Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

B 1

Published by Monthira Phuchada, 2021-09-21 03:36:52

Description: B 1

Search

Read the Text Version

๑๗๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ สว่ นราชบุรุษทั้งหลายไปสืบรู้ว่า เจ้าเมืองสัตวงษเปน็ กบฏ แล้วจึงกลับมากราบทูลให้ทราบเหตุ ทั้งปวงนั้นแกพ่ ระเจ้าเชียงราย พระเจ้าเชียงรายได้ทราบแจ้งเหตุนั้นแล้ว ก็ทรงพระพิโรธโทมนัสขัดเคือง พระทัย จึงให้มหาเสนาเกณฑ์จัดแจงแต่งโยธาทหาร ช้างม้า ให้พร้อมด้วยเครื่องสาตราวุธสรรพยุทธ์ ต่าง ๆ ทั้งเสบียงอาหารแลเครื่องหัตถกรรมกระทำการจงพร้อมทุกประการ มหาเสนาบดีรับสั่งไปเร่งรัด จัดแจงแต่งทัพพลโยธาทหารอาสา พลแกล้วกล้าเข้มแข็ง พลแผลงศรปืนไฟได้พร้อมเสร็จทุกประการ ตามรบั สง่ั โดยเรว็ แลว้ จงึ กราบทลู ใหท้ ราบซง่ึ เกณฑท์ พั นน้ั พระเจ้าเชียงรายได้ทราบแจ้งแล้ว จึงได้ฤกษ์ศุภวารดิถีดีแล้ว จึงแต่งพระองค์ทรงเครื่องสำหรับ พระพชิ ยั ยทุ ธสงครามแลว้ เสดจ็ ขน้ึ บนเกยชยั ใหน้ ำกญุ ชรบวรคชาธาร อนั ประดบั สรรพดว้ ยคชาภรณเ์ ครอ่ื งมน่ั สพุ รรณรตั นมณี มายนื ทป่ี ระทบั พระองคค์ อยสกณุ พชิ ยั ฤกษเ์ หน็ นมิ ติ พระอาทติ ยเ์ ปลง่ ปลอดเมฆในพน้ื อากาศปราศจากมลทนิ ใส ใหล้ น่ั ฆอ้ งชยั แตรสงั ขป์ ระโคมฆอ้ งกลองศภุ โยค ธงชยั โบกเปน็ สำคญั ยงิ ปนื ไฟ สนั่นเสียงบรรลือลั่นกึกก้องสะเทื้อนท้องพระธรณี จึงเสด็จทรงศรีพระคชาธารอันชำนาญณรงค์ โบกธง ยกทพั ออกจากพระนครไปโดยลำดบั ตามมรรคา ๓ ราตรี ๔ ราตรี พอพบกองทพั เจา้ เมอื งสตั วงษยกมา ทก่ี ลางทางนน้ั กท็ รงโกรธ มทิ นั พจิ ารณาวา่ ขา้ ศกึ มโี ยธาทวยหาญมากนอ้ ย มไิ ดร้ ง้ั รอจงึ ใหข้ บั พลทหารเขา้ กระโจมตปี ระจนั กระหนาบกองทพั เจา้ เมอื งสตั วงษอนั พรอ้ มเสรจ็ มามไิ ดป้ ระมาทนน้ั ฝา่ ยทหารเจา้ เมอื งเชยี งรายประมาทไวใ้ จวา่ ทหารชาวเมอื งสตั วงษฝมี อื ออ่ น เคยเหน็ มาแตก่ อ่ น คนก็น้อย แลทหารนายทัพนายกองทั้งปวงแกว่งเงื้อหอกดาบเข้าต้อนหลังพลทหารแห่งตน ให้เข้า กระโจมตีหักเอาด้วยกำลังกล้าแข็ง และกำลังอาวุธแห่งพลทหารมากให้บุกรุกขับม้าโยธาทหารอาสา เขา้ กระโจมตรี นั แทงฟนั กระหนาบเปน็ สามารถ มไิ ดท้ อ้ ถอยเตม็ กำลงั ฝ่ายทหารชาวเมืองสัตวงษ แต่งทหารสืบทัพนำทัพ ๕ หอก ๗ หอก เดินก่อนไกลกองทัพทาง ๒ รอ้ ย ๓ รอ้ ยเสน้ มคี นเรว็ มา้ ใช้ ๓ มา้ ๔ มา้ ไปสะกดตาม ๕ หอก ๗ หอก ใหร้ กู้ นั พบเหน็ กองทพั ขา้ ศกึ สืบแน่แล้ว ให้คนเร็วม้าใช้กลับมาบอกทัพหน้าทัพหลวงให้รู้ด้วยกัน ครั้งนั้นเจ้าเมืองสัตวงษนั้นคนมากกว่า หมน่ื รเู้ หตนุ น้ั แลว้ บอกถงึ ทพั หลวงใหร้ กู้ นั จงึ แยกพลทหารคนแขง็ ออกขา้ งละพนั เศษ ใหซ้ มุ่ อยสู่ องฟาก ทาง ไกลทพั หนา้ ขน้ึ ไปทาง ๘๐ เสน้ ๙๐ เสน้ ไกลหนทางหา่ งออกไป ๒๐ เสน้ ๓๐ เสน้ ใหค้ อยอยู่ ไดย้ นิ เสยี งปนื ทพั หนา้ แลว้ ใหย้ กออกตหี ลงั ขา้ ศกึ นน้ั จงสามารถ กำหนดรกู้ นั ไดแ้ ลว้ ครน้ั ไดย้ นิ เสยี งปนื ทพั หนา้ ก็ ยกออกตีกระหนาบทั้ง ๒ ข้าง ได้ทีแล้วเข้ากระโจมฟันแทงบุกรุก ฆ่าฟันทหารชาวเมืองเชียงรายล้มตาย เปน็ อนั มาก

จลุ ยทุ ธการวงศ์ ความเรยี ง (ตอนตน้ ) ๑๗๑ ฝา่ ยนายทพั นายกองชาวเมอื งเชยี งราย เหน็ ทแกลว้ ทหารทง้ั หลายเสยี ทเี ขาฆา่ ฟนั ลม้ ตายเปน็ อนั มาก ดงั นน้ั กเ็ สยี ใจ จะคดิ แกไ้ ขอบุ ายถา่ ยเทผอ่ นผนั กเ็ หน็ มทิ นั ท่ี คดิ แตจ่ ะหนที ง้ั ไพรท่ ง้ั นาย พลทหารทง้ั หลาย เป็นอันมากนัก เห็นข้าศึกเข้มแข็งฝีมือเหลือกำลังก็สะดุ้งตกใจกลัวตัวสั่นก็แตกพ่ายกระจัดกระจาย หนกี นั ระสำ่ ระสายเบยี ดเสยี ด ยำ่ เหยยี บกนั เปน็ โกลาหลวง่ิ หนไี ป สว่ นพระเจา้ เชยี งรายเหน็ พลทหารลม้ ตายเปน็ อนั มาก แตกฉานหนพี า่ ยไปดงั นน้ั กบ็ งั เกดิ ความกลวั ยง่ิ นกั จงึ กลบั ชา้ งพระทน่ี ง่ั ขบั หนไี ปโดยเรว็ ฝ่ายว่าเจ้าเมืองสัตวงษรู้เห็นว่า เจ้าเมืองเชียงรายกับทหารทั้งหลายเสียทีแตกพ่ายหนีไปดังนั้น กเ็ รง่ ขบั ตอ้ นทหารโยธาทง้ั หลายใหเ้ รง่ ตดิ ตามตกี องทพั จบั เชลยใหจ้ งได้ ส่วนทหารทั้งหลายได้ทีก็ไล่ติดตามตี ที่ทันก็ฟันแทงฆ่าเสียซึ่งข้าศึกนั้นล้มตายเดียรดาษกลาด ไปในป่าก็มีบ้าง บ้างก็ล้มอยู่ริมทาง บ้างป่วยลำบาก บ้างตายเป็นอันมาก บ้างก็แตกฉานซ่านเซ็น ไปสทู่ ศิ นอ้ ยทศิ ใหญต่ า่ ง ๆ กนั ไป พระเจา้ เชยี งรายเรง่ รบี หนมี าโดยเรว็ เรง่ มากลางวนั กลางคนื ตราบเทา่ ถงึ เมอื งแหง่ ตน แลว้ ยงั คน ทง้ั หลายใหข้ น้ึ หนา้ ทเ่ี ชงิ เทนิ กำแพงปอ้ ม รกั ษาพระนครทกุ แหง่ ใหม้ น่ั คงโดยเรว็ คนทง้ั หลายซง่ึ อยใู่ นขอบขณั ฑสมี า บา้ นนอ้ ยบา้ นใหญต่ า่ ง ๆ ในแวน่ แควน้ แขวงเมอื งเชยี งรายนน้ั ครั้นรู้ว่ากองทัพแตกเสียแก่ข้าศึก ก็ตกใจกลัววิ่งหากันสับสนเอิกเกริกวุ่นวาย เก็บข้าวของเงินทอง พรรณผา้ นงุ่ หม่ หอกดาบงา้ วทวน ชกั ชวนกนั พาบตุ รภรยิ าบดิ ามารดาญาตแิ ลมติ รทง้ั หลาย ทง้ิ เทบา้ นเรอื น พาบตุ รหนขี า้ ศกึ ออกจากบา้ น เขา้ สปู่ า่ หลบหนลี เ้ี รน้ ซอ่ นซอนซอกอยใู่ นปา่ รกทก่ี ำบงั เปน็ อนั มาก ฝ่ายเจ้าเมืองสัตวงษก็เร่งพลโยธาทัพ ขับช้างพระที่นั่งเร่งรีบติดตามมาถึงเมืองเชียงรายแล้ว ให้ตั้งค่ายหลวงใกล้เมืองทางประมาณ ๕๐ เส้น ให้ทหารตั้งค่ายล้อมเมืองเชียงรายเป็นสามารถ ปรารภ เพอ่ื จะใหท้ หารเขา้ หกั เอาเมอื งใหจ้ งได้ เจา้ เมอื งเชยี งรายออกเลยี บดหู นา้ ทเ่ี ชงิ เทนิ เหน็ ทหารโยธาขา้ ศกึ นน้ั มากยง่ิ นกั เหน็ ทหารแหง่ ตน นอ้ ยนกั แตกหนไี ปเสยี อน่ื นน้ั มาก กเ็ สยี พระทยั จงึ ปรกึ ษาดว้ ยขา้ ราชการพจิ ารณาเหน็ วา่ จะรบั มหิ ยดุ จะสู้ มไิ ดเ้ หน็ มอิ าจจะรกั ษาเมอื งได้ จะใหก้ วาดตอ้ นคนบา้ นนอกเขา้ มาในเมอื ง จะไดจ้ ดั แจงการปอ้ งกนั เมอื งกม็ ิ ทันที จึงคิดอ่านกันที่จะหนี จึงป้องกันรักษาเมืองอยู่ได้ ๓ ราตรี ให้บังเกิดสะดุ้งตกใจมีภัยความกลัว

๑๗๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ยิ่งนัก พระเจ้าเชียงรายกับข้าราชการทั้งหลาย จึงจัดแจงเสบียงอาหารยานพาหนะช้างม้าโยธาทหารได้ ประมาณมากกว่าพัน พร้อมด้วยเครื่องสาตราวุธต่าง ๆ แล้วก็พาบุตรทาราทาสาทาสีญาติมิตร บิดา มารดาเสนาอำมาตย์ทาสกรรมกรพร้อมแล้ว เพลาสองยามฤกษ์ดีก็ยกแหกออกไปจากเมืองตามกระบวน ลา่ ทพั ใหท้ หารแซงซา้ ยขวานำหนา้ อยรู่ ง้ั หลงั คอยปอ้ งกนั รอรบตา้ นทาน พาอพยพครอบครวั เรง่ รบี หนไี ป โดยเรว็ ฝา่ ยชาวกองทพั บา้ งนอนหลบั อยเู่ ปน็ อนั มาก ครน้ั ไดย้ นิ เสยี งเทา้ ชา้ งมา้ โยธาคนทง้ั หลาย อนั ออก ไปจากเมอื งขา้ งทกั ขณิ ทศิ นน้ั กร็ วู้ า่ ชาวเมอื งเชยี งรายเทเมอื งแตกหนไี ปแลว้ เรง่ รดั ปลกุ กนั ขน้ึ ออกตดิ ตาม ไปไม่พร้อมกัน บ้างหลับบ้างตื่น ไปทันบ้างไม่ทันบ้าง ที่ไปทันนั้นน้อย ที่ไปไม่ทันนั้นมาก ได้รบบ้าง มไิ ดร้ บบา้ ง ตดิ ตามไปจนสน้ิ แดนไมไ่ ดเ้ จา้ เมอื งแลว้ กองทพั นน้ั กก็ ลบั คนื เขา้ สเู่ มอื งนน้ั เจา้ เมอื งสตั วงษนน้ั ไดเ้ มอื งนน้ั แลว้ ใหจ้ ดั แจงเกลย้ี กลอ่ มมหาชนทง้ั หลายอนั หนอี ยปู่ า่ ใหเ้ ขา้ มา อยบู่ า้ นตามภมู ลิ ำเนาสน้ิ แลว้ ใหต้ บแตง่ บา้ นเมอื งแลทำการพธิ พี ลกี รรมทำขวญั สมโภชพระนคร แลว้ กอ็ ยู่ วา่ ราชการในเมอื งเชยี งราย สำเรจ็ ความปรารถนาอนั ไดอ้ ธษิ ฐานมาแตก่ อ่ นนน้ั ฝ่ายพระเจ้าเชียงราย พาบริวารทั้งหลายมาสู่สยามประเทศ ถึงอรัญราวป่าฟากแม่น้ำเมือง กำแพงเพช๑ ขา้ งตะวนั ตก บอกกลา่ วเหตกุ ารณท์ ง้ั ปวงใหแ้ จง้ แกเ่ จา้ เมอื งกรมการทง้ั ปวง ขอพง่ึ โพธสิ มภาร เปน็ ขา้ ขอบขณั ฑเสมาอาศยั อยสู่ บื ไป ขณะนน้ั สมเดจ็ อมรนิ ทราธริ าชพจิ ารณาดรู เู้ หตวุ า่ พญานน้ั มบี ญุ ญาธกิ ารมาก จะไดเ้ ปน็ เชอ้ื สาย เค้ามูลแห่งกษัตริย์ทั้งหลาย จะได้ทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาในสยามประเทศ จึงลงมาจากเทวโลกด้วย เพศเป็นดาบส ทรงพรตกิริยางดงามยิ่งนัก มายืนอยู่ตรงหน้าช้างพระที่นั่งด้วยเทวฤทธิ์ ร้องห้ามว่า พระเจ้าเชียงรายอย่าไปอื่นเลยข้าศึกหามาตามไม่แล้ว พระองค์จงให้สร้างเมืองที่นี่เถิด จะเป็นมงคลดี อยหู่ าภยั มไิ ด้ พระเจา้ เชยี งรายเมอ่ื ไดท้ รงฟงั บงั เกดิ ปตี โิ สมนสั นมสั การพระดาบสแลว้ ยงั คนทง้ั หลาย ใหจ้ ดั แจงตบแตง่ ทส่ี รา้ งเมอื งลงในทน่ี น้ั พรอ้ มดว้ ยกำแพงปอ้ มคปู ระตหู อรบ ปรางคป์ ราสาทราชเรอื นหลวง โรงช้างโรงม้าศาลาลูกขุนถนนหนทางยุ้งฉางบริบูรณ์ทั้งปวง สำเร็จด้วยเทวฤทธิ์แลราชฤทธิ์แล้วมิได้ช้า ๑ ชื่อเมืองนี้ จุลยุทธการวงศ์ (ความเรียง) ที่พิมพ์ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๖ ฉบับ พ.ศ.๒๔๘๐ ใช้ว่า \"กำแพงเพ็ชร\" สว่ นประชมุ พงศาวดารเลม่ ๔๑ ฉบับ พ.ศ.๒๕๑๒ ใช้ ว่า \"กำแพงเพชร\" แต่ในจลุ ยทุ ธการวงศ์ ฉบับพิมพ์วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๐ (พิมพ์แจกในงานปลงศพ นายจ้อื เทวินทภกั ติ) ใช้ว่า \"เมอื งกำแพงเพช็ ร\"์

จลุ ยทุ ธการวงศ์ ความเรยี ง (ตอนตน้ ) ๑๗๓ แตใ่ น ๔ เดอื น เมอื งนน้ั มนี ามบญั ญตั ชิ อ่ื วา่ เมอื งไตรตรงึ ๑ ปรากฏมาตราบเทา่ ทกุ วนั น้ี พระเจา้ เชยี งราย เสวยราชสมบตั อิ ยใู่ นเมอื งนน้ั เปน็ บรมสขุ ปราศจากอรนิ ทรร์ าชขา้ ศกึ มาชา้ นาน จำเรญิ มาดว้ ยพระราชบตุ ร ราชธิดา มีศรัทธาเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา บำเพ็ญพระราชกุศลมีให้ทานรักษาศีลเป็นต้นมาช้านาน หาภยั อนั ตรายมไิ ดต้ ราบเทา่ สน้ิ อายขุ ยั สน้ิ พระชนมแ์ ลว้ กไ็ ปตามยถากรรมของพระองคน์ น้ั พระราชบตุ รแหง่ พญานน้ั ทรงพระนามชอ่ื วา่ พระเจา้ ไตรตรงึ ไดเ้ สวยราชสมบตั สิ บื มา มพี ระราช บุตรราชนัดดาต่อมาถึง ๓ ชั่ว ๔ ชั่ว พญาเป็นสัมมาทิฐิ มีศรัทธาบำเพ็ญพระราชกุศลมีรักษาศีล แลใหท้ านเปน็ ตน้ เคารพเลอ่ื มใสในพระพทุ ธศาสนา เปน็ สขุ มาชา้ นานหาภยั อนั ตรายมไิ ด้ ในกาลครง้ั นน้ั ยงั มบี รุ ษุ ผหู้ นง่ึ มสี รรี กายเปน็ ปมเปาหดู ตอ่ มทว่ั ทง้ั ตวั เปน็ คนไพรอ่ ยใู่ นบา้ นนอก ใตเ้ มอื งไตรตรงึ อนั ชอ่ื วา่ เมอื งแปบนน้ั ลงมาทางไกลวนั หนง่ึ ทำไรป่ ลกู ฟกั แฟงแตงนำ้ เตา้ พรกิ มะเขอื ตา่ ง ๆ กล้วยอ้อยเผือกมันขายแลกเลี้ยงชีวิต หาภริยามิได้มาช้านาน มะเขือต้นหนึ่งอยู่ใกล้บันไดเรือน บรุ ษุ นน้ั ไปเบาลงทร่ี มิ ตน้ มะเขอื นน้ั เนอื ง ๆ ลกู มะเขอื นน้ั ใหญโ่ ตงามกวา่ ทกุ ตน้ ในไรน่ น้ั ผลมะเขอื นน้ั เปน็ ทร่ี กั ทช่ี อบใจยง่ิ นกั ครน้ั นน้ั ยงั มพี ระราชธดิ าแหง่ พญาไตรตรงึ พระองคห์ นง่ึ มพี ระรปู พระโฉมงามพรอ้ มบรบิ รู ณ์ ด้วยเบญจกัลยาณี จึงมีพระนามชื่อนางแก้วกัลยานี ๒ มอี ายไุ ด้ ๑๗-๑๘ ปี มพี ระทยั สภดั ๓ ยินดีด้วย ราคจติ คดิ อยากเสวยมะเขอื เปน็ กำลงั ยง่ิ นกั จงึ ให้ทาสาทาสีไปเทย่ี วหาซอ้ื มะเขอื ทาสาทาสนี น้ั จงึ ไปเทย่ี ว หาซอ้ื มะเขอื ทต่ี ลาดใตเ้ หนอื หลายแหง่ ไมไ่ ดม้ ะเขอื จงึ สบื เสาะไปจนถงึ ไรข่ องบรุ ษุ นน้ั จงึ ซอ้ื มะเขอื ลกู ใหญ่ งามของบรุ ษุ เปน็ ปมนน้ั ได้ จงึ นำถวายแกพ่ ระราชธดิ า พระราชธดิ าจงึ เสวยมะเขอื นน้ั จะมเี หตใุ หบ้ งั เกดิ โอชารสซับซาบ ให้นางมีจิตปีติโสมนัสยินดียิ่งนักเป็นกำลัง จนมีกายกำเริบต่าง ๆ ทั้งนี้นางนั้นจะได้ พระราชบตุ รผมู้ บี ญุ มาบงั เกดิ แลจะไดพ้ ระภสั ดาสามผี มู้ บี ญุ ญาธกิ ารมาก อนง่ึ เหตภุ าวะแหง่ คนทง้ั สามนน้ั ไดก้ ระทำบญุ มาดว้ ยกนั แตก่ อ่ น ในกาลนน้ั สตั วผ์ หู้ นง่ึ มบี ญุ ญาธกิ ารไดก้ ระทำมามาก มาอบุ ตั ปิ ฏสิ นธบิ งั เกดิ ในครรภน์ โิ ครธรแหง่ พระราชธดิ านน้ั ดว้ ยเหตวุ า่ นางไดเ้ สวยมะเขอื อนั เปน็ เชอ้ื อปุ นสิ ยั สมั ภวะแหง่ บรุ ษุ สรรี กายเปน็ ปม อนั กระทำ ปัสสาวะในที่ใกล้ริมต้นมะเขือนั้น ครรภ์อุทรแห่งนางแก้วกัลยานีนั้นก็เห็นปรากฏขึ้นมา ฝ่ายพระญาติ ๑ ปจั จุบันนิยมเขียนว่า \"ไตรตรงึ ส\"์ ๒ ในจลุ ยทุ ธการวงศ์ (ความเรยี ง) ฉบับพิมพ์วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๐ และ ที่พิมพ์ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๖ ฉบับ พ.ศ. ๒๔๘๐ และในประชมุ พงศาวดารเลม่ ๔๑ ฉบับ พ.ศ.๒๕๑๒ ใช้ว่า \"แกว้ กลั ยาณ\"ี ๓ คำนี้ในต้นฉบับเอกสารโบราณสมุดไทยดำเขียนว่า \"ส่ภัด\" ส่วนในจุลยุทธการวงศ์ ที่พิมพ์ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๖ ฉบับ พ.ศ.๒๔๘๐ ใช้ว่า \"สะกัด\" และในจลุ ยทุ ธการวงศ์ที่พิมพ์ วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๘๐ (แจกในงานปลงศพนายจื้อ เทวินทรภักต)ิ ใช้ว่า \"กะสัน\" แต่ในจุลยุทธการวงศ์ ที่พิมพ์ใน ประชุมพงศาวดาร เล่ม ๔๑ ฉบับ พ.ศ.๒๕๑๒ ใช้ว่า \"สกัด\" \"สภัด\" น่าจะตรงกับคำ \"สะพัด\"

๑๗๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ พระวงศา ครั้นเห็นครรภ์แห่งนางเห็นวิปริต จึงไถ่ถามตามประเพณีคดีโลก ได้ฟังเหตุอันนางบอกด้วย วาจาสจั วา่ ขา้ นม้ี ไิ ดค้ บหาสงั วาสดว้ ยบรุ ษุ ผใู้ ดผหู้ นง่ึ เปน็ อนั ขาด กเ็ หน็ ความจรงิ ดว้ ยสจุ รติ ดว้ ยอานภุ าพ บุญแห่งสัตว์อันอยู่ในครรภ์นั้น พระญาติพระวงศ์ทั้งหลายมิได้โกรธ เชื่อถือช่วยกันอภิบาลรักษาครรภ์ ด้วยเมตตาจิต นางนั้นก็รักษาครรภ์นั้นมา เมื่อถ้วนกำหนดทศมาสจึงคลอดซึ่งพระราชบุตรทรง พระรปู โฉมงามยง่ิ นกั ประดจุ รปู ทอง ประกอบดว้ ยลกั ษณะอนั บรบิ รู ณ์ พระญาตพิ ระวงศม์ พี ระเมตตารกั ใคร่ ชว่ ยบำรงุ บำเรออปุ ถมั ภนาการ เลย้ี งรกั ษาดว้ ยสจุ รติ เปน็ ปกติมา สมเด็จพระอัยกานั้นมีพระทัยปรารถนา เพื่อจะเสี่ยงทายพระราชนัดดา ทดลองดูจะใคร่รู้ว่า บุรุษผู้ใดจะเป็นบิดาของพระราชกุมาร ครั้นทรงพระดำริแล้วจึงสั่งแกร่ าชบุรุษทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลาย จงให้คนเอาฆ้องกลองไปเที่ยวตีป่าวบอกกล่าวแก่บุรุษทั้งหลายในกรุงนอกกรุงศรี ฯ๑ แขวงจังหวัดจงทั่ว ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป ๓ วันให้บุรุษทั้งหลายเข้ามาในพระราชวัง ให้ถือมาซึ่งขนมแลผลไม้ต่าง ๆ ตามที่มีแต่ สง่ิ ละนอ้ ยใหเ้ รง่ เขา้ มา ราชบุรุษทั้งหลายก็ให้ไปเที่ยวตีฆ้องร้องป่าวทั่วทุกทิศตามรับสั่ง ฝ่ายบุรุษทั้งหลายรู้ว่ารับสั่งให้ เข้าไปในพระราชวังดังนั้น ได้ขนมบ้างได้ผลไม้ต่าง ๆ กัน เผือกมันกล้วยอ้อยตามที่มีก็ถือเข้าไปใน พระราชวงั สมเดจ็ พระอยั กาใหต้ กแตง่ ประดบั พระราชนดั ดาดว้ ยเครอ่ื งกมุ ารอาภรณอ์ ลงั การอนั วจิ ติ ร วภิ ษู ติ สงั วาลงามเลศิ แลว้ จงึ ใหพ้ ระหลานแกว้ นสิ ที นาการเหนอื ราชาอาสน์ อนั ตกแตง่ เปน็ อนั ดใี นทพ่ี ระราชฐาน แลว้ ใหเ้ รยี กหาบรุ ษุ เขา้ มาทลี ะคน ใหถ้ อื ขนมของกนิ กลว้ ยออ้ ยผลไมเ้ ขา้ ไปสสู่ ำนกั แหง่ พระราชกมุ าร สมเดจ็ พระอยั กาจงึ อธษิ ฐานวา่ บรุ ษุ ผใู้ ดเปน็ บดิ าของพระราชกมุ ารแทจ้ รงิ ไซร้ กใ็ หพ้ ระราชกมุ าร นี้จงถือข้าวของวัตถุของบุรุษผู้นั้น ถ้ามิใช่บิดา อย่าให้พระราชกุมารถือข้าวของวัตถุของบุรุษผู้นั้นเลย ครั้นอธิษฐานแล้วก็ให้พระราชกุมารเข้าไปถือเอาของวัตถุบุรุษนั้น แลชายแสนปมนั้นได้แต่ก้อนข้าวเย็น ถอื มากอ้ นหนง่ึ พระราชกมุ ารกเ็ ขา้ กอดเอาคอ แลว้ รบั เอากอ้ นขา้ วเยน็ มาเสวย ชนทง้ั ปวงเหน็ พศิ วงชวน กันติเตียนต่าง ๆ พระเจ้าไตรตรึงละอายพระทัยได้ความอัปยศ จึงพระราชทานพระราชธิดาแล พระราชนัดดาให้แก่ชายแสนปม ให้ใส่แพลอยไปถึงที่ไร่มะเขือ อันเป็นที่อยู่ไกลจากพระนครทางวันหนึ่ง ชายแสนปมก็พาบุตรภรรยาขึ้นสู่ไร่ ด้วยเดชะบุญชนทั้ง ๓ บันดาลใหส้ มเด็จอมรินทราธิราชนิมิตกายเป็น ๑ ในตน้ ฉบับจลุ ยทุ ธการวงศ(์ ความเรยี ง) เอกสารโบราณสมดุ ไทยดำ หอสมดุ แหง่ ชาติ ใชว้ า่ \"กรงุ ส\"ี

จลุ ยทุ ธการวงศ์ ความเรยี ง (ตอนตน้ ) ๑๗๕ วานร เอากลองทิพย์มาส่งให้ชายแสนปม แล้วตรัสบอกว่า ท่านจะปรารถนาสิ่งไรจงตีกลองนี้ อาจให้ สำเรจ็ ความปรารถนาไดส้ น้ิ ชายแสนปมจงึ ปรารถนาใหร้ ปู งาม จงึ ตกี ลองนน้ั ปมเปาทง้ั ปวงกอ็ นั ตรธาน สญู หาย รปู กายนน้ั กบ็ รสิ ทุ ธ์ิ แลว้ กน็ ำกลองนน้ั มาสทู่ อ่ี ยู่ แลว้ กบ็ อกแกภ่ รรยา นางกม็ คี วามยนิ ดี จงึ ตกี ลอง ทพิ ย์ นมิ ติ ทองใหช้ า่ งตอี ู่ทองใหพ้ ระโอรสบรรทม เหตดุ งั นน้ั พระราชกมุ ารจงึ มนี ามวา่ เจา้ อทู่ องจำเดมิ แต่ นั้นมา จุลศักราช ๖๘๑ ปีมะแมเอกศก บิดาเจ้าอู่ทองจึงตีกลองทิพย์นิมิตเป็นพระนครขึ้นในที่นั้น ให้นามชื่อว่าเทพมหานคร เหตุสำเร็จด้วยอานุภาพเทพยุดา แลชนทั้งหลายชวนกันมาอาศัยอยู่ ณ เมืองนั้นเป็นอันมาก พระองค์ได้เสวยราชสมบัติทรงพระนามพระเจ้าสีวิไชยเชียงแสน๑ ปรากฏในสยาม ประเทศนี้ จุลศักราช ๗๐๖ ปีวอกฉอศก สมเด็จพระเจ้าสีวิไชยเชียงแสนชีวงคต อยู่ในราชสมบัติ ๒๖ ปี แล้วกลองทิพย์นั้นก็อันตรธานหาย สมเด็จพระเจ้าอู่ทองราชโอรสได้เสวยราชสมบัติแทน พระราชบิดาได้ ๖ พระพรรษา ทรงพระปรารภจะสร้างพระนครใหม่ จึ่งให้ราชบุรุษเที่ยวแสวงหาภูมิ ประเทศ ที่มีพรรณมัจฉาชาติครบบริบูรณ์ ราชบุรุษก็เที่ยวหามาโดยทักขิณทิศ ถึงประเทศที่หนองโสน กอปรด้วยพรรณปลาพร้อมทุกสิ่ง จึงกลับไปกราบทูล พระเจ้าอู่ทองจึงยกจตุรงค์โยธาประชาราษฎร์ ทั้งปวงมาสู่ประเทศที่นั้น จุลศักราช ๗๑๒๒ ปีขาลโทศก ทรงสร้างพระนครเสร็จให้นามชื่อ กรุงเทพมหานคร ตามนามพระนครเดิม ๑ ให้นามชื่อ ทวาราวดี เหตุมีคงคาล้อมรอบดุจนามเมือง ทวาราวดี ๑ ใหน้ ามชอ่ื สอี ยทุ ธยา เหตเุ ปน็ ทอ่ี ยแู่ หง่ ชนชราทง้ั สอง ศรแี ลตาอทุ ธยา เปน็ สามภี รรยากนั อาศัยอยู่ในที่นั้นนาม ๑ แลนามทั้งสามประกอบกันจึงเรียกว่า กรุงเทพมหานครทวาราวดีศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าอู่ทองได้ราชาภิเษกเสวยราชสมบัติพระชนม์ได้ ๓๗ พระพรรษา ถวายพระนาม สมเด็จพระเจ้ารามาธิบดี ๓ แลเมื่อแรกได้ราชาภิเษกนั้น ไดส้ ังข์ทักษิณาวรรตภายใตต้ น้ หมนั ในพระนคร สังข์ ๑ แล้วทรงสร้างพระที่นั่งไพรทูริยมหาปราสาท๔ องค์หนึ่ง พระที่นั่งไพรชนมหาปราสาท๕ องค์หนึ่ง ๑ พระนามนี้ ในจลุ ยทุ ธการวงศ์ (ความเรยี ง) ที่พิมพ์ในประชมุ พงศาวดาร ภาคท่ี ๖๖ ฉบับ พ.ศ.๒๔๘๐ และในประชมุ พงศาวดาร เล่ม ๔๑ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๑๒ ออกพระนามไว้ว่า \"ศรีวิชัยเชียงแสน\" ส่วนที่ใช้ว่า \"สีวิไชยเชียงแสน\" นั้น เพื่อให้คงตามต้นฉบับเอกสารโบราณ สมดุ ไท๒ยดำพห.ศอ.ส๑ม๘ดุ แ๙ห๓ง่ ชาติ อยา่ งไรกด็ ี ในเอกสารประวตั ศิ าสตรท์ ไ่ี ดต้ รวจสอบแลว้ มกั นยิ มออกพระนามวา่ \"พระเจา้ ศริ ไิ ชยเชยี งแสน\" ๓ อีกพระนามหนึ่งคือ พระเจ้าอู่ทองหรือสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ต้นราชวงศ์เชียงราย ปฐมกษัตริย์ผู้ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยา ครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.๑๘๙๓-๑๙๑๒ ๔ ชื่อปราสาทองค์นี้ ในจุลยุทธการวงศ์ (ความเรียง) ฉบับพิมพ์วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๐ ใช้ว่า \"ไพฑรุ ยิ มหาปราสาท\" แต่ในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๖ ฉบับ พ.ศ. ๒๔๘๐ ใช้ว่า \"ไพฑรู ยิ ม์ หาปราสาท\" ส่วนในประชุมพงศาวดารเล่ม ๔๑ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๑๒ ใช้ว่า \"ไ๕พฑรูชยื่อม์ ปหราาปสาราทสอางทค\"์นี้ ในจุลยุทธการวงศ์ (ความเรียง) ฉบับพิมพ์วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๐ ใช้ว่า \"ไพรชยนตม์ หาปราสาท\" แตใ่ นประชมุ พงศาวดารภาคที่ ๖๖ ฉบับ พ.ศ. ๒๔๘๐ ใชว้ ่า \"ไพชยนตมหาปราสาท\" ส่วนในประชุมพงศาวดาร เลม่ ๔๑ ฉบบั พ.ศ. ๒๕๑๒ ใช้ว่า \"ไพชยนต์มหาปราสาท\"

๑๗๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ พระที่นั่งไอยสวรรมหาปราสาท๑ องค์หนึ่ง แล้วให้พระบรมราชาธิราช๒ ผู้เป็นพระราชวงศ์ผู้ใหญ่ตรัส เรยี กวา่ พระเชษฐาธริ าชนน้ั ไปครองเมอื งสพุ รรณบรุ ี ใหพ้ ระราชบตุ รทรงพระนาม พระรามเมศวร๓ ไปครอง เมอื งลพบรู ี ๔ ครง้ั นน้ั เมอื งประเทศราชขน้ึ ๑๖ หวั เมอื ง คอื เมอื งมะลากา๕ ๑ เมอื งชะวา๖ ๑ เมอื ง ตะนาวส๗ี ๑ เมอื งทวาย๘ ๑ เมอื งเมาะตะหมะ๙ ๑ เมอื งเมาะลำเลง่ิ ๑๐ ๑ เมอื งนครศรธี รรมราช ๑ เมอื งสงขลา ๑ เมอื งจนั ทบรู ร๑๑ ๑ เมอื งพระพศิ นโุ ลกย์ ๑๒ ๑ เมอื งสวรรคโลก ๑ เมอื งสกุ โขไทย ๑ เมอื งพไิ ชย๑๓ ๑ เมอื งพจิ ติ ร ๑ เมอื งกำแพงเพช ๑ เมอื งนครสวรรค๑๔ ๑ แลพระองคส์ รา้ งวดั พไุ ทสวรร๑๕ แลวดั ปา่ แกว้ จลุ ศกั ราช ๗๓๑ ปรี ะกาเอกศก สมเดจ็ พระรามาธบิ ดีสวรรคต อยใู่ นราชสมบตั ิ ๒๐ ปี ๑ ชื่อปราสาทองค์นี้ในจุลยุทธการวงศ์(ความเรียง) ฉบับพิมพ์วันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๐ ใช้ว่า \"ไอสวรรคมหาปราสาท\" ในประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๖๖ ฉบบั พ.ศ.๒๔๘๐ และในประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๔๑ ฉบับ พ.ศ.๒๕๑๒ ใช้เหมือนกันว่า \"ไอศวรรยม์ หาปราสาท\" ๒ สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชท่ี ๑ (ขนุ หลวงพงว่ั ,พะงว่ั ) ต้นราชวงศส์ พุ รรณภมู ิ ครองราชยร์ ะหวา่ ง พ.ศ.๑๙๑๓- ๑๙๓๑ ๓ พระนามน้ี ในจลุ ยทุ ธการวงศ(์ ความเรยี ง) ทพ่ี มิ พใ์ นประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๖๖ ฉบบั พ.ศ.๒๔๘๐ และในประชมุ พงศาวดารเลม่ ๔๑ ฉบับ พ.ศ.๒๕๑๒ ใช้เหมือนกันว่า \"พระราเมศวร\" กษัตริย์อยุธยาองค์ที่ ๒ แห่งราชวงศเ์ ชยี งราย ครองราชย์ ๒ ครั้ง ครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๑๙๑๒- ๑๙๑๓ และครั้งที่ ๒ พ.ศ.๑๙๓๑-๑๙๓๘ ๔ ปจั จบุ นั เปน็ \"เมอื งลพบรุ \"ี ๕ ชื่อเมืองนี้ ในจุลยุทธการวงศ(์ ความเรียง) ฉบบั พิมพ์วนั ท่ี ๑๗ กุมภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๔๘๐ และในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๖ ฉบับ พ.ศ.๒๔๘๐ และในประชมุ พงศาวดารเลม่ ๔๑ ฉบบั พ.ศ.๒๕๑๒ ใชว้ ่า \"มะละกา\" ๖ ชอ่ื เมอื งนใ้ี นจลุ ยทุ ธการวงศ์ (ความเรยี ง) ฉบบั พมิ พว์ นั ท่ี ๑๗ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๔๘๐ และในประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๖๖ ฉบบั พ.ศ.๒๔๘๐ ใชว้ า่ \"ชะวา\" เหมอื นในต้นฉบบั เอกสารโบราณสมุดไทยดำ แตใ่ นประชุมพงศาวดารเล่ม ๔๑ ฉบบั พ.ศ.๒๕๑๒ ใชว้ า่ \"ชวา\" ๗ ชื่อเมืองนี้ ในจุลยุทธการวงศ์(ความเรียง) ที่พิมพ์ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๖ ฉบับ พ.ศ.๒๔๘๐ ใช้ว่า \"ตะนาวสี\" เหมอื นในตน้ ฉบบั เอกสารโบราณสมดุ ไทยดำ แตใ่ นประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๔๑ ฉบบั พ.ศ.๒๕๑๒ ใชว้ า่ \"ตะนาวศร\"ี ๘ ชอ่ื เมอื งนใ้ี นตน้ ฉบบั เอกสารสมดุ ไทยดำใชว้ า่ \"ทวาย\" แตใ่ นจลุ ยทุ ธการวงศ์ (ความเรยี ง) ฉบบั พมิ พว์ นั ท่ี ๑๗ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๔๘๐ และในประชมุ พงศาวดาร ภาคท่ี ๖๖ ฉบบั พ.ศ.๒๔๘๐ และในประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๔๑ ฉบบั พ.ศ.๒๕๑๒ ใชว้ า่ \"ทะวาย\" ๙ ปัจจุบันนิยมเขียนว่า \"เมาะตะมะ\" ๑๐ หรือ เมอื งเมาะลำเลงิ ๑๑ ชื่อเมืองนี้ ในจุลยุทธการวงศ์ที่พิมพ์ในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๖ ฉบับ พ.ศ.๒๔๘๐ และในประชุมพงศาวดาร เล่ม ๔๑ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๑๒ ใช้ว่า \"จันทบุรี\" แตใ่ นจลุ ยุทธการวงศ์ ฉบบั พิมพ์วนั ที่ ๑๗ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ. ๒๔๘๐ (พมิ พแ์ จกในงานปลงศพนายจ้อื เทวินทรภกั ต)ิ ใชว้ า่ \"จันทบูรณ์\" ๑๒ เมอื งพษิ ณโุ ลก ในปจั จบุ นั ๑๓ ปจั จบุ นั นยิ มเขยี นวา่ \"พชิ ยั \" ๑๔ ปจั จบุ ัน เขียนว่า \"นครสวรรค์\" ๑๕ วดั พทุ ไธสวรรย์ จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา แตช่ อ่ื ของวดั นใ้ี นจลุ ยทุ ธการวงศ์ ทพ่ี มิ พใ์ นประชมุ พงศาวดาร ภาคท่ี ๖๖ ฉบบั พ.ศ.๒๔๘๐ และในประชุมพงศาวดาร เล่มที่ ๔๑ ฉบับ พ.ศ.๒๕๑๒ ใช้ว่า \"วดั พทุ ไธศวรรย์\"

เรอ่ื งพระรว่ งสโุ ขทยั ๑๗๗ เรอ่ื งพระรว่ งสโุ ขทยั * ๑ จลุ ศกั ราช ๕๓๖ พระเจา้ สรุ ยิ ราชาซง่ึ เปน็ เชอ้ื พระวงศข์ องพระเจา้ ประทมุ สรุ ยิ วงษ์ ๒ ไดท้ รงตกแตง่ ซอ่ มแปลงเมอื งพจิ ติ รปราการขน้ึ ใหมค่ รองราชสมบตั ติ อ่ ไป มพี ระอคั รมเหสที รงพระนามวา่ ศริ สิ ทุ าราชเทวี ๓ มีพระราชโอรสองค์หนึ่งด้วยพระอัครมเหสี ทรงพระนามว่าจันทกุมาร พระเจ้าสุริยราชาเมื่อแรกได้ ราชสมบัติ พระชนม์ได้ ๒๐ พรรษาอยู่ในราชสมบัติ ๒๗ พรรษา เสด็จสวรรคต พระชนม์ได้ ๔๗ พรรษา พระองคป์ ระสตู วิ นั จนั ทร์ ลจุ ลุ ศกั ราช ๕๗๐ พระจนั ทกมุ ารราชโอรสไดข้ น้ึ ครองราชสมบตั ทิ รงพระนามวา่ พระเจา้ จนั ทราชา พระองค์ทรงสร้างเมืองศุโขไทย๔ ขึ้นครองราชสมบัติต่อไป มีพระอัครมเหสีทรงพระนามว่าสุริยาเทวี พระองคเ์ สวยนำ้ สระเมอื งลพบรุ ี พลเมอื งชาวลพบรุ เี ปน็ สว่ ยนำ้ เสวย อยมู่ าวนั หนง่ึ พระองคเ์ สดจ็ ไปประพาส ป่า พร้อมด้วยพลโยธาทวยหาญเป็นอันมาก ได้ทอดพระเนตรเห็นนางกุมารีคนหนึ่ง มีรูปโฉมลักษณะ งดงามยง่ิ กวา่ นางมนษุ ยท์ ง้ั หลาย พระองคม์ คี วามเสนห่ า๕ รกั ใคร่ ไดต้ รสั ประโลมปราศยั แลไดร้ ว่ มอภริ มยด์ ว้ ย นางนน้ั ครน้ั แลว้ พระองคก์ ม็ พี ระทยั ปฏพิ ทั ธผ์ กู พนั ตรสั ๖ ประเลา้ ประโลมจะพานางไปสรู่ าชวงั จะตง้ั ไวเ้ ปน็ เอกอคั รนารี นางจงึ ทลู วา่ ขา้ พระองคม์ ใิ ชเ่ ปน็ หญงิ มนษุ ย์ เปน็ เชอ้ื ชาตนิ างนาคกมุ ารแี ปลงกายขน้ึ มาเทย่ี วใน เมอื งมนษุ ย์ จะตามเสดจ็ พระองคไ์ ปมไิ ด้ ถา้ ขา้ พระองคไ์ ดร้ ว่ มหมนู่ างสนมนาฏ ราชบรจิ ารกิ าของพระองค์ ในพระราชวงั ขา้ พระองคโ์ กรธเคอื งผใู้ ดขน้ึ มาแลว้ ๗ มนษุ ยเ์ หลา่ นน้ั จะทนพษิ อนั เปน็ ของขา้ พระบาทมไิ ด้ จะพากนั ตายเสยี สน้ิ เพราะฉะนน้ั ขา้ พระบาทจะขอบงั คมลาพระองคก์ ลบั ไปยงั เมอื งนาค ทลู ดงั นน้ั แลว้ * เรื่องราวของพระร่วง ยังมีปรากฏในที่อื่นอีกหลายแห่ง เช่น ประชุมจารึกสยาม ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๑ เฉพาะพงศาวดาร เหนือและพงศาวดารพม่ารามัญ ชินกาลมาลินี สิงหลปฏิมากร หรือสิหิงคนิทาน เรื่องราชาธิราช มูลศาสนา เรื่องนางอุทัย จามเทวีวงศ์ คำอธบิ ายพระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขา เลม่ ๑ ๑ ตรวจสอบชำระจากตน้ ฉบบั เอกสารโบราณ หอสมดุ แหง่ ชาตเิ ลขท่ี ๐๐๑. ๑/๑ ฝ พงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ตามฉบบั พมา่ ตอน ๑-๔ มัดที่ ๔ ตู้ ๑๒๑ (ประวัต:ิ พนั ตรหี ลวงโยธาธรรมนเิ ทศ ให้เมื่อ ๑๓ กันยายน ๒๔๕๖) ๒ พระนามนี้ ในเรื่องพระร่วงสุโขทัย ที่พิมพ์ในหนังสือคำให้การชาวกรุงเก่า ฉบับ พ.ศ. ๒๔๕๗ ใช้ว่า \"พระเจ้าปทุมสุริยวงษ\" ส่วนที่พิมพ์ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๖ ฉบับ พ.ศ.๒๔๘๐ และในประชุมพงศาวดาร เล่ม ๔๑ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๑๒ ใช้เหมือนกันว่า \"พระเจ้า๓ปทหุมรสือุริย\"สวริงสิศธุ\"์ าราชเทว\"ี ในประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๖๖ ฉบบั พ.ศ.๒๔๘๐ และในประชมุ พงศาวดารเลม่ ๔๑ ฉบับ พ.ศ.๒๕๑๒ ๔ ๕ ปจั จบุ นั เขยี นวา่ \"เมอื งสโุ ขทยั \" เนอ้ื ความชว่ งน้ี ในเรอ่ื งพระรว่ งสโุ ขทยั ทพ่ี มิ พใ์ นคำใหก้ ารชาวกรงุ เกา่ ฉบบั พ.ศ.๒๔๕๗ และในประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๖๖ ฉบบั พ.ศ.๒๔๖๘๐เนื้อรวคมวาทมงั้ ใตนอปนรนะี้ ชในุมฉพบงศับาอวื่นดาๆรที่ไเลดม่้ระ๔บ๑ุชื่อมฉาบใับนขพ้า.ศงต.๒้น๕ใช๑้ว๒่า ใช้วา่ \"_ _ _มคี วามเสนห่ า เล้าโลม และได้รว่ มอภริ มย์ดว้ ย_ _ _\" \"_ _ _ตรัสชวนจะพานางไปสู่ราชวัง_ _ _\" ๗ เนื้อความต่อจากนี้ ในฉบับอื่น ๆ ที่ได้ระบุชื่อมาในข้างต้น ใช้ว่า \"โกรธเคืองผู้ใดขึ้นมาแล้ว ก็จะพ่นพิษตามวิสัยนาค มนุษย์ เหลา่ น้ั จะทนพษิ อนั เปน็ ของขา้ พระบาทมไิ ด_้ _ _\"

๑๗๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ นางนาคกมุ ารนี น้ั กห็ ายไปจากสถานทน่ี น้ั กลบั ไปอยู่๑ นาคพภิ พ พระเจา้ จนั ทราชาทรงเสยี ดายนางนาคกมุ ารี ยิ่งนัก ก็เสด็จกลับคืนเข้าสู่พระราชวัง ครั้นอยู่มานางนาคกุมารีนั้นมีครรภ์ถ้วนกำหนดทศมาสแล้ว จึงขึ้นมายังเมืองมนุษย์ ตกฟองไว้ในที่ไร่อ้อยแห่งหนึ่ง ฟองนั้นโตประมาณเท่าผลมะพร้าวห้าว ครน้ั แลว้ นางนาคกมุ ารกี ก็ ลบั คนื ไปสนู่ าคพภิ พดงั เกา่ ในขณะนั้น ยายกับตาสองสามีภรรยาผู้เป็นเจ้าของไร่อ้อย พากันออกไปดูแลรักษาไร่ เห็นฟองนาคโตแปลกประหลาดดังนั้น ก็ยังไม่แจ้งว่าเป็นฟองสิ่งไร จึงนำฟองนั้นไปเก็บรักษาไว้ที่บ้าน ครน้ั อยไู่ มน่ านฟองนน้ั ครบกำหนดกแ็ ตกออกเปน็ กมุ าร มรี ปู โฉมลกั ษณะงามหาผเู้ สมอมไิ ด้ ยายตาไดเ้ หน็ ดงั นน้ั กม็ คี วามดใี จวา่ ไดบ้ ตุ รบญุ ธรรม รกั ใครก่ มุ ารนน้ั เปน็ อนั มาก จงึ หานนุ่ มาเยบ็ เปน็ เบาะเมาะใหก้ มุ ารนน้ั นอน แตก่ มุ ารนน้ั หาชอบนอนท่ี ๒ เบาะเมาะโดยปกตไิ ม่ มกั รอ้ งไหเ้ สอื กกายขน้ึ ไป๓ เบอ้ื งบนแหง่ ทน่ี อนเชน่ นน้ั ยายตาเหน็ ประหลาดดงั นน้ั จงึ ไปไตถ่ ามโหราจารยว์ า่ อาการของกมุ ารเปน็ ดงั นจ้ี ะรา้ ยดปี ระการใด โหราจารย์ จงึ ทำนายวา่ กมุ ารนเ้ี ปน็ ผมู้ บี ญุ จะเปน็ เชอ้ื ชาตเิ ทพยดาหรอื พระยานาคเปน็ แน่ ถา้ ทา่ นปรารถนาจะให้ กมุ ารนอ้ี ยู่ ๔ นอนเปน็ ปกติ จงตดั ลำไมไ้ ผท่ ข่ี น้ึ อยบู่ นตอไมม้ าสานเปน็ เสอ่ื ออ่ นปใู หน้ อน แตผ่ า้ หม่ นอนนน้ั ให้ลงเลขยันต์อาคมเสียก่อนแล้วจึงให้ห่ม ยายตาก็กระทำตามคำแนะนำของโหราจารย์นั้นทุกประการ ตง้ั แตน่ น้ั มากมุ ารนน้ั กร็ นู้ อนโดยปกติ มไิ ดร้ บกวนดงั แตก่ อ่ น ครน้ั อยมู่ ากมุ ารนน้ั เจรญิ วยั วฒั นาการขน้ึ มี อายุได้ ๑๕ ปี มีรูปกายผ่องใสโสภา แลมีอานุภาพมาก จะออกปากกล่าว๕ คำสิ่งใดให้เป็นอย่างไร กม็ กั ใหเ้ ปน็ ไปตามคำกลา่ วดงั นน้ั ยายตามคี วามเสนห่ าบตุ รบญุ ธรรมยง่ิ นกั จงึ ใหน้ ามวา่ พระรว่ ง ครน้ั อยมู่ า กติ ตศิ พั ทอ์ นั นท้ี ราบเขา้ ไปถงึ พระเจา้ จนั ทราชาผปู้ กครองกรงุ ศโุ ขไทย กม็ พี ระทยั พศิ วง จงึ ทรงดำรวิ า่ กมุ ารผนู้ เ้ี หน็ จะเปน็ บตุ รนางนาคกมุ ารมี าตกฟองไวเ้ ปน็ แน่ ถา้ เปน็ เชน่ นน้ั แลว้ กมุ ารนค้ี อื เป็นโอรสของเราเองโดยแท้ เมื่อพระองค์ทรงพระดำริดังนี้แล้ว จึงตรัสสั่งราชบุรุษให้ไปหายายตา เจา้ ของไรอ่ อ้ ย ใหพ้ ากมุ ารนน้ั เขา้ มาเฝา้ พระองค์ ๑ คำว่า \"อยู่\" นี้ ในฉบับอื่น ๆ ที่ได้ระบุชื่อมาในข้างต้นใช้ว่า \"สู่\" ๒ คำว่า \"ที่\" ซึ่งปรากฏในเรื่องพระรว่ งสโุ ขทยั ที่พิมพ์ในหนังสือ คำให้การชาวกรุงเก่า ฉบับ พ.ศ.๒๔๕๗ และในประชมุ พงศาวดาร ภาคที่ ๖๖ ฉบับ พ.ศ.๒๔๘๐ ตลอดจนในประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๔๑ ฉบับ พ.ศ.๒๕๑๒ ใช้ว่า \"บน\" ๓ เนื้อความต่อจากนี้ ในฉบับอื่น ๆ ที่ได้ระบุชื่อมาในข้างต้นใช้ว่า \"_ _ _มักร้องไห้เสือกกายขึ้นไปเสียเบื้องบนแห่งที่นอน_ _ _\" ๔ คำว่า \"อยู่\" นี้ ในฉบับอื่น ๆ ที่ได้ระบุชื่อมาในข้างต้น ใช้ว่า \"หลับ\" ๕ คำวา่ \"คำ\" ซง่ึ ปรากฏในเรอ่ื ง พระรว่ งสโุ ขทยั ทพ่ี มิ พใ์ นหนงั สอื คำใหก้ ารชาวกรงุ เกา่ ฉบบั พ.ศ.๒๔๕๗ และในประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๖๖ ฉบบั พ.ศ.๒๔๘๐ ตลอดจนในประชมุ พงศาวดารเล่ม ๔๑ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๑๒ ใชว้ า่ \"สงั่ \"

เรอ่ื งพระรว่ งสโุ ขทยั ๑๗๙ แต่ ๑ จดหมายเหตอุ กี ฉบบั หนง่ึ กลา่ ววา่ อยมู่ าคราวหนง่ึ พระองคใ์ หต้ ง้ั การพธิ สี รา้ งปราสาทราช มนเทียร ในขณะนั้นพวกราษฎรชาวบ้านในเมืองนอกเมือง พากันแตกตื่นเข้ามาดูงานพระราชพิธี ฝา่ ยยายตากพ็ าพระรว่ งบตุ รบญุ ธรรมนน้ั เขา้ มาดงู านพระราชพธิ ใี นเวลานน้ั ดว้ ย พระรว่ งไดอ้ อกปากพดู ในทา่ มกลางฝงู ชนวา่ เราเปน็ ผรู้ กั ษาทน่ี ้ี พอพดู ขาดคำลง เสาปราสาท นน้ั กโ็ อนเอนหวน่ั ไหวสะเทอื นสะทา้ นทว่ั ไป ฝา่ ยเสนาอำมาตยไ์ ดเ้ หน็ เหตมุ หศั จรรยด์ งั นน้ั จงึ นำความขน้ึ กราบทูลพระเจ้าศุโขไทย พระองค์ได้ทรงฟังดังนั้นก็มีความพิศวง จึงตรัสสั่งให้หายายตาให้พากุมารนั้น เขา้ เฝา้ จงึ มพี ระราชโองการตรสั ถามยายตาทง้ั สองวา่ กมุ ารนไ้ี ดม้ าแตไ่ หน ยายตาทง้ั สองจงึ กราบบงั คมทลู ให้ทราบความตามเหตุที่ได้กุมารนั้นมา ตั้งแต่ต้นจนปลาย พระเจ้าศุโขไทยได้ทรงฟังดังนั้นก็เข้าพระทัย ทรงเชื่อแน่ว่า กุมารนี้เป็นบุตรนางนาคกุมารี นั่นคือเป็นพระโอรสของพระองค์โดยแท้ ด้วยอำนาจ ความเมตตากรุณาของบิดาอันเคยมีแก่บุตรสืบขันธสันดานมาแต่บุรพชาติปางก่อนนั้น๒ แล้ว ก็ให้ พระองค์ทรงพระสิเนหายิ่งขึ้นแด่พระโอรสนี้ในปัจจุบันชาตินี้ จึงให้รับพระร่วงนั้นเลี้ยงไว้เป็นพระราชโอรส ของพระองคใ์ นพระราชวงั แลพระราชทานทรพั ยส์ ง่ิ ของเปน็ รางวลั แกย่ ายตาทง้ั สอง๓ ตามสมควร ครั้นอยู่มา พระอัครมเหสีใหญ่ของพระเจ้ากรุงศุโขไทย ประสูติพระราชโอรสองค์หนง่ึ ๔ พระองค์ ทรงประทานพระนามว่าพระร่วงเหมือนกัน แต่พระราชโอรสองค์ใหญ่ซึ่งประสูติจากนางนาคนั้นมี บญุ ญาธกิ ารศกั ดานภุ าพเปน็ อนั มาก ถา้ พระองคช์ พ้ี ระหตั ถต์ รสั สาปมนษุ ยแ์ ลสตั วใ์ ด ๆ เชน่ ผคู้ นทง้ั ปวง๕ แลชา้ ง มา้ โค กระบอื วา่ ใหก้ ลายเปน็ ศลิ า๖ หรอื ใหเ้ ปน็ สง่ิ อนั ใด กก็ ลบั กลายแลเปน็ ไปตามรบั สง่ั ทง้ั สน้ิ วนั หนง่ึ พระองคต์ รสั สง่ั วา่ ใหต้ น้ ไมท้ ง้ั ปวงเปน็ ผล ตน้ ไมน้ น้ั กเ็ ปน็ ผลตามรบั สง่ั แลตรสั วา่ ใหก้ า้ งปลาเปน็ ปลามีชีวิตไปตามเดิม ก็เป็นไปได้ตามรับสั่งของพระองค์ ด้วยอำนาจสัจบารมีอันแก่กล้าที่พระองค์ ไดส้ รา้ งสมอบรมมาแตห่ ลงั จงึ บนั ดาลใหเ้ ปน็ ไปไดด้ งั นน้ั เปน็ มหศั จรรยแ์ ล๗ ๑ เนื้อความต่อจากน้ี ในฉบับอืน่ ๆ ท่ไี ด้ระบชุ ่อื มาในข้างต้นใช้วา่ \"แต่เรอื่ งนจี้ ดหมายเหตอุ กี ฉบับ_ _ _\" ๒ เนื้อความต่อจากนี้ ซึ่งปรากฏในเรื่อง พระร่วงสุโขทัย ที่พิมพ์ในหนังสือ คำให้การชาวกรุงเก่า ฉบับ พ.ศ.๒๔๕๗ และในประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๖๖ ฉบับ พ.ศ. ๒๔๘๐ ตลอดจนในประชมุ พงศาวดารเลม่ ๔๑ ฉบับ พ.ศ.๒๕๑๒ ใช้ว่า \"_ _ _ป๓างก่อเนนื้อนั้นคแวลา้วมตก่อ็ใหจ้พากระนอี้ งค์ทซรึ่งงปพรระาสกิเฏนใหนาเยริ่งื่อขงึ้นพแรดะ่พร่วระงโสอุโรขสทนัย_ี้ _ _\" ที่พิมพ์ในหนังสือ คำให้การชาวกรุงเก่า ฉบับ พ.ศ.๒๔๕๗ และในประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๖๖ ฉบบั พ.ศ.๒๔๘๐ ตลอดจนในประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๔๑ ฉบบั พ.ศ.๒๕๑๒ ใชว้ า่ \"_ _ _ทง้ั สองเปน็ อนั มาก\" ๔ เนื้อความต่อจากนี้ ในฉบับอื่น ๆ ที่ได้ระบุชื่อมาแล้วในข้างต้น ใช้ว่า \"_ _ _พระราชโอรสองค์หนึ่ง สมเด็จพระราชบิดา พระราช๕ทานเนพอ้ื รคะนวาามมชวว่า่ งพนร้ีะใรนว่ ฉงบ_บั _อน่ื _\"ๆ ทไ่ี ดร้ ะบชุ อ่ื มาแลว้ ดงั ขา้ งตน้ ไมม่ คี ำวา่ \"ทง้ั ปวง\" ๖ คำวา่ \"ศิลา\" นใ้ี นฉบับอน่ื ๆ ทไี่ ด้ระบชุ ือ่ มาแล้วดังข้างตน้ ใชว้ า่ \"หนิ \" ๗ ในฉบับอื่น ใช้ว่า \"นัก\"

๑๘๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ครน้ั อยมู่ า พระรว่ งราชโอรสพระองคใ์ หญ่ จงึ กราบทลู ถามสมเดจ็ พระราชบดิ าวา่ ทกุ วนั นพ้ี ระองค์ ยังต้องส่งส่วยน้ำแก่เมืองอินทรปรัษฐ๑ อยู่หรือ พระราชบิดาจึงตรัสตอบ๒ ว่า เรายังต้องส่งส่วยน้ำแก่เขา อยู่เสมอ พระร่วงราชโอรสองค์ใหญ่จึงกราบทูลห้ามว่า ตั้งแต่วันนี้ไป ขอพระองค์อย่าได้ส่งส่วยน้ำแก่ เมอื งอนิ ทรปรษั ฐตอ่ ไปอกี เลย ถา้ พระเจา้ กรงุ อนิ ทรปรษั ฐใหย้ กกองทพั มาทำยำ่ ยแี กบ่ า้ นเมอื งของพระองค์ เป็นประการใด ข้าพระองค์จะอาสาสู้รบเอาจนสุดชีวิต ไม่ให้พระองค์แลไพร่พลได้ความเดือดร้อนเลย๓ พระเจ้ากรุงศุโขไทยก็ทรงเชื่อตามคำทูลของพระร่วงราชโอรสองค์ใหญ่ ด้วยได้ทรงเห็นอภินิหารอันเป็น อศั จรรยต์ า่ ง ๆ มาแตห่ ลงั แลว้ ดงั นน้ั ๔ ฝา่ ยพระเจา้ กรงุ อนิ ทรปรษั ฐ ครน้ั ไดท้ ราบวา่ พระเจา้ กรงุ ศโุ ขไทยตง้ั แขง็ เมอื งไมส่ ง่ สว่ ยนำ้ ดงั นน้ั แลว้ ๕ จงึ ตรสั สง่ั พระราชโอรสผเู้ ปน็ พระมหาอปุ ราชาวา่ พระเจา้ จนั ทราชาเมอื งศโุ ขไทยเคยสง่ สว่ ยนำ้ ใหแ้ กเ่ มอื งเรา สืบต่อกันมาหลายชั่วผู้ครองเมืองแล้ว บัดนี้มาแปรพักตร์ไม่ยอมส่งส่วยน้ำให้แก่เรา๖ เพราะคิดจะต่อสู้ กับเรา เจ้าจงยกพยุหโยธาทัพไปตีเมืองศุโขไทย ให้มีชัยชนะแก่เจ้าจันทราชาจงได้ พระมหาอุปราชถือ รบั สง่ั พระราชบดิ าแลว้ กก็ รธี าพยหุ โยธาทพั ออกจากกรงุ อนิ ทปรษั ฐไปถงึ เมอื งศโุ ขไทย กย็ กพลเขา้ ประชดิ ลอ้ มเมอื งไว้ ฝ่ายพระเจ้าจันทราชาก็แต่งให้พระร่วงราชโอรสองค์ใหญ่ยก๗ กองทัพพลนิกายออกกระทำ ยทุ ธสงครามกบั กองทพั กรงุ อนิ ทรปรษั ฐ ทง้ั สองฝา่ ยไดก้ ระทำยทุ ธการตอ่ กนั โดยสามารถ๘ ฝา่ ยมหาอปุ ราช พระโอรสพระเจา้ กรงุ อนิ ทปรษั ฐทานกำลงั พระรว่ งราชโอรสพระเจา้ กรงุ ศโุ ขไทยมไิ ด้ กแ็ ตกหนกี ลบั ไปยงั พระนคร กราบทูลสมเด็จพระราชบิดาว่า ข้าศึกมีกำลังเข้มแข็งสามารถ จึงต้องแตกพ่ายถอยมา จะขอรับ พระราชอาญาแลว้ แตจ่ ะโปรด ๑ อินทรปรัษฐ หรือ อินทรปรัสถ์ กเ็ ขยี น ๒ คำว่า \"ตอบ\" นี้ ในฉบับอื่น ๆ ที่ได้ระบุชื่อมาดังข้างต้น ใช้ว่า \"บอก\" ๓ เนื้อความต่อจากนี้ ในฉบับอื่น ๆ ที่ได้ระบุชื่อมาดังข้างต้นแล้ว มีความว่า \"_ _ _จะอาสาสู้รบเอาชัยชนะให้จงได้ มิต้องให้พระองค์ _ _ _ได้ความเดือดร้อนเลย_ _ _ \" ๔ ในฉบบั อน่ื ๆ ทไ่ี ดร้ ะบชุ อ่ื มาดงั ขา้ งตน้ แลว้ นน้ั ไมม่ คี ำวา่ \"ดงั นน้ั \" ๕ คำวา่ \"นน้ั แล้ว\" ในฉบับอน่ื ๆ ทไี่ ด้ระบุช่ือมาดงั ขา้ งตน้ แลว้ ใช้คำวา่ \"แตก่ อ่ น\" ๖ เน้ือความตอ่ จากนี้ ในฉบับอ่นื ๆ ทไ่ี ด้ระบุชอื่ มาดังข้างต้นแล้ว มีความวา่ \"_ _ _เห็นจะคดิ ต่อส้กู ับเรา เจา้ จงยกพยุหโยธาทัพ_ _ _ ให้มีชัยชนะแก่พระเจ้าจันทราชา_ _ _ \" ๗ เนื้อความต่อจากนี้ ในฉบับอื่น ๆ ที่ได้ระบุชื่อมาแล้วดังข้างต้น ใช้ว่า \"_ _ _ยกพลนิกายกองทัพออกมา กระทำยุทธ_ _ _ \" ๘ คำวา่ \"สามารถ\" น้ี ในฉบบั อน่ื ๆ ทไ่ี ดร้ ะบชุ อ่ื มาแลว้ ดงั ขา้ งตน้ ใชเ้ ปน็ \"นกั \"

เรอ่ื งพระรว่ งสโุ ขทยั ๑๘๑ ฝ่ายพระเจ้ากรุงอินทรปรัษฐได้ทรงเห็นพระมหาอุปราชราชโอรสแตกพ่ายทัพหนีกลับมา ทูลขอ จะรบั พระราชอาญาดงั นน้ั พระองคท์ รงเหน็ วา่ พระราชบตุ รของพระองคย์ งั ออ่ นแกก่ ารทพั ศกึ อยู่ กท็ รง พระเมตตาพระราชทานโทษให้ จงึ ตรสั วา่ พระเจา้ จนั ทราชา๑ ผคู้ รองเมอื งศโุ ขไทยนน้ั เปน็ พระญาติ พระวงศข์ องเราเอง ถา้ เขาไมส่ มคั รจะสง่ สว่ ยนำ้ ใหแ้ กเ่ ราแลว้ กต็ ามเถดิ ตง้ั แตว่ นั นไ้ี ปเราอยา่ ไปรบกวนยำ่ ยี ทำสงครามกบั เขาเลย ครน้ั แลว้ พระองคจ์ งึ ตรสั สง่ั ใหเ้ ลอื กเมอื งอน่ื เปน็ เมอื งสง่ สว่ ยนำ้ แกพ่ ระองคต์ อ่ ไป พระเจา้ อนิ ทรปรษั ฐผสู้ บื พระวงศพ์ ระเจา้ ประทมุ สรุ ยิ วงษน์ น้ั ไดค้ รองราชสมบตั ใิ นกรงุ อนิ ทรปรษั ฐ ตอ่ มา ครน้ั พระชนมพรรษาได้ ๕๕ พรรษา กเ็ สดจ็ สวรรคต อยใู่ นราชสมบตั ิ ๓๐ พรรษา เมอ่ื แรกได้ ราชสมบตั นิ น้ั พระชนม์ ๒๕ พรรษา ลศุ กั ราช ๕๖๖ ฝา่ ยพระเจา้ จนั ทราชาผคู้ รองกรงุ ศโุ ขไทย เมอ่ื แรกไดร้ าชสมบตั มิ พี ระชนมายุ ๓๐ พรรษา ครองราช สมบตั ไิ ด้ ๓๐ พรรษา รวมพระชนมายุ ๖๐ พรรษาถว้ น กเ็ สดจ็ สวรรคต ในศกั ราช ๕๗๖ ในปีนั้น พระร่วงพระราชโอรสองค์ใหญ่ได้เสด็จขึ้นครองราชสมบัติแทนสมเด็จพระราชบิดาต่อไป พระองค์ได้เสด็จไปสร้างเมืองสวรรคโลกขึ้นใหม่ แลครองราชสมบัติในเมืองนั้น ในขณะนั้นพระอัคร- มเหสีใหญ่ของพระองค์ ทรงพระนามว่า ศรีจันทาเทวี ประสูติพระราชธิดาองค์หนึ่ง ทรงพระนามว่า สวุ รรณเทวี ครน้ั อยมู่ าสมเดจ็ พระรว่ งเจา้ ทรงพจิ ารณาเหน็ วา่ ภมู ลิ ำเนาขา้ งทศิ ใตเ้ มอื งศโุ ขไทยนน้ั ภมู ภิ าคเรยี บราบ เป็นชัยภูมิดีแห่งหนึ่ง สมควรจะสร้างสระใหญ่ลงไว้ให้เป็นประโยชน์แก่สาธารณชนไป จึ่งตรัสสั่งให้ขุด สระใหญ่ โดยรอบจตุรัสมีกำหนด ๑๕ วา ให้ช่างก่ออิฐเป็นซุ้มคร่อมหลังสระ แลบนหลังซุ้มนั้นก่อ พระเจดีย์องค์หนึ่งเรียกว่าพระมหาธาตุ ในสระใหญ่นั้นให้ปลูกบัวเบญจพรรณ ครั้นแล้วพระองค์ทรงตั้ง พระสตั ยาธษิ ฐานวา่ \"ขออยา่ ใหน้ ำ้ ในสระนน้ั แหง้ แลอยา่ ใหต้ น้ บวั เบญจพรรณนน้ั ตาย ใหม้ อี ยเู่ สมอเปน็ นิจนิรันดร์ไป\" แลพระองค์ได้ทรงนำเมล็ดมะขามมาโปรยรอบตามขอบเขตสระ ทรงพระสัตยาธิษฐานว่า ใหม้ ะขามนข้ี น้ึ มาเปน็ ตน้ มผี ลเมลด็ พรอ้ มบรบิ รู ณ์ บางตน้ เมอ่ื มผี ลเปน็ ฝกั ใหม้ แี ตเ่ นอ้ื เมลด็ มะขามทห่ี ลน่ ตกลงไปในสระนน้ั ใหก้ ลายเปน็ เตา่ ปลามจั ฉาชาตแิ ลใหบ้ นิ ไปได้ ทรงพระอธษิ ฐานแลว้ ก็ ๒ ปลกู ไวร้ อบสระนน้ั ๑ ข้อความต่อจากนี้ ในฉบับอน่ื ๆ ทไี่ ดร้ ะบชุ อ่ื มาแล้วดงั ขา้ งตน้ มคี วามว่า \"_ _ _ ผู้ครองเมอื งศโุ ขไทยนน้ั กเ็ ป็นพระญาติพระวงศ์ ของเราเองมใิ ชผ่ อู้ น่ื _ _ _\" ๒ ข้อความต่อจากนี้ ในฉบับอื่น ๆ ที่ได้ระบุชื่อมาแล้วดังข้างต้นมีความว่า \"_ _ _ ปลูกไว้รอบสระน้ำนั้น_ _ _ \"

๑๘๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ปลาแลเตา่ กเ็ ปน็ ไปตามพระสตั ยาธษิ ฐานนน้ั ทกุ ประการ แลว้ พระองคใ์ หส้ รา้ งเฉลยี งรอบสระนำ้ นน้ั มที ง้ั ๑ ศาลาแลธงปกั ครบครนั ครน้ั ขดุ สระสำเรจ็ แลว้ กใ็ หท้ ำมหกรรมฉลองสระ ทรงบำเพญ็ พระราชกศุ ลตา่ ง ๆ เปน็ อนั มาก ในครั้งนั้นมีชายหนุ่มคนหนึ่งชื่อมะกะโท้เป็นเชื้อชาติมอญ เป็นบุตรชาวบ้านซึ่งตั้งบ้านเรือนอยู่ใน ตำบลตะเกาะวุน แขวงเมืองมุตะมะในรามัญประเทศ ได้เข้ามาเป็นข้าสวามิภักดิ์ในสมเด็จพระร่วงเจ้า พระองคท์ รงโปรดปรานชบุ เลย้ี ง มะกะโทผ้ นู้ เ้ี ปน็ คนมวี าสนา ประกอบดว้ ยคณุ สมบตั ิ ๓ ประการ คอื มี รปู โฉมลกั ษณะดเี ปน็ ทช่ี อบรกั แกช่ นทว่ั ไป ๑ มสี ตปิ ญั ญาดี ๑ มคี วามกตญั ญกู ตเวทรี คู้ ณุ ทา่ นผมู้ คี ณุ ๑ อยมู่ าวนั หนง่ึ มะกะโทก้ บั พรรคพวกแลขา้ ทาสใชส้ อยรวมประมาณ ๓๐ คน ใหห้ าบสง่ิ ของสนิ คา้ มาเทย่ี วคา้ ขาย มะกะโทเ้ ปน็ นายคมุ ลกู หาบ ครน้ั มาถงึ เชงิ เขานวรตั นคริ ี เดก็ คนใชค้ นหนง่ึ ของมะกะโทป้ ว่ ยลง มะกะโทจ้ ง่ึ ใหค้ นเหลา่ นน้ั ชว่ ยกนั หามเดก็ ทป่ี ว่ ยนน้ั ขน้ึ ไปพกั รกั ษาตวั อยบู่ นยอดเขา ในเวลานน้ั ไมใ่ ชเ่ ทศกาล ฤดฝู น บนั ดาลฝนตกฟา้ รอ้ งเปน็ อนั มาก ในทนั ใดนน้ั อสนบี าตผา่ ถกู ปลายไมค้ านของมะกะโทแ้ ตกแลง่ ออกไป แตห่ าถกู ผคู้ นเปน็ อนั ตรายไม่ เมอ่ื มะกะโทไ้ ดย้ นิ ฟา้ ผา่ ลงมาดงั นน้ั จง่ึ แลไปในอากาศ เหน็ แสงฟา้ เปน็ ปราสาทราชมนเทยี รประดบั ดว้ ยราชวตั รฉตั รธง มะกะโทค้ ดิ เหน็ ประหลาดในใจ แตย่ งั หารวู้ า่ รา้ ยแลดี เปน็ ประการใดไม่ จง่ึ คมุ ลกู หาบกบั พรรคพวกออกจากตำบลนน้ั มาถงึ บา้ นแหง่ หนง่ึ มะกะโทจ้ งึ เขา้ พกั อาศยั ในบา้ นนน้ั พรอ้ มดว้ ยพรรคพวกของตน ถามพวกชาวบา้ นวา่ ในตำบลบา้ นนม้ี โี หราจารยผ์ ทู้ ายนมิ ติ รา้ ยดี บา้ งหรอื ไม่ พวกชาวบา้ นบอกวา่ โหราจารยผ์ เู้ ฒา่ รทู้ ายนมิ ติ รา้ ยดมี อี ยู่ จงึ ชว่ ยพามะกะโทไ้ ปใหถ้ งึ เรอื น โหราจารย์ มะกะโทก้ ไ็ หวน้ บเคารพทา่ นโหราจารยผ์ เู้ ฒา่ นน้ั แลว้ จง่ึ เลา่ นมิ ติ ใหฟ้ งั ตง้ั แตต่ น้ แลถามเหตผุ ล ร้ายดีว่าจะมีเป็นประการใด ฝ่ายโหราจารย์ผู้เฒ่าได้ฟังเล่านิมิตดังนั้นก็รู้เหตุทั้งปวง แลรู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้ เปน็ คนมวี าสนา จะไดเ้ ปน็ ใหญใ่ นภายหนา้ จงึ บอกวา่ นมิ ติ ทไ่ี ดเ้ หน็ นน้ั เปน็ สริ สิ วสั ดมิ งคลใหญห่ ลวงยง่ิ นกั ทา่ นจงนำเงนิ ทองมากองลงใหส้ งู เสมอเทา่ จอมปลวก เปน็ การคำนบั บชู าครเู รากอ่ น เราจง่ึ จะทำนายใหแ้ ก่ ทา่ นได้ ถา้ ทา่ นทำสกั การบชู าคำนบั ครเู รากอ่ น๒ ดงั นน้ั แลว้ เรากจ็ ะพยากรณท์ กั ทายนมิ ติ ของทา่ น ใหท้ า่ น ได้ดีเป็นใหญ่ให้เห็นคุณได้โดยเร็ว ถ้าท่านไม่นำเงินทองมาบูชาครูเราดังว่านั้นแล้ว เราก็ไม่อาจทำนาย ใหแ้ กท่ า่ นได้ มะกะโทไ้ ดฟ้ งั ดงั นน้ั กค็ ดิ วา่ สง่ิ ของสนิ คา้ ทเ่ี รานำมาขายครง้ั น้ี ถงึ จะขายสน้ิ แลว้ จะรวมเงนิ ทั้งทุนแลกำไรให้ได้เงินกองสูงเสมอเท่าจอมปลวกนั้นก็มิได้ ทำฉันใดดีเราจึงจะได้เงินทองมากองให้ ๑ เนอ้ื ความในฉบบั อน่ื ๆ ทไ่ี ดร้ ะบรุ ายชอ่ื มาแลว้ ดงั ขา้ งตน้ ไมม่ คี ำวา่ \"ทง้ั \" ๒ เนอ้ื ความในเรอ่ื ง พระรว่ งสโุ ขทยั ทพ่ี มิ พใ์ นประชมุ พงศาวดาร ภาคท่ี ๖๖ ฉบับ พ.ศ.๒๔๘๐ ไม่ปรากฏคำว่า \"ก่อน\"

เรอ่ื งพระรว่ งสโุ ขทยั ๑๘๓ สูงเสมอเท่าจอมปลวกเล่า มะกะโท้คิดไปก็เห็นช่อง จึงถอดแหวนในนิ้วมือของตน ไปตั้งลงเหนือยอด จอมปลวกแห่งหนึ่งแล้วจึ่งบอกแก่โหราจารย์ว่า ข้าพเจ้าได้บูชาคำนับครูท่านด้วยทองเสมอเท่าจอมปลวก แลว้ ขอทา่ นไดเ้ มตตาทายนมิ ติ ใหข้ า้ พเจา้ เถดิ ฝา่ ยโหราจารยไ์ ดเ้ หน็ ดงั นน้ั กค็ ดิ วา่ บรุ ษุ ผนู้ เ้ี ปน็ คนมปี ญั ญา เฉยี บแหลม สบื ไปเบอ้ื งหนา้ คงจะไดเ้ ปน็ ใหญเ่ ปน็ แน่ จง่ึ ทำนายตามนมิ ติ นน้ั ใหม้ ะกะโทว้ า่ ในเวลาไมช่ า้ นานทา่ นจะไดเ้ ปน็ เจา้ บา้ นผา่ นเมอื งใหญโ่ ต มอี านภุ าพมาก เพราะฉะนน้ั ทา่ นอยา่ ทำการคา้ ขายเลย จงอตุ สา่ ห์ ทำราชการเถิด จะได้เป็นใหญ่มียศศักดิ์รุ่งเรือง เมื่อท่านได้เป็นใหญ่แล้วอย่าลืมเรา มะกะโท้กับทั้ง พรรคพวกไดฟ้ งั คำทำนายดงั นน้ั กด็ ใี จ ลงกราบไหวข้ อบคณุ โหราจารยเ์ ปน็ อนั มาก จง่ึ กลา่ ววา่ ถา้ ขา้ พเจา้ ไดด้ ี เปน็ ใหญเ่ หมอื นคำทำนายของทา่ นแลว้ ขา้ พเจา้ จะตอบแทนคณุ ทา่ นใหจ้ งนกั ๑ หาลมื คณุ ของทา่ นไม่ วา่ แลว้ กค็ ำนบั ลาโหราจารย์ คมุ ลกู หาบไปขายสนิ คา้ ในเมอื งศโุ ขไทย ครน้ั ขายของสน้ิ แลว้ จงึ พาพรรคพวกบา่ วไพร่ ไปฝากไวก้ บั ชาวบา้ นทร่ี จู้ กั ชอบกนั ครน้ั แลว้ มะกะโทจ้ ง่ึ หาชอ่ งเขา้ ไปพง่ึ พกั ฝากตวั อยกู่ บั นายชา้ งพระทน่ี ง่ั โรงใน ซึ่งเป็นมงคลคเชนทร์ตัวโปรดของสมเด็จพระร่วงเจ้า ช่วยดูแลรักษาเก็บกวาดมูลช้างล้างโรงให้ สะอาดอยเู่ สมอ นายชา้ งกม็ เี มตตารกั ใครใ่ ชส้ อยมะกะโทส้ นทิ อยทู่ กุ วนั ฝา่ ยสมเดจ็ พระรว่ งเจา้ กเ็ สดจ็ ไปทอดพระเนตรชา้ งพระทน่ี ง่ั ของพระองคอ์ ยเู่ นอื ง ๆ ไมใ่ ครข่ าด วันหนึ่งพระองค์เสด็จไปทอดพระเนตรช้างพระที่นั่ง ทรงเห็นโรงช้างสะอาดปัดกวาดเรียบร้อยดี จึงตรัส ถามนายชา้ งวา่ ใครมาชว่ ยทา่ นแผว้ กวาดโรงชา้ งใหส้ ะอาดเรยี บรอ้ ยดงั น้ี นายชา้ งจง่ึ กราบทลู วา่ มีมอญนอ้ ย คนหนง่ึ มาพง่ึ พกั อยกู่ บั ขา้ พระบาท ชว่ ยปดั กวาดลา้ งชำระโรงใหส้ ะอาดอยเู่ สมอ พระองคไ์ ดท้ รงฟงั ดงั นน้ั กช็ อบพระทยั จงึ ตรสั สง่ั วา่ ทา่ นจงเลย้ี งมอญนอ้ ยนน้ั ใหด้ เี ถดิ อยมู่ าวนั หนง่ึ สมเดจ็ พระรว่ งเจา้ เสดจ็ ไปทอดพระเนตรชา้ งพระทน่ี ง่ั ณ โรงในตามเคย ทรง๒ ประทบั บนพระทน่ี ง่ั ใกลช้ อ่ งพระแกล บว้ นพระโอษฐล์ งไปทแ่ี ผน่ ดนิ ทอดพระเนตรเหน็ เบย้ี ตวั หนง่ึ ตกอยู่ จงึ ตรสั เรยี กมะกะโทว้ า่ มอญนอ้ ยเจา้ จงมาดเู บย้ี น้ี มะกะโทจ้ งึ คลานเขา้ ไปกราบถวายบงั คมแลว้ กเ็ กบ็ เบย้ี นน้ั ไว้ มคี วามดใี จวา่ ไดพ้ ระราชทานเบย้ี ตวั หนง่ึ แลว้ กห็ มอบเฝา้ อยกู่ บั หนา้ พระทน่ี ง่ั จนสมเดจ็ พระรว่ งเจา้ เสดจ็ กลบั ฝ่ายมะกะโท้มีความยินดีที่ได้รับพระราชทานเบี้ย ๆ หนึ่ง จึ่งคิดว่าตั้งแต่นี้ไปเราจะตั้งใจคิดทำ ราชการฉลองพระเดชพระคณุ เพอ่ื ใหไ้ ดค้ วามชอบยง่ิ ขน้ึ แลเบย้ี ทเ่ี ราไดร้ บั พระราชทานน้ี จะทำเปน็ ประการ ๑ คำว่า \"นัก\" นี้ ในบางฉบับใช้เป็น \"หนัก\" ๒ เนอ้ื ความเรอ่ื ง พระรว่ งสโุ ขทยั ทพ่ี มิ พใ์ นประชมุ พงศาวดาร ภาคท่ี ๖๖ ฉบบั พ.ศ.๒๔๘๐ และในประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๔๑ ฉบบั พ.ศ.๒๕๑๒ ไมม่ ีคำว่า \"ทรง\"

๑๘๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ใดดี จง่ึ ตรกึ ตรองเหน็ ชอ่ งวา่ จะซอ้ื เมลด็ พรรณผกั กาดมาปลกู ไวจ้ ง่ึ จะควร มะกะโทจ้ งึ นำเบย้ี นน้ั ไปซอ้ื เมลด็ พรรณผกั กาดทต่ี ลาด หญงิ แมค่ า้ ผขู้ ายเมลด็ พรรณผกั กาดจงึ บอกวา่ เบย้ี ๆ เดยี วเราไมร่ จู้ ะขายใหอ้ ยา่ งไรได้ มะกะโท้จึงว่า ขอจิ้มนิ้วมือ๑ ลงแต่นิ้วเดียวพอติดเมล็ดได้เล็กน้อยเท่านั้น หญิงแม่ค้าผู้ขายเมล็ดพรรณ ผกั กาดกย็ อมให้ มะกะโทจ้ งึ ชบุ นว้ิ มอื ใหช้ มุ่ ดว้ ยเขฬะในปากเสยี กอ่ น แลว้ จงึ จมุ้ นว้ิ ลงในกระบงุ เมลด็ พรรณ ผักกาด เมล็ดพรรณผักกาดก็ติดนิ้วมือขึ้นมาเป็นอันมาก หญิงแม่ค้าเห็นดังนั้นก็ชมว่า มอญน้อยนี้ฉลาด มคี วามคดิ เฉยี บแหลมดี มะกะโทจ้ งึ สง่ เบย้ี ๆ เดยี วนน้ั ใหแ้ กห่ ญงิ แมค่ า้ แลว้ นำเมลด็ พรรณผกั กาดนน้ั มา จึงขุดพื้นดินข้างโรงช้างอันเป็นที่ว่างเปล่า ประสมมูลช้างให้เป็นเชื้อบริหารปลูกเพาะเมล็ดพรรณผักกาด ลงในทพ่ี น้ื ใหมน่ น้ั ไมช่ า้ นานผกั กาดนน้ั กข็ น้ึ งอก๒ ออกกอกาบงดงามตามกนั ครน้ั อยมู่ าวนั หนง่ึ ถงึ กำหนดสมเดจ็ พระรว่ งเจา้ จะเสดจ็ ทอดพระเนตรชา้ งทโ่ี รง มะกะโทจ้ งึ ถอนตน้ ผกั กาดทป่ี ลกู ไว้ ลา้ งนำ้ ชำระใหส้ ะอาดแลว้ หาภาชนะมารองเตรยี มไวเ้ ปน็ ของถวาย พอสมเดจ็ พระรว่ งเจา้ เสด็จมาประทับบนพระที่นั่งในโรงช้างแล้ว มะกะโท้ก็นำถาดผักกาดเข้าไปตั้งถวายต่อหน้าพระที่นั่ง จึงมี รบั สง่ั วา่ มอญนอ้ ยไดผ้ กั กาดทไ่ี หนมาใหเ้ รา มะกะโทจ้ งึ ทลู วา่ เบย้ี ๆ หนง่ึ ทโ่ี ปรดพระราชทานขา้ พระพทุ ธเจา้ ข้าพระพุทธเจ้าไปซื้อเมล็ดพรรณผักกาดมาปลูกไว้ จึงได้นำมาถวายในครั้งนี้ พระองค์มีรับสั่งถามว่า เบย้ี ๆ เดยี วเทา่ นน้ั ซอ้ื กนั ไดเ้ มลด็ พรรณผกั กาดเทา่ ไร มะกะโทก้ ก็ ราบทลู ใหท้ รงทราบความตง้ั แตต่ น้ จนทส่ี ดุ สมเดจ็ พระรว่ งเจา้ ไดท้ รงฟงั ดงั นน้ั กต็ รสั สรรเสรญิ วา่ มอญนอ้ ยมปี ญั ญาฉลาดเฉยี บแหลมดคี วรจะชบุ เลย้ี ง ไว้ จง่ึ ตรสั แกน่ ายชา้ งวา่ เราจะขอมอญนอ้ ยนเ้ี ขา้ ไปใชร้ าชการขา้ งใน จง่ึ โปรดใหม้ ะกะโทเ้ ขา้ ไปรบั ราชการ เป็นพวกวิเสทเครื่องต้นอยู่ในพระราชวัง ครั้นอยู่มามะกะโท้ทำราชการดีมีความชอบ จึงโปรดเลื่อนขึ้น๓ ใหเ้ ปน็ กรมวงั แตใ่ นพงศาดารฝา่ ยรามญั นน้ั วา่ สมเดจ็ พระรว่ งเจา้ โปรดเลอ่ื นมะกะโทเ้ ปน็ ขุนวัง มีตำแหน่งใน กรมวงั นน้ั เอง ๑ เน้ือความเรอ่ื ง พระรว่ งสโุ ขทยั ที่พิมพ์ในประชุมพงศาวดาร ภาคท่ี ๖๖ ฉบบั พ.ศ.๒๔๘๐ และในประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๔๑ ฉบับ พ.ศ.๒๕๑๒ ไม่มีคำว่า \"มือ\" ๒ เนอ้ื ความตอนน้ี ในเรอ่ื ง พระรว่ งสโุ ขทยั ทพ่ี มิ พใ์ นประชมุ พงศาวดาร ภาคท่ี ๖๖ ฉบบั พ.ศ.๒๔๘๐ และในประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๔๑ ฉบับ พ.ศ.๒๕๑๒ ใช้ว่า \"ขึ้นงอกงามออกกอกาบ_ _ _\" ๓ เนอ้ื ความในเรอ่ื ง พระรว่ งสโุ ขทยั ทพ่ี มิ พใ์ นประชมุ พงศาวดาร ภาคท่ี ๖๖ ฉบบั พ.ศ.๒๔๘๐ และในประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๔๑ ฉบับ พ.ศ.๒๕๑๒ ไม่มีคำว่า \"ขึ้น\"

เรอ่ื งพระรว่ งสโุ ขทยั ๑๘๕ ครั้นอยู่มาเกิดขบถกำเริบขึ้นในหัวเมืองขอบขัณฑเสมา สมเด็จพระร่วงเจ้าจะเสด็จกรีธาทัพไป ปราบปราม๑ พวกขบถด้วยพระองค์เอง จึ่งตรัสสั่งให้มะกะโท้ผู้เป็นกรมวังอยู่เฝ้ารักษาพระนคร แล้ว พระองคก์ เ็ สดจ็ ยกพยหุ โยธาทพั ไปยงั เมอื งนอกแดน อยภู่ ายหลงั นางสวุ รรณเทวพี ระราชธดิ าของสมเดจ็ พระร่วงเจ้ากับมะกะโท้นั้น ซึ่งเคยเป็นคู่บุพเพสันนิวาสกันมาแต่บุรพชาติปางก่อน เผอิญให้เห็นกันแล้ว กม็ คี วามปฏพิ ทั ธผ์ กู พนั บงั เกดิ ความเสนห่ ารกั ใครก่ นั มะกะโทก้ ล็ อบรกั ใครก่ บั พระราชธดิ านน้ั ฝา่ ยขา้ ราชการ ทง้ั ปวงในกรมวงั ไดร้ เู้ หตุ กม็ คี วามกลวั เกรงตอ่ มะกะโทผ้ เู้ ปน็ กรมวงั ดว้ ยเหน็ สมเดจ็ พระรว่ งเจา้ ทรงโปรด ปรานมะกะโทอ้ ยเู่ ปน็ อนั มาก จง่ึ หามผี ใู้ ดจะวา่ กลา่ วขน้ึ ไดไ้ ม่ ฝา่ ยมะกะโทจ้ งึ คดิ ปรกึ ษากบั นางสวุ รรณเทวี พระราชธดิ าวา่ จะอยชู่ า้ ฉะนม้ี ไิ ด้ ดว้ ยกลวั พระราชอาชญาสมเดจ็ พระรว่ งเจา้ จำเราจะพากนั หนไี ปเสยี กอ่ น อยา่ ทนั ใหพ้ ระองคเ์ สดจ็ กลบั มา พระราชธดิ ากเ็ หน็ ดว้ ย จงึ รวบรวมทรพั ย์ สง่ิ ของแกว้ แหวนเงนิ ทองได้ ๒ เปน็ อนั มาก มะกะโทก้ เ็ กลย้ี กลอ่ มผคู้ นขา้ ทาสได้ ๓๐๐ คนเศษ จง่ึ พาพระราชธดิ าขน้ึ ชา้ งพงั ตวั หนง่ึ หนอี อก จากเมอื งศโุ ขไทย ไปโดยทางดา่ นกะมอกะลก รบี ไปทง้ั กลางวนั แลกลางคนื ฝา่ ยเสนาอำมาตยร์ วู้ า่ มะกะโท้ พาพระราชธิดาหนีไปดังนั้น ก็พากันติดตามจะจับตัวมะกะโท้ แต่ติดตามไปหาทันไม่ ด้วยมะกะโท้ พาพระราชธิดากับผู้คนหนีข้ามด่านล่วงพ้นแดนไปเสียได้๓ แล้ว เสนาอำมาตย์เหล่านั้นก็พากันกลับมา คอยทา่ จะฟงั พระราชโองการตรสั สง่ั ของสมเดจ็ พระรว่ งเจา้ ตอ่ ไป ฝ่ายมะกะโท้พาพระราชธิดากับผู้คนไปถึงบ้านตะเกาะวุนซึ่งเป็นบ้านเดิมของตนแล้ว ก็จัดให้ พระราชธดิ าอยเู่ ปน็ สขุ แลผคู้ นทไ่ี ปทง้ั ๓๐๐ คนเศษ กจ็ ดั ใหม้ ที อ่ี ยอู่ าศยั ทำกนิ เปน็ สขุ พรอ้ มเพรยี งกนั ฝา่ ยสมเดจ็ พระรว่ งเจา้ ทรงปราบปรามพวกขบถอนั กำเรบิ ใหส้ งบราบคาบ ทรงจดั บา้ นเมอื งปลายแดน ใหเ้ ปน็ ปรกตเิ รยี บรอ้ ยแลว้ กเ็ สดจ็ ยกพยหุ โยธาทพั กลบั ยงั พระนคร เสนาอำมาตยท์ ง้ั ปวงจง่ึ นำความเรอ่ื ง มะกะโทล้ กั พาพระราชธดิ าหนไี ป แลไดไ้ ปตดิ ตามจบั จนสดุ แดนหาทนั ไม่ ขน้ึ กราบทลู ใหท้ รงทราบทกุ ประการ สมเด็จพระร่วงเจ้าก็หาได้ทรงพระพิโรธแก่มะกะโท้ไม่ จึงตรัสว่า เรารู้มาแต่เดิมแล้วว่า๔ มอญน้อยคนนี้มี ๑ เนอ้ื ความในเรอ่ื ง พระรว่ งสโุ ขทยั ที่พิมพ์ในประชมุ พงศาวดาร ภาคท่ี ๖๖ ฉบับ พ.ศ.๒๔๘๐ และในประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๔๑ ฉบบั พ.ศ.๒๕๑๒ ไมม่ คี ำวา่ \"ปราม\" ๒ เนอ้ื ความในเรอ่ื งพระรว่ งสโุ ขทยั ทพ่ี มิ พใ์ นประชมุ พงศาวดาร ภาคท่ี ๖๖ ฉบบั พ.ศ.๒๔๘๐ และในประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๔๑ ฉบบั พ.ศ.๒๕๑๒ ไม่มีคำว่า \"ได้\" ๓ คำวา่ \"ได\"้ นใ้ี นเรอ่ื ง พระรว่ งสโุ ขทยั ทพ่ี มิ พใ์ นประชมุ พงศาวดาร ภาคท่ี ๖๖ ฉบบั พ.ศ.๒๔๘๐ และในประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๔๑ ฉบับ พ.ศ.๒๕๑๒ เป็นคำวา่ \"นาน\" ๔ เนอ้ื ความ ในเรอ่ื ง พระรว่ งสโุ ขทยั ทพ่ี มิ พใ์ นประชมุ พงศาวดาร ภาคท่ี ๖๖ ฉบบั พ.ศ.๒๔๘๐ และในประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๔๑ ฉบับ พ.ศ.๒๕๑๒ ไม่มีคำว่า \"ว่า\"

๑๘๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ลกั ษณะดี นานไปภายหนา้ จะมบี ญุ ไดเ้ ปน็ ใหญ่ เราจงึ มใี จรกั ใครเ่ หมอื นบตุ ร ถา้ เราจะสาปแชง่ ใหเ้ ปน็ อันตราย หรือจะให้ยกกองทัพไปติดตาม จับมาลงราชทัณฑ์อย่างไรก็จะทำได้ทุกประการ แต่จะเป็น เวรกรรมแก่เรา แลเสียเกียรติยศของบ้านเมือง เป็นที่อัปยศแก่นานาประเทศ ซึ่งมอญน้อยพาธิดาเราไป ถา้ ตง้ั ตวั ขน้ึ เปน็ ใหญไ่ ดเ้ มอ่ื ใดแลว้ กค็ งจะตง้ั แตง่ ใหธ้ ดิ าเราเปน็ ใหญย่ ง่ิ ขน้ึ จะเปน็ เกยี รตยิ ศแกบ่ า้ นเมอื ง ทั้งสองฝ่าย อนึ่งบุพเพสันนิวาสแห่งธิดาเรากับมอญน้อยนั้น ก็ได้อบรมมาด้วยกันแต่ปางก่อนแล้ว จงึ เผอญิ ใหม้ ามจี ติ ปฏพิ ทั ธต์ อ่ กนั ดงั น้ี เพราะเหตนุ น้ั เราจำเปน็ จะอวยพรแกม่ อญนอ้ ยแลธดิ าเรา อยา่ ใหม้ ี ภยั อนั ตรายสง่ิ ใด ใหเ้ กดิ ความสริ สิ ขุ สวสั ดดี ว้ ยกนั เถดิ ซง่ึ พระองคม์ ไิ ดท้ รงพระโกรธแกม่ ะกะโท้ แลกลบั ทรงอำนวยพระพรใหไ้ ปทง้ั น้ี ดว้ ยอำนาจบญุ บารมี ของมะกะโท้ จะไดเ้ ปน็ กษตั รยิ ใ์ หญใ่ นรามญั ประเทศตอ่ ไป ตั้งแต่มะกะโท้พาพระราชธิดาของสมเด็จพระร่วงเจ้ากรุงศุโขไทยไปอยู่บ้านตะเกาะวุนเป็นบ้านเดิม ของตนดังนั้นแล้ว มะกะโท้ก็มีสง่าราศีเกิดสิริมงคลยิ่งขึ้น ด้วยนางนั้นเป็นราชธิดาของกษัตริย์ผู้มีราช อสิ รยิ ยศใหญย่ ง่ิ พวกชาวบา้ นชาวเมอื งกก็ ลวั เกรงนบั ถอื รกั ใครม่ ะกะโทแ้ ลพระราชธดิ านน้ั เสมอกนั ตา่ งคน พากันเข้ามาสวามิภักดิ์ฝากตัว เป็นพรรคพวกข้าไทให้ใช้สอยมากขึ้นทุกที จนนับได้เป็นคนหลายพัน หลายหมน่ื ฝา่ ยมะกะโทเ้ ปน็ ผมู้ ปี ญั ญาเฉลยี วฉลาด๑ ทง้ั องอาจกลา้ หาญ รเู้ จรจาหวา่ นลอ้ มผกู ไมตรแี ละ ช่วยปลดเปลื้องทุกข์ร้อนของชน ทั้งบริบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติ จึงเป็นที่นับถือแก่ชนทั่วไป ครั้นมะกะโท้ เห็นผู้คนนับถือรักใคร่ตนมากขึ้นแล้ว จึงประกาศเกลี้ยกล่อมคนทั้งฝ่ายเหนือฝ่ายใต้ในรามัญประเทศ ใหร้ ว่ มสามคั คพี รอ้ มเพรยี งนำ้ ใจเปน็ อนั หนง่ึ อนั เดยี วกนั เขา้ มาอยใู่ ตอ้ ำนาจตนทง้ั สน้ิ แลว้ กต็ ง้ั ตวั ขน้ึ เปน็ กษัตริย์ครองราชสมบัติในเมืองมุตะมะ ชนทั้งปวงก็ยินดีถวายพรชัยมงคลแก่กษัตริย์ใหม่ทั้งสิ้น แต่ พระเจา้ มะกะโทย้ งั หาได้ราชาภเิ ษกเฉลมิ พระนามไม่ ครน้ั อยมู่ า พระเจา้ มะกะโทท้ รงระลกึ ถงึ พระเดชพระคณุ ของสมเดจ็ พระรว่ งเจา้ กรงุ ศโุ ขไทย จงึ ให้ แตง่ พระราชสาสน์ ลงในสพุ รรณบฏั แลจดั เครอ่ื งมงคลราชบรรณาการเปน็ อนั มาก แตง่ ใหอ้ ำมาตยผ์ หู้ นง่ึ ชื่อว่า โลกี เป็นราชทูตจำทูลพระราชสาส์นคุมเครื่องมงคลราชบรรณาการพร้อมด้วยพลพาหนะเข้าไป ถวายสมเดจ็ พระรว่ งเจา้ ณ กรงุ ศโุ ขไทย ครน้ั ราชทตู ไปถงึ แลว้ เสนาอำมาตยฝ์ า่ ยกรงุ ศโุ ขไทย จงึ นำความ ขน้ึ กราบทลู สมเดจ็ พระรว่ งเจา้ กโ็ ปรดใหอ้ ำมาตยน์ ำราชทตู เมอื งมตุ ะมะเขา้ เฝา้ ราชทตู กเ็ ชญิ พระราชสาสน์ ๑ เนื้อความต่อจากนี้ ในเรอ่ื ง พระรว่ งสโุ ขทยั ทพ่ี มิ พใ์ นประชมุ พงศาวดาร ภาคท่ี ๖๖ ฉบบั พ.ศ.๒๔๘๐ และในประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๔๑ ฉบบั พ.ศ.๒๕๑๒ มคี วามว่า \"_ _ _เฉลียวฉลาดเปลือ้ งทุกขร์ อ้ นของชน ทัง้ บริบูรณด์ ้วยทรัพย_์ _ _\"

เรอ่ื งพระรว่ งสโุ ขทยั ๑๘๗ กับเครื่องมงคลราชบรรณาการเข้าไปถวายหน้าพระที่นั่ง จึ่งมีรับสั่งให้อ่านในลักษณะพระราชสาส์นนั้นว่า \"ขา้ พระบาทผชู้ อ่ื วา่ มะกะโท้ เปน็ ขา้ สวามภิ กั ดใ์ิ ตพ้ ระบาทมลุ กิ ากรของพระองค์ ผเู้ ปน็ พระมหากษตั รยิ ผ์ า่ น พภิ พกรงุ ศโุ ขไทย พรอ้ มดว้ ยพระราชธดิ าของพระองค์ ขอโอนอตุ มงคเศยี รเกลา้ กราบถวายบงั คมมาแทบ พระยคุ ลบาทบงกชมาศของพระองค์ ซง่ึ ทรงพระมหากรณุ าชบุ เลย้ี งขา้ พระบาททง้ั สองใหม้ คี วามรม่ เยน็ เปน็ สขุ พระเดชพระคุณปกป้องอยู่เหนือเกล้าข้าพระองค์ทั้งสอง หาที่จะเปรียบให้สิ้นสุดมิได้ ด้วยเผอิญบุพเพ สนั นวิ าสแหง่ ขา้ พระบาททง้ั สอง มาดลบนั ดาลใหม้ ปี ฏพิ ทั ธจ์ ติ ตอ่ กนั ขา้ พระองคไ์ ดล้ ะเมดิ ลว่ งพระราชอาญา พาพระราชธิดาของพระองค์มา โทษานุโทษมีแก่ข้าพระองค์เป็นล้นเกล้า ฯ แต่บัดนี้ด้วยเดชะพระบารมี บรมเดชานภุ าพของพระองคป์ กแผอ่ ยเู่ หนอื เกลา้ ฯ ขา้ พระองคท์ ง้ั สอง ชนทง้ั ปวงจง่ึ ยนิ ดพี รอ้ มกนั อญั เชญิ ข้าพระองค์ขึ้นเป็นกษัตริย์ ครองราชสมบัติในเมืองมุตะมะ เป็นใหญ่ในรามัญประเทศทั่วไป เพราะฉะนี้ ขา้ พระองคข์ อพระราชทานโทษานโุ ทษซง่ึ มผี ดิ มาแตห่ ลงั ขอพระบารมขี องพระองคเ์ ปน็ ทพ่ี ง่ึ สบื ไป ขอไดท้ รง ประสาทพระราชทานนามกับเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ๕ ประการ แก่ข้าพระองค์ผู้เป็นกษัตริย์ครองราชสมบัติ ใหม่ เพื่อเป็นสวัสดิ์ชัยมงคลแก่ข้าพระองค์ทั้งสองสืบไป เมืองมุตะมะนี้จะได้เป็นสุพรรณปฐพีแผ่น เดยี วกนั กบั กรงุ ศโุ ขไทย อยใู่ ตพ้ ระเดชานภุ าพของพระองคส์ บื ตอ่ ไปจนตลอดกลั ปาวสาน\" ครั้นสมเด็จพระร่วงเจ้า ได้ทรงทราบความในพระราชสาส์นดังนั้นแล้วก็มีพระทัยยินดี จึงตรัส สรรเสริญว่า มะกะโทม้ อญน้อยนั้นเราได้ทำนายไว้แล้วว่าสืบไปจะมีบุญญาธิการ บัดนี้ได้เป็นกษัตริย์ ครองรามญั ประเทศแลว้ ตอ่ ไปภายหนา้ นอกจากเราผเู้ ดยี วแลว้ จะหากษตั รยิ อ์ น่ื มบี ญุ ยง่ิ กวา่ มะกะโทน้ ม้ี ไิ ด้ พระองคจ์ ง่ึ ทรงตง้ั พระนามใหแ้ กม่ ะกะโทว้ า่ พระเจา้ วารหิ ู (ฟา้ รว่ั ) กบั พระราชทานเครอ่ื งราชกกธุ ภณั ฑ์ ๕ ประการสำหรบั กษตั รยิ ์ คอื พระขรรค์ ๑ ฉตั ร ๑ พระมหามงกฎุ ๑ ฉลองพระบาททอง ๑ พดั วาลวชิ นี ๑ รวมเป็น ๕ ประการ จึ่งโปรดพระราชทานพระราโชวาทไปแก่ราชทูตว่า ให้เจ้าแผ่นดินมุตะมะอยู่ใน ทศพธิ ราชธรรม บำรงุ ปกครองแผน่ ดนิ โดยยตุ ธิ รรมใหต้ ง้ั ใจรกั ใครร่ าษฎรพลเมอื งดจุ ดงั บตุ รในอทุ ร แลทรง ประสาทพระพรว่า ให้เจ้าแผ่นดินมุตะมะปราศจากภัยอันตรายทั้งภายนอกภายใน ให้ครองราชสมบัติ เปน็ สขุ เจรญิ สบื ไปสน้ิ กาลนานเทอญ ราชทูตก็กราบถวายบังคมลาสมเด็จพระร่วงเจ้า กลับไปกราบทูลพระเจ้าแผ่นดินมุตะมะให้ทราบ ทุกประการ แลถวายเครื่องราชกกุธภัณฑ์ ๕ ประการ พระเจ้ามะกะโทก้ ็ทรงโสมนัสยินดี ขอบพระเดช พระคณุ สมเดจ็ พระรว่ งเจา้ หาทส่ี ดุ มไิ ด้ จงึ ผนิ พระพกั ตรเ์ ฉพาะตรงทศิ กรงุ ศโุ ขไทย กราบถวายบงั คมสมเดจ็ พระรว่ งเจา้ โดยความระลกึ รพู้ ระคณุ ของพระองคอ์ นั ยง่ิ เหลอื ลน้ ไมม่ ที ส่ี น้ิ สดุ ฉะนน้ั

๑๘๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ฝ่ายสมเด็จพระร่วงเจ้าผู้ผ่านพิภพกรุงศุโขไทย ได้ครองราชสมบัติเป็นสุขมาช้านาน เมื่อแรกได้ ราชสมบัตินั้นมีพระชนม์ได้ ๓๕ พรรษา อยู่ในราชสมบัติ ๔๐ พรรษา รวมพระชนมายุ ๗๕ พรรษา กเ็ สดจ็ สวรรคต ในปีนั้น พระลือซึ่งเป็นพระอนุชาต่างพระมารดาขึ้นครองราชสมบัติแทนสมเด็จพระเชษฐาธิราช ตอ่ ไป พระองคเ์ สดจ็ ไปครองเมอื งนครสวรรคบ์ รุ ี ๑ มพี ระมเหสที รงพระนามวา่ สธุ าเทวี พระลอื องคน์ เ้ี มอ่ื แรก ได้ราชสมบัติมีพระชนม์ ๓๐ พรรษา ครองราชสมบัติได้ ๒๐ พรรษา เสด็จสวรรคต รวมพระชนมายุ ๗๕ พรรษา พระองคป์ ระสตู วิ นั จนั ทร์ ๑ ชื่อเมืองนี้ ในเรอ่ื งพระรว่ งสโุ ขทยั ทพ่ี มิ พใ์ นประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๖๖ ฉบับ พ.ศ.๒๕๑๒ และในประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๔๑ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๑๒ เขียนว่า \"เมอื งนครสวรรคบรุ ี\"

เทศนาจลุ ยทุ ธการวงศ์ ๑๘๙ เทศนาจลุ ยทุ ธการวงศ์ ๑ บดั นจ้ี ะไดร้ บั พระราชทานถวายพระสทั ธรรมเทศนา ในจลุ ยทุ ธการวงษ๒ สำแดงเรอ่ื งลำดบั โบราณ กษตั รยิ ใ์ นสยามประเทศน้ี อนั บพุ พาจารยร์ จนาไวว้ า่ กาลเมื่อพระเจ้าเชียงรายพ่ายแพ้ยุทธสงครามแต่พระยาสะตองเสียพระนคร พาประชาราษฎร ชาวเมืองเชียงราย ปลาสนาการมาสู่แว่นแคว้นสยามประเทศ ถึงราวป่าใกล้เมืองกำแพงเพชร๓ ด้วย บุญญานุภาพแห่งพระองค์ สมเด็จอมรินทราธิราชนิมิตพระกายเป็นดาบสมาประดิษฐานอยู่ตรงหน้าช้าง พระที่นั่ง ตรัสบอกให้ตั้งพระนครในที่นี้เป็นชัยมงคลสถาน บรมกษัตริย์ก็ให้สร้างพระนครลงในที่นั้น จงึ ใหน้ ามชอ่ื วา่ เมอื งไตรตรงึ ษ์ ๔ พระองคเ์ สวยไอศรุ ยิ สมบตั อิ ยใู่ นพระนครนน้ั ตราบเทา่ ทวิ งคต พระราชโอรส นดั ดาครองสมบตั สิ บื ๆ กนั มาถงึ สช่ี ว่ั กษตั รยิ ์ ครั้งนั้นยังมีบุรุษผู้หนึ่ง เป็นปมเปาทั่วทั้งกาย ทำไร่ปลูกพริกมะเขืออยู่ในแดนพระนครนั้น เกบ็ ผลพรกิ มะเขอื ขายเลย้ี งชวี ติ และมะเขอื ตน้ หนง่ึ นน้ั อยใู่ กลห้ า้ ง บรุ ษุ นน้ั ไปถา่ ยปสั สาวะลงทร่ี มิ ตน้ นน้ั เปน็ นจิ มะเขอื นน้ั ออกผล ผลหนง่ึ ใหญก่ วา่ ผลมะเขอื ทง้ั ปวง เหตซุ าบไปดว้ ยรสแหง่ มตู รอนั เจอื ดว้ ยสมั ภวะ พอพระราชธดิ าพระยาไตรตรงึ ษ์มพี ระทยั ปรารถนาจะเสวยผลมะเขอื จงึ ใช้ทาสไี ปเทย่ี วซอ้ื กไ็ ดผ้ ลมะเขอื ผลใหญน่ น้ั มาเสวย นางกท็ รงครรภ์ ทราบถงึ พระราชบดิ าตรสั ไตถ่ าม กไ็ มไ่ ดค้ วามวา่ คบหาสมคั รสงั วาส กับด้วยบุรุษผู้ใด จนพระครรภ์ใหญ่กำหนดทศมาสประสูติพระราชกุมาร อันบริบูรณ์ด้วยบุญธัญลักษณ์ พระญาติทั้งหลายอภิบาลบำรุงเลี้ยงพระราชกุมารจนค่อยวัฒนาการ ประมาณพระชนม์สองสามขวบ สมเดจ็ พระอยั กาปรารถนาจะทดลองเสย่ี งทายแสวงหาบดิ าพระราชกมุ าร จงึ ใหต้ กี ลองปา่ วรอ้ งบรุ ษุ ชาวเมอื ง ใหส้ น้ิ บมไิ ดเ้ ศษ ใหม้ มี อื ถอื ขนมแลผลาผลมาทกุ คน ๆ ประชมุ พรอ้ มกนั ในหนา้ พระลาน ทรงพระอธษิ ฐาน ว่าถ้าบุรุษผู้ใดเป็นบิดาของทารกนี้ ขอจงทารกนี้รับเอาสิ่งของในมือแห่งบุรุษนั้นมาบริโภค แล้วให้อุ้ม กมุ ารนน้ั ออกไปสทู่ ม่ี หาชนสนั นบิ าต และบรุ ษุ กายปมนน้ั ไดแ้ ตก่ อ้ นขา้ วเยน็ ถอื มากอ้ นหนง่ึ พระราชกมุ ารนน้ั กเ็ ขา้ กอดเอาคอ แลว้ รบั เอากอ้ นขา้ วมาบรโิ ภค ชนทง้ั ปวงเหน็ กพ็ ศิ วงชวนกนั กลา่ วตเิ ตยี นตา่ ง ๆ สมเดจ็ บรมกษัตริย์ก็ละอายพระทัย ได้ความอัปยศ จึงพระราชทานพระราชธิดาและพระนัดดานั้นให้แก่บุรุษ ๑ ตรวจสอบชำระกบั ตน้ ฉบบั เอกสารโบราณ หอสมดุ แหง่ ชาติ ชอ่ื พงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา (เทศนาพงศาวดาร สงั เขป จลุ ยทุ ธการวงษ)์ เลขท่ี ๒/ข.๑๑ ประวตั ซิ อ้ื จากหมอ่ มเจา้ วชั รนิ ทร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๕ ๒ ปัจจุบันนิยมเขียนว่า \"จลุ ยทุ ธการวงศ\"์ ๓ เทศนาจลุ ยทุ ธการวงศ์ ในประชมุ พงศาวดาร ภาคท่ี ๖๖ ฉบบั พิมพ์ พ.ศ.๒๔๘๐ เขยี นเป็น \"กำแพงเพช็ ร\" ๔ ปัจจุบันเขียนว่า \"เมอื งไตรตรงึ ส\"์

๑๙๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ แสนปมให้ใส่แพลอยไปถึงที่ไร่มะเขือ ไกลจากพระนครทางวันหนึ่ง บุรุษแสนปมก็พาบุตรภริยาขึ้นสู่ไร่ อนั เปน็ ทอ่ี ยู่ ดว้ ยอานภุ าพแหง่ บญุ ของชนทง้ั สาม บนั ดาลใหส้ มเดจ็ อมรนิ ทราธริ าช นมิ ติ กายเปน็ วานร นำเอาทพิ ยเภรมี าสง่ ใหช้ ายแสนปมนน้ั แลว้ ตรสั บอกวา่ ทา่ นจะปรารถนาสง่ิ ใดจงตเี ภรนี ้ี อาจใหส้ ำเรจ็ ทค่ี วามปรารถนาทง้ั สน้ิ บรุ ษุ แสนปมปรารถนาจะใหร้ ปู งามจงึ ตกี ลองนน้ั เขา้ อนั วา่ ปมเปาทง้ั ปวงกอ็ นั ตรธาน หาย รปู กายนน้ั กง็ ามบรสิ ทุ ธ์ิ จงึ นำเอากลองนน้ั กลบั มาสทู่ ส่ี ำนกั แลว้ บอกเหตแุ กภ่ รยิ า สว่ นพระนางนน้ั ก็กอปรด้วยปีติโสมนัส จึงตีกลองนิมิตทอง ให้ช่างกระทำอู่ทองให้พระราชโอรสไสยาสน์ เหตุดังนั้น พระราชกมุ ารจงึ ไดพ้ ระนามปรากฏวา่ เจา้ อทู่ องจำเดมิ แตน่ น้ั มา ในเมอ่ื กาลเมอ่ื จลุ ศกั ราชลว่ งได้ ๖๘๑ ป๑ี สว่ นวา่ บดิ าแหง่ เจา้ อทู่ องราชกมุ าร จง่ึ ประหารซง่ึ ทพิ ยเภรนี มิ ติ เปน็ พระนครขน้ึ ในทน่ี น้ั ใหน้ ามชอ่ื วา่ เทพนคร เหตสุ ำเรจ็ (ดว้ ย)๒ เทวดานภุ าพ มหาชนทง้ั ปวงชวนกนั มาอาศยั อยใู่ นพระนครนน้ั เปน็ อนั มาก พระองคก์ ไ็ ด้ เสวยไอศุริยสมบัติในเมืองเทพนคร ทรงพระนามกรชื่อพระเจ้าศิริไชย๓ เชียงแสนปรากฏในสยามประเทศ กาลเมื่อจุลศักราชล่วงได้ ๗๐๖ ปี๔ สมเด็จพระเจ้าศิริไชยเชียงแสนเสด็จดับขันธ์ทิวงคต กลองทิพย์นั้น กอ็ นั ตรธานหาย สมเดจ็ พระเจา้ อทู่ องราชโอรสไดเ้ สวยราชสมบตั แิ ทนพระราชบดิ าได้ ๖ พระวสั สา ทรง พระปรารภจะสรา้ งพระนครใหม่ จง่ึ ใชร้ าชบรุ ษุ ใหเ้ ทย่ี วแสวงหาภมู ปิ ระเทศทอ่ี นั มพี รรณมจั ฉาชาตบิ รบิ รู ณ์ ครบทุกสิ่ง ราชบุรุษเที่ยวหามาโดยทักษิณทิศ ถึงประเทศทีห่ นองโสน กอปรด้วยพรรณมัจฉาชาติพร้อม บรบิ รู ณ์ สมเดจ็ บรมกษตั รยิ ท์ รงทราบ จงึ ยกจตรุ งคโ์ ยธาประชาราษฎรทง้ั ปวง มาสรา้ งพระนครลงในประเทศ ทน่ี น้ั ในกาลเมอ่ื จลุ ศกั ราชลว่ งได้ ๗๑๒ ป๕ี ใหน้ ามบญั ญตั ชิ อ่ื วา่ กรงุ เทพมหานครนามหนง่ึ ตามนามพระนคร เดมิ แหง่ พระราชบดิ า ใหช้ อ่ื ทวาราวดี นามหนง่ึ เหตมุ คี งคาลอ้ มรอบเปน็ ขอบเขตดจุ เมอื งทวาราวดี ๖ ใหช้ อ่ื ศรอี ยทุ ธยา๗ นามหนง่ึ เหตเุ ปน็ ทอ่ี ยแู่ หง่ ชนชราทง้ั สอง อนั ชอ่ื ยายศรอี ายุและตาอทุ ะยา๘ เปน็ สามี ภริยากัน อาศัยอยู่ในที่นั้น ประกอบกันพร้อมด้วยนามทั้งสามจึงเรียกว่ากรุงเทพมหานคร บวรทวาราวดี ศรอี ยทุ ธยา ๑ พ.ศ. ๑๘๖๒ ๒ ในตน้ ฉบบั สมดุ ไทยดำ ไมม่ คี ำ (ดว้ ย) ๓ เทศนาจุลยุทธการวงศ์ ที่พิมพ์ในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๖ ฉบับ พ.ศ. ๒๔๘๐ และในประชุมพงศาวดาร เล่ม ๔๑ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๑๒ ใช้ว่า \"พระเจา้ สริ ชิ ยั เชยี งแสน\" ๔ พ.ศ. ๑๘๘๗ ๕ พ.ศ. ๑๘๙๓ ๖ ปัจจุบันเขียน \"ทวารวด\"ี ๗ ปจั จบุ นั เขยี น \"ศรีอยุธยา\" ๘ ในเทศนาจุลยุทธการวงศ์ ที่พิมพ์ในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๖ ฉบับ พ.ศ.๒๔๘๐ และในประชุมพงศาวดาร เล่ม ๔๑ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๑๒ ใช้คำว่า \"ตาอทุ ยา\"

เทศนาจลุ ยทุ ธการวงศ์ ๑๙๑ สมเด็จพระเจ้าอู่ทอง๑ ไดร้ าชาภิเษก เสวยสวริยาธิปัตย์ถวัลยราช ณ กรุงเทพมหานคร ทรง พระนามสมเดจ็ พระรามาธบิ ดี และวนั เมอ่ื ราชาภเิ ษกนน้ั ไดส้ งั ขท์ กั ษณิ าวรรต ณ ภายใตต้ น้ ไมห้ มนั ใน พระนคร เมอ่ื แรกไดร้ าชสมบตั นิ น้ั พระชนมไ์ ด้ ๓๗ พระวสั สา แลว้ ใหพ้ ระบรมราชาธริ าช๒ ผเู้ ปน็ พระราช วงศผ์ ใู้ หญ่ ตรสั เรยี กวา่ เปน็ พระเชษฐาธริ าชไปปกครองสมบตั ิ ณ เมอื งสพุ รรณบรุ ี ใหพ้ ระราชโอรสทรง พระนามพระราเมศวรกมุ าร๓ ไปผา่ นสมบตั ิ ณ เมอื งลพบรุ ี ครั้งนั้นมีเมืองประเทศราชขึ้นแก่กรุงเทพมหานคร ๑๖ เมือง คือ เมืองมะละกา เมืองชะวา๔ เมอื งตะนาวสี ๕ เมอื งนครศรธี รรมราช เมอื งทวาย เมอื งเมาะตะมะ เมอื งเมาะลำเลงิ เมอื งสงขลา เมอื งจนั ทบรู เมอื งพระพศิ ณโุ ลกย์ ๖ เมอื งศโุ ขไทย๗ เมอื งพไิ ชย๘ เมอื งพจิ ติ ร เมอื งสวรรคโลกย์ ๙ เมอื งกำแพงเพช็ ร๑๐ เมอื งนครสวรรค์ พระองคท์ รงสรา้ งพไุ ทยสวรรยาวาศวหิ าร๑๑ และรตนะวนาวาศวหิ าร คอื วดั ปา่ แกว้ ๑๒ และสถติ อยใู่ นราชสมบตั ิ ๒๐ พระวสั สากเ็ สดจ็ ทวิ งคต ในลำดับนั้นสมเด็จพระบรมราชาธิราช๑๓ ซึ่งครองสมบัติเมือง ณ สุพรรณบุรี เสด็จมาได้ ราชาภิเษกสืบเสวยสวริยา ณ กรุงเทพมหานครสืบต่อไป และบำเพ็ญพระราชกุศลต่าง ๆ เสด็จดำรง ๑ นกั ประวตั ศิ าสตรอ์ อกพระนามวา่ พระเจา้ อทู่ อง หรอื สมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ่ี ๑ (หรอื สมเดจ็ พระรามาธบิ ดสี วุ รรณโทล ในสงั คตี ยิ วงศ)์ แห่งราชวงศ์เชียงราย พระองค์เป็นปฐมกษัตริย์ผู้สถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ.๑๘๙๓-๑๙๑๒ (ที่มา: คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี) ๒ สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๑ หรือ ขุนหลวงพงั่ว, พะงั่ว (ในลำดับกระษัตริย์กรุงเก่าคำฉันท์ ออกพระนามว่า \"พงุมหานายก\") ราชวงศส์ พุ รรณภมู ิ ทรงครองราชสมบตั ิ ณ กรงุ ศรอี ยธุ ยา ระหวา่ ง พ.ศ. ๑๙๑๓-๑๙๓๑ (ทม่ี า: คณะกรรมการชำระประวตั ศิ าสตรไ์ ทย) ๓ หรือ พระรามเมศวร กษตั รยิ ์กรงุ ศรีอยุธยา ลำดบั ที่ ๒ แห่งราชวงศเ์ ชยี งรายตามหลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรร์ ะบไุ วว้ า่ ทรงครองราชย์ ๒ ครง้ั ๔ไดแ้ เทก่ศรนะาหจวลุา่ ยงทุ พธ.ศกา. ร๑ว๙งศ๑ท์ ๒ี่พ-๑ิม๙พ๑์ใน๓ปแระลชะมุ พพ.งศศ.า๑ว๙ด๓าร๑ภ-๑าค๙ท๓่ี ๘๖๖(ฉทบม่ี บัา:พค.ณศ.ะ๒ก๔รร๘ม๐กาเขรชยี ำนรเะหปมรอื ะนวกตั บัศิ ตาสน้ ตฉรบไ์ บัทเยอ)กสารโบราณสมดุ ไทยดำ หอสมุดแห่งชาติ คือ \"ชะวา\" แต่ในประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๔๑ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๑๒ ใช้ว่า \"เมืองชวา\" ๕ คำน้ี เทศนาจลุ ยทุ ธการวงศ์ ทพ่ี มิ พใ์ นประชมุ พงศาวดาร ภาคท่ี ๖๖ ฉบบั พ.ศ.๒๔๘๐ และในประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๔๑ ฉบบั พ.ศ. ๒๕๑๒ ใช้เหมือนกันว่า \"เมอื งตะนาวศรี\" ๖ ปัจจุบัน คือ \"พษิ ณโุ ลก\" ๗ ๘ ปัจจุบัน คือ \"สโุ ขทยั \" ปัจจุบันเขียนว่า \"พิชัย\" ๙ ปัจจุบันเขียนว่า \"สวรรคโลก\" ๑๐ ปัจจุบันเขียนว่า \"กำแพงเพชร\" แต่ในเทศนาจุลยุทธการวงศ์ที่พิมพ์ในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๖ ฉบับ พ.ศ. ๒๔๘๐ และใน ตน้ ฉบบั เอกสารสมดุ ไทยดำ หอสมดุ แหง่ ชาติ ใชเ้ หมอื นกนั วา่ \"เมอื งกำแพงเพช็ ร\" ๑๑ ปัจจุบัน คือ วดั พทุ ไธสวรรย์ ๑๒ ตอ่ มา เรยี กวา่ วดั พระเจา้ พระยาไทย และ วัดใหญช่ ัยมงคล ตามลำดบั ๑๓ หมายถึง สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชท่ี ๑ (ขนุ หลวงพงว่ั หรอื พะงว่ั )

๑๙๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ราชอาณาจกั รอยไู่ ด้ ๑๓ พระวสั สากส็ วรรคต ในกาลเมอ่ื จลุ ศกั ราชลว่ งได้ ๗๔๔ ปี ๑ ลำดบั นน้ั พระราชบตุ รทรงพระนามชอ่ื วา่ สวุ รรณจนั ท์ คอื ทองจนั ท์ ๒ มพี ระชนมไ์ ด้ ๑๕ พระวสั สา ไดเ้ สวยสมบตั ปิ ระมาณ ๗ วนั สมเดจ็ พระราเมศวรราชกมุ าร ผผู้ า่ นเมอื งลพบรุ ี ยกพยหุ โยธามากระทำ ชีวิตันตรายแกพ่ ระสุวรรณจันท์ราชกุมารแล้วได้ผ่านมไหศุริยสมบัติสืบมาในกรุงเทพมหานคร ให้กระทำ พระมหาธาตเุ จดยี อ์ งคห์ นง่ึ สงู ๑๙ วา ยอดนภศลู ๓ วา แลว้ สรา้ งพระมหาวหิ ารลงในทน่ี น้ั ใหน้ าม ชื่อว่า มหาธาตุวิหาร๓ แล้วทรงสร้างพระเจดีย์ ณ สุวรรณบัพตาราม เสด็จดำรงราชสมบัติอยู่ได้ ๖ พระวสั สา กเ็ สดจ็ ทวิ งคต ในลำดับนั้น พระยารามราชบุตร๔ ได้เสวยราชสมบัติสืบมาได้ ๑๕ ปี ทรงพระโกรธจะให้จับ มหาเสนาบดฆี า่ เสยี เสนาบดนี น้ั หนไี ปสสู่ พุ รรณบรุ ี อญั เชญิ สมเดจ็ พระนครอนิ ทราช๕ ผคู้ รองสพุ รรณบรุ ี อันเป็นพระบิตุลาธิราช ให้ยกพยุหโยธาเข้ามาสู่กรุงเทวมหานคร เข้าตีพระนครได้ จึ่งให้พระยาราม ราชนัดดานั้น ไปครองเมืองปทาคูจามพระองค์ก็ได้เสวยราชมไหศวริยาในกรุงเทวมหานคร จึงทรงตั้ง พระราชบุตรทั้งสาม คือ เจ้าอ้ายพระยา ไปครองเมืองสุพรรณบุรี เจ้ายี่พระยา ไปครองเมืองสรรคบุรี เจ้าสามพระยาไปครองเมืองไชยนาทบุรี ๖ พระองค์เสวยสมบัติได้ ๑๘ พระวัสสา ก็เสด็จทิวงคตในกาล จลุ ศกั ราชลว่ งได้ ๗๘๐ ปี ๗ ครง้ั นน้ั พระราชบตุ รทง้ั สอง คอื เจา้ อา้ ยพระยาและเจา้ ยพ่ี ระยาตา่ งยกพยหุ โยธาทพั มาจากพระนคร แห่งพระองค์ ปรารถนาจะชิงเศวตฉัตรในกรุงศรีอยุทธยา ต่างพระองค์ทรงคชาธารกระทำคชสงคราม แก่กัน ณ เชิงสะพานช้างป่าถ่านภายในพระนคร ต่างพระองค์ทรงฟันด้วยพระแสงของ้าว ต้องพระศอ ขาดทั้งสองพระองค์ ทิวงคตพร้อมกัน อำมาตย์ทั้งหลายจึงไปเชิญเจ้าสามพระยา พระอนุชาธิราช ซึ่งครองไชยนาทบุรี ก็กระทำพระราชพิธีราชาภิเษกขึ้นเสวยสมบัติในพระนครศรีอยุทธยาสืบไป ถวาย ๑ ตรงกับ พ.ศ.๑๙๒๕ แต่ในพระราชพงศาวดารฉบบั หลวงประเสรฐิ ระบุว่า จ.ศ. ๗๕๐ (พ.ศ. ๑๙๓๑) ๒ หรือ พระเจา้ ทองลนั แห่งราชวงศส์ พุ รรณภมู ิ ขน้ึ ครองราชยเ์ ปน็ กษตั รยิ ก์ รงุ ศรอี ยธุ ยา พ.ศ. ๑๙๓๑ ๓ ปัจจุบันคือ วัดมหาธาตุ ๔ สมเด็จพระรามราชาธิราช กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา (ราชวงศ์เชียงราย) ทรงครองราชย์ระหว่าง พ.ศ. ๑๙๓๘-๑๙๕๒ (ที่มา: คณะ กรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย) ๕ สมเดจ็ พระนครอนิ ทราธริ าช หรือเจา้ นครอนิ ทร์ กษตั รยิ อ์ ยธุ ยา (ราชวงศส์ พุ รรณภูม)ิ ทรงครองราชย์ พ.ศ. ๑๙๕๒ ๖ ปัจจุบันคือ เมอื งชยั นาท ๗ ตรงกับ พ.ศ. ๑๙๖๑ แตใ่ นพระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ ระบวุ า่ จ.ศ. ๗๘๖ (พ.ศ. ๑๙๖๗)

เทศนาจลุ ยทุ ธการวงศ์ ๑๙๓ พระนามสมเดจ็ พระบรมราชาธริ าช๑ จงึ ใหถ้ วายพระเพลงิ พระศพพระเชษฐาทง้ั สอง แลว้ ทรงสรา้ งพระอาราม ลงในทน่ี น้ั ใหน้ ามชอ่ื วา่ ราชบรุ ณาวาศวหิ าร๒ แลว้ ทรงสรา้ งมเหยงคว์ หิ าร๓ พระองค์ สถติ ในราชสมบตั ไิ ด้ ๑๗ ปี กท็ วิ งคต ในกาลเมอ่ื จลุ ศกั ราชลว่ งได้ ๗๙๖ ปี ๔ เปน็ กำหนด ในกาลนน้ั พระราเมศวรราชโอรส ได้ราชาภเิ ษกสบื ขตั ตยิ สกลุ ตอ่ มา ทรงพระนามสมเดจ็ พระบรม ไตรโลกนารถ๕ จงึ ยกพระราชวงั สรา้ งเปน็ พระ (อา)๖ ราม ใหน้ ามชอ่ื วา่ พระศรสี รรเพชดาราม๗ แลว้ เสดจ็ ไปสร้างพระราชนิเวศอยู่ใกล้ฝั่งน้ำ ให้สร้างปราสาททั้งสอง ให้นามเบ็ญจรัตนปราสาท๘ หนึ่ง สรรเพช ปราสาท๙หนึ่ง แล้วพระราชทานหมู่อำมาตย์ทั้งหลาย มีสมุหนายกและสมุหพระกลาโหม๑๐ เป็นต้น และตำแหนง่ นาโดยลำดบั ฐานนั ดรศกั ดท์ิ ง้ั ปวงแลว้ ทรงสรา้ งพระรามาวาศวหิ าร๑๑ ในทถ่ี วายพระเพลงิ สมเด็จพระเจ้ารามาธิบด๑ี ๒ อันสร้างพระนครนั้น แล้วหล่อรูปพระโพธิสัตว์ทั้ง ๕๕๐ พระชาติ กาลเมื่อ จลุ ศกั ราชลว่ งได้ ๘๑๐ ป๑ี ๓ พระองคท์ รงอทุ ศิ สรา้ งจลุ ามณอี าราม๑๔ แลว้ เสดจ็ ออกทรงบรรพชาได้ ๘ เดอื น กล็ าผนวช พระองคเ์ สวยราชสมบตั ิ ๑๖ ปกี ท็ วิ งคต ในลำดับนั้น พระอินทราชา๑๕ ราชโอรส ได้มุรธาภิเษกสืบสมบัติ พระองค์ได้เศวตกิริณีเป็น ๑ สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชท่ี ๒ (เจา้ สามพระยา) แหง่ ราชวงศส์ พุ รรณภมู ิ ทรงขน้ึ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั เิ ปน็ กษตั รยิ ป์ กครองกรงุ ศรอี ยธุ ยา ระหวา่ ง พ.ศ. ๑๙๖๗-๑๙๙๑ (ท่ีมา : คณะกรรมการชำระประวตั ศิ าสตรไ์ ทย) ๒ ปัจจบุ นั คือ วดั ราชบรู ณะ ในจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ๓ ปัจจุบันคือ วดั มเหยงคณ์ ในจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ๔ ตรงกบั พ.ศ. ๑๙๗๑ แตค่ ณะกรรมการชำระประวตั ศิ าสตรไ์ ทย ไดพ้ จิ ารณาตรวจสอบและใหข้ อ้ วนิ จิ ฉยั ถงึ ปสี วรรคตของสมเดจ็ พระบรม ราชาธริ าชท่ี ๒ วา่ เปน็ พ.ศ. ๑๙๙๑ ซง่ึ ตรงกบั ศกั ราชทร่ี ะบใุ นพระราชพงศาวดารฉบบั หลวงประเสรฐิ ๕ สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นกษัตริย์ปกครองกรุงศรีอยุธยา ระหว่าง พ.ศ. ๑๙๙๑-๒๐๓๑ (ทม่ี า : คณะกรรมการชำระประวตั ศิ าสตรไ์ ทย) ๖ ในต้นฉบับเอกสารโบราณ สมุดไทยดำ หอสมุดแห่งชาติ เขียนไว้ว่า \"_ _ _สร้างเป็นพระราม_ _ _\" ไม่มีคำว่า \"อา\" ซึ่งเมื่อ พิจารณาข้อความข้างเคียงแล้ว สันนิษฐานว่าน่าจะตกคำว่า \"อา\" ๗ ปัจจุบัน คือ วดั พระศรสี รรเพชญ์ ในจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ๘ พระราชพงศาวดาร ฉบบั พระราชหตั ถเลขา พ.ศ. ๒๕๑๖ ใช้ว่า พระทน่ี ง่ั เบญจรตั นมหาปราสาท ๙ พระราชพงศาวดาร ฉบบั พระราชหตั ถเลขา พ.ศ. ๒๕๑๖ ใชว้ า่ พระทน่ี ง่ั สรรเพชญปราสาท ๑๐ สมหุ กระลาโหม หรอื สมหุ กลาโหม ก็เรียก ๑๑ ปัจจุบันคือ วดั พระราม ในจงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ๑๒ หมายถงึ สมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ่ี ๑ (พระเจา้ อทู่ อง) ๑๓ ตรงกบั พ.ศ. ๑๙๙๑ ๑๔ ปัจจุบัน คือ วัดจุฬามณี ในจงั หวดั พษิ ณโุ ลก ๑๕ สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชท่ี ๓ หรือ สมเดจ็ พระอนิ ทราชาธริ าชท่ี ๒ หรือ พระอินทราชาที่ ๒ แหง่ ราชวงศส์ พุ รรณภมู ิ เสดจ็ ขน้ึ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั เิ ปน็ กษตั รยิ ป์ กครองกรงุ ศรอี ยธุ ยา ระหวา่ ง พ.ศ. ๒๐๓๑-๒๐๓๔ (ทม่ี า : คณะกรรมการชำระประวตั ศิ าสตรไ์ ทย)

๑๙๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ศรีพระนคร ในกาลเมื่อจุลศักราชล่วงได้ ๘๑๕ ปี๑ และพระองค์กระทำมหามหกรรม การฉลองพระศรี รตั นมหาธาตวุ หิ าร ถวายมหาทานแกพ่ ระภกิ ษสุ งฆเ์ ปน็ อนั มาก ใหเ้ ลน่ การมหรสพสมโภช ๑๕ วนั แลว้ ตง้ั พระบรมราชาราชบตุ ร เปน็ พระยาอปุ ราช เสดจ็ ดำรงราชมไหศวรยี ์ ๒๒ พระวสั สา กท็ วิ งคตในกาล เมอ่ื จลุ ศกั ราชลว่ งได้ ๘๓๕ ปี ๒ จงึ พระยาอปุ ราชราชโอรส ไดเ้ สวยราชสมบตั ถิ วายพระนามพระรามาธบิ ดี ๓ ใหป้ ฏสิ งั ขรณ์พระศรี สรรเพชดาราม ซง่ึ คา้ งอยแู่ ตก่ อ่ นนน้ั ใหส้ ำเรจ็ แลว้ ทรงหลอ่ พระพทุ ธปฏมิ ากรยนื ใหญพ่ ระองคห์ นง่ึ กำหนด โดยสงู แตพ่ ระบาทถงึ ยอดพระรศั มี คณนาได้ ๘ วา ถวายพระนามพระศรสี รรเพชดาญาณ คดิ ทองหลอ่ หนกั ถงึ ๕๓,๐๐๐ ชง่ั ทองคำแผห่ มุ้ หนกั ๒๘๖ ชง่ั ขา้ งหนา้ นน้ั เนอ้ื เจด็ ขา้ งหลงั เนอ้ื หก ประดษิ ฐานไวใ้ น พระมหาวหิ าร แลว้ กระทำมหามหกรรมการฉลอง ทรงบำเพญ็ มหาทาน ๗ วนั ในกาลเมอ่ื จลุ ศกั ราช ได้ ๘๔๕ ปี ๔ แล้วตั้งพระอาทิตยวงษ์ ๕ ราชบุตรเป็นมหาอุปราช ให้ไปครองราชสมบัติ ณ เมืองพิศณุมหานคร๖ พระองค์อยู่ในราชสมบัติได้ ๔๐ พระวัสสาก็ทิวงคต ในกาลเมื่อจุลศักราชได้ ๘๗๑๗ ปี นน้ั ครง้ั นน้ั พระมหาอปุ ราชราชโอรส ทรงพระนามพระอาทติ ยวงษไ์ ดด้ ำรงบวรเศวตฉตั รสบื ไป ถวาย พระนามใหมช่ อ่ื วา่ สมเดจ็ พระบรมราชาหนอ่ พทุ ธางกรู ๘ เสวยราชมไหศวรยี ไ์ ด้ ๕ พระวสั สา ทรงพระ ประชวรอห(ิ วา)๙ ตกโรค กด็ บั ขนั ธท์ วิ งคต ในกาลจลุ ศกั ราชได้ ๘๗๕ ปี ๑๐ ๑ พ.ศ. ๑๙๙๖ ๒ ตรงกับ พ.ศ. ๒๐๑๖ แต่คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย ได้พิจารณาตรวจสอบ และให้ข้อวินิจฉัยถึงปีสวรรคตของสมเด็จ พระบรมราชาธริ าชท่ี ๓ วา่ เปน็ พ.ศ.๒๐๓๔ ซงึ่ ตรงกับศกั ราชท่รี ะบใุ นพระราชพงศาวดารฉบบั หลวงประเสรฐิ ๓ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นกษัตริย์ปกครองกรุงศรีอยุธยา ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๓๔-๒๐๗๒ (ทม่ี า : คณะกรรมการชำระประวตั ศิ าสตรไ์ ทย) ๔ ตรงกบั พ.ศ. ๒๐๒๖ ๕ ปจั จบุ นั เขยี น \"พระอาทติ ยวงศ\"์ หรือ \"พระอาทติ ยว์ งศ\"์ ๖ ปัจจุบัน คือ เมอื งพษิ ณโุ ลก ๗ ตรงกบั พ.ศ. ๒๐๕๒ แตค่ ณะกรรมการชำระประวตั ศิ าสตรไ์ ทย ไดพ้ จิ ารณาตรวจสอบและใหข้ อ้ วนิ จิ ฉยั ถงึ ปสี วรรคตของสมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ่ี ๒ วา่ เปน็ พ.ศ. ๒๐๗๒ ซง่ึ ตรงกบั ศกั ราชทร่ี ะบใุ นพระราชพงศาวดารฉบบั หลวงประเสรฐิ ๘ สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชท่ี ๔ (หนอ่ พทุ ธางกรู ) หรือ สมเดจ็ พระบรมราชามหาพทุ ธางกรู หรือ สมเดจ็ พระบรมราชาหนอ่ พทุ ธางกรู แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นกษัตริย์ปกครองกรุงศรีอยุธยา ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๗๒-๒๐๗๖ (ที่มา : คณะกรรมการ ชำระประวัติศาสตร์ไทย) ๙ ในตน้ ฉบบั เอกสารโบราณ สมดุ ไทยดำ หอสมดุ แหง่ ชาติ เขยี นไวว้ า่ \"_ _ _อหวิ าตกโรค\" จงึ สนั นิษฐานวา่ อาจตกคำวา่ \"วา\" ไป ๑๐ ตรงกับ พ.ศ. ๒๐๕๖ แต่คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยได้พิจารณาตรวจสอบและให้ข้อวินิจฉัย ถึงปีสวรรคตของสมเด็จ พระบรมราชาธริ าชท่ี ๔ วา่ เปน็ พ.ศ. ๒๐๗๖ ซง่ึ ตรงกบั ศกั ราชทร่ี ะบใุ นพระราชพงศาวดารฉบบั หลวงประเสรฐิ

เทศนาจลุ ยทุ ธการวงศ์ ๑๙๕ จง่ึ เปน็ โอรสาธริ าช ทรงนามพระรฐั า์ ธริ าชกมุ าร๑ พระชนมายไุ ด้ ๕ พระวสั สา ได้ราชาภเิ ษกเสวย สมบัติประมาณ ๕ เดือน ครั้งนั้นพระราชนัดดาของสมเด็จพระรามาธิบดี ผู้เป็นพระบรมราชอัยกา ทรงพระนามพระไชยราชาธริ าช ๒ จงึ พฆิ าตฆา่ เสยี ซง่ึ พระกมุ ารนน้ั ชงิ เอาเศวตฉตั รไดเ้ สวยราชสมบตั สิ บื มา กาลเมื่อจุลศักราชได้ ๘๘๗ ปี๓ บังเกิดเพลิงไหมใ้ นพระนครถึง ๓ วันจึ่งดับ มีบัญชีกุฎีวิหาร เคหฐานบ้านเรือนซึ่งเพลิงไหม้นั้นถึงแสนหนึ่งกับ ๕๐ หลัง กาลเมื่อจุลศักราชล่วงได้ ๘๘๙ ปี๔ สมเด็จ พระไชยราชาธิราชเสด็จยาตราพลากรทัพหลวงไปตีเมืองเชียงใหม่ได้แล้ว กลับทัพมาโดยมัคคันดรวิถี พอทรงพระประชวรหนกั ลง กส็ วรรคตในระหวา่ งมรรคา เสนาบดเี ชญิ พระศพมาสพู่ ระนคร ถวายพระเพลงิ โดยราชประเพณี พระองคด์ ำรงราชอาณาจกั รได้ ๑๕ ปี กท็ วิ งคต มพี ระราชบตุ รสองพระองค์ ทรงพระนาม พระยอดฟ้า๕ พระชนม์ ๑๑ ขวบ พระองค์ ๑ พระศรีศิลป์๖ พระชนม์ ๕ ขวบพระองค์ ๑ อำมาตย์ ทง้ั หลาย มเี สนาบดเี ปน็ ตน้ ประชมุ ชวนกนั ยกพระยอดฟา้ ราชกมุ ารขน้ึ ผา่ นสริ สิ มบตั สิ บื ไป และพระราช มารดาแห่งพระราชกุมารทั้งสอง ทรงพระนามแม่อยู่หัวศรีสุดาจันท์ ๗ ภายหลังพระราชเทวีประพฤติพาล ทจุ รติ ลอบรกั สมคั รสงั วาสดว้ ยขนุ วรวงษาธริ าช๘ ขา้ พระผรู้ กั ษาหอพระ ใหพ้ ฆิ าตฆา่ พระยอดฟา้ ราชบตุ ร นน้ั เสยี ยกขนุ วรวงษาธริ าชขน้ึ ครองสมบตั ิ ในกาลจลุ ศกั ราชได้ ๘๙๑ ปี ๙ และพระยอดฟา้ ไดเ้ สวยสมบตั ิ ๒ ปี กบั ๖ เดอื นโดยกำหนด ๑ สมเด็จพระรัฏฐาธิราชกุมาร หรือ พระรัฏฐาธิราช หรือ พระรัษฎาธิราช แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นกษัตรยิ ์ปกครองกรงุ ศรอี ยธุ ยา ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๗๖-๒๐๗๗ (ที่มา : คณะกรรมการชำระประวตั ศิ าสตรไ์ ทย) ๒ สมเด็จพระชัยราชาธิราช หรือ สมเด็จพระไชยราชาธิราช ก็เขียน (ราชวงศ์สุพรรณภูมิ) เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นกษัตริย์ ปกครองกรงุ ศรอี ยธุ ยา ระหวา่ ง พ.ศ. ๒๐๗๗-๒๐๘๙ (ทม่ี า : คณะกรรมการชำระประวตั ศิ าสตรไ์ ทย) ๓ ตรงกบั พ.ศ. ๒๐๖๘ ๔ ตรงกบั พ.ศ. ๒๐๗๐ ๕ พระยอดฟ้า หรือ พระแก้วฟ้า แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นกษัตริย์ปกครองกรุงศรีอยุธยา ระหว่าง พ.ศ. ๒๐๘๙-๒๐๙๑ (ทีม่ า : คณะกรรมการชำระประวัตศิ าสตร์ไทย) ๖ พระนามนี้ ในเทศนาจลุ ยทุ ธการวงศ์ ที่พิมพ์ในประชมุ พงศาวดาร ภาคท่ี ๖๖ ฉบับ พ.ศ. ๒๔๘๐ และในประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๔๑ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๑๒ ออกพระนามว่า \"พระศรสี นิ \" ๗ ในพระราชพงศาวดาร ฉบบั พระราชหตั ถเลขา เลม่ ๑ พ.ศ.๒๕๓๔ ออกพระนามว่า \"นางพระยาแมอ่ ยหู่ วั ศรสี ดุ าจนั ทร\"์ ๘ หรอื ขนุ วรวงศาธริ าช กเ็ ขยี น ๙ ตรงกับ พ.ศ. ๒๐๗๒

๑๙๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ครั้งนั้น ขุนพิเรนทร์เทพ๑ ผู้เป็นราชวงศ์ จึ่งคิดกับราชบุรุษทั้งสามไปอัญเชิญพระเทียรราชา๒ ซง่ึ เปน็ พระราชนดั ดาสมเดจ็ พระไชยราชาธริ าชอนั ทลู ลาไปบรรพชาอยู่ ณ ราชปตฐิ านาวาศวหิ าร๓ กระทำ สัตย์เสี่ยงเทียนได้ชัยมงคลนิมิต คิดพิฆาตฆ่าขุนวรวงษาธิราช แลนางศรีสุดาจันท์ให้ถึงกาลพินาศ ขุนวรวงษาธิราชอยู่ในสมบัติได้ ๕ เดือน จึ่งอาราธนาพระเทียรราชา ปริวัตรออกเสวยมไหศุริยสมบัติ ถวายพระนามสมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราชเจ้า๔ จึ่งพระราชทานอุปโภควัตถุแก่ชนทั้งสี่มีขุน พิเรนทรเทพเป็นอาทิ ตั้งขุนพิเรนทรเทพเป็นสมเด็จพระมหาธรรมราชาขึ้นไปครองวิศณุโลกยมหานคร๕ พระราชทานพระราชธดิ าทรงพระนามพระวสิ ทุ ธกิ ระษตั รยี ์ ๖ เปน็ พระอคั รมเหสพี ระมหาธรรมราชา สมเดจ็ พระมหาจักรพรรดิพระองค์ได้เศวตกุญชรชาติ คือ พลาย ๕ ขนานนามชื่อ พระแก้วทรงบาตร๗ ๑ พระรัตนากาศ ๑ พระคเชนทโรดม ๑ พระปราบไกรสร ๑ พระสุริยกุญชร ๑ กับพัง ๒ นามบมิได้ ปรากฏ สิริเป็น ๗ ช้าง จึ่งได้พระนามเพิ่มเข้าว่า สมเด็จพระมหาจักรพรรดิพระเจ้าช้างเผือก แลพระองค์มอบราชสมบัติแก่มหินทราโชรส๘ แล้วเสด็จออกบรรพชาภายหลังลาผนวชออกสมบัติดังเก่า แลพระเจา้ หงษาวดี ๙ กรธี าทพั มาลอ้ มพระนครเปน็ หลายครง้ั ครง้ั หลงั พระองคเ์ สดจ็ ทวิ งคตในขณะศกึ มาตดิ พระนครนน้ั เสดจ็ อยใู่ นราชสมบตั ไิ ด้ ๒๗ พระวสั สา จึ่งพระมหินทราชวรราโชรส๑๐ ได้ครองสมบัติประมาณปีหนึ่ง ก็เสียพระนครแก่พระเจ้าหงษาวดี ในกาลเมอ่ื ศกั ราชได้ ๙๑๘ ปี ๑๑ ๑ หรอื ขนุ พเิ รนทรเทพ ๒ นามนี้ ในเทศนาจลุ ยทุ ธการวงศ์ ที่พิมพ์ในประชมุ พงศาวดาร ภาคท่ี ๖๖ ฉบับ พ.ศ. ๒๔๘๐ และในประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๔๑ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๑๒ ใช้ว่า \"พระเฑยี รราชา\" หรือ \"พระเธยี รราชา\" ก็ใช้ ๓ ปัจจุบันคือ วัดราชประดิษฐาน ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๔ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ หรือ สมเด็จพระมหาจักรพรรดิราชาธิราช แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็น กษตั รยิ ก์ รงุ ศรอี ยธุ ยา ระหวา่ ง พ.ศ. ๒๐๙๑-๒๑๑๑ (ทีม่ า : คณะกรรมการชำระประวตั ศิ าสตรไ์ ทย) ๕ เมอื งพษิ ณโุ ลก ๖ พระวิสุทธกิ ษตั รี หรือ พระวสิ ุทธิกษตั รีย์ กเ็ ขยี น ๗ หรอื พระแกว้ ทรงบาศ ๘ พระมหินทราธิราช ๙ หรอื พระเจา้ หงสาวดี ๑๐ สมเด็จพระมหินทราธิราช แห่งราชวงศ์สุพรรณภูมิ เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นกษัตริย์ปกครองกรุงศรีอยุธยา ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๑๑-๒๑๑๒ (ทม่ี า : คณะกรรมการชำระประวตั ศิ าสตรไ์ ทย) ๑๑ ตรงกับ พ.ศ. ๒๐๙๙ แต่คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยได้ตรวจสอบชำระและให้ข้อวินิจฉัยถึงปีสิ้นสุดรัชกาลหรือ ปที เ่ี สยี กรงุ ศรอี ยธุ ยาครง้ั แรก วา่ เปน็ พ.ศ. ๒๑๑๒ ซงึ่ ตรงกับศกั ราชทรี่ ะบใุ นพระราชพงศาวดารฉบบั หลวงประเสรฐิ

เทศนาจลุ ยทุ ธการวงศ์ ๑๙๗ พระเจ้าหงษาวด๑ี จึงตั้งพระมหาธรรมราชา๒ ผู้ผ่านพิศณุโลกย์ ให้เสวยสมบัติในพระมหานคร ศรีอยุทธยาสืบไป พระองค์มีพระราชโอรสสองพระองค์ คือ พระนเรศวรราชกุมาร ๑ พระเอกกาทฐรุธ ราชกุมาร๓ ๑ จึ่งโปรดให้พระเชษฐโอรสไปครองพระพิศณุโลกยนคร ภายหลังกลับกระทำยุทธสงคราม กบั กรงุ หงษาวดสี บื ไปเปน็ หลายครง้ั สมเดจ็ พระมหาธรรมราชาธริ าชเจา้ เสดจ็ ดำรงราชพภิ พอยไู่ ด้ ๒๒ พระวสั สา กท็ วิ งคตในศกั ราช ๙๔๐ ปี ๔ จง่ึ สมเดจ็ พระนเรศวร๕ เชษฐราชโอรส ไดม้ รุ ธาภเิ ษกสมบตั สิ บื ไป พระเจา้ หงษาวด๖ี ให้พระมหา อปุ ราชาราชบตุ ร ยกพยหุ แสนยาทพั มายทุ ธนาการ สมเดจ็ พระนเรศวรราชไดก้ ระทำคชสงครามกบั พระมหา อุปราชา พระมหาอุปราชาถึงซึ่งปราชัยพินาศ ขาดคอช้างในท่ามกลางศึก แล้วเสด็จยกจตุรงค์โยธาทัพ ไปตกี รงุ กำพชู าธบิ ดี๗ ไดม้ าเปน็ เมอื งขน้ึ ภายหลงั เสดจ็ ไปตกี รงุ หงษาวดี แลว้ ไปตีรตนะบรุ ะองั วะ๘ เสดจ็ โดยทางเมืองเชียงใหม่ พอทรงพระประชวรหนักลง ก็ทิวงคต ณ เมืองห้างหลวงในระหว่างมัคมรรคา ในกาลเมอ่ื ศกั ราช ได้ ๙๕๔ ปี ๙ มขุ มนตรกี อ็ ญั เชญิ พระมหาอปุ ราชราชอนชุ าเอกาทฐรธุ ขน้ึ ราชาภเิ ษก ในที่นั้น แล้วเชิญพระศพกลับยังพระนคร สมเด็จพระนเรศวรเชษฐาธิราชดำรงไอศุริยสมบัติอยู่ได้ ๑๖ พระวสั สากท็ วิ งคต สมเด็จพระเอกาทฐรุธราชอนุชา๑๐ ได้ปราบดาภิเษกเสวยสวรรยาธิปัตย์ สืบขัตติยประเพณี มพี ระราชกฤษฎาเดชานภุ าพเปน็ อนั มาก ครง้ั นน้ั พระราชอาณาเขตแผไ่ ปถงึ รามญั ประเทศ กระทง่ั ถงึ เมอื ง ๑ หมายถงึ พระเจา้ หงสาวดบี เุ รงนอง ๒ สมเด็จพระมหาธรรมราชา แห่งราชวงศ์สุโขทัย เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นกษัตริย์ปกครองกรุงศรีอยุธยา ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๑๒-๒๑๓๓ (ที่มา:คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย) ๓ ในเทศนาจุลยุทธการวงศ์ ที่พิมพ์ในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๖ ฉบับ พ.ศ. ๒๔๘๐ ออกพระนามว่า \"พระเอกาทศรฐ\" ส่วนในประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๔๑ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๑๒ ออกพระนามว่า \"พระเอกกาทศรถ\" หรือปัจจุบันนิยม เขียนว่า \"พระเอกาทศรถ\" ๔ ตรงกบั พ.ศ.๒๑๒๑ แตค่ ณะกรรมการชำระประวตั ศิ าสตรไ์ ทยไดต้ รวจสอบชำระและใหข้ อ้ วนิ จิ ฉยั ถงึ ปสี วรรคต หรอื ปสี น้ิ สดุ รชั กาล ไวว้ า่ เปน็ พ.ศ. ๒๑๓๓ ซง่ึ ตรงกบั ศกั ราชทร่ี ะบใุ นพระราชพงศาวดารฉบบั หลวงประเสรฐิ ๕ สมเดจ็ พระนเรศวรมหาราช แหง่ ราชวงศส์ โุ ขทยั เสดจ็ ขน้ึ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั เิ ปน็ กษตั รยิ ป์ กครองกรงุ ศรอี ยธุ ยา ระหวา่ ง พ.ศ.๒๑๓๓- ๒๑๔๘ (ที่มา:คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย) ๖ หมายถึง พระเจา้ หงสาวดี นนั ทบเุ รง ๗ ปัจจุบันนิยมเขียนว่า \"กรงุ กมั พชู าธบิ ด\"ี ๘ รตั นบรุ ะองั วะ หรือ รตั นะบรุ ะองั วะ กเ็ ขยี น ๙ ตรงกับ พ.ศ. ๒๑๓๕ แต่คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย ได้ตรวจสอบชำระและให้ข้อวินิจฉัยถึงปีสวรรคต หรือ สิ้นสุด รชั กาลไวว้ า่ เปน็ พ.ศ. ๒๑๔๘ ๑๐ สมเดจ็ พระเอกาทศรถ แหง่ ราชวงศส์ โุ ขทยั เสดจ็ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั เิ ปน็ กษตั รยิ ป์ กครองกรงุ ศรอี ยธุ ยา ระหวา่ ง พ.ศ. ๒๑๔๘-๒๑๕๓ (ที่มา : คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย)

๑๙๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ตองข๑ู พระองคใ์ หช้ า่ งกระทำพระพทุ ธปฏมิ ากรทอง ๓ พระองค์ เงนิ ๒ พระองค์ เปน็ ๕ พระองคด์ ว้ ยกนั แลว้ แหโ่ ดยสถลมารคชลมารคกระทำมหามหกรรมการฉลอง ๗ วนั ถวายมหาทานแกพ่ ระสงฆเ์ ปน็ อนั มาก กาลเมื่อศักราชได้ ๙๕๗ ปี ๒ พระองค์ให้แต่งพระราชกำหนดกฎพระอัยการไว้สำหรับแผ่นดิน และตั้ง ส่วยสัดพิกัดอากรทั้งปวงสำหรับขึ้นท้องพระคลัง และตั้งพระกัลปนาอุทิศถวายพระสงฆ์ราชาคณะทุก พระอาราม พระองคม์ พี ระราชบตุ รสองพระองค์ ทรงพระนามเจา้ ฟา้ สทุ ตั ๓ ๑ เจา้ ฟา้ ศรเี สาวภาคย์ ๔ ๑ และเจา้ ฟา้ ศรเี สาวภาคยน์ น้ั ประชวรทรพษิ เสยี พระเนตรขา้ งหนง่ึ จง่ึ ตง้ั พระราชบตุ รผพู้ เ่ี ปน็ พระมหาอปุ ราช พระมหาอปุ ราชนน้ั มคี วามผดิ เสวยยาพษิ สวรรคต และสมเดจ็ พระเอกาทฐรธุ บรมกษตั รยิ ์ เสวยสมบตั ิ ได้ ๙ พระวัสสา ก็ทิวงคต จึ่งพระกนิษฐราชโอรสซึ่งเสียพระเนตรข้างหนึ่งนั้น ได้ราชาภิเษกสมบัติ สบื มาปหี นง่ึ กบั ๒ เดอื น คณนากษตั รยิ ใ์ นราชวงศพ์ ระรามาธบิ ด๕ี ผแู้ รกสรา้ งพระนครนน้ั เวน้ แตข่ นุ วรวงษาธริ าช สริ เิ ปน็ กษตั รยิ ์ ๒๐ พระองคด์ ว้ ยกนั กาลเมอ่ื จลุ ศกั ราชได้ ๗๖๔ ป๖ี ครั้งนั้นพระพมิ ลธรรมราชาคณะสถติ อยู่ ณ ฆัณฑิกาวาศ๗ คือ วดั ระฆงั มศี ษิ ย์ โยมมาก ทง้ั จมน่ื ศรโี สรกั ษ์ ๘ กเ็ ปน็ บตุ รเลย้ี ง จงึ คดิ ซอ่ งสมุ บรษิ ทั ไดเ้ ปน็ อนั มากแลว้ ประวรรตออกในเพลาราตรี ยกพลเขา้ ลอ้ มพระราชวงั ชงิ เอาราชสมบตั ิ ใหจ้ บั สมเดจ็ บรมกษตั รยิ ส์ ำเรจ็ โทษ เสีย แล้วก็ได้เสวยสมบัติผลัดพระวงศ์ใหม่ ถวายพระนามพระเจ้าทรงธรรม๙ แล้วตั้งจมื่นศรีโสรักษ์เป็น พระยาอุปราช พระยาอุปราชอยู่ในสมบัติได้ ๗ วันก็ทิวงคต ครั้งนั้นยี่ปุ่น๑๐ เข้ามาค้าขายหลายลำ ชวนกันคิดประทุษร้าย สมเด็จพระบรมกษัตริย์หนีไปอยู่ ณ อัศนาวาศ คือวัดประดู่ ครั้งนั้นพระมหา อำมาตย์ตระเตรียมพลมายุทธนาการ ยังยี่ปุ่นให้แตกฉานพ่ายหนีไป จึงไปเชิญเสด็จพระมหากษัตริย์ ๑ เมอื งตองอู ๒ ตรงกับ พ.ศ. ๒๑๓๘ ๓ หรอื \"เจา้ ฟา้ สทุ ศั น\"์ ๔ เจา้ ฟา้ ศรเี สาวภาคย์ หรอื พระศรเี สาวภาคย์ แหง่ ราชวงศส์ โุ ขทยั เสดจ็ ขน้ึ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั เิ ปน็ กษตั รยิ ป์ กครองกรงุ ศรอี ยธุ ยา ระหวา่ ง พ.ศ. ๒๑๕๓-๒๑๕๓ (ที่มา : คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย) ๕ หมายถงึ สมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ่ี ๑ (พระเจา้ อทู่ อง) ๖ สนั นษิ ฐานวา่ นา่ จะเปน็ จ.ศ.๙๖๔ (จากพระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขา พ.ศ. ๒๕๓๔) ซง่ึ ตรงกบั พ.ศ. ๒๑๔๕ ๗ ชื่อวัดนี้ ในเทศนาจุลยุทธการวงศ์ ที่พิมพ์ในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๖๖ ฉบับ พ.ศ. ๒๔๘๐ และในประชุมพงศาวดารเล่ม ๔๑ ฉบบั พ.ศ.๒๕๑๒ เขียนเหมือนกันวา่ \"คณั ฑกิ าวาส\" ๘ หรือ จมื่นศรีสรรักษ์ ๙ สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม (พระเจ้าทรงธรรม) แห่งราชวงศ์สุโขทัย เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นกษัตริย์ปกครองกรุงศรีอยุธยา ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๕๓-๒๑๗๑ (ที่มา : คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย) ๑๐ หรือ \"ญี่ปุ่น\" ในปัจจุบัน

เทศนาจลุ ยทุ ธการวงศ์ ๑๙๙ เข้าพระนคร ก็พระราชทานรางวัลแก่พระมหาอำมาตย์เป็นอันมาก ตั้งเป็นที่เสนาบดีมีนามเจ้าพระยา กระลาโหมสรุ ยิ วงษ๑ คงแกค่ วามชอบ กาลเมอ่ื ศกั ราชได้ ๙๖๘ ปี ๒ ไดข้ า่ วพระพทุ ธบาทปรากฏ ณ เขาสวุ รรณบรรพต๓ จงึ เสดจ็ ขน้ึ ไปทรงสรา้ งพระมณฑปแลวหิ ารเสนาสนะทง้ั ปวง แลว้ ทรงแตง่ พระมหาชาติ คำหลวงไว้สำหรับแผ่นดิน พระองค์อยู่ในราชสมบัติได้ ๒๖ พระวัสสาก็ทิวงคต มีพระราชโอรส ๓ พระองค์ คอื พระเชษฐาธริ าชกมุ าร ๑ พระพนั ปศี รศี ลิ ป์ ๔ ๑ พระอาทติ ยวงษ๕ ๑ จึ่งพระเชษฐาธิราชกุมาร๖ ได้ผ่านสมบัติ และพระพันปีศรีศิลป์ราชอนุชานั้นคิดประทุษร้าย จงึ พฆิ าตฆา่ พระอนชุ าเสยี ภายหลงั คดิ จะลงโทษเจา้ พระยากระลาโหมสรุ ยิ วงษอนั มไิ ดม้ คี วามผดิ จง่ึ เจา้ พระยากระลาโหมก็คิดชิงเอาราชสมบัติ ขจัดพระบรมขัตติยาธิบดี ให้ถึงกาลพินาศจากราชมไหศวริย์ จึ่งราชาภิเษกพระอาทิตย์วงษ๗ ราชอนุชา พระชนม์ ๙ ขวบ ขึ้นดำรงราชสมบัติสืบไป แลพระ เชษฐาธริ าชนน้ั อยใู่ นสมบตั ไิ ดป้ ี ๑ กบั ๗ เดอื น และกษตั รยิ ใ์ นราชวงศ์พระเจา้ ทรงธรรมนน้ั สบื เสวย สมบตั มิ าได้ ๓ พระองค์ พระอาทติ ยว์ งษนน้ั ยงั ทรงพระเยาว์ มคี วามขวนขวายในการเลน่ อยใู่ นราชสมบตั ิ ๖ เดือน อำมาตย์ทั้งหลายจึงเนรเทศเสียจากสมบัติ ประชุมเชิญเจ้าพระยากระลาโหมเสนาบดีขึ้น ราชาภิเษก เสวยสมบัติผลัดพระวงศ์ใหม่ ถวายพระนามพระเจ้าปราสาททอง๘ ในกาลเมื่อศักราชได้ ๙๙๒๙ ปี พระองคม์ พี ระอนชุ าองคห์ นง่ึ ตง้ั ใหเ้ ปน็ พระศรสี ธุ รรมราชา และทบ่ี า้ นเดมิ แหง่ พระมารดานน้ั ทรงสรา้ งเปน็ พระอารามใหน้ ามชอ่ื ไชยวฒั นาราม๑๐ แลว้ ใหส้ รา้ งปราสาทองคห์ นง่ึ ใหน้ ามชอ่ื จกั รวตั ไิ พชยนั ต มหาปราสาท๑๑ กาลเมอ่ื ศกั ราชลว่ งได้ ๑๐๐๐ ปี ๑๒ เปน็ พยคั ฆสงั วจั ฉรสมั ฤทธศิ ก จงึ ทรงพระราชดำริ ๑ ปัจจุบันนิยมเขียนว่า \"เจา้ พระยากลาโหมสรุ ยิ วงศ\"์ ๒ ตรงกับ พ.ศ. ๒๑๔๙ ๓ ปจั จบุ นั อยใู่ นจงั หวดั สระบรุ ี ๔ หรือ \"พระพนั ปศี รสี นิ \" ๕ \"พระอาทติ ยวงศ\"์ หรือ พระอาทิจจวงศ์ ในสงั คตี ยิ วงศ์ ๖ สมเดจ็ พระเชษฐาธริ าช (พระเชษฐาธริ าช) แหง่ ราชวงศส์ โุ ขทยั เสดจ็ ขน้ึ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั เิ ปน็ กษตั รยิ ป์ กครองกรงุ ศรอี ยธุ ยาระหวา่ ง พ.ศ. ๒๑๗๑-๒๑๗๒ (ที่มา : คณะกรรมการชำระประวตั ศิ าสตรไ์ ทย) ๗ สมเดจ็ พระอาทติ ยวงศ์ หรอื พระอาทติ ยวงศ์ แหง่ ราชวงศส์ โุ ขทยั เสดจ็ ขน้ึ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั เิ ปน็ กษตั รยิ ป์ กครองกรงุ ศรอี ยธุ ยา ระหวา่ ง พ.ศ. ๒๑๗๒ - ๒๑๗๒ (ทม่ี า : คณะกรรมการชำระประวตั ศิ าสตรไ์ ทย) ๘ สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง แห่งราชวงศ์ปราสาททอง เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นกษัตริย์ปกครองกรุงศรีอยุธยาระหว่าง พ.ศ. ๒๑๗๒-๒๑๙๙ (ทม่ี า : คณะกรรมการชำระประวตั ศิ าสตรไ์ ทย) ๙ ตรงกับ พ.ศ. ๒๑๗๓ ๑๐ ปัจจุบัน ใช้ว่า \"วัดไชยวัฒนาราม\" แต่ในเทศนาจุลยุทธการวงศ์ ที่พิมพ์ในประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๖๖ ฉบับ พ.ศ. ๒๔๘๐ และในประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๔๑ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๑๒ ใช้ว่า \"วดั ชยั วฒั นาราม\" ๑๑ จกั รวรรดไิ พชยนตม์ หาปราสาท หรือ จกั รวรรดไิ พชยนั ตม์ หาปราสาท กเ็ ขยี น ๑๒ ตรงกบั พ.ศ. ๒๑๘๑

๒๐๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ ตั้งพระราชพิธีลบศักราช เปลี่ยนเอาสุกรสังวัจฉรเป็นสัมฤทธิศก เพื่อจะให้โลกทั้งปวงเป็นสุขสมบูรณ์ ดุจกาลทวาปรยุค แล้วตั้งกระบวนแห่เสด็จเลียบพระนคร ทรงโปรยทานและทิ้งต้นกัลปพฤกษ์ ระยะ หา่ งกนั ๑๐ วาตน้ หนง่ึ รอบเมอื ง แลว้ พระราชทานสตั ตสดกมหาทาน คอื ชา้ งมา้ รถทาสกรรมกรชายหญงิ สง่ิ ละ ๑๐๐ กบั สวุ รรณหริ ญั ราชทรพั ยน์ บั สง่ิ ละ ๑๐๐ ชง่ั พระราชทานแกม่ หาชนทง้ั ปวง กาลเมอ่ื ศกั ราชได้ ๑๐๐๕ ปี๑ อสนีบาตลงต้องมังคลาภิเศกมหาปราสาท๒ ติดเป็นเพลิงไหม้ในพระราชวังถึง ๑๑๐ เรือน จึงดับ จึงทรงสร้างพระมหาปราสาทวหิ ารสมเดจ็ สำเร็จในปีหนึ่งนั้น สมเดจ็ พระเจ้าปราสาททองสถิต อยใู่ นราไชศวรรยไ์ ด้ ๒๖ พระวสั สากท็ วิ งคต ในกาลศกั ราชได้ ๑๐๑๗ ป๓ี ครง้ั นน้ั พระราชบตุ รผใู้ หญท่ รง พระนามเจา้ ฟา้ ไชย๔ ไดร้ าชสมบตั สิ บื มาประมาณ ๙ เดอื น จงึ พระนารายน์ ๕ ราชอนชุ าแตต่ า่ งพระมารดา กนั ทรงดำรริ หสั เหตคุ วามลบั กบั พระศรสี ธุ รรมราชาธริ าช๖ ประดจุ ชงิ เอาราชสมบตั ิ ขจดั พระเชษฐาใหถ้ งึ แกก่ าลพนิ าศ แลว้ อญั เชญิ พระเจา้ อาขน้ึ ครองสมบตั ิ พระองคไ์ ดเ้ ปน็ พระยาอปุ ราช พระศรสี ธุ รรมราชา ไดด้ ำรงราชอาณาจกั รประมาณ ๒ เดอื นกบั ๒๐ วนั พระนารายน์ ๗ อปุ ราชกพ็ ฆิ าตฆา่ ซง่ึ พระเจา้ อา แล้วพระองค์ก็ได้ราชาภิเษกสืบราชสกุลโดยขัตติยประเพณี พระองค์ได้เศวตหัตถีพลายพังทั้งคู่ เป็น อคั รยานขนานนามชอ่ื พระยาบรมคเชนทรฉทั ทนั ต์ ๑ พระอนิ ทรไอยราวรรณ๘ ๑ ทรงสถติ อย่เู มอื งลพบรุ บี า้ ง สถิตอยู่พระนครศรีอยุทธยาบ้าง และดำรงราชพิภพอยู่ประมาณ ๒๖ พระวัสสาก็ทิวงคตในลพบุรีนคร ในกาลศักราชล่วงได้ ๑๐๔๔ ป๙ี ครั้งนั้นอำมาตย์ผู้หนึ่งมีนามชื่อพระเพทราชา๑๐ ได้เสวยสมบัติ เหตุ ๑ ตรงกบั พ.ศ. ๒๑๘๖ ๒ หรอื \"มังคลาภิเษกมหาปราสาท\" ๓ ตรงกบั พ.ศ. ๒๑๙๘ แตค่ ณะกรรมการชำระประวตั ศิ าสตรไ์ ทยไดต้ รวจสอบชำระและใหข้ อ้ วนิ จิ ฉยั ถงึ ปสี วรรคตหรอื สน้ิ สดุ รชั กาลวา่ เป็น พ.ศ. ๒๑๙๙ ๔ สมเด็จเจ้าฟ้าชัย (เจ้าฟ้าชัย) หรือสมเด็จเจ้าฟ้าไชย แห่งราชวงศ์ปราสาททอง เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นกษัตริย์ปกครอง กรุงศรีอยุธยาระหว่าง พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๑๙๙ (ที่มา: คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย) ๕ ปจั จบุ ันนเ้ี ขยี นวา่ \"พระนารายณ\"์ ๖ ต่อมาได้ขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติครองกรุงศรีอยุธยา ทรงพระนาม สมเด็จพระศรีสุธรรมราชา (พระศรีสุธรรมราชา) แห่งราชวงศ์ ปราสาททอง ครองราชย์ พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๑๙๙ (ทม่ี า : คณะกรรมการชำระประวตั ศิ าสตรไ์ ทย) ๗ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช แห่งราชวงศ์ปราสาททอง เสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นกษัตริย์ปกครองกรุงศรีอยุธยา ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๙๙-๒๒๓๑ ๘ หรือ พระอนิ ทรไอยราวณั ๙ ตรงกับ พ.ศ. ๒๒๒๕ แต่คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยได้ตรวจสอบชำระและให้ข้อวินิจฉัยถึงปีสวรรคต หรือสิ้นสุดรัชกาล วา่ เปน็ พ.ศ. ๒๒๓๑ ๑๐ สมเด็จพระมหาบุรุษ หรือ สมเด็จพระเพทราชา แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์กรุงศรีอยุธยาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๒๓๑-๒๒๔๖ (ที่มา : คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย)

เทศนาจลุ ยทุ ธการวงศ์ ๒๐๑ หลวงสรศกั ด์ิ ๑ ซง่ึ เปน็ พระราชบตุ รสมเดจ็ พระนารายนเ์ ปน็ เจา้ นน้ั เปน็ บตุ รเลย้ี งแหง่ ตน ชว่ ยอปุ ถมั ภก ยกขน้ึ ผา่ นสมบตั ิ พระองคไ์ ดเ้ ศวตกริ ณิ ที ง้ั คเู่ ปน็ ราชพาหนะ ขนานนามพระอนิ ทรไอยราพต ๑ พระบรม รตั นากาศ ๑ และทรงสรา้ งพระมหาปราสาทองค์ ๑ ใหน้ ามวา่ บรรญงครตั นาศน์ ๒ พระองคอ์ ยใู่ นราช สมบตั ไิ ด้ ๑๖ พระวสั สา กท็ วิ งคตในศกั ราชได้ ๑๐๕๙ ปี ๓ จง่ึ พระราชบตุ รเลย้ี งซง่ึ เปน็ พระยาอปุ ราช กไ็ ดร้ าชสมบตั สิ บื มา มพี ระราชบตุ ร ๒ พระองค์ ทรงพระนามเจา้ ฟา้ เพชร๔ ๑ เจา้ ฟา้ พร๕ ๑ จึ่งตั้งพระโอรสผู้พี่เป็นอุปราช พระองค์กระทำแต่อกุศล เป็นต้นว่า ปาณาติบาต ฆ่าเสียซึ่ง มจั ฉาชาตเิ ปน็ อนั มาก ทรงสถติ ในราชสมบตั ไิ ด้ ๑ ๐ ปี กท็ วิ งคตในศกั ราช ๑๐๖๘ ปี ๖ ในลำดบั นน้ั พระยามหาอปุ ราชเชษฐโอรส กไ็ ดม้ รุ ธาภเิ ษกเสวยราชสมบตั ิ จงึ ตง้ั พระอนชุ าเปน็ พระมหาอุปราช สมเด็จบรมกษัตริย์ทรงกระทำอกุศลกรรม ฆ่าเสียซึ่งนานามัจฉาชาติดุจพระราชบิดา พระองค์เสวยมไหศุริยสมบัติอยู่ได้ ๒๗ พระวัสสา ก็ทิวงคตในศักราช ๑๐๙๔ ปี ๗ และพระราชบุตร ๒ พระองค์ คอื เจา้ ฟา้ อไภย๘ และเจา้ ฟา้ ปรเมศร์ ๙ กระทำยทุ ธนาการชงิ ราชสมบตั กิ บั พระมหาอปุ ราช๑๐ ซึ่งเป็นพระเจ้าอา ก็ถึงปราชัยพ่ายแพ้ปลาสนาการหนีไป พระมหาอุปราชให้ราชบุรุษติดตามจับได้ก็ให้ สำเรจ็ โทษโดยราชประเพณี แลว้ พระองคก์ ไ็ ดเ้ สวยถวลั ยราชาภเิ ษกสบื มา จง่ึ ตง้ั เจา้ ฟา้ ธเิ บศ๑๑ เชษฐโอรส ซง่ึ เปน็ กรมขุนเสนาพิทักษเ์ ป็นพระมหาอุปราช พระองค์ได้เศวตกิริณี ๑ ให้นามพระวเิ ชยี รหษั ดนิ ทร์ ๑๒ ๑ ต่อมาขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์กรุงศรีอยุธยาทรงพระนาม พระเจ้าเสือ (พ.ศ. ๒๒๔๖-๒๒๕๑) (ที่มา : คณะกรรมการชำระ ประวัติศาสตร์ไทย) ๒ บรรยงครตั นาสน์ หรือ บรรยงกร์ ัตนาสน์ กเ็ ขยี น ๓ ตรงกับ พ.ศ. ๒๒๔๐ แต่คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยได้ตรวจสอบและให้ข้อวินิจฉัยถึงปีสวรรคต หรือสิ้นสุดรัชกาลว่าเป็น พ.ศ. ๒๒๔๖ ๔ ต่อมาได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ระหว่าง พ.ศ. ๒๒๕๑-๒๒๗๕ ทรงพระนามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ (สมเด็จพระเจ้าท้ายสระ) (ที่มา : คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทย) ๕ ต่อมาได้ขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ทรงพระนามสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๒๗๕-๒๓๐๑ ๖ ตรงกับ พ.ศ. ๒๒๔๙ แต่คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยได้ให้ข้อวินิจฉัยถึงปีสวรรคตหรือสิ้นสุดรัชกาลพระเจ้าเสือ วา่ เปน็ พ.ศ. ๒๒๕๑ ๗ ตรงกับ พ.ศ. ๒๒๗๕ แต่คณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยได้ให้ข้อวินิจฉัยถึงปีสวรรคตหรือสิ้นสุดรัชกาลสมเด็จ พระเจา้ อยหู่ วั ทา้ ยสระ วา่ เปน็ พ.ศ. ๒๒๗๕ ๘ หรอื เจา้ ฟา้ อภยั ๙ เจา้ ฟา้ ปรเมศร หรือ เจา้ ฟา้ บรเมศ กเ็ รยี ก ๑๐ หมายถงึ เจา้ ฟา้ พร (หรือ สมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศ) ๑๑ เจา้ ฟา้ ธรรมธเิ บศร์ (เจา้ ฟา้ กงุ้ ) ๑๒ ปจั จบุ นั นยิ มเขยี นวา่ \"พระวเิ ชยี รหสั ดนิ ทร\"์

๒๐๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ กบั ทง้ั คชาชาตสิ ปุ ดฐิ ๑ ขนานนามพระบรมคชลกั ษณ และชา้ งงาสน้ั นบั ในเนยี มตรอี กี ๓ ชา้ ง ใหน้ าม พระบรมนาเคนทร์ ๑ ๑ พระบรมกญุ ชร ๑ พระบรมคเชนทร์ ๒๑ และพชื ทองบงั เกดิ ณ บางสะพานแดน กยุ บรุ ี ดว้ ยพระมหนั ตบารมบี ญุ ญานภุ าพ ครง้ั นน้ั พระเจา้ ลงั กาใหท้ ตู านทุ ตู จำทลู พระราชสาสน์ มาขอ พระภกิ ษสุ งฆอ์ อกไปตง้ั พระพทุ ธศาสนาในลงั กาทวปี จง่ึ พระราชทานพระไตรปฎิ กธรรม กบั พระภกิ ษสุ งฆ์ ๒๕ รปู มพี ระอบุ าฬี ๓ เปน็ อาทสิ งฆ์ ออกไปลงั กาทวปี แลว้ ใหก้ ระทำราชอาชญาแกพ่ ระมหาอปุ ราช อันกระทำประทุษร้ายภายในพระราชวังจนถึงทิวงคตแก่พระกนิษฐโอรสกรมขุนพรพินิจ๔ สถิตในที่อุปราช พระองค์เสวยสมบัติอยู่ได้ ๒๖ พระวัสสา ก็ทิวงคตในศักราชได้ ๑๑๒๐๕ ปี ครั้งนั้นพระมหาอุปราช ราชบุตร และกรมขุนอนุรักษมนตรี๖ ผู้เป็นพระเชษฐาธิราช จึ่งให้จับพระราชกุมารพี่น้อง ๓ พระองค์ อันต่างพระมารดา คือกรมจิตรสุนทร๗ และกรมสุนทรเทพ๘ กรมเสพภักด๙ี อันมีประทุษจิตคิดร้ายนั้น ใหส้ ำเรจ็ โทษโดยขตั ตยิ ประเพณเี สรจ็ แลว้ สมเดจ็ พระมหาอปุ ราชกไ็ ด้มรุ ธาภเิ ษกเสวยสมบตั ปิ ระมาณ ๑๐ วัน จึงมอบเวนราชสมบัติถวายพระเจ้าพี่ กรมขุนอนุรักษมนตรี เสร็จแล้วก็ถวายบังคมลาไปบรรพชา สถติ อยู่ ณ อศั นาวาศวหิ าร๑๐ คอื วดั ประดู่ สว่ นพระบรมเชษฐาธริ าชกไ็ ดส้ วรรยาภเิ ษกสมบตั ิ สริ กิ ษตั รยิ ์ ในราชวงศส์ มเดจ็ พระเจา้ ปราสาททอง เวน้ แตพ่ ระเพธราชา๑๑ คณนาเปน็ กษตั รยิ ์ ๙ พระองคด์ ว้ ยกนั กาลเมอ่ื ศกั ราชได้ ๑๑๒๑๑๒ ปี พระเจา้ องั วะนามชอ่ื มงั ลอง ยกกองพยหุ ทพั มาลอ้ มพระมหานครศรอี ยทุ ธยา สมเด็จพระอนุชาธิราชลาผนวชออกช่วยว่าราชการป้องกันพระนคร หมู่พม่าปัจจามิตร ทั้งหลายกระทำ ยทุ ธสงคราม ไมไ่ ดพ้ ระนครกเ็ ลกิ โยธาทพั กลบั สมเดจ็ พระอนชุ าธริ าชกถ็ วายบงั คมลาออกทรงบรรพชาใหม่ ๑ หรือ พระบรมนาเคนทร ๒ หรอื พระบรมคเชนทร ๓ หรือ พระอบุ าลี ๔ หรือ กรมขนุ พรพนิ ติ (เจา้ ฟา้ ดอกเดอ่ื ) เมอ่ื ขน้ึ ครองราชยเ์ ปน็ กษตั รยิ ป์ กครองกรงุ ศรอี ยธุ ยา ทรงพระนามวา่ สมเดจ็ พระเจา้ อทุ มุ พร (ขุนหลวงหาวัด) แห่งราชวงศ์บ้านพลูหลวง พ.ศ. ๒๓๐๑-๒๓๐๑ ระยะเวลาครองราชย์ประมาณ ๒ เดือน (ที่มา : คณะกรรมการชำระ ประวัติศาสตร์ไทย) ๕ ตรงกบั พ.ศ. ๒๓๐๑ ๖ หรือ กรมขุนอนุรักษ์มนตรี เมื่อขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์ปกครองกรุงศรีอยุธยาทรงพระนามว่า พระที่นั่งสุริยามรินทร์ หรือ สมเดจ็ พระเจา้ เอกทศั ราชวงศบ์ า้ นพลหู ลวง พ.ศ. ๒๓๐๑-๒๓๑๐ (ทม่ี า : คณะกรรมการชำระประวตั ศิ าสตรไ์ ทย) ๗ พระเจา้ ลกู เธอ กรมหมน่ื จติ รสนุ ทร ๘ พระเจา้ ลกู เธอ กรมหมน่ื สนุ ทรเทพ ๙ พระเจา้ ลกู เธอ กรมหมน่ื เสพภกั ดี ๑๐ หรืออัศนาวาสวิหาร ๑๑ หรือพระเพทราชา ๑๒ ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๐๒

เทศนาจลุ ยทุ ธการวงศ์ ๒๐๓ ฝา่ ยพกู ามประเทศ๑ มงั ระราชบตุ รมงั ลองไดค้ รองสมบตั ิ จง่ึ ให้มหานรทา๒ เปน็ อคั รโยธา คมุ พลากร ทัพยกมาตพี ระมหานครศรีอยุทธยาอีกครั้งหลัง ในกาลเมื่อศักราชได้ ๑๑๒๖ ปี ๓ หมู่พม่าปัจจามิตร มาตั้งล้อมพระนครอยู่ ๒ ปี กเ็ สียพระนครศรีอยุทธยาแก่ปรเสนาข้าศึก ในกาลเมื่อจุลศักราชล่วงได้ ๑๑๒๙๔ ปี และบรมขตั ตยิ าธริ าช อนั เปน็ ปจั ฉมิ กษตั รยิ ์ เสวยสมบตั ไิ ด้ ๙ พระวสั สา คณนาบรมกษตั รยิ ์ ได้เสวยราชสมบัติในกรุงเทพมหานคร บวรทวาราวดี ศรีอยุทธยา สิริเป็นขัตติยาธิราชถึง ๓๔ พระองค์ สน้ิ ดว้ ยกนั ประมาณปแี ตแ่ รกสรา้ งพระนคร จนเสยี แกป่ จั จามติ รหมขู่ า้ ศกึ นน้ั นบั ได้ ๔๑๗ ปี เปน็ กำหนด รับพระราชทานถวายพระสัทธรรมเทศนา ในจุลยุทธการวงษ สำแดงเรื่องลำดับโบราณกษัตริย์ อันได้ เสวยสมบัติเป็นอิศราธิบดีในสยามประเทศนี้ อันบุพพาจารย์รจนาไว้ เพื่อจะให้บังเกิดประสาทเลื่อมใส และสงั เวชในกศุ ลเหตุ และอกศุ ลเหตทุ ง้ั ปวงตา่ ง ๆ กย็ ตุ แิ ตเ่ ทา่ น้ี บดั นจ้ี กั ไดถ้ วายวสิ ชั นาตามเนอ้ื ความ ในพระคมั ภรี ส์ งั คตี กิ ารวงศ์ * สบื เรอ่ื งตน้ เปน็ ลำดบั ตอ่ ไป กาลเมื่อจุลศักราชล่วงได้ ๑๑๒๙๕ ขณะเมื่อพระมหานครศรีอยุทธยาเสียแก่พม่าปัจจามิตรแล้ว ในลำดบั นน้ั พระยาวชริ ปราการ๖ ผผู้ า่ นเมอื งกำแพงเพชร กวาดประชาชนอนั เหลอื อยใู่ นชนบทประเทศธานี ใหญน่ อ้ ยทง้ั ปวง ประมวลมาไวใ้ นอำนาจแหง่ ตน นำมาสเู่ มอื งธนบรุ ตี ง้ั เปน็ พระนครใหญ่ แลว้ ไดเ้ สวย ไอศรุ ยิ สมบตั เิ ปน็ บรมกษตั ราธริ าช แลว้ ยกพยหุ โยธาหาญไปยทุ ธนาการในชนบทประเทศธานตี า่ ง ๆ มเี มอื ง นครศรีธรรมราชเป็นอาทิ กวาดชนทั้งปวงนำมาสู่พระนครแห่งตน เสวยราชมไหศวรรย์อยู่ประมาณ ๑๔ ปีเศษ แลกระทำอกุศลกรรมต่าง ๆ ภายหลังมีจิตฟุ้งซ่านถึงซึ่งสัญญาวิปลาส ประพฤติพิปริตธรรมกรรม อันเดือดร้อนแก่สมณพราหมณาประชาราษฎรทั้งปวง อันชนทั้งหลายมีความโกรธชวนกันกำจัดเสียจาก ราชสมบัติ แล้วพิฆาตฆ่าเสียกับทั้งบุตรนัดดาวงศานุวงศ์ทั้งสิ้น ในกาลนั้นสมเด็จพระบรมกษัตริย์ ๑ ปัจจุบันมักใช้ว่า \"พกุ ามประเทศ\" ๒ หรือ มหานรธา ๓ ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๐๗ ๔ ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๑๐ (กรงุ ศรอี ยธุ ยาแตกครง้ั ท่ี ๒) * ฉบับพิมพ์ พ.ศ.๒๔๖๖ โรงพิมพ์ไทย เรียกชื่อว่า สังคีติยวงศ์ พระพิมลธรรม วัดพระเชตุพน เรียบเรียงเมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๒ เพื่อยอ พระเกยี รตสิ มเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราชและกรมพระราชวงั บวรในรชั กาลนนั้ ๕ ตรงกบั พ.ศ. ๒๓๑๐ ๖ เมอ่ื ขน้ึ ครองราชยเ์ ปน็ กษตั รยิ ์ ตง้ั เมอื งหลวงอยทู่ ่ีกรุงธนบุรี เฉลมิ พระนามวา่ สมเดจ็ พระเจา้ ตากสนิ มหาราช หรือ สมเดจ็ พระเจา้ กรงุ ธนบรุ ี ช่วงเวลาที่ครองราชยต์ ัง้ แต่ พ.ศ. ๒๓๑๑-๒๓๒๕

๒๐๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ พระเชษฐา๑ พระอนชุ าธริ าช๒ ทง้ั สองพระองคผ์ เู้ ปน็ พงศพ์ ทุ ธางกรู ทรงบำเพญ็ พทุ ธการกจรยิ า ปรารถนา พระปรมาภเิ ษกสมโพธญิ าณ เสดจ็ ยกพยหุ โยธาแตป่ ราจนี ทศิ มาสเู่ มอื งธนบรุ ี ทรงกระทำระงบั สรรพอาดรู ภยั พบิ ตั เิ ดอื ดรอ้ นแหง่ สมณพราหมณาประชาราษฎรใหผ้ าสกุ ภาพแลว้ กท็ รงสรา้ งพระมหานครใหม่ ฝา่ ย ฟากคงคาขา้ งบรุ พทศิ แหง่ เมอื งธนบรุ ี มปี อ้ มคา่ ยเชงิ เทนิ ปราการทวารนเิ วศวงั ทง้ั พระมหามนเทยี รปราสาท อาวาสนอ้ ยใหญภ่ ายในภายนอกพระนคร ใหน้ ามบญั ญตั ชิ อ่ื กรงุ รตั นครโกสนิ ท์ มหนิ ทอ์ ยทุ ธยา*๓ และ สมเดจ็ พระบรมเชษฐาธริ าช๔ ไดป้ ราบดาภเิ ษก เสวยราชสมบตั ใิ นพระมหานครใหมใ่ นกาลศกั ราชลว่ งได้ ๑๑๔๔ ๕ แลพระองคท์ รงอปุ ถมั ภกพระพทุ ธศาสนา ใหจ้ ดั สรรพระภกิ ษสุ งฆอ์ นั ทรงพระปรยิ ตั ธิ รรมได้ ๒๑๘ รูป มีสมเด็จพระสังฆราชาธิบดีเป็นประธาน อีกราชบัณฑิตามาตย์ ๓๒ คน กระทำการนวมสังคายนา ชำระพระไตรปิฎกธรรมอันพิรุธ ให้ถูกถ้วนด้วยบทอักษรพยัญชนะบริบูรณ์ ในกาลศักราชล่วงได้ ๑๑๕๐๖ เสด็จดำรงราชอาณาจักรได้ ๒๘ ปี ก็ทิวงคต จึงสมเด็จพระบรมเชษฐาโอรสราชภาคิไนย๗ ได้เสวย ศริ ริ าชมไหศวรรยส์ บื สนั ตตวิ งศ์ ดำรงปวรราชาฉตั รสบื กนั ตอ่ มา ตราบเทา่ ถงึ กาลปจั จบุ นั ทกุ วนั น้ี สาธชุ น ทั้งปวงได้เสาวนาการสดับในเรื่องสยามราชวงศ์ พึงปลงปัญญาลงพิจารณาในวิปัสสนาวิถี วิธีทาง พระไตรลักษณ์ คือพระอนิจจลักขณะ พระทุกขลักขณะ พระอนัตตลักขณะ ให้เห็นแท้ว่านามรูปเป็น อนจิ จงั ทกุ ขงั อนตั ตา มสี ภาวะบมไิ ดเ้ ทย่ี ง เปน็ วปิ รนิ ามธรรม นำมาซง่ึ กองทกุ ขป์ ราศจากสขุ สง่ิ อนั แก่นสาร ซึ่งจะถือเที่ยงว่าเป็นของตนบมิได้มิเป็นแท้ แต่สมเด็จบรมขัตติยาธิบดีละพระองค์ พระองค์ แตล่ ว้ นทรงสรุ ศกั ดเ์ิ ดชามหนั ตบญุ ญานภุ าพ กบ็ มอิ าจพน้ จากอำนาจพระยามจั จรุ าชได้ กษตั รยิ บ์ างพระองค์ กท็ วิ งคตโดยกาลมรณะ ตามวสิ ยั โลกธรรมดาบางพระองคเ์ ลา่ กท็ ำลายพระชนมช์ พี เปน็ อกาลมรณะ ดว้ ย อำนาจความเพียรแห่งบุคคลผู้อื่น เหตุด้วยราชสมบัติแต่ล้วนจัดลงในภูมิอศุภสาธารณ์ทั้งสิ้นบมิได้เศษ ๑ เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก (ทองด้วง) ๒ เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) ต่อมาทรงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท(กรมพระราชวังบวร สถานมงคลในรชั กาลพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้ จฬุ าโลกมหาราช ปฐมกษัตริยแ์ หง่ มหาจกั รบี รมราชวงศ์) * ครั้งรัชกาลที่ ๑ เรียกว่ากรุงรัตนโกสินทรอินทอยุธยา ต่อมาในรัชกาลที่ ๓ แก้สร้อยเป็น มหินทรอยุธยา ถึงรัชกาลที่ ๔ แก้เป็น มหินทราอยุธยา ๓ ในเทศนาจลุ ยทุ ธการวงศ์ ทพ่ี มิ พใ์ นประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๖๖ ฉบับ พ.ศ. ๒๔๘๐ และในประชมุ พงศาวดาร เลม่ ๔๑ ฉบับ พ.ศ. ๒๕๑๒ ใช้เหมือนกันว่า \"กรงุ รตั นโกสนิ ทร มหนิ ทรอยธุ ยา\" ๔ ทรงพระนามว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ ผู้สถาปนากรุงเทพฯ เปน็ ราชธานี ครองราชยต์ ง้ั แต่ พ.ศ.๒๓๒๕-๒๓๕๒ ๕ ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๒๕ ๖ ตรงกับ พ.ศ. ๒๓๓๑ ๗ สมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ เจา้ ฟา้ กรมหลวงอศิ รสนุ ทร ตอ่ มาเมอ่ื เสดจ็ ขน้ึ เถลงิ ถวลั ยราชสมบตั เิ ปน็ พระมหากษตั รยิ ท์ รงพระนามวา่ พระบาท สมเดจ็ พระพทุ ธเลศิ หลา้ นภาลยั พระมหากษตั รยิ ล์ ำดบั ที่ ๒ แหง่ มหาจกั รบี รมราชวงศ์ ครองราชย์ตง้ั แต่ พ.ศ. ๒๓๕๒-๒๓๖๗

เทศนาจลุ ยทุ ธการวงศ์ ๒๐๕ ควรจะสังเวชวิจารณปัญญาลงในมรณานุสสติกรรมฐาน นามชื่อว่าชีวิตแห่งสัตว์ทั้งหลายในโลกสันนิวาส ทจ่ี ะยนื ยงดำรงอยจู่ ริ ฐติ กิ าลนน้ั หามไิ ด้ บางทกี ท็ ำลายขนั ธด์ ว้ ยสน้ิ บญุ กม็ ี ดว้ ยสน้ิ อายกุ ม็ ี บางทเี ลา่ ก็ มรณภาพดว้ ยอปุ จั เฉทกกรรมมารนั ทำใหข้ าดชพี ในกาลอนั บมคิ วรจะพงึ ตาย ควรทส่ี าธสุ ปั บรุ ษุ ทง้ั หลายจกั เจรญิ ในมรณานสุ สตภิ าวนา ตามพทุ โธวาทานศุ าสน์ ทพ่ี ระราชทาน แกพ่ ระโยคาพจรกลุ บตุ ร ในพระพทุ ธศาสนา โดยนยั ถวายวสิ ชั นามาฉะน้ี

๒๐๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑

๒๐๗ พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบบั หลวงประเสรฐิ

๒๐๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑

พระราชพงศาวดารกรงุ เกา่ ฉบบั หลวงประเสรฐิ ๒๐๙ คำนำพระราชพงษาวดาร ฉบับหลวงประเสริฐ ๑ พระราชพงษาวดารฉบบั น้ี เดมิ พระปรยิ ตั ธิ รรมธาดา (แพ เปรยี ญ) แตย่ งั เปนหลวงประเสรฐิ อกั ษรนติ ิ ไปพบตน้ ฉบบั ทบ่ี า้ นราษฎรแหง่ ๑ จงึ ขอมาใหแ้ กห่ อพระสมดุ วชริ ญาณ เมอ่ื วนั ท่ี ๑๙ มถิ นุ ายน พ.ศ.๒๔๕๐ กรรมการหอพระสมดุ เหน็ เปนหนงั สอื พระราชพงษาวดารแปลกจากฉบบั อน่ื ๆ ทม่ี แี ลว้ จงึ ให้ เรยี กชอ่ื วา่ “พระราชพงษาวดารฉบบั หลวงประเสรฐิ ” ใหเ้ ปนเกยี รตยิ ศแกผ่ พู้ บ แลพามาใหห้ อพระสมดุ หนังสือพระราชพงษาวดารฉบับนี้ มีบานแพนกว่าเปนหนังสือฉบับหลวง สมเด็จพระนารายน์ มหาราชมรี บั สง่ั ใหแ้ ตง่ ขน้ึ เมอ่ื วนั ๔๑ฯ๒๕ คำ่ ปวี อกโทศก จลุ ศกั ราช ๑๐๔๒ กลา่ วเนอ้ื ความตง้ั ตน้ แตส่ รา้ งพระพทุ ธรปู พระเจา้ พนนั เชงิ เมอ่ื จลุ ศกั ราช ๖๘๖ จะจบเพยี งไหนทราบไมไ่ ด้ ดว้ ยตน้ ฉบบั ทห่ี อ พระสมดุ ไดม้ าไดแ้ ตเ่ ลม่ ๑ เลม่ เดยี ว ความคา้ งอยเู่ พยี งปมี โรงฉศก จลุ ศกั ราช ๙๖๖ ในแผน่ ดนิ สมเดจ็ พระนเรศวร เมื่อเตรียมทัพจะเสด็จไปตเี มืองอังวะ คเนดูเห็นจะมีเล่ม ๒ อิกเล่มเดียว ความจะมาจบ เพยี งแผน่ ดนิ พระเจา้ ปราสาททองเปนอยา่ งมาก สมดุ ตน้ ฉบบั ทไ่ี ดม้ าเปนสมดุ ดำเขยี นดว้ ยตวั รง ฝมี อื เขยี นครง้ั กรงุ เกา่ มรี อยถกู ฝนชน้ื ตวั หนงั สอื ลบเลอื นอยหู่ ลายแหง่ แตโ่ ดยมากมรี อยพอเหน็ ตรงลบเลอื นได้ กรรมการหอพระสมดุ ไดใ้ หพ้ มิ พพ์ ระราช พงษาวดารฉบบั หลวงประเสรฐิ ใน ร.ศ. ๑๒๖ ปที ไ่ี ดม้ านน้ั เปนครง้ั แรก ครน้ั ปฉี ลเู บญจศก พ.ศ. ๒๔๕๖ น้ี หอพระสมุดได้หนังสือพระราชพงษาวดารความเดียวกับหลวงประเสริฐมาอิกฉบับหนึ่ง ๒ เล่มสมุดไทย เปนฉบับหลวงของพระเจ้ากรุงธนบุรีเขียนเมื่อปีมเมียฉศก พ.ศ. ๒๓๑๗ เปนเหตุให้ยินดี คาดว่าจะได้ เรอ่ื งราวพระราชพงษาวดารฉบบั นจ้ี นจบ แตค่ รน้ั เอาหนงั สอื ๒ ฉบบั สอบกนั เขา้ ไดค้ วามปรากฎวา่ ฉบบั หลวงของพระเจา้ กรงุ ธนบรุ เี ปนฉบบั ลอกจากเลม่ ของหลวงประเสรฐิ อกั ษรนติ นิ เ้ี อง เพราะทส่ี ดุ ไปคา้ งเขนิ อยตู่ รงคำตอ่ ตำ เหมอื นกบั ฉบบั หลวงประเสรฐิ เปนอนั ไดค้ วามวา่ พระราชพงษาวดารฉบบั หลวงประเสรฐิ นม้ี ีเพยี งเทา่ ที่ไดม้ าต้งั แต่คร้ังกรุงธนบุรแี ลว้ จึงส้นิ หวังท่จี ะหาเรอ่ื งต่อไดอ้ กิ ตอ่ ไป แตท่ ี่ไดฉ้ บับพระเจ้า กรงุ ธนบรุ มี ามปี ระโยชนอ์ ยอู่ ยา่ ง ๑ ทไ่ี ดค้ วามซง่ึ ลบเลอื นในฉบบั หลวงประเสรฐิ อกั ษรนติ บิ รบิ รู ณ์ ๑ คำนำในประชมุ พงศาวดารภาคท่ี ๑ ฉบบั พมิ พค์ รง้ั แรก พ.ศ. ๒๔๕๗ คงตวั สะกดการนั ตต์ ามเดมิ

๒๑๐ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ พระราชพงษาวดารฉบบั หลวงประเสรฐิ แมค้ วามทก่ี ลา่ วเปนอยา่ งยอ่ ๆ มเี นอ้ื เรอ่ื งทไ่ี มป่ รากฎ ในพระราชพงษาวดารฉบบั อน่ื ออกไปอกิ มาก แลทส่ี ำคญั นน้ั ศกั ราชในฉบบั หลวงประเสรฐิ อกั ษรนติ ิ แมน่ ยำ กระบวนศกั ราชเชอ่ื ไดแ้ นก่ วา่ พระราชพงษาวดารฉบบั อน่ื ๆ หนงั สอื พระราชพงษาวดารฉบบั หลวง ประเสรฐิ จงึ เปนหลกั แกก่ ารสอบหนงั สอื พงษาวดารไดเ้ รอ่ื งหนง่ึ ด.ร.

พระราชพงศาวดารกรงุ เกา่ ฉบบั หลวงประเสรฐิ ๒๑๑ พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบบั หลวงประเสรฐิ ๑ ศภุ มสั ดุ ๑๐๔๒ ศกวอกนกั ษตั ร (พ.ศ.๒๒๒๓) ณ วนั ๔๑ฯ๒๕ คำ่ ๒ ทรงพระกรณุ าตรสั เหนอื เกลา้ เหนอื กระหมอ่ มสง่ั วา่ ใหเ้ อากฎหมายเหตุ ๓ ของพระโหรเขยี นไวแ้ ตก่ อ่ น แลกฎหมายเหตซุ ง่ึ หาไดแ้ ต่ หอหนงั สอื แลเหตซุ ง่ึ มใี นพระราชพงษาวดารนน้ั ใหค้ ดั เขา้ ดว้ ยกนั เปน็ แหง่ เดยี ว ใหร้ ะดบั ศกั ราชกนั มาคงุ เทา่ บดั น้ี จลุ ศกั ราช ๖๘๖ ชวดศก (พ.ศ.๑๘๖๗) แรกสถาปนาพระพทุ ธเจา้ เจา้ พแนงเชงี ๔ ศกั ราช ๗๑๒ ขาลศก (พ.ศ.๑๘๙๓) วนั ๖ ฯ๖ ๕ คำ่ เวลารงุ่ แลว้ ๓ นาฬกิ า ๙ บาท๕ แรก สถาปนากรงุ พระนครศรอี ยทุ ธยา ๖ ศกั ราช ๗๓๑ ระกาศก (พ.ศ.๑๙๑๒) แรกสรา้ งวดั พระราม ครง้ั นน้ั สมเดจ็ พระรามาธบิ ดเี จา้ ๗ เสดจ็ นฤพาน จงึ พระราชกมุ ารทา่ นสมเดจ็ พระราเมศวรเจา้ ๘ เสวยราชสมบตั ิ ครน้ั ถงึ ศกั ราช ๗๓๒ จอศก (พ.ศ.๑๙๑๓) สมเดจ็ พระบรมราชาธรี าชเจา้ ๙ เสดจ็ มาแต่เมอื งสพุ รรณบรุ ยี ๑๐ ขน้ึ เสวยราชสมบตั ิ ๑ ชื่อเรื่องในประชุมพงศาวดารภาคที่ ๑ ฉบับพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๔๕๗ ว่า “ พระราชพงษาวดารกรุงเก่าฉบับหลวงประเสริฐ ” การตรวจสอบชำระยึดฉบับพิมพ์ พ.ศ. ๒๔๕๗ ตรวจสอบกับต้นฉบับสมุดไทยดำในหอสมุดแห่งชาติ เรื่อง พงศาวดารกรุงศรีอยุธยา เรอ่ื งลำดบั ศกั ราช สมยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา (พงศาวดารฉบบั หลวงประเสรฐิ ฯ) เลขที่ ๓๐ มดั ที่ ๒ ตู้ ๑๑๑ ชน้ั ๑/๑ (ตัวหรดาล เขียนครง้ั อยุธยา) เปน็ หลกั ทใ่ี ดลบเลอื น อาศยั สอบเทยี บกบั พงศาวดารกรงุ ศรอี ยธุ ยา ลำดบั ศกั ราชกรงุ ศรอี ยธุ ยา จ.ศ.๖๘๖-๙๖๖ เลขที่ ๓๐/ก มัดที่ ๒ ตู้ ๑๑๑ ชน้ั ๑/๑ (ตวั ดนิ สอขาว คดั ลอกครง้ั รชั กาลท่ี ๑ แหง่ กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ โดยไมพ่ บฉบบั หลวงของพระเจา้ กรงุ ธนบรุ ี เขียน พ.ศ. ๒๓๑๗) ๒ ตรงกับวันพุธที่ ๑๐ เมษายน พ.ศ. ๒๒๒๓ ๓ จดหมายเหตุ ๔ พระพุทธรูปปูนปั้นปิดทอง ปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง ๑๔ เมตรเศษ สูง ๑๙ เมตร คนไทยทว่ั ไปเรยี ก หลวงพอ่ โตหรอื หลวง พ่อพนญั เชิง คนจนี เรยี ก ซำปอกง พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั ถวายนามวา่ พระพทุ ธไตรรตั นนายก ประดิษฐาน ณ วดั พนญั เชงิ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ๕ ตรงกบั วนั ศกุ รท์ ่ี ๔ มนี าคม พ.ศ. ๑๘๙๓ เวลา ๙ นาฬกิ า ๕๔ นาที (มาตราเวลาไทยโบราณ ๑ บาท เทา่ กบั ๖ นาท)ี ๖ กรงุ ศรอี ยธุ ยา หรือพระนครศรอี ยธุ ยา ๗ พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาใช้ สมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ่ี ๑ ทั่วไปนยิ มใชค้ ูก่ ับพระนามเดิมว่า สมเดจ็ พระรามาธบิ ดี ที่ ๑ (อู่ทอง) ๘ พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาใช้ สมเดจ็ พระราเมศวร ๙ พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาใช้ สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชท่ี ๑ ทว่ั ไปนยิ มใชค้ กู่ บั พระนามเดมิ เปน็ สมเดจ็ พระบรม ราชาธริ าชท่ี ๑ (พงว่ั ) หรอื ขนุ หลวงพงว่ั ๑๐ เมอื งสพุ รรณบรุ ี

๒๑๒ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ พระนครศรอี ยทุ ธยา แลทา่ นจงึ ให้สมเดจ็ พระ ราเมศวรเจา้ เสดจ็ ไปเสวยราชสมบตั เิ มอื งลพบรู ยี ๑ ศกั ราช ๗๓๓ กนุ ศก (พ.ศ.๑๙๑๔) สมเดจ็ พระบรมราชาธรี าชเจา้ เสดจ็ ไปเอาเมอื งเหนอื แลได้ เมอื งเหนอื ทง้ั ปวง ศกั ราช ๗๓๔ ชวดศก (พ.ศ.๑๙๑๕) เสดจ็ ไปเอาเมอื งนครพงั คา่ แลเมอื งแสง๒ เชราไดเ้ มอื ง ศกั ราช ๗๓๕ ฉลศู ก (พ.ศ.๑๙๑๖) เสดจ็ ไปเมอื งชากงั ราว๓ แลพญาใสแกว้ แลพญาคำแหง เจา้ เมอื งชากงั ราว ออกตอ่ รบทา่ น ๆ ไดฆ้ า่ พญาใสแกว้ ตาย แลพญาคำแหงแลพลทง้ั ปวงหนเี ขา้ เมอื งได้ แลทพั หลวงเสดจ็ กลบั คนื มา ศกั ราช ๗๓๖ ขาลศก (พ.ศ.๑๙๑๗) สมเดจ็ พระบรมราชาธรี าชเจา้ แลพระมหาเถรธรรมากลั ญาน แรกสถาปนาพระศรรี ตั ณะมหาทาตุ ๔ ฝา่ ยบรู พทศิ หนา้ พระบนั ชน้ั สงิ หส์ งู เสน้ ๓ วา ๕ ศักราช ๗๓๗ เถาะศก (พ.ศ.๑๙๑๘) เสด็จไปเอาเมืองพีศณุโลก๖ แลได้ตัวขุนสามแก้วเจ้าเมือง แลครวั อพยพมาครง้ั นน้ั มาก ศกั ราช ๗๓๘ มะโรงศก (พ.ศ.๑๙๑๙) เสดจ็ ไปเอาเมอื งชากงั ราวเลา่ ครง้ั นน้ั พญาคำแหงแล ทา้ วผา่ คอง คดิ ดว้ ยกนั วา่ จะยอทพั หลวงแลจะทำมไิ ดแ้ ลทา้ วผา่ คองเลกิ ทพั หนี แลจงึ เสดจ็ ยกทพั หลวงตาม แลทา้ วผา่ คองนน้ั แตก แลจบั ไดต้ วั ทา้ วพญาแลเสนาขนุ หมน่ื ครง้ั นน้ั มาก แลทพั หลวงเสดจ็ กลบั คนื ศกั ราช ๗๔๐ มะเมยี ศก (พ.ศ.๑๙๒๑) เสดจ็ ไปเอาเมอื งชากงั ราวเลา่ ครง้ั นน้ั มหาธรรมราชา๗ ออกรบทพั หลวงเปน็ สามารถ แลเหน็ วา่ จะตอ่ ดว้ ยทพั หลวงมไิ ด้ จงึ มหาธรรมราชาออกถวายบงั คม ศกั ราช ๗๔๘ ขาลศก (พ.ศ.๑๙๒๙) เสดจ็ ไปเอาเมอื งเชยงี ใหม๘ แลใหเ้ ขา้ ปลน้ เมอื งนครลำภาง๙ ๑ เมอื งลพบรุ ี ๒ ฉบบั อยธุ ยา ลบเลอื น แตฉ่ บบั รชั กาลท่ี ๑ เขยี น แสง ๓ แนวคิดเดิม เมืองชากังราวเป็นเมืองโบราณในลุ่มน้ำแม่ปิง ในเขตจังหวัดกำแพงเพชร ปัจจุบัน นายพิเศษ เจียจันทร์พงษ์ เสนอแนวคดิ ใหม่ว่า เปน็ เมืองโบราณ ในลมุ่ แมน่ ำ้ นา่ น ในเขตจงั หวดั อตุ รดติ ถ์ ซง่ึ ยงั มไิ ดม้ กี ารพจิ ารณาตดั สนิ ๔ วดั พระศรรี ตั นมหาธาตุ หรอื วดั พระมหาธาตุ จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ( ปัจจบุ ันเปน็ วดั รา้ ง ) ๕ ๑ เส้น ๓ วา เท่ากับ ๔๖ เมตร ( ๑ เส้นเท่ากับ ๔๐ เมตร ๑ วา เท่ากับ ๒ เมตร ) ๖ เมอื งพษิ ณโุ ลก ๗ พระมหาธรรมราชาท่ี ๒ กรงุ สโุ ขทยั ๘ เมอื งเชยี งใหม่ ๙ เมืองนครลำปางหรอื เมืองลำปาง

พระราชพงศาวดารกรงุ เกา่ ฉบบั หลวงประเสรฐิ ๒๑๓ มไิ ด้ จงึ แตง่ หนงั สอื ใหเ้ ขา้ ไปแกห่ มน่ื ณครรเจา้ เมอื งณครรลำภาง ๆ นน้ั จงึ ออกมาถวายบงั คม แลทพั หลวง เสดจ็ กลบั คนื ศักราชได้ ๗๕๐ มะโรงศก (พ.ศ.๑๙๓๑) เสด็จไปเอาเมืองชากังราวเล่า ครั้งนั้นสมเด็จพระบรม ราชาธรี าชเจา้ ทรงพระประชวรหนกั แลเสดจ็ กลบั คนื ครน้ั ถงึ กลางทางสมเดจ็ พระบรมราชาเจา้ นฤพาน แลจงึ เจา้ ทองลนั ๑ พระราชกมุ ารทา่ นไดเ้ สวยราชสมบตั พิ ระนครศรอี ยทุ ธยาได้ ๗ วนั จงึ สมเดจ็ พระราเมศวรยกพล มาแตเ่ มอื งลพบรุ ยี ขน้ึ เสวยราชสมบตั พิ ระนครศรอี ยทุ ธยา แลทา่ นจงึ ใหพ้ ฆิ าตเจา้ ทองลนั เสยี ศักราช ๗๕๗ กุนศก (พ.ศ.๑๙๓๘) สมเด็จพระราเมศวรเจ้านฤพานจึงพระราชกุมารท่านเจ้า พญาราม ๒ เสวยราชสมบตั ิ ศกั ราช ๗๗๑ ฉลศู ก (พ.ศ.๑๙๕๒) สมเดจ็ พระรามเจา้ มคี วามพโิ รธแก่เจา้ เสนาบดี แลทา่ นใหก้ มุ เจา้ เสนาบดี ๆ หนรี อด แลขา้ มไปอยฟู่ ากปทา่ คจู ามนน้ั แลเจา้ เสนาบดจี งึ ใหไ้ ปเชญิ สมเดจ็ พระอนี ทราชาเจา้ ๓ มาแต่เมืองสุพรรณบุรีย ว่าจะยกเข้ามาเอาพระนครศรีอยุทยาถวาย ครั้นแลสมเด็จพระอีนทราชา เจา้ เสดจ็ มาถงึ ไซร้ จงึ เจา้ เสนาบดยี กพลเขา้ ไปปลน้ เอาพระนครศรอี ยทุ ธยาได้ จงึ เชญิ สมเดจ็ พระอนี ทราชา เจา้ ขน้ึ เสวยราชสมบตั ิ แลทา่ นจงึ ใหส้ มเดจ็ พญารามเจา้ ไปกนิ เมอื งปทา่ คจู าม ศกั ราช ๗๘๑ กนุ ศก (พ.ศ.๑๙๖๒) มขี า่ วมาวา่ พระมหาธรรมราชาธรี าชเจา้ ๔ นฤพาน แลเมอื ง เหนอื ทง้ั ปวงเปน็ จลาจล แลจงึ เสดจ็ ขน้ึ ไปถงึ เมอื งพระบาง๕ ครง้ั นน้ั พญาบาลเมอื ง๖ แลพญาราม๗ ออก ถวายบงั คม ศกั ราช ๗๘๖ มะโรงศก (พ.ศ.๑๙๖๗) สมเดจ็ พระอนี ทราชาเจา้ ทรงพระประชวรนฤพาน ครง้ั นน้ั เจา้ อา้ ยพญา๘ แลเจา้ ญพึ ญา๙ พระราชกมุ ารทา่ นชนชา้ งดว้ ยกนั ณ สะพานปา่ ถา่ น๑๐ ถงึ พริ าลยั ทง้ั ๒ ๑ พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาใช้ สมเดจ็ พระเจา้ ทองจนั ทร์ สมเดจ็ พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ ทรงอธบิ ายความกำกบั ไวว้ า่ นา่ จะเปน็ ทองลัน โดยทั่วไปจึงใช้ สมเดจ็ พระเจา้ ทองลนั ๒ พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาใช้ สมเด็จพระเจ้ารามราชาธิราช ๓ พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาใช้ สมเดจ็ พระอนิ ทราธริ าชท่ี ๑ ทว่ั ไปนยิ มใชว้ า่ สมเดจ็ พระนครนิ ทราธริ าช ๔ พระมหาธรรมราชาท่ี ๓ (ไสยลอื ไทย) กรงุ สโุ ขทยั ๕ เมืองนครสวรรค์ ๖ พระยาบาลเมอื ง ไดเ้ ปน็ พระมหาธรรมราชาท่ี ๔ (บรมปาล) ครองเมอื งพษิ ณโุ ลก ๗ พระยาราม ไดค้ รองเมอื งสโุ ขทยั ๘ เจา้ อา้ ยพระยา ๙ เจา้ ยพ่ี ระยา ๑๐ สะพานปา่ ถา่ น สะพานก่ออิฐ ข้ามคลองประตจู นี ในพระนครศรอี ยธุ ยา ตำบลทเ่ี ผาถา่ นขายเรยี ก บา้ นปา่ ถา่ น

๒๑๔ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ พระองคท์ น่ี น้ั จงึ พระราชกมุ ารเจา้ สามพญา๑ ไดเ้ สวยราชสมบตั พิ ระนครอยทุ ธยา ทรงพระนามสมเดจ็ พระบรม ราชาธรี าชเจา้ ๒ แลทา่ นจงึ ใหก้ อ่ พระเจดยี ส์ องพระองคส์ วมทเ่ี จา้ พญาอา้ ยแลเจา้ พญาญชี นชา้ งด้วยกันถึง อนจิ ภาพ ตำบลปาถารนน้ั ในศกั ราชนน้ั ทา่ นสถาปนาวดั ราชบณุ ๓ ศกั ราช ๗๙๓ กนุ ศก (พ.ศ.๑๙๗๔) สมเดจ็ พระบรมราชาเจา้ เสดจ็ ไปเอาเมอื งนครหลวง๔ ไดแ้ ล ท่านจึงให้พระราชกุมารท่าน พระนครอีนทเจ้า๕ เสวยราชสมบัตเิ มืองนครหลวงนั้น ครั้งนั้นท่านจึงให้ พญาแกว้ พญาใท ๖ แลรปู ภาพ ๗ ทง้ั ปวง มายงั พระนครศรี อยทุ ธยา ศกั ราช ๘๐๐ มะเมยี ศก (พ.ศ.๑๙๘๑) ครง้ั สมเดจ็ พระบรมราชาธรี าชเจา้ สรา้ งวดั มเหยง๘ เสวย ราชสมบัติ แลสมเด็จพระราเมสวรเจ้า๙ ผู้เป็นพระราชกุมารท่านเสด็จไปเมืองพีศนุโลก ครั้งนั้นเห็นน้ำ พระเนตรพระพทุ ธเจา้ พระชนี ราช๑๐ ตกออกมาเปน็ โลหติ ศกั ราช ๘๐๒ วอกศก (พ.ศ.๑๙๘๓) ครง้ั นน้ั เกดิ เพลงิ ไหมพ้ ระราชมณเฑยี ร ศกั ราช ๘๐๓ ระกาศก (พ.ศ.๑๙๘๔) ครง้ั นน้ั เกดิ เพลงิ ไหมพ้ ระทน่ี ง่ั ตรมี กุ ข๑๑ ศกั ราช ๘๐๔ จอศก (พ.ศ.๑๙๘๕) สมเดจ็ พระบรมราชาธรี าชเจา้ เสดจ็ ไปเอาเมอื งเชยงี ใหม แลเขา้ ปลน้ เอาเมอื งมไิ ด้ พอทรงพระประชวรแลทพั หลวงเสดจ็ กลบั คนื ๑ เจา้ สามพระยา เสวยราชยเ์ ปน็ สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชท่ี ๒ ๒ พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาใช้ สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชท่ี ๒ ทว่ั ไปนยิ มขานพระนามรวมกบั พระนามเดมิ วา่ สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชท่ี ๒ (เจา้ สามพระยา) ๓ วดั ราชบรู ณะ สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชท่ี ๒ (เจา้ สามพระยา) ทรงสถาปนาขน้ึ ตรงทถ่ี วายพระเพลงิ พระศพเจา้ อา้ ยพระยา และเจา้ ยพ่ี ระยา ๔ คอื พระนครหลวง หรือ เมอื งพระนครธม หรอื นครธมของอาณาจกั รกมั พชู า ๕ พระนครอนิ ทร์ ๖ พระยาแกว้ พระยาไทย สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพทรงอธบิ ายไวใ้ นหนงั สอื พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาวา่ พระยาแกว้ พระยาไทย เหน็ จะเปน็ เชอ้ื พระวงศข์ องพระเจา้ กรงุ กมั พชู า ๗ รปู ประตมิ ากรรม ๘ วดั มเหยงคณ์ จงั หวดั พระนครศรอี ยธุ ยา ๙ สมเดจ็ พระราเมศวร ตำแหนง่ พระมหาอปุ ราช เมอ่ื ขน้ึ ครองราชยท์ รงพระนามสมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ ๑๐ พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก ๑๑ พระทน่ี ง่ั ตรมี ขุ ภายในพระราชวงั โบราณ จงั หวัดพระนครศรีอยุธยา พระท่นี ัง่ องค์เดมิ สร้างเมื่อใดไม่ปรากฏหลักฐาน เมื่อ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดให้ตั้งพิธีรัชมงคล เพื่อบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระรามาธิบดีที่ ๒ ในวาระที่เสวยราช สมบัติครบ ๔๐ ปีเท่ากันนั้น โปรดให้พระยาโบราณราชธานินทรส์ ร้างพลับพลาตรีมุขขึ้นบนฐานซึ่งเข้าใจว่าเดิมคงเป็นพระที่นั่งตรีมุขด้วย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันก็โปรด ใหต้ ง้ั การพระราชพธิ ที รงสงั เวยอดตี บรู พกษตั รยิ อ์ ยธุ ยา ณ พลบั พลาน้ี

พระราชพงศาวดารกรงุ เกา่ ฉบบั หลวงประเสรฐิ ๒๑๕ ศักราช ๘๐๖ ชวดศก (พ.ศ.๑๙๘๗) เสด็จไปปราบพรรค แลตั้งทัพหลวงตำบลปะทายเขษม ครง้ั นน้ั ไดเ้ ชลย ๑๒๐,๐๐๐ ทพั หลวงเสดจ็ กลบั คนื ๑ ศักราช ๘๑๐ มะโรงศก (พ.ศ. ๑๙๙๑) สมเด็จพระบรมราชาธีราชเจ้านฤพาน จึงพระราชกุมาร ทา่ นสมเดจ็ พระราเมศวรเจา้ เสวยราชสมบตั ิ ทรงพระนามสมเดจ็ พระบรมไตรโลกเจา้ ๒ ศกั ราช ๘๑๓ มะแมศก (พ.ศ.๑๙๙๔) ครง้ั นน้ั มหาราช๓ มาเอาเมอื งซากงั ราวไดแ้ ลว้ จงึ เอาเมอื ง สกุ โขใทย ๔ เขา้ ปลน้ เมอื งมไิ ดก้ เ็ ลกิ ทพั กลบั คนื ศกั ราช ๘๑๖ จอศก (พ.ศ.๑๙๙๗) ครง้ั นน้ั คนทง้ั ปวงเกดิ ทรพษิ ตายมากนกั ศกั ราช ๘๑๗ กนุ ศก (พ.ศ.๑๙๙๘) แตง่ ทพั ใหไ้ ปเอาเมอื งมลากา ๕ ศกั ราช ๘๑๘ ชวดศก (พ.ศ.๑๙๙๙) แตง่ ทพั ใหไ้ ปเอาเมอื งลสิ บทนี ๖ ครง้ั นน้ั เสดจ็ หนนุ ทพั ขน้ึ ไป ตง้ั ทพั หลวงตำบลโคน ๗ ศกั ราช ๘๑๙ ฉลศู ก (พ.ศ.๒๐๐๐) ครง้ั นน้ั ขา้ วแพงเปน็ ทะนานละ ๘๐๐ เบย้ี เมอ่ื คดิ เสมอเบย้ี เฟอ้ื งละ ๘๐๐ นน้ั ๘ เกวยี นหนง่ึ เปน็ เงนิ สามชง่ั สบิ บาท๙ ศกั ราช ๘๒๐ ขาลศก (พ.ศ.๒๐๐๑) ครง้ั นน้ั ใหบ้ รู ณะ๑๐ พระศาสนาบรบิ รู ณ์ แลหลอ่ รปู พระโพธสิ ตั ว ๕๐๐ ชาติ ศกั ราช ๘๒๒ มะโรงศก (พ.ศ.๒๐๐๓) เลน่ การมหรสพฉลองพระ แลพระราชทานแกส่ งฆแ์ ล ๑ พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาบันทึกเหตุการณ์ในรัชกาลนี้ค่อนข้างตรงกับพระราชพงศาวดารฉบับนี้ เหตุการณ์ครั้งนี้ พระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาบันทึกว่า “เสด็จขึ้นไปตเี ชียงใหมอ่ ีกครั้งหนึ่ง และตั้งทัพหลวงตำบลท้ายเกษม ไดเ้ มืองเชียงใหม่ ครง้ั นน้ั ไดเ้ ชลยแสนสองหมน่ื ทพั หลวงเสดจ็ กลบั คนื ” ๒ พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาใช้ สมเดจ็ พระบรมไตรโลกนาถ ๓ พระเจา้ ตโิ ลกราช พระเจา้ เชยี งใหม่ ปกครองอาณาจกั รลา้ นนา พ.ศ. ๑๙๘๕-๒๐๓๑ ๔ เมอื งสโุ ขทยั ๕ เมืองมะละกา เมืองปลายคาบสมุทรมลายู สร้างขึ้นในทศวรรษที่ ๑๙๔๐ เมื่อกรุงศรีอยุธยาแต่งทัพไปตีนั้น ไม่อาจเอาชนะได้ แต่มะละกาก็ยอมส่งเครื่องราชบรรณาการให้กรุงศรีอยุธยา เมื่อถึง พ.ศ. ๒๐๑๓ มะละกามีอำนาจควบคุมช่องแคบมะละกาทั้ง ๒ ฝั่ง และมอี ทิ ธพลเหนอื คาบสมทุ รมลายแู ทนกรงุ ศรอี ยธุ ยา จนโปรตเุ กสเข้ายึดครองใน พ.ศ. ๒๐๕๔ ปัจจุบันเป็นรัฐหนึ่งในประเทศมาเลเซยี ๖ ฉบบั รชั กาลท่ี ๑ ใชว้ า่ สกี สพเทนิ พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาใช้ ศรสี พเถนิ ๗ พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาวา่ ตำบลบา้ นโคน อยใู่ นเขตจงั หวดั กำแพงเพชรในปัจจุบัน ๘ หมายความวา่ คดิ ตามมาตราเงนิ ตราไทยโบราณ ๘๐๐ เบี้ย เป็น ๑ เฟื้อง ๙ ตามมาตราเงนิ ตราไทยโบราณ ๘๐ บาท เปน็ ๑ ชง่ั ในทน่ี ข้ี า้ วเกวยี นหนง่ึ เปน็ เงนิ ๒๕๐ บาท ๑๐ ฉบับอยุธยาใช้ “บุณ” เช่นเดียวกับชื่อ วดั ราชบรู ระ ก็ใช้ “วัดราชบุณ” ส่วนฉบับรัชการที่ ๑ ใช้ “บุณณะ”

๒๑๖ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ พราหมณแ์ ลวณพิ กทง้ั ปวง ครง้ั นน้ั พญาซเลยงี ๑ คดิ เปน็ ขบถพาเอาครวั ทง้ั ปวงไปออกแตม่ หาราช ศกั ราช ๘๒๓ มะเสง็ ศก (พ.ศ.๒๐๐๔) พญาซเลยงี นำมหาราชมาจะเอาเมอื งพศิ ณโู ลก เขา้ ปลน้ เมอื งเปน็ สามารถมไิ ดเ้ มอื ง แลจงึ ยกทพั เปรอไปเอาเมอื งกำแพงเพช ๒ แลเขา้ ปลน้ เมอื งถงึ ๗ วนั มไิ ด้ เมอื ง แลมหาราชกเ็ ลกิ ทพั คนื ไปเชยงี ใหม ศกั ราช ๘๒๔ มะเมยี ศก (พ.ศ.๒๐๐๕) เมอื งนะครรใทย ๓ พาเอาครวั อพยพหนไี ปนาน ๔ แลให้ พระกลาโหมไปตามไดค้ นื มา แลว้ พระกลาโหมยกพลไปเอาเมอื งสกุ โขไทย ไดเ้ มอื งคนื ดจุ เกา่ ศกั ราช ๘๒๕ มะแมศก (พ.ศ.๒๐๐๖) สมเดจ็ พระบรมใตรโลกเจา้ ไปเสวยราชสมบตั เิ มอื งพดี ณโู ลก แลตรัสให้พระเจ้าแผ่นดินเสวยราชสมบัติพระนครศรีอยุทธยา ทรงพระนามสมเด็จบรมราชา๕ ครั้งนั้น มหาราชท้าวลูก๖ ยกพลมาเอาเมืองสุกโขใทย จึงสมเด็จพระบรมใตรโลกเจ้า แลสมเด็จพระอินทราชา เสด็จไปกันเมือง แลสมเด็จพระราชาเจ้าตีทัพพญาเถียน๗ แตก แลทัพท่านมาปะทัพหมื่นณครร๘ แลท่านได้ชนช้างด้วยหมื่นนครร แลครั้งนั้นเปนโกลาหลใหญ่ แลข้าศึกลาวทั้งสี่ช้างเข้ารุมเอาช้าง พระทน่ี ง่ั ชา้ งเดยี วนน้ั ครง้ั นน้ั สมเดจ็ พระอนี ทราชาเจา้ ตอ้ งปนื ณ พระพกั ตร์ แลทพั มหาราชนน้ั เลกิ กลบั คนื ไป ศกั ราช ๘๒๖ วอกศก (พ.ศ.๒๐๐๗) สมเดจ็ พระบรมใตรโลกเจา้ สรา้ งพระวหิ ารวดั จลุ ามนุ ี ๙ ศกั ราช ๘๒๗ ระกาศก (พ.ศ.๒๐๐๘) สมเดจ็ พระบรมใตรโลกเจา้ ทรงพระผนวช ณ วดั จลุ ามนุ ี ได้ ๘ เดอื น แลว้ ลาพระผนวช ศกั ราช ๘๓๐ ชวดศก (พ.ศ.๒๐๑๑) ครง้ั นน้ั มหาราชทา้ วบญุ ชิงเอาเมืองเชยีงใมยแก่ท้าวลูก ๑ พระยาเชลียง เจ้าเมืองสวรรคโลก เมื่อทำการไม่สำเร็จ ก็มีทีท่าว่าจะกลับมาสามิภักดิ์สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระเจ้า ตโิ ลกราชจงึ เนรเทศไปอยเู่ มอื งหา้ งหลวง ให้หมื่นด้งนครมาปกครองรกั ษาดา่ นดา้ นนแ้ี ทน ๒ เมอื งกำแพงเพชร ๓ เมอื งนครไทย ปัจจุบันเป็นอำเภอนครไทย ขน้ึ จงั หวดั พษิ ณโุ ลก ๔ เมืองน่าน ๕ สมเด็จพระบรมราชานี้ เมื่อขึ้นครองราชย์ พระราชพงศาดารฉบับพระราชหัตถเลขาใช้ว่า สมเด็จพระอินทราชาธิราชที่ ๒ แต่ สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพทรงพระนพิ นธอ์ ธบิ ายและสรปุ วา่ ทถ่ี กู คอื สมเดจ็ พระบรมราชาธริ าชท่ี ๓ ๖ นา่ จะเปน็ มหาราชทา้ วลก “ลก” เปน็ พระนามเดมิ ของพระเจา้ ตโิ ลกราช แปลวา่ หก เพราะเปน็ พระโอรสองคท์ ่ี ๖ ของพระเจา้ สามฝง่ั แกน ๗ พระยายทุ ธษิ เฐยี ร อดีตเจา้ เมอื งสองแคว (พษิ ณโุ ลก) ไปสวามภิ กั ดพ์ิ ระเจา้ ตโิ ลกราช ไดเ้ ปน็ เจา้ เมอื งพะเยา ๘ หมื่นด้งนครคมุ ทพั ชาวเชยี งใหม่ ภายหลงั ไดก้ นิ เมอื งนคร (ลำปาง) และเมอื งเชลยี ง ๙ วัดจุฬามณี จงั หวดั พษิ ณโุ ลก เดมิ เปน็ เทวสถานของพราหมณ์

พระราชพงศาวดารกรงุ เกา่ ฉบบั หลวงประเสรฐิ ๒๑๗ ศกั ราช ๘๓๓ เถาะศก (พ.ศ.๒๐๑๔) ได้ชา้ งเผอื ก ศกั ราช ๘๓๔ มะโรงศก (พ.ศ.๒๐๑๕) พระราชสมภพพระราชโอรส๑ ทา่ น ศกั ราช ๘๓๕ มะเสง็ ศก (พ.ศ.๒๐๑๖) หมน่ื ณครรใหล้ อกเอาทองพระเจา้ ลงมาหมุ้ ดาบ ศกั ราช ๘๓๖ มะเมยี ศก (พ.ศ.๒๐๑๗) เสดจ็ ไปเอาเมอื งชเลยงิ ศกั ราช ๘๓๗ มะแมศก (พ.ศ.๒๐๑๘) มหาราชขอมาเปน็ ไมตรี ศกั ราช ๘๓๙ ระกาศก (พ.ศ.๒๐๒๐) แรกตง้ั เมอื งณครรไทย ศกั ราช ๘๔๑ กนุ ศก (พ.ศ.๒๐๒๒) พระศรรี าชเดโช ๒ ถงึ แกก่ รรม ศักราช ๘๔๒ ชวดศก (พ.ศ.๒๐๒๓) พญาลานชาง๓ ถึงแก่กรรมแลพระราชทานให้อภิเษก พญาซายขาวเปน็ พญาลานชางแทน ศกั ราช ๘๔๔ ขาลศก (พ.ศ.๒๐๒๕) ทา่ นใหเ้ ลน่ การมหรสพ ๑๕ วนั ฉลองพระศรรี ตั ณมหาธาต๔ุ แลว้ จงึ พระราชนพิ นธม์ หาชาตคี ำหลวงจบบรบิ รู ณ์ ศกั ราช ๘๔๕ เถาะศก (พ.ศ.๒๐๒๖) สมเดจ็ พระบรมราชาเจา้ เสดจ็ ไปวงั ชา้ งตำบลไทรยอ้ ย ศักราช ๘๔๖ มะโรงศก (พ.ศ.๒๐๒๗) สมเด็จพระเชถถาทีราชเจ้าแลสมเด็จพระราชโอรสสมเด็จ พระบรมราชาทรี าชเจา้ ทรงพระผนวชทง้ั ๒ พระองค์ ศกั ราช ๘๔๗ มะเสง็ ศก (พ.ศ.๒๐๒๘) พระราชโอรสทา่ นลาพระผนวช แลประดษิ ฐานพระองค์ นน้ั ไวใ้ นทพ่ี ระมหาอปุ ราช ศกั ราช ๘๔๘ มะเมยี ศก (พ.ศ.๒๐๒๙) สมเดจ็ พระบรมราชาทรี าชเจา้ ไปวงั ชา้ งตำบลสำฤทธบี รุ ณ ศกั ราช ๘๔๙ มะแมศก (พ.ศ.๒๐๓๐) ทา้ วมหาราชลกู พริ าลยั ศกั ราช ๘๕๐ วอกศก (พ.ศ.๒๐๓๑) สมเดจ็ พระบรมราชาทรี าชเจา้ เสดจ็ ไปเอาเมอื งทวาย แลเมอ่ื ๑ สมเดจ็ ฯ กรมพระยาดำรงราชานภุ าพ ทรงอธบิ ายไวท้ า้ ยพระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาว่า คือ สมเดจ็ พระเชษฐาธริ าช ท่ีทรงพระผนวชในปี พ.ศ. ๒๐๒๗ ๒ พระสีหราชเดโช ๓ พระยาลา้ นชา้ ง คำ “ลา้ นชา้ ง” ในพระราชพงศาวดารฉบบั นบ้ี างแหง่ เขยี น “ลานชาง” เนอ่ื งจากยคุ นน้ั ยงั ไมน่ ยิ มเขยี นรปู วรรณยกุ ตน์ กั นายประเสรฐิ ณ นคร ไดว้ เิ คราะหจ์ ากชอ่ื ภาษาบาลวี า่ “ศรสี ตนาคนหตุ ” สต แปลวา่ รอ้ ย นหตุ แปลวา่ หมน่ื และนาค แปลวา่ ชา้ ง รวมความ แลว้ แปลวา่ ลา้ นชา้ ง นอกจากน้ี ยงั มีจารึกหลักที่ ชม/๗ จากเชยี งราย พ.ศ. ๒๐๙๖ จารึกชื่อ ‘’ล้านช้าง ลา้ นนา” ๔ พระศรีรัตนมหาธาตุ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก

๒๑๘ ประชมุ พงศาวดารฉบบั กาญจนาภเิ ษก เลม่ ๑ จะเสยี เมอื งทวายนน้ั เกดิ อบุ าทวเ์ ปน็ หลายประการ โคตกลกู ตวั หนง่ึ เปน็ ๘ เทา้ ไกฟ่ กั ไขอ่ อกตวั หนง่ึ เปน็ ๔ เทา้ ไกฟ่ กั ไขส่ ามดวงออกลกู เปน็ ๖ ตวั อนง่ึ ขา้ วสารงอกเปน็ ใบ อนง่ึ ในปเี ดยี วนน้ั สมเดจ็ พระบรมใตรโลก เสดจ็ นฤพาน ณ เมอื งพศี ณโู ลก ศกั ราช ๘๕๒ จอศก (พ.ศ.๒๐๓๓) แรกใหก้ อ่ กำแพงเมอื งพใี ชย ๑ ศกั ราช ๘๕๓ กนุ ศก (พ.ศ.๒๐๓๔) สมเดจ็ พระบรมราชาทรี าชเจา้ นฤพาน จงึ สมเดจ็ พระ เชถถาทรี าชเจา้ เสวยราชสมบตั พิ ระนครศรอี ยทุ ธยา ทรงพระนามสมเดจ็ พระรามาธบี ดี๒ ศกั ราช ๘๕๔ ชวดศก (พ.ศ.๒๐๓๕) ประดษิ ฐานมหาสถปู พระบรมธาตุ สมเดจ็ พระบรมใตรโลก แลสมเดจ็ พระบรมราชาทรี าชเจา้ ๓ ศกั ราช ๘๕๘ มะโรงศก (พ.ศ.๒๐๓๙) ทา่ นประพฤตกิ ารเบญจาพศิ พระองคท์ า่ น๔ แลใหเ้ ลน่ การ ดกึ ดำบรรพ์ ศกั ราช ๘๕๙ มะเสง็ ศก (พ.ศ.๒๐๔๐) ทา่ นใหท้ ำการปถมกรรม๕ ศกั ราช ๘๖๑ มะแมศก (พ.ศ.๒๐๔๒) แรกสรา้ งพระวหิ ารวดั ษรสี รรเพชญ ศักราช ๘๖๒ วอกศก (พ.ศ.๒๐๔๓) สมเด็จพระรามาทีบดีเจ้าแรกให้หล่อพระพุทธเจ้าพระศรี ษรรเพชญ๖ แลแรกหลอ่ ในวนั ๑๘ฯ ๖ คำ่ ๗ ครน้ั ถงึ ศกั ราช ๘๖๕ กนุ ศก (พ.ศ.๒๐๔๖) วนั ๖๑ฯ๑๘ คำ่ ๘ ฉลองพระพทุ ธเจา้ พระศรษี รรเพชญ คณนาพระพทุ ธเจา้ นน้ั แตพ่ ระบาทถงึ ยอดพระรศั มนี น้ั สงู ได้ ๘ วา ๑ เมืองพิชัย ปัจจุบันคือ อำเภอพชิ ยั จงั หวดั อตุ รดติ ถ์ ๒ พระราชพงศาวดารฉบบั พระราชหตั ถเลขาใช้ สมเดจ็ พระรามาธบิ ดที ่ี ๒ ๓ สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายไว้ท้ายพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า คงจะหมายถึง การสร้าง พระมหาสถูป ๒ องค์ในวัดพระศรีสรรเพชญ์ เพื่อบรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ผู้ทรงสถาปนาวัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นวัดในเขตพระราชฐาน และบรรจุพระอัฐิสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๓ ด้วย ส่วนมหาสถูปองค์ที่ ๓ คงจะสร้างขึ้นในรัชกาลหลัง เพื่อบรรจพุ ระอัฐธิ าตสุ มเดจ็ พระรามาธบิ ดที ่ี ๒ ๔ สมเด็จ ฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงอธิบายไว้ท้ายพระราชพงศาวดารฉบับพระราชหัตถเลขาว่า น่าจะเป็นพระราชพิธีเฉลิม พระชนมพรรษา เมอ่ื มพี ระชนมายคุ รบ ๒๕ พรรษา ๕ พระราชพธิ ปี ระถมกรรมหรือปฐมกรรม ๖ พระศรสี รรเพชญ์ พระพทุ ธรปู ยนื ขนาดใหญ่ หลอ่ แลว้ หมุ้ ดว้ ยทองคำ คราวเสยี กรงุ ใน พ.ศ.๒๓๑๐ พมา่ ลอกเอาทองคำหมุ้ ไป และ เผาพระวิหารเสีย พระศรีสรรเพชญ์ละลายเหลือแต่ซาก เกินที่จะปฏิสังขรณ์ได้ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงโปรด ให้บรรจุไว้ในพระเจดีย์ที่ทรงสร้างในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามและถวายพระนามพระเจดีย์ว่า พระเจดีย์ศรีสรรเพชดาญาณ ๗ ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๐๔๓ คำนวณได้เป็นวันขึ้น ๗ ค่ำ ๘ ตรงกบั วนั ศุกรท์ ี่ ๒ มิถนุ ายน พ.ศ. ๒๐๔๖ คำนวณได้เป็นวันขึน้ ๙ ค่ำ

พระราชพงศาวดารกรงุ เกา่ ฉบบั หลวงประเสรฐิ ๒๑๙ พระพกั ตรน์ น้ั ยาวได้ ๔ ศอก กวา้ งพระพกั ตรน์ น้ั ๓ ศอก แลพระอรุ ะนน้ั กวา้ ง ๑๑ ศอก แลทองหลอ่ พระพทุ ธเจา้ นน้ั หนกั ๕ หมน่ื ๓ พนั ชง่ั ทองคำหมุ้ นน้ั หนกั ๒๘๖ ชง่ั ขา้ งหนา้ นน้ั ทองเนอ้ื ๗ นำ้ สองขา ขา้ งหลงั นน้ั ทองเนอ้ื ๖ นำ้ สองขา๑ ศกั ราช ๘๗๗ กนุ ศก (พ.ศ.๒๐๕๘) วนั ๓๑ฯ๕๑๑ คำ่ ๒ เวลารงุ่ แลว้ ๘ ชน้ั ๓ ๓ ฤกษ์ ๙ ฤกษ์ สมเดจ็ พระรามาธบี ดี เสดจ็ ไปเมอื งนครลำภางไดเ้ มอื ง ศกั ราช ๘๘๐ ขาลศก (พ.ศ.๒๐๖๑) ครง้ั สมเดจ็ พระรามาทปี ดี ๔ สรา้ งพระศรสี รรเพชญ เสวย ราชสมบตั ิ แรกตำราพชิ ยั สงครามแลแรกทำสารบาญชี ๕ พระราชสำฤทธที กุ เมอื ง ศกั ราช ๘๘๖ วอกศก (พ.ศ.๒๐๖๗) ครง้ั นน้ั เหน็ งาชา้ งตน้ เจา้ พญาปราบแตกขา้ งขวายาวไป อนง่ึ ในเดอื น ๗ นน้ั คนทอดบตั รสนเทห่ ์ ครง้ั นน้ั ใหฆ้ า่ ขนุ นางเสยี มาก ศกั ราช ๘๘๗ ระกาศก (พ.ศ.๒๐๖๘) นำ้ นอ้ ยขา้ วเสยี สน้ิ ทง้ั ปวง อนง่ึ แผน่ ดนิ ไหวทกุ เมอื ง แลว้ แลเกดิ อบุ าทวเ์ ปน็ หลายประการ ครน้ั รงุ่ ปขี น้ึ ศกั ราช ๘๘๘ จอศก (พ.ศ.๒๐๖๙) ขา้ วแพงเปน็ ๓ ทะนาน ตอ่ เฟอ้ื งเบย้ี แปดรอ้ ย เกวยี นหนง่ึ เปน็ เงนิ ชง่ั หกตำลงึ ๖ ครง้ั นน้ั ประดษิ ฐานสมเดจ็ หนอ่ พทุ ธางกรู เจา้ ๗ ในที่ อปุ ราช แลใหเ้ สดจ็ ขน้ึ ไปครองเมอื งพศิ ณโู ลก ศกั ราช ๘๙๑ ฉลศู ก (พ.ศ.๒๐๗๒) เหน็ อากาศนมิ ติ รเปน็ อนิ ทรธนแู ตท่ ศิ หรดผี า่ นอากาศมาทศิ พายพั มพี รรณขาว วนั ๑ ๘ฯ ๑๒ คำ่ ๘ สมเดจ็ พระรามาทบี ดเี จา้ เสดจ็ พระทน่ี ง่ั หอพระ ครน้ั คำ่ ลงวนั นน้ั ๑ น้ำหนักทอง ๑ ชั่ง เท่ากับ ๘๐ บาท อัตราเปรียบเทียบคุณภาพของเนื้อทองคำ เริ่มจากทองคำเนื้อสี่ เนื้อห้า เนื้อหก เนื้อเจ็ด เนอ้ื แปด และเนอ้ื เกา้ ทองเนอ้ื สม่ี คี ณุ ภาพตำ่ สดุ มสี ว่ นผสมของแรธ่ าตอุ น่ื อยมู่ าก ทองเนอ้ื เกา้ มคี ณุ ภาพดที ส่ี ดุ เพราะเปน็ ทองคำบรสิ ทุ ธ์ิ คณุ ภาพของทองคำตง้ั แตเ่ นอ้ื สถ่ี งึ เนอ้ื แปด มอี ตั ราสว่ นแตล่ ะเนอ้ื เทา่ กนั เทยี บเทา่ กบั นำ้ หนกั ๔ ขา กำหนดอตั ราเทยี บ ๑ ขา เทา่ กบั ๑ สลงึ ๒ ตรงกบั วนั อังคารท่ี ๒๕ กันยายน พ.ศ. ๒๐๕๘ คำนวณได้เป็นวนั แรม ๒ คำ่ ๓ ชั้นคือ ชั้นฉาย เปน็ การสงั เกตเวลาดว้ ยมาตราวดั แบบโบราณอยา่ งหนง่ึ ซง่ึ เรยี กวา่ เหยยี บชน้ั คอื เอาเทา้ วดั เงาของตวั คนทย่ี นื กลางแดด ๑ ชน้ั ฉายเทา่ กบั เงายาวชว่ั รอยเทา้ ๔ ๕ ฉบบั อยธุ ยาตวั เลอื นไมเ่ หน็ วา่ เปน็ ธ หรอื ท ในคำ “ ธิบดี ” จงึ ใชต้ ามฉบบั รชั กาลท่ี ๑ จัดวิธีเกณฑ์ทหาร ๖ ๑ ชั่ง ๖ ตำลึง เท่ากับ ๑๐๔ บาท ( ๑ ชั่งเท่ากับ ๘๐ บาท ๑ ตำลึง เท่ากับ ๔ บาท ) ๗ สมเด็จหน่อพุทธางกูรเจ้า หรือสมเด็จหน่อพระพุทธเจ้า คือ พระราชโอรสอันประสูติแต่พระอัครมเหสี (ตามกฎมณเฑียรบาล) พระองคน์ ้มี ีพระนามวา่ พระอาทิตยวงศ์ ๘ ตรงกับวนั อาทิตยท่ี ๑๐ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๐๗๒


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook