คคำ่ ่ำ๑๑๑๒ไดฉข้ า่ลวอพงรตะั้งยการสมพุ สรมรณเดต็จากยรไมดพ้ ๖ระวบนั ำ๗ราวบนั ปแรลปว้ ักษ์ ณ วนั ณ วัน มีโขนเลน่ พริ าบลม้ ทศกรรฐล์ ม้ ดว้ ย ณ วนั ๒๑ฯ๔๖ คำ่ ๑๓ เวลาพลบไฟไหมโ้ รงงว้ิ วงั กรมหลวงเทวะวงษ์๑๔ วนั ฉลองกรมเลกิ ณ วนั ๖ ๙ฯ ๗ คำ่ ๑๕ วลาบา่ ยโมงเศษไฟไหมบ้ า้ นลาววดั โสมนศั ๑๖ ๑ ตรงกบั วนั ศกุ รท์ ่ี ๑๘ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ๒ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ในพระบรมมหาราชวัง ๓ ตรงกบั วนั เสารท์ ่ี ๖ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ๔ ตรงกับวันพุธท่ี ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ ๕ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ๖ ตรงกบั วนั เสารท์ ่ี ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ ๗ ตรงกบั วนั พฤหสั บดที ่ี ๑๕ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ ๘ ตรงกับวนั อาทติ ย์ท่ี ๑๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ ๙ แพ บนุ นาค ๑๐ ตรงกับวนั ศกุ ร์ที่ ๒๓ เมษายน พ.ศ. ๒๔๒๙ ๑๑ ตรงกบั วนั เสารท์ ่ี ๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๒๙ ๑๒ ตรงกับวันศุกร์ที่ ๗ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๒๙ ๑๓ ตรงกับวนั จนั ทร์ท่ี ๓๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๒๙ ๑๔ ระยะนน้ั สมเดจ็ ฯ กรมพระยาเทวะวงศว์ โรปการ ประทบั ท่ีวงั รมิ สะพานถา่ น คลองวดั ราชบพธิ ตอ่ มารอ้ื ลงสรา้ งเปน็ ตลาดบำเพญ็ บญุ ปัจจุบัน คือ ตกึ แถวรมิ ถนนเจรญิ กรงุ ตรงขา้ มศาลาเฉลมิ กรงุ ๑๕ ตรงกับวันศุกร์ที่ ๒๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๒๙ ๑๖ วดั โสมนสั วหิ าร รมิ คลองผดงุ กรงุ เกษมฝง่ั ใต้
จดหมายเหตโุ หรของจมน่ื กง่ ศลิ ป์ ๗๕ ณ วนั ๔ ๔ฯ ๙ คำ่ ๑ กรมสมเดจ็ กรมพระบำราบเสดจ็ กลบั ถงึ วงั เวลา ๖ ทมุ่ เศษประชวรมาก ณ วัน ๓ ๓ฯ ๑๐ ค่ำ๒ กลางคืนเวลา ๕ ทุ่มเศษอากาศสว่างเหมือน เดือนหงาย ลางคนว่ามีดาวดวงใหญ่ขึ้นท้องฟ้าสว่าง กับมีหมาย ประกาศออกจับผู้ร้าย ๆ ยังไม่สงบ ต่อวันขึ้น ๖ ค่ำ๓ ๗ ค่ำ๔ โจรผรู้ า้ ยคอ่ ยเงยี บสงบ โดยมกี องจบั ๒๐ กอง ณ วนั ๔ ๔ฯ ๑๐ คำ่ ๕ สมเดจ็ กรมพระบำราบปรปกั ษ๖์ นพิ พาน เวลาเชา้ ๔ โมง กบั ๑๕ มนิ ติ ณ วนั ๓๑ฯ๐๑๐ คำ่ ๗ ให้เจา้ พระยาพลเทพ๘ วา่ การในกรมมหาดไทย ณ วนั ๔ ๒ฯ ๑๑ คำ่ ๙ ประหารชวี ติ นกั โทษปลน้ ๓ คน ฝนตกมาก ณ วัน ๒๑ฯ๒ ๑๒ ค่ำ๑๐ เวลาเช้า ๕ โมงกับ ๖ มินิต ๗ มินิต แผน่ ดนิ ไหวจนเรอื นโยก ๖ หยบุ ๗ หยบุ ทางตะวนั ออกไปตะวนั ตก ณวนั ๒ฯ๓๒ คำ่ ๑๑ ชกั พระศพพระเจา้ ลกู เธอพระองคป์ ระไพพรรณพลิ าศ แฝดองคน์ อ้ ย๑๒ ณ วนั ๓ ๔ฯ ๒ คำ่ ๑๓ แหพ่ ระองั คาร ณ วนั ๔ ฯ๕๒ คำ่ ๑๔ พระราชทานเพลงิ วดั ราชบพธิ ณ วนั ๕ ๖ฯ ๒ คำ่ ๑๕ แล ณ วนั ๖ ๗ฯ ๒ คำ่ ๑๖ สมโภชพระอฐั ิ ๑ ตรงกบั วนั พธุ ท่ี ๑๘ สงิ หาคม พ.ศ.๒๔๒๙ ๒ ตรงกับวันองั คารที่ ๓๑ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๙ ๓ วันศุกร์ที่ ๓ กันยายน พ.ศ. ๒๔๒๙ ๔ วนั เสารท์ ่ี ๔ กนั ยายน พ.ศ. ๒๔๒๙ ๕ ตรงกับวันพุธที่ ๑ กันยายน พ.ศ. ๒๔๒๙ ๖ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ เจา้ ฟา้ มหามาลา กรมพระยาบำราบปรปกั ษ์ ๗ ตรงกับวันอังคารที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๔๒๙ ๘ นามเดิม รอด กลั ยณมติ ร เปน็ เจา้ พระยารตั นบดนิ ทร์ ทส่ี มหุ นายก ๙ ตรงกับวันพุธที่ ๒๙ กันยายน พ.ศ. ๒๔๒๙ ๑๐ ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๒ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๒๙ ๑๑ ตรงกบั วนั จนั ทร์ท่ี ๒๗ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๒๙ ๑๒ สน้ิ พระชนมเ์ มอ่ื ๒ ชนั ษา แฝดองคโ์ ต คอื พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ (แฝด) ประภาพรรณพไิ ลย ๑๓ ตรงกบั วนั องั คารท่ี ๒๘ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๒๙ ๑๔ ตรงกบั วนั พธุ ท่ี ๒๙ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๒๙ ๑๕ ตรงกบั วันพฤหัสบดที ี่ ๓๐ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๒๙ ๑๖ ตรงกบั วนั ศกุ รท์ ่ี ๓๑ ธนั วาคม พ.ศ. ๒๔๒๙
๗๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ณ วนั ๗ ๘ฯ ๒ คำ่ ๑ แหพ่ ระอฐั เิ ขา้ วงั ณ วนั ๓๑ฯ๑๒ คำ่ ๒ ทำบญุ ๗ วนั พระทน่ี ง่ั อนนั ตสมาคม เณจา้ วฟนั า้ ม๔หา๔ฯวช๒ริ ณุ คหำ่ ๓ศิ ๕แลลงณทา่ วนั ๕ ๕ฯ ๒ คำ่ ๔ แหส่ มเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ ณ วัน ๖ ๖ฯ ๒ ค่ำ๖ เวลารุ่งแล้ว ๕ โมง ๑๕ นาที ลงท่าสรง เวลาเยน็ แหส่ มโภช๗ ณ วนั ๗ ๗ฯ ๒ คำ่ ๘ แล ณ วนั ๑๘ฯ ๒ คำ่ ๙ สมโภช ๓๕๑ฯ๑๐ฯ๒๒๒คำค่ ๑่ำ๐๑๑เวลเาวเลชาา้ บ๕่ายโม๔งเปน็โมพงยเหุศเษลเยี สบดพ็จรแะตน่พครระที่นั่งจักรี ณ วนั ณ วัน ไปออกประตศู รสี นุ ทร ไปประทบั พระทน่ี ง่ั ชลงั คพมิ าน๑๒ ทอดพระเนตร กระบวนพยหุ เรอื พายถวายตวั แลว้ มีเรอื แขง่ พอยำ่ คำ่ เสดจ็ ขน้ึ รงุ่ ขน้ึ ณ วนั ๖๑ฯ๓๒ คำ่ ๑๓ เลย้ี งโตะ๊ ทว่ี งั สราญรมย์ ในสวนมรี า้ นขายของ แตข่ า้ ราชการซอ้ื ไมต่ อ้ งเสยี อฐั เสยี เงนิ กนิ เปลา่ ณ วนั ๗๑ฯ๔๒ คำ่ ๑๔ เลย้ี งโตะ๊ ทบาแรก๑๕ทหารหนา้ ณ วนั ๑๑ฯ๕๒ คำ่ ๑๖ เซน่ ตรศุ จนี ๑๗ ๑ ตรงกบั วนั เสาร์ท่ี ๑ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๙ ๒ ๓ ตรงกบั วนั อังคารท่ี ๔ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๙ ๔ ตรงกับวันพุธท่ี ๑๒ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๙ ๕ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ. ๒๔๒๙ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิส สยามมกุฎราชกุมาร ได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกฎุ ราชกมุ าร เมื่อปีจออัฐศก จ.ศ. ๑๒๔๘ (พ.ศ. ๒๔๒๙) ได้ทรงกำกับกรมมหาดเลก็ สวรรคตในรัชกาลที่ ๕ เมื่อวันที่ ๔ มกราคม พ.ศ. ๑๑๑๑๑๑๑๒๗๙๘๒๖๕๔๓๖๑๐๔๓ตตตตตพตตBตน๗รรรรรรรร่าaรงงงงงงงงะจrพrกกกกกกกกทะaรบบบบััััับบััับบเน่ีcะปววววววววkง่ัช็นนนนนัััััันนัันนทsันกอศศเอเพอท่ี สสษาาังากกุุฤคา่ าารคาททรรรหอืรรสทท์์าาติิตท์ท์ัสโม๑รชร่่ีียย่ีี่บ๒๑ทโงว๑๒๗ท์์ทภดที่ร๔๑๕๒่ีี่๑ชดีทห๑๒ป๘ใฐิมมี่าม๖ม๓น๒ี รกกกกคม๐เมรรมรรปรกาากาากามน็คครคครวรากมมพามามสครครคถาพพมะพมพมาค..ท.ศศ.ปพมศพศนี่พ..น....ศัง่.พศ๒๒าศ๒อ๒...เ๔๔.งศ๔ป๔๒๒ค๒๒๒.็น๒๒๔๔ห์๒๔๙๙ส๙๙๒น๒๔ม๒๙้า๙เ๒๙สด๙ดุ็จใพนรหะมบู่พรมรโะอทร่ีนสั่งาธ๔ิราอชงคส์ ยทา่ีพมรมะกบุฎารทาสชมกุมเดาจ็ รพระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั โปรดใหส้ รา้ งขน้ึ ๑๗ เซ่นตรุษจีน
จดหมายเหตโุ หรของจมน่ื กง่ ศลิ ป์ ๗๗ ณ วนั ๕๑ฯ๑๓ คำ่ ๑ พระโหราถงึ แกก่ รรมเวลาคำ่ แลว้ ณ วนั ๑๑ฯ๔๓ คำ่ ๒ เวลาบา่ ย ๕ โมง ๘ บาท ๙ บาท๓ แผน่ ดนิ ไหว หลงั คาลน่ั เยอื ก ๆ ๔ เยอื ก ๕ เยอื ก โคมแลของทแ่ี ขวนโยนแกวง่ ไปมา ณ วนั ๕๓ฯ ๓ ค่ำ๔ เวาบา่ ย ๕ โมงเสดจ็ พระทน่ี ง่ั เรอื กลไฟไปเมอื ง เพช็ รบรุ ี ไปทางทะเล ณ วนั ๗๓๕ฯฯ๘๔๓คคำ่ ๖ำ่ ๕เชเกา้ ดิมเวั หฝตนอุ ไอปกจลนกู ใ๒นวโมงั งตเชอ้ า้ งฝชนำตระกตก ๆ หาย ๆ ไปจน ณ วนั ๙ ทมุ่ ๑๐ ทมุ่ ฝนตกเวลาประหารชวี ติ อา้ ยโต ไปรงุ่ เชา้ มวั ฝน ครน้ั เทย่ี ง แล้วฝนตกน้ำชายคาไหล บ่ายโมงฟ้าร้องทิศทักษิณไปพายัพประจิม ฝนตก ๆ หาย ๆ จนพลบ ณ วัน ๕๑ฯ๐๔ ค่ำ๗ เวลา ๙ ทุ่ม ๑๐ ทุ่มเสด็จกลับจากเพ็ชรบุรี ปกี นุ จ.ศ. ๑๒๔๙ ถงึ พระราชวงั (พ.ศ. ๒๔๓๐) ณ วัน ๕ ฯ๒๔ ค่ำ๘ อ่ำ มหามนตรี ที่เป็นพิไชยสงครามถึงแก่กรรม เวลาบา่ ย ๕ โมง ๓๐ มนิ ติ ๙ ณ วนั ๕ ฯ๗๖ คำ่ ๑๐ เวลาบา่ ย ๕ โมงเศษพระราชทานเพลงิ สมเดจ็ กรม พระบำราบปรปกั ษ์ ณ วนั ๓ ๘ฯ ๘ คำ่ ๑๑ เวลาเชา้ ๓ โมงพระอาทติ ยท์ รงกลดใหญ่ ครน้ั ๔ โมงเชา้ หาย ณ วนั ๕ ฯ๖๑๐ ค่ำ๑๒ เสดจ็ เกาะสชี งั ประพาสทะเล ๑ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๓ กมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๒๙ ๒ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๒๙ ๓ ๑๗ นาฬกิ า ๔๘ - ๕๔ นาที ๔ ตรงกบั วนั พฤหสั บดที ่ี ๑๐ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๔๒๙ ๕ ตรงกับวันอังคารที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๒๙ ๖ ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๒๙ ๗ ตรงกบั วันพฤหัสบดีท่ี ๓ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๒๙ ๘ ตรงกบั วนั พฤหสั บดที ่ี ๑๐ มนี าคม พ.ศ. ๒๔๒๙ ๙ นาที ๑๐ ตรงกบั วนั พฤหสั บดที ่ี ๒๘ เมษายน พ.ศ. ๒๔๓๐ ๑๑ ตรงกบั วันองั คารที่ ๒๘ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๔๓๐ ๑๒ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๐
๗๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ณ วนั ๒๔๑๑ฯฯ๕๒๑๑๒๐ คำ่ ๑ เสดจ็ กลบั จากทะเล ๓๕ มนิ ติ แผน่ ดนิ ไหว ณ วนั คำ่ ๒ เวลาบา่ ยโมง ๑ กบั ณ วนั ๗ ๔ฯ ๑ คำ่ ๓ พระยากระสาปนโ์ หมดพน้ โทษ ณ วัน ๑ ฯ๕๑ ค่ำ๔ พระยาสุรศักดิยกทัพไปหลวงพระบาง เวลา บา่ ยโมงเศษ ณ วนั ๓๓๑๓ฯฯ๓๔๑ ค่ำ๕ พระนางประสตู ิ ๖ ณ วนั คำ่ ๗ ชกั พระบรมธาตอุ ฐั ิ ณ วนั ๔ ๔ฯ ๔ คำ่ ๘ มงี านสมโภชเวยี นเทยี นแหก่ ลบั ณ วนั ๖ ๖ฯ ๔ คำ่ ๙ ชกั พระศพสมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ ๒ องค์ ณ วนั ๒ ๙ฯ ๔ ค ำ่ ๑๐ พระราชทานเพลงิ ท่ี ๑ ณ วนั ๓๑ฯ๐๔ คำ่ ๑๑ แหพ่ ระศพสมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ ๑ พระอคั ร ปชี วด จ.ศ. ๑๒๕๐ ชายา ๑ แหพ่ ระองั คารดว้ ย (พ.ศ. ๒๔๓๑) ณ วนั ๖๑ฯ๓๔ คำ่ ๑๒ พระราชทานเพลงิ ท่ี ๒ ณ วนั ๗๑ฯ๔๔ คำ่ ๑๓ แหพ่ ระองั คารไปวดั ราชบพธิ ทพ่ี ลบั พลา ณ วนั ๕ ๘ฯ ๖ คำ่ ๑๔ ไฟไหมต้ รอกเจา้ สวั เนยี มเวลาบา่ ย ๓ โมง ๑ ตรงกับวันพุธที่ ๑๔ กันยายน พ.ศ. ๒๔๓๐ ๒ ตรงกบั วนั จนั ทรท์ ่ี ๓๑ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๔๓๐ ๓ ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๙ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๐ ๔ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๒๐ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๓๐ ๕ ตรงกบั วนั อังคารท่ี ๑๓ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๐ ๖ สมเดจ็ เจา้ ฟา้ หญงิ ในสมเดจ็ พระศรพี ชั รนิ ทราบรมราชนิ นี าถ สน้ิ พระชนมใ์ นวนั ประสตู ิ ๗ ตรงกับวันอังคารที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๓๐ ๘ ตรงกับวันพุธที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๓๐ ๙ ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๓๐ ๑๐ ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๓๐ ๑๑ ตรงกับวันอังคารที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๓๐ ๑๒ ตรงกบั วันศุกรท์ ่ี ๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๓๐ ๑๓ ตรงกับวันเสาร์ที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๓๐ ๑๔ ตรงกับวนั พฤหสั บดีท่ี ๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๓๑
ปี ฉลู จ.ศ. ๑๒๕๑ จดหมายเหตโุ หรของจมน่ื กง่ ศลิ ป์ ๗๙ (พ.ศ. ๒๔๓๒) ณ วนั ๖ ๑ฯ ๗ ค่ำ๑ เรอื ไฟเปน็ เรอื จา้ งเกดิ ทท่ี า่ เตยี น ณ วัน ๕ ๑ฯ๑๘๘ ค่ำ๒ เวลาเช้าแห่กลองที่ชื่อย่ำสนธยา,สัญญา อคั คี, ไพรพี นิ าศนน้ั ไปไวท้ ห่ี อยตุ ธิ รรมทท่ี ำใหม่ ตรงกลางเปน็ หอสงู นน้ั ณ วัน ๑ ฯ๘ ๑ ค่ำ๓ เวลา ๒ ทุ่มเศษไฟไหม้หลังวังกรมหลวงพิชิต ๓๐ หลงั ๔๐ หลงั ๑ ตรงกบั วันศุกร์ที่ ๑๑ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๓๑ ๒ ตรงกับวันพฤหัสบดีที่ ๑๙ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๔๓๑ ๓ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๑๕ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๓๒
๘๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑
๘๑ พระราชพงศาวดารเหนือ
๘๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑
พระราชพงศาวดารเหนอื ๘๓ บานแพนกเดิม๑ ศุภมัสดุ ลุศักราช ๑๒๓๑ สัปสังวัจฉรบุศยมาศกาฬปักษ์ เอกาทศมีดิถีครุวารปริเฉทกาล กำหนด พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกุฎ บุรุษยรัตนราชรวิวงษ์ วรตุ มพงษบ์ รพิ ตั ร วรขตั ยิ ราชนกิ โรดม จาตรุ นั ตบรมมหาจกั รพรรดริ าชสงั กาศ บรมธรรมกิ มหาราชาธริ าช บรมนารถบพิตรพระเจ้าอยู่หัว อันเถลิงถวัลยราชบรมราชาภิเศก ผ่านพิภพกรุงเทพมหานคร อมรรัตนโกสินทรมหินทรายุทธยา มหาดิลกภพนพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน เสดจ็ ออกพระทน่ี ง่ั อมรนิ ทรวนิ จิ ฉยั มไหสวรยิ พมิ าน๒โดยสถานอตุ ราภมิ ขุ พรอ้ มดว้ ยพระบรมราชวงษานวุ งษ์ แลขา้ ทลู ลอองธลุ พี ระบาทผใู้ หญน่ อ้ ยเฝา้ เบอ้ื งบาทบงกชมาศ จงึ พระบาทสมเดจ็ บรมนารถบพติ รพระเจา้ อยหู่ วั มพี ระบรมราชโองการมานพระบณั ฑรู สรุ สงิ หนาท ดำรสั สง่ั พระเจา้ ราชวรวงษเ์ ธอ กรมหมน่ื อกั ษรสาสนโสภณ จางวางกรมพระอาลักษณแลกรมอักษรพิมพ์ ให้จัดหาหนังสือเรื่องพระราชพงษาวดารลำดับกระษัตริย์ใน ประเทศต่าง ๆ สร้างไว้สำหรับทรงทอดพระเนตร เปนเครื่องประดับพระปัญญา แลสำหรับแผ่นดินสืบไป จงึ พระเจา้ ราชวรวงษ์ เธอกรมหมน่ื อกั ษรสาสนโสภณ ไดจ้ ดั อาลกั ษณจำลองเรอ่ื งพระราชพงษาวดารลำดบั กระษตั รยิ ใ์ นประเทศตา่ ง ๆ ทลู เกลา้ ทลู กระหมอ่ มถวายหลายภาษา แลเรอ่ื งพระราชพงษาวดารฝา่ ยประเทศ สยามนี้ นักปราชแลผู้มีบันดาศักดิได้ฟังได้รู้เรื่องด้วยกันเปนอันมาก ก็กล่าวตั้งแต่พระเจ้าอู่ทองเปน ปฐมกระษตั รยิ ส์ รา้ งกรงุ ศรอี ยทุ ธยา แลว้ ลำดบั กระษตั รยิ เ์ นอ่ื งกนั ลงมา จนกรงุ เสยี แกพ่ มา่ แลว้ ขนุ หลวงตาก มาสร้างกรุงธนบุรี คือ กรุงอมรรัตนโกสินทรในที่อยู่กันทุกวันนี้ สืบกระษัตริย์กันลงมาจนถึงแผ่นดิน พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก แต่พระราชพงษาวดารเหนือ กล่าวความตั้งแต่สร้างเมือง ศรีสัชนาไลยแลเมืองศุโขไทย แล้วสืบกระษัตริย์กันลงมาเป็นอันมาก ก่อนแผ่นดินพระเจ้าอู่ทองขึ้นไป หลายสิบชั่วกระษัตริย์ ยังหาใคร่จะมีผู้ใดได้พบได้อ่านรู้เรื่องทั่วกันไปไม่ ข้าพเจ้าจึงเห็นว่า พระราชพงษาวดารเหนือนั้น ก็ได้ตั้งกระษัตริย์ลำดับเนื่องกันลงมาเป็นอันมาก ควรที่นักปราชแลผู้มี บนั ดาศกั ดจิ ะรไู้ ว้ พอเปน็ เครอ่ื งประดบั ปญั ญาใหร้ อบรู้ โดยธรรมเนยี มทป่ี ระพฤตกิ ารแลมอี บุ ายตา่ ง ๆ กนั ไดต้ พี มิ พ์ ณ โรงพมิ พห์ ลวงในพระบรมมหาราชวงั กลา่ วความแตต่ น้ ดงั น้ี ๑ คงตวั สะกดการนั ตต์ ามฉบบั พมิ พร์ วมในประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๑ ฉบบั พมิ พค์ รง้ั แรก พ.ศ. ๒๔๕๗ ตรวจสอบแลว้ ตรงกบั บานแพนก ของพระราชพงษาวดารเหนอื ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๔๕ ด้วย
๘๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ พระราชพงศาวดารเหนือ๑ ๒ศุภมัสดุพระพุทธศักราช จำเดิมแต่องค์สมเด็จพระบรมไตรโลกนารถเจ้า เสด็จดับขันธ์เข้าสู่ พระนิพพาน พระองค์ประดิษฐานบวรพุทธศาสนา ๕๐๐๐ พรรษา ณ วันอังคาร เดือน ๖ ขึ้น ๑๕ ค่ำ ปีมะเส็ง สัมฤทธิศก พระพุทธเจ้านิพพาน พระอาจารย์เจ้าตั้งปีมะเมียเป็นเอกศกล่วงแล้ว ๔ เดือน พระยาอชาตศัตรใู ห้ชุมนุมพระอรหันต์ยกปฐมสังคายนายที่หนึ่ง แล้วล่วงไปได้ ๑๐๐ ปีระกา สัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๑ ปี จึงพระเจ้ากาลาโสกราช ตั้งทุติยสังคายนายครั้งหนึ่ง แล้วล่วงไปได้ ๒๑๘ ปีมะแม อัฐศก จุลศักราช ๓๙ ปี จึงพระเจ้าศรีธรรมมาโสกราช ตั้งตติยสังคายนายครั้งหนึ่ง แล้วล่วงไปได้ ๒๓๘ ปีมะเมีย สัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๑๓ ปี พระมหินทรเถรตั้งจตุตถสังคายนายครั้งหนึ่ง เมื่อ พระพุทธศาสนาล่วง ๔๓๓ ปี พระเจ้าวัฏฏคามินีอภัยในลังกาทวีป ชุมนุมพระอรหันต์มากกว่า ๑,๐๐๐ ทำปัญจมสังคายนายยกขึ้นในใบลานจานเป็นอักษรลังกา ปีหนึ่งสำเร็จ เมื่อพระพุทธศักราชล่วง ๙๕๖ ปี พระพุทธโฆษณาจารย์ไปแปลธรรมในลังกา แล้วได้อาราธนาพระแก้วมรกฎ ซึ่งสถิตอยู่เมืองลังกาเข้ามา เรอื ซดั ไปเขา้ ปากนำ้ บนั ทายมาศ เรื่องพระยาสักรดำตั้งจุลศักราช ศุภมัสดุ พระพุทธศักราช ๓๐๖ ปีกุน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกรุงกษัตริย์เมืองตักกะสิลามหานคร ทรงพระนามชอ่ื พระยาสกั รดำมหาราชาธริ าช ทรงอานภุ าพมหทิ ธฤิ ทธอ์ิ นั ลำ้ เลศิ กวา่ กษตั รยิ ท์ ง้ั หลาย ๑ ในการตรวจสอบชำระ ไม่พบต้นฉบับสมุดไทย เรื่องพงศาวดารเหนือ ในหอสมุดแห่งชาติ ฉบับที่เป็นต้นฉบับของพระราช พงษาวดารเหนือ ฉบับรวมพิมพ์ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๑ ฉมบบี ับาพนแิมผพน์คกรวั้งา่ แร“กวนั พ.๕ศ.๑ฯ๒๔๒๔๕ค๗ำ่ แต่พบหลายฉบับที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกัน โดยไมม่ บี านแผนกตอนตน้ ทอ่ี า้ งถงึ ผเู้ รยี บเรยี ง พบแตใ่ นเลขท่ี ๕๗ จลุ ศกั ราช ๑๑๖๙ ปเี ถาะนพศก เวลาคำ่ เสดจ็ ออก ณ พระทน่ี ง่ั จกั รพรรดพิ มี าน ลน้ เกลา้ ฯ กรมพระราชวงั บวรฯ ทลู เกลา้ ฯ ถวาย” กรมพระราชวงั บวรในปี จ.ศ.๑๑๖๙ หรือ พ.ศ. ๒๓๕๐ คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย และพบที่ตอนท้ายหน้าปลายของเลขที่ ๔๒ ระบุผู้เรียบเรียงและสรุปสังเขปเรื่อง ตรงตามที่ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ ทรงอา้ งองิ ไวใ้ นพระนพิ นธค์ ำนำในประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๑ ฉบบั พมิ พ์ พ.ศ. ๒๔๕๗ พระราชพงศาวดารเหนอื น้ี ตามประวตั กิ ารพมิ พว์ า่ พมิ พค์ รง้ั แรก พ.ศ.๒๔๑๒ แตใ่ นขณะตรวจสอบชำระครง้ั น้ี พบเพยี งฉบบั พมิ พ์ ร.ศ. ๑๒๑ ตรงกับ พ.ศ. ๒๔๔๕ ชื่อหนังสือ พระราชพงษาวดารเหนือ และตำนานพระแก้วมรกฎ เมืองหลวงพระบาง ตรวจสอบแล้วพบว่า มกี ารปรวิ รรตภาษาแลว้ บางคำใหมก่ วา่ ฉบบั พมิ พ์ พ.ศ. ๒๔๕๗ เสยี อกี แตเ่ ปน็ ฉบบั ทเ่ี นอ้ื เรอ่ื งยงั คงเรยี งตามตน้ ฉบบั สมดุ ไทย ไมไ่ ดจ้ ดั สลบั เรอ่ื งและตง้ั ชอ่ื เรอ่ื งใหมเ่ หมอื นฉบบั พมิ พ์ พ.ศ. ๒๔๕๗ แตโ่ ดยเนอ้ื เรอ่ื งแลว้ เหมอื นกนั ทกุ ประการ ยกเวน้ ตอนแทรกเพม่ิ เตมิ เนอ่ื งจากไมม่ ฉี บบั ทต่ี รงกบั ฉบบั พมิ พ์ พ.ศ. ๒๔๕๗ เลย และตน้ ฉบบั สมดุ ไทยกไ็ มม่ ที ค่ี รบถว้ นสมบรู ณท์ จ่ี ะยดึ เปน็ หลกั ไดต้ ลอดตน้ จนจบ ในการตรวจสอบชำระจึงยึดฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๕๗ จะทำเชิงอรรถแสดงข้อแตกต่างเฉพาะที่น่าวินิจฉัยว่า ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๕๗ อาจ คลาดเคลอ่ื น และทำเชงิ อรรถใหเ้ หน็ วา่ เนอ้ื เรอ่ื งเดมิ เรอ่ื งใดตอ่ กบั เรอ่ื งใด แตล่ ะเรอ่ื งมอี ยใู่ นตน้ ฉบบั สมดุ ไทยฉบบั ใดบา้ ง ตอนทแ่ี ทรกเพม่ิ เตมิ มาจากฉบบั ใด ๒ ตรวจสอบกับพงศาวดารเหนือ ต้นฉบับสมุดไทยเลขที่ ๓๗, ๔๔ และ ๕๑ โดยเลขที่ ๓๗ จะมีเนื้อหาตรงกันมากที่สุด ทง้ั ชอ่ื บคุ คลและตวั เลข
พระราชพงศาวดารเหนอื ๘๕ พระองคเ์ สวยราชสมบตั ิ พระองคเ์ สดจ็ ออกยงั พระทน่ี ง่ั เยน็ เปน็ ทร่ี โหฐานพมิ านจตรุ มขุ เบอ้ื งอดุ รทศิ จึงทรงพระดำริด้วยพระพุทธศาสนาเป็นฝ่ายข้างพระพุทธจักรนั้นฝ่ายหนึ่ง จึงมีพระราชโองการสั่งแก่อดีต พราหมณ์ปุโรหิตว่า ตั้งแต่วันนี้ไปจนสิ้นพระพุทธศาสนาของพระพุทธเจ้าอนุญาตไว้ ๕๐๐๐ พรรษา ให้ตั้งจุลศักราชไว้สำหรับกรุงกษัตริย์สืบไปเมื่อหน้า จึงให้ตั้ง ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๕ แรมค่ำหนึ่ง จุลศักราชปีชวด เอกศก เป็นมหาสงกรานต์ไปแล้ว จึงให้ยกขึ้นเป็นจุลศักราชเดือนปีใหม่ ถ้าแลมหา สงกรานตย์ งั มไิ ป ยงั เอาเปน็ ใหมไ่ มไ่ ด้ ดว้ ยดถิ เี ดอื นนน้ั ยงั ไมค่ รบ ๓๖๐ วนั พระองคใ์ หต้ ง้ั พระราชกำหนด จลุ ศกั ราชแลว้ พระองคส์ วรรคตในปนี น้ั เสวยราชสมบตั ิ ๗๒ ปี จลุ ศกั ราชไดศ้ ก ๑ สรา้ งเมอื งสวรรคโลก ยกบาธรรมราชขน้ึ เปน็ พระยาธรรมราชา ครองเมืองสวรรคโลก จึงเจ้าฤๅษีสัชนาไลยแลเจ้าฤๅษีสิทธิมงคลทั้งสองพี่น้องมีอายุยืนได้ ๑๐๐ ปี แต่พระชินสีห์ยัง ดำรงสมบัติจนได้ตรัสแก่สัพพัญญุตญาณเป็นพระพุทธเจ้าโปรดสัตว์ทั้งหลาย ทสคาเม มีบ้านอันขึ้น แก่นางสารีอันเป็นมารดาพระสาริบุตรเถรเจ้า แลพราหมณ์ทั้ง ๑๐ บ้าน ย่อมเป็นลูกหลานเจ้าฤๅษี ทั้งสองมีอายุยืนได้ ๓๐๐ ปี สูง ๓ วา อายุได้ ๒๐๐ ปี สูง ๙ ศอก หมู่ชะพ่อชีพราหมณ์กินบวช แลทรงพรตบห่อนจะฆ่าสัตว์ จึงมีอายุยืน ผู้มีเวรจึงพลันตาย ผู้หาเวรมิได้อายุยืน เจ้าฤๅษีสัชนาไลย จงึ วา่ แกเ่ จา้ ฤๅษสี ทิ ธมิ งคล วา่ เราจะเขา้ นพิ พานแลว้ เอน็ ดแู กล่ กู หลานแหง่ เรา อนั จะสบื ไปในอนาคตกาล แล้วก็ให้โอวาทไว้ในพระพุทธศาสนา กำกับไสยศาตรให้ไว้ด้วยกัน แลเจ้าฤๅษีสัชนาไลย จึงให้ลูกหลาน อันเป็นผู้เฒ่าผู้แก่กว่าชนทั้งหลาย จึงสั่งสอนว่าสูเจ้าทั้งหลายอันอยู่ทั้ง ๑๐ บ้านอย่าประมาทลืมตน ทง้ั ฝง่ั นำ้ สมทุ รกห็ มดไปแลว้ เขาจะสรา้ งบา้ นสรา้ งเมอื ง จะมภี ยั เปน็ อนั มาก สทู า่ นจงชวนกนั ทำกำแพงกนั ตวั อยา่ ไดเ้ มามวั แกต่ ณั หา สาตราเรง่ ตกแตง่ ไว้ ผใู้ ดถา้ เปน็ ใหญใ่ หค้ รอบครองกนั ชะพอ่ ชพี ราหมณภ์ ายหนา้ จะเป็นคฤหัสถ์ตัดจุกเกล้า ฆ่าสัตว์ น้ำพิษพืชมูลชมพูจะกลายเป็นเหล้า ชะพ่อชีพราหมณ์จะมาทุกตำบล จะละคำพระทศพล จะเอาคำโทโสโลโภ มกั ไดใ้ หท้ า่ นฉบิ หาย ปจู่ ะสง่ั เจา้ ไว้ สเู จา้ จงเอาพนมเพลงิ เขา้ ไว้ ในเมือง เป็นที่สร้างพรตบูชากูณฑ์ ผู้เฒ่าจะสั่งสอนจงทำตามคำ ครั้นเจ้าฤๅษีสั่งสอนลูกหลานแล้ว ก็เหาะขึ้นไปถึงเขาใหญ่ชื่อภูเขาหลวง สร้างสมณธรรมภาวนาได้ปัญจมฌานสมบัติขาดจากตัณหา ดว้ ยปญั ญาแหง่ ตน
๘๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ จึงบาธรรมราช ให้หาชะพ่อชีพราหมณ์ทั้งหลาย นายบ้านมาพร้อมกันแล้ว จึงปันหน้าที่ให้ ชะพ่อชีพราหมณ์กำหนดกฎหมายเกณฑ์หน้าที่ ให้ทำกำแพงหนา ๘ ศอก สูง ๔ วา กว้าง ๕๐ เส้น ยาว ๑๐๐ เส้น จึงบาธรรมราชผู้รู้ฤกษ์พานาที ได้ยินในสำนักเจ้าฤๅษีผู้เป็นปู่ว่า ณ วันพฤหัสบดีเดือนอ้าย ขึ้น ๖ ค่ำ ปีมะโรง โทศก ภายหน้าจะได้ลูกนาคมาเป็นพระยา ตั้งแตพ่ ระพุทธเจ้านิพพานได้ ๕๐๐ ปี พระฤๅษีเจ้าท่านทำนายไว้ ถ้าอัครสาวกแลสมณพราหมณ์ชีมิเป็นธรรมเมื่อใดอกเมืองจะหัก ๗ ภาค หาผู้จะยามิได้ ฝ่ายคฤหัสถ์จะเป็นฝ่ายชี ๆ จะเป็นฝ่ายคฤหัสถ์ รู้นักจะพลันตาย อย่าหมายใจต่างทาง ปู่รำคาญแต่เท่านี้จะมีไปภายหน้า แลมีบาธรรมราชเป็นประธาน ให้ชะพ่อชีพราหมณ์ตัดเอาแลงมาทำ เป็นกำแพง มีบาธรรมเป็นผู้ใหญ่ ว่าท่านทั้งหลายย่อมบังคับบัญชากันให้เอาแลงมาทำเป็นแผ่น ก่อเป็น กำแพงถงึ ๗ ปจี งึ แลว้ บานประตเู ปน็ พนกั งานเมอื งใด ทำประตสู กดั ๕๐ เสน้ ยาว ๑๐๐ เสน้ ทำดว้ ยปนู สร้างวัดวาอารามกุฎีสถาน ให้เป็นทานแก่สงฆ์ทั้งหลาย อันได้บรรลุโลกุตรธรรม เป็นพระโสดาบัน แลสกิทาคามิอนาคามิ แล้วจึงชะพ่อชีพราหมณ์ ตั้งวิหารพระอิศวรแลพระนารายณเ์ ป็นที่ตั้งพิธี ชวนกัน อดอาหาร ๗ วนั กนิ บวช ๗ วนั จงึ สระเกลา้ จงึ ขน้ึ โลอ้ มั พวายแกพ่ ระอศิ วรเปน็ เจา้ อยทู่ า่ พระดาบสอนั จะมา แลเจ้าฤๅษีคำนึงถึงตระกูล พอเข้าฌานสมาบัติอันเป็นบาทแห่งอภิญญา เหาะมาในอากาศเวหา กเ็ ขา้ ถงึ พนมภผู า ยงั ชะพอ่ ชพี ราหมณท์ ง้ั หลายกม็ าใหบ้ ชู า แลบาธรรมราชเปน็ ประธานจงึ ถามวา่ ขา้ แตป่ เู่ จา้ ทง้ั สอง ขา้ พเจา้ กอ่ สรา้ งเมอื งตามคำเจา้ กบู รบิ รู ณแ์ ลว้ ขอพระนามกรเมอื งแกเ่ จา้ กู แลว้ เจา้ ฤๅษสี ชั นาไลย วา่ วนั นเ้ี ราขน้ึ ไปเยอื นพระอนิ ทรถงึ สวรรคเทวโลก เราจงึ ลงมาวนั น้ี กใ็ หช้ อ่ื วา่ เมอื งสวรรคโลกมาจนถงึ บดั น้ี แลว้ เจา้ ฤๅษสี ชั นาไลยแลเจา้ ฤๅษสี ทิ ธมิ งคล ใหป้ ระชมุ ชพี อ่ พราหมณท์ ง้ั หลาย แลว้ กว็ า่ ผใู้ ดจะสมควรแก่ เมืองนี้ พราหมณ์ก็ว่าแต่บาธรรมราช เป็นผู้เฒ่าผู้แก่กว่าตูข้าทั้งหลาย แลฤๅษีว่าในแผ่นดินนี้จะเป็น พระยามี ๓ ตระกูล คือกษัตริย์ แลเศรษฐี แลพราหมณ์ ประเสริฐในแผ่นดินนี้ แลเจ้าฤๅษีจึงตั้ง บาธรรมราชใหเ้ ปน็ พระยา ชอ่ื พระยาธรรมราชา จงึ ตง้ั นางทา้ วเทวี อนั เปน็ หลานสาวแหง่ นางโมคคลั ลี บุตรนายบ้านหริภุญไชย มาเป็นอัครมเหสีอยู่ในราชวังแล้ว แลเจ้าฤๅษีจึงได้คิดว่าธาตุแลกระดูก นิ้วซ้ายตูหากไปเอามาเมื่อพระเจ้านิพพาน ตูก็เอามากับพระธาตุอันพระเจ้าศรีธรรมาโสกราชแจกไว้ยัง ฝังอยู่ที่ใต้ต้นไม้รัง มีแร้งตัวเมียหากอยู่เฝ้ารักษา แลท่านจงเอามาประดิษฐานไว้เถิด ครั้นเจ้าฤๅษี สง่ั สอนลกู หลานแลว้ กเ็ หาะไปในอากาศเวหา ถงึ ภผู าหลวงได้ ๗ วนั กน็ พิ พาน
พระราชพงศาวดารเหนอื ๘๗ แลพระยาธรรมราชาเจ้าจึงให้หาชะพ่อชีพราหมณ์ ชุมนุมกันพิภาษ๑เอาพระธาตุพระพุทธเจ้า ขน้ึ มาบรรจไุ วใ้ นเมอื ง จงึ ใหช้ า่ งกอ่ ทบ่ี รรจพุ ระธาตุ จงึ ให้บาพศิ ณคุ นหนง่ึ บาชพี ศิ คนหนง่ึ บาฤทธริ จนา คนหนง่ึ บาอนิ ท์คนหนง่ึ บาพรหมคนหนง่ึ บาทง้ั ๕ คนนย้ี อ่ มเปน็ ชา่ งคดิ อา่ นดว้ ยกนั วา่ เราทำใหด้ งู าม ดูหลากกว่าช่างทั้งหลายในแผ่นดินนี้ ครั้นคิดด้วยกันแล้ว จึงให้ตัดเอาแลงมาทำเป็นแผ่นยาว ๓ ศอก กว้างศอก ๑ ยาว ๕ ศอก กว้าง ๒ ศอก ทำเป็นบัวหงาย แลหน้ากระดานแลชานทรงมัน๒ ให้งาม จึงขุดเป็นสระกรุด้วยแลงทำด้วยปูน จึงตั้งฐานชั้นหนึ่ง แลสมเด็จเจ้าธรรมราชาธิราชเสด็จไปด้วย ชะพ่อชีพราหมณ์ทั้งหลาย ถึงต้นไม้รังซึ่งแร้งทำรังนั้น แล้วจึงขุดเอาผอบแก้วใหญ่ ๕ กำใส่พระธาตุนั้น ขน้ึ มา จงึ บชู านมสั การดว้ ยดอกไมธ้ ปู เทยี นแลว้ เชญิ พระธาตมุ าถงึ เมอื งแลว้ พระธรรมราชาเจา้ จงึ ปา่ วรอ้ ง แก่คนทั้งหลายผู้ศรัทธา ก็เอาทองมาประมวลกันได้ ๒,๕๐๐ ตำลึงทอง ให้ช่างตีเป็นสำเภาเภตรา จงึ ใสพ่ ระธาตพุ ระพทุ ธเจา้ ลอยอยใู่ นนำ้ บอ่ จงึ กอ่ เปน็ พระธาตเุ จดยี ส์ วมขน้ึ ปหี นง่ึ จงึ แลว้ แตอ่ งค์ ยอดยงั ไมม่ ี แลพระสงฆเจ้าทั้งหลายจึงนมัสการ อันว่าชะพ่อชีพราหมณ์ทั้งหลายอันอยู่ในปัญจมัชฌคาม อันเป็น หลานเหลนแห่งนางโมคคลั ลี อนั เปน็ พระมารดาพระโมคคลั ลาน์ แลนางสารเี ปน็ พระมารดาพระสารบิ ตุ ร อันอยู่ในปัญจมัชฌคามก็กลายมาเป็นเมืองสวรรคโลก แลพระธาตุพระสาริบุตรเจ้า ก็บรรจุไว้ในเจดีย์ พระธาตุข้างเหนือ แลธาตุพระโมคคัลลาน์เจ้า ก็บรรจุไว้ในบ้านนางโมคคัลลี แลนางทั้งสองนี้ก็เป็น ญาติแก่กัน แลบ้านอุตรคามินี เดิมแต่ล้วนชะพ่อชีพราหมณ์ไปค้าขายแก่กัน กินบวชถือศีลด้วยกัน แลเจ้าธรรมกุมารลูกพระธรรมราชา แลเจ้าอุโลกกุมาร เป็นเจ้าภิกษุทรงไตรปิฎกแลออกจากพระศาสนา พระบิดามารดาแลเผ่าพันธุ์ให้เป็นพระยา จะได้ช่วยกันป้องกันอันตรายศัตรู อันจะมาแต่ทิศต่าง ๆ ครั้นคิดแล้วจึงให้พระสาส์นนั้นไปแก่ชาวบ้านปัญจมัชฌคาม ให้ทำกำแพงล้อมบ้านให้รอบคอบแล้ว ให้ตั้งเรือนหลวงแล้ว จึงให้มารับเอาเจ้าอุโลกกุมารราชาภิเษกให้เป็นพระยาศรีธรรมาโสกราช ในเมือง หรภิ ญุ ไชย ดว้ ยนางพราหมณี แลว้ ใหช้ าวบา้ นอตุ รคามทำกำแพงลอ้ มบา้ นใหม้ น่ั คงแลว้ จงึ ชะพอ่ ชพี ราหมณ์ ผู้ใหญ่ มารับเอาธรรมกุมารไปราชาภิเษกด้วยนางพราหมณี ก็ได้ชื่อว่ากัมโพชนครคือเมืองทุ่งยั้ง แลให้ สาส์นนัน้ ไปถึงบา้ นบรุ พคาม ตกแต่งกำแพงแลคูให้ทำพระราชวังให้บริบูรณ์แล้ว จึงให้ชะพ่อชีพราหมณ์ ผใู้ หญม่ ารบั เอาเจา้ สหี กมุ ารไปราชาภเิ ษกดว้ ยนางพราหมณนี น้ั จงึ ใหช้ อ่ื เมอื งบรบิ รู ณน์ คร อนั วา่ เมอื งทง้ั ๔ เมืองนี้ก็เป็นกษัตริย์ซื่อตรงต่อกัน แล้วจะได้มีใจโลภแก่ราชสมบัติหามิได้ ต่างกันต่างก็อยู่ ๑ นา่ จะเปน็ พภิ าค แปลวา่ การแจก การแบง่ ๒ คือทรงมัณฑ์
๘๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ครั้นถึงเทศกาลก็ถวายบังคมลาแล้วก็ไป แลจะได้มีใจชังแลมีจิตริษยาแก่กันหามิได้ แต่กษัตริย์สืบ ๆ กนั มาได้ ๓ ชว่ั ตระกลู เรื่องพระร่วงอรุณกุมารเมืองสวรรคโลก พระพุทธศักราชได้ ๕๐๐ ปีมะโรง สัมฤทธิศก จุลศักราช ๘๖ ปีกุน พระยาอภัยคามินีศีลา- จารย์บริสุทธิ์อยู่ในเมืองหริภุญไชยนคร ย่อมออกไปจำศีลอยู่ในเขาใหญ่ จึงร้อนถึงอาสน์นางนาคอยู่มิได้ กข็ น้ึ มาในภเู ขาใหญน่ น้ั กม็ าพบพระยาอยจู่ ำศลี เธอกม็ าเสพเมถนุ ดว้ ยนางนาค ๆ อยไู่ ด้ ๗ วนั แลว้ จะลาไป พระยาจึงให้ผ้ารัตตกัมพลแลพระธำมรงคไ์ ปแก่นางนาคให้ชมต่างพระองค์ นางนาคก็กลับลงไป พระยา ก็เข้ามาเมืองดังเก่า แลนางนาคก็มีครรภ์แก่ แลนางนาคก็ว่าลูกตูนี้มิใช่เป็นไข่ แลจะเป็นมนุษย์ทีเดียว แลจะคลอดในเมืองนี้มิได้ แล้วจึงขึ้นมาถึงภูเขาที่อาสน์แห่งพระยานั้น ก็ประสูติกุมาร ผ้าแลแหวนนั้น นางกไ็ วแ้ กล่ กู ตน แลว้ กห็ นลี งไปเมอื งนาค แลมพี รานพเนจรคนหนง่ึ ออกไปหาเนอ้ื ในปา่ ไดย้ นิ เสยี งกมุ ารรอ้ งไห้ แลพรานเขา้ ไปกเ็ หน็ กมุ าร แล้วพรานก็สัญญาว่าลูกท้าวหลานพระยาแลเห็นตูมากลัวตู แลซัดลูกเสีย พรานจึงเอากุมารนั้นไปให้ ภรรยาตนเลย้ี งไวเ้ ปน็ บตุ รบญุ ธรรม แลสมเดจ็ พระเจา้ อภยั คามนิ รี าช ใชใ้ หเ้ สนาอำมาตยส์ รา้ งพระมหาปราสาท จงึ ใหเ้ กณฑเ์ อาชาวบา้ น มาถากไม้ตั้งเสาพระมหาปราสาท แลพรานนั้นก็ต้องเกณฑ์มาถากไม้ จึงเอากุมารนั้นเข้ามาไว้ด้วย แลรอ้ นดว้ ยรศั มพี ระอาทติ ย์ พรานนน้ั จงึ เอากมุ ารเขา้ มาไวใ้ นรม่ พระมหาปราสาท ๆ กโ็ อนไปเปน็ หลายที พระยาเหน็ กห็ ลากพระทยั จงึ ใหเ้ อาพรานนน้ั เขา้ มาถามดู แลพรานจะพรางมไิ ดก้ บ็ อกวา่ ลกู เขาซดั เสยี ในปา่ แลขา้ พเจา้ เอามาเลย้ี งไวเ้ ปน็ ลกู พระยาจงึ ถามวา่ มอี นั ใดอยดู่ ว้ ยกมุ ารนน้ั บา้ ง จงึ กราบทลู วา่ มแี หวนแลผา้ อยู่ด้วยกัน แลพระยาจึงให้พรานเอามาดูก็รู้ว่าเป็นราชบุตรแห่งตน พระองค์จึงให้รางวัลแก่พรานนั้น แลว้ พระองคจ์ งึ ใหห้ าชะแมน่ มรบั เอากมุ ารนน้ั มาเลย้ี งไวแ้ ลว้ พระองคใ์ หช้ อ่ื กมุ ารนน้ั วา่ เจา้ อรณุ ราชกมุ าร แล้วยังมีกุมารผู้หนึ่งอันเกิดร่วมชาติมนุษย์ด้วยนางอัครมเหสีชื่อว่าเจ้าฤทธิกุมาร เป็นน้องเจ้า อรุณราชกุมาร แลเจ้าพี่น้องทั้งสองร่วมใจกัน แลเจ้าอรุณราชกุมาร ได้พุทธทำนายพระพุทธเจ้า เมื่อไป ฉันเพลนอกบ้านปัญจมัชฌคาม แลพระยาอภัยคามินีมาคิดแต่ในพระทัยว่า เมืองใดจะสมควรแก่ลูก แห่งกูนี้ จึงเห็นแต่เมืองสัชนาไลยยังแต่พระราชธิดา แลพระราชบุตรหามิได้ แลพระยาอภัยคามินี จงึ เอาเจา้ อรณุ ราชกมุ ารเปน็ พระยาในเมอื งสชั นาไลย กไ็ ดน้ ามชอ่ื พระยารว่ ง แลพระองคจ์ งึ ใหส้ รา้ งพระวหิ าร
พระราชพงศาวดารเหนอื ๘๙ ทง้ั ๕ ทศิ สรา้ งพระจำลองไวแ้ ทนพระองค์ ตดิ พระมหาธาตแุ ลพระระเบยี ง ๒ ชน้ั แลว้ เอาแลงทำเปน็ คา่ ย แลเสาโคมรอบพระวิหาร แลพระองค์ก็ให้หาช่างทองมาทุกบ้านทุกเมือง จึงให้เอาทองแดงมาทำเป็น ลำพระขรรค์ยาว ๘๘ ศอกกึ่ง ต้น ๕ ศอกกึ่ง ปลาย ๓ ศอก แลแก้วใส่ยอด ๑๕ ใบ แลบัลลังก์แท่นรอง ยอดใหญ่ ๙ กำ ตระกูลทองดี ๑๐ ชั้นแลหุ้มทองแดง ขลิบขนุน๑ลงมาถึงตีนคูหา แลสร้างอุโบสถ ให้เป็นทานแก่พระสงฆเจ้า แลให้สร้างที่ต้นรังพระธาตุเป็นวิหารแลพระเจดีย์ จึงให้ชื่อว่าวัดเขารังแร้ง แลพระเจา้ อรณุ ราชคอื พระยารว่ งนน้ั แลทา้ วพระยาประเทศเมอื งใด ๆ จะทนทานอานภุ าพพระองคก์ ห็ ามไิ ด้ มาถวายบงั คมทว่ั สกลชมพทู วปี เพราะพระองคต์ อ้ งพทุ ธทำนายพระพทุ ธเจา้ แลอายพุ ระองคเ์ จา้ ได้ ๕๐ ปี พอคำรบพระพทุ ธศกั ราชได้ ๑๐๐๐ ปี จลุ ศกั ราช ๑๑๙ ปมี ะโรง นพศก จงึ คนอนั เปน็ ใหญก่ วา่ ทง้ั หลาย นำเอาช้างเผือกงาดำกับเขี้ยวงูมาถวายแก่พระองค์ ด้วยบุญที่พระองค์ทำหุ่นช้างใส่ดอกไม้ ถวายแก่ พระพุทธเจ้าแต่ชาติก่อน แลเมื่อพระองค์จะลบศักราชพระพุทธเจ้า จึงให้นิมนต์พระอชิตเถร แล พระอุปคุตเถร แลพระมหาเถรไลยลายคือพราหมณ์ เป็นเชื้อมาแต่พระรามเทพ แลพระอรหันต์เจ้าทั้ง ๕๐๐ พระองค์ ทั้งพระพุทธโฆษาจารย์วัดรังแร้ง แลชุมนุมพระสงฆเจ้าทั้งหลาย ณ วัดโคกสิงคาราม กลางเมืองสัชนาไลย แลท้าวพระยาในชมพูทวีป คือไทยแลลาว มอญ จีน พม่า ลังกา พราหมณ์เทศ เพศตา่ ง พระองคเ์ จา้ ใหท้ ำหนงั สอื ไทยเฉยี ง มอญ พมา่ ไทย แลขอมเฉยี งขอมมมี าแตน่ น้ั ๒ ๓พระยาร่วงมีพระราชโองการตรัสแก่เจ้าฤทธิกุมาร ว่าพระยากรุงจีนเหตุใดจึงมิมาช่วยลบศักราช มาเราพี่น้องจะไปเอาพระยากรุงจีนมาเป็นข้าเราให้ได้ ครั้นพระยาทั้งสองพี่น้องคิดด้วยกันแล้ว จึงบังคับ อำมาตยท์ ง้ั หลาย ใหแ้ ตง่ เรอื ลำหนง่ึ ยาว ๘ วา ปากกวา้ ง ๔ ศอก ครน้ั ไดฤ้ กษว์ นั อาทติ ยเ์ สดจ็ ออกไปดว้ ย กำลังน้ำ แลอันเป็นชาติแห่งนางช้างวลาหกเทวบุตร แลนอกนั้นเทวบุตรไปด้วย พระองค์ทั้งสองมีแต่ พระขรรคธ์ นศู ลิ ป์ ทง้ั พระภมู แ์ิ ลพระพายเจา้ กพ็ ดั พาไป แลนางเมขลาเจา้ สมทุ รกย็ นิ ดรี กั ษามใิ หเ้ ปน็ อนั ตราย แลไปไดเ้ ดอื นหนง่ึ จงึ ถงึ กรงุ จนี แลวนั เมอ่ื ไปถงึ นน้ั บงั เกดิ เปน็ อศั จรรยใ์ หเ้ ปน็ หมอกตกมใิ หเ้ หน็ พระจนั ทร์ พระอาทิตย์ แลจีนทั้งหลายให้ขนลุกหนังหัวพองทั้งเมือง สะท้านสะเทือนหวั่นไหวนักหนา แลพระยา กรุงจีนจึงให้หาเสนาอำมาตย์มาชุมนุมในท้องพระโรง แลพิพากษาด้วยกันแล้ว จึงใช้ให้ขุนแก้วการจีน พจิ ารณาดใู นทอ้ งมหาสมทุ ร แลขนุ แกว้ การจนี ไปขา้ งใตข้ า้ งเหนอื มไิ ดเ้ หน็ สำเภาลำหนง่ึ ในทอ้ งทะเลมไิ ด้ ๑ นา่ จะตรงกบั กลบี ขนนุ ๒ ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๓๗ และ ๕๑ ตอ่ เรอ่ื ง พระยากาฬวรรณดศิ ตง้ั เมอื งตา่ ง ๆ เรอ่ื งทก่ี ลั ปนา และทำเนยี บคณะสงฆ์ สว่ นเลขท่ี ๕๔ ตอ่ เรอ่ื งทก่ี ลั ปนา และทำเนยี บคณะสงฆ์ ๓ ตรวจสอบกบั ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๓๗, ๕๑ และ ๕๔ ตอ่ จากเรอ่ื งทำเนยี บคณะสงฆ์
๙๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ แลเห็นแต่เรือน้อยลำหนึ่ง มีไทย ๒ คนขี่ลอยมา แลขุนแก้วการจีนได้เห็นแล้ว จึงกลับไปทูลพระเจ้า กรุงจีน ๆ ก็รู้ในพระทัยแห่งพระองค์ ด้วยมีพระพุทธทำนายไว้แต่ก่อนอยู่ในเมืองแห่งกู ว่ามีไทย ๒ คน พน่ี อ้ งจะขา้ มทะเลมาแสวงหาเมยี แลชายผหู้ นง่ึ จะเปน็ เจา้ แกช่ าวชมพทู วปี แลจะลบศกั ราชพระพทุ ธเจา้ แล้วแลมาถึงกูนี้เที่ยงแท้แล้ว ครั้นพระยากรุงจีนรู้ในพระทัยแล้ว จึงใช้พลจีนออกมารับพระองค์ขึ้นมา ถงึ เรอื นหลวงแลว้ จงึ ใหน้ ง่ั บนแทน่ แกว้ แลพระยากรงุ จนี จงึ ถวายบงั คมแลว้ จงึ ชวนเจรจา แลพระยารว่ ง กท็ รงภาษาไดท้ กุ ประการ แลพระเจา้ กรงุ จนี จงึ นำเอาพระราชธดิ ามาถวายใหเ้ ปน็ พระอคั รมเหสดี ว้ ยเหตวุ า่ นางนั้นได้ทำบุญไว้ด้วยพระองค์แต่ชาติก่อนมา ได้สร้างพระไตรปิฎกทั้งสามไว้ในพระพุทธศาสนา พระพทุ ธเจา้ กกสุ นธ์ แลเมอ่ื พระพทุ ธเจา้ เราไปนง่ั ฉนั จนั หนั ในบา้ นปญั จมชั ฌคาม เปน็ นาคใหน้ ำ้ เปน็ ทาน แก่พระพุทธเจ้าเรา ๆ ก็ทำนายไว้ว่า นาคนี้จะได้ลบศักราชพระตถาคตเมื่อถ้วน ๑๐๐๐ ปี ได้แก่พระยา รว่ งเจา้ น้ี แลพระยากรงุ จนี กร็ ทู้ กุ ประการ จงึ ตามพระทยั พระยารว่ งทกุ ประการ อนั จะขดั นน้ั มไิ ด้ จงึ ให้ นางราชกลั ยาณแี กพ่ ระองคเ์ จา้ แลพระยากรงุ จนี ใชใ้ หอ้ ำมาตยแ์ ตง่ สำเภาเภตราลำหนง่ึ กบั เครอ่ื งบรรณาการ แลพระยากรุงจีนจึงผ่าตรามังกรออกเป็น ๒ ภาค แลข้างหางให้มาแก่พระราชธิดา ถ้าแลเมื่อหน้าไป จะมีราชสาส์นถึงกันแล้ว ให้เอาตราประกับกันดู ถ้าแลเป็นดวงเดียวกัน จึงสันทัดว่าราชสาส์น พระราชธดิ า พระเจา้ รว่ งจงึ มาสสู่ ำเภากบั ดว้ ยนางพสจุ เทวี แลเจา้ ฤทธริ าชกมุ าร แลฝงู จนี ทง้ั หลาย ๕๐๐ เปน็ บรวิ าร ใชส้ ำนกั ไปไดเ้ ดอื นหนง่ึ จงึ ถงึ ดว้ ยอานภุ าพแหง่ เทพยดา ครน้ั ถงึ เมอื งสชั นาไลยแลว้ ขณะนน้ั นำ้ ทะเลขน้ึ มาถงึ เมอื งสชั นาไลย จงึ ใชส้ ำเภาไปมาหากนั ได้ พระองคเ์ สดจ็ ขน้ึ ถงึ เรอื นหลวงแหง่ พระองคเ์ จา้ แล้ว แลท้าวพระยาทั้งหลายกราบถวายบังคม แลจีนทั้งหลายก็ทำถ้วยชามถวาย จึงมีเกิด๑ถ้วยชาม แตน่ น้ั มา ทา้ วไททง้ั สองกอ็ ยเู่ ยน็ เปน็ สขุ ตง้ั แตท่ ำบญุ ใหท้ านรกั ษาศลี แลถอื ความสจั อยมู่ ใิ หพ้ ลาดพลง้ั จึงมีตะบะเดชะว่าสิ่งใดก็เป็นสิ่งนั้นทุกอัน แลพระองค์ก็จึงให้เอาพสุจกุมารผู้เป็นน้อง ตั้งพระราชวัง อยนู่ อกเมอื ง แลเจา้ พสจุ กมุ าร เจา้ ฤทธกิ มุ าร เปน็ อนั รกั ใครก่ นั เปน็ อนั นกั หนา มไิ ดฉ้ นั ทาโทษาแกก่ นั ไปมาดว้ ยกนั เขา้ ไปถวายบงั คมดว้ ยกนั มไิ ดข้ าดในพระราชวงั แลเมอื งพไิ ชยเชยี งใหมม่ แี ตพ่ ระราชธดิ า แลหาพระราชบตุ รมไิ ด้ แตอ่ ำมาตยเ์ มอื งพไิ ชยเชยี งใหม่ จึงกราบทูลขอพระราชทานเจ้าฤทธิกุมารจะให้เสวยราชสมบัติสืบตระกูลมิให้ขาดเสียได้ แลสมเด็จ พระอรณุ ราช จงึ พระราชทานเจา้ ฤทธกิ มุ ารผเู้ ปน็ นอ้ ง เสดจ็ ขน้ึ ไปดว้ ยกนั แลให้เจา้ พสจุ กมุ ารอยรู่ กั ษาเมอื ง กับนางพสุจเทวี พระองค์ทรงช้างเผือกงาดำมีฤทธิ์ยิ่งนักหนา กับด้วยอำมาตย์เสนาเสด็จประพาส ๑ ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๕๔ วา่ จงึ เกดิ มี
พระราชพงศาวดารเหนอื ๙๑ ตนี พนมใหญก่ ง่ึ กลางหน แลจงึ เจา้ ฤทธกิ มุ ารผนู้ อ้ งผนั หนา้ ชา้ งเขา้ ตอ่ กนั แลว้ พระองคจ์ งึ จบั เอาคนทที อง เตม็ ไปดว้ ยนำ้ ทรงอธษิ ฐานใหเ้ ปน็ แดนแวน่ แควน้ แหง่ เจา้ แตว่ นั นไ้ี ป พระองคจ์ งึ ทรงเทนำ้ ในคนทที องลงไป เป็นสำคัญ แล้วจึงเอาตะปูทองแดงใหญ่ ๓ กำ ๓ วา ๓ ตัว ปักไว้เป็นประธาน ครั้นพระองค์ปักแดน ไว้ให้แล้ว ก็เสด็จขึ้นถึงเมืองแล้ว นางมลิกาลูกเจ้าเมืองเชียงใหม่มาต้อนรับเสด็จเข้าไปในเรือนหลวง แลว้ ทา้ วพระยาอำมาตยเ์ สนาทง้ั หลาย กก็ ราบถวายบงั คมแกพ่ ระองคเ์ จา้ แลว้ แลขณะนั้น พระอรหันต์เจ้านับได้เป็นหลายพระองค์ แลพระมหากษัตริย์เจ้า จึงให้ไปว่านาง มลกิ าเทวผี นู้ เ้ี ปน็ ไฉน อำมาตยจ์ งึ ใหไ้ ปถามพระอรหนั ตเ์ จา้ ๆ จงึ เลง็ ดว้ ยทพิ ยจกั ษรุ แู้ ลว้ จงึ บอกแกอ่ ำมาตยว์ า่ อุบาสิกาเขาได้ให้ทานข้าวบิณฑบาต อันรายไปด้วยดอกมะลิแลทานเชื่อเองแล้ว อำมาตย์จึงไปทูลแก่ พระองคก์ ช็ น่ื ชมยนิ ดนี กั หนา จงึ ราชาภเิ ษกเจา้ ฤทธกิ มุ ารใหเ้ ปน็ พระยาลอื กบั ดว้ ยนางมลกิ าเทวี เมอื งพไิ ชย เชียงใหม่จึงคิดกตัญญูแต่นั้นมา แลลาวผู้หญิงจึงสู่ขอเอาผัวเป็นจารีตสืบมา แลพระยาร่วงจึงกลับคืน ลงมาเมอื งพระองคด์ งั เกา่ แลพระยาร่วงขณะนั้นคะนองนัก มักเล่นเบี้ยแลเล่นว่าว ไม่ถือตัวว่าเป็นท้าวเป็นพระยา เสด็จไปไหนก็ไปคนหนึ่งคนเดียว แลพระองค์เจ้าก็รู้ทั้งบังเหลื่อม รู้จักไตรเพททุกประการ ว่าให้ตาย ก็ตายเอง ว่าให้เป็นก็เป็นเอง อันหนึ่งขอมผุดขึ้นมาแล้วก็กลยเป็นหินแลง แลขอมก็ขึ้นไม่ได้ด้วย วาจาสัจแห่งพระองค์ ๆ ได้ทำบุญแต่ชาติก่อนมา แลเดชะแก้วอุทกประสาทพระยากรุงจีนหากให้มาก่ พระองค์ ๆ จะไปได้ ๗ วนั นำ้ มเิ สวยกไ็ ด้ ในกาลวันหนึ่ง พระองค์ก็ทรงว่าวคว้าลงขาดลอยไปถึงเมืองตองอู แลพระยาตองอูนั้นเป็นข้า พระร่วงเจ้า แต่ก่อชื่อนายอู ไปคล้องลิงเผือกให้แล้วจึงเอาบ้านเมือง ด้วยเดชะคล้องลิงเผือก อันเป็นทิพย์จึงได้เป็นพระยานั้น แลว่าวพระยาร่วงเจ้าขาดลอยไปตกอยู่บนปราสาท พระยาร่วงเจ้า ตามไปถึงเมืองตองอู แลพระยาร่วงเจ้านั่งอยู่ในบรรณศาลานอกเมือง ครั้นค่ำพระองค์ก็ลอบเข้าไป ทำชู้ด้วยธิดาพระตองอูอยู่ในปราสาทอันแล้วไปด้วยเหล็กดาดลงมาทุกชั้น แต่เมื่อพระร่วงเจ้าเจ้าจะขึ้น เอาว่าวนั้น พระองค์เจ้าให้พระยาตองอูยืนขึ้น พระองค์ก็เหยียบบ่าพระยาตองอูขึ้นเอาว่าว ครั้นเอื้อม หยิบมิถึงพระหัตถ์ พระองค์ก็เหยียบศีรษะขึ้นเอาว่าว ด้วยพระองค์คิดว่าเป็นข้ามิได้ถือความ แลพระองค์เอาว่าวได้แล้วพระองค์ก็หนีมา แลลูกสาวจึงบอกแก่พระยาตองอูผู้บิดา ๆ จึงรู้ จึงให้ไปตาม เอาตัวพระองค์คืนมา แลสาวไส้พระองค์ออกใส่พานทองไว้ จึงส่งตัวพระองค์มาจากเมือง แลพระองค์ กไ็ มร่ วู้ า่ เขาเอาไสไ้ ว้ ดว้ ยกรรมทพ่ี ระองคเ์ ปน็ กา แลพระยาตองอเู ปน็ ปลา แลกาลากไสอ้ อกไวจ้ ะกนิ กบ็ มกิ นิ
๙๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ แต่นั้นมาลาวมักเป็นผีกินไส้ กินพุงคนทั้งหลาย ครั้นพระร่วงเจ้ามาถึงเมืองสัชนาไลย แลมายังพระอัคร มเหสพี ระสนมทง้ั หลาย ถวายบงั คมแลว้ กเ็ ปลอ้ื งอาภรณอ์ อกจากพระองคไ์ วแ้ ลว้ แลเจา้ พสจุ กมุ ารกเ็ ขา้ ไป ถวายบงั คมจงึ มพี ระราชโองการตรสั สง่ั เจา้ พสจุ กมุ ารวา่ กจู ะไปอาบนำ้ มเิ หน็ กมู าเจา้ เปน็ พระยาแทนพเ่ี ถดิ แลเจา้ พสจุ กมุ ารกไ็ มร่ แู้ ลสำคญั วา่ ๆ เลน่ ครน้ั พระองคล์ งไปอาบนำ้ ทก่ี ลางแกง่ เมอื ง กอ็ นั ตรธานหายไป ไมป่ รากฏ ในพทุ ธศกั ราช ๑๒๐๐ พระยารว่ งสน้ิ ทวิ งคต จลุ ศกั ราช ๑๕๗ ปชี วด สปั ตศก เสนาอำมาตยท์ า้ วพระยาทง้ั หลาย กร็ อ้ งไหร้ ำ่ ไรไปมา ทง้ั พระสนมชาวแมท่ ง้ั หลายเปน็ ทกุ ขน์ กั หนา แลเจ้าพสุจกุมารจึงให้ราชทูตถือข่าวสาส์นขึ้นไปทูลพระยาลือกุมารราชนครเมืองพิไชยเชียงใหม่ผู้เป็นน้อง พระองค์ พระยาลอื รแู้ ลว้ จงึ ลงมาราชาภเิ ษกเจา้ พสจุ กมุ ารใหเ้ ปน็ พระยาในเมอื งสชั นาไลยแลว้ ครน้ั พระรว่ ง เจา้ ทวิ งคตวนั หนง่ึ แลว้ ชา้ งอนั เกดิ รว่ มชาตนิ น้ั กต็ ายคนละวนั แลพระยาลอื กมุ ารขน้ึ ไปเมอื งพไิ ชยเชยี งใหม่ ดงั เกา่ แลมีเสนาคนหนึ่งชื่อไตรภพนารถ คิดอ่านราชการณรงค์สงครามรอบคอบนัก จึงทูลแก่พระยา พสจุ ราชวา่ เมอื งเรานพ้ี ระเจา้ ขา้ หาผมู้ บี ญุ มไิ ดแ้ ลว้ แลอนั ตรายจะบงั เกดิ มไี ปเมอ่ื ภายหนา้ ขอพระองค์ ใหแ้ ตง่ กำแพงแลหอรบไวใ้ หม้ น่ั คง แลว้ จงึ มพี ระราชโองการตรสั สง่ั ขนุ ไตรภพนารถรบั พระราชโองการตรสั สง่ั แลว้ จงึ ใหเ้ สนาอำมาตยซ์ า้ ยขวา แลตำรวจนอกในไพรพ่ ลโยธาทง้ั หลาย ใหย้ อ่ กำแพงเขา้ ไปเปน็ ปอ้ มให้ รอบเมือง แลให้ย่อชาลาถมไว้ แลที่ถมนั้นให้ไว้ปืนใหญ่ทุกแห่งทุกตำบล แลค่ายชั้นในแลค่ายชั้นนอก แลตง้ั คา่ ยเชงิ เรยี งพนมแหง่ หนง่ึ พนมหวั ชา้ งแหง่ หนง่ึ พนมบอ่ นเบย้ี แหง่ หนง่ึ แลใหแ้ ตง่ พระนครราชธานี แล้วตั้งป้อมแลช่องปืนใหญ่ แล้วให้ตกแต่งหัวเมืองเอก ๕ หัวเมือง เมืองโท ๘ หัวเมือง แต่ง สรรพยทุ ธทง้ั ปวงไวส้ ำหรบั ตอ่ สขู้ า้ ศกึ แลว้ ใหแ้ ตง่ คนเรว็ มา้ ใชแ้ ลน่ หากนั จงฉบั พลนั ทกุ หนา้ ดา่ น แลว้ ใหก้ ำหนดกฎหมายไวท้ กุ หนา้ ดา่ น แลว้ ใหก้ ำหนดกฎหมายไปถงึ เมอื งกมั โพชนคร ใหก้ ำหนด กฎหมายสืบ ๆ กันไปถึงเมืองคิรี เมืองสวางคบุรี เมืองยางคิรี นครคิรี ๑ เมืองขอนคิรี แลเมืองเหล็ก เมืองสิงเทา เมืองทั้งนี้ขึ้นแก่เมืองกัมโพชนคร ท้าวพระยาตกแต่งบ้านเมืองทุกแห่ง แลเมืองพิบูลย์นคร๒ อันขึ้นแกเ่ มอื งหรภิ ญุ ไชยคอื เมอื งลำพนู ทกุ วนั น้ี แลเมอื ง ๘ หวั เมอื งนน้ั ใหแ้ ตง่ เครอ่ื งสาตราวธุ แลตรวจ ดา่ นทาง ใหแ้ ตง่ คนเรว็ มา้ ใชไ้ ปฟงั ขา่ วแกก่ นั ใหเ้ ปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี วทกุ เมอื ง แลเจา้ พสจุ ราชใหพ้ าพานชิ ๑ ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขที่ ๓๗ ใช้ ลครคิรี เลขท่ี ๕๑ ใช้ ละครครี แี ละเลขท่ี ๕๔ ใช้ ละครคริ ยี ์ ๒ ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๓๗ ใช้ พบิ รู ณนคร เลขที่ ๕๑ ใช้พบิ รู นคร และเลขที่ ๕๔ ใช้ พบิ รู ยี นคร
พระราชพงศาวดารเหนอื ๙๓ พ่อค้าสำเภาลำหนึ่ง ให้ถือราชสาส์นไปถึงเมืองกรุงจีน ถึงพระเจ้ากรุงจีนผู้เป็นตา ทูลขอช่างหล่อปืน ๑๐ คน แลพระเจ้าตาก็ให้มาตามพระเจ้าหลานทูลขอ มาได้ ๗ เดือนก็ถึงเมืองสัชนาไลย เจ้าพสุจราช จึงให้ช่างหล่อปืนใหญ่ ๑๒๐ บอก ปืนนกสับ ๕๐๐ บอก จึงมีช่างหล่อสำริดถมปัดแต่นั้นมา พระองค์ จงึ ใหต้ ง้ั คนทง้ั หลายรกั ษาไวต้ ามชอ่ งทง้ั ดนิ แลลกู เปน็ อนั มาก ลกู นน้ั ใหเ้ อาดนิ ปน้ั เผาเปน็ เฉลยี งใหเ้ ปน็ ลกู ปนื เรื่องพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก ครั้นถึงเดือนอ้าย ขึ้นค่ำหนึ่ง พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก พระเจ้าเชียงแสน ให้เสนาอำมาตย์ แลมหาอปุ ราชตรวจจดั รพ้ี ลโยธาชา้ งมา้ เครอ่ื งสาตราวธุ ทกุ ทา้ วพระยา ปนื หอกดาบโลธ่ นหู นา้ ไม้ เกราะเหลก็ เกราะเขา แลว้ จงึ ตง้ั พระยาเชยี งราย พระยาเชยี งลอื เปน็ แมท่ พั หนา้ ตง้ั พระยาเชยี งเงนิ พระยาเชยี งตงุ เปน็ ปกี ขวา ตง้ั พระยาเชยี งนา่ น พระยาเชยี งฝางเปน็ ปกี ซา้ ย เจ้าพสุจราชจึงให้อุปทูตขึ้นไปฟังข่าวได้รู้อาการทั้งปวงแล้ว จึงกลับมาทูลแก่พระยาพสุจราช ๆ จงึ ใหก้ ฎหมายไปแก่พระยาพไิ ชยเชยี งใหม่ อนั เปน็ พระญาตแิ หง่ พระองคแ์ ลว้ พระยาลอื ธริ าชถึงทิวงคต ยังแต่บุตรชายผู้เป็นหลานแห่งพระองค์ ชื่อพระพรหมวิธี จึงให้ขับพลเมืองนคร เมืองแพร่ เมืองน่าน เข้าเมืองเชียงใหม่สิ้นเชิง ท้าวพรหมวิธีจึงให้ทหารอาสานั่งด่านทาง ให้รู้ว่าถึงตำบลใด พระยาพสุจราช จึงให้ขับครัวเข้าเมืองสัชนาไลยสิ้นเชิง แต่ครัวชายฉกรรจ์นั้น ให้อยู่ตั้งรบถอยหลังเข้ามาหาค่าย พระยาศรธี รรมไตรปฎิ กจงึ ใหข้ บั พลเขา้ ในเมอื งสชั นาไลย ใหต้ ง้ั คา่ ยหลวงใกลเ้ มอื งสชั นาไลย ทาง ๕๐ เสน้ จงึ ใหพ้ ลทหารโยธาลอ้ มเมอื งสชั นาไลยเขา้ ไว้ จะเขา้ มไิ ดด้ ว้ ยขา้ งในปนื ใหญป่ นื นอ้ ยมาก จะเขา้ ขา้ งหวั เมอื ง พลโยธาอาสาสตู้ ายลงเปน็ อนั มาก พระยาพสจุ ราชจงึ ใหพ้ ลโยธาโหร่ อ้ งตกี ลองใหญท่ กุ ประตู ขา้ ศกึ สะทา้ น สะเทอื นดว้ ยกลองแลปนื ใหญ่ อาสาขา้ งนอกตายเปลอื ง พระพุทธโฆษาจารย์เจ้าวัดเขารังแรงรู้อาการแล้ว จึงชุมนุมพระสงฆ์ทั้งหลาย ว่าเราทั้งหลาย อยา่ ใหเ้ ขาทง้ั หลายรบกนั ไพรพ่ ลทง้ั ปวงจะตายเปน็ อนั มาก ครน้ั คดิ ดว้ ยกนั แลว้ พระพทุ ธโฆษาจารยเ์ จา้ จงึ ไปถวายพระพรแกส่ มเดจ็ พระเจา้ ศรธี รรมไตรปฎิ ก ๆ กฟ็ งั อำนาจพระอรหนั ตเ์ จา้ แลว้ พระพทุ ธโฆษาจารย์ เจ้าจึงเข้าไปห้ามพระยาพสุจราช ๆ ก็ฟังคำพระอรหันต์เจ้า ด้วยพระยาศรีธรรมไตรปิฎก เป็นคู่กันกับ นางประทมุ เทวี แตช่ าตกิ อ่ นใหท้ านมริ ว่ มใจกนั จงึ มาเกดิ ไกลกนั จงึ ใหร้ บกนั พระยาพสจุ ราช รแู้ จง้ เพราะ พระอรหนั ตเ์ จา้ แลว้ จงึ มายงั ชาวเจา้ ชาวแม่ นางเถา้ นางแกท่ ง้ั หลาย ใหป้ ระดบั ประดานางประทมุ เทวแี ลว้ พสจุ ราชไปถวายบงั คม แลว้ กเ็ วนพระราชธดิ าใหแ้ กพ่ ระยาศรธี รรมไตรปฎิ ก ๆ กย็ นิ ดนี กั หนา แลว้ อนญุ าต แกก่ นั แลว้ พระยาศรธี รรมไตรปฎิ กกใ็ หย้ กทพั ถงึ เมอื งเชยี งแสน แลว้ ทา้ วพระยากต็ า่ งคนตา่ งไปบา้ นเมอื งตน
๙๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ พระยาศรีธรรมไตรปิฎกก็ได้พระราชกุมารในสำนักนางประทุมเทวี ๒ คน ผู้หนึ่งชื่อเจ้าไกรสรราช ผหู้ นง่ึ ชอ่ื เจา้ ชาตสิ าคร เจา้ กมุ ารทง้ั สองประกอบดว้ ยอานภุ าพ ทง้ั รปู ทรงกง็ าม ทง้ั ใจกเ็ ปน็ กศุ ล แต่ชาติก่อนพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกเป็นภิกษุ ได้สร้างพระไตรปิฎกเมื่อศาสนาพระกกุสนธ์เจ้า ครั้นพระองค์เกิดมาตรัสรู้ในไตรปิฎกทั้งสาม พระองค์จึงรู้ในพระทัยว่า พระพุทธเจ้าเสด็จไปบิณฑบาต ทางตะวันตกตะวันออก แล้วเสด็จไปอาศัยฉันจันหันใต้ต้นสมอ แลควรจะไปสร้างเมืองไว้ในสถานที่นั้น พระเจา้ ศรธี รรมไตรปฎิ กคดิ แลว้ จงึ มพี ระราชโองการตรสั สง่ั จา่ นกรอ้ ง จา่ การบรุ ณ์ ใหท้ ำเปน็ พอ่ คา้ เกวยี น ไปดว้ ยคนละ ๕๐๐ เลม่ เตม็ ไปดว้ ยทนุ ทรพั ยท์ ง้ั หลาย จ่านกร้อง จ่าการบุรณ์รับพระราชโองการแล้วทูลลา พวกพานิชพ่อค้าตามส่งแล้ว จ่านกร้อง จ่าการบุรณ์ จึงมาจากเมืองเชียงแสน มาถึงเมืองน่านแล้วก็มาเมืองลิหล่ม พักพลไหว้พระบาทธาตุ พระพุทธเจ้า แล้วจึงข้ามแม่น้ำตรอมตนิม แล้วจึงข้ามแม่น้ำแก้วน้อย แล้วจึงถึงบ้านพราหมณ์ ทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ไปบณิ ฑบาต บา้ นพราหมณข์ า้ งตะวนั ออก ๑๕๐ เรอื น ขา้ งตะวนั ตก ๑๐๐ เรอื นมเี ศษ เรื่องสร้างเมืองพิศณุโลก จา่ นกรอ้ ง จา่ การบรุ ณค์ ดิ อา่ นกนั วา่ พระเจา้ ศรธี รรมไตรปฎิ กเจา้ เราใชเ้ รามาทน่ี ้ี ชะรอยจะเปน็ ปริศนามาแก่เราทั้งสองนี้แล้วมีอาญาฐานทีนี้ก็เป็นอันราบคาบนักหนาทั้ง ๒ ฟาก มีบ้านพราหมณ์ก็อยู่ ทง้ั ๒ ฟาก มาเราจะสรา้ งเมอื งถวายแกเ่ จา้ เราเถดิ ครน้ั เจา้ ๑ ทง้ั สองคดิ กนั แลว้ จา่ นกรอ้ งจงึ ใหพ้ อ่ คา้ เกวียน ๕๐๐ เล่มข้ามไปข้างตะวันตก ก็ตั้งทับประกับเกวียนไว้แล้ว จึงทำสารบาญชีชะพ่อพราหมณ์ แลไพรข่ องตนรวมกนั เปน็ คน ๑,๐๐๐ ทำอฐิ จา่ การบรุ ณท์ ำบาญชชี ะพอ่ พราหมณแ์ ลไพรข่ องตน รวมกนั เป็นคน ๑,๐๐๐ เท่ากัน ทำอิฐ๒ ได้เป็นอันมาก แล้วจึงให้หาชะพ่อพราหมณ์ อันเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ตาม ไสยศาสตร์ จึงให้ชะพ่อพราหมณ์กินบวชถือศีล เขนง ๗ วันแล้วสระเกล้า แล้วขึ้นโล้ถีบอัมพวาย แก่พระอิศวรเป็นเจ้า๓ จึงเอาพระอิศวรออกไปเลียบที่ตั้งเมือง จึงให้พราหมณ์ชักรอบทิศตั้งเมืองแล้ว จงึ ปนั หนา้ ทย่ี าว ๕๐ เสน้ สกดั ๑๐ เสน้ ๑๐ วา ปนั หนา้ ทไ่ี วแ้ กพ่ ราหมณจ์ ะไดเ้ ทา่ ใด ไทยจะไดเ้ ทา่ ใด ลาวจะไดเ้ ทา่ ใด ครน้ั ปนั หนา้ ทแ่ี ลว้ พอได้ ณ วนั พฤหสั บดี เดอื น ๓ ขน้ึ คำ่ หนง่ึ ปฉี ลู ฉศก เวลาเชา้ ๑ จบตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๕๔ ตรวจสอบตอ่ ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๕๕ ๒ จบตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๓๗ เรม่ิ ตรวจสอบกบั ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๖๐ ๓ จนตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๕๑
พระราชพงศาวดารเหนอื ๙๕ ต้องกับเวลาเมื่อพระพุทธเจ้าฉันจันหันใต้ต้นสมอ วันนั้น พระอุบาฬีเถรแลพระคิริมานนก์ ็นิพพานในที่นั้น แตก่ อ่ นกเ็ รยี กวา่ พนมสมอ บดั นก้ี เ็ รยี กวา่ เขาสมอแครง เขาบรรจพุ ระธาตเุ จา้ ทง้ั สองไวใ้ นทน่ี น้ั แลครน้ั พระสงฆอ์ งคใ์ ดเขา้ มาอยทู่ น่ี น้ั กย็ อ่ มเรยี กตามทน่ี น้ั มาเปน็ อรญั วาสี จา่ นกรอ้ งสรา้ งขา้ งตะวนั ตก จา่ การบรุ ณ์ สรา้ งขา้ งตะวนั ออกแขง่ กนั ทำปหี นง่ึ กบั ๗ เดอื นจงึ แลว้ รอบบา้ นพราหมณท์ ง้ั หลาย ทง้ั คกู ร็ อบกนั หนทาง เด็กเลี้ยงวัว ลูกชาวบ้านหริภุญไชยไปมา ปั้นพระนอนเล่นทั้ง ๒ ฟาก๑ เป็นประตู ๘ อันตามอันดับกัน เจ้าทั้งสองจะให้ชื่อประตู ก็ถามคนอันเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ทั้งหลาย พราหมณ์ทั้งหลายจึงว่าทั้งสองสิเป็น มหาเสนา การทง้ั นต้ี ามแตป่ ญั ญาเจา้ ทง้ั สองเถดิ สรา้ งเมอื งปหี นง่ึ กบั ๗ เดอื นจงึ แลว้ ดงั นแ้ี ล ๒ครน้ั จา่ นกรอ้ ง จ่าการบุรณ์ทำเมืองแล้วทั้ง ๒ ฟาก ทั้งทวารบานประตูบริบูรณ์แล้ว จึงสั่งชีพ่อพราหมณ์ให้รักษาเมือง ครั้นได้ฤกษ์ดีจึงนำเอาเกวียนแลคน ๕๐๐ เล่ม ขึ้นไป ๒ เดือนจึงถึงเมืองเชียงแสนราชธานี จ่าทั้งสอง เข้าไปถวายบังคม จ่าทั้งสองจึงกราบทูลพระกรุณาว่า พระองค์เจ้าใช้ตูเข้าไปถึงทพี่ ระพุทธเจ้าฉันจันหัน ใต้ต้นสมอ สถานที่นั้นเป็นอันสนุกนักหนา ข้าพเจ้าชวนกับชะพ่อพราหมณ์ทั้งหลายสร้างเมืองถวายแก่ พระองคเ์ จา้ แลว้ พระเจา้ ศรธี รรมไตรปฎิ กยนิ ดนี กั หนา จงึ มพี ระราชโองการตรสั สง่ั แกเ่ สนาอำมาตย์ ใหช้ มุ นมุ ทา้ ว พระยาทง้ั หลาย พระองคจ์ งึ ใหจ้ า่ ทง้ั สองไปกอ่ นเปน็ ทพั หนา้ ทา้ วพระยาทง้ั หลายเปน็ ปกี ซา้ ยขวา เจา้ ไกรสรราช เจา้ ชาตสิ าคร พระราชโอรสทง้ั สองเปน็ กองรง้ั หลงั ตามเสดจ็ พระราชบดิ าพระราชมารดาออกจากพระนคร ณ วันอาทิตย์ เดือนอ้าย แรม ๖ ค่ำ เวลาเช้า ไปได้ ๒ เดือนจึงถึง พระองค์ให้ตั้งทับพลับพลาทอง ริมน้ำ ไกลเมืองประมาณ ๑๐๐ เส้น สมเด็จพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก จึงให้ท้าวพระยาทั้งหลาย แลเจ้า ไกรสรราช เจ้าชาติสาคร ตามเสด็จเข้าไปในเมือง แล้วจึงให้ชื่อเมือง จึงมีพระราชโองการตรัสถาม ชะพอ่ พราหมณว์ า่ เราจะใหช้ อ่ื เมอื งอนั ใดดี พราหมณาจารยจ์ งึ กราบทลู ตอบพระราชโองการวา่ พระองคเ์ จา้ มาถึงวันนี้ได้ยามพิศณุ พระองค์ได้ชื่อเมืองตามคำพราหมณ์ว่าเมืองพิศณุโลก ถ้าจะว่าตามพระพุทธเจ้า มาบิณฑบาต ก็ชื่อว่าโอฆบุรีตะวันออก ตะวันตกชื่อจันทบูร๓ พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกจึงมีพระราช โองการตรัสสั่งท้าวพระยาทั้งหลายว่า เราชวนกันสร้างพระธาตุและวิหารใหญ่ ตั้งพระวิหารทั้ง ๔ ทิศ ครน้ั สรา้ งของพระยาแลว้ ตา่ งคนตา่ งกส็ รา้ งคนละองค์ ๑ ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๕๕ วา่ แลบา้ นพราหมณอ์ นั แลน่ ทง้ั สองฟาก ๒ ตรวจสอบกบั ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๓๘ และ ๓๙ ดว้ ย ๓ ต้นฉบับสมดุ ไทย เลขที่ ๕๕ วา่ โอคบรู ยี ต์ ะวนั ตก โอคบรู ียต์ ะวันออก
๙๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ เรอ่ื งสรา้ งพระชนิ สหี ์ พระชนิ ราช พระเจา้ ศรธี รรมไตรปฎิ ก จงึ รำพงึ ในพระทยั จะใครส่ รา้ งพระพทุ ธรปู ใหแ้ ลว้ ดว้ ยสำรดิ ครน้ั พระองค์ รำพึงแล้วจึงให้หาช่างได้บาพิศณุคนหนึ่ง บาพรหมคนหนึ่ง บาธรรมราชคนหนึ่ง บาราชกุศลคนหนึ่ง ได้ช่างมาแต่เมืองสัชนาไลย ๕ คน มาแตเ่ มืองหริภุญไชยคนหนึ่ง เป็นช่าง ๖ คน จึงมีพระราชโองการ ตรัสสั่งช่างทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายให้ชวนกันรักษาศีล ๕ ประการอย่าให้ขาด ครั้นสั่งช่างแล้วจึง พระราชทานรางวลั แกไ่ พรท่ ง้ั หลาย ใหข้ นดนิ แลแกลบใหแ้ กช่ า่ ง ๆ จงึ ผสมดนิ ปน้ั เปน็ รปู พระพทุ ธเจา้ ๓ รปู ตามมีพระราชโองการตรัสสั่งนั้น ให้เหมือนพิมพ์เดียวแลใหญ่น้อยเท่ากัน ครั้นปั้นเบ้าคุมพิมพ์แล้ว ท้าวพระยาทั้งหลายก็นำเอาทองสำริดมาถวายแก่พระองค์เจ้า ชวนกันหล่อพระพุทธรูปเป็นอันมาก แลช่างหล่อชวนกันกินบวช ๗ วัน ก็ทำพลีกรรมแก่เทวดาทั้ง ๗ ทิศ ครั้นได้ฤกษ์ดีจึงเอาพิมพ์เข้าเตา วันเธอหล่อนั้นวันพฤหัสบดี เพ็ญเดือน ๔ ปีจอ ชุมนุมพระสงฆ์ทั้งหลายมพี ระอุบาฬี แลพระคิริมานนท์ เปน็ ประธาน แลพระสงฆเจา้ ทง้ั หลาย หลอ่ ใหพ้ รอ้ มกนั ทง้ั ๓ รปู แลรปู พระศรศี าสดา พระชนิ สหี ์ทง้ั ๒ พระองคน์ น้ั ทองแลน่ เสมอกนั บรบิ รู ณ์ ยงั แตพ่ ระชนิ ราชเจา้ นน้ั มไิ ดเ้ ปน็ องคเ์ ปน็ รปู หามไิ ด้ แตช่ า่ งหลอ่ ถงึ ๓ ทกี ม็ ไิ ดเ้ ปน็ องค์ แลพระเจา้ ศรธี รรมไตรปฎิ ก กเ็ กดิ เปน็ ทกุ ขย์ ง่ิ นกั หนา แลพระองคก์ ต็ ง้ั สจั จาธษิ ฐานวา่ ด้วยบุญเดชะอันกูได้เรียนพระไตรปิฎกแลได้ทำพิธีกรรมฐานสอนสงฆ์ทั้งหลายให้อยู่ทางมรรคผลแก่ พระสงฆเจ้า อนึ่งจะปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคตกาลนับมิได้ แต่พระองค์เจ้ารักษาศีล แลถอื ความสจั มไิ ดข้ าด แลมใี จกรณุ าแกค่ นแลสตั ว๑์ ทง้ั หลาย ครน้ั พระองคต์ ง้ั สจั อธษิ ฐานแลว้ จงึ มี พระราชโองการวา่ แกเ่ จา้ ประทมุ เทวี ใหต้ ง้ั สจั อธษิ ฐานบา้ งเถดิ ครน้ั นางตง้ั สจั อธษิ ฐานแลว้ กร็ อ้ นถงึ อาสนะ พระอนิ ทรเจา้ ๆ จงึ นฤมติ เปน็ ตาปขาว ลงมาชว่ ยทำรปู พระคมุ พมิ พป์ น้ั เบา้ ถา้ จะนฤมติ เปน็ ไปทเี ดยี วกจ็ ะได้ แตว่ า่ จะใหป้ รากฏแกต่ าคนทง้ั หลาย ชว่ ยทำเปน็ ชา่ ง นำ้ กม็ กิ นิ ขา้ วกม็ กิ นิ ตากม็ หิ ลบั ใจกแ็ ขง็ หาทจ่ี ะกลวั มไิ ด้ แลมรี ปู อนั แกก่ วา่ คนทง้ั หลาย แตเ่ ทยี วไปมาชว่ ย ๒ วนั ทหี นง่ึ ๓ วนั ทหี นง่ึ จงึ ทำตรศี ลู ไวใ้ นพระพกั ตร์ ใหเ้ ปน็ สำคญั ใหร้ วู้ า่ พระอนิ ทรเจา้ สรุ าลยั ลงมาชว่ ย ครน้ั ถงึ เดอื นหนง่ึ พมิ พพ์ ระพทุ ธรปู แหง้ แลว้ จงึ ใหช้ า่ ง ทง้ั หลายตง้ั เตาจะหลอ่ พระชนิ ราช แต่ ณ วนั พฤหสั บดี เดอื น ๖ ขน้ึ ๘ คำ่ ปกี นุ ตรศี ก เวลาเชา้ พทุ ธศกั ราช ๑๕๐๐ ปกี นุ สมั ฤทธศิ ก ดว้ ยอานภุ าพพระอนิ ทราธริ าชเจา้ ทองกแ็ ลน่ รอบคอบบรบิ รู ณท์ กุ ประการหาทต่ี มิ ไิ ด้ ครั้นบริบูรณ์แล้วพระอินทรเจ้าเสด็จออกจากเมือง อำมาตย์จึงเข้าไปกราบทูลแก่พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก ให้รู้อาการว่า ตาปขาวที่มาช่วยกันนั้นไปแล้ว พระองค์เจ้าจึงให้ไปตามแลดูให้รู้เหตุ อำมาตย์ตามไปถึง ๑ เนอ้ื เรอ่ื งตอ่ จากน้ี ไดต้ รวจสอบกบั ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๔๒ ดว้ ย
พระราชพงศาวดารเหนอื ๙๗ กลางหนทางกอ็ นั ตรธานหายไปในทน่ี น้ั อำมาตยจ์ งึ เอาไมไ้ ปปกั ไวเ้ ปน็ สำคญั จงึ เขา้ มาทลู ใหพ้ ระองคเ์ จา้ รู้เป็นอันแม่นมั่นว่าพระอินทรเจ้ามาช่วย พระองค์เจ้าจึงให้ตีดินนั้นออก จึงเห็นตรีศูลในพระพักตร์แห่ง พระพทุ ธรปู นน้ั พระองคเ์ จา้ จงึ ใหช้ า่ งทง้ั นน้ั ชว่ ยกนั ขดุ เกศาพระพทุ ธรปู นน้ั กเ็ ปน็ รปู อนั งามบรบิ รู ณแ์ ลว้ ทง้ั ๓ พระองค์ ๆ หนง่ึ ชอ่ื พระชนิ ราช องคห์ นง่ึ ชอ่ื พระชนิ สหี ์ องคห์ นง่ึ ชอ่ื พระศรศี าสดา พระองคฝ์ ากชอ่ื ไวว้ า่ ราช ดว้ ยชอ่ื พระเจา้ พระองคห์ นง่ึ ใหเ้ อาไปตง้ั ไวใ้ นสถาน ๓ แหง่ ไวเ้ ปน็ ทเ่ี สย่ี งทาย ไวท้ า่ มกลางเมอื งพศิ ณโุ ลก แลว้ พระองคเ์ จา้ จงึ ใหต้ ง้ั พระราชวงั ฝา่ ยตะวนั ตกบรบิ รู ณแ์ ลว้ จงึ ใหเ้ อาเจา้ สลุ เทวลี กู พระยาสชั นาไลยมาแลว้ พระองค์จึงให้ราชาภิเษกกับด้วยเจ้าไกรสรราช ณ เมืองลโว้ แลพระองค์เจ้ากับท้าวพระยาทั้งหลาย ช่วยกันฉลองวัดวาอารามแลพระพุทธรูป ๗ วันแล้ว พระองค์ให้ตั้งบ้านส่วยสัดพระพุทธรูปทั้ง ๓ พระองคน์ น้ั บรบิ รู ณแ์ ลว้ พระองคจ์ งึ ตง้ั จา่ นกรอ้ งแลจา่ การบรุ ณ์ ใหเ้ ปน็ มหาเสนาซา้ ยขวาคนทง้ั สอง ครน้ั ได้ฤกษ์วันดีเป็นวันอาทิตย์ พระองค์เจ้าจึงให้ยกพลเสนาท้าวพระยาตามลำดับมาจากวัง ทั้งนั้นหาภัย อนั ตรายมไิ ด้ พระองคเ์ จา้ เสดจ็ ไปสถานทใ่ี ด ยอ่ มมเี งนิ แลทองเกดิ ทกุ ราวทาง ครน้ั วา่ อนั ใดกเ็ ปน็ เงนิ เปน็ ทอง ทกุ แหง่ ทกุ หนทกุ ตำบล เสดจ็ ขน้ึ ไปไดเ้ ดอื นหนง่ึ ถงึ นครบรุ รี มย์ แลเจา้ ชาตสิ าครขม่ เหงทา้ วพระยาทง้ั หลาย มไิ ดใ้ หย้ ง่ิ กวา่ ตนได้ ยอ่ มรกั ษาตระกลู แหง่ ตนอยดู่ ว้ ย สร้างเมืองเสนาราชนคร สมเด็จพระเจ้าไกรสรราช จึงสั่งอำมาตย์เสนาในให้สร้างเมืองหนึ่งใกล้เมืองลโว้ทาง ๕๐๐ เส้น จึงแต่งพระราชวังแลคูหอรบเสาใต้เชิงเรียงบริบูรณ์แล้ว จึงให้อำมาตย์รับเอาดวงเกรียงกฤษณราช กบั พระราชเทวี ไปราชาภเิ ษกรว่ มเมอื งนน้ั ชอ่ื วา่ เสนาราชนครแตน่ น้ั มา แตพ่ ระพทุ ธศาสนาลว่ งแลว้ ได้ ๑๕๐๐ ปี พงศาวดารนี้มีแต่เมืองสัชนาไลยมาเป็นโบราณมายังไม่สิ้น ท้าวพระยาจะมีมาหน้านี้ก็ยังมาก แลพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก ให้แต่งเจ้าชาติสาครไปกินเมืองเชียงราย แลพระองค์มีพระชนม์ได้ ๑๕๐ ปี (ก็ทิวงคต) พระพุทธศักราช ๑๕๐๐ แลอำมาตย์ทั้งหลายจึงให้สาส์นนั้นไปบอกแก่เจ้าชาติสาครผู้เป็น ลกู พระองคน์ น้ั กเ็ สดจ็ ลงมาจากเมอื งเชยี งรายแหง่ ตน กส็ ง่ สการศพพระบดิ าแลว้ แลจะไดบ้ อกไปมาหากนั ญาติผู้เป็นพี่น้องให้รู้มิได้ แต่นั้นมาเมืองใคร ๆ อยู่ มิได้ไปมาหากันก็เป็นอันไกลกันแล้ว เจ้าชาติสาคร ก็ได้เสวยราชสมบัติ แทนสมเด็จพระราชบิดาเมืองพิไชยเชียงแสน แต่ตระกูลกษัตริย์ทิวงคต มาได้ ๗ ชว่ั กษตั รยิ ไ์ ปแลว้ ๑ พทุ ธศกั ราช ๑๕๐๑ ปี ๒ ๑ เนอ้ื เรอ่ื งในตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๓๘, ๔๒ และ ๖๐ ตอ่ ดว้ ยเรอ่ื งพระรว่ งเมอื งสโุ ขทยั ๒ เนอ้ื เรอ่ื งในตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๕๕ ตอ่ ดว้ ยเรอ่ื งพระยาสุทศั นซึ่งครองเมืองอินทปัต
๙๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ เรอ่ื งพระยากาฬวรรณดศิ ตง้ั เมอื งตา่ ง ๆ ๑(อนง่ึ เมอ่ื ) พระพทุ ธศกั ราช ๑๐๐๒ ปี จลุ ศกั ราช ๑๐ ปรี ะกา สมั ฤทธศิ ก จงึ พระยากาฬวรรณดศิ ราช บุตรของพระยากากะพัตรได้เสวยราชสมบัติเมืองตักกะสิลามหานคร จึงให้พราหมณ์ทั้งหลายยกพลลงไป สร้างเมืองลโว้ได้ ๑๙ ปี เมื่อพระพุทธศักราชล่วงได้ ๑๐๑๑ พรรษา จุลศักราชได้ ๑๐ ปีระกา สัมฤทธิศก แล้วพระยากาฬวรรณดิศราช ให้พระยาทั้งหลายไปตั้งเมืองอยู่ทุกแห่ง แลขุนนางขึ้นไปถึงเมืองทวารบุรี เมอื งสนั ตนาหะ แลเมอื งอเส๒ เมอื งโกสมั พี แลว้ มานมสั การท่พี ระพทุ ธเจา้ ตง้ั บาตรตำบลบา้ นแมซ่ อ้ งแมว้ ๓ นน้ั พระยากาฬวรรณดศิ ราช กถ็ อยลงมาเมอื งสวางคบรุ ี ทบ่ี รรจพุ ระรากขวญั ของพระพทุ ธเจา้ ไวแ้ ตก่ อ่ นนน้ั แลว้ พระยากาฬวรรณดศิ ราช จงึ อาราธนาพระรากขวญั กบั พระบรมธาตพุ ระพทุ ธเจา้ มา วา่ จะบรรจไุ วเ้ มอื งลโว้ จึงพระบรมธาตุของพระพุทธเจ้ามาทำพระอริยปาฏิหาริย์ลอยกลับขึ้นไปเหนือน้ำถึงเมืองสวางคบุรี แล้วก็ อาราธนาลงมา แลว้ กลบั ขน้ึ ไปถงึ ๗ ครง้ั พระรากขวญั กบั พระบรมธาตขุ องพระพทุ ธเจา้ ไมอ่ ยไู่ ดใ้ นเมอื งลโว้ จนพระพทุ ธศกั ราชลว่ งได้ ๑๐๑๕ พรรษา จลุ ศกั ราชได้ ๑๗ ปมี ะโรง สปั ตศก แลว้ พระยากาฬวรรณดศิ ราช กลับขึ้นไปทำนุบำรุงบ้านเมืองนาเคนทรแล้ว กลับลงมาเมืองสวางคบุรี จึงอาราธนาพระรากขวัญกับ พระบรมธาตุ กบั ขอ้ พระกรของพระพทุ ธเจา้ ทบ่ี รรจไุ วใ้ นพระเจดยี แ์ ตค่ รง้ั พระอานนท์ แลพระอนรุ ทุ ธเถรเจา้ กบั พระยาศรธี รรมาโสกราช ทา่ นชมุ นมุ กนั บรรจไุ วแ้ ตค่ รง้ั กอ่ นนน้ั ลงมาบรรจไุ วใ้ นพระเจดยี เ์ มอื งลโวส้ น้ิ ๒ ปี พระองคส์ วรรคต เมอ่ื พระพทุ ธศกั ราชลว่ งได้ ๑๐๔๓ พรรษา จลุ ศกั ราชได้ ๔๐ ปเี ถาะ สมั ฤทธศิ ก ลำดบั นน้ั พระยาพาลรี าช ไดค้ รองเมอื งศโุ ขไทยสบื มา เรื่องที่กัลปนา ๔อนง่ึ พระยารว่ งพระราชทานทไ่ี รแ่ ลนาสดั วดั วาอารามไวเ้ ปน็ พระกลั ปนาอทุ ศิ ไว้ สำหรบั วดั โคกสงิ คารามตำบลนา ๕๐๐ ไร่ ตำบลโอทานำ้ ๒๕๐ ไร่ ตำบลคลองวดั กปู ไปถงึ ปา่ ปนู ๑๕๐ ไร่ ตำบลนาดอนได้ ๔๖๐ ไร่ อันนี้ขึ้นแก่วัดโคกสิงคาราม แลที่ไร่แลนาสัดขึ้นแก่วัดแก้วราชประดิษฐาน ตำบลนาตะแคงได้ ๒๕ ไร่ ๕ ตำบลทุ่งขาลาได้ ๗๖๐ ไร่ ตำบลศีศะกระบือได้ ๗๕๐ ไร่ อันนี้ขึ้นแก่วัดแก้วราชประดิษฐาน ๑ ตามตน้ ฉบบั สมดุ ไทย อยใู่ นเรอ่ื งพระรว่ งอรณุ กมุ ารเมอื งสวรรคโลก กอ่ นพระรว่ งไปเมอื งจนี ตรวจสอบกบั เลขท่ี ๓๗ และ เลขท่ี ๕๑ ๒ ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๓๗ และ เลขท่ี ๕๑ วา่ เมอื งอเุ สน ๓ ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๓๗ และเลขท่ี ๕๑ วา่ บา้ นแมซ่ อ้ งแมว ๔ ตรวจสอบกับต้นฉบับสมดุ ไทย เลขท่ี ๓๗, ๕๑ และ ๕๔ ๕ ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๕๔ วา่ ๒๕๐ ไร่
พระราชพงศาวดารเหนอื ๙๙ แลที่ไร่แลนาสัดขึ้นแกว่ ัดอุทยานใหญ่ ตำบลบ้านป่าอ้อยเหลืองได้ ๑,๒๕๐ ไร่ ตำบลม่วงถวายด่านระกา เป็นแดนไปถึงปู่เจ้าศาลตลุงได้ ๕๒๐ ไร่ ขึ้นแก่นาวัดเขาหลวง แต่นาวัดเจ้าจันทร์มาถึงบ่อหิน มคี นั นาใหญก่ ลางทงุ่ เปน็ แดนได้ ๑๕๐ ไร่ ตำบลนามาไดไ้ รแ่ ลนา ๓๕๐ ตำบลบา้ นหนองจรเขไ้ ดไ้ รแ่ ลนา ๕๖๐ ไร่ อันนี้ขึ้นแก่วัดเขาหลวง ที่ไร่แลนาสัดขึ้นแก่วัดเขาอินทร์อรัญวาสี จันหันพระธรรมไตรโลก แตโ่ พธเ์ิ ถา้ นอกวดั ปา่ แกว้ มาถงึ ถนนหลวงไดไ้ รแ่ ลนา ๕๐๐ ไร่ แต่เชงิ พนมนอ้ ยมาถงึ บอ่ แกว้ ไรแ่ ลนา ๕๐ ไร่ ตำบลนามะกอกปมไดไ้ รแ่ ลนา ๕๖๐ ไร่ ตำบลตาลตน้ เดยี วทงุ่ ยง้ั ไดไ้ รแ่ ลนา ๒๕๐ ไร่ อนั นข้ี น้ึ แก่วดั เขาอนิ ทร์ แลทไ่ี รแ่ ลนาสดั ไวส้ ำหรบั วดั ไตรภมู ป์ิ า่ แกว้ ตำบลบา้ นเชยี งขางคชไดไ้ รแ่ ลนา ๒๔๐ ไร่ ตำบลบา้ นหนองอนิ ทร์ ได้ ไรแ่ ลนา ๕๗ ไร่ ตำบลบา้ นพระยานนทภกั ดไี ดไ้ รแ่ ลนา ๖๐๐ ไร่ ตำบลบา้ นฝา้ ยตน้ ไดไ้ รแ่ ลนา ๘๗๐ ไร่ มเี ขา้ เดอื น๑เปน็ แดน ทำเนียบคณะสงฆ์ อันนี้ขึ้นแก่วัดไตรภูมิ์ป่าแก้ว แลอันนี้คณะวัดพระมหาธาตุหนขวา ถ้าหาพระครูธรรมไตรโลก วัดเขาอินทร์แก้วมิได้ ให้พระครูยาโชดวัดอุทยานใหญ่ ขึ้นเป็นพระครูธรรมไตรโลกวัดเขาอินทร์แก้ว ถ้าหาพระครูธรรมเสนามิได้ ให้เอาพระครูธรรมไตรโลก เป็นพระครูธรรมเสนา ถ้าหาพระสังฆราชมิได้ ใหเ้ อาพระครธู รรมเสนาเปน็ พระสงั ฆราชวดั พระมหาธาตุ แตค่ ณะคามวาสคี ณะฝา่ ยซา้ ยวดั ไตรภมู ป์ิ า่ แกว้ ถา้ หาพระครญู าณไตรโลกมไิ ด้ ใหเ้ อาพระครญู าณสทิ ธเิ ปน็ พระครญู าณไตรโลก ถา้ หาพระครธู รรมราชามไิ ด้ ให้เอาพระครูญาณไตรโลกเป็นพระครูธรรมราชา ถ้าหาพระสังฆราชามิได้ ให้เอาพระครูธรรมราชาเป็น พระสงั ฆราชวดั ไตรภมู ป์ิ า่ แกว้ อนั นฝ้ี า่ ยซา้ ยเปน็ ประเพณแี ตโ่ บราณมา๒ เรื่องพระร่วงเมืองศุโขไทย ๓ขณะนั้นบุตรพระยาร้อยเอ็ดเป็นนายส่วยน้ำถึงแก่พิราไลย ขณะนั้นนายคงเคราเป็นส่วยน้ำ เสวยเมืองลโว้ไปส่งเมืองกัมพูชาธิบดี สามปีส่งทีหนึ่ง แต่นั้นมานายคงเคราคุมไพร่ ๓๐๐ คนรักษาน้ำ เสวยอยู่ในทุ่งทะเลชุบศร มีเรือเล็กร้อยหนึ่ง นายคงเครามีบุตรคนหนึ่งอายุ ๑๑ ขวบ ชื่อนายร่วง แต่ชาติก่อนเอาผลมะทรางทำน้ำอัฐบาน ถวายพระโกนาคมพุทธเจ้า จึงว่าไรเป็นนั้น ครั้นอยู่มาน้ำมาก ๑ คงเปน็ เขาเดอื น ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๕๔ วา่ เฃาดิน ๒ ตน้ ฉบบั สมดุ ไทยตอ่ ดว้ ยตอน พระยาร่วงไปเมืองจนี ในเรอ่ื งพระรว่ งอรณุ กมุ ารเมอื งสวรรคโลก ๓ ในตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เรอ่ื งนต้ี อ่ จากเรอ่ื งสรา้ งเมอื งเสนาราชนคร ตรวจสอบกับเลขที่ ๓๘, ๓๙, ๔๒ และ ๖๐
๑๐๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ เอาเรือพายเล่นในท้องพรหมมาศเหนื่อยแล้วขึ้นมา จึงว่าน้ำลงเชี่ยวนัก ให้ไหลกับไปถึงเรือนเราเถิด พอตกคำลงนำ้ กไ็ หลกลบั มาสง่ ถงึ บา้ น นายรว่ งเหน็ ดงั นน้ั กน็ ง่ิ อยู่ ครน้ั อยมู่ านายคงคมุ ไพรเ่ ปน็ นายกอง นน้ั ตาย ไพรท่ ง้ั ปวงจงึ ยกนายรว่ งบตุ รนายกองเปน็ นายกองบงั คบั ไพรต่ อ่ มา ครั้นอยู่มาครบคำรบ นักคุ้มคุมเกวียน ๕๐ เล่มกับไพร่ ๑๐๐๐ หนึ่ง๑มาบรรทุกน้ำเสวยพระเจ้า พนั ธมุ สรุ ยิ วงษ์สบื มา ลงุ้ นำ้ เลม่ ละ ๒๕ ใบ ครน้ั มาถงึ ทส่ี ระนำ้ นน้ั กจ็ อดเกวยี นพรอ้ มกนั จงึ ใหห้ านายกอง ใหเ้ ปดิ ประตจู ะตกั นำ้ หาพบนายกองไม่ ถามไพร่ ๆ บอกวา่ นายรว่ งบตุ รนายคงเปน็ นายไดร้ กั ษา จงึ บอก นาย ๆ กม็ าพดู จากบั นกั คมุ้ วา่ ลงุ้ นำ้ เอามาหนกั เสยี เปลา่ ครง้ั นไ้ี ขวช่ ะลอมใสไ่ ปเถดิ จะไดม้ ากไดพ้ อนานจงึ มาตกั นกั คมุ้ กต็ อบวา่ ตาหา่ งจะขงั นำ้ ไดฤ้ ๅ นายรว่ งวา่ กลวั จะไมม่ ที ใ่ี สอ่ กี นกั คมุ้ กลวั กร็ บั จงึ เกณฑส์ าน ชะลอมเลม่ ละ ๒๕ ใบ ใหน้ กั คมุ้ นำกราบทลู พระเจา้ ลแวกเถดิ ครน้ั กำหนดจะกลบั จงึ เปดิ ประตเู อาชะลอม ลงจุ้มน้ำยกขึ้นใส่เกวียนบรรทุกลงแล้ว นักคุ้มกลัวก็ยกไปจากที่นั้น ครั้นแรมรอนมาถึงแดนด่าน คนคุมน้ำมาสงสัยในใจอยู่ว่าชะลอมจะขังน้ำจะได้ฤๅ บันดาลให้น้ำในเล่มเกวียนนั้นไหลลงเห็นทั่วกัน จงึ สรรเสรญิ ฉะนน้ั จงึ จาฤกลงไว้ ทน่ี น้ั จงึ เรยี กวา่ ดา่ นพระจาฤก จงึ ยกไปทางตกึ โช ครน้ั ถงึ เมอื งเขา้ แลว้ ผู้คนก็เล่าลือกันว่าเอาชะลอมบรรทุกมาไม่มีน้ำ พระเจ้ากัมพูชาจึงเอานักคุ้มนายกองคุมเกวียนไปถาม ก็ทูลทุกประการ ยกชะลอมน้ำแกล้งเทลงในพะเนียงไม่มีที่ใส่ เสนาอำมาตย์จึงกราบทูลพระเจ้ากัมพูชา ๆ ตกพระทยั วา่ ผมู้ บี ญุ เกดิ แลว้ เราคดิ วา่ จะจบั ตวั ฆา่ เสยี ใหไ้ ด้ เสนาพฤฒามาตยร์ าชปโุ รหติ พระยาพระเขมร ก็เห็นด้วย จึงเกณฑ์ทัพเมืองขอมไปตามจับ ขอมรับอาสาตามจับ นายร่วงรู้ข่าวดังนั้นก็หนีไปถึงแดน เมืองพิจิตรไปอาศัยเขาอยู่ริมวัดขอข้าวชาวบ้านกิน ชาวบ้านเอาข้าวมาให้แก่นายร่วงกับปลาหมอตับหนึ่ง นายร่วงอดอาหารมาก็กิน หยิบปลาข้างละแถบแล้วโยนลงไป ในสระให้ปลาเป็นว่ายไป จนคุ้มเท่าบัดนี้ นายร่วงก็หนีไปจากที่นั้นไปอาศัยอยู่วัดเมืองศุโขไทย พอได้อุปสมบทสมภารจึงเรี่ยรายชาวบ้าน เอานายรว่ งอปุ สมบทเปน็ ภกิ ขจุ งึ เรยี กพระรว่ ง ขอมดำดนิ มาถงึ เมอื งลโวท้ ส่ี ระนำ้ เสวยนน้ั ถามชาวบา้ นวา่ นายร่วงนายกองส่วยน้ำอยู่ฤๅ ชาวบ้านบอกว่าขึ้นไปเมืองเหนือ ขอมรู้ดังนั้นก็ยกแยกกันไป ครั้นไปถึงเมืองสวรรคโลกถามชาวบ้านว่านายร่วงมาแต่เมืองใต้มาอยู่นี่ฤๅ ชาวบ้านบอกว่าเขาเล่าลือ กันว่าไปอยู่เมืองศุโขไทยบวชเป็นภิกขุอยู่ ขอมได้ความดังนั้นก็ไปเมืองศุโขไทย ผุดขึ้นกลางวัด พอพระร่วงมากวาดวัดอยู่ ขอมจึงถามว่าพระร่วงอยู่ไหน พระร่วงบอกว่าอยู่นี่เถิดจะบอกให้ขอมก็อยู่ ทน่ี น้ั เปน็ หนิ อยคู่ มุ้ เทา่ บดั น้ี ๑ ตน้ ฉบบั สมุดไทย เลขที่ ๓๘, ๓๙, และ ๖๐ ว่า ๑๐๐ หนึ่ง เลขท่ี ๔๒ ว่า รอ้ ยหนึง่
พระราชพงศาวดารเหนอื ๑๐๑ พระพุทธศักราช ๑๕๐๒ ปี เจ้าเมืองศุโขไทยทิวงคต เสนาบดีประชุมกันว่า วงศานุวงศ์ไม่มี แล้วเราจะเห็นผู้ใดเล่า เห็นแต่พระร่วงบวชอยู่วัด ก็เห็นด้วยอยู่พร้อมกัน จึงเสนากรมการพร้อมกัน ไปวัดอัญเชิญพระร่วงเจ้าลาผนวชแล้ว รับพระร่วงเข้ามาครองกรุงศุโขไทย พระยาศรีจันทราธิบดี จึงยกพลขึ้นไปเมืองสาวัตถี จึงเอาอ่างแก้วที่วัดสวรรค์ทารามไปลูกหนึ่งกับพระไตรปิฎก ครั้นไปถึงเมือง ฉเชยี งหลวง จงึ ใหเ้ อางาชา้ งเผอื กงาดำมาแกะเปน็ รปู พระรว่ ง กบั เขย้ี วงใู หญ่ ทง้ั พระไตรปฎิ ก กบั พระบรม ธาตขุ องพระพทุ ธเจา้ ทง้ั อา่ งแกว้ มาบรรจไุ วท้ ห่ี นิ ปนู ใชไ้ ด้ ๑๐๒ ปี พระองคส์ วรรคต เรื่องพระยาแกรก พระมหาพุทธสาครเป็นเชื้อมา ได้เสวยราชสมบัติอยู่ริมเกาะหนองโสนจึงเรียกวัดเดิมกัน จึงมี พระมหาเถรไลยลายองค์หนึ่ง เป็นเชื้อมาแต่พระรามเทพมาแต่ก่อน ได้พระบรมธาตุของพระพุทธเจ้า ๖๕๐ พระองค์ กับทั้งพระศรีมหาโพธิ์ ๒ ต้น มาแต่เมืองลังกาสีหฬ เธอจึงพาพระมหาสาครไปเมือง สาวัตถี จึงถ่ายเอาอย่างวัดเชตุวนารามมาสร้างไว้ต่อเมืองรอ แขวงบางทานนอกเมืองกำแพงเพ็ชร ชื่อ วดั สงั ฆคณาวาศหนง่ึ แลว้ จงึ เอาพระศรมี หาโพธใ์ิ สอ่ า่ งทองคำมาปลกู ไวท้ ร่ี มิ หนองนากะเล นอกวดั เสมา ปากน้ำ จึงเชิญพระบรมธาตุบรรจุไว้ด้วย ๓๖ พระองค์ จึงให้ชื่อวัดพระศรีมหาโพธิ์ลังกา แล้วจึงบรรจุ ไวใ้ นพระเจดยี บ์ า้ ง ในพระพทุ ธรปู ใหญบ่ า้ ง ในพระปรางคบ์ า้ งเปน็ พระบรมธาตุ ๓๖ พระองค์ ดว้ ยกนั แลว้ บรรจไุ วใ้ นพระพทุ ธไสยาสน์ วดั ปา่ โมกนน้ั ๓๖ พระองค์ ในพระปาเลไลยนอกเมอื งพนั ธมุ บรุ นี น้ั ๓๖ พระองค์ ในพระปรางค์วัดเดิมกัน๑เมืองหนองโสนนั้น ๓๖ พระองค์ ที่พระพุทธบาท ๓๖ พระองค์ในถ้ำ เขานครสวรรค์ ๓๖ พระองค์ ในถ้ำขุดคะสรรค์๒ ๓๖ พระองค์ ในเขาหินตั้งเมืองศุโขไทย ๓๖ พระองค์ ในเขาตุ้มแก้ว ๓๖ พระองค์ ในเมือง๓ชองแก้ว ๓๖ พระองค์ ในพระเจดีย์วัดเสนาศน์ ๓๖ พระองค์ ในพระเจดียว์ ัดคณะทาราม ๓๐ ในพระมหาธาตุ ๓๐ พระองค์ สามวัดนี้อยู่ในเมืองพิศณุโลก สิ้น ๙๗ ปี สวรรคต ศกั ราชได้ ๓๓๖ ปี พระยาโคดมไดค้ รองราชสมบตั อิ ยู่ ณ วดั เดมิ ๓๐ ปี สวรรคตมพี ระราชโอรส องคห์ นง่ึ ทรงพระนามชอ่ื พระยาโคตรตะบอง ไดค้ รองราชสมบตั แิ ทนพระราชบดิ า ทรงอานภุ าพยง่ิ นกั อยู่มาโหราทำฎีกาถวายทำนายว่า ผู้มีบุญจะมาเกิดในเมืองนี้ พระยาโคตรตะบองจึงสั่งให้จับ หญงิ มคี รรภม์ าฆา่ เสยี ทว่ั ขอบเขตทกุ แหง่ ครน้ั มานานโหรากราบทลู วา่ ผมู้ บี ญุ เกดิ แลว้ พระยาโคตรตะบอง ๑ ต้นฉบับสมดุ ไทย เลขท่ี ๓๘ ว่า กอ่ น เลขที่ ๔๒ วา่ ณ ๒ ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๓๘, ๔๒ และ ๖๐ วา่ สวรรค์ ๓ ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๓๘, ๔๒ และ ๖๐ มคี ำวา่ หลวง หลงั คำวา่ เมอื ง
๑๐๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ สั่งให้ป่าวร้องเอาทารกมาคลอกเสียให้สิ้น แต่ทารกผู้นั้นไฟคลอกไม่พอง ด้วยเทวดารักษาอยู่จึงมิตาย ครน้ั เวลาเชา้ สมณะไปบณิ ฑบาต พบทารกเอามาเลย้ี งไว้ ครน้ั อยนู่ านมาราษฎรมาปา่ วรอ้ งกนั วา่ โหรทลู วา่ ผมู้ บี ญุ จะมา กต็ น่ื กนั เปน็ โกลาหลจะไปดผู มู้ บี ญุ พระยาโคตรตะบองจึงตรัสแก่เสนาบดีว่า ถ้าเดินมาจะสู้ ถ้าเหาะมาจะหนี ชาวเมืองชวนกันไปดูผู้มีบุญ ทารกที่เพลิงคลอกนั้นอยู่วัดโพธิ์ผีไห้อายุได้ ๑๗ ปีก็ถัดไปดูผู้มีบุญ สมเด็จอำมรินทราแปลงตัวลงมา เป็นคนชราจูงม้ามาถึงที่ทารกผู้นั้นอยู่ จึงถามทารกว่าจะไปไหน ทารกตอบว่าจะไปดูผู้มีบุญ เจ้าของม้า จงึ วา่ จะถดั ไปเมอ่ื ไรจะถงึ ฝากมา้ ไวด้ ว้ ยเถดิ จะมาเลา่ ใหฟ้ งั ทารกกร็ บั เอามา้ ไว้ เจา้ ของมา้ จงึ วา่ ถา้ อยากขา้ ว เอาขา้ วของเราในแฟม้ กนิ เถดิ อนญุ าตใหแ้ ลว้ เจา้ ของมา้ กไ็ ป แตท่ ารกคอยนานอยแู่ ลว้ หารวู้ า่ ตวั เปน็ ผมู้ บี ญุ ไม่ จงึ เปดิ แฟม้ ดเู หน็ ของกนิ แลว้ กห็ ยบิ กนิ เขา้ ไป ดว้ ยเปน็ เครอ่ื งทพิ ยก์ ม็ กี ำลงั ขน้ึ จงึ เหน็ นำ้ มนั ในขวดกเ็ อาทาตวั เขา้ แขนขาที่ไฟคลอกงออยู่นั้นก็เหยียดออกได้หมดหายบาดแผลสิ้น จึงแลเห็นเครื่องกกุธภัณฑ์ ก็คิดในใจว่า กนู ผ้ี มู้ บี ญุ ฤๅ เอาเครอ่ื งกกธุ ภณั ฑใ์ สเ่ ขา้ เผน่ ขน้ึ หลงั มา้ มา้ กเ็ หาะมาพอถงึ ทพ่ี ระตำหนกั พระยาโคตรตะบอง แลเห็นก็หวาดหวั่นไหวตกใจ จึงหยิบตะบองขว้างไป หาถูกพระองค์ไม่ ไปตกลงเมืองล้านช้างพระยา โคตรตะบองกห็ นไี ป พระยาแกรกครองราชสมบตั ิ ชะพอ่ พราหมณถ์ วายพระนามชอ่ื พระเจา้ สนิ ธพอำมรนิ ทร์ ราษฎรเปน็ สขุ ยง่ิ นกั พระยาโคตรตะบองตามตะบองไปเมืองล้านช้าง เจ้าเมืองสัจจนาหะกลัวบุญญาธิการ พระยาโคตรตะบอง จึงยกพระราชบุตรให้เป็นอัครมเหสี เจ้าเมืองสัจจาหะรำพึงคิดแต่ในพระทัยว่า ที่ไหนคงจะคิดขบถต่อกูเป็นมั่นคง จะจับฆ่าเสีย มารำพึงคิดแต่ในใจว่าทำไฉนจะรู้แยบคาย จึงให้ไป หาลูกสาวมา ให้ลอบถามดูว่าจะทำอย่างไรจึงจะตาย นางก็รับคำพระราชบิดาแล้ว ก็กลับมาอ้อนวอน พระราชสามีว่า พระองค์ก็ทรงมหิทธิฤทธิ์ล้ำเลิศไม่มีผู้ใดจะเสมอ ทำไมพระองค์จึงจะตาย แต่นางร่ำไร ออ้ นวอนเปน็ หลายครง้ั พระยาโคตรตะบองจงึ บอกวา่ อนั ตวั เรานม้ี กี ำลงั หามผี ใู้ ดจะอาจเขา้ มาทำรา้ ยเราได้ จะฆา่ ดว้ ยอาวธุ อนั ใดมไิ ดต้ าย ถา้ เอาไมเ้ สยี บทวารหนกั จงึ จะตาย นางปลอบประโลมถามไดค้ วามดงั นน้ั แลว้ จึงบอกแก่พระราชบิดา ๆ ได้ฟังดังนั้นดีพระไทยนัก จึงคิดแก่เสนาบดีทำกาจับหลักไว้ที่พระบังคน เอาหอกขดั เขา้ ไวท้ ำสายใย๑ ครน้ั พระยาโคตรตะบองเขา้ ทพ่ี ระบงั คน อจุ าระตกลงไปถกู ใยเขา้ หอกกล็ น่ั ขน้ึ มาสวนทวารเขา้ ไป พระยาโคตรตะบองมานกึ แตใ่ นใจวา่ เสยี รดู้ ว้ ยสตรี จะอยทู่ ำไมในเมอื งน้ี จะกลบั ลงไป ๑ ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๔๒ วา่ ทำเปนสายยนต์
พระราชพงศาวดารเหนอื ๑๐๓ ในแดนเมืองเราเถิด พระองค์ดำริดังนั้นก็หนีไป พอเข้าแดนกรุงพระนครแล้ว ก็ข้ามไปถึงที่ ๑ นั้นก็สิ้น พระชนมล์ ง เสนาบดกี ราบทลู พระเจา้ สนิ ธพอำมารนิ ทรว์ า่ พระยาโคตรตะบองมาสน้ิ พระชนมล์ งทห่ี ลงั วดั ๒ ฝ่ายพระเจ้าสินธพอำรินทร์ สั่งให้ทำการศพพระราชเพลิงเสีย ที่พระราชทานเพลิงนั้นสถาปนา เปน็ พระอารามขน้ึ ใหน้ ามชอ่ื วดั ศพสวรรคจ์ นทกุ วนั น้ี พระพทุ ธศกั ราช ๑๘๕๐๓ ปมี ะโรง สปั ตศก พระเจา้ สนิ ธพอำมรนิ ทรเ์ สวยราชสมบตั ไิ ด้ ๓ ปเี สดจ็ ออกยังพระที่นั่งสังเขตรปราสาทจัตรมุขเบื้องบุรพทิศ ณ วันอาทิตย์ เดือน ๕ ขึ้น ๓ ค่ำ เป็นวัน ประชุมเจ้าพระยาแลพระยาพระหลวงขุนหมื่นข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย มารับพระราชทานน้ำพระพิพัฒน์ สจั จา แต่ ณ วนั พธุ แรม ๑๓ คำ่ ตามเมอื งใกลไ้ กล ยังมีพระไทเถรองค์หนึ่งเป็นเชื้อมาแตพ่ ระนาคเสน เอาเลข กะหํ ปายา มาถวาย จึงลบพระพุทธ ศักราช ๑๘๕๗ เป็นจุลศักราช ๓๐๖ ปีมะโรง ฉศก เป็นจุลศักราชใหม่สำหรับอาณาจักรจะได้ใช้สืบไป กว่าจะสิ้นพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้า ๕๐๐๐ พรรษา แล้วพระองค์สร้างวัดวิหารแกลบไว้ เป็นหลัก พระพทุ ธศาสนา พระเจา้ สนิ ธพอำมรนิ ทรเ์ สวยราชสมบตั ิ ๕๙ ปี พระองคส์ วรรคต๔ (ต่อนี้กล่าวถึงบุพกรรมแห่งพระยาสุทัศนซึ่งครองเมืองอินทปัต แลมีเรื่องพระยาแกรกความซ้ำกัน กบั ทก่ี ลา่ วมาแลว้ ) ๕ยังมีบุรุษผู้หนึ่งทำบุญให้ทานแลรักษาศีล แลได้สร้างพระเชตุพนถวายแก่พระพุทธเจ้า ทง้ั นำ้ อาบแลนำ้ ฉนั ไมส้ ฟี นั แลนำ้ บว้ นพระโอษฐ์ ทง้ั ดอกไมแ้ ลขา้ วกระยาคู ขา้ วบณิ ฑบาตเปน็ อาหาร แลใจ บุรุษผู้นั้นไม่รู้จักฉันทาโทษาแก่ท่านผู้อื่น ตั้งแต่ให้ทานรักษาศีลมิให้ขาด แต่ในศาสนาพระพุทธ กัสสปทศพลเป็นเจ้า แลบุรุษผู้นั้นครั้นตายได้ไปเกิดในสวรรค์ แล้วก็มีมาเกิดในศาสนาพระพุทธเจ้า เรานี้ ในตระกูลเศรษฐีมีในบ้านอโรชคาม มีเศรษฐี ๕๐๐ เป็นบริวาร ชื่อเจ้าสุทัศนกุมาร จำเริญใหญ่ ขึ้นมา แลเศรษฐีผู้บิดาให้มีเรือน จึงร้อนถึงอาสนะพระอินทราธิราช แลพระอินทรเจ้าจึงให้พระวิศุกรรม มานฤมิตเป็นปราสาททองมีพื้นได้ ๗ ชั้น ประดับด้วยแก้ว ๗ ประการ ทั้งโรงช้างม้าแลเรือนหลวง ๑ ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๔๒ เพม่ิ ขอ้ ความวา่ หลงั วดั เดมิ ๒ ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๔๒ เพม่ิ คำ เดมิ ๓ ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๔๒ วา่ ๑๘๕๗ ๔ เนือ้ เร่ืองในต้นฉบบั สมุดไทย เลขท่ี ๓๘, ๓๙, ๔๒ และ ๖๐ ตอ่ เรื่องพระนเรศวรหงษา ๕ ตรวจสอบกบั ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๕๕ หลงั เรอ่ื งสรา้ งเมอื งเสนาราชนคร และเลขท่ี ๖๑ หลงั เรอ่ื งพระเจา้ อทู่ อง
๑๐๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ กำแพงแกว้ ๗ ชน้ั สวนอทุ ยานแลสระโบกขรณเี ตม็ ไปดว้ ยบวั ๕ ประการ แลกำแพงเมอื งยอ่ มแลว้ ดว้ ยทอง ชือ่ วา่ เมอื งอนิ ทปตั นคร แลเศรษฐีทั้งหลายจึงราชาภิเษกเจ้าสุทัศนเป็นกษัตริย์ แตพ่ ระพทุ ธเจา้ ยังทรมาน อยู่โปรดสัตว์ทั้งหลาย แลเที่ยวมาบิณฑบาต ณ เมืองนั้น แลยังมีวณิพกพิการผู้หนึ่ง ถือกะลาขอทาน เขากนิ ในกลางถนนกลางตลาด กม็ าพบพระพทุ ธเจา้ ในหนทางจงึ เอาขา้ วทใ่ี นกะลานน้ั ใสบ่ าตรดว้ ยมอื อนั เนา่ หอ้ ยอยู่ แลว้ นว้ิ มอื นน้ั ขาดลงไปในบาตรพระพทุ ธเจา้ ครน้ั พระพทุ ธเจา้ มาถงึ ทฉ่ี นั จนั หนั พระพทุ ธเจา้ กย็ ก เอานิ้วมืออันตกลงนั้นออกเสีย จึงฉันจันหัน ครั้นฉันแล้วพระพุทธเจ้าจึงแย้มพระโอษฐ์ แลพระอานนท์ ทูลถาม พระพุทธเจ้าตรัสว่า ดูกรอานนท์ วณิพกพิการอันให้บิณฑบาตเป็นทานแก่ตถาคตแล้วจะได้เป็น พระยาในเมืองนี้ จะได้ลบศักราชตั้งไสยศาสตร์ ครั้นพระพุทธเจ้าทำนายแล้วเท่านั้น แลพระยาสุทัศน แตไ่ ดเ้ ปน็ พระยาในเมอื งอนิ ทปตั นคร แลมพี ระชนมายไุ ด้ ๑๕๐ ปี กท็ วิ งคตเดอื น ๖ แรม ๖ คำ่ วนั ๕ ปมี ะเสง็ พทุ ธศกั ราชได้ ๑๖๐๐ ปี ยงั แตบ่ ตุ รหลานสบื ๆ กนั มา ปรางคป์ ราสาทอนั แลว้ ไปดว้ ยทองกห็ ายสน้ิ ทกุ สง่ิ ทกุ อนั กอ็ นั ตรธานเปน็ ศลิ าทกุ ประการ แลจำเดมิ แตน่ น้ั มา พระยาโคตมเทวราชผหู้ ลาน ไดเ้ ปน็ พระยาใน เมอื งนน้ั แลชาวบา้ นเลา่ ลอื วา่ ผมู้ บี ญุ มาเกดิ แลว้ แลบา้ นเมอื งเราสนกุ สบายยง่ิ นกั ยังมีบุตรวณิพกผู้หนึ่ง เกิดมามีรูปอันลามก หลังขดเอวคดแข้งโกง เป็นคนเน่าทั้งตัว เหตุมิได้ รกั ษาศลี แลใหท้ านดจุ อานนทเศรษฐี แลบตุ รวณพิ กผนู้ น้ั คลานเขา้ ไปจะดผู มู้ บี ญุ แลสมเดจ็ พระอนิ ทรเจา้ ลงมาแต่สวรรค์ ทำเพศเป็นมนุษย์ขี่ม้าข้ามหนทางมา เห็นวณิพกนั้นจึงถามว่า ท่านจะคลานไปไหน วณพิ กนน้ั จงึ ขานวา่ ขา้ จะอตุ สา่ หค์ ลานไปไหวท้ า่ นผมู้ บี ญุ แลพระอนิ ทรเจา้ จงึ วา่ ดกู รทา่ น เราฝากมา้ แล เครอ่ื งทง้ั นไ้ี วแ้ กท่ า่ นบดั เดย๋ี วหนง่ึ เถดิ วณพิ กจงึ วา่ ทา่ นไปอยา่ ชา้ แลพระอนิ ทรเจา้ จงึ สง่ มา้ แลเครอ่ื งทง้ั นน้ั ไว้ให้แล้วจึงสั่งว่าถ้าเรานานมา แลของทั้งนี้เป็นของท่านเถิด ครั้นสั่งแล้วพระอินทรเจ้าก็ไปจากที่นั้น วณกิ จงึ คดิ วา่ บรุ ษุ ผนู้ เ้ี อามา้ แลเครอ่ื งมา้ ฝากเราไว้ จะมอี นั ใดบา้ ง จงึ แลดเู หน็ ขวดนำ้ มนั ยาทพิ ย์ จงึ เอามาทา ที่คดคอกก็เหยียดออกดูตรงเป็นอันดี แลจึงทาทั้งตัวก็ระงับดับหายโทษสิ้น ทั้งตัวก็งามดังทอง จึงคิด ใจใหญ่ว่าชะรอยตูนี้เป็นผู้มีบุญเที่ยงแท้ จึงเปลื้องผ้าเก่าที่ตนนุ่งห่มไปนั้นเสีย จึงทรงเครื่องทิพย์แลมงกุฎ พระขรรค์งามดุจดังเทวดา แล๑พระยาโคตมเทวราชรำพึงว่า ถ้าผู้มีบุญมาในแผ่นดินจะต่อด้วยกัน ถ้ามาในอากาศจะเอาตัวหนีไปอื่น ครั้นวณิพกทรงม้าแก้วม้าก็พาเหาะไปในอากาศเวหา ครั้นพระยา โคตมเทวราชแลเห็นผู้มีบุญเหาะมาในอากาศ ก็สะดุ้งตกใจกลัวจึงพานางอัครมเหสีแลบุตรี ทั้งเสนา ๑ จบตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๖๑ ตอ่ เลขท่ี ๖๒
พระราชพงศาวดารเหนอื ๑๐๕ อำมาตย์ไพร่พลโยธา พลช้างม้าออกจากพระนครในวันนั้นทั้ง ๘๐,๐๐๐ ไปข้างปาจิณ๑ทิศได้ ๑๕ วัน แล้วแสวงหาที่จะตั้งเมือง แลพระอินทราเจ้าจึงเอาวณิพกอันงามนั้นตั้งเป็นพระยา ได้ชื่อว่าพระยาแกรก ยกนางอันเป็นเผ่าพันธุ์ของพระยาโคตมเทวราชให้เป็นนางอัครมเหสี ๒แลพอจุลศักราชถ้วน ๑๐๐๐ พระอนิ ทรเจา้ เปน็ ประธาน ให้ลบศกั ราชในเมอื ง แลมลี กู หลานสบื ๆ กนั มา ถอยจากตระกลู กระษตั รยิ แ์ ต่ นน้ั มา แลพระยาโคตมเทวราชเสด็จมาถึงบ้านโกณฑัญญคาม พราหมณ์ชื่อโกนฑัญญพราหมณ์ เป็นใหญ่กว่าพราหมณ์ทั้งหลายได้ ๕๐๐ ครั้นเห็นพระยาแต่ไกล โกณฑัญญพราหมณ์ทั้งหลายก็ไป ต้อนรับพระมหากษัตริย์ ๆ จึงมีพระราชโองการตรัสถามว่า ดูราชีพ่อพราหมณ์ทั้งหลาย บ้านท่านนี้ชื่อใด ชีพ่อพรามหณ์ทูลว่า บ้านนี้ชื่อโกณฑัญญคาม แต่ตูข้าเป็นชีพ่อพราหมณ์ได้ ๕๐๐ คน จึงมีพระราช โองการวา่ เราจะสรา้ งเมอื งในสถานทน่ี ้ี ทา่ นทง้ั หลายจะยนิ ดฤี ๅไม่ พราหมณท์ ง้ั หลายกย็ นิ ดดี ว้ ยกนั ทง้ั สน้ิ พระเจ้าโคตมเทวราช จึงถามพราหมณ์แลเศรษฐีทั้งหลายว่า บ้านนี้เป็นโบราณมาฤๅสร้างขึ้นใหม่ เศรษฐีทูลว่าบ้านนี้เป็นบ้านโบราณมาได้สองชั่วสามชั่วผู้เฒ่าผู้แก่ พระพุทธเจ้าก็ได้เสด็จเข้ามาบิณฑบาต ในบา้ นน้ี พระยาไดฟ้ งั ดงั นน้ั ยนิ ดี ใหเ้ สนาอำมาตยต์ ง้ั พลบั พลาทอง แลว้ ใหช้ พี อ่ พราหมณผ์ เู้ ฒา่ ผแู้ ก่ กับเศรษฐีประชุมพร้อมกัน จึงให้ชีพ่อพราหมณ์ตั้งพิธีกินบวชสิ้น แลรำเขนง ๗ วันแล้วสระเกล้าขึ้นโล้ อมั พวาย ถวายแกพ่ ระอศิ วรพระนารายณ์ แลว้ ไปเลยี บทจ่ี ะตง้ั พระราชวงั ใหพ้ ราหมณป์ า่ วเทวดา เปา่ สงั ขท์ ง้ั ๓ รอบ แลปักไม้แลเส้นสรวงให้พราหมณ์เสียจัญไร แลจ่ายหน้าที่ไว้อำมาตย์เสนาแลคนทั้งหลาย ขุดคูแลพูนกำแพงถึง ๗ เดือน ทั้งพระราชวังแลเมือง ทั้งบ้านเศรษฐีแลบ้านพราหมณ์ เข้าอยู่ในเมืองสิ้น ไพร่พลอยู่ชั้นนอกสามชั้นรอบเมือง พระเจ้าโคตมเทวราช ก็เอาบ้านพราหมณ์เป็นเมือง แลโกณฑัญญ พราหมณ์มีบริวาร ๕๐๐ โกณฑัญญเศรษฐีมีบริวาร ๕๐๐ สมเด็จพระเจ้าโคตมเทวราชเสด็จอยู่ สำราญเป็นสุข พุทธศาสนาได้ ๑๖๐๐ ปี จึงมีพระราชโองการตรัสสั่งอำมาตย์ผู้หนึ่งว่า ท่านจงเคารพ ผเู้ ฒา่ ผแู้ กท่ ง้ั หลาย แลอำมาตยน์ น้ั หหู นกั ไมไ่ ดย้ นิ ถนดั ไดย้ นิ ไปวา่ พระมหากษตั รยิ ส์ ง่ั วา่ ทา่ นทง้ั หลาย สร้างพลาโอจงทุกคน ๆ เถิด เสนาบดีจึงทูลว่า พระองค์เจ้าสั่งให้ตูข้าพเจ้าสร้างพลาโอจงทุกคน พระองคเ์ จา้ จะตอ้ งพระราชประสงคอ์ นั ใด จงึ มพี ระราชโองการวา่ เราสง่ั ใหท้ า่ นทง้ั หลายเคารพผเู้ ฒา่ ผแู้ ก่ สั่งสอนเท่านั้นสิว่าให้สร้างพลาโอเล่า แลมีพระราชโองการตรัสห้ามมิให้เอาเป็นอำมาตย์แต่นั้นมา ๑ ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๖๒ วา่ ปจมิ ๒ ตรวจสอบกบั ตน้ ฉบบั เลขท่ี ๔๐ ดว้ ย
๑๐๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ แลพระยาโคตมเทวราช มีพระราชบุตรองค์หนึ่งชื่อเจ้ากาญจนกุมาร เป็นพระยาแทนพระบิดา นานมา จึงชื่อเจ้าไวยยักษา ครั้นใหญ่มาชื่อเจ้าโคตรตะบอง ไปสร้างเมืองพิจิตร จึงมีชื่อพระยาโคตรตะบอง เจา้ ไวยยกั ษาไปสรา้ งเมอื งพไิ ชย จงึ ไดช้ อ่ื พระยามอื เหลก็ ๑ เรื่องพระนเรศวรหงษา ๒จลุ ศกั ราช ๒๑๕ ปเี ถาะ เบญจศก พระเจา้ จนั ทโชตกิ บั เจา้ ฟา้ ปฏมิ าสดุ าดวงจนั ทร์ ขน้ึ ไปครอง เมอื งลโว้ ทง้ั พระพน่ี างทรงพระนามชอ่ื เจา้ ฟ้าแกว้ ประพาฬขน้ึ ไปดว้ ย พระยาจนั ทโชติ เสวยราชสมบตั ไิ ด้ ๕ ปี สรา้ งวดั กฎุ ที องถวายพระอาจารย์ พระอคั รมเหสสี รา้ งวดั คงคาวหิ าร ศกั ราช ๒๒๐ ปมี ะแม สมั ฤทธศิ ก พระเจา้ อโนรธามงั ฉอ่ เจา้ เมอื งสเทมิ ปรกึ ษาเสนาบดวี า่ เราจะยก ไปตเี มอื งลโว้ เดอื น ๑๒ ใหเ้ กณฑช์ า้ ง ๓,๐๐๐ มา้ ๕,๐๐๐ พล ๑๐๐,๐๐๐ สรรพไปดว้ ยเครอ่ื งสรรพสาตรา เสร็จ ให้พระยาเริงจิตรตองเป็นทัพหน้า ช้างเครื่อง ๑๐๐ ม้า ๑๕๐ พล ๑๐,๐๐๐ นันทะกะยอซูเป็น ปกี ขวา ชา้ ง ๑๐๐ มา้ ๑๕๐ พล ๑๐,๐๐๐ นนั ทะกะยอทางปกี ซา้ ย ชา้ ง ๑๐๐ มา้ ๑๕๐ พล ๑๐,๐๐๐ โปวิจารำทัพหลัง ช้าง ๗๐๐ พล ๒๐,๐๐๐ ครั้นได้พิชัยฤกษ์ วันอังคาร เดือน ๑๒ ขึ้น ๑๓ ค่ำ ยกทพั หลวงออกจากพระนคร มาทางกลาง ๓๙ วนั ถงึ เมอื งลโวน้ น้ั ณ วนั เดอื นอา้ ยแรม ๑๓ คำ่ พระเจา้ อโนรธามังฉ่อสั่งให้นายทัพนายกองเข้าล้อมเมืองไว้ ๔ ด้านถึง ๗ วัน หามีผู้ใดออกมารับทัพไม่ พระเจ้า จนั ทโชติจงึ ปรกึ ษาเสนาบดวี า่ ทพั มาลอ้ มครง้ั นใ้ี หญห่ ลวงนกั เสนาบดจี ะคดิ ประการใดดี เสนาบดกี น็ ง่ิ อยู่ หมื่นจะสกู ราบทูลว่าศึกครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก คิดจะใคร่เป็นไมตรี ด้วยทหารเรายังมิชำนาญศึก พระเจ้า จนั ทโชตกิ เ็ หน็ ดว้ ย จงึ เขา้ ไปปรกึ ษาเจา้ ฟา้ ปฏมิ าสดุ าดวงจนั ทร์ วา่ ศกึ ครง้ั นย้ี กมามริ ตู้ วั ไพรบ่ า้ นพลเมอื ง สะทา้ นสะเทอื นอยู่ เราจะถวายพระพน่ี างไปเปน็ ทางพระราชไมตรเี หน็ ศกึ จะออ่ นลง เจา้ ฟา้ ปฏมิ าสดุ าดวง- จันทร์ก็เห็นด้วย เสด็จออกสั่งให้เสนาบดีแต่งวอกับนางกำนัล ๑๐๐ วันศุภมงคลฤกษ์ จึงเชิญเจ้าฟ้าแก้ว ประพาฬขน้ึ สสู่ วี กิ ากาญจนอลงกฎ กบั ขา้ สาว ออกไปกบั พระราชสาสน์ ถวายพระพน่ี างเปน็ ทางพระราชไมตรี จงึ ใหเ้ สนามขุ มนตรนี ำเอาพระเจา้ พน่ี างมาถวาย ครน้ั ถงึ คา่ ยพระเจา้ อโนรธามงั ฉอ่ เสนาอำมาตยน์ ำขน้ึ เฝา้ ถวายพระราชสาส์นทราบแล้วก็ดีพระทัย สั่งให้รับนางมาตำหนักใน ทอดพระเนตรศิริวิลาศงามยิ่งนัก มีความประดิพัทธ์ในนางยิ่งนัก จึงให้จัดทอง ๑๐ ชั่ง ช้าง ๑๐๐ ม้า ๑๐๐ ให้เสนาบดีนำกลับลงไป ถวายพระเจา้ จนั ทโชติ แตน่ น้ั มาเมอื งลโวก้ บั เมอื งสเทมิ เปน็ สวุ รรณปถพเี ดยี วกนั พระราชสาสน์ ไปมาหากนั ๑ เนื้อเร่ืองในต้นฉบบั สมดุ ไทยเลขท่ี ๕๐, ๕๕ และ ๖๒ ตอ่ เรอื่ งพระเจา้ อทู่ อง เรื่องที่ ๒ ๒ เนื้อเรื่องในต้นฉบับสมุดไทย เลขที่ ๓๘, ๓๙, ๔๒ และ ๖๐ ต่อจากเรื่องพระยาแกรก
พระราชพงศาวดารเหนอื ๑๐๗ ครน้ั ณ วนั พธุ เดอื น ๓ แรม ๓ คำ่ ยกทพั กลบั ไปถงึ พระนครจงึ แตง่ การพธิ ี จงึ อภเิ ษกเจา้ ฟา้ แกว้ ประพาฬ เปน็ พระอคั รมเหสเี อก ทง้ั ๒ พระนครไพศาลสมบรู ณท์ ว่ั ทกุ หญงิ ชาย เจา้ ฟา้ แกว้ ประพาฬทรง พระครรภถ์ ว้ นคำรบประสตู พิ ระราชกมุ าร พระราชบดิ าเสนห่ ายง่ิ นกั ครน้ั จำเรญิ ใหญข่ น้ึ พระราชบดิ าใหเ้ อา ช่างมาทำลูกขลุบให้พระราชกุมารเล่นเป็นนิจจนใหญ่ ๕ กำ พระราชบิดาถวายพระนามพระราชกุมารชื่อ พระนเรศวร ทกุ ประเทศธานเี กรงบญุ สมภารยง่ิ นกั เจ้าฟ้าปฏิมาสุดาดวงจันทร์มีพระราชกุมารองค์หนึ่ง ครั้นพระชนม์ได้ ๑๔ ปี ลาพระราชบิดา จะขึ้นไปเยี่ยมเยียนพระเจ้าป้า ณ เมอื งสเทมิ พระราชบิดาจัดแจงพลทหารให้ แล้วลายกไปถึง พระเจ้า อโนรธามงั ฉอ่ ใหร้ บั พระราชนดั ดาเขา้ มา กช็ น่ื ชมโสมนสั พระกมุ ารทง้ั สองกร็ กั ใครก่ นั ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง พากันขึ้นไปเล่นบนปราสาท พระเจ้าอโนรธามังฉ่อเสด็จออกอยู่ที่พระแกล ทอดพระเนตรเห็นเจ้ากุมารทั้งสองขึ้นไปบนปราสาท เห็นพระราชนัดดาเป็นสี่กร จึงคิดแต่ในพระทัยว่า อ้ายลูกคนนี้มันจะเอามอญเป็นข้ามันเสียหมด ดำริว่าฉะนั้นแล้วก็นิ่งอยู่ ครั้นอยู่มาพี่น้องวิวาทกันด้วย ขี่ม้าตีคลีที่สนามเล่น พระนเรศวรแพ้พระราชกุมารเป็นหลายครั้ง คิดแค้นจะใคร่ฆ่าพระราชกุมารนั้นเสีย พระราชกุมารรู้จึงคิดกันกับพี่เลี้ยงจะหนีไป ให้เกลี้ยกล่อมมอญจะพามาด้วย ครั้นพี่เลี้ยงไปเกลี้ยกล่อม พวกพลกเ็ ขา้ มา ครน้ั พรอ้ มเสรจ็ ใหผ้ กู พลายทองแดงออกเลน่ ทกุ วนั ไดท้ เี วลาคำ่ ประมาณยามเศษยกหนี พวกพลนั้นยกไปก่อน ๕ วัน ๖ วัน แล้วทำทีเป็นเที่ยวหากิน เวลารุ่งเช้าชาวพระนครพูดจากันแซ่ไปว่า พระราชกมุ ารหนไี ป พาชาวเมอื งไปดว้ ยเปน็ อนั มาก ทราบถงึ พระนเรศวร ๆ เอากจิ การกราบทลู พระราชบดิ า ว่า พระราชกุมารพาพลชาวเมืองไป จะขออาสาออกไปจับ พระราชบิดาห้ามว่าอย่าไปเลยสู้เขาไม่ได้ พระนเรศวรกม็ ฟิ งั ใหเ้ กณฑท์ พั พระนเรศวรทรงชา้ งตน้ พลายตนุ่ สงู ๖ ศอกยกตามมาแดนไทยทนั ศกั ราช ๔๓๑ ปี จะเข้าชนพลายทองแดง ๆ เล็กทานมิได้ถอยมา พระนเรศวรได้ทีจับเอาลูกขลุบเงื้อขึ้น จะทง้ิ เอาพระราชกมุ าร ๆ รอ้ งวา่ เจา้ พเ่ี ลน่ เปน็ ทารกหาควรไม่ พระนเรศวรไดย้ นิ ละอายพระทยั กว็ างลกู ขลบุ ลงเสีย พอพลายทองแดงได้ต้นพุดทราที่มั่นยันถนัด หันรับช้างพระนเรศวรเปรไป พระราชกุมารบ่าย ของ้าวจ้วงฟันเห็นเป็นสี่กร พระนเรศวรตกพระทัยพระพักตร์เผือดไปเกี่ยวช้างพระที่นั่ง พระราชกุมาร พาพวกพลมาพระนคร (พา) ครอบครัวมาถวายพระราชบิดา แล้วกราบทูลกิจจานุกิจทุกประการ ให้แต่งการสมโภชพระราชกุมาร ขนานนามพระนารายณ์ แต่นั้นมาเมืองสเทิมกับเมืองลโว้ ขาดทาง พระราชไมตรกี นั แตน่ น้ั มา มอญนเรศวรซง่ึ ไดม้ านน้ั อยทู่ เ่ี มอื งบา้ ง อยบู่ างขามโพชายบา้ ง คมุ้ เทา่ บดั น้ี
๑๐๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ จลุ ศกั ราช ๒๔๒ ปรี ะกา โทศก มหาอำมาตยไ์ ดค้ รองราชสมบตั ไิ ด้ ๑๒ ปสี วรรคต พระนารายณส์ รา้ ง วดั ปหี นง่ึ ศกั ราช ๒๔๙ ปมี ะเมยี นพศก พระนเรศวรยกพล ๔๐ แสนมาลอ้ มกรงุ ตง้ั คา่ ยอยตู่ ำบลนนตรี ทราบว่าพระนารายณ์ได้ครองราชสมบัติ เกรงพระเดชเดชานุภาพเป็นอันมาก จึงให้แต่งหนังสือเป็น ใจความว่าเรายกพยุหแสนยากร จะใคร่สร้างวัดพนันคนละวัด พระน้องเราจะเห็นประการใด ถ้าเราแพ้ จะยกกลบั ถา้ พระนอ้ งแพเ้ ราจะครองเมอื ง ครน้ั แตง่ เสรจ็ แลว้ ใหส้ มงิ จาโปถอื เขา้ ไปถวาย เสนานำแขกเมอื ง เข้าเฝ้ากราบทูลทุกประการ จึงตรัสว่าพระเจ้าพี่จะสร้างก็สร้างเถิด คนละมุมเมืองข้างทิศพายัพ เราอยู่ ขา้ งทศิ หรดี ไปทลู พระนเรศวร ๆ กส็ ง่ั นายทพั นายกองจดั การทำอฐิ เปน็ อนั มาก กอ่ พระเจดยี ก์ วา้ ง ๔ เสน้ สงู ๙ เสน้ ๑๐ วา พระนารายณก์ อ่ พระเจดยี ก์ วา้ ง ๓ เสน้ สงู ๗ เสน้ ๔ วา ๒ ศอก พระนเรศวรกอ่ ๑๕ วนั ถงึ บวั กลมุ่ ใหน้ ามวดั ภเู ขาทอง พระนารายณจ์ ะแพ้ คดิ เปน็ อบุ ายทำโครงเอาผา้ ขาวดาด พระนเรศวร เหน็ ดงั นน้ั คดิ กลวั เลกิ ทพั กลบั ไป พระนารายณใ์ หก้ อ่ จนแลว้ ใหน้ ามวดั ใหญไ่ ชยมงคล แลว้ พระนารายนไ์ ปสรา้ งพระปรางคเ์ มอื งลโว้ ขนานนามเมอื งใหมช่ อ่ื วา่ เมอื งลพบรุ ี แตน่ น้ั มาเปน็ เมืองลูกหลวง พระนารายทรงประชวรลงมา ครั้นถึงพระราชวัง ๓ วันสวรรคต ถวายพระเพลิงที่วัด พระองคส์ รา้ งใหช้ อ่ื วดั นารายนอ์ ศิ รา แตน่ น้ั มาเมอื งวา่ งเปลา่ อยอู่ ำมาตย์ ๙ คนรบฆา่ ฟนั ชงิ ราชสมบตั กิ นั โลหิตในเมืองนั้นประดุจหนึ่งท่วมท้องช้าง แต่ทำศึกสิ้น ๒ ปี ศักราชได้ ๓๑๑ ปีมะเส็ง เอกศก พระเจ้าหลวงได้ราชสมบัติ ๙ ปี จึงกำหนดตั้งพิกัดอากรขนอนตลาดไว้ทุกตำบล จึงสั่งให้ยกวังเป็นวัด เรียกว่าวัดเดิมแต่นั้นมา ศักราช ๓๖๐ ปีมะแม สัมฤทธิศกลงมาสร้างเมืองใหม่ สร้างตำหนักวังอยู่ ทา้ ยเมอื ง ไปสรา้ งวดั โปรดสตั วยงั หาแลว้ ไม่ สวรรคตลงทน่ี น้ั ศกั ราช ๒๗๓ ปมี ะแม โทศก ครน้ั สน้ิ กษตั รยิ ห์ ามผี ใู้ ดจำบำรงุ พระพทุ ธศาสนาแลอาณาประชาราษฎรไม่ พราหมณป์ โุ รหติ คดิ กนั วา่ จะเสย่ี ง เรอื สพุ รรณหงษเ์ อกไชยกบั เครอ่ื งกกธุ ภณั ฑไ์ ป เรื่องพระเจา้ สายนำ้ ผง้ึ ขณะนั้นหมู่เด็กเลี้ยงโคอยู่ ณ ทุ่งนา ๔๗ คน เลี้ยงโคตำบลมีปลวกอันใหญ่สูงศอกเศษ ตั้งตัว เป็นคนหนึ่งขึ้นว่าราชการบนจอมปลวกนั้น หมู่เด็กทั้งปวงหมอบราบอยู่เป็นนิจ จึงตั้งเป็นขุนอินทรเทพ ขนุ พเิ รนทรเทพ เปน็ ทข่ี นุ นางผใู้ หญ่ วา่ ราชการบนปราสาทปลวก โกรธขา้ ราชการสง่ั ใหเ้ พชฌฆาตเอาไปฆา่ เสยี ดว้ ยไมข้ ต้ี อก ไปตดั ศรี ษะ ๆ นน้ั กข็ าด เรยี กวา่ บา้ นหวั ปลวกแตน่ น้ั มา ครง้ั นน้ั พราหมณป์ โุ รหติ โหราสโมสร เสย่ี งเครอ่ื งกกธุ ภณั ฑก์ บั เรอื เอกไชยสพุ รรณหงษไ์ ปตามชลมารค ไปถงึ บา้ นเดก็ เลน่ เรอื สพุ รรณหงษก์ ห็ ยดุ อยู่ พลพายเรือมิได้ไป พราหมณ์เป่าสังข์แตรงอนแตรฝรั่งขึ้นพร้อมกัน รับเอานายหมู่เด็กมาครองราชสมบัติ
พระราชพงศาวดารเหนอื ๑๐๙ จึงเรียกว่าบ้านเด็กเล่นแต่นั้นมา จึงเชิญขึ้นเสวยราชสมบัติ ให้เอาพวกเด็กเล็กเพื่อนกันลงมาตั้งให้เป็น ข้าราชการ อยู่มาวันหนึ่งลงไปสรงน้ำ เห็นลูกมอญมาขายผ้าพ่อลูกได้เบญจลักษณ จึงให้มหาดเล็ก ไปตามดูให้รู้ว่านางจะอยู่ที่ไหน มหาดเล็กก็ไปดูเห็นที่อยู่แล้ว ก็กลับมาทูลประพฤติเหตุทุกประการ อยู่มากาลวันหนึ่งนางนั้นมีระดูโลหิตติดผ้า เอาผ้าไปตากผึ้งจับเห็นเป็นอัศจรรย์ คนก็เห็นมาก ครั้นถึง วันศุกร์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เวลาเช้า จึงแต่งเรือลงไปรับกับคานหามถึงแล้ว ชาวบ้านตกใจเป็นอันมาก ก็รับนางขึ้นคานหามมาพระราชวัง แต่นั้นมาจึงเรียกว่าบ้านคานหามมาจนบัดนี้ ครั้นถึงพระราชวัง จงึ รบั นางขน้ึ ราชาภเิ ษกเปน็ เอกอคั รมเหสี ไพรบ่ า้ นพลเมอื งอยเู่ ยน็ เปน็ สขุ ทว่ั ไป ขณะนน้ั พระเจา้ กรงุ จนี ไดบ้ ตุ รบญุ ธรรม ในจน่ั หมากเอามาเลย้ี งไวใ้ หน้ ามชอ่ื วา่ นางสรอ้ ยดอกหมาก ครั้นวัฒนากรเจริญขึ้น จึงให้หาโหรมาให้ทำนายว่า ลูกกูคนนี้จะควรคู่ด้วยกษัตริย์เมืองใด โหรพิเคราะห์ ดูหาเห็นว่าจะอยู่แห่งใดไม่ เห็นอยู่แต่ทิศตะวันตกกรุงไทย มีบุญญาภิสังขารมากนัก เห็นจะควรกับ พระราชธิดา จึงกราบทูลว่าจะได้กับพระเจ้ากรุงไทยเป็นแน่ พระเจ้ากรุงจีนให้แต่งพระราชสาส์นเข้ามา ให้ขนุ แกว้ การเวท๑ถอื เขา้ มา ขนุ นางผใู้ หญน่ ำเขา้ เฝา้ ถวายพระราชสาสน์ จงึ สง่ั ใหเ้ บกิ ทตู านทุ ตู เขา้ ไปเฝา้ ในพระราชสาสน์ นน้ั วา่ พระเจา้ กรงุ จนี ใหม้ าเปน็ ทางพระราชไมตรถี งึ พระเจา้ กรงุ ศรอี ยทุ ธยา ดว้ ยเราจะยก พระราชธดิ าใหเ้ ปน็ พระอคั รมเหสี ใหเ้ สดจ็ ออกมารบั โดยเรว็ ครน้ั ไดแ้ จง้ ในพระราชสาสน์ ดงั นน้ั กด็ พี ระทยั จึงตรัสว่าเดือน ๑๒ จะยกออกไป ให้ตอบแทนเข้าของไปเป็นอันมาก ทูตทูลลากลับไป จึงสั่งให้จัด เรอื เอกไชยเปน็ กระบวนพยหุ ะ จุลศักราช ๓๙๕ ปีมะเมีย เบญจศก ครั้น ณ วันเดือน ๑๒ แรม ๑๑ ค่ำ ได้ศุภวารฤกษ์ดี จงึ ยกพยหุ ะไปทางชลมารคพรอ้ มดว้ ยเสนาบดี เสดจ็ มาถงึ แหลมวดั ปากคลองพอนำ้ ขน้ึ จงึ ประทบั พระทน่ี ง่ั อยู่หน้าวัด จึงทอดพระเนตรเห็นผึ้งจับอยู่ที่อกไก่ใต้ช่อฟ้าหน้าบัน จึงทรงพระดำริว่า จะขอนมัสการ พระพุทธปฏิมากร เดชะบุญญาภิสังขารของเรา ๆ จะได้ครองไพร่ฟ้าอาณาประชาราษฎรด้วยกันเสร็จ ขอให้น้ำผึ้งย้อยหยดลงมา กลั้วเอาเรือรีบขึ้นไปประทับแทบกำแพงแก้วนั้นเถิด พอตกพระโอษฐ์ลงดังนั้น น้ำผึ้งก็ย้อยลงมา กลั้วเอาเรือพระที่นั่งรื้อขึ้นไปถึงที่ ข้าราชการผู้ใหญ่ผู้น้อย เห็นประจักษ์แก่ตาแล้ว เสด็จนมัสการจึงเปลื้องเอาพระภูษาทรงสักการบูชาพระพุทธปฏิมากรนั้นเสร็จแล้ว เสด็จลงเรือพระที่นั่ง ก็ถอยลงมาตามเดิม พระสงฆ์สมภารลงมาถวายชัยมงคลว่า มหาบพิตรพระราชสมภารจะสำเร็จความ ปรารถนา จะครองไพร่ฟ้าอยู่เย็นเป็นสุขทั่วทิศ จึงถวายพระนามว่าพระเจ้าสายน้ำผึ้ง ครั้นน้ำหยุดจะลง ๑ ตน้ ฉบับสมดุ ไทย เลขที่ ๓๘ วา่ ขนุ แกว้ การเวก
๑๑๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ พระองคก์ ส็ ง่ั ใหท้ า้ วพระยาพฤฒามาตยท์ ง้ั หลายแลเสนามนตรกี ลบั ขน้ึ ไปรกั ษาพระนคร แตพ่ ระองค์ เสด็จไปทรงเรือพระที่นั่งเอกไชยลำเดียว ด้วยอำนาจพระราชกุศลที่ได้สร้างมาแต่ปางหลัง ก็เสด็จไป โดยสะดวกจนถึงเขาไพ่๑ พอจีนทั้งหลายเที่ยวอยู่ในท้องทะเลนั้นเห็นเป็นอัศจรรย์นัก จึงนำเอาเนื้อความ กราบทูลพระเจ้ากรุงจีน ๆ ก็สะดุ้งตกใจนัก จึงสั่งให้เสนาผู้ใหญ่ไปดูว่าจะมีบุญจริงฤๅ ๆ ประการใด ใหป้ ระทบั ๒ แหง่ ทอ่ี า่ วนาคคนื หนง่ึ ครน้ั เวลาคำ่ จนี ใชค้ นสอดแนมดวู า่ จะเปน็ ประการใด ครน้ั ไปฟงั ดู ได้ยินเสียงดุริยางคดนตรีครึกครื้นไป จึงเอาเนื้อความดังนั้นกราบทูล จึงสั่งให้เชิญมาอยู่อ่าวเสือ คืนหนึ่งจึงแต่งการรับ ครั้นเวลาราตรีกาล เทพยดาบันดาลดุริยางคดนตรี ครั้นรุ่งขึ้นจึงพระเจ้ากรุงจีน แตง่ การกระบวนแหร่ บั พระเจา้ สายนำ้ ผง้ึ เขา้ มาพระราชวงั จนี ทว่ั ประเทศสรรเสรญิ บญุ ทว่ั ไป พระเจา้ กรงุ จนี ให้ราชาภิเษกนางสร้อยดอกหมาก เป็นพระอัครมเหสีพระเจ้าสายน้ำผึ้ง พระเจ้ากรุงจีนแต่งสำเภา ๕ ลำ กับเครื่องอุปโภคบริโภคเป็นอันมาก ให้จีนมีชื่อ ๕๐๐ คนเข้ามาด้วย จึงพระเจ้ากรุงจีนให้เชิญพระเจ้า สายนำ้ ผง้ึ ไปเฝา้ ตรสั วา่ บา้ นเมอื งหามผี ใู้ ดรกั ษาไม่ แลเกลอื กจะมศี กึ มายำ่ ยี ใหพ้ ากนั กลบั ไปพระนครเถดิ พระเจ้าสายน้ำผึ้งก็ถวายบังคมลาพานางลงสำเภา ๑๕ วันมาถึงแดนพระนคร ขุนนางผู้ใหญ่ผู้น้อยกับ พระราชาคณะ ราษฎร เทพนกิ ร กโ็ สมนสั ยนิ ดที ว่ั ไปจงึ แตง่ การรบั เสดจ็ พระราชาคณะถานานกุ รม ๑๕๐ ไปรบั ทเ่ี กาะ จงึ เรยี กเกาะพระแตน่ น้ั มา แลว้ กเ็ ชญิ เสดจ็ มาทา้ ยเมอื งทป่ี ากนำ้ แมเ่ บย้ี แลเสนาบดรี าชาคณะ จงึ เชญิ เสดจ็ เขา้ พระราชวงั สง่ั ใหจ้ ดั ทต่ี ำหนกั ซา้ ยขวาสำเรจ็ แลว้ จงึ ใหเ้ ถา้ แกก่ บั เรอื พระนง่ั ลงมารบั นาง ๆ จงึ ตอบวา่ มาดว้ ยพระองคโ์ ดยยาก มาถงึ พระราชวงั แลว้ เปน็ ไฉนจงึ ไมม่ ารบั ถา้ พระองคไ์ มล่ งมารบั แลว้ ไมไ่ ป เถา้ แกเ่ อาเนอ้ื ความกราบทลู ทกุ ประการ พระองคแ์ จง้ ดงั นน้ั กว็ า่ เปน็ หยอกเลน่ มาถงึ นแ่ี ลว้ จะอยทู่ น่ี น่ั กต็ ามเถดิ นางรู้ความดังนั้นสำคัญว่าจริงยิ่งเศร้าพระทัยนัก ครั้นรุ่งเช้าแต่งกระบวนแห่มารับ จึงเสด็จพระราชดำเนิน มาดว้ ย ครน้ั ถงึ เสดจ็ ไปบนสำเภารบั นาง ๆ ตดั พอ้ วา่ ไมไ่ ป พระเจา้ สายนำ้ ผง้ึ จงึ สพั ยอกวา่ ไมไ่ ปแลว้ กอ็ ยนู่ ่ี พอตกพระโอษฐลง นางก็กลั้นใจตาย พวกจีนไทยร่ำรักแซ่ไป จุลศักราช ๔๐๖ ปีมะโรงฉศกจึงเชิญ ศพมาพระราชทานเพลิงทีแ่ หลมบางกะจะ สถาปนาเป็นพระอาราม ให้นามชื่อวัดพระเจ้าพระนางเชิงแต่ นน้ั มา๒ ๓ พระเจ้าสายน้ำผึ้งจึงยกพลลงไปขุดบางเตยจะสร้างเมืองใหม่ พระอาจารย์ห้ามว่าน้ำเค็มนัก ยังไม่ถึงพุทธทำนายสร้างไม่ได้ จึงสร้างวัดหน้าพระธาตถุ วายพระอาจารย์ แล้วมาสร้างวัดมงคลบพิตร ๑ ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๓๘ วา่ เฃาไฟ เลขท่ี ๔๒ วา่ ภเู ขาไฟ ๒ เนอ้ื เรอ่ื งในตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๓๘ และ ๓๙ ตอ่ เรอ่ื งพระมาลเี จดยี ์ ๓ ตรวจสอบกบั ตน้ ฉบบั สมดุ ไทยเลขท่ี ๖๑ เนอ้ื เรอ่ื งตอ่ จากเรอ่ื งพระมาลเี จดยี ์
พระราชพงศาวดารเหนอื ๑๑๑ พระเจา้ สายนำ้ ผง้ึ อยใู่ นราชสมบตั ไิ ด้ ๔๒ ปี สวรรคต จลุ ศกั ราช ๔๒๗ ปมี ะเสง็ สปั ตศก พระยาธรรมิกราชาพระราชบุตรพระเจ้าสายน้ำผึ้งได้เสวยราชสมบัติ มีช้างเผือก ๒ ช้าง สร้างวัด มขุ ราช ประชาราษฎรสมณะชพี ราหมณเ์ กษมสขุ ทกุ ชายหญงิ เลน่ เตน้ รำ มไิ ดว้ วิ าทลกั ฉกกนั ทรงทศพธิ ราชธรรมบำรงุ พระพทุ ธศาสนา ประเทศราชเกรงพระเดชานภุ าพยง่ิ นกั แต่ดอกไมท้ องเงนิ ขน้ึ เปน็ อนั มาก ขนอนอากรบอ่ นเบย้ี ช่วงเรือลำละ ๑๐ เบย้ี ๔๐ เบ้ยี มใิ หเ้ รยี กแกร่ าษฎรลำ้ เหลือ ฝนตกตามฤดู น้ำงาม ตามฤดู เสวยราชย์ ๔๒ ปี จลุ ศกั ราช ๔๕๘ ปมี ะเมยี อฐั ศก ใหข้ ดุ คลองบางตะเคยี นออกไปบางยหิ น จลุ ศกั ราช ๖๖๙ ปขี าล เบญจศก เมอื งหงษาวดใี ชใ้ ห้ผเี ปน็ พระลอยลงมาทางเมอื งเถนิ ลงมาตาม ลำนำ้ คนทง้ั ปวงเหน็ เปน็ อศั จรรยจ์ งึ อาราธนาไวบ้ ชู า พระลอยลงมามไิ ดอ้ ยเู่ มอื งใด แตท่ ำปาฏหิ ารยิ ส์ มาธิ แกร่ าษฎรบชู ามาทกุ เมอื ง จนเอาเนอ้ื ความกราบทลู พระเจา้ อยหู่ วั ครน้ั ลอยลงมาถงึ หนา้ ตำหนกั ลอยอยนู่ น้ั น้ำก็ไหลลงเชี่ยวทวนน้ำอยู่ สั่งให้ตั้งฉัตรราชวัติสมโภช ชาวพระนครชมชื่นทุกคน เป็นโกลาหลทั่วทิศได้ ๗ วนั พระเจา้ อยหู่ วั เสดจ็ ลงไป เชญิ พระขน้ึ มาประดษิ ฐานไวใ้ นกรงุ กระยาจกชราผหู้ นง่ึ แอบอยทู่ ท่ี าง เสดจ็ รอ้ งขน้ึ วา่ อยา่ เสดจ็ ลงไปเลยมใิ ชพ่ ระ เขาใชท้ ำมาดอก เชญิ เสดจ็ กลบั เสยี เถดิ กเ็ สดจ็ กลบั ขน้ึ ไป จงึ ใหห้ าตวั ชายชราผนู้ น้ั หาพบไม่ กต็ กพระทยั จงึ สง่ั ใหป้ า่ วรอ้ งใหห้ าคนชรา ครน้ั อยมู่ าบตุ รชาวบา้ นบางนำ้ ผง้ึ รบใหต้ าพาไปไหวพ้ ระลอยทเ่ี ขาลอื กนั นน้ั จะใครไ่ ดเ้ หน็ ตาพา ลูกหลานมา ครั้นถึงกลางน้ำ ตาผู้นั้นทำให้เหมือนพระลอย ครั้นแล้วก็กลับมา ลูกหลานก็ว่า ตาแกทำ พระลอยได้ ข่าวรู้ไปถึงกรุงกราบทูลพระเจ้าอยู่หัว ๆ ให้เอาตัวตาผู้นั้นมา ๆ กราบทูลว่ามิใช่พระ เป็นผีเขา ใชใ้ หม้ าดบู า้ นเมอื ง จะขอทำถวาย พระเจา้ อยูก่ ท็ รงยอม จงึ ใหท้ ำสายสญิ จน์มงคล เครื่องเซน่ ข้าวเปลือก ข้าวสารเสร็จแล้ว ก็ลงไปริมน้ำอ่านโองการ ซัดข้าวเปลือกข้าว๑สารสายสิญจน์วงพระนั้น ๆ ก็จมน้ำไป วนุ่ วายเปน็ อลหมา่ นขน้ึ กลวั วา่ จะเขา้ คลองในเมอื ง จงึ สง่ั ใหส้ วดพระพทุ ธมนตส์ ายสญิ จนก์ นั ไวท้ กุ คลอง พระนน้ั เขา้ มไิ ด้ ไปอยบู่ างกะจะ ตาแกน่ น้ั ตามไปไดก้ ลน่ิ บอกแกผ่ กู้ ำกบั วา่ อยนู่ ้ี แตจ่ ะขน้ึ ไปเมอื งเหนอื จึงสั่งให้ทำจั่นดักไว้คลองสะแก แต่เที่ยวหากันอยู่นั้นถึง ๓ วัน ทันกันเข้าที่ปากน้ำประสบจับได้ มัดด้วย สายสญิ จน์ ลงไปกราบทลู วา่ ไดแ้ ลว้ จะจดั แจงฆา่ ถว่ งเผานน้ั หามพี ระเกยี รตยิ ศไม่ จะไดก้ ลบั คนื ขน้ึ ไปหา เจ้าของ พระเจ้าอยู่หัวก็โปรดบัญชาตาม จึงสั่งให้ต่อโลงตอกหมันยาชันให้มั่นคงแล้ว เอาผีใส่ลงในโลง ผนกึ ยาชนั มใิ หน้ ำ้ เขา้ ได้ แลว้ เอาสายสญิ จนว์ งพนั เสน้ วกั แลว้ กอ็ า่ นโองการกำชบั วา่ ใครจะมาทบุ ตอี ยา่ ๑ เรม่ิ ตรวจสอบรว่ มกบั ตน้ ฉบบั สมดุ ไทยเลขท่ี ๔๔ ดว้ ย
๑๑๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ใหอ้ อก จงไปถงึ เจา้ ของ กย็ กโลงลงนำ้ ลอยทวนนำ้ ขน้ึ ไปถงึ เมอื งหงษาวดี พระเจา้ อยหู่ วั ใหห้ าตาผนู้ น้ั มา จะปนู บำเหนจ็ กห็ าพบไม่ จลุ ศกั ราช ๖๗๑ ปเี ถาะ เอกศก พระองคท์ รงสรา้ งวดั กฎุ ดี าววดั ๑ พระอคั รมเหสี ทรงสรา้ งวดั มเหยงค์วดั ๑ พระองคอ์ ยใู่ นราชสมบตั ิ ๙๗ ปี พระองคส์ วรรคต ศกั ราช ๖๗๒ ปมี ะโรง โทโศก๑ เรอ่ื งพระมาลเี จดยี ์ ๒พระยาเชยี งทองเขา้ เฝา้ สมเดจ็ พระเจา้ ปราสาททอง วา่ ยงั มพี ระอาจารยพ์ ระองคห์ นง่ึ มาถวาย พระพรว่า สมเด็จพระพุทธเจ้ายังทรงพระทรมานอยู่นั้น เสด็จพระราชดำเนินไปสูล่ ังกาทวีป เป็นเหตุด้วย พระภกิ ขุ ๒ องคว์ วิ าทกนั สมเดจ็ พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ ออกจากเมอื งลงั กาทวปี มาส่พู ระเชตพุ นเมอื งสาวตั ถี จึงตรัสธรรมเทศนาแกพ่ ระอานนทว์ ่า สืบไปเมื่อหน้าเมืองสาวัตถี จะกลายเป็นเมืองหงษาวดี เหตุว่าจะมี กษัตริย์องค์หนึ่งทรงพระนามชื่อว่าพระเจ้าศรีธรรมาโสกราช๓จะสร้างพระมาลีเจดีย์องค์หนึ่งในกลาง พระนคร แลพระมหากษัตริย์นั้นมีศรัทธายิ่งนักให้เปิดประตูเมืองทั้ง ๔ ทิศ ให้คนเข้า ๒ ประตู ออก ๒ ประตู จงึ พระเจา้ ศรธี รรมาโสกราชตรสั สง่ั ชาวพระคลงั ใหเ้ อาทองคำมากองไวใ้ นพระนคร ถา้ คนเขา้ ไป ช่วยทำพระมาลีเจดีย์นั้น ก็ให้รับเอาทองคำตำลึงหนึ่งก่อน จึงให้ช่วยทำการ แลทุกวันนี้ยังปรากฏมีอยู่ แลพระมาลีเจดีย์นั้นอยู่ทิศอุดร พระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา ครั้นแจ้งประพฤติเหตุแล้ว ก็มีพระทัยยินดีนัก จลุ ศกั ราช ๔๑๓ ปชี วด ตรศี ก๔ จงึ มพี ระราชโองการตรสั สง่ั ขนุ การเวก แลพระยาศรธี รรมราชา๕ ภดู าษราชวตั ร เมอื งอนิ ทร์ ภดู าษกนิ เมอื งพรหม ยกรบตั รนายเพลงิ กำจาย นายชำนององครกั ษ์ นายหาญใจเพช็ ร์ นายเดจ็ สงคราม ขา้ หลวง ๘ นายกบั ไพร่ ๕๐๐ คมุ เอาเครอ่ื งบชู าขน้ึ ไปถวายพระมาลเี จดยี ์ แลขา้ หลวงขนุ การเวก ยกออกจากกรงุ แต่ ณ วนั พฤหสั บดี เดอื นอา้ ย ขน้ึ ๑๑ คำ่ ไปทางสพุ รรณบรุ ีไปถงึ บา้ นชบา ยกแตบ่ า้ นชบา ไปถึงเมืองพระยาเจ็ดตน ยกจากเมืองพระยาเจ็ดตนไปถึงบ้านรังงาม ยกจากบ้านรังงามไปด่านทราง ยกจากดา่ นทรางไปถงึ เจา้ ปหู่ นิ ยกแตเ่ จา้ ปหู่ นิ ไปจากแมน่ ำ้ ชมุ เกรยี วนน้ั มพี ระพทุ ธไสยาสนอ์ งคห์ นง่ึ ทองสำรดิ พระองคย์ าว ๕ เสน้ ขนุ การเวกแลขา้ หลวงทง้ั ปวงกช็ วนกนั เขา้ ไปนมสั การ จงึ ตง้ั สจั จาธษิ ฐานวา่ ขอเดชะ พระบารมพี ระพทุ ธไสยาสน์ ใหข้ า้ พเจา้ ทง้ั ปวงนไ้ี ปถงึ ไดน้ มสั การพระมาลเี จดยี ์ ในเมอื งหงษาวดี สำเรจ็ ความปรารถนานั้นเถิด ข้าหลวงทั้งปวงกราบถวายบังคมนมัสการก็ลาออกจากแม่น้ำชุมเกรียว ก็ไปถึง ๑ เนื้อเรื่องต้นฉบับเลขที่ ๔๒, ๔๔ และ ๖๑ ต่อเรื่องพระยากง ๒ ตรวจสอบกบั ตน้ ฉบบั สมดุ ไทยเลขท่ี ๓๘, ๓๙ และ ๕๖ ๓ เรอ่ื งนม้ี อี ยใู่ นตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๕๒ ดว้ ย ๔ หมดตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๓๙ ๕ หมดตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๓๘
พระราชพงศาวดารเหนอื ๑๑๓ เขาฝรั่งยางหิน ไปถึงตำบลเขาหลวง พอสิ้นแดนกรุงศรีอยุทธยา ไปถึงด่านทุ่งเขาหลวงสิ้นเขตแดนนับได้ ๓๘ วนั ครน้ั แลว้ จงึ ตง้ั สจั จาธษิ ฐานอกี ครง้ั หนง่ึ ยกออกจากทข่ี นุ การเวกกบั ขา้ หลวงทง้ั ปวง จงึ ตง้ั นมสั การ พระศรรี ตั นตรยั แลว้ กย็ กไปขาดระยะบา้ น ไมม่ ผี คู้ นเดนิ เลย บา่ ยหนา้ ตอ่ ทศิ อดุ ร เปน็ ปา่ ใหญเ่ ดนิ ไปมา ไมต่ อ้ งแดด เปน็ ทงุ่ อยกู่ ลางเปน็ ปา่ ละเมาะ คนทง้ั ปวงสน้ิ อาหาร กนิ แตผ่ ลไมเ้ ปน็ อาหาร สน้ิ หนทาง ๓๐ วนั จงึ เขา้ เมอื งหงษาวดี มีดา่ นบา้ นพราหมณร์ ายไปบา้ ง ขนุ การเวกกบั ขา้ หลวงทง้ั ปวงเดนิ ตอ่ ๆ กนั ไป สน้ิ หนทางนน้ั ๓๐ วนั จงึ ถงึ เมอื งหงษาวดนี น้ั คดิ เขา้ กนั สน้ิ ทาง ๒ เดอื นกบั ๒๑ วนั จงึ ถงึ เมอื งหงษาวดี ขนุ การเวกกบั พระยาศรธี รรมราชา ขา้ หลวงทง้ั ปวงพากนั เขา้ ไปพระอาราม พบปะขาวรปู หนง่ึ ขนุ การเวก จึงถามปะขาวว่าอารามนี้ท่านผู้ใดเป็นใหญ่ ปะขาวบอกว่าพระสังฆราชา ขุนการเวกแลข้าหลวงทั้งปวง จึงเข้าไปนมัสการพระสังฆราชา ๆ จึงซักไซ้ไต่ถามว่าอุบาสกทั้งปวงนี้มาแต่สถานที่ใดฤๅ ขุนการเวก กราบทูลพระสังฆราชาว่าข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงนี้ เป็นข้าทูลละอองสมเด็จพระพุทธเจ้าอยู่หัวกรุงศรี อยุทธยา ๆ มีพระกมลหฤทัยเลื่อมใสศรัทธาในพระมาลีเจดีย์ยิ่งนัก จึงตรัสใช้ให้ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงนี้ คมุ เอาเครอ่ื งสกั การบชู าพอสมควร ขน้ึ มานมสั การพระมาลเี จดยี น์ น้ั พระสงั ฆราชาปราศยั วา่ อาตมภาพ ขออนุโมทนา ด้วยพระราชทรัพย์แห่งพระองค์นั้นเถิด วันนี้ท่านไปอยู่สำนักให้สบายก่อนเถิด ต่อพรุ่งนี้ จะใหป้ ะขาวนำไปนมสั การตามความปรารถนา ครั้นรุ่งเช้าพระสังฆราชา ให้ปะขาวนำข้าหลวงทั้งปวงเข้าไปในอาราม ทำประทักษิณพระระเบียง นน้ั ไดร้ อบหนง่ึ แลพระระเบยี งนน้ั เปน็ สเ่ี หลย่ี มจตั รุ สั ขนุ การเวกจงึ ใหน้ ายนอ้ ยหาญใจเพช็ ร์วดั พระระเบยี ง ขา้ งหนง่ึ แตย่ าวได้ ๒๐ เสน้ ชอ่ื พระระเบยี งยาวเสน้ ๒ เสน้ ๑๐ วา มพี ระพทุ ธรปู รายรอบหลอ่ ดว้ ยทองสำรดิ ทั้งสิ้น เป็นพระพุทธรูปสูง ๑๐ วา เสาพระระเบียงแปดเหลี่ยม แต่ละเหลี่ยมนั้นวัดได้ ๙ ศอก สูงถึงท้อง ขื่อวัดได้ ๒๐ วา ก่ออิฐกระชับรักแล้วถือปูน หุ้มด้วยทองแดงหนาสามนิ้ว แลที่แปกลอนระแนงระเบียง ทำดว้ ยไมแ้ กน่ พน้ื พระระเบยี งดาดดว้ ยดบี กุ หนา้ สบิ สองนว้ิ ขนุ การเวกแลขา้ หลวงทง้ั ปวง กเ็ ขา้ นมสั การ ในพระระเบยี ง พอเวลาพลบคำ่ กช็ วนกนั กลบั มาทอ่ี ยู่ ครน้ั เวลารงุ่ เชา้ พระสงั ฆราชา ใหป้ ะขาวนำขนุ การเวกแลขา้ หลวงทง้ั ปวง ขน้ึ ไปนมสั การพระมาลเี จดยี ์ คือองค์พระมาลีเจดียธาตุ ขุนการเวกแลข้าหลวงทั้งปวง ก็เข้าไปถึงตีนบันไดใต้พระมหาธาตุ นายหาญ ใจเพ็ชร์วัดฐานพระมาลีเจดีย์นั้น ด้านหนึ่งยาว ๓๕ เส้น ๕ วา ทั้ง ๔ ด้านยาว ๑๔๑ เส้น บันไดขึ้น พระมาลีเจดีย์นั้นทำด้วยทองแดงตั้งลงกับอิฐ แม่บันไดรอบใหญ่ ๔ กำกึ่ง ลูกบันไดใหญ่รอบ ๓ กำ ปะขาวขนุ การเวก ขา้ หลวงทง้ั ปวง ขน้ึ ไปดปู ระตพู ระมหาธาตนุ น้ั กวา้ ง ๒ เสน้ สงู ได้ ๕ เสน้ มหี งสท์ องคำ
๑๑๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ๔ ตัวเข้าประชุมกันเป็นแท่นรอง พระพุทธรูปบนหลังหงส์ ๒๐๐ องค์ แต่ล้วนทองคำทั้งแท่ง สูง ๒ ศอกแลข้อเท้าหงส์นั้นใหญ่รอบ ๑๑ กำ ตัวหงส์นั้นสูง ๑๖ ศอกทำด้วยทองคำทั้งแท่ง แลองค์ พระมหาธาตุแผ่ทองคำเป็นแผ่นอิฐ หนานั้น ๓ นิ้ว กว้าง ๓ ศอก ยาว ๕ ศอก ทองคำหุ้มองค์ พระมหาธาตุขึ้นไปจนถึงยอด แล้วเอาลวดทองแดงร้อยหูกันเข้า เอาสายโซ่คล้องเข้าเป็นตาข่ายหุ้มรัด ข้างหน่วงขึ้นไปอีกชั้นหนึ่ง แลยอดพระมาลีเจดีย์มีลูกแก้วใหญ่ได้ ๕ อ้อมมัชฌิมบุรุษ ขุนการเวก แลข้าหลวงทั้งปวง ขึ้นแต่เชิงบันไดนั้นแต่เช้า ขึ้นไปถึงประตูพระมาลีเจดีย์พอเวลาเที่ยงก็ได้นมัสการ แล้วกลับลงมาถึงเชิงบันไดก็พอค่ำ พื้นพระมาลีเจดีย์ซึ่งรองหงส์เหยียบอยู่นั้นดาดด้วยแผ่นเงินหนา ๓ นิ้ว กวา้ ง ๓ ศอกเปน็ สเ่ี หลย่ี ม ปะขาวบอกขา้ หลวงวา่ เหลก็ กระดกู พระมาลเี จดยี ท์ ร่ี อ้ ยลกู แกว้ นน้ั ใหญร่ อบ ๑๑ กำ ขุนการเวกจึงถามว่า พระมาลีเจดีย์ใหญ่นักหนาฉะนี้คือท่านผู้ใดสร้าง ปะขาวจึงบอกว่า พระพุทธศักราช ๒๑๑ ปี ยังมีพระมหากษัตริย์องค์หนึ่งทรงพระนามชื่อ พระเจ้าศรีธรรมมาโสกราช สร้างพระมาลีเจดีย์ไว้นั้น ให้เปิดประตูเมืองทั้ง ๔ ทิศ ให้คนเข้า ๒ ประตู ให้ออก ๒ ประตู เอาทอง กองไว้ ถ้าผู้ใดรับเอาทองคำตำลึงหนึ่งแล้ว จึงให้ผู้นั้นเข้าไปทำการ ถ้าผู้ใดมิรับเอาทองคำตำลึงหนึ่งนั้น ก็มิได้ให้เข้าไปทำการเลย ทำการพระมาลีเจดีย์นั้น แต่คนตกตายทำบัญชีไว้ได้ถึง ๙ โกฏิ แลคนตาย ครง้ั นน้ั พระอตั ถกถาจารยเ์ จา้ ผรู้ วู้ สิ ชั นาวา่ ไดไ้ ปสวรรคท์ ง้ั สน้ิ แลขนุ การเวกจงึ ถามปะขาววา่ เมอ่ื กอ่ นนน้ั ก่อด้วยอิฐฤๅ ๆ ศิลา ปะขาวบอกว่าก่อด้วยอิฐ จึงนำขุนการเวกไปดูอิฐที่เหลือนั้นสัก ๑๐๐ แผ่น ขุนการเวกก็ให้วัดแผ่นอิฐนั้นหนา ๔ ศอก ๖ นิ้ว โดยกว้าง ๕ ศอก โดยยาว ๕ วา ๒ ศอก ขุนการเวก จึงถามปะขาวว่าในเมืองหงษาวดนี ี้ยังมีสิ่งใดประหลาดอยู่บ้าง ปะขาวจึงนำขุนการเวกกับข้าหลวงทั้งปวง ไปดูบ่อน้ำมันดินน้ำมันงา ขุนการเวกจึงให้วัดบ่อน้ำมันดินนั้น โดยยาวเส้นหนึ่งกับ ๕ วาจัตุรัสทั้ง ๒ บ่อ ขุนการเวกจึงถามว่าผู้ใดทำไว้ปะขาวบอกว่าน้ำมันดินนั้น ท้าวมหาพรหมประดิษฐานไว้ สำหรับพระภิกษุ สามเณร ปะขาวนางชีทั้งปวง ให้เป็นยาทาแก้เมื่อยขบแก้เจ็บหลัง กับแก้ถีนะมิทธะเงียบเหงาหาวนอน แลว้ กใ็ หท้ านสตั วท์ ง้ั หลายกนิ แกโ้ รคตา่ ง ๆ มเี รย่ี วแรงทำการไดส้ ะดวก แลบอ่ นำ้ มนั งานน้ั พระอนิ ทราชา- ธิราชใช้ให้พระเวศุกรรมเทวบุตรลงมาประดิษฐานไว้ให้พระสงฆ์ตามดูหนังสือแลบูชาพระศรีรัตนตรัยเจ้า แลให้ทานสัตว์ทั้งหลายตามแต่ผู้ใดจะปรารถนา ขุนการเวกแลข้าหลวงทั้งปวงก็กลับมาหาพระสังฆราช ๆ ว่าพรุ่งนี้จะให้ปะขาวนำไปนมัสการพระเชตุพนมหาวิหาร ข้าหลวงทั้งปวงก็กลับมาที่อยู่ ครั้นเวลารุ่งเช้า ปะขาวกน็ ำขนุ การเวกแลขา้ หลวงทง้ั ปวงไปทพ่ี ระเชตพุ นมหาวหิ าร แลบนั ไดนน้ั ขนุ การเวกใหว้ ดั บนั ไดกอ่ อฐิ โดยกว้างได้ ๑๗ เส้นกับ ๑๐ วา แต่เชิงบันไดขึ้นไปบนถนน ๑๕ เส้น ถนนยาวได้ ๑๗ เส้นกับ ๑๐ วา ปะขาวก้พาเข้าไปในพระเชตุพนชั้นในกว้าง ๓๐ เส้นกับ ๑๐ วา เสาก่อด้วยอิฐเป็นแปดเหลี่ยม วัดดู
พระราชพงศาวดารเหนอื ๑๑๕ แตเ่ หลย่ี มหนง่ึ ได้ ๗ วา แตป่ ระตูพระเชตพุ นเขา้ ไปจนถงึ พระอาสนบลั ลงั ก์ ทต่ี รสั พระธรรมเทศนา วดั ได้ ๓๗ เส้นกับ ๑๐ วา ด้านแปพระเชตุพนยาวได้ ๗๕ เส้น เสาสูงถึงท้องขื่อวัดได้ ๑ เส้น ๑๐ วา พระรัตนบัลลังก์อยู่หว่างกลางห้องหนึ่งนั้น พื้นบนดาดด้วยทองคำหนา ๓ นิ้ว มีพื้นลดลงมาอีกห้องหนึ่ง ดาดด้วยนากหนา ๓ นิ้ว มีพื้นลดลงมาอีกชั้นหนึ่ง ดาดด้วยเงินหนา ๓ นิ้ว รอบรัตนบัลลังก์ทั้ง ๔ ด้าน ทอ่ี าสนะพระสงฆก์ วา้ ง ๓ เสน้ พน้ื นน้ั ดาดดว้ ยเงนิ หนา ๓ นว้ิ ทพ่ี น้ื บรษิ ทั นง่ั นน้ั ดาดดว้ ยดบี กุ หนา ๕ นว้ิ นับเสาพระเชตุพนได้ ๓,๐๐๐ เสา มีกำแพงแก้วรอบพระเชตุพนสูง ๑๐ วา ขุนการเวกจึงถามปะขาวว่า พระเชตุพนนี้ท่านผู้ใดสร้าง ปะขาวบอกว่าอนาถบิณฑิกมหาเศรษฐีสร้างถวายแด่สมเด็จพระพุทธเจ้า ที่อันนี้เป็นที่สวนเจ้าเชต จึงให้ชื่อพระเชตุพนมหาวิหาร ตามนามพระราชกุมารผู้เจ้าของสวน มหาเศรษฐีสร้างสิ้นทรัพย์ถึง ๔๔ โกฏิ สร้างพระเชตุพนขึ้นจนสำเร็จ มหาเศรษฐีจ้างแต่คนในเรือน แห่งมหาเศรษฐีนั้นเองให้ทำการจ้าง ทองคำเสมอคนละตำลึงทอง คนในเรือนมหาเศรษฐีนั้น นับได้ ๑๒ อักโขภินี มหาเศรษฐีนั้นอยู่ปรางค์ปราสาท ๗ ชั้น มีกำแพงแก้วสูง ๒ วา ขุนการเวกจึงถามปะขาวว่า เมอ่ื สมเดจ็ พระพทุ ธเจา้ ตรสั พระธรรมเทศนานน้ั พระสงฆแ์ ลบรษิ ทั นง่ั เตม็ พระเชตพุ นฤๅมไิ ด้ ปะขาวบอกวา่ เมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าตรัสพระธรรมเทศนานั้น พระสงฆ์แลบริษัทเต็มออกไปจนกำแพงแก้วแล้วยังมิพอ บริษัทยังเหลืออยู่นั้นก็เป็นอันมาก ปะขาวกับขุนการเวกแลคนทั้งปวงก็กลับมา ขุนการเวกให้วัดทางแต่ พระเชตพุ นมาถงึ พระมาลเี จดยี ์ เปน็ ทาง ๒๕ เสน้ กพ็ ากนั มานมสั การพระสงั ฆราชา ๆ กป็ ราศยั วา่ อบุ าสก ไปนมสั การพระเชตพุ นเหน็ สนกุ ดอี ยฤู่ ๅ ขนุ การเวกกบั ขา้ หลวงทง้ั ปวงจงึ กราบทลู วา่ ขา้ พระพทุ ธเจา้ ทง้ั ปวง ไดม้ าพบมาเหน็ ทง้ั น้ี กเ็ ปน็ บญุ ลาภแกข่ า้ พระพทุ ธเจา้ นกั หนา ไดม้ านมสั การบชู าเกดิ ความยนิ ดหี าทส่ี ดุ มไิ ด้ พระสงั ฆราชจงึ สง่ั ใหป้ ะขาวนำไปดรู ะฆงั ทองหลอ่ หนา ๑๑ นว้ิ ปากกวา้ ง ๕ วา ๒ ศอก สงู ๑๑ วา ไมต้ รี ะฆงั ใหญร่ อบ ๓ กำยาว ๓ วา โรงระฆงั สงู ๑๕ วา เสานน้ั ไมแ้ กน่ ขา้ หลวงทง้ั ปวงกก็ ลบั มานมสั การพระสงั ฆ ราชา ขนุ การเวกจงึ ถามวา่ พระสงฆเจา้ มสี กั กอ่ี าราม เปน็ พระสงฆมากนอ้ ยสกั เทา่ ใด พระสงั ฆราชาจงึ บอกว่า พระสงฆ์มีแต่อารามเดียวเท่านี้ มีบัญชีมีพระวรรษาเป็นพระสงฆ์ ๒๐๐,๐๐๐ กับ ๓ พระองค์ พระสังฆราชาจึงถามขุนการเวกว่าพระสงฆเจ้ากรุงศรีอยุทธยานั้น ผ้าอันใดเป็นผ้าพระสมณะสำรวม ขุนการเวกกราบทูลว่า พระสงฆ์ในกรุงศรีอยุทธยา ฝ่ายคันถธุระทรงผ้ารัตตกัมพลแดง ฝ่ายวิปัสสนา ย่อมทรงเหลือง พระสังฆราชาก็ว่า ทรงผ้ารัตตกัมพลแดงนั้นได้ชื่อว่าพระพุทธชิโนรสแท้จริง แลพระสังฆราชาว่าในเมืองหงษาวดนี ั้นทรงผ้าแดงทั้งสิ้น พระสังฆราชาจึงเขียนอักษร ส่งให้กับขุนการเวก นน้ั ตวั ๑ ถา้ จะวา่ เปน็ อกั ษรขอมเรยี กวา่ ตี วา่ ตามอกั ษรไทยเรยี กตามตวั วา่ เลขเจด็ กพ็ เิ คราะหโ์ ดยธงชยั ก็ได้ทั้ง ๓ ตัวนั้นแล เลข ๗ ตัวนั้นได้แก่เมืองหงษาวดี ตีนั้นได้แก่เมืองลังกาทวีป ตะนั้นได้แก่
๑๑๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ กรุงศรีอยุทธยา เหตุว่าเป็นเมืองท่าน้ำ ต่ำกว่าเมืองเชียงใหม่ ๑๕๐ เส้น พระสังฆราชาจึงเขียนเป็น บาลีแปลตัดบทพิเคราะห์เป็นคำไทยส่งให้ขุนการเวก ให้เอาลงไปถวายสมเด็จพระเจ้ากรุงศรีอยุทธยา โพ้นเถิด ขุนการเวกกับข้าหลวงทั้งปวงอยู่ได้ประมาณ ๒๕ วัน แลคนซึ่งไปด้วย ๕๐๐ นั้น ที่ประมาท ไมต่ ง้ั อยใู่ นศลี กลา่ วมสุ าทำปาณาตบิ าต ตายเสยี ทต่ี ามระยะทาง ๓๐๐ คน ทเ่ี หน็ สบายสนกุ นน้ั กล็ าบวชอยู่ ณ เมอื งหงษาวดี ๕๐ คน ขนุ การเวกพระยาธรรมราชาขา้ หลวง ๘ นาย กบั ไพร่ ๑๕๐ กก็ ราบลาพระสงั ฆ ราชา กลับคืนมายังกรุงศรีอยุทธยา ครั้นถึงแล้วก็เข้าไปเฝ้าสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว แล้วก็กราบทูลแจ้ง ประพฤติเหตุ ซึ่งพระสังฆราชาจดหมายสั่งมานั้น ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายหนังสือพระสังฆราชานั้น พระเจา้ อยหู่ วั มพี ระทยั ปรดี าภริ มยห์ รรษายง่ิ นกั ทรงพระกรณุ าตรสั ถามขา้ หลวงทง้ั ปวงตา่ ง ๆ แลว้ พระราชทาน รางวลั ตา่ ง ๆ ตามควร ขนุ การเวก พระยาธรรมราชา ภดู าษวดั เมอื งอนิ ทร์ ภดู าษกนิ เมอื งพรหม นายเพลงิ กำจาย นายชำนององครักษ์ นายหาญใจเพ็ชร์ นายเด็จสงคราม กับไพร่๑๕๐ คน บรรดามาด้วยกัน ทง้ั สน้ิ นน้ั กก็ ราบถวายบงั คมลาบวช ทรงพระกรณุ าโปรดใหบ้ รรพชา ตามเลอ่ื มใสศรทั ธา๑ เรื่องพระยากง ๒ขณะนั้นพระยากง ได้ครองเมืองกาญจนบุรี พระอัครมเหสีทรงพระครรภ์ ให้หาโหรมา ทำนายว่าจะเป็นหญิงฤๅชาย โหรพิเคราะห์ดูก็รู้ว่าจะเป็นพระราชกุมาร โหรจึงกราบทูลว่า พระราชกุมาร นี้มีบุญมากนัก ใจก็ฉกรรจ์ จะฆ่าพระราชบิดาเสียเป็นมั่นคง ครั้นทรงพระครรภ์แก่ กำหนดจะประสูติ พระราชกุมาร พระราชบิดาเอาพานรับพระราชกุมาร พระนลาตกระทบขอบพานเป็นรอยบู้อยู่เป็นสำคัญ พระยากงมาคิดแต่ในพระทัยว่าจะเอากุมารนี้ไว้มิได้ พระยากงให้เอาพระราชกุมารไปฆ่าเสีย มารดารู้ว่า พระราชบิดาจะเอาบุตรไปฆ่าเสีย นางคิดกรุณาแก่บุตรยิ่งนัก จึงทำอุบายถ่ายเทปกปิดเสียให้กลบเกลื่อน สูญไปด้วยความคิดของนาง จึงลอบเอากุมารราชบุตรอายุ ๑๑ เดือนไปให้ยายหอมเลี้ยงไว้ ครั้น จำเริญวัยใหญ่ขึ้นมา ยายหอมจึงเอากุมารไปให้พระยาราชบุรีเลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม พระยาราชบุรีให้ ดแู ลการงานเบด็ เสรจ็ ทกุ สง่ิ ครน้ั ถงึ เทศกาลเอาดอกไมท้ องเงนิ ไปถวายพระยากงทกุ ปมี ไิ ดข้ าด บตุ รบญุ ธรรม จึงถามว่า ทำไมเอาดอกไม้ทองเงินไปใหพ้ ระยากาญจนบุรดี ้วยเหตุอันใดพระยาราชบุรีบิดาเลี้ยง จึงว่า เราเป็นเมืองขึ้นแก่เขา พระราชบุตรตอบว่า ไม่เอาไปให้นั้นจะเป็นประการใด พระยาราชบุรีว่าไม่ได้ เขาจะว่าเราคิดขบถ จะยกทัพมาจับเราฆ่าเสีย พระราชบุตรว่ากลัวอะไร พระยาราชบุรีก็นิ่งอยู่ ๑ เนอ้ื เรอ่ื งตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๖๑ ไปตอ่ เรอ่ื งพระเจา้ สายนำ้ ผง้ึ ๒ ตรวจสอบกบั ต้นฉบับสมุดไทย เลขที่ ๔๒, ๔๔, ๕๘ และ ๖๑
พระราชพงศาวดารเหนอื ๑๑๗ ถึงปีแล้วหาเอาดอกไม้ทองเงินไปไม่ พระยากงเจ้าเมืองกาญจนบุรี เห็นว่าพระยาราชบุรีเป็นขบถ เกณฑ์พลลงมาจะจับพระยาราชบุรีฆ่าเสีย ครั้นพระยาราชบุรีรู้ดังนั้น จึงเกณฑ์คนประจำหน้าที่ ให้บุตรบุญธรรมเป็นแม่ทัพ ยกออกรับทัพพระยากาญจนบุรี ๆ ครั้นมาใกล้ประมาณ ๓๐ เส้น ให้ตั้งค่ายมั่นลงไว้แล้ว ให้มีหนังสือให้คนถือเข้าไปถึงพระยาราชบุรีเป็นใจความว่า ให้พระยาราชบุรี ออกมาหาเรา แมน้ มอิ อกมาหาเราจะปลน้ เอาเมอื ง พระยาราชบรุ ที ราบดงั นน้ั ปรกึ ษากบั บตุ รบญุ ธรรมวา่ จะคิดประการใดดี ราชบุตรจึงว่าจะขออาสาชนช้าง พระราชบิดาก็จัดช้างพลายงางอนสูง ๖ ศอกผูก เครื่องมั่น ให้บุตรบุญธรรมเป็นนายทัพ ครั้นได้ฤกษ์ก็ยกออกไป พระยากงเห็นดังนั้น ก็ผูกช้างพลาย มงคลออกมาท่ามกลางพล เข้าโจมไล่ช้างพระราชกุมาร ๆ รับช้างพระยากง ๆ เสียทีขวางตัวทานบมิอยู่ พระราชกมุ ารจว้ งฟนั พระยากงตายกบั คอชา้ ง๑ ไพรพ่ ลนายทพั นายกองแตกระสำ่ ระสายหารบั ไม่ หนไี ปเมอื ง พระราชกมุ ารขบั พลไลร่ กุ ขน้ึ ไป ถงึ เมอื งกาญจนบรุ ีเขา้ ลอ้ มเมอื งไว้ แลว้ เขา้ ปลน้ เอาเมอื งได้ โหราปโุ รหติ จงึ ยกพระราชกมุ ารขน้ึ ครองราชสมบตั ิ ทรงพระนามชอ่ื พระยาพาน ครน้ั เขา้ ประถมยาม พระยาพานกเ็ ขา้ ไป ขา้ งใน ตง้ั ใจหมายจะสงั วาสดว้ ยมารดา กเ็ ขา้ ไปในตำหนกั วฬิ ารแ์ มล่ กู ๆ รอ้ งจะกนิ นม แมห่ า้ มลกู ไวว้ า่ อย่าร้องไป ดูลูกเขาจะเข้าหาแม่ พระยาพานก็สะดุ้งตกใจ ไฉนวิฬาร์มาร้องดังนี้ก็ถอยออกมา ครั้นถึง ทุติยยามก็กลับเข้าไปอีก ม้าแม่ลูกอยู่ที่ใต้ถุน ลูกนั้นร้องจะกินนม แม่ม้าจึงว่าอย่าเพ่อกินก่อน ดูลูกเขา จะเข้าหาแม่ พระยาพานตกใจ เหตุไฉนม้าจึงว่าดังนี้ ก็ถอยออกมา ครั้นถึงตติยยาม ก็กลับเข้าไปอีก ถึงมารดา ๆ จึงถามว่าท่านเป็นบุตรผู้ใด พระยาพานบอกว่าเป็นบุตรพระยาราชบุรี มารดาจึงถามว่า พระยาราชบุรีได้มาแต่ไหน เจ้านี้เป็นลูกของข้า เมื่อประสูติบิดาเอาพานทองรับ พระพักตร์กระทบพาน เปน็ รอยบอู้ ยู่ ถา้ มเิ ชอ่ื สอ่ งพระฉายดเู ถดิ พระองคค์ อื ลกู ของขา้ โหรทำนายวา่ มบี ญุ นกั บดิ าจงึ ใหเ้ อาเจา้ ไปฆ่าเสีย แม่จึงเอาไปฝากยายหอมไว้ พระยาพานได้สำคัญเป็นแน่ ก็ทรงพระกรรแสงว่าได้ผิดแล้ว ฆ่าบิดาเสียดังนี้เศร้าพระทัยนัก จึงตรัสว่ายายหอมหาบอกให้รู้ไม่ก็ให้เอายายหอมไปฆ่าเสีย แร้งลงกิน จงึ เรยี กวา่ ทา่ แรง้ มาจนคมุ้ เทา่ บดั น้ี ขณะเมอ่ื พระยาพานฆา่ บดิ ากบั ยายเลย้ี งคดิ เปน็ เวร ตง้ั แตท่ ำบญุ ใหท้ านแกย่ าจกวณพิ กมไิ ดข้ าด เปน็ นติ ย์ พระอคั รมเหสมี คี รรภแ์ กป่ ระสตู พิ ระกมุ ารพระองคห์ นง่ึ พระองคเ์ สนห่ าในพระราชบตุ รเปน็ กำลงั จึงทรงพระดำริว่าบิดารักเราผู้บุตร เหมือนหนึ่งเรารักพระราชโอรสเราฉะนี้ มิควรที่เราจะกระทำเลย เพราะวา่ เราเปน็ คนโมหจติ มไิ ดค้ ดิ ใหผ้ ดิ ดว้ ยเราหารไู้ มฉ่ ะน้ี กเ็ สยี พระทยั สลดลง จงึ ปรกึ ษากนั วา่ ทำไฉน ๑ ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๕๘ ไมม่ เี รอ่ื งชนชา้ ง
๑๑๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ จงึ จะลา้ งกรรมเวรอนั นไ้ี ด้ ทรงพระดำรวิ า่ ยงั เหน็ อยแู่ ตอ่ งคพ์ ระคริ มิ านนทพ์ อจะสอ่ งสวา่ งได้ จงึ ใหอ้ ำมาตย์ ราชเสวกาไปอาราธนาพระคริ มิ านนท์ แลพระองคลุ มิ าล มาฉนั ในพระมณเฑยี รสถานใหไ้ ดโ้ ดยเรว็ อำมาตย์ ก็ชวนกันไปเที่ยวอาราธนาพระคิริมานนท์ พระองคุลิมาล ซึ่งได้พระอรหัตตรัสรู้ธรรมพิเศษ เข้ามารับ บณิ ฑบาตฉนั ในพระราชวงั ครน้ั เพลาเชา้ กเ็ ขา้ ไปในพระราชวงั พระยาพานกราบนมสั การถวายเครอ่ื งสปู ะ พยัญชนะแล้วเสร็จ ยกพระหัตถ์ขึ้นนมัสการตรัสถามพระผู้เป็นเจ้าว่า โยมนี้เป็นคนมืดมนหารู้จักคุณ แลโทษไม่ ฆ่าบิดาเสียฉะนี้ผิดนักหนาแล้ว โยมนี้ทำผิดจะคิดหาความชอบฉะนี้เห็นจะเป็นประการใด พระมหาเถรทั้งสองถวายพระพรว่า มหาบพิตรทำให้ผิดประเพณีให้เป็นครุกรรมถึงบิตุฆาฏ จะไปสู่มหา อเวจชี ้านานนัก นี่หากว่าพระองค์รู้สึกตัวว่าทำผิดคิดจะใคร่หาความชอบจะให้ตลอดไปนั้นมิได้ แต่ว่าจะ บำบดั เบาลง ๑๐ สว่ นเทา่ คงอยสู่ กั เทา่ สว่ น ๑ ใหก้ อ่ พระเจดยี ส์ งู ชว่ั นกเขาเหนิ จะคอ่ ยคลายโทษลง พระยา พานได้ฟังดังนั้นก็เลื่อมใสศรัทธา พระมหาเถรทั้งสองก็ลาไปอาราม ครั้นพระมหาเถรไปแล้ว จึงดำรัส สั่งให้เสนาบดีคิดการสร้างพระเจดีย์ใหญ่สูงชั่วนกเขาเหิน สร้างวัดเบื้องสูงท่าประธม ทำพระวิหาร ๔ ทิศไว้พระจงกรมองค์ ๑ พระสมาธิทั้ง ๓ ด้าน ประตูแขวนฆ้องใหญ่ปากกว้าง ๓ ศอกทั้ง ๔ ประตู ทำพระระเบียงรอบพระวิหาร แล้วบรรจุพระบรมธาตุพระเขี้ยวแก้วในพระเจดีย์ใหญ่เสร็จแล้ว ฉลองเล่น มหรสพครบ ๗ วนั ๗ คนื ใหท้ านยาจกวณพิ กแลว้ ใหบ้ รู ณะพระแทน่ ประสตู พิ ระพทุ ธเจา้ ณ เมอื งโกสนิ าราย จุลศักราช ๕๕๒ ปีเถาะ โทศก พระยาพานยกทัพขึ้นไปเมืองลำพูนไปนมัสการพระบรมธาตุพระ พทุ ธเจา้ ถงึ ๓ ปแี ลว้ กย็ กทพั กลบั ลงมาเมอื งใต้ จงึ ปรายเงนิ ทองตา่ งขา้ วตอกดอกไม้ ถวายพระบรมธาตุ มาทุก ๆ ตำบล มาแต่เมืองลำพูนลำปาง ลงมาทางเดิมบางนางบวช จนถึงเมืองนครไชยศรีสิ้น ๙ ปี รทู้ ว่ั กนั วา่ พระยาราชบรุ เี ปน็ บดิ าเลย้ี งจะมาจบั กย็ กทพั หนขี น้ึ ไปยงั ประเทศราช เสนาบดจี งึ เชญิ ขน้ึ ครองราช สมบตั ิ ๔๙ ปสี วรรคต จลุ ศกั ราช ๖๖๙ มีพระราชบุตรองค์หนึ่ง เสนาบดีมุขมนตรีทั้งหลายยกพระราชกุมารขึ้นเสวยราไชสวรรยาธิปัติ ถวายพระนามพระพรรษา ราษฎรเปน็ สขุ ยง่ิ นกั ตง้ั แตน่ น้ั มาได้ ๙๐ ปี สรา้ งวดั ศรสี รรเพชญว์ ดั สวนหลวง พระองคเ์ สดจ็ สวรรคต จลุ ศกั ราช ๙๐๖ ปวี อก ฉศก พระรามบณั ฑติ ยไ์ ดเ้ สวยราชสมบตั ิ ถวายพระนาม สมเด็จพระรามพงษ์บัณฑิตย์อุดมราชาปิ่นเกล้าพระเจ้าอยู่หัว เสด็จยังพระที่นั่งจัตุรมุขเบื้องบุรพา จึงมีพระราชโองการ ตรัสแก่ขุนวิชาชำนาญธรรมเป็นนักปราชญ์ผู้ใหญ่ว่าด้วยจุลศักราชนั้น มากำกับ อยู่ด้วยพระพุทธศักราชนั้นหาควรไม่ ไปภายหน้า กุลบุตรจะเกิดมาเมื่อภายหลัง น้ำใจก็จะกระด้าง ทั้งปัญญาก็จะน้อย ทั้งมิจฉาทิฐิก็จะมากกว่าสัมมาทิฐิ ครั้นจะไวจ้ ุลศักราชต่อไปบัดนี้ พระพุทธศักราช
พระราชพงศาวดารเหนอื ๑๑๙ จะฟั่นเฟือนไปด้วยมิจฉาทิฐิ จะยกย่องแต่ฝ่ายจุลศักราช พระพุทธจักรก็จะอยู่ในอำนาจอาณาจักร ทั้งอายุสัตว์ก็จะถอยจากเดือนปี ประเพณีจะแปรปรวนไปทุกที จึงมีพระราชโองการดำรัสแก่มหาโชติ พราหมณ์กับขุนวิชาชำนาญธรรม ให้ยกจุลศักราชออกเสีย ให้ตั้งพระพุทธศักราชไว้เป็นกำหนดสืบไป พระพุทธศักราชล่วงได้ ๙๕๕ พรรษา นักษัตรกุกกุฏะสังวัจฉร ศรีธนญไชยสร้างวัดโลกสุธาพระใจร้าย พระพุทธศักราชได้ ๙๕๗ พรรษา นักษัตรสังวัจฉร พระสังฆราชลงมาแต่เมืองหงษาวดี จะลงมาถามถึง อตั ถกถาจะเสอ่ื มสญู ฤๅยงั ผใู้ ดจะทรงไวไ้ ดท้ ง้ั พระไตรปฎิ ก อย่วู ดั โพธห์ิ อม ขณะนน้ั องคอ์ นิ ทรเ์ ปน็ เชอ้ื มาแตพ่ ระยากาฬปกั ษ์ มาไดร้ าชสมบตั ไิ ด้ ๓๕ ปี สรา้ งวดั หนา้ พระเมรุ ไวเ้ ปน็ หลกั พระพทุ ธศาสนา จลุ ศกั ราช ๙๐๐ ปชี วด สมั ฤทธศิ ก เสดจ็ สวรรคต เรื่องพระเจ้าอู่ทอง ขณะนั้นพระเจ้ากาแต เป็นเชื้อมาแต่นเรศร์หงษาวดี ได้มาเสวยราชสมบัติ แล้วมาบูรณะวัด โปรดสตั ววดั หนง่ึ วดั ภเู ขาทองวดั หนง่ึ วดั ใหญว่ ดั หนง่ึ สามวดั นแ้ี ลว้ จงึ ใหม้ อญนอ้ ยเปน็ เชอ้ื มาแตพ่ ระองค์ ออกไปสร้างวัดสนามไชย แล้วมาบูรณะวัดพระปาเลไลยในวัดลานมะขวิด แขวงเมืองพันธุมบุรีนั้น ข้าราชการบูรณะวัดแล้ว ก็ชวนกันบวชเสียสิ้นสองพันคน จึงขนานนามเมืองใหม่ชื่อว่าเมืองสองพันบุรี แล้วพระองค์จึงยกนาเป็นส่วนสัดวัดไว้ พระองค์อยู่ในสิริราชสมบัติ ๔๐ ปีสวรรคต๑ จุลศักราช ๕๖๕ ขาล เบญจศก พระยาอู่ทองกับพระเชษฐา แลราชบุตรกับครอบครัวยกลงมาแต่เมืองฉเชียงหลวง มา ณ เมือง สวรรคเทวโลกลงมายังกรุง ครั้นลงมาถึงที่อันหนึ่ง ครั้นเห็นสงบเงียบอยู่ ก็ยกไปท้ายเมืองฝั่งใต้ จึงตั้งที่ ประทบั พลบั พลาอยทู่ น่ี น้ั ราษฎรนน้ั นบั ถอื วา่ เปน็ ผมู้ บี ญุ กเ็ ขา้ ประชมุ สโมสรพรอ้ มกนั จงึ ยกใหเ้ ปน็ เจา้ แผน่ ดนิ บงั คบั บญั ชาราชการตามประเพณอี ยา่ งธรรมเนยี มมาแตก่ อ่ น ครน้ั เรยี บราบสำเรจ็ แลว้ จงึ ยกพระเชษฐาธริ าช ให้ครองเมืองสุคันธคีรี พระเจ้าท้องลันราชเป็นประถมกระษัตริย์สืบมา พระยาสุคันธคีรีเจ้าเมืองเชียงใหม่ จะใครห่ าภรรยาใหแ้ กบ่ ตุ รเปน็ อคั รมเหสี พระยาสคุ นั ธครี ใี หห้ าโหรามาพเิ คราะหด์ จู ะอยทู่ ศิ ใด โหรกราบทลู ว่าคู่ต่างเมือง มีผู้มาบอกข่าวว่าบุตรพระยาอู่ทองคนหนึ่งงามดังนางสวรรค์ เจ้าไชยทัตจะใคร่ได้เป็น พระอคั รมเหสี จงึ เอาเพศเปน็ เถร เจา้ ไชยเสนผนู้ อ้ งเปน็ ภกิ ษไุ ปเพอ่ื น พากนั มาสองคน ครน้ั มาถงึ ราชธานี เข้าแล้วก็อาศัยอยู่ริมพระราชวัง ฟังดูคนทั้งหลายในเมืองจะพูดจากันเป็นประการใด ก็ลาเพศเป็นเถรแล้ว ๑ เนอ้ื เรอ่ื งในตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๔๒ ไปตอ่ เรอ่ื งทา้ วอทู่ อง อกี สำนวนหนงึ่ ท่ลี งพิมพ์ต่อจากเร่อื งน้ี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432