Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore พุทธธรรม (ฉบับเดิม)

พุทธธรรม (ฉบับเดิม)

Published by Owent, 2020-05-14 01:59:16

Description: พุทธธรรม (ฉบับเดิม) เป็นบทธรรมของท่าน ป.อ.ปยุตโต เป็นหนังสือที่ชาวพุทธควรมีไว้ประจำบ้าน เป็นการบรรยายธรรมเพื่อให่สาธุชนอ่านเข้าใจง่ายขึ้น

Keywords: พุทธธรรม,ป.อ.ปยุตโต,หนังสือธรรม,dhamma,buddhism

Search

Read the Text Version

พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 101 ถาม: สุขทุกข ตวั การอยา งอ่นื ทาํ ใหหรอื ? ตอบ: อยากลา วอยา งน้นั ถาม: สขุ ทกุ ข ตนทําเองดว ย ตวั การอืน่ ทําใหด ว ยหรือ? ตอบ: อยา กลา วอยา งน้ัน ถาม: สุขทุกข มิใชต นทาํ เอง มิใชต ัวการอยางอ่นื ทําให แตเกดิ ข้นึ เองลอยๆ (เปนอธจิ จสมุปบนั ) หรอื ? ตอบ: อยา กลา วอยางนน้ั ถาม: (ถาอยา งนั้น) สุขทุกข ไมม ีหรือ? ตอบ: สุขทุกขมใิ ชไมม ี สขุ ทกุ ขมีอยู ถาม: ถา อยา งนัน้ ทานพระโคตมะ ไมร ู ไมเห็นสุขทกุ ขห รอื ? ตอบ: เรามใิ ชไมร ู ไมเห็นสขุ ทกุ ข เรารู เราเห็นสุขทกุ ขแททเี ดยี ว ถาม: ...ขอพระผมู พี ระภาคเจา โปรดบอก โปรดแสดงสุขทกุ ขแ ก ขาพเจาดวยเถิด ตอบ: เพราะเขา ใจเอาแตแ รกวา เวทนากน็ ั่น ผเู สวยเวทนาก็นั่น จงึ เกิด ยึดถอื ขนึ้ วา สขุ ทุกขตนทาํ เอง เราหากลาว(วาเปน)อยา งนั้นไม เพราะเขาใจวา เวทนาก็อยา ง ผเู สวยเวทนาก็อยาง จงึ เกิดความ ยึดถืออยางท่ผี ูถกู เวทนาท่ิมแทงรูสกึ วา สขุ ทุกขตวั การอยางอ่นื ทาํ ให เราหากลาว(วาเปน)อยา งน้นั ไม ตถาคตไมเขา ไปติดท่ีสุดทง้ั สองขางนน้ั ยอ มแสดงธรรมเปน กลางๆ วา “เพราะอวชิ ชาเปน ปจ จัย สังขารจงึ มี ฯลฯ เพราะอวชิ ชาสาํ รอกดับไปไมเ หลอื สังขารจึงดบั ฯลฯ” ดกู อ นอานนท เรากลา ววา สุขทกุ ขเ ปน ปฏิจจสมปุ บันธรรม (สิ่งที่ อาศยั เหตุปจ จยั เกิดข้ึน) อาศัยอะไร? อาศยั ผัสสะ เมอื่ กายมอี ยู อาศัยความจงใจทางกายเปนเหตุ สขุ ทุกขภายในจึงเกิดข้นึ ได เม่อื วาจามีอยู อาศยั ความ จงใจทางวาจาเปน เหตุ สขุ ทุกขภ ายในจึงเกดิ ขึ้นได เมือ่ มโนมีอยู อาศัยมโนสญั เจตนาเปน เหตุ สุขทุกขภาย ในจงึ เกิดขึ้นได เพราะอวิชชานนั่ แหละเปนปจจยั บคุ คลจึงปรุงแตงกายสงั ขารข้ึนเอง เปน ปจจยั ใหเกดิ สขุ ทุกขภายใน บาง เนื่องจากผอู ่นื (ถูกคนอืน่ หรือตวั การอ่ืนๆ กระตุนหรือชักจงู ) จึงปรงุ แตง กายสงั ขาร เปนปจ จยั ใหเกดิ สุข ทกุ ขภ ายในบา ง รูตวั อยู จึงปรุงแตง กายสังขารน้นั เปนปจจยั ใหเ กดิ สขุ ทุกขภ ายในบาง ไมร ตู ัวอยู ยอ มปรงุ แตง กายสังขาร เปน ปจจยั ใหเ กิดสขุ ทุกขภ ายในบา ง จึงปรุงแตง วจีสงั ขาร...มโนสังขารขึน้ เองบา ง...เน่ืองจากผูอ่นื

พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 102 บาง...โดยรตู วั บาง...โดยไมรูตัวบาง เปนปจจัยใหเกิดสขุ ทกุ ขภ ายใน ในกรณเี หลา น้ี อวชิ ชาเขา แทรกอยแู ลว (ทง้ั นน้ั ) คูท่ี ๔: ๑. การกเวทกาทิเอกัตตวาท การถือวา ผูท ําและผูเสวยผลเปนตน เปน ตัวการเดียวกัน (the extremist view of a self-identical soul หรือ the monistic view of subject-object unity) ๒. การกเวทกาทินานตั ตวาท๒ การถือวาผทู าํ และผเู สวยผลเปนตน เปนคนละอยางขาดจากกนั (the extremist view of individual discontinuity หรอื the dualistic view of subject-object distinction) ถาม: ตวั ทที่ ําก็อันนั้น ตัวที่เสวย(ผล) ก็อันนั้นหรอื ? ตอบ: ขอวา ตัวที่ทาํ กอ็ นั น้นั ตัวท่เี สวย(ผล) ก็อนั นนั้ เปน ทส่ี ุดขางหน่ึง ถาม: ตัวทท่ี ํากอ็ ยาง ตัวทเ่ี สวย(ผล) ก็อยางหรอื ? ตอบ: ขอวา ตวั ทีท่ าํ ก็อยาง ตวั ที่เสวย(ผล) ก็อยา ง เปน ท่สี ุดขางที่สอง ตถาคตไมเ ขาไปติดทส่ี ุดทัง้ สองขางนั้น ยอ มแสดงธรรมเปน กลางๆ วา “เพราะอวชิ ชาเปนปจจัย สงั ขารจึงมี ฯลฯ เพราะ อวิชชาสาํ รอกดบั ไปไมเ หลือ สงั ขารจึงดับ ฯลฯ” ถาม: พระองคผ เู จรญิ ชรามรณะ คอื อะไร? ชรามรณะนี้ของใคร? ตอบ: ตั้งปญ หายงั ไมถ ูก ผใู ดกลา ววา ‘ชรามรณะคืออะไร? ชรามรณะน้ี ของใคร?’ หรือผใู ดกลา ววา ‘ชรามรณะกอ็ ยาง เจาของชรา มรณะกอ็ ยา ง’ คําพูดทัง้ สองแบบนีม้ ีความหมายอยา งเดยี วกนั ตา งกนั แตพ ยัญชนะเทานนั้ เมื่อมคี วามเหน็ วา ‘ชวี ะก็อนั นนั้ สรีระกอ็ ันนนั้ ’ การครองชีวิต ประเสรฐิ (พรหมจรรย) ก็มีไมไ ด เมือ่ มคี วามเหน็ วา ‘ชีวะก็อยา ง สรรี ะก็อยาง’ การครองชวี ติ ประเสริฐ (พรหมจรรย) ก็มไี มได ตถาคตไมเ ขา ไปตดิ ที่สดุ ทง้ั สองน้ัน ยอมแสดงธรรมเปนกลางๆ วา “เพราะชาตเิ ปนปจ จัย ชรามรณะจึงม”ี ถาม: พระองคผูเ จรญิ ชาต.ิ ..ภพ...อปุ าทาน...ตณั หา...เวทนา... ผสั สะ...สฬายตนะ...นามรูป...วญิ ญาณ...สังขาร คอื อะไร? ของใคร? ตอบ: ตั้งปญหายงั ไมถ กู (เนือ้ ความตอไปแนวเดยี วกับขอ ชรามรณะ)

พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 103 เพราะอวิชชาสํารอกดบั ไปไมเ หลอื ความเหน็ ท่บี ดิ เบอื น สายพรา ขดั กนั อยางใดๆ ก็ตามวา ‘ชรามรณะคืออะไร? ชรามรณะน้ี ของใคร?’ ก็ดี ‘ชรามรณะกอ็ ยาง เจา ของชรามรณะกอ็ ยา ง’ กด็ ี ‘ชวี ะอันน้ัน สรรี ะกอ็ นั น้ัน’ กด็ ี ‘ชีวะกอ็ ยา ง สรีระก็อยาง’ ก็ดี ความเหน็ เหลาน้ัน ทัง้ หมด เปน อนั ถูกกาํ จดั ถอนรากทง้ิ ทําให สิน้ ซาก ถงึ ความไมมี หมดทางเกดิ ขึ้นไดตอไป ถาม: ใครหนอยอ มผสั สะ (ใครเปนผูรบั ผัสสะ)? ตอบ: ต้ังปญหายงั ไมถูก เรามไิ ดกลา ววา ‘ยอ มผัสสะ’ ถา เรากลา ววา ‘ยอมผัสสะ’ ในกรณีน้ันจึงควรตัง้ ปญ หาไดถ ูกตองวา ‘ใครหนอ ยอมผัสสะ?’ แตเ รามไิ ดกลา วอยางนนั้ เมอ่ื เราไมกลาวอยา งนน้ั ผูใดถามอยา งน้วี า ‘เพราะอะไรเปน ปจจัย ผสั สะจงึ ม?ี ’ น้ีจึงจะ ช่ือวาตงั้ ปญ หาถูกตอง ในกรณีนั้น ก็มคี ําเฉลยทถ่ี ูกตองวา “เพราะสฬายตนะเปน ปจ จยั ผสั สะจงึ มี เพราะผสั สะเปน ปจ จัย เวทนาจึงม”ี ถาม: ใครหนอเสวยเวทนา? ใครหนอทะยานอยาก (มตี ณั หา)? ใคร หนอยอ มยดึ มั่น (มีอปุ าทาน)? ตอบ: ตงั้ ปญหายังไมถกู ... ผูใดถามวา ‘เพราะอะไรเปนปจ จยั หนอ เวทนาจึงม?ี เพราะอะไรเปนปจ จยั หนอ ตณั หาจงึ ม?ี เพราะอะไร เปน ปจ จัยหนอ อปุ าทานจึงมี?’ นีช้ ื่อวาตัง้ ปญ หาถกู ตอ ง ใน กรณนี ั้นๆ กม็ ีคําเฉลยท่ีถูกตองวา “เพราะผสั สะเปน ปจจยั เวทนาจงึ มี เพราะเวทนาเปนปจ จัย ตัณหาจึงมี ฯลฯ” ภกิ ษุท้ังหลาย กายนี้ มใิ ชข องพวกเธอ แลว ก็มิใชข องใครอืน่ พึงเห็นวา กรรมเกาน้ี เปนส่ิงทป่ี จจัยปรุง แตงขน้ึ ถูกจงใจจํานงขน้ึ มา (เกดิ จากเจตนา หรอื มเี จตนาเปน มลู ) เปนท่ตี ้งั ของเวทนา ภิกษทุ ้งั หลาย ในเร่ืองน้ัน อริยสาวกผไู ดเ รยี นรูแ ลว ยอมพิจารณาสืบสาว (โยนโิ สมนสกิ าร) เปนอยา งดี ถงึ การทสี่ ง่ิ ท้ังหลายอาศัยกันและกนั จงึ เกิดขน้ึ (ปฏิจจสมปุ บาท) วา “เมือ่ สงิ่ นี้มี ส่ิงน้จี ึงมี เพราะสง่ิ นด้ี ับสง่ิ น้ีก็ ดบั กลา วคือ เพราะอวชิ ชาเปนปจ จัย สงั ขารจงึ มี เพราะสงั ขารเปนปจ จัย วญิ ญาณจึงมี ฯลฯ เพราะอวิชชา สํารอกดบั ไปไมเ หลอื สังขารจงึ ดบั เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ฯลฯ” หลกั ปฏิจจสมุปบาท แสดงความจริงของธรรมชาติใหเ ห็นวา สงิ่ ทงั้ หลายมลี กั ษณะเปน อนิจจัง ทกุ ขงั อนัตตา ทีเ่ รยี กวาไตรลกั ษณ เปน ไปตามกระบวนการแหง เหตปุ จจยั ไมมีปญหาในเร่อื งที่วา ส่งิ ทั้งหลายมีหรือ

พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 104 ไมมีจริง ยงั่ ยนื หรอื ขาดสญู เปน ตน แตผ ูไมร คู วามหมายของหลกั ปฏจิ จสมปุ บาท มักเขา ใจไตรลกั ษณผิดพลาด โดยเฉพาะหลกั อนัตตานนั้ มักไดยินไดฟ ง กันอยางผิวเผิน แลวตคี วามเอาวา อนัตตา หมายถึงไมม ีอะไร กลาย เปน นตั ถิกวาท อนั เปนมจิ ฉาทฏิ ฐิอยางรายแรงไปเสยี ผเู ขาใจหลักปฏิจจสมุปบาทดีแลว ยอมพน จากความเขาใจผิดแบบตา งๆ ทแี่ ตกแขนงออกมาจาก ทฤษฎที งั้ หลายขางตนนน้ั เชน ความเชือ่ วาสิง่ ท้งั หลายมีมูลการณห รอื เหตุตน เคา เดมิ สดุ (the First Cause) และความเขา ใจวามีส่ิงวิเศษนอกเหนือธรรมชาติ (the Supernatural) เปน ตน ดงั กลาวมาแลวขางตน ตวั อยา ง พุทธพจนเ กย่ี วกบั เรอื่ งน้ี เชน :- ภกิ ษทุ ัง้ หลาย เม่อื ใดอริยสาวกเหน็ ปฏิจจสมุปบาทนี้ และ ปฏิจจสมุปบันธรรม (ส่ิงทอี่ าศยั กนั เกิดขึน้ ตามหลกั ปฏิจจสมุปบาท) เหลา นี้ ชดั เจนตามท่มี ันเปน ดวยสมั มาปญญาแลว เมื่อนัน้ การที่อริยสาวกนั้นจะ แลนเขาหาท่สี ดุ ขางตน วา ‘ในอดีต เราไดเ คยมีหรือไมห นอ? ในอดีตเราไดเ ปน อะไรหนอ? ในอดีต เราไดเ ปน อยางไรหนอ? ในอดตี เราเปนอะไรแลว จงึ ไดมาเปน อะไรหนอ?’ หรือจะแลน เขา หาท่สี ุดขา งปลายวา ‘ในอนาคต เราจกั มีหรอื ไมหนอ? ในอนาคต เราจักเปนอะไรหนอ? ในอนาคต เราจกั เปนอยา งไรหนอ? ในอนาคต เราเปน อะไรแลวจกั ไดเ ปนอะไรหนอ?’ หรอื แมแตจะเปนผมู คี วามสงสยั กาลปจจบุ ัน เปน ภายใน ณ บดั นี้วา ‘เรามีอยู หรอื ไมห นอ? เราคืออะไรหนอ? เราเปนอยางไรหนอ? สัตวน ้มี าจากทไ่ี หน แลว จักไป ณ ทไ่ี หนอกี ?’ ดงั น้ี ยอ ม เปน ส่ิงที่เปนไปไมได เพราะอะไร ก็เพราะวา อรยิ สาวกไดเ หน็ ปฏจิ จสมปุ บาทน้ี และปฏจิ จสมปุ บันธรรม เหลา น้ี ชดั เจนแลวตามทมี่ นั เปน ดวยสัมมาปญ ญา โดยนยั น้ี ผเู หน็ ปฏิจจสมปุ บาท จึงไมสงสัยในปญ หาอภิปรชั ญาตา งๆ ทเี่ รยี กวา อนั ตคาหิกทิฏฐิ และจึง เปนเหตผุ ลที่พระพทุ ธเจาทรงน่งิ เสยี ไมต รัสตอบปญหาเหลานี้ ในเม่ือใครกต็ ามมาทูลถาม โดยตรสั วา เปน อพั ยากตปญหา หรอื ปญ หาท่ีไมทรงพยากรณ เพราะเมื่อเห็นปฏิจจสมปุ บาท เขาใจการทีส่ ิ่งทั้งหลายเปน ไปตาม กระบวนการแหงเหตปุ จจยั แลว ปญหาเหลา นย้ี อมกลายเปน เรื่องเหลวไหลไป ขอยกตวั อยา งพุทธพจนทีแ่ สดง เหตุผลในการไมตรสั ตอบปญหาเหลา น้ี เชน :- ถาม: ทา นพระโคตมะผูเจรญิ อะไรเปน เหตเุ ปน ปจจยั ใหพ วกปรพิ าชก ผูถ อื ลทั ธิอื่นท้งั หลาย เมอ่ื ถูกถามอยางนี้วา ๑. โลกเที่ยง (ย่งั ยืนนริ ันดร) หรือ? ๒. โลกไมเ ท่ยี งหรอื ? ๓. โลกมีท่ีสุดหรอื ? ๔. โลกไมม ที ่ีสุดหรอื ? ๕. ชวี ะอนั นน้ั สรรี ะก็อันนั้นหรือ? ๖. ชีวะกอ็ ยาง สรีระก็อยา งหรอื ? ๗. สัตวห ลังจากตายแลว มีอยูห รอื ?

พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 105 ๘. สัตวห ลงั จากตายแลว ไมม ีหรือ? ๙. สตั วหลังจากตายแลว ทง้ั มี ทงั้ ไมม หี รือ? ๑๐. สตั วหลงั จากตายแลว จะวา มอี ยู ก็ไมใ ช ไมมีก็ไมใ ชหรือ? จึงพยากรณ (ตอบ) วา ‘โลกเที่ยง’ บา ง ‘โลกไมเ ท่ียง’ บาง ฯลฯ ‘สัตวหลังจากตายแลว จะวา มีกไ็ มใ ช ไมมกี ไ็ มใช’ บาง? (แต) อะไรเปนเหตุ เปนปจ จัยใหท า นพระโคตมะผูเจรญิ เมอื่ ถกู ทูลถามอยา งนัน้ จึงไมพยากรณ (ตอบ) วา ‘โลกเท่ยี ง’ หรือ ‘โลกไมเ ท่ียง’ ฯลฯ ? ตอบ: แนะ ทานวจั ฉะ เหลาปรพิ าชกผถู อื ลทั ธิอ่ืน ยอมเขา ใจวา รูปเปนอตั ตาบา ง วาอัตตามรี ูปบา ง วา รปู อยใู นอตั ตาบาง วาอตั ตาอยใู นรปู บาง เขา ใจวา เวทนา...สญั ญา...สังขาร...เปน อัตตา บา ง ฯลฯ เขาใจวา วญิ ญาณเปนอตั ตาบา ง วาอตั ตามวี ิญญาณบาง วา วิญญาณอยูในอตั ตาบา ง วา อตั ตาอยใู นวญิ ญาณบา ง เพราะฉะนั้น เหลา ปรพิ าชกผูถอื ลัทธอิ น่ื เหลา น้นั เม่อื ถกู ถามอยา งนัน้ จงึ พยากรณไปวา ‘โลกเทย่ี ง’ บา ง ฯลฯ สว นพระตถาคตอรหันตสมั มาสัมพุทธเจา ยอมไมเ ขาใจเอารปู เปนอัตตา หรอื วา อัตตามรี ูป หรอื วา รปู อยใู นอตั ตา หรือวาอัตตาอยูในรปู ฯลฯ วาวญิ ญาณเปนอัตตา หรอื วา อัตตามวี ญิ ญาณ หรือวา วิญญาณ อยใู นอตั ตา หรอื วา อัตตาอยูในวิญญาณ เพราะฉะนนั้ พระตถาคตอรหนั ตสัมมาสัมพทุ ธเจา เมอื่ ถกู ทูลถาม อยางนี้ จึงไมพ ยากรณว า ‘โลกเทยี่ ง’ หรอื วา ‘โลกไมเ ทีย่ ง ฯลฯ’ ทฤษฎีหรอื ลัทธทิ ี่ผิด ซ่งึ ขัดแยงตอ หลักปฏิจจส มปุ บาทนี้ ยงั มอี กี บางขอท่ีเก่ยี วของเปนพิเศษในแงของกรรม แตจะงดไวไมพ ูดถึง ณ ทน่ี กี้ อ น เพราะไดยกเรื่อง กรรมไปอธิบายตางหากอีกสว นหน่ึงแลว จึงจะไดนําไปรวมแสดงไว ณ ทนี่ น้ั หลักธรรมทส่ี ืบเนอ่ื งจากปฏจิ จสมปุ บาท ความจรงิ หลกั ธรรมตางๆ ไมว า จะมีชอ่ื ใดๆ ลว นสมั พันธเ ปน อนั หนึง่ อันเดยี วกนั ท้ังสิ้น เพราะแสดงถงึ หรอื สบื เนื่องมาจากหลกั สัจธรรมเดยี วกนั และเปนไปเพือ่ จุดหมายเดียวกัน แตนาํ มาแสดงในช่ือตางๆ กนั โดยช้ี ความจริงเพยี งสวนใดสว นหน่งึ คนละสวนกนั บาง เปนความจรงิ อนั เดยี วกนั แตแสดงคนละรปู ละแนว เพ่อื วตั ถุ ประสงคค นละอยางบาง ดวยเหตนุ ี้ หลักธรรมบางขอจึงเปน เพยี งสว นยอ ยของหลกั ใหญ บางขอเปนหลักใหญดวยกนั ครอบ คลมุ ความหมายของกนั และกัน แตมีแนวหรือรูปแบบการแสดงและความมุงหมายจาํ เพาะในการแสดงตางกนั ปฏจิ จสมุปบาทน้ัน ถือวา เปนหลักใหญทคี่ รอบคลมุ ธรรมไดทัง้ หมด เมอ่ื อธิบายปฏิจจสมปุ บาทแลว เห็นวาควรกลาวถงึ หลกั ธรรมสําคญั ชอื่ อ่นื ๆ อนั เปน ทร่ี จู ักท่วั ไปไวดว ย เพือ่ ใหเ หน็ วา สมั พนั ธกนั อยา งไร และเพอ่ื เสรมิ ความเขา ใจท้ังในหลักธรรมเหลาน้ัน และในปฏิจจสมปุ บาทเองดวย หลักธรรมท่คี วรกลาวไวในทน่ี ี้ มี ๒ อยาง คือ กรรม และอรยิ สจั ๔ ๑. กรรม

พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 106 ก. ตัวกฎ หรอื ตวั สภาวะ กรรมเปน เพียงสว นหน่ึงในกระบวนการแหง ปฏิจจสมุปบาท ซ่ึงเห็นไดช ัดเม่ือแยกสวนในกระบวนการ นน้ั ออกเปน วัฏฏะ ๓ คอื กเิ ลส กรรม และวบิ าก หลักปฏิจจสมุปบาทแสดงถึงกระบวนการทาํ กรรมและการให ผลของกรรมท้งั หมด ตัง้ ตนแตก ิเลสทเี่ ปน เหตุใหทาํ กรรม จนถงึ วบิ ากอันเปนผลท่ีจะไดร ับ เมอื่ เขาใจปฏจิ จสมปุ บาทดแี ลว ก็เปน อนั เขาใจหลักกรรมชัดเจนไปดว ย ดังน้นั วา โดยตัวกฎหรอื สภาวะ จงึ ไมม ีความจาํ เปน อะไรทจี่ ะ ตอ งชแี้ จงเรอ่ื งกรรมไวตา งหาก ณ ทน่ี อ้ี กี อยา งไรกด็ ี มจี ดุ หรือแงสาํ คญั บางประการทีค่ วรยํา้ ไว เพื่อปอ งกันความเขาใจผดิ ท่รี า ยแรงในเรอ่ื งกรรม ดงั ตอไปน้ี :- ๑) กรรมในแงก ฎแหง สภาวธรรม กับกรรมในแงจรยิ ธรรมตามหลักพทุ ธพจนว า “เพราะอวชิ ชาเปน ปจจยั บุคคลจงึ ปรุงแตงกายสังขาร ...วจสี งั ขาร...มโนสังขาร ข้ึนเองบาง... เนอ่ื งจาก ตวั การอน่ื บาง... โดยรตู ัวบา ง... ไมรตู ัวบา ง” และพทุ ธพจนซึง่ ปฏิเสธทฤษฎีทีว่ า สุขทุกขต นทําเอง ของพวกอตั ตการวาท และทฤษฎวี า สขุ ทุกขต ัว การอ่นื ทาํ ของพวกปรการวาท หลกั ตามพทุ ธพจนน้ี เปน การย้ําใหมองเห็นกรรมในฐานะกระบวนการแหงเหตุปจจยั ตนเองกด็ ีผอู นื่ กด็ ี จะมีสว นเก่ียวขอ งแคไ หนเพียงใด ยอมตอ งพจิ ารณาความเปน เหตปุ จ จยั ที่เก่ยี วขอ งและเปน ไปในกระบวนการ มิใชพดู ขาดลงไปงา ยๆ ในทันที ทก่ี ลา วมานี้ เปน การปองกันความเขาใจผิดสดุ โตง ท่ีมกั เกดิ ขึ้นในเรื่องกรรมวา อะไรๆ เปนเพราะตนเอง ทําท้ังสน้ิ ทําใหไมค ํานงึ ถึงองคประกอบและสง่ิ แวดลอ มอน่ื ๆ ทเี่ ปน ปจ จยั เกยี่ วขอ ง อยา งไรกด็ ี ตองแยกความเขา ใจอกี ชั้นหนึง่ ระหวา งหลกั ธรรมในแงต ัวกฎหรือสภาวะ กบั ในแงข องจรยิ ธรรม ทก่ี ลาวมาแลว น้ัน เปนการแสดงในแงตัวกฎหรือตัวสภาวะ ซึ่งเปนเรอื่ งของกระบวนการตามธรรมชาตทิ ี่ ครอบคลุมเหตุปจจยั ตางๆ ทีเ่ ขามาเกยี่ วขอ งทัง้ หมด แตในแงข องจรยิ ธรรม อันเปน คาํ สอนใหปฏบิ ตั ิ ผทู ่ีถกู ตองการใหปฏิบตั ิ ก็คือผูทถ่ี กู สอน ในกรณนี ้ี คาํ สอนจึงมงุ ไปที่ตวั ผูรบั คําสอน เมอ่ื พดู ในแงน้ี คอื เจาะจงเอาเฉพาะตวั บคุ คลน้ันเองเปนหลกั ยอมกลาวไดท ีเดียว วา เขาตองเปน ผรู ับผดิ ชอบอยางเตม็ ท่ี ในการกระทําตางๆ ที่เขาคดิ หมายกระทาํ ลงไป และทีจ่ ะใหผลเกิดข้นึ ตามท่มี งุ หมาย เชน พทุ ธพจนว า “ตนเปนทีพ่ ง่ึ ของตน” น้ี เปนการเพงความรับผดิ ชอบของบคุ คล โดยมองจาก ตวั เองออกไป ในกรณนี ี้ นอกจากจะมคี วามหมายวา ตอ งชวยเหลือตัวเอง ลงมอื ทาํ เองแลว ในแงทสี่ ัมพันธก บั การ กระทาํ ของผอู ื่น ยังหมายกวา งไปถึงการทคี่ วามชว ยเหลือจากผอู ่ืนจะเกดิ ขน้ึ จะคงมีอยู และจะสาํ เร็จผล ตอง

พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 107 อาศยั การพ่งึ ตนของบคุ คลนัน้ เอง ในการท่จี ะชกั จูง เราใหเกดิ การกระทําจากผูอ ่ืน ในการท่ีจะรกั ษาการกระทาํ ของผูอ ื่นน้ันใหค งอยตู อไป และในการทจ่ี ะยอมรบั หรอื สนองตอการกระทําของผูอื่นนนั้ หรือไมเพยี งใดดว ย ดังนี้ เปนตน โดยเหตนุ ี้ หลักกรรมในแงตัวสภาวะกด็ ี ในแงข องจรยิ ธรรมก็ดี จึงไมข ดั แยง กนั แตส นับสนุนซ่ึงกนั และ กนั แตต อ งทาํ ความเขา ใจใหถ ูก ๒) ลทั ธิหรือความเห็นผดิ ท่ีตอ งแยกจากหลกั กรรม มลี ัทธมิ จิ ฉาทิฏฐิ เกี่ยวกับสุขทุกขและความเปนไปในชวี ิตของมนษุ ยอยู ๓ ลทั ธิ ซงึ่ ตอ งระวงั ไมใ หเ ขาใจ สับสนกบั หลักกรรม คือ :- ๑. ปพุ เพกตเหตุวาท การถอื วา สขุ ทุกขท งั้ ปวงเปน เพราะกรรมเกา (past-action determinism) เรยี ก สน้ั ๆ วา ปพุ เพกตวาท ๒. อิสสรนมิ มานเหตุวาท การถือวาสุขทุกขท ัง้ ปวงเปน เพราะการบนั ดาลของเทพผเู ปนใหญ (theistic determinism) เรยี กสนั้ ๆ วา อิศวรกรณวาท หรือ อศิ วรนริ มิตวาท ๓. อเหตอุ ปจ จยวาท การถอื วาสุขทุกขท ัง้ ปวง เปนไปสุดแตโชคชะตาลอยๆ ไมม เี หตุ ไมมีปจ จัย (indeterminism หรือ accidentalism) เรียกสั้นๆ วา อเหตุวาท ทัง้ น้ตี ามพุทธพจนวา ภิกษุท้ังหลาย ลทั ธเิ ดยี รถยี  ๓ ลทั ธเิ หลา นี้ ถูกบัณฑติ ไตถ าม ซักไซไลเลยี งเขา ยอมอางการถือสืบๆ กัน มา ดํารงอยใู นอกริ ิยา (การไมก ระทาํ ) คอื ๑. สมณพราหมณพวกหนึ่ง มวี าทะ มที ิฏฐิอยางน้วี า สุขก็ดี ทุกขก ็ดี มิใชส ขุ มใิ ชท ุกขก็ดี อยา งหน่ึง อยา งใดก็ตาม ทีค่ นเราไดเ สวย ทั้งหมดนัน้ ลว นเปนเพราะกรรมท่ีกระทําไวในปางกอ น (ปพุ เฺ พกตเหตุ) ๒. สมณพราหมณพวกหนึง่ มีวาทะ มที ฏิ ฐิอยางน้ีวา สขุ กด็ ี ทกุ ข ก็ดี มใิ ชสขุ มใิ ชท ุกขกด็ ี อยา งหนง่ึ อยางใดก็ตาม ที่คนเราไดเ สวย ทัง้ หมดน้นั ลวนเปน เพราะการบันดาลของพระผูเ ปนเจา (อสิ สฺ รนมิ ฺมานเหต)ุ ๓. สมณพราหมณพ วกหน่งึ มีวาทะ มที ิฏฐอิ ยางนว้ี า สขุ กด็ ี ทกุ ขก ด็ ี มใิ ชส ุขมิใชท กุ ขก ็ดี อยา งหนง่ึ อยางใดกต็ าม ที่คนเราไดเสวย ทั้งหมดนนั้ ลว นหาเหตหุ าปจ จยั มไิ ด (อเหตอุ ปจฺจย) ภกิ ษุทงั้ หลาย บรรดาสมณพราหมณ ๓ พวกนัน้ เราเขา ไปหา (พวกที่ ๑) แลวถามวา ‘ทราบวา ทานทง้ั หลายมีวาทะ มีทฏิ ฐิอยางนี้ จรงิ หรือ?’ ถา สมณพราหมณเ หลา นนั้ ถูกเราถามอยา งนแ้ี ลวรับวา จรงิ เรากก็ ลา วกะ เขาวา ‘ถาเชนน้ัน ทา นก็จักตอ งเปน ผทู าํ ปาณาติบาตเพราะกรรมทท่ี าํ ไวปางกอนเปนเหตุ จะตองเปน ผทู าํ อทนิ นาทานเพราะกรรมท่ที าํ ไวปางกอ นเปน เหตุ จะตอ งเปน ผูป ระพฤติอพรหมจรรย...เปนผูกลา วมสุ าวาท... ฯลฯ เปน ผูมีมจิ ฉาทิฏฐิ เพราะกรรมที่ทําไวปางกอนเปนเหตนุ ะ สิ’

พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 108 ภกิ ษทุ ัง้ หลาย กเ็ ม่อื บุคคลมายดึ เอากรรมท่ีทําไวในปางกอนเปน สาระ ฉันทะก็ดี ความพยายามกด็ ี วา ‘ส่ิงนค้ี วรทํา สง่ิ น้ไี มควรทํา’ กย็ อ มไมม ี เมื่อไมก าํ หนดถอื เอาสงิ่ ท่คี วรทาํ และสิ่งท่ไี มควรทาํ โดยจรงิ จังม่นั คงดงั น้ี สมณพราหมณพ วกน้ี กเ็ ทา กับอยอู ยา งหลงสติ ไรเครื่องรกั ษา จะมีสมณวาทะที่ชอบธรรมเฉพาะตนไมไ ด น้แี ล เปน นิคหะอันชอบธรรมอยา งแรกของเรา ตอสมณพราหมณผมู วี าทะ มที ฏิ ฐอิ ยางน้ี ภิกษุท้งั หลาย บรรดาสมณพราหมณ ๓ พวกนั้น เราเขาไปหา (พวกท่ี ๒) กลาวกะเขาวา ‘ทา นจักเปนผู ทําปาณาติบาตกเ็ พราะการบนั ดาลของพระผูเปน เจา เปน เหตจุ กั เปน ผทู าํ อทินนาทาน..ประพฤติ อพรหมจรรย. .. .กลาวมุสาวาท...ฯลฯ เปน ผมู ีมิจฉาทิฏฐิ ก็เพราะการบนั ดาลของพระผเู ปนเจาเปน เหตุนะ สิ’ ภิกษุทัง้ หลาย ก็เม่อื บคุ คลมายดึ เอาการบนั ดาลของพระผูเปน เจา เปน สาระ ฉนั ทะกด็ ี ความพยายามก็ ดี วา ‘สง่ิ นคี้ วรทํา สิ่งน้ไี มควรทํา’ ก็ยอมไมมี ฯลฯ ภิกษุท้ังหลาย บรรดาสมณพราหมณ ๓ พวกนัน้ เราเขา ไปหา (พวกท่ี ๓) .กลาวกะเขาวา ‘ทานกจ็ ักเปน ผทู ําปาณาติบาต โดยไมมีเหตุ ไมมีปจจัย จกั เปน ผทู าํ อทินนาทาน... ประพฤติอพรหมจรรย...กลาวมุสาวาท... ฯลฯ เปนผูมมี จิ ฉาทิฏฐิ โดยไมมเี หตุไมมีปจ จยั นะสิ’ ภกิ ษุทัง้ หลาย ก็เมอ่ื บุคคลมายึดเอาความไมม เี หตุเปน สาระ ฉันทะกด็ ี ความพยายามก็ดี วา ‘ส่ิงน้ีควร ทํา ส่งิ นี้ไมควรทาํ ’ ก็ยอมไมม ี ฯลฯ โดยเฉพาะลทั ธทิ ี่ ๑ คือ ปุพเพกตเหตวุ าท น้นั เปนลัทธขิ องนคิ รนถ ดงั พทุ ธพจนว า ภิกษุทั้งหลาย สมณพราหมณพวกหน่งึ มีวาทะ มที ิฏฐิอยางน้วี า ‘สุขก็ดี ทุกขก ด็ ี อยางหนงึ่ อยา งใดท่ี บุคคลไดเ สวย ทัง้ หมดนนั้ เปนเพราะกรรมที่ตวั ทําไวในปางกอ น โดยนัยดังนี้ เพราะกรรมเกา หมดสิ้นไปดวย ตบะ ไมทาํ กรรมใหม ก็จะไมถ กู บงั คบั ตอ ไป เพราะไมถูกบังคับตอ ไป ก็สนิ้ กรรม เพราะสน้ิ กรรม กส็ ิ้นทกุ ข เพราะ สิ้นทุกข กส็ ิ้นเวทนา เพราะสิน้ เวทนา ก็จักเปนอันสลัดทุกขไดห มดสน้ิ ภกิ ษทุ ั้งหลาย พวกนิครนถม ีวาทะอยางน’ี้ นอกจากน้ี พุทธพจนท่ีเคยยกมาอา งขา งตน ซง่ึ ยาํ้ ความอันเดียวกนั ก็มีวา ดกู รสวิ กะ เวทนาบางอยา งเกดิ ขึน้ มดี เี ปนสมุฏฐานกม็ ี ฯลฯ เกิดจากความแปรปรวนแหง อุตกุ ็ มี...เกิดจากการบรหิ ารตนไมสม่ําเสมอก็มี...เกดิ จากถูกทาํ รา ยกม็ .ี ..เกิดจากผลกรรมก็มี ฯลฯ สมณพราหมณ เหลา ใด มีวาทะ มคี วามเห็นอยางนีว้ า ‘บุคคลไดเสวยเวทนาอยา งใดอยางหน่งึ เปนสุขก็ดี ทกุ ขก็ดี ไมสุขไมทกุ ข กด็ ี เวทนานน้ั เปน เพราะกรรมทท่ี ําไวปางกอ น’ ฯลฯ เรากลา ววา เปน ความผดิ ของสมณพราหมณเหลา นัน้ เอง พทุ ธพจนเหลา นี้ ปองกนั ความเหน็ ทแ่ี ลนไปไกลเกินไป จนมองเห็นความหมายของกรรมแตใ นแงกรรม เกา กลายเปนคนนง่ั นอนรอคอยผลกรรมเกา สดุ แตจ ะบันดาลใหเ ปนไป ไมคิดแกไขปรบั ปรงุ ตนเอง กลายเปน ความเห็นผดิ อยางรายแรง ตามนยั พทุ ธพจนท ีก่ ลา วมาแลว นอกจากน้นั จะเห็นไดชดั ดวยวา ในพุทธพจนน ี้ พระพทุ ธเจาทรงถอื ความเพยี รพยายามเปน เกณฑตดั สินคุณคา ทางจริยธรรมของหลักกรรมและคําสอนเหลาน้ที ัง้ หมด

พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 109 พทุ ธพจนเหลา น้ี มิไดป ฏเิ สธกรรมเกา เพราะกรรมเกา กย็ อมมสี ว นอยูใ นกระบวนการแหงเหตุปจ จัย และยอมมผี ลตอ ปจจบุ ัน สมกับช่อื ทวี่ า เปนเหตปุ จจยั ดว ยเหมือนกนั แตม ันก็เปนเร่ืองของเหตปุ จ จยั อยนู ัน่ เอง ไมใ ชอ ํานาจนอกเหนือธรรมชาติอะไรท่จี ะไปยึดไปหมายม่ันฝากโชคชะตาไว ผูเ ขาใจปฏิจจสมุปบาท รูก ระบวน การแหง เหตุปจจยั ดแี ลว ยอ มไมม ปี ญหาในเร่อื งนี้ เหมือนกบั การท่ใี ครคนหนึ่งเดินขน้ึ ตึก ๓ ช้ัน ถงึ ชน้ั ทสี่ ามแลว ก็แนนอนวา การขึ้นมาถงึ ของเขาตอ อาศยั การกระทาํ คือการเดินทผี่ า นมาแลวน้นั จะปฏิเสธมิได และเมือ่ ขึน้ มาถงึ ทน่ี ่นั แลว การทเ่ี ขาจะเหยยี ดมอื ไป แตะพ้นื ดินขา งลางตึก หรือจะน่ังรถเกงวิ่งไปมาบนตึกชน้ั สามเลก็ ๆ เหมือนอยางบนถนนหลวง ก็ยอมเปน ไปไม ได และขอนก้ี ็เปนเพราะการทีเ่ ขาขนึ้ มาบนตึกเหมอื นกัน ปฏิเสธมิได หรอื เมอ่ื เขาขึ้นมาแลว จะเมอื่ ยหมดแรง เดนิ ตอขนึ้ หรอื ลงไมไ หว นน่ั กต็ อ งเกีย่ วกบั การทไ่ี ดเดนิ ข้นึ มาแลว ดวยเหมอื นกัน ปฏเิ สธไมไ ด การมาถึงที่น่นั ก็ดี ทําอะไรไดในวสิ ยั ของที่น่ันก็ดี การท่ีอาจจะตองเขา ไปเก่ียวขอ งกบั อะไรตอ อะไรในท่ี นัน้ อีก ในฐานะท่ขี ึน้ มาอยกู ับคนอนื่ ๆ ทามกลางส่ิงตางๆ ทม่ี ีอยู ณ ที่นนั้ ดวยก็ดี ยอ มสบื เน่อื งมาจากการทีไ่ ด เดินมาดว ยนั้นแนนอน แตก ารทีเ่ ขาจะทาํ อะไรบา ง ทาํ สิ่งที่ตองเกีย่ วขอ งท่ีนน่ั แคไ หน เพยี งไร ตลอดจนวาจะพัก เสียกอ นแลว เดินตอ หรือเดินกลบั ลงเสยี จากตึกน้นั ยอมเปนเร่ืองท่เี ขาจะคดิ ตกลงทาํ เอาใหม ทําได และไดผ ล ตามเรือ่ งท่ที าํ นั้นๆ แมวา การเดนิ มาเดมิ ยังอาจมีสวนใหผ ลตอเขาอยู เชน แรงเขาอาจจะนอ ยไป ทําอะไรใหมได ไมเ ต็มที่ เพราะเม่ือยเสยี แลว ดงั นเี้ ปน ตน ถึงอยางน้ี กเ็ ปน เรื่องของเขาอกี ท่ีวา จะคิดยอมแพแ กค วามเมอ่ื ยหรือ วาจะคิดแกไขอยา งไร ทั้งหมดน้ี กเ็ ปน เรื่องของกระบวนการแหงเหตปุ จจยั ท้ังนน้ั ดังนน้ั จึงควรเขาใจเรอ่ื งกรรม เกา เพยี งเทา ที่มนั เปนตามกระบวนการของมนั ในทางจริยธรรม ผเู ขาใจปฏิจจสมุปบาท ยอมถอื เอาประโยชนจากกรรมเกาไดใ นแง เปนบทเรยี น เปน ความหนักแนนในเหตผุ ล เปนความเขา ใจตนเองและสถานการณ เปน ความรูพื้นฐานปจ จบุ นั ของตน เพื่อ ประกอบการวางแผนทํากรรมปจ จุบัน และหาทางแกไ ขปรบั ปรงุ ตอไป ๓) แงล ะเอียดออนทตี่ อ งเขา ใจ เก่ียวกับการใหผ ลของกรรม มพี ุทธพจนว า ภกิ ษุท้งั หลาย ผูใดกลา วอยางนวี้ า ‘บรุ ุษนท้ี ํากรรมไวอยา งไรๆ เขายอ มไดเสวยกรรมนั้นอยา งนัน้ ๆ’ เม่อื เปนอยางทก่ี ลาวน้ี การครองชีวติ ประเสรฐิ (พรหมจรรย) ก็มไี มได (คอื ไมม ปี ระโยชนอะไร) เปนอนั มองไมเหน็ ชองทางที่จะทาํ ความสิน้ ทุกขใหสาํ เร็จไดเลยแตผ ใู ดกลาวอยางน้วี า ‘บุรุษน้ที ํากรรมอนั เปน ทต่ี งั้ แหง เวทนาอยา ง ไรๆ เขายอ มไดเ สวยวบิ ากของกรรมนน้ั อยางนัน้ ๆ’ เมือ่ เปน อยางท่กี ลา วนี้ การครองชีวิตประเสรฐิ (พรหมจรรย) จงึ มไี ด (คือสาํ เรจ็ ประโยชน) เปน อนั เห็นชอ งทางทีจ่ ะทําความสน้ิ ทกุ ขใ หสําเรจ็ ได ภกิ ษทุ งั้ หลาย บคุ คลบางคน ทํากรรมช่วั เพียงเล็กนอย กรรมน้นั กน็ ําเขาไปนรกได สว นบุคคลบางคน ทํากรรมชั่วเลก็ นอยอยางเดยี วกันนน้ั แหละ กรรมนน้ั เขาเสวยผลเสรจ็ ไปเสียแตใ นปจ จุบัน ทง้ั สวนทเี่ ลก็ นอยกไ็ มปรากฏดว ย ปรากฏแตทีม่ ากๆ เทา นนั้

พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 110 คนประเภทไหน ทํากรรมช่ัวเพยี งเลก็ นอย กรรมนน้ั กน็ ําเขาไปนรกได? คือ บคุ คลบางคน เปนผูไมไดอบ รมกาย ไมไ ดอบรมศีล ไมไดอบรมจิต ไมไดอ บรมปญ ญา มีคณุ นอ ย มีอตั ภาพเล็ก มีปรกติอยูเปนทกุ ขเ พราะ วบิ ากเล็กๆ นอ ยๆ บคุ คลประเภทน้ี ทาํ กรรมชว่ั เพยี งเลก็ นอ ย กรรมชว่ั น้นั กน็ ําเขาไปนรกได (เหมอื นใสก อนเกลอื ในขันน้าํ นอ ย) คนประเภทไหน ทํากรรมช่วั เล็กนอยอยางเดยี วกันนั่นแหละ กรรมน้ันเขาเสวยผลเสร็จไปเสยี แตใน ปจ จุบัน ทั้งสว นท่เี ลก็ นอ ยก็ไมปรากฏดว ย ปรากฏแตท ีม่ ากๆ เทา นน้ั ? คือ บคุ คลบางคนเปนผูไดอ บรมกาย อบ รมศลี อบรมจติ อบรมปญญา มคี ุณไมนอ ย เปนมหาตมะ มีธรรมเครื่องอยหู าประมาณมไิ ด บคุ คลประเภทน้ี ทํา กรรมชว่ั เชนเดียวกนั นั้นแหละ กรรมชัว่ นัน้ เขาเสวยผลเสรจ็ ไปเสยี แตในปจจุบนั ทัง้ สว นทเ่ี ลก็ นอ ยกไ็ มป รากฏ ดว ย ปรากฏแตทมี่ ากๆ เทา น้นั (เหมอื นใสก อนเกลือในแมนํ้า) ดูกรนายคามณี ศาสดาบางทา น มวี าทะ มีทฏิ ฐิอยางนว้ี า ผูท ฆี่ าสัตว ตอ งไปอบายตกนรกทั้งหมด ผทู ่ี ลกั ทรัพย ตอ งไปอบายตกนรกทงั้ หมด ผปู ระพฤติกาเมสุมจิ ฉาจาร ตองไปอบายตกนรกทัง้ หมด ผูที่พูดเท็จ ตอ ง ไปอบายตกนรกทั้งหมด สาวกทีเ่ ลอื่ มใสในศาสดานั้นคิดวา ‘ศาสดาของเรามีวาทะ มีทฏิ ฐิวา ผูทฆี่ าสตั ว ตองไปอบายตกนรกทงั้ หมด’ เขาจึงไดทฏิ ฐขิ ้ึนมาวา ‘สตั วท่เี ราฆาไปแลว ก็มี เราก็ตองไปอบายตกนรกดว ย’ เขาไมล ะวาจานั้น ไม สละทิฏฐนิ ั้นเสยี กย็ อ มอยูในนรกเหมอื นถกู จับมาใสไ ว...สวนตถาคตอรหนั ตสัมมาสัมพุทธเจา เสด็จอบุ ตั ิใน โลก...พระองคทรงตําหนติ เิ ตียนปาณาติบาต...อทนิ นาทาน...กาเมสมุ จิ ฉาจาร...มุสาวาท โดยอเนกปรยิ าย และ ตรัสวา “ทา นทง้ั หลายจงงดเวนเสยี เถิด จากปาณาติบาต...อทนิ นาทาน...กาเมสมุ ิจฉาจาร...มสุ าวาท” สาวกมีความเลื่อมใสในพระศาสดานัน้ ยอมพิจารณาเห็นดงั นว้ี า “พระผูม พี ระภาคทรงตําหนิตเิ ตียน ปาณาติบาต ฯลฯ โดยอเนกปริยาย และตรัสวา ‘ทา นทง้ั หลายจงงดเวน เสียเถิด จากปาณาตบิ าต ฯลฯ’ กส็ ัตวท ่ี เราฆาเสยี แลว มมี ากถงึ ขนาดน้ันๆ การทเ่ี ราฆา สัตวไปเสยี มากๆ ถึงขนาดน้ันๆ ไมด ี ไมงามเลย เราจะกลายเปน ผเู ดือดรอ นใจในเพราะการกระทํานนั้ เปนปจ จัยแท และเรากจ็ กั ไมชอื่ วาไมไดก ระทํากรรมช่วั ” เขาพจิ ารณาเหน็ ดังนแี้ ลว จึงละปาณาตบิ าตน้นั เสยี และเปนผงู ดเวนจากปาณาติบาตตอ ไปดวย เปน อันวาเขาละกรรมชวั่ นน้ั ไดดวยการกระทําอยา งน.ี้ .. เขาละปาณาติบาต งดเวนจากปาณาติบาต ฯลฯ ละมุสาวาท... ปสณุ าวาจา...ผรุสวาจา...สมั ผัป ปลาปะ...อภิชฌา...พยาบาท...มจิ ฉาทฏิ ฐิ แลว เปนผูมสี ัมมาทิฏฐิ เขาผูเปนอริยสาวก มใี จปราศจากอภชิ ฌา (ความละโมบ) ปราศจากพยาบาท (ความคดิ เบยี ดเบยี น) ไมล ุมหลง มีสัมปชัญญะ มสี ติมั่น อยดู วยใจที่ ประกอบดวยเมตตาปกแผไปทิศ ๑...ทศิ ๒...ทิศ ๓...ทศิ ๔ ครบถวน ท้งั สงู ตาํ่ กวางขวาง ท่ัวทั้งโลก ท่ัว สัตวท กุ เหลา ในท่ที ุกสถาน ดวยใจประกอบดว ยเมตตา อันไพบูลย ย่งิ ใหญ ไมม ีประมาณ ไรเ วร ไรพ ยาบาท ฯลฯ เม่ือเจรญิ เมตตาเจโตวมิ ตุ ติ ทําใหม ากอยางน้ี กรรมใดท่ที ําไวพอประมาณ กรรมนัน้ จกั ไมเหลอื จะไม คงอยใู นเมตตาเจโตวมิ ุตติน้ัน...

พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 111 พทุ ธพจนในขอ ๓) น้ี นํามาแสดงไวเพอ่ื ประกอบการพจิ ารณาในเร่อื งการใหผ ลของกรรม ใหม กี าร ศกึ ษาโดยละเอยี ด เปน การปอ งกนั ไมใหล งความเห็นตดั สนิ ความหมายและเนื้อหาของหลักกรรมงา ยเกินไป แต กย็ งั เปนเพียงตัวอยา งสวนหนึ่งเทา นนั้ ไมส ามารถนํามารวมไวไ ดท ัง้ หมด เพราะจะกินเนอื้ ทีม่ ากเกนิ ไป ข. คุณคา ทางจริยธรรม กลาวโดยสรปุ คุณคา ท่ตี อ งการในทางจริยธรรมของหลกั กรรม มดี งั น:ี้ ๑) ใหเปนผหู นกั แนน ในเหตผุ ล และมองเหน็ การกระทาํ และผลการ กระทาํ ตามแนวทางของเหตุปจจัย ไมเชื่อสง่ิ งมงาย ตนื่ ขาว เชน เรอ่ื งแมน ํ้าศกั ดสิ์ ิทธ์ิ เปนตน ๒) ใหเหน็ วา ผลสําเรจ็ ทตี่ นตองการ จดุ หมายที่ปรารถนา จะเขาถึง หรอื สาํ เร็จไดด ว ยการลงมือทํา -จึงตองพึ่งตนเอง และทาํ ความเพยี รพยายาม -ไมมัวคอยโชคชะตา ไมหวังผลดลบนั ดาลหรือรอผลการเซน สรวงออนวอน ๓) ใหมีความรบั ผดิ ชอบตอตนเอง ที่จะงดเวนจากกรรมชั่ว และรับผดิ ชอบตอ ผูอ่ืน ดวยการชว ยเหลือเกอื้ กูลทําความดตี อเขา ๔) ใหถือวาบคุ คลมสี ิทธิและหนา ทีโ่ ดยธรรมชาติ ทีจ่ ะทําการตางๆ เพอ่ื แกไขปรบั ปรุงสรา งเสริมตนเองใหด ีขน้ึ ไป โดยเทา เทยี มกัน สามารถทําตนใหเ ลวลงหรือใหด ีขนึ้ ใหป ระเสริฐจนถึงยงิ่ กวา เทวดาและพรหม ไดทกุ ๆ คน ๕) ใหถ อื วา คณุ ธรรม ความสามารถ ความดีความชว่ั ท่ีทาํ ความ ประพฤติปฏบิ ัติ เปน เคร่อื งวัดความทรามหรือประเสริฐของมนุษย ไมใ หม ีการแบง แยกโดยชาตชิ น้ั วรรณะ ๖) ในแงก รรมเกา ใหถอื เปนบทเรียน และใหรูจกั พิจารณาเขาใจตน เองตามเหตุผล ไมค อยเพงโทษแตผ ูอ่ืน มองเหน็ พ้ืนฐานทุนเดมิ ของตนทมี่ อี ยใู นปจจบุ นั เพอ่ื รูจ ักท่ีจะแกไ ขปรบั ปรุง และวางแผน สรา งเสรมิ ความเจริญกา วหนาตอ ไปไดถูกตอ ง ๗) ใหค วามหวงั ในอนาคตสําหรบั สามญั ชนท่วั ไป คุณคา ทีก่ ลา วน้ัน พึงพจิ ารณาตามพทุ ธพจน ดังตอไปนี้ ก) ความหมายทั่วไป เชน :-

พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 112 ดวยใจ ภิกษทุ ้ังหลาย เจตนา (น่นั เอง) เราเรยี กวา กรรม บุคคลจงใจแลว จึงกระทาํ กรรมดว ยกาย ดว ยวาจา สัตวทง้ั หลาย มีกรรมเปน ของตน เปน ทายาทแหงกรรม มกี รรม เปนกําเนดิ มีกรรมเปนเผา พนั ธุ มกี รรม เปนท่ีพ่ึงอาศยั กรรมยอมจาํ แนกสัตวใ หทรามและประณตี บุคคลหวานพืชเชน ใด ยอมไดร บั ผลเชนนั้น ผทู าํ ดี ยอมไดด ี ผูทาํ ช่วั ยอมไดช่ัว บคุ คลทาํ กรรมใดแลว ยอ มเดือดรอนในภายหลงั กรรมน้ันทําแลวไมด ี บุคคลมีหนาชมุ ดวยนํ้าตา รอง ไหอ ยู ยอ มเสพผลของกรรมใด กรรมนนั้ ทาํ แลว ไมดี บคุ คลทาํ กรรมใดแลว ยอ มไมเดือดรอนในภายหลัง กรรมน้ันแล ทาํ แลวเปน ดี คนพาลมปี ญญาทราม ยอมทาํ กบั ตนเองเหมือนเปนศตั รู ยอ มทาํ กรรมชั่วอันใหผลเผด็ รอน บคุ คลทาํ กรรมใดแลว ยอมเดือดรอนภายหลงั มหี นา นองดว ยนํ้าตา รอ งไหอยู เสวยผลแหงกรรมใด กรรมนน้ั ทําแลว ไมดเี ลย บุคคลทาํ กรรมใดแลว ไมเ ดอื ดรอนในภายหลัง เสวยผลแหง กรรมใด ดว ยหวั ใจแชม ชน่ื เบิกบาน กรรม นน้ั ทําแลวเปน การดี บุคคลรกู รรมใดวา เปนประโยชนเก้ือกลู แกต น ควรรบี ลงมือกระทาํ กรรมนั้นทเี ดยี ว ข) ความเปนคนมีเหตุผล ไมเช่ือถอื งมงาย เชน :- คนพาลมีกรรมดํา ถงึ จะแลน ไปยงั (แมนํ้าศักดส์ิ ทิ ธ์ิตา งๆ คอื ) แมนาํ้ พาหกุ า ทา นา้ํ อธกิ กั กะ ทานา้ํ คยา แมน า้ํ สุนทริกา แมนา้ํ สรัสวดี แมน ้าํ ปยาคะ และแมนาํ้ พาหมุ ดี เปนนิตย กบ็ รสิ ทุ ธิ์ไมได แมน้าํ สุนทริกา ทา นา้ํ ปยาคะ หรอื แมน าํ้ พาหุกา จกั ทําอะไรได จะชําระนรชนผูมเี วร ผทู ํากรรมอันหยาบชา ผมู กี รรมชวั่ น้นั ใหบรสิ ทุ ธ์ิ ไมไดเ ลย (แต) ผัคคุณฤกษ (ฤกษด เี ยย่ี ม) ยอมสําเรจ็ ทกุ เม่ือ แกบ คุ คลผบู ริสุทธิ์ อุโบสถก็สําเรจ็ ทุกเมือ่ แกผู บรสิ ุทธิ์ วตั รของบคุ คลผูหมดจดแลว มกี ารงานสะอาด ยอ มสําเร็จผลทกุ เมอ่ื ดกู รพราหมณ ทา นจงอาบตนในหลักธรรมน้เี ถิด จงสรางความเกษมแกส ตั วท ้งั ปวงเถิด ถา ทา นไมก ลา ว เทจ็ ไมเ บยี ดเบยี นสัตว ไมทาํ อทนิ นาทาน เปน ผมู ศี รทั ธา หาความตระหน่มี ิไดไ ซร ทา นจะตองไปทานํา้ คยา ทําไม แมน ํา้ ดื่มของทา นก็เปน แมน า้ํ คยาแลว ถา แมนบุคคลจะพนจากบาปกรรมได เพราะการอาบน้ํา (ชาํ ระบาป) กบ เตา นาค จระเข และสตั วเหลา อนื่ ทีเ่ ท่ียวไปในแมนํา้ กจ็ ะพากนั ไปสสู วรรคแ นนอน...ถาแมนาํ้ เหลานีพ้ ึงนาํ บาปทีท่ านทาํ ไวแลว ในกาลกอ นไป ไดไ ซร แมน าํ้ เหลา นก้ี พ็ ึงนาํ บญุ ของทานไปไดด วย ความสะอาดจะมีเพราะน้ํา(ศักด์สิ ทิ ธ์)ิ ทคี่ นจาํ นวนมากพากนั ไปอาบ กห็ าไม ผูใ ดมีสัจจะ มีธรรม ผูนน้ั จึงจะเปน ผสู ะอาด เปนพราหมณ ผใู ดไมถอื มงคลตื่นขา ว ไมถืออุกกาบาต ไมถ ือความฝน ไมถือลกั ษณะดหี รอื ชว่ั ผูนน้ั ช่ือวา ลว งพน โทษ แหงการถอื มงคลตน่ื ขา ว ขา มพน กเิ ลสเทยี มแอกท่ีผกู สัตวไวใ นภพไปเสยี ได ยอมไมกลับมาเกดิ อกี ประโยชนไ ด ลวงเลยคนเขลาผมู ัวคํานวณนับฤกษอยู ประโยชนเปน ตัวฤกษข องประโยชน ดวงดาวจักทาํ อะไรได

พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 113 บคุ คลประพฤติชอบเวลาใด เวลานั้น ไดช ือ่ วา เปนฤกษด ี มงคลดี เปน เชา ดี อรณุ ดี เปน ขณะดี ยามดี และเปน อนั ไดท าํ บูชาดแี ลว ในทานผูประพฤติพรหมจรรยทัง้ หลาย แมก ายกรรมของเขา ก็เปนสิทธโิ ชค วจีกรรม กเ็ ปน สิทธโิ ชค มโนกรรม ก็เปนสทิ ธิโชค ประณิธานของเขา ก็เปน สทิ ธิโชค คร้นั กระทํากรรมทงั้ หลายทีเ่ ปน สทิ ธิ โชคแลว เขายอ มไดประสบแตผ ลทม่ี งุ หมายอันเปนสิทธิโชค ค) การลงมือทํา ไมรอคอยความหวังจากการออนวอนปรารถนา เชน :- ไมค วรหวนละหอ ยถงึ สิ่งที่ลว งแลว ไมพึงเพอฝน ถึงสงิ่ ทอี่ ยูภายหนา สง่ิ ใดเปนอดีต ส่งิ นัน้ กผ็ า นไปแลว ส่งิ ใดเปนอนาคต สิง่ นัน้ ก็ยงั ไมม าถึง สวนผใู ดเหน็ ประจักษช ดั สิง่ ทเี่ ปน ปจจุบัน อันเปนของแนนอนไมคลอน แคลน ขอใหผูน้ันครัน้ เขา ใจชดั แลว พงึ เรง ขวนขวายปฏบิ ตั ิใหล ลุ วงไป ในท่ีน้ันๆ เรง ทําความเพยี รเสียแตวนั น้ี ใครเลา พงึ รวู า จะตายในวันพรงุ เพราะวา สําหรับพระยามจั จรุ าช เจาทพั ใหญน ้นั เราทั้งหลายไมมที างผัดเพีย้ นเลย ผูท ด่ี าํ รงชวี ติ อยูอยางน้ี มีความเพียร ไมเ กยี จครา น ทั้งกลางวันและกลางคนื ผูน้ันแท พระสันตมุนี ตรัสวา เปนผมู ีแตละราตรนี ําโชค (ภทั เทกรัตต) ดูกรคฤหบดี ธรรม ๕ ประการน้ี เปนสิง่ ทีน่ า ปรารถนา นา ใคร นาพอใจ เปนของไดย ากในโลก คือ อายุ...วรรณะ...สขุ ...ยศ...สวรรค ธรรม ๕ ประการน.้ี ..เราไมก ลา ววาจะพงึ ไดม าเพราะการออนวอน หรือเพราะ ความปรารถนา ถาการไดธรรมทั้ง ๕ น้ี จะมีไดเพราะการออ นวอน หรือเพราะความปรารถนาแลวไซร ใครใน โลกน้ี จะพงึ เสอ่ื มจากอะไร ดกู รคฤหบดี อริยสาวกผูปรารถนาอายุ (ยนื ) ไมพ ึงออ นวอนหรอื มวั เพลดิ เพลนิ กบั อายุ เพราะการอยาก ไดอายุนั้นเลย อรยิ สาวกผปู รารถนาอายุ พงึ ปฏบิ ัติขอ ปฏิบตั ิท่จี ะเปน ไปเพ่ืออายุ เพราะขอปฏบิ ัติอันเปนไปเพอ่ื อายุท่ปี ฏิบตั แิ ลว นนั่ แหละ จึงจะเปนไปเพ่อื การไดอ ายุ อรยิ สาวกนัน้ ยอมเปน ผูไดอ ายุ ไมวาจะเปนของทพิ ย หรือของมนุษย. .. ผปู รารถนาวรรณะ...สุข...ยศ...สวรรค กพ็ งึ ปฏิบตั ขิ อ ปฏิบัตทิ ีจ่ ะเปน ไปเพือ่ วรรณะ...สขุ ...ยศ...สวรรค. .. ภกิ ษุทั้งหลาย ภกิ ษไุ มห ม่นั ประกอบความเพยี รในการฝกอบรมจติ ถึงจะมีความปรารถนาวา “ขอใหจติ ของเราหลุดพนจากอาสวะเถดิ ” ดงั น้ี จิตของเธอจะหลุดพนไปจากอาสวะไดกห็ าไม... เหมือนไขไก ๘ ฟองกต็ าม ๑๐ ฟองกต็ าม ๑๒ ฟองกต็ าม ทแี่ มไกไ มน อนทบั ไมกก ไมฟก ถงึ แมแมไ กจ ะมีความปรารถนาวา “ขอใหล ูกของ เราใชป ลายเลบ็ หรือจะงอยปาก ทําลายเปลอื กไขออกมาโดยสวัสดีเถิด” ดังน้ี ลกู ไกจะใชปลายเล็บ หรอื จะงอย ปาก ทําลายเปลือกไขออกมาได ก็หาไม ง) การไมถ ือชาตชิ น้ั วรรณะ ถือความประพฤตเิ ปนประมาณ เชน :-

พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 114 ดูกรวาเสฏฐะ ทา นจงรูอ ยางนว้ี า ในหมูมนษุ ย ผใู ดอาศยั โครกั ขกรรมเลี้ยงชพี ผูนนั้ เปนชาวนา มใิ ช พราหมณ ผใู ดเลีย้ งชพี ดว ยศิลปะตา งๆ ผูน้ันเปน ศิลปน มใิ ชพราหมณ ผใู ดอาศัยการคา ขายเล้ยี งชพี ผูนั้นเปน พอ คา มิใชพราหมณ ผใู ดเลย้ี งชพี ดวยการรับใชผ อู น่ื ผนู น้ั เปนคนรับใช มิใชพ ราหมณ ผใู ดอาศยั การลักทรพั ย เล้ียงชีพ ผนู ้ันเปนโจร มิใชพราหมณ ฯลฯ ผูใ ดปกครองบา นเมอื ง ผูนน้ั เปน ราชา มใิ ชพราหมณ เรามไิ ดเ รยี กคน เปน พราหมณ(แค)ตามกาํ เนิดจากครรภมารดา ผนู ้นั ยงั มกี ิเลส เขาเปนเพยี งโภวาที (คอื พราหมณตามธรรม เนียม ทท่ี กั ทายคนอ่นื วา “โภ”) เทาน้ัน เราเรยี กคนทไ่ี มม ีกิเลส ไมมีความยึดมั่นตางหาก วาเปน พราหมณ อันนามและโคตรทกี่ าํ หนดต้งั กันไวน้ี เปนแตส ักวา โวหารในโลก เพราะเกิดมขี ึน้ มาตามคาํ เรยี ก ขานท่กี าํ หนดต้งั กันไวใ นคราวนน้ั ๆ ตามทฏิ ฐอิ นั นอนเน่อื งอยใู นหทยั สนิ้ กาลนาน ของสัตวทง้ั หลายผไู มร ู สตั วท ง้ั หลาย ผไู มรู ก็พรา่ํ กลาววาคนเปนพราหมณเพราะชาตกิ าํ เนดิ แตบ คุ คลจะเปนพราหมณเ พราะชาติกาํ เนิด ก็หาไม จะมใิ ชพ ราหมณเพราะชาตกิ ําเนดิ ก็หาไม จะชอ่ื วา เปน พราหมณกเ็ พราะกรรม (อาชีพการงานท่ีทํา-ความประพฤติ-การที่คิดพดู และทํา ) ไมใ ชพ ราหมณก็ เพราะกรรม เปนชาวนาก็เพราะกรรม เปน ศิลปน กเ็ พราะกรรม เปนพอ คา ก็เพราะกรรม เปนคนรับใชกเ็ พราะ กรรม เปน โจรกเ็ พราะกรรม ฯลฯ เปน ราชาก็เพราะกรรมบัณฑติ ทั้งหลาย ผเู ห็นปฏิจจสมุปบาท ฉลาดในกรรม และวิบากยอ มเห็นกรรมนน้ั แจงชดั ตามเปนจริงวา โลกยอ มเปนไปตามกรรม หมูสัตวยอ มเปน ไปเพราะกรรม สตั วท ้ังหลายถกู ผกู ยดึ ไวดวยกรรม เหมอื นลม่ิ สลักของรถทีก่ าํ ลงั แลนไป ฉะนั้น ดกู รพราหมณ เราจะเรียกคนวา ประเสรฐิ เพราะความเปน ผูเกดิ ในตระกลู สงู กห็ าไม เราจะเรียกคนวา ตาํ่ ทรามเพราะความเปนผูเกิดในตระกลู สงู กห็ าไม เราจะเรียกคนวา ประเสริฐเพราะความเปนผมู ีวรรณะใหญโ ต ก็หาไม เราจะเรยี กคนวาต่าํ ทรามเพราะความเปนผูมวี รรณะใหญโ ตกห็ าไม เราจะเรยี กคนวา ประเสริฐเพราะ ความเปนผูมีโภคะมากก็หามิได เราจะเรียกคนวาต่ําทรามเพราะความเปน ผมู โี ภคะมากก็หามไิ ด แทจ ริง บคุ คลบางคน แมเ กิดในตระกูลสูง ก็ยงั เปนผชู อบเขนฆา สงั หาร ลักทรพั ย ประพฤติผิดในกาม พดู เท็จ พดู สอ เสียด พดู คําหยาบ พูดคําเพอเจอ เปน คนละโมบ คิดเบยี ดเบยี น เปน มิจฉาทฏิ ฐิ บคุ คลไมเปน คนถอ ยเพราะชาติกาํ เนดิ ไมเปน พราหมณเพราะชาติกาํ เนดิ แตเปนคนถอ ยเพราะกรรม (คือการกระทาํ ความประพฤติ) เปน พราหมณเพราะกรรม วรรณะ ๔ เหลา นี้ คอื กษตั รยิ  พราหมณ แพศย ศูทร ออกบวชในธรรมวินัยทีต่ ถาคตประกาศแลว ยอ มละนามและโคตรเดมิ เสีย นบั วา เปน สมณศากยบุตรท้ังสน้ิ บรรดาวรรณะทั้งสนี่ ี้ ผใู ดเปนภิกษุ ส้นิ กเิ ลสาสวะแลว อยจู บพรหมจรรยแลว ทํากิจทตี่ อ งทําสาํ เรจ็ แลว ปลงภาระลงไดแ ลว บรรลปุ ระโยชนตนแลว หมดเครอื่ งผกู มัดไวในภพแลว หลุดพน แลวเพราะรูช อบ ผูน้นั แล เรยี กไดวา เปนผูเลศิ กวา วรรณะทง้ั หมดน้นั จ) การพงึ่ ตนเอง เชน :- การเพียรพยายามเปน หนาทท่ี ่ที านทั้งหลายตอ งทาํ เอง ตถาคตเปน แตผ ูบอกทาง

พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 115 ตนนัน่ แล เปนที่พ่งึ ของตน จริงแทแลว ใครอืน่ จะเปน ทพ่ี งึ่ ได ดว ยตนท่ฝี กไวด แี ลวน่ันแหละ บคุ คลจะได ทีพ่ ่ึงซง่ึ หาไดยาก ความบรสิ ทุ ธิ์ ไมบ ริสทุ ธ์ิ เปนของเฉพาะตน คนอน่ื ทําคนอื่นใหบริสุทธิ์ไมไ ด ภกิ ษุทั้งหลาย พวกเธอจงมีตนเปน ที่พง่ึ เถดิ อยา มสี ง่ิ อืน่ เปน ทพ่ี ึ่งเลย จงมธี รรมเปน ทพี่ ่ึงเถิด อยา มีส่งิ อื่นเปนที่พ่ึงเลย ฉ) ขอเตือนใจเพื่ออนาคต หญงิ ชาย คฤหสั ถ บรรพชิต ควรพิจารณาเนืองๆ วา เรามีกรรมเปน ของตน เปนผรู บั ผลของกรรม มี กรรมเปน กําเนดิ มกี รรมเปน เผา พนั ธุ มกี รรมเปน ทอี่ าศัย เราทาํ กรรมใดไว ดกี ต็ าม ช่ัวกต็ าม เราจกั เปน ทายาทของกรรมนนั้ ถาทา นกลวั ทกุ ข ก็อยา ทาํ กรรมชั่วทั้งในที่ลบั และที่แจง ถา ทา นจักทํา หรอื ทาํ อยู ซึง่ กรรม ชัว่ ถงึ แมจะเหาะหนไี ป กจ็ ะไมพ นจากความทกุ ขไ ปไดเ ลย ธัญชาติ ทรพั ยส ิน เงนิ ทอง หรือสิ่งของทหี่ วงแหน อยางใดอยางหนึง่ ที่มีอยู ทาส กรรมกร คนงาน คนอาศัย ลวนพาเอาไปไมไ ดท ง้ั สนิ้ จะตองถูกละทิ้งไวทัง้ หมด แตบ ุคคลทาํ กรรมใด ดว ยกาย ดว ยวาจา หรอื ดวยใจ กรรมนนั้ แหละเปน ของของเขา และเขาจะพาเอากรรมน้ัน ไป อน่ึง กรรมนน้ั ยอมตดิ ตามเขาไป เหมอื นเงาตดิ ตามตน ฉะนั้นฉะน้นั บุคคลควรทาํ ความดี สั่งสมส่ิงทจี่ ะเปน ประโยชนภายหนา ความดีทั้งหลายยอมเปน ทพี่ งึ่ ของสัตวในปรโลก ๒. อริยสัจ ก. ความเขาใจเบ้ืองตน อรยิ สจั เปน หลักธรรมทส่ี ําคญั และรูจักกนั มากทีส่ ุดอกี ขอหนงึ่ อริยสัจไมใ ชเ ปนหลกั สวนยอ ยของป ฏิจจสมุปบาท แตเ ปนทงั้ หมดของ ปฏิจจสมปุ บาท พูดงา ยๆ วา มีความหมายครอบคลุมปฏิจจสมปุ บาททงั้ หมด ๑) ตรสั รอู รยิ สัจ=ตรสั รปู ฏิจจสมปุ บาทและนิพพาน เม่ือมผี ถู ามวา “พระพุทธเจา ตรัสรอู ะไร?” จะตอบวา ตรสั รอู รยิ สัจ ๔ หรือ ตอบวา ตรสั รูปฏจิ จสมุปบาท กไ็ ด คาํ ตอบท่ีวา นี้ จะไมพจิ ารณาโดยเนอ้ื หาของหลักธรรมเลย ยกแตค ัมภรี ม าอา งก็ได คมั ภรี วินยั ปฎ ก เลา เหตกุ ารณเกย่ี วกับการตรสั รขู องพระพทุ ธเจา เร่ิมตนเมอ่ื ตรัสรใู หมๆ กําลงั ทรงเสวย วิมุตติสุข และพิจารณาทบทวน ปฏจิ จสมปุ บาท ท้งั โดยอนโุ ลม(กระบวนการเกิดทุกข) และโดยปฏิโลม (กระบวน การดบั ทุกข) ตลอดเวลา ๑ สปั ดาห ครนั้ สิ้นระยะเสวยวมิ ุตติสขุ ๗ สปั ดาหแ ลว เมอื่ ปรารภการทจี่ ะทรงประกาศ ธรรมแกผ อู ่นื ตอ ไป ทรง พระดําริวา :-

พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 116 ธรรมท่ีเราไดบ รรลแุ ลวน้ี เปน ของลกึ ซ้ึง เหน็ ไดยาก รตู ามไดยาก ฯลฯ สําหรบั หมูประชาผูเรงิ รมยรืน่ ระเริงอยใู นอาลยั ฐานะน้ียอ มเปน ส่ิงทเี่ ห็นไดย าก กลา วคอื หลกั อิทัปปจจยตา ปฏจิ จสมปุ บาท; แมฐ านะนกี้ ็ เหน็ ไดย ากนกั กลา วคือ...นพิ พาน สวนในพระสตู ร เม่ือปรากฏขอความเกยี่ วกับพุทธประวัติตอนนี้ ก็เลาความแนวเดียวกัน เรม่ิ แตพทุ ธ ดําริที่เปนเหตุใหเสดจ็ ออกผนวช การเสด็จออกผนวช การทรงศกึ ษาในสาํ นกั อาฬารดาบส และอทุ ทกดาบส การ บาํ เพญ็ และการละเลิกทกุ รกิริยา การทรงกลบั เสวยพระกระยาหาร แลวบรรลุฌาน และตรัสรวู ชิ ชา ๓ ในตอน ตรสั รมู ีขอความที่ตรสั เลาวา คร้ันเราบรโิ ภคอาหาร มกี ําลงั ข้นึ แลว สงดั จากกาม สงดั จากอกศุ ลธรรมท้ังหลาย บรรลปุ ฐมฌาน... ทุติยฌาน…ตตยิ ฌาน...จตตุ ถฌาน ไมม ีทุกข ไมมสี ุข...มีอเุ บกขาเปน เหตุใหส ตบิ ริสทุ ธ์อิ ยู เราน้ัน เมอ่ื จิตเปน สมาธิ บรสิ ุทธิ์ ผอ งแผว ไมมกี เิ ลส ปราศจากส่ิงมัวหมอง นุมนวล ควรแกก ารงาน ตงั้ ม่ัน ไมห วน่ั ไหวอยางนี้ ไดนอมจติ ไปเพ่ือปพุ เพนิวาสานุสสตญิ าณ กร็ ะลกึ ชาติกอนไดเปน อันมาก (วชิ ชา ท่ี ๑) ...ไดน อ มจิตไปเพ่ือจตุ ูปปาตญาณ กม็ องเหน็ หมูส ตั วท ่จี ุติอบุ ตั ิอยู (วชิ ชาท่ี ๒) ...ไดน อมจติ ไปเพ่อื อาส วักขยญาณ กร็ ชู ดั ตามเปน จริงวา ‘น้ที กุ ข นี้ทกุ ขสมทุ ัย น้ีทุกขนิโรธ นที้ ุกขนิโรธคามนิ ีปฏิปทา เหลานอี้ าสวะ นอ้ี าสวสมทุ ยั นีอ้ าสวนโิ รธ นี้อาสวนโิ รธคามินปี ฏิปทา’ เม่อื เรารเู หน็ อยา งนี้ จติ ไดห ลุดพนแลว จาก กามาสวะ ภวาสวะ และอวชิ ชาสวะ (วชิ ชาท่ี ๓)... ตอ จากน้ี ก็มคี าํ บรรยายพทุ ธดํารใิ นการทจ่ี ะทรงประกาศธรรม ซ่งึ มขี อความอยา งเดียวกับในวินยั ปฎก ทย่ี กมาอา งไวแ ลว ขางตน นั้น จะเหน็ วา วินัยปฎ ก เลา เหตกุ ารณหลงั ตรสั รใู หมๆ ระยะเสวยวิมุตติสุข (ซงึ่ อรรถกถาวา ๗ สปั ดาห) เร่ิม แตพิจารณาทบทวนปฏิจจสมุปบาท จนถงึ ทรงพระดํารทิ ีจ่ ะไมประกาศธรรม เพราะความยากของปฏจิ จสมปุ บาทและนิพพาน ทีไ่ ดตรสั รู สวน พระสูตร เลา เหตุการณก อ นตรัสรเู ปน ลําดบั มา จนถงึ ตรสั รวู ิชชา ๓ แลว ขามระยะเสวยวมิ ตุ ตสิ ุข ท้ังหมดไป มาลงที่พทุ ธดํารจิ ะไมประกาศธรรม เพราะความยากของปฏจิ จสมุปบาท และนพิ พาน เชน เดยี วกนั ผูถอื เอาความในวินยั ปฎ กตอนทรงพิจารณาทบทวนปฏิจจสมปุ บาท และพุทธดําริปรารภการประกาศ ธรรม ทัง้ ในวินยั ปฎก และในพระสูตร ยอมกลาวไดว า พระพทุ ธเจา ตรัสรูปฏจิ จสมปุ บาท (กบั ทั้งนิพพาน) สวนผพู ิจารณาความในพระสตู ร เฉพาะเหตุการณต อนตรัสรูว ิชชา ๓ และจบั เฉพาะวชิ ชาท่ี ๓ ซงึ่ เปน ตวั การตรสั รูแทๆ (วิชชา ๒ อยางแรกยงั นบั ไมไดวา เปน การตรัสรู และไมจ ําเปนสาํ หรับนพิ พาน) กไ็ ดค วามหมาย วา ตรัสรอู ริยสจั ๔ จึงหลุดพน จากอาสวะ อยางไรกด็ ี คาํ ตอบท้งั สองนั้น แมจ ะถูกตอ งทั้งคู แตก ็มีความหมายบางอยางทเี่ ปนพิเศษกวากัน และ ขอบเขตบางแงท ีก่ วางขวางกวากัน ซ่งึ ควรทําความเขา ใจ เพอ่ื มองเห็นเหตุผลในการแยกแสดงเปนคนละหลัก ๒) เรยี นอรยิ สัจ ตองรูหนา ท่ีตออรยิ สัจ

พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 117 ความหมายทตี่ รงกันของหลักใหญท้ังสองนี้ มองเห็นไดงาย เพื่อความรวบรดั ขอใหดหู ลกั อริยสจั พรอ ม ทง้ั ความหมายตามแบบ และหนาทข่ี องคนตอ อริยสจั ขอ น้นั ๆ ๑. ทุกข ไดแ ก ชาติ ชรามรณะ การประจวบกับสง่ิ อันไมเ ปน ทีร่ ัก การพลดั พรากจากของรกั ความ ปรารถนาไมส มหวัง โดยยอ วา อุปาทานขันธ ๕ (ขนั ธ ๕ ท่ียึดไวดว ยอุปาทาน) เปน ทกุ ข พูดอกี นัยหน่งึ คือ ชีวิต และทุกส่ิงท่ีเก่ยี วของ ซึง่ อยภู ายใตกฎธรรมชาติ ทจี่ ะตองผนั แปรไปตามเหตุปจ จัย จงึ แฝงไวด ว ยความกดดัน บีบค้ัน ขดั แยง ขัดขอ ง มคี วามบกพรอง ไมส มบรู ณในตัว พรอมทีจ่ ะทําใหเ กดิ ทุกขเ ปนปญ หาขนึ้ มา เมื่อใดเมอื่ หนึง่ ในรูปใดรูปหนง่ึ แกผ ูทยี่ ึดม่ันไวดวยอุปาทานหนาทต่ี อทุกข คอื การกําหนดรู เขาใจมนั รูเทาทันความเปน จริง (เรียกวา ปริญญา) ๒. ทุกขสมุทัย เรยี กส้ันๆ วา สมทุ ยั (เหตเุ กดิ แหง ทกุ ข) ไดแ ก ตัณหา คือความรานรนทะยานอยาก ท่ีทําให เกดิ ภพใหม ประกอบดว ยความเพลิดเพลนิ และความติดใจ คอยใฝหาความยนิ ดใี หมๆ เรื่อยๆ ไป มี ๓ คือ กามตณั หา ภวตัณหา วิภวตัณหา พูดอกี นยั หน่ึง คอื ความอยากทีย่ ดึ ถือตัวตนเปนท่ตี ัง้ โดยอาการซึง่ มีเรา ทีจ่ ะ ได จะเปน จะไมเปนอยา งนน้ั อยางนี้ ทําใหชวี ติ ถกู บีบค้ันดวยความรูสกึ กระวนกระวาย ความหวาดกังวล ความ ติดของในรูปใดรูปหนึ่งอยตู ลอดเวลา ไมโปรงโลง เปน อสิ ระ หนา ท่ีตอ สมุทยั คอื ละเสีย ทาํ ใหหมดไป เรียกวา ปหานะ ๓. ทุกขนโิ รธ เรยี กส้นั วา นิโรธ (ความดับทกุ ข) ไดแกการที่ตัณหาดับไปไมเหลือ ดวยการคลายออก สละ เสียได สลดั ออก พน ไปได ไมพัวพัน พดู อกี นยั หนงึ่ คือ ภาวะแหง นิพพาน ทีไ่ มมคี วามทุกข เปน สขุ โดยไมข ึ้นตอ ตัณหา ไมถ ูกบบี ค้นั ดว ยความรสู กึ กระวนกระวาย หวาดกงั วล เปน ตน มีชวี ติ ทเี่ ปน อยดู วยปญญา ซงึ่ บรสิ ุทธิ์ เปนอิสระ สงบ ปลอดโปรง ผองใส เบิกบาน หนาท่ตี อ นิโรธ คอื ทาํ ใหแจง ทําใหส ําเร็จ ทําใหเ กดิ มเี ปน จรงิ ข้นึ มา หรือ บรรลถุ ึง เรียกวา สัจฉิกริ ยิ า ๔. ทุกขนโิ รธคามนิ ปี ฏิปทา (ปฏิปทาทีน่ ําไปสูค วามดับแหงทกุ ข) เรียกสั้นๆ วา มรรค ไดแกทางประเสรฐิ มี องคป ระกอบ ๘ คอื สัมมาทิฏฐิ สมั มาสังกปั ปะ สมั มาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชวี ะ สมั มาวายามะ สัมมาสติ และสัมมาสมาธิ หนาที่ตอ มรรค คอื เจรญิ ฝก หรอื ปฏบิ ัติ เรียกวา ภาวนา ๓) อริยสจั กบั ปฏิจจสมุปบาท ครอบคลมุ กนั อยางไร ขอใหเทยี บหลกั อริยสจั นนั้ กับหลัก ปฏจิ จสมุปบาท ดงั นี้ ๑. สมทุ ยั วาร: อวชิ ชาเกดิ ?สังขารเกิด? ฯลฯ ชาติเกดิ ?ชรามรณะ+โสกะ ฯลฯ อปุ ายาส เกิด ๒. นิโรธวาร: อวชิ ชาดับ ? สงั ขารดบั ? ฯลฯ ชาตดิ ับ?ชรามรณะ+โสกะ ฯลฯ อุปายาส ดบั ขอ ๑. คือ ปฏจิ จสมปุ บาท สมทุ ยวาร หรอื แบบอนโุ ลม แสดงกระบวนการเกดิ ทุกข เทากับรวมอริยสัจขอ ๑ (ทุกข) และ ๒ (สมทุ ยั ) ไวในขอ เดียวกัน แตในอรยิ สจั แยกเปน ๒ ขอ เพราะแยกเอาทอ นทาย (ชาติ ชรามรณะ

พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 118 โสกะ ฯลฯ) ทเี่ ปนผลปรากฏ ออกไปต้งั ตางหากเปนอริยสัจขอ แรก ในฐานะเปน ปญหาทป่ี ระสบ ซง่ึ จะตอ งแกไข แลวจึงยอนกลบั มายกทอนทเี่ ปนกระบวนการทั้งหมด ตงั้ เปนขอ ท่ี ๒ ในฐานะเปนการสืบสาวหาตน เหตุของ ปญหา ขอ ๒. คือ ปฏิจจสมปุ บาท นิโรธวาร หรอื แบบปฏิโลม แสดงกระบวนการดบั ทกุ ข เทา กบั อรยิ สัจ ขอ ๓ (นโิ รธ) แสดงใหเ ห็นวา เมื่อแกป ญ หาถกู ตอ งตรงสาเหตแุ ลว ปญหานน้ั จะดับไปไดอยา งไรตามแนวทางของเหตปุ จจัย แมว า โดยตรง ปฏจิ จสมุปบาทนัยนี้ จะตรงกบั อริยสัจขอ ที่ ๓ แตก ็ถอื วา กนิ ความรวมถงึ อรยิ สจั ขอ ๔ ได ดว ย เพราะกระบวนการดบั สลายของปญ หา ยอมบงชี้เปนนยั ใหเห็นแนวทางดาํ เนินการ หรือวิธีการท่วั ไปท่จี ะ ตอ งลงมอื ปฏิบัติในการจดั การแกปญ หานัน้ ไปดวยในตัว กลาวคอื ชใ้ี หเห็นวา จะตองทาํ อะไรบาง ณ จุดใดๆ แม จะยงั ไมล งไปสูรายละเอียดของวิธปี ฏิบตั ิ เม่อื สรุปอริยสัจใหเหลือนอ ยลงอีก กไ็ ด ๒ ขอ คอื ฝายมที กุ ข (ขอ ๑ และ ๒) กบั ฝา ยหมดทุกข (ขอ ๓ และ ๔) ปฏิจจสมุปบาท ๒ นยั น้นั ในท่ีบางแหงถือเปน คาํ จาํ กดั ความของ อรยิ สัจขอท่ี ๒ และ ๓ ตามลาํ ดับ คือ แบบสมุทยวาร ถือเปนคาํ จํากัดความของอริยสัจ ขอที่ ๒ (สมทุ ัย) และแบบนโิ รธวาร เปน คําจํากดั ความ ของอริยสจั ขอ ที่ ๓ (นโิ รธ) พงึ สังเกตวา ในคาํ จํากัดความของอริยสจั โดยทั่วไป ขอ ๒ แสดงเฉพาะตัณหาอยางเดยี ววา เปน สมุทัย และขอ ๓ แสดงการดบั ตัณหาวา เปน นโิ รธ ท้งั นเี้ พราะตัณหาเปน กิเลสตวั เดน เปน ตวั แสดงทป่ี รากฏชัด พูด งา ยๆ วา เปน ตัวแสดงหนา โรง หรือเปน ข้นั ออกโรงแสดงบทบาท เม่ือพดู แบบรวบรัด กจ็ ับเอาแคตวั การทอ่ี อกโรง แสดงแคนี้ อยางไรกด็ ี กระบวนการที่พรอมทั้งโรง รวมถึงหลังฉากหรือหลงั เวทดี วย ยอ มเปน ไปตามกระบวนการป ฏจิ จสมปุ บาท ซง่ึ แสดงสมุทัยต้ังแตจดุ เริม่ ทอ่ี วชิ ชา สว นแงท่ปี ฏจิ จสมปุ บาท กับ อริยสจั พิเศษหรือแปลกจากกนั พอสรปุ ไดดังน้ี ๑. หลกั ธรรมท้ังสอง เปน การแสดงความจรงิ ในรปู แบบทตี่ า งกัน ดว ยวัตถุประสงคคนละอยางปฏจิ จส มุปบาทแสดงความจรงิ ตามกระบวนการของมนั เอง ตามท่ีเปนไปโดยธรรมชาติลว นๆ สวน อริยสัจเปนหลัก ความจริงในรูปแบบท่เี สนอตัวตอ ปญญามนษุ ย ในการที่จะสืบสวนคน ควาและทาํ ใหเกิดผลในทางปฏิบตั ิ โดยนัยน้ี อริยสจั จงึ เปนหลักธรรมท่แี สดงโดยสอดคลองกบั ประวตั ิการแสวงหาสัจธรรมของพระพทุ ธ เจา เรมิ่ แตก ารเผชิญความทุกขท ีป่ รากฏเปนปญ หา แลว สบื สวนหาสาเหตุ พบวา มีทางแก ไมห มดหวงั จึง กาํ หนดรายละเอียดหรือจุดที่ตอ งแกไขและกาํ หนดเปา หมายใหชัด แลวดําเนินการแกไ ขตามวิธีการจนบรรลเุ ปา หมายที่ตอ งการนัน้ และ โดยนยั เดยี วกนั นี้ อรยิ สัจจึงเปนหลักธรรมทีย่ กข้นึ มาใชใ นการส่ังสอน เพือ่ ใหผรู ับคําสอนทําความเขา ใจอยางเปน ระเบียบ มงุ ใหเกิดผลสาํ เรจ็ ท้งั การสัง่ สอนของผสู อน และการประพฤตปิ ฏิบตั ิของผูรบั คาํ สอน

พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 119 สวน ปฏจิ จสมุปบาท เปนตวั กระบวนธรรมแกนกลางของอรยิ สจั และเปนเนอ้ื หาของสภาวธรรม ทจ่ี ะ ตอ งศึกษาเม่ือตองการเขาใจอริยสจั ใหชัดเจนถงึ ทสี่ ุด จงึ เปน หลักธรรมที่พระพุทธเจา ทรงพิจารณาทบทวนหลงั ตรัสรใู หมๆ ๒. ขอ ทแี่ ปลกหรอื พเิ ศษกวากันอยางสําคญั อยทู ีป่ ฏจิ จสมุปบาท ฝายนิโรธวาร ซงึ่ ตรงกับอรยิ สจั ขอท่ี ๓ และ ๔ (นโิ รธ และ มรรค) กลา วคอื ก) เม่อื เทียบกบั อริยสจั ขอ ๓ (นโิ รธ) จะเห็นวา ปฏจิ จสมปุ บาทนโิ รธวาร (ปฏโิ ลมนัย) กลา วถึงนโิ รธดวยกจ็ รงิ แตม ุงแสดงเพียงกระบวนการเขา ถงึ นโิ รธ ไมไ ดมุง แสดงสภาวะของตัวนโิ รธ หรือนิพพานเอง ดวยเหตุน้ีในพุทธดาํ รเิ มือ่ จะทรงประกาศธรรมจงึ แยกธรรม ทีท่ รงพิจารณาเปน ๒ ตอน คอื ตอนแรกกลา วถึงปฏจิ จสมุปบาทอยา งขางตน ตอ จากน้นั มพี ุทธดาํ รติ อไปอกี วา “แมฐ านะอนั น้ี กเ็ ปน สงิ่ ทีเ่ ห็นไดยาก กลา วคอื ความสงบแหง สังขารทง้ั ปวง ความสลดั อุปธทิ งั้ ปวง ความสน้ิ ตัณหา วิราคะ นิโรธ นิพพาน” นีแ้ สดงวา ทรงประสงคต รสั แยกธรรมทตี่ รัสรเู ปน ๒ อยา ง คือ ปฏจิ จสมปุ บาท กับ นโิ รธ (นพิ พาน) สว นอรยิ สจั ขอ ๓ คือ นิโรธ มุงแสดงตวั สภาวะของนิโรธ คือนพิ พานเปน สําคญั โดยมีความหมายเลง็ ไป ถงึ กระบวนการเขาถงึ นิโรธแฝงอยูด วย ข) แมว า ปฏจิ จสมปุ บาท ฝายนิโรธวาร จะกินความรวมถงึ อรยิ สจั ขอ ๔ คอื มรรค ดว ย แตก ย็ ังไมใหผล ในทางปฏิบัตชิ ัดเจน เพราะปฏิจจสมปุ บาทแสดงแตต ัวกระบวนการลว นๆ ตามที่เปน ไปโดยธรรมชาตเิ ทา นัน้ มไิ ดแ จกแจงออกไปใหช ดั เจนวา สงิ่ ท่ีจะตองทํามีรายละเอยี ดอะไรบาง จะตอ งทาํ อยา งไร มีลาํ ดับขัน้ การปฏิบตั ิ อยา งไร โดยเฉพาะกลวธิ ตี างๆ ในการกระทํา คอื ไมไ ดจดั วางระบบวธิ กี ารไวโดยเฉพาะเพอ่ื การปฏิบตั ิอยา งได ผล เหมอื นแพทยรูกระบวนวธิ แี กไ ขโรค แตไ มไดส ัง่ ยาและวธิ ปี ฏิบตั ใิ นการรกั ษาไวใ ห สว นในอริยสัจ มีหลักขอ ที่ ๔ คือ มรรค ซ่งึ กาํ หนดขึ้นไวเ พอ่ื วตั ถปุ ระสงคน ้โี ดยเฉพาะ ใหเปนสจั จะขอ หน่ึงตางหาก ในฐานะขอ ปฏบิ ัติทีพ่ ิสจู นแลว ยืนยันไดวานําไปสูจดุ หมายไดแนน อน อรยิ สจั ขอ ๔ คอื มรรค น้ี แสดงหลักความประพฤติปฏบิ ัติไวอ ยา งละเอียดกวางขวางพสิ ดาร ถือวาเปน คาํ สอนภาคปฏิบตั ิ หรอื ระบบจริยธรรมทัง้ หมดของพระพุทธศาสนา เรียกวา มัชฌมิ าปฏปิ ทา คือ ทางสายกลาง หรอื ขอ ปฏบิ ตั ิท่ีเปน กลางๆ ดําเนนิ ตามความเปนจริงของธรรมชาติ เม่อื เทียบหลักอริยสจั กับ ปฏิจจสมุปบาท ถอื วา ปฏิจจสมุปบาท เปน มัชเฌนธรรมเทศนา คอื หลกั ธรรมท่ีแสดงเปน กลางๆ ตามความเปนจรงิ ของส่งิ ท้งั หลาย หรือหลกั ธรรมสายกลาง สว น มรรค คืออรยิ สจั ขอ ๔ เปน มชั ฌิมาปฏปิ ทา คือทางสายกลาง หรือขอปฏบิ ัติซึ่งจดั วางไวโ ดยสอด คลอ งตามหลักความจริงนน้ั มีเนื้อหาท่เี ปนลักษณะพเิ ศษตา งออกไป จึงควรแยกไวเ ปนอกี เรอ่ื งหนง่ึ ตา งหากโดย เฉพาะ

พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 120 ๔) พระพทุ ธเจา ตรัสรอู ริยสัจ และตรสั สอนอรยิ สจั กอนทจ่ี ะกลาวถงึ เรือ่ งอนื่ ๆ ตอ ไป เหน็ วา ควรทราบฐานะของอริยสัจ ในระบบคําสอนของพระพทุ ธ ศาสนาไวดว ย ตามหลกั ฐานในพระไตรปฎ ก ดงั นี้ ทา นผมู ีอายทุ ง้ั หลาย รอยเทา ของสตั วท งั้ หลายท่เี ที่ยวไปบนผนื แผนดินทงั้ ส้ินทงั้ ปวง ยอ มประชุมลงใน รอยเทา ชา ง รอยเทาชา งนน้ั กลา วไดวา เปน ยอดเย่ียมในบรรดารอยเทา เหลา นนั้ โดยความมีขนาดใหญ ฉันใด กศุ ลธรรมทง้ั สนิ้ ทั้งปวง กส็ งเคราะหลงในอรยิ สัจ ๔ ฉันนัน้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย การรูการเหน็ ของเราตามความเปนจริง ครบปริวฏั ๓ อาการ ๑๒ ในอรยิ สัจ ๔ เหลานี้ ยงั ไมบ ริสทุ ธแ์ิ จม ชดั ตราบใด ตราบน้ัน เราก็ยังปฏญิ าณไมไดวา ไดบรรลุอนตุ รสัมมาสัมโพธญิ าณ... ภกิ ษุท้ังหลาย เพราะไมตรสั รู ไมเขาใจอริยสจั ๔ ทัง้ เราและเธอ จึงไดว ิ่งแลน เรร อนไป (ในสังสารวฏั ) สน้ิ กาลนานอยางนี้ ครงั้ นัน้ แล พระผูม ีพระภาค ตรสั อนปุ พุ พกิ ถาแกอ ุบาลีคฤหบดี กลา วคอื เร่ืองทาน เรอ่ื งศีล เร่ืองสวรรค เรื่องโทษความบกพรอง ความเศราหมองแหง กาม และเร่ืองอานิสงสในเนกขมั มะ ครน้ั พระองคท รงทราบวาอุ บาลคี ฤหบดี มจี ติ พรอม มจี ิตนมุ นวล มจี ติ ปราศจากนิวรณ มจี ิตปลาบปล้มื มีจิตเลอื่ มใสแลว จึงทรงประกาศ สามกุ กังสิกาธรรมเทศนาของพระพทุ ธเจาทั้งหลาย กลา วคอื ทกุ ข สมุทยั นิโรธ มรรค บุคคลครองชีวิตประเสรฐิ (พรหมจรรย) อยกู ับพระผูม ีพระภาค ก็เพื่อการรู การเห็น การบรรลุ การ กระทําใหแจง การเขาถึงสงิ่ ท่ยี งั ไมรู ยงั ไมเ ห็น ยังไมบ รรลุ ยงั ไมกระทําใหแจง ยงั ไมเ ขาถึง (กลาวคอื ขอ ท่วี า) นี้ทุกข นที้ กุ ขสมทุ ัย นท้ี ุกขนโิ รธ นีท้ กุ ขนโิ รธคามนิ ปี ฏิปทา มีสิง่ หน่งึ ทถ่ี อื วา เปนลกั ษณะของคําสอนในพระพุทธศาสนา คือ การสอนความจรงิ ท่เี ปนประโยชน กลาวคอื ความจรงิ ท่นี าํ มาใชใ หเปน ประโยชนแกช ีวิตได สวนสง่ิ ที่ไมเปนประโยชน แมเ ปน ความจรงิ ก็ไมสอน และอริยสัจนี้ถอื วาเปน ความจรงิ ทเ่ี ปนประโยชนใ นทนี่ ้ี โดยเหตุนี้ พระพทุ ธเจา จงึ ไมทรงสนพระทัยและไมย อมทรงเสียเวลาในการถกเถียงปญหาทาง อภปิ รัชญา มีพุทธพจนท่รี จู ักกันมากแหงหน่ึงวาดงั นี้ ถงึ บุคคลผูใ ดจะกลา ววา พระผมู ีพระภาคยังไมทรงพยากรณ (ตอบปญ หา) แกเ ราวา “โลกเท่ียง หรือ โลกไมเทีย่ ง โลกมที ่ีสดุ หรอื โลกไมมที ่สี ุด ชวี ะอันน้นั สรีระกอ็ นั นัน้ หรอื ชวี ะก็อยาง สรรี ะกอ็ ยาง สตั วหลงั จาก ตายมอี ยู หรือไมมอี ยู สัตวหลังจากตาย จะวามอี ยกู ็ใช จะวา ไมม ีอยกู ใ็ ช หรือวาสัตวห ลังจากตาย จะวามอี ยูก็ ไมใช ไมมอี ยูกไ็ มใช” ดังน้ี ตราบใด เราจะไมค รองชวี ติ ประเสรฐิ (พรหมจรรย) ในพระผูมีพระภาค ตราบนนั้ ตถาคตก็จะไมพ ยากรณค วามขอนั้นเลย และบุคคลนั้นก็คงตายไปเสีย (กอ น) เปนแน เปรยี บเหมอื นบรุ ษุ ถกู ยงิ ดว ยลกู ศรอาบยาพิษท่อี าบยาไวอ ยางหนา มติ รสหาย ญาติสาโลหิตของเขา ไปหาศัลยแพทยผูชาํ นาญมาผา บรุ ุษผูตองศรนนั้ พงึ กลา ววา “ตราบใดท่ขี าพเจา ยงั ไมร ูจักคนทยี่ ิงขาพเจา วาเปนกษตั รยิ  เปน พราหมณ เปน แพศย หรอื เปน ศูทร มชี ่ือวา อยา งนี้ มโี คตรวาอยา งน้ี รางสงู เตี้ย หรอื ปานกลาง ดาํ ขาว หรอื คลา้ํ อยูบาน นิคม

พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 121 หรือนครโนน ขา พเจาจะยังไมย อมใหเอาลูกศรนีอ้ อกตราบนั้น ตราบใดขา พเจา ยงั ไมรูวา ธนูทีใ่ ชยงิ ขา พเจา นั้น เปนชนดิ มีแลง หรือชนดิ เกาทณั ฑ สายท่ีใชยิงนัน้ ทําดวยปอ ดวยผวิ ไมไผ ดวยเอน็ ดว ยปา น หรอื ดว ยเยอ่ื ไม ลูก ธนูทใี่ ชย งิ นนั้ ทาํ ดวยไมเกดิ เอง หรอื ไมปลูก หางเกาทัณฑ เสียบดว ยขนปก แรง หรือนกตะกรุม หรอื เหย่ยี ว หรือ นกยูง หรือนกสิถลิ หนุ เกาทัณฑน นั้ พันดว ยเอน็ วัว เอน็ ควาย เอน็ คาง หรือเอ็นลงิ ลกู ธนูท่ใี ชย งิ นัน้ เปนชนิดใด ขาพเจา จะไมยอมใหเอาลกู ศรออกตราบนนั้ ” บรุ ุษนั้นยังไมท ันไดรูความทว่ี า นน้ั เลย กจ็ ะตอ งตายไปเสยี โดยแนแท ฉันใด...บคุ คลนัน้ ก็ฉนั นั้น แนะมาลงุ กยบตุ ร เมอื่ มีทฏิ ฐิวา โลกเทีย่ ง แลว จะมกี ารครองชีวติ ประเสรฐิ (ขึน้ มา) ก็หาไม เมือ่ มที ฏิ ฐิ วา โลกไมเทยี่ ง แลว จะมีการครองชวี ิตประเสริฐ (ขึ้นมา) กห็ าไม เม่อื มีทิฏฐวิ า โลกเท่ียง หรอื วา โลกไมเ ท่ยี ง ก็ ตาม ชาติก็ยังคงมอี ยู ชราก็ยงั คงมอี ยู มรณะก็ยงั คงมีอยู โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนัส อปุ ายาส ก็ยงั คงมีอยู ซึง่ (ความทุกขเหลา นี้แหละ) เปน สงิ่ ทีเ่ ราบญั ญตั ใิ หก ําจดั เสียในปจจุบนั ทเี ดยี ว ฯลฯ ฉะนนั้ เธอทงั้ หลาย จงจาํ ปญหาที่เราไมพยากรณ วา เปน ปญ หาที่ไมพยากรณ และจงจาํ ปญหาทเี่ รา พยากรณ วา เปน ปญหาทพี่ ยากรณเ ถิด อะไรเลา ที่เราไมพ ยากรณ (คอื ) ทิฏฐิวา โลกเทย่ี ง โลกไมเ ที่ยง ฯลฯ เพราะเหตุไรเราจงึ ไมพยากรณ เพราะขอนัน้ ไมป ระกอบดว ยประโยชน ไมเ ปนหลกั เบอ้ื งตน แหงชีวติ ประเสริฐ (พรหมจรรย) ไมเ ปน ไปเพ่อื นพิ พทิ าเพอื่ วริ าคะ เพือ่ นโิ รธ เพื่อความสงบ เพ่ือความรูยง่ิ เพอ่ื นพิ พาน อะไรเลา ท่เี ราพยากรณ (คือขอ วา ) น้ีทกุ ข นท้ี ุกขสมทุ ยั นีท้ กุ ขนโิ รธ นที้ ุกขนิโรธคามนิ ปี ฏิปทา เพราะเหตไุ รเราจึงพยากรณ เพราะประกอบดว ยประโยชน เปนหลักเบอ้ื งตนแหง ชีวิตประเสรฐิ เปนไปเพอ่ื นพิ พทิ า เพ่ือวริ าคะ เพื่อนโิ รธ เพอื่ ความสงบ เพ่อื ความรูย่ิง เพอื่ ความตรสั รู เพอ่ื นิพพาน ข. คุณคา ท่เี ดน ของอรยิ สจั หลกั อรยิ สัจ นอกจากเปน คําสอนที่ครอบคลุมหลักธรรมทง้ั หมดในพระพทุ ธศาสนา ทั้งภาคทฤษฎแี ละ ภาคปฏิบัติ ดงั กลา วมาแลว ยงั มีคณุ คาเดนท่นี าสงั เกตอกี หลายประการ ซ่งึ พอสรุปไดด ังนี้ :- ๑. เปน วิธกี ารแหง ปญญา ซงึ่ ดําเนินการแกไ ขปญหาตามระบบแหงเหตผุ ล เปนระบบวธิ แี บบอยา ง ซง่ึ วิธีการแกปญ หาใดๆ กต็ าม ท่ีจะมคี ณุ คา และสมเหตผุ ล จะตองดําเนินไปในแนวเดียวกันเชนน้ี ๒. เปน การแกป ญหาและจดั การกบั ชีวติ ของตน ดวยปญญาของมนุษยเ อง โดยนําเอาหลักความจรงิ ท่ี มอี ยตู ามธรรมชาติมาใชป ระโยชน ไมต องอา งอาํ นาจดลบนั ดาลของตวั การพิเศษเหนือธรรมชาติ หรอื สง่ิ ศักดิ์ สทิ ธิใ์ ดๆ ๓. เปน ความจริงท่เี กยี่ วของกับชีวติ ของคนทุกคน ไมว า มนุษยจ ะเตลดิ ออกไปเกย่ี วขอ งสมั พนั ธก บั ส่ิงท่ี อยูหา งไกลตวั กวางขวางมากมายเพยี งใดก็ตาม แตถ าเขายังจะตองมีชวี ติ ของตนเองทม่ี คี ุณคา และสัมพันธกับ สงิ่ ภายนอกเหลา นน้ั อยา งมผี ลดแี ลว เขาจะตองเก่ยี วขอ งและใชป ระโยชนจากหลักความจรงิ นี้ตลอดไป

พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 122 ๔. เปนหลักความจริงกลางๆ ทต่ี ดิ เน่อื งอยูก ับชีวิต หรอื เปนเรื่องของชีวิตเองแทๆ ไมว า มนุษยจะสราง สรรคศิลปวิทยาการ หรอื ดําเนนิ กิจการใดๆ ข้ึนมา เพอื่ แกปญ หาและพฒั นาความเปน อยขู องตน และไมวา ศิลป วทิ ยาการ หรือกิจการตา งๆ น้นั จะเจรญิ ข้ึน เสอื่ มลง สูญสลายไป หรอื เกิดมีใหมมาแทนอยางไรกต็ าม หลกั ความจริงนก้ี ็จะคงยืนยง ใหม และใชเปนประโยชนไดต ลอดทกุ กาล บทเพ่ิมเตมิ เรอื่ งเหตปุ จจยั ในปฏจิ จสมปุ บาท และกรรม ๑) บางสวนของปฏิจจสมปุ บาท ทีค่ วรสงั เกตเปนพเิ ศษ ปฏิจจสมปุ บาท เปนเรอ่ื งของกฎธรรมชาติ จึงเปน เรอ่ื งใหญ มคี วามกวา งขวางลึกซง้ึ และมแี งด า นตา งๆ มากมาย ละเอียดซบั ซอ นอยางยิ่ง ไมต องพดู ถงึ วาจะยากตอการทีจ่ ะเขาใจใหท ั่วถึง แมแ ตจะพูดใหค รบถว นก็ ยากท่จี ะทําได ดว ยเหตนุ ้ี ในการศึกษาทั่วๆ ไป เม่ือเรียนรหู ลกั พื้นฐานแลว ก็อาจจะศกึ ษาบางแงบ างจุดที่นาสนใจเปน พิเศษ โดยเฉพาะสว นทเี่ กื้อหนุนความเขา ใจท่วั ไป และสวนทีจ่ ะนํามาใชป ระโยชนใ นการดาํ เนินชวี ิต แกป ญ หา และทําการสรางสรรคตา งๆ ในทีน่ ้ี จะขอยอ นกลับไปยกขอ ควรทราบสําคัญ ทกี่ ลา วถึงขา งตน ข้นึ มาขยายความอกี เล็กนอ ย พอให เขา ใจชัดเจนมากขนึ้ และเหน็ ทางนําไปใชประโยชนไ ดง า ยข้นึ โดยเฉพาะในแงข องหลักกรรม ท่เี ปนธรรมสืบ เนอื่ งออกไป อยางไรก็ตาม เน่อื งจากหวั ขอนเ้ี ปนเพยี งคาํ อธบิ ายเสรมิ การขยายความจงึ ทาํ ไดเ พยี งโดยยอ ใน หนา ๘๕ ไดเขยี นขอ ความสั้นๆ แทรกไวพอเปน ทส่ี ังเกต ดังตอไปนี้ “ขอ ควรทราบท่สี ําคัญอกี อยางหน่งึ คอื - ความเปน ปจจยั แกกนั ขององคป ระกอบเหลานี้ มิใชม คี วามหมายตรงกบั คาํ วา “เหต”ุ ทเี ดยี ว เชน ปจจยั ใหตน ไมงอกขน้ึ มิใชหมายเพียงเมล็ดพืช แตห มายถงึ ดิน นํ้า ปุย อากาศ อณุ หภูมิ เปน ตน เปน ปจ จัยแต ละอยาง และ - การเปนปจจัยแกก ันน้ี เปน ความสมั พนั ธท่ีไมจาํ ตองเปนไปตามลาํ ดับกอนหลงั โดยกาละหรอื เทศะ เชน พืน้ กระดาน เปนปจจยั แกการตงั้ อยขู องโตะ เปน ตน ” ขอความน้บี อกใหทราบวา ปฏิจจสมุปบาท เปนหลักความจรงิ ของธรรมชาติ ทแ่ี สดงถงึ ความสมั พันธ เปน เหตุปจ จยั แกก ันของสิง่ ทงั้ หลาย ๒) ความหมายของ เหตุ และ ปจ จยั เบือ้ งแรกควรเขาใจความหมายของถอยคาํ เปน พน้ื ไวก อน ในทที่ ั่วไป หรอื เม่ือใชต ามปกติ คําวา “เหต”ุ กับ “ปจ จัย” ถือวา ใชแทนกันได

พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 123 แตใ นความหมายที่เครง ครดั ทา นใช “ปจ จัย” ในความหมายที่กวางแยกเปนปจจยั ตา งๆ ไดห ลาย ประเภท สวนคําวา “เหตุ” เปน ปจจยั อยางหนึง่ ซ่ึงมคี วามหมายจํากดั เฉพาะ กลา วคอื “ปจ จัย” หมายถึง สภาวะทีเ่ อื้อ เก้อื หนนุ ค้าํ จุน เปด โอกาส เปน ทีอ่ าศยั เปน องคป ระกอบรว ม หรอื เปน เงือ่ นไขอยางใดอยางหน่ึง ทีจ่ ะใหส ิ่งนั้นๆ เกิดมีข้นึ ดําเนินตอ ไป หรอื เจรญิ งอกงาม สว นคาํ วา “เหตุ” หมายถงึ ปจ จัยจําเพาะ ทเี่ ปนตัวกอ ใหเกดิ ผลน้นั ๆ “เหตุ” มีลักษณะทพ่ี งึ สังเกต นอกจากเปนปจจัยเฉพาะ และเปนตวั กอใหเ กดิ ผลแลว ก็มภี าวะตรงกับ ผล (สภาวะ) และเกิดสบื ทอดลําดบั คอื ตามลําดบั กอนหลังดวย สว น “ปจจยั ” มลี กั ษณะเปนสาธารณะ เปนตัวเก้ือหนุนหรือเปน เงอื่ นไข เปน ตน อยางท่กี ลา วแลว อกี ทงั้ มภี าวะตาง (ปรภาวะ) และไมเก่ียวกบั ลําดบั (อาจเกดิ กอน หลัง พรอ มกนั รวมกัน หรอื ตอ งแยกกนั -ไมร ว ม กนั กไ็ ด) ตวั อยางเชน เมด็ มะมวงเปน “เหต”ุ ใหเ กิดตนมะมว ง และพรอ มกันน้ัน ดนิ น้ํา อุณหภูมิ โอชา (ปุย) เปน ตน ก็เปน “ปจ จยั ” ใหตน มะมว งนั้นเกิดขึน้ มามีเฉพาะเหตคุ ือเม็ดมะมวง แตป จ จัยทีเ่ ก่ยี วขอ งไมพรอ ม หรอื ไมอ ํานวย ผลคือตน มะมว งกไ็ มเกดิ ข้ึนในเวลาอธบิ ายเรอ่ื งเหตปุ จ จยั มีอกี คาํ หนง่ึ ทที่ า นนิยมใชแทนคาํ วา เหตุ ปจจยั คอื คําวา “การณะ” หรือ “การณ” ซงึ่ ก็แปลกนั วา เหตุ ในพระอภิธรรม ทานจาํ แนกความสัมพนั ธของส่งิ ท้งั หลาย ทีเ่ ปน เหตุปจจยั แกกันนี้ไวถงึ ๒๔ แบบ เรียก วา ปจ จยั ๒๔ เหตุ เปน ปจจัยอยา งหนึ่งใน ๒๔ นั้น ทา นจดั ไวเ ปน ปจจัยขอแรกเรียกวา “เหตปุ จ จยั ” ปจ จัยอืน่ อีก ๒๓ อยา งจะไมก ลาวไวทัง้ หมดท่ีน่ี เพราะจะทาํ ใหฟน เฝอแกผูเรม่ิ ศึกษา เพยี งขอยกตวั อยา งไว เชน ปจจยั โดยเปนท่อี าศยั (นิสสยปจจัย) ปจจยั โดยเปนตัวหนนุ หรอื กระตนุ (อปุ นิสสยปจจัย) ปจจัย โดยประกอบรว ม (สมั ปยุตตปจจยั ) ปจจัยโดยมีอยู คือตองมีสภาวะนัน้ สิ่งน้ีจงึ เกิดมไี ด (อัตถปิ จ จัย) ปจจยั โดย ไมมีอยู คือตอ งไมม สี ภาวะนัน้ ส่ิงน้จี ึงเกิดขน้ึ ได (นตั ถปิ จ จยั ) ปจจยั โดยเกิดกอน (ปเุ รชาตปจจยั ) ปจจัยโดยเกิด ทีหลัง (ปจ ฉาชาตปจจัย) ฯลฯ ทีว่ า น้รี วมทงั้ หลกั ปลีกยอยที่วา อกศุ ลเปนปจจยั แกก ศุ ล (ชวั่ เปนปจจัยใหเ กิดดี) ก็ได กุศลเปน ปจ จัยแก อกุศล (ดเี ปน ปจ จยั ใหเ กิดชว่ั ) กไ็ ดด ว ย ปจ จยั ขอ อน่ื เม่ือแปลความหมายเพยี งสนั้ ๆ ผูอา นก็คงพอเขาใจไดไ มย าก แตป จ ฉาชาตปจ จัย คอื ปจจัยเกดิ ทีหลงั คนท่วั ไปจะรสู ึกแปลกและคดิ ไมอ อก จึงขอยกตัวอยางงา ยๆ ดา นรปู ธรรม เชน การสรา งตึกที่ จะดาํ เนินการภายหลัง เปน ปจฉาชาตปจจัยแกก ารสรางนัง่ รานทเี่ กดิ ข้ึนกอน สว นในทางสภาวธรรมดา นนาม ทา นยกตัวอยา งวา จติ และเจตสิกซงึ่ เกิดทีหลงั เปนปจจัยแกร างกายนที้ ่เี กิดขึ้นกอ น ขอสรปุ ความตอนนว้ี า ตามหลกั ธรรม ซ่ึงเปนกฎธรรมชาติ การทีส่ ่ิงใดสิง่ หนงึ่ หรือปรากฏการณอยา งใดอยา งหนง่ึ จะเกิดมขี น้ึ ได ตอ งอาศัยเหตปุ จจัยตางๆ หลากหลายประชมุ กันพรัง่ พรอ ม (ปจ จยั สามัคคี)

พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 124 ๓) ผลหลากหลาย จากปจจยั อเนก ตามหลกั แหง ความเปนไปในระบบสัมพนั ธนี้ ยงั มขี อ ควรทราบแฝงอยอู กี โดยเฉพาะ - ขณะทเี่ ราเพงดเู ฉพาะผลอยา งหน่ึง วาเกิดจากปจจยั หลากหลายพร่งั พรอมนน้ั ตอ งทราบดวยวา ทแ่ี ท นัน้ ตองมองใหค รบทง้ั สองดา น คือ ๑. ผลแตละอยา ง เกิดโดยอาศยั ปจ จยั หลายอยาง ๒. ปจ จยั (ท่ีรว มกนั ใหเ กิดผลอยา งหน่ึงนนั้ ) แตละอยา ง หนนุ ใหเกิดผลหลายอยาง ในธรรมชาติทเี่ ปนจริงน้ัน ความสัมพนั ธและประสานสง ผลตอ กันระหวางปจจัยท้ังหลาย มีความ ละเอยี ดซบั ซอ นมาก จนตอ งพดู รวมๆ วา “ผลหลากหลาย เกิดจากเหต(ุ ปจ จยั )หลากหลาย” หรือ “ผลอเนก เกิดจากเหตอุ เนก” เชน จากปจจัยหลากหลาย มเี มลด็ พชื ดิน น้าํ อณุ หภมู ิ เปนตน ปรากฏผลอเนก มีตน ไม พรอมทัง้ รปู สี กลนิ่ เปนตน - ย้าํ วา ความเปน เหตุปจจัยนัน้ มิใชม เี พียงการเกิดกอน-หลังตามลําดับกาละหรอื เทศะเทา น้นั แตม ี หลายแบบ รวมท้ังเกิดพรอ มกนั หรือตองไมเกิดดว ยกนั ดังกลาวแลว เม่ือเหน็ สิง่ หรอื ปรากฏการณอยา งหน่ึง เชนตัวหนังสือบนกระดานปายแลว มองดโู ดยพนิ จิ กจ็ ะเหน็ วา ท่ี ตัวหนงั สอื ตวั เดียวนน้ั มีเหตุปจจัยแบบตา งๆ ประชุมกนั อยมู ากมาย เชน คนเขยี น (เจตนา+การเขียน) ชอลก แผน ปาย สที ตี่ ัดกัน ความชื้น เปน ตน แลวหดั จาํ แนกวาเปน ปจจยั แบบไหนๆ หนง่ึ วา - นอกจากเร่อื งปจจัย ๒๔ แบบ ทเ่ี พียงใหต วั อยา งไวแลว ขอใหดตู ัวอยางคาํ อธิบายของทานสกั ตอน แทจ ริงนั้น จากเหตเุ ดยี ว ในกรณีน้ี จะมผี ลหนึง่ เดียว กห็ าไม (หรือ) จะมีผลอเนก ก็หาไม (หรือ) จะมี ผลเดียวจากเหตอุ เนก กห็ าไม; แตย อ มมีผลอเนก จากเหตอุ นั อเนก ตามหลักการน้ี ทานสอนไวด วยวา ในปฏิจจสมปุ บาททพ่ี ระพุทธเจา ตรัสวา “เพราะอวชิ ชา(อยา งน้ัน) เปน ปจ จยั สงั ขาร(อยา งน้ัน)จึงมี, เพราะสงั ขาร(อยางนั้น)เปนปจจยั วญิ ญาณ(อยา งน้ัน)จึงม,ี ฯลฯ” ดงั นี้ - จะตอ งไมเ ขาใจผิดไปวา พระองคตรสั เหตเุ ดียว-ผลเดยี ว หรอื ปจ จยั อยางหน่ึง--ผลอยางหน่งึ เทา น้นั - ทจ่ี ริงนน้ั ในทุกคทู กุ ตอน แตละเหตุ แตละผล มีปจ จัยอน่ื และผลอืน่ เกิดดว ย ถาอยางนนั้ เหตใุ ดจึงตรสั ชวงละปจ จัย ชว งละผล ทีละค?ู ตอบวา การท่ตี รสั เหต/ุ ปจจยั และผล เพียง อยา งเดียวนนั้ มีหลกั คือ บางแหงตรสั เพราะเปน ปจ จัยหรือเปนผล ตัวเอกตวั ประธาน บางแหง ตรสั เพราะเปน ปจ จยั หรือเปน ผล ตัวเดน บางแหงตรัส เพราะเปน ปจ จยั หรือเปนผล จําเพาะ (อสาธารณะ)

พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 125 บางแหง ตรสั ตามความ เหมาะกับทํานองเทศนา (เชน คราวนัน้ กรณนี น้ั จะเนน หรือมุง ใหผฟู งเขาใจแง ไหนจุดใด) หรอื ให เหมาะกับเวไนย คอื ผรู บั คําสอน (เชน ยกจุดไหน ประเดน็ ใดขน้ึ มาแสดง บุคคลน้ันจึงจะสนใจ และเขา ใจไดด )ี ในทนี่ ี้ ตรสั อยางนั้น เพราะจะทรงแสดงปจจัยและผล ทเ่ี ปน ตวั เอกตวั ประธาน เชนในชวง “เพราะผัสสะ เปนปจ จยั เวทนาจึงมี” ตรัสอยางน้ี เพราะผัสสะเปน ปจ จยั ตัวประธานของเวทนา (กําหนดเวทนาตามผสั สะ) และเพราะเวทนาเปน ผลตวั ประธานของผสั สะ (กาํ หนดผัสสะตามเวทนา) หลกั ความจริงนปี้ ฏิเสธลัทธิเหตุเดยี ว ทเ่ี รยี กวา “เอกการณวาท” ซึง่ ถือวา สงิ่ ทง้ั หลายเกิดจากตน เหตุ อยางเดยี ว โดยเฉพาะลัทธทิ ่ถี อื วามี มลู การณ เชน มพี ระผูส ราง อยา ง อสิ สรวาท (=อิศวรวาท คือลทั ธิพระผู เปน เจาบนั ดาล)ปชาปตวิ าท (ลัทธิถือวาเทพประชาบดีเปนผูส รา งสรรพสัตว) ปกตวิ าท (ลทั ธสิ างขยะ ที่ถอื วาส่ิง ทงั้ ปวงมกี าํ เนดิ จากประกฤติ) เปน ตน แมแตในสมยั ปจจุบัน คนก็ยังติดอยกู บั ลัทธเิ หตุเดยี วผลเดียว ตลอดจนลทั ธผิ ลเดียว และประสบปญ หา มากจากความยึดตดิ นี้ ดังปรากฏชดั ในวงการวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ท่มี งุ ผลเปา หมายอยางใดอยา งหนึ่ง แลวศกึ ษาและนําความรคู วามเขา ใจในเหตปุ จจยั มาประยกุ ตใ หเ กดิ ผลทต่ี องการ แตเพราะมองอยูแคผ ลเปา หมาย ไมไ ดมองผลหลากหลายทเ่ี กดิ จากปจจัยอเนกใหท วั่ ถงึ (และยงั ไมมีความสามารถเพียงพอท่ีจะมองเห็น อยางนน้ั ดวย) จึงปรากฏบอยๆ วา หลงั จากทําผลเปา หมายสาํ เรจ็ ผา นไป บางที ๒๐–๓๐ ป จงึ รูตวั วา ผลรายท่ี พวงมากระทบหมมู นุษยอยา งรนุ แรง จนกลายเปนไดไมเทา เสยี วงการแพทยสมยั ใหม แมจ ะถูกบังคับจากงานเชงิ ปฏิบตั กิ าร ใหเ อาใจใสต อ ผลขา งเคียงตางๆ มากสกั หนอ ย แตค วามรูเขา ใจตอ ความสมั พนั ธเ ชิงเหตุผลของปรากฏการณตา งๆ โดยสว นใหญ กย็ ังเปน เพียงการ สงั เกตแบบคลุมๆ ไมสามารถแยกปจจัยแตละอยางทสี่ มั พันธต อไปยังผลแตล ะดา นใหเ หน็ ชดั ได พดู โดยรวม แมวามนษุ ยจะพัฒนาความรูในธรรมชาติไดกาวหนามามาก แตค วามรูนนั้ ก็ยงั หา งไกล จากการเขาถึงธรรมชาตอิ ยางแทจ ริง อยา งไรกต็ าม ในดา นนามธรรม มนุษยค วรใชป ระโยชนจ ากความรใู นความจรงิ ของระบบปจ จยั สมั พนั ธ ทเ่ี รยี กวาปฏจิ จสมุปบาทนีไ้ ดมาก โดยเฉพาะในการดาํ เนนิ ชีวิตของตน คอื ในระดบั กฎแหง กรรม ความเขา ใจหลกั “ผลหลากหลาย จาก ปจจยั อเนก” จะชวยใหจดั การกับชีวิตของตน ใหพ ัฒนาท้งั ภายใน และดาํ เนนิ ไปในโลกอยางสาํ เรจ็ ผลดี ๔) วิธีปฏบิ ัติตอกรรม เมอื่ พดู ถึงหลกั กรรม ปญ หาทพ่ี ดู กันมากทสี่ ดุ ก็คอื ทาํ ดีไดด ี จรงิ หรือไม? ทําไมฉันทาํ ดีแลว ไมเหน็ ไดด ี? ถาเขา ใจปฏิจจสมุปบาท ในเรื่องเหตุปจ จัยอยางท่พี ดู ไปแลว ปญหาอยา งน้นั จะหมดไป แตจ ะกาวขึน้ ไปสูคําถามใหมทีเ่ ปน ประโยชนแ ละควรจะถามมากกวาวา ทาํ กรรมอยางไรจงึ จะไดผ ลดี และไดผ ลดยี ิง่ ขนึ้ ไป?

พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 126 อกี ปญ หาหนง่ึ คอื กรรมเกา มผี ลตอชวี ิตของเราแคไ หน? และเราควรปฏบิ ัตติ อ กรรมเกาอยา งไร? แมวาเรอ่ื งกรรมจะละเอียดซบั ซอ นมาก แตก ็พอจะใหหลักในการพจิ ารณาทสี่ ําคัญได (ขอใหท บทวน ตามหลักใหญท ไ่ี ดพ ูดไปแลว ) ดังนี้ ๑. รหู ลกั ความตรงกันของเหตุกับผล ตอ งถามตัวเอง หรอื จับใหช ัดกอนวา กรรมคอื ความดีท่เี ราทํานี้ เปน ปจ จัยตวั เหตุ ท่ีจะใหเ กิดผลอะไร ท่ีเปนผลโดยตรงของมนั (ผลโดยตรงของเหต)ุ เชน การปลกู เม็ดมะมวง ทําใหเกิดตน มะมว ง (ไมใชไ ดตน มะปราง ไมใ ชไดเงิน เปนตน ) การศกึ ษา ทําใหไ ดปญ ญาและเปน อยูหรอื จัด การกับชวี ิตของตนและปฏิบตั ิตอ สง่ิ ทง้ั หลายไดดขี นึ้ (ไมใ ชไ ดเ งนิ ไมใชไดง าน เปนตน) การเรยี นแพทย ทาํ ให สามารถบําบดั โรครักษาคนไข (ไมใชไดต ําแหนง ไมใชร าํ่ รวย เปนตน) ๒. กาํ หนดผลดที ่ตี องการใหชดั จะเห็นวา เพยี งแคต ามหลกั ความจริงของธรรมชาตวิ า “ผลหลากหลาย จากปจจัยอเนก” การแยกปจ จยั แยกผลก็ซับซอ นอยแู ลว เมื่อพดู ถงึ สงั คมมนุษย ความซบั ซอ นก็ยิ่งเพมิ่ มากข้ึน เพราะมีกฎมนุษย และปจจัยทางสังคม ซอนขึ้นมาบนกฎธรรมชาตอิ ีกช้นั หนงึ่ ขอยกตวั อยางงา ยๆ กฎธรรมชาติ: การทาํ สวนเปนเหตุ ตน ไมเจริญงอกงามเปน ผล กฎมนุษย: การทําสวนเปน เหตุ ไดเ งินเดอื น ๗,๐๐๐ บาทเปนผล หรือ การทําสวนเปนเหตุ ขายผลไมไดเ งนิ มากเปนผล ผลโดยตรงของเหตุ เปนผลตามกฎธรรมชาติ ซึ่งเปน ไปตามความสมั พนั ธแหง เหตปุ จจัยท่เี ท่ียงตรง อยา งไรก็ดี ผลที่คนพดู ถึงกนั มาก มักไมใ ชผลโดยตรงของเหตทุ เ่ี ปน ไปตามกฎธรรมชาตินนั้ แตคนมกั พูดกันถึงผลตามกฎมนษุ ย กฎมนษุ ยเ ปน กฎสมมติ ซึ่งขึน้ ตอเงื่อนไขคอื สมมติ (=ส-ํ รว มกัน + มต-ิ การยอมรบั , ขอตกลง - สมมติ=การตกลงหรอื ยอมรบั รวมกนั ) ซ่งึ ผนั แปรได และยงั มีปจ จัยอื่นๆ ท่นี อกเหนือกฎมนษุ ยนนั้ อีก เชน คานยิ มของสงั คม และความถกู ใจพอใจของบุคคล เปน ตน โดยมคี วามตอ งการเปนตัวกําหนดท่สี าํ คัญ จะเห็นวา ความหมายของคําไทยวา “ดี” หรือ “ไมด ”ี นี้ มักจะกํากวม “ด”ี น้ี เรามักใชใ นความหมายวา นาปรารถนา ตรงกบั ความพอใจ ชอบใจ หรือแมกระท่งั เปนไปตามคา นยิ ม ดงั นน้ั จงึ ตอ งมกี ารแยกแยะ เชน วา ดี ตรงไปตรงมาตามความจริงของธรรมชาติ ดตี อชีวิต ดใี นเชงิ สังคม เปน ตน ยกตัวอยางท่ีแสนจะงาย ใกลๆ ตัว เชน เรากนิ อาหารอยางหน่งึ ท่มี ผี ลดีตอ ชวี ติ ทําใหมสี ุขภาพดี แต อาจจะไมด ีในเชงิ สังคม ไมสนองคานิยมใหร สู กึ โกเก บางคนอาจจะดูถูกวา เราต่าํ ตอย หรอื วาไมท นั สมัย แตช วี ติ เรากด็ ี ในทางตรงขาม มคี นอน่ื มาใหของกนิ อยา งหน่ึงแกเ รา อาจจะเปนขนมกไ็ ด ราคาแพง มกี ลองใส หอ อยางสวยหรู โกเกมาก ดเี หลอื เกนิ ในเชิงสงั คม เราอาจจะลงิ โลดดใี จทไ่ี ดรบั แตถา กินเขาไป ของนน้ั กลับไมดตี อ ชีวติ ของเรา จะบ่ันทอนสขุ ภาพ หรือกอใหเกดิ โรค นเี่ ปนตัวอยา ง ซง่ึ คงนึกขยายเองได

พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 127 เพราะฉะนัน้ คาํ วา “ผลด”ี ที่พูดถงึ หรือนกึ ถงึ น้นั จะตองวิเคราะหหรอื กาํ หนดใหชัดกับตวั เองวา ผลดที ี่ เราตอ งการนัน้ “ดี” ในแงไ หน เชน เปน นกั กฬี าเตะตะกรอ ๑. ผลดตี ามกฎธรรมชาติ (=รา งกายแข็งแรงเคลอ่ื นไหวแคลว คลอง) -ไดผลแนน อน เทา กับผลรวมหักลบแลว ของเหตปุ จจยั ๒. ผลดีตามนยิ ามและนยิ มของมนษุ ย - ในแงก ระแสสังคม (=ผูค นช่นื ชมนิยมยกยอง) ปจ จัยภายนอก: ไมเอื้อ ?คนสนใจนอ ย ไดร บั การยกยอ งในวงแคบ - ในแงอ าชีพ (=เปน ทางหารายไดมเี งนิ เลี้ยงชีวติ และร่าํ รวย) ปจจยั ภายนอก: ไมเ อื้อ ?แมเ ปนสมั มาชีพ แตห าเงินยาก อาจฝด เคอื ง - ในแงว ัฒนธรรม (=ชวยรักษาสมบตั ทิ างวัฒนธรรมของชาติ) ปจ จยั ภายใน: ถาทาํ ใจถูกตอ ง-รูส ึกวา ไดท ําประโยชน ภมู ิใจ สุขใจ แต ปจ จยั ภายนอก: เงอ่ื นไขกาลเทศะ-คนอาจจะไมเหน็ คุณคาขึ้นตอสภาพสังคม-การเมอื ง นเี้ ปนเพียงตวั อยา งของการทจี่ ะตองวเิ คราะหห รือกําหนดใหชัดกบั ตวั เองวา ผลดีท่เี ราตองการน้ัน “ดี” ตามสภาวะของมนั ดที เี่ ปน ความดตี ามหลกั การแทๆ (เชน ดีเพ่อื ความดี) หรอื ดตี อ ชวี ิตของเรา หรอื ดใี นแงส งั คม โดยการยอมรับ โดยระบบ โดยคานยิ ม ฯลฯ เม่ือชดั กับตวั เองแลววา เราตองการผลดีในความหมายใด ก็วเิ คราะหตอ ไปวา ผลดแี บบทเ่ี ราตองการ นนั้ จะเกดิ ข้นึ ได นอกจากตัวการกระทาํ ดที ่ีเปน เหตตุ รงแลว จะตองมีปจจยั อะไรอกี บาง ปจ จยั เหลา น้นั มีอยู หรอื เอ้อื อํานวยหรือไม มีปจ จัยประกอบอะไรอกี ที่เราจะตอ งทาํ เพือ่ ใหค รบถว นที่จะออกผลที่เราตองการ ถา ตองการผลดที ีป่ จจยั ไมเออื้ ผลยากท่จี ะมา จะยอมรบั หรือไม ฯลฯ ขอย้ําวา ผลดีตามสภาวะ หรอื ตามกฎธรรมชาตนิ ้ัน เปน ของแนนอนตามเหตปุ จ จัยของธรรมชาติเอง แตผลดีตามนิยามและนิยมของมนษุ ยขน้ึ ตอ เจตจํานง เกีย่ วเน่อื งกบั ความตอ งการของมนุษยตามกาละและ เทศะเปนตน ซ่ึงจะตอ งใชปญญาวเิ คราะหสืบคน ออกมา หลกั ปฏิบตั ทิ ี่ถูกตอง กค็ ือ ไมวา จะอยา งไรก็ตาม พึงมงุ ผลดตี ามสภาวะเปนแกนหรอื เปนหลกั ไวกอ น ซง่ึ เม่ือทาํ ก็ยอ มได สว นผลดีเชงิ สังคมเปน ตน พึงถอื เปน เร่ืองรองหรือเปน สว นประกอบ จะไดห รอื ไม กแ็ ลวแต ปจจยั ทีเ่ กย่ี วของ ไดกด็ ี ไมไดก ็แลวไป เชนทาํ ดเี พอ่ื ใหเกิดความดี ใครจะยกยองสรรเสรญิ หรือไม ก็ไมมัวติดของ หรอื ทําดีเพ่อื ฝกตน เพื่อใหชีวติ และสงั คมเจรญิ งอกงาม โดยไมต อ งคดิ จะเอาหรอื จะไดอะไรจากสงั คม แตถามุง เอาผลดดี านสงั คมเปน ตน โดยไมทาํ ใหเ กดิ ผลดตี ามสภาวะ ถึงจะไดผลท่ตี อ งการ แตจ ะกลาย เปน การหลอกลวง ซงึ่ มีแตจะทาํ ใหชีวติ และสงั คมเสือ่ มทรามลงไป ไมเ ร็วก็ชา ๓. ทาํ เหตปุ จจยั ใหค รบที่จะใหเ กดิ ผลทตี่ อ งการ ตามหลกั ความพรง่ั พรอมของปจ จยั อะไรจะปรากฏ เปน ผลขนึ้ ตอ งมีปจจยั พรง่ั พรอม ตรงน้จี ะชว ยใหไมไปตดิ ในลัทธิเหตุเดียวผลเดียว

พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 128 หลักหรอื กฎไมไ ดบอกวา เมือ่ เอาเม็ดมะมวงไปปลูกแลว ตน มะมวงจะตองงอกขึ้นมา ทานพดู แตเ พยี ง วา จากเมด็ มะมว ง ตนไมทจี่ ะงอกขน้ึ มา กเ็ ปนมะมวง นค้ี ือ เหต?ุ ผล หรือ ปจ จัยตวั ตรงสภาวะ?ผล การที่เม็ด มะมวงจะงอกขึ้นมาเปนตนมะมว งนัน้ ไมใชม ีแตเม็ดมะมวงอยา งเดยี วแลวจะไดต นมะมวง ตอ งมดี ิน มีปยุ ใน ดนิ มนี ้ํา มแี กส (เชน ออกซเิ จน คารบ อนไดออกไซด) มอี ณุ หภูมิพอเหมาะ เปน ตน พดู สนั้ ๆ วา เมื่อปจจยั พรง่ั พรอ มแลว ตนมะมวงจงึ จะงอกข้นึ มาได นอกจากผลท่เี รามองจะเกิดจากปจจยั หลายอยา งพรง่ั พรอมแลว ปจ จัยแตล ะอยา งทม่ี าพรงั่ พรอ มนนั้ ก็ สัมพนั ธไ ปสูผ ลอยางอ่ืนทเ่ี ราไมไดมองขณะนน้ั ดว ย ดงั ไดพดู แลว ขางตน ไดบ อกแลว วา ใหมงุ ผลดตี ามสภาวะเปนหลักหรือเปนแกนไวก อ น ตอนน้กี ็มองดูวามปี จจัยตัวไหนบาง ท่จี ะตองทาํ ใหค รบทีจ่ ะเกดิ ผลนี้ ตอ จากนน้ั เม่ือยงั ตองการผลดีดานไหนอีก เชน ในทางสังคม เปน ตน ก็ พจิ ารณาใหครบ แลวทาํ กรรมดใี หไดเหตุปจ จยั พรงั่ พรอ มท่จี ะเกิดผลดีตามท่ีตอ งการนน้ั ๔. ฝก ฝนปรบั ปรงุ ตนใหท าํ กรรม(ไดผ ล)ดีย่งิ ข้นึ ไป ตามหลกั ความไมป ระมาท โดยเฉพาะความไม ประมาทในการศึกษา เราจะตองฝก กาย วาจา จติ ใจ และปญ ญา (เรยี กรวมวา ไตรสิกขา คอื ศีล สมาธิ ปญญา) ใหส ามารถทํากรรมทีด่ ยี ง่ิ ขนึ้ ๆ เชน จากกรรมช่ัว เปล่ียนมาทาํ กรรมดี จากกรรมดี ก็กาวไปสูกรรมดที ่ี ประณตี หรอื สูงยิ่งขึ้นๆ ใหชีวติ กา วไปในมรรค คอื ในวถิ ชี ีวิตประเสริฐ ทเ่ี รียกวา พรหมจริยะ/พรหมจรรย (ถา ใชคําศัพท ก็คอื กาวจากอกศุ ลมากกศุ ลนอ ย ไปสูอกศุ ลนอ ยกุศลมาก จากกามาวจรกุศล ไปสรู ู ปาวจรกศุ ล ไปสูอรูปาวจรกุศล และไปสโู ลกตุ ตรกุศล ) ถาใชส าํ นวนพดู ใหเหมาะกบั คนสมัยน้ี ก็คอื พัฒนากรรมใหดยี ง่ิ ข้นึ เพราะฉะนน้ั เมื่อทํากรรมดตี ามหลกั ในขอกอนไปแลว ถาผลดใี นความหมายหรือในแงทีเ่ ราตองการไม ออกมา กว็ ิเคราะหสบื สาววา ทาํ กรรมนนั้ แลว แตส าํ หรบั ผลดแี งน ้ๆี ปจจยั อะไรบา งขาดไป หรอื ยงั บกพรอ งสวน ไหน จะไดแกไ ขปรับปรุง เพอ่ื วา คราวตอไปจะไดทาํ ใหตรง ใหถ กู แง ใหครบ นค่ี ือความไมประมาทในการศกึ ษา ที่จะใชป ญ ญาพจิ ารณาแกปญหา และพัฒนากรรมใหด ีและใหไ ดผลย่ิงขนึ้ ยกตัวอยาง เชน นายชูกจิ ไดยนิ ขาว สารจากวิทยุ เปนตน พูดถึงปญหาของบานเมอื ง ท่ีวาปาลดนอ ยลงจนนา กลวั จะตอ งชว ยกนั ปลกู ตน ไมใ หม ากๆ และมขี า วดวยวา บางแหงคนมากมายชวยกันปลูกตน ไม มีการนาํ มายกยอ ง บางทีมกี ารใหร างวัลดว ยนายชกู จิ ไดย นิ ไดฟงขาวแลว กเ็ กดิ ศรัทธา เท่ยี วดูสถานทีเ่ หมาะๆ ใกลห มูบ า นของเขา แลวหาตน ไมเ หมาะๆ มาปลูก ตน ไมกข็ ึน้ งอกงามดี เขาปลกู ไปไดห ลายตน เวลาผานไประยะหนง่ึ เขามานกึ ดูวา เขาทําความดนี ้มี าก็นานแลว ไม เห็นมีใครสนใจ ก็เลยชกั จะทอ และนอยใจวา “เราอตุ สา หทําดี เหนือ่ ยไปมากมาย ไมเ ห็นไดด ีอะไร”พอมองลกึ ลงไปในใจของคุณชูกิจ ปรากฏวา เขาอยากไดค วามนยิ มยกยอ ง และหวังจะไดร างวัลดวย เมื่อวเิ คราะหต ามหลักความสัมพนั ธส บื ทอดเหตุปจจัยสผู ลตางๆ ทตี่ รงกนั กเ็ หน็ ไดวา - ผลตามกฎธรรมชาติ หรือผลตามธรรม ก็เกดิ ขนึ้ แลว คือ เขาปลกู ตน ไม เมื่อทําเหตปุ จ จยั ของมนั ครบ ตนไมก ข็ ้นึ มา

พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 129 - ผลตามธรรมแกตัวเขาเอง ทเี่ ปนผทู ําการนนั้ เขากไ็ ดแ ลว เชน เกดิ และเพมิ่ ความรูค วามเขาใจความ ชํานาญท่ีเรยี กกนั วา ทกั ษะ ในเรอ่ื งตน ไมและการปลกู ตนไม ตลอดจนผลพวง เชน รา งกายแขง็ แรง เสริมสุขภาพ - ผลตามธรรมแกสังคม คอื ทอ งถิ่นของเขา ตลอดถงึ โลกมนุษยท ้งั หมด ไดส่ิงแวดลอมทางธรรมชาตทิ ่ีดี งามเพ่มิ ขึน้ แตผลที่ตวั เขาวา “ด”ี ทเี่ ขาไมได คือผลทางสงั คม (=ผลท่จี ะไดแกตัวเขา จากสงั คม) ไดแก เสยี งยก ยอ ง และรางวัล หรอื เงินทองของตอบแทน ซงึ่ มใิ ชเปน ผลที่ตรงตามเหตปุ จจยั ของการปลกู ตนไม ถา คณุ ชกู ิจตอ งการผลทางสงั คมท่วี าน้ี กต็ อ งดแู ละทําปจ จัยเหลา นนั้ ดวย เร่มิ ตั้งแตด ูวา การทําความดี ดวยการปลกู ตนไมน ี้ เขา กบั กระแสนิยมของทองถิ่นของตนเองหรือไม (พจิ ารณาโดยกาล-เทศะ หรอื โดยคติ และกาละ) ถา จะใหไ ดร บั คาํ ยกยอ งและรางวัล จะตอ งทาํ ปจ จยั อะไรประกอบเพิ่มเขา มากับการทําความดคี ือ การปลกู ตนไมน้ัน แลว ทําใหค รบท่จี รงิ ถาคุณชกู ิจมุง หวงั ผลดีท่ีแท คอื ผลตามธรรมท่ีวา ขางตน ไมมวั หวงผล ทางสังคม(แกตวั ตน) เขาจะไดผ ลตามธรรมเพิ่มอกี อยางหน่ึงดวย คือปต คิ วามเอิบอ่ิมใจและความสขุ ในการทาํ ความดี และในการทีไ่ ดเ ห็นผลดตี ามธรรมดา นตา งๆ เพ่มิ ขยายคล่คี ลายข้นึ มาเรอ่ื ยๆ ตลอดเวลา แตค วามหวัง ผล‘ด’ี แกต วั ตน ไดป ด กั้นปต สิ ขุ นเ้ี สีย และหนําซํ้า ทาํ ใหเ ขาไดรับความผดิ หวังและความชาํ้ ใจเขา มาแทน ยงิ่ กวา นน้ั ถาเขาฉลาดในความดีและฉลาดในการทาํ ประโยชน เม่อื เขาจะเริ่มหรอื กําลังทําการนนั้ อยู เขาอาจจะชัก ชวนคนอ่นื ๆ ใหรเู ขา ใจมองเห็นประโยชนของการปลกู ตนไม แลว มารวมกับเขาบาง หรือตา งคนกไ็ ปทําของตน บา ง แพรขยายการปลูกตน ไมใ หก วา งออกไป นอกจากผลตามธรรมทกุ ดานจะเพ่มิ พนู แลว ผลทางสังคมแกต ัว เขาก็อาจจะพลอยตามมาดว ย จะตอ งชัดกับตนเองวา ผลดีตามธรรมของกรรมดนี ้ันๆ คืออะไร และควรฝกตนใหต อ งการผลตามธรรม น้ันกอนผลอยางอื่น แลว นอกจากนัน้ เราตอ งการผลดอี ยางไหนอกี และเพ่ือใหเกดิ ผลดนี นั้ ๆ จะตองทาํ ปจ จยั อะไรเพิม่ อกี บาง เมอ่ื จะทาํ ก็ทําเหตปุ จจัยใหค รบ เมอ่ื ทาํ ไปแลวกต็ รวจสอบใหรูป จจยั ท่ยี งิ่ และหยอ นสาํ หรบั ผลดี แตล ะดา นน้นั ๆ เพ่ือทาํ ใหค รบและดียงิ่ ข้ึนในคร้ังตอไป อน่งึ ผลดที างสงั คม หรอื ผลดีจากสงั คมแกต ัวตนน้ัน อาจจะไมส อดคลอ งกบั ผลดตี ามธรรมกไ็ ด บาง คร้งั บางเรื่องอาจจะถึงกบั ตรงกนั ขามเลยกไ็ ด ทั้งน้ีข้ึนตอปจจยั ทางสังคมเปนตน ท่เี น่ืองดวยกาลเทศะ เชน ใน กาละและเทศะทธี่ รรมวาทอี อ นกําลงั และอธรรมวาทมี ีกําลงั ดังนั้น จึงตองพจิ ารณาดว ยวา ผลท่ีวาดีน้ัน เปน ของสมควรหรือไม เราจะเอาธรรมไว หรอื จะไปกับตัวตนจะตอ งไมประมาทในการศึกษาและพฒั นากรรมกัน อยางนี้ จึงจะถูกตอง น่ีกค็ ือการพัฒนาตัวเราเอง และพฒั นาสังคมไปดวย ไมใชทําอะไรไปแลว ก็มองแงเ ดยี วชน้ั เดยี ว วาไดผลท่ตี นตอ งการ หรือไมได พอไมไ ดกเ็ อาแตโวยวายโอดครวญวา ทําดไี มไ ดด ี เลยไมไ ปไหน แตตอ งขอเตือนไวดวยวา คนทต่ี อ งการผลดตี อบุคคล (คอื แคท ถ่ี กู ใจตนหรอื ตวั เองชอบใจ) และผลดี ตามกระแสหรือคา นิยมของสังคมนั้น ถา ไมมองใหถ งึ ผลดตี ามสภาวะ คือผลดตี ามธรรม ซ่ึงเปนผลทดี่ ีอยางแท จรงิ ตอชวี ิต ตอหลักการ และตอความดงี ามที่แทข องสังคมแลว แมจ ะทาํ กรรมเพ่ือผลดีท่ตี นตอ งการน้นั ไดเกง

พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 130 แตก ็คือทํากรรมไมด หี รืออกศุ ลซอนไว ซึ่งตัวเองอาจจะมีปญญารไู มท นั ผลแงอน่ื เพราะมัวแตม องเพยี งผลดแี บบ ทีต่ ัวตองการอยา งเดียวดานเดียว แลวในไมช า หรอื ในท่ีสุด อกศุ ลทีแ่ ฝงไวนนั้ กจ็ ะออกผลใหโ ทษตอ ไป จึงไดย ํา้ ไวข า งตน วา ไมวาจะตองการผลดีขา งเคียงอะไรก็ตาม ขอใหทํากรรมดีเพอ่ื ผลดีทต่ี รงตาม สภาวะหรอื ผลดตี ามธรรมเปนหลกั เปน แกนไวกอน ถาปฏบิ ัตติ ามนี้ จะไดผ ลดที ่แี ท และปลอดภยั ในระยะยาว ดี ทั้งแกช วี ติ แกส งั คม แกต น และแกผ ูอ น่ื เราคงจะมงุ เอาผลดีตอตัวตนของบุคคล ผลดีตามกระแสสงั คม หรอื ผลดีเชงิ คา นยิ มกันมากไป จึงมอง ไมเ ห็นผลดที ่ีตรงไปตรงมาตามธรรม ถาอยางน้ีกจ็ ะตองบนเรอื่ ง “ทาํ ดไี มเหน็ ไดดี แตทาํ ชว่ั ไดดมี ีถมไป” กนั อยู อยางน้เี รอื่ ยๆ และคงจะแกปญ หาของสังคมไดยาก เพราะความคดิ ของเราเองก็เปนกรรมไมดี ที่เปน ปจจยั รว ม ใหเ กดิ ผลอยา งนัน้ ดว ย ถามองกนั อยแู คนี้ ก็จะไมมีคนอยางพระโพธสิ ัตวท ถ่ี ึงแมจ ะถูกเขาทาํ รา ยหรอื ฆา กย็ ัง เขมแขง็ อยูใ นการทาํ ความดี เพราะมงุ ผลดที ต่ี รงไปตรงมาตามความจรงิ ของมัน ถาจะชว ยแกปญ หาและสราง สรรคช วี ติ และสังคมน้ี แตย งั หว งผลดีตอ ตัวตน ผลดีเชิงบุคคลและผลดีเชงิ คา นยิ มทางสงั คมอยู ก็ขอแคว า อยา ถงึ กบั ละทง้ิ หรอื ละเลยความตองการผลดีทต่ี รงตามธรรม ผลดีตอชีวติ และผลดที แี่ ทต อสังคม เอาพอ ประนปี ระนอมกนั แคน้ีกจ็ ะประคับประคองโลกมนษุ ย ใหพ ออยกู นั ไปได แตจ ะเอาดจี รงิ คงยาก เพราะมนษุ ยน้ี เองไมไดต องการผลดีแทจรงิ ทีต่ รงตามธรรมของกรรมดี ๕) ทาํ กรรมเกา ใหเ กดิ ประโยชน คนไทยสมัยน้ีไดย ินคําวา “กรรม” มกั จะนกึ ไปในแงว ากรรมจะตามมาใหเ คราะหใ หโทษอยา งไร พูดถึง กรรมกจ็ ะนกึ ถงึ อะไรอยางหนง่ึ ทค่ี อยตามจะลงโทษ หรือทําใหเราเปน อยางนั้นอยา งน้ี โดยเฉพาะคดิ ไปถึงชาติ กอน คือมองกรรมในแงกรรมเกา และเปนเร่ืองไมดี คาํ วา “กรรมเกา” ก็บอกอยใู นตวั เองแลววา มนั ถูกจาํ กัดใหหดแคบเขา มาเหลือเพยี งสว นหนง่ึ เพราะ เตมิ คาํ วา “เกา ” เขา ไป กรรมกเ็ หลอื แคบเขา มา ยิ่งนกึ ในแงวากรรมไมด อี กี ก็ยงิ่ แคบหนักเขา รวมแลว กค็ ือเปน กรรมทไี่ มครบถว นสมบูรณ ไปๆ มาๆ ก็เลยอะไรๆ กแ็ ลว แตกรรม (เกา -ทไี่ มด)ี บางทีถงึ กบั มีการหาทางตดั กรรม เลยพลัดออกไปจากพระพุทธศาสนาความจรงิ กรรมกเ็ ปน เรือ่ งธรรมดาธรรมชาติ คอื เปน เรอื่ งความเปน ไปตาม เหตปุ จจยั ของชีวิตมนุษย ท่ีมเี จตนา มีการคิด การพูด และการกระทํา แสดงออก มคี วามสัมพันธก บั ส่งิ ท้ังหลาย แลว กเ็ กิดผลตอ เนื่องกนั ไปในความสัมพันธนั้น ถา มวั ไปยึดถือวา แลวแตกรรมเกาปางกอ นอยา งเดยี ว กจ็ ะทาํ กรรมใหมทเี่ ปนบาปอกุศลโดยไมร ูต วั หมายความวา ใครกต็ ามทปี่ ลงวา “แลวแตก รรม (เกา)” น้นั ก็คอื เขา กาํ ลงั ทําความประมาท ที่ปลอ ยปละละเลย ไมท ํากรรมใหมที่ควรทาํ ความประมาทน้นั กเ็ ลยเปน กรรมใหมของ เขา ซงึ่ เปน ผลจากโมหะ แลว กรรมใหมท่ปี ระมาทเพราะโมหะหลงงมงายนนั้ ก็จะกอผลรายแกเ ขาตอ ไป

พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 131 ความเชอ่ื วาชีวิตจะเปน อยา งไรก็แลว แตก รรมเกา กรรมปางกอ น หรือกรรมในชาตกิ อ น คือลัทธิกรรม เกาน้นั เปน มิจฉาทฏิ ฐิ ท่เี รยี กวาปพุ เพกตเหตวุ าท หรือเรียกส้ันๆ วา ปพุ เพกตวาท ดงั พทุ ธพจนท ี่แสดงแลว ขาง ตน ทานไมไดส อนวาไมใหเชอ่ื กรรมเกา แตทานสอนไมใ หเชอ่ื วา อะไรๆ จะเปนอยา งไรก็เพราะกรรมเกา - การเชอ่ื แตก รรมเกา กส็ ุดโตง ไปขางหนึ่ง - การไมเ ชื่อกรรมเกา ก็สดุ โตงไปอีกขา งหนึง่ ไดกลา วแลว วา “กรรม” พอเติม “เกา ” เขาไป คําเดมิ ท่ีกวา งครบถว นสมบูรณ ก็หดแคบเขา มาเหลอื อยู สว นเดียว อยามองกรรมท่กี วา งสมบูรณใหเ หลอื สวนเดยี วแคก รรมเกา เรื่องกรรมที่เชอ่ื กันในแงกรรมเกานี้ มจี ดุ พลาดอยู ๒ แง คอื ๑. ไปจบั เอาสว นเดยี วเฉพาะอดีต ทง้ั ทก่ี รรมนั้นก็เปนกลางๆ ไมจํากัด ถา แยกโดยกาลเวลาก็ตองมี ๓ คอื กรรมเกา (ในอดีต) กรรมใหม (ในปจ จบุ นั ) กรรมขางหนา (ในอนาคต) ตอ งมองใหครบ ๒. มองแบบแยกขาดตัดตอน ไมมองใหเห็นความเปนไปของเหตปุ จจัยทต่ี อเนื่องกนั มาโดยตลอด คอื ไมม องเปนกระแสหรอื กระบวนการทต่ี อเนื่องอยตู ลอดเวลา แตม องเหมอื นกับวากรรมเกาเปนอะไรกอ นหนง่ึ ที่ ลอยตามเรามาจากชาติกอน แลวมารอทําอะไรกบั เราอยูเรือ่ ยๆถามองกรรมใหถกู ตอ งทั้ง ๓ กาล และมองอยา ง เปน กระบวนการของเหตปุ จจัย ในดา นเจตจาํ นง และการทาํ -คดิ -พูด ของมนุษย ทตี่ อ เนื่องอยตู ลอดเวลา กจ็ ะ มองเห็นกรรมถูกตอ ง ชัดเจนและงา ยข้ึน ในท่นี ้ี แมจะไมอธบิ ายรายละเอียด แตจะขอใหจุดสังเกตในการทํา ความเขาใจ ๒-๓ อยาง ๑. ไมม องกรรมแบบแยกขาดตัดตอน คือ มองใหเห็นเปนกระแสท่ตี อเนอื่ งตลอดมาจนถึงขณะน้ี และ กาํ ลังดาํ เนินสบื ตอไปถามองกรรมใหครบ ๓ กาล และมองเปน กระบวนการตอ เนือ่ ง จากอดีต มาถึงบดั นี้ และ จะสบื ไปขา งหนา ก็จะเห็นวา กรรมเกา (สวนอดีต) กค็ อื เอาขณะปจจบุ ันเดยี๋ วน้ีเปน จุดกําหนด นับถอยจาก ขณะน้ี ยอ นหลังไปนานเทาไรกต็ าม กรี่ อ ยกีพ่ ันชาติก็ตาม มาจนถึงขณะหนงึ่ หรอื วนิ าทหี น่งึ กอ นนี้ ก็เปนกรรม เกา (สวนอดีต) ท้งั หมด กรรมเกาทั้งหมดน้ี คือกรรมทไ่ี ดทําไปแลว สว นกรรมใหม (ในปจ จบุ ัน) ก็คอื ทีก่ าํ ลงั ทาํ ๆ ซึง่ ขณะตอไป หรอื วนิ าทีตอไป กจ็ ะกลายเปน กรรมเกา (สวนอดีต) และอกี อยางหน่งึ คอื กรรมขางหนา ซง่ึ ยังไมถึง แตจ ะทําใน อนาคต กรรมเกานั้นยาวนานและมากนกั หนา สําหรบั คนสามญั กรรมเกา ท่จี ะพอมองเห็นได กค็ ือกรรมเกาใน ชาตินี้ สวนกรรมเกา ในชาติกอ นๆ กอ็ าจจะลกึ ลํา้ เกินไป เราเปน นกั ศกึ ษากค็ อยๆ เรมิ่ จากมองใกลหนอ ยกอน แลว จึงคอยๆ ขยายไกลออกไป อยางเชน เราจะวดั หรอื ตดั สนิ คนดวยการกระทําของเขา กรรมใหมใ นปจจบุ ันเรา ยงั ไมร วู าเขากาํ ลงั จะทาํ อะไร เรากด็ จู ากกรรมเกา คือความประพฤติและการกระทาํ ตา งๆ ของเขายอ นหลงั ไปใน ชีวิตน้ี ตัง้ แตว ินาทนี ีไ้ ป นก่ี ็กรรมเกา ซง่ึ ใชประโยชนไ ดเ ลย

พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 132 ๒. รจู ักตัวเอง ทัง้ ทนุ ท่มี ีและขอ จํากัดของตน พรอมท้งั เห็นตระหนกั ถึงผลสะทอนท่ีตนจะประสบ ซ่งึ เกิด จากกรรมท่ตี นไดป ระกอบไว กรรมเกามคี วามสาํ คัญอยา งยิ่งตอ เราทกุ คน เพราะแตละคนทเี่ ปน อยูข ณะน้ี ก็คอื ผลรวมของกรรมเกา ของตนท่ีไดส ะสมมา ดว ยการทํา-พดู -คดิ การศกึ ษาพฒั นาตน และความสมั พันธก บั สิ่งแวดลอ ม ในอดตี ทง้ั หมด ตลอดมาจนถงึ ขณะหรือวินาทีสุดทายกอนขณะน้ี กรรมเกานใี้ หผ ลแกเรา หรอื เรารับผลของกรรมเกา น้ันเต็มท่ี เพราะตัวเราท่ีเปนอยขู ณะน้ี เปนผลรวมท่ี ปรากฏของกรรมเกาทัง้ หมดท่ีผานมา กรรมเกา นั้นเทา กบั เปน ทุนเดมิ ของเราทีไ่ ดส ะสมไว ซงึ่ กาํ หนดวา เรามี ความพรอม มวี สิ ยั ขีดความสามารถทางกาย วาจา ทางจติ ใจ และทางปญญาเทา ไร และเปน ตวั บง ชวี้ า เราจะทาํ อะไรไดดหี รอื ไม อะไรเหมาะกบั ตวั เรา เราจะทาํ ไดแ คไหน และควรจะทําอะไรตอไป ประโยชนทสี่ าํ คัญของกรรมเกา ก็คือการรูจ กั ตวั เองดงั ท่วี า น้นั ซึง่ จะเกิดขนึ้ ได ดว ยการรจู ักวิเคราะห และตรวจสอบตนเอง โดยไมม วั แตซ ดั ทอดปจ จัยภายนอก การรูจักตัวเองน้ี นอกจากชว ยใหทาํ การท่เี หมาะกับ ตนอยา งไดผลดแี ลว ก็ทําใหรูจุดทจ่ี ะแกไขปรับปรุงตอ ไปดวย ๓. แกไ ขปรับปรุงเพือ่ กา วสูการทาํ กรรมทีด่ ียิง่ ข้ึน แนนอนวา ในทส่ี ดุ การปฏิบัตถิ ูกตอ งทจ่ี ะไดป ระโยชน จากกรรมเกา มากท่สี ุด ก็คอื การทาํ กรรมใหม ทีด่ กี วา กรรมเกา ทง้ั น้ี เพราะหลักปฏิบัติทงั้ หมดของพระพทุ ธ ศาสนารวมอยูใ นไตรสกิ ขา อันไดแ กการฝกศกึ ษาพัฒนาตน ในการทจี่ ะทาํ กรรมทีด่ ีไดย ่ิงขนึ้ ไป ทัง้ - ในข้นั ศีล คอื การฝก กาย วาจา สมั มาอาชีวะ รวมท้ังการสมั พันธกับส่งิ แวดลอมดว ยอินทรีย (ตา หู จมกู ลิ้น กาย ใจ) - ในขัน้ สมาธิ คอื ฝก อบรมพฒั นาจติ ใจ ท่ีเรยี กวา จิตภาวนาท้ังหมด และ - ในขนั้ ปญญา คือความรคู ิดเขาใจถกู ตอ ง มองเหน็ สง่ิ ท้งั หลายตามความเปน จริง และสามารถใชค วาม รนู นั้ แกไขปรบั ปรุงกรรม ตลอดจนแกป ญหาดับทกุ ขห มดไปมิใหม ีทุกขใ หมไ ด พูดสน้ั ๆ ก็คอื แมวา กรรมเกาจะสําคัญมาก ก็ไมใชเรอ่ื งทเ่ี ราจะไปสยบยอมตอมนั แตต รงขา ม เรามหี นา ทพ่ี ฒั นาชีวิตของเราทเ่ี ปน ผลรวมของกรรมเกานน้ั ใหดขี ึ้น ถาจะใชค ําทง่ี ายแกค นสมยั นี้ ก็คอื เรามหี นาที่พัฒนากรรม กรรมที่ไมด ีเปนอกุศล ผิดพลาดตางๆ เรา ศกึ ษาเรียนรแู ลวก็ตอ งแกไ ข การปฏิบัติธรรมตามหลกั พระพุทธศาสนา ก็คือการพัฒนากรรม ใหเปนกุศล หรอื ดี ยิ่งขน้ึ ๆดังนนั้ เม่อื ทาํ กรรมอยา งหน่ึงแลว ก็พจิ ารณาวเิ คราะหตรวจสอบคณุ ภาพและผลของกรรมนั้น ใหเ หน็ ขอ ยง่ิ ขอหยอ น สวนท่ขี าดท่ีพรอ ง เปนตน ตามหลกั เหตปุ จ จัยท่ีกลา วแลว ในหวั ขอกอ น แลวแกไ ขปรับปรุงเพื่อจะ ไดทาํ กรรมทีด่ ยี ง่ิ ข้นึ ไป จะพูดวา รกู รรมเกา เพอ่ื วางแผนทาํ กรรมใหมใ หดียิ่งขึ้นไป กไ็ ด ๖) อยเู พ่ือพฒั นากรรม ไมใชอ ยเู พื่อใชก รรม

พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 133 ท่ีพูดมาน้ี เทา กบั บอกใหรูวา เราจะตอ งปฏบิ ตั ิใหถ กู ตองตอ กรรมทแ่ี ยกเปน ๓ สว น คอื กรรมเกา-กรรม ใหม- กรรมขา งหนา ขอสรปุ วิธปี ฏิบตั ทิ ่ีถูกตองตอ กรรมท้ัง ๓ สว นวา กรรมเกา (ในอดีต) เปน อนั ผานไปแลว เราทาํ ไมได แตเ ราควรรู เพ่อื เอาความรจู กั มนั นั้นมาใชประโยชน ในการแกไ ขปรบั ปรงุ กรรมใหมใ หด ยี ่ิงข้นึ กรรมใหม (ในปจ จบุ ัน) คือกรรมที่เราทําได และจะตองต้ังใจทําใหดที สี่ ุด ตรงน้ีเปน จุดสําคญั กรรมขางหนา (ในอนาคต) เรายังทําไมไ ด แตเ ราสามารถเตรยี มหรอื วางแผนเพือ่ จะไปทํากรรมทด่ี ที ส่ี ดุ ดวยการทํากรรมปจจุบันทจี่ ะพัฒนาเราใหด ีงามและงอกงามย่งิ ขนึ้ จนกระท่งั เมื่อถงึ เวลาน้นั เรากจ็ ะสามารถทาํ กรรมทีด่ สี งู ขน้ึ ไปตามลําดับ จนถึงขน้ั เปน กศุ ลอยางเยย่ี มยอด นี่แหละคือคาํ อธิบายทีจ่ ะทําใหม องเหน็ ไดว า ทาํ ไมจึงวา คนที่วางใจ วาจะเปนอยางไรก็แลว แตกรรม (เกา ) น้ันแล กาํ ลังทํากรรมใหม( ปจจุบัน) ท่ีผิด เปนบาป คือความประมาท ไดแกการปลอ ยปละละเลย อันเกดิ จากโมหะ และมองเห็นเหตุผลดวยวา ทําไมพทุ ธศาสนาจงึ สอนใหหวังผลจากการกระทํา ขอยํา้ อกี ครั้งวา กรรมใหมส ําหรับทาํ กรรมเกา สําหรบั รู อยา มวั รอกรรมเกา ทีเ่ ราทาํ อะไรมันไมไดแ ลว แตห าความรจู ากกรรมเกาน้ัน เพื่อเอามาปรบั ปรงุ การทํากรรมปจจบุ ัน จะไดพ ัฒนาตวั เราใหส ามารถทํากรรม อยางเลิศประเสรฐิ ไดในอนาคต มคี ําเกา ไดย ินมานานแลว ประโยคหนึ่ง คือทพ่ี ดู วา “คนเราเกดิ มาเพอ่ื ใชก รรมเกา ” ความเชอื่ อยา งนน้ั ไม ใชพุทธศาสนา และตอ งระวงั จะเปน ลทั ธนิ ิครนถ ทีพ่ ูดกันมาอยา งนั้น ความจรงิ กค็ งประสงคดี คอื มุงวาถา เจอเร่ืองรา ย กอ็ ยาไปซัดทอดคนอืน่ และอยา ไปทําอะไรที่ชั่วรายใหเพมิ่ มากข้นึ ดวยความโกรธแคน เปนตน แตย ังไมถ ูกหลกั พระพทุ ธศาสนา และจะมีผลเสยี มาก ลทั ธนิ คิ รนถ ซึ่งก็มผี นู ับถือในสมัยพทุ ธกาลจนกระทง่ั ในอินเดียทุกวันนี้ เปน ลทั ธิกรรมเกาโดยตรง เขา สอนวา คนเราจะไดส ุขไดท กุ ขอ ยา งไรก็เปนเพราะกรรมท่ที าํ ไวในชาติปางกอน และสอนตอไปวา ไมใ หท าํ กรรม ใหม แตต องทาํ กรรมเกาใหหมดส้นิ ไปดว ยการบาํ เพญ็ ตบะ จึงจะสน้ิ กรรมส้ินทกุ ข นักบวชลัทธิน้จี งึ บาํ เพญ็ ตบะทรมานรางกายดวยวธิ ีตา งๆ คนทพ่ี ดู วา เราอยไู ปเพือ่ ใชก รรมเกา น้ัน กค็ ลา ยกับพวกนิครนถนแี่ หละ คิดวา เม่อื ไมทํากรรมใหม อยไู ปๆ กรรมเกาก็คงจะหมด ตางแตว าพวกนคิ รนถไ มรอใหก รรมเกา หมดไปเอง แตเ ขา บําเพ็ญตบะเพื่อทาํ กรรมเกา ใหห มดไปดวยความเพยี รพยายามของเขาดวย มีคําถามทนี่ า สังเกตวา “ถาไมทํากรรมใหม อยูไปๆ กรรมเกา จะหมดไปเองไหม-” เม่ือไมท ํากรรมใหม อยไู ป กรรมเกา ก็นาจะหมดไปเอง แตไมห มดหรอกไมต องอยเู ฉยๆ แมแ ตจะชดใช กรรมเกาไปเทาไรๆ ก็ไมม ที างหมดไปได เหตุผลงา ยๆ คือ

พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 134 นิง่ ๆ ๑. คนเรายงั มีชีวิต กค็ อื เปนอยู ตอ งกนิ อยู เคล่อื นไหวอริ ิยาบถ ทําโนนทํานี่ เม่อื ยังไมต าย กไ็ มไ ดอยู ๒. คนเหลานีเ้ ปน มนุษยปุถชุ น ก็มีโลภ โกรธ หลง โดยเฉพาะความหลง หรอื โมหะนีม้ ีอยูประจําในใจ ตลอดเวลา เพราะยงั ไมไ ดรูเขา ใจความจรงิ ถงึ สัจธรรม เมอ่ื รวมทั้งสองขอนกี้ ค็ ือ คนทอี่ ยูเ พอ่ื ใชก รรมนั้น เขาก็ทาํ กรรมใหมอ ยูตลอดเวลา แมแตโ ดยไมร ตู ัว แม จะไมเปนบาปกรรมที่รายแรง แตก เ็ ปน การกระทําที่ประกอบดวยโมหะ เชน กรรมในรูปตางๆ ของความประมาท ปลอ ยชีวิตเรอ่ื ยเปอ ย ถามองลึกเขาไปในใจ โลภะ โทสะ โมหะ กผ็ ุดโผลขึน้ มาในใจของเขาอยูเรอ่ื ยๆ ในลักษณะ ตางๆ เชน เศรา ขุนมัว กงั วล อยากโนน อยากน่ี หงุดหงิด เหงา เบ่อื หนาย กงั วล คบั ขอ ง ฯลฯ น่ีกค็ ือทํากรรมอยู ตลอดเวลา แถมเปน อกุศลกรรมเสยี ดว ย เพราะฉะนนั้ อยางน้จี งึ ไมม ีทางส้นิ กรรม ชดใชไ ปเทา ไรก็ไมรจู กั สน้ิ สุด มีแตเพ่มิ กรรม “แลวทาํ อยางไรจะหมดกรรม?” การทจ่ี ะหมดกรรม กค็ อื ไมท ํากรรมชั่ว ทาํ กรรมดี และทาํ กรรมที่ ดยี ง่ิ ขนึ้ คอื แมแตก รรมดีก็เปลีย่ นใหด ขี ึน้ จากระดับหนึง่ ขึ้นไปอีกระดบั หนึง่ พูดเปน ภาษาพระวา เปล่ียนจากทาํ อกศุ ลกรรม เปนทาํ กศุ ลกรรมและทาํ กุศลระดับสูงข้นึ ไป จนถึงขนั้ เปนโลกุตตรกศุ ล ถาใชภ าษาสมัยใหม กพ็ ดู วา พัฒนากรรมใหด ียิ่งข้ึน เรากจ็ ะมศี ลี มจี ิตใจ มีปญญา ดีขึน้ ๆ ในที่สดุ ก็จะพน กรรม พูดสน้ั ๆ วา กรรมไมห มดไปดวยการชดใชกรรม แตหมดกรรมดวยการพฒั นากรรม คอื ปรับปรงุ ตวั ใหท ํา กรรมทดี่ ียิง่ ข้นึ ๆ จนพนขั้นของกรรมไป ถึงขั้นทาํ แตไมเ ปน กรรม คือทาํ ดว ยปญ ญาทีบ่ รสิ ทุ ธิ์ ไมถ กู ครอบงาํ หรือ ชักจูงดวยโลภะ โทสะ โมหะ จึงจะเรยี กวา พนกรรม ๗) กรรมระดับบคุ คล-กรรมระดบั สงั คม หลกั กรรมอกี แงหน่งึ ทส่ี ําคญั และนาสนใจมาก คือ กรรมท่แี ยกไดเปน ๒ ระดับ ไดแก ๑. กรรมระดับปจ เจกบุคคล ตามนยั พุทธพจนเ ชนวา “กมฺมํ สตฺเต วิภชติ ยทิทํ หนี ปปฺ ณีตตาย” เปนตน ซ่งึ แปลความวา กรรมยอ มจาํ แนกสัตวไ ปตา งๆ คอื ใหท รามและประณตี กรรมระดับปจเจกบคุ คลเปน เร่อื งของสวนยอ ย จึงเปนสวนฐานและเปนแกนของหลักกรรมทง้ั หมด เรอื่ ง กรรมท่ไี ดอ ธบิ ายมาแลว เนนในระดบั น้ี ๒. กรรมในระดับสงั คม ตามนยั พทุ ธพจน เชน วา “กมมฺ ุนา วตตฺ ตี โลโก กมฺมุนา วตฺตตี ปชา” แปล ความวา โลก (คือสังคมมนษุ ย) เปน ไปตามกรรม หมูส ตั วเปนไปตามกรรม กรรมในระดับน้ี ซ่งึ เปน กระแสรว มกนั ที่มองเห็นงา ยๆ ก็คืออาชพี การงาน ซงึ่ ทําใหห มูม นุษยม ีวิถชี วี ิต เปน ไปตางๆ พรอมท้ังกําหนดสภาวะและวิถขี องสังคมนนั้ ๆ ดวย แตก รรมท่ีลกึ ซ้งึ และมกี าํ ลงั นาํ สังคมมากท่สี ุด ก็คือมโนกรรม เริ่มดว ยคา นยิ มตางๆ ซึง่ มีอิทธพิ ลอยาง มากตอ แนวทางการดําเนนิ ชวี ิตของมนษุ ย ตลอดจนกจิ กรรมและวธิ ีการในการแสวงหาความสุขของเขา

พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 135 แตม โนกรรมทม่ี กี ําลงั อานุภาพยิง่ ใหญทีส่ ุด ก็คอื ทฏิ ฐติ างๆ ซ่งึ รวมถงึ ทฤษฎี ลทั ธนิ ิยม อดุ มการณ ตางๆ อันประณีตลกึ ลงไปและฝงแนน แลวกาํ หนดนาํ ชะตาของสังคมหรอื ของโลก สรางประวัติศาสตร ตลอดจน วิถีแหง อารยธรรม เชน ทฏิ ฐทิ ่ีเช่ือและเหน็ วามนษุ ยชาตจิ ะบรรลุความสาํ เร็จมคี วามสุขสมบูรณดว ยการเอาชนะ ธรรมชาติ ซึง่ ไดเปน แกนนาํ ขบั ดันอารยธรรมตะวนั ตกมาสสู ภาพท่ีเปน อยูในปจ จบุ ัน กรรมระดับสงั คมน้ีเปน เรื่องใหญมากอกี แงห นง่ึ ขอพูดไวเ ปนแนวเพยี งเทา น้ี ภาค ๒ มัชฌมิ าปฏปิ ทา ขอปฏบิ ัติท่ีเปน กลางตามกฎธรรมชาตหิ รอื ทางสายกลาง ชวี ติ ควรเปน อยูอยางไร มชั ฌมิ าปฏปิ ทา: ทางสายกลาง มชั ฌมิ าปฏปิ ทาตอ เนือ่ งจากมชั เฌนธรรมเทศนา ตามแนวปฏิจจสมปุ บาท มีพุทธพจนแ สดงปฏิปทาไว ๒ อยาง คือ ๑. มิจฉาปฏิปทา ขอ ปฏบิ ตั ิทีผ่ ดิ หรือ ทางท่ีผดิ คอื ทางใหเ กดิ ทุกข ๒. สัมมาปฏิปทา ขอปฏิบัติท่ีถกู หรือ ทางท่ีถูก คอื ทางใหด ับทกุ ข ตามพทุ ธพจนนน้ั สรุปไดดงั นี้ มิจฉาปฏิปทา: อวิชชา-สงั ขาร-วญิ ญาณ-ฯลฯ-ชาต-ิ ชรา มรณะ โสกะ ฯลฯ อปุ ายาส สัมมาปฏิปทา: ดบั อวิชชา-ดับสังขาร-ดับวญิ ญาณ ฯลฯ-ดับ ชาติ-ดับชรามรณะ โสกะ ฯลฯ อปุ ายาส ตามแนวน้ี มิจฉาปฏปิ ทา กค็ อื ปฏิจจสมปุ บาทสมทุ ยวาร หรอื กระบวนการเกดิ ทกุ ข สวน สัมมาปฏิปทา กค็ อื ปฏจิ จสมปุ บาทนโิ รธวาร หรือ กระบวนการดบั ทุกข สําหรับมิจฉาปฏิปทานนั้ ไมตองพูดถงึ เพราะเปนฝา ยกอ เกิดทุกข ซ่ึงไดบ รรยายมาแลว แตเมอื่ พจิ ารณาดูสมั มาปฏิปทา กป็ รากฏวาเปนเพยี ง ปฏจิ จสมุปบาทนิโรธวาร ซ่ึงแสดงเฉพาะตวั กระบวนการลว นๆ ดงั กลา วมาแลว เทานั้น ไมไ ดช แี้ จงแนะนํารายละเอยี ดในทางปฏิบัติแตอ ยางใด กลา วคอื บอกแตเพียงวา ในการ เขา ถงึ จดุ หมาย กระบวนการจะตองเปน อยา งน้ันๆ แตไ มไ ดบอกดว ยวา ทาํ อยางไรจงึ จะใหกระบวนการไดเปน อยางนั้นๆ ข้นึ มา ดังน้ัน สัมมาปฏิปทาตามแนวนี้ จึงยังไมชว ยใหความกระจางอะไรเพิ่มเตมิ

พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 136 ยังมีพทุ ธพจนแสดงปฏิจจสมปุ บาทในรปู กระบวนการดับทุกขอกี แหง หนง่ึ ทแ่ี ปลกไปจากแบบทเี่ รยี กวา สมั มาปฏปิ ทานน้ั คือ เปน กระบวนการท่ีมใิ ชนโิ รธวาร และไมก ลาวถึงการดับ แตแสดงกระบวนการตอออกไป จากกระบวนการเกดิ ทุกขทเี่ ปน สมุทยวารนัน่ เอง ดังน้ี อวชิ ชา-สงั ขาร-วญิ ญาณ-นามรูป-สฬายตนะ-ผสั สะ-เวทนา-ตัณหา-อปุ าทาน-ภพ-ชาต-ิ ทกุ ข -ศรัทธา- ปราโมทย-ปติ- ปสสัทธิ-สุข-สมาธ-ิ ยถาภูตญาณทสั สนะ-นิพพทิ า-วริ าคะ-วมิ ตุ ต-ิ ขยญาณ พงึ สังเกตวา กระบวนการนี้ เรม่ิ แตอ วิชชา จนถงึ ทกุ ข ก็คือ ปฏจิ จสมปุ บาทสมุทยวาร ท่ีเปน กระบวน การเกิดทกุ ขต ามปรกตินั่นเอง (ทกุ ขในทน่ี ี้ แทนคําวา ชรามรณะ โสกะ ฯลฯ อุปายาส ทง้ั หมด) แตเ มือ่ ถงึ ทุกข แลว แทนที่วงจรจะบรรจบเพ่ือเรม่ิ ตนท่อี วชิ ชาอกี ตามปรกติ กลบั ดาํ เนนิ ตอไป โดยมศี รัทธามารับชวงแทน อวิชชา จากน้ันกระบวนการก็ดําเนินตอ ไปในทางดี จนถึงจดุ หมายคอื ขยญาณในท่สี ุด และไมกลับมาบรรจบ เริม่ ตน ที่อวิชชาอกี เลย ขอ นาสงั เกตอีกอยางหน่งึ ก็คือ เมอ่ื นบั ทกุ ข เปน จดุ ศนู ยก ลางจํานวนหวั ขอ นบั ยอ นไป ขางหนา และตอไปขา งหลัง จะมจี ํานวนเทากันสาํ หรับผูเขา ใจเรอื่ งอวิชชาดีแลว อานดกู ระบวนการนี้ ก็จะไม แปลกใจอะไร เพราะถาตัดตอนออก กระบวนการน้ีก็มี ๒ ตอน คอื อวชิ ชา ถงึ ทุกข ตอนหนง่ึ กบั ศรัทธา ถึง ขย ญาณ อกี ตอนหนงึ่ ในตอนชว งหลัง ศรัทธา มาเปนจุดเรม่ิ ตนแทนอวิชชา ผศู ึกษาปฏจิ จสมุปบาทในบทกอ นแลว ยอ มเขา ใจความหมายวา ศรัทธา ในทน่ี พี้ ดู งา ยๆ ก็คอื อวชิ ชาทถี่ กู กํากบั ควบคุม ถูกลิดรอน หรอื ลดนอ ยลงน่ันเอง กลา วคอื ขณะนี้ไมเ ปน อวิชชาท่มี ดื บอดตอ ไปแลว แตม ีเช้อื แหง ความรคู วามเขา ใจเขามาแทนท่ี และทําหนาท่ี เปน ส่อื ชกั จูงใหเกิดการมุงหนา ไปสจู ุดหมายทดี่ ี จนเกดิ ความรจู ริง และหลุดพน ในที่สดุ ถา จะอธบิ ายงา ยๆ กว็ า เม่ือกระบวนการเกิดทกุ ขดําเนนิ มาตาม ปรกติ จากอวชิ ชาถึงทุกขแ ลว ครน้ั เกิดทุกข ก็คิดหาทางออก ในกรณีน้ี เกิดไดรับคําแนะนําส่งั สอนท่ีถกู ตอง หรอื เกดิ ความสาํ นกึ ในเหตุผลขึ้นมาจึงรูส กึ มคี วามเชอื่ มน่ั ในคณุ ธรรมความ ดงี ามตางๆ แลว เกดิ ปราโมทย เอิบอิ่มใจ ชักนาํ ใหม งุ มั่นกา วหนา ในคณุ ความดีตอ ไปตามลําดับ จนถงึ ที่สดุ ความจริง กระบวนการทอนหลงั นี้ ก็ตรงกบั ปฏิจจสมปุ บาทนิโรธวาร แบบอวิชชาดับ-สงั ขารดับ- วิญญาณดบั ฯลฯ อยางขางตน น่นั เอง แตในท่ีนี้ แสดงใหเ ห็นรายละเอยี ดทีเ่ ปนขอเดน ในกระบวนการชัดเจนขึ้น และมุงใหเ หน็ การเช่ือมตอ ระหวา งกระบวนการเกิดทกุ ข กับกระบวนการดับทกุ ข วาเกย่ี วเนอื่ งกนั ไดอ ยา งไร ในคัมภีรเ นตตปิ กรณ อางพทุ ธพจนต อ ไปน้ี วาเปนปฏจิ จสมปุ บาทแนวดบั ทุกขเ ชน กนั คือ ดกู รอานนท โดยนยั นแ้ี ล ศลี ที่เปน กศุ ล มคี วามไมวิปฏสิ าร (เดอื ดรอนใจ) เปนอรรถ (ท่ีหมายหรอื ผล) เปน อานสิ งส ความไมวิปฏิสาร มปี ราโมทยเปนอรรถเปนอานิสงส ปราโมทย มปี ต ิเปน อรรถเปน อานสิ งส ปต ิ มี ปสสทั ธเิ ปน อรรถเปนอานิสงส ปสสัทธิ มีสุขเปน อรรถเปนอานสิ งส สุข มสี มาธิเปน อรรถเปนอานสิ งส สมาธิ มี ยถาภตู ญาณทสั สนะเปนอรรถเปน อานิสงส ยถาภูตญาณทสั สนะ มนี ิพพทิ าเปน อรรถเปน อานสิ งส นพิ พทิ า มี วริ าคะเปน อรรถเปน อานิสงส วิราคะ มีวิมตุ ติญาณ-ทัสสนะเปนอรรถเปน อานสิ งส ศลี ทเี่ ปนกศุ ลยอ มทําธรรม ขออน่ื ๆ ใหบริบูรณเ พือ่ อรหัตตผลตามลาํ ดบั โดยนยั นี้แล

พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 137 ตามนยั พทุ ธพจนนี้ เขียนใหด ูงายไดด ังน้ี กศุ ลศลี -อวปิ ปฏิสาร-ปราโมทย-ปต ิ-ปสสทั ธิ-สุข-สมาธ-ิ ยถาภตู ญาณทัสสนะ-นิพพทิ า-วิราคะ-วมิ ุตตญิ าณทัส สนะ จะเห็นวา กระบวนธรรมน้ี ก็เปนอยา งเดียวกบั กระบวนธรรมทกี่ ลาวมาแลว น่นั เอง เปน แตกลา วเฉพาะ ชว งกระบวนการดับทุกขอยา งเดียว ไมไ ดกลา วถึงชวงเกิดทกุ ขไวดว ย ขอใหด กู ระบวนธรรมแนวกอนอกี ครง้ั หนง่ึ อวิชชา-สังขาร-ฯลฯ-ชาติ- ทกุ ข -ศรทั ธา-ปราโมทย-ปต -ิ ปสสทั ธิ-สุข-สมาธ-ิ ยถาภูตญาณทสั สนะ-นพิ พทิ า- วริ าคะ-วมิ ตุ ต-ิ ขยญาณ กระบวนธรรมทงั้ สองนี้ แมจ ะเหมือนกัน แตก ไ็ มตรงกันทุกตวั อักษรคอื กระบวนหนง่ึ เร่มิ ดว ยศรัทธา อกี กระบวนหนึ่งเรม่ิ ดว ยกศุ ลศลี ตอ ดวย อวปิ ปฏสิ าร จากนน้ั จึงตรงกัน ซง่ึ ทีจ่ รงิ เปนความตางตามตวั อักษรและ การเนน เทา นน้ั แตค วามหมายลงกนั ได กระบวนหนึง่ ยกเอากรณีท่ศี รทั ธาเปนตวั เดน แตในเวลาทมี่ ศี รทั ธานั้น กค็ ือ จติ ใจเช่ือมน่ั ในเหตุผล เล่อื มใสในส่ิงทดี่ ีงาม มน่ั ใจในคุณธรรม ภาวะจติ นส้ี ัมพนั ธก ับความประพฤติในเวลานั้นดวย คือมีความ ประพฤติดงี ามรองรบั อยู และศรทั ธากด็ าํ รงรกั ษาความประพฤตินน้ั ไวด วย ศรทั ธามีความประพฤตดิ งี ามรองรบั อยูเชนน้ี จงึ นาํ ไปสปู ราโมทยตอไป สว นอีกกระบวนหนึง่ ทเี่ ร่ิมดว ยกศุ ลศลี และอวิปปฏสิ าร กเ็ ชน เดียวกนั กระบวนน้ียกเอากรณีการ ประพฤติปฏบิ ัติเปนตัวเดน ในกรณีน้ี จติ ใจก็มศี รทั ธาเชื่อมั่นในเหตุผลในคณุ ความดีเปนพ้นื อยูดว ย จึงประพฤติ ความดอี ยูได และเมือ่ มีศีล แลว มอี วิปปฏสิ าร ไมเดอื ดรอนใจ ก็คือเกิดความเชื่อมนั่ ในตนเอง ม่ันใจในคุณความ ดที ป่ี ระพฤติ อนั เปนลักษณะของศรทั ธา ท่ีทําใหจ ติ ใจเชอ่ื ม่ันผองใส จากนี้ จงึ เปน ปจ จยั ใหเกิดปราโมทยต อไป ตรงกับกระบวนกอนไปจนจบ กระบวนธรรมหน่ึงลงทา ยดวยวมิ ุตติและขยญาณ อีกกระบวนหนึง่ ลงทายดว ยวมิ ตุ ตญิ าณทสั สนะ กค็ อื อันเดียวกนั เปนแตก ระบวนหลังกลาวรวมวมิ ุตติและขยญาณเขาไวในความหมายของหัวขอ เดียว กระบวนธรรมแบบน้ี ชีแ้ นะใหเ ห็นแนวทางการปฏบิ ตั ชิ ดั เจนยิ่งขึน้ ชว ยใหเขา ใจในสง่ิ ทจี่ ะตองทาํ กระจา งข้ึน แตกระน้นั กย็ งั ไมเ ปน ระบบท่ีมรี ายละเอยี ดในทางปฏบิ ัติมากเพียงพอ ยงั คงมปี ญหาอยวู า การทจี่ ะ ใหกระบวนธรรมนเี้ กดิ ขนึ้ ได จะตอ งทาํ อะไรอยา งไรบาง กอนผา นตอนนี้ ขอยกกระบวนธรรมแบบปฏจิ จสมปุ บาทมาแสดงอกี แนวหนึง่ เพอ่ื ประกอบความรู ให มองเห็นธรรมในหลายๆแง เปน เคร่อื งชวยความเขาใจในข้นั ตอๆ ไป ๑) อาหารของอวชิ ชา ภิกษุทง้ั หลาย เรากลาวดังนี้วา:- อวิชชาก็อกี น่นั แล มีส่ิงน้ีเปนปจ จัย จงึ ปรากฏ เรากลาววา ๑. อวชิ ชามอี าหาร อาหารของอวชิ ชา คือ นิวรณ ๕ ๒. นิวรณ ๕ มอี าหาร..........................….. คือ ทุจรติ ๓

พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 138 ๓. ทจุ รติ ๓ มีอาหาร...........................….. คอื การไมสาํ รวมอินทรีย ๔. การไมส าํ รวมอินทรียมอี าหาร.…....…. คอื ความขาดสตสิ มั ปชัญญะ ๕. ความขาดสติสมั ปชญั ญะมีอาหาร.…. คือ ความขาดโยนิโสมนสิการ ๖. ความขาดโยนิโสมนสิการมีอาหาร..… คอื ความขาดศรัทธา ๗. ความขาดศรทั ธามอี าหาร...............….. คอื การไมไ ดสดับสัทธรรม ๘. การไมไดสดบั สทั ธรรมมีอาหาร.......… คือ การไมไ ดเ สวนาสปั บรุ ุษ การไมไดเสวนาสัปบรุ ษุ อยางบริบูรณ ยอ มยังการไมไ ดฟง สัทธรรมใหบ รบิ รู ณ การไมไ ดฟ งสัทธรรมอยา งบรบิ รู ณย อ มทําความไมม ศี รทั ธาใหบรบิ รู ณ ฯลฯ นิวรณ ๕ บริบูรณ ยอมทาํ อวิชชาใหบริบูรณ อวิชชา มีอาหาร และมีความบรบิ รู ณ อยางน้ี ๒) อาหารของวิชชาและวมิ ุตติ ๑. วิชชาและวิมตุ ตมิ อี าหาร อาหารของวิชชา-วมิ ุตติ คือ โพชฌงค ๗ ๒. โพชฌงค ๗ มีอาหาร ......................…… คือ สตปิ ฏ ฐาน ๔ ๓. สติปฏฐาน ๔ มีอาหาร ..................…… คือ สจุ ริต ๓ ๔. สุจริต ๓ มีอาหาร..............................…… คอื อนิ ทรียสงั วร ๕. อินทรยี สังวรมีอาหาร..............……………. คือ สติสัมปชญั ญะ ๖. สติสมั ปชญั ญะมีอาหาร.....................……. คอื โยนิโสมนสกิ าร ๗. โยนโิ สมนสกิ ารมอี าหาร....................….…. คือ ศรทั ธา ๘. ศรัทธามีอาหาร.................................……… คือ การสดับ(เลาเรียน)สัทธรรม ๙. การสดับสัทธรรมมีอาหาร ...............…… คือ การเสวนาสัปบรุ ษุ การเสวนาสัปบุรษุ อยา งบริบรู ณ ยอ มยงั การไดสดบั สัทธรรมใหบ รบิ ูรณ การไดสดบั (เลา เรียน)สัทธรรมบรบิ รู ณ ยอมยังศรทั ธาใหบริบรู ณ ฯลฯ โพชฌงค ๗ บริบรู ณ ยอ มยังวิชชาวิมุตติใหบริบรู ณ วิชชาวมิ ุตติ มอี าหารอยางนี้ มคี วามบรบิ ูรณ อยา งน้ี

พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 139 ในกระบวนธรรมแนวน้ี ขอใหส งั เกตองคธ รรม ๒ ขอ ไวเ ปนพิเศษ ในฐานะเปนองคประกอบสําคญั ใน ระบบการฝกศกึ ษาพฒั นาชวี ติ ของคน คอื โยนิโสมนสิการ ซึง่ เปน หลกั การใชค วามคดิ แบบทพ่ี ุทธศาสนาสอนไว และเนนมาก ถอื วา เปน องคป ระกอบสาํ คัญฝายภายใน กับการเสวนาสปั บุรษุ (=การมกี ลั ยาณมิตร) ซึ่งแสดง ความสําคัญของปจ จัยทางสงั คม ถือวาเปนองคประกอบสําคัญฝายภายนอก องคป ระกอบสองฝายนี้ มีศรทั ธา เปน ตวั เช่ือมตอ ดังจะไดม องเหน็ ตอๆ ไปความเขา ใจเบื้องตน เกยี่ วกับมัชฌมิ าปฏิปทา * เปนทางสายกลาง มชั ฌมิ าปฏปิ ทา หรอื อริยสัจขอ สดุ ทาย คือ มรรค เปนประมวลหลกั ความประพฤติปฏิบัติ หรอื ระบบจ ริยธรรมทัง้ หมดในพระพทุ ธศาสนา เปนคาํ สอนภาคปฏบิ ัติ ทจี่ ะชวยใหการดาํ เนินสูจดุ หมายตามแนวทางของ กระบวนธรรมท่ีรูเขา ใจแลวนน้ั เปน ผลสําเรจ็ ขนึ้ มาในชวี ติ จรงิ หรือเปนวิธีการใชกฎเกณฑแ หง กระบวนการของ ธรรมชาติ ใหเกิดประโยชนแ กช ีวิตจนถึงทส่ี ดุ ขอใหพจิ ารณาพทุ ธพจนแ ละคาํ อธิบายยอ ตอ ไปนี้ เพื่อเปนความ เขาใจเบื้องตน เกย่ี วกบั มัชฌมิ าปฏปิ ทา :- ภิกษทุ งั้ หลาย ทสี่ ดุ สองอยางนี้ บรรพชติ ไมพึงเสพ กลาวคือ การหมกมุนดวยกามสุขในกามท้ังหลาย อันเปนการช้นั ตํ่า ชน้ั ตลาด ของปถุ ุชน มใิ ชอ รยิ ะ ไมป ระกอบดว ยประโยชน อยา งหนึ่ง และการประกอบความ ลาํ บากเดือดรอนแกต น อนั เปนทกุ ข ไมเ ปน อริยะ ไมประกอบดวยประโยชน อยา งหนึ่ง ตถาคตไดตรสั รแู ลว ซึง่ ทางสายกลาง ท่ไี มข องแวะที่สดุ สองอยางน้นั อนั เปนทางทีส่ รางจกั ษุ (การเห็น) สรางญาณ (การร)ู เปนไปเพอ่ื ความสงบ เพื่อความรูยงิ่ เพอ่ื ความตรสั รู เพ่ือนิพพาน กท็ างสายกลางนน้ั ...เปน ไฉน? ทางนั้น คอื มรรคาอันเปนอรยิ ะ มีองคป ระกอบ ๘ ประการ ไดแก สัมมา ทฏิ ฐิ สัมมาสังกัปปะ สมั มาวาจา สัมมากมั มนั ตะ สัมมาอาชวี ะ สมั มาวายามะ สมั มาสติ สัมมาสมาธิ พุทธพจนจากปฐมเทศนา หรือธมั มจกั กัปปวตั ตนสตู รนี้ แสดงความหมาย เน้อื หา และจดุ หมาย ของ มัชฌมิ าปฏปิ ทาไวโ ดยสรุปครบทง้ั หมด ท่ีควรสังเกตคือ ความเปนทางสายกลาง (the Middle Path หรอื Middle Way) นัน้ เปน เพราะไมเขาไปขอ งแวะทีส่ ดุ ๒ อยาง (แตไมใชอยูก ลางระหวางทีส่ ุดทั้งสอง) คือ ๑. กามสุขัลลิกานุโยค การหมกมนุ อยูดวยกามสุข (the extreme of sensual indulgence หรอื extreme hedonism) ๒. อัตตกลิ มถานุโยค การประกอบความลาํ บากเดือดรอนแกต นเอง (the extreme of self- mortification หรอื extreme asceticism) * เปน ทางดับกรรม มรรคาอันเปน อรยิ ะ มีองคป ระกอบ ๘ ประการนแ้ี ล เปน ทางนาํ ไปสคู วามดบั แหง กรรม คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ

พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 140 ในทน่ี ี้ มชั ฌมิ าปฏิปทามีความหมายวา เปนทางใหถ ึงความดบั กรรมหรอื สน้ิ กรรม ขอสําคญั ในทน่ี ้ี กค็ อื ตอ งไมเขา ใจวา เปน การสนิ้ เวรสน้ิ กรรม อยางที่เขาใจกันท่วั ๆ ไป ซึง่ เปน เรอ่ื งแคบๆ ตอ งไมเ ขา ใจวา จะหมด กรรมไดโดยไมทํากรรมหรือไมท ําอะไร ซึ่งกลายเปนลทั ธินคิ รนถไ ป อยางทก่ี ลา วในตอนวา ดวยกรรม และตอ งไม เขาใจวาเปน ทางนําไปสูค วามดับกรรมสนิ้ กรรม คือ จะไดเ ลกิ กจิ การอยนู ่งิ เฉยไมตองทาํ อะไร ประการแรก จะเห็นวา การที่จะดบั กรรมหรือสิ้นกรรมได กค็ ือตองทํา และทําอยา งเอาจริงเอาจังเสีย ดวย แตค ราวน้ีทาํ ตามหลักมชั ฌมิ าปฏิปทา ทาํ ตามหลกั การวธิ ีการทถี่ ูกตอ ง เลกิ การกระทําที่ผดิ พลาด ประการท่ีสอง ท่ีวา ดับกรรมหรือสนิ้ กรรม ไมใชหมายความวา อยนู งิ่ ๆ เลิก ไมท าํ อะไรหมด แตหมาย ความวา เลกิ การกระทําอยา งปุถุชนเปลีย่ นเปนทาํ อยางอริยบุคคล อธิบายงายๆ วา ปถุ ชุ นทาํ อะไรกท็ ําดว ยตัณหาอุปาทาน มีความยดึ มนั่ ในความดีความช่วั ทเ่ี กีย่ วขอ ง กบั ตวั ฉันของฉนั ผลประโยชนข องฉนั ในรูปใดรูปหนึง่ การกระทําของปถุ ชุ นจงึ เรียกตามศัพทธ รรมวา กรรม แบง เปน ดีเปน ชวั่ และกย็ ึดถือเอาไวว าเปน อยางนัน้ ๆ ดว ยตณั หาอปุ าทาน ดบั กรรม คอื เลิกกระทาํ การตา งๆ ดว ยความยึดม่นั ในความดชี ่ัวทเ่ี กี่ยวของกับตัวฉันของฉนั ผล ประโยชนข องฉัน เมอ่ื ไมมดี ีมชี ัว่ ท่ียึดมัน่ ไวกับตัว ทาํ อะไรกไ็ มเรียกวา กรรม เพราะกรรมตอ งเปน อยา งใดอยาง หนงึ่ ไมด กี ช็ ัว่ การกระทาํ ของพระอริยบคุ คลจงึ เปน การกระทาํ ไปตามความหมาย และวตั ถุประสงคข องเรื่องที่ ทําน้ันลว นๆ ไมเกี่ยวกบั ตณั หาอปุ าทานภายใน พระอริยบุคคลไมท ําชั่ว เพราะหมดเหตุปจจยั ทีจ่ ะใหท าํ ชวั่ (ไมม ี โลภะ โทสะ โมหะ ทีจ่ ะใหทําอะไรเพอื่ ใหตัวฉนั ไดฉ ันเปน ) ทาํ แตความดแี ละประโยชน เพราะทาํ การตางๆ ดว ย ปญญาและกรณุ า แตท ีว่ าดี ก็วา ตามท่ีปรากฏยอมรับของโลก ไมไ ดยดึ วา เปน ดขี องฉัน หรอื ดที จี่ ะใหฉ ันเปน อยา งนน้ั อยางนี้ เมอื่ ปถุ ุชนบาํ เพญ็ ประโยชนอ ะไรสักอยา ง กจ็ ะไมมีเพยี งการทําประโยชนตามความหมายและวตั ถุ ประสงคของเรื่องน้ันๆ เทา น้นั แตยอ มจะมคี วามหวังผลประโยชนตอบแทนอะไรสักอยา งหนง่ึ ถา ไมม ี กอ็ าจจะ ละเอยี ดลงมาเปนช่อื เสยี งเกยี รติคณุ ของฉัน หรือละเอยี ดลงมาอีก กอ็ าจจะเอาพอใหส าํ หรบั รูสกึ อนุ ๆ ภมู ๆิ ไว ภายในวา เปนความดขี องฉัน สวนพระอริยบคุ คล เม่ือบําเพญ็ ประโยชนอันนั้น มีแตก ารกระทําตามความหมาย ตามวัตถุประสงค เหตผุ ล ความควรจะเปนอยางไรๆ ของเรอ่ื งนัน้ ๆ เอง ลวนๆ เทา นั้น ในทางธรรมจงึ ไมเรยี กวากรรม มรรคหรือมัชฌิมาปฏิปทาน้ี เปน ขอ ปฏิบตั เิ พอื่ ใหหมดการกระทาํ ซง่ึ มีเจตนาปรงุ แตง ท่เี รยี กวากรรม ดับกรรมน้ันแลว มแี ตการกระทําบรสิ ุทธต์ิ ามที่ปญ ญาบอกลว นๆ (ซึง่ เรียกวา กิรยิ า) ตอไป อนั นเ้ี ปน วิถที ี่ตา งกนั ระหวางโลกยิ ะ กับ โลกตุ ตระ พระพทุ ธเจา และพระอรหันตท ั้งหลาย จงึ เทย่ี ว บาํ เพญ็ ประโยชนสง่ั สอนประชาชนโดยไมเ ปนกรรม ทง้ั ทีเ่ ปนการกระทาํ ซ่ึงคนธรรมดาเรียกกันวาเปนความดี * เปนทางชีวิตท่ปี ระเสริฐ และเปน พุทธจริยธรรม

พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 141 ทเ่ี รยี กวา พรหมจรรย พรหมจรรย ดังน้ี พรหมจรรยคอื อะไร พรหมจารีคอื ใคร ความจบสิน้ ของ พรหมจรรยคอื อะไร ? มรรคาอนั เปนอรยิ ะ ประกอบดวยองค ๘ ประการ คอื สมั มาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ นค้ี อื พรหมจรรย บคุ คลใดประกอบดวยอริยอัษฎางคิกมรรคน้ี ผูนนั้ เรียกวา เปน พรหมจารี ความส้ินราคะ ส้ินโทสะ สน้ิ โมหะ น้ีเรียกวาความจบสนิ้ ของพรหมจรรย คําวา “พรหมจรรย” มักถกู รจู กั ในความหมายแคบๆ เพียงแคการครองเพศบรรพชิตและการงดเวน จาก เมถนุ ธรรม อนั เปน ความหมายนยั หนึง่ เทา น้นั ความจรงิ พรหมจรรย ถา เรยี กตามภาษาบาลี กค็ ือ “พรหมจริยะ” ซึง่ มาจาก ‘พรหม’ (ประเสรฐิ ) + ‘จริ ยะ’ (การดาํ เนนิ ชวี ติ , ความประพฤติ) เพราะฉะนั้น พรหมจรรย คือ “พรหมจริยะ” น้ี จงึ แปลไดวา การดาํ เนนิ ชวี ิตทีป่ ระเสริฐ การครองชีวติ อยางประเสรฐิ วิถชี ีวติ อันประเสรฐิ หรือพูดส้ันๆ วา ชีวติ ประเสริฐ พรหมจรรย คอื พรหมจรยิ ะ น้ี พระพทุ ธเจา ทรงใช หมายถึงระบบการดําเนินชวี ิตตามหลักพระพทุ ธ ศาสนา หรือหมายถงึ ตัวพระพุทธศาสนาทัง้ หมดทีเดียว ดังจะเห็นไดจ ากพุทธพจนส ง พระสาวกออกประกาศ พระศาสนาก็วา “ประกาศพรหมจรรย” และที่ตรัสวา พรหมจรรยจ ะชื่อวา รุงเรืองได ตอเมื่อบรษิ ัท ๔ คือ ภกิ ษุ ภิกษณุ ี อุบาสก อุบาสิกา ท้งั ฝา ยสพรหมจารี และฝา ยกามโภคี (ผอู ยูครองเรือนมบี ตุ รภรรยาสามี) รแู ละปฏบิ ัติ ธรรมกนั ดวยดี ตามพทุ ธพจนท ่ียกมาขางตน แสดงวา พรหมจรรย คอื พรหมจริยะ หรือชวี ติ ประเสรฐิ นั้น ก็คอื มัชฌมิ าปฏิปทานเี้ อง และพรหมจารี หรอื ผูประพฤติพรหมจรรย กค็ ือ ผดู าํ เนนิ ชีวิตตามมัชฌิมาปฏิปทา อนงึ่ ‘จริยะ’ น้ี ก็คือตนศัพทท ีเ่ รานาํ มาบญั ญตั ิข้ึนเปนคําใหมวา “จรยิ ธรรม” จะเหน็ วา จริยธรรมตาม หลักพระพุทธศาสนา ก็คือ พรหมจริยะ ดงั น้ัน จงึ พูดไดว า มชั ฌมิ าปฏิปทา คอื มรรคน้ี เปนพุทธจรยิ ธรรม * มกี ัลยาณมิตร คือไดชวี ิตทปี่ ระเสริฐ ดกู รอานนท ความมีกลั ยาณมติ ร มกี ัลยาณสหาย มีเพอ่ื นคบหาท่ีดี เทา กับเปนพรหมจรรยท้งั หมดที เดยี ว เพราะวา ผูม กี ลั ยาณมิตร ...พงึ หวงั สงิ่ น้ไี ด คอื เขาจกั ไดเจริญอริยอษั ฎางคิกมรรค เขาจักกระทําไดม าก ซง่ึ อรยิ อัษฎางคิกมรรค ภกิ ษุทง้ั หลาย เม่อื ดวงอาทิตยอ ุทยั อยู ยอ มมีแสงอรุณข้ึนมากอ นเปน บพุ นิมิตฉนั ใด ความมีกัลยาณมิตร ก็เปน ตัวนาํ เปน บพุ นมิ ติ แหงการเกดิ ข้นึ ของอริยอษั ฎางคิกมรรค แกภกิ ษุ ฉนั น้ัน พทุ ธพจนนี้ แสดงถึงการยอมรบั ความสําคญั ของบคุ คลผมู ีคณุ สมบตั ดิ ีงาม ในฐานะสิ่งแวดลอมทาง สังคม ท่จี ะชักนาํ เขา สูว ถิ ีทางท่ถี ูกตอง และเกือ้ หนนุ ใหเ จรญิ งอกงามในการประพฤติปฏบิ ตั ิพัฒนาศกึ ษาสูงยิ่ง ขน้ึ ไป *เปนทางชวี ติ ทงั้ ของบรรพชติ และคฤหสั ถ

พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 142 ภิกษทุ งั้ หลาย เราไมสรรเสริญมจิ ฉาปฏิปทา (ไมว า ) ของคฤหสั ถ หรอื ของบรรพชติ คฤหัสถก ต็ าม บรรพชิตกต็ าม ปฏิบัติผิดแลว ยอมยังญายธรรมอนั เปน กศุ ลใหส าํ เร็จไมได เพราะการปฏบิ ัตผิ ดิ นั้นเปนเหตุ ก็ มจิ ฉาปฏิปทาคืออะไร ? คือ มิจฉาทิฏฐิ ฯลฯ มจิ ฉาสมาธิ เรายอ มสรรเสริญสัมมาปฏปิ ทา (ไมว า) ของคฤหสั ถ หรอื ของบรรพชติ คฤหสั ถก ต็ าม บรรพชติ กต็ าม ประพฤติชอบแลว ยอ มทาํ ญายธรรมอนั เปน กศุ ลใหส ําเร็จได เพราะอาศัยการปฏิบัตถิ ูกเปนเหตุ ก็สัมมาปฏปิ ทา คืออะไร ? คือ สมั มาทิฏฐิ ฯลฯ สมั มาสมาธิ พทุ ธพจนวา ดวยมจิ ฉาปฏปิ ทาและสมั มาปฏิปทาน้ัน มมี ากอ นแลว ครัง้ หนึ่ง พทุ ธพจนกอ นน้ัน แสดงปฏิจจสมุปบาทฝา ยกระบวนการเกิดทุกข วาเปนมจิ ฉาปฏิปทา และฝาย กระบวนการดบั ทุกข วาเปนสมั มาปฏิปทา แตพ ุทธพจนค ราวนี้ ตรัสแสดงมรรค คือมชั ฌิมาปฏิปทานี้เอง วาเปนสมั มาปฏิปทา ทาํ ใหเ หน็ ไดว า ครงั้ กอ นทรงมุงแสดงตัวกระบวนการธรรมชาติ แตค ราวนี้ทรงแสดงในแงประยกุ ตค อื เปนระบบการประพฤตปิ ฏิบตั ิ ของคน อีกประการหน่งึ พุทธพจนนี้ ย้าํ ใหเหน็ วา มัชฌิมาปฏปิ ทาเปน หลักธรรมทม่ี ุงใหใ ชป ระพฤติปฏบิ ัติ และ สาํ เร็จประโยชน ทงั้ แกบรรพชิต และคฤหสั ถ * มีไวเพอ่ื ใชขา มฝง มิใชเพอ่ื ถือคา งหรือแบกโกไ ว ภิกษทุ งั้ หลาย เปรยี บเหมอื นบรุ ุษผูเ ดนิ ทางไกล พบหว งน้ําใหญ ฝง ขา งน้ี นา หวาดระแวง นากลัวภยั แตฝ ง ขางโนน ปลอดโปรง ไมม ภี ัย ก็แล เรอื หรือสะพาน สําหรับขามไปฝง โนน ก็ไมมี บุรษุ น้นั จงึ ดําริวา “หวงนาํ้ น้ใี หญ ฝง ขางนี้ นาหวาดระแวง...ถากระไร เราพึงเกบ็ รวมเอาหญา ทอ นไม กิง่ ไม และใบไม มาผกู เปนแพ แลว อาศยั แพนัน้ พยายามดวยมือและเทา พงึ ขา มถงึ ฝง โนน ไดโ ดยสวัสด”ี คราวนนั้ เขาจึง...ผูกแพ...ขามถงึ ฝง โนน โดยสวัสดี ครนั้ เขาไดขา มไปข้นึ ฝงขางโนน แลว กม็ คี วามดําริวา “แพนมี้ ีอุปการะแกเรามากแท เราอาศยั แพน.ี้ .. จงึ ขามมาถึงฝง นีโ้ ดยสวัสดี ถา กระไร เราควรยกแพนีข้ น้ึ เทินบนศรี ษะ หรือแบกขึ้นบา ไว ไปตามความปรารถนา” ภกิ ษุทง้ั หลาย เธอทง้ั หลายจะเห็นเปน อยา งไร ? บุรุษนนั้ ผูก ระทําอยางนี้ จะชือ่ วาเปน ผกู ระทําถกู หนา ทีต่ อแพน้ันหรือไม ? (ภิกษุท้ังหลายทลู ตอบวา ไมถกู จึงตรสั ตอ ไปวา) บุรษุ นัน้ ทาํ อยา งไร จงึ จะช่ือวาทําถกู หนาท่ีตอแพน้นั ? ในเรอื่ งน้บี ุรษุ นั้น เมอ่ื ไดข า มไปถึงฝง โนน แลว มีความดํารวิ า “แพนี้ มีอุปการะแกเรามากแท...ถากระไร เราพงึ ยกแพน้ขี ้ึนไวบนบก หรอื ผกู ใหล อยอยใู นนํ้า แลว จึงไปตามปรารถนา” บุรุษผูน ้นั กระทาํ อยา งน้ี จึงจะช่อื วา เปน ผกู ระทําถกู หนาที่ตอแพนัน้ นฉ้ี ันใด ธรรม ก็อุปมาเหมอื นแพ เราแสดงไวเ พื่อมุงหมายใหใ ชขามไป มิใชเ พ่อื ใหย ดึ ถือไว ฉนั นน้ั เมอ่ื เธอทงั้ หลาย รูท่วั ถงึ ธรรม อันมอี ปุ มาเหมอื นแพ ทเ่ี ราแสดงแลว พึงละเสียแมซ่ึงธรรมทงั้ หลาย จะ ปว ยกลา วไปไยถงึ อธรรมเลา

พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 143 ภกิ ษทุ ั้งหลาย ทิฏฐิ (ทฤษฎี หลักการ ความเขาใจธรรม) ทีบ่ ริสุทธิ์ ถึงอยางนี้ ผดุ ผองถึงอยางน้ี ถา เธอ ท้ังหลายยงั ยึดติดอยู เรงิ ใจกระหยิ่มอยู เฝาถนอมอยู ยดึ ถอื วา เปนของเราอยู เธอทัง้ หลายจะพึงรูทัว่ ถึงธรรมอนั มีอุปมาเหมอื นแพ ท่เี ราแสดงแลว เพอ่ื มงุ หมายใหใชขามไป มิใชเพื่อใหย ดึ ถือเอาไว ไดละหรอื ? พุทธพจนทงั้ สองแหง น้ี นอกจากเปนเครอ่ื งเตอื นไมใ หยึดมัน่ ถือมัน่ ในธรรมทง้ั หลาย (แมท ีเ่ ปน ความ จรงิ ความถกู ตอ ง) โดยมิไดถือเอาประโยชนจากธรรมเหลา นนั้ ตามความหมาย คณุ คา และประโยชนต ามความ เปน จริงของมนั แลว ขอ ทสี่ ําคัญยิง่ ก็คือ เปน การยา้ํ ใหมองเหน็ ธรรมท้งั หลายในฐานะอปุ กรณ หรอื วธิ กี ารทจี่ ะนาํ ไปสจู ดุ หมาย มใิ ชส งิ่ ลอยๆ หรือจบในตวั ดวยเหตุน้ี เม่อื ปฏิบตั ิธรรมขอ ใดขอ หนึง่ จะตองรตู ระหนักชัดเจนถึงวัตถปุ ระสงคข องธรรมน้นั พรอมทั้ง ความสัมพนั ธข องมนั กับธรรมอยา งอื่นๆ ในการดาํ เนินไปสวู ัตถุประสงคน้นั วตั ถปุ ระสงคในท่ีน้ี มไิ ดห มายเพยี ง วัตถุประสงคท่วั ไปในข้นั สดุ ทายเทา นน้ั แตหมายถงึ วัตถปุ ระสงคเฉพาะตวั ของธรรมขอ นั้นๆ เปนสาํ คญั วา ธรรม ขอ นั้นปฏิบัตเิ พื่อชว ยสนบั สนุนหรือใหเ กิดธรรมขอ ใด จะไปส้ินสดุ ลงทีใ่ ด มีธรรมใดรับชว งตอ ไป ดงั นเี้ ปน ตน เหมือนการเดินทางไกลทีต่ อ ยานพาหนะหลายทอด และอาจใชย านพาหนะตางกนั ทั้งทางบก ทางนํา้ ทางอากาศ จะรูคลมุ ๆ เพียงวาจะไปสูจดุ หมายปลายทางทีน่ น่ั ๆ เทา นนั้ ไมได จะตองรูดว ยวา ยานแตละทอดแต ละอยา งนนั้ ตนกาํ ลงั อาศยั เพอื่ ไปถงึ ที่ใด ถึงที่นั้นแลว จะอาศยั ยานใดตอไป ดงั นี้เปนตน การปฏิบัตธิ รรมท่ขี าดความตระหนักในวตั ถปุ ระสงค ความเปนอปุ กรณ และความสมั พนั ธก บั ธรรมอนื่ ๆ ยอมกลายเปนการปฏบิ ตั ิท่ีเลื่อนลอย คบั แคบ ตนั และทรี่ า ยย่ิงคือ ทาํ ใหเขวออกนอกทาง ไมต รงจดุ หมาย และ กลายเปนธรรมทเ่ี ปนหมัน ไมมกี ารปฏิบตั ิ หรอื ปฏิบตั ผิ ดิ พลาด คลาดจากผลที่พึงได เพราะการปฏิบตั ธิ รรม อยา งไรจดุ หมายเชน น้ี ความไขวเขว และผลเสยี หายตางๆ จงึ เกิดขึ้นแกห ลักธรรมสาํ คัญๆ เชน สันโดษ อเุ บกขา เปน ตน ระบบของมัชฌมิ าปฏิปทา ไดก ลา วแลว วา มชั ฌิมาปฏปิ ทา เปน ประมวลคาํ สอนภาคปฏบิ ัติ คือระบบจริยธรรมทั้งหมดของพระ พุทธศาสนา มัชฌิมาปฏิปทาจงึ มีขอบเขตกวางขวาง และมีรายละเอียดมาก การทจ่ี ะแสดงรายละเอยี ดทงั้ หมด เปน สง่ิ ทไี่ มตองพูดถงึ เพราะเปนไปไมไ ด แมเ พียงจะแสดงแนวการปฏิบัตทิ ่ีเปนหลกั ใหญโ ดยยอใหครบทกุ หลกั กไ็ มท ่วั ถงึ อยแู ลว ในที่นี้ จึงเพยี งใชว ธิ ีพดู คลมุ ๆไป และยกเฉพาะแงท่คี วรสนใจข้ึนมาช้ีแจงเปนตอนๆ ไป เทาที่ เหน็ วาควรรู * ทางสายเดยี ว แตม ีองคประกอบ ๘ อยา ง หวั ขอ ของมัชฌมิ าปฏปิ ทา หรอื อริยอัฏฐงั คกิ มัคค/ อารยอษั ฎางคกิ -มรรค (มรรคาอนั ประเสรฐิ มอี งค ประกอบ ๘ อยาง) มีดังนี้ ๑. สมั มาทฏิ ฐิ ความเหน็ ชอบ (Right View หรอื Right Understanding)

พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 144 ๒. สัมมาสังกัปปะ ความดําริชอบ (Right Thought) ๓. สมั มาวาจา วาจาชอบ (Right Speech) ๔. สมั มากัมมนั ตะ การกระทําชอบ (Right Action) ๕. สัมมาอาชีวะ เลีย้ งชีพชอบ (Right Livelihood) ๖. สมั มาวายามะ พยายามชอบ (Right Effort) ๗. สัมมาสติ ระลึกชอบ (Right Mindfulness) ๘. สัมมาสมาธิ จติ มนั่ ชอบ (Right Concentration) องคป ระกอบทง้ั ๘ นี้ มิใชท าง ๘ ทาง หรอื หลักการที่ตองยกข้ึนมาปฏบิ ัติใหเ สร็จส้นิ ไปทีละขอตาม ลาํ ดับ แตเ ปนสวนประกอบของทางสายเดียวกัน ตองอาศยั กนั และกนั เหมือนเกลียวเชอื ก ๘ เกลยี ว ทร่ี วมกัน เขา เปนเชอื กเสน เดียว และตองปฏบิ ัติเคียงขา งกันไปโดยตลอด *ระบบการปฏิบตั ขิ องคน กบั ระบบการพฒั นาของธรรม การแยกหัวขอจดั ลําดับไวเชน น้ี เปน การจัดครา วๆ ตามความเดน ในขัน้ ตอนตา งๆ ของการปฏิบตั ิ เชน สัมมาทิฏฐิ จดั เปน ขอแรก เพราะในการปฏบิ ัติธรรมเร่ิมแรกทเี ดียว จะตองมีความเห็น มีความเขา ใจ หรอื เชอ่ื ถอื ถูกตอ งตามแนวทางทจ่ี ะปฏบิ ัตเิ สียกอน จงึ จะดาํ ริการและเร่มิ ประพฤตปิ ฏิบตั ใิ หถูกทางได การปฏบิ ัตธิ รรมจึง ตองอาศยั พนื้ ฐานความเขาใจที่เปนตน ทุนไวกอ น เมื่อมพี น้ื ความเช่อื ความเขาใจถูกตอ งเปนทุนไวแ ลว การฝก ฝนพฒั นาคนขน้ั ตนๆ ก็จะมุงไปที่ความประพฤตทิ างกาย วาจา ทเี่ ปน ชัน้ ภายนอก หรือชนั้ หยาบ เพื่อเตรียม สภาพแวดลอมใหพ รอมและใหเก้ือหนุน แกการทจ่ี ะฝกอบรมจิตใจซง่ึ เปนชนั้ ภายในละเอยี ดกวา ใหไ ดผ ลดตี อ ไป ในระหวางการฝกอบรมตอๆ มานี้ ความรคู วามเขา ใจ หรอื ความเชือ่ ทม่ี ีไวเ ปนทุนเดมิ นน้ั กจ็ ะคอ ยๆ เจริญเพม่ิ พนู และชัดเจนยงิ่ ข้ึนโดยลาํ ดับดวยอาศัยการฝกอบรมในทางกายและทางจติ น่นั เอง จนในทส่ี ดุ ปญ ญาก็จะเจริญถึงขั้นรเู ขา ใจสง่ิ ทัง้ หลายตามความเปน จรงิ ถึงขัน้ หลดุ พน บรรลุนพิ พานได อยา งทว่ี า “มัชฌมิ าปฏิปทานี้ เปนญาณกรณี (สรางการร)ู จักขกุ รณี (สรางจกั ษุคอื การเห็น) เปน ไปเพอื่ ความสงบ เพื่อ ความรยู งิ่ เพ่อื ความตรัสรู เพ่อื นพิ พาน” กลาวคอื ในตอนทายของมรรค ก็จบลงดว ยปญญา ซึง่ เปนองคธ รรม ตวั ทํางานทม่ี ีบทบาทเดนชดั ในการทาํ ใหบ รรลุถึงจดุ หมาย ตอจากมรรคมอี งค ๘ จงึ เพ่ิมองคป ระกอบไดอ ีก ๒ ขอ คือ สัมมาญาณะ (ความรูชอบ เทียบจาก ญาณกรณี จกั ขกุ รณี) และ สมั มาวิมตุ ติ (หลดุ พน ชอบ เทียบจากความสงบ ฯลฯ นพิ พาน) โดยนยั นี้ ในทางปฏิบัติ เมอ่ื จัดเปน ระบบการศึกษาฝก อบรมแบบชวงกวา ง โดยถอื วาผูปฏบิ ัตมิ คี วามรู ความเขาใจพ้ืนฐานเปน ทนุ เดิมท่จี ะเริ่มตน กา วออกเดนิ ไปไดแ ลว การฝกอบรมจึงเรม่ิ ที่ความประพฤติหรือการ แสดงออกภายนอกทางกายวาจา (ศลี ) กอน แลวประณีตข้ึนมาสกู ารฝก อบรมจติ (สมาธิ) จนถึงระดบั สุดทาย คอื ทําความรูความเขา ใจและการหยั่งเหน็ ความจรงิ (ปญญา) ใหแกก ลา จนพนจากอวิชชาตณั หาอปุ าทานได

พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 145 ระบบการศกึ ษาฝก ฝนพัฒนาแบบน้ี เรยี กช่อื วา ไตรสิกขา คือการศึกษา ๓ สว น ซึ่งจดั ลาํ ดบั เปน ศีล สมาธิ ปญ ญา และเทียบกบั มรรค ไดดงั นี้ ๑. สัมมาทิฏฐิ ๓. ปญญา (รวมถึง สมั มาญาณ ในชวงปลายดวย) ๒. สัมมาสงั กปั ปะ ๓. สัมมาวาจา ๔. สัมมากมั มันตะ ๑. ศลี ๕. สมั มาอาชีวะ ๖. สมั มาวายามะ ๗. สมั มาสติ ๒. สมาธิ ๘. สัมมาสมาธิ พรอมกันนี้ เมื่อมองเขาไปในตัวคน กจ็ ะเห็นการทํางานขององคธรรมตางๆ ทีพ่ ัฒนางอกงามข้ึนไป อยางประสานเสริมกนั กับกระบวนการฝกศึกษาแหงไตรสิกขา ทีป่ รากฏออกมาและสมั พันธกับภายนอก การพัฒนาขององคธ รรมภายในน้ี ก็คือการพัฒนาของชีวติ ซง่ึ เปน กระบวนการของธรรมชาติ ที่ดาํ เนนิ ไปตามวถิ ีแหงมรรค และเมือ่ พดู โดยผลรวม ก็กลา วไดว า มรรคน้ัน เร่ิมดวยปญญา และจบลงดว ยปญญา คอื เบื้องตน เร่มิ ดว ยความรูความเขา ใจท่เี ปนความเชอ่ื ตามเหตผุ ลกอน ซึ่งเรยี กวา สมั มาทฏิ ฐิ ความรคู วามเขา ใจน้ี คอยๆ เจรญิ ยงิ่ ขน้ึ จนกลายเปน การรกู ารเหน็ ดว ยปญญาของตนจรงิ ๆ โดย สมบรู ณ ซึ่งเรยี กวา สัมมาญาณ ตามแนวน้ี สมั มาทิฏฐิ จงึ เปน สะพานเชอื่ ม ท่ที อดจาก อวชิ ชา ไปสู วิชชา เมือ่ เกิดสมั มาญาณ มีวิชชาแลว ก็ยอ มหลดุ พนเปน สมั มาวมิ ตุ ติ * ระบบการฝก ของไตรสิกขา ออกผลมาคือวิถชี วี ิตแหงมรรค ในระบบการฝก ศึกษา ท่จี ัดเปน ชวงกวางๆ โดยมงุ เอาสง่ิ ทจ่ี ะตองปฏิบัตเิ ดนชดั เปน ตอนๆ ซึ่งเรยี งลาํ ดบั ในรูปทเ่ี รียกวา ไตรสกิ ขา (the Threefold Training) คอื การศึกษา ท้ัง ๓ น้นั มีหัวขอตามหลัก ดังน้ี ๑. อธิศลี สกิ ขา การฝก ศกึ ษาในดา นความประพฤตทิ างกาย วาจา และอาชีพ ใหม ีชีวติ สุจรติ และ เก้อื กูล (Training in Higher Morality) ๒. อธิจิตตสิกขา การฝกศกึ ษาดานสมาธิ หรือพัฒนาจิตใจใหเจรญิ ไดท ี่ (Training in Higher Mentality หรอื Concentration) ๓. อธิปญ ญาสิกขา การฝกศึกษาในปญญาสงู ขึน้ ไป ใหร ูค ิดเขา ใจมองเหน็ ตามเปนจริง (Training in Higher Wisdom) ไตรสิกขา นี้ เมอ่ื นาํ มาแสดงเปนคําสอนในภาคปฏบิ ตั ิทั่วๆ ไป ไดปรากฏในหลักท่เี รยี กวา โอวาท ปาติโมกข (พทุ ธโอวาททีเ่ ปนหลักใหญ ๓ อยาง) คอื ๑. สพพฺ ปาปสสฺ อกรณํ การไมทาํ ความช่วั ทัง้ ปวง (ศลี )

พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 146 ๒. กสุ ลสฺสปู สมฺปทา การบําเพ็ญความดใี หเพียบพรอ ม (สมาธิ) ๓. สจติ ตฺ ปริโยทปนํ การทําจติ ของตนใหผ องใส (ปญ ญา) มรรค ท่ีจัดในรูปของไตรสิกขาน้ี แสดงขอปฏิบตั ิพรอมบริบูรณท กุ อยาง ท่ีจะใหเ กดิ ผลสําเร็จ ตาม กระบวนการพฒั นาคนจนถงึ ความดับทกุ ข ท่ีกลาวมาแลวในตอนกอ น จงึ ครอบคลุมกระบวนธรรมแบบตา งๆ เหลานน้ั ไดท ้ังหมด พดู อยางใหเขา ใจงายๆ วา เอาองคประกอบทงั้ ๘ ของมรรค จดั ปรบั ใสเ ขา ไปในระบบการศึกษาทค่ี รบ องค ๓ ของไตรสิกขา เม่ือฝกคนใหศ กึ ษา หรือคนศึกษาโดยฝก ตน ตามหลกั ไตรสิกขา กท็ าํ ใหชวี ิตของเขาเจรญิ งอกงามกาว ไปในทางถูกตอง ท่เี รยี กวา มรรค พดู อยางภาพพจนว า เอาการศึกษาท้งั ๓ ของไตรสิกขา ใสเ ขาไปในตัวคน (หรือเอาคนใสเขาไปใน กระบวนการของไตรสกิ ขา) ผลออกมา คือการเดินหนา ไปในทางหรือวถิ ชี วี ิตดงี ามแหง มรรค หรือในการดาํ เนนิ ชีวติ อนั ประเสริฐคอื พรหมจริยะพดู สน้ั ท่ีสดุ วา ฝกดว ยไตรสกิ ขา ชวี ิตกเ็ ดนิ หนา ไปในมรรค ไตรสิกขา นี้ เรียกวาเปน “พหลุ ธมั มกี ถา” คอื คาํ สอนธรรมทพี่ ระพทุ ธเจาทรงแสดงบอ ย และมีพุทธพจน แสดงความตอ เน่ืองกันของกระบวนการศึกษาฝกอบรมทเี่ รยี กวา ไตรสกิ ขา ดังนี้ “ศีลเปน อยางนี้ สมาธิเปน อยางนี้ ปญญาเปน อยางน้ี สมาธทิ ่ศี ลี บมแลว ยอ มมีผลมาก มอี านิสงสมาก ปญญาทสี่ มาธบิ มแลว ยอ มมีผลมาก มอี านสิ งสม าก จติ ทป่ี ญญาบมแลว ยอมหลุดพนจากอาสวะโดยสิน้ เชิง คือ จากกามาสวะ ภวาสวะ และอวชิ ชาสวะ” ความสมั พันธแบบตอเนื่องกันของไตรสกิ ขาน้ี มองเห็นไดง า ยแมใ นชีวติ ประจาํ วัน กลา วคอื (ศีล-สมาธิ) เมอ่ื ประพฤตดิ ี มีความสมั พนั ธง ดงาม ไดทําประโยชน อยา งนอ ยดําเนนิ ชีวติ โดยสจุ ริต มนั่ ใจในความบริสทุ ธิข์ องตน ไมต อ งกลวั ตอการลงโทษ ไมส ะดุง ระแวงตอ การประทุษรา ยของคูเวร ไมห วัน่ หวาด เสยี วใจตอเสยี งตําหนิหรอื ความรสู ึกไมย อมรบั ของสังคม และไมมคี วามฟงุ ซานวุนวายใจเพราะความรูสึกเดอื ด รอนรังเกียจในความผดิ ของตนเอง จิตใจกเ็ อิบอิม่ ช่ืนบานเปน สขุ ปลอดโปรง สงบ และแนวแน มุง ไปกับสงิ่ ทคี่ ดิ คําที่พูด และการที่ทํา (สมาธิ-ปญ ญา) ย่งิ จิตไมฟ งุ ซาน สงบ อยตู วั ไรส่งิ ขุน มัว สดใส มุง ไปอยางแนว แนเทา ใด การรับรูการ คดิ พินจิ พจิ ารณามองเห็นและเขาใจสิง่ ตางๆ กย็ ิง่ ชัดเจน ตรงตามจริง แลน คลอ ง เปน ผลดีในทางปญญามาก ข้ึนเทานัน้ อปุ มาในเร่ืองนี้ เหมือนวา ตง้ั ภาชนะน้าํ ไวด ว ยดใี นทีเ่ รยี บรอ ย ไมไปแกลงสัน่ หรือเขยามัน (ศีล) เมอ่ื นํา้ ไมถกู กวน คน พดั หรอื เขยา สงบนง่ิ ผงฝุน ตา งๆ ก็นอนกน หายขุน น้ํากใ็ ส (สมาธิ) เมื่อนํ้าใส ก็มองเห็นสง่ิ ตา งๆ ไดช ดั เจน (ปญ ญา)

พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 147 ในการปฏบิ ัตธิ รรมสงู ขึ้นไป ที่ถึงขนั้ จะใหเ กิดญาณ อนั รูแ จงเหน็ จรงิ จนกาํ จดั อาสวกเิ ลสได กย็ ง่ิ ตอ งการ จติ ท่สี งบนิง่ ผอ งใส มีสมาธแิ นว แนย ิ่งขน้ึ ไปอีก ถงึ ขนาดระงับการรบั รูทางอายตนะตางๆ ไดห มด เหลอื อารมณ หรือสิง่ ท่ีกาํ หนดไวใ ชง านแตเพียงอยา งเดียว เพอื่ ทาํ การอยา งไดผล จนสามารถกําจดั กวาดลา งตะกอนทีน่ อน กนไดห มดส้นิ ไมใ หม ีโอกาสขุนอกี ตอ ไป * องค ๓ ของมรรค ทีต่ องใชอยูเสมอ มอี งคม รรคอยู ๓ ขอ ทีต่ องใชอ ยูเสมอ เพ่อื ใหดาํ เนนิ หรือเดนิ หนากา วไปดวยดีในการปฏบิ ัติ โดยมีบท บาทสําคัญ ตอ งเกีย่ วขอ งและปฏบิ ตั ิรว มพรอมกนั ไปกบั องคมรรคขออื่นๆ ทุกขอ คือ ๑. สมั มาทฏิ ฐิ (ความเห็นหรือเขาใจถูกตอ ง) ๒. สมั มาวายามะ (ความเพยี รพยายามถกู ตอ ง) และ ๓. สัมมาสติ (สติถกู ตอง) เหตทุ ต่ี อ งปฏบิ ตั ิรว มกับขออน่ื อยูเสมอนน้ั เหน็ ไดงาย ดวยการเปรียบเทยี บกบั การเดินทาง สมั มาทิฏฐิ เปน เหมือนไฟสองทางหรือเขม็ ทิศ ใหเห็นทางและมนั่ ใจในทางอนั ถกู ตอ ง ทจี่ ะนําไปสจู ุด หมาย สัมมาวายามะ เปน เหมอื นการออกแรงกาวไป หรือแรงขับเคลื่อนผลกั ดนั ใหว ่งิ แลนไป สว นสัมมาสติ เปน เหมอื นเครอ่ื งบงั คบั (เชน พวงมาลยั หางเสือ) ควบคมุ ระวัง ใหการเดนิ ทางอยูใน เสน ทาง ถูกจงั หวะ และหลบหลีกพน ภัย องค ๓ น้ี อาจมาในชอ่ื ท่ตี า งออกไป เชน ในการปฏิบัตวิ ิปสสนาตามหลกั สตปิ ฏ ฐาน ๔ ปญญาคือ สมั มาทิฏฐิ มาในคาํ วา “สมปฺ ชาโน” สมั มาวายามะ มาในคาํ วา “อาตาป” สมั มาสติ มาในคาํ วา “สติมา” การปฏบิ ตั ิในขน้ั ศีลก็ตาม สมาธิกต็ าม ปญญากต็ าม จะตองอาศัยองคม รรค ๓ ขอ นี้ ทกุ ขั้นตอน ความหมายขององคป ระกอบแหง มัชฌิมาปฏิปทาแตละขอ เรอ่ื งความหมายขององคประกอบแหงมชั ฌมิ าปฏปิ ทา หรอื เรยี กงายๆ วา องคม รรค นี้ จะยกขึน้ กลา ว เฉพาะในแงท น่ี า สนใจ และควรทําความเขา ใจโดยทวั่ ไป ตามลําดบั เปน ขอ ๆ ๑. สมั มาทิฏฐิ ความสาํ คญั ของสมั มาทิฏฐิ ภกิ ษุทัง้ หลาย บรรดาองคมรรคเหลา นนั้ สัมมาทฏิ ฐิเปนตัวนาํ สัมมาทฏิ ฐิเปนตัวนําอยางไร ? (ดว ย สัมมาทฏิ ฐิ) จงึ รูจักมจิ ฉาทิฏฐิ วา เปนมจิ ฉาทฏิ ฐิ รจู ักสัมมาทฏิ ฐิ วา เปน สัมมาทิฏฐิ รูจ กั มิจฉาสงั กัปปะ วาเปน มจิ ฉาสงั กัปปะ รูจักสมั มาสงั กปั ปะ วาเปน สมั มาสังกปั ปะ รจู กั มิจฉาวาจา...สัมมาวาจา...มจิ ฉากมั มันตะ... สัมมากมั มนั ตะ ฯลฯ

พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 148 ขอ ทีภ่ กิ ษจุ กั ทาํ ลายอวิชชา ยังวชิ ชาใหเกดิ ทําใหแจง ซ่งึ นิพพานได ดว ยทิฏฐิทต่ี ้งั ไวช อบ ดวยมรรค ภาวนาที่ตัง้ ไวชอบ นเ้ี ปนสิ่งทเ่ี ปน ไปได นนั่ เปน เพราะเหตุใด ? กเ็ พราะตัง้ ทฏิ ฐิไวชอบแลว เราไมเ หน็ ธรรมอน่ื แมส ักอยา ง ซ่ึงจะเปน เหตใุ หกุศลธรรมท่ยี ังไมเ กดิ ไดเ กิดข้ึน หรือกุศลธรรมท่เี กดิ ขึ้น แลว เปน ไปเพอ่ื ความเพม่ิ พนู ไพบลู ย เหมอื นอยางสมั มาทิฏฐนิ เี้ ลย คาํ จาํ กัดความของสัมมาทฏิ ฐิ คําจาํ กัดความท่พี บบอยทส่ี ุด คอื ความรใู นอรยิ สจั ๔ ดงั พุทธพจนว า ภกิ ษุทัง้ หลาย สมั มาทฏิ ฐิ คืออะไร ? ความรใู นทุกข ความรใู น ทกุ ขสมุทยั ความรใู นทกุ ขนิโรธ ความรู ในทกุ ขนโิ รธคามนิ ปี ฏิปทา นี้เรียกวาสัมมาทฏิ ฐิ คําจํากดั ความนอกจากน้ี ไดแ ก รอู กุศลและอกุศลมูล กับ กุศลและกุศลมลู เม่อื ใด อริยสาวกรูช ัดซึ่งอกศุ ล...อกศุ ลมูล...กุศล...และกุศล มลู ดว ยเหตเุ พียงน้ี เธอช่อื วา มีสัมมาทิฏฐิ มีความเหน็ ตรง ประกอบดว ยความเล่อื มใสแนวแนในธรรม เขา ถงึ สัทธรรมนแ้ี ลว เหน็ ไตรลกั ษณ ภิกษเุ ห็นรปู ...เวทนา...สญั ญา...สังขาร...วญิ ญาณ ซง่ึ เปนของไมเทีย่ ง วาไมเ ท่ียง ความเหน็ ของเธอนน้ั เปนสมั มาทฏิ ฐเิ มื่อเห็นชอบ กห็ ายชดิ ชน่ื เพราะความเรงิ ใจสิ้นไปกส็ ้ินการยอมตดิ เพราะ ส้ินการยอ มติดก็สิน้ ความเรงิ ใจ เพราะสิ้นความเริงใจและหายยอมตดิ จิตจงึ หลดุ พน เรียกวา พนเดด็ ขาดแลว ภิกษเุ หน็ จักษุ...โสตะ...ฆานะ...ชิวหา...กาย...มโน...รูป...เสียง...กลน่ิ ....รส....โผฏฐัพพะ....ธรรมารมณ ซง่ึ เปนของไมเ ทย่ี ง วา ไมเทย่ี ง ความเห็นของเธอน้นั เปน สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ เหน็ ปฏิจจสมุปบาท: คาํ จาํ กดั ความแบบน้ี เปนแบบท่ีมมี ากแบบหนง่ึ และไมจําเปน ตอ งนําพทุ ธพจน มาอา ง เพราะเคยอา งถึงมาแลว พทุ ธพจนอีกแหงหนึง่ แยกความหมายของ สัมมาทฏิ ฐิ เปน ๒ ระดับ คือ ระดับทเ่ี ปนสาสวะ กบั ระดบั โลกตุ ตระ ภิกษทุ ัง้ หลาย สัมมาทิฏฐเิ ปนไฉน ? เรากลา ววา สัมมาทฏิ ฐมิ ี ๒ อยาง คอื สมั มาทฏิ ฐิทย่ี งั มอี าสวะ ซง่ึ จัดเปน ฝา ยบญุ อํานวยวบิ ากแกขันธ อยา งหน่งึ กบั สมั มาทิฏฐทิ ี่เปนอริยะ ไมมีอาสวะ เปน โลกตุ ตระ และเปน องคมรรค อยา งหน่งึ สมั มาทฏิ ฐทิ ่ียงั มีอาสวะ จัดอยูใ นฝายบุญ อํานวยวบิ ากแกข นั ธ เปนไฉน ? คอื ความเหน็ วา ทานทใ่ี ห แลว มีผล การบําเพญ็ ทานมผี ล การบูชามผี ล กรรมทท่ี ําไวดีและช่ัวมผี ลมีวิบาก โลกนม้ี ี ปรโลกมี มารดามี บดิ า มี สตั วท เี่ ปน โอปปาติกะมี สมณพราหมณผปู ระพฤติชอบปฏิบตั ชิ อบ ซงึ่ ประกาศโลกน้แี ละปรโลกใหแ จม แจง เพราะรูยิง่ ดว ยตนเอง มอี ยู น้ีแล สัมมาทฏิ ฐิที่ยังมีอาสวะ จดั เปน ฝายบญุ อาํ นวยวบิ ากแกข นั ธ

พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 149 สมั มาทิฏฐิทเี่ ปนอรยิ ะ ไมม ีอาสวะ เปน โลกุตตระ เปน องคมรรค เปนไฉน? คอื องคมรรค ขอสัมมาทฏิ ฐิ ทเ่ี ปน ตวั ปญญา ปญ ญนิ ทรีย ปญญาพละ ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค ของผูมีจติ เปนอริยะ มีจิตไรอ าสวะ ผพู รอ ม ดว ยอริยมรรค ผกู ําลังเจริญอรยิ มรรคอยู นแี้ ล สัมมาทิฏฐทิ ี่เปนอริยะ ไมมีอาสวะ เปน โลกุตตระ เปน องคม รรค สมั มาทิฏฐใิ นมรรคาแหง การปฏิบัติ ก) ลําดับข้ันของการพัฒนาปญญา เทาที่กลาวมา เหน็ ไดแลว วา สัมมาทิฏฐิ เปนจดุ เรมิ่ ตน หรอื เปนตวั นํา ในการดําเนินตามมรรคาแหง มัชฌิมาปฏปิ ทา และเปนตัวยนื ท่ีมีบทบาทอยตู ลอดเวลาทุกขน้ั ตอนของการปฏิบตั ิ อยา งไรกด็ ี ระหวางการดาํ เนนิ มรรคาตลอดสายนี้ สมั มาทฏิ ฐิ มิใชเ พยี งเปน ท่ีอาศัย หรอื เปนตัว สนบั สนุนองคมรรคขออ่ืนๆ ฝายเดียวเทา น้นั แตตวั สัมมาทิฏฐิเอง กไ็ ดร ับความอุดหนนุ จากองคม รรคขออน่ื ๆ ดวย ยิ่งการดาํ เนินตามมรรคกา วหนา ไปเทา ใด สมั มาทิฏฐกิ ็ยงิ่ อบรมบม ตัวใหแขง็ กลา ชัดเจนมกี ําลงั บรสิ ุทธ์ิ มากขน้ึ เพียงนน้ั และในที่สุดกก็ ลายเปนตัวการสําคญั ทีน่ ําเขา ถึงจดุ หมายปลายทางของมรรคา จนกลาวไดวา สัมมาทิฏฐิเปน ท้งั จุดเรม่ิ ตน และปลายสุดของมรรคา การที่สัมมาทิฏฐเิ จรญิ คล่ีคลายขยายตวั มาตามลาํ ดบั ในระหวา ง มรรคาเชน น้ี สอ งความในตวั วา สมั มาทิฏฐใิ นลาํ ดบั หรอื ขน้ั ตอนตางๆ ของการปฏิบัติน้ัน มีความแตกตางกันโดยคุณภาพ ตามลําดับหรือตาม ขนั้ ตอนนั้นๆ สมั มาทฏิ ฐิที่มีเม่ืออยู ณ จุดเร่มิ ตน ยอมมีคณุ ภาพตางจากสมั มาทฏิ ฐิทม่ี เี มือ่ ถงึ ปลายทาง สมั มาทฏิ ฐทิ จ่ี ุดเรมิ่ ตนทเี ดียวกด็ ี ท่สี ดุ ทางกด็ ี อาจมลี กั ษณะจําเพาะตวั ทแ่ี ตกตา งจากลกั ษณะทัว่ ไป ของสมั มาทิฏฐิตามความหมายทว่ั ไป กลา วคอื - สมั มาทฏิ ฐิที่จุดเรม่ิ ตน อาจยังมลี กั ษณะไมพ รอ มสมบูรณ ทจ่ี ะควรนับวาเปนสมั มาทฏิ ฐเิ ตม็ ตาม ความหมายของคํา และ - สมั มาทิฏฐิที่สดุ ทาง อาจมีคณุ สมบัตแิ ปรเปล่ยี นพิเศษออกไป จนควรเรียกชอื่ เปนอีกอยางหนึง่ ตาง หาก การแยกคาํ เรียกจึงมีประโยชนในกรณีนี้ และโดยทีส่ ัมมาทฏิ ฐเิ ปน ลักษณะหนึ่งของปญ ญา คาํ รวมที่ เหมาะในทีน่ จี้ งึ ควรไดแ กค ําวา “ปญ ญา” ซ่งึ หมายความวา ปญญาเจรญิ ข้นึ ตามลาํ ดับของการฝก อบรมใน มรรคานี้ ปญญาทีเ่ จริญตามลําดบั ขนั้ น้ี แตล ะขัน้ ตอนทส่ี าํ คญั มลี ักษณะและชอ่ื เรียกพเิ ศษอยา งไร ควร พจิ ารณาตอไปสกั เลก็ นอยกลาวตามระบบมัชฌมิ าปฏิปทา พอจะวางลาํ ดบั สงั เขปของ “การเจริญปญ ญา” ได วาสาํ หรบั คนสามัญท่วั ไป ท่ีตอ งเรียนรดู ว ยอาศยั คําแนะนาํ ส่งั สอนจากผอู ่นื กระบวนการฝก อบรมจะเร่มิ ตน ดว ยความเชอ่ื ในรปู ใดรูปหน่ึงกอน ซึง่ มศี พั ทเ ฉพาะเรยี กวา ศรัทธา ศรัทธานี้ อาจเปน ความเช่ือเพราะพอใจในเหตุผลเบอ้ื งตนของคําสอนนัน้ และหรอื ความเชื่อในความมี เหตผุ ล หรือลักษณะอันสมเหตสุ มผลนา ไววางใจของตวั ผสู อนเอง

พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 150 จากน้นั จงึ มกี ารรบั ฟง คําสอน การศกึ ษาอบรม เกดิ ความเขา ใจเพิม่ พูนข้นึ มองเห็นเหตุผลทถี่ ูกตอ ง ดวยตนเอง ซ่งึ เรยี กครา วๆ วา สัมมาทฏิ ฐิ เมื่อความเหน็ ความเขาใจนี้ เพ่มิ พูน และแจมแจง ชัดเจนข้นึ ตาม ลําดับ ดว ยการลงมือปฏิบตั ิ หรอื พสิ จู นดว ยประสบการณ จนกลายเปนการรกู ารเห็นประจักษ ก็นับวา ปญญาไดเจรญิ มาถึงข้ันท่ีเรียกวาเปน สมั มาญาณ ซง่ึ เปนขัน้ ท่พี นจากความเชอ่ื (ศรทั ธา) และพน จากความเขา ใจดว ยเหตุผล (ทฏิ ฐ)ิ ใดๆ ทง้ั ส้ิน เปนขนั้ สุดทาง และเขาถงึ จดุ หมาย คอื ความหลุดพน เปนอิสระ ซึง่ เรยี กวา สมั มาวมิ ตุ ติ ลาํ ดบั ความเจรญิ ของปญญานี้ อาจเขยี นใหเขาใจงา ยๆ ดังน้ี ศรัทธา-สัมมาทฏิ ฐิ-สมั มาญาณ - สมั มาวิมตุ ติ ตามกระบวนธรรมนี้ เริ่มแรกทีเดยี ว ปญ ญามอี ยเู พียงในรูปแฝง หรอื เปน ตัวประกอบของศรทั ธากอ น แลวเจริญเปนตัวเองข้ึนตามลําดับ จนเมอ่ื ถงึ ข้นั สุดทาย เปนสัมมาญาณ ปญ ญาจะเดนชดั บริสุทธเ์ิ ปนตวั แท สว นศรทั ธาจะไมเหลอื อยูเ ลย เพราะถูกปญญาแทนทโี่ ดยสิ้นเชิง เม่ือถงึ ข้ันน้ีเทา น้นั การตรสั รหู รอื การหลุดพน จงึ มไี ด กระบวนการน้ี จะไดเ ห็นตอ ไปตามลําดับ ขอนา สังเกตเปนพิเศษ คอื ศรัทธาที่ปรากฏเขา มาในกระบวนธรรมนี้ หมายถงึ ศรัทธาเพอ่ื ปญญา หรือ ศรทั ธาทน่ี าํ ไปสปู ญญา จงึ ตองเปน ความเช่อื ทีป่ ระกอบดว ยปญ ญา หรือเชอ่ื เพราะมคี วามเขาใจในเหตุผลเปน มลู ฐาน (เปนอาการวตีศรทั ธา หรือ ศรัทธาญาณสมั ปยตุ ) มไิ ดห มายถงึ ความเชอื่ แบบมอบใจปลงปญ ญาใหไป โดยไมตองพิจารณาเหตผุ ล (อมูลิกาศรทั ธา หรือ ศรัทธาญาณวปิ ยตุ ) เร่อื งศรัทธา ทีเ่ ขา มาเปน สวนประกอบในกระบวนธรรมนี้ อาจถูก เขาใจสับสนกบั ความเชอ่ื หรือศรัทธา อยา งที่เขา ใจกันในศาสนาทวั่ ๆ ไป จงึ ตองศึกษาเปนพเิ ศษ ณ ทน่ี ้ีดวย ข) หลักศรัทธา - สรุปขอ ควรเขา ใจเกยี่ วกบั ศรัทธา โดยสรปุ ลกั ษณะท่ีควรกลา วถงึ เพอ่ื เขา ใจความหมาย บทบาท และความสาํ คัญของศรทั ธาในระบบ ของพทุ ธธรรม มีดงั นี้ :- ๑. ศรทั ธาเปน เพยี งขนั้ หนึง่ ในกระบวนการพฒั นาปญ ญา และกลา วไดวา เปน ข้นั ตนทสี่ ดุ ๒. ศรทั ธาทปี่ ระสงค ตอ งเปนความเชอื่ ความซาบซง้ึ ท่ีเน่อื งดวยเหตผุ ล คือมีปญ ญารองรบั และ เปนทางสบื ตอ แกปญ ญาได มใิ ชเ พียงความรูส ึกมอบตัวมอบความไวว างใจใหส น้ิ เชิง โดยไมตอ งถาม หาเหตผุ ล อนั เปนลักษณะทางฝายอาเวค (emotion) ดานเดียว ๓. ศรัทธาทีเ่ ปนความรูส ึกฝา ยอาเวคดานเดียว ถือวาเปนความเชื่อทง่ี มงาย เปน สง่ิ ทจ่ี ะตอ งกาํ จดั หรอื แกไขใหถ ูกตอ ง สว นความรสู ึกฝา ยอาเวคทีเ่ น่ืองอยกู บั ศรทั ธาแบบที่ถกู ตอ ง เปน สง่ิ ที่นาํ มา


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook