พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 101 ถาม: สุขทุกข ตวั การอยา งอ่นื ทาํ ใหหรอื ? ตอบ: อยากลา วอยา งน้นั ถาม: สขุ ทกุ ข ตนทําเองดว ย ตวั การอืน่ ทําใหด ว ยหรือ? ตอบ: อยา กลา วอยา งน้ัน ถาม: สุขทุกข มิใชต นทาํ เอง มิใชต ัวการอยางอ่นื ทําให แตเกดิ ข้นึ เองลอยๆ (เปนอธจิ จสมุปบนั ) หรอื ? ตอบ: อยา กลา วอยางนน้ั ถาม: (ถาอยา งนั้น) สุขทุกข ไมม ีหรือ? ตอบ: สุขทุกขมใิ ชไมม ี สขุ ทกุ ขมีอยู ถาม: ถา อยา งนัน้ ทานพระโคตมะ ไมร ู ไมเห็นสุขทกุ ขห รอื ? ตอบ: เรามใิ ชไมร ู ไมเห็นสขุ ทกุ ข เรารู เราเห็นสุขทกุ ขแททเี ดยี ว ถาม: ...ขอพระผมู พี ระภาคเจา โปรดบอก โปรดแสดงสุขทกุ ขแ ก ขาพเจาดวยเถิด ตอบ: เพราะเขา ใจเอาแตแ รกวา เวทนากน็ ั่น ผเู สวยเวทนาก็นั่น จงึ เกิด ยึดถอื ขนึ้ วา สขุ ทุกขตนทาํ เอง เราหากลาว(วาเปน)อยา งนั้นไม เพราะเขาใจวา เวทนาก็อยา ง ผเู สวยเวทนาก็อยาง จงึ เกิดความ ยึดถืออยางท่ผี ูถกู เวทนาท่ิมแทงรูสกึ วา สขุ ทุกขตวั การอยางอ่นื ทาํ ให เราหากลาว(วาเปน)อยา งน้นั ไม ตถาคตไมเขา ไปติดท่ีสุดทง้ั สองขางนน้ั ยอ มแสดงธรรมเปน กลางๆ วา “เพราะอวชิ ชาเปน ปจ จัย สังขารจงึ มี ฯลฯ เพราะอวชิ ชาสาํ รอกดับไปไมเ หลอื สังขารจึงดบั ฯลฯ” ดกู อ นอานนท เรากลา ววา สุขทกุ ขเ ปน ปฏิจจสมปุ บันธรรม (สิ่งที่ อาศยั เหตุปจ จยั เกิดข้ึน) อาศัยอะไร? อาศยั ผัสสะ เมอื่ กายมอี ยู อาศัยความจงใจทางกายเปนเหตุ สขุ ทุกขภายในจึงเกิดข้นึ ได เม่อื วาจามีอยู อาศยั ความ จงใจทางวาจาเปน เหตุ สขุ ทุกขภ ายในจึงเกดิ ขึ้นได เมือ่ มโนมีอยู อาศัยมโนสญั เจตนาเปน เหตุ สุขทุกขภาย ในจงึ เกิดขึ้นได เพราะอวิชชานนั่ แหละเปนปจจยั บคุ คลจึงปรุงแตงกายสงั ขารข้ึนเอง เปน ปจจยั ใหเกดิ สขุ ทุกขภายใน บาง เนื่องจากผอู ่นื (ถูกคนอืน่ หรือตวั การอ่ืนๆ กระตุนหรือชักจงู ) จึงปรงุ แตง กายสงั ขาร เปนปจ จยั ใหเกดิ สุข ทกุ ขภ ายในบา ง รูตวั อยู จึงปรุงแตง กายสังขารน้นั เปนปจจยั ใหเ กดิ สขุ ทุกขภ ายในบาง ไมร ตู ัวอยู ยอ มปรงุ แตง กายสังขาร เปน ปจจยั ใหเ กิดสขุ ทุกขภ ายในบา ง จึงปรุงแตง วจีสงั ขาร...มโนสังขารขึน้ เองบา ง...เน่ืองจากผูอ่นื
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 102 บาง...โดยรตู วั บาง...โดยไมรูตัวบาง เปนปจจัยใหเกิดสขุ ทกุ ขภ ายใน ในกรณเี หลา น้ี อวชิ ชาเขา แทรกอยแู ลว (ทง้ั นน้ั ) คูท่ี ๔: ๑. การกเวทกาทิเอกัตตวาท การถือวา ผูท ําและผูเสวยผลเปนตน เปน ตัวการเดียวกัน (the extremist view of a self-identical soul หรือ the monistic view of subject-object unity) ๒. การกเวทกาทินานตั ตวาท๒ การถือวาผทู าํ และผเู สวยผลเปนตน เปนคนละอยางขาดจากกนั (the extremist view of individual discontinuity หรอื the dualistic view of subject-object distinction) ถาม: ตวั ทที่ ําก็อันนั้น ตัวที่เสวย(ผล) ก็อันนั้นหรอื ? ตอบ: ขอวา ตัวที่ทาํ กอ็ นั น้นั ตัวท่เี สวย(ผล) ก็อนั นนั้ เปน ทส่ี ุดขางหน่ึง ถาม: ตัวทท่ี ํากอ็ ยาง ตัวทเ่ี สวย(ผล) ก็อยางหรอื ? ตอบ: ขอวา ตวั ทีท่ าํ ก็อยาง ตวั ที่เสวย(ผล) ก็อยา ง เปน ท่สี ุดขางที่สอง ตถาคตไมเ ขาไปติดทส่ี ุดทัง้ สองขางนั้น ยอ มแสดงธรรมเปน กลางๆ วา “เพราะอวชิ ชาเปนปจจัย สงั ขารจึงมี ฯลฯ เพราะ อวิชชาสาํ รอกดบั ไปไมเ หลือ สงั ขารจึงดับ ฯลฯ” ถาม: พระองคผ เู จรญิ ชรามรณะ คอื อะไร? ชรามรณะนี้ของใคร? ตอบ: ตั้งปญ หายงั ไมถ ูก ผใู ดกลา ววา ‘ชรามรณะคืออะไร? ชรามรณะน้ี ของใคร?’ หรือผใู ดกลา ววา ‘ชรามรณะกอ็ ยาง เจาของชรา มรณะกอ็ ยา ง’ คําพูดทัง้ สองแบบนีม้ ีความหมายอยา งเดยี วกนั ตา งกนั แตพ ยัญชนะเทานนั้ เมื่อมคี วามเหน็ วา ‘ชวี ะก็อนั นนั้ สรีระกอ็ ันนนั้ ’ การครองชีวิต ประเสรฐิ (พรหมจรรย) ก็มีไมไ ด เมือ่ มคี วามเหน็ วา ‘ชีวะก็อยา ง สรรี ะก็อยาง’ การครองชวี ติ ประเสริฐ (พรหมจรรย) ก็มไี มได ตถาคตไมเ ขา ไปตดิ ที่สดุ ทง้ั สองน้ัน ยอมแสดงธรรมเปนกลางๆ วา “เพราะชาตเิ ปนปจ จัย ชรามรณะจึงม”ี ถาม: พระองคผูเ จรญิ ชาต.ิ ..ภพ...อปุ าทาน...ตณั หา...เวทนา... ผสั สะ...สฬายตนะ...นามรูป...วญิ ญาณ...สังขาร คอื อะไร? ของใคร? ตอบ: ตั้งปญหายงั ไมถ กู (เนือ้ ความตอไปแนวเดยี วกับขอ ชรามรณะ)
พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 103 เพราะอวิชชาสํารอกดบั ไปไมเ หลอื ความเหน็ ท่บี ดิ เบอื น สายพรา ขดั กนั อยางใดๆ ก็ตามวา ‘ชรามรณะคืออะไร? ชรามรณะน้ี ของใคร?’ ก็ดี ‘ชรามรณะกอ็ ยาง เจา ของชรามรณะกอ็ ยา ง’ กด็ ี ‘ชวี ะอันน้ัน สรรี ะกอ็ นั น้ัน’ กด็ ี ‘ชีวะกอ็ ยา ง สรีระก็อยาง’ ก็ดี ความเหน็ เหลาน้ัน ทัง้ หมด เปน อนั ถูกกาํ จดั ถอนรากทง้ิ ทําให สิน้ ซาก ถงึ ความไมมี หมดทางเกดิ ขึ้นไดตอไป ถาม: ใครหนอยอ มผสั สะ (ใครเปนผูรบั ผัสสะ)? ตอบ: ต้ังปญหายงั ไมถูก เรามไิ ดกลา ววา ‘ยอ มผัสสะ’ ถา เรากลา ววา ‘ยอมผัสสะ’ ในกรณีน้ันจึงควรตัง้ ปญ หาไดถ ูกตองวา ‘ใครหนอ ยอมผัสสะ?’ แตเ รามไิ ดกลา วอยางนนั้ เมอ่ื เราไมกลาวอยา งนน้ั ผูใดถามอยา งน้วี า ‘เพราะอะไรเปน ปจจัย ผสั สะจงึ ม?ี ’ น้ีจึงจะ ช่ือวาตงั้ ปญ หาถูกตอง ในกรณีนั้น ก็มคี ําเฉลยทถ่ี ูกตองวา “เพราะสฬายตนะเปน ปจ จยั ผสั สะจงึ มี เพราะผสั สะเปน ปจ จัย เวทนาจึงม”ี ถาม: ใครหนอเสวยเวทนา? ใครหนอทะยานอยาก (มตี ณั หา)? ใคร หนอยอ มยดึ มั่น (มีอปุ าทาน)? ตอบ: ตงั้ ปญหายังไมถกู ... ผูใดถามวา ‘เพราะอะไรเปนปจ จยั หนอ เวทนาจึงม?ี เพราะอะไรเปนปจ จยั หนอ ตณั หาจงึ ม?ี เพราะอะไร เปน ปจ จัยหนอ อปุ าทานจึงมี?’ นีช้ ื่อวาตัง้ ปญ หาถกู ตอ ง ใน กรณนี ั้นๆ กม็ ีคําเฉลยท่ีถูกตองวา “เพราะผสั สะเปน ปจจยั เวทนาจงึ มี เพราะเวทนาเปนปจ จัย ตัณหาจึงมี ฯลฯ” ภกิ ษุท้ังหลาย กายนี้ มใิ ชข องพวกเธอ แลว ก็มิใชข องใครอืน่ พึงเห็นวา กรรมเกาน้ี เปนส่ิงทป่ี จจัยปรุง แตงขน้ึ ถูกจงใจจํานงขน้ึ มา (เกดิ จากเจตนา หรอื มเี จตนาเปน มลู ) เปนท่ตี ้งั ของเวทนา ภิกษทุ ้งั หลาย ในเร่ืองน้ัน อริยสาวกผไู ดเ รยี นรูแ ลว ยอมพิจารณาสืบสาว (โยนโิ สมนสกิ าร) เปนอยา งดี ถงึ การทสี่ ง่ิ ท้ังหลายอาศัยกันและกนั จงึ เกิดขน้ึ (ปฏิจจสมปุ บาท) วา “เมือ่ สงิ่ นี้มี ส่ิงน้จี ึงมี เพราะสง่ิ นด้ี ับสง่ิ น้ีก็ ดบั กลา วคือ เพราะอวชิ ชาเปนปจ จัย สงั ขารจงึ มี เพราะสงั ขารเปนปจ จัย วญิ ญาณจึงมี ฯลฯ เพราะอวิชชา สํารอกดบั ไปไมเ หลอื สังขารจงึ ดบั เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ฯลฯ” หลกั ปฏิจจสมุปบาท แสดงความจริงของธรรมชาติใหเ ห็นวา สงิ่ ทงั้ หลายมลี กั ษณะเปน อนิจจัง ทกุ ขงั อนัตตา ทีเ่ รยี กวาไตรลกั ษณ เปน ไปตามกระบวนการแหง เหตปุ จจยั ไมมีปญหาในเร่อื งที่วา ส่งิ ทั้งหลายมีหรือ
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 104 ไมมีจริง ยงั่ ยนื หรอื ขาดสญู เปน ตน แตผ ูไมร คู วามหมายของหลกั ปฏจิ จสมปุ บาท มักเขา ใจไตรลกั ษณผิดพลาด โดยเฉพาะหลกั อนัตตานนั้ มักไดยินไดฟ ง กันอยางผิวเผิน แลวตคี วามเอาวา อนัตตา หมายถึงไมม ีอะไร กลาย เปน นตั ถิกวาท อนั เปนมจิ ฉาทฏิ ฐิอยางรายแรงไปเสยี ผเู ขาใจหลักปฏิจจสมุปบาทดีแลว ยอมพน จากความเขาใจผิดแบบตา งๆ ทแี่ ตกแขนงออกมาจาก ทฤษฎที งั้ หลายขางตนนน้ั เชน ความเชือ่ วาสิง่ ท้งั หลายมีมูลการณห รอื เหตุตน เคา เดมิ สดุ (the First Cause) และความเขา ใจวามีส่ิงวิเศษนอกเหนือธรรมชาติ (the Supernatural) เปน ตน ดงั กลาวมาแลวขางตน ตวั อยา ง พุทธพจนเ กย่ี วกบั เรอื่ งน้ี เชน :- ภกิ ษทุ ัง้ หลาย เม่อื ใดอริยสาวกเหน็ ปฏิจจสมุปบาทนี้ และ ปฏิจจสมุปบันธรรม (ส่ิงทอี่ าศยั กนั เกิดขึน้ ตามหลกั ปฏิจจสมุปบาท) เหลา นี้ ชดั เจนตามท่มี ันเปน ดวยสมั มาปญญาแลว เมื่อนัน้ การที่อริยสาวกนั้นจะ แลนเขาหาท่สี ดุ ขางตน วา ‘ในอดีต เราไดเ คยมีหรือไมห นอ? ในอดีตเราไดเ ปน อะไรหนอ? ในอดีต เราไดเ ปน อยางไรหนอ? ในอดตี เราเปนอะไรแลว จงึ ไดมาเปน อะไรหนอ?’ หรือจะแลน เขา หาท่สี ุดขา งปลายวา ‘ในอนาคต เราจกั มีหรอื ไมหนอ? ในอนาคต เราจักเปนอะไรหนอ? ในอนาคต เราจกั เปนอยา งไรหนอ? ในอนาคต เราเปน อะไรแลวจกั ไดเ ปนอะไรหนอ?’ หรอื แมแตจะเปนผมู คี วามสงสยั กาลปจจบุ ัน เปน ภายใน ณ บดั นี้วา ‘เรามีอยู หรอื ไมห นอ? เราคืออะไรหนอ? เราเปนอยางไรหนอ? สัตวน ้มี าจากทไ่ี หน แลว จักไป ณ ทไ่ี หนอกี ?’ ดงั น้ี ยอ ม เปน ส่ิงที่เปนไปไมได เพราะอะไร ก็เพราะวา อรยิ สาวกไดเ หน็ ปฏจิ จสมปุ บาทน้ี และปฏจิ จสมปุ บันธรรม เหลา น้ี ชดั เจนแลวตามทมี่ นั เปน ดวยสัมมาปญ ญา โดยนยั น้ี ผเู หน็ ปฏิจจสมปุ บาท จึงไมสงสัยในปญ หาอภิปรชั ญาตา งๆ ทเี่ รยี กวา อนั ตคาหิกทิฏฐิ และจึง เปนเหตผุ ลที่พระพทุ ธเจาทรงน่งิ เสยี ไมต รัสตอบปญหาเหลานี้ ในเม่ือใครกต็ ามมาทูลถาม โดยตรสั วา เปน อพั ยากตปญหา หรอื ปญ หาท่ีไมทรงพยากรณ เพราะเมื่อเห็นปฏิจจสมปุ บาท เขาใจการทีส่ ิ่งทั้งหลายเปน ไปตาม กระบวนการแหงเหตปุ จจยั แลว ปญหาเหลา นย้ี อมกลายเปน เรื่องเหลวไหลไป ขอยกตวั อยา งพุทธพจนทีแ่ สดง เหตุผลในการไมตรสั ตอบปญหาเหลา น้ี เชน :- ถาม: ทา นพระโคตมะผูเจรญิ อะไรเปน เหตเุ ปน ปจจยั ใหพ วกปรพิ าชก ผูถ อื ลทั ธิอื่นท้งั หลาย เมอ่ื ถูกถามอยางนี้วา ๑. โลกเที่ยง (ย่งั ยืนนริ ันดร) หรือ? ๒. โลกไมเ ท่ยี งหรอื ? ๓. โลกมีท่ีสุดหรอื ? ๔. โลกไมม ที ่ีสุดหรอื ? ๕. ชวี ะอนั นน้ั สรรี ะก็อันนั้นหรือ? ๖. ชีวะกอ็ ยาง สรีระก็อยา งหรอื ? ๗. สัตวห ลังจากตายแลว มีอยูห รอื ?
พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 105 ๘. สัตวห ลงั จากตายแลว ไมม ีหรือ? ๙. สตั วหลังจากตายแลว ทง้ั มี ทงั้ ไมม หี รือ? ๑๐. สตั วหลงั จากตายแลว จะวา มอี ยู ก็ไมใ ช ไมมีก็ไมใ ชหรือ? จึงพยากรณ (ตอบ) วา ‘โลกเที่ยง’ บา ง ‘โลกไมเ ท่ียง’ บาง ฯลฯ ‘สัตวหลังจากตายแลว จะวา มีกไ็ มใ ช ไมมกี ไ็ มใช’ บาง? (แต) อะไรเปนเหตุ เปนปจ จัยใหท า นพระโคตมะผูเจรญิ เมอื่ ถกู ทูลถามอยา งนัน้ จึงไมพยากรณ (ตอบ) วา ‘โลกเท่ยี ง’ หรือ ‘โลกไมเ ท่ียง’ ฯลฯ ? ตอบ: แนะ ทานวจั ฉะ เหลาปรพิ าชกผถู อื ลทั ธิอ่ืน ยอมเขา ใจวา รูปเปนอตั ตาบา ง วาอัตตามรี ูปบา ง วา รปู อยใู นอตั ตาบาง วาอตั ตาอยใู นรปู บาง เขา ใจวา เวทนา...สญั ญา...สังขาร...เปน อัตตา บา ง ฯลฯ เขาใจวา วญิ ญาณเปนอตั ตาบา ง วาอตั ตามวี ิญญาณบาง วา วิญญาณอยูในอตั ตาบา ง วา อตั ตาอยใู นวญิ ญาณบา ง เพราะฉะนั้น เหลา ปรพิ าชกผูถอื ลัทธอิ น่ื เหลา น้นั เม่อื ถกู ถามอยา งนัน้ จงึ พยากรณไปวา ‘โลกเทย่ี ง’ บา ง ฯลฯ สว นพระตถาคตอรหันตสมั มาสัมพุทธเจา ยอมไมเ ขาใจเอารปู เปนอัตตา หรอื วา อัตตามรี ูป หรอื วา รปู อยใู นอตั ตา หรือวาอัตตาอยูในรปู ฯลฯ วาวญิ ญาณเปนอัตตา หรอื วา อัตตามวี ญิ ญาณ หรือวา วิญญาณ อยใู นอตั ตา หรอื วา อัตตาอยูในวิญญาณ เพราะฉะนนั้ พระตถาคตอรหนั ตสัมมาสัมพทุ ธเจา เมอื่ ถกู ทูลถาม อยางนี้ จึงไมพ ยากรณว า ‘โลกเทยี่ ง’ หรอื วา ‘โลกไมเ ทีย่ ง ฯลฯ’ ทฤษฎีหรอื ลัทธทิ ี่ผิด ซ่งึ ขัดแยงตอ หลักปฏิจจส มปุ บาทนี้ ยงั มอี กี บางขอท่ีเก่ยี วของเปนพิเศษในแงของกรรม แตจะงดไวไมพ ูดถึง ณ ทน่ี กี้ อ น เพราะไดยกเรื่อง กรรมไปอธิบายตางหากอีกสว นหน่ึงแลว จึงจะไดนําไปรวมแสดงไว ณ ทนี่ น้ั หลักธรรมทส่ี ืบเนอ่ื งจากปฏจิ จสมปุ บาท ความจรงิ หลกั ธรรมตางๆ ไมว า จะมีชอ่ื ใดๆ ลว นสมั พันธเ ปน อนั หนึง่ อันเดยี วกนั ท้ังสิ้น เพราะแสดงถงึ หรอื สบื เนื่องมาจากหลกั สัจธรรมเดยี วกนั และเปนไปเพือ่ จุดหมายเดียวกัน แตนาํ มาแสดงในช่ือตางๆ กนั โดยช้ี ความจริงเพยี งสวนใดสว นหน่งึ คนละสวนกนั บาง เปนความจรงิ อนั เดยี วกนั แตแสดงคนละรปู ละแนว เพ่อื วตั ถุ ประสงคค นละอยางบาง ดวยเหตนุ ี้ หลักธรรมบางขอจึงเปน เพยี งสว นยอ ยของหลกั ใหญ บางขอเปนหลักใหญดวยกนั ครอบ คลมุ ความหมายของกนั และกัน แตมีแนวหรือรูปแบบการแสดงและความมุงหมายจาํ เพาะในการแสดงตางกนั ปฏจิ จสมุปบาทน้ัน ถือวา เปนหลักใหญทคี่ รอบคลมุ ธรรมไดทัง้ หมด เมอ่ื อธิบายปฏิจจสมปุ บาทแลว เห็นวาควรกลาวถงึ หลกั ธรรมสําคญั ชอื่ อ่นื ๆ อนั เปน ทร่ี จู ักท่วั ไปไวดว ย เพือ่ ใหเ หน็ วา สมั พนั ธกนั อยา งไร และเพอ่ื เสรมิ ความเขา ใจท้ังในหลักธรรมเหลาน้ัน และในปฏิจจสมปุ บาทเองดวย หลักธรรมท่คี วรกลาวไวในทน่ี ี้ มี ๒ อยาง คือ กรรม และอรยิ สจั ๔ ๑. กรรม
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 106 ก. ตัวกฎ หรอื ตวั สภาวะ กรรมเปน เพียงสว นหน่ึงในกระบวนการแหง ปฏิจจสมุปบาท ซ่ึงเห็นไดช ัดเม่ือแยกสวนในกระบวนการ นน้ั ออกเปน วัฏฏะ ๓ คอื กเิ ลส กรรม และวบิ าก หลักปฏิจจสมุปบาทแสดงถึงกระบวนการทาํ กรรมและการให ผลของกรรมท้งั หมด ตัง้ ตนแตก ิเลสทเี่ ปน เหตุใหทาํ กรรม จนถงึ วบิ ากอันเปนผลท่ีจะไดร ับ เมอื่ เขาใจปฏจิ จสมปุ บาทดแี ลว ก็เปน อนั เขาใจหลักกรรมชัดเจนไปดว ย ดังน้นั วา โดยตัวกฎหรอื สภาวะ จงึ ไมม ีความจาํ เปน อะไรทจี่ ะ ตอ งชแี้ จงเรอ่ื งกรรมไวตา งหาก ณ ทน่ี อ้ี กี อยา งไรกด็ ี มจี ดุ หรือแงสาํ คญั บางประการทีค่ วรยํา้ ไว เพื่อปอ งกันความเขาใจผดิ ท่รี า ยแรงในเรอ่ื งกรรม ดงั ตอไปน้ี :- ๑) กรรมในแงก ฎแหง สภาวธรรม กับกรรมในแงจรยิ ธรรมตามหลักพทุ ธพจนว า “เพราะอวชิ ชาเปน ปจจยั บุคคลจงึ ปรุงแตงกายสังขาร ...วจสี งั ขาร...มโนสังขาร ข้ึนเองบาง... เนอ่ื งจาก ตวั การอน่ื บาง... โดยรตู ัวบา ง... ไมรตู ัวบา ง” และพทุ ธพจนซึง่ ปฏิเสธทฤษฎีทีว่ า สุขทุกขต นทําเอง ของพวกอตั ตการวาท และทฤษฎวี า สขุ ทุกขต ัว การอ่นื ทาํ ของพวกปรการวาท หลกั ตามพทุ ธพจนน้ี เปน การย้ําใหมองเห็นกรรมในฐานะกระบวนการแหงเหตุปจจยั ตนเองกด็ ีผอู นื่ กด็ ี จะมีสว นเก่ียวขอ งแคไ หนเพียงใด ยอมตอ งพจิ ารณาความเปน เหตปุ จ จยั ที่เก่ยี วขอ งและเปน ไปในกระบวนการ มิใชพดู ขาดลงไปงา ยๆ ในทันที ทก่ี ลา วมานี้ เปน การปองกันความเขาใจผิดสดุ โตง ท่ีมกั เกดิ ขึ้นในเรื่องกรรมวา อะไรๆ เปนเพราะตนเอง ทําท้ังสน้ิ ทําใหไมค ํานงึ ถึงองคประกอบและสง่ิ แวดลอ มอน่ื ๆ ทเี่ ปน ปจ จยั เกยี่ วขอ ง อยา งไรกด็ ี ตองแยกความเขา ใจอกี ชั้นหนึง่ ระหวา งหลกั ธรรมในแงต ัวกฎหรือสภาวะ กบั ในแงข องจรยิ ธรรม ทก่ี ลาวมาแลว น้ัน เปนการแสดงในแงตัวกฎหรือตัวสภาวะ ซึ่งเปนเรอื่ งของกระบวนการตามธรรมชาตทิ ี่ ครอบคลุมเหตุปจจยั ตางๆ ทีเ่ ขามาเกยี่ วขอ งทัง้ หมด แตในแงข องจรยิ ธรรม อันเปน คาํ สอนใหปฏบิ ตั ิ ผทู ่ีถกู ตองการใหปฏิบตั ิ ก็คือผูทถ่ี กู สอน ในกรณนี ้ี คาํ สอนจึงมงุ ไปที่ตวั ผูรบั คําสอน เมอ่ื พดู ในแงน้ี คอื เจาะจงเอาเฉพาะตวั บคุ คลน้ันเองเปนหลกั ยอมกลาวไดท ีเดียว วา เขาตองเปน ผรู ับผดิ ชอบอยางเตม็ ท่ี ในการกระทําตางๆ ที่เขาคดิ หมายกระทาํ ลงไป และทีจ่ ะใหผลเกิดข้นึ ตามท่มี งุ หมาย เชน พทุ ธพจนว า “ตนเปนทีพ่ ง่ึ ของตน” น้ี เปนการเพงความรับผดิ ชอบของบคุ คล โดยมองจาก ตวั เองออกไป ในกรณนี ี้ นอกจากจะมคี วามหมายวา ตอ งชวยเหลือตัวเอง ลงมอื ทาํ เองแลว ในแงทสี่ ัมพันธก บั การ กระทาํ ของผอู ื่น ยังหมายกวา งไปถึงการทคี่ วามชว ยเหลือจากผอู ่ืนจะเกดิ ขน้ึ จะคงมีอยู และจะสาํ เร็จผล ตอง
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 107 อาศยั การพ่งึ ตนของบคุ คลนัน้ เอง ในการท่จี ะชกั จูง เราใหเกดิ การกระทําจากผูอ ่ืน ในการท่ีจะรกั ษาการกระทาํ ของผูอ ื่นน้ันใหค งอยตู อไป และในการทจ่ี ะยอมรบั หรอื สนองตอการกระทําของผูอื่นนนั้ หรือไมเพยี งใดดว ย ดังนี้ เปนตน โดยเหตนุ ี้ หลักกรรมในแงตัวสภาวะกด็ ี ในแงข องจรยิ ธรรมก็ดี จึงไมข ดั แยง กนั แตส นับสนุนซ่ึงกนั และ กนั แตต อ งทาํ ความเขา ใจใหถ ูก ๒) ลทั ธิหรือความเห็นผดิ ท่ีตอ งแยกจากหลกั กรรม มลี ัทธมิ จิ ฉาทิฏฐิ เกี่ยวกับสุขทุกขและความเปนไปในชวี ิตของมนษุ ยอยู ๓ ลทั ธิ ซงึ่ ตอ งระวงั ไมใ หเ ขาใจ สับสนกบั หลักกรรม คือ :- ๑. ปพุ เพกตเหตุวาท การถอื วา สขุ ทุกขท งั้ ปวงเปน เพราะกรรมเกา (past-action determinism) เรยี ก สน้ั ๆ วา ปพุ เพกตวาท ๒. อิสสรนมิ มานเหตุวาท การถือวาสุขทุกขท ัง้ ปวงเปน เพราะการบนั ดาลของเทพผเู ปนใหญ (theistic determinism) เรยี กสนั้ ๆ วา อิศวรกรณวาท หรือ อศิ วรนริ มิตวาท ๓. อเหตอุ ปจ จยวาท การถอื วาสุขทุกขท ัง้ ปวง เปนไปสุดแตโชคชะตาลอยๆ ไมม เี หตุ ไมมีปจ จัย (indeterminism หรือ accidentalism) เรียกสั้นๆ วา อเหตุวาท ทัง้ น้ตี ามพุทธพจนวา ภิกษุท้ังหลาย ลทั ธเิ ดยี รถยี ๓ ลทั ธเิ หลา นี้ ถูกบัณฑติ ไตถ าม ซักไซไลเลยี งเขา ยอมอางการถือสืบๆ กัน มา ดํารงอยใู นอกริ ิยา (การไมก ระทาํ ) คอื ๑. สมณพราหมณพวกหนึ่ง มวี าทะ มที ิฏฐิอยางน้วี า สุขก็ดี ทุกขก ็ดี มิใชส ขุ มใิ ชท ุกขก็ดี อยา งหน่ึง อยา งใดก็ตาม ทีค่ นเราไดเ สวย ทั้งหมดนัน้ ลว นเปนเพราะกรรมท่ีกระทําไวในปางกอ น (ปพุ เฺ พกตเหตุ) ๒. สมณพราหมณพวกหนึง่ มีวาทะ มที ฏิ ฐิอยางน้ีวา สขุ กด็ ี ทกุ ข ก็ดี มใิ ชสขุ มใิ ชท ุกขกด็ ี อยา งหนง่ึ อยางใดก็ตาม ที่คนเราไดเ สวย ทัง้ หมดน้นั ลวนเปน เพราะการบันดาลของพระผูเ ปนเจา (อสิ สฺ รนมิ ฺมานเหต)ุ ๓. สมณพราหมณพ วกหน่งึ มีวาทะ มที ิฏฐอิ ยางนว้ี า สขุ กด็ ี ทกุ ขก ด็ ี มใิ ชส ุขมิใชท กุ ขก ็ดี อยา งหนง่ึ อยางใดกต็ าม ที่คนเราไดเสวย ทั้งหมดนนั้ ลว นหาเหตหุ าปจ จยั มไิ ด (อเหตอุ ปจฺจย) ภกิ ษุทงั้ หลาย บรรดาสมณพราหมณ ๓ พวกนัน้ เราเขา ไปหา (พวกที่ ๑) แลวถามวา ‘ทราบวา ทานทง้ั หลายมีวาทะ มีทฏิ ฐิอยางนี้ จรงิ หรือ?’ ถา สมณพราหมณเ หลา นนั้ ถูกเราถามอยา งนแ้ี ลวรับวา จรงิ เรากก็ ลา วกะ เขาวา ‘ถาเชนน้ัน ทา นก็จักตอ งเปน ผทู าํ ปาณาติบาตเพราะกรรมทท่ี าํ ไวปางกอนเปนเหตุ จะตองเปน ผทู าํ อทนิ นาทานเพราะกรรมท่ที าํ ไวปางกอ นเปน เหตุ จะตอ งเปน ผูป ระพฤติอพรหมจรรย...เปนผูกลา วมสุ าวาท... ฯลฯ เปน ผูมีมจิ ฉาทิฏฐิ เพราะกรรมที่ทําไวปางกอนเปนเหตนุ ะ สิ’
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 108 ภกิ ษทุ ัง้ หลาย กเ็ ม่อื บุคคลมายดึ เอากรรมท่ีทําไวในปางกอนเปน สาระ ฉันทะก็ดี ความพยายามกด็ ี วา ‘ส่ิงนค้ี วรทํา สง่ิ น้ไี มควรทํา’ กย็ อ มไมม ี เมื่อไมก าํ หนดถอื เอาสงิ่ ท่คี วรทาํ และสิ่งท่ไี มควรทาํ โดยจรงิ จังม่นั คงดงั น้ี สมณพราหมณพ วกน้ี กเ็ ทา กับอยอู ยา งหลงสติ ไรเครื่องรกั ษา จะมีสมณวาทะที่ชอบธรรมเฉพาะตนไมไ ด น้แี ล เปน นิคหะอันชอบธรรมอยา งแรกของเรา ตอสมณพราหมณผมู วี าทะ มที ฏิ ฐอิ ยางน้ี ภิกษุท้งั หลาย บรรดาสมณพราหมณ ๓ พวกนั้น เราเขาไปหา (พวกท่ี ๒) กลาวกะเขาวา ‘ทา นจักเปนผู ทําปาณาติบาตกเ็ พราะการบนั ดาลของพระผูเปน เจา เปน เหตจุ กั เปน ผทู าํ อทินนาทาน..ประพฤติ อพรหมจรรย. .. .กลาวมุสาวาท...ฯลฯ เปน ผมู ีมิจฉาทิฏฐิ ก็เพราะการบนั ดาลของพระผเู ปนเจาเปน เหตุนะ สิ’ ภิกษุทัง้ หลาย ก็เม่อื บคุ คลมายดึ เอาการบนั ดาลของพระผูเปน เจา เปน สาระ ฉนั ทะกด็ ี ความพยายามก็ ดี วา ‘สง่ิ นคี้ วรทํา สิ่งน้ไี มควรทํา’ ก็ยอมไมมี ฯลฯ ภิกษุท้ังหลาย บรรดาสมณพราหมณ ๓ พวกนัน้ เราเขา ไปหา (พวกท่ี ๓) .กลาวกะเขาวา ‘ทานกจ็ ักเปน ผทู ําปาณาติบาต โดยไมมีเหตุ ไมมีปจจัย จกั เปน ผทู าํ อทินนาทาน... ประพฤติอพรหมจรรย...กลาวมุสาวาท... ฯลฯ เปนผูมมี จิ ฉาทิฏฐิ โดยไมมเี หตุไมมีปจ จยั นะสิ’ ภกิ ษุทัง้ หลาย ก็เมอ่ื บุคคลมายึดเอาความไมม เี หตุเปน สาระ ฉันทะกด็ ี ความพยายามก็ดี วา ‘ส่ิงน้ีควร ทํา ส่งิ นี้ไมควรทาํ ’ ก็ยอมไมม ี ฯลฯ โดยเฉพาะลทั ธทิ ี่ ๑ คือ ปุพเพกตเหตวุ าท น้นั เปนลัทธขิ องนคิ รนถ ดงั พทุ ธพจนว า ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณพวกหน่งึ มีวาทะ มที ิฏฐิอยางน้วี า ‘สุขก็ดี ทุกขก ด็ ี อยางหนงึ่ อยา งใดท่ี บุคคลไดเ สวย ทัง้ หมดนนั้ เปนเพราะกรรมที่ตวั ทําไวในปางกอ น โดยนัยดังนี้ เพราะกรรมเกา หมดสิ้นไปดวย ตบะ ไมทาํ กรรมใหม ก็จะไมถ กู บงั คบั ตอ ไป เพราะไมถูกบังคับตอ ไป ก็สนิ้ กรรม เพราะสน้ิ กรรม กส็ ิ้นทกุ ข เพราะ สิ้นทุกข กส็ ิ้นเวทนา เพราะสิน้ เวทนา ก็จักเปนอันสลัดทุกขไดห มดสน้ิ ภกิ ษทุ ั้งหลาย พวกนิครนถม ีวาทะอยางน’ี้ นอกจากน้ี พุทธพจนท่ีเคยยกมาอา งขา งตน ซง่ึ ยาํ้ ความอันเดียวกนั ก็มีวา ดกู รสวิ กะ เวทนาบางอยา งเกดิ ขึน้ มดี เี ปนสมุฏฐานกม็ ี ฯลฯ เกิดจากความแปรปรวนแหง อุตกุ ็ มี...เกิดจากการบรหิ ารตนไมสม่ําเสมอก็มี...เกดิ จากถูกทาํ รา ยกม็ .ี ..เกิดจากผลกรรมก็มี ฯลฯ สมณพราหมณ เหลา ใด มีวาทะ มคี วามเห็นอยางนีว้ า ‘บุคคลไดเสวยเวทนาอยา งใดอยางหน่งึ เปนสุขก็ดี ทกุ ขก็ดี ไมสุขไมทกุ ข กด็ ี เวทนานน้ั เปน เพราะกรรมทท่ี ําไวปางกอ น’ ฯลฯ เรากลา ววา เปน ความผดิ ของสมณพราหมณเหลา นัน้ เอง พทุ ธพจนเหลา นี้ ปองกนั ความเหน็ ทแ่ี ลนไปไกลเกินไป จนมองเห็นความหมายของกรรมแตใ นแงกรรม เกา กลายเปนคนนง่ั นอนรอคอยผลกรรมเกา สดุ แตจ ะบันดาลใหเ ปนไป ไมคิดแกไขปรบั ปรงุ ตนเอง กลายเปน ความเห็นผดิ อยางรายแรง ตามนยั พทุ ธพจนท ีก่ ลา วมาแลว นอกจากน้นั จะเห็นไดชดั ดวยวา ในพุทธพจนน ี้ พระพทุ ธเจาทรงถอื ความเพยี รพยายามเปน เกณฑตดั สินคุณคา ทางจริยธรรมของหลักกรรมและคําสอนเหลาน้ที ัง้ หมด
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 109 พทุ ธพจนเหลา น้ี มิไดป ฏเิ สธกรรมเกา เพราะกรรมเกา กย็ อมมสี ว นอยูใ นกระบวนการแหงเหตุปจ จัย และยอมมผี ลตอ ปจจบุ ัน สมกับช่อื ทวี่ า เปนเหตปุ จจยั ดว ยเหมือนกนั แตม ันก็เปนเร่ืองของเหตปุ จ จยั อยนู ัน่ เอง ไมใ ชอ ํานาจนอกเหนือธรรมชาติอะไรท่จี ะไปยึดไปหมายม่ันฝากโชคชะตาไว ผูเ ขาใจปฏิจจสมุปบาท รูก ระบวน การแหง เหตุปจจยั ดแี ลว ยอ มไมม ปี ญหาในเร่อื งนี้ เหมือนกบั การท่ใี ครคนหนึ่งเดินขน้ึ ตึก ๓ ช้ัน ถงึ ชน้ั ทสี่ ามแลว ก็แนนอนวา การขึ้นมาถงึ ของเขาตอ อาศยั การกระทาํ คือการเดินทผี่ า นมาแลวน้นั จะปฏิเสธมิได และเมือ่ ขึน้ มาถงึ ทน่ี ่นั แลว การทเ่ี ขาจะเหยยี ดมอื ไป แตะพ้นื ดินขา งลางตึก หรือจะน่ังรถเกงวิ่งไปมาบนตึกชน้ั สามเลก็ ๆ เหมือนอยางบนถนนหลวง ก็ยอมเปน ไปไม ได และขอนก้ี ็เปนเพราะการทีเ่ ขาขนึ้ มาบนตึกเหมอื นกัน ปฏิเสธมิได หรอื เมอ่ื เขาขึ้นมาแลว จะเมอื่ ยหมดแรง เดนิ ตอขนึ้ หรอื ลงไมไ หว นน่ั กต็ อ งเกีย่ วกบั การทไ่ี ดเดนิ ข้นึ มาแลว ดวยเหมอื นกัน ปฏเิ สธไมไ ด การมาถึงที่น่นั ก็ดี ทําอะไรไดในวสิ ยั ของที่น่ันก็ดี การท่ีอาจจะตองเขา ไปเก่ียวขอ งกบั อะไรตอ อะไรในท่ี นัน้ อีก ในฐานะท่ขี ึน้ มาอยกู ับคนอนื่ ๆ ทามกลางส่ิงตางๆ ทม่ี ีอยู ณ ที่นนั้ ดวยก็ดี ยอ มสบื เน่อื งมาจากการทีไ่ ด เดินมาดว ยนั้นแนนอน แตก ารทีเ่ ขาจะทาํ อะไรบา ง ทาํ สิ่งที่ตองเกีย่ วขอ งท่ีนน่ั แคไ หน เพยี งไร ตลอดจนวาจะพัก เสียกอ นแลว เดินตอ หรือเดินกลบั ลงเสยี จากตึกน้นั ยอมเปนเร่ืองท่เี ขาจะคดิ ตกลงทาํ เอาใหม ทําได และไดผ ล ตามเรือ่ งท่ที าํ นั้นๆ แมวา การเดนิ มาเดมิ ยังอาจมีสวนใหผ ลตอเขาอยู เชน แรงเขาอาจจะนอ ยไป ทําอะไรใหมได ไมเ ต็มที่ เพราะเม่ือยเสยี แลว ดงั นเี้ ปน ตน ถึงอยางน้ี กเ็ ปน เรื่องของเขาอกี ท่ีวา จะคิดยอมแพแ กค วามเมอ่ื ยหรือ วาจะคิดแกไขอยา งไร ทั้งหมดน้ี กเ็ ปน เรื่องของกระบวนการแหงเหตปุ จจยั ท้ังนน้ั ดังนน้ั จึงควรเขาใจเรอ่ื งกรรม เกา เพยี งเทา ที่มนั เปนตามกระบวนการของมนั ในทางจริยธรรม ผเู ขาใจปฏิจจสมุปบาท ยอมถอื เอาประโยชนจากกรรมเกาไดใ นแง เปนบทเรยี น เปน ความหนักแนนในเหตผุ ล เปนความเขา ใจตนเองและสถานการณ เปน ความรูพื้นฐานปจ จบุ นั ของตน เพื่อ ประกอบการวางแผนทํากรรมปจ จุบัน และหาทางแกไ ขปรบั ปรงุ ตอไป ๓) แงล ะเอียดออนทตี่ อ งเขา ใจ เก่ียวกับการใหผ ลของกรรม มพี ุทธพจนว า ภกิ ษุท้งั หลาย ผูใดกลา วอยางนวี้ า ‘บรุ ุษนท้ี ํากรรมไวอยา งไรๆ เขายอ มไดเสวยกรรมนั้นอยา งนัน้ ๆ’ เม่อื เปนอยางทก่ี ลาวน้ี การครองชีวติ ประเสรฐิ (พรหมจรรย) ก็มไี มได (คอื ไมม ปี ระโยชนอะไร) เปนอนั มองไมเหน็ ชองทางที่จะทาํ ความสิน้ ทุกขใหสาํ เร็จไดเลยแตผ ใู ดกลาวอยางน้วี า ‘บุรุษน้ที ํากรรมอนั เปน ทต่ี งั้ แหง เวทนาอยา ง ไรๆ เขายอ มไดเ สวยวบิ ากของกรรมนน้ั อยางนัน้ ๆ’ เมือ่ เปน อยางท่กี ลา วนี้ การครองชีวิตประเสรฐิ (พรหมจรรย) จงึ มไี ด (คือสาํ เรจ็ ประโยชน) เปน อนั เห็นชอ งทางทีจ่ ะทําความสน้ิ ทกุ ขใ หสําเรจ็ ได ภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คลบางคน ทํากรรมช่วั เพียงเล็กนอย กรรมน้นั กน็ ําเขาไปนรกได สว นบุคคลบางคน ทํากรรมชั่วเลก็ นอยอยางเดยี วกันนน้ั แหละ กรรมนน้ั เขาเสวยผลเสรจ็ ไปเสียแตใ นปจ จุบัน ทง้ั สวนทเี่ ลก็ นอยกไ็ มปรากฏดว ย ปรากฏแตทีม่ ากๆ เทา นนั้
พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 110 คนประเภทไหน ทํากรรมช่ัวเพยี งเลก็ นอย กรรมนน้ั กน็ ําเขาไปนรกได? คือ บคุ คลบางคน เปนผูไมไดอบ รมกาย ไมไ ดอบรมศีล ไมไดอบรมจิต ไมไดอ บรมปญ ญา มีคณุ นอ ย มีอตั ภาพเล็ก มีปรกติอยูเปนทกุ ขเ พราะ วบิ ากเล็กๆ นอ ยๆ บคุ คลประเภทน้ี ทาํ กรรมชว่ั เพยี งเลก็ นอ ย กรรมชว่ั น้นั กน็ ําเขาไปนรกได (เหมอื นใสก อนเกลอื ในขันน้าํ นอ ย) คนประเภทไหน ทํากรรมช่วั เล็กนอยอยางเดยี วกันนั่นแหละ กรรมน้ันเขาเสวยผลเสร็จไปเสยี แตใน ปจ จุบัน ทั้งสว นท่เี ลก็ นอ ยก็ไมปรากฏดว ย ปรากฏแตท ีม่ ากๆ เทา นน้ั ? คือ บคุ คลบางคนเปนผูไดอ บรมกาย อบ รมศลี อบรมจติ อบรมปญญา มคี ุณไมนอ ย เปนมหาตมะ มีธรรมเครื่องอยหู าประมาณมไิ ด บคุ คลประเภทน้ี ทํา กรรมชว่ั เชนเดียวกนั นั้นแหละ กรรมชัว่ นัน้ เขาเสวยผลเสรจ็ ไปเสยี แตในปจจุบนั ทัง้ สว นทเ่ี ลก็ นอ ยกไ็ มป รากฏ ดว ย ปรากฏแตทมี่ ากๆ เทา น้นั (เหมอื นใสก อนเกลือในแมนํ้า) ดูกรนายคามณี ศาสดาบางทา น มวี าทะ มีทฏิ ฐิอยางนว้ี า ผูท ฆี่ าสัตว ตอ งไปอบายตกนรกทั้งหมด ผทู ่ี ลกั ทรัพย ตอ งไปอบายตกนรกทงั้ หมด ผปู ระพฤติกาเมสุมจิ ฉาจาร ตองไปอบายตกนรกทัง้ หมด ผูที่พูดเท็จ ตอ ง ไปอบายตกนรกทั้งหมด สาวกทีเ่ ลอื่ มใสในศาสดานั้นคิดวา ‘ศาสดาของเรามีวาทะ มีทฏิ ฐิวา ผูทฆี่ าสตั ว ตองไปอบายตกนรกทงั้ หมด’ เขาจึงไดทฏิ ฐขิ ้ึนมาวา ‘สตั วท่เี ราฆาไปแลว ก็มี เราก็ตองไปอบายตกนรกดว ย’ เขาไมล ะวาจานั้น ไม สละทิฏฐนิ ั้นเสยี กย็ อ มอยูในนรกเหมอื นถกู จับมาใสไ ว...สวนตถาคตอรหนั ตสัมมาสัมพุทธเจา เสด็จอบุ ตั ิใน โลก...พระองคทรงตําหนติ เิ ตียนปาณาติบาต...อทนิ นาทาน...กาเมสมุ จิ ฉาจาร...มุสาวาท โดยอเนกปรยิ าย และ ตรัสวา “ทา นทง้ั หลายจงงดเวนเสยี เถิด จากปาณาติบาต...อทนิ นาทาน...กาเมสมุ ิจฉาจาร...มสุ าวาท” สาวกมีความเลื่อมใสในพระศาสดานัน้ ยอมพิจารณาเห็นดงั นว้ี า “พระผูม พี ระภาคทรงตําหนิตเิ ตียน ปาณาติบาต ฯลฯ โดยอเนกปริยาย และตรัสวา ‘ทา นทง้ั หลายจงงดเวน เสียเถิด จากปาณาตบิ าต ฯลฯ’ กส็ ัตวท ่ี เราฆาเสยี แลว มมี ากถงึ ขนาดน้ันๆ การทเ่ี ราฆา สัตวไปเสยี มากๆ ถึงขนาดน้ันๆ ไมด ี ไมงามเลย เราจะกลายเปน ผเู ดือดรอ นใจในเพราะการกระทํานนั้ เปนปจ จัยแท และเรากจ็ กั ไมชอื่ วาไมไดก ระทํากรรมช่วั ” เขาพจิ ารณาเหน็ ดังนแี้ ลว จึงละปาณาตบิ าตน้นั เสยี และเปนผงู ดเวนจากปาณาติบาตตอ ไปดวย เปน อันวาเขาละกรรมชวั่ นน้ั ไดดวยการกระทําอยา งน.ี้ .. เขาละปาณาติบาต งดเวนจากปาณาติบาต ฯลฯ ละมุสาวาท... ปสณุ าวาจา...ผรุสวาจา...สมั ผัป ปลาปะ...อภิชฌา...พยาบาท...มจิ ฉาทฏิ ฐิ แลว เปนผูมสี ัมมาทิฏฐิ เขาผูเปนอริยสาวก มใี จปราศจากอภชิ ฌา (ความละโมบ) ปราศจากพยาบาท (ความคดิ เบยี ดเบยี น) ไมล ุมหลง มีสัมปชัญญะ มสี ติมั่น อยดู วยใจที่ ประกอบดวยเมตตาปกแผไปทิศ ๑...ทศิ ๒...ทิศ ๓...ทศิ ๔ ครบถวน ท้งั สงู ตาํ่ กวางขวาง ท่ัวทั้งโลก ท่ัว สัตวท กุ เหลา ในท่ที ุกสถาน ดวยใจประกอบดว ยเมตตา อันไพบูลย ย่งิ ใหญ ไมม ีประมาณ ไรเ วร ไรพ ยาบาท ฯลฯ เม่ือเจรญิ เมตตาเจโตวมิ ตุ ติ ทําใหม ากอยางน้ี กรรมใดท่ที ําไวพอประมาณ กรรมนัน้ จกั ไมเหลอื จะไม คงอยใู นเมตตาเจโตวมิ ุตติน้ัน...
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 111 พทุ ธพจนในขอ ๓) น้ี นํามาแสดงไวเพอ่ื ประกอบการพจิ ารณาในเร่อื งการใหผ ลของกรรม ใหม กี าร ศกึ ษาโดยละเอยี ด เปน การปอ งกนั ไมใหล งความเห็นตดั สนิ ความหมายและเนื้อหาของหลักกรรมงา ยเกินไป แต กย็ งั เปนเพียงตัวอยา งสวนหนึ่งเทา นนั้ ไมส ามารถนํามารวมไวไ ดท ัง้ หมด เพราะจะกินเนอื้ ทีม่ ากเกนิ ไป ข. คุณคา ทางจริยธรรม กลาวโดยสรปุ คุณคา ท่ตี อ งการในทางจริยธรรมของหลกั กรรม มดี งั น:ี้ ๑) ใหเปนผหู นกั แนน ในเหตผุ ล และมองเหน็ การกระทาํ และผลการ กระทาํ ตามแนวทางของเหตุปจจัย ไมเชื่อสง่ิ งมงาย ตนื่ ขาว เชน เรอ่ื งแมน ํ้าศกั ดสิ์ ิทธ์ิ เปนตน ๒) ใหเหน็ วา ผลสําเรจ็ ทตี่ นตองการ จดุ หมายที่ปรารถนา จะเขาถึง หรอื สาํ เร็จไดด ว ยการลงมือทํา -จึงตองพึ่งตนเอง และทาํ ความเพยี รพยายาม -ไมมัวคอยโชคชะตา ไมหวังผลดลบนั ดาลหรือรอผลการเซน สรวงออนวอน ๓) ใหมีความรบั ผดิ ชอบตอตนเอง ที่จะงดเวนจากกรรมชั่ว และรับผดิ ชอบตอ ผูอ่ืน ดวยการชว ยเหลือเกอื้ กูลทําความดตี อเขา ๔) ใหถือวาบคุ คลมสี ิทธิและหนา ทีโ่ ดยธรรมชาติ ทีจ่ ะทําการตางๆ เพอ่ื แกไขปรบั ปรุงสรา งเสริมตนเองใหด ีขน้ึ ไป โดยเทา เทยี มกัน สามารถทําตนใหเ ลวลงหรือใหด ีขนึ้ ใหป ระเสริฐจนถึงยงิ่ กวา เทวดาและพรหม ไดทกุ ๆ คน ๕) ใหถ อื วา คณุ ธรรม ความสามารถ ความดีความชว่ั ท่ีทาํ ความ ประพฤติปฏบิ ัติ เปน เคร่อื งวัดความทรามหรือประเสริฐของมนุษย ไมใ หม ีการแบง แยกโดยชาตชิ น้ั วรรณะ ๖) ในแงก รรมเกา ใหถอื เปนบทเรียน และใหรูจกั พิจารณาเขาใจตน เองตามเหตุผล ไมค อยเพงโทษแตผ ูอ่ืน มองเหน็ พ้ืนฐานทุนเดมิ ของตนทมี่ อี ยใู นปจจบุ นั เพอ่ื รูจ ักท่ีจะแกไ ขปรบั ปรุง และวางแผน สรา งเสรมิ ความเจริญกา วหนาตอ ไปไดถูกตอ ง ๗) ใหค วามหวงั ในอนาคตสําหรบั สามญั ชนท่วั ไป คุณคา ทีก่ ลา วน้ัน พึงพจิ ารณาตามพทุ ธพจน ดังตอไปนี้ ก) ความหมายทั่วไป เชน :-
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 112 ดวยใจ ภิกษทุ ้ังหลาย เจตนา (น่นั เอง) เราเรยี กวา กรรม บุคคลจงใจแลว จึงกระทาํ กรรมดว ยกาย ดว ยวาจา สัตวทง้ั หลาย มีกรรมเปน ของตน เปน ทายาทแหงกรรม มกี รรม เปนกําเนดิ มีกรรมเปนเผา พนั ธุ มกี รรม เปนท่ีพ่ึงอาศยั กรรมยอมจาํ แนกสัตวใ หทรามและประณตี บุคคลหวานพืชเชน ใด ยอมไดร บั ผลเชนนั้น ผทู าํ ดี ยอมไดด ี ผูทาํ ช่วั ยอมไดช่ัว บคุ คลทาํ กรรมใดแลว ยอ มเดือดรอนในภายหลงั กรรมน้ันทําแลวไมด ี บุคคลมีหนาชมุ ดวยนํ้าตา รอง ไหอ ยู ยอ มเสพผลของกรรมใด กรรมนนั้ ทาํ แลว ไมดี บคุ คลทาํ กรรมใดแลว ยอ มไมเดือดรอนในภายหลัง กรรมน้ันแล ทาํ แลวเปน ดี คนพาลมปี ญญาทราม ยอมทาํ กบั ตนเองเหมือนเปนศตั รู ยอ มทาํ กรรมชั่วอันใหผลเผด็ รอน บคุ คลทาํ กรรมใดแลว ยอมเดือดรอนภายหลงั มหี นา นองดว ยนํ้าตา รอ งไหอยู เสวยผลแหงกรรมใด กรรมนน้ั ทําแลว ไมดเี ลย บุคคลทาํ กรรมใดแลว ไมเ ดอื ดรอนในภายหลัง เสวยผลแหง กรรมใด ดว ยหวั ใจแชม ชน่ื เบิกบาน กรรม นน้ั ทําแลวเปน การดี บุคคลรกู รรมใดวา เปนประโยชนเก้ือกลู แกต น ควรรบี ลงมือกระทาํ กรรมนั้นทเี ดยี ว ข) ความเปนคนมีเหตุผล ไมเช่ือถอื งมงาย เชน :- คนพาลมีกรรมดํา ถงึ จะแลน ไปยงั (แมนํ้าศักดส์ิ ทิ ธ์ิตา งๆ คอื ) แมนาํ้ พาหกุ า ทา นา้ํ อธกิ กั กะ ทานา้ํ คยา แมน า้ํ สุนทริกา แมนา้ํ สรัสวดี แมน ้าํ ปยาคะ และแมนาํ้ พาหมุ ดี เปนนิตย กบ็ รสิ ทุ ธิ์ไมได แมน้าํ สุนทริกา ทา นา้ํ ปยาคะ หรอื แมน าํ้ พาหุกา จกั ทําอะไรได จะชําระนรชนผูมเี วร ผทู ํากรรมอันหยาบชา ผมู กี รรมชวั่ น้นั ใหบรสิ ทุ ธ์ิ ไมไดเ ลย (แต) ผัคคุณฤกษ (ฤกษด เี ยย่ี ม) ยอมสําเรจ็ ทกุ เม่ือ แกบ คุ คลผบู ริสุทธิ์ อุโบสถก็สําเรจ็ ทุกเมือ่ แกผู บรสิ ุทธิ์ วตั รของบคุ คลผูหมดจดแลว มกี ารงานสะอาด ยอ มสําเร็จผลทกุ เมอ่ื ดกู รพราหมณ ทา นจงอาบตนในหลักธรรมน้เี ถิด จงสรางความเกษมแกส ตั วท ้งั ปวงเถิด ถา ทา นไมก ลา ว เทจ็ ไมเ บยี ดเบยี นสัตว ไมทาํ อทนิ นาทาน เปน ผมู ศี รทั ธา หาความตระหน่มี ิไดไ ซร ทา นจะตองไปทานํา้ คยา ทําไม แมน ํา้ ดื่มของทา นก็เปน แมน า้ํ คยาแลว ถา แมนบุคคลจะพนจากบาปกรรมได เพราะการอาบน้ํา (ชาํ ระบาป) กบ เตา นาค จระเข และสตั วเหลา อนื่ ทีเ่ ท่ียวไปในแมนํา้ กจ็ ะพากนั ไปสสู วรรคแ นนอน...ถาแมนาํ้ เหลานีพ้ ึงนาํ บาปทีท่ านทาํ ไวแลว ในกาลกอ นไป ไดไ ซร แมน าํ้ เหลา นก้ี พ็ ึงนาํ บญุ ของทานไปไดด วย ความสะอาดจะมีเพราะน้ํา(ศักด์สิ ทิ ธ์)ิ ทคี่ นจาํ นวนมากพากนั ไปอาบ กห็ าไม ผูใ ดมีสัจจะ มีธรรม ผูนน้ั จึงจะเปน ผสู ะอาด เปนพราหมณ ผใู ดไมถอื มงคลตื่นขา ว ไมถืออุกกาบาต ไมถ ือความฝน ไมถือลกั ษณะดหี รอื ชว่ั ผูนน้ั ช่ือวา ลว งพน โทษ แหงการถอื มงคลตน่ื ขา ว ขา มพน กเิ ลสเทยี มแอกท่ีผกู สัตวไวใ นภพไปเสยี ได ยอมไมกลับมาเกดิ อกี ประโยชนไ ด ลวงเลยคนเขลาผมู ัวคํานวณนับฤกษอยู ประโยชนเปน ตัวฤกษข องประโยชน ดวงดาวจักทาํ อะไรได
พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 113 บคุ คลประพฤติชอบเวลาใด เวลานั้น ไดช ือ่ วา เปนฤกษด ี มงคลดี เปน เชา ดี อรณุ ดี เปน ขณะดี ยามดี และเปน อนั ไดท าํ บูชาดแี ลว ในทานผูประพฤติพรหมจรรยทัง้ หลาย แมก ายกรรมของเขา ก็เปนสิทธโิ ชค วจีกรรม กเ็ ปน สิทธโิ ชค มโนกรรม ก็เปนสทิ ธิโชค ประณิธานของเขา ก็เปน สทิ ธิโชค คร้นั กระทํากรรมทงั้ หลายทีเ่ ปน สทิ ธิ โชคแลว เขายอ มไดประสบแตผ ลทม่ี งุ หมายอันเปนสิทธิโชค ค) การลงมือทํา ไมรอคอยความหวังจากการออนวอนปรารถนา เชน :- ไมค วรหวนละหอ ยถงึ สิ่งที่ลว งแลว ไมพึงเพอฝน ถึงสงิ่ ทอี่ ยูภายหนา สง่ิ ใดเปนอดีต ส่งิ นัน้ กผ็ า นไปแลว ส่งิ ใดเปนอนาคต สิง่ นัน้ ก็ยงั ไมม าถึง สวนผใู ดเหน็ ประจักษช ดั สิง่ ทเี่ ปน ปจจุบัน อันเปนของแนนอนไมคลอน แคลน ขอใหผูน้ันครัน้ เขา ใจชดั แลว พงึ เรง ขวนขวายปฏบิ ตั ิใหล ลุ วงไป ในท่ีน้ันๆ เรง ทําความเพยี รเสียแตวนั น้ี ใครเลา พงึ รวู า จะตายในวันพรงุ เพราะวา สําหรับพระยามจั จรุ าช เจาทพั ใหญน ้นั เราทั้งหลายไมมที างผัดเพีย้ นเลย ผูท ด่ี าํ รงชวี ติ อยูอยางน้ี มีความเพียร ไมเ กยี จครา น ทั้งกลางวันและกลางคนื ผูน้ันแท พระสันตมุนี ตรัสวา เปนผมู ีแตละราตรนี ําโชค (ภทั เทกรัตต) ดูกรคฤหบดี ธรรม ๕ ประการน้ี เปนสิง่ ทีน่ า ปรารถนา นา ใคร นาพอใจ เปนของไดย ากในโลก คือ อายุ...วรรณะ...สขุ ...ยศ...สวรรค ธรรม ๕ ประการน.้ี ..เราไมก ลา ววาจะพงึ ไดม าเพราะการออนวอน หรือเพราะ ความปรารถนา ถาการไดธรรมทั้ง ๕ น้ี จะมีไดเพราะการออ นวอน หรือเพราะความปรารถนาแลวไซร ใครใน โลกน้ี จะพงึ เสอ่ื มจากอะไร ดกู รคฤหบดี อริยสาวกผูปรารถนาอายุ (ยนื ) ไมพ ึงออ นวอนหรอื มวั เพลดิ เพลนิ กบั อายุ เพราะการอยาก ไดอายุนั้นเลย อรยิ สาวกผปู รารถนาอายุ พงึ ปฏบิ ัติขอ ปฏิบตั ิท่จี ะเปน ไปเพ่ืออายุ เพราะขอปฏบิ ัติอันเปนไปเพอ่ื อายุท่ปี ฏิบตั แิ ลว นนั่ แหละ จึงจะเปนไปเพ่อื การไดอ ายุ อรยิ สาวกนัน้ ยอมเปน ผูไดอ ายุ ไมวาจะเปนของทพิ ย หรือของมนุษย. .. ผปู รารถนาวรรณะ...สุข...ยศ...สวรรค กพ็ งึ ปฏิบตั ขิ อ ปฏิบัตทิ ีจ่ ะเปน ไปเพือ่ วรรณะ...สขุ ...ยศ...สวรรค. .. ภกิ ษุทั้งหลาย ภกิ ษไุ มห ม่นั ประกอบความเพยี รในการฝกอบรมจติ ถึงจะมีความปรารถนาวา “ขอใหจติ ของเราหลุดพนจากอาสวะเถดิ ” ดงั น้ี จิตของเธอจะหลุดพนไปจากอาสวะไดกห็ าไม... เหมือนไขไก ๘ ฟองกต็ าม ๑๐ ฟองกต็ าม ๑๒ ฟองกต็ าม ทแี่ มไกไ มน อนทบั ไมกก ไมฟก ถงึ แมแมไ กจ ะมีความปรารถนาวา “ขอใหล ูกของ เราใชป ลายเลบ็ หรือจะงอยปาก ทําลายเปลอื กไขออกมาโดยสวัสดีเถิด” ดังน้ี ลกู ไกจะใชปลายเล็บ หรอื จะงอย ปาก ทําลายเปลือกไขออกมาได ก็หาไม ง) การไมถ ือชาตชิ น้ั วรรณะ ถือความประพฤตเิ ปนประมาณ เชน :-
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 114 ดูกรวาเสฏฐะ ทา นจงรูอ ยางนว้ี า ในหมูมนษุ ย ผใู ดอาศยั โครกั ขกรรมเลี้ยงชพี ผูนนั้ เปนชาวนา มใิ ช พราหมณ ผใู ดเลีย้ งชพี ดว ยศิลปะตา งๆ ผูน้ันเปน ศิลปน มใิ ชพราหมณ ผใู ดอาศัยการคา ขายเล้ยี งชพี ผูนั้นเปน พอ คา มิใชพราหมณ ผใู ดเลย้ี งชพี ดวยการรับใชผ อู น่ื ผนู น้ั เปนคนรับใช มิใชพ ราหมณ ผใู ดอาศยั การลักทรพั ย เล้ียงชีพ ผนู ้ันเปนโจร มิใชพราหมณ ฯลฯ ผูใ ดปกครองบา นเมอื ง ผูนน้ั เปน ราชา มใิ ชพราหมณ เรามไิ ดเ รยี กคน เปน พราหมณ(แค)ตามกาํ เนิดจากครรภมารดา ผนู ้นั ยงั มกี ิเลส เขาเปนเพยี งโภวาที (คอื พราหมณตามธรรม เนียม ทท่ี กั ทายคนอ่นื วา “โภ”) เทาน้ัน เราเรยี กคนทไ่ี มม ีกิเลส ไมมีความยึดมั่นตางหาก วาเปน พราหมณ อันนามและโคตรทกี่ าํ หนดต้งั กันไวน้ี เปนแตส ักวา โวหารในโลก เพราะเกิดมขี ึน้ มาตามคาํ เรยี ก ขานท่กี าํ หนดต้งั กันไวใ นคราวนน้ั ๆ ตามทฏิ ฐอิ นั นอนเน่อื งอยใู นหทยั สนิ้ กาลนาน ของสัตวทง้ั หลายผไู มร ู สตั วท ง้ั หลาย ผไู มรู ก็พรา่ํ กลาววาคนเปนพราหมณเพราะชาตกิ าํ เนดิ แตบ คุ คลจะเปนพราหมณเ พราะชาติกาํ เนิด ก็หาไม จะมใิ ชพ ราหมณเพราะชาตกิ ําเนดิ ก็หาไม จะชอ่ื วา เปน พราหมณกเ็ พราะกรรม (อาชีพการงานท่ีทํา-ความประพฤติ-การที่คิดพดู และทํา ) ไมใ ชพ ราหมณก็ เพราะกรรม เปนชาวนาก็เพราะกรรม เปน ศิลปน กเ็ พราะกรรม เปนพอ คา ก็เพราะกรรม เปนคนรับใชกเ็ พราะ กรรม เปน โจรกเ็ พราะกรรม ฯลฯ เปน ราชาก็เพราะกรรมบัณฑติ ทั้งหลาย ผเู ห็นปฏิจจสมุปบาท ฉลาดในกรรม และวิบากยอ มเห็นกรรมนน้ั แจงชดั ตามเปนจริงวา โลกยอ มเปนไปตามกรรม หมูสัตวยอ มเปน ไปเพราะกรรม สตั วท ้ังหลายถกู ผกู ยดึ ไวดวยกรรม เหมอื นลม่ิ สลักของรถทีก่ าํ ลงั แลนไป ฉะนั้น ดกู รพราหมณ เราจะเรียกคนวา ประเสรฐิ เพราะความเปน ผูเกดิ ในตระกลู สงู กห็ าไม เราจะเรียกคนวา ตาํ่ ทรามเพราะความเปนผูเกิดในตระกลู สงู กห็ าไม เราจะเรียกคนวา ประเสริฐเพราะความเปนผมู ีวรรณะใหญโ ต ก็หาไม เราจะเรยี กคนวาต่าํ ทรามเพราะความเปนผูมวี รรณะใหญโ ตกห็ าไม เราจะเรยี กคนวา ประเสริฐเพราะ ความเปนผูมีโภคะมากก็หามิได เราจะเรียกคนวาต่ําทรามเพราะความเปน ผมู โี ภคะมากก็หามไิ ด แทจ ริง บคุ คลบางคน แมเ กิดในตระกูลสูง ก็ยงั เปนผชู อบเขนฆา สงั หาร ลักทรพั ย ประพฤติผิดในกาม พดู เท็จ พดู สอ เสียด พดู คําหยาบ พูดคําเพอเจอ เปน คนละโมบ คิดเบยี ดเบยี น เปน มิจฉาทฏิ ฐิ บคุ คลไมเปน คนถอ ยเพราะชาติกาํ เนดิ ไมเปน พราหมณเพราะชาติกาํ เนดิ แตเปนคนถอ ยเพราะกรรม (คือการกระทาํ ความประพฤติ) เปน พราหมณเพราะกรรม วรรณะ ๔ เหลา นี้ คอื กษตั รยิ พราหมณ แพศย ศูทร ออกบวชในธรรมวินัยทีต่ ถาคตประกาศแลว ยอ มละนามและโคตรเดมิ เสีย นบั วา เปน สมณศากยบุตรท้ังสน้ิ บรรดาวรรณะทั้งสนี่ ี้ ผใู ดเปนภิกษุ ส้นิ กเิ ลสาสวะแลว อยจู บพรหมจรรยแลว ทํากิจทตี่ อ งทําสาํ เรจ็ แลว ปลงภาระลงไดแ ลว บรรลปุ ระโยชนตนแลว หมดเครอื่ งผกู มัดไวในภพแลว หลุดพน แลวเพราะรูช อบ ผูน้นั แล เรยี กไดวา เปนผูเลศิ กวา วรรณะทง้ั หมดน้นั จ) การพงึ่ ตนเอง เชน :- การเพียรพยายามเปน หนาทท่ี ่ที านทั้งหลายตอ งทาํ เอง ตถาคตเปน แตผ ูบอกทาง
พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 115 ตนนัน่ แล เปนที่พ่งึ ของตน จริงแทแลว ใครอืน่ จะเปน ทพ่ี งึ่ ได ดว ยตนท่ฝี กไวด แี ลวน่ันแหละ บคุ คลจะได ทีพ่ ่ึงซง่ึ หาไดยาก ความบรสิ ทุ ธิ์ ไมบ ริสทุ ธ์ิ เปนของเฉพาะตน คนอน่ื ทําคนอื่นใหบริสุทธิ์ไมไ ด ภกิ ษุทั้งหลาย พวกเธอจงมีตนเปน ที่พง่ึ เถดิ อยา มสี ง่ิ อืน่ เปน ทพ่ี ึ่งเลย จงมธี รรมเปน ทพี่ ่ึงเถิด อยา มีส่งิ อื่นเปนที่พ่ึงเลย ฉ) ขอเตือนใจเพื่ออนาคต หญงิ ชาย คฤหสั ถ บรรพชิต ควรพิจารณาเนืองๆ วา เรามีกรรมเปน ของตน เปนผรู บั ผลของกรรม มี กรรมเปน กําเนดิ มกี รรมเปน เผา พนั ธุ มกี รรมเปน ทอี่ าศัย เราทาํ กรรมใดไว ดกี ต็ าม ช่ัวกต็ าม เราจกั เปน ทายาทของกรรมนนั้ ถาทา นกลวั ทกุ ข ก็อยา ทาํ กรรมชั่วทั้งในที่ลบั และที่แจง ถา ทา นจักทํา หรอื ทาํ อยู ซึง่ กรรม ชัว่ ถงึ แมจะเหาะหนไี ป กจ็ ะไมพ นจากความทกุ ขไ ปไดเ ลย ธัญชาติ ทรพั ยส ิน เงนิ ทอง หรือสิ่งของทหี่ วงแหน อยางใดอยางหนึง่ ที่มีอยู ทาส กรรมกร คนงาน คนอาศัย ลวนพาเอาไปไมไ ดท ง้ั สนิ้ จะตองถูกละทิ้งไวทัง้ หมด แตบ ุคคลทาํ กรรมใด ดว ยกาย ดว ยวาจา หรอื ดวยใจ กรรมนนั้ แหละเปน ของของเขา และเขาจะพาเอากรรมน้ัน ไป อน่ึง กรรมนน้ั ยอมตดิ ตามเขาไป เหมอื นเงาตดิ ตามตน ฉะนั้นฉะน้นั บุคคลควรทาํ ความดี สั่งสมส่ิงทจี่ ะเปน ประโยชนภายหนา ความดีทั้งหลายยอมเปน ทพี่ งึ่ ของสัตวในปรโลก ๒. อริยสัจ ก. ความเขาใจเบ้ืองตน อรยิ สจั เปน หลักธรรมทส่ี ําคญั และรูจักกนั มากทีส่ ุดอกี ขอหนงึ่ อริยสัจไมใ ชเ ปนหลกั สวนยอ ยของป ฏิจจสมุปบาท แตเ ปนทงั้ หมดของ ปฏิจจสมปุ บาท พูดงา ยๆ วา มีความหมายครอบคลุมปฏิจจสมปุ บาททงั้ หมด ๑) ตรสั รอู รยิ สัจ=ตรสั รปู ฏิจจสมปุ บาทและนิพพาน เม่ือมผี ถู ามวา “พระพุทธเจา ตรัสรอู ะไร?” จะตอบวา ตรสั รอู รยิ สัจ ๔ หรือ ตอบวา ตรสั รูปฏจิ จสมุปบาท กไ็ ด คาํ ตอบท่ีวา นี้ จะไมพจิ ารณาโดยเนอ้ื หาของหลักธรรมเลย ยกแตค ัมภรี ม าอา งก็ได คมั ภรี วินยั ปฎ ก เลา เหตกุ ารณเกย่ี วกับการตรสั รขู องพระพทุ ธเจา เร่ิมตนเมอ่ื ตรัสรใู หมๆ กําลงั ทรงเสวย วิมุตติสุข และพิจารณาทบทวน ปฏจิ จสมปุ บาท ท้งั โดยอนโุ ลม(กระบวนการเกิดทุกข) และโดยปฏิโลม (กระบวน การดบั ทุกข) ตลอดเวลา ๑ สปั ดาห ครนั้ สิ้นระยะเสวยวมิ ุตติสขุ ๗ สปั ดาหแ ลว เมอื่ ปรารภการทจี่ ะทรงประกาศ ธรรมแกผ อู ่นื ตอ ไป ทรง พระดําริวา :-
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 116 ธรรมท่ีเราไดบ รรลแุ ลวน้ี เปน ของลกึ ซ้ึง เหน็ ไดยาก รตู ามไดยาก ฯลฯ สําหรบั หมูประชาผูเรงิ รมยรืน่ ระเริงอยใู นอาลยั ฐานะน้ียอ มเปน ส่ิงทเี่ ห็นไดย าก กลา วคอื หลกั อิทัปปจจยตา ปฏจิ จสมปุ บาท; แมฐ านะนกี้ ็ เหน็ ไดย ากนกั กลา วคือ...นพิ พาน สวนในพระสตู ร เม่ือปรากฏขอความเกยี่ วกับพุทธประวัติตอนนี้ ก็เลาความแนวเดียวกัน เรม่ิ แตพทุ ธ ดําริที่เปนเหตุใหเสดจ็ ออกผนวช การเสด็จออกผนวช การทรงศกึ ษาในสาํ นกั อาฬารดาบส และอทุ ทกดาบส การ บาํ เพญ็ และการละเลิกทกุ รกิริยา การทรงกลบั เสวยพระกระยาหาร แลวบรรลุฌาน และตรัสรวู ชิ ชา ๓ ในตอน ตรสั รมู ีขอความที่ตรสั เลาวา คร้ันเราบรโิ ภคอาหาร มกี ําลงั ข้นึ แลว สงดั จากกาม สงดั จากอกศุ ลธรรมท้ังหลาย บรรลปุ ฐมฌาน... ทุติยฌาน…ตตยิ ฌาน...จตตุ ถฌาน ไมม ีทุกข ไมมสี ุข...มีอเุ บกขาเปน เหตุใหส ตบิ ริสทุ ธ์อิ ยู เราน้ัน เมอ่ื จิตเปน สมาธิ บรสิ ุทธิ์ ผอ งแผว ไมมกี เิ ลส ปราศจากส่ิงมัวหมอง นุมนวล ควรแกก ารงาน ตงั้ ม่ัน ไมห วน่ั ไหวอยางนี้ ไดนอมจติ ไปเพ่ือปพุ เพนิวาสานุสสตญิ าณ กร็ ะลกึ ชาติกอนไดเปน อันมาก (วชิ ชา ท่ี ๑) ...ไดน อ มจิตไปเพ่ือจตุ ูปปาตญาณ กม็ องเหน็ หมูส ตั วท ่จี ุติอบุ ตั ิอยู (วชิ ชาท่ี ๒) ...ไดน อมจติ ไปเพ่อื อาส วักขยญาณ กร็ ชู ดั ตามเปน จริงวา ‘น้ที กุ ข นี้ทกุ ขสมทุ ัย น้ีทุกขนิโรธ นที้ ุกขนิโรธคามนิ ีปฏิปทา เหลานอี้ าสวะ นอ้ี าสวสมทุ ยั นีอ้ าสวนโิ รธ นี้อาสวนโิ รธคามินปี ฏิปทา’ เม่อื เรารเู หน็ อยา งนี้ จติ ไดห ลุดพนแลว จาก กามาสวะ ภวาสวะ และอวชิ ชาสวะ (วชิ ชาท่ี ๓)... ตอ จากน้ี ก็มคี าํ บรรยายพทุ ธดํารใิ นการทจ่ี ะทรงประกาศธรรม ซ่งึ มขี อความอยา งเดียวกับในวินยั ปฎก ทย่ี กมาอา งไวแ ลว ขางตน นั้น จะเหน็ วา วินัยปฎ ก เลา เหตกุ ารณหลงั ตรสั รใู หมๆ ระยะเสวยวิมุตติสุข (ซงึ่ อรรถกถาวา ๗ สปั ดาห) เร่ิม แตพิจารณาทบทวนปฏิจจสมุปบาท จนถงึ ทรงพระดํารทิ ีจ่ ะไมประกาศธรรม เพราะความยากของปฏจิ จสมปุ บาทและนิพพาน ทีไ่ ดตรสั รู สวน พระสูตร เลา เหตุการณก อ นตรัสรเู ปน ลําดบั มา จนถงึ ตรสั รวู ิชชา ๓ แลว ขามระยะเสวยวมิ ตุ ตสิ ุข ท้ังหมดไป มาลงที่พทุ ธดํารจิ ะไมประกาศธรรม เพราะความยากของปฏจิ จสมุปบาท และนพิ พาน เชน เดยี วกนั ผูถอื เอาความในวินยั ปฎ กตอนทรงพิจารณาทบทวนปฏิจจสมปุ บาท และพุทธดําริปรารภการประกาศ ธรรม ทัง้ ในวินยั ปฎก และในพระสูตร ยอมกลาวไดว า พระพทุ ธเจา ตรัสรูปฏจิ จสมปุ บาท (กบั ทั้งนิพพาน) สวนผพู ิจารณาความในพระสตู ร เฉพาะเหตุการณต อนตรัสรูว ิชชา ๓ และจบั เฉพาะวชิ ชาท่ี ๓ ซงึ่ เปน ตวั การตรสั รูแทๆ (วิชชา ๒ อยางแรกยงั นบั ไมไดวา เปน การตรัสรู และไมจ ําเปนสาํ หรับนพิ พาน) กไ็ ดค วามหมาย วา ตรัสรอู ริยสจั ๔ จึงหลุดพน จากอาสวะ อยางไรกด็ ี คาํ ตอบท้งั สองนั้น แมจ ะถูกตอ งทั้งคู แตก ็มีความหมายบางอยางทเี่ ปนพิเศษกวากัน และ ขอบเขตบางแงท ีก่ วางขวางกวากัน ซ่งึ ควรทําความเขา ใจ เพอ่ื มองเห็นเหตุผลในการแยกแสดงเปนคนละหลัก ๒) เรยี นอรยิ สัจ ตองรูหนา ท่ีตออรยิ สัจ
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 117 ความหมายทตี่ รงกันของหลักใหญท้ังสองนี้ มองเห็นไดงาย เพื่อความรวบรดั ขอใหดหู ลกั อริยสจั พรอ ม ทง้ั ความหมายตามแบบ และหนาทข่ี องคนตอ อริยสจั ขอ น้นั ๆ ๑. ทุกข ไดแ ก ชาติ ชรามรณะ การประจวบกับสง่ิ อันไมเ ปน ทีร่ ัก การพลดั พรากจากของรกั ความ ปรารถนาไมส มหวัง โดยยอ วา อุปาทานขันธ ๕ (ขนั ธ ๕ ท่ียึดไวดว ยอุปาทาน) เปน ทกุ ข พูดอกี นัยหน่งึ คือ ชีวิต และทุกส่ิงท่ีเก่ยี วของ ซึง่ อยภู ายใตกฎธรรมชาติ ทจี่ ะตองผนั แปรไปตามเหตุปจ จัย จงึ แฝงไวด ว ยความกดดัน บีบค้ัน ขดั แยง ขัดขอ ง มคี วามบกพรอง ไมส มบรู ณในตัว พรอมทีจ่ ะทําใหเ กดิ ทุกขเ ปนปญ หาขนึ้ มา เมื่อใดเมอื่ หนึง่ ในรูปใดรูปหนง่ึ แกผ ูทยี่ ึดม่ันไวดวยอุปาทานหนาทต่ี อทุกข คอื การกําหนดรู เขาใจมนั รูเทาทันความเปน จริง (เรียกวา ปริญญา) ๒. ทุกขสมุทัย เรยี กส้ันๆ วา สมทุ ยั (เหตเุ กดิ แหง ทกุ ข) ไดแ ก ตัณหา คือความรานรนทะยานอยาก ท่ีทําให เกดิ ภพใหม ประกอบดว ยความเพลิดเพลนิ และความติดใจ คอยใฝหาความยนิ ดใี หมๆ เรื่อยๆ ไป มี ๓ คือ กามตณั หา ภวตัณหา วิภวตัณหา พูดอกี นยั หน่ึง คอื ความอยากทีย่ ดึ ถือตัวตนเปนท่ตี ัง้ โดยอาการซึง่ มีเรา ทีจ่ ะ ได จะเปน จะไมเปนอยา งนน้ั อยางนี้ ทําใหชวี ติ ถกู บีบค้ันดวยความรูสกึ กระวนกระวาย ความหวาดกังวล ความ ติดของในรูปใดรูปหนึ่งอยตู ลอดเวลา ไมโปรงโลง เปน อสิ ระ หนา ท่ีตอ สมุทยั คอื ละเสีย ทาํ ใหหมดไป เรียกวา ปหานะ ๓. ทุกขนโิ รธ เรยี กส้นั วา นิโรธ (ความดับทกุ ข) ไดแกการที่ตัณหาดับไปไมเหลือ ดวยการคลายออก สละ เสียได สลดั ออก พน ไปได ไมพัวพัน พดู อกี นยั หนงึ่ คือ ภาวะแหง นิพพาน ทีไ่ มมคี วามทุกข เปน สขุ โดยไมข ึ้นตอ ตัณหา ไมถ ูกบบี ค้นั ดว ยความรสู กึ กระวนกระวาย หวาดกงั วล เปน ตน มีชวี ติ ทเี่ ปน อยดู วยปญญา ซงึ่ บรสิ ุทธิ์ เปนอิสระ สงบ ปลอดโปรง ผองใส เบิกบาน หนาท่ตี อ นิโรธ คอื ทาํ ใหแจง ทําใหส ําเร็จ ทําใหเ กดิ มเี ปน จรงิ ข้นึ มา หรือ บรรลถุ ึง เรียกวา สัจฉิกริ ยิ า ๔. ทุกขนโิ รธคามนิ ปี ฏิปทา (ปฏิปทาทีน่ ําไปสูค วามดับแหงทกุ ข) เรียกสั้นๆ วา มรรค ไดแกทางประเสรฐิ มี องคป ระกอบ ๘ คอื สัมมาทิฏฐิ สมั มาสังกปั ปะ สมั มาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชวี ะ สมั มาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ หนาที่ตอ มรรค คอื เจรญิ ฝก หรอื ปฏบิ ัติ เรียกวา ภาวนา ๓) อริยสจั กบั ปฏิจจสมุปบาท ครอบคลมุ กนั อยางไร ขอใหเทยี บหลกั อริยสจั นนั้ กับหลัก ปฏจิ จสมุปบาท ดงั นี้ ๑. สมทุ ยั วาร: อวชิ ชาเกดิ ?สังขารเกิด? ฯลฯ ชาติเกดิ ?ชรามรณะ+โสกะ ฯลฯ อปุ ายาส เกิด ๒. นิโรธวาร: อวชิ ชาดับ ? สงั ขารดบั ? ฯลฯ ชาตดิ ับ?ชรามรณะ+โสกะ ฯลฯ อุปายาส ดบั ขอ ๑. คือ ปฏจิ จสมปุ บาท สมทุ ยวาร หรอื แบบอนโุ ลม แสดงกระบวนการเกดิ ทุกข เทากับรวมอริยสัจขอ ๑ (ทุกข) และ ๒ (สมทุ ยั ) ไวในขอ เดียวกัน แตในอรยิ สจั แยกเปน ๒ ขอ เพราะแยกเอาทอ นทาย (ชาติ ชรามรณะ
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 118 โสกะ ฯลฯ) ทเี่ ปนผลปรากฏ ออกไปต้งั ตางหากเปนอริยสัจขอ แรก ในฐานะเปน ปญหาทป่ี ระสบ ซง่ึ จะตอ งแกไข แลวจึงยอนกลบั มายกทอนทเี่ ปนกระบวนการทั้งหมด ตงั้ เปนขอ ท่ี ๒ ในฐานะเปนการสืบสาวหาตน เหตุของ ปญหา ขอ ๒. คือ ปฏิจจสมปุ บาท นิโรธวาร หรอื แบบปฏิโลม แสดงกระบวนการดบั ทกุ ข เทา กบั อรยิ สัจ ขอ ๓ (นโิ รธ) แสดงใหเ ห็นวา เมื่อแกป ญ หาถกู ตอ งตรงสาเหตแุ ลว ปญหานน้ั จะดับไปไดอยา งไรตามแนวทางของเหตปุ จจัย แมว า โดยตรง ปฏจิ จสมุปบาทนัยนี้ จะตรงกบั อริยสัจขอ ที่ ๓ แตก ็ถอื วา กนิ ความรวมถงึ อรยิ สจั ขอ ๔ ได ดว ย เพราะกระบวนการดบั สลายของปญ หา ยอมบงชี้เปนนยั ใหเห็นแนวทางดาํ เนินการ หรือวิธีการท่วั ไปท่จี ะ ตอ งลงมอื ปฏิบัติในการจดั การแกปญ หานัน้ ไปดวยในตัว กลาวคอื ชใ้ี หเห็นวา จะตองทาํ อะไรบาง ณ จุดใดๆ แม จะยงั ไมล งไปสูรายละเอียดของวิธปี ฏิบตั ิ เม่อื สรุปอริยสัจใหเหลือนอ ยลงอีก กไ็ ด ๒ ขอ คอื ฝายมที กุ ข (ขอ ๑ และ ๒) กบั ฝา ยหมดทุกข (ขอ ๓ และ ๔) ปฏิจจสมุปบาท ๒ นยั น้นั ในท่ีบางแหงถือเปน คาํ จาํ กดั ความของ อรยิ สัจขอท่ี ๒ และ ๓ ตามลาํ ดับ คือ แบบสมุทยวาร ถือเปนคาํ จํากัดความของอริยสัจ ขอที่ ๒ (สมทุ ัย) และแบบนโิ รธวาร เปน คําจํากดั ความ ของอริยสจั ขอ ที่ ๓ (นโิ รธ) พงึ สังเกตวา ในคาํ จํากัดความของอริยสจั โดยทั่วไป ขอ ๒ แสดงเฉพาะตัณหาอยางเดยี ววา เปน สมุทัย และขอ ๓ แสดงการดบั ตัณหาวา เปน นโิ รธ ท้งั นเี้ พราะตัณหาเปน กิเลสตวั เดน เปน ตวั แสดงทป่ี รากฏชัด พูด งา ยๆ วา เปน ตัวแสดงหนา โรง หรือเปน ข้นั ออกโรงแสดงบทบาท เม่ือพดู แบบรวบรัด กจ็ ับเอาแคตวั การทอ่ี อกโรง แสดงแคนี้ อยางไรกด็ ี กระบวนการที่พรอมทั้งโรง รวมถึงหลังฉากหรือหลงั เวทดี วย ยอ มเปน ไปตามกระบวนการป ฏจิ จสมปุ บาท ซง่ึ แสดงสมุทัยต้ังแตจดุ เริม่ ทอ่ี วชิ ชา สว นแงท่ปี ฏจิ จสมปุ บาท กับ อริยสจั พิเศษหรือแปลกจากกนั พอสรปุ ไดดังน้ี ๑. หลกั ธรรมท้ังสอง เปน การแสดงความจรงิ ในรปู แบบทตี่ า งกัน ดว ยวัตถุประสงคคนละอยางปฏจิ จส มุปบาทแสดงความจรงิ ตามกระบวนการของมนั เอง ตามท่ีเปนไปโดยธรรมชาติลว นๆ สวน อริยสัจเปนหลัก ความจริงในรูปแบบท่เี สนอตัวตอ ปญญามนษุ ย ในการที่จะสืบสวนคน ควาและทาํ ใหเกิดผลในทางปฏิบตั ิ โดยนัยน้ี อริยสจั จงึ เปนหลักธรรมท่แี สดงโดยสอดคลองกบั ประวตั ิการแสวงหาสัจธรรมของพระพทุ ธ เจา เรมิ่ แตก ารเผชิญความทุกขท ีป่ รากฏเปนปญ หา แลว สบื สวนหาสาเหตุ พบวา มีทางแก ไมห มดหวงั จึง กาํ หนดรายละเอียดหรือจุดที่ตอ งแกไขและกาํ หนดเปา หมายใหชัด แลวดําเนินการแกไ ขตามวิธีการจนบรรลเุ ปา หมายที่ตอ งการนัน้ และ โดยนยั เดยี วกนั นี้ อรยิ สัจจึงเปนหลักธรรมทีย่ กข้นึ มาใชใ นการส่ังสอน เพือ่ ใหผรู ับคําสอนทําความเขา ใจอยางเปน ระเบียบ มงุ ใหเกิดผลสาํ เรจ็ ท้งั การสัง่ สอนของผสู อน และการประพฤตปิ ฏิบตั ิของผูรบั คาํ สอน
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 119 สวน ปฏจิ จสมุปบาท เปนตวั กระบวนธรรมแกนกลางของอรยิ สจั และเปนเนอ้ื หาของสภาวธรรม ทจ่ี ะ ตอ งศึกษาเม่ือตองการเขาใจอริยสจั ใหชัดเจนถงึ ทสี่ ุด จงึ เปน หลักธรรมที่พระพุทธเจา ทรงพิจารณาทบทวนหลงั ตรัสรใู หมๆ ๒. ขอ ทแี่ ปลกหรอื พเิ ศษกวากันอยางสําคญั อยทู ีป่ ฏจิ จสมุปบาท ฝายนิโรธวาร ซงึ่ ตรงกับอรยิ สจั ขอท่ี ๓ และ ๔ (นโิ รธ และ มรรค) กลา วคอื ก) เม่อื เทียบกบั อริยสจั ขอ ๓ (นโิ รธ) จะเห็นวา ปฏจิ จสมปุ บาทนโิ รธวาร (ปฏโิ ลมนัย) กลา วถึงนโิ รธดวยกจ็ รงิ แตม ุงแสดงเพียงกระบวนการเขา ถงึ นโิ รธ ไมไ ดมุง แสดงสภาวะของตัวนโิ รธ หรือนิพพานเอง ดวยเหตุน้ีในพุทธดาํ รเิ มือ่ จะทรงประกาศธรรมจงึ แยกธรรม ทีท่ รงพิจารณาเปน ๒ ตอน คอื ตอนแรกกลา วถึงปฏจิ จสมุปบาทอยา งขางตน ตอ จากน้นั มพี ุทธดาํ รติ อไปอกี วา “แมฐ านะอนั น้ี กเ็ ปน สงิ่ ทีเ่ ห็นไดยาก กลา วคอื ความสงบแหง สังขารทง้ั ปวง ความสลดั อุปธทิ งั้ ปวง ความสน้ิ ตัณหา วิราคะ นิโรธ นิพพาน” นีแ้ สดงวา ทรงประสงคต รสั แยกธรรมทตี่ รัสรเู ปน ๒ อยา ง คือ ปฏจิ จสมปุ บาท กับ นโิ รธ (นพิ พาน) สว นอรยิ สจั ขอ ๓ คือ นิโรธ มุงแสดงตวั สภาวะของนิโรธ คือนพิ พานเปน สําคญั โดยมีความหมายเลง็ ไป ถงึ กระบวนการเขาถงึ นิโรธแฝงอยูด วย ข) แมว า ปฏจิ จสมปุ บาท ฝายนิโรธวาร จะกินความรวมถงึ อรยิ สจั ขอ ๔ คอื มรรค ดว ย แตก ย็ ังไมใหผล ในทางปฏิบัตชิ ัดเจน เพราะปฏิจจสมปุ บาทแสดงแตต ัวกระบวนการลว นๆ ตามที่เปน ไปโดยธรรมชาตเิ ทา นัน้ มไิ ดแ จกแจงออกไปใหช ดั เจนวา สงิ่ ท่ีจะตองทํามีรายละเอยี ดอะไรบาง จะตอ งทาํ อยา งไร มีลาํ ดับขัน้ การปฏิบตั ิ อยา งไร โดยเฉพาะกลวธิ ตี างๆ ในการกระทํา คอื ไมไ ดจดั วางระบบวธิ กี ารไวโดยเฉพาะเพอ่ื การปฏิบตั ิอยา งได ผล เหมอื นแพทยรูกระบวนวธิ แี กไ ขโรค แตไ มไดส ัง่ ยาและวธิ ปี ฏิบตั ใิ นการรกั ษาไวใ ห สว นในอริยสัจ มีหลักขอ ที่ ๔ คือ มรรค ซ่งึ กาํ หนดขึ้นไวเ พอ่ื วตั ถปุ ระสงคน ้โี ดยเฉพาะ ใหเปนสจั จะขอ หน่ึงตางหาก ในฐานะขอ ปฏบิ ัติทีพ่ ิสจู นแลว ยืนยันไดวานําไปสูจดุ หมายไดแนน อน อรยิ สจั ขอ ๔ คอื มรรค น้ี แสดงหลักความประพฤติปฏบิ ัติไวอ ยา งละเอียดกวางขวางพสิ ดาร ถือวาเปน คาํ สอนภาคปฏิบตั ิ หรอื ระบบจริยธรรมทัง้ หมดของพระพุทธศาสนา เรียกวา มัชฌมิ าปฏปิ ทา คือ ทางสายกลาง หรอื ขอ ปฏบิ ตั ิท่ีเปน กลางๆ ดําเนนิ ตามความเปนจริงของธรรมชาติ เม่อื เทียบหลักอริยสจั กับ ปฏิจจสมุปบาท ถอื วา ปฏิจจสมุปบาท เปน มัชเฌนธรรมเทศนา คอื หลกั ธรรมท่ีแสดงเปน กลางๆ ตามความเปนจรงิ ของส่งิ ท้งั หลาย หรือหลกั ธรรมสายกลาง สว น มรรค คืออรยิ สจั ขอ ๔ เปน มชั ฌิมาปฏปิ ทา คือทางสายกลาง หรือขอปฏบิ ัติซึ่งจดั วางไวโ ดยสอด คลอ งตามหลักความจริงนน้ั มีเนื้อหาท่เี ปนลักษณะพเิ ศษตา งออกไป จึงควรแยกไวเ ปนอกี เรอ่ื งหนง่ึ ตา งหากโดย เฉพาะ
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 120 ๔) พระพทุ ธเจา ตรัสรอู ริยสัจ และตรสั สอนอรยิ สจั กอนทจ่ี ะกลาวถงึ เรือ่ งอนื่ ๆ ตอ ไป เหน็ วา ควรทราบฐานะของอริยสัจ ในระบบคําสอนของพระพทุ ธ ศาสนาไวดว ย ตามหลกั ฐานในพระไตรปฎ ก ดงั นี้ ทา นผมู ีอายทุ ง้ั หลาย รอยเทา ของสตั วท งั้ หลายท่เี ที่ยวไปบนผนื แผนดินทงั้ ส้ินทงั้ ปวง ยอ มประชุมลงใน รอยเทา ชา ง รอยเทาชา งนน้ั กลา วไดวา เปน ยอดเย่ียมในบรรดารอยเทา เหลา นนั้ โดยความมีขนาดใหญ ฉันใด กศุ ลธรรมทง้ั สนิ้ ทั้งปวง กส็ งเคราะหลงในอรยิ สัจ ๔ ฉันนัน้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย การรูการเหน็ ของเราตามความเปนจริง ครบปริวฏั ๓ อาการ ๑๒ ในอรยิ สัจ ๔ เหลานี้ ยงั ไมบ ริสทุ ธแ์ิ จม ชดั ตราบใด ตราบน้ัน เราก็ยังปฏญิ าณไมไดวา ไดบรรลุอนตุ รสัมมาสัมโพธญิ าณ... ภกิ ษุท้ังหลาย เพราะไมตรสั รู ไมเขาใจอริยสจั ๔ ทัง้ เราและเธอ จึงไดว ิ่งแลน เรร อนไป (ในสังสารวฏั ) สน้ิ กาลนานอยางนี้ ครงั้ นัน้ แล พระผูม ีพระภาค ตรสั อนปุ พุ พกิ ถาแกอ ุบาลีคฤหบดี กลา วคอื เร่ืองทาน เรอ่ื งศีล เร่ืองสวรรค เรื่องโทษความบกพรอง ความเศราหมองแหง กาม และเร่ืองอานิสงสในเนกขมั มะ ครน้ั พระองคท รงทราบวาอุ บาลคี ฤหบดี มจี ติ พรอม มจี ิตนมุ นวล มจี ติ ปราศจากนิวรณ มจี ิตปลาบปล้มื มีจิตเลอื่ มใสแลว จึงทรงประกาศ สามกุ กังสิกาธรรมเทศนาของพระพทุ ธเจาทั้งหลาย กลา วคอื ทกุ ข สมุทยั นิโรธ มรรค บุคคลครองชีวิตประเสรฐิ (พรหมจรรย) อยกู ับพระผูม ีพระภาค ก็เพื่อการรู การเห็น การบรรลุ การ กระทําใหแจง การเขาถึงสงิ่ ท่ยี งั ไมรู ยงั ไมเ ห็น ยังไมบ รรลุ ยงั ไมกระทําใหแจง ยงั ไมเ ขาถึง (กลาวคอื ขอ ท่วี า) นี้ทุกข นที้ กุ ขสมทุ ัย นท้ี ุกขนโิ รธ นีท้ กุ ขนโิ รธคามนิ ปี ฏิปทา มีสิง่ หน่งึ ทถ่ี อื วา เปนลกั ษณะของคําสอนในพระพุทธศาสนา คือ การสอนความจรงิ ท่เี ปนประโยชน กลาวคอื ความจรงิ ท่นี าํ มาใชใ หเปน ประโยชนแกช ีวิตได สวนสง่ิ ที่ไมเปนประโยชน แมเ ปน ความจรงิ ก็ไมสอน และอริยสัจนี้ถอื วาเปน ความจรงิ ทเ่ี ปนประโยชนใ นทนี่ ้ี โดยเหตุนี้ พระพทุ ธเจา จงึ ไมทรงสนพระทัยและไมย อมทรงเสียเวลาในการถกเถียงปญหาทาง อภปิ รัชญา มีพุทธพจนท่รี จู ักกันมากแหงหน่ึงวาดงั นี้ ถงึ บุคคลผูใ ดจะกลา ววา พระผมู ีพระภาคยังไมทรงพยากรณ (ตอบปญ หา) แกเ ราวา “โลกเท่ียง หรือ โลกไมเทีย่ ง โลกมที ่ีสดุ หรอื โลกไมมที ่สี ุด ชวี ะอันน้นั สรีระกอ็ นั นัน้ หรอื ชวี ะก็อยาง สรรี ะกอ็ ยาง สตั วหลงั จาก ตายมอี ยู หรือไมมอี ยู สัตวหลังจากตาย จะวามอี ยกู ็ใช จะวา ไมม ีอยกู ใ็ ช หรือวาสัตวห ลังจากตาย จะวามอี ยูก็ ไมใช ไมมอี ยูกไ็ มใช” ดังน้ี ตราบใด เราจะไมค รองชวี ติ ประเสรฐิ (พรหมจรรย) ในพระผูมีพระภาค ตราบนนั้ ตถาคตก็จะไมพ ยากรณค วามขอนั้นเลย และบุคคลนั้นก็คงตายไปเสีย (กอ น) เปนแน เปรยี บเหมอื นบรุ ษุ ถกู ยงิ ดว ยลกู ศรอาบยาพิษท่อี าบยาไวอ ยางหนา มติ รสหาย ญาติสาโลหิตของเขา ไปหาศัลยแพทยผูชาํ นาญมาผา บรุ ุษผูตองศรนนั้ พงึ กลา ววา “ตราบใดท่ขี าพเจา ยงั ไมร ูจักคนทยี่ ิงขาพเจา วาเปนกษตั รยิ เปน พราหมณ เปน แพศย หรอื เปน ศูทร มชี ่ือวา อยา งนี้ มโี คตรวาอยา งน้ี รางสงู เตี้ย หรอื ปานกลาง ดาํ ขาว หรอื คลา้ํ อยูบาน นิคม
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 121 หรือนครโนน ขา พเจาจะยังไมย อมใหเอาลูกศรนีอ้ อกตราบนั้น ตราบใดขา พเจา ยงั ไมรูวา ธนูทีใ่ ชยงิ ขา พเจา นั้น เปนชนดิ มีแลง หรือชนดิ เกาทณั ฑ สายท่ีใชยิงนัน้ ทําดวยปอ ดวยผวิ ไมไผ ดวยเอน็ ดว ยปา น หรอื ดว ยเยอ่ื ไม ลูก ธนูทใี่ ชย งิ นนั้ ทาํ ดวยไมเกดิ เอง หรอื ไมปลูก หางเกาทัณฑ เสียบดว ยขนปก แรง หรือนกตะกรุม หรอื เหย่ยี ว หรือ นกยูง หรือนกสิถลิ หนุ เกาทัณฑน นั้ พันดว ยเอน็ วัว เอน็ ควาย เอน็ คาง หรือเอ็นลงิ ลกู ธนูท่ใี ชย งิ นัน้ เปนชนิดใด ขาพเจา จะไมยอมใหเอาลกู ศรออกตราบนนั้ ” บรุ ุษนั้นยังไมท ันไดรูความทว่ี า นน้ั เลย กจ็ ะตอ งตายไปเสยี โดยแนแท ฉันใด...บคุ คลนัน้ ก็ฉนั นั้น แนะมาลงุ กยบตุ ร เมอื่ มีทฏิ ฐิวา โลกเทีย่ ง แลว จะมกี ารครองชีวติ ประเสรฐิ (ขึน้ มา) ก็หาไม เมือ่ มที ฏิ ฐิ วา โลกไมเทยี่ ง แลว จะมีการครองชวี ิตประเสริฐ (ขึ้นมา) กห็ าไม เม่อื มีทิฏฐวิ า โลกเท่ียง หรอื วา โลกไมเ ท่ยี ง ก็ ตาม ชาติก็ยังคงมอี ยู ชราก็ยงั คงมอี ยู มรณะก็ยงั คงมีอยู โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อปุ ายาส ก็ยงั คงมีอยู ซึง่ (ความทุกขเหลา นี้แหละ) เปน สงิ่ ทีเ่ ราบญั ญตั ใิ หก ําจดั เสียในปจจุบนั ทเี ดยี ว ฯลฯ ฉะนนั้ เธอทงั้ หลาย จงจาํ ปญหาที่เราไมพยากรณ วา เปน ปญ หาที่ไมพยากรณ และจงจาํ ปญหาทเี่ รา พยากรณ วา เปน ปญหาทพี่ ยากรณเ ถิด อะไรเลา ที่เราไมพ ยากรณ (คอื ) ทิฏฐิวา โลกเทย่ี ง โลกไมเ ที่ยง ฯลฯ เพราะเหตุไรเราจงึ ไมพยากรณ เพราะขอนัน้ ไมป ระกอบดว ยประโยชน ไมเ ปนหลกั เบอ้ื งตน แหงชีวติ ประเสริฐ (พรหมจรรย) ไมเ ปน ไปเพ่อื นพิ พทิ าเพอื่ วริ าคะ เพือ่ นโิ รธ เพื่อความสงบ เพ่ือความรูยง่ิ เพอ่ื นพิ พาน อะไรเลา ท่เี ราพยากรณ (คือขอ วา ) น้ีทกุ ข นท้ี ุกขสมทุ ยั นีท้ กุ ขนโิ รธ นที้ ุกขนิโรธคามนิ ปี ฏิปทา เพราะเหตไุ รเราจึงพยากรณ เพราะประกอบดว ยประโยชน เปนหลักเบอ้ื งตนแหง ชีวิตประเสรฐิ เปนไปเพอ่ื นพิ พทิ า เพ่ือวริ าคะ เพื่อนโิ รธ เพอื่ ความสงบ เพ่อื ความรูย่ิง เพอื่ ความตรสั รู เพอ่ื นิพพาน ข. คุณคา ท่เี ดน ของอรยิ สจั หลกั อรยิ สัจ นอกจากเปน คําสอนที่ครอบคลุมหลักธรรมทง้ั หมดในพระพทุ ธศาสนา ทั้งภาคทฤษฎแี ละ ภาคปฏิบัติ ดงั กลา วมาแลว ยงั มีคณุ คาเดนท่นี าสงั เกตอกี หลายประการ ซ่งึ พอสรุปไดด ังนี้ :- ๑. เปน วิธกี ารแหง ปญญา ซงึ่ ดําเนินการแกไ ขปญหาตามระบบแหงเหตผุ ล เปนระบบวธิ แี บบอยา ง ซง่ึ วิธีการแกปญ หาใดๆ กต็ าม ท่ีจะมคี ณุ คา และสมเหตผุ ล จะตองดําเนินไปในแนวเดียวกันเชนน้ี ๒. เปน การแกป ญหาและจดั การกบั ชีวติ ของตน ดวยปญญาของมนุษยเ อง โดยนําเอาหลักความจรงิ ท่ี มอี ยตู ามธรรมชาติมาใชป ระโยชน ไมต องอา งอาํ นาจดลบนั ดาลของตวั การพิเศษเหนือธรรมชาติ หรอื สง่ิ ศักดิ์ สทิ ธิใ์ ดๆ ๓. เปน ความจริงท่เี กยี่ วของกับชีวติ ของคนทุกคน ไมว า มนุษยจ ะเตลดิ ออกไปเกย่ี วขอ งสมั พนั ธก บั ส่ิงท่ี อยูหา งไกลตวั กวางขวางมากมายเพยี งใดก็ตาม แตถ าเขายังจะตองมีชวี ติ ของตนเองทม่ี คี ุณคา และสัมพันธกับ สงิ่ ภายนอกเหลา นน้ั อยา งมผี ลดแี ลว เขาจะตองเก่ยี วขอ งและใชป ระโยชนจากหลักความจรงิ นี้ตลอดไป
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 122 ๔. เปนหลักความจริงกลางๆ ทต่ี ดิ เน่อื งอยูก ับชีวิต หรอื เปนเรื่องของชีวิตเองแทๆ ไมว า มนุษยจะสราง สรรคศิลปวิทยาการ หรอื ดําเนนิ กิจการใดๆ ข้ึนมา เพอื่ แกปญ หาและพฒั นาความเปน อยขู องตน และไมวา ศิลป วทิ ยาการ หรือกิจการตา งๆ น้นั จะเจรญิ ข้ึน เสอื่ มลง สูญสลายไป หรอื เกิดมีใหมมาแทนอยางไรกต็ าม หลกั ความจริงนก้ี ็จะคงยืนยง ใหม และใชเปนประโยชนไดต ลอดทกุ กาล บทเพ่ิมเตมิ เรอื่ งเหตปุ จจยั ในปฏจิ จสมปุ บาท และกรรม ๑) บางสวนของปฏิจจสมปุ บาท ทีค่ วรสงั เกตเปนพเิ ศษ ปฏิจจสมปุ บาท เปนเรอ่ื งของกฎธรรมชาติ จึงเปน เรอ่ื งใหญ มคี วามกวา งขวางลึกซง้ึ และมแี งด า นตา งๆ มากมาย ละเอียดซบั ซอ นอยางยิ่ง ไมต องพดู ถงึ วาจะยากตอการทีจ่ ะเขาใจใหท ั่วถึง แมแ ตจะพูดใหค รบถว นก็ ยากท่จี ะทําได ดว ยเหตนุ ้ี ในการศึกษาทั่วๆ ไป เม่ือเรียนรหู ลกั พื้นฐานแลว ก็อาจจะศกึ ษาบางแงบ างจุดที่นาสนใจเปน พิเศษ โดยเฉพาะสว นทเี่ กื้อหนุนความเขา ใจท่วั ไป และสวนทีจ่ ะนํามาใชป ระโยชนใ นการดาํ เนินชวี ิต แกป ญ หา และทําการสรางสรรคตา งๆ ในทีน่ ้ี จะขอยอ นกลับไปยกขอ ควรทราบสําคัญ ทกี่ ลา วถึงขา งตน ข้นึ มาขยายความอกี เล็กนอ ย พอให เขา ใจชัดเจนมากขนึ้ และเหน็ ทางนําไปใชประโยชนไ ดง า ยข้นึ โดยเฉพาะในแงข องหลักกรรม ท่เี ปนธรรมสืบ เนอื่ งออกไป อยางไรก็ตาม เน่อื งจากหวั ขอนเ้ี ปนเพยี งคาํ อธบิ ายเสรมิ การขยายความจงึ ทาํ ไดเ พยี งโดยยอ ใน หนา ๘๕ ไดเขยี นขอ ความสั้นๆ แทรกไวพอเปน ทส่ี ังเกต ดังตอไปนี้ “ขอ ควรทราบท่สี ําคัญอกี อยางหน่งึ คอื - ความเปน ปจจยั แกกนั ขององคป ระกอบเหลานี้ มิใชม คี วามหมายตรงกบั คาํ วา “เหต”ุ ทเี ดยี ว เชน ปจจยั ใหตน ไมงอกขน้ึ มิใชหมายเพียงเมล็ดพืช แตห มายถงึ ดิน นํ้า ปุย อากาศ อณุ หภูมิ เปน ตน เปน ปจ จัยแต ละอยาง และ - การเปนปจจัยแกก ันน้ี เปน ความสมั พนั ธท่ีไมจาํ ตองเปนไปตามลาํ ดับกอนหลงั โดยกาละหรอื เทศะ เชน พืน้ กระดาน เปนปจจยั แกการตงั้ อยขู องโตะ เปน ตน ” ขอความน้บี อกใหทราบวา ปฏิจจสมุปบาท เปนหลักความจรงิ ของธรรมชาติ ทแ่ี สดงถงึ ความสมั พันธ เปน เหตุปจ จยั แกก ันของสิง่ ทงั้ หลาย ๒) ความหมายของ เหตุ และ ปจ จยั เบือ้ งแรกควรเขาใจความหมายของถอยคาํ เปน พน้ื ไวก อน ในทที่ ั่วไป หรอื เม่ือใชต ามปกติ คําวา “เหต”ุ กับ “ปจ จัย” ถือวา ใชแทนกันได
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 123 แตใ นความหมายที่เครง ครดั ทา นใช “ปจ จัย” ในความหมายที่กวางแยกเปนปจจยั ตา งๆ ไดห ลาย ประเภท สวนคําวา “เหตุ” เปน ปจจยั อยางหนึง่ ซ่ึงมคี วามหมายจํากดั เฉพาะ กลา วคอื “ปจ จัย” หมายถึง สภาวะทีเ่ อื้อ เก้อื หนนุ ค้าํ จุน เปด โอกาส เปน ทีอ่ าศยั เปน องคป ระกอบรว ม หรอื เปน เงือ่ นไขอยางใดอยางหน่ึง ทีจ่ ะใหส ิ่งนั้นๆ เกิดมีข้นึ ดําเนินตอ ไป หรอื เจรญิ งอกงาม สว นคาํ วา “เหตุ” หมายถงึ ปจ จัยจําเพาะ ทเี่ ปนตัวกอ ใหเกดิ ผลน้นั ๆ “เหตุ” มีลักษณะทพ่ี งึ สังเกต นอกจากเปนปจจัยเฉพาะ และเปนตวั กอใหเ กดิ ผลแลว ก็มภี าวะตรงกับ ผล (สภาวะ) และเกิดสบื ทอดลําดบั คอื ตามลําดบั กอนหลังดวย สว น “ปจจยั ” มลี กั ษณะเปนสาธารณะ เปนตัวเก้ือหนุนหรือเปน เงอื่ นไข เปน ตน อยางท่กี ลา วแลว อกี ทงั้ มภี าวะตาง (ปรภาวะ) และไมเก่ียวกบั ลําดบั (อาจเกดิ กอน หลัง พรอ มกนั รวมกัน หรอื ตอ งแยกกนั -ไมร ว ม กนั กไ็ ด) ตวั อยางเชน เมด็ มะมวงเปน “เหต”ุ ใหเ กิดตนมะมว ง และพรอ มกันน้ัน ดนิ น้ํา อุณหภูมิ โอชา (ปุย) เปน ตน ก็เปน “ปจ จยั ” ใหตน มะมว งนั้นเกิดขึน้ มามีเฉพาะเหตคุ ือเม็ดมะมวง แตป จ จัยทีเ่ ก่ยี วขอ งไมพรอ ม หรอื ไมอ ํานวย ผลคือตน มะมว งกไ็ มเกดิ ข้ึนในเวลาอธบิ ายเรอ่ื งเหตปุ จ จยั มีอกี คาํ หนง่ึ ทที่ า นนิยมใชแทนคาํ วา เหตุ ปจจยั คอื คําวา “การณะ” หรือ “การณ” ซงึ่ ก็แปลกนั วา เหตุ ในพระอภิธรรม ทานจาํ แนกความสัมพนั ธของส่งิ ท้งั หลาย ทีเ่ ปน เหตุปจจยั แกกันนี้ไวถงึ ๒๔ แบบ เรียก วา ปจ จยั ๒๔ เหตุ เปน ปจจัยอยา งหนึ่งใน ๒๔ นั้น ทา นจดั ไวเ ปน ปจจัยขอแรกเรียกวา “เหตปุ จ จยั ” ปจ จัยอืน่ อีก ๒๓ อยา งจะไมก ลาวไวทัง้ หมดท่ีน่ี เพราะจะทาํ ใหฟน เฝอแกผูเรม่ิ ศึกษา เพยี งขอยกตวั อยา งไว เชน ปจจยั โดยเปนท่อี าศยั (นิสสยปจจัย) ปจจยั โดยเปนตัวหนนุ หรอื กระตนุ (อปุ นิสสยปจจัย) ปจจัย โดยประกอบรว ม (สมั ปยุตตปจจยั ) ปจจัยโดยมีอยู คือตองมีสภาวะนัน้ สิ่งน้ีจงึ เกิดมไี ด (อัตถปิ จ จัย) ปจจยั โดย ไมมีอยู คือตอ งไมม สี ภาวะนัน้ ส่ิงน้จี ึงเกิดขน้ึ ได (นตั ถปิ จ จยั ) ปจจยั โดยเกิดกอน (ปเุ รชาตปจจยั ) ปจจัยโดยเกิด ทีหลัง (ปจ ฉาชาตปจจัย) ฯลฯ ทีว่ า น้รี วมทงั้ หลกั ปลีกยอยที่วา อกศุ ลเปนปจจยั แกก ศุ ล (ชวั่ เปนปจจัยใหเ กิดดี) ก็ได กุศลเปน ปจ จัยแก อกุศล (ดเี ปน ปจ จยั ใหเ กิดชว่ั ) กไ็ ดด ว ย ปจ จยั ขอ อน่ื เม่ือแปลความหมายเพยี งสนั้ ๆ ผูอา นก็คงพอเขาใจไดไ มย าก แตป จ ฉาชาตปจ จัย คอื ปจจัยเกดิ ทีหลงั คนท่วั ไปจะรสู ึกแปลกและคดิ ไมอ อก จึงขอยกตัวอยางงา ยๆ ดา นรปู ธรรม เชน การสรา งตึกที่ จะดาํ เนินการภายหลัง เปน ปจฉาชาตปจจัยแกก ารสรางนัง่ รานทเี่ กดิ ข้ึนกอน สว นในทางสภาวธรรมดา นนาม ทา นยกตัวอยา งวา จติ และเจตสิกซงึ่ เกิดทีหลงั เปนปจจัยแกร างกายนที้ ่เี กิดขึ้นกอ น ขอสรปุ ความตอนนว้ี า ตามหลกั ธรรม ซ่ึงเปนกฎธรรมชาติ การทีส่ ่ิงใดสิง่ หนงึ่ หรือปรากฏการณอยา งใดอยา งหนง่ึ จะเกิดมขี น้ึ ได ตอ งอาศัยเหตปุ จจัยตางๆ หลากหลายประชมุ กันพรัง่ พรอ ม (ปจ จยั สามัคคี)
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 124 ๓) ผลหลากหลาย จากปจจยั อเนก ตามหลกั แหง ความเปนไปในระบบสัมพนั ธนี้ ยงั มขี อ ควรทราบแฝงอยอู กี โดยเฉพาะ - ขณะทเี่ ราเพงดเู ฉพาะผลอยา งหน่ึง วาเกิดจากปจจยั หลากหลายพร่งั พรอมนน้ั ตอ งทราบดวยวา ทแ่ี ท นัน้ ตองมองใหค รบทง้ั สองดา น คือ ๑. ผลแตละอยา ง เกิดโดยอาศยั ปจ จยั หลายอยาง ๒. ปจ จยั (ท่ีรว มกนั ใหเ กิดผลอยา งหน่ึงนนั้ ) แตละอยา ง หนนุ ใหเกิดผลหลายอยาง ในธรรมชาติทเี่ ปนจริงน้ัน ความสัมพนั ธและประสานสง ผลตอ กันระหวางปจจัยท้ังหลาย มีความ ละเอยี ดซบั ซอ นมาก จนตอ งพดู รวมๆ วา “ผลหลากหลาย เกิดจากเหต(ุ ปจ จยั )หลากหลาย” หรือ “ผลอเนก เกิดจากเหตอุ เนก” เชน จากปจจัยหลากหลาย มเี มลด็ พชื ดิน น้าํ อณุ หภมู ิ เปนตน ปรากฏผลอเนก มีตน ไม พรอมทัง้ รปู สี กลนิ่ เปนตน - ย้าํ วา ความเปน เหตุปจจัยนัน้ มิใชม เี พียงการเกิดกอน-หลังตามลําดับกาละหรอื เทศะเทา น้นั แตม ี หลายแบบ รวมท้ังเกิดพรอ มกนั หรือตองไมเกิดดว ยกนั ดังกลาวแลว เม่ือเหน็ สิง่ หรอื ปรากฏการณอยา งหน่ึง เชนตัวหนังสือบนกระดานปายแลว มองดโู ดยพนิ จิ กจ็ ะเหน็ วา ท่ี ตัวหนงั สอื ตวั เดียวนน้ั มีเหตุปจจัยแบบตา งๆ ประชุมกนั อยมู ากมาย เชน คนเขยี น (เจตนา+การเขียน) ชอลก แผน ปาย สที ตี่ ัดกัน ความชื้น เปน ตน แลวหดั จาํ แนกวาเปน ปจจยั แบบไหนๆ หนง่ึ วา - นอกจากเร่อื งปจจัย ๒๔ แบบ ทเ่ี พียงใหต วั อยา งไวแลว ขอใหดตู ัวอยางคาํ อธิบายของทานสกั ตอน แทจ ริงนั้น จากเหตเุ ดยี ว ในกรณีน้ี จะมผี ลหนึง่ เดียว กห็ าไม (หรือ) จะมีผลอเนก ก็หาไม (หรือ) จะมี ผลเดียวจากเหตอุ เนก กห็ าไม; แตย อ มมีผลอเนก จากเหตอุ นั อเนก ตามหลักการน้ี ทานสอนไวด วยวา ในปฏิจจสมปุ บาททพ่ี ระพุทธเจา ตรัสวา “เพราะอวชิ ชา(อยา งน้ัน) เปน ปจ จยั สงั ขาร(อยา งน้ัน)จึงมี, เพราะสงั ขาร(อยางนั้น)เปนปจจยั วญิ ญาณ(อยา งน้ัน)จึงม,ี ฯลฯ” ดงั นี้ - จะตอ งไมเ ขาใจผิดไปวา พระองคตรสั เหตเุ ดียว-ผลเดยี ว หรอื ปจ จยั อยางหน่ึง--ผลอยางหน่งึ เทา น้นั - ทจ่ี ริงนน้ั ในทุกคทู กุ ตอน แตละเหตุ แตละผล มีปจ จัยอน่ื และผลอืน่ เกิดดว ย ถาอยางนนั้ เหตใุ ดจึงตรสั ชวงละปจ จัย ชว งละผล ทีละค?ู ตอบวา การท่ตี รสั เหต/ุ ปจจยั และผล เพียง อยา งเดียวนนั้ มีหลกั คือ บางแหงตรสั เพราะเปน ปจ จัยหรือเปนผล ตัวเอกตวั ประธาน บางแหง ตรสั เพราะเปน ปจ จยั หรือเปน ผล ตัวเดน บางแหงตรัส เพราะเปน ปจ จยั หรือเปนผล จําเพาะ (อสาธารณะ)
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 125 บางแหง ตรสั ตามความ เหมาะกับทํานองเทศนา (เชน คราวนัน้ กรณนี น้ั จะเนน หรือมุง ใหผฟู งเขาใจแง ไหนจุดใด) หรอื ให เหมาะกับเวไนย คอื ผรู บั คําสอน (เชน ยกจุดไหน ประเดน็ ใดขน้ึ มาแสดง บุคคลน้ันจึงจะสนใจ และเขา ใจไดด )ี ในทนี่ ี้ ตรสั อยางนั้น เพราะจะทรงแสดงปจจัยและผล ทเ่ี ปน ตวั เอกตวั ประธาน เชนในชวง “เพราะผัสสะ เปนปจ จยั เวทนาจึงมี” ตรัสอยางน้ี เพราะผัสสะเปน ปจ จยั ตัวประธานของเวทนา (กําหนดเวทนาตามผสั สะ) และเพราะเวทนาเปน ผลตวั ประธานของผสั สะ (กาํ หนดผัสสะตามเวทนา) หลกั ความจริงนปี้ ฏิเสธลัทธิเหตุเดยี ว ทเ่ี รยี กวา “เอกการณวาท” ซึง่ ถือวา สงิ่ ทง้ั หลายเกิดจากตน เหตุ อยางเดยี ว โดยเฉพาะลัทธทิ ่ถี อื วามี มลู การณ เชน มพี ระผูส ราง อยา ง อสิ สรวาท (=อิศวรวาท คือลทั ธิพระผู เปน เจาบนั ดาล)ปชาปตวิ าท (ลัทธิถือวาเทพประชาบดีเปนผูส รา งสรรพสัตว) ปกตวิ าท (ลทั ธสิ างขยะ ที่ถอื วาส่ิง ทงั้ ปวงมกี าํ เนดิ จากประกฤติ) เปน ตน แมแตในสมยั ปจจุบัน คนก็ยังติดอยกู บั ลัทธเิ หตุเดยี วผลเดียว ตลอดจนลทั ธผิ ลเดียว และประสบปญ หา มากจากความยึดตดิ นี้ ดังปรากฏชดั ในวงการวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ท่มี งุ ผลเปา หมายอยางใดอยา งหนึ่ง แลวศกึ ษาและนําความรคู วามเขา ใจในเหตปุ จจยั มาประยกุ ตใ หเ กดิ ผลทต่ี องการ แตเพราะมองอยูแคผ ลเปา หมาย ไมไ ดมองผลหลากหลายทเ่ี กดิ จากปจจัยอเนกใหท วั่ ถงึ (และยงั ไมมีความสามารถเพียงพอท่ีจะมองเห็น อยางนน้ั ดวย) จึงปรากฏบอยๆ วา หลงั จากทําผลเปา หมายสาํ เรจ็ ผา นไป บางที ๒๐–๓๐ ป จงึ รูตวั วา ผลรายท่ี พวงมากระทบหมมู นุษยอยา งรนุ แรง จนกลายเปนไดไมเทา เสยี วงการแพทยสมยั ใหม แมจ ะถูกบังคับจากงานเชงิ ปฏิบตั กิ าร ใหเ อาใจใสต อ ผลขา งเคียงตางๆ มากสกั หนอ ย แตค วามรูเขา ใจตอ ความสมั พนั ธเ ชิงเหตุผลของปรากฏการณตา งๆ โดยสว นใหญ กย็ ังเปน เพียงการ สงั เกตแบบคลุมๆ ไมสามารถแยกปจจัยแตละอยางทสี่ มั พันธต อไปยังผลแตล ะดา นใหเ หน็ ชดั ได พดู โดยรวม แมวามนษุ ยจะพัฒนาความรูในธรรมชาติไดกาวหนามามาก แตค วามรูนนั้ ก็ยงั หา งไกล จากการเขาถึงธรรมชาตอิ ยางแทจ ริง อยา งไรกต็ าม ในดา นนามธรรม มนุษยค วรใชป ระโยชนจ ากความรใู นความจรงิ ของระบบปจ จยั สมั พนั ธ ทเ่ี รยี กวาปฏจิ จสมุปบาทนีไ้ ดมาก โดยเฉพาะในการดาํ เนนิ ชีวิตของตน คอื ในระดบั กฎแหง กรรม ความเขา ใจหลกั “ผลหลากหลาย จาก ปจจยั อเนก” จะชวยใหจดั การกับชีวิตของตน ใหพ ัฒนาท้งั ภายใน และดาํ เนนิ ไปในโลกอยางสาํ เรจ็ ผลดี ๔) วิธีปฏบิ ัติตอกรรม เมอื่ พดู ถึงหลกั กรรม ปญ หาทพ่ี ดู กันมากทสี่ ดุ ก็คอื ทาํ ดีไดด ี จรงิ หรือไม? ทําไมฉันทาํ ดีแลว ไมเหน็ ไดด ี? ถาเขา ใจปฏิจจสมุปบาท ในเรื่องเหตุปจ จัยอยางท่พี ดู ไปแลว ปญหาอยา งน้นั จะหมดไป แตจ ะกาวขึน้ ไปสูคําถามใหมทีเ่ ปน ประโยชนแ ละควรจะถามมากกวาวา ทาํ กรรมอยางไรจงึ จะไดผ ลดี และไดผ ลดยี ิง่ ขนึ้ ไป?
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 126 อกี ปญ หาหนง่ึ คอื กรรมเกา มผี ลตอชวี ิตของเราแคไ หน? และเราควรปฏบิ ัตติ อ กรรมเกาอยา งไร? แมวาเรอ่ื งกรรมจะละเอียดซบั ซอ นมาก แตก ็พอจะใหหลักในการพจิ ารณาทสี่ ําคัญได (ขอใหท บทวน ตามหลักใหญท ไ่ี ดพ ูดไปแลว ) ดังนี้ ๑. รหู ลกั ความตรงกันของเหตุกับผล ตอ งถามตัวเอง หรอื จับใหช ัดกอนวา กรรมคอื ความดีท่เี ราทํานี้ เปน ปจ จัยตวั เหตุ ท่ีจะใหเ กิดผลอะไร ท่ีเปนผลโดยตรงของมนั (ผลโดยตรงของเหต)ุ เชน การปลกู เม็ดมะมวง ทําใหเกิดตน มะมว ง (ไมใชไ ดตน มะปราง ไมใ ชไดเงิน เปนตน ) การศกึ ษา ทําใหไ ดปญ ญาและเปน อยูหรอื จัด การกับชวี ิตของตนและปฏิบตั ิตอ สง่ิ ทง้ั หลายไดดขี นึ้ (ไมใ ชไ ดเ งนิ ไมใชไดง าน เปนตน) การเรยี นแพทย ทาํ ให สามารถบําบดั โรครักษาคนไข (ไมใชไดต ําแหนง ไมใชร าํ่ รวย เปนตน) ๒. กาํ หนดผลดที ่ตี องการใหชดั จะเห็นวา เพยี งแคต ามหลกั ความจริงของธรรมชาตวิ า “ผลหลากหลาย จากปจจัยอเนก” การแยกปจ จยั แยกผลก็ซับซอ นอยแู ลว เมื่อพดู ถงึ สงั คมมนุษย ความซบั ซอ นก็ยิ่งเพมิ่ มากข้ึน เพราะมีกฎมนุษย และปจจัยทางสังคม ซอนขึ้นมาบนกฎธรรมชาตอิ ีกช้นั หนงึ่ ขอยกตวั อยางงา ยๆ กฎธรรมชาติ: การทาํ สวนเปนเหตุ ตน ไมเจริญงอกงามเปน ผล กฎมนุษย: การทําสวนเปน เหตุ ไดเ งินเดอื น ๗,๐๐๐ บาทเปนผล หรือ การทําสวนเปนเหตุ ขายผลไมไดเ งนิ มากเปนผล ผลโดยตรงของเหตุ เปนผลตามกฎธรรมชาติ ซึ่งเปน ไปตามความสมั พนั ธแหง เหตปุ จจัยท่เี ท่ียงตรง อยา งไรก็ดี ผลที่คนพดู ถึงกนั มาก มักไมใ ชผลโดยตรงของเหตทุ เ่ี ปน ไปตามกฎธรรมชาตินนั้ แตคนมกั พูดกันถึงผลตามกฎมนษุ ย กฎมนษุ ยเ ปน กฎสมมติ ซึ่งขึน้ ตอเงื่อนไขคอื สมมติ (=ส-ํ รว มกัน + มต-ิ การยอมรบั , ขอตกลง - สมมติ=การตกลงหรอื ยอมรบั รวมกนั ) ซ่งึ ผนั แปรได และยงั มีปจ จัยอื่นๆ ท่นี อกเหนือกฎมนษุ ยนนั้ อีก เชน คานยิ มของสงั คม และความถกู ใจพอใจของบุคคล เปน ตน โดยมคี วามตอ งการเปนตัวกําหนดท่สี าํ คัญ จะเห็นวา ความหมายของคําไทยวา “ดี” หรือ “ไมด ”ี นี้ มักจะกํากวม “ด”ี น้ี เรามักใชใ นความหมายวา นาปรารถนา ตรงกบั ความพอใจ ชอบใจ หรือแมกระท่งั เปนไปตามคา นยิ ม ดงั นน้ั จงึ ตอ งมกี ารแยกแยะ เชน วา ดี ตรงไปตรงมาตามความจริงของธรรมชาติ ดตี อชีวิต ดใี นเชงิ สังคม เปน ตน ยกตัวอยางท่ีแสนจะงาย ใกลๆ ตัว เชน เรากนิ อาหารอยางหน่งึ ท่มี ผี ลดีตอ ชวี ติ ทําใหมสี ุขภาพดี แต อาจจะไมด ีในเชงิ สังคม ไมสนองคานิยมใหร สู กึ โกเก บางคนอาจจะดูถูกวา เราต่าํ ตอย หรอื วาไมท นั สมัย แตช วี ติ เรากด็ ี ในทางตรงขาม มคี นอน่ื มาใหของกนิ อยา งหน่ึงแกเ รา อาจจะเปนขนมกไ็ ด ราคาแพง มกี ลองใส หอ อยางสวยหรู โกเกมาก ดเี หลอื เกนิ ในเชิงสงั คม เราอาจจะลงิ โลดดใี จทไ่ี ดรบั แตถา กินเขาไป ของนน้ั กลับไมดตี อ ชีวติ ของเรา จะบ่ันทอนสขุ ภาพ หรือกอใหเกดิ โรค นเี่ ปนตัวอยา ง ซง่ึ คงนึกขยายเองได
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 127 เพราะฉะนัน้ คาํ วา “ผลด”ี ที่พูดถงึ หรือนกึ ถงึ น้นั จะตองวิเคราะหหรอื กาํ หนดใหชัดกับตวั เองวา ผลดที ี่ เราตอ งการนัน้ “ดี” ในแงไ หน เชน เปน นกั กฬี าเตะตะกรอ ๑. ผลดตี ามกฎธรรมชาติ (=รา งกายแข็งแรงเคลอ่ื นไหวแคลว คลอง) -ไดผลแนน อน เทา กับผลรวมหักลบแลว ของเหตปุ จจยั ๒. ผลดีตามนยิ ามและนยิ มของมนษุ ย - ในแงก ระแสสังคม (=ผูค นช่นื ชมนิยมยกยอง) ปจ จัยภายนอก: ไมเอื้อ ?คนสนใจนอ ย ไดร บั การยกยอ งในวงแคบ - ในแงอ าชีพ (=เปน ทางหารายไดมเี งนิ เลี้ยงชีวติ และร่าํ รวย) ปจจยั ภายนอก: ไมเ อื้อ ?แมเ ปนสมั มาชีพ แตห าเงินยาก อาจฝด เคอื ง - ในแงว ัฒนธรรม (=ชวยรักษาสมบตั ทิ างวัฒนธรรมของชาติ) ปจ จยั ภายใน: ถาทาํ ใจถูกตอ ง-รูส ึกวา ไดท ําประโยชน ภมู ิใจ สุขใจ แต ปจ จยั ภายนอก: เงอ่ื นไขกาลเทศะ-คนอาจจะไมเหน็ คุณคาขึ้นตอสภาพสังคม-การเมอื ง นเี้ ปนเพียงตวั อยา งของการทจี่ ะตองวเิ คราะหห รือกําหนดใหชัดกบั ตวั เองวา ผลดีท่เี ราตองการน้ัน “ดี” ตามสภาวะของมนั ดที เี่ ปน ความดตี ามหลกั การแทๆ (เชน ดีเพ่อื ความดี) หรอื ดตี อ ชวี ิตของเรา หรอื ดใี นแงส งั คม โดยการยอมรับ โดยระบบ โดยคานยิ ม ฯลฯ เม่ือชดั กับตวั เองแลววา เราตองการผลดีในความหมายใด ก็วเิ คราะหตอ ไปวา ผลดแี บบทเ่ี ราตองการ นนั้ จะเกดิ ข้นึ ได นอกจากตัวการกระทาํ ดที ่ีเปน เหตตุ รงแลว จะตองมีปจจยั อะไรอกี บาง ปจ จยั เหลา น้นั มีอยู หรอื เอ้อื อํานวยหรือไม มีปจ จัยประกอบอะไรอกี ที่เราจะตอ งทาํ เพือ่ ใหค รบถว นที่จะออกผลที่เราตองการ ถา ตองการผลดที ีป่ จจยั ไมเออื้ ผลยากท่จี ะมา จะยอมรบั หรือไม ฯลฯ ขอย้ําวา ผลดีตามสภาวะ หรอื ตามกฎธรรมชาตนิ ้ัน เปน ของแนนอนตามเหตปุ จ จัยของธรรมชาติเอง แตผลดีตามนิยามและนิยมของมนษุ ยขน้ึ ตอ เจตจํานง เกีย่ วเน่อื งกบั ความตอ งการของมนุษยตามกาละและ เทศะเปนตน ซ่ึงจะตอ งใชปญญาวเิ คราะหสืบคน ออกมา หลกั ปฏิบตั ทิ ี่ถูกตอง กค็ ือ ไมวา จะอยา งไรก็ตาม พึงมงุ ผลดตี ามสภาวะเปนแกนหรอื เปนหลกั ไวกอ น ซง่ึ เม่ือทาํ ก็ยอ มได สว นผลดีเชงิ สังคมเปน ตน พึงถอื เปน เร่ืองรองหรือเปน สว นประกอบ จะไดห รอื ไม กแ็ ลวแต ปจจยั ทีเ่ กย่ี วของ ไดกด็ ี ไมไดก ็แลวไป เชนทาํ ดเี พอ่ื ใหเกิดความดี ใครจะยกยองสรรเสรญิ หรือไม ก็ไมมัวติดของ หรอื ทําดีเพ่อื ฝกตน เพื่อใหชีวติ และสงั คมเจรญิ งอกงาม โดยไมต อ งคดิ จะเอาหรอื จะไดอะไรจากสงั คม แตถามุง เอาผลดดี านสงั คมเปน ตน โดยไมทาํ ใหเ กดิ ผลดตี ามสภาวะ ถึงจะไดผลท่ตี อ งการ แตจ ะกลาย เปน การหลอกลวง ซงึ่ มีแตจะทาํ ใหชีวติ และสงั คมเสือ่ มทรามลงไป ไมเ ร็วก็ชา ๓. ทาํ เหตปุ จจยั ใหค รบที่จะใหเ กดิ ผลทตี่ อ งการ ตามหลกั ความพรง่ั พรอมของปจ จยั อะไรจะปรากฏ เปน ผลขนึ้ ตอ งมีปจจยั พรง่ั พรอม ตรงน้จี ะชว ยใหไมไปตดิ ในลัทธิเหตุเดียวผลเดียว
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 128 หลักหรอื กฎไมไ ดบอกวา เมือ่ เอาเม็ดมะมวงไปปลูกแลว ตน มะมวงจะตองงอกขึ้นมา ทานพดู แตเ พยี ง วา จากเมด็ มะมว ง ตนไมทจี่ ะงอกขน้ึ มา กเ็ ปนมะมวง นค้ี ือ เหต?ุ ผล หรือ ปจ จัยตวั ตรงสภาวะ?ผล การที่เม็ด มะมวงจะงอกขึ้นมาเปนตนมะมว งนัน้ ไมใชม ีแตเม็ดมะมวงอยา งเดยี วแลวจะไดต นมะมวง ตอ งมดี ิน มีปยุ ใน ดนิ มนี ้ํา มแี กส (เชน ออกซเิ จน คารบ อนไดออกไซด) มอี ณุ หภูมิพอเหมาะ เปน ตน พดู สนั้ ๆ วา เมื่อปจจยั พรง่ั พรอ มแลว ตนมะมวงจงึ จะงอกข้นึ มาได นอกจากผลท่เี รามองจะเกิดจากปจจยั หลายอยา งพรง่ั พรอมแลว ปจ จัยแตล ะอยา งทม่ี าพรงั่ พรอ มนนั้ ก็ สัมพนั ธไ ปสูผ ลอยางอ่ืนทเ่ี ราไมไดมองขณะนน้ั ดว ย ดงั ไดพดู แลว ขางตน ไดบ อกแลว วา ใหมงุ ผลดตี ามสภาวะเปนหลักหรือเปนแกนไวก อ น ตอนน้กี ็มองดูวามปี จจัยตัวไหนบาง ท่จี ะตองทาํ ใหค รบทีจ่ ะเกดิ ผลนี้ ตอ จากนน้ั เม่ือยงั ตองการผลดีดานไหนอีก เชน ในทางสังคม เปน ตน ก็ พจิ ารณาใหครบ แลวทาํ กรรมดใี หไดเหตุปจ จยั พรงั่ พรอ มท่จี ะเกิดผลดีตามท่ีตอ งการนน้ั ๔. ฝก ฝนปรบั ปรงุ ตนใหท าํ กรรม(ไดผ ล)ดีย่งิ ข้นึ ไป ตามหลกั ความไมป ระมาท โดยเฉพาะความไม ประมาทในการศึกษา เราจะตองฝก กาย วาจา จติ ใจ และปญ ญา (เรยี กรวมวา ไตรสิกขา คอื ศีล สมาธิ ปญญา) ใหส ามารถทํากรรมทีด่ ยี ง่ิ ขนึ้ ๆ เชน จากกรรมช่ัว เปล่ียนมาทาํ กรรมดี จากกรรมดี ก็กาวไปสูกรรมดที ่ี ประณตี หรอื สูงยิ่งขึ้นๆ ใหชีวติ กา วไปในมรรค คอื ในวถิ ชี ีวิตประเสริฐ ทเ่ี รียกวา พรหมจริยะ/พรหมจรรย (ถา ใชคําศัพท ก็คอื กาวจากอกศุ ลมากกศุ ลนอ ย ไปสูอกศุ ลนอ ยกุศลมาก จากกามาวจรกุศล ไปสรู ู ปาวจรกศุ ล ไปสูอรูปาวจรกุศล และไปสโู ลกตุ ตรกุศล ) ถาใชส าํ นวนพดู ใหเหมาะกบั คนสมัยน้ี ก็คอื พัฒนากรรมใหดยี ง่ิ ข้นึ เพราะฉะนน้ั เมื่อทํากรรมดตี ามหลกั ในขอกอนไปแลว ถาผลดใี นความหมายหรือในแงทีเ่ ราตองการไม ออกมา กว็ ิเคราะหสบื สาววา ทาํ กรรมนนั้ แลว แตส าํ หรบั ผลดแี งน ้ๆี ปจจยั อะไรบา งขาดไป หรอื ยงั บกพรอ งสวน ไหน จะไดแกไ ขปรับปรุง เพอ่ื วา คราวตอไปจะไดทาํ ใหตรง ใหถ กู แง ใหครบ นค่ี ือความไมประมาทในการศกึ ษา ที่จะใชป ญ ญาพจิ ารณาแกปญหา และพัฒนากรรมใหด ีและใหไ ดผลย่ิงขนึ้ ยกตัวอยาง เชน นายชูกจิ ไดยนิ ขาว สารจากวิทยุ เปนตน พูดถึงปญหาของบานเมอื ง ท่ีวาปาลดนอ ยลงจนนา กลวั จะตอ งชว ยกนั ปลกู ตน ไมใ หม ากๆ และมขี า วดวยวา บางแหงคนมากมายชวยกันปลูกตน ไม มีการนาํ มายกยอ ง บางทีมกี ารใหร างวัลดว ยนายชกู จิ ไดย นิ ไดฟงขาวแลว กเ็ กดิ ศรัทธา เท่ยี วดูสถานทีเ่ หมาะๆ ใกลห มูบ า นของเขา แลวหาตน ไมเ หมาะๆ มาปลูก ตน ไมกข็ ึน้ งอกงามดี เขาปลกู ไปไดห ลายตน เวลาผานไประยะหนง่ึ เขามานกึ ดูวา เขาทําความดนี ้มี าก็นานแลว ไม เห็นมีใครสนใจ ก็เลยชกั จะทอ และนอยใจวา “เราอตุ สา หทําดี เหนือ่ ยไปมากมาย ไมเ ห็นไดด ีอะไร”พอมองลกึ ลงไปในใจของคุณชูกิจ ปรากฏวา เขาอยากไดค วามนยิ มยกยอ ง และหวังจะไดร างวัลดวย เมื่อวเิ คราะหต ามหลักความสัมพนั ธส บื ทอดเหตุปจจัยสผู ลตางๆ ทตี่ รงกนั กเ็ หน็ ไดวา - ผลตามกฎธรรมชาติ หรือผลตามธรรม ก็เกดิ ขนึ้ แลว คือ เขาปลกู ตน ไม เมื่อทําเหตปุ จ จยั ของมนั ครบ ตนไมก ข็ ้นึ มา
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 129 - ผลตามธรรมแกตัวเขาเอง ทเี่ ปนผทู ําการนนั้ เขากไ็ ดแ ลว เชน เกดิ และเพมิ่ ความรูค วามเขาใจความ ชํานาญท่ีเรยี กกนั วา ทกั ษะ ในเรอ่ื งตน ไมและการปลกู ตนไม ตลอดจนผลพวง เชน รา งกายแขง็ แรง เสริมสุขภาพ - ผลตามธรรมแกสังคม คอื ทอ งถิ่นของเขา ตลอดถงึ โลกมนุษยท ้งั หมด ไดส่ิงแวดลอมทางธรรมชาตทิ ่ีดี งามเพ่มิ ขึน้ แตผลที่ตวั เขาวา “ด”ี ทเี่ ขาไมได คือผลทางสงั คม (=ผลท่จี ะไดแกตัวเขา จากสงั คม) ไดแก เสยี งยก ยอ ง และรางวัล หรอื เงินทองของตอบแทน ซงึ่ มใิ ชเปน ผลที่ตรงตามเหตปุ จจยั ของการปลกู ตนไม ถา คณุ ชกู ิจตอ งการผลทางสงั คมท่วี าน้ี กต็ อ งดแู ละทําปจ จัยเหลา นนั้ ดวย เร่มิ ตั้งแตด ูวา การทําความดี ดวยการปลกู ตนไมน ี้ เขา กบั กระแสนิยมของทองถิ่นของตนเองหรือไม (พจิ ารณาโดยกาล-เทศะ หรอื โดยคติ และกาละ) ถา จะใหไ ดร บั คาํ ยกยอ งและรางวัล จะตอ งทาํ ปจ จยั อะไรประกอบเพิ่มเขา มากับการทําความดคี ือ การปลกู ตนไมน้ัน แลว ทําใหค รบท่จี รงิ ถาคุณชกู ิจมุง หวงั ผลดีท่ีแท คอื ผลตามธรรมท่ีวา ขางตน ไมมวั หวงผล ทางสังคม(แกตวั ตน) เขาจะไดผ ลตามธรรมเพิ่มอกี อยางหน่ึงดวย คือปต คิ วามเอิบอ่ิมใจและความสขุ ในการทาํ ความดี และในการทีไ่ ดเ ห็นผลดตี ามธรรมดา นตา งๆ เพ่มิ ขยายคล่คี ลายข้นึ มาเรอ่ื ยๆ ตลอดเวลา แตค วามหวัง ผล‘ด’ี แกต วั ตน ไดป ด กั้นปต สิ ขุ นเ้ี สีย และหนําซํ้า ทาํ ใหเ ขาไดรับความผดิ หวังและความชาํ้ ใจเขา มาแทน ยงิ่ กวา นน้ั ถาเขาฉลาดในความดีและฉลาดในการทาํ ประโยชน เม่อื เขาจะเริ่มหรอื กําลังทําการนนั้ อยู เขาอาจจะชัก ชวนคนอ่นื ๆ ใหรเู ขา ใจมองเห็นประโยชนของการปลกู ตนไม แลว มารวมกับเขาบาง หรือตา งคนกไ็ ปทําของตน บา ง แพรขยายการปลูกตน ไมใ หก วา งออกไป นอกจากผลตามธรรมทกุ ดานจะเพ่มิ พนู แลว ผลทางสังคมแกต ัว เขาก็อาจจะพลอยตามมาดว ย จะตอ งชัดกับตนเองวา ผลดีตามธรรมของกรรมดนี ้ันๆ คืออะไร และควรฝกตนใหต อ งการผลตามธรรม น้ันกอนผลอยางอื่น แลว นอกจากนัน้ เราตอ งการผลดอี ยางไหนอกี และเพ่ือใหเกดิ ผลดนี นั้ ๆ จะตองทาํ ปจ จยั อะไรเพิม่ อกี บาง เมอ่ื จะทาํ ก็ทําเหตปุ จจัยใหค รบ เมอ่ื ทาํ ไปแลวกต็ รวจสอบใหรูป จจยั ท่ยี งิ่ และหยอ นสาํ หรบั ผลดี แตล ะดา นน้นั ๆ เพ่ือทาํ ใหค รบและดียงิ่ ข้ึนในคร้ังตอไป อน่งึ ผลดที างสงั คม หรอื ผลดีจากสงั คมแกต ัวตนน้ัน อาจจะไมส อดคลอ งกบั ผลดตี ามธรรมกไ็ ด บาง คร้งั บางเรื่องอาจจะถึงกบั ตรงกนั ขามเลยกไ็ ด ทั้งน้ีข้ึนตอปจจยั ทางสังคมเปนตน ท่เี น่ืองดวยกาลเทศะ เชน ใน กาละและเทศะทธี่ รรมวาทอี อ นกําลงั และอธรรมวาทมี ีกําลงั ดังนั้น จึงตองพจิ ารณาดว ยวา ผลท่ีวาดีน้ัน เปน ของสมควรหรือไม เราจะเอาธรรมไว หรอื จะไปกับตัวตนจะตอ งไมประมาทในการศึกษาและพฒั นากรรมกัน อยางนี้ จึงจะถูกตอง น่ีกค็ ือการพัฒนาตัวเราเอง และพฒั นาสังคมไปดวย ไมใชทําอะไรไปแลว ก็มองแงเ ดยี วชน้ั เดยี ว วาไดผลท่ตี นตอ งการ หรือไมได พอไมไ ดกเ็ อาแตโวยวายโอดครวญวา ทําดไี มไ ดด ี เลยไมไ ปไหน แตตอ งขอเตือนไวดวยวา คนทต่ี อ งการผลดตี อบุคคล (คอื แคท ถ่ี กู ใจตนหรอื ตวั เองชอบใจ) และผลดี ตามกระแสหรือคา นิยมของสังคมนั้น ถา ไมมองใหถ งึ ผลดตี ามสภาวะ คือผลดตี ามธรรม ซ่ึงเปนผลทดี่ ีอยางแท จรงิ ตอชวี ิต ตอหลักการ และตอความดงี ามที่แทข องสังคมแลว แมจ ะทาํ กรรมเพ่ือผลดีท่ตี นตอ งการน้นั ไดเกง
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 130 แตก ็คือทํากรรมไมด หี รืออกศุ ลซอนไว ซึ่งตัวเองอาจจะมีปญญารไู มท นั ผลแงอน่ื เพราะมัวแตม องเพยี งผลดแี บบ ทีต่ ัวตองการอยา งเดียวดานเดียว แลวในไมช า หรอื ในท่ีสุด อกศุ ลทีแ่ ฝงไวนนั้ กจ็ ะออกผลใหโ ทษตอ ไป จึงไดย ํา้ ไวข า งตน วา ไมวาจะตองการผลดีขา งเคียงอะไรก็ตาม ขอใหทํากรรมดีเพอ่ื ผลดีทต่ี รงตาม สภาวะหรอื ผลดตี ามธรรมเปนหลกั เปน แกนไวกอน ถาปฏบิ ัตติ ามนี้ จะไดผ ลดที ่แี ท และปลอดภยั ในระยะยาว ดี ทั้งแกช วี ติ แกส งั คม แกต น และแกผ ูอ น่ื เราคงจะมงุ เอาผลดีตอตัวตนของบุคคล ผลดีตามกระแสสงั คม หรอื ผลดีเชงิ คา นยิ มกันมากไป จึงมอง ไมเ ห็นผลดที ่ีตรงไปตรงมาตามธรรม ถาอยางน้ีกจ็ ะตองบนเรอื่ ง “ทาํ ดไี มเหน็ ไดดี แตทาํ ชว่ั ไดดมี ีถมไป” กนั อยู อยางน้เี รอื่ ยๆ และคงจะแกปญ หาของสังคมไดยาก เพราะความคดิ ของเราเองก็เปนกรรมไมดี ที่เปน ปจจยั รว ม ใหเ กดิ ผลอยา งนัน้ ดว ย ถามองกนั อยแู คนี้ ก็จะไมมีคนอยางพระโพธสิ ัตวท ถ่ี ึงแมจ ะถูกเขาทาํ รา ยหรอื ฆา กย็ ัง เขมแขง็ อยูใ นการทาํ ความดี เพราะมงุ ผลดที ต่ี รงไปตรงมาตามความจรงิ ของมัน ถาจะชว ยแกปญ หาและสราง สรรคช วี ติ และสังคมน้ี แตย งั หว งผลดีตอ ตัวตน ผลดีเชิงบุคคลและผลดีเชงิ คา นยิ มทางสงั คมอยู ก็ขอแคว า อยา ถงึ กบั ละทง้ิ หรอื ละเลยความตองการผลดีทต่ี รงตามธรรม ผลดีตอชีวติ และผลดที แี่ ทต อสังคม เอาพอ ประนปี ระนอมกนั แคน้ีกจ็ ะประคับประคองโลกมนษุ ย ใหพ ออยกู นั ไปได แตจ ะเอาดจี รงิ คงยาก เพราะมนษุ ยน้ี เองไมไดต องการผลดีแทจรงิ ทีต่ รงตามธรรมของกรรมดี ๕) ทาํ กรรมเกา ใหเ กดิ ประโยชน คนไทยสมัยน้ีไดย ินคําวา “กรรม” มกั จะนกึ ไปในแงว ากรรมจะตามมาใหเ คราะหใ หโทษอยา งไร พูดถึง กรรมกจ็ ะนกึ ถงึ อะไรอยางหนง่ึ ทค่ี อยตามจะลงโทษ หรือทําใหเราเปน อยางนั้นอยา งน้ี โดยเฉพาะคดิ ไปถึงชาติ กอน คือมองกรรมในแงกรรมเกา และเปนเร่ืองไมดี คาํ วา “กรรมเกา” ก็บอกอยใู นตวั เองแลววา มนั ถูกจาํ กัดใหหดแคบเขา มาเหลือเพยี งสว นหนง่ึ เพราะ เตมิ คาํ วา “เกา ” เขา ไป กรรมกเ็ หลอื แคบเขา มา ยิ่งนกึ ในแงวากรรมไมด อี กี ก็ยงิ่ แคบหนักเขา รวมแลว กค็ ือเปน กรรมทไี่ มครบถว นสมบูรณ ไปๆ มาๆ ก็เลยอะไรๆ กแ็ ลว แตกรรม (เกา -ทไี่ มด)ี บางทีถงึ กบั มีการหาทางตดั กรรม เลยพลัดออกไปจากพระพุทธศาสนาความจรงิ กรรมกเ็ ปน เรือ่ งธรรมดาธรรมชาติ คอื เปน เรอื่ งความเปน ไปตาม เหตปุ จจยั ของชีวิตมนุษย ท่ีมเี จตนา มีการคิด การพูด และการกระทํา แสดงออก มคี วามสัมพันธก บั ส่งิ ท้ังหลาย แลว กเ็ กิดผลตอ เนื่องกนั ไปในความสัมพันธนั้น ถา มวั ไปยึดถือวา แลวแตกรรมเกาปางกอ นอยา งเดยี ว กจ็ ะทาํ กรรมใหมทเี่ ปนบาปอกุศลโดยไมร ูต วั หมายความวา ใครกต็ ามทปี่ ลงวา “แลวแตก รรม (เกา)” น้นั ก็คอื เขา กาํ ลงั ทําความประมาท ที่ปลอ ยปละละเลย ไมท ํากรรมใหมที่ควรทาํ ความประมาทน้นั กเ็ ลยเปน กรรมใหมของ เขา ซงึ่ เปน ผลจากโมหะ แลว กรรมใหมท่ปี ระมาทเพราะโมหะหลงงมงายนนั้ ก็จะกอผลรายแกเ ขาตอ ไป
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 131 ความเชอ่ื วาชีวิตจะเปน อยา งไรก็แลว แตก รรมเกา กรรมปางกอ น หรือกรรมในชาตกิ อ น คือลัทธิกรรม เกาน้นั เปน มิจฉาทฏิ ฐิ ท่เี รยี กวาปพุ เพกตเหตวุ าท หรือเรียกส้ันๆ วา ปพุ เพกตวาท ดงั พทุ ธพจนท ี่แสดงแลว ขาง ตน ทานไมไดส อนวาไมใหเชอ่ื กรรมเกา แตทานสอนไมใ หเชอ่ื วา อะไรๆ จะเปนอยา งไรก็เพราะกรรมเกา - การเชอ่ื แตก รรมเกา กส็ ุดโตง ไปขางหนึ่ง - การไมเ ชื่อกรรมเกา ก็สดุ โตงไปอีกขา งหนึง่ ไดกลา วแลว วา “กรรม” พอเติม “เกา ” เขาไป คําเดมิ ท่ีกวา งครบถว นสมบูรณ ก็หดแคบเขา มาเหลอื อยู สว นเดียว อยามองกรรมท่กี วา งสมบูรณใหเ หลอื สวนเดยี วแคก รรมเกา เรื่องกรรมที่เชอ่ื กันในแงกรรมเกานี้ มจี ดุ พลาดอยู ๒ แง คอื ๑. ไปจบั เอาสว นเดยี วเฉพาะอดีต ทง้ั ทก่ี รรมนั้นก็เปนกลางๆ ไมจํากัด ถา แยกโดยกาลเวลาก็ตองมี ๓ คอื กรรมเกา (ในอดีต) กรรมใหม (ในปจ จบุ นั ) กรรมขางหนา (ในอนาคต) ตอ งมองใหครบ ๒. มองแบบแยกขาดตัดตอน ไมมองใหเห็นความเปนไปของเหตปุ จจัยทต่ี อเนื่องกนั มาโดยตลอด คอื ไมม องเปนกระแสหรอื กระบวนการทต่ี อเนื่องอยตู ลอดเวลา แตม องเหมอื นกับวากรรมเกาเปนอะไรกอ นหนง่ึ ที่ ลอยตามเรามาจากชาติกอน แลวมารอทําอะไรกบั เราอยูเรือ่ ยๆถามองกรรมใหถกู ตอ งทั้ง ๓ กาล และมองอยา ง เปน กระบวนการของเหตปุ จจัย ในดา นเจตจาํ นง และการทาํ -คดิ -พูด ของมนุษย ทตี่ อ เนื่องอยตู ลอดเวลา กจ็ ะ มองเห็นกรรมถูกตอ ง ชัดเจนและงา ยข้ึน ในท่นี ้ี แมจะไมอธบิ ายรายละเอียด แตจะขอใหจุดสังเกตในการทํา ความเขาใจ ๒-๓ อยาง ๑. ไมม องกรรมแบบแยกขาดตัดตอน คือ มองใหเห็นเปนกระแสท่ตี อเนอื่ งตลอดมาจนถึงขณะน้ี และ กาํ ลังดาํ เนินสบื ตอไปถามองกรรมใหครบ ๓ กาล และมองเปน กระบวนการตอ เนือ่ ง จากอดีต มาถึงบดั นี้ และ จะสบื ไปขา งหนา ก็จะเห็นวา กรรมเกา (สวนอดีต) กค็ อื เอาขณะปจจบุ ันเดยี๋ วน้ีเปน จุดกําหนด นับถอยจาก ขณะน้ี ยอ นหลังไปนานเทาไรกต็ าม กรี่ อ ยกีพ่ ันชาติก็ตาม มาจนถึงขณะหนงึ่ หรอื วนิ าทหี น่งึ กอ นนี้ ก็เปนกรรม เกา (สวนอดีต) ท้งั หมด กรรมเกาทั้งหมดน้ี คือกรรมทไ่ี ดทําไปแลว สว นกรรมใหม (ในปจ จบุ ัน) ก็คอื ทีก่ าํ ลงั ทาํ ๆ ซึง่ ขณะตอไป หรอื วนิ าทีตอไป กจ็ ะกลายเปน กรรมเกา (สวนอดีต) และอกี อยางหน่งึ คอื กรรมขางหนา ซง่ึ ยังไมถึง แตจ ะทําใน อนาคต กรรมเกานั้นยาวนานและมากนกั หนา สําหรบั คนสามญั กรรมเกา ท่จี ะพอมองเห็นได กค็ ือกรรมเกาใน ชาตินี้ สวนกรรมเกา ในชาติกอ นๆ กอ็ าจจะลกึ ลํา้ เกินไป เราเปน นกั ศกึ ษากค็ อยๆ เรมิ่ จากมองใกลหนอ ยกอน แลว จึงคอยๆ ขยายไกลออกไป อยางเชน เราจะวดั หรอื ตดั สนิ คนดวยการกระทําของเขา กรรมใหมใ นปจจบุ ันเรา ยงั ไมร วู าเขากาํ ลงั จะทาํ อะไร เรากด็ จู ากกรรมเกา คือความประพฤติและการกระทาํ ตา งๆ ของเขายอ นหลงั ไปใน ชีวิตน้ี ตัง้ แตว ินาทนี ีไ้ ป นก่ี ็กรรมเกา ซง่ึ ใชประโยชนไ ดเ ลย
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 132 ๒. รจู ักตัวเอง ทัง้ ทนุ ท่มี ีและขอ จํากัดของตน พรอมท้งั เห็นตระหนกั ถึงผลสะทอนท่ีตนจะประสบ ซ่งึ เกิด จากกรรมท่ตี นไดป ระกอบไว กรรมเกามคี วามสาํ คัญอยา งยิ่งตอ เราทกุ คน เพราะแตละคนทเี่ ปน อยูข ณะน้ี ก็คอื ผลรวมของกรรมเกา ของตนท่ีไดส ะสมมา ดว ยการทํา-พดู -คดิ การศกึ ษาพฒั นาตน และความสมั พันธก บั สิ่งแวดลอ ม ในอดตี ทง้ั หมด ตลอดมาจนถงึ ขณะหรือวินาทีสุดทายกอนขณะน้ี กรรมเกานใี้ หผ ลแกเรา หรอื เรารับผลของกรรมเกา น้ันเต็มท่ี เพราะตัวเราท่ีเปนอยขู ณะน้ี เปนผลรวมท่ี ปรากฏของกรรมเกาทัง้ หมดท่ีผานมา กรรมเกา นั้นเทา กบั เปน ทุนเดมิ ของเราทีไ่ ดส ะสมไว ซงึ่ กาํ หนดวา เรามี ความพรอม มวี สิ ยั ขีดความสามารถทางกาย วาจา ทางจติ ใจ และทางปญญาเทา ไร และเปน ตวั บง ชวี้ า เราจะทาํ อะไรไดดหี รอื ไม อะไรเหมาะกบั ตวั เรา เราจะทาํ ไดแ คไหน และควรจะทําอะไรตอไป ประโยชนทสี่ าํ คัญของกรรมเกา ก็คือการรูจ กั ตวั เองดงั ท่วี า น้นั ซึง่ จะเกิดขนึ้ ได ดว ยการรจู ักวิเคราะห และตรวจสอบตนเอง โดยไมม วั แตซ ดั ทอดปจ จัยภายนอก การรูจักตัวเองน้ี นอกจากชว ยใหทาํ การท่เี หมาะกับ ตนอยา งไดผลดแี ลว ก็ทําใหรูจุดทจ่ี ะแกไขปรับปรุงตอ ไปดวย ๓. แกไ ขปรับปรุงเพือ่ กา วสูการทาํ กรรมทีด่ ียิง่ ข้ึน แนนอนวา ในทส่ี ดุ การปฏิบัตถิ ูกตอ งทจ่ี ะไดป ระโยชน จากกรรมเกา มากท่สี ุด ก็คอื การทาํ กรรมใหม ทีด่ กี วา กรรมเกา ทง้ั น้ี เพราะหลักปฏิบัติทงั้ หมดของพระพทุ ธ ศาสนารวมอยูใ นไตรสกิ ขา อันไดแ กการฝกศกึ ษาพัฒนาตน ในการทจี่ ะทาํ กรรมทีด่ ีไดย ่ิงขนึ้ ไป ทัง้ - ในข้นั ศีล คอื การฝก กาย วาจา สมั มาอาชีวะ รวมท้ังการสมั พันธกับส่งิ แวดลอมดว ยอินทรีย (ตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ) - ในขัน้ สมาธิ คอื ฝก อบรมพฒั นาจติ ใจ ท่ีเรยี กวา จิตภาวนาท้ังหมด และ - ในขนั้ ปญญา คือความรคู ิดเขาใจถกู ตอ ง มองเหน็ สง่ิ ท้งั หลายตามความเปน จริง และสามารถใชค วาม รนู นั้ แกไขปรบั ปรุงกรรม ตลอดจนแกป ญหาดับทกุ ขห มดไปมิใหม ีทุกขใ หมไ ด พูดสน้ั ๆ ก็คอื แมวา กรรมเกาจะสําคัญมาก ก็ไมใชเรอ่ื งทเ่ี ราจะไปสยบยอมตอมนั แตต รงขา ม เรามหี นา ทพ่ี ฒั นาชีวิตของเราทเ่ี ปน ผลรวมของกรรมเกานน้ั ใหดขี ึ้น ถาจะใชค ําทง่ี ายแกค นสมยั นี้ ก็คอื เรามหี นาที่พัฒนากรรม กรรมที่ไมด ีเปนอกุศล ผิดพลาดตางๆ เรา ศกึ ษาเรียนรแู ลวก็ตอ งแกไ ข การปฏิบัติธรรมตามหลกั พระพุทธศาสนา ก็คือการพัฒนากรรม ใหเปนกุศล หรอื ดี ยิ่งขน้ึ ๆดังนนั้ เม่อื ทาํ กรรมอยา งหน่ึงแลว ก็พจิ ารณาวเิ คราะหตรวจสอบคณุ ภาพและผลของกรรมนั้น ใหเ หน็ ขอ ยง่ิ ขอหยอ น สวนท่ขี าดท่ีพรอ ง เปนตน ตามหลกั เหตปุ จ จัยท่ีกลา วแลว ในหวั ขอกอ น แลวแกไ ขปรับปรุงเพื่อจะ ไดทาํ กรรมทีด่ ยี ง่ิ ข้นึ ไป จะพูดวา รกู รรมเกา เพอ่ื วางแผนทาํ กรรมใหมใ หดียิ่งขึ้นไป กไ็ ด ๖) อยเู พ่ือพฒั นากรรม ไมใชอ ยเู พื่อใชก รรม
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 133 ท่ีพูดมาน้ี เทา กบั บอกใหรูวา เราจะตอ งปฏบิ ตั ิใหถ กู ตองตอ กรรมทแ่ี ยกเปน ๓ สว น คอื กรรมเกา-กรรม ใหม- กรรมขา งหนา ขอสรปุ วิธปี ฏิบตั ทิ ่ีถูกตองตอ กรรมท้ัง ๓ สว นวา กรรมเกา (ในอดีต) เปน อนั ผานไปแลว เราทาํ ไมได แตเ ราควรรู เพ่อื เอาความรจู กั มนั นั้นมาใชประโยชน ในการแกไ ขปรบั ปรงุ กรรมใหมใ หด ยี ่ิงข้นึ กรรมใหม (ในปจ จบุ ัน) คือกรรมที่เราทําได และจะตองต้ังใจทําใหดที สี่ ุด ตรงน้ีเปน จุดสําคญั กรรมขางหนา (ในอนาคต) เรายังทําไมไ ด แตเ ราสามารถเตรยี มหรอื วางแผนเพือ่ จะไปทํากรรมทด่ี ที ส่ี ดุ ดวยการทํากรรมปจจุบันทจี่ ะพัฒนาเราใหด ีงามและงอกงามย่งิ ขนึ้ จนกระท่งั เมื่อถงึ เวลาน้นั เรากจ็ ะสามารถทาํ กรรมทีด่ สี งู ขน้ึ ไปตามลําดับ จนถึงขน้ั เปน กศุ ลอยางเยย่ี มยอด นี่แหละคือคาํ อธิบายทีจ่ ะทําใหม องเหน็ ไดว า ทาํ ไมจึงวา คนที่วางใจ วาจะเปนอยางไรก็แลว แตกรรม (เกา ) น้ันแล กาํ ลังทํากรรมใหม( ปจจุบัน) ท่ีผิด เปนบาป คือความประมาท ไดแกการปลอ ยปละละเลย อันเกดิ จากโมหะ และมองเห็นเหตุผลดวยวา ทําไมพทุ ธศาสนาจงึ สอนใหหวังผลจากการกระทํา ขอยํา้ อกี ครั้งวา กรรมใหมส ําหรับทาํ กรรมเกา สําหรบั รู อยา มวั รอกรรมเกา ทีเ่ ราทาํ อะไรมันไมไดแ ลว แตห าความรจู ากกรรมเกาน้ัน เพื่อเอามาปรบั ปรงุ การทํากรรมปจจบุ ัน จะไดพ ัฒนาตวั เราใหส ามารถทํากรรม อยางเลิศประเสรฐิ ไดในอนาคต มคี ําเกา ไดย ินมานานแลว ประโยคหนึ่ง คือทพ่ี ดู วา “คนเราเกดิ มาเพอ่ื ใชก รรมเกา ” ความเชอื่ อยา งนน้ั ไม ใชพุทธศาสนา และตอ งระวงั จะเปน ลทั ธนิ ิครนถ ทีพ่ ูดกันมาอยา งนั้น ความจรงิ กค็ งประสงคดี คอื มุงวาถา เจอเร่ืองรา ย กอ็ ยาไปซัดทอดคนอืน่ และอยา ไปทําอะไรที่ชั่วรายใหเพมิ่ มากข้นึ ดวยความโกรธแคน เปนตน แตย ังไมถ ูกหลกั พระพทุ ธศาสนา และจะมีผลเสยี มาก ลทั ธนิ คิ รนถ ซึ่งก็มผี นู ับถือในสมัยพทุ ธกาลจนกระทง่ั ในอินเดียทุกวันนี้ เปน ลทั ธิกรรมเกาโดยตรง เขา สอนวา คนเราจะไดส ุขไดท กุ ขอ ยา งไรก็เปนเพราะกรรมท่ที าํ ไวในชาติปางกอน และสอนตอไปวา ไมใ หท าํ กรรม ใหม แตต องทาํ กรรมเกาใหหมดส้นิ ไปดว ยการบาํ เพญ็ ตบะ จึงจะสน้ิ กรรมส้ินทกุ ข นักบวชลัทธิน้จี งึ บาํ เพญ็ ตบะทรมานรางกายดวยวธิ ีตา งๆ คนทพ่ี ดู วา เราอยไู ปเพือ่ ใชก รรมเกา น้ัน กค็ ลา ยกับพวกนิครนถนแี่ หละ คิดวา เม่อื ไมทํากรรมใหม อยไู ปๆ กรรมเกาก็คงจะหมด ตางแตว าพวกนคิ รนถไ มรอใหก รรมเกา หมดไปเอง แตเ ขา บําเพ็ญตบะเพื่อทาํ กรรมเกา ใหห มดไปดวยความเพยี รพยายามของเขาดวย มีคําถามทนี่ า สังเกตวา “ถาไมทํากรรมใหม อยูไปๆ กรรมเกา จะหมดไปเองไหม-” เม่ือไมท ํากรรมใหม อยไู ป กรรมเกา ก็นาจะหมดไปเอง แตไมห มดหรอกไมต องอยเู ฉยๆ แมแ ตจะชดใช กรรมเกาไปเทาไรๆ ก็ไมม ที างหมดไปได เหตุผลงา ยๆ คือ
พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 134 นิง่ ๆ ๑. คนเรายงั มีชีวิต กค็ อื เปนอยู ตอ งกนิ อยู เคล่อื นไหวอริ ิยาบถ ทําโนนทํานี่ เม่อื ยังไมต าย กไ็ มไ ดอยู ๒. คนเหลานีเ้ ปน มนุษยปุถชุ น ก็มีโลภ โกรธ หลง โดยเฉพาะความหลง หรอื โมหะนีม้ ีอยูประจําในใจ ตลอดเวลา เพราะยงั ไมไ ดรูเขา ใจความจรงิ ถงึ สัจธรรม เมอ่ื รวมทั้งสองขอนกี้ ค็ ือ คนทอี่ ยูเ พอ่ื ใชก รรมนั้น เขาก็ทาํ กรรมใหมอ ยูตลอดเวลา แมแตโ ดยไมร ตู ัว แม จะไมเปนบาปกรรมที่รายแรง แตก เ็ ปน การกระทําที่ประกอบดวยโมหะ เชน กรรมในรูปตางๆ ของความประมาท ปลอ ยชีวิตเรอ่ื ยเปอ ย ถามองลึกเขาไปในใจ โลภะ โทสะ โมหะ กผ็ ุดโผลขึน้ มาในใจของเขาอยูเรอ่ื ยๆ ในลักษณะ ตางๆ เชน เศรา ขุนมัว กงั วล อยากโนน อยากน่ี หงุดหงิด เหงา เบ่อื หนาย กงั วล คบั ขอ ง ฯลฯ น่ีกค็ ือทํากรรมอยู ตลอดเวลา แถมเปน อกุศลกรรมเสยี ดว ย เพราะฉะนนั้ อยางน้จี งึ ไมม ีทางส้นิ กรรม ชดใชไ ปเทา ไรก็ไมรจู กั สน้ิ สุด มีแตเพ่มิ กรรม “แลวทาํ อยางไรจะหมดกรรม?” การทจ่ี ะหมดกรรม กค็ อื ไมท ํากรรมชั่ว ทาํ กรรมดี และทาํ กรรมที่ ดยี ง่ิ ขนึ้ คอื แมแตก รรมดีก็เปลีย่ นใหด ขี ึน้ จากระดับหนึง่ ขึ้นไปอีกระดบั หนึง่ พูดเปน ภาษาพระวา เปล่ียนจากทาํ อกศุ ลกรรม เปนทาํ กศุ ลกรรมและทาํ กุศลระดับสูงข้นึ ไป จนถึงขนั้ เปนโลกุตตรกศุ ล ถาใชภ าษาสมัยใหม กพ็ ดู วา พัฒนากรรมใหด ียิ่งข้ึน เรากจ็ ะมศี ลี มจี ิตใจ มีปญญา ดีขึน้ ๆ ในที่สดุ ก็จะพน กรรม พูดสน้ั ๆ วา กรรมไมห มดไปดวยการชดใชกรรม แตหมดกรรมดวยการพฒั นากรรม คอื ปรับปรงุ ตวั ใหท ํา กรรมทดี่ ียิง่ ข้นึ ๆ จนพนขั้นของกรรมไป ถึงขั้นทาํ แตไมเ ปน กรรม คือทาํ ดว ยปญ ญาทีบ่ รสิ ทุ ธิ์ ไมถ กู ครอบงาํ หรือ ชักจูงดวยโลภะ โทสะ โมหะ จึงจะเรยี กวา พนกรรม ๗) กรรมระดับบคุ คล-กรรมระดบั สงั คม หลกั กรรมอกี แงหน่งึ ทส่ี ําคญั และนาสนใจมาก คือ กรรมท่แี ยกไดเปน ๒ ระดับ ไดแก ๑. กรรมระดับปจ เจกบุคคล ตามนยั พุทธพจนเ ชนวา “กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หนี ปปฺ ณีตตาย” เปนตน ซ่งึ แปลความวา กรรมยอ มจาํ แนกสัตวไ ปตา งๆ คอื ใหท รามและประณตี กรรมระดับปจเจกบคุ คลเปน เร่อื งของสวนยอ ย จึงเปนสวนฐานและเปนแกนของหลักกรรมทง้ั หมด เรอื่ ง กรรมท่ไี ดอ ธบิ ายมาแลว เนนในระดบั น้ี ๒. กรรมในระดับสงั คม ตามนยั พทุ ธพจน เชน วา “กมมฺ ุนา วตตฺ ตี โลโก กมฺมุนา วตฺตตี ปชา” แปล ความวา โลก (คือสังคมมนษุ ย) เปน ไปตามกรรม หมูส ตั วเปนไปตามกรรม กรรมในระดับน้ี ซ่งึ เปน กระแสรว มกนั ที่มองเห็นงา ยๆ ก็คืออาชพี การงาน ซงึ่ ทําใหห มูม นุษยม ีวิถชี วี ิต เปน ไปตางๆ พรอมท้ังกําหนดสภาวะและวิถขี องสังคมนนั้ ๆ ดวย แตก รรมท่ีลกึ ซ้งึ และมกี าํ ลงั นาํ สังคมมากท่สี ุด ก็คือมโนกรรม เริ่มดว ยคา นยิ มตางๆ ซึง่ มีอิทธพิ ลอยาง มากตอ แนวทางการดําเนนิ ชวี ิตของมนษุ ย ตลอดจนกจิ กรรมและวธิ ีการในการแสวงหาความสุขของเขา
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 135 แตม โนกรรมทม่ี กี ําลงั อานุภาพยิง่ ใหญทีส่ ุด ก็คอื ทฏิ ฐติ างๆ ซ่งึ รวมถงึ ทฤษฎี ลทั ธนิ ิยม อดุ มการณ ตางๆ อันประณีตลกึ ลงไปและฝงแนน แลวกาํ หนดนาํ ชะตาของสังคมหรอื ของโลก สรางประวัติศาสตร ตลอดจน วิถีแหง อารยธรรม เชน ทฏิ ฐทิ ่ีเช่ือและเหน็ วามนษุ ยชาตจิ ะบรรลุความสาํ เร็จมคี วามสุขสมบูรณดว ยการเอาชนะ ธรรมชาติ ซึง่ ไดเปน แกนนาํ ขบั ดันอารยธรรมตะวนั ตกมาสสู ภาพท่ีเปน อยูในปจ จบุ ัน กรรมระดับสงั คมน้ีเปน เรื่องใหญมากอกี แงห นง่ึ ขอพูดไวเ ปนแนวเพยี งเทา น้ี ภาค ๒ มัชฌมิ าปฏปิ ทา ขอปฏบิ ัติท่ีเปน กลางตามกฎธรรมชาตหิ รอื ทางสายกลาง ชวี ติ ควรเปน อยูอยางไร มชั ฌมิ าปฏปิ ทา: ทางสายกลาง มชั ฌมิ าปฏปิ ทาตอ เนือ่ งจากมชั เฌนธรรมเทศนา ตามแนวปฏิจจสมปุ บาท มีพุทธพจนแ สดงปฏิปทาไว ๒ อยาง คือ ๑. มิจฉาปฏิปทา ขอ ปฏบิ ตั ิทีผ่ ดิ หรือ ทางท่ีผดิ คอื ทางใหเ กดิ ทุกข ๒. สัมมาปฏิปทา ขอปฏิบัติท่ีถกู หรือ ทางท่ีถูก คอื ทางใหด ับทกุ ข ตามพทุ ธพจนนน้ั สรุปไดดงั นี้ มิจฉาปฏิปทา: อวิชชา-สงั ขาร-วญิ ญาณ-ฯลฯ-ชาต-ิ ชรา มรณะ โสกะ ฯลฯ อปุ ายาส สัมมาปฏิปทา: ดบั อวิชชา-ดับสังขาร-ดับวญิ ญาณ ฯลฯ-ดับ ชาติ-ดับชรามรณะ โสกะ ฯลฯ อปุ ายาส ตามแนวน้ี มิจฉาปฏปิ ทา กค็ อื ปฏิจจสมปุ บาทสมทุ ยวาร หรอื กระบวนการเกดิ ทกุ ข สวน สัมมาปฏิปทา กค็ อื ปฏจิ จสมปุ บาทนโิ รธวาร หรือ กระบวนการดบั ทุกข สําหรับมิจฉาปฏิปทานนั้ ไมตองพูดถงึ เพราะเปนฝา ยกอ เกิดทุกข ซ่ึงไดบ รรยายมาแลว แตเมอื่ พจิ ารณาดูสมั มาปฏิปทา กป็ รากฏวาเปนเพยี ง ปฏจิ จสมุปบาทนิโรธวาร ซ่ึงแสดงเฉพาะตวั กระบวนการลว นๆ ดงั กลา วมาแลว เทานั้น ไมไ ดช แี้ จงแนะนํารายละเอยี ดในทางปฏิบัติแตอ ยางใด กลา วคอื บอกแตเพียงวา ในการ เขา ถงึ จดุ หมาย กระบวนการจะตองเปน อยา งน้ันๆ แตไ มไ ดบอกดว ยวา ทาํ อยางไรจงึ จะใหกระบวนการไดเปน อยางนั้นๆ ข้นึ มา ดังน้ัน สัมมาปฏิปทาตามแนวนี้ จึงยังไมชว ยใหความกระจางอะไรเพิ่มเตมิ
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 136 ยังมีพทุ ธพจนแสดงปฏิจจสมปุ บาทในรปู กระบวนการดับทุกขอกี แหง หนง่ึ ทแ่ี ปลกไปจากแบบทเี่ รยี กวา สมั มาปฏปิ ทานน้ั คือ เปน กระบวนการท่ีมใิ ชนโิ รธวาร และไมก ลาวถึงการดับ แตแสดงกระบวนการตอออกไป จากกระบวนการเกดิ ทุกขทเี่ ปน สมุทยวารนัน่ เอง ดังน้ี อวชิ ชา-สงั ขาร-วญิ ญาณ-นามรูป-สฬายตนะ-ผสั สะ-เวทนา-ตัณหา-อปุ าทาน-ภพ-ชาต-ิ ทกุ ข -ศรัทธา- ปราโมทย-ปติ- ปสสัทธิ-สุข-สมาธ-ิ ยถาภูตญาณทสั สนะ-นิพพทิ า-วริ าคะ-วมิ ตุ ต-ิ ขยญาณ พงึ สังเกตวา กระบวนการนี้ เรม่ิ แตอ วิชชา จนถงึ ทกุ ข ก็คือ ปฏจิ จสมปุ บาทสมุทยวาร ท่ีเปน กระบวน การเกิดทกุ ขต ามปรกตินั่นเอง (ทกุ ขในทน่ี ี้ แทนคําวา ชรามรณะ โสกะ ฯลฯ อุปายาส ทง้ั หมด) แตเ มือ่ ถงึ ทุกข แลว แทนที่วงจรจะบรรจบเพ่ือเรม่ิ ตนท่อี วชิ ชาอกี ตามปรกติ กลบั ดาํ เนนิ ตอไป โดยมศี รัทธามารับชวงแทน อวิชชา จากน้ันกระบวนการก็ดําเนินตอ ไปในทางดี จนถึงจดุ หมายคอื ขยญาณในท่สี ุด และไมกลับมาบรรจบ เริม่ ตน ที่อวิชชาอกี เลย ขอ นาสงั เกตอีกอยางหน่งึ ก็คือ เมอ่ื นบั ทกุ ข เปน จดุ ศนู ยก ลางจํานวนหวั ขอ นบั ยอ นไป ขางหนา และตอไปขา งหลัง จะมจี ํานวนเทากันสาํ หรับผูเขา ใจเรอื่ งอวิชชาดีแลว อานดกู ระบวนการนี้ ก็จะไม แปลกใจอะไร เพราะถาตัดตอนออก กระบวนการน้ีก็มี ๒ ตอน คอื อวชิ ชา ถงึ ทุกข ตอนหนง่ึ กบั ศรัทธา ถึง ขย ญาณ อกี ตอนหนงึ่ ในตอนชว งหลัง ศรัทธา มาเปนจุดเรม่ิ ตนแทนอวิชชา ผศู ึกษาปฏจิ จสมุปบาทในบทกอ นแลว ยอ มเขา ใจความหมายวา ศรัทธา ในทน่ี พี้ ดู งา ยๆ ก็คอื อวชิ ชาทถี่ กู กํากบั ควบคุม ถูกลิดรอน หรอื ลดนอ ยลงน่ันเอง กลา วคอื ขณะนี้ไมเ ปน อวิชชาท่มี ดื บอดตอ ไปแลว แตม ีเช้อื แหง ความรคู วามเขา ใจเขามาแทนท่ี และทําหนาท่ี เปน ส่อื ชกั จูงใหเกิดการมุงหนา ไปสจู ุดหมายทดี่ ี จนเกดิ ความรจู ริง และหลุดพน ในที่สดุ ถา จะอธบิ ายงา ยๆ กว็ า เม่ือกระบวนการเกิดทกุ ขดําเนนิ มาตาม ปรกติ จากอวชิ ชาถึงทุกขแ ลว ครน้ั เกิดทุกข ก็คิดหาทางออก ในกรณีน้ี เกิดไดรับคําแนะนําส่งั สอนท่ีถกู ตอง หรอื เกดิ ความสาํ นกึ ในเหตุผลขึ้นมาจึงรูส กึ มคี วามเชอื่ มน่ั ในคณุ ธรรมความ ดงี ามตางๆ แลว เกดิ ปราโมทย เอิบอิ่มใจ ชักนาํ ใหม งุ มั่นกา วหนา ในคณุ ความดีตอ ไปตามลําดับ จนถงึ ที่สดุ ความจริง กระบวนการทอนหลงั นี้ ก็ตรงกบั ปฏิจจสมปุ บาทนิโรธวาร แบบอวิชชาดับ-สงั ขารดับ- วิญญาณดบั ฯลฯ อยางขางตน น่นั เอง แตในท่ีนี้ แสดงใหเ ห็นรายละเอยี ดทีเ่ ปนขอเดน ในกระบวนการชัดเจนขึ้น และมุงใหเ หน็ การเช่ือมตอ ระหวา งกระบวนการเกิดทกุ ข กับกระบวนการดับทกุ ข วาเกย่ี วเนอื่ งกนั ไดอ ยา งไร ในคัมภีรเ นตตปิ กรณ อางพทุ ธพจนต อ ไปน้ี วาเปนปฏจิ จสมปุ บาทแนวดบั ทุกขเ ชน กนั คือ ดกู รอานนท โดยนยั นแ้ี ล ศลี ที่เปน กศุ ล มคี วามไมวิปฏสิ าร (เดอื ดรอนใจ) เปนอรรถ (ท่ีหมายหรอื ผล) เปน อานสิ งส ความไมวิปฏิสาร มปี ราโมทยเปนอรรถเปนอานิสงส ปราโมทย มปี ต ิเปน อรรถเปน อานสิ งส ปต ิ มี ปสสทั ธเิ ปน อรรถเปนอานิสงส ปสสัทธิ มีสุขเปน อรรถเปนอานสิ งส สุข มสี มาธิเปน อรรถเปนอานสิ งส สมาธิ มี ยถาภตู ญาณทสั สนะเปนอรรถเปน อานิสงส ยถาภูตญาณทสั สนะ มนี ิพพทิ าเปน อรรถเปน อานสิ งส นพิ พทิ า มี วริ าคะเปน อรรถเปน อานิสงส วิราคะ มีวิมตุ ติญาณ-ทัสสนะเปนอรรถเปน อานสิ งส ศลี ทเี่ ปนกศุ ลยอ มทําธรรม ขออน่ื ๆ ใหบริบูรณเ พือ่ อรหัตตผลตามลาํ ดบั โดยนยั นี้แล
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 137 ตามนยั พทุ ธพจนนี้ เขียนใหด ูงายไดด ังน้ี กศุ ลศลี -อวปิ ปฏิสาร-ปราโมทย-ปต ิ-ปสสทั ธิ-สุข-สมาธ-ิ ยถาภตู ญาณทัสสนะ-นิพพทิ า-วิราคะ-วมิ ุตตญิ าณทัส สนะ จะเห็นวา กระบวนธรรมน้ี ก็เปนอยา งเดียวกบั กระบวนธรรมทกี่ ลาวมาแลว น่นั เอง เปน แตกลา วเฉพาะ ชว งกระบวนการดับทุกขอยา งเดียว ไมไ ดกลา วถึงชวงเกิดทกุ ขไวดว ย ขอใหด กู ระบวนธรรมแนวกอนอกี ครง้ั หนง่ึ อวิชชา-สังขาร-ฯลฯ-ชาติ- ทกุ ข -ศรทั ธา-ปราโมทย-ปต -ิ ปสสทั ธิ-สุข-สมาธ-ิ ยถาภูตญาณทสั สนะ-นพิ พทิ า- วริ าคะ-วมิ ตุ ต-ิ ขยญาณ กระบวนธรรมทงั้ สองนี้ แมจ ะเหมือนกัน แตก ไ็ มตรงกันทุกตวั อักษรคอื กระบวนหนง่ึ เร่มิ ดว ยศรัทธา อกี กระบวนหนึ่งเรม่ิ ดว ยกศุ ลศลี ตอ ดวย อวปิ ปฏสิ าร จากนน้ั จึงตรงกัน ซง่ึ ทีจ่ รงิ เปนความตางตามตวั อักษรและ การเนน เทา นน้ั แตค วามหมายลงกนั ได กระบวนหนึง่ ยกเอากรณีท่ศี รทั ธาเปนตวั เดน แตในเวลาทมี่ ศี รทั ธานั้น กค็ ือ จติ ใจเช่ือมน่ั ในเหตุผล เล่อื มใสในส่ิงทดี่ ีงาม มน่ั ใจในคุณธรรม ภาวะจติ นส้ี ัมพนั ธก ับความประพฤติในเวลานั้นดวย คือมีความ ประพฤติดงี ามรองรบั อยู และศรทั ธากด็ าํ รงรกั ษาความประพฤตินน้ั ไวด วย ศรทั ธามีความประพฤตดิ งี ามรองรบั อยูเชนน้ี จงึ นาํ ไปสปู ราโมทยตอไป สว นอีกกระบวนหนึง่ ทเี่ ร่ิมดว ยกศุ ลศลี และอวิปปฏสิ าร กเ็ ชน เดียวกนั กระบวนน้ียกเอากรณีการ ประพฤติปฏบิ ัติเปนตัวเดน ในกรณีน้ี จติ ใจก็มศี รทั ธาเชื่อมั่นในเหตุผลในคณุ ความดีเปนพ้นื อยูดว ย จึงประพฤติ ความดอี ยูได และเมือ่ มีศีล แลว มอี วิปปฏสิ าร ไมเดอื ดรอนใจ ก็คือเกิดความเชื่อมนั่ ในตนเอง ม่ันใจในคุณความ ดที ป่ี ระพฤติ อนั เปนลักษณะของศรทั ธา ท่ีทําใหจ ติ ใจเชอ่ื ม่ันผองใส จากนี้ จงึ เปน ปจ จยั ใหเกิดปราโมทยต อไป ตรงกับกระบวนกอนไปจนจบ กระบวนธรรมหน่ึงลงทา ยดวยวมิ ุตติและขยญาณ อีกกระบวนหนึง่ ลงทายดว ยวมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ กค็ อื อันเดียวกนั เปนแตก ระบวนหลังกลาวรวมวมิ ุตติและขยญาณเขาไวในความหมายของหัวขอ เดียว กระบวนธรรมแบบน้ี ชีแ้ นะใหเ ห็นแนวทางการปฏบิ ตั ชิ ดั เจนยิ่งขึน้ ชว ยใหเขา ใจในสง่ิ ทจี่ ะตองทาํ กระจา งข้ึน แตกระน้นั กย็ งั ไมเ ปน ระบบท่ีมรี ายละเอยี ดในทางปฏบิ ัติมากเพียงพอ ยงั คงมปี ญหาอยวู า การทจี่ ะ ใหกระบวนธรรมนเี้ กดิ ขนึ้ ได จะตอ งทาํ อะไรอยา งไรบาง กอนผา นตอนนี้ ขอยกกระบวนธรรมแบบปฏจิ จสมปุ บาทมาแสดงอกี แนวหนึง่ เพอ่ื ประกอบความรู ให มองเห็นธรรมในหลายๆแง เปน เคร่อื งชวยความเขาใจในข้นั ตอๆ ไป ๑) อาหารของอวชิ ชา ภิกษุทง้ั หลาย เรากลาวดังนี้วา:- อวิชชาก็อกี น่นั แล มีส่ิงน้ีเปนปจ จัย จงึ ปรากฏ เรากลาววา ๑. อวชิ ชามอี าหาร อาหารของอวชิ ชา คือ นิวรณ ๕ ๒. นิวรณ ๕ มอี าหาร..........................….. คือ ทุจรติ ๓
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 138 ๓. ทจุ รติ ๓ มีอาหาร...........................….. คอื การไมสาํ รวมอินทรีย ๔. การไมส าํ รวมอินทรียมอี าหาร.…....…. คอื ความขาดสตสิ มั ปชัญญะ ๕. ความขาดสติสมั ปชญั ญะมีอาหาร.…. คือ ความขาดโยนิโสมนสิการ ๖. ความขาดโยนิโสมนสิการมีอาหาร..… คอื ความขาดศรัทธา ๗. ความขาดศรทั ธามอี าหาร...............….. คอื การไมไ ดสดับสัทธรรม ๘. การไมไดสดบั สทั ธรรมมีอาหาร.......… คือ การไมไ ดเ สวนาสปั บรุ ุษ การไมไดเสวนาสัปบรุ ษุ อยางบริบูรณ ยอ มยังการไมไ ดฟง สัทธรรมใหบ รบิ รู ณ การไมไ ดฟ งสัทธรรมอยา งบรบิ รู ณย อ มทําความไมม ศี รทั ธาใหบรบิ รู ณ ฯลฯ นิวรณ ๕ บริบูรณ ยอมทาํ อวิชชาใหบริบูรณ อวิชชา มีอาหาร และมีความบรบิ รู ณ อยางน้ี ๒) อาหารของวิชชาและวมิ ุตติ ๑. วิชชาและวิมตุ ตมิ อี าหาร อาหารของวิชชา-วมิ ุตติ คือ โพชฌงค ๗ ๒. โพชฌงค ๗ มีอาหาร ......................…… คือ สตปิ ฏ ฐาน ๔ ๓. สติปฏฐาน ๔ มีอาหาร ..................…… คือ สจุ ริต ๓ ๔. สุจริต ๓ มีอาหาร..............................…… คอื อนิ ทรียสงั วร ๕. อินทรยี สังวรมีอาหาร..............……………. คือ สติสัมปชญั ญะ ๖. สติสมั ปชญั ญะมีอาหาร.....................……. คอื โยนิโสมนสกิ าร ๗. โยนโิ สมนสกิ ารมอี าหาร....................….…. คือ ศรทั ธา ๘. ศรัทธามีอาหาร.................................……… คือ การสดับ(เลาเรียน)สัทธรรม ๙. การสดับสัทธรรมมีอาหาร ...............…… คือ การเสวนาสัปบรุ ษุ การเสวนาสัปบุรษุ อยา งบริบรู ณ ยอ มยงั การไดสดบั สัทธรรมใหบ รบิ ูรณ การไดสดบั (เลา เรียน)สัทธรรมบรบิ รู ณ ยอมยังศรทั ธาใหบริบรู ณ ฯลฯ โพชฌงค ๗ บริบรู ณ ยอ มยังวิชชาวิมุตติใหบริบรู ณ วิชชาวมิ ุตติ มอี าหารอยางนี้ มคี วามบรบิ ูรณ อยา งน้ี
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 139 ในกระบวนธรรมแนวน้ี ขอใหส งั เกตองคธ รรม ๒ ขอ ไวเ ปนพิเศษ ในฐานะเปนองคประกอบสําคญั ใน ระบบการฝกศกึ ษาพฒั นาชวี ติ ของคน คอื โยนิโสมนสิการ ซึง่ เปน หลกั การใชค วามคดิ แบบทพ่ี ุทธศาสนาสอนไว และเนนมาก ถอื วา เปน องคป ระกอบสาํ คัญฝายภายใน กับการเสวนาสปั บุรษุ (=การมกี ลั ยาณมิตร) ซึ่งแสดง ความสําคัญของปจ จัยทางสงั คม ถือวาเปนองคประกอบสําคัญฝายภายนอก องคป ระกอบสองฝายนี้ มีศรทั ธา เปน ตวั เช่ือมตอ ดังจะไดม องเหน็ ตอๆ ไปความเขา ใจเบื้องตน เกยี่ วกับมัชฌมิ าปฏิปทา * เปนทางสายกลาง มชั ฌมิ าปฏปิ ทา หรอื อริยสัจขอ สดุ ทาย คือ มรรค เปนประมวลหลกั ความประพฤติปฏิบัติ หรอื ระบบจ ริยธรรมทัง้ หมดในพระพทุ ธศาสนา เปนคาํ สอนภาคปฏบิ ัติ ทจี่ ะชวยใหการดาํ เนินสูจดุ หมายตามแนวทางของ กระบวนธรรมท่ีรูเขา ใจแลวนน้ั เปน ผลสําเรจ็ ขนึ้ มาในชวี ติ จรงิ หรือเปนวิธีการใชกฎเกณฑแ หง กระบวนการของ ธรรมชาติ ใหเกิดประโยชนแ กช ีวิตจนถึงทส่ี ดุ ขอใหพจิ ารณาพทุ ธพจนแ ละคาํ อธิบายยอ ตอ ไปนี้ เพื่อเปนความ เขาใจเบื้องตน เกย่ี วกบั มัชฌมิ าปฏปิ ทา :- ภิกษทุ งั้ หลาย ทสี่ ดุ สองอยางนี้ บรรพชติ ไมพึงเสพ กลาวคือ การหมกมุนดวยกามสุขในกามท้ังหลาย อันเปนการช้นั ตํ่า ชน้ั ตลาด ของปถุ ุชน มใิ ชอ รยิ ะ ไมป ระกอบดว ยประโยชน อยา งหนึ่ง และการประกอบความ ลาํ บากเดือดรอนแกต น อนั เปนทกุ ข ไมเ ปน อริยะ ไมประกอบดวยประโยชน อยา งหนึ่ง ตถาคตไดตรสั รแู ลว ซึง่ ทางสายกลาง ท่ไี มข องแวะที่สดุ สองอยางน้นั อนั เปนทางทีส่ รางจกั ษุ (การเห็น) สรางญาณ (การร)ู เปนไปเพอ่ื ความสงบ เพื่อความรูยงิ่ เพอ่ื ความตรสั รู เพ่ือนิพพาน กท็ างสายกลางนน้ั ...เปน ไฉน? ทางนั้น คอื มรรคาอันเปนอรยิ ะ มีองคป ระกอบ ๘ ประการ ไดแก สัมมา ทฏิ ฐิ สัมมาสังกัปปะ สมั มาวาจา สัมมากมั มนั ตะ สัมมาอาชวี ะ สมั มาวายามะ สมั มาสติ สัมมาสมาธิ พุทธพจนจากปฐมเทศนา หรือธมั มจกั กัปปวตั ตนสตู รนี้ แสดงความหมาย เน้อื หา และจดุ หมาย ของ มัชฌมิ าปฏปิ ทาไวโ ดยสรุปครบทง้ั หมด ท่ีควรสังเกตคือ ความเปนทางสายกลาง (the Middle Path หรอื Middle Way) นัน้ เปน เพราะไมเขาไปขอ งแวะทีส่ ดุ ๒ อยาง (แตไมใชอยูก ลางระหวางทีส่ ุดทั้งสอง) คือ ๑. กามสุขัลลิกานุโยค การหมกมนุ อยูดวยกามสุข (the extreme of sensual indulgence หรอื extreme hedonism) ๒. อัตตกลิ มถานุโยค การประกอบความลาํ บากเดือดรอนแกต นเอง (the extreme of self- mortification หรอื extreme asceticism) * เปน ทางดับกรรม มรรคาอันเปน อรยิ ะ มีองคป ระกอบ ๘ ประการนแ้ี ล เปน ทางนาํ ไปสคู วามดบั แหง กรรม คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 140 ในทน่ี ี้ มชั ฌมิ าปฏิปทามีความหมายวา เปนทางใหถ ึงความดบั กรรมหรอื สน้ิ กรรม ขอสําคญั ในทน่ี ้ี กค็ อื ตอ งไมเขา ใจวา เปน การสนิ้ เวรสน้ิ กรรม อยางที่เขาใจกันท่วั ๆ ไป ซึง่ เปน เรอ่ื งแคบๆ ตอ งไมเ ขา ใจวา จะหมด กรรมไดโดยไมทํากรรมหรือไมท ําอะไร ซึ่งกลายเปนลทั ธินคิ รนถไ ป อยางทก่ี ลา วในตอนวา ดวยกรรม และตอ งไม เขาใจวาเปน ทางนําไปสูค วามดับกรรมสนิ้ กรรม คือ จะไดเ ลกิ กจิ การอยนู ่งิ เฉยไมตองทาํ อะไร ประการแรก จะเห็นวา การที่จะดบั กรรมหรือสิ้นกรรมได กค็ ือตองทํา และทําอยา งเอาจริงเอาจังเสีย ดวย แตค ราวน้ีทาํ ตามหลักมชั ฌมิ าปฏิปทา ทาํ ตามหลกั การวธิ ีการทถี่ ูกตอ ง เลกิ การกระทําที่ผดิ พลาด ประการท่ีสอง ท่ีวา ดับกรรมหรือสนิ้ กรรม ไมใชหมายความวา อยนู งิ่ ๆ เลิก ไมท าํ อะไรหมด แตหมาย ความวา เลกิ การกระทําอยา งปุถุชนเปลีย่ นเปนทาํ อยางอริยบุคคล อธิบายงายๆ วา ปถุ ชุ นทาํ อะไรกท็ ําดว ยตัณหาอุปาทาน มีความยดึ มนั่ ในความดีความช่วั ทเ่ี กีย่ วขอ ง กบั ตวั ฉันของฉนั ผลประโยชนข องฉนั ในรูปใดรูปหนึง่ การกระทําของปถุ ชุ นจงึ เรียกตามศัพทธ รรมวา กรรม แบง เปน ดีเปน ชวั่ และกย็ ึดถือเอาไวว าเปน อยางนัน้ ๆ ดว ยตณั หาอปุ าทาน ดบั กรรม คอื เลิกกระทาํ การตา งๆ ดว ยความยึดม่นั ในความดชี ่ัวทเ่ี กี่ยวของกับตัวฉันของฉนั ผล ประโยชนข องฉัน เมอ่ื ไมมดี ีมชี ัว่ ท่ียึดมัน่ ไวกับตัว ทาํ อะไรกไ็ มเรียกวา กรรม เพราะกรรมตอ งเปน อยา งใดอยาง หนงึ่ ไมด กี ช็ ัว่ การกระทาํ ของพระอริยบคุ คลจงึ เปน การกระทาํ ไปตามความหมาย และวตั ถุประสงคข องเรื่องที่ ทําน้ันลว นๆ ไมเกี่ยวกบั ตณั หาอปุ าทานภายใน พระอริยบุคคลไมท ําชั่ว เพราะหมดเหตุปจจยั ทีจ่ ะใหท าํ ชวั่ (ไมม ี โลภะ โทสะ โมหะ ทีจ่ ะใหทําอะไรเพอื่ ใหตัวฉนั ไดฉ ันเปน ) ทาํ แตความดแี ละประโยชน เพราะทาํ การตางๆ ดว ย ปญญาและกรณุ า แตท ีว่ าดี ก็วา ตามท่ีปรากฏยอมรับของโลก ไมไ ดยดึ วา เปน ดขี องฉัน หรอื ดที จี่ ะใหฉ ันเปน อยา งนน้ั อยางนี้ เมอื่ ปถุ ุชนบาํ เพญ็ ประโยชนอ ะไรสักอยา ง กจ็ ะไมมีเพยี งการทําประโยชนตามความหมายและวตั ถุ ประสงคของเรื่องน้ันๆ เทา น้นั แตยอ มจะมคี วามหวังผลประโยชนตอบแทนอะไรสักอยา งหนง่ึ ถา ไมม ี กอ็ าจจะ ละเอยี ดลงมาเปนช่อื เสยี งเกยี รติคณุ ของฉัน หรือละเอยี ดลงมาอีก กอ็ าจจะเอาพอใหส าํ หรบั รูสกึ อนุ ๆ ภมู ๆิ ไว ภายในวา เปนความดขี องฉัน สวนพระอริยบคุ คล เม่ือบําเพญ็ ประโยชนอันนั้น มีแตก ารกระทําตามความหมาย ตามวัตถุประสงค เหตผุ ล ความควรจะเปนอยางไรๆ ของเรอ่ื งนัน้ ๆ เอง ลวนๆ เทา นั้น ในทางธรรมจงึ ไมเรยี กวากรรม มรรคหรือมัชฌิมาปฏิปทาน้ี เปน ขอ ปฏิบตั เิ พอื่ ใหหมดการกระทาํ ซง่ึ มีเจตนาปรงุ แตง ท่เี รยี กวากรรม ดับกรรมน้ันแลว มแี ตการกระทําบรสิ ุทธต์ิ ามที่ปญ ญาบอกลว นๆ (ซึง่ เรียกวา กิรยิ า) ตอไป อนั นเ้ี ปน วิถที ี่ตา งกนั ระหวางโลกยิ ะ กับ โลกตุ ตระ พระพทุ ธเจา และพระอรหันตท ั้งหลาย จงึ เทย่ี ว บาํ เพญ็ ประโยชนสง่ั สอนประชาชนโดยไมเ ปนกรรม ทง้ั ทีเ่ ปนการกระทาํ ซ่ึงคนธรรมดาเรียกกันวาเปนความดี * เปนทางชีวิตท่ปี ระเสริฐ และเปน พุทธจริยธรรม
พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 141 ทเ่ี รยี กวา พรหมจรรย พรหมจรรย ดังน้ี พรหมจรรยคอื อะไร พรหมจารีคอื ใคร ความจบสิน้ ของ พรหมจรรยคอื อะไร ? มรรคาอนั เปนอรยิ ะ ประกอบดวยองค ๘ ประการ คอื สมั มาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นค้ี อื พรหมจรรย บคุ คลใดประกอบดวยอริยอัษฎางคิกมรรคน้ี ผูนนั้ เรียกวา เปน พรหมจารี ความส้ินราคะ ส้ินโทสะ สน้ิ โมหะ น้ีเรียกวาความจบสนิ้ ของพรหมจรรย คําวา “พรหมจรรย” มักถกู รจู กั ในความหมายแคบๆ เพียงแคการครองเพศบรรพชิตและการงดเวน จาก เมถนุ ธรรม อนั เปน ความหมายนยั หนึง่ เทา น้นั ความจรงิ พรหมจรรย ถา เรยี กตามภาษาบาลี กค็ ือ “พรหมจริยะ” ซึง่ มาจาก ‘พรหม’ (ประเสรฐิ ) + ‘จริ ยะ’ (การดาํ เนนิ ชวี ติ , ความประพฤติ) เพราะฉะนั้น พรหมจรรย คือ “พรหมจริยะ” น้ี จงึ แปลไดวา การดาํ เนนิ ชวี ิตทีป่ ระเสริฐ การครองชีวติ อยางประเสรฐิ วิถชี ีวติ อันประเสรฐิ หรือพูดส้ันๆ วา ชีวติ ประเสริฐ พรหมจรรย คอื พรหมจรยิ ะ น้ี พระพทุ ธเจา ทรงใช หมายถึงระบบการดําเนินชวี ิตตามหลักพระพทุ ธ ศาสนา หรือหมายถงึ ตัวพระพุทธศาสนาทัง้ หมดทีเดียว ดังจะเห็นไดจ ากพุทธพจนส ง พระสาวกออกประกาศ พระศาสนาก็วา “ประกาศพรหมจรรย” และที่ตรัสวา พรหมจรรยจ ะชื่อวา รุงเรืองได ตอเมื่อบรษิ ัท ๔ คือ ภกิ ษุ ภิกษณุ ี อุบาสก อุบาสิกา ท้งั ฝา ยสพรหมจารี และฝา ยกามโภคี (ผอู ยูครองเรือนมบี ตุ รภรรยาสามี) รแู ละปฏบิ ัติ ธรรมกนั ดวยดี ตามพทุ ธพจนท ่ียกมาขางตน แสดงวา พรหมจรรย คอื พรหมจริยะ หรือชวี ติ ประเสรฐิ นั้น ก็คอื มัชฌมิ าปฏิปทานเี้ อง และพรหมจารี หรอื ผูประพฤติพรหมจรรย กค็ ือ ผดู าํ เนนิ ชีวิตตามมัชฌิมาปฏิปทา อนงึ่ ‘จริยะ’ น้ี ก็คือตนศัพทท ีเ่ รานาํ มาบญั ญตั ิข้ึนเปนคําใหมวา “จรยิ ธรรม” จะเหน็ วา จริยธรรมตาม หลักพระพุทธศาสนา ก็คือ พรหมจริยะ ดงั น้ัน จงึ พูดไดว า มชั ฌมิ าปฏิปทา คอื มรรคน้ี เปนพุทธจรยิ ธรรม * มกี ัลยาณมิตร คือไดชวี ิตทปี่ ระเสริฐ ดกู รอานนท ความมีกลั ยาณมติ ร มกี ัลยาณสหาย มีเพอ่ื นคบหาท่ีดี เทา กับเปนพรหมจรรยท้งั หมดที เดยี ว เพราะวา ผูม กี ลั ยาณมิตร ...พงึ หวงั สงิ่ น้ไี ด คอื เขาจกั ไดเจริญอริยอษั ฎางคิกมรรค เขาจักกระทําไดม าก ซง่ึ อรยิ อัษฎางคิกมรรค ภกิ ษุทง้ั หลาย เม่อื ดวงอาทิตยอ ุทยั อยู ยอ มมีแสงอรุณข้ึนมากอ นเปน บพุ นิมิตฉนั ใด ความมีกัลยาณมิตร ก็เปน ตัวนาํ เปน บพุ นมิ ติ แหงการเกดิ ข้นึ ของอริยอษั ฎางคิกมรรค แกภกิ ษุ ฉนั น้ัน พทุ ธพจนนี้ แสดงถึงการยอมรบั ความสําคญั ของบคุ คลผมู ีคณุ สมบตั ดิ ีงาม ในฐานะสิ่งแวดลอมทาง สังคม ท่จี ะชักนาํ เขา สูว ถิ ีทางท่ถี ูกตอง และเกือ้ หนนุ ใหเ จรญิ งอกงามในการประพฤติปฏบิ ตั ิพัฒนาศกึ ษาสูงยิ่ง ขน้ึ ไป *เปนทางชวี ติ ทงั้ ของบรรพชติ และคฤหสั ถ
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 142 ภิกษทุ งั้ หลาย เราไมสรรเสริญมจิ ฉาปฏิปทา (ไมว า ) ของคฤหสั ถ หรอื ของบรรพชติ คฤหัสถก ต็ าม บรรพชิตกต็ าม ปฏิบัติผิดแลว ยอมยังญายธรรมอนั เปน กศุ ลใหส าํ เร็จไมได เพราะการปฏบิ ัตผิ ดิ นั้นเปนเหตุ ก็ มจิ ฉาปฏิปทาคืออะไร ? คือ มิจฉาทิฏฐิ ฯลฯ มจิ ฉาสมาธิ เรายอ มสรรเสริญสัมมาปฏปิ ทา (ไมว า) ของคฤหสั ถ หรอื ของบรรพชติ คฤหสั ถก ต็ าม บรรพชติ กต็ าม ประพฤติชอบแลว ยอ มทาํ ญายธรรมอนั เปน กศุ ลใหส ําเร็จได เพราะอาศัยการปฏิบัตถิ ูกเปนเหตุ ก็สัมมาปฏปิ ทา คืออะไร ? คือ สมั มาทิฏฐิ ฯลฯ สมั มาสมาธิ พทุ ธพจนวา ดวยมจิ ฉาปฏปิ ทาและสมั มาปฏิปทาน้ัน มมี ากอ นแลว ครัง้ หนึ่ง พทุ ธพจนกอ นน้ัน แสดงปฏิจจสมุปบาทฝา ยกระบวนการเกิดทุกข วาเปนมจิ ฉาปฏิปทา และฝาย กระบวนการดบั ทุกข วาเปนสมั มาปฏิปทา แตพ ุทธพจนค ราวนี้ ตรัสแสดงมรรค คือมชั ฌิมาปฏิปทานี้เอง วาเปนสมั มาปฏิปทา ทาํ ใหเ หน็ ไดว า ครงั้ กอ นทรงมุงแสดงตัวกระบวนการธรรมชาติ แตค ราวนี้ทรงแสดงในแงประยกุ ตค อื เปนระบบการประพฤตปิ ฏิบตั ิ ของคน อีกประการหน่งึ พุทธพจนนี้ ย้าํ ใหเหน็ วา มัชฌิมาปฏปิ ทาเปน หลักธรรมทม่ี ุงใหใ ชป ระพฤติปฏบิ ัติ และ สาํ เร็จประโยชน ทงั้ แกบรรพชิต และคฤหสั ถ * มีไวเพอ่ื ใชขา มฝง มิใชเพอ่ื ถือคา งหรือแบกโกไ ว ภิกษทุ งั้ หลาย เปรยี บเหมอื นบรุ ุษผูเ ดนิ ทางไกล พบหว งน้ําใหญ ฝง ขา งน้ี นา หวาดระแวง นากลัวภยั แตฝ ง ขางโนน ปลอดโปรง ไมม ภี ัย ก็แล เรอื หรือสะพาน สําหรับขามไปฝง โนน ก็ไมมี บุรษุ น้นั จงึ ดําริวา “หวงนาํ้ น้ใี หญ ฝง ขางนี้ นาหวาดระแวง...ถากระไร เราพึงเกบ็ รวมเอาหญา ทอ นไม กิง่ ไม และใบไม มาผกู เปนแพ แลว อาศยั แพนัน้ พยายามดวยมือและเทา พงึ ขา มถงึ ฝง โนน ไดโ ดยสวัสด”ี คราวนนั้ เขาจึง...ผูกแพ...ขามถงึ ฝง โนน โดยสวัสดี ครนั้ เขาไดขา มไปข้นึ ฝงขางโนน แลว กม็ คี วามดําริวา “แพนมี้ ีอุปการะแกเรามากแท เราอาศยั แพน.ี้ .. จงึ ขามมาถึงฝง นีโ้ ดยสวัสดี ถา กระไร เราควรยกแพนีข้ น้ึ เทินบนศรี ษะ หรือแบกขึ้นบา ไว ไปตามความปรารถนา” ภกิ ษุทง้ั หลาย เธอทง้ั หลายจะเห็นเปน อยา งไร ? บุรุษนนั้ ผูก ระทําอยางนี้ จะชือ่ วาเปน ผกู ระทําถกู หนา ทีต่ อแพน้ันหรือไม ? (ภิกษุท้ังหลายทลู ตอบวา ไมถกู จึงตรสั ตอ ไปวา) บุรษุ นัน้ ทาํ อยา งไร จงึ จะช่ือวาทําถกู หนาท่ีตอแพน้นั ? ในเรอื่ งน้บี ุรษุ นั้น เมอ่ื ไดข า มไปถึงฝง โนน แลว มีความดํารวิ า “แพนี้ มีอุปการะแกเรามากแท...ถากระไร เราพงึ ยกแพน้ขี ้ึนไวบนบก หรอื ผกู ใหล อยอยใู นนํ้า แลว จึงไปตามปรารถนา” บุรุษผูน ้นั กระทาํ อยา งน้ี จึงจะช่อื วา เปน ผกู ระทําถกู หนาที่ตอแพนัน้ นฉ้ี ันใด ธรรม ก็อุปมาเหมอื นแพ เราแสดงไวเ พื่อมุงหมายใหใ ชขามไป มิใชเ พ่อื ใหย ดึ ถือไว ฉนั นน้ั เมอ่ื เธอทงั้ หลาย รูท่วั ถงึ ธรรม อันมอี ปุ มาเหมอื นแพ ทเ่ี ราแสดงแลว พึงละเสียแมซ่ึงธรรมทงั้ หลาย จะ ปว ยกลา วไปไยถงึ อธรรมเลา
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 143 ภกิ ษทุ ั้งหลาย ทิฏฐิ (ทฤษฎี หลักการ ความเขาใจธรรม) ทีบ่ ริสุทธิ์ ถึงอยางนี้ ผดุ ผองถึงอยางน้ี ถา เธอ ท้ังหลายยงั ยึดติดอยู เรงิ ใจกระหยิ่มอยู เฝาถนอมอยู ยดึ ถอื วา เปนของเราอยู เธอทัง้ หลายจะพึงรูทัว่ ถึงธรรมอนั มีอุปมาเหมอื นแพ ท่เี ราแสดงแลว เพอ่ื มงุ หมายใหใชขามไป มิใชเพื่อใหย ดึ ถือเอาไว ไดละหรอื ? พุทธพจนทงั้ สองแหง น้ี นอกจากเปนเครอ่ื งเตอื นไมใ หยึดมัน่ ถือมัน่ ในธรรมทง้ั หลาย (แมท ีเ่ ปน ความ จรงิ ความถกู ตอ ง) โดยมิไดถือเอาประโยชนจากธรรมเหลา นนั้ ตามความหมาย คณุ คา และประโยชนต ามความ เปน จริงของมนั แลว ขอ ทสี่ ําคัญยิง่ ก็คือ เปน การยา้ํ ใหมองเหน็ ธรรมท้งั หลายในฐานะอปุ กรณ หรอื วธิ กี ารทจี่ ะนาํ ไปสจู ดุ หมาย มใิ ชส งิ่ ลอยๆ หรือจบในตวั ดวยเหตุน้ี เม่อื ปฏิบตั ิธรรมขอ ใดขอ หนึง่ จะตองรตู ระหนักชัดเจนถึงวัตถปุ ระสงคข องธรรมน้นั พรอมทั้ง ความสัมพนั ธข องมนั กับธรรมอยา งอื่นๆ ในการดาํ เนินไปสวู ัตถุประสงคน้นั วตั ถปุ ระสงคในท่ีน้ี มไิ ดห มายเพยี ง วัตถุประสงคท่วั ไปในข้นั สดุ ทายเทา นน้ั แตหมายถงึ วัตถปุ ระสงคเฉพาะตวั ของธรรมขอ นั้นๆ เปนสาํ คญั วา ธรรม ขอ นั้นปฏิบัตเิ พื่อชว ยสนบั สนุนหรือใหเ กิดธรรมขอ ใด จะไปส้ินสดุ ลงทีใ่ ด มีธรรมใดรับชว งตอ ไป ดงั นเี้ ปน ตน เหมือนการเดินทางไกลทีต่ อ ยานพาหนะหลายทอด และอาจใชย านพาหนะตางกนั ทั้งทางบก ทางนํา้ ทางอากาศ จะรูคลมุ ๆ เพียงวาจะไปสูจดุ หมายปลายทางทีน่ น่ั ๆ เทา นนั้ ไมได จะตองรูดว ยวา ยานแตละทอดแต ละอยา งนนั้ ตนกาํ ลงั อาศยั เพอื่ ไปถงึ ที่ใด ถึงที่นั้นแลว จะอาศยั ยานใดตอไป ดงั นี้เปนตน การปฏิบัตธิ รรมท่ขี าดความตระหนักในวตั ถปุ ระสงค ความเปนอปุ กรณ และความสมั พนั ธก บั ธรรมอนื่ ๆ ยอมกลายเปนการปฏบิ ตั ิท่ีเลื่อนลอย คบั แคบ ตนั และทรี่ า ยย่ิงคือ ทาํ ใหเขวออกนอกทาง ไมต รงจดุ หมาย และ กลายเปนธรรมทเ่ี ปนหมัน ไมมกี ารปฏิบตั ิ หรอื ปฏิบตั ผิ ดิ พลาด คลาดจากผลที่พึงได เพราะการปฏิบตั ธิ รรม อยา งไรจดุ หมายเชน น้ี ความไขวเขว และผลเสยี หายตางๆ จงึ เกิดขึ้นแกห ลักธรรมสาํ คัญๆ เชน สันโดษ อเุ บกขา เปน ตน ระบบของมัชฌมิ าปฏิปทา ไดก ลา วแลว วา มชั ฌิมาปฏปิ ทา เปน ประมวลคาํ สอนภาคปฏบิ ัติ คือระบบจริยธรรมทั้งหมดของพระ พุทธศาสนา มัชฌิมาปฏิปทาจงึ มีขอบเขตกวางขวาง และมีรายละเอียดมาก การทจ่ี ะแสดงรายละเอยี ดทงั้ หมด เปน สง่ิ ทไี่ มตองพูดถงึ เพราะเปนไปไมไ ด แมเ พียงจะแสดงแนวการปฏิบัตทิ ่ีเปนหลกั ใหญโ ดยยอใหครบทกุ หลกั กไ็ มท ่วั ถงึ อยแู ลว ในที่นี้ จึงเพยี งใชว ธิ ีพดู คลมุ ๆไป และยกเฉพาะแงท่คี วรสนใจข้ึนมาช้ีแจงเปนตอนๆ ไป เทาที่ เหน็ วาควรรู * ทางสายเดยี ว แตม ีองคประกอบ ๘ อยา ง หวั ขอ ของมัชฌมิ าปฏปิ ทา หรอื อริยอัฏฐงั คกิ มัคค/ อารยอษั ฎางคกิ -มรรค (มรรคาอนั ประเสรฐิ มอี งค ประกอบ ๘ อยาง) มีดังนี้ ๑. สมั มาทฏิ ฐิ ความเหน็ ชอบ (Right View หรอื Right Understanding)
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 144 ๒. สัมมาสังกัปปะ ความดําริชอบ (Right Thought) ๓. สมั มาวาจา วาจาชอบ (Right Speech) ๔. สมั มากัมมนั ตะ การกระทําชอบ (Right Action) ๕. สัมมาอาชีวะ เลีย้ งชีพชอบ (Right Livelihood) ๖. สมั มาวายามะ พยายามชอบ (Right Effort) ๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ (Right Mindfulness) ๘. สัมมาสมาธิ จติ มนั่ ชอบ (Right Concentration) องคป ระกอบทง้ั ๘ นี้ มิใชท าง ๘ ทาง หรอื หลักการที่ตองยกข้ึนมาปฏบิ ัติใหเ สร็จส้นิ ไปทีละขอตาม ลาํ ดับ แตเ ปนสวนประกอบของทางสายเดียวกัน ตองอาศยั กนั และกนั เหมือนเกลียวเชอื ก ๘ เกลยี ว ทร่ี วมกัน เขา เปนเชอื กเสน เดียว และตองปฏบิ ัติเคียงขา งกันไปโดยตลอด *ระบบการปฏิบตั ขิ องคน กบั ระบบการพฒั นาของธรรม การแยกหัวขอจดั ลําดับไวเชน น้ี เปน การจัดครา วๆ ตามความเดน ในขัน้ ตอนตา งๆ ของการปฏิบตั ิ เชน สัมมาทิฏฐิ จดั เปน ขอแรก เพราะในการปฏบิ ัติธรรมเร่ิมแรกทเี ดียว จะตองมีความเห็น มีความเขา ใจ หรอื เชอ่ื ถอื ถูกตอ งตามแนวทางทจ่ี ะปฏบิ ัตเิ สียกอน จงึ จะดาํ ริการและเร่มิ ประพฤตปิ ฏิบตั ใิ หถูกทางได การปฏบิ ัตธิ รรมจึง ตองอาศยั พนื้ ฐานความเขาใจที่เปนตน ทุนไวกอ น เมื่อมพี น้ื ความเช่อื ความเขาใจถูกตอ งเปนทุนไวแ ลว การฝก ฝนพฒั นาคนขน้ั ตนๆ ก็จะมุงไปที่ความประพฤตทิ างกาย วาจา ทเี่ ปน ชัน้ ภายนอก หรือชนั้ หยาบ เพื่อเตรียม สภาพแวดลอมใหพ รอมและใหเก้ือหนุน แกการทจ่ี ะฝกอบรมจิตใจซง่ึ เปนชนั้ ภายในละเอยี ดกวา ใหไ ดผ ลดตี อ ไป ในระหวางการฝกอบรมตอๆ มานี้ ความรคู วามเขา ใจ หรอื ความเชือ่ ทม่ี ีไวเ ปนทุนเดมิ นน้ั กจ็ ะคอ ยๆ เจริญเพม่ิ พนู และชัดเจนยงิ่ ข้ึนโดยลาํ ดับดวยอาศัยการฝกอบรมในทางกายและทางจติ น่นั เอง จนในทส่ี ดุ ปญ ญาก็จะเจริญถึงขั้นรเู ขา ใจสง่ิ ทัง้ หลายตามความเปน จรงิ ถึงขัน้ หลดุ พน บรรลุนพิ พานได อยา งทว่ี า “มัชฌมิ าปฏิปทานี้ เปนญาณกรณี (สรางการร)ู จักขกุ รณี (สรางจกั ษุคอื การเห็น) เปน ไปเพอื่ ความสงบ เพื่อ ความรยู งิ่ เพ่อื ความตรัสรู เพ่อื นพิ พาน” กลาวคอื ในตอนทายของมรรค ก็จบลงดว ยปญญา ซึง่ เปนองคธ รรม ตวั ทํางานทม่ี ีบทบาทเดนชดั ในการทาํ ใหบ รรลุถึงจดุ หมาย ตอจากมรรคมอี งค ๘ จงึ เพ่ิมองคป ระกอบไดอ ีก ๒ ขอ คือ สัมมาญาณะ (ความรูชอบ เทียบจาก ญาณกรณี จกั ขกุ รณี) และ สมั มาวิมตุ ติ (หลดุ พน ชอบ เทียบจากความสงบ ฯลฯ นพิ พาน) โดยนยั นี้ ในทางปฏิบัติ เมอ่ื จัดเปน ระบบการศึกษาฝก อบรมแบบชวงกวา ง โดยถอื วาผูปฏบิ ัตมิ คี วามรู ความเขาใจพ้ืนฐานเปน ทนุ เดิมท่จี ะเริ่มตน กา วออกเดนิ ไปไดแ ลว การฝกอบรมจึงเรม่ิ ที่ความประพฤติหรือการ แสดงออกภายนอกทางกายวาจา (ศลี ) กอน แลวประณีตข้ึนมาสกู ารฝก อบรมจติ (สมาธิ) จนถึงระดบั สุดทาย คอื ทําความรูความเขา ใจและการหยั่งเหน็ ความจรงิ (ปญญา) ใหแกก ลา จนพนจากอวิชชาตณั หาอปุ าทานได
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 145 ระบบการศกึ ษาฝก ฝนพัฒนาแบบน้ี เรยี กช่อื วา ไตรสิกขา คือการศึกษา ๓ สว น ซึ่งจดั ลาํ ดบั เปน ศีล สมาธิ ปญ ญา และเทียบกบั มรรค ไดดงั นี้ ๑. สัมมาทิฏฐิ ๓. ปญญา (รวมถึง สมั มาญาณ ในชวงปลายดวย) ๒. สัมมาสงั กปั ปะ ๓. สัมมาวาจา ๔. สัมมากมั มันตะ ๑. ศลี ๕. สมั มาอาชีวะ ๖. สมั มาวายามะ ๗. สมั มาสติ ๒. สมาธิ ๘. สัมมาสมาธิ พรอมกันนี้ เมื่อมองเขาไปในตัวคน กจ็ ะเห็นการทํางานขององคธรรมตางๆ ทีพ่ ัฒนางอกงามข้ึนไป อยางประสานเสริมกนั กับกระบวนการฝกศึกษาแหงไตรสิกขา ทีป่ รากฏออกมาและสมั พันธกับภายนอก การพัฒนาขององคธ รรมภายในน้ี ก็คือการพัฒนาของชีวติ ซง่ึ เปน กระบวนการของธรรมชาติ ที่ดาํ เนนิ ไปตามวถิ ีแหงมรรค และเมือ่ พดู โดยผลรวม ก็กลา วไดว า มรรคน้ัน เร่ิมดวยปญญา และจบลงดว ยปญญา คอื เบื้องตน เร่มิ ดว ยความรูความเขา ใจท่เี ปนความเชอ่ื ตามเหตผุ ลกอน ซึ่งเรยี กวา สมั มาทฏิ ฐิ ความรคู วามเขา ใจน้ี คอยๆ เจรญิ ยงิ่ ขน้ึ จนกลายเปน การรกู ารเหน็ ดว ยปญญาของตนจรงิ ๆ โดย สมบรู ณ ซึ่งเรยี กวา สัมมาญาณ ตามแนวน้ี สมั มาทิฏฐิ จงึ เปน สะพานเชอื่ ม ท่ที อดจาก อวชิ ชา ไปสู วิชชา เมือ่ เกิดสมั มาญาณ มีวิชชาแลว ก็ยอ มหลดุ พนเปน สมั มาวมิ ตุ ติ * ระบบการฝก ของไตรสิกขา ออกผลมาคือวิถชี วี ิตแหงมรรค ในระบบการฝก ศึกษา ท่จี ัดเปน ชวงกวางๆ โดยมงุ เอาสง่ิ ทจ่ี ะตองปฏิบัตเิ ดนชดั เปน ตอนๆ ซึ่งเรยี งลาํ ดบั ในรูปทเ่ี รียกวา ไตรสกิ ขา (the Threefold Training) คอื การศึกษา ท้ัง ๓ น้นั มีหัวขอตามหลัก ดังน้ี ๑. อธิศลี สกิ ขา การฝก ศกึ ษาในดา นความประพฤตทิ างกาย วาจา และอาชีพ ใหม ีชีวติ สุจรติ และ เก้อื กูล (Training in Higher Morality) ๒. อธิจิตตสิกขา การฝกศกึ ษาดานสมาธิ หรือพัฒนาจิตใจใหเจรญิ ไดท ี่ (Training in Higher Mentality หรอื Concentration) ๓. อธิปญ ญาสิกขา การฝกศึกษาในปญญาสงู ขึน้ ไป ใหร ูค ิดเขา ใจมองเหน็ ตามเปนจริง (Training in Higher Wisdom) ไตรสิกขา นี้ เมอ่ื นาํ มาแสดงเปนคําสอนในภาคปฏบิ ตั ิทั่วๆ ไป ไดปรากฏในหลักท่เี รยี กวา โอวาท ปาติโมกข (พทุ ธโอวาททีเ่ ปนหลักใหญ ๓ อยาง) คอื ๑. สพพฺ ปาปสสฺ อกรณํ การไมทาํ ความช่วั ทัง้ ปวง (ศลี )
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 146 ๒. กสุ ลสฺสปู สมฺปทา การบําเพ็ญความดใี หเพียบพรอ ม (สมาธิ) ๓. สจติ ตฺ ปริโยทปนํ การทําจติ ของตนใหผ องใส (ปญ ญา) มรรค ท่ีจัดในรูปของไตรสิกขาน้ี แสดงขอปฏิบตั ิพรอมบริบูรณท กุ อยาง ท่ีจะใหเ กดิ ผลสําเร็จ ตาม กระบวนการพฒั นาคนจนถงึ ความดับทกุ ข ท่ีกลาวมาแลวในตอนกอ น จงึ ครอบคลุมกระบวนธรรมแบบตา งๆ เหลานน้ั ไดท ้ังหมด พดู อยางใหเขา ใจงายๆ วา เอาองคประกอบทงั้ ๘ ของมรรค จดั ปรบั ใสเ ขา ไปในระบบการศึกษาทค่ี รบ องค ๓ ของไตรสิกขา เม่ือฝกคนใหศ กึ ษา หรือคนศึกษาโดยฝก ตน ตามหลกั ไตรสิกขา กท็ าํ ใหชวี ิตของเขาเจรญิ งอกงามกาว ไปในทางถูกตอง ท่เี รยี กวา มรรค พดู อยางภาพพจนว า เอาการศึกษาท้งั ๓ ของไตรสิกขา ใสเ ขาไปในตัวคน (หรือเอาคนใสเขาไปใน กระบวนการของไตรสกิ ขา) ผลออกมา คือการเดินหนา ไปในทางหรือวถิ ชี วี ิตดงี ามแหง มรรค หรือในการดาํ เนนิ ชีวติ อนั ประเสริฐคอื พรหมจริยะพดู สน้ั ท่ีสดุ วา ฝกดว ยไตรสกิ ขา ชวี ิตกเ็ ดนิ หนา ไปในมรรค ไตรสิกขา นี้ เรียกวาเปน “พหลุ ธมั มกี ถา” คอื คาํ สอนธรรมทพี่ ระพทุ ธเจาทรงแสดงบอ ย และมีพุทธพจน แสดงความตอ เน่ืองกันของกระบวนการศึกษาฝกอบรมทเี่ รยี กวา ไตรสกิ ขา ดังนี้ “ศีลเปน อยางนี้ สมาธิเปน อยางนี้ ปญญาเปน อยางน้ี สมาธทิ ่ศี ลี บมแลว ยอ มมีผลมาก มอี านิสงสมาก ปญญาทสี่ มาธบิ มแลว ยอ มมีผลมาก มอี านสิ งสม าก จติ ทป่ี ญญาบมแลว ยอมหลุดพนจากอาสวะโดยสิน้ เชิง คือ จากกามาสวะ ภวาสวะ และอวชิ ชาสวะ” ความสมั พันธแบบตอเนื่องกันของไตรสกิ ขาน้ี มองเห็นไดง า ยแมใ นชีวติ ประจาํ วัน กลา วคอื (ศีล-สมาธิ) เมอ่ื ประพฤตดิ ี มีความสมั พนั ธง ดงาม ไดทําประโยชน อยา งนอ ยดําเนนิ ชีวติ โดยสจุ ริต มนั่ ใจในความบริสทุ ธิข์ องตน ไมต อ งกลวั ตอการลงโทษ ไมส ะดุง ระแวงตอ การประทุษรา ยของคูเวร ไมห วัน่ หวาด เสยี วใจตอเสยี งตําหนิหรอื ความรสู ึกไมย อมรบั ของสังคม และไมมคี วามฟงุ ซานวุนวายใจเพราะความรูสึกเดอื ด รอนรังเกียจในความผดิ ของตนเอง จิตใจกเ็ อิบอิม่ ช่ืนบานเปน สขุ ปลอดโปรง สงบ และแนวแน มุง ไปกับสงิ่ ทคี่ ดิ คําที่พูด และการที่ทํา (สมาธิ-ปญ ญา) ย่งิ จิตไมฟ งุ ซาน สงบ อยตู วั ไรส่งิ ขุน มัว สดใส มุง ไปอยางแนว แนเทา ใด การรับรูการ คดิ พินจิ พจิ ารณามองเห็นและเขาใจสิง่ ตางๆ กย็ ิง่ ชัดเจน ตรงตามจริง แลน คลอ ง เปน ผลดีในทางปญญามาก ข้ึนเทานัน้ อปุ มาในเร่ืองนี้ เหมือนวา ตง้ั ภาชนะน้าํ ไวด ว ยดใี นทีเ่ รยี บรอ ย ไมไปแกลงสัน่ หรือเขยามัน (ศีล) เมอ่ื นํา้ ไมถกู กวน คน พดั หรอื เขยา สงบนง่ิ ผงฝุน ตา งๆ ก็นอนกน หายขุน น้ํากใ็ ส (สมาธิ) เมื่อนํ้าใส ก็มองเห็นสง่ิ ตา งๆ ไดช ดั เจน (ปญ ญา)
พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 147 ในการปฏบิ ัตธิ รรมสงู ขึ้นไป ที่ถึงขนั้ จะใหเ กิดญาณ อนั รูแ จงเหน็ จรงิ จนกาํ จดั อาสวกเิ ลสได กย็ ง่ิ ตอ งการ จติ ท่สี งบนิง่ ผอ งใส มีสมาธแิ นว แนย ิ่งขน้ึ ไปอีก ถงึ ขนาดระงับการรบั รูทางอายตนะตางๆ ไดห มด เหลอื อารมณ หรือสิง่ ท่ีกาํ หนดไวใ ชง านแตเพียงอยา งเดียว เพอื่ ทาํ การอยา งไดผล จนสามารถกําจดั กวาดลา งตะกอนทีน่ อน กนไดห มดส้นิ ไมใ หม ีโอกาสขุนอกี ตอ ไป * องค ๓ ของมรรค ทีต่ องใชอยูเสมอ มอี งคม รรคอยู ๓ ขอ ทีต่ องใชอ ยูเสมอ เพ่อื ใหดาํ เนนิ หรือเดนิ หนากา วไปดวยดีในการปฏบิ ัติ โดยมีบท บาทสําคัญ ตอ งเกีย่ วขอ งและปฏบิ ตั ิรว มพรอมกนั ไปกบั องคมรรคขออื่นๆ ทุกขอ คือ ๑. สมั มาทฏิ ฐิ (ความเห็นหรือเขาใจถูกตอ ง) ๒. สมั มาวายามะ (ความเพยี รพยายามถกู ตอ ง) และ ๓. สัมมาสติ (สติถกู ตอง) เหตทุ ต่ี อ งปฏบิ ตั ิรว มกับขออน่ื อยูเสมอนน้ั เหน็ ไดงาย ดวยการเปรียบเทยี บกบั การเดินทาง สมั มาทิฏฐิ เปน เหมือนไฟสองทางหรือเขม็ ทิศ ใหเห็นทางและมนั่ ใจในทางอนั ถกู ตอ ง ทจี่ ะนําไปสจู ุด หมาย สัมมาวายามะ เปน เหมอื นการออกแรงกาวไป หรือแรงขับเคลื่อนผลกั ดนั ใหว ่งิ แลนไป สว นสัมมาสติ เปน เหมอื นเครอ่ื งบงั คบั (เชน พวงมาลยั หางเสือ) ควบคมุ ระวัง ใหการเดนิ ทางอยูใน เสน ทาง ถูกจงั หวะ และหลบหลีกพน ภัย องค ๓ น้ี อาจมาในชอ่ื ท่ตี า งออกไป เชน ในการปฏิบัตวิ ิปสสนาตามหลกั สตปิ ฏ ฐาน ๔ ปญญาคือ สมั มาทิฏฐิ มาในคาํ วา “สมปฺ ชาโน” สมั มาวายามะ มาในคาํ วา “อาตาป” สมั มาสติ มาในคาํ วา “สติมา” การปฏบิ ตั ิในขน้ั ศีลก็ตาม สมาธิกต็ าม ปญญากต็ าม จะตองอาศัยองคม รรค ๓ ขอ นี้ ทกุ ขั้นตอน ความหมายขององคป ระกอบแหง มัชฌิมาปฏิปทาแตละขอ เรอ่ื งความหมายขององคประกอบแหงมชั ฌมิ าปฏปิ ทา หรอื เรยี กงายๆ วา องคม รรค นี้ จะยกขึน้ กลา ว เฉพาะในแงท น่ี า สนใจ และควรทําความเขา ใจโดยทวั่ ไป ตามลําดบั เปน ขอ ๆ ๑. สมั มาทิฏฐิ ความสาํ คญั ของสมั มาทิฏฐิ ภกิ ษุทัง้ หลาย บรรดาองคมรรคเหลา นนั้ สัมมาทฏิ ฐิเปนตัวนาํ สัมมาทฏิ ฐิเปนตัวนําอยางไร ? (ดว ย สัมมาทฏิ ฐิ) จงึ รูจักมจิ ฉาทิฏฐิ วา เปนมจิ ฉาทฏิ ฐิ รจู ักสัมมาทฏิ ฐิ วา เปน สัมมาทิฏฐิ รูจ กั มิจฉาสงั กัปปะ วาเปน มจิ ฉาสงั กัปปะ รูจักสมั มาสงั กปั ปะ วาเปน สมั มาสังกปั ปะ รจู กั มิจฉาวาจา...สัมมาวาจา...มจิ ฉากมั มันตะ... สัมมากมั มนั ตะ ฯลฯ
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 148 ขอ ทีภ่ กิ ษจุ กั ทาํ ลายอวิชชา ยังวชิ ชาใหเกดิ ทําใหแจง ซ่งึ นิพพานได ดว ยทิฏฐิทต่ี ้งั ไวช อบ ดวยมรรค ภาวนาที่ตัง้ ไวชอบ นเ้ี ปนสิ่งทเ่ี ปน ไปได นนั่ เปน เพราะเหตุใด ? กเ็ พราะตัง้ ทฏิ ฐิไวชอบแลว เราไมเ หน็ ธรรมอน่ื แมส ักอยา ง ซ่ึงจะเปน เหตใุ หกุศลธรรมท่ยี ังไมเ กดิ ไดเ กิดข้ึน หรือกุศลธรรมท่เี กดิ ขึ้น แลว เปน ไปเพอ่ื ความเพม่ิ พนู ไพบลู ย เหมอื นอยางสมั มาทิฏฐนิ เี้ ลย คาํ จาํ กัดความของสัมมาทฏิ ฐิ คําจาํ กัดความท่พี บบอยทส่ี ุด คอื ความรใู นอรยิ สจั ๔ ดงั พุทธพจนว า ภกิ ษุทัง้ หลาย สมั มาทฏิ ฐิ คืออะไร ? ความรใู นทุกข ความรใู น ทกุ ขสมุทยั ความรใู นทกุ ขนิโรธ ความรู ในทกุ ขนโิ รธคามนิ ปี ฏิปทา นี้เรียกวาสัมมาทฏิ ฐิ คําจํากดั ความนอกจากน้ี ไดแ ก รอู กุศลและอกุศลมูล กับ กุศลและกุศลมลู เม่อื ใด อริยสาวกรูช ัดซึ่งอกศุ ล...อกศุ ลมูล...กุศล...และกุศล มลู ดว ยเหตเุ พียงน้ี เธอช่อื วา มีสัมมาทิฏฐิ มีความเหน็ ตรง ประกอบดว ยความเล่อื มใสแนวแนในธรรม เขา ถงึ สัทธรรมนแ้ี ลว เหน็ ไตรลกั ษณ ภิกษเุ ห็นรปู ...เวทนา...สญั ญา...สังขาร...วญิ ญาณ ซง่ึ เปนของไมเทีย่ ง วาไมเ ท่ียง ความเหน็ ของเธอนน้ั เปนสมั มาทฏิ ฐเิ มื่อเห็นชอบ กห็ ายชดิ ชน่ื เพราะความเรงิ ใจสิ้นไปกส็ ้ินการยอมตดิ เพราะ ส้ินการยอ มติดก็สิน้ ความเรงิ ใจ เพราะสิ้นความเริงใจและหายยอมตดิ จิตจงึ หลดุ พน เรียกวา พนเดด็ ขาดแลว ภิกษเุ หน็ จักษุ...โสตะ...ฆานะ...ชิวหา...กาย...มโน...รูป...เสียง...กลน่ิ ....รส....โผฏฐัพพะ....ธรรมารมณ ซง่ึ เปนของไมเ ทย่ี ง วา ไมเทย่ี ง ความเห็นของเธอน้นั เปน สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ เหน็ ปฏิจจสมุปบาท: คาํ จาํ กดั ความแบบน้ี เปนแบบท่ีมมี ากแบบหนง่ึ และไมจําเปน ตอ งนําพทุ ธพจน มาอา ง เพราะเคยอา งถึงมาแลว พทุ ธพจนอีกแหงหนึง่ แยกความหมายของ สัมมาทฏิ ฐิ เปน ๒ ระดับ คือ ระดับทเ่ี ปนสาสวะ กบั ระดบั โลกตุ ตระ ภิกษทุ ัง้ หลาย สัมมาทิฏฐเิ ปนไฉน ? เรากลา ววา สัมมาทฏิ ฐมิ ี ๒ อยาง คอื สมั มาทฏิ ฐิทย่ี งั มอี าสวะ ซง่ึ จัดเปน ฝา ยบญุ อํานวยวบิ ากแกขันธ อยา งหน่งึ กบั สมั มาทิฏฐทิ ี่เปนอริยะ ไมมีอาสวะ เปน โลกตุ ตระ และเปน องคมรรค อยา งหน่งึ สมั มาทฏิ ฐทิ ่ียงั มีอาสวะ จัดอยูใ นฝายบุญ อํานวยวบิ ากแกข นั ธ เปนไฉน ? คอื ความเหน็ วา ทานทใ่ี ห แลว มีผล การบําเพญ็ ทานมผี ล การบูชามผี ล กรรมทท่ี ําไวดีและช่ัวมผี ลมีวิบาก โลกนม้ี ี ปรโลกมี มารดามี บดิ า มี สตั วท เี่ ปน โอปปาติกะมี สมณพราหมณผปู ระพฤติชอบปฏิบตั ชิ อบ ซงึ่ ประกาศโลกน้แี ละปรโลกใหแ จม แจง เพราะรูยิง่ ดว ยตนเอง มอี ยู น้ีแล สัมมาทฏิ ฐิที่ยังมีอาสวะ จดั เปน ฝายบญุ อาํ นวยวบิ ากแกข นั ธ
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 149 สมั มาทิฏฐิทเี่ ปนอรยิ ะ ไมม ีอาสวะ เปน โลกุตตระ เปน องคมรรค เปนไฉน? คอื องคมรรค ขอสัมมาทฏิ ฐิ ทเ่ี ปน ตวั ปญญา ปญ ญนิ ทรีย ปญญาพละ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค ของผูมีจติ เปนอริยะ มีจิตไรอ าสวะ ผพู รอ ม ดว ยอริยมรรค ผกู ําลังเจริญอรยิ มรรคอยู นแี้ ล สัมมาทิฏฐทิ ี่เปนอริยะ ไมมีอาสวะ เปน โลกุตตระ เปน องคม รรค สมั มาทิฏฐใิ นมรรคาแหง การปฏิบัติ ก) ลําดับข้ันของการพัฒนาปญญา เทาที่กลาวมา เหน็ ไดแลว วา สัมมาทิฏฐิ เปนจดุ เรมิ่ ตน หรอื เปนตวั นํา ในการดําเนินตามมรรคาแหง มัชฌิมาปฏปิ ทา และเปนตัวยนื ท่ีมีบทบาทอยตู ลอดเวลาทุกขน้ั ตอนของการปฏิบตั ิ อยา งไรกด็ ี ระหวางการดาํ เนนิ มรรคาตลอดสายนี้ สมั มาทฏิ ฐิ มิใชเ พยี งเปน ท่ีอาศัย หรอื เปนตัว สนบั สนุนองคมรรคขออ่ืนๆ ฝายเดียวเทา น้นั แตตวั สัมมาทิฏฐิเอง กไ็ ดร ับความอุดหนนุ จากองคม รรคขออน่ื ๆ ดวย ยิ่งการดาํ เนินตามมรรคกา วหนา ไปเทา ใด สมั มาทิฏฐกิ ็ยงิ่ อบรมบม ตัวใหแขง็ กลา ชัดเจนมกี ําลงั บรสิ ุทธ์ิ มากขน้ึ เพียงนน้ั และในที่สุดกก็ ลายเปนตัวการสําคญั ทีน่ ําเขา ถึงจดุ หมายปลายทางของมรรคา จนกลาวไดวา สัมมาทิฏฐิเปน ท้งั จุดเรม่ิ ตน และปลายสุดของมรรคา การที่สัมมาทิฏฐเิ จรญิ คล่ีคลายขยายตวั มาตามลาํ ดบั ในระหวา ง มรรคาเชน น้ี สอ งความในตวั วา สมั มาทิฏฐใิ นลาํ ดบั หรอื ขน้ั ตอนตางๆ ของการปฏิบัติน้ัน มีความแตกตางกันโดยคุณภาพ ตามลําดับหรือตาม ขนั้ ตอนนั้นๆ สมั มาทฏิ ฐิที่มีเม่ืออยู ณ จุดเร่มิ ตน ยอมมีคณุ ภาพตางจากสมั มาทฏิ ฐิทม่ี เี มือ่ ถงึ ปลายทาง สมั มาทฏิ ฐทิ จ่ี ุดเรมิ่ ตนทเี ดียวกด็ ี ท่สี ดุ ทางกด็ ี อาจมลี กั ษณะจําเพาะตวั ทแ่ี ตกตา งจากลกั ษณะทัว่ ไป ของสมั มาทิฏฐิตามความหมายทว่ั ไป กลา วคอื - สมั มาทฏิ ฐิที่จุดเรม่ิ ตน อาจยังมลี กั ษณะไมพ รอ มสมบูรณ ทจ่ี ะควรนับวาเปนสมั มาทฏิ ฐเิ ตม็ ตาม ความหมายของคํา และ - สมั มาทิฏฐิที่สดุ ทาง อาจมีคณุ สมบัตแิ ปรเปล่ยี นพิเศษออกไป จนควรเรียกชอื่ เปนอีกอยางหนึง่ ตาง หาก การแยกคาํ เรียกจึงมีประโยชนในกรณีนี้ และโดยทีส่ ัมมาทฏิ ฐเิ ปน ลักษณะหนึ่งของปญ ญา คาํ รวมที่ เหมาะในทีน่ จี้ งึ ควรไดแ กค ําวา “ปญ ญา” ซ่งึ หมายความวา ปญญาเจรญิ ข้นึ ตามลาํ ดับของการฝก อบรมใน มรรคานี้ ปญญาทีเ่ จริญตามลําดบั ขนั้ น้ี แตล ะขัน้ ตอนทส่ี าํ คญั มลี ักษณะและชอ่ื เรียกพเิ ศษอยา งไร ควร พจิ ารณาตอไปสกั เลก็ นอยกลาวตามระบบมัชฌมิ าปฏิปทา พอจะวางลาํ ดบั สงั เขปของ “การเจริญปญ ญา” ได วาสาํ หรบั คนสามัญท่วั ไป ท่ีตอ งเรียนรดู ว ยอาศยั คําแนะนาํ ส่งั สอนจากผอู ่นื กระบวนการฝก อบรมจะเร่มิ ตน ดว ยความเชอ่ื ในรปู ใดรูปหน่ึงกอน ซึง่ มศี พั ทเ ฉพาะเรยี กวา ศรัทธา ศรัทธานี้ อาจเปน ความเช่ือเพราะพอใจในเหตุผลเบอ้ื งตนของคําสอนนัน้ และหรอื ความเชื่อในความมี เหตผุ ล หรือลักษณะอันสมเหตสุ มผลนา ไววางใจของตวั ผสู อนเอง
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 150 จากน้นั จงึ มกี ารรบั ฟง คําสอน การศกึ ษาอบรม เกดิ ความเขา ใจเพิม่ พูนข้นึ มองเห็นเหตุผลทถี่ ูกตอ ง ดวยตนเอง ซ่งึ เรยี กครา วๆ วา สัมมาทฏิ ฐิ เมื่อความเหน็ ความเขาใจนี้ เพ่มิ พูน และแจมแจง ชัดเจนข้นึ ตาม ลําดับ ดว ยการลงมือปฏิบตั ิ หรอื พสิ จู นดว ยประสบการณ จนกลายเปนการรกู ารเห็นประจักษ ก็นับวา ปญญาไดเจรญิ มาถึงข้ันท่ีเรียกวาเปน สมั มาญาณ ซง่ึ เปนขัน้ ท่พี นจากความเชอ่ื (ศรทั ธา) และพน จากความเขา ใจดว ยเหตุผล (ทฏิ ฐ)ิ ใดๆ ทง้ั ส้ิน เปนขนั้ สุดทาง และเขาถงึ จดุ หมาย คอื ความหลุดพน เปนอิสระ ซึง่ เรยี กวา สมั มาวมิ ตุ ติ ลาํ ดบั ความเจรญิ ของปญญานี้ อาจเขยี นใหเขาใจงา ยๆ ดังน้ี ศรัทธา-สัมมาทฏิ ฐิ-สมั มาญาณ - สมั มาวิมตุ ติ ตามกระบวนธรรมนี้ เริ่มแรกทีเดยี ว ปญ ญามอี ยเู พียงในรูปแฝง หรอื เปน ตัวประกอบของศรทั ธากอ น แลวเจริญเปนตัวเองข้ึนตามลําดับ จนเมอ่ื ถงึ ข้นั สุดทาย เปนสัมมาญาณ ปญ ญาจะเดนชดั บริสุทธเ์ิ ปนตวั แท สว นศรทั ธาจะไมเหลอื อยูเ ลย เพราะถูกปญญาแทนทโี่ ดยสิ้นเชิง เม่ือถงึ ข้ันน้ีเทา น้นั การตรสั รหู รอื การหลุดพน จงึ มไี ด กระบวนการน้ี จะไดเ ห็นตอ ไปตามลําดับ ขอนา สังเกตเปนพิเศษ คอื ศรัทธาที่ปรากฏเขา มาในกระบวนธรรมนี้ หมายถงึ ศรัทธาเพอ่ื ปญญา หรือ ศรทั ธาทน่ี าํ ไปสปู ญญา จงึ ตองเปน ความเช่อื ทีป่ ระกอบดว ยปญ ญา หรือเชอ่ื เพราะมคี วามเขาใจในเหตุผลเปน มลู ฐาน (เปนอาการวตีศรทั ธา หรือ ศรัทธาญาณสมั ปยตุ ) มไิ ดห มายถงึ ความเชอื่ แบบมอบใจปลงปญ ญาใหไป โดยไมตองพิจารณาเหตผุ ล (อมูลิกาศรทั ธา หรือ ศรัทธาญาณวปิ ยตุ ) เร่อื งศรัทธา ทีเ่ ขา มาเปน สวนประกอบในกระบวนธรรมนี้ อาจถูก เขาใจสับสนกบั ความเชอ่ื หรือศรัทธา อยา งที่เขา ใจกันในศาสนาทวั่ ๆ ไป จงึ ตองศึกษาเปนพเิ ศษ ณ ทน่ี ้ีดวย ข) หลักศรัทธา - สรุปขอ ควรเขา ใจเกยี่ วกบั ศรัทธา โดยสรปุ ลกั ษณะท่ีควรกลา วถงึ เพอ่ื เขา ใจความหมาย บทบาท และความสาํ คัญของศรทั ธาในระบบ ของพทุ ธธรรม มีดงั นี้ :- ๑. ศรทั ธาเปน เพยี งขนั้ หนึง่ ในกระบวนการพฒั นาปญ ญา และกลา วไดวา เปน ข้นั ตนทสี่ ดุ ๒. ศรทั ธาทปี่ ระสงค ตอ งเปนความเชอื่ ความซาบซง้ึ ท่ีเน่อื งดวยเหตผุ ล คือมีปญ ญารองรบั และ เปนทางสบื ตอ แกปญ ญาได มใิ ชเ พียงความรูส ึกมอบตัวมอบความไวว างใจใหส น้ิ เชิง โดยไมตอ งถาม หาเหตผุ ล อนั เปนลักษณะทางฝายอาเวค (emotion) ดานเดียว ๓. ศรัทธาทีเ่ ปนความรูส ึกฝา ยอาเวคดานเดียว ถือวาเปนความเชื่อทง่ี มงาย เปน สง่ิ ทจ่ี ะตอ งกาํ จดั หรอื แกไขใหถ ูกตอ ง สว นความรสู ึกฝา ยอาเวคทีเ่ น่ืองอยกู บั ศรทั ธาแบบที่ถกู ตอ ง เปน สง่ิ ที่นาํ มา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235