๑๒๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ กป็ ลอมเขา้ ไปในวงั จะเขา้ วงั นน้ั มไิ ด้ เหน็ แตต่ น้ พกิ ลุ อยรู่ มิ กำแพงวงั กป็ นี ขา้ มกำแพงวงั เขา้ ไป กำบงั กายมใิ ห้ คนเหน็ เจา้ จงึ เขา้ ไปหานาง ๆ จงึ ถามวา่ ทา่ นนเ้ี ปน็ บตุ รผใู้ ด พระองคจ์ งึ บอกวา่ เรานเ้ี ปน็ บตุ รพระเจา้ เชยี งใหม่ พี่จะใคร่ได้นางเป็นอัครมเหสี แต่ไปมาหากันจนมีครรภ์แก่ พระยาอู่ทองพิจารณาดูเห็นผิดประหลาดอยู่ ครน้ั จะวา่ กลวั ลกู จะนอ้ ยใจ พระทวารถงึ ๗ ชน้ั ยงั เขา้ มาได้ ผดิ ประหลาดนกั เหน็ อยแู่ ตท่ อ่ นำ้ ทรงพระดำริ ฉะนน้ั แลว้ กส็ ง่ั ใหท้ ำลอบเหลก็ ใบหนง่ึ ดกั ไวท้ ท่ี อ่ นำ้ เจา้ ไชยทตั หาทนั รไู้ ม่ เคยประดานำ้ เขา้ ไปกต็ ดิ ลอบตาย พระยาอู่ทองใช้คนไปดู เห็นเจ้าไชยทัตตายอยู่ จึงว่าทำผิดคิดมิชอบเข้าลอบตายเอง จึงให้เอาศพนั้น มาเหน็ รปู งามนกั หนา จะเปน็ เชอ้ื กษตั รยิ อ์ งคใ์ ดเสยี ดายนกั จงึ ทรงดำรวิ า่ จะมาแตผ่ เู้ ดยี วฤๅ กใ็ หเ้ ทย่ี วหาดู ครน้ั มาพบนอ้ งชายเขา้ ท่ีวดั รามวาศ เอาตวั มาถงึ วงั กร็ วู้ า่ เปน็ บตุ รพระเจา้ เชยี งใหม่ จงึ ใหล้ าผนวชออกแลว้ กร็ าชาภเิ ษกกบั พระราชบตุ รี ๑พระยาอู่ทองตรัสแก่เสนาบดีว่า พระตำหนักเวียงเหล็ก ให้หาที่ไชยภูมิจะสร้างเมืองใหม่ จึงให้ อำมาตยข์ า้ มไปฝง่ั ทฝ่ี ง่ั เกาะตรงวงั ขา้ มเกณฑไ์ พรถ่ างแผว้ พอพบพระฤๅษอี งคห์ นง่ึ อยใู่ นดงโสนรมิ หนองนำ้ ทรงนามชื่อสักธรรมโคดม ๆ จึงถามคนถางว่าจะทำเป็นประการใด ในแว่นแคว้นของเราฉะนี้ คนแผ้วถาง จงึ บอกวา่ พระมหากษตั รยิ จ์ ะสรา้ งเมอื งใหม่ พระฤๅษจี งึ วา่ เรามาอยสู่ ถานทน่ี ก้ี น็ านมาแลว้ แตพ่ ระพทุ ธเจา้ ยังสร้างพระบารมีอยู่จนได้ตรัสได้ ๙๑๗ ปี๒ แล้ว จะมาสร้างเมืองดีอยู่แล้ว เราก็จะลาไปอยู่เขาแก้ว บรรพต แต่ที่อันนี้เป็นที่กองกูณฑ์อัคคี หาเป็นที่ชัยภูมิไม่ ให้ไปข้างทิศหรดีเป็นที่ชัยภูมิดี มีต้นหมัน เปน็ สำคญั อยตู่ น้ หนง่ึ จงึ ใหอ้ ำมาตยไ์ ปเทย่ี วดไู ดเ้ หน็ เปน็ แน่ กน็ ำเอาเหตทุ ง้ั นม้ี ากราบบงั คมทลู ทรงทราบ จึงให้หาเสนาพฤฒามาตย์มาสโมสรพากันไปหาพระดาบส ว่ามหากษัตราธิราชเจ้าให้อาราธนาเข้าไป ในพระราชวัง พระดาบสเธอจึงตอบว่าเรายังหาเข้าไปไม่ ท่านจงจัดให้คนไปตัดไม้มากองกูณฑ์อัคคีดู ใหร้ เู้ หตุ จงึ อำมาตยเ์ สนาบดที ง้ั หลายทง้ั ปวงกใ็ ชใ้ หค้ นไปตดั ไมม้ า ตามคำพระดาบสสง่ั ทกุ ประการ แลว้ พระดาบสจึงให้จุดเพลิงเผาไม้ฟืน ซึ่งกองไว้นั้นรุ่งโรจน์ เปลวเพลิงสูงเท่าต้นตาล รัศมีสว่างรุ่งเรืองไปทั่ว ประเทศ ครั้นเพลิงสงบเป็นปรกติค่อยบันเทาลงแล้ว พระดาบสก็เอาน้ำพระวิศณุมนต์มาประพรม กองกูณฑ์อัคคีแล้ว พระดาบสจึงว่าแก่เสนาบดีผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงว่า จะมีกษัตริย์ไปภายหน้านั้น เปน็ อนั มาก จะเปน็ เมอื งทา่ สำเภา แตท่ วา่ จะเกดิ ยทุ ธนาการไมร่ วู้ าย ครน้ั วา่ เทา่ ดงั นน้ั แลว้ จงึ ใหอ้ ำมาตย์ เสนาบดีผู้ใหญ่ กลับมากราบทูลพระมหากษัตริย์เถิด เสนาบดีผู้ใหญ่ก็ชวนกันไปกราบทูลประพฤติเหตุ ๑ ตรวจสอบกบั ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๔๒ ดว้ ย ๒ ต้นฉบับสมุดไทย เลขที่ ๔๒ จะมีตัวเลขศักราชแตกต่างออกไปเป็นส่วนมากในยุคตำนานมิได้ลงเปรียบเทียบไว้ สำหรับปีนี้ ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๔๒ วา่ “บดั น้ี จลุ ศกั ราชได้ ๗๑๑ ป”ี ซง่ึ ตรงกบั พ.ศ.๑๘๙๒ นบั วา่ ใกลเ้ คยี งกบั ประวตั ศิ าสตรป์ สี รา้ งกรงุ ศรอี ยธุ ยา คอื ปี พ.ศ.๑๘๙๓
พระราชพงศาวดารเหนอื ๑๒๑ ซง่ึ ไดเ้ หน็ นน้ั สน้ิ ทกุ ประการ ครน้ั เวลารงุ่ เชา้ จงึ ใหอ้ ำมาตยผ์ ใู้ หญอ่ อกไปอาราธนาพระดาบสเขา้ มาในพระราชวงั อำมาตย์เสนาบดีผู้ใหญ่ก็ไปพร้อมกันตามรับสั่ง ครั้นถึงที่นั้นหาพบพระดาบสไม่ จึงให้คนเที่ยวค้นหา ไปทกุ แหง่ ทกุ ตำบลกห็ าพบไม่ จงึ สง่ั ใหเ้ สนาบดผี ใู้ หญไ่ ปแผว้ ถางใหร้ าบรน่ื เปน็ อนั ด๑ี (ตอ่ นเ้ี ปน็ เรอ่ื งทา้ วอทู่ อง แลมเี รอ่ื งเจา้ ไชยทตั ไชยเสน ความซำ้ กบั ขา้ งตน้ ) ๒แลในเมืองพระยาแกรกมาอยู่ ครั้นสิ้นบุญพระยาแกรกแล้ว ก็ถอยลงมาถึง ๓ ชั่วพระยาแล้ว ยังแต่ผู้หญิงอันสืบตระกูล แลเศรษฐีทั้งสอง คือ โชดกเศรษฐี แลกาลเศรษฐี ๆ ทั้งสองคนนี้คิดอ่านด้วย กนั แลว้ จงึ เอาเจา้ อทู่ องลกู โชดกเศรษฐปี ระสมดว้ ยกนั กบั พระราชธดิ าใหค้ รองเมอื งนน้ั ได้ ๗ ปี๓ หา่ ลงเมอื ง โคกระบอื ชา้ งมา้ ตาย แลคนทง้ั หลายกต็ ายวปิ รติ หนกั หนา อำมาตยจ์ งึ ทลู แกท่ า้ วอทู่ องวา่ พลเมอื งตาย เปน็ อนั มาก พระองคจ์ งึ ใหย้ กพลชา้ งมา้ ออกจากพระนครเมอ่ื เทย่ี งคนื วา่ สถานทใ่ี ดสบายเราจะไปสรา้ งเมอื ง อยใู่ นทน่ี น้ั แลไปขา้ งฝา่ ยทกั ษณิ ได้ ๑๕ วนั จงึ ถงึ แมน่ ำ้ อนั หนง่ึ แลเหน็ เกาะอนั หนง่ึ เปน็ ปรมิ ณฑลงามแลจะ ขา้ มมไิ ด้ จงึ ใหต้ ง้ั ทพั ตามรมิ นำ้ ทง้ั ไพรพ่ ลทง้ั หลาย ตรสั สง่ั อำมาตยใ์ หไ้ ปตดั เรอื จะขา้ มนำ้ เขา้ หาเกาะ ครน้ั ไดเ้ รอื แลว้ เสนาอำมาตยไ์ พรพ่ ลชา้ งมา้ ขา้ มมาหาเกาะแลว้ จงึ บกุ ปา่ โสนเขา้ ไปกลางเกาะ เหน็ ดาบส ตนหนง่ึ อยใู่ นใตต้ น้ ไม้ พระยากต็ รสั ปราศยั ดว้ ยดาบส แลพระยาจงึ ถามวา่ เจา้ กมู าอยทู่ น่ี ้ี ชา้ นานแลฤๅ ๆ พง่ึ จะมาอยู่ พระดาบส จงึ บอกวา่ เรามาอยทู่ น่ี ้ี แตค่ รง้ั พระพทุ ธเจา้ ยงั ทรมานมพี ระชนมอ์ ยู่ อายเุ ราได้ ๑๕๐ ปแี ลว้ แลบาอาจารยเ์ ราสองคน คนหนง่ึ ไปตายในเขาสรรพลงึ ค์ คนหนง่ึ ไปตายในพนมภผู าหลวง ยงั แต่ เราผเู้ ดยี วนแ้ี ล เมอ่ื พระพทุ ธเจา้ มาถงึ น่ี เราไดน้ มิ นตใ์ หน้ ง่ั บนตอตะเคยี น อนั ลอยมาคา้ งอยใู่ นทน่ี ่ี เราก็ ถวายมะขามป้อม สมอแก่พระพุทธเจ้า ๆ จึงแย้มพระโอษฐ์ พระอานนทจ์ ึงทูลถามพระพุทธเจ้า ๆ จึงมี พระพทุ ธฎกี า ตรสั แกพ่ ระอานนทว์ า่ ฐานทน่ี จ้ี ะเปน็ เมอื งอนั หนง่ึ แตเ่ รามา ๖ โยชน์ เขากเ็ รยี กวา่ ศรอี โยทธยา พระพทุ ธเจา้ มพี ระบณั ฑรู ไวด้ งั น้ี ครน้ั พระดาบสบอกแล้ว พระยายินดีนักหนา พระยาเสด็จไปเลียบดูที่ จะตั้งพระราชวังแลเรือนหลวง แลตั้งกำแพงแลค่ายคูไปรอบเมือง แลแต่งพระราชวังแล้ว พระองค์จึง เสดจ็ ไปสเู่ มอื งกบั ดว้ ยสนมชาวแม่ แพทยพ์ ราหมณาจารยท์ ง้ั หลายเขา้ มาเมอื ง ณ วนั ๑ ต้นฉบับสมุดไทย เลขที่ ๔๒ ต่อจากนี้เป็นเรื่องพระเจ้าอู่ทองสถาปนากรุงพระนครศรีอยุธยา เมื่อจุลศักราช ๗๑๒ ปีขาล โทศก ๖ ๖ฯ ๕ คำ่ (วนั ศกุ รท์ ่ี ๔ มนี าคม พ.ศ. ๑๘๙๓) จบถงึ ใหพ้ ระบรมราชาธริ าชเจา้ ไปครองเมอื งสพุ นั ธบรุ ี ใหพ้ ระราเมศวร ไปครองเมอื งลพบรุ ี แล้วขึ้นบานแผนกตอนท้ายว่า “ขา้ พระพทุ ธเจา้ พระวเิ ชยี รปฤชานอ้ ย เจา้ กรมราชบณั ฑติ ยข์ วา ไดร้ บั พระราชทานเรยี งเรอ่ื งสยาม ราชพงษาวดารเมอื งเหนอื ตง้ั แต่ บาธรรมราชสรา้ งเมอื งสชั ชนาไลย เมอื งสวรรคโลกย์ ไดเ้ สวยราชสมบตั ิ ทรงพระนามพระเจา้ ธรรมราชาธริ าช เปน็ ลำดบั ลงมาจนถงึ พระเจา้ อทู่ อง สรา้ งกรงุ ศรอี ยธุ ยาโบราณราชธานี โดยกำลงั สตปิ ญั ญาสกั านรุ ปู อนั นอ้ ย ทลู เกลา้ ทลู กระหมอ่ มถวาย ขอเดชะ” ๒ ตรวจสอบกับต้นฉบับสมดุ ไทย เลขที่ ๔๐,๔๒, ๕๒, ๕๕ และ ๖๒ ๓ ตน้ ฉบบั สมดุ ไทย เลขท่ี ๔๒ มขี อ้ ความเพม่ิ เตมิ วา่ “จลุ ศกั ราช ๗๑๑ ปี ฉลู เอกศก”
๑๒๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ แลสมเด็จท้าวอู่ทองเมื่อเข้าไปในเมืองวันนั้น พระดาบสยังเข้าฌานสมาบัติบูชากูณฑ์ใต้ต้นไม้ สถานนอกอาศรม ครั้นพระยาไป พระดาบสก็ออกจากฌานในวันนั้น ครั้น ณ วันอาทิตย์ เดือนอ้าย ขน้ึ ๖ คำ่ ปมี ะโรง โทศกเวลาเชา้ พระดาบสจงึ เขยี นรปู เมอื งดว้ ยถา่ นเพลงิ ทง้ิ เพลงิ ขน้ึ ไปในอากาศตกลงมา แลบลิ้นออกเป็นทางสามแพร่ง แสดงให้เป็นอุบัติเหตุว่า ผู้ใดเกิดในที่นั้นย่อมมุสาวาท ความจริงน้อยไป แลพระยาอู่ทองได้ยินแล้วก็กำหนดไว้แต่ในใจ แลพระดาบสจึงบอกแก่พระยาอู่ทองว่า เราจะอยู่ด้วย บพิตรมิควรแก่เรา สถานที่นี้เป็นของท่านเถิด เราจะลาท่านขึ้นไปรักษาพระพุทธบาทพระพุทธเจ้าอยู่กว่า จะสิ้นชีวิตเรา ครั้นพระดาบสว่าแล้วก็เข้าฌานสมาบัติ ออกจากฌานแล้วก็ขึ้นไปที่พระพุทธบาทแล้ว กเ็ ขา้ นพิ พานในทน่ี น้ั ทา้ วอทู่ องกค็ รองเมอื งศรอี โยทธยาเปน็ สขุ มพี ระราชบตุ ร ๓ พระองค์ ๆ หนง่ึ ชอ่ื เจา้ อา้ ย องคห์ นง่ึ ชอ่ื เจา้ ย่ี องคห์ นง่ึ ชอ่ื เจา้ สาม จำเรญิ ใหญม่ ามรี ปู อนั งามประกอบดว้ ยปญั ญา แลทา้ วพระยาทง้ั หลายกก็ ลวั อานภุ าพเธอนกั หนา เจา้ อา้ ยไปกนิ เมอื งนคร เจา้ นอ้ งยไ่ี ปกนิ เมอื งตนาว เจา้ นอ้ งสามไปกนิ เมอื งเพช็ รบรุ ี ฝา่ ยพระเจา้ อทู่ อง มพี ระราชบตุ รอี กี องคห์ นง่ึ เมอ่ื จะประสตู นิ น้ั ทา้ วอทู่ องฝนั เหน็ วา่ ดอกบวั ลอยมา เธอจงึ ตรสั ใหพ้ ราหมณม์ าทาย พราหมณจ์ งึ ทายวา่ พระองคเ์ จา้ จะไดบ้ ตุ รเขยมาตา่ งเมอื งขา้ งเหนอื พราหมณไ์ ดพ้ ระราชทานรางวลั แลว้ กอ็ อกมาจากพระราชวงั เจ้าพัตตาสุจราชผู้เป็นพระยาวรราช เสวยสมบัติในเมืองสัชนาไลยมีพระราชกุมาร ๒ พระองค์ ๆ หนึ่งชื่อเจ้าธรรมไตรโลก พระองค์หนึ่งชื่อบรมไตรโลก แลสมเด็จพระเจ้าพัตตาสุจราชทรงพระชราภาพ นักหนาแล้ว พระชนมายุได้ ๑๖๐ ปีก็ถึงทิวงคต ณ วันศุกร์ เดือน ๑๒ ขึ้น ๕ ค่ำ ปีฉลู ครั้นทำ สการศพพระบิดาแล้ว อำมาตย์เสนาทั้งหลายจึงราชาภิเษกเจ้าธรรมไตรโลก เป็นพระยาแทนบิดาเป็น ชา้ นาน พระองคเ์ จา้ มาคดิ ในพระทยั วา่ ทา่ นผใู้ ดใหท้ านเปน็ อนั พอใจแลรกั ษาศลี เปน็ อนั มาก แลพระองค์ จะใคร่ออกทรงบรรพชาให้ได้ พระองค์จึงออกไปจากเมืองสัชนาไลยได้ ๒ ราตรี ถึงเมืองโอฆบุรีอัน เปน็ เมอื งแหง่ พระญาติ แลพระยาญาตหิ า้ มมฟิ งั จงึ ออกไปกบั พระยาทง้ั หลายแหห่ อ้ มลอ้ มไปยงั ทา้ ยเมอื ง ตัดพระเกศาโกนเกล้า จึงพระยาญาติทั้งหลายก็เอาพระเกศาใส่ผอบทองบรรจุไว้ แลพระองค์เจ้าก็ อุปสมบทพระอุบาฬีเถรเป็นพระอุปัชฌาย์ พระคิริมานนท์เป็นกรรมวาจา พระสุเมธังกรเป็นอนุสาวนะ ชุมนุมพระสงฆ์ ๒๐๐ องค์ ทรงผนวช ณ วันพฤหัสบดี เดือน ๖ ขึ้นค่ำหนึ่ง เวลาเช้า ก็งามนักหนา ประดุจดังภิกษุอันได้ ๖๐ พรรษา สมเด็จพระเจ้าโกรพราช ยังอำมาตย์เสนาชวนกันสร้างอารามถวาย แกพ่ ระองคต์ ามบทคาถาทง้ั ๘ บทดงั น้ี
พระราชพงศาวดารเหนอื ๑๒๓ ปถม โพธปิ ลลฺ งกฺ ทติ ยํ อนมิ สิ สฺ กํ ตตยิ จกขฺ มํ เสฏฐฺ ํ รตตฺ นคยฺ ปญจฺ มํ อชปาลญจ มจุ จฺ ลนิ เฺ ทน ฉตตฺ มํ สตตฺ มํ สริ เิ ทวานํ อฏฐฺ มํ ปรนิ พิ พฺ ตุ ตฺ ํ ครั้นพระเจ้าโกรพราชสร้างอารามถวายแล้ว พระองค์เจ้าตั้งเมตตาปฏิบัติกรรมฐาน แลพระสงฆ์ ทั้งหลายให้ชื่ออริยสงฆ์แต่นั้นมา แลพระเจ้าโกรพราชจึงให้สร้างพระเจดีย์บรรจุพระเกศไว้ จึงให้ชื่อว่า วดั จฬุ ามณแี ตน่ น้ั มาถงึ บดั นแ้ี ล สมเด็จพระยาสุคนธคีรีเจ้าเมืองพิไชยเชียงใหม่ มีพระราชบุตร ๒ พระองค์ ๆ หนึ่งชื่อเจ้าไชยทัต กุมาร องค์หนึ่งชื่อเจ้าไชยเสนกุมาร สองพระองค์เป็นพระภิกษุขึ้นไปเรียนพระไตรปิฎกถึงเมืองภุกามได้ ๓ พรรษาก็จบพระธรรมแล้ว เจ้าจึงไปเรียนไตรเพทข้างไสยศาสตร์ได้จบบริบูรณ์ก็กลับมาเมืองวิเท่ห์ รอ้ื มาเมอื งหงษา แลมาอาศยั อยอู่ ารามแหง่ หนง่ึ จะใครล่ องคณุ ความรอู้ นั ตนไดเ้ รยี นมา แลพน่ี อ้ งทง้ั สอง ชวนกันขึ้นไปถึงบนปราสาทพระยาแล้ว ฉวยอุ้มเอาพระราชธิดาลงมาจากปราสาทมาถึงวัดเวลาเที่ยงคืน หาผู้ใดจะรู้มิได้ แลพี่น้องทั้งสองยินดีนักหนา แต่อุ้มไปอุ้มมาได้ ๓ วันแล้ว เจ้ากูก็เอาทวะดึงษาการ มาเป็นกรรมฐานปลงปัญญาญาณว่ารูปผี ครั้นเวลากลางคืนพระเจ้าหงษาย่อมมาดูลูกสาวตน มิเห็น ลูกสาวตนในกลางคืนนั้นก็คิดหลากพระทัย จึงเอาพรรณผักกาดใส่ผมไว้ ครั้นพรรณผักกาดตกลงก็งอก ถึงกุฎี แลพระยาจึงให้อำมาตย์ไปกุมเอาตัวเจ้ากูทั้งสององค์นั้นมา พระยาจะให้เอาไปฆ่าเสีย เจ้ากูจึงว่า มหาบพติ รอยา่ เพอ่ ฆา่ เรา ๆ จะลองวชิ าคณุ อนั เราไดเ้ รยี นมานน้ั ใหท้ า่ นดกู อ่ น จงึ ใหค้ นตกั นำ้ ใสข่ นั อนั ใหญ่ มาแล้ว เจ้ากูองค์หนึ่งเป็นนกยาง องค์หนึ่งเป็นปลาว่ายอยู่ในขันนั้น แลนกยางจึงคาบเอาปลาพาบินไป พระยาหงษาเหน็ หลาก จงึ ใหค้ นตามไปดมู ไิ ดเ้ หน็ บาตรแลจวี รในกฎุ ี แลเจา้ กทู ง้ั สองกเ็ ขา้ ไปถงึ เมอื งเชยี งใหม่ แลว้ แลพระบดิ ามารดากย็ นิ ดนี กั หนา แลพระยาสคุ นธครี จี ะใครไ่ ด้เจา้ ไชยทตั มาเปน็ พระยาแทนพระองค์ ๆ จึงให้ประจุออกจากสมณะแล้ว แต่ว่ามิพอใจผู้หญิงคนใดคนหนึ่ง แลพระเจา้ สคุ นธครี ใี ห้หาโหรามาทายดู จึงรู้ว่าคู่พระองค์เจ้าอยู่ต่างเมือง แลเขาก็เล่าลือว่าลูกสาวพระยาอู่ทองมีผู้หนึ่งงามดังนางฟ้า เจ้าไชยทัต จะใคร่ได้เป็นอัครมเหสี แลเอาเพศเป็นสามเณร กับเจ้าไชยเสนผู้น้องอันเป็นเจ้าพระภิกษุเป็นเพื่อนกัน มาถึงเมืองศรีอยุทธยาราชธานี มาอยู่อาศัยในวัดใกล้พระราชวังฟังกิตติศัพท์คนทั้งหลายเล่าลือแก่กัน ครั้นรู้ตระหนักแล้วเจ้าก็ลาเพศออกจากสามเณร แล้วซ่อนกำบังกายเข้าไปในพระราชวังเข้ามิได้ จึงเห็น ต้นพิกุลต้นหนึ่งอยู่ใกล้กำแพงวัง เจ้าจึงขึ้นข้ามเข้าไปได้ จึงให้นิทราไว้มิให้ผู้ใดรู้ แลเจ้าจึงเข้าไป
๑๒๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ หานางไดแ้ ลว้ นางถามวา่ ทา่ นนเ้ี ปน็ บตุ รผใู้ ด จงึ บอกวา่ เรานเ้ี ปน็ บตุ รเจา้ เชยี งใหม่ พห่ี าภรรยาทช่ี อบใจ มิได้ พี่จึงมาหาเจ้า จะใคร่ได้เจ้าไปเป็นนางอัครมเหสี แต่เที่ยวไปหานางทุกวันจนนางทรงครรภ์แก่แล้ว สมเด็จพระเจ้าอู่ทองเห็นลูกดูหลากตาแต่มิออกปากกลัวลูกจะน้อยใจ แล้วคิดว่าพระทวารบานประตู ได้ร้อยชั้นยังเข้ามาได้ จะมาในที่ใด ถ้าเว้นไว้แต่ท่อน้ำครั้นพระองค์เจ้ารำพึงแล้ว จึงตรัสสั่งคนทั้งหลาย ใหท้ ำเปน็ ลอบเหลก็ ดกั ไวท้ ท่ี อ่ นำ้ นน้ั ฝ่ายเจ้าไชยทัตเคยประดาน้ำเข้าไปทุกวัน ๆ นั้น ก็เข้าลอบเหล็กติดอยู่ช้านานก็ตายในที่นั้น ต้องคำโบราณว่าทำมิชอบเข้าลอบตายเอง พระเจ้าอู่ทองจึงให้คนไปดูก็เห็นคนตายอยู่ จึงเอารูปนั้นมาดู เห็นหลาก เป็นบัณฑิตรูปงาม แลพระองค์จึงเสียดาย พระองค์คิดว่าจะมาแต่ผู้เดียวฤๅ ๆ ว่ามีเพื่อน พระองค์จึงให้คนค้นหา จึงได้พบน้องชายอยู่อาราม ก็ให้คุมเอาตัวมาในพระราชวัง จึงให้ถามดูรู้ว่า บุตรพระเจ้าเชียงใหม่ แลพระราชเทวีอันทรงครรภ์แก่ก็ทรงพระกรรแสงไห้รักสามี ว่ากูจะเป็นม่าย แลลูกจะหาพ่อมิได้ จะอายแก่ไพร่พลทั้งหลาย เขาจะทายประมาณครรภ์ เห็นหน้าพระเจ้าอาดุจดังเห็น หนา้ ผวั อนั ตราย พระเจา้ อทู่ องจงึ ใหเ้ จา้ ไชยเสนอนั เปน็ ภกิ ษนุ น้ั ลาพระผนวชแลว้ จงึ ราชาภเิ ษกใหเ้ ปน็ พระยา แลสมเดจ็ พระเจา้ อทู่ องตรสั ใชค้ นทง้ั หลาย ใหไ้ ปเอาคนปลำ้ พนนั เมอื งทง้ั คู่ แลรปู พระยาแกรกนน้ั มาแตเ่ มืองอินทปัตนคร มาไว้ในเมืองศรีอยุทธยา พระเจ้าอู่ทองมีพระชนมายุได้ ๑๐๐ ปีเศษ ก็ทิวงคต ณ วนั ศกุ ร์ เดอื น ๘ ขน้ึ ๖ คำ่ ปฉี ลู ฉศก พทุ ธศกั ราชได้ ๑๖๐๐ ปี เจ้าไชยเสนได้เป็นพระยา ในเมืองศรีอยุทธยาราชธานี ทำบุญให้ทานรักษาศีลเมตตาภาวนา ช้านานได้ ๒๗ ปี แลพระราชกุมารจึงมีวัยอันเจริญใหญ่มา แลพระเจ้าไชยเสนผู้เป็นอา จึงราชาภิเษก เจ้าสุวรรณกุมารเป็นพระยาแทนพระองค์แล้ว พระองค์เสด็จไปด้วยราชเทวี แลฝูงนางเป็นบริวาร ช้างม้า เป็นอันมาก ถึงเมืองพิไชยเชียงใหม่ แลพระยาญาติก็ชื่นชมนักหนา แลพระเจ้าสุคนธคีรีจึงราชาภิเษก เจ้าไชยเสน ให้เป็นพระยาแทนพระองค์เจ้า สมเด็จพระเจ้าสุวรรณราชา คิดถึงคุณพระบิดาอันมาแต่ไกล แลเกิดพระองค์ ๆ จึงให้ช่างทั้งหลายหล่อพระสำริดรูปหนึ่งหน้าตัก ๔ วาแล้ว พระองค์ทำบุญให้ทานแก่ เจ้ากูโยคาวจร ฉลองพระพุทธรูปอุทิศไปแก่พระบิดาแล้ว พระองค์มีพระราชธิดา ๒ พระองค์ องค์หนึ่ง ชอ่ื เจา้ กลั ยาเทวี องคห์ นง่ึ ชอ่ื เจา้ สนุ นั ทาเทวี มรี ปู อนั งามดจุ ดงั นางเทพธดิ าอนั มใี นสวรรคน์ น้ั แล เรอ่ื งพระบรมราชา จะกล่าวถึงพระเจ้าธรรมไตรโลก เสวยราชสมบัติ ณ เมืองสัชนาไลยราชธานี มีราชบุตร ๓ พระองค์ ๆ หนง่ึ ชอ่ื พระธรรมราชา พระองคห์ นง่ึ ชอ่ื เจา้ บรมราชา พระองคห์ นง่ึ ชอ่ื เจา้ ราชาธริ าช พระบดิ า
พระราชพงศาวดารเหนอื ๑๒๕ จะใครใ่ หพ้ ระธรรมราชาผเู้ ปน็ พเ่ี จา้ ทง้ั สองนน้ั เปน็ พระยา แลพระองคก์ ร็ วู้ า่ กษตั รยิ ล์ กู ดว้ ยกนั อนั เนอ่ื ง กันสืบ ๆ มาแต่โบราณ พระธรรมราชาแลพระบรมราชาต่างคนต่างสัญญากัน ยกพลโยธาแลจัดเครื่อง บรรณาการไปถวาย ขอพระราชธิดาพระเจ้าสุวรรณราช ณ เมืองศรีอยุทธยา แลพระองค์จึงพระราชทาน นางทั้งสองใหธ้ รรมไตรโลก แลนางกัลยาเทวีได้แก่พระธรรมราชา นางสุนันทาเทวไี ด้แก่พระบรมราชา แลกษัตริย์ทั้งสองได้แล้วจะคืนเมืองมิได้ หลงด้วยรูปทรงนางทั้งสอง แลสมเด็จพระเจ้าสุวรรณราชาผู้เป็น พ่อตา จึงให้บุตรทั้งสองให้ทำกำแพงคนละครึ่ง ทั้งหอรบทบทาท้าวให้มั่นคง อยู่เป็นสุขในเรือนหลวง แห่งพระองค์เจ้า แลสมเด็จพระเจ้าสุวรรณราชาให้ก่อพระมหาธาตุสวมไม้ตะเคียนที่พระพุทธเจ้านั่ง แลสร้างอารามอุโบสถ ที่พระธรรมศาลา พระพุทธรูป พระปฏิมากร กุฎีสถานให้เป็นทาน แล้วพระองค์ เจ้ารักษาศีลเมตตาภาวนา พระชนมายุได้ ๙๘ ปี พระองค์ทิวงคต ณ วันพุธ เดือน ๖ แรม ๖ ค่ำ ปีฉลู ฉศก แลกษัตริย์ทั้งสองพี่น้องคิดอ่านด้วยกันทำสการศพพระองค์แล้ว อำมาตย์ทั้งหลายจึง ราชาภิเษกเจ้าธรรมราชาให้เป็นพระยา จำเดิมแต่นั้นมา พระเจ้ากรุงจีนรู้ข่าวว่าพระเจ้าหลานได้เสวยราช สมบัติ ณ เมืองศรีอยุทธยา พระองค์ให้แต่งจีนคนหนึ่งมีกำลัง จะให้เข้าไปปล้ำพนันเมือง จึงให้จีนใช้ สำเภาเข้าสู้ด้วยไทย สู้ไทยมิได้แลแพ้แล้วก็หนีไป แลภายหน้าไปครั้นสิ้นบุญพระเจ้าธรรมราชาผู้พี่แล้ว อำมาตย์เสนาจึงราชาภิเษกพระบรมราชาเสวยราชสมบัติ ณ เมืองศรีอยุทธยาราชธานี แลอัครมเหสี ชอ่ื นางสนุ นั ทาเทวี มคี รรภพ์ ระราชบตุ รคนหนง่ึ ครน้ั ถว้ นทศมาสจะประสตู วิ นั นน้ั กเ็ ปน็ อนั มดื มนอนธการ แลจีนจามพราหมณ์นักเทศคุลาฝรั่งอังกฤษยี่ปุ่นวิลันดา ก็แต่งสำเภาเข้ามาค้าขายถึงนครศรีอยุทธยา ก็ถวายเครื่องราชบรรณาการแก่สมเด็จพระเจ้าบรมราชา ด้วยบุญญาธิการแห่งพระองค์ ๆ จึงให้พระนาม แก่พระราชกุมารชื่อวรเชษฐกุมาร ครั้นพระชนม์ได้ ๑๖ ปี สมเด็จพระบรมราชามีพระทัยจะใคร่ มอบสมบัติให้แก่เจ้าวรเชษฐกุมาร แลพระองค์จะใคร่ทรงผนวชในพระศาสนา หวังจะเอานิพพานเป็น เบื้องหน้าจึงมีพระโองการตรัสสั่งแก่เสนาอำมาตย์ ให้ส่งข่าวสาส์นไปถึงพระยาญาติฝ่ายข้างเหนือข้างใต้ ให้รู้ว่าพระบรมราชาจะทรงผนวชบวชเป็นบวรณพสาครแล้ว ครั้นวันพุธ เดือน ๖ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีฉลู ฉศก เสด็จไปจากพระนครด้วยพระยาวรเชษฐ ทั้งพระสนมชาวแม่ทั้งหลาย แลเสนามนตรี แห่ห้อมล้อมไปเป็น บรวิ าร ไปถงึ วดั สมโณโกฏิ มพี ระสงั ฆราชาเปน็ อปุ ชั าฌาย์ มหาเทพโมฬีเปน็ กรรมวาจา มหาธรรมไตรโลก วัดสุทธาเป็นอนุสาวนะ ชุมนุมพระสงฆเจ้า ๑๐๐ พระองค์ นั่งหัตถบาศอุปสมบทเจ้าบรมราชาเป็นภิกษุ แลพระสงฆเจ้าทั้งหลายก็จะออกบวชใหม่ โดยประมาณมากกว่า ๑๐๐ สมเด็จพระบรมราชาค่อยเจริญ เมตตาภาวนา ณ วดั สมโณโกฏิ แลพระมหาเทพโมฬถี วายอารามวดั สมโณโกฏแิ กพ่ ระองคเ์ จา้ แลว้ กล็ าขน้ึ มา อยใู่ นอาราม วดั ปา่ หลวงนอกเมอื งชลอน ตราบเทา่ สน้ิ ชนมายพุ ระองคใ์ นอารามทน่ี น้ั แล
๑๒๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ เรื่องขุนสิงหฬสาคร ศักราชถ้วน ๑๐๐๐ พระร่วงเจ้าลบทีหนึ่ง แลพระยาธรรมิกราชจะได้ลบ แลโหราพฤฒาจารย์ มไิ ดเ้ อาทลู บอกกลา่ ว กล็ ว่ งพน้ มาแลว้ แล อนั นท้ี า่ นพระเจา้ โคตมมหาราชแตเ่ มอ่ื ยงั เปน็ วณพิ ก ยงั มไิ ดเ้ ปน็ พระยาแกรก แลพระโคตมมหาราชยงั อยเู่ มอื งอนิ ทปตั นคร แลพระองคต์ รสั แกข่ นุ สงิ หฬสาคร ใหเ้ อาสนิ คา้ ของหลวงออกไปขาย ขนุ สงิ หฬสาครรบั พระราชโองการแลว้ กท็ ลู ลา จงึ นำพานชิ พอ่ คา้ ทง้ั ๕๐๐ ลงสำเภา ลำหนง่ึ แลสง่ิ ของเปน็ อนั มาก ครน้ั ไดฤ้ กษด์ จี งึ ใชส้ ำเภาออกไปจากเมอื งอนิ ทปตั นคร หวงั วา่ จะไปบรเิ ฉท ประภงั ยหิ น แลไปชา้ นานได้ ๗ เดอื นกห็ ลงเขา้ อบั อยู่ เพราะวา่ หาลมมไิ ด้ มริ ทู้ จ่ี ะไปมาไดไ้ ดช้ า้ นาน ๑๕ วนั อนึ่งเป็นอกุศลแก่ชาวพ่อค้าทั้งหลาย แลลมอันบังเกิดขึ้นมา มิใช่ลมจะโคสลาตันหามิได้ แลเป็นพายุพัด สายสมอขาด แลพายุพาเอาสำเภาไปจากทะเลแล่นตัดออกจากปากอ่าว แล้วก็ไปถึงมหาสมุทรอันใหญ่ ครั้นสำเภาลำใดไปถึงที่นั้น บห่อนจะกลับคืนมาได้ แลแต่ไปช้านานได้ ๗ เดือน จึงเห็นเมือง กเุ วรนครเปน็ เมอื งพระกาลเจา้ ปราสาทแลกำแพงกแ็ ลว้ ไปดว้ ยเงนิ ทอง คนทง้ั หลายแลเหน็ กย็ นิ ดนี กั หนาวา่ ทนี เ้ี รามาพบเมอื งแลว้ เรามกิ ลวั ตายเลย จงึ จอดสำเภาเขา้ แลว้ ตา่ งคนตา่ งขน้ึ ไปซอ้ื ขายกนิ กลางตลาดนน้ั ก็ลงมาสำเภาแห่งตน แลข้าขุนสิงหฬสาครได้เห็นแม่นางคนหนึ่ง เหมือนเจ้าผู้หญิงตน แลมันก็มาบอก แกข่ นุ สงิ หฬสาครนน้ั วา่ ไดเ้ หน็ แมน่ างคนหนง่ึ เหมอื นนายผหู้ ญงิ ขนุ สงิ หฬสาครไดย้ นิ กย็ นิ ดี จงึ ขน้ึ ไปแลดู ก็เห็นเมียตน ไม่รู้ว่าตายหามิได้ ครั้นเห็นแม่นาง ๆ เห็นผัวตนก็ยินดี แล้วก็ร้องไห้ร่ำไรไปมาต่อกันแล้ว แม่นางจึงบอกแก่ผัวตนว่า ท่านหลงมาเข้าเมืองพระกาลเจ้าแล้ว ยังอีก ๗ วันหน้าที่พ่อค้าทั้งหลาย แลตัวท่านก็จะตายด้วยกันสิ้น ข้าจะบอกให้รู้เอาตัวรอดเถิด แลข้าจะเล่าเนื้อความให้ท่านฟัง แลทา่ นคา้ ของหลวงแลทา่ นมาจากขา้ นน้ั ทอ้ งขา้ ยงั ออ่ นอยู่ ทา่ นมาชา้ นาน ทอ้ งขา้ แกข่ น้ึ ได้ ๘ เดอื นจะ คลอดลูก แลพระกาลเจ้าให้อำมาตย์ไปผูกรันฟัด แลผูกคอข้ามาจากที่นั้นข้าก็ตาย ก็ได้มาเกิดเป็น ผีกินอยู่เมืองนี้ แลข้าจะบอกให้ท่านรู้ แลเงินข้าใส่หีบไว้ ๒๐ ชั่ง แลทองชั่ง ๑ แลข้าผู้ชาย ๙ คน ข้าผู้หญิง ๑๐ คน ทั้งของท่านของข้ารวมด้วยกัน แลทรัพย์ทั้งนั้นเมื่อจะขาดใจข้าให้น้องสาวท่านเอาไว้ ถา้ แลทา่ นไปถงึ บา้ นทา่ นถามนอ้ งสาวทา่ นเอาเถดิ แลทา่ นทำบญุ หลง่ั นำ้ มาถงึ ขา้ ดว้ ยเถดิ แลขา้ จะบอก ท่านให้ทำข้าวตากข้าวตูใส่ถุงใส่ไถ้ให้จงมาก แล้วพันเข้ากับตัว แลขึ้นไปปลายเสากระโดงคอยดูแล ถ้าแลปลายเสากระโดงฟัดไปถึงต้นหมากเดื่อ อันโอนมาริมมหาสมุทรทะเล แลท่านจับกิ่งหมากเดื่อ จงมน่ั แลว้ จงึ ไตถ่ ามกง่ิ หมากเดอ่ื เขา้ ไปตน้ เถดิ ทา่ นจงึ จะรอดตวั แลทา่ นเรง่ ไปเถดิ พระกาลทา่ นรา้ ยนกั ครั้นเห็นท่านผู้ใดผู้นั้นก็จะตายทันใจ ถ้าผู้ใดทำสักการบูชาพระกาลเจ้าดีใจนักหนา ท่านเอยพระกาล พระกลุ เี จา้ ยอ่ มรา้ ยนกั ฟดั ตเี อาใหไ้ ด้ ถา้ ผใู้ ดทำรปู พระกาลพระกลุ ี ใหไ้ หวน้ บนอบทำสกั การบชู าจงึ จะพน้
พระราชพงศาวดารเหนอื ๑๒๗ ความตาย แลคนทง้ั หลายมทิ นั เฒา่ ทนั แกฟ่ ดั เอามาไวเ้ ปน็ ขา้ ขา้ ทา้ วบา่ วพระยากด็ ี เขญ็ ใจกด็ ี เปน็ สตั ว์ เดียรฉานก็ดี ย่อมสูบเอาหัวใจแลเลือดทั้งหลายกินเป็นอาหาร แลทั้งตัวก็เอามาไว้เป็นบ่าวเป็นข้าตาม วิบากแล้ว เว้นไว้แต่บุญผู้นั้นมาก จึงจะเอามิได้ด้วยบุญผู้นั้นแล ข้าสั่งท่านเท่านี้ท่านจงไปเถิด แลขุน สิงหฬสาครก็ลงมาสู่สำเภาแห่งตน มิให้ผู้ใดรู้สักคน แลจึงทำข้าวตูข้าวตากใส่ไถ้เป็นอันมากแล้วก็ พันเข้ากับตัวแล้ว ก็ขึ้นใบต้นหนด้วยตนเอง จึงให้พานิชชักสมอขึ้นแล้ว ก็ให้บ่ายหัวสำเภาไปตามริม มหาสมทุ รตามคำเมยี สง่ั แลลมตอ้ งใบกพ็ าเอาสำเภานน้ั ไปเปน็ อนั เรว็ แลปลายเสากระโดงระกง่ิ หมากเดอ่ื เข้าแล้ว ตนก็ฉวยจับเอากิ่งหมากเดื่อนั้นได้ก็โหนขึ้นอยู่ที่นั้น แลสำเภานั้นแล่นไปได้ ๗ วัน ก็ตกลงท้อง มหาสมุทรอันใหญ่สู่มหาอวิจี แลพานิชทั้งหลายก็ตายฉิบหายสิ้น คือตกนรกทั้งเป็น แลขุนสิงหฬสาคร ก็ค่อยไต่ตามกิ่งหมากเดื่อนั้นลงมา ๗ วัน จึงถึงคาคบอันใหญ่แล้วจะลงมิได้เลย ด้วยคาคบนั้นใหญ่ ประมาณ ๑๐ วา กินแต่ลูกหมากเดื่อเป็นอาหารอยู่ช้านาน แลเห็นเชือกเขาพันต้นหมากเดื่อขึ้นไป จงึ ไตต่ ามเครอื เขามาได้ ๗ วนั จงึ ถงึ โคนตน้ จงึ เหน็ ราชสหี ย์ นื อยใู่ นทน่ี น้ั กต็ กใจกลวั นกั หนาจงึ เอาลกู หมาก เดอ่ื ทง้ิ แตเ่ ชา้ ไปถงึ ตะวนั เทย่ี ง จงึ รวู้ า่ ราชสหี ต์ าย จงึ ลงมาผลกั ใหล้ ม้ ลงแลว้ เอาดาบเถอื เอาหนงั ราชสหี ์ พนั เขา้ แลว้ กแ็ บกไตต่ ามแนวปา่ ขน้ึ มา แลกนิ แตข่ า้ วตากขา้ วตมู าเปน็ ชา้ นานได้ ๑๕ วนั จงึ ชาวดา่ นเขาได้ ตัวเขาก็พาเอาตัวมาถึงเมืองพระยา ๆ จึงให้ถาม แลขุนสิงหฬสาครจึงบอกแก่พระยาว่า พระเจ้าโคตม มหาราชเมืองอินทปัตนคร ให้ไปค้าสำเภา ๆ ก็อับปางเสียสำเภา เหลือมาแต่ข้าผู้เดียว จึงได้หนังราชสีห์ มาแต่ป่าพระหิมพานต์ แลพระยาจึงให้เลี้ยงดูแล้ว จึงให้เถือเอาหนังราชสีห์ไว้หน่อยหนึ่ง แล้วจึงส่งให้ ไปแกพ่ ระยาใหเ้ ถอื เอาหนงั ราชสหี ไ์ วท้ กุ ๆ เมอื ง กวา่ จะถงึ เมอื งอนิ ทปตั นน้ั ยงั หนงั ราชสหี น์ น้ั เทา่ พรมปนู ง่ั นน้ั แล ครน้ั ถงึ เมอื งอนิ ทปตั นคร ขนุ สงิ หฬสาครจงึ เอาหนงั ราชสหี เ์ ขา้ ไปถวายแกพ่ ระเจา้ โคตมมหาราช ๆ จงึ ถามหาเหตุ แลขนุ สงิ หฬสาครจงึ กราบทลู อาการทง้ั ปวงแกพ่ ระมหากษตั รยิ เ์ จา้ ๆ เหน็ ความจรงิ จงึ ให้ พระราชทานเงินทองแก่ขุนสิงหฬสาครเป็นอันมาก แล้วขุนสิงหฬสาครก็ทูลลามาบ้านแห่งตน แล้ว จึงถามข้าไทแลน้องสาวแห่งตนตามคำเมียตนสั่งมา ข้าไทแลน้องสาวบอกเนื้อความดังนั้นให้พี่ตนฟัง กส็ มคำเมยี ตนทต่ี ายบอกมานน้ั ทกุ ประการแล ฯ๑ ๑ ในบรรดาต้นฉบับสมุดไทยเรื่องพงศาวดารเหนือ ในหอสมุดแห่งชาติ จำนวน ๒๘ ฉบับ มี ๓ ฉบับที่มีเนื้อเรื่องกล่าวถึง สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช คือเลขที่ ๔๑, ๔๗ และ ๕๓ มีเนื้อเรื่องตรงกัน ฉบับที่มีข้อความสมบูรณ์ที่สุดคือ เลขที่ ๔๗ ซึ่งลำดับ กษัตริย์จากเรื่องพงศาวดารเหนือ ถึงสมัยอยุธยาลำดับจากสมเด็จพระเจ้าปราสาททองถึงเสียกรุงศรีอยุธยา แล้วขึ้นเรื่องสมเด็จ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช ดงั น้ี “จุลศักราชได้ ๑๑๑๔ ปีกุน จัตวาศก ดังนั้นพญานักเลงเป็นเชื้อมาแต่พระเจ้ามักคะทะ ทรงพระนามพญาตาก ลงมาหักรั้งตั้ง เมืองใหม่ ทีท่ นทะบูรีย มีช้างเผือกพังช้างหนึ่งเป็นเมืองใหญ่ ตั้งแต่กระทำสึกอยู่ทั่วทิศ จึงไดพ้ ระปฏิมากรแก้วมอระกฎมาแตเ่ มืองสตะหะ ไดก้ พู้ ระศาสนาได้ ๑๓ ปี แลว้ พระพทุ ธศาสนามดื มนไป ๓ ปี พระองคอ์ ยใู่ นสมบตั ไิ ด้ ๑๖ ปดี ว้ ยกนั เมอ่ื พระพทุ ธศกั ราชลว่ งไปได้ ๒๒๕๘ พระวษา จลุ ศกั ราชได้ ๑๐๓๐ ปขี าล สมั ฤทธศิ ก”
๑๒๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ตำนานพระแก้วมรกฏ๑ ๒ แตน่ จ้ี ะกลา่ วเรอ่ื งตำนานพระแกว้ มรกฏตอ่ ไป ดำเนนิ ความแตต่ น้ ดงั น้ี บดั นม้ี าจะกลา่ วนทิ านพระแกว้ เจา้ อนั ประเสรฐิ ลำ้ เลศิ ยง่ิ นกั หนา ยงั มพี ระอรหนั ต์ เจา้ พระองคห์ นง่ึ ทรงนามชอ่ื วา่ พระนาคเสน อนั จบดว้ ยไตรปฎิ ก แลมปี ญั ญาอนั ฉลาดลกึ ลำ้ แลรโู้ จทนาแกป้ รศิ นาปญั หาทง้ั ปวง ซง่ึ พระอรหนั ตเ์ จา้ องคน์ น้ั เธอเปน็ อาจารยแ์ ก่พระยามลิ นิ ทราช มหากษตั รยิ น์ น้ั แล เดมิ เมอ่ื พระศรสี ากยมนุ ี โคดมบรมพุทธครูเจ้า พระองค์ได้เสด็จดับขันธ์เข้าสู่เมืองแก้ว กล่าวคืออมตมหานฤพานไปแล้ววันนั้น ครั้นอยู่มานานได้ ๕๐๐ พระวรรษา ยังมีพระอรหันต์เจ้าพระองค์หนึ่งมีนามปรากฏชื่อว่าพระมหานาคเสน เปน็ ศษิ ยแ์ หง่ พระมหาธรรมรกั ขติ เถร อยใู่ นอโสการามอนั มใี นปาตลบี ตุ รมหานครแล ครน้ั พระมหาธรรมรกั ขิตเถรเจ้านิพพานไปแล้ว อยู่มาข้างหลังพระมหานาคเสนองค์เป็นศิษย์เธอจึงพิจารณาเห็นโดยปัญญา แหง่ เธอวา่ ควรเราจะสรา้ งพระพทุ ธรปู เจา้ ไว้ ใหเ้ ปน็ ทน่ี มสั การแกม่ นษุ ยแ์ ลเทพาไป ขา้ งหนา้ นน้ั ควรแล แต่ว่าเรา จะสร้างด้วยเงินแลคำให้มั่นคงถึง ๕๐๐๐ พระวรรษานั้นหาได้ไม่ ด้วยคนทั้งปวงเขามีโลภะ โทสะโมหะมาก กลัวแต่เขาจะทำให้พระพุทธรูปเจ้าฉิบหายยับเยินเสียแต่ข้างหน้านั้นแล ควรเราสร้าง พระพุทธรูป เจ้าด้วยแก้วลูกประเสริฐ อย่าให้พวกคนบาปทั้งปวงทำอันตรายให้ฉิบหายได้แต่ข้างหน้านั้น จึงควรแล แต่ว่าเราจะได้แก้วอันสมควรจะสร้างพระพุทธรูปเจ้าแต่ที่ไหน ครั้นพระมหานาคเสนคิดวิตก ดังนี้แล้ว เมื่อนั้นบั้นสมเด็จอมรินทราธิราชบพิตร พระองค์จึงคิดเห็นอัธยาศัยแห่งพระมหานาคเสนเถรเจ้า อนั มคี วามปรารถนาจะใครส่ รา้ งพระพทุ ธรปู เจา้ ดว้ ยแกว้ ดงั นน้ั แลว้ จงึ สมเดจ็ บพติ รพระองค์ จงึ เสดจ็ ลงมา จากสวรรค์กับด้วยพระวิศณุกรรมเทพบุตรนั้นแล้ว พระองค์จึงเข้าไปไหว้พระมหานาคเสนเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้พระผู้เป็นเจ้ามีความปรารถนาจะใคร่สร้างพระพุทธรูปเจ้าด้วยแก้วลูกประเสริฐ จะให้เป็นที่นมัสการบูชาแก่มนุษย์แลเทพทั้งปวงนั้นแล แต่นั้นบั้นพระมหานาคเสนเจ้าจึงรับขาน กบั พระอนิ ทราวา่ เออเรากม็ คี วามปรารถนาอยากใครส่ รา้ งยงั พระพทุ ธรปู เจา้ ดว้ ยลกู แกว้ ประเสรฐิ นน้ั จรงิ แล แต่นั้นบั้นโกสินทร์อมรินทราธิราชบพิตรพระองค์จึงไหว้พระมหานาคเสนเจ้าต่อไปว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ๑ การตรวจสอบชำระยึดฉบับพิมพ์รวมในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๑ ฉบับพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๕๗ ตรวจสอบกับต้นฉบับสมุดไทย ตำนานพระแกว้ มรกต เลม่ ๑, ๒ และ ๓ (ฉบบั เมอื งหลวงพระบาง) เลขท่ี ๒๗, ๒๘ และ ๒๙ ตามลำดบั ๒ เรม่ิ ตน้ สมดุ ไทย ตำนานพระแกว้ มรกต เลม่ ๑ (ฉบบั เมอื งหลวงพระบาง) เลขท่ี ๒๗
พระตรำานชาพนงพศราะวแดกาว้รมเหรกนฏอื ๑๒๙ ถ้าแลพระผู้เป็นเจ้ามีความปรารถนาจะใคร่สร้างพระพุทธรูปเจ้าด้วยแก้วลูกประเสริฐจริงแท้ ข้าจะช่วย สงเคราะห์ให้แล้วโดยสมความปรารถนา ข้าจะใช้ให้วิศณุกรรมเทพบุตร ไปเอาแก้วอันมีในเขาเวบุล บรรพตมาถวายแก่พระผู้เป็นเจ้าแล ครั้นสมเด็จพระอินทราไหว้พระมหานาคเสนเท่านั้นแล้ว พระอินทร์ จงึ ตรสั ตอ่ พระวศิ ณกุ รรมเทพบตุ รวา่ ดกู รเจา้ วศิ ณกุ รรม เจา้ จงไปนำเอามายงั แกว้ ลกู ประเสรฐิ อนั มอี ยใู่ น เขาเวบลุ บรรพตนน้ั มาโดยเรว็ เถดิ เราจะเอามาถวายแกพ่ ระนาคเสนเจา้ ๑*ทา่ นจะสรา้ งเปน็ พระพทุ ธรปู ไวใ้ ห้ เปน็ ทน่ี มสั การบชู าแกม่ นษุ ยแ์ ลเทพาไปขา้ งหนา้ แล เมื่อนั้นบั้นพระวิศณุกรรมเทพบุตร กราบทูลสมเด็จอมรินทราธิราชเจ้าว่า ข้าแต่พระอินทร์ ทรงพระกรณุ าโปรดเกลา้ ใหข้ า้ พเจา้ ไปเอาแกว้ ลกู ประเสรฐิ ในเขาเวบลุ บรรพตนน้ั ซง่ึ พวกกมุ ภณั ฑค์ นธรรพ์ ยกั ษอ์ ารกั ษเ์ ทพยดาทง้ั ปวงทเ่ี ขาอยรู่ กั ษาแกว้ ไวน้ น้ั กม็ มี ากนกั หนา จะใหแ้ ตข่ า้ พเจา้ ไปคนเดยี วนน้ั เหน็ เขา จะไม่ให้ ข้าพเจ้าขอเชิญองค์สมเด็จพระอินทราเจ้า จงเสด็จไปด้วยข้าพเจ้าเถิดซึ่ง พวกกุมภัณฑ์ คนธรรพ์ยักษ์ทั้งปวง ครั้นเขาได้เห็นองค์สมเด็จพระอินทราเจ้าแล้วเขาก็จะให้แก้วลูกประเสริฐ ถวายแก่ สมเดจ็ พระราชบพติ รเจา้ แล เมื่อนั้นบั้นสมเด็จพระอินทรา ครั้นพระองค์ได้ทรงฟังยังถ้อยคำ แห่งพระวิศณุกรรมเทพบุตร กราบทูลนั้นแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปสู่เขาเวบุลบรรพต พร้อมกับพระวิศณุกรรมเทพบุตรนั้นแล ครั้นถึงแล้วพระองค์ก็เห็นคนธรรพ์กุมภัณฑ์ทั้งปวง อยู่ในเขาเวบุลบรรพตเป็นอันมาก พระอินทร์จึงทรง ตรัสแก่พวกกุมภัณฑ์คนธรรพ์ยักษ์ทั้งปวงว่า ดูกรท่านทั้งหลายทั้งปวง เราเข้ามาสู่เขาเวบุลบรรพตบัดนี้ ด้วยเราจะมาขอเอาแก้วลูกประเสริฐไปถวายแก่พระมหานาคเสนเจ้า ด้วยท่านมีความปรารถนาจะสร้าง แปลงเปน็ พระพทุ ธรปู เจา้ แล ทา่ นทง้ั ปวงจงใหแ้ กว้ ลกู ประเสรฐิ แกเ่ ราเถดิ เมื่อนั้นบั้นกุมภัณฑ์คนธรรพ์ยักษ์ทั้งปวง จึงกราบทูลสมเด็จพระอินทราว่า ข้าแต่พระองค์เจ้า ซึ่งแก้วลูกประเสริฐอันข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงรักษาไว้นี้ มิใช่เป็นแก้วสิ่งใดสิ่งอื่นเลย แม่นแก้วมณีโชติ อนั เปน็ ของพระบรมจกั รพรรดริ าชาธริ าชเจา้ มแี กว้ ทง้ั หลายพนั ลกู เปน็ บรวิ ารลอ้ มอยู่ ครน้ั ขา้ พระพทุ ธเจา้ ทั้งปวงจะถวายแก้วลูกนี้แก่องค์สมเด็จมหาราชเจ้านั้น ครั้นบรมจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าเกิดมาแต่ ข้างหน้านั้น ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงก็หาแก้วลูกประเสริฐจะถวายท่านมิได้เสีย อนึ่งซึ่งแก้วมณีโชติลูกนี้ ก็มีอิทธิเลิศมหิทธิศักดานุภาพนักหนา ถ้าสำแดงฤทธิ์เสด็จที่ใดดังนั้น คนทั้งปวงก็จะมีความสงสัยว่า *๑ ข้อความภายใน ไมพ่ บในตน้ ฉบบั
๑๓๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ พระยาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้าตนประเสริฐเกิดมาในที่นั้น ข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงก็มิอาจที่จะถวาย แก้วมณีโชติลูกนี้แก่องค์สมเด็จมหาราชเจ้าได้แล แต่ว่าข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวงจะขอถวายแก้วมรกฏ ลูกหนึ่งมีรัศมีอันเขียวงามบริสุทธิ์ แก่องค์สมเด็จมหาราชเจ้าแล ซึ่งมณีโชติลูกนั้นข้าพระพุทธเจ้าทั้งปวง ยังถวายไม่ได้ ขอองค์สมเด็จพระมหาราชเจ้าจงเอาแก้วมรกฏลูกนี้เพื่อถวายแกพ่ ระมหานาคเสนเจ้าเถิด ซึ่งแก้วมรกฏลูกนี้มีแก้วลูกประเสริฐเป็นบริวารพันลูกล้อมเป็นบริวาร อยู่ถัดกำแพงอันล้อมแก้วมณีโชติลูก นั้นแล เมื่อนั้นบั้นสมเด็จอมรินทราธิราช ครั้นพระองค์ได้ทรงฟังยังถ้อยคำพวกกุมภัณฑ์คนธรรพ์ ยกั ษท์ ง้ั ปวงหากกราบทลู นน้ั แลว้ พระองคก์ พ็ าเอาพระวศิ ณกุ รรมเสดจ็ เขา้ ไปสทู่ ม่ี แี กว้ มรกฏนน้ั แล พระองค์ ก็ถือเอายังแก้วมรกฏลูกประเสริฐ ครั้นได้แล้วพระองค์ก็พาเอาพระวิศณุกรรมเทพบุตร เสด็จรีบมาจาก เขาเวบุลบรรพต ครั้นถึงอโสการามแล้ว พระองค์ก็เอาแก้วมรกฏลูกนั้นเข้าไปถวายแก่พระมหานาค เสนเจ้าแล้ว พระองค์ก็กราบลาพระมหานาคเสนเจ้าแล้วก็เสด็จคืนเมื้อสู่เมืองสวรรค์อันเป็นที่อยู่ของ พระองคน์ น้ั แล อยมู่ าแตน่ น้ั บน้ั พระมหานาคเสนเจา้ ครน้ั ทา่ นไดแ้ กว้ มรกฏลกู นน้ั แลว้ กม็ คี วามยนิ ดเี ปน็ ที่สุด แล้วท่านจึงรำลึกนึกในใจว่า เราจะได้บุคคลผู้ใดมีปัญญาอันฉลาด อาจมาสร้างแปลงยัง พระพุทธรูปเจ้าด้วยแก้วมรกฏลูกนี้ ให้สำเร็จดังความปรารถนาของเรานี้เล่า ครั้นพระมหานาคเสนเจ้า นกึ ในนำ้ พระทยั ดงั นแ้ี ลว้ เมอ่ื นน้ั พระวศิ ณกุ รรมเทพบตุ ร กฉ็ ลาดรอู้ ธั ยาศยั นำ้ ใจแหง่ พระมหานาคเสนเจา้ แลว้ พระวศิ ณกุ รรม จึงจำแลงแปลงกายเป็นมนุษย์คนหนึ่งเข้ามาไหว้พระมหานาคเสนเจ้าแล้วว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ข้านี้ กฉ็ ลาดเคยสรา้ งแปลงพระพทุ ธรปู เจา้ แล ถา้ และพระผเู้ ปน็ เจา้ มคี วามปรารถนาจะใครส่ รา้ งพระพทุ ธรปู เจา้ ดว้ ยแกว้ มรกฏลกู น้ี ขา้ กจ็ ะสรา้ งแปลงใหส้ ำเรจ็ ความปรารถนาพระผเู้ ปน็ เจา้ เถดิ เมื่อนั้นบั้นพระมหานาคเสนเจ้า ครั้นได้ฟังยังถ้อยคำพระวิศณุกรรมเทพบุตรอันจำแลงแปลง เป็นมนุษย์เข้ามาบอกแก่ตนนั้นแล้ว ท่านก็มีน้ำใจยินดีเป็นที่สุด ท่านจึงพูดกับบุรุษคนนั้นว่าถ้าท่าน เคยฉลาดสร้างแปลงอย่างนั้น ท่านจงสร้างแปลงยังพระพุทธรูปเจ้าด้วยแก้วมรกฏลูกนี้ ให้เป็นที่ นมสั การแกม่ นษุ ยแ์ ลเทพบตุ รทง้ั ปวงเถดิ เมื่อนั้นจึงพระวิศณุกรรมเทพบุตร อันจำแลงแปลงเป็นบุรุษนั้น ครั้นได้ฟังพระมหานาคเสน บอกตนเท่านั้นแล้ว ท่านก็สร้างแปลงยังพระพุทธรูปเจ้าด้วยแก้วมรกฏลูกนั้น นานได้ ๗ วันจึง
พระตรำานชาพนงพศราะวแดกาว้รมเหรกนฏอื ๑๓๑ สำเร็จการแล้วพระวิศณุกรรมเทพบุตรจึงนิมิตเป็นมหาวิหารอันใหญ่แล้ว ให้ประดับไปด้วยเครื่องประดับ ทั้งปวงต่าง ๆ มีแก้วเป็นประธาน ให้ทั่วไปในอโสการามที่นั้นแล้ว จึงตั้งไว้ยังพระแก้วเหนือแท่น รตั นบลั ลงั กก์ าญจนอ์ นั ประเสรฐิ ในทา่ มกลางพระมหาวหิ ารทน่ี น้ั แลว้ จงึ พระวศิ ณกุ รรมเทพบตุ รกเ็ สดจ็ ขน้ึ ไป สสู่ วรรคเ์ ทวโลกอนั เปน็ ทอ่ี ยแู่ หง่ ตนนน้ั แล เมื่อนั้นบั้นพระอินทร์พระพรหม แลเทพยดานาคครุฑมนุษย์กุมภัณฑ์ทั้งปวง ครั้นได้รู้ว่า พระวิศณุกรรมเทพบุตรได้สร้างแปลงยังพระแก้วเจ้า ให้แก่พระมหานาคเสนเจ้าแล้ว ก็มีความชื่นชม โสมนัสทุกตนทุกพระองค์แล้ว จึงนำมายังสิ่งของอันควรบูชาทั้งปวง มีดอกไม้แลธูปเทียนเป็นประธาน แลว้ กพ็ ากนั เขา้ มาถวายนมสั การบชู าพระแกว้ เจา้ เปน็ อนั มากนกั แมว้ า่ พระอรหนั ตาสาวกเจา้ ทง้ั ปวงไดร้ อ้ ยโกฏิ พระองคอ์ นั อยใู่ นชมพทู วปี ทง้ั ๔ ทศิ ๘ ทศิ มพี ระมหานาคเสนเจา้ เปน็ ประธาน กพ็ รอ้ มกนั เขา้ มานมสั การ พระแก้วเจ้าทั้งสิ้น แม้ท้าวพระยามหากษัตริย์ แลเสนาอำมาตย์ราชมนตรีทั้งปวงอันอยู่แต่ประเทศราช ทั้ง ๔ ทิศ ๘ ทิศ ก็พากันเข้ามาถวายนมัสการบูชาพระแก้วเจ้าทั้งสิ้น ซึ่งพระแก้วเจ้าพระองค์นั้น อนั หาจติ วญิ ญาณมไิ ด้ กก็ ระทำปาฏหิ ารยิ เ์ ปลง่ ออกยงั ฉพั พรรณรงั สมี ากนกั หนาหาทจ่ี ะเปรยี บมไิ ด้ เมอ่ื นน้ั พระอนิ ทรพ์ ระพรหม กบั ทง้ั หมเู่ ทพยดานาคครฑุ กมุ ภณั ฑท์ ง้ั ปวง แลพระอรหนั ตเ์ จา้ ทง้ั ปวง ครน้ั ไดเ้ หน็ ยงั อศั จรรยน์ น้ั แลว้ กม็ นี ำ้ ใจยนิ ดซี ง่ึ อานภุ าพพระแกว้ เจา้ นน้ั เปน็ ทส่ี ดุ กพ็ รอ้ มกนั ไปสอ้ งสาธกุ าร มากนกั หนา แลว้ กส็ มเสพดว้ ยเสยี งดรุ ยิ ดนตรที พิ ยต์ า่ ง ๆ นน้ั แล เมื่อนั้นจึงพระมหานาคเสนเจ้า จึงนำเอามายังพระบรมธาตุเจ้า ๗ พระองค์อันงามบริสุทธิ์ แลมฉี พั พรรณรงั สตี า่ ง ๆ กนั อนั พระอนิ ทรพ์ ระพรหมแลเทพยดาทง้ั ปวงหากรกั ษาไวน้ น้ั มาแลว้ ทา่ นจงึ ให้ ตั้งไว้ยังพานเงิน ๗ พานซ้อนกันขึ้นแล้ว จึงตั้งไว้ยังสุวรรณพานทอง ๗ พานซ้อนทับกันขึ้นแล้วเล่า ตั้งยัง พานแก้ว ๗ พานซ้อนกันขึ้นบนพานเงินพานทองนั้นแล้ว จึงเชิญพระบรมธาตุเจ้า ๗ พระองค์นั้นใส่ใน ผอบแก้วลูก ๑ อันวิจิตรงามมากนักด้วยฤทธิ์แห่งตนแล้ว จึงยกผอบแก้วขึ้นประดิษฐานไว้บนพานเงิน พานทองพานแกว้ นน้ั แล เมื่อนั้นจึงพระอรหันต์เจ้าทั้งปวง มีพระมหานาคเสนเจ้าเป็นประธาน กับพระอินทร์พระพรหม แลหมเู่ ทพยดาแลคนทง้ั ปวงกม็ คี วามชน่ื ชมโสมนสั หาทส่ี ดุ มไิ ด้ กพ็ รอ้ มกนั ถวายนมสั การบชู าดว้ ยสคุ นธรส ทง้ั ปวง มดี อกไมเ้ ปน็ ประธานแลว้ กพ็ รอ้ มกนั สรรเสรญิ ยกยอคณุ พระแกว้ เจา้ นน้ั เปน็ ทส่ี ดุ จงึ เทพยดาเจา้ ทั้งปวงก็หว่านลงยังดอกไม้ทิพย์ถวายบูชาแล้ว ก็สรงยังพระบรมชินธาตุเจ้า ๗ พระองค์ด้วยน้ำสุคนธรส
๑๓๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ อันหอมนักในผอบแก้วนั้นแล้ว จึงพระบรมธาตุเจ้า ๗ พระองค์นั้นก็กระทำปาฏิหาริย์เปล่งพระรัศมี ๖ ประการ ใหร้ งุ่ เรอื งสวา่ งไปทว่ั ทศิ ทง้ั ๔ ทศิ ทง้ั ๘ แลว้ กใ็ หร้ งุ่ ขน้ึ ทว่ั พน้ื อากาศเวหาทง้ั มวลนน้ั แล เมอ่ื นน้ั พระมหานาคเสนเจา้ จงึ ตง้ั สตั ยาธษิ ฐานขออาราธนาเชญิ พระบรมธาตเุ จา้ ๗ พระองคน์ น้ั ใหเ้ สดจ็ เขา้ ไปในพระองคพ์ ระแกว้ เจา้ นน้ั แล เมื่อนั้นพระบรมธาตุเจ้า ๗ พระองค์นั้น จึงพระองค์หนึ่งก็เสด็จเข้าในพระโมลี พระองค์หนึ่ง กเ็ สดจ็ เขา้ ไปในพระพกั ตร์ พระองคห์ นง่ึ กเ็ สดจ็ เขา้ ในพระหตั ถก์ ำขวา พระองคห์ นง่ึ กเ็ สดจ็ เขา้ ในพระหตั ถ์ กำซ้าย พระองค์หนึ่งเสด็จเข้าในเข่าข้างขวา พระองค์หนึ่งก็เสด็จเข้าในเข่าข้างซ้าย พระองค์หนึ่ง กเ็ สดจ็ เขา้ ในพระชงฆแ์ หง่ พระแกว้ เจา้ สน้ิ ทง้ั ๗ พระองคน์ น้ั แลว้ เมื่อนั้นพระแก้วเจ้าก็ทำปาฏิหาริย์ยกขึ้นยังฝ่าพระบาทกำขวาดุจดังจะเสด็จลงจากแท่นบัลลังก์- กาญจนน์ น้ั เมื่อนั้นพระอินทร์พระพรหมเทพยดา แลคนทั้งปวง เห็นเป็นน่าอัศจรรย์นักหนา ก็ร้องป่าวกัน ให้ส้องสาธุการเป็นอันมากแล้วก็ถวายบูชาด้วยแก้ว แลเงินคำผ้าผ่อน เครื่องอาบอบแก่พระแก้วเจ้า เปน็ อนั มากนน้ั แล เมื่อนั้นพระมหานาคเสนเจ้า ครั้นท่านได้เห็นอัศจรรย์อันนั้นแล้ว ท่านจึงเล็งอรหัตมรรคญาณ ไปแต่ข้างหน้านั้น จึงเห็นว่าพระแก้วเจ้านี้จะไม่ได้อยู่ในเมืองปาตลีบุตรเป็นมั่นคง ท่านจึงทำนายไว้ว่า ดูกรท่านทั้งปวง ซึ่งพระแก้วเจ้าของเราองค์นี้ มิใช่จะอยู่เมืองปาตลีบุตรที่นี้เป็นมั่นคงเลย ท่านยังจะ เสดจ็ ไปโปรดสตั วใ์ นประเทศ ๕ แหง่ คอื ลงั กาทวปี เปน็ กมั โพชวสิ ยั แหง่ ๑ ศรอี ยทุ ธยาวสิ ยั แหง่ ๑ โยนกวสิ ยั แห่ง ๑ สุวรรณภูมิวิสัยแห่ง ๑ ปมหลวิสัยแห่ง ๑ เข้ากันเป็น ๕ แห่งนี้แล ครั้นพระมหานาคเสนเจ้า ทำนายไว้ดังนี้แล้ว ซึ่งคนทั้งปวงอันได้นมัสการบูชาพระแก้วก็ตั้งอยู่ชั่วแดนอายุแห่งตน ครั้นจุติจาก มนษุ ยโลกแลว้ กเ็ มอ้ื เกดิ ในสวรรคเ์ ทวโลกสน้ิ ทกุ คนนน้ั แล ซง่ึ พระมหานาคเสนเจา้ อนั ประกอบดว้ ยศลี าธิ คณุ บรสิ ทุ ธ์ิ แลปรากฏในพระศาสนาพระสพั พญั ญเู จา้ แหง่ เราน้ี เหมอื นอยา่ งพระสรุ ยิ อาทติ ยอ์ นั ปรากฏ ในนภากาศเวหา แลยกยอพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองงามต่อถึง ๕๐๐๐ พระวรรษา ท่านจึงสร้าง พระแก้วเจ้าพระองค์นี้ไว้ให้เป็นที่นมัสการบูชาแก่เทพยดาแลคนทั้งปวง ครั้นท่านตั้งอยู่ตามเขตอายุของ ท่านนั้น อันมีสังโยชนธรรมหากสิ้นแล้ว ท่านก็ถึงแก่พระนิพพานธาตุ มีวิบากขันธ์แลกรรมชรูปในอัน นั้นแล
พระตรำานชาพนงพศราะวแดกาว้รมเหรกนฏอื ๑๓๓ อยู่มาแต่นั้นไปข้างหน้า จึงชาวเมืองปาตลีบุตรทั้งปวงมีพระมหากษัตริย์ แลเสนาอำมาตย์ ราชมนตรี เศรษฐพี ราหมณเ์ ปน็ ประธานกพ็ รอ้ มกนั ปฏบิ ตั ริ กั ษาบชู าพระแกว้ เจา้ สบื ๆ มานานได้ ๓๐๐ ปี ตั้งแรกแตพ่ ระพุทธเจ้าเสด็จเข้าสู่พระมหานครนฤพานไปแล้วนั้น มาผสมเข้า ๓๐๐ ปีนั้นพระพุทธศาสนา ครบ ๕๐๐ พระวรรษา จึงมาถึงพระมหากษัตริย์เจ้าพระองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระเจ้าตะกะละ เป็นหลานแห่งพระมหากษัตริย์องค์หนึ่ง ทรงพระนามพระเจ้าบุนดะละราชาธิราชท่านก็ได้ครองราชสมบัติ เป็นกษัตริย์ในเมืองปาตลีบุตรที่นั้น ท่านก็ปฏิบัติรักษาพระแก้วเจ้าองค์นั้นต่อไป ท่านจึงมีพระราชโอรส องค์หนึ่งทรงพระนามว่าศิริกิตติกุมาร ครั้นพระเจ้าตะกะละอันเป็นพระราชบิดาได้ถึงแก่กรรมไปแล้วนั้น จึงเจ้าศิริกิตติราชกุมารอันเป็นพระราชโอรสก็ได้ครองราชสมบัติเป็นกษัตริย์ในเมืองปาตลีบุตรที่นั้นสืบแทน พระราชบิดาแห่งตนแล้ว ก็ปฏิบัติรักษาพระแก้วเจ้าต่อไปนั้นแล แต่นั้นการศึกสงครามก็เกิดมีใน เมืองปาตลีบุตรที่นั้นมากนัก คนทั้งปวงก็รบพุ่งกันฉิบหายล้มตายมาก แต่นั้นซึ่งคนทั้งปวงพวกเข้าอยู่ ปฏิบัติรักษาพระแก้วเจ้านั้น เขาเห็นเหตุจะไม่ดีกลัวพระแก้วเจ้าจะฉิบหายเสีย เขาจึงเชิญเอาพระแก้ว ขึ้นสู่สำเภาลำ ๑ พร้อมกับด้วยพระปิฎกธรรมเจ้า กับสิ่งของอันคนทั้งปวงบูชาพระแก้วเจ้านั้นขึ้น สู่สำเภาลำนั้นแล้ว เขาพาหนีไปสู่กัมโพชวิสัยคือว่าลังกาทวีป ครั้นพระแก้วเจ้าเข้าไปอยู่ในลังกาทวีป นานได้ ๒๐๐ ปแี ลว้ แรกแตส่ มเดจ็ พระบรมโลกนารถเสดจ็ เขา้ สพู่ ระปรนิ พิ พานมาผสมเขา้ กบั ๒๐๐ ปนี น้ั พระพทุ ธศกั ราชครบ ๑,๐๐๐ พระวรรษา ในกาลครั้งนั้นมีกษัตริย์พระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าพระเจ้าอนุรุธราชาธิราช ท่านก็ได้ครอง ราชสมบัติในพระนครภุกาม แลกษัตริย์พระองค์นั้นมีฤทธาศักดานุภาพนัก อาจสามารถเหาะไปด้วย ล่องอากาศเวหาได้ พระเจ้าอนุรุธราชาธิราชพระองค์นั้นท่านก็คำนับยังพระศาสนาเป็นที่สุด ท่านก็ ปฏบิ ตั ริ กั ษาคณุ พระพทุ ธเจา้ คณุ พระธรรมเจา้ คณุ พระสงฆเจา้ เปน็ นจิ มไิ ดข้ าด ทนี น้ั ยงั มพี ระภกิ ษเุ จา้ พระองค์หนึ่ง มีนามปรากฏ ชื่อว่าสีลขันธ์ ได้อุปสมบทภาวะเป็นภิกษุสงฆ์ได้ ๕ พระวรรษา ท่านนั้นได้ รำ่ เรยี นมาก มปี ญั ญากฉ็ ลาดนกั ทา่ นกม็ าพจิ ารณาดยู งั ปฎิ กธรรมอนั มอี ยใู่ นเมอื งภกุ าม ทนี น้ั ทา่ นกเ็ หน็ วา่ พระปฎิ กธรรมนน้ั ผดิ อกั ขระพยญั ชนะหาถกู ตอ้ งไม่ ทา่ นจงึ ไหวพ้ ระอาจารยอ์ นั อยใู่ นวหิ ารทน่ี น้ั วา่ ขา้ แต่ พระอาจารยเ์ จา้ ซง่ึ เราทง้ั ปวงไดก้ ระทำบรรพชากรรมแลอปุ สมบทกรรมมาแตก่ อ่ นนน้ั ผดิ เสยี แลว้ แลดว้ ย วา่ ไมถ่ กู อกั ขระพยญั ชนะ บดั นเ้ี ราจะคดิ อา่ นสถานใดดเี ลา่ เมอ่ื นน้ั บน้ั พระอาจารยจ์ งึ ตอบความทา่ นสลี ขนั ธว์ า่ แตข่ า้ งหลงั อนั เราทง้ั ปวง กย็ งั หาไดพ้ จิ ารณาดู ในพระปิฎกธรรมทั้งปวงให้รู้เห็นที่ผิดแลชอบเสีย ถ้าแม้จะกระทำบรรพชากรรม แลอุปสมบทกรรมก็ดี
๑๓๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ เราทั้งปวงก็ได้ทำสืบ ๆ มาตามอย่างธรรมเนียมท่านแต่ก่อนนั้นแล ถ้าแลพระปิฎกธรรมทั้งปวงหากผิด ด้วยอักขระพยัญชนะเสียอย่างนั้น เจ้าจงคิดอ่านพิจารณาดูด้วยปัญญาของเจ้าเถิด ครั้นพระอาจารย์ กลา่ วเทา่ นน้ั แลว้ จงึ เจา้ สลี ขนั ธภกิ ษนุ น้ั ทา่ นจงึ พจิ ารณาดวู า่ ตวั ของขา้ นก้ี ไ็ ดอ้ ปุ สมบทภาวะเปน็ ภกิ ษแุ ลว้ แตจ่ ะขน้ึ ฤๅไมข่ น้ึ นน้ั กย็ งั หารไู้ ม่ ควรแตต่ จู ะไปอปุ สมบทในเมอื งลงั กาทวปี เถดิ ทา่ นพจิ ารณาเหน็ อยา่ งน้ี แลว้ ทา่ นจงึ เขา้ ไปบอกแกพ่ ระเจา้ อนรุ ธุ ราชาธริ าช อนั เปน็ เจา้ พระนครภกุ ามนน้ั วา่ ดกู รมหาบพติ รพระราช สมภาร พระองค์จงเข้าพระทัยในถ้อยความอาตมาจะถวายพระพรบัดนี้เถิด ซึ่งพระปิฎกธรรมทั้งปวง อนั มอี ยใู่ นเมอื งของพระองคน์ เ้ี ปน็ ผดิ เสยี ไมถ่ กู ตอ้ งตามอกั ขระพยญั ชนะเลย แมว้ า่ เราจะทำบรรพชากรรม แลอปุ สมบทกรรมมาแตข่ า้ งหลงั นน้ั เปน็ ผดิ เสยี แลว้ แล พระองคเ์ จา้ จงทรงเหน็ ในนำ้ พระทยั ของพระองคเ์ ถดิ เมื่อนั้นบั้นพระเจ้าอนุรุธราชาธิราช ครั้นพระองค์ได้ทรงฟังยังถ้อยความอันพระสีลขันธภิกษุ หากถวายพระพรนั้นแล้ว พระองค์จึงทรงตรัสต่อพระสีลขันธภิกษุว่า ถ้าแลพระปิฎกธรรมทั้งปวง อันมีอยู่ในเมืองของเราผิดเพี้ยนเสีย ไม่ถูกต้องตามอักขระพยัญชนะอย่างนั้นซึ่งพระปิฎกธรรมอันไม่ผิด ดว้ ยตวั อกั ขระพยญั ชนะนน้ั ยงั จะมแี ตเ่ มอื งไหนเลา่ พระสีลขันธภิกษุจึงถวายพระพรว่า ซึ่งพระปิฎกธรรมไม่ผิดอักขรพยัญชนะนั้น พระมหาพุทธ- โฆษณาจารยเ์ ถรเจา้ ทา่ นหากเขยี นไวใ้ นเมอื งลงั กาทวปี นน้ั เปน็ อนั บรสิ ทุ ธน์ิ กั หนาแล เมื่อนั้นพระเจ้าอนุรุธราชาธิราชมหากษัตริย์ ครั้นพระองค์ได้ทรงฟังดังนั้นแล้วท่านก็มีความยินดี เป็นที่สุด แล้วพระองค์ก็ทรงตรัสแก่เสนาบดีให้จัดแจงแต่งสำเภา ๒ ลำ แล้วให้นิมนต์พระสงฆ์ ๘ พระองคก์ บั พระสลี ขนั ธภกิ ษนุ น้ั กบั แตง่ ใหอ้ ำมาตย์ ๒ คน แลบา่ วไพรท่ ง้ั ปวงพรอ้ มแลว้ กใ็ หข้ น้ึ บนสำเภา ทุกคน พระองค์ก็ให้นำไปยังสิ่งของบรรณาการเป็นอันมาก มอบให้แก่อำมาตย์ทั้ง ๒ แล้ว พระองค์ก็ ส่งสำเภานั้นไปสู่เมืองลังกาทวีปนั้นแล จึงพระเจ้าอนุรุธราชาธิราชนั้น ครั้นพระองค์ได้ส่งสำเภา ๒ ลำ นั้นไปแล้ว ท่านสังเกตดูว่ากาลบัดนี้สมควรที่สำเภา ๒ ลำนั้นจะถึงเมืองลังกาทวีปแล้ว ท่านจึง ขึ้นหลังม้าอัสดรเหาะไปทางอากาศเวหา ท่านก็ไปถึงเมืองลังกาทวีปพร้อมกับสำเภา ๒ ลำในวันเดียวนั้น ครั้นพระองค์ได้ไปถึงเมืองลังกาทวีปแล้ว พระองค์จึงแต่งให้อำมาตย์ ๒ คนนั้น นำเอาเครื่อง ราชบรรณาการไปถวายแก่พระเจ้าลังกาทวีป ท่านจึงสั่งให้กราบทูลพระเจ้าลังกาว่า พระเจ้าอนุรุธราชา ธิราชอันเป็นสหายท่านก็เสด็จมาถึงเมืองลังกาทวีปที่นี้ด้วย ท่านมีความปรารถนาจะขอเขียนเอา พระปฎิ กธรรมทง้ั ๓ กบั พระคมั ภรี ส์ ทั ทาวเิ สสขน้ึ ไปไวป้ ฏบิ ตั ริ กั ษาในเมอื งภกุ ามนน้ั แล
พระตรำานชาพนงพศราะวแดกาว้รมเหรกนฏอื ๑๓๕ เมื่อนั้นบั้นพระมหากษัตริย์เจ้าพระนครเมืองลังกาทวีป ครั้นพระองค์ได้ทรงฟังยังข่าวสาร อันอำมาตย์ทั้งสองหากกราบทูลนั้นแล้ว พระองค์ก็มีความยินดีเป็นที่สุด* พระองค์จึงตรัสแก่ อำมาตย์ทั้งปวงให้นำเอาสิ่งของบรรณาการ ข้าวปลาอาหารเป็นอันมากให้ไปทูลถวายแก่พระเจ้า อนรุ ธุ ราชาธริ าชแลว้ พระองคซ์ ำ้ ใหป้ ลกู โรงเปน็ ตำหนกั พกั เซาแกพ่ ระเจา้ อนรุ ธุ ราชาธริ าชนน้ั แลว้ เมอ่ื นน้ั เจา้ ภกิ ษสุ ลี ขนั ธอ์ งคน์ น้ั ทา่ นกเ็ ขา้ ไปไหวพ้ ระมหาสงั ฆราชทง้ั ปวง ในเมอื งลงั กาทง้ั ปวงนน้ั วา่ ข้าแต่พระคุณเจ้า ซึ่งพระปิฎกธรรมทั้ง ๓ แลพระคัมภีร์สัททาวิเสสอันมีในชมพูทวีปนั้น ก็ผิดด้วย อักขระพยัญชนะเสียนัก แม้นจะกระทำบรรพชากรรมแลอุปสมบทกรรมก็กลัวจะไม่ชอบ ข้าทั้งปวง จึงได้พร้อมกันเข้ามาในเมืองลังกาทวีปที่นี้ ด้วยมีความปรารถนาจะขอเขียนเอาพระปิฎกธรรมทั้ง ๓ กับพระคัมภีร์สัททาวิเสสขึ้นไปไว้เป็นมูลพระศาสนาในชมพูทวีป อนึ่งข้าทั้งปวงซ้ำจะขอบวชเป็นเณร แลอปุ สมบทภาวะเปน็ ภกิ ษใุ หบ้ รสิ ทุ ธก์ิ อ่ น เมื่อนั้นเจ้าสีลขันธภิกษุไหว้ขึ้นทั้งนั้น เมื่อนั้นซึ่งพระสังฆราชเจ้าจึงกล่าวต่อพระสีลขันธภิกษุว่า เออสาธุดีแล ข้าทั้งปวงจะบอกกล่าวแก่พระภิกษุสงฆ์แลคนทั้งปวงให้ทั่วไปในลังกาทวีปนี้ก่อน ครั้นมหาสังฆราชกล่าวต่อพระสีลขันธเ์ ท่านั้นแล้ว ท่านก็ให้บอกกล่าวไปแก่พระภิกษุสงฆ์แลคนทั้งปวงมี พระมหากษตั รยิ เ์ จา้ พระนครลงั กาทวปี เปน็ ประธาน เมอ่ื นน้ั พระมหากษตั รยิ แ์ ลเสนาอำมาตยร์ าชมนตรแี ลคนทง้ั ปวงกม็ คี วามยนิ ดหี าทส่ี ดุ มไิ ด้ จงึ พรอ้ ม กันนำมายังเครื่องสมณบริขารเป็นอันมากแล้ว จึงมหาสังฆราชเจ้านั้น ก็ให้พระภิกษุสงฆ์ทั้งปวงเข้ามา พร้อมมูลกันในอุโบสถวัดที่นั้น แล้วก็ให้เจ้าภิกษุสงฆ์ ๘ องค์อันไปแต่ชมพูทวีปนั้น มีพระสีลขันธ์เป็น ประธาน กใ็ หบ้ วชเปน็ เณร แลว้ กใ็ หอ้ ปุ สมบทภาวะเปน็ ภกิ ษสุ งฆท์ ง้ั ๘ องคน์ น้ั แล เมื่อนั้นเทพยดาเจ้าทั้งปวงก็มีความยินดีมากนักหนา ก็หว่านลงยังข้าวตอกดอกไม้ถวายบูชา เปน็ อนั มากนน้ั แล เมอ่ื นน้ั จงึ พระเจา้ อนรุ ธุ ราชาธริ าชเจา้ ทา่ นกว็ านพระภกิ ษสุ งฆท์ ง้ั ปวงเขยี นเอายงั พระปฎิ กธรรม ๓ ซึ่งตนพระองค์ก็เขียนเอาด้วยตนเอง ครั้นสำเร็จเสร็จการอันเขียนเอายังพระปิฎกธรรมนั้นได้ครบถ้วนแล้ว พระองค์ก็ขอเอาพระแก้วมรกฏเจ้ากับพระมหากษัตริย์เจ้าพระนครลังกาซึ่งเป็นพระสหาย ครั้นได้แล้ว ท่านก็ให้ยกเอาพระแก้วมรกฏเจ้ากับทั้งพระปิฎกธรรมอันพวกเมืองภุกามหากเขียนเอานั้นขึ้นสู่สำเภาลำ ๑ แลว้ กใ็ หย้ กเอาพระปฎิ กธรรมอนั พวกชาวเมอื งลงั กาชว่ ยเขยี นนน้ั กบั พระภกิ ษุ ๘ องคน์ น้ั ขน้ึ สสู่ ำเภาลำ ๑
๑๓๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ แล้วพระองค์ก็สั่งให้ออกมาจากลังกาทวีปทั้ง ๒ ลำนั้นแล้ว ซึ่งพระเจ้าอนุรุธราชาธิราช พระองค์ก็ เสด็จขึ้นสู่หลังม้าแก้วอัสดรแล้วก็เหาะมาทางอากาศ พระองค์ก็มาถึงพระนครภุกามแล้วก็อยู่ตาม สขุ สวสั ด์ิ พระองคก์ ค็ อยทา่ สำเภา ๒ ลำนน้ั อยแู่ ล บัดนี้จะกล่าวถึงสำเภา ๒ ลำนั้นก่อน ครั้นออกมาถึงท่ามกลางน้ำมหาสมุทร ซึ่งสำเภาลำอันใส่ พระปฎิ กธรรมพวกชาวลงั กานน้ั กเ็ ขา้ ไปถงึ เมอื งภกุ ามโดยสวสั ดี ซง่ึ สำเภาลำใสพ่ ระแกว้ เจา้ กบั พระปฎิ กธรรม อนั ชาวเมอื งภกุ ามหากเขยี นเอานน้ั กพ็ ลดั เขา้ ไปถงึ เมอื งอนิ ทปตั มหานครนน้ั แล๑ ๒เมื่อนั้นพระเจ้าอนุรุธราชาธิราชมหากษัตริย์ ครั้นพระองค์ได้ทรงคอยยังสำเภา ๒ ลำนั้น ก็เห็นแต่สำเภาพระปิฎกธรรมเข้ามาแต่ลำเดียว ซึ่งสำเภาทรงพระปิฎกธรรมแลพระแก้วเจ้านั้น ก็ไม่เห็น เข้ามาเลย พระองค์ก็น้อยน้ำพระทัยเป็นนักหนา พระองค์ก็นึกแหนงแคลงพระทัยอยู่ จะเป็นเหตุผล อนั ตรายประการใดกไ็ มร่ เู้ ลย พระองคก์ พ็ จิ ารณาไปในนำ้ พระทยั อยดู่ งั นม้ี ไิ ดข้ าด ครน้ั อยมู่ ามนิ านเทา่ ใดเสยี พระองคจ์ งึ ไดข้ า่ วสารวา่ สำเภาอนั ทรงพระปฎิ กธรรมกบั พระแกว้ เจา้ นน้ั พลดั เขา้ ไปในเมอื งอนิ ทปตั มหานคร เสีย พระองค์ก็มิอาจที่จะอยู่ช้าได้ พระองค์ก็เสด็จขึ้นสู่ม้าแก้วอาชาไนย แล้วก็เสด็จไปด้วยล่อง อากาศเวหา จึงไปถึงเมืองอินทปัตมหานครแล้ว พระองค์ก็เสด็จลงสู่อารามแห่งหนึ่ง อันใกล้เมือง อินทปัตมหานครนั้น แล้วพระองค์ก็เสด็จลงจากหลังม้าแก้วอาชาไนยแล้ว พระองค์ก็แลเห็นแผ่น ศิลาแห่งหนึ่งใหญ่หนานัก พระองค์ก็ถ่ายปัสสาวะทรงเบาลงเหนือหลังศิลาแผ่นนั้น น้ำปัสสาวะของ พระองคน์ น้ั กล็ อดหนิ นน้ั ลงผายลมุ่ นน้ั แล เมอ่ื นน้ั ยงั มพี ระภกิ ษอุ งคห์ นง่ึ อนั อยใู่ นอารามทน่ี น้ั ทา่ นกม็ าเหน็ ยงั นำ้ มตู รแหง่ พระมหากษตั รยิ ์ องคน์ น้ั อนั ลอดหลงั หนิ ลง ทา่ นกบ็ งั เกดิ ความอศั จรรยเ์ ปน็ นกั หนา ทา่ นจงึ ถามพระเจา้ อนรุ ธุ ราชาธริ าชเจา้ พระองคน์ น้ั วา่ ดกู รอบุ าสก ทา่ นนม้ี าแตเ่ มอื งใด ทา่ นนม้ี ชี อ่ื ใด เมื่อนั้นพระเจ้าอนุรุธราชาธิราชมหากษัตริย์ ท่านก็บังความเสียไม่บอกตามสัจซื่อ ท่านจึงไข ไปว่าข้านี้เป็นคนใช้พระเจ้าอนุรุธราชาธิราชเจ้าพระมหานครภุกาม แลเจ้าภิกษุองค์นั้นซ้ำถามว่าท่านนี้ มีธุระกิจการอะไร ท่านจึงเข้ามาเมืองอินทปัตมหานครนี้เล่า พระเจ้าอนุรุธราชาธิราชจึงไหว้ว่า ข้าแต่ ๑ จบสมดุ ไทย ตำนานพระแกว้ มรกต เลม่ ๑ (ฉบบั เมอื งหลวงพระบาง) ๒ เรม่ิ ตน้ สมดุ ไทย ตำนานพระแกว้ มรกต เลม่ ๒ (ฉบบั เมอื งหลวงพระบาง) เลขท่ี ๒๘
พระตรำานชาพนงพศราะวแดกาว้รมเหรกนฏอื ๑๓๗ พระผเู้ ปน็ เจา้ ซง่ึ เจา้ พระนครภกุ ามนน้ั ใชใ้ หข้ า้ มานำสำเภาอนั ทรงพระแกว้ เจา้ กบั ทง้ั พระปฎิ กธรรมซง่ึ พลดั หลงเขา้ มาถงึ เมอื งอนิ ทปตั มหานครทน่ี แ่ี ล เมอ่ื นน้ั จงึ เจา้ ภกิ ษอุ งคน์ น้ั ครน้ั ทา่ นไดย้ นิ ความพระเจา้ อนรุ ธุ ราชาธริ าชบอกเลา่ นน้ั แลว้ ทา่ นกไ็ ป แจ้งความแก่พระสังฆราชเจ้าว่านี้นั้นตามเหตุผลทุกประการ ครั้นพระมหาสังฆราชทราบถ้อยความ ดังนั้นแล้ว ท่านก็เข้าไปถวายพระพรแกพ่ ระเจ้าอินทปัตมหานครนั้นว่า อาตมาภาพขอถวายพระพรแก่ มหาราชบพิตร ซึ่งพระเจ้าอนุรุธราชาธิราชเจ้าพระนครภุกาม แต่งให้คนใช้มานำเอาพระปิฎกธรรม กบั ทง้ั พระแกว้ อนั พลดั หลงมาในเมอื งพระองคน์ แ้ี ล เมื่อนั้นบั้นพระมหากษัตริย์พระนครอินทปัต ครั้นพระองค์ได้ทรงฟังยังเหตุผล อันพระมหา สังฆราชถวายพระพรนั้นแล้ว พระองค์จึงทรงคิดในพระทัยแล้วพระองค์จึงไหว้พระมหาสังฆราชเจ้าว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งสำเภาพระปิฎกธรรมกับทั้งพระแก้วเจ้าอันพลัดเข้ามาถึงบ้านเมืองของเรานี้ ก็เพราะบุญสมภารของข้า แลข้าไม่ให้แล ครั้นพระองค์ทรงตรัสเท่านั้นแล้ว ซึ่งพระมหาสังฆราชเจ้า กล็ าหนเี มอ้ื พระอาวาสของทา่ น แตน่ น้ั ความกเ็ ลอ่ื งลอื ไปทว่ั พระมหานครอนิ ทปตั นน้ั แล เมื่อนั้นซึ่งพระเจ้าอนุรุธราชาธิราช ครั้นพระองค์ได้ทรงทราบยังข่าวสาร อันชาวเมืองทั้งปวง หากได้บอกกันว่า พระเจ้าอินทปัตมหานครไม่ให้ยังสำเภาพระปิฎกธรรมกับพระแก้วเจ้าแก่ตน พระองค์ ก็ทรงพระกริ้วโกรธเป็นหนักหนา พระองค์จึงพิจารณาดูน้ำพระทัยของพระองค์ว่า แม้กูจะฆ่าเสีย ยังกษัตริย์เจ้าเมืองอินทปัตมหานครเสนาอำมาตย์ก็ได้ แต่ว่ากูได้เกิดมาในชาตินี้ กูก็ได้เป็นพระยา ธรรมิกราชาธิราช ย่อมได้พูดยังสัตย์แลคนทั้งปวงโดยชอบธรรมมากนัก ครั้นแลจะฆ่าเสียยังคนทั้งปวง เหลา่ น้ี มหากรรมอนั หนกั กถ็ งึ ยงั องคก์ พู ระมหากษตั รยิ เ์ จา้ นแ้ี ล อยา่ กระนน้ั เลยควรแกก่ พู ระมหากษตั รยิ ์ จะแสดงศักดานุภาพให้แก่คนทั้งปวงได้เห็นเป็นที่อัศจรรย์ ให้เขาเข็ดขามเกรงกลัวแก่ฤทธิ์เดชของกูเถิด ครน้ั พระองคท์ รงพระราชดำรใิ นพระทยั ดงั นแ้ี ลว้ พระองคก์ เ็ อาไมม้ ากระทำเปน็ รปู ดาบ จงึ ทาดว้ ยฝนุ่ หนิ ดบิ ดแี ลว้ พระองคก์ เ็ หาะขน้ึ ไปสอู่ ากาศเวหา แลว้ จงึ กระทำประทกั ษณิ รอบกำแพงเมอื งอนิ ทปตั มหานคร ๓ คาบ สะกดคนทั้งปวงมีพระมหากษัตริย์เป็นประธานแล้ว จึงเสด็จเข้าไปในพระมหาปราสาทราช มณเฑียรแห่งพระมหากษัตริย์เมืองอินทปัตมหานครนั้น แล้วท่านจึงเอาดาบไม้นั้นขีดพระศอเจ้า พระนครที่นั้นแล้ว แลขีดคอพระอรรคมเหสี แลคอเสนาบดีผู้ใหญ่ผู้น้อยทั้งปวงแล้ว จึงเสด็จไปโดย อากาศแล้วจึงป่าวร้องด้วยพระสุรสีหนาทว่า ดูราท่านทั้งปวงเฮย ถ้าแลท่านทั้งปวงจะไม่ให้ยังสำเภา
๑๓๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ พระปิฎกธรรมกับพระแก้วเจ้าแก่เราพระมหากษัตริย์ดังนี้ เราผู้พระมหากษัตริย์ก็จะตัดศีรษะท่าน ทั้งปวงพรุ่งนี้เสียจงสิ้น ถ้าท่านทั้งปวงมิเกรงกลัวเข็ดขามแก่พระราชอาชญาของเราพระมหากษัตริย์ดังนั้น ทา่ นทง้ั ปวงจงลบู คอทา่ นทง้ั ปวงดเู ถดิ เมื่อนั้นบั้นพระมหากษัตริย์แลเสนาบดีผู้ใหญ่ผู้น้อย บรรดาอยู่ในเมืองอินทปัตมหานครที่นั้น ครั้นได้ยินเสียงสีหนาทองอาจป่าวร้องทั่วเมืองอินทปัตมหานครนั้นแล้ว ก็มีความตกใจเป็นหนักหนา จึงพากันลูบคอดูทุกคนก็เห็นฝุ่นหินติดอยู่ในคอทุกคน ก็มีความเข็ดขามเกรงกลัวแต่ฤทธิ์เดช พระองค์เจ้าอนุรุธราชาเป็นหนักหนา ซึ่งพระมหากษัตริย์เจ้าพระนครอินทปัตก็มิอาจที่จะเอาไว้ได้ พระองค์จึงใช้ให้อำมาตย์ทั้งสองผู้ฉลาดด้วยปัญญาไปกราบทูลแก่พระเจ้าอนุรุธราชาธิราชว่า ข้าแต่ พระองค์เจ้า ซึ่งสำเภาพระแก้วเจ้ากับทั้งพระปิฎกธรรมอันพลัดหลงเข้ามาในที่นี้ ถ้าแลเป็นสำภาของ พระองคเ์ จา้ จรงิ แท้ ซง่ึ พระเจา้ อนิ ทปตั มหานครทา่ นกท็ รงเหน็ แกท่ างพระราชไมตรี ทา่ นกไ็ มข่ ดั ขวางไวเ้ ลย ท่านก็ใช้ให้ข้าพระพุทธเจ้าทั้ง ๒ มาทูลถวายคืนให้แก่พระองค์เจ้าแล แต่ว่าพระองค์เจ้าเสด็จมาเป็นแต่ พระองคหนึ่งพระองค์เดียว จะมอบหมายแก่ระองค์เจ้าก็ไม่สมไม่ควรเลย ขอเชิญพระองค์เจ้า เสดจ็ ไปยงั พระนครภกุ ามเสยี กอ่ น ขา้ พระพทุ ธเจา้ ทง้ั ปวงจกั ขอพระรชทานสง่ ไปตอ่ ภายหลงั เมื่อนั้นซึ่งพระเจ้าอนุรุธราชาธิรช ครั้นพระองค์ได้ทรงฟังถ้อยคำอันอำมาตย์ทั้ง ๒ หากกราบทูล นน้ั พระองคก์ เ็ สดจ็ หนมี าโดยทางอากาศกม็ าถงึ พระนครภกุ ามแลว้ เมอ่ื นน้ั ฝา่ ยพระเจา้ อนิ ทปตั มหานคร ครน้ั เมอ่ื พระเจา้ อนรุ ธุ ราชาธริ าชเสดจ็ หนไี ปเมอื งภกุ ามแลว้ พระองค์ก็ให้เสนาอำมาตย์ราชมนตรีทั้งปวง ยกเอาพระแก้วมรกฏเจ้าให้ประดิษฐานในที่อันสมควรแล้ว พระองคก์ ใ็ หจ้ ดั แจงสง่ ไปกบั ทง้ั สำเภาพระปฎิ กธรรม ใหแ้ กพ่ ระเจา้ อนรุ ธุ าชาธริ าชนน้ั แล เมื่อนั้นฝ่ายพระเจ้าอนุรุธราชาธิราช ครั้นพระองค์ได้สำเภาพระปิฎกธรรม ซึ่งพระเจ้าอินทปัต มหากษัตริย์ส่งไปนั้นแล้ว พระองค์ก็ให้คนทั้งปวง ยกเอาพระปิฎกธรรมเจ้าจากสำเภาขึ้นไปไว้ในที่อัน สมควรแลว้ พระองคก์ ไ็ มเ่ หน็ ยงั พระแกว้ เจา้ นน้ั แลว้ พระองคก์ ท็ รงเหน็ ในนำ้ พระทยั วา่ ซง่ึ พระเจา้ อนิ ทปต มหานครมีความปรารถนาจะใคร่ได้พระแก้วเจ้าไว้ปฏิบัติรักษา พระงค์ก็ไม่มีอาลัยกับพระแก้วเจ้า นน้ั แล พระองคก์ ย็ กยอ่ งพระพทุ ธศาสนาในเมอื งภกุ ามทน่ี น้ั ใหร้ งุ่ เรอื งงามมากนน้ั แล ขณะนั้น ซึ่งพระศาสนาของพระบรมพุทธครูเจ้านั้น ก็ล่วงลับดับไปนานได้ ๑๑๗๒ ซึ่ง พระเจ้าอนุรุธราชาธิราชนั้น พระองค์ให้ตัดเสียซึ่งพระพุทธศักราชอันเก่าซึ่งล่วงไปแล้วนั้น ท่านจึง
พระตรำานชาพนงพศราะวแดกาว้รมเหรกนฏอื ๑๓๙ ให้ตั้งเอายังพระพุทธศักราชแรกแต่นั้นมา ซึ่งพระปิฎกธรรมทั้ง ๓ พระคัมภีร์ก็ดี พระคัมภีร์สัททาวิเสส ทั้งปวงก็ดี ก็ไม่ผิดด้วยอักขระพยัญชนะสักแห่ง พระองค์ก็ให้แผ่ไปในสกลชมพูทวีปทั้งปวงต่อ ๆ มาจนกาลบดั นแ้ี ล บัดนี้มาจะกล่าวถึงพระเจ้าอินทปัตมหานครนั้นก่อน ครั้นพระองค์ได้พระแก้วมรกฏแล้ว พระองค์ก็ทรงตรัสแก่เสนาอำมาตย์ ให้บอกแก่ชาวเมืองทั้งปวงทั่วไปในพระนครทั้งปวงแล้ว ก็พร้อมมูล กันมาฉลองบูชาพระแก้วเจ้าด้วยสิ่งทั้งปวงอันวรบูชาเป็นอันมากหนักหนา อยู่มาแต่นั้น พระองค์ก็ ปฏิบัติรักษบูชาพระแก้วเจ้าเป็นนิตย์มิได้ขาดั้นแล แต่นั้นซึ่งพระพุทธศาสนาของพระบรมพุทธครู เจ้านั้น ก็รุ่งเรืองงามไปทั่วสกลชมพูทวีปทั้งปวง ด้วยอานุภาพแห่งพระแก้วเจ้าั้นแล พระแก้วเจ้า องค์นั้นก็ตั้งอยู่ในเมืองอินทปัตมหาครที่นั้นสิ้นกาลนานนัก ได้หลายชั่วพระมหากษัตรย์ ซึ่งครอง ราชสมบัติในเมืองอินทปัตมหานครที่นั้น ต่อมาถึงพระมหากษัตริย์องค์หนึ่ง ทรงพระนามชื่อว่าพระเจ้า เสนกราชพระกษัตรย์ ธ ก็ได้ครองราชสมบัติในเมืองอินทปัตมหานครนั้นท่านก็ได้ปฏิบัติรักษา บชู าพระแกว้ เจา้ ตอ่ ไปนน้ั แล ครน้ั อยมู่ าแตน่ น้ั ซง่ึ พระเจา้ เสนกราชพระองคนน้ั ทา่ นกม็ รี ะราชโอรสพระองคห์ นง่ึ ครน้ั เจรญิ พระกายใหญ่มาพอเล่นแล้ว ซึ่งเจ้าราชบุตรพระองค์นั้น ก็เอาแมลงวันเขียวมาเลี้ยงไว้ตัวหนึ่ง ใสไ่ วใ้ นผอบคำแลว้ กเ็ ลน่ ไปทกุ วนั อยนู่ น้ั แล ในกาลนั้นยังมีสัปปุรุษคนหนึ่ง อันเป็นอาจารย์แห่งพระเจ้าเสนกราช ซึ่งอาจารย์คนนั้นก็ได้ ลูกชายคนหนึ่ง ซึ่งบุตรอาจารย์คนนั้นก็เลี้ยงแมลงมุมเสือตัวหนึ่ง ซึ่งกุมารทั้งสองก็ถือเอาซึ่ง ของเล่นแห่งตนไปเล่นอยู่ด้วยกันทุกวัน ยังมีในวันหนึ่งซึ่งแมลงมุมเสือของกุมารลูกปุโรหิตอาจารย์นั้น ก็กินแมลงวันเขียวของเจ้าราชบุตรองค์นั้นเสีย ซึ่งเจ้าราชบุตรองค์นั้นก็ร้องไห้มากนัก ซึ่งบ่าวชาย ของเจา้ ราชบตุ รองคน์ น้ั กเ็ ขา้ ไปในพระราชวงั แลว้ กก็ ราบบงั คมทลู พระเจา้ อนิ ทปตั มหานครนน้ั วา่ ขา้ แต่ พระองค์ ซึ่งแมลงมุมเสือของลูกปุโรหิตอาจารย์นั้น ก็มากินแมลงวันเขียวของเจ้าราชบุตรของพระองค์ เสยี แลว้ แลซง่ึ เจา้ ราชบตุ รกร็ อ้ งไหอ้ ยเู่ ปน็ หนกั หนา เมื่อนั้นซึ่งพระเจ้าอินทปัตมหานคร ครั้นพระองค์ได้ทรงฟังยังถ้อยคำอันราชบุรุษหากกราบทูล นั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงพระกริ้วโกรธเป็นหนักหนา แล้วจึงทรงตรัสแก่พวกเพชฌฆาตทั้งปวงว่า ให้ไป จับเอากุมารคนนั้นมา แล้วพระองค์ก็ให้ผูกไปจมสระเสียนั้นแล แต่นั้นฝ่ายปุโรหิตาจารย์ผู้เป็น
๑๔๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ บดิ าแหง่ กมุ ารคนนน้ั กม็ คี วามเคยี ดแคน้ เปน็ หนกั หนาจงึ กลา่ ววา่ พระมหากษตั รยิ พ์ ระองคน์ ห้ี าชอบธรรมไม่ ควรแต่กูหนีไปในประเทศราชที่อื่นเถิด ครั้นปุโรหิตาจารย์คิดเท่านั้นแล้วมินาน ก็พาเอาบุตรภรรยา บา่ วชายหญงิ ของทา่ นออกจากเมอื งหนไี ปในประเทศทอ่ี น่ื นน้ั แล แต่นั้นยังมีพระยานาคตัวหนึ่ง อันอยู่ในสระที่นั้น ท่านก็โกรธแก่พระเจ้าอินทปัตมหานครนั้นว่า พระมหากษตั รยิ พ์ ระองคน์ ห้ี าชอบธรรมไม่ มดั เอาคนอนั หาโทษบมไิ ดม้ าจมเสยี ในสระทอ่ี ยขู่ องเราใหต้ ายเสยี พระมหากษตั รยิ อ์ งคน์ ก้ี ระทำไมช่ อบธรรม ควรเราจะกระทำปาฏหิ ารยิ ์ ใหน้ ำ้ ทว่ มเมอื งอนิ ทปตั มหานคร ที่นี้เถิด ครั้นพระยานาคตรัสเท่านั้นแล้ว ก็ให้น้ำท่วมเมืองอินทปัตมหานครด้วยฤทธาศักดานุภาพแห่งตน นั้นแล ซึ่งผู้คนอันอยู่ในเมืองอินทปัตมหานครก็ฉิบหายจมตายเป็นอันมาก เท่ายังเศษเหลืออยู่แต่ พวกคนทั้งปวงอันขึ้นอยู่บนเรือบนสำเภานั้นแล แต่นั้นยังมีมหาเถรเจ้าองค์หนึ่งท่านก็ยกเอาพระแก้วเจ้า กบั ทง้ั พวกคนทง้ั ปวงทอ่ี ยรู่ กั ษาพระแกว้ เจา้ ขน้ึ สสู่ ำเภาลำหนง่ึ แลว้ กอ็ อกหนไี ปแตเ่ มอื งอนิ ทปตั มหานครแลว้ กข็ น้ึ ไปสบู่ า้ นแหง่ หนง่ึ ฝา่ ยหนเหนอื นน้ั แล บัดนี้มาจะกล่าวถึงพระมหากษัตริย์เจ้าพระองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่าพระเจ้าอาทิตยราช พระองค์ก็ได้ครอบครองราชสมบัติในกรุงศรีอยุทธยา ครั้นพระองค์ได้ทรงทราบว่าน้ำท่วมเมืองอินทปัต มหานครแล้ว พระองค์ก็ทรงพระวิตกไปเป็นอันมาก กลัวแต่พระแก้วเจ้าจะฉิบหายเสีย พระองค์ก็ เสด็จไปจากกรุงเทพมหานครศรีอยุทธยา พร้อมด้วยจัตุรงคเสนาทแกล้วทหารเป็นอันมาก ครั้นไปถึง เมืองอินทปัตมหานครแล้ว พระองค์ก็ให้สืบสวนได้พระแก้วมรกฏเจ้าได้แล้ว ก็กวาดเอาผู้คนที่สมัคร กบั พระแกว้ เจา้ นน้ั เปน็ อนั มาก กเ็ สดจ็ กลบั เขา้ มายงั กรงุ เทพมหานครศรอี ยทุ ธยาแล ซง่ึ พระเจา้ อาทติ ยราช พระมหากษัตริย์พระองค์นั้น ครั้นพระองค์ได้พระแก้วเจ้ามาแล้ว ก็มีน้ำพระทัยเลื่อมใสยินดีใน พระแก้วเจ้าเป็นที่สุด พระองค์จึงทรงตรัสแก่เสนาอำมาตย์ราชมนตรีทั้งปวงให้จัดแจงแต่งการฉลอง บูชาพระแก้วเจ้าเป็นอันมาก ด้วยสิ่งมีต้นว่าแก้วแลเงินคำเป็นประธานแล้ว ก็จึงให้ป่าวร้องแก่ราษฎร ทั้งปวงให้ทั่วไปในทิศทั้ง ๔ ทั้ง ๘ ฝ่ายคนทั้งปวงอันอยู่ในทิศทั้ง ๔ ทั้ง ๘ นั้นก็นำมายังสิ่งของแก้วแหวน แลเงินคำ แลธูปเทียนแลดอกไม้อันมีกลิ่นสุคนธรสต่าง ๆ มาพร้อมกันแล้วก็ฉลองบูชาพระแก้วเจ้านั้น สน้ิ กาลอนั นานไดเ้ ดอื นหนง่ึ แลว้ แลว้ กเ็ ชญิ แหเ่ อาพระแกว้ เจา้ ขน้ึ ประดษิ ฐานไวใ้ นพระศรรี ตั นศาสดาราม อนั ประดบั ประดาดว้ ยแกว้ แลเงนิ คำเปน็ อนั งามบรสิ ทุ ธเ์ิ ปน็ นกั หนาแลว้ ซง่ึ พระเจา้ อาทติ ยราชมหากษตั รยิ ์ พระองค์ก็ทรงพระปีติโสมนัสในน้ำพระทัยหาที่สุดมิได้ พระองค์ก็ปฏิบัติรักษาบูชาพระแก้วเจ้านั้น เป็นนิตย์มิได้ขาด ซึ่งว่าคนทั้งปวงอันอยู่ในพระมหานครก็ดี อันอยู่นอกพระนครทั้ง ๔ ทิศทั้ง ๘ ทิศ
พระตรำานชาพนงพศราะวแดกาว้รมเหรกนฏอื ๑๔๑ ก็ดี ก็เข้ามาถวายนมัสการบูชาพระแก้วเจ้าทุกวันมิได้ขาดนั้นแล ด้วยเดชะอานุภาพพระแก้วเจ้านั้น ซึ่งพระพุทธศาสนาของพระบรมพุทธครูเจ้า ก็รุ่งเรืองงามมากนักในกรุงเทพมหานครศรีอยุทธยา หาที่จะประมาณมิได้ ซึ่งพระแก้วเจ้านั้น ก็ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานครศรีอยุทธยาสิ้นกาลอันนานมาก หนักหนา สืบมาได้หลายชั้นพระมหากษัตริย์เจ้าแล้ว อยู่มาข้างหน้าแต่นั้นจึงเจ้าพระยากำแพงเพ็ชร ก็ลงมาทูลขอพระแก้วเจ้าขึ้นไปไว้ในเมืองกำแพงเพ็ชร ท่านก็ปฏิบัติรักษาบูชาพระแก้วเจ้าต่อไป มนิ านเทา่ ใดทา่ นกไ็ ดร้ าชบตุ รคนหนง่ึ ครน้ั ราชบตุ รคนนน้ั เจรญิ ใหญข่ น้ึ มาแลว้ ทา่ นกต็ ง้ั ไปเปน็ เจา้ เมอื งลโว้ ครั้นราชบุตรคนนั้นได้เป็นเจ้าเมืองลโว้แล้ว ก็ระลึกนึกถึงพระแก้วเจ้าเป็นที่สุด ด้วยท่านมีน้ำใจอยากได้ พระแก้วเจ้าเมื้อไว้ปฏิบัติรักษาบูชา ท่านจึงมาสู่เมืองกำแพงเพ็ชรแล้ว จึงขึ้นกราบทูลพระมารดาว่า ข้าแต่พระราชมารดาเป็นเจ้า ข้านี้จะใคร่ได้พระแก้วเจ้าเมื้อไว้ปฏิบัติรักษาบูชาในเมืองลโว้ ขอ พระราชมารดาเจา้ จงกราบทลู พระราชบดิ า ขอเอาพระแกว้ เจา้ ใหแ้ กข่ า้ บา้ งเถดิ เจา้ เมอื งลโวอ้ นั เปน็ ราชบตุ ร มคี วามออ้ นวอนแกพ่ ระราชมารดาเปน็ หลายพกั หลายหนอยู่ ฝ่ายพระราชมารดา ครั้นได้ยินยังถ้อยความลูกของตนอ้อนวอนอยู่ดังนั้น ก็มิอาจที่จะขัดขืนได้ ท่านจึงขึ้นไปกราบทูลเจ้าเมืองกำแพงเพ็ชรอันเป็นพระราชสามีว่า ข้าแต่พระองค์ทรงพระกรุณา โปรดเกลา้ เกศา ซง่ึ เจา้ เมอื งลโวอ้ นั เปน็ พระราชโอรสของพระองคน์ น้ั มคี วามปรารถนาใหข้ า้ พระพทุ ธเจา้ มากราบทูลขอพระราชทานเอาพระแก้วเจ้าขึ้นไปปฏิบัติรักษาในเมืองลโว้ ขอพระองค์ได้โปรดให้แล้ว ซง่ึ ความปรารถนาเถดิ เมื่อนั้นฝ่ายเจ้าเมืองกำแพงเพ็ชรผู้เป็นพระราชสามี ครั้นพระองค์ได้ทรงฟังถ้อยความพระอัคร มเหสีกราบทูลนั้นแล้ว พระองค์ก็ทรงพระราชเมตตาในพระราชโอรสเป็นนักหนา พระองค์จึงทรงตรัสว่า ดูกรเจ้ามเหสี ถ้าแลเจ้าราชบุตรมีความปรารถนาอย่างนั้น เราก็จะให้โดยความมักนั้นทุกประการแล แต่ว่าพระแก้วเจ้านั้นอยู่ในอารามที่นั้น ก็มีอยู่มากนักเป็นหลายองค์อยู่ ถ้าเจ้าราชโอรสรู้จักพระแก้วเจ้า เปน็ แนแ่ ท้ กใ็ หเ้ อาขน้ึ ไปเถดิ เมอ่ื พระองคไ์ ดท้ รงตรสั เทา่ นน้ั แลว้ ฝ่ายพระอัครมเหสี ก็กราบถวายบังคมลาลงมาแล้วก็บอกเล่าแก่พระราชบุตรแห่งตนให้แจ้งแล้ว ก็ให้หามายังนายประตูปราสาทที่อยู่รักษาพระแก้วเจ้านั้นแล้ว จึงกล่าวว่าดูกรเจ้านายประตู บัดนี้ ซง่ึ เจา้ เมอื งลโวอ้ นั เปน็ พระราชโอรสของขา้ น้ี ทา่ นมคี วามปรารถนาจะใครไ่ ดพ้ ระแกว้ เจา้ ขน้ึ ไปไวป้ ฏบิ ตั ริ กั ษา ในเมืองลโว้ ข้าก็ได้กราบทูลก็ทรงพระกรุณาแล้ว แลแต่ว่าข้านี้ยังไม่รู้ว่าพระแก้วเจ้าองค์ใด จะเป็น
๑๔๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ พระแกว้ มรกฏเจา้ แนแ่ ทน้ น้ั ขา้ ทง้ั สองแมล่ กู กย็ งั หารไู้ ม่ เจา้ จงแกไ้ ขบอกดว้ ยกลอบุ ายแตส่ ง่ิ ใดสง่ิ หนง่ึ เถดิ เมอ่ื นน้ั ซง่ึ นายประตรู กั ษาพระแกว้ เจา้ กร็ บั พระประสาทแลว้ กก็ ราบทลู วา่ ขา้ แตพ่ ระแมเ่ จา้ ขา้ จะเอา ดอกไมแ้ ดงทอดไวท้ ฝ่ี า่ พระหตั ถพ์ ระแกว้ มรกฏเจา้ แลว้ พระแมเ่ จา้ จงรใู้ นสำคญั นน้ั เถดิ ฝ่ายพระอัครมเหสี แลพระราชโอรส ครั้น ๒ พระองค์ได้ทรงฟังนายประตูกราบทูลบอกอาการ นั้นแล้ว ก็มีความยินดีเป็นที่สุด จึงพระราชทานทองคำหนัก ๒ ตำลึงให้แก่นายประตูแล้ว ซึ่งนายประตูก็กราบถวายบังคมลาลงมาแล้ว ครั้นเวลากลางคืนนายประตูก็เอาดอกไม้แดงเข้าไปวางไว้ ในฝา่ พระหตั ถพ์ ระแกว้ มรกฏเจา้ นน้ั แลว้ ฝ่ายพระอัครมเหสี แลพระราชโอรส ก็พากันเข้าไปในปราสาทพระแก้วเจ้า ก็เห็นสำคัญ อันนายประตูหากทำไว้นั้นแล้ว เจ้าพระราชบุตรก็ให้บ่าวชายของท่านยกเอาพระแก้วเจ้าได้แล้ว ก็พาหนีไปยังเมืองลโว้แล้ว ท่านก็ได้ปฏิบัติรักษาบูชาพระแก้วอยู่นานได้ปีปลาย ๙ เดือนแล ท่านก็เอา กลบั ลงมาสง่ ใหแ้ ก่เจา้ เมอื งกำแพงเพช็ ร อนั เปน็ พระราชบดิ าของทา่ นนน้ั แล แตน่ น้ั มาขา้ งหนา้ ยงั มพี ระยาองคห์ นง่ึ มนี ามปรากฏชอ่ื วา่ พระยาพรหมทตั ทา่ นครองราชสมบตั ิ ในเมืองเชียงราย ซึ่งพระยาพรหมทัตองค์นั้น ท่านก็ได้เป็นมิตรเป็นไมตรีกับพระเจ้ากำแพงเพ็ชรมา แต่ก่อน ครั้น ธ ได้ทราบว่าเจ้าเมืองกำแพงเพ็ชรไดพ้ ระแก้วมรกฏมาปฏิบัติรักษา ดังนั้นท่านก็มีความ ปรารถนาอยากไดพ้ ระแกว้ มรกฏเจา้ ขน้ึ มาปฏบิ ตั ริ กั ษาในเมอื งเชยี งราย ทา่ นจงึ พาเอาเสนาอำมาตยไ์ พรพ่ ล ทง้ั ปวง ลงมาสเู่ มืองกำแพงเพช็ รแลว้ กข็ อเอายงั พระแกว้ เจา้ กบั เจา้ เมอื งกำแพงเพช็ รอนั เปน็ พระสหาย ไดแ้ ลว้ ทา่ นกแ็ หเ่ อาพระแกว้ มรกฏเจา้ ขน้ึ ไปไว้ ณ เมอื งเชยี งราย ทา่ นกป็ ฏบิ ตั ริ กั ษาบชู าเปน็ นติ ยท์ กุ วนั มิได้ขาด แม้คนทั้งปวงก็เข้ามานมัสการบูชาเสมออยู่ทุกวันมิได้ขาดนั้นแล ครั้นอยู่มาแต่นั้นไปข้างหน้า ซึ่งเจ้าเมืองเชียงใหม่อันเป็นอาเจ้าเมืองเชียงรายนั้นก็เกิดอริวิวาทกัน ซึ่งเจ้าเมืองเชียงใหม่ผู้เป็นอา กล็ อบลอ้ มเอาไพรพ่ ลโยธาทแกลว้ ทหารเปน็ อนั มาก ทา่ นกย็ กขน้ึ ไปรบพงุ่ กบั เมอื งเชยี งราย ๆ กแ็ ตกกระจดั กระจายไปแล้ว ท่านก็ให้คนทั้งปวงเชิญเอาพระแก้วเจ้าแล้ว ก็กวาดเอาครอบครัวผู้คนหนีลงมาไว้ ณ เมืองเชียงใหม่แล้ว ท่านก็สร้างปราสาทหลังหนึ่งในวังของท่านนั้นแล้ว ท่านก็ให้ประดับประดา ไปด้วยแก้วแลเงินคำเป็นอันมากบริสุทธิ์แล้ว ก็เชิญพระแก้วเจ้าขึ้นประดิษฐานไว้ในปราสาทนั้นแล้ว ท่านก็ให้บอกกล่าวป่าวร้องแก่ราษฎรทั้งปวงทั้งขอบแขวงทุกตำบล ซึ่งคนทั้งปวงก็นำมายังเครื่อง สกั การบชู า เขา้ มาพรอ้ มมลู กนั เปน็ อนั มากแลว้ กฉ็ ลองบชู าพระแกว้ เจา้ นน้ั ได้ ๗ วนั ๗ คนื นน้ั แล
พระตรำานชาพนงพศราะวแดกาว้รมเหรกนฏอื ๑๔๓ ซึ่งพระพุทธศาสนาในเมืองเชียงใหมใ่ นครั้งนั้นก็รุ่งเรืองงามเป็นที่สุด ด้วยเดชานุภาพพระแก้วเจ้า นั้นแล ซึ่งเจ้าเมืองเชียงใหม่พระองค์นั้นท่านก็ได้ปฏิบัติรักษาพระแก้วเจ้าอยู่ นานต่อแดนอายุของท่าน ครั้นสิ้นอายุแล้วท่านก็ได้ถึงแก่กรรมไปนั้นแล แต่นั้นซึ่งราชตระกูลลูกหลานทั้งปวง ก็ได้ครองราชสมบัติ ในเมืองเชียงใหม่สืบต่อกันไป ก็เป็นช้านานหลายชั้นแล้ว แรกตั้งแต่องค์สมเด็จพระบรมโลกนารถ ศาสดาจารย์ แต่พระองค์เสด็จดับขันธ์เข้าสู่อมตมหานครนฤพานไปแล้วนั้น ต่อมาถึงพระมหานาคเสน สรา้ งพระแกว้ มรกฏเจา้ ตอ่ ๆ มา จนถงึ พระแกว้ มรกฏเจา้ ไปอยเู่ มอื งเชยี งใหมน่ น้ั ซง่ึ พระพทุ ธศกั ราชลว่ ง ไปได้ ๒๐๐๐ ครบจลุ ศกั ราชได้ ๘๑๘ พรรษา ซง่ึ พระแกว้ มรกฏเจา้ กอ็ ยใู่ นเมอื งเชยี งใหมท่ น่ี น้ั แล ครน้ั อยไู่ ปขา้ งหนา้ แตน่ น้ั ยงั มพี ระราชโอรสพระองคห์ นง่ึ เปน็ บตุ รของพระเจา้ วชิ นุ ราชมหากษตั รยิ ์ ครองราชสมบัติในเมืองศรีสัตนาคนหุตอุตมรัตนชวาละวัติมหานครนั้นแล้ว ซึ่งเจ้าราชกุมารพระองค์นั้น ทรงพระนามชื่อว่าเจ้าโพธิสารราชกุมารแล ครั้นพระองค์เจริญพระวัยใหญ่มาได้ ๑๕ ปีแล้ว จึงพระเจ้า วิชุนราชมหากษัตริย์ผู้เป็นพระราชบิดาของ ธ นั้น ท่านก็ได้ถึงพิราลัยไปนั้นแล ซึ่งเจ้าโพธิสารราชกุมาร ท่านก็ได้ครองราชสมบัติ ในเมืองศรีสัตนาคนหุตอุตมรัตนชวาละวัติมหานคร แทนพระราชบิดา ของพระองค์นั้นแล อยู่ไปข้างหน้าแต่นั้นซึ่งพระแซกคำเจ้าเสด็จมาโดยทางอากาศ ก็มาตั้งอยู่ใน เมอื งชวาละวตั มิ หานครทน่ี น้ั แล แตน่ น้ั พระเจา้ โพธสิ ารราชมหากษตั รยิ ์ กใ็ หค้ นทง้ั ปวงทำการฉลองบชู า พระแซกคำเจ้ามากนักแล้ว ก็ให้ปฏิบัติรักษาบูชาเป็นนิตย์มิได้ขาดนั้นแล ซึ่งพระเจ้าโพธิสารราช มหากษตั รยิ พ์ ระองคน์ น้ั ทา่ นมบี ญุ สมภารกม็ ากมเี ดชานภุ าพกม็ ากนกั แต่นั้นยังมีพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งท่านครองราชสมบัติในเมืองเชียงใหม่ ท่านได้ยิน ข่าวสารว่าพระเจ้าโพธิสารราชมหากษัตริย์พระองค์นั้น มีบุญฤทธิ์แลอิทธิฤทธิ์มหิทธิศักดานุภาพ มากนกั ดงั นน้ั ทา่ นกม็ คี วามยนิ ดซี ง่ึ บญุ พระเจา้ โพธสิ ารราชมหากษตั รยิ เ์ ปน็ นกั หนา ทา่ นจงึ ใหอ้ ำมาตย์ นำเอาพระราชธิดาองค์หนึ่งอันเป็นบุตรของท่านนั้น ชื่อว่านางยอดคำราชกัญญา มาถวายพระเจ้า โพธสิ ารราชมหากษตั รยิ พ์ ระองคน์ น้ั แล ซง่ึ พระเจา้ โพธสิ ารราชมหากษตั รยิ พ์ ระองคน์ น้ั ทา่ นกไ็ ดต้ ง้ั ไวย้ งั นางยอดคำราชกญั ญาองคน์ น้ั ใหเ้ ปน็ อคั รมเหสแี ลว้ จงึ แปลงพระนามชอ่ื วา่ นางหอสงู นั้นแล อยไู่ ปขา้ งหนา้ แต่นัน้ ซงึ่ นางหอสูงราชเทวอี งคน์ ั้น ก็ประสูติพระราชโอรสองค์หนึ่ง ทรงพระนามชื่อว่าเจ้าไชยเสษฐาราชกุมารนั้นแล ครั้นอยู่ไปข้างหน้า แตน่ น้ั ยงั มหี า้ มคนหนง่ึ กป็ ระสตู พิ ระราชบตุ รองคห์ นง่ึ ทรงพระนามชอ่ื วา่ เจา้ กถิ นาวะราชกมุ ารนน้ั แล
๑๔๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ครั้นอยู่ไปข้างหน้าแต่นั้นอีกซึ่งพระอัครมเหสีองค์หนึ่ง ทรงพระนามชื่อว่านางหอขอก ก็ประสูติ พระราชโอรสองค์หนึ่ง ทรงพระนามชื่อว่าเจ้าสีวละวงษาราชกุมารนั้นแล ซึ่งพระเจ้าโพธิสารราช มหากษัตริย์พระองค์นั้น แรกแต่ท่านได้ครองราชสมบัติ ในเมืองศรีสัตนาคนหุตอุตมรัตนชวาละวัติ มหานครมานน้ั ทา่ นกไ็ ดย้ งั พระราชโอรส ๓ องคน์ แ้ี ล บัดนี้มาจะกล่าวถึงพระมหากษัตริย์ในเมืองเชียงใหม่ ครั้นท่านได้ให้นางยอดคำอันเป็น ราชธิดาของท่านนั้น มาเป็นพระอัครมเหสีแห่งพระเจ้าโพธิสารราชมหากษัตริย์ ในเมืองศรีสัตนา คนหุตอุตมรัตนชวาละวัติมหานครแล้ว อยู่ไปมินานเท่าใดเลยท่านก็ได้ถึงแก่กรรมไปนั้นแล ซึ่ง เมอื งเชยี งใหมห่ าสกลุ วงศาเจา้ นายทจ่ี ะสบื แทนบา้ นเมอื งตอ่ ไปนน้ั มไิ ด้ ฝ่ายเสนาอำมาตย์ราชบัณฑิตทั้งปวง ก็มาปรึกษาพร้อมมูลกันในสิหิงคมหาอาราม พร้อมกับ มหาสังฆราชเจ้ากูเจ้าวัดที่นั้นแล้ว จึงแต่งให้อำมาตย์ทั้งหลายนำเอาซึ่งเครื่องราชบรรณาการ ให้เป็น ราชทูตเข้าไปสู่เมืองศรีสัตนาคนหุตอุตมรัตนชวาละวัติมหานครแล้ว ก็ขอเอาเจ้าไชยเสษฐาราชกุมาร ใหเ้ มอ้ื ครองราชสมบตั ใิ นเมอื งเชยี งใหมน่ น้ั แล ฝ่ายพระเจ้าโพธิสารราชมหากษัตริย์ องค์เป็นเจ้าพระมหานครศรีสัตนาคนหุตอุตมรัตนชวาละวัติ มหานคร กม็ อิ าจทจ่ี ะขนื ไดด้ ว้ ยเหน็ แกร่ าชไมตรี ทา่ นจงึ ใหเ้ สนาอำมาตยท์ ง้ั ปวง จดั แจงแตง่ ยงั จตั รุ งคเสนาทง้ั ๔ พร้อมแล้ว ท่านก็พาเอาเจ้าไชยเสษฐาราชกุมารอันเจริญอายุได้ ๑๒ ปีนั้น ขึ้นไปครอบครอง ราชสมบตั ใิ นเมอื งเชยี งใหมแ่ ลว้ จงึ ปลงพระนามชอ่ื วา่ พระไชยเสษฐาธริ าชมหากษตั รยิ น์ น้ั แล ซง่ึ พระเจา้ โพธิสารราชมหากษัตริย์ ครั้นพระองค์ได้พาเอาเจ้าไชยเสษฐาธิราชกุมาร อันเป็นราชโอรสของพระองค์ ขึ้นไปตั้งแต่ให้ครองราชสมบัติในเมืองเชียงใหม่แล้ว พระองค์ก็พาเอาเสนาอำมาตย์ราชจัตุรงค์ทั้งปวง ก็เสด็จกลับคืนมาหาเมืองศรีสัตนาคนหุตอุตมรัตนชวาละวัติมหานครของพระองค์นั้นแล ครั้นอยู่มา แต่นั้นไปนานได้ ๓ ปี พระองค์มีอายุแต่ชาติมาได้ ๔๒ ปี พระองค์ก็ถึงแก่พิราลัยไปตามบุญกรรมของ ท่านนั้นแล แต่นั้นเสนาอำมาตย์ราชบัณฑิตแลไพร่พลเมืองทั้งปวง ก็ปรึกษาพร้อมมูลกันยกเอา เจ้ากิถนาวะราชกุมาร ขึ้นครองราชสมบัติเป็นเจ้ากษัตริย์ในเมืองศรีสัตนาคนหุตอุตมรัตนชวาละวัติ มหานครนน้ั แลว้ จงึ ปรกึ ษาพรอ้ มมลู กนั กย็ กเอาเจา้ ศรวี รวงษาราชกมุ ารใหไ้ ปเปน็ เจา้ เมอื งเวยี งจนั ทนบรุ ี ราชธานแี ลว้ จงึ แตง่ ทตู นำราชสาสน์ ไปบอกขา่ วแกพ่ ระเจา้ ไชยเสษฐาธริ าชมหากษตั รยิ ใ์ นเมอื งเชยี งใหมว่ า่ พระเจา้ โพธสิ ารอนั เปน็ พระราชบดิ าของพระองคน์ น้ั กไ็ ดถ้ งึ พริ าลยั ไปแลว้ แล
พระตรำานชาพนงพศราะวแดกาว้รมเหรกนฏอื ๑๔๕ เมื่อนั้น ซึ่งพระเจ้าไชยเสษฐาธิราชมหากษัตริย์ ครั้นพระองค์ได้ทรงฟังข่าวสารนั้นแล้ว ก็มิอาจที่จะตั้งอยู่ได้ ด้วยน้ำพระทัยของท่านก็รำลึกนึกถึงยังพระราชบิดาแลบ้านเมืองของท่านนั้น พระองค์จึงพิจารณาในน้ำพระทัยว่า ควรแก่กูพระกษัตริย์ได้ไปดูบ้านเมืองของกูก่อน จะได้ทำบุญ ใหท้ านพรอ้ มกบั ดว้ ยญาตพิ น่ี อ้ งทง้ั ปวง ถวายพระราชกศุ ลไปแกพ่ ระราชบดิ าของกจู งึ ควรแล ครน้ั พระองค์ ทรงคดิ ในนำ้ พระทยั ดงั นแ้ี ลว้ พระองคจ์ งึ ทรงพระวติ กตอ่ ไปวา่ เมอ่ื กพู ระกษตั รยิ ไ์ ปถงึ เมอื งชวาละวตั มิ หานคร ของกูแล้วที่จะได้กลับคืนมาหาเมืองเชียงใหม่นั้นจะช้าเร็วประมาณสักเท่าใดกูก็หาทราบไม่เลย ควรแต่กู พระกษัตริย์เชิญเอาพระแก้วเจ้าไปด้วยควรแล ครั้นพระองค์ทรงพระวิตกดังนี้แล้ว พระองค์ก็จัดแจง ยังเสนาอำมาตย์ราชจัตุรงค์พร้อมเสร็จแล้ว พระองค์ก็ให้ไปอาราธนาเชิญเอาพระแก้วเจ้ามาแล้ว พระองค์ก็เสด็จมายังเมืองศรีสัตนาคนหุตอุตมรัตนชวาละวัติมหานคร พร้อมกับด้วยเสนาอำมาตย์ราช มนตรที ง้ั ปวงนน้ั แล ครน้ั พระองคล์ งมาถงึ เมอื งชวาละวตั มิ หานครแลว้ พระองคก์ ใ็ หเ้ ชญิ เอาพระแกว้ มรกฏ เจ้าขึ้นประดิษฐานไว้ในปราสาท๑ที่พระแซกคำเจ้าอยู่นั้นแล้ว พระองค์ก็ให้เสนาอำมาตย์ราชมนตรี ทั้งปวงจัดแจงสิ่งของซึ่งจะทำบุญให้ทานนั้นเป็นอันมากแล้ว พระองค์ก็ ๒พร้อมด้วยเจ้านายขัติย ราชวงศา เสนาอำมาตยไ์ พรบ่ า้ นพลเมอื งทง้ั ปวง กพ็ ากนั ฉลองบชู าคณุ พระแกว้ มรกฏเจา้ แลว้ กท็ ำบญุ ให้ทานเป็นอันมากนานได้ ๗ วัน ๗ คืน ครั้นเสร็จราชการทำบุญให้ทานแล้ว พระองค์ก็ปฏิบัติรักษา บูชาพระแก้วเจ้าอยู่เป็นนิตย์ทุกวันมิได้ขาดนั้นแล ซึ่งพระเจ้าไชยเสษฐาธิราชมหากษัตริย์นั้น ท่านก็อยู่ ในเมอื งศรสี ตั นาคนหตุ อตุ มรตั นชวาละวตั มิ หานครนานได้ ๓ ปนี น้ั แล บัดนี้มาจะกล่าวถึงเสนาอำมาตย์ราชมนตรีทั้งปวง อันอยู่ในเมืองเชียงใหม่ที่นั้นก่อนแล ครั้นเมื่อพระเจ้าไชยเสษฐาธิราชมหากษัตริย์หนีมาสู่เมืองชวาละวัติมหานครแล้วนั้น ครั้นอยู่มานานได้ ๓ ปี เขาจงึ พจิ ารณากนั วา่ บา้ นเมอื งของเรานไ้ี มม่ พี ระมหากษตั รยิ ค์ รอบครองราชสมบตั นิ น้ั กลวั จะมี ความพิบัติฉิบหายเสีย เขาจึงพิจารณากันดังนี้แล้ว เขาจึงพร้อมมูลสืบหาขัติยราชวงศาอันเป็นเนื่อง แนวเชื้อสายกษัตริย์มาแต่ก่อนนั้น เขาจึงเห็นยังพระสงฆ์องค์หนึ่งมีนามปรากฏชื่อว่าพระเมกุฏิ อันเป็นราชวงศามาแต่ก่อน เขาจึงได้ไปขออาราธนาให้ลาพรตเสีย แล้วจึงพร้อมมูลกันทำพิธีขัติย ราชาภเิ ษกขน้ึ เปน็ กษตั รยิ ์ ใหค้ รอบครองราชสมบตั ใิ นเมอื งเชยี งใหมน่ น้ั แล ๑ เรม่ิ ตน้ สมดุ ไทย ตำนานพระแกว้ มรกต เลม่ ๓ เลขท่ี ๒๙ ๒ จบสมดุ ไทย ตำนานพระแกว้ มรกต เลม่ ๒
๑๔๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ บัดนี้มาจะกล่าวถึงพระเจ้าไชยเสษฐาธิราชมหากษัตริย์ ซึ่งพระองค์ก็ยังอยู่ในเมืองชวาละวัติ มหานคร ครั้นพระองค์ได้ทรงทราบยังข่าวสารอาการพระเมกุฏไิ ด้ขึ้นครองราชสมบัติในเมืองเชียงใหมแ่ ล้ว พระองคก์ ท็ รงกรว้ิ โกรธนกั จงึ ใหเ้ สนาบดกี ะเกณฑไ์ พรพ่ ลโยธาทแกลว้ ทหารทง้ั ปวงแลว้ พระองคก์ เ็ สดจ็ ยกขน้ึ ไปตเี อาเมอื งเชยี งแสนไดแ้ ลว้ พระองคก์ ร็ วบรวมไพรพ่ ลโยธาทง้ั ปวง จะยกขน้ึ ไปตเี อาเมอื งเชยี งใหม่ นั้นแล เมอ่ื นน้ั ฝา่ ยพระเมกฏุ ิ อนั เปน็ เจา้ เมอื งเชยี งใหมน่ น้ั ครน้ั ธ ไดย้ นิ ขา่ วสารวา่ พระเจา้ ไชยเสษฐา- ธิราช นั้นยกขึ้นมาตีเอาเมืองเชียงแสนได้แล้ว ธ ก็มีความเข็ดขามเกรงกลัวแต่พระราชเดชานุภาพ พระเจ้าไชยเสษฐาธิราชนั้นเป็นนักหนา ท่านจึงยกเอาเมืองเชียงใหม่ไปถวายแก่เจ้าเมืองอังวะแล้ว เจา้ เมอื งองั วะกใ็ หเ้ กณฑก์ องทพั ยกเขา้ มาหนนุ เมอื งเชยี งใหมเ่ ปน็ อนั มากนกั เมื่อนั้นฝ่ายพระเจ้าไชยเสษฐาธิราชเจ้ามหากษัตริย์ พระองค์ก็พาไพร่พลโยธาอาสาทแกล้วทหาร ทั้งปวง ยกเข้าไปถึงปลายแดนเมืองเชียงใหม่ พระองค์จึงทรงทราบว่าพระเมกุฏิยกเอาเมืองเชียงใหม่ ไปถวายแกพ่ มา่ ๆ จงึ ยกกองทพั ขน้ึ มาอดุ หนนุ เมอื งเชยี งใหมเ่ ปน็ อนั มากนกั พระองคก์ จ็ งึ ทรงดำรกิ ารวา่ ครั้นกูจะยกกองทัพเข้าไปเมืองเชียงใหม่ การศึกสงครามครั้งนี้ก็จะยืดยาวเป็นมหาสงครามอันใหญ่ ถ้าไพร่ลาวตายก็เสียข้าพระราชบิดาของกู ถ้าไพร่เมืองเชียงใหม่ตายก็จะเสียข้าพระราชมารดา ของกูก็จะฉิบหายทั้ง ๒ ฝ่าย ครั้นพระองค์ทรงดำริการดังนี้แล้ว พระองค์จึงให้ถอยทัพกลับมาตั้งอยู่ใน เมืองเชียงแสนนานได้ ๙ ปีแล้ว พระองค์จึงเลิกทัพกลับลงมาเมืองศรีสัตนาคนหุตอุตมรัตนชวา ละวัติมหานครของพระองค์ แล้วพระองค์จึงพิจารณาดูน้ำพระทัยของพระองค์ว่า ซึ่งเมืองชวาละวัติ มหานครนี้ก็เป็นที่คับแคบนัก มีภูเขาใหญ่น้อยก็มากนัก ไม่สมควรที่กูผู้เป็นพระกษัตริย์จะอยู่ครอง ราชสมบัติที่นี้เลย ควรแต่กูพระมหากษัตริย์ ไปสร้างแปลงอยู่ในที่อันกว้างขวางนั้นจึงควรแล ครั้นพระองค์ทรงพิจารณาดังนี้แล้ว พระองค์ก็จัดแจงตั้งแต่งเจ้านายเสนาบดีไว้ในเมืองสัตนาคน หุตอุตมรัตนชวาละวัติมหานครไว้เรียบร้อยเป็นอันดีแล้ว พระองค์ก็พาเอาเสนาบดีไพร่พลทั้งปวง ขึ้นไปเอาพระแก้วเจ้าแล้ว พระองค์ก็เสด็จลงไปเวียงจันทนบุรีแล้ว พระองค์ก็ให้จัดแจงสร้างแปลง บ้านเมืองให้ดีงามแล้ว พระองค์ก็อยู่ครองราชสมบัติในเมืองเวียงจันทนบุรีแล้ว ท่านก็ให้สร้าง ปราสาทหลังหนึ่งในวังของท่านนั้นแล้ว ก็ให้ประดับประดาปราสาทหลังนั้นด้วยแก้วแลเงินคำเป็น อันงามบริสุทธิ์แล้ว ท่านก็ให้เชิญเอาพระแก้วเจ้าแลพระแซกคำเจ้าขึ้นประดิษฐานไว้ในปราสาทหลัง นั้นแล้ว พระองค์ก็ให้จัดแจงยังเครื่องสมณบริขารทั้งปวง มีบาตรคำฉัตรคำร่มคำพานคำแลเครื่อง
พระตรำานชาพนงพศราะวแดกาว้รมเหรกนฏอื ๑๔๗ สำหรับบูชาด้วยแก้วแลเงินคำอันรุ่งเรืองงามมากนักแล้ว ก็ถวายบูชา ไว้ยังพระแก้วเจ้าพระแซกคำเจ้านั้น แลซึ่งพระเจ้าไชยเสษฐาธิราชมหากษัตริย์ พระองค์ก็ให้สร้างพระเจดีย์ลูกหนึ่งไว้ฝ่ายตะวันออก ถัดเจดีย์พระเจ้าศรีธรรมาโสกราชสร้างไว้นั้นแล้ว พระองค์จึงให้กระทำพระเจดีย์น้อย ๓๐ ลูกให้ แวดวงเป็นบริวารทั่วทุกกำทุกพาย แล้วพระองค์จึงปลงพระนามพระมหาเจดีย์เจ้าว่าพระโลกจุฬามณี ศรีเชียงใหม่แล้ว พระองค์จึงให้จัดแจงข้าหญิงร้อยหนึ่ง ข้าชายร้อยหนึ่ง ให้เป็นข้ารักษาพระแก้วเจ้า แลพระแซกคำเจ้าแล้ว พระองค์ก็ให้กระทำการสมโภชบูชาพระแก้วเจ้า แลพระแซกคำเจ้า แลทำบุญ ให้ทานนานได้เดือนหนึ่งจึงเสร็จการ ด้วยเดชะการทำบุญนั้นแล้วพระองค์ก็อยู่ครอบครองราชสมบัติ ในเมอื งเวยี งจนั ทนบรุ รี าชธานี ดว้ ยอนั เปน็ บรมสขุ เกษมตอ่ แดนอายขุ องพระองคน์ น้ั แล ครน้ั สน้ิ อายแุ ลว้ พระองคก์ ถ็ งึ พริ าลยั ไปตามบญุ กรรมของทา่ นนน้ั แล๑ ๑ พงศาวดารเหนือ ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๔๖ เพิ่มอีก ๑ ย่อหน้าว่า จบเรื่องพระราชพงษาวดารเหนือ และตำนานพระแก้วมรกฎ หลวงพระบางแต่เท่านี้
๑๔๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑
๑๔๙ ๑๔๘ จลุ ยทุ ธการวงศ์ ความเรยี ง (ตอนตน้ ) เรื่องพระร่วงสุโขทัย เทศนาจุลยุทธการวงศ์
๑๕๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑
จลุ ยทุ ธการวงศ์ ความเรยี ง (ตอนตน้ ) ๑๕๑ จลุ ยทุ ธการวงศ์ ความเรยี ง๑ (ตอนตน้ ) ขา้ ขออภวิ นั ท์ พระคณุ อนนั ตอ์ นั ประเสรฐิ ยง่ิ ลำ้ เลศิ รตั นตรยั พระคณุ อนั สงู ใหญย่ ง่ิ ทง้ั สาม อันงดงามบริสุทธิ์ คือ คุณพระพุทธชินมาร คุณพระธรรมสารนพางค์ คุณพระสงฆ์อัษฎางค์ขีณาสพ ขา้ นอ้ ยนอบนบพระคณุ ทง้ั สาม ดว้ ยจติ งามกศุ ลเจตนา ขอใหบ้ ฑี าอปุ ทั วะอนั ตราย สรรพสง่ิ อนั รา้ ยจงสญู สาบ ด้วยอานุภาพแห่งข้าประณาม แก่ชุมนุมสามแห่งแก้ว สัมฤทธิ์แล้วจะสาธก ในบุพปัญจกทั้งห้า จะแตง่ ปกรณาพระคมั ภรี ์ มนี ามคดตี ามประสงค์ ชอ่ื จลุ ยทุ การวงษ๒ อนั ปรากฏ ในชนบทสยามประเทศ แต่พอได้เหตุเรื่องราวไป สังเขปปัฏฐาน์ไว้ตามควร แต่เหล่าล้วนสกุลชาติ ได้เสวยราชย์สืบมา ในกรุง พาราประเทศไทย ตามทส่ี งั เกตไวไ้ ดฟ้ งั มา ในบรุ าณกถาโดยยอ่ ทย่ี งั เหลอื หลอมมี าก ในบพุ ภาควติ ถาร เรอ่ื งนทิ านพระรว่ ง เหน็ จะชา้ หนว่ งเนน่ิ นาน จะกลา่ วนทิ านอน่ื มาก มหี ลายหลากไปเบอ้ื งหนา้ ขา้ ขอขมาอภยั ดว้ ยจติ ใจเปน็ ปถุ ชุ น ซง่ึ จะนพิ นธข์ าดเหลอื ผดิ พลง้ั เผอ่ื ลมื หลง จะไมต่ รงตามนทิ าน เพราะปญั ญาญาณ ยงั เยาว์ ดว้ ยนทิ านเกา่ ลว่ งลบั ทไ่ี ดส้ ดบั จงึ วา่ กลา่ ว ไดแ้ ตพ่ อเปน็ ราวพงึ รู้ นกั ปราชญผ์ รู้ แู้ ท้ ถา้ เหน็ ไมแ่ น่ ชว่ ยแกไ้ ข ดดั แปลงใหช้ อบดว้ ยเถดิ โลกนาโถ อนั วา่ สมเดจ็ พระพทุ ธเจา้ อนั เปน็ ทพ่ี ง่ึ แกส่ ตั วโ์ ลกในไตรภพ เมอ่ื แรกไดต้ รสั รซู้ ง่ึ พระสัพพัญญุตญาณใหม่นั้น พระองค์เสด็จนิสีทนาการนั่งเหนือพระรัตนบัลลังก์แก้ววิเชียรในขวงไม้ พระศรมี หาโพธโิ วโลเกนฺ โต เมอ่ื ทอดพระญาณจกั ษไุ ปแลดทู ต่ี ง้ั พระพทุ ธศาสนา ในมชั ฌมิ ประเทศ และปัจจันตประเทศ เห็นแล้วซึ่งที่ตั้งพระศาสนานั้น โดยกาลบริเฉทด้วยพระสัพพัญญุตญาณ ว่าดังนี้ ที่ตั้งพระุทธศาสนาแห่งพระตถาคตจะตั้งในมัชฌิมประทศมีเมืองภาราณศี เป็นอาทิ ๓ จะได้ สำแดงพระธรรมเป็นอันมากในชมพูทวีป ในปัจจันตประเทศนั้นก็เป็นอันมาก มีเกาะลังกาเป็นอาทิ ครั้นพระองค์กระทำสันนิษฐานแจ้งฉะนี้แล้ว เสด็จไปยับยั้งอยู่ในทพี่ ระมหาสถาน ๗ วนั ๗ ทเ่ี ปน็ ๗ แหง่ แล้วเสด็จไปสู่ป่าอิสีปตมิคทายะวัน สิ้นหนทาง ๑๘ โยชน์ ตรัสเทศนาพระธัมมจักกัปปวัตนสูตรโปรด พระปัญจวัคคี์ภิกษุทั้งห้าให้สำเร็จพระอรหัต กับทั้งบริษัทเวดามนุษย์นับด้วยแสนโกฏิ แล้วทรง พระกรณุ าโปรดสง่ ไปซง่ึ พระอรหนั ตท์ ง้ั หลายในนานาประเทศ เหตวุ า่ จะใหต้ ง้ั พระพทุ ธศาสนา จะไดโ้ ปรด เทวดามนุษย์จะให้ได้พระอริยมรรคผล สมเด็จพระทศพลเสด็จไปโปรดเวไนยสัตว์ อนิจฺจวาโส ๑ ตรวจสอบชำระกบั ตน้ ฉบบั เอกสารโบราณ สมดุ ไทยดำ เรอ่ื งจลุ ยทุ ธการวงศ์ เลขท่ี ๑/ธ ๔๖ มัดที ๖ ๒ ปัจจุบันนิยมเขียนว่า \"จลุ ยทุ ธการวงศ\"์ ๓ เมอื งพาราณสี ในปัจจุบัน
๑๕๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ พระองคเ์ สดจอยใู่ นนานาประเทศ คอื พระเชตพุ นและเวฬวุ นั มหาวหิ ารใกล้เมอื งษาวฐั ิ ๑ แลเมอื งราชคฤห๒ เปน็ อาทิ สำแดงพระธรรมเทศนาโปรดหมเู่ วไนยสตั วไ์ ดอ้ รยิ มรรคผลพน้ ทกุ ขจ์ ะนบั จะคณนามไิ ด้ ตามพทุ ธกจิ พทุ ธวสิ ยั พทุ ธประเพณี อสตี อิ ายโุ ก ตราบเทา่ พระชนมายไุ ด้ ๘๐ ทศั แตแ่ รกไดต้ รสั มาได้ ๔๕ พระวสั สา เสด็จไปสู่เมืองโกสินราย๓ ราชธานีในวันจะนิพพานนั้น เสด็จบรรทมเหนือพระแท่นที่หว่างต้นรังทั้งคู่ จงึ ทรงพระอาวชั นาการแจง้ วา่ มนษุ ยจ์ ะไดไ้ ปอยใู่ นเกาะลงั กา พระพทุ ธศาสนาจะปรากฏมใี นเกาะลงั กานน้ั เมอ่ื พระตถาคตนพิ พานแลว้ ๔ เดอื น พระมหากสั สปเถระกบั พระอรหนั ต์ ๕๐๐ พระองค์ จะกระทำมหาปฐม สังคายนา ณ เมืองราชคฤห แต่ปีนั้นล่วงไป ๑๐๐ ปี พระยสเถระ พระเรวัดเถระ กับพระอรหันต์ ๗๐๐ พระองค์ จะกระทำทตุ ยิ สงั คายนา ณ เมอื งไภยษาลี ๔ แตป่ นี น้ั ลว่ งไปอกี ๑๑๘ ปี พระโมคลบี ตุ รดศิ เถระ กบั พระอรหนั ต์ ๑,๐๐๐ พระองค์ จะกระทำตตยิ สงั คายนา ณ เมอื งปาตลบี ตุ ร ตโต ปรํ แตน่ น้ั ไปพระโมคลี บุตรดิศเถระ จะส่งพระอรหันต์ไปในนานาประเทศ ให้ตั้งพระพุทธศาสนาโปรดสัตว์ให้ได้มรรคผล พระมหินทเถระกับพระอรหันต์ ๕ พระองค์ไปสู่เกาะลังกาทวีป ตั้งพระพุทธศาสนาแล้วจะกระทำ จตุตถสังคายนากับพระอรหันต์พันพระองค์ ในเกาะลังกาทวีป เมื่อพระพุทธศาสนาล่วงไปได้ ๕๐๐ ปี พระอรหนั ตท์ ง้ั หลายจะเขยี นไตรปฎิ กลงใบลาน อนง่ึ ทรงพระอาวชั นาการแจง้ วา่ สมเดจ็ พระพทุ ธเจา้ ทม่ี ี พระชนมายุยืนนานนิพพานแล้ว มีบรมธาตุเป็นแท่งประดุจแท่งทองพระองค์เดียวใหญ่ยาว ๓-๔ ศอก กม็ ี บดั นพ้ี ระชนมายพุ ระตถาคตนน้ี อ้ ย จะไวพ้ ระพทุ ธศาสนาหา้ พนั ปี จะอธษิ ฐานพระบรมธาตใุ หเ้ ลก็ เป็นหลายพระองค์มากกว่าแสน จะได้เรี่ยรายไปอยู่ในนานาประเทศ เทวดามนุษย์จะได้สักการบูชา เลื่อมใสในพระพุทธศาสนา เป็นทางพระอริยมรรคผล ครั้นสมเด็จพระทศพลแจ้งเหตุแห่งพระพุทธกิจ ฉะนแ้ี ลว้ จงึ ใหโ้ อวาทานศุ าสนส์ ง่ั สอนพระสงฆแ์ ลเทวนกิ รมนษุ ย์ เปน็ ทส่ี ดุ พระพทุ ธวจนะวา่ อามนตฺ ยามิ โว ภกิ ขฺ เว ฯลฯ สมปฺ าเทถาติ ฉะนแ้ี ลว้ เสดจ็ เขา้ สปู่ รนิ พิ พานดว้ ยนพิ พานธาตุ วา่ มาทง้ั นโ้ี ดยสงั เขปกถา ทพ่ี สิ ดารวติ ถารนน้ั มอี ยใู่ นพระมหานพิ พานสตู รโนน้ แล พระคมั ภรี ม์ หาวงษ๕ เปน็ อาทพิ ระคมั ภรี อ์ น่ื ๆ กม็ แี ล อตเี ต กริ ดงั ไดย้ นิ มาในอดตี กาล พระพทุ ธศกั ราชศาสนาลว่ งแลว้ ได้ ๑,๗๖๗ ปี เปน็ จลุ ศกั ราช ได้ ๕๘๖ ปเี ทา่ น้ี เอโก ราชา ยงั มพี ญาองคห์ นง่ึ สริ ธิ มฺ มาโสโก นาม ทรงพระนามชอ่ื พระเจา้ ศรธี รรมาโสกราช๖ ๑ สาวตั ถี หรือ สารวตั ถีในปัจจุบัน ๒ นยิ มเขยี นวา่ ราชคฤห์ ในปัจจุบัน ๓ หรอื เมอื งโกสนิ ารา ๔ ปจั จบุ นั นยิ มเขยี นวา่ \"ไพศาลี\" ๕ ปัจจุบันนิยมเขียนว่า \" คมั ภรี ม์ หาวงศ์\" ๖ มกั นยิ มเขยี นวา่ \"ศรธี รรมาโศกราช\" ในปัจจุบัน
จลุ ยทุ ธการวงศ์ ความเรยี ง (ตอนตน้ ) ๑๕๓ วสฏิ ฐโคตโฺ ต เปน็ เชอ้ื วงศ์ วสฐิ โคตฤๅษชี าติ ไดเ้ สวยราชยอ์ ยใู่ นเมอื งสกุ โขไทย๑ มบี ญุ ญาธกิ าร ยศศกั ด์ิ บริวารเดชานุภาพมาก ปราศจากปัจจามิตรด้วยบุญฤทธิ์แห่งพระองค์ ทรงพระราชศรัทธาเลื่อมใสใน พระพทุ ธศาสนา บำเพญ็ พระราชกศุ ลศลี ทานเปน็ อาทิ กอปรดว้ ยเมตตาพรหมวหิ ารญาณสขุ จรติ แกม่ หาชน แลท้าวพญาในนานาประเทศ มิได้เบียดเบียนบ้านเมืองอื่น ๆ รักษาสมณพราหมณามหาชน มีเสนาบดี เป็นอาทิ ให้อยู่เย็นเป็นสุขโดยทศพิธราชธรรม ยังมหาชนทั้งหลายให้กระทำกองการกุศล มีรักษาศีล แลใหท้ านเปน็ ตน้ เสวยราชสมบตั อิ ยเู่ ปน็ เกษมสขุ ในเมอื งสกุ โขไทย อยมู่ าวนั หนง่ึ พระเจา้ ศรธี รรมาโศกราช พระองค์บรรทมเหนือแท่นที่อันเป็นสิริไสยาสน์ในพระราชเรือนหลวง เพลาราตรีภาคมัชฌิมยามทรง พระอาวชั นาการซง่ึ พระอโุ บสถศลี เหน็ พระอานสิ งสม์ มี ากยง่ิ นกั มพี ระทยั ปรารถนาจะรกั ษาพระอโุ บสถศลี จงึ ทรงพระดำรวิ า่ อาตมภาพนจ้ี ะระคนปนอยดู่ ว้ ยสตรภี าพมาตคุ ามอนั มรี ปู อนั งาม จะรกั ษาพระอโุ บสถศลี ในพระราชฐานนี้ เห็นศีลนี้จะไม่บริสุทธิ์กอปรด้วยโทษไม่สมควร ถ้าอาตมภาพไปสู่ภูเขาหลวงรักษา พระอุโบสถศีลในที่สงัดวิเวกปราศจากสตรีภาพมาตุคาม ศีลนั้นจะบริสุทธิ์ มีพระอานิสงส์มาก ครน้ั ทรงพระดำรแิ ลว้ ในวนั รงุ่ เชา้ จงึ ดำรสั สง่ั ใหห้ าขา้ ราชการทง้ั หลายมเี สนาบดเี ปน็ ประธาน แลพระสนม ในทง้ั หลายมพี ระอคั รมเหสเี ปน็ อาทิ มาเฝา้ แลว้ ดำรสั สง่ั วา่ โภนตฺ า ดกู รทา่ นทง้ั หลาย เรานจ้ี ะไปรกั ษา อโุ บสถศลี อยทู่ ภ่ี เู ขาหลวง ทา่ นทง้ั ปวงจงชว่ ยกนั รกั ษาขอบขณั ฑเสมาบา้ นเมอื งพระราชวงั เราจงดี อยา่ ใหม้ ี ภัยอันตราย ท่านทั้งหลายอย่าได้ประมาทใน ๗ วัน กว่าเราจะกลับมา สมเด็จพระบรมราชาธิราช สั่งแล้วเสด็จลีลาลาศ ด้วยเสนามาตย์จตุรงค์เป็นบริวาร ทรงยานพาหนะพระที่นั่งพร้อมด้วยสุรโยธา หนา้ หลงั ฆอ้ ง กลอง แตร สงั ข์ กรรชงิ ฉตั ร ออ้ื องึ คะนงึ แออดั สวา่ งไสว ทวนธงชยั ยาบฉตั รแดง ปลาบจามรี ให้นิมนต์พระสงฆ์ราชาคณะไปเป็นหลายพระองค์ ครั้นถึงเชิงเขาหลวงที่กำบังเงื้อมคูหา ศลิ าดาษสะอาดงามทด่ี แี ลว้ ใหค้ นทง้ั หลายกลบั คนื มาเมอื ง จงึ สมาทานพระอโุ บสถศลี ในสำนกั แหง่ พระสงฆ์ แล้ว ก็ส่งพระสงฆ์กลับคืนไป เอาไว้แต่ราชบุรุษ ๔ คนเป็นเพื่อน พระองค์ก็รักษาพระอุโบสถศีล ดว้ ยจติ อนั สจุ รติ อยใู่ นสถานทน่ี น้ั โส ราชา สมเดจ็ พระเจา้ ศรธี รรมาโสกราช เมอ่ื รกั ษาพระอโุ บสถศลี ในทน่ี น้ั ๗ วนั บา้ ง ๕ วนั บา้ ง ๓ วนั บา้ ง จงึ กลบั ไปวา่ ราชกจิ ในพระนคร ๗ วนั บา้ ง ๕ วนั บา้ ง ๓ วนั บา้ ง แล้วกลับไปรักษาพระอุโบสถศีลเนือง ๆ ในที่นั้นเป็นหลายครั้ง เป็นเหตุจะได้สังวาสด้วยนางนาค ด้วยอุปนิสัยแห่งกุศลบุญได้กระทำมาด้วยกันแต่ก่อน อนึ่ง เป็นเหตุจะได้พระราชบุตรอันมีมหิทธิฤทธิ์ เดชานุภาพบุญญาธิการมาก อนึ่ง เป็นเหตุแห่งกุศลวิบากแห่งคนทั้งสามนั้น จะให้บังเกิดปรากฏเป็น อศั จรรยป์ ระหลาดโลกอนั ควรแกก่ าลนน้ั ๑ ปัจจุบัน เขียนว่า \"เมอื งสโุ ขทยั \"
๑๕๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ อยู่มาวันหนึ่ง สมเด็จพระเจ้าสุกโขไทยมีพระทัยปรารถนาจะเสด็จไปประพาสในเชิงมหาบรรพต ทอดพระเนตรชมวนรุกขชาติพฤกษาคณานกนิกรมฤคีสัตว์จตุบาททวิบาท แลท้องแถวธารธาราน้ำไหล ในซอกห้วยคูหาศิลาดาษ รุกขชาติน้อยใหญ่ในประเทศที่นั้น ครั้นเสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตร แลไปแต่ข้างโน้นข้างนี้ จึ่งได้เห็นซึ่งนางนาคนิมิตตัวเป็นงูเล็ก ยินดีด้วยราคจิตสังวาสกับด้วยงูดินรัดรึง ซง่ึ กายอนั เกย่ี วพนั กนั อยใู่ นทน่ี น้ั พระองคจ์ งึ พจิ ารณาดู เหน็ งตู วั เมยี นน้ั รปู งามประหลาดคอแดงหงอนแดง จึงแจ้งว่านี้ชะรอยเป็นนางนาคตระกูลสูง จึงทรงพระดำริว่านางงูนี้รูปงามเป็นตระกูลนาคอันสูงศักดิ์ มิควรที่จะมารักสังวาสกับงูดินตระกูลต่ำ ครั้นทรงพระราชดำริแล้ว เอาไม้เท้าเข้าเขี่ยค้ำคัดให้งูทั้งสอง พลัดออกจากกันต่างตัวต่างไป นางนาคนั้นมีความละอายโกรธซึ่งพญานั้น จึงคิดว่ากูควรจะฆ่าเสียซึ่ง พญาน้ี กใ็ หบ้ งั เกดิ ไพรตี กใจกลวั ดว้ ยบญุ ญานภุ าพศลี แหง่ พญานน้ั มอิ าจกระทำรา้ ยได้ กป็ ลาสนาการ อนั ตรธานกลบั คนื ลงไปสนู่ าคพภิ พแหง่ ตน เขา้ ไปสสู่ ำนกั แหง่ พระราชบดิ ามารดา นง่ั ในทค่ี วรแลว้ นมสั การไหว้ พระราชบิดามารดา โรทนฺตี แกล้งกระทำมารยาร้องไห้ด้วยความโกรธนั้น จึงกล่าวโทษใส่ความแก่ พญาสุกโขไทย๑ ว่า เทว ข้าแต่พระราชบิดา ข้าพเจ้าอำลาพระองค์ขึ้นไปรักษาอุโบสถศีลในถิ่นมนุษย์ เที่ยวชมประเทศหาที่สบายทีภ่ ูเขาหลวงใกล้เมืองสุกโขไทย ประเทศที่นั้นประดับไปด้วยรุกขชาติลดาดาษ เครอื วลั ย์ ภเู ขานน้ั มคี หู าถำ้ หว้ ยเหว ชะเงอ้ื มผาศลิ าลาดดาษดาดว้ ย กนทฺ รา ซอกซง้ึ ถอ่ งแถวธารธารานำ้ ไหล ปา่ ไมร้ ะหงรโหฐานเปน็ สนกุ สบายใจ ขา้ พเจา้ อาศยั อยใู่ นทน่ี น้ั ไดเ้ หน็ พญาสกุ โขไทยเทย่ี วมาทป่ี ระเทศนน้ั ขา้ พเจา้ ไมท่ นั หลบหลกี พญานน้ั โกรธจงึ ตขี า้ พเจา้ ดว้ ยกระบองอนั ใหญ่ ขา้ พเจา้ เจบ็ ปวดเปน็ สาหสั แทบ บรรดาตาย ขา้ พเจา้ ตกใจกลวั ยง่ิ นกั มอิ าจทำอนั ตรายแกพ่ ญานน้ั ได้ ขา้ พเจา้ จงึ หนลี งมาสสู่ ำนกั แหง่ พระองคน์ ้ี พญานน้ั กระทำใหบ้ ดิ าไดค้ วามอปั ยศอดอาย พระองคจ์ งฆา่ เสยี ซง่ึ พญานน้ั เถดิ ตทา ในกาลนั้น พญานาคราชได้ฟังนางนาคพระราชบุตรีบอก ดังนั้น ก็โกรธพระเจ้าสุกโขไท จึงมาจากนาคพิภพด้วยเพศเป็นดาบสฤษี...…ว่า อาตมภาพจะไปถามดู ก็จะรู้เหตุเมื่อภายหลัง ครั้นถึงที่นั้นจึงเข้าไปสู่สำนักแห่งพระเจ้าสุกโขไทยนั้น แล้วถามว่า มหาราช ดูกรพระองค์ผู้ประเสริฐ พระองค์มาอยู่ในที่นี้ด้วยเหตุดังฤๅ พระองค์ได้เห็นสิ่งใดประหลาดบ้าง พญาจึงบอกว่า ข้าแต่พระดาบส ข้าพเจ้ามาอยู่เพื่อจะรักษาอุโบสถศีล อยู่มาช้านานแล้ว วันหนึ่งข้าพเจ้าเที่ยวไปภูมิประเทศเชิงบรรพต ๑ ในตน้ ฉบบั เอกสารโบราณ สมดุ ไทยดำ หอสมดุ แหง่ ชาติ เรอ่ื งจลุ ยทุ ธการวงศ์ เลขที่ ๑/ธ ๔๖ มัดที่ ๖ ใช้ว่า \"พญาสกุ โขไทย\" แตจ่ ลุ ยทุ ธการวงศ์ ฉบบั พมิ พว์ นั ท่ี ๑๗ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๔๘๐ และจลุ ยทุ ธการวงศท์ พ่ี มิ พใ์ นประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๖๖ ฉบบั พมิ พ์ พ.ศ.๒๔๘๐ และในประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๔๐ ฉบบั พมิ พ์ พ.ศ.๒๕๑๒ ใชเ้ หมอื นกนั วา่ \"พระยาสโุ ขทยั \" คำวา่ \"พญา\" ในพจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๒๕ และฉบับพิมพ์ พ.ศ.๒๕๓๘ หมายถึง เจ้าแผ่นดิน, ผู้เป็นใหญ,่ หัวหน้า แต่ในสมัยสุโขทัย ใช้ว่า พรญา
จลุ ยทุ ธการวงศ์ ความเรยี ง (ตอนตน้ ) ๑๕๕ เพื่อจะชมต้นไม้แลภูเขาท่อธารธาราถ้ำเหวนกเนื้อต่าง ๆ จึงเห็นงูผู้เมียทั้งสองสังวาสเกี่ยวพันกันอยู่ แต่นางงูมีรูปงามหงอนแดงคอแดงประหลาด จึงคิดว่านางงูตัวนี้ชะรอยจะเป็นตระกูลชาตินาคราช อนั สงู ศกั ด์ิ ไมค่ วรจะมารกั สงั วาสดว้ ยชาตงิ ดู นิ ตระกลู ตำ่ จะเสยี ตระกลู ไปไมค่ วร ขา้ จงึ เอาไมเ้ ทา้ เขา้ เขย่ี ขดั ใหง้ ทู ง้ั สองพลดั พรากจากกนั ไป ขา้ เหน็ ประหลาดแตเ่ ทา่ น้ี ขณะนั้นพญานาคได้ฟังคดีถ้วนถี่ดังนั้น ก็เห็นคุณพระเจ้าสุกโขไท เลื่อมใสยินดี จึงอำลาด้วย คารวะเคารพ กลับคืนไปสู่นาคพิภพพิโรธราชธิดา ปริภาษนาด้วยวาจาทารุณต่าง ๆ ครหาติเตียนเป็น อันมาก แล้วว่าออคนร้ายท่านลวงเราว่าจะลาไปรักษาศีล กลับไปเที่ยวเล่นชู้สู่ชายชาติงูดินตระกูลต่ำ กระทำชาตสิ มเภทเสยี ตระกลู มโี ทษมาก เอง็ อยา่ อยใู่ นเมอื งนาคนเ้ี ลย จงไปสสู่ ำนกั แหง่ พระ(เจา้ )สกุ โขไท๑ ทา่ นมคี ณุ แกเ่ ราทง้ั ตวั เอง็ เปน็ อนั มาก เอง็ ไปอยปู่ รนนบิ ตั เิ ปน็ ทาสทา่ นในสถานทน่ี น้ั เถดิ นางนาคนน้ั ครน้ั ไดฟ้ งั ถอ้ ยคำแหง่ พระบดิ า ปรภิ าษนาดว้ ยวาจาอนั หยาบชา้ ดงั นน้ั ตกใจกลวั ตวั สน่ั จึงอำลาบิดามารดาแล้วมาสู่ภูเขาหลวง จึงนิมิตสรีรกายงามเฉิดฉายโสภี เป็นตรุณนารีรูปงามดังนางเทพ ธดิ า ประดบั วภิ ษู าอาภรณท์ พิ ยอ์ นั สะอาด จงึ ลลี าลาศเขา้ ไปสสู่ ำนกั แหง่ พระเจา้ สกุ โขไทนน้ั นง่ั ในทค่ี วรแลว้ นมสั การพญานน้ั พระเจา้ สกุ โขไทจงึ ถามวา่ เจา้ นช้ี อ่ื ใด เจา้ มาแตไ่ หน เจา้ มาสสู่ ำนกั แหง่ เราดว้ ยเหตอุ นั ใด นางนาคนน้ั จงึ นำเนอ้ื ความนน้ั ตามจรงิ ดจุ ดงั คำพระบดิ าวา่ กลา่ วมาแตห่ นหลงั พระเจา้ สกุ โขไทไดฟ้ งั ดงั นน้ั แจ้งเหตุดีพระทัยโสมนัสยินดีมีสุนทรวาจาว่า ออเจ้านี้ที่เป็นนางงูเล็กนั้น แล้วเป็นบุตรีพญานาคราช บิดาให้เจ้ามาปรนนิบัติเราก็ดีแล้ว ชนทั้งสองก็สังวาสอยู่ด้วยกันตามประเพณีคดีโลก นางนาคนั้น เป็นที่เสน่หารักใคร่แห่งพญานั้นยิ่งนัก ด้วยเหตุว่านางนาคนั้นตบแต่งเครื่องอุปโภคบริโภคอาหารเอมโอช โอชารสบริสุทธิ์สะอาดต่าง ๆ แล้วไปด้วยอิทธิฤทธิ์เดชานุภาพแห่งนาค แท่นที่สิริไสยาสน์ประดับด้วย ดอกไม้แลเครื่องลูบไล้สุคนธมาลา นวดฟั้นคั้นหัตถ์บาทาสรีรกายาต่าง ๆ นางนาคปรนนิบัติบำรุงบำเรอ พระบรมราชาธริ าชมาชา้ นานถงึ ๗ ราตรี สมเดจ็ พระเจา้ ศรธี รรมาโสกราชเสวยสมบตั ดิ ว้ ยนางนาคเปน็ มโหฬารกิ ภาพเสนห่ าอาลยั ประหลาด ละเอียดกว่ามนุษย์เป็นอัศจรรย์ พระองค์ปรารถนาจะรับพานางนาคนั้นเข้ามาไว้ในพระราชวัง จึงตรัส แก่นางนาคนั้นว่า ภทฺเท ดูกร เจ้าผู้มีพักตร์อันจำเริญ บัดนี้เราจะรับเจ้าเข้าไปไว้ในพระราชวัง ตัวเรา จะกลับไปสู่พระนครก่อน ว่าราชการอยู่ ๗ วันแล้ว จะจัดแจงแต่งยานุมาศราชรถกับทั้งโยธาบริวาร ๑ ในต้นฉบับเอกสารโบราณ สมุดไทยดำ ไม่มีคำว่า เจ้า\" แต่เมื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ของเนื้อความและข้อความนี้ที่ผ่านมา ทถ่ี ูกตอ้ งนา่ จะเปน็ \"พระเจา้ สโุ ขทยั \" สนั นษิ ฐานไดว้ า่ อาจจะตกคำวา่ \"เจา้ \" ไป
๑๕๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ เปน็ อนั มากมารบั เจา้ เขา้ ไปในพระนคร เจา้ คอยอยจู่ งดใี นทน่ี ้ี อยา่ มที กุ ขเ์ ดอื ดรอ้ นเศรา้ โศกสน้ิ คำรบ ๗ วนั เราจะออกมา เจา้ อยา่ โศกาลยั ไปสทู่ อ่ี น่ื สง่ั สอนแลว้ เสดจ็ เขา้ ไปสพู่ ระนคร สมเด็จพระมหากษัตริย์มีกิจการภารธุระเป็นอันมาก มีพระสนมนารีที่โปรดปรานก็เป็นอันมาก มีสติมักเคลิ้มลืมไปมิได้ระลึกถึงนางนาคนั้น ล่วงพ้น ๗ วันมิได้ออกไปรับนางนาคช้านานไป นางนาคเมื่อคอยอยู่ในที่นั้น มิได้เห็นพญาออกมารับล่วงพ้น ๗ วันแล้ว ก็เป็นทุกข์โทมนัสเศร้าโศกใจ รอ้ งไหค้ รำ่ ครวญหาพญาสกุ โขไท รำ่ ไรไปมาตา่ ง ๆ วา่ พระเจา้ สกุ โขไทองคน์ ้ี เปน็ ชายชาตมิ นษุ ย์ วาจาไม่ บริสุทธิ์ เจรจามุสาหาสัจวาทีมิได้ สั่งแก่ข้าไว้ว่าจะไปก่อน ถ้วนครบ ๗ วัน แล้วจะกลับมารับ พญา มนุษย์องค์นี้เจรจาสับปลับล่อลวงข้ามาทิ้งไว้ในกลางป่า เอกาแต่ผู้เดียวเปลี่ยวใจ ชะรอยบุญตัวข้าหาไม่ ได้ผัวไม่รอดชั่วจึงหน่ายหนี ชะรอยว่ากรรมมี ข้าได้ล่อลวงเบียดเบียนสมณพราหมณาให้เสียศีล สิกขา กรรมนั้นจึงมาถึงตัว ณ ครั้งนี้ ข้าได้สังวาสอยู่ด้วยสามีได้ ๗ วัน สัตว์มาบังเกิดในครรภ์ให้เสียว สันอัศจรรย์ยิ่งนัก นิมิตประหลาดประจักษ์เห็นหลากครัน จะพาครรภ์นี้ไปสู่เมืองนาค ให้ผู้อื่นรู้จะอัปยศ อดสูแก่ญาติแลมิตร ครั้นคิดแล้วจึงลุกออกไปด้วยโทมนัส ขัดใจพระสามีด้วยโลกีย์ราคจิตคิดแค้น ถือเอาผ้าแดงกับแหวนพระธำมรงค์ของชอบใจ ที่พญาให้ไว้ชมพลางดูต่างพระพักตร์นางก็รักสุดสวาท จึงคิดจะนิราศไปสู่เมืองนาค จะสำรอกลากต่อมโลหิต อันติดไปในครรภ์อันสัตว์มาบังเกิดอยู่นั้นไว้ ให้แก่พญาภัสดาสามี ครั้นคิดแล้วจึงจรลีไปที่ริมฝั่งคลอง ใกล้ท้องธารที่เป็นซอกกำบัง จึงนางนาค นั่งลงด้วยโทมนัสโศกา วางพระภูษาพับเป็นฐานล่าง แล้ววางพระธำมรงค์ลงตรงกลางชั้นบน แล้วจึง อธิษฐานสำรอกต่อมโลหิตด้วยนาคฤทธิ์แห่งตนลงไว้ในที่บนวงพระธำมรงค์นั้น แล้วอธิษฐานให้สัตว์นั้น มใิ หม้ ภี ยั อนั ตรายดว้ ยฤทธน์ิ าค ประกาศฝากลกู นน้ั แกห่ มเู่ ทพยดาทง้ั หลาย อนั สงิ สใู่ นรกุ ขพมิ านภมู สิ ถาน ทุกประเทศเขตขอบขุนเขาหลวง ว่าเทพยดาเจ้าทั้งปวงเอ็นดูด้วย ช่วยอภิบาลรักษาลูกน้อยของข้า อย่าให้มีภัยอันตรายต่าง ๆ ว่าพลางก็ร้องไห้ร่ำไรอาลัยถึงพระภัสดาสามีมิใคร่จะไปได้ ฝากลูกน้อยไว้แก่ นางพระธรณี นางนาคกี ก็ ลบั ไปสู่นาคพภิ พแหง่ ตน ในกาลนน้ั ยงั มคี างคกตวั หนง่ึ เทย่ี วมาเพอ่ื จะหาเหยอ่ื ทแ่ี ถวธารคลองนำ้ นน้ั พอประสบพบตอ่ ม โลหิตที่วงพระธำมรงค์นั้น ได้กลิ่นคาวโลหิตก็ติดใจยินดีจะได้กินเป็นภักษาหาร คางคกก็คลานด้อมโดด เขา้ ไปคาบกะพำ่ เอาตอ่ มโลหติ กลำ้ กลนื เขา้ ไปกบั ทง้ั พระธำมรงค์ คางคกมอิ าจดำรงตวั อยไู่ ด้ บดั เดย๋ี วใจ ก็ถึงแก่ความตาย ด้วยพิษนาคนั้นร้ายเป็นที่สุด แต่สัตว์อันอยู่ในรูปนั้นเป็นมนุษย์ มีบุญญาธิการ อานุภาพมากด้วยเป็นเชื้อชาตินาคจึงไม่ตาย อาศัยอยู่ในรูปกายแห่งคางคกนั้นไม่เน่าเปื่อยเป็นปกติ
จลุ ยทุ ธการวงศ์ ความเรยี ง (ตอนตน้ ) ๑๕๗ เทย่ี วอยใู่ นลำคลองดว้ ยรปู คางคกนน้ั ส่วนพระเจ้าศรีธรรมาโสกราช เมื่อล่วงพ้นเจ็ดวันไปแล้วจึงได้สติระลึกถึงนางนาค จึงจัดแจง รถราชยานออกไปรบั กบั บรวิ ารโยธาเปน็ อนั มาก ครน้ั ถงึ ทน่ี น้ั มไิ ดเ้ หน็ นางนาค แลว้ มหาชนเทย่ี วคน้ หาทกุ แหง่ หนในประเทศเขตขอบเขาหลวง คนทง้ั ปวงมไิ ดป้ ระสบพบเหน็ นางนาค แตเ่ ทย่ี วหาสน้ิ สามราตรกี ม็ พิ บ นางนั้นแล้ว สมเด็จพระเจ้าสุกโขไทก็เศร้าโศกเป็นทุกข์โทมนัสเป็นอันมาก ด้วยเสียดายนางนาค ดงั เสยี เมอื ง ใหข้ ดั แคน้ ขนุ่ เคอื งพระทยั ตน ไมไ่ ดแ้ ลว้ กก็ ลบั พยหุ พลคนื เขา้ ไปสพู่ ระนครนน้ั ครง้ั นน้ั ยงั มบี รุ ษุ แกค่ นหนง่ึ สงั วาสอยดู่ ว้ ยหญงิ แกค่ นหนง่ึ เปน็ สามภี รยิ าเพอ่ื นศาลากนั อยตู่ ำบล บา้ นพขุ อนใกล้ภเู ขาหลวง สองคนผวั เมยี นน้ั เคยเทย่ี วชอ้ นปลาในลำคลองนน้ั เลย้ี งชวี ติ มาแตก่ อ่ น วนั นน้ั เมื่อจะมีเหตุ สองคนผัวเมียนั้นถือเอาสุ่มซ่อนแลข้องออกไปถึงริมคลองนั้น พากันเดินไปตามริมฝั่ง จึงเห็นผ้าแดงก็ได้ผ้านั้น คนทั้งสองก็ดีใจห่อผ้าแล้วช้อนปลาในคลองนั้น ด้วยบุญเดชานุภาพแห่งสัตว์ อันอยู่ในรูปคางคกอันอยู่ในคลองนั้น คนทั้งสองช้อนปลาสิ้นวันยังค่ำ ไม่ได้ปลาปูกุ้งหอยแต่ตัวหนึ่งเลย ได้แต่รูปคางคกนั้นทิ้งเทเสียแล้วได้อีกแล้ว ๆ เล่า ๆ เป็นหลายครั้ง บุรุษแก่นั้นโกรธว่าคางคกตัวนี้เป็นไร เวียนเข้ามาติดช้อนกู กูเททิ้งเสียแล้วแกล้งเข้ามาติดช้อนกูอีกเล่า ควรเราจะฆ่าคางคกตัวนี้เสีย สตั วท์ อ่ี ยใู่ นรปู คางคกนน้ั ไดย้ นิ คำแหง่ บรุ ษุ แกว่ า่ จะฆา่ เสยี ดงั นน้ั จงึ วา่ แกต่ านน้ั วา่ ขา้ แตบ่ ดิ าทา่ นอยา่ ฆา่ ขา้ เสยี เลย ทา่ นจงเลย้ี งขา้ ไวเ้ ถดิ ขา้ จะรกั ษาเฝา้ เรอื นทา่ น ชนทง้ั สองผวั เมยี ไดฟ้ งั คำนน้ั เปน็ ภาษามนษุ ย์ ก็ชื่นชมโสมนัสมีเมตตาจิต คิดอ่านแก่กันว่า เราหาบุตรมิได้ เราเอาคางคกนี้ไปเลี้ยงไว้เป็นบุตร เราเถิด ว่ามาทั้งนี้เป็นเหตุด้วยบุคคลทั้ง ๓ เคยได้อุปถัมภ์กันมาแต่ก่อน จะให้บังเกิดปรากฏในครั้งนั้น ครน้ั คนทง้ั ๒ คดิ อา่ นกนั แลว้ จงึ เอารปู คางคกนน้ั ใสล่ งในขอ้ งแลว้ คอนมา คางคกนน้ั กต็ กรว่ งลงจากขอ้ ง ตายายจบั ขน้ึ ใสข่ อ้ งแลว้ ๆ เลา่ ๆ เปน็ หลายครง้ั ตราบเทา่ ถงึ บา้ น จงึ เลย้ี งรปู นน้ั ไว้ ณ เรอื น ใหช้ อ่ื ออรว่ ง เหตุตกร่วงลงจากข้องที่กลางทางนั้น สัตว์นั้นค่อยวัฒนาการจำเริญอยู่ในรูปนั้น รู้เจรจาเป็นภาษามนุษย์ เรยี กบดิ ามารดา ชนทง้ั สองรกั ใครเ่ ลย้ี งไวด้ ว้ ยเมตตากรณุ า วนั หนง่ึ ชนทง้ั สองมที ไ่ี ปอน่ื เจา้ รว่ งจงึ ออกจาก รูปนั้นแล้วจึงตกแต่งโภชนาอาหารอันโอชารสต่าง ๆ ใส่ภาชนะไว้เป็นอันดีด้วยฤทธิ์นาคแล้วกลับเข้าไป อยใู่ นรปู ชนทง้ั สองผวั เมยี กลบั มาบา้ นขน้ึ ไปบนเรอื น จงึ เหน็ โภชนาอาหารทใ่ี นภาชนะ จงึ สงสยั คดิ วา่ ใครโกรธ ชงั แกลง้ แตง่ โภชนาอาหารใสย่ าพษิ ไวใ้ หก้ นิ จะใหต้ าย จงึ คดิ ถงึ รา่ งกายแหง่ ตนวา่ เราทง้ั สองนแ้ี กเ่ ฒา่ ชราภาพ แลว้ เขาจะแกลง้ ใหเ้ ราตายกไ็ มเ่ สยี ดายชวี ติ แลว้ จะพน้ ทกุ ขด์ ว้ ยอยากหากครอบงำ จงึ ชวนกนั กนิ โภชนา อาหารนั้น อร่อยยิ่งนัก จนอิ่มแล้วก็ไม่ตาย โสมนัสยินดีให้ลืมถามคางคกนั้นไป แต่ฉะนี้มาช้านาน
๑๕๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ อยมู่ าวนั หนง่ึ ชนทง้ั สองผวั เมยี จะใครร่ เู้ หตุ แกลง้ กระทำกริ ยิ าเหมอื นจะไปอน่ื ไปซมุ่ ซอ่ นตวั อยใู่ นทล่ี บั ชอบกล มใิ หส้ ตั วน์ น้ั รเู้ หน็ ทารกนน้ั ออกจากรปู นน้ั แลว้ นมิ ติ โภชนาอาหารดงั หนหลงั มทิ นั จะเขา้ รปู รุ ษุ เหน็ นานแลว้ กย็ อ่ งเขา้ ไปในเรอื น เหน็ ทารกนน้ั รปู งามจงึ ชงิ เอารปู คางคกเผาไฟเสยี แลว้ เขา้ กอดเอาทารก กลา่ วคำอนั เปน็ ทร่ี กั ชน่ื ชมโสมนสั กบั ดว้ ยยายผเู้ ปน็ ภรรยาพากนั บรโิ ภคโภชนาหารแลว้ โถมนาการรกั ใครเ่ จา้ รว่ งยง่ิ นกั ประดุจบุตรอันเกิดกับตน บำรุงบำเรอเลี้ยงเลี้ยงด้วยเมตตาจิต ร้องเรียกชื่อว่าเจ้าร่วงมาจนตราบเท่า ทกุ วนั นด้ี ว้ ยชอ่ื นน้ั เจา้ รว่ งบงั เกดิ เมอ่ื จลุ ศกั ราชได้ ๕๙๑ ปี เมอ่ื จำเรญิ มามรี ปู งามโฉมงาม มบี ญุ ญาธกิ าร มหทิ ธฤิ ทธม์ิ าก มวี าจาสทิ ธก์ิ ระทำการสง่ิ ใดกส็ ำเรจ็ สง่ิ นน้ั พอใจเลน่ วา่ ว แลชว่ ยกระทำการของบดิ ามารดา แลมอี ตุ สาหะเปน็ อนั มาก เปน็ ทร่ี กั ทช่ี อบใจบดิ ามารดาเปน็ อนั มาก อยมู่ าวนั หนง่ึ พระเจา้ ศรธี รรมาโสกราชจะใหป้ ลกู ปราสาทในเมอื ง ใหจ้ ดั แจงไมไ้ ผไ่ มจ้ รงิ นอ้ ยใหญ่ เป็นอันมากจะกระทำร่างร้าน บุรุษแก่นั้นนายใช้ให้หาไม้ไผ่ร้อยหนึ่ง จึงไปตัดไม้ได้ครบร้อยแล้วกองไว้ กลบั มาบอกเจา้ รว่ งใหไ้ ปชว่ ยขนไมน้ น้ั วา่ พอ่ รว่ งเอย๋ บดิ านช้ี ราแลว้ แรงนอ้ ยขนไมไ้ มใ่ ครจ่ ะได้ ลำบากนกั พ่อช่วยขนหน่อยเถิด ว่าแล้วพาเจ้าร่วงไปสู่ป่าถึงกองไม้นั้น เจ้าร่วงนั้นจับเอาไม้ไผ่ลำเดียวลากมา รอ้ งเรยี กวา่ ไมไ้ ผท่ ง้ั กองจงมาใหห้ มด ไมไ้ ผท่ ง้ั ปวงนน้ั กเ็ ลอ่ื นมาตามทง้ั สน้ิ จนถงึ ทน่ี น้ั พระ(เจา้ )สกุ โขไทครน้ั ถึงวันฤกษ์ดี ให้ยกเสาปราสาท ฝ่ายชาวพนักงานทั้งหลายมีเสนาบดีเป็นต้น พร้อมกันมากกว่าพัน ช่วยกันยกเสาปราสาทขึ้นไว้ไม่ตรง เจ้าร่วงนั้นมาด้วยบุรุษแก่จึงร้องว่าเสาเอนไปข้างโน้น โอนมาข้างนี้ เสาทั้งหลายนั้นก็โอนเอนไปมาตามวาจาเจ้าร่วงว่านั้น คนทั้งหลายจะฉุดชักผลักเสาเท่าใด เสาก็ไม่ตรง บุคคลทั้งหลายเหนื่อยพักลำบากกายเป็นหลายพักก็ไม่ตรง แล้วหยุดยับยั้งคิดอ่านแก่กัน ขณะนั้น เจ้าร่วงเห็นเสาโอนเอนไปมาดังนั้นจึงร้องห้ามว่า ท่านทั้งหลายอย่าฉุดชักผลักลากวุ่นวายไปเลย จะเหนื่อยลำบากกายเสียเปล่า ข้าพเจ้าผู้เดียวจะผลักเสาให้ตรง คนทั้งหลายครั้นได้ฟังก็สงสัย เหน็ จะใหเ้ สาตรงดงั วา่ นน้ั ไมไ่ ด้ แตท่ วา่ ใหเ้ กรงกลวั ไปไมห่ า้ มได้ จงึ อนญุ าตใหก้ ระทำ เจา้ รว่ งจงึ จบั เสา แต่ต้นหนึ่งร้องว่า เสาทั้งปวงจงตรงเถิด เสาที่เอนโอนไปมาทั้งสิ้นนั้นก็ตรงพร้อมกันในขณะนั้น คนทั้งหลายเป็นอัศจรรย์ มีใจบังเกิดพิศวงตกใจ แลดูหน้ากันอยู่ สงสัยคิดว่ามิใช่มนุษย์ ชะรอยว่า ผนู้ เ้ี ปน็ เทวดาใหก้ ลวั เกรงยง่ิ นกั จงึ พากนั ไปกราบทลู เหตทุ ง้ั ปวงนน้ั ใหแ้ จง้ แกพ่ ญานน้ั พระเจา้ ศรธี รรมา- โสกราชไดท้ รงฟงั ดงั นน้ั บงั เกดิ มพี ระทยั พศิ วงเหน็ เปน็ อศั จรรย์ จงึ ใหห้ ากมุ ารนน้ั มากบั บรุ ษุ แกน่ น้ั ปรารภ เพอ่ื จะไตถ่ าม วันนัน้ เจา้ ร่วงหม่ ผ้าแดง พระธำมรงค์น้ันหอ่ ชายผ้าแดงมาดว้ ย เปน็ หนึง่ จะใครส่ ำแดงเหตุ จะใหพ้ ระราชบดิ ารจู้ กั ตวั วา่ เปน็ พระราชบตุ ร กระทำองอาจปราศจากภยั ดว้ ยฤทธน์ิ าค ครน้ั มาถงึ จงึ นง่ั ไหว้
จลุ ยทุ ธการวงศ์ ความเรยี ง (ตอนตน้ ) ๑๕๙ พระบิดากับบุรุษแก่แลราชบุรุษอยู่ในที่สมควร ส่วนสมเด็จพระเจ้าสุกโขไททอดพระเนตรพิจารณาดู กุมารนั้น เห็นรูปโฉมงามล้ำเลิศประหลาดองอาจปราศจากภัย เห็นผ้าแดงนั้นเป็นสำคัญก็รู้จักจำได้ เข้าพระทัยว่ากุมารนี้เป็นลูกนางนาคพระราชบุตรเราแล้ว มีพระทัยเสน่หารักใคร่ทรงพระเมตตากรุณา จึงตรัสถามด้วยพระราชโวหารว่า ฮา ดูกร กุมารน้อย เอ็งนี้เป็นบุตรของบุคคลผู้ใด ผ้าแดงผืนนี้ใคร ให้แก่เอ็งหรือ หรือเอ็งได้มาแต่ใด มาแต่ไหน เอ็งอยู่บ้านไหน จงบอกไปให้แจ้ง เจ้าร่วงจึงกราบบังคม ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ข้าพเจ้าเป็นบุตรของบุรุษแก่ ผ้าแดงผืนนี้บิดานี้ให้แก่ ขา้ พระพทุ ธเจา้ ขา้ พระพทุ ธเจา้ อยบู่ า้ นพขุ อนใกลภ้ เู ขาหลวง แลว้ จงึ ตรสั ถามบรุ ษุ แกน่ น้ั สอบคำดเู ลา่ วา่ ข้าแต่ท่านลุง กุมารน้อยนี้เป็นบุตรของท่านเองหรือ หรือใครให้แก่ท่าน ผ้าแดงผืนนี้ท่านได้มาแต่ไหน ทา่ นใหก้ ารไปแตต่ ามจรงิ บรุ ษุ แกน่ น้ั จงึ กราบทลู พระกรณุ าวา่ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ ทู้ รงพระคณุ อนั ประเสรฐิ กุมารนี้ก็ดี ผ้าแดงผืนนี้ก็ดี ข้าพเจ้าได้ที่ริมคลองน้ำใกล้ตีนเขาหลวง แลบอกเหตุทั้งปวงต่าง ๆ ตามที่มีความว่ามาแต่ก่อนโน้น ถ้วนถี่ทุกประการให้แจ้งแก่พญานั้น พระเจ้าศรีธรรมาโสกราชพิจารณา ซึ่งผ้าแดงแลพระธำมรงค์ ก็รู้จักจำได้ จึงตรัสว่ากุมารผู้นี้เป็นบุตรของเราเกิดด้วยนางนาค ผ้าแดง แลพระธำมรงคน์ ้ี เราใหแ้ กน่ างนาคครง้ั เมอ่ื เราไปรกั ษาศลี อยทู่ ภ่ี เู ขาหลวงนน้ั ขา้ แตท่ า่ นลงุ ขา้ ขอซง่ึ กมุ าร นี้เถิด ท่านลุงจงให้กุมารนี้แก่ข้าเถิด บุรุษแก่นั้นก็ถวายซึ่งเจ้าร่วงนั้นแก่พระเจ้าสุกโขไทย ด้วยเคารพโดย สจุ รติ แลว้ พญานน้ั จงึ พระราชทานเงนิ ทองเครอ่ื งอปุ โภคบรโิ ภคเปน็ อนั มากแกบ่ รุ ษุ แกก่ บั ทง้ั ภรยิ า แลว้ รบั พระราชบตุ รนน้ั ไปสพู่ ระราชวงั ใหช้ ำระสระสรงพระองคส์ รรี กายลบู ไลท้ าพระสคุ นธข์ องหอมบรบิ รู ณส์ รรพ ประดับพระภูษาอลังการ์รัตนาภรณ์สรรพพิจิตรงามเลิศแล้ว ให้พระราชบุตรแก้วนั่งเหนือพระเพลาพลาง เชยชมโสมนัส แล้วจัดเครื่องสักการะพิธีทำขวัญสมโภช ทำขวัญ ๓ วัน ตามบุราณราชประเพณีสืบมา จำเดิมแต่นั้นเจ้าร่วงราชกุมารนั้น เป็นที่เสน่หารักใคร่แห่งพระบิดา เข้าเฝ้าอุปัฏฐากพระบิดามาช้านาน มศี รทั ธาเลอ่ื มใสในพระพทุ ธศาสนา จงึ ถวายบงั คมลาสมเดจ็ พระบดิ าบวชในพระพทุ ธศาสนาเปน็ สามเณร เลา่ เรยี นพรหมจรรยม์ สี ตปิ ญั ญามาก เปน็ พหสู ตู รปรนนบิ ตั เิ ปน็ อนั ดตี ราบเทา่ ไดอ้ ปุ สมบท ปรากฏดว้ ยวาจาสทิ ธ์ิ วา่ สง่ิ ใดเปน็ สง่ิ นน้ั มบี ญุ ญาธกิ ารเดชานภุ าพอทิ ธฤิ ทธม์ิ าก หาปถุ ชุ นจะเปรยี บเสมอมไิ ด้ ครง้ั นน้ั ทา้ วพญา ทง้ั หลายในสยามประเทศทกุ เมอื ง มเี มอื งสกุ โขไทเปน็ ตน้ ไปเปน็ เมอื งขน้ึ แกเ่ มอื งกำภชู าธบิ ดี ๑ มหานคร พระเจา้ ลโว๒ อนั อยใู่ นเมอื งลพบรุ สี ง่ สว่ ยนำ้ ในสระนำ้ เสวย พระเจา้ สกุ โขไทสง่ สว่ ยนำ้ อนั มอี ยใู่ นภเู ขาหลวง ๑ ปัจจุบันนิยมเขียนว่า \"กมั พชู า\" สว่ นจลุ ยทุ ธการวงศ์ ฉบับพิมพ์วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๐ ใช้ว่า กำพชู าธบิ ดมี หานคร และในประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๖๖ พ.ศ.๒๔๘๐ และประชมุ พงศาวดารเลม่ ๔๑ พ.ศ.๒๕๑๒ ใช้ว่า เมอื งกมั พชู าธบิ ดมี หานคร ๒ ปจั จบุ นั นยิ มเขยี นวา่ \"พระเจา้ ละโว\"้
๑๖๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ใสต่ มุ่ บรรทกุ เกวยี นเขน็ นำ้ นน้ั ไปถวายแกพ่ ระเจา้ กำภชู าธบิ ดีมไิ ดข้ าด ณ เมอื งกำภชู าโนน้ อยมู่ าวนั หนง่ึ พระภกิ ขคุ อื พระรว่ งนน้ั เหน็ เขาขบั เกวยี นเขน็ นำ้ ไปดงั นน้ั จงึ ถามรเู้ นอ้ื ความวา่ เขาเขน็ นำ้ สว่ ยไปสง่ ถวาย แก่พระเจ้ากรุงกำภูชาธิบดี ดังนั้น จึงว่าแต่นี้ไปอย่าเอาน้ำใส่ตุ่มเลย ทำตารางบนเรือนเกวียนแล้วเอา น้ำเทใส่ตารางขังไปไม่รั่ว เข็นไปถวายแก่พญากำภูชาธิบดีเถิด คนชาวน้ำส่วยทั้งหลายจึงกระทำตาม คำพระร่วงว่าดังนั้น เข็นน้ำไปน้ำขังอยู่ในตารางไม่รั่วเลย ไปถวายแก่พระเจ้ากรุงกำภูชาธิบดีนั้น พระเจ้ากำภูชาธิบดีทอดพระเนตรเห็นเกวียนเข็นน้ำนั้นเป็นอัศจรรย์ยิ่งนัก จึงถามรู้เนื้อความว่าพระร่วง เปน็ ภกิ ขใุ หก้ ระทำดงั นน้ั กส็ ะดงุ้ ตกพระทยั กลวั พระรว่ งยง่ิ นกั จงึ ถามวา่ พระรว่ งบวชอยวู่ ดั ไหน แลว้ ไดย้ นิ ว่าอยู่วัดมหาธาตุ จึงทรงพระดำริว่าพระร่วงนี้มีบุญมาก วาจาสิทธิ์มีฤทธิ์มาก แต่นี้ไปเมืองสุกโขไท มิควรจะให้เอาน้ำมาส่งแก่เรา ครั้นทรงพระดำริแล้วจึงสั่งแก่ชาวส่งส่วยน้ำว่า แต่นี้สืบไปท่านทั้งหลาย อย่าเอาน้ำเสวยนั้นมาส่งส่วยแก่เราเลย เอาน้ำนั้นไปถวายแก่พระภิกขุรูปนั้นเถิด ได้เป็นกุศลแก่เรา จำเดิมแต่นั้นมา ชาวน้ำเสวยทั้งปวงก็มิได้ไปส่งส่วยน้ำ ณ เมืองกำภูชาธิบดี ก็ขาดมาตราบเท่าทุกวันนี้ พระเจา้ กำภชู าธบิ ดเี หน็ มหทิ ธฤิ ทธเิ ดชานภุ าพแหง่ พระรว่ งนน้ั มากยง่ิ นกั สะดงุ้ ตกพระทยั ครน่ั ครา้ มเกรงกลวั เข็ดขามยิ่งนัก จึงคิดจะทำลายฆ่าเสียซึ่งพระร่วง ด้วยเห็นว่าพระร่วงจะแข็งเมือง จะชิงเอาราชสมบัติ บ้านเมืองของตนได้ จึงให้เสาะสืบแสวงหาคนดีที่มีวิชาการความรู้วิเศษ จึงได้คนดีนั้นมา โสมนัสยินดี นักหนา จึงตรัสสั่งว่าท่านจงไปสู่เมืองสุกโขไทแล้ว จงฆ่าเสียซึ่งภิกขุรูปหนึ่งชื่อพระร่วงอยู่วัดมหาธาตุ ฆ่าเสียให้ตายจงได้แล้วจึงกลับมา เราจะพูนบำเหน็จรางวัลให้แก่ท่านจงมาก สั่งแล้วจึงส่งผู้นั้นไป คนดีนั้นมาสู่เมืองสุกโขไทใกล้จะถึง จึงดำดินไปผุดขึ้นในวัดมหาธาตุ พอพบพระร่วงมากวาดวัดอยู่ใกล้ พระวิหารลานพระเจดีย์ เห็นแล้วไม่รู้จักพระร่วงคิดว่าพระภิกขุรูปอื่น เมื่อผุดขึ้นพ้นดินแต่ครึ่งตัวจึงถาม พระร่วงว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้พระร่วงอยู่ที่ไหน พระร่วงกวาดวัดอยู่ในกำแพงพระวิหารหลวง ได้ยินเสียงแล้วแลมาดู เห็นบุรุษนั้นผุดขึ้นมาจากแผ่นดินครึ่งตัวเพียงนม ก็รู้ว่าบุรุษนี้มาจะกระทำ อันตรายแก่พระองค์ จึงกล่าววาจาสิทธิ์ว่า ท่านอยู่ที่นี่เถิด ว่าแล้วก็ไปจากที่นั้น บุรุษนั้นจะขึ้นมาจาก ดินก็มิได้ จะถอยหลังดำดินคืนไปก็มิได้ กายก็แห้งแข็งอยู่ บุรุษนั้นก็กลับกลายเป็นศิลาไป ตั้งอยู่ เพยี งอรุ ประเทศจนตราบเทา่ ทกุ วนั น้ี พระรว่ งนน้ั พจิ ารณาเหน็ ศลี จะไมบ่ รสิ ทุ ธแ์ิ ลว้ ดว้ ยเหตนุ น้ั จงึ สกึ ออก จากผนวช แล้วกราบทูลพระกรุณาสมเด็จพระราชบิดา ด้วยปรารถนาจะสร้างพระนครในที่สมควรว่า ข้าแต่สมเด็จพระบิดา พระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดอนุญาต ให้ข้าพเจ้าสร้างพระนครสักเมืองหนึ่งในที่ สมควร พระเจา้ ศรธี รรมาโสกราชไดท้ รงฟงั เหน็ ชอบดว้ ย จงึ อนญุ าตใหก้ ระทำพระนครวา่ ดกู ร เจา้ ผเู้ ปน็
จลุ ยทุ ธการวงศ์ ความเรยี ง (ตอนตน้ ) ๑๖๑ ลกู รกั เจา้ วา่ ทง้ั นช้ี อบแลว้ เมอื งเกา่ บรุ าณชอ่ื วา่ เมอื งสชั นาไล๑ อยใู่ กลร้ มิ แมน่ ำ้ ชอ่ื วา่ ปาฬอกยนที ๒ ใกล้ ครี บี รรพตชอ่ื วา่ เขาสชั นาไล๓ เมอื งนน้ั ประกอบไปดว้ ยพระบรมธาตุ พระฤๅษชี อ่ื วา่ พระสชั นาไลดาบส๔ เปน็ พระอยั กาชวดแหง่ เรา ทา่ นใหส้ รา้ งเมอื งนน้ั ไวแ้ ตก่ อ่ น เราสรา้ งใหมใ่ หช้ อ่ื เมอื งสวรรคโลกเถดิ เจา้ พระรว่ ง ไดฟ้ งั ดงั นน้ั กย็ นิ ดี จงึ ถวายบงั คมลาสมเดจ็ พระบดิ าไปสรา้ งเมอื งนน้ั ใหพ้ นู ดนิ กอ่ ถนนกวา้ ง ๙ วา แตเ่ มอื ง สุกโขไทยถึงเมืองสัชนาไลนั้นทางไกลประมาณ ๔ โยชน์เศษ เจ้าพระร่วงเสวยลูกในมะขามคั่วสุกแล้ว เอาเปลอื กนน้ั โปรยไป ๒ ขา้ งถนนนน้ั กลา่ วดว้ ยวาจาสทิ ธว์ิ า่ เปลอื กเมด็ ในมะขามนน้ั จงเปน็ ตน้ มะขาม ไปเถิด เปลือกเม็ดในมะขามนั้นก็ค่อยงอกเป็นต้นมะขามเหมือนเม็ดในดิบนั้น ทั้งสองข้างถนนเป็นต้น มใี บดอกฝกั ไมม่ แี ตเ่ ลด็ ๕ ใน มมี าปรากฏตราบเทา่ ทกุ วนั น้ี ใหก้ อ่ พระเจดยี ว์ หิ ารอโุ บสถ ใหก้ ระทำการเปรยี ญ อาวาสเสนาสนะกุฎีต่าง ๆ พระปรางค์ที่บรรจุพระบรมธาตุตั้งอยู่ข้างตะวันตกยกย้ายมาตั้งข้างตะวันออก แลว้ ใหต้ บแตง่ พระราชเรอื นหลวง การพระนครทง้ั ปวงกส็ ำเรจ็ มชิ า้ ใน ๔ เดอื น แลว้ ดว้ ยฤทธแ์ิ ลวาจาสทิ ธ์ิ ทกุ ประการ พระเจา้ ศรธี รรมาโสกราชจงึ เชญิ เจา้ พระรว่ งไปครองราชสมบตั อิ ยู่ ณ เมอื งสวรรคโลก วา่ ราชการ สบื ไป เมอื งสวรรคโลกแตก่ อ่ นชอ่ื เมอื งสชั นาไลนน้ั เหตกุ ระทำรปู สณั ฐานเมอื งนน้ั ตาม สายลกู ประคำแหง่ พระฤๅษชี อ่ื พระสชั นาไลดาบส ชอ่ื วา่ สวรรคโลกนน้ั เหตพุ ระฤๅษนี น้ั เอานำ้ สรุ ามฤตมาแตส่ วรรคม์ ารดท่ี เมอื งนน้ั วา่ มาทง้ั นเ้ี ปน็ คำบรุ าณกถา ครน้ั พระเจา้ ศรธี รรมาโสกราชแกช่ ราภาพ สน้ิ พระชนมส์ วรรคตไปตาม ยถากรรมแหง่ พระองคน์ น้ั เจา้ พระรว่ งกระทำฌาปนกจิ สมเดจ็ พระราชบดิ าดว้ ยเครอ่ื งสกั การบชู าถวายไทยทาน แก่พระสงฆ์เป็นอันมาก ให้มีการมหรสพ ๗ วันตามราชประเพณีด้วยพระราชวงศานุวงศ์แลมหาชน ทั้งหลายนั้น เมื่อครั้งพระพุทธศักราชล่วงได้ ๑,๘๐๐ พระวัสสา จุลศักราชได้ ๖๑๙ ปี สมเด็จพระเจ้า วรวงศบ์ รมราชาธริ าชอายไุ ด้ ๒๘ ปี ไดเ้ สวยราชสมบตั อิ ยู่ ณ เมอื งสกุ โขไทย พระโบราณาจารยเ์ จา้ กลา่ ว พระบาลไี วใ้ นคมั ภรี จ์ ามเทววี งษ แลพระคมั ภรี ส์ งิ หฬปตมิ ากร นน้ั กม็ แี ปลกกนั บา้ งซง่ึ ชอ่ื แลเรอ่ื งราวนทิ าน นน้ั พระเจา้ ศรธี รรมาโสกราชนน้ั วา่ มบี รุ ษุ รปู งามมกี ำลงั ผหู้ นง่ึ นางนาคนน้ั วา่ นางเทวธดิ าองคห์ นง่ึ ไดส้ งั วาส ๑ ปัจจุบันนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อว่า ศรีสัชนาลัย แต่เรื่องจุลยุทธการวงศ์ (ความเรียง) ที่พิมพ์ในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๖ ฉบับ พ.ศ.๒๔๘๐ ใช้ว่า \"เมอื งสชั นาไลย\" สว่ นในประชมุ พงศาวดารเลม่ ๔๑ ฉบับ พ.ศ.๒๕๑๒ ใช้ว่า \"เมอื งสชั นาลยั \" ๒ แม่น้ำยม ๓ ชื่อนี้ ในจุลยุทธการวงศ์ (ความเรียง) ที่พิมพ์ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๖ ฉบับ พ.ศ.๒๔๘๐ ใช้ว่า \"เขาสัชนาไลย\" ส่วนใน จุลยุทธการวงศ์ ฉบับพิมพ์วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๐ และประชุมพงศาวดาร เล่ม ๔๑ ฉบับ พ.ศ.๒๕๑๒ ใช้ว่า \"เขาสชั นาลยั \" ๔ ชอ่ื น้ี ในจลุ ยทุ ธการวงศท์ พ่ี มิ พใ์ นประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๖๖ ฉบบั พ.ศ.๒๔๘๐ ใชว้ า่ \"พระสชั นาไลยดาบส\" สว่ นในประชมุ พงศาวดาร เล่ม ๔๑ ฉบับ พ.ศ.๒๕๑๒ ใช้ว่า \"พระสชั นาลยั ดาบส\" ๕ \"เลด็ \" เปน็ คำโบราณทเ่ี รยี กยอ่ จากคำวา่ \"เมลด็ \" ๖ ปัจจุบันนิยมเขียนว่า \"จามเทวีวงศ\"์ ๗ ปจั จบุ นั นยิ มเขยี นวา่ \"สงิ หลปฏมิ ากร\"
๑๖๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ อยู่ด้วยกันมีบุตรผู้หนึ่ง คือพระร่วง แลเจ้าร่วงเจ้านั้นชื่อว่า พญาโรจราชก็ว่า วารุทราชาธิราชก็ว่าบ้าง แปลกกันแต่ชื่อดังนี้ ในกาลนั้นพระราชบุตรแห่งพระเจ้าศรีธรรมาโสกราช พระองค์ต่างพระมารดาเป็น พระอนชุ าธริ าชมบี ญุ ญาธกิ ารมาก เจา้ พระรว่ งราชาธริ าชพระราชทานตง้ั พระนามชอ่ื วา่ พญาศรธี รรมราชา ใหไ้ ปครองราชสมบตั อิ ยู่ ณ เมอื งสวรรคโลก เกจอิ าจารยบ์ างจำพวกวา่ พระเจา้ ศรธี รรมาโสกราชนน้ั เมอ่ื ได้ พระรว่ งมาปน้ั ตกุ๊ ตาดนิ ใหพ้ ระรว่ งเลน่ ดว้ ยทรงพระเมตตารกั ใครโ่ ปรดปรานพระราชบตุ รนน้ั เจา้ พระรว่ งไดร้ บั พระราชทานตกุ๊ ตาดนิ นน้ั เคารพพระบดิ า นบั ถอื จะไปในทใ่ี ดๆ กด็ ี รอ้ งเรยี กตกุ๊ ตาดนิ นน้ั วา่ นอ้ งมาไป ดว้ ยกนั เจา้ จงเปน็ มนษุ ยเ์ ปน็ เพอ่ื นเราเถดิ วา่ ดว้ ยวาจาสทิ ธต์ิ กุ๊ ตานน้ั บงั เกดิ เปน็ มนษุ ยร์ เู้ จรจา เดนิ ไปมา กนิ อาหาร สรรพการทง้ั ปวง พระรว่ งนน้ั เสวยปลาปง้ิ ทง้ั ตบั ยงั มเี นอ้ื อยขู่ า้ งหนง่ึ ทง้ิ ลงในนำ้ ทง้ั ตบั วา่ ให้ เปน็ ขน้ึ จงวา่ ยไปกบั ทง้ั ตบั นน้ั เถดิ ปลานน้ั กเ็ ปน็ ขน้ึ วา่ ยไปกบั ทง้ั ตบั ได้ ลางทไี มม่ ตี บั แตต่ วั ปลาครง่ึ ซกี กม็ ี แตก่ า้ งเปลา่ กม็ ี วา่ ยไปไดเ้ ปน็ อศั จรรยป์ ระหลาดตา่ ง ๆ มปี รากฏมาตราบเทา่ ทกุ วนั น้ี ทง้ั นบ้ี งั เกดิ ดว้ ย บญุ ฤทธ์วิ าจาสทิ ธแ์ิ หง่ ทา่ นนน้ั วา่ มาทง้ั นโ้ี ดยสงั เขปกถายอ่ อยยู่ ง่ิ นกั ทม่ี พี สิ ดารวติ ถารนน้ั มอี ยใู่ นนทิ าน พระร่วงโน้น ครั้งนั้นสมเด็จพระร่วงบรมราชาธิราช เป็นพญาเอกราชในสยามประเทศแลนานาประเทศ มไิ ดเ้ บยี ดเบยี นทา้ วพญาในนานาประเทศ ยงั มหาชนทง้ั หลายมสี มณพราหมณเ์ ปน็ ตน้ ใหอ้ ยเู่ ยน็ เปน็ สขุ ทกุ ประเทศ ยงั มหาชนทง้ั หลายใหบ้ ำเพญ็ กศุ ล มใี หท้ านแลรกั ษาศลี เปน็ ตน้ ในพระพทุ ธศาสนา ยงั พระพทุ ธ ศาสนาให้รุ่งเรืองวัฒนาการ เสวยราชสมบัติโดยทศพิธราชธรรมมาช้านาน ส่วนพญาศรีธรรมราชานั้น เสวยราชสมบัติโดยทศพิธราชธรรมอยู่ในเมืองสวรรคโลก ส่วนบุรุษแก่กับทั้งภริยาอันเป็นบิดามารดาเลี้ยง พระร่วงนั้น แก่เฒ่าชราอายุสมขัยก็สิ้นชนมายุแล้วก็กระทำกาลกิริยา ตายแล้วก็ไปตามยถากรรมนั้น เจ้าพระร่วงก็กระทำฌาปนกิจสักการบูชา ถวายไทยทานแก่พระสงฆ์เป็นอันมากตามประเพณีกระทำ ฌาปนกจิ นน้ั อยมู่ าวนั หนง่ึ พระรว่ งบรมราชาธริ าช เสดจ็ พระราชดำเนนิ ไปดว้ ยยศศกั ดบ์ิ รวิ ารเปน็ อนั มากไปสเู่ มอื ง สวรรคโลก ทอดพระเนตรเหน็ กฎุ วี หิ ารผคุ รำ่ ครา่ หกั พงั เปน็ อนั มาก ปรารถนาจะกระทำใหจ้ ริ งั การมน่ั คง ไปชา้ นาน จงึ คดิ อา่ นดว้ ยพระอนชุ าธริ าชนน้ั วา่ เราจะไปสเู่ มอื งมคั ธ๑ คือเมอื งจนี ขอชา่ งกระทำถว้ ยชาม แตพ่ ระ(เจา้ )กรงุ จนี มาใหก้ ระทำถว้ ยชามแลกระเบอ้ื งในเมอื งเรา จะไดก้ ระทำหลงั คากฎุ วี หิ ารใชก้ ารตา่ ง ๆ ที่เมืองเรานี้ พญาศรีธรรมราชานั้น ได้ฟังแล้วจึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐ ขา้ พระพทุ ธเจา้ จะขอตามเสดจ็ พระราชดำเนนิ ไปดว้ ยพระองค์ ๑ ชื่อเดียวกันนี้ ในจุลยุทธการวงศ์(ความเรียง) ฉบับพิมพ์วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๐ และที่พิมพ์ในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๖ พ.ศ.๒๔๘๐ เป็นต้นมา ใช้ว่า \"เมอื งมคธ\"
จลุ ยทุ ธการวงศ์ ความเรยี ง (ตอนตน้ ) ๑๖๓ พระมหากษตั รยิ ท์ ง้ั สองนน้ั มพี ระทยั เปน็ เอกฉนั ทด์ ว้ ยกนั แลว้ เสดจ็ ลงเรอื พระทน่ี ง่ั นอ้ ยกบั ราชบรุ ษุ ๗ คน แล้วสั่งแก่ข้าราชการทั้งหลายมีเสนาบดีเป็นประธานให้อยู่รักษาบ้านเมือง ว่าท่านทั้งปวงจงอยู่ รกั ษาบา้ นเมอื งเราจงดี สง่ั แลว้ กอ็ อกเรอื พระทน่ี ง่ั นน้ั ไปโดยลำดบั ถงึ มหาสมทุ รหาอนั ตรายมไิ ดต้ ราบเทา่ ถงึ กรุงมัคธะราช ด้วยเดชานุภาพบุญฤทธิ์ให้ประสิทธิ์ทุกประการดังนั้น ในกาลนั้นโหราอาจารย์แห่ง พระเจ้ากรุงจีน ถวายฎีกาพระเคราะห์เมืองนั้นแก่พระมหากษัตริย์ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระคุณอัน ประเสรฐิ ขา้ ศกึ จะมาถงึ พระนครนใ้ี นวนั พรงุ่ น้ี จกั ไดเ้ มอื งนเ้ี ปน็ แท้ พระเจา้ กรงุ จนี ครน้ั ไดท้ รงฟงั ดงั นน้ั สะดงุ้ ตกพระทยั จงึ ใหห้ าเสนาโยธาทวยหาญ มาประชมุ พรอ้ มกนั ในหน้าพระลานชัย ตรัสบอกคดีถ้วนถี่ทุกประการ แล้วสั่งให้รักษาพระนครทุกแห่งประตูหอรบเชิงเทิน หนา้ ทก่ี ำแพงชน้ั นอกชน้ั ใน คนทง้ั หลายมากกวา่ แสนพรอ้ มดว้ ยเครอ่ื งศาสตราอาวธุ ตา่ ง ๆ รกั ษาพระนครแล พระราชวงั ตามรบั สง่ั ทกุ ประการ ตรวจตรากนั เปน็ สามารถ สมเดจ็ พระรว่ งราชาธริ าชเจา้ กบั พระอนชุ าธริ าชครน้ั ถงึ เมอื งจนี แลว้ ใหร้ าชบรุ ษุ ๗ คน อยรู่ กั ษา เรือนั้น ทั้งสองพระองค์พากันเข้าไปในราชฐาน แลคนทหารทั้งหลายซึ่งรักษาประตูพระราชวังชั้นนอก ชั้นในเห็นกษัตริย์ทั้งสองนั้น ให้บังเกิดภัยความกลัวยิ่งนัก มิอาจว่ากล่าวห้ามปรามสิ่งหนึ่งสิ่งใดมิได้ กป็ ลาสนาการหนไี ปในทอ่ี น่ื หาผจู้ ะตา้ นทานกางกน้ั ไวม้ ไิ ด้ กษตั รยิ ท์ ง้ั สองเขา้ ไปถงึ สำนกั แหง่ พระเจา้ กรงุ จนี จงึ นง่ั ในทส่ี มควร พระ(เจ้า)กรุงจีนทอดพระเนตรเห็นกษัตริย์ทั้งสองเสด็จมานั่งในที่ใกล้นั้น สะดุ้งตกพระทัยกลัว ยง่ิ นกั ปรารภเพอ่ื จะถวายบงั คมแกก่ ษตั รยิ ท์ ง้ั สองนน้ั สมเด็จพระร่วงราชาธิราชเจ้าทอดพระเนตรเห็นกิริยาแห่งพระเจ้ากรุงจีนจะถวายบังคมดังนั้น จงึ ตรสั หา้ มวา่ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ ปู้ ระเสรฐิ พระองคอ์ ยา่ ตกพระทยั กลวั เลย ตขู า้ นม้ี าแตเ่ มอื งสกุ โขไทย จะปรารถนาชิงราชสมบัติแห่งพระองค์หามิได้ มาบัดนี้ปรารถนาจะขอช่างกระทำถ้วยชาม ไปให้กระทำ ถว้ ยชามกระเบอ้ื ง ณ เมอื งสกุ โขไทยโนน้ พระเจ้ากรุงมัคธะราชได้ทรงฟังดังนั้น ดีพระทัยปีติโสมนัสยิ่งนัก จึงพิจารณาดูสมเด็จพระร่วงเจ้า นน้ั เหน็ พระรปู พระโฉมงามลำ้ เลศิ ประกอบดว้ ยราชลกั ษณะองอาจราชศกั ดห์ิ าทส่ี ดุ มไิ ด้ จงึ ทรงพระดำรวิ า่ ๑ ชื่อเดียวกันนี้ ในจุลยุทธการวงศ์(ความเรียง) ฉบับพิมพ์วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๐ ใช้ว่า \"กรุงมคธราช\" แต่ที่พิมพ์ในประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๖๖ พ.ศ.๒๔๘๐ เป็นต้นมา ใช้ว่า \"กรงุ มคธราฐ\"
๑๖๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ พญาองค์นี้เป็นเจ้าเมืองสุกโขไทย มีบุญญาธิการมากยิ่งนัก มีวาจาสทิ ธ์ิ เราได้ยินมาแต่คำลูกค้าวาณิช เลอ่ื งลอื มาแตก่ อ่ น ควรแลว้ ทเ่ี ราจะถวายราชสมบตั แิ กพ่ ญาน้ี ครน้ั พระเจา้ กรงุ จนี ทรงพระราชดำรฉิ ะนแ้ี ลว้ กลัวจะเสียพระราชสมบัติบ้านเมืองแห่งตน จึงถวายราชสมบัติแลพระราชธิดาแก่สมเด็จพระร่วงเจ้าว่า ขา้ แตพ่ ระองคผ์ ทู้ รงพระคณุ อนั ประเสรฐิ ขา้ พระพทุ ธเจา้ ขอถวายสง่ิ น้ี สง่ิ นแ้ี กพ่ ระองค์ ตวั ขา้ นข้ี อเปน็ ทาส แห่งพระองค์ สมเดจ็ พระรว่ งเจา้ ไดท้ รงฟงั ดงั นน้ั จงึ ทรงพระกรณุ าดำรสั วา่ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ ปู้ ระเสรฐิ ตขู า้ นม้ี ไิ ด้ ปรารถนาพระราชสมบตั ขิ องพระองค์ พระองคท์ รงพระกรณุ าโปรดพระราชทานพระราชสมบตั ใิ หแ้ กข่ า้ พเจา้ ดว้ ยเคารพสจุ รติ ฉะน้ี ขา้ พเจา้ ควรจะรบั ซง่ึ ราชสมบตั โิ ดยสจุ รติ ทรงพระกรณุ าตรสั ฉะนแ้ี ลว้ จงึ เสดจ็ พระราชดำเนนิ ไปสทู่ ร่ี ปู พระราชสหี อ์ นั มอี ยใู่ นพระนครนน้ั จงึ อธษิ ฐานวา่ รปู พระราชสหี น์ เ้ี ปน็ ทเ่ี สย่ี งทาย เราจะตัดศีรษะแห่งราชสีห์นี้ ถ้าศีรษะนี้ไปตกลงในเมืองใด เราก็จะไปเสวยราชสมบัติอยู่ในเมืองนั้น ครั้นอธิษฐานแล้วจึงตัดรูปราชสีห์นั้นด้วยพระแสงขรรคาวุธแห่งพระองค์ รูปพระราชสีห์นั้นขาดกลางตัว ขา้ งศรี ษะนน้ั ลอยไปบนอากาศ ดว้ ยบญุ อทิ ธฤิ ทธว์ิ าจาสทิ ธน์ิ น้ั ไปตกลงกลางพระนครสกุ โขไท พระเจ้ามัคธะราชเสนาอำมาตย์และมหาชนทั้งหลายได้เห็นพระอิทธิฤทธิ์เดชานุภาพมากยิ่งนัก ดงั นน้ั กบ็ งั เกดิ ความกลวั สมเดจ็ พระรว่ งบรมราชาธริ าชเจา้ นน้ั หาทส่ี ดุ มไิ ด้ พระเจา้ กรงุ จนี จงึ ราชาภเิ ษก สมเดจ็ พระรว่ งกบั พระราชธดิ าของพระองคแ์ ลว้ เชอ้ื เชญิ ใหเ้ สวยราชสมบตั อิ ยใู่ นเมอื งนน้ั สมเดจ็ พระรว่ งบรมราชาธริ าชเจา้ ไดท้ รงฟงั ดงั นน้ั จงึ ตรสั วา่ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ ปู้ ระเสรฐิ เมอื งนม้ี ไิ ดเ้ ปน็ เมอื งใหญ่ ศรี ษะราชสหี ไ์ ปตกลงในพระนครสกุ โขไท พระนครสกุ โขไทเปน็ ใหญ่ ขา้ พระองคเ์ จา้ จะลาไป เสวยราชสมบัติอยู่ในเมืองสุกโขไทโน้น ครั้นตรัสดังนั้นแล้วก็ยับยั้งเสวยราชสมบัติอยู่ด้วยพระราชธิดา เจา้ กรงุ จนี ในเมอื งนน้ั สน้ิ สามเดอื นแลว้ จงึ ตรสั แกพ่ ญานน้ั วา่ ขา้ พเจา้ จะลาพระองคก์ ลบั ไปเมอื งสกุ โขไท พระเจา้ มคั ธะราชไดท้ รงฟงั ดงั นน้ั จงึ ตรสั ถามวา่ พระองคจ์ ะพาพระอคั รมเหสไี ปดว้ ยหรอื หรอื จะให้ อยู่ในเมืองนี้ สมเด็จพระร่วงเจ้าได้ทรงฟังดังนั้นจึงตรัสว่า ตามพระอัชฌาสัย นางจะไปด้วยข้าพเจ้าจะ พาไป นางจะอยกู่ บั พระบดิ ากอ็ ยเู่ ถดิ พระเจา้ กรงุ จนี จงึ ถามพระราชธดิ าวา่ ดกู รเจา้ ผเู้ ปน็ ลกู รกั เจา้ จะอยหู่ รอื จะไปดว้ ยพระภสั ดาสามี นางนั้นจึงกราบทูลสมเด็จพระบิดาว่า ข้าพเจ้าจะลาพระราชบิดาไปตามพระภัสดาสามี อันสตรีจะหา สามีที่ดีเป็นที่รักที่ชอบใจจะหาได้เป็นอันยากนัก จะได้ความร้อนรนทนทุกข์ลำบากด้วยวัตรปรนนิบัติ
จลุ ยทุ ธการวงศ์ ความเรยี ง (ตอนตน้ ) ๑๖๕ ตบแตง่ กายจะใหช้ ายรกั กย็ าก ไดผ้ วั แลว้ มาพลดั พรากอยเู่ ปน็ มา่ ย ความเจบ็ อายกจ็ ะมตี า่ ง ๆ จะนบั มไิ ด้ ขา้ พเจา้ จะขออำลาพระราชบดิ าเจา้ ไปกบั ดว้ ยพระภสั ดาสามี สมเดจ็ พระรว่ งเจา้ จงึ ขอชา่ งกระทำถว้ ยชามมา ๕๐๐ คน พระเจา้ กรงุ จนี กอ็ นญุ าตให้ แลว้ ใหแ้ ตง่ สำเภาเภตรา ๓๓ ลำ บรรทุกเงินทองแก้วแหวนแพรพรรณผ้านุ่งห่มและเครื่องครุลหุอุปโภคบริโภคเป็น อนั มาก แลว้ จดั แจงทาสกรรมกรชายหญงิ กเ็ ปน็ อนั มาก พระราชทานใหแ้ กพ่ ระราชธดิ า แลว้ ใหโ้ อวาทานศุ าสน์ สง่ั สอน แลพระชนนมี ารดาแลพระญาตพิ ระวงศานวุ งศก์ เ็ ศรา้ โศกโศกาอาลยั รำ่ ไรรอ้ งไหร้ กั พระราชธดิ า เซ็งแซ่สนั่นในพระราชวัง ด้วยเสน่หารักในพระราชธิดา ก็พากันมากับทั้งบริวารตามมาส่งถึงสำเภา ส่วนพระราชธิดาก็ถวายบังคมลาสมเด็จพระบิดามารดาแล้วลงสู่สำเภา ครั้นได้เพลาฤกษ์ดีแล้วชาว พนักงานล้าต้าไต้ก๋งต้นหนอาปั๋น ก็ตีม้าฬ่อถอนสมอโห่ร้องเอาชัย กางใบโบกธงออกสำเภาเภตรา จากทา่ ไปสมู่ หาสมทุ รทะเลหลวง คนทง้ั ปวงหาภยั อนั ตรายมไิ ด้ มาโดยลำดบั ตราบเทา่ ถงึ เมอื งสกุ โขไทนน้ั หาพายุคลื่นลมร้ายมิได้ ด้วยบุญญาธิการอิทธิฤทธิ์มหาเดชานุภาพแห่งสมเด็จพระร่วงเจ้านั้น ครั้นถึง พระนครแล้ว จึงให้รับพระราชธิดาขึ้นไปในพระราชวัง ทรงพระกรุณาโปรดให้นางนั้นอยู่ในพระราช เรือนหลวง แลพระราชบุตรีพระเจ้ากรุงจีนนั้น มีนามปรากฏชื่อว่า นางคันธารราชเทวี เป็นที่เสน่หา รักใคร่แห่งสมเด็จพระร่วงเจ้านั้นอยู่เป็นสุขมาช้านาน คนทั้งหลายซึ่งเอาเครื่องสิ่งของบรรทุกสำเภา มาสง่ นน้ั ขนเครอ่ื งสง่ิ ของขน้ึ ถวายเสรจ็ แลว้ กถ็ วายบงั คมอำลากลบั ไปเมอื งกรงุ จนี ครั้งเมื่อพระเจ้าอะลังคจอสู๑ ได้เสวยราชสมบัติในเมืองภุกาม๒ ยกทัพมาตีเมืองสเทิมได้แล้ว ไปสร้างเมืองเมาะตะมะ จุลศักราช ๖๒๕ ปี ครั้งนั้นสมเด็จพระร่วงเสวยราชสมบัติอยู่ในเมืองสุกโขไท เปน็ ใหญเ่ อกราชยง่ิ กวา่ ทา้ วพญาทง้ั หลายในสยามประเทศแลรามญั ประเทศแลมลาวะประเทศ จนิ นะ๓ ประเทศ ภกุ ามมะประเทศ ปรากฏไปดว้ ยวาจาสทิ ธม์ิ หทิ ธฤิ ทธเ์ิ ดชานภุ าพมาก มไิ ดเ้ บยี ดเบยี นทา้ วพญาในประเทศ อน่ื ยงั คนทง้ั หลายใหอ้ ยเู่ ยน็ เปน็ สขุ ทา้ วพญารามญั ทง้ั หลาย มพี ญาฟา้ รว่ั เปน็ ตน้ ไดเ้ สวยราชสมบตั ใิ นเมอื ง เมาะตะมะ ยอมถวายเครอ่ื งราชบรรณาการแกส่ มเดจ็ พระรว่ งเจา้ แลว้ ขอพระราชทานนามบญั ญตั แิ ก่ สมเดจ็ พระรว่ งเจา้ สมเดจ็ พระรว่ งเจา้ จงึ แตง่ ตง้ั ซง่ึ พระราชนามบญั ญตั นิ น้ั แลว้ เขยี นลงในแผน่ ทอง แลว้ ๑ ชื่อเดียวกันนี้ ในจุลยุทธการวงศ์(ความเรียง) ฉบับพิมพ์วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๐ และที่พิมพ์ในประชุมพงศาวดาร ภาคท่ี ๖๖ ฉบับพิมพ์ พ.ศ.๒๔๘๐ และประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๔๑ ฉบับพิมพ์ พ.ศ.๒๕๑๒ เขียนว่า \"พระเจา้ อลงั คจอสู\" ๒ ชอ่ื เดยี วกนั น้ี ในจลุ ยทุ ธการวงศ(์ ความเรยี ง) ทพ่ี มิ พใ์ นประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๖๖ ฉบบั พมิ พ์ พ.ศ.๒๔๘๐ และประชมุ พงศาวดารเลม่ ๔๑ ฉบับพิมพ์ พ.ศ.๒๕๑๒ เขียนว่า \"พกุ าม\" ๓ หมายถึงประเทศจีน
๑๖๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ พระราชทานไปแก่ท้าวพญารามัญนั้นเป็นอันมาก แลว่ามาทั้งนี้โดยย่อ ที่พิสดารวิตถารนั้นมีอยู่ใน คมั ภรี ม์ หายทุ ธการวงษ๑ โนน้ ในกาลครั้งนั้นสมเด็จพระร่วงบรมราชาธิราชเจ้า ปรากฏด้วยวาจาสิทธิ์มีบุญมหิทธิฤทธานุภาพ เป็นอันมาก สำแดงเหตุอันวิเศษไว้ประหลาดต่าง ๆ ก็เป็นอันมาก ให้ช่างทั้งหลายนั้นกระทำถ้วยชาม กระเบื้องเคลือบ ณ เมืองสวรรคโลก แล้วให้มุงกุฎีวิหารการเปรียญโรงพระอุโบสถ ด้วยกระเบื้องเคลือบ ก็เป็นอันมาก แลให้ช่างกระทำพระปรางค์อันใหญ่สูงบรรจุพระบรมธาตุ แลรูปพระปฏิมากรน้อยใหญ่ก็ เป็นอันมาก แล้วกระทำการฉลองด้วยเครื่องสักการบูชาต่าง ๆ บำเพ็ญพระราชกุศล มีรักษาศีลแลให้ ทานเปน็ ตน้ นน้ั กเ็ ปน็ อนั มากมาชา้ นาน แลถว้ ยชามทใ่ี หก้ ระทำนน้ั ดนิ ไมด่ จี งึ เปน็ รว้ิ รอยรา้ วไป ปรากฏมมี าตราบเทา่ ทกุ วนั น้ี พญาศริ ธิ รรมราชาใหก้ ระทำดว้ ยอฐิ แลศลิ าใหญส่ งู กวา่ พระปรางค์ สมเดจ็ พระรว่ งเจา้ ไดท้ อดพระเนตร เหน็ พระปรางคด์ งั นน้ั ไมช่ อบพระทยั ใหร้ อ้ื ยอดพระเจดยี อ์ นั แลว้ ดว้ ยศลิ านน้ั ลงมาตง้ั ไว้ ในวดั นน้ั ศลิ า ยอดนน้ั ยงั ปรากฏอยทู่ กุ วนั น้ี พระราชบตุ รแหง่ สมเดจ็ พระรว่ งเจา้ พระองคห์ นง่ึ ชอ่ื เจา้ รามราชกมุ าร เกดิ ดว้ ยนางคนั ธารราชะ เทวี มีพระรูปโฉมงาม มีบุญญาธิการมาก เป็นที่รักเสน่หาแห่งพระร่วงเจ้านั้น แล้วก็มีจิตเป็นกุศล เป็นที่รักแก่มหาชนคนทั้งหลาย สมเด็จพระร่วงบรมราชาธิราชเจ้า ย่อมเสด็จไปชมในนานาประเทศ มไิ ดก้ ระทำอนั ตรายเบยี ดเบยี นสมบตั บิ า้ นเมอื ง แหง่ ทา้ วพญาทง้ั หลายในประเทศอน่ื ๆ แลว้ ทา้ วพญาทง้ั หลาย ในประเทศนั้น ๆ รู้แล้วออกไปถวายบังคม แลถวายราชบรรณาการสักการบูชาแก่พระร่วงเจ้านั้น พระร่วงเจ้ากระทำปราศรัยด้วยสุนทรวาจา แล้วกลับมาสู่เมืองแห่งตน แต่ฉะนี้มาช้านานเป็นหลายปี พระองคน์ น้ั มพี ระชนมายยุ นื ๙๒ ปี เสวยราชสมบตั มิ าชา้ นานได้ ๖๐ ปเี ศษ ทรงพระชราภาพแลว้ อยมู่ าวนั หนง่ึ จงึ ตรสั สง่ั แกม่ หาชนคนทง้ั หลายมเี สนาบดเี ปน็ ประธานวา่ ทา่ นทง้ั ปวงเอย คอ่ ยอยู่ จงดีเป็นสุขเถิด ช่วยกันรักษาบ้านเมืองเราจงดี เรานี้จะลาท่านทั้งหลายไปเมืองสวรรคโลค อาบน้ำที่ แก่งศิลาใหญ่นั้น ถ้าไม่เห็นเรากลับมาล่วงพ้น ๗ วันแล้ว จงราชาภิเษกเจ้ารามราชบุตรเราให้ครอง ราชสมบัติเถิด สั่งแล้วเสด็จไปสู่เมืองสวรรคโลคด้วยบริวารเป็นอันมาก ครั้นถึงแก่งศิลาใหญ่นั้นแล้วก็ ๑ ปัจจุบันนิยมเขียนว่า \"คัมภีร์มหายุทธการวงศ\"์
จลุ ยทุ ธการวงศ์ ความเรยี ง (ตอนตน้ ) ๑๖๗ เสดจ็ ลงสรงสนานในทน่ี น้ั ชำระพระสรรี กายสบายพระทยั แลว้ กอ็ นั ตรธานหายไปในนำ้ หาผใู้ ดจะทนั รู้ เหน็ มไิ ด้ ฝา่ ยมหาชนทง้ั หลายมเี สนาบดเี ปน็ ตน้ ครน้ั มไิ ดเ้ หน็ สมเดจ็ พระรว่ งเจา้ กต็ กใจรอ้ งไหร้ ำ่ ไรใจหาย ประหมา่ เศรา้ โศกโศกาอาดรู เดอื ดรอ้ นเปน็ อนั มาก ใหค้ นทง้ั หลายชว่ ยกนั ลงในนำ้ ทแ่ี กง่ ศลิ าใหญ่ ใหด้ ำดน้ ค้นหาในช่องศิลา งมคว้าค้นหามากกว่าร้อย ทั้งผู้ใหญ่ผู้น้อยก็ให้เที่ยวหาบนบกในป่าริมฝั่งน้ำทุกแห่ง แสวงหาทุกตำบลก็มิได้พบเห็นแล้วจนล่วงพ้น ๗ วัน คนทั้งหลายนั้นอาลัยร่ำไรโหยหาว่า แท้จริง พระองค์ไม่เมตตาอาลัยถึงเราทั้งหลายแล้ว ชะรอยพระองค์ระลึกถึงพระชนนีมารดาพระญาติพระวงศา อันอยู่ในนาคพภิ พ พระจะลงไปเยย่ี มเยอื นแลว้ จะกลบั มาหรอื จะไมก่ ลบั มาประการใดกไ็ มแ่ จง้ ครน้ั ไมไ่ ด้ พบเห็นแล้วคนทั้งหลายนั้นจึงกลับมาเมืองสุกโขไท อยู่เจ็ดวันก็จัดแจงแต่งการพระราชพิธีราชาภิเษก เจา้ รามราชบตุ ร ใหผ้ า่ นพภิ พเสวยราชสมบตั ติ ามราชประเพณใี นกรงุ พระนครสกุ โขไทนน้ั สมเดจ็ ราชบตุ รนน้ั จงึ ทรงพระนามชอ่ื วา่ เจา้ รามราชาธริ าช มบี ญุ ญาธกิ ารมหทิ ธมิ หาเดชานภุ าพมาก ไดเ้ สวยราชสมบตั เิ ปน็ สขุ อยู่ ณ เมอื งสกุ โขไทย ในพระคมั ภรี ์ สงิ หลปตั มิ ากรนน้ั วา่ สมเดจ็ พระรว่ งเจา้ นน้ั ชอ่ื วา่ พญาสรุ งั คราชา พระราชบตุ รนน้ั ชอ่ื วา่ พญาบาลราช นค้ี ำเกจอิ าจารยเ์ ปลย่ี นกนั ดงั น้ี ปฐโม ปริจฺเฉโท สำแดงมาในเรื่องราวบังเกิดแลเหตุต่าง ๆ แลอันตรธานแห่งพระร่วงเจ้า กลา่ วมาโดยยอ่ น้ี กจ็ บบรเิ ฉทเปน็ ปฐมเทา่ น้ี ในกาลเมอ่ื จลุ ศกั ราช ๕๘๘ ปนี น้ั พระเจา้ เชยี งรายไดเ้ สวยราชสมบตั เิ ปน็ สขุ อยใู่ นเมอื งเชยี งราย มศี รทั ธาสรา้ งอารามวหิ ารพระเจดยี ร์ ปู พระปฏมิ ากร โรงธรรมกฏุ ศิ าลาบรเิ วณอาวาสเปน็ อนั มาก แลว้ กระทำ การฉลองสักการบูชาพระรัตนตรัย ให้ทานวัตถุต่าง ๆ ถวายแก่พระสงฆ์เป็นอันมาก ให้สมโภช ๗ วนั แลว้ ถวายขา้ พระโยมสงฆเ์ ปน็ อนั มากใหไ้ วป้ ฏบิ ตั พิ ระรตั นตรยั ในอาวาสนน้ั ครั้งนั้นยังมีสามเณรรูปหนึ่งมาเป็นอาคันตุกะ ได้เห็นอาวาสบริเวณพระเจดีย์มหาวิหารแล พระปฏมิ ากรงามยง่ิ นกั บงั เกดิ ศรทั ธาปสนั นาการเลอ่ื มใส เขา้ ไปในพระอารามมหาวหิ ารนน้ั นมสั การ กราบไหวบ้ ชู าพระเจดยี แ์ ลพระปฏมิ ากร แลว้ ออกไปจากมหาวหิ าร จงึ กวาดลานพระเจดยี ด์ ว้ ยกศุ ลเจตนา ฝา่ ยขา้ พระทง้ั หลายทร่ี กั ษาพระนน้ั จงึ หา้ มพระสามเณรนน้ั วา่ อยา่ กวาดวดั ทน่ี ้ี ไปเสยี ทอ่ี น่ื เถดิ
๑๖๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ พระสามเณรนน้ั มฟิ งั วา่ รปู จะกวาดเอาบญุ ขา้ พระทง้ั หลายโกรธจงึ วา่ สามเณรรปู นม้ี าชงิ เอาบญุ ของเจา้ เรา หา้ มมฟิ งั วา่ แลว้ เขา้ ไปกราบทลู แกพ่ ระเจา้ เชยี งรายวา่ ขา้ แตพ่ ระองคผ์ ปู้ ระเสรฐิ สามเณร รปู หนง่ึ มาปรนนบิ ตั กิ วาดวดั ชงิ เอาบญุ ของพระองค์ หา้ มมฟิ งั พระเจ้าเชียงรายได้ทรงฟังดังนั้น จึงโกรธพระสามเณรนั้นว่าด้วยวาจาอันหยาบว่า สามเณรนั้น มาชิงเอาบุญของเรา ห้ามมิฟังดังนั้น ท่านทั้งหลายจงผูกคอลากไปเสียให้พ้นวัด ข้าพระนั้นจึง กระทำตามรบั สง่ั ดงั นน้ั เจา้ สามเณรนน้ั ไดฟ้ งั กโ็ ทมนสั ซง่ึ พญานน้ั ดว้ ยคดิ วา่ เรากระทำกศุ ลดงั น้ี พญานน้ั บงั คบั กรรม อันหยาบช้าแก่เราฉะนี้ผิดแล้ว ครั้นคิดแล้วจึงว่าแก่ข้าพระนั้นว่า ท่านทั้งหลายจงงดยับยั้งรูปสักครู่หนึ่ง รปู จะนมสั การลากระทำประทกั ษณิ พระเจา้ กอ่ น ขา้ พระจงึ อนญุ าต แลว้ ไปกระทำประทกั ษณิ นมสั การอธษิ ฐาน ปรารถนาวา่ เดชะกศุ ลอนั ขา้ กระทำน้ี เมอ่ื ขา้ กระทำกาลกริ ยิ าตายนน้ั ขอใหไ้ ดบ้ งั เกดิ เปน็ พระราชบตุ ร แห่งพญาในเมืองสตวงษ๑ ขอให้ได้กระทำสงครามกับพญาเชียงรายนี้ ให้ข้ามีชัยชนะแก่พญานั้น ครน้ั อธษิ ฐานแลว้ กไ็ ปจากทน่ี น้ั อยมู่ าไมช่ า้ นกั เกดิ อาพาธหนกั ลงดว้ ยโรคอนั ใดอนั หนง่ึ กระทำกาลกริ ยิ าตาย แล้วก็ได้ไปเกิดในครรภ์พระอัครมเหสีแห่งพระยาสตวงษนั้น อยู่ถ้วนกำหนดทศมาส ๑๐ เดือน ประสูติจากมาตุครรโภทรมีบุญมาก เมื่อพระราชกุมารวัฒนาการมีพระชนม์ได้ ๑๐ พระวัสสา พระบดิ าสวรรคตแลว้ ชนทง้ั หลายมเี สนาบดเี ปน็ ประธานกระทำการฌาปนกจิ แหง่ พญานน้ั แลว้ จงึ อภเิ ษก พระราชกมุ ารนน้ั ใหค้ รองพระราชสมบตั ิ อยเู่ ปน็ สขุ ในเมอื งสตวงษนน้ั ในกาลนั้นเมืองสตวงษเป็นเมืองขึ้นแก่เมืองเชียงรายนั้น ราชบุรุษแห่งพญาเชียงรายจึงไปสู่เมือง สตวงษ เพอ่ื จะตกั เตอื นเรง่ เอาดอกไมท้ องเงนิ ใหม้ าสง่ ณ เมอื งเชยี งรายนน้ั ตามอยา่ งธรรมเนยี ม พระราชกมุ ารเจา้ เมอื งนน้ั จงึ คดิ การสงครามลอ่ ลวงขา้ หลวงชาวเมอื งเชยี งรายวา่ ทา่ นขา้ หลวง ทง้ั หลายมาตกั เตอื นเรง่ ใหส้ ง่ ดอกไมท้ องเงนิ น้ี กช็ อบควรดว้ ยอยา่ งธรรมเนยี มอยแู่ ลว้ แตข่ า้ ผคู้ รองเมอื ง นี้พึ่งได้ว่ากล่าวใหม่ ยังเด็กเล็กน้อยอ่อนศักดิ์อ่อนนาม มีสติปัญญายังอ่อนนัก ท่านข้าหลวงทั้งปวง จงได้อนุเคราะห์แก่ข้าผู้เด็กเล็กน้อย ให้ผัดยับยั้งงดอยู่สัก ๓ ปี ข้าจึงจะส่งดอกไม้ทองเงินไปถวาย ตามอยา่ งธรรมเนยี ม ๑ ชื่อเดียวกันนี้ ในจุลยุทธการวงศ์ (ความเรียง) ที่พิมพ์ในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๖ ฉบับพิมพ์ พ.ศ.๒๔๘๐ และประชุม พงศาวดาร เลม่ ๔๑ ฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๕๑๒ เขียนว่า \"เมอื งสตั วงศ์\" แตใ่ นจลุ ยทุ ธการวงศ์ ฉบับพิมพ์วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๐ (แจกในงานปลงศพนายจื้อ เทวินทรภักต)ิ ใช้ว่า \"เมอื งสตั วงศ์\"
จลุ ยทุ ธการวงศ์ ความเรยี ง (ตอนตน้ ) ๑๖๙ ข้าหลวงนั้นครั้นได้ฟังวาจาดังนั้น มีจิตเมตตาแก่พระราชกุมารนั้น จึงให้อนุญาตว่าตามเถิด เจ้าเมืองสตวงษล่อลวงข้าหลวงเมืองเชียงรายด้วยกลอุบาย จะคิดการสงครามจะให้ช้านานเนิ่นออกไป จะได้แต่งพระนครค่ายคูประตูหอรบเชิงเทินป้อมกำแพงเมืองให้มั่นคง จะได้จัดแจงให้กระทำไร่นายุ้งฉาง สะสมข้าวเปลือกข้าวสารแลโภชนาอาหารของหวานของคาวเกลือพริกเปรี้ยวเค็มให้ได้ไว้จงมาก แลจะได้ จดั แจงซอ่ มแปลงเครอ่ื งสาตราวธุ สน้ั ยาวนอ้ ยใหญ่ แลจะไดบ้ ำรงุ ชา้ งมา้ โยธาจตรุ งคพ์ ลทวยหาญ ใหฝ้ กึ หดั ปรือสั่งสอนธนูหน้าไม้ ปืนไฟใหญ่น้อย เบญจรงค์ มนทการ กระแบงแก้ว ปืนหลังช้าง ขานกยาง ทางนกขมุ้ ๑ ลากลอ้ หามแลน่ แลใหช้ ำนชิ ำนาญในการทหารยทุ ธสงครามจงทกุ ประการ ครน้ั คดิ ตรกึ ตรอง การยทุ ธสงครามยทุ ธชงิ ชยั ไวเ้ สรจ็ แลว้ จงึ ใหส้ ง่ ราชบรุ ษุ ขา้ หลวงชาวเมอื งเชยี งรายกลบั คนื ไป แลว้ ปรกึ ษา ดว้ ยขา้ ราชการทง้ั หลายมเี สนาบดเี ปน็ ประธานใหต้ บแตง่ จดั แจงการทง้ั ปวงตา่ ง ๆ ดงั กลา่ วพรรณนามานน้ั ครั้นใกล้จะถึง ๓ ปี การทั้งปวงพร้อมแล้ว จึงให้จัดแจงพลโยธาหาญได้ประมาณมากหลายหมื่น ชา้ งมา้ กไ็ ดม้ ากกวา่ รอ้ ย พรอ้ มดว้ ยเครอ่ื งสรรพยทุ ธตา่ ง ๆ แลว้ ใหพ้ ระปโุ รหติ โหรโหราหาศภุ นกั ขตั ฤกษด์ ี ครั้นได้ศุภวารดิถีพิชัยฤกษ์ จะใกล้ระเบิกระบายขยายดำเนินพลทหาร พระภูบาลเจ้าเมืองสัตวงษ ก็ชำระสระสรงพระองค์สรีรกายกายาด้วยอุทกธาราน้ำหอม ใส่กระออมทองผ่องแผ้ว สำราญราชหฤทัย แล้วทรงพระภูษา เครื่องอลังการอาภรณ์ บวรอร่ามรุ่งโรจน์โชติรูจี ด้วยศรีสุพรรณรัตนธำมรงค์ วรราชวิไล ใส่สอดสำรับเครื่องทรงพิชัยสงคราม เสร็จแล้วมิช้า ได้พิชัยฤกษ์ยาตราก็บันลือลั่นฆ้องชัย แตรสังข์ ฆ้องกลองชนะบันลือศัพท์สำเนียงสนั่นกึกก้องโกลาหล ยกธงชัยโบกบนเวหา ดำเนินหน้า เขยื้อนขยายพลตามกระบวนพิชัยยาตราสงคราม แลดูเห็นงามเป็นชั้นเป็นขนัด จามร กรรชิงฉัตร พระกลดพัชนีวิละอองผง ฉัตรกั้นตรงแสงระวีตรัส อภิรุมรัตนสว่างไสว ทวนธงชัยยยาบแสงแดง ปลาบจามรี เสด็จทรงหัสดีคชาธาร อันชำนาญชาญช่ำณรงค์ตัวประเสริฐ ระหงระเหิดระเห็จหัน ซบั มนั กระหมึ ครม้ึ คำราม งามไปดว้ ยเครอ่ื งคชาภรณบ์ วรรจนาแวดลอ้ มไปดว้ ยโยธาทวยหาญแลสลา้ งสลอน พลงา้ วงอนหอกปนื ไฟเสดจ็ ไปโดยอนกุ รมลำดบั ยกโยธาทพั ไปตามราชมรคา ดว้ ยปรารถนาปรารภเพอ่ื จะชงิ ชยั ตเี อาเมอื งเชยี งรายนน้ั ในกาลนน้ั พระเจา้ เชยี งรายคอยอยชู่ า้ นาน ลว่ ง ๓ ปแี ลว้ ไมเ่ หน็ เจา้ เมอื งสตั วงษเอาดอกไมท้ องมาสง่ หายไป จงึ แคลงพระทยั สงสยั เจา้ เมอื งสตั วงษเหน็ จะแขง็ เมอื ง จงึ ใชใ้ หร้ าชบรุ ษุ ไปพจิ ารณาสบื ดใู หร้ เู้ หตนุ น้ั ๑ คำนี้ ในจุลยุทธการวงศ์ ฉบับพิมพ์วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๐ และที่พิมพ์ในประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๖๖ ฉบับ พ.ศ.๒๔๘๐ และในประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๔๑ ฉบับ พ.ศ.๒๕๑๒ ใช้ว่า \"หางนกคุ่ม\"
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310
- 311
- 312
- 313
- 314
- 315
- 316
- 317
- 318
- 319
- 320
- 321
- 322
- 323
- 324
- 325
- 326
- 327
- 328
- 329
- 330
- 331
- 332
- 333
- 334
- 335
- 336
- 337
- 338
- 339
- 340
- 341
- 342
- 343
- 344
- 345
- 346
- 347
- 348
- 349
- 350
- 351
- 352
- 353
- 354
- 355
- 356
- 357
- 358
- 359
- 360
- 361
- 362
- 363
- 364
- 365
- 366
- 367
- 368
- 369
- 370
- 371
- 372
- 373
- 374
- 375
- 376
- 377
- 378
- 379
- 380
- 381
- 382
- 383
- 384
- 385
- 386
- 387
- 388
- 389
- 390
- 391
- 392
- 393
- 394
- 395
- 396
- 397
- 398
- 399
- 400
- 401
- 402
- 403
- 404
- 405
- 406
- 407
- 408
- 409
- 410
- 411
- 412
- 413
- 414
- 415
- 416
- 417
- 418
- 419
- 420
- 421
- 422
- 423
- 424
- 425
- 426
- 427
- 428
- 429
- 430
- 431
- 432