พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 151 ใชในกระบวนการปฏบิ ตั ิธรรมใหเ ปนประโยชนไดมากพอสมควรในระยะตน ๆ แตจ ะถกู ปญ ญาเขา แทน ที่โดยส้นิ เชิงในทสี่ ุด ๔. ศรัทธาทีม่ งุ หมายในกระบวนการพัฒนาปญ ญาน้ัน อาจใหค วามหมายสั้นๆ วา เปนความซาบซงึ้ ดวย ม่ันใจในเหตผุ ลเทา ทีต่ นมองเหน็ คอื มน่ั ใจตนเองโดยเหตผุ ลวา จดุ หมายท่อี ยเู บือ้ งหนา นัน้ เปน ไปไดจ รงิ แท และมคี า ควรแกการทีต่ นจะดําเนินไปใหถงึ เปนศรทั ธาทเ่ี รา ใจใหอ ยากพสิ จู นค วามจรงิ ของเหตผุ ลที่ มองเหน็ อยูเ บอ้ื งหนา นั้นตอๆ ยิ่งๆ ขนึ้ ไป เปนบันไดขน้ั ตนสูความรู ตรงขามกับความรูสกึ มอบใจใหแ บบ อาเวค ซ่ึงทาํ ใหห ยดุ คดิ หาเหตุผลตอ ไป ๕. เพอ่ื ควบคุมศรทั ธาใหอยใู นความหมายที่ถกู ตอง ธรรมหมวดใดก็ตามในพุทธธรรม ถา มศี รทั ธาเปน สว น ประกอบขอหน่งึ แลว จะตองมปี ญญาเปน อกี ขอหนง่ึ ดว ยเสมอไป และตามปรกติศรทั ธายอมมาเปนขอ ทีห่ น่งึ พรอ มกบั ท่ีปญ ญาเปน ขอ สดุ ทาย แตใ นกรณีที่กลาวถงึ ปญญา ไมจาํ เปน ตอ งกลา วถงึ ศรทั ธาไว ดวย ปญญาจึงสาํ คญั กวาศรทั ธา ท้ังในฐานะเปนตัวคุม และในฐานะเปน องคป ระกอบที่จําเปน แมใ น แงค ณุ สมบตั ขิ องบคุ คล ผทู ไ่ี ดรบั ยกยอ งสงู สดุ ในพระพุทธศาสนา กค็ ือผูมปี ญญาสงู สดุ เชน พระสารี บตุ รอัครสาวก เปน ตน ศรัทธาแมแ ตท่ถี กู ตอง กถ็ ือเปน ธรรมขัน้ ตน ๖. คณุ ประโยชนของศรทั ธา เปนไปใน ๒ ลกั ษณะ คอื ในแนวหนึง่ ศรทั ธาเปนปจจัยใหเกิดปต ิ ซง่ึ ทําใหเ กดิ ปสสัทธิ (ความสงบเยือกเยน็ ) นําไปสสู มาธิและปญ ญาในทส่ี ดุ อกี แนวหนงึ่ ศรัทธาทําใหเ กดิ วิริยะ คอื ความเพยี รพยายามทจี่ ะปฏบิ ัติ ทดลองส่งิ ท่ีเชอ่ื ดว ยศรัทธานน้ั ใหเหน็ ผลประจกั ษจริงจังแกตน ซึ่งกน็ ํา ไปสูปญ ญาในทส่ี ุดเชนกนั คุณประโยชนทั้งสองน้ี จะเห็นวาเปน ผลจากความรูสกึ ในฝายอาเวค แตมี ความตระหนักในความตองการปญ ญาแฝงอยดู ว ยตลอดเวลา ๗. ศรทั ธาเปนไปเพือ่ ปญญา ดงั นน้ั ศรทั ธาจึงตอ งสงเสรมิ ความคดิ วิจยั วิจารณ จงึ จะเกดิ ความกา วหนา แก ปญ ญาตามจดุ หมาย นอกจากน้ี แมตวั ศรทั ธาน่ันเอง จะม่นั คงแนนแฟนได ก็เพราะไดค ิดเห็นเหตผุ ล จนม่นั ใจ หมดความเคลอื บแคลงสงสยั ใดๆ โดยนยั นี้ ศรทั ธาในพทุ ธธรรมจงึ สงเสริมการคนคิดหาเหตุ ผล การขอรองใหเช่ือกด็ ี การบงั คบั ใหย อมรบั ความจรงิ ตามท่กี าํ หนดก็ดี การขดู วยภัยแกผ ูไมเ ช่ือกด็ ี เปนวิธีการทเี่ ขา กนั ไมไ ดเ ลยกบั หลักศรัทธาน้ี ๘. ความเล่ือมใสศรทั ธาติดในบุคคล ถือวามีขอ เสียเปนโทษได แมแ ตความเลือ่ มใสตดิ ในองคพระศาสดา เอง พระพุทธเจาก็ทรงสอนใหละเสีย เพราะศรัทธาทแี่ รงดวยความรูส ึกทางอาเวค กลบั กลายเปน อปุ สรรคตอ ความหลดุ พนเปนอสิ ระโดยสมบูรณ ในขนั้ สดุ ทา ย ๙. ศรัทธาไมถ กู จัดเปน องคมรรค เพราะตัวการทจี่ ําเปนสําหรับการดาํ เนนิ กาวหนา ตอไปในมรรคาน้ี คอื ปญ ญาที่พว งอยูกบั ศรัทธานน้ั ตา งหาก และศรทั ธาท่จี ะถอื วาใชไ ดก็ตอ งมีปญ ญารองรับอยูดวย นอก จากน้ี ทานท่ีมีปญ ญาสูง เชน องคพระพุทธเจาเอง และพระปจเจกพุทธเจา ทรงเรมิ่ มรรคาที่ตวั ปญญา
พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 152 ทเี ดยี ว ไมผา นศรทั ธา เพราะการสรางปญญาไมจาํ ตอ งเร่ิมที่ศรทั ธาเสมอไป (ดูเหตุเกดิ สมั มาทิฏฐิขา ง หนา) ดว ยเหตดุ งั กลาวน้ี ความหมายในขน้ั ศรทั ธาจงึ ถกู รวมเขาไวในองคม รรคขอ แรกคอื สมั มาทฏิ ฐิ ไม ตอ งแยกไวตา งหาก ๑๐. แมแ ตศ รัทธาทพี่ น จากภาวะเปน ความเชอ่ื งมงายแลว ถาไมด าํ เนนิ ตอไปถงึ ขัน้ ทดลองปฏิบตั เิ พอ่ื พสิ จู น ใหเ หน็ ความจรงิ ประจกั ษแกต น กไ็ มน ับวาเปนศรัทธาท่ถี ูกตอ งตามความหมายแทจ ริง เพราะเปน ศรทั ธาท่มี ไิ ดปฏบิ ัตหิ นาทตี่ ามความหมายของมนั จดั เปน การปฏบิ ัตธิ รรมผิดพลาด เพราะปฏิบัตอิ ยา ง ขาดวตั ถุประสงค ๑๑. แมศรทั ธาจะมีคณุ ประโยชนส ําคัญ แตใ นข้นั สูงสดุ ศรทั ธาจะตองหมดไป ถายังมีศรทั ธาอยู ก็แสดงวา ยังไมบ รรลุจดุ หมาย เพราะตราบใดท่ียงั เชือ่ ตอจดุ หมายน้ัน ก็ยอมแสดงวา ยงั ไมไดเ ขา ถึงจดุ หมายนัน้ ยังไมร ูเห็นจริงดวยตนเอง และตราบใดทยี่ ังมีศรัทธา ก็แสดงวา ยังตองอิงอาศยั สงิ่ อืน่ ยงั ตองฝาก ปญญาไวกบั ส่ิงอืน่ หรอื ผอู ่ืน ยงั ไมห ลุดพนเปนอสิ ระโดยสมบรู ณ โดยเหตุนศี้ รทั ธาจึงไมเปนคณุ สมบตั ิ ของพระอรหันต ตรงขา ม พระอรหนั ตกลบั มีคุณลักษณะวา เปนผไู มม ศี รัทธา (อัสสทั ธะ) ซึง่ หมายความ วา ไดรูเห็นประจักษ จงึ ไมต อ งเช่ือตอใครๆ หรือตอเหตุผลใดๆ อกี ๑๒. โดยสรปุ ความกาวหนา ในมรรคานี้ ดําเนินมาโดยลําดบั จากความเชอ่ื (ศรัทธา) มาเปน ความเห็นหรือ เขา ใจโดยเหตุผล (ทฏิ ฐ)ิ จนเปนการรกู ารเห็น (ญาณทสั สนะ) ในท่ีสดุ ซึ่งในขน้ั สุดทา ยเปนอนั หมด ภาระของศรทั ธาโดยส้นิ เชิง ๑๓. ศรทั ธามขี อบเขตความสําคญั และประโยชนแคไหนเพยี งใด เปน ส่ิงทีจ่ ะตอ งรเู ขาใจตามเปน จรงิ ไมควร ตีคาสงู เกินไป แตกไ็ มควรดูแคลนโดยเดด็ ขาด เพราะในกรณที ่ดี แู คลนศรทั ธา อาจกลายเปน การเขา ใจ ความหมายของศรัทธาผดิ เชน ผูทค่ี ิดวา ตนเชอ่ื ม่นั ในตนเอง แตก ลายเปนเชือ่ ตอกเิ ลสของตน ในรูป อหงั การมมงั การไป ซึง่ กลบั เปน ผลรา ยไปอกี ดา นหนง่ึ ๑๔. ในกระบวนการแหงความเจริญของปญญา (หรอื การพฒั นาปญ ญา) อาจกาํ หนดขน้ั ตอนทจี่ ดั วาเปน ระยะของศรทั ธาไดครา วๆ คือ ๑) สรางทศั นคตทิ มี่ เี หตผุ ล ไมเชื่อหรอื ยดึ ถือสงิ่ ใดสงิ่ หนง่ึ เพยี ง เพราะฟงตามๆ กันมา เปนตน (ตามแนวกาลามสตู ร) ๒) เปน ผคู ุมครองหรืออนรุ ักษสจั จะ (สจั จานุรักษ) คอื พดู จาํ กดั ขอบเขตของตนใหชดั วา เทาท่ตี นรูเห็นเขา ใจคอื แคน้นั เปน อยาง น้นั ๆ ไมเ อาความรเู หน็ เขา ใจของตนไปผูกขาดความจริง และยนิ ดี รบั ฟง หลักการ ทฤษฎี คาํ สอน ความเหน็ ตา งๆ ของทกุ ฝายทกุ ดาน ดวยใจท่ีเปน กลาง ไมดว นตดั สนิ ส่งิ ท่ยี ังไมร ไู มเ หน็ วา เปน เท็จ ไมยนื กรานยึดติดแตสิ่งท่ตี นรเู ทานน้ั วา ถกู ตองเปน จรงิ
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 153 ๓) เมอ่ื รับฟงทฤษฎี คําสอน ความเห็นตางๆ ของผอู ืน่ แลว พจิ ารณาเทาท่เี ห็นดวยปญ ญาตนวา เปนสงิ่ มีเหตผุ ล และเหน็ วาผแู สดงทฤษฎี คาํ สอน หรือความเหน็ นนั้ ๆ เปน ผูมีความ จริงใจ ไมลําเอียง มปี ญญา จึงเลือ่ มใส รบั เอามาเพือ่ คิดหา เหตผุ ลทดสอบความจรงิ ตอ ไป ๔) นําสง่ิ ทใ่ี จรบั มานัน้ มาขบคิดทดสอบดวยเหตุผล จนแนแกใ จ ตนวา เปน ส่ิงที่ถูกตองแทจริง อยา งแนน อน จนซาบซงึ้ ดว ย ความมั่นใจในเหตุผลเทาที่ตนมองเห็นแลว พรอ มทีจ่ ะลงมอื ปฏบิ ัตพิ สิ จู นทดลองใหรเู หน็ ความจริงประจกั ษตอไป ๕) ถา มคี วามเคลือบแคลงสงสยั รบี สอบถามดวยใจบริสทุ ธิ์ มงุ ปญ ญา มใิ ชด วยอหงั การมมงั การ พิสูจนเ หตุผลใหช ดั เจนเพอ่ื ใหศ รทั ธานนั้ ม่นั คงแนน แฟน เกดิ ประโยชนสมบูรณตามความ หมายของมนั - สรปุ คุณสมบัตแิ ละหนาที่ของศรทั ธาท่ีถูกตอง ศรทั ธาเปนจุดเรม่ิ ตน สําหรบั คนทัว่ ไป ที่จะเขา สูม ัชฌิมาปฏิปทา จงึ เปนธรรมสาํ คญั ทจ่ี ําเปน ตอ งเนน ให มาก วา จะตองเปนศรทั ธาที่ถูกตองตามหลักทีจ่ ะเปน สัมมาทฏิ ฐิ ในทีน่ ี้ จงึ ขอสรุปคุณสมบัตแิ ละการทําหนา ที่ ของศรทั ธาท่จี ะตองสมั พนั ธกับปญญา ไวเปนสวนเฉพาะอกี คร้งั หนึ่ง วา ๑. ศรัทธาตอ งประกอบดวยปญญา และนําไปสูปญ ญา ๒. ศรัทธาเกื้อหนนุ และนาํ ไปสปู ญ ญา โดย ก) ชวยใหป ญ ญาไดจดุ เร่มิ ตน เชน ไดฟ ง เร่ืองหรอื บุคคลใด แสดงสาระ มีเหตผุ ล นาเชอ่ื ถือหรอื นา เล่ือมใส เหน็ วาจะนาํ ไปสคู วามจริงได จงึ เรมิ่ ศกึ ษาคนควาจากจดุ หรอื แหลงน้นั ข) ชว ยใหป ญ ญามเี ปา หมายและทศิ ทาง เมอื่ เกดิ ศรทั ธาเปนเคาวา จะไดความจริงแลว ก็มงุ หนาไปทาง น้ัน เจาะลกึ ไปในเร่ืองนนั้ ไมพรา ไมจ ับจด ค) ชวยใหปญ ญามีพลงั หรอื ชว ยใหการพัฒนาปญ ญากา วไปอยา งเขม แขง็ คอื เม่อื เกดิ ศรัทธามั่นใจวา จะไดค วามจริง กม็ กี ําลังใจเพยี รพยายามศึกษาคน ควาอยางจรงิ จัง วิริยะกม็ าหนุน ดวยเหตนุ ้ี พระพทุ ธเจา จงึ ทรงแสดงหลักความเสมอกนั หรอื หลกั ความสมดลุ แหง อินทรีย ท่เี รยี กวา อนิ ทรยิ สมตา ไว โดยใหผปู ฏิบตั ทิ ั่วๆ ไป มศี รทั ธาท่ีเขา คูส มดุลกับปญญา ใหธรรมสองอยา งนี้ ชว ยเสรมิ กนั และ คมุ กนั ใหพอดี (เชน เดยี วกับวิริยะคือความเพยี ร ทจี่ ะตอ งเขา คสู มดลุ กบั สมาธิ เพอ่ื ใหว ริ ิยะไมเ ปน ความเพยี รที่ พลุงพลานรอ นรน และสมาธไิ มกลายเปนน่งิ เฉยหรือเกียจครานเฉ่ือยชา แตใ หเปน การกา วไปอยา งเรียบรื่นและ
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 154 หนักแนนมัน่ คง ทง้ั นี้โดยมสี ติเปน ตัวกํากับ จัด ปรับ และรกั ษาความสมดลุ น้นั ไว ถา พดู กวา งๆ ก็ถือวาทง้ั ๕ อยา ง คือ ศรทั ธา วริ ยิ ะ สติ สมาธิ ปญ ญา ตอ งสมดลุ กนั ท้ังหมด) - พุทธพจนแ สดงหลกั ศรทั ธา 1- ทัศนคติตามแนวกาลามสูตร สําหรบั ทุกคน ไมว าจะเปนผนู ับถือทฤษฎี ลทั ธิ หรอื คาํ สอนอนั ใดอนั หนง่ึ อยแู ลว หรอื ยังไมน ับถือกต็ าม มหี ลักการตัง้ ทศั นคตทิ ่ีประกอบดวยเหตผุ ล ตามแนวกาลามสูตร ดงั นี้ พระพทุ ธเจา เสด็จจาริก ถงึ เกสปุตตนิคมของพวกกาลามะ ในแควน โกศล ชาวกาลามะไดยินกิตติศัพท ของพระองค จงึ พากนั ไปเฝา แสดงอาการตางๆ กัน ในฐานะยังไมเ คยนับถอื มากอน และไดทูลถามวา พระองคผ เู จรญิ มสี มณพราหมณพวกหนึ่งมาสูเ กสปตุ ตนคิ ม ทา นเหลาน้ันแสดงเชดิ ชแู ตวาทะ (ลทั ธ)ิ ของตนเทา นั้น แตยอมกระทบกระเทียบ ดูหม่ิน พูดกดวาทะฝายอืน่ ชกั จงู ไมใหเช่อื สมณพราหมณอกี พวกหน่ึง ก็มาสูเกสปุตตนคิ ม ทา นเหลา น้ัน ก็แสดงเชดิ ชแู ตว าทะของตนเทา นนั้ ยอ มกระทบกระเทียบ ดูหมิ่น พูดกดวา ทะฝายอืน่ ชักจงู ไมใหเ ชอื่ พวกขาพระองค มคี วามเคลือบแคลงสงสัยวา บรรดาสมณพราหมณเหลาน้นั ใครพดู จริง ใครพดู เทจ็ ? กาลามชนท้งั หลาย เปน การสมควรท่ีทา นทั้งหลายจะเคลอื บแคลง สมควรที่จะสงสยั ความ เคลอื บแคลงสงสัยของพวกทานเกิดขน้ึ ในฐานะ กาลามชนทัง้ หลาย ทานทัง้ หลาย - อยา ปลงใจเชือ่ โดยการฟง (เรียน) ตามกันมา (อนุสสวะ) - อยา ปลงใจเช่อื โดยการถือสืบๆ กันมา (ปรมั ปรา) - อยาปลงใจเชอื่ โดยการเลา ลอื (อิตกิ ริ า) - อยาปลงใจเช่ือ โดยการอา งตาํ รา (ปฏ กสัมปทาน) - อยา ปลงใจเชื่อ โดยตรรก (ตักกะ) - อยา ปลงใจเชอ่ื โดยการอนุมาน (นยะ) - อยา ปลงใจเชอื่ โดยการคิดตรองตามแนวเหตผุ ล (อาการปริวติ ักกะ) - อยา ปลงใจเชือ่ เพราะเขากันไดกับทฤษฎีของตน (ทฏิ ฐินิชฌานกั ขันติ) - อยาปลงใจเช่ือ เพราะมองเห็นรปู ลกั ษณะนาเช่ือ (ภพั พรูปตา) - อยาปลงใจเชอื่ เพราะนบั ถอื วา ทา นสมณะนเ้ี ปน ครขู องเรา (สมโณ โน ครูต)ิ เม่ือใด ทานท้งั หลายรูดว ยตนเองวา ธรรมเหลานี้เปนอกุศล ธรรมเหลา น้มี ีโทษ ธรรมเหลา นี้วญิ ชู นติ เตยี น ธรรมเหลาน้ีใครยึดถอื ปฏบิ ตั ิถวนถึงแลว จะเปน ไปเพือ่ มิใชประโยชนเกอื้ กลู เพอ่ื ความทกุ ข เมอ่ื น้ัน ทา น ท้งั หลายพึงละเสีย ฯลฯ เมอ่ื ใด ทานทงั้ หลายรดู ว ยตนเองวา ธรรมเหลา น้ีเปน กศุ ล ธรรมเหลาน้ีไมมีโทษ ธรรมเหลานวี้ ิญูชน สรรเสริญ ธรรมเหลานีใ้ ครยึดถือปฏิบัตถิ ว นถึงแลว จะเปน ไปเพ่ือประโยชนเ กือ้ กูล เพ่อื ความสขุ เมื่อนัน้ ทานท้ัง
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 155 หลายพึงถือปฏิบัติบาํ เพ็ญ (ธรรมเหลานั้น)ในกรณีท่ผี ฟู งยงั ไมรูไมเ ขาใจและยงั ไมมีความเชือ่ ในเร่ืองใดๆ กไ็ ม ทรงชักจูงความเช่ือ เปนแตท รงสอนใหพิจารณาตดั สนิ เอาตามเหตผุ ลทเี่ ขาเห็นไดดว ยตนเอง เชน ในเร่อื งความ เชอ่ื เกยี่ วกบั ชาตนิ ้ีชาติหนา ในแงจ ริยธรรม กม็ ีความในตอนทายของสตู รเดียวกนั นน้ั วา กาลามชนทง้ั หลาย อริยสาวกนน้ั ผมู ีจิตปราศจากเวรอยา งน้ี มจี ิตปราศจากความเบียดเบยี นอยา งน้ี มี จติ ไมเศรา หมองอยา งนี้ มจี ิตบรสิ ุทธอ์ิ ยางนี้ ยอ มไดประสบความอนุ ใจถงึ ๔ ประการ ตั้งแตใ นปจ จบุ ันนแ้ี ลว คือ ถา ปรโลกมีจริง ผลวบิ ากของกรรมท่ีทาํ ไวดีทําไวชวั่ มีจรงิ การทว่ี า เมอ่ื เราแตกกายทาํ ลายขนั ธไปแลว จะเขาถงึ สุคติโลกสวรรค ก็ยอมเปนส่งิ ทีเ่ ปนไปได น้ีเปนความอุนใจประการท่ี ๑ ทีเ่ ขาไดรับ ก็ถา ปรโลกไมม ี ผลวิบากของกรรมท่ที ําไวด ีทาํ ไวชว่ั ไมม ี เราก็ครองตนอยู โดยไมม ที ุกข ไมมีเวร ไมม ี ความเบยี ดเบยี น เปน สุขอยแู ตใ นชาติปจจุบนั นี้แลว นเ้ี ปน ความอนุ ใจประการที่ ๒ ที่เขาไดร ับ ก็ถาเม่อื คนทาํ ความชว่ั กเ็ ปน อันทาํ ไซร เรามิไดคิดการชวั่ รา ยตอ ใครๆ ท่ีไหนทกุ ขจ ักมาถกู ตอ งเราผูมไิ ด ทาํ บาปกรรมเลา น้ีเปน ความอนุ ใจประการที่ ๓ ทเี่ ขาไดร บั กถ็ าเมอ่ื คนทําความชัว่ ก็ไมช อื่ วาเปน อันทําไซร ในกรณนี ี้ เรากม็ องเหน็ ตนเปนผบู รสิ ทุ ธ์ิทง้ั สองดาน น้ี เปนความอุนใจประการท่ี ๔ ทีเ่ ขาไดร ับ สาํ หรับผูท่ยี งั ไมไ ดน บั ถอื ในลทั ธิศาสนาหรอื หลกั คาํ สอนใดๆ พระองค จะตรัสธรรมเปน กลางๆ เปน การ เสนอแนะความจรงิ ใหเขาคดิ ดว ยความปรารถนาดี เพื่อประโยชนแกตวั เขาเอง โดยมิตองคํานงึ วา หลักธรรมน้นั เปน ของผใู ด โดยใหเขาเปนตัวของเขาเอง ไมมกี ารชักจงู ใหเ ขาเช่ือหรือเล่อื มใสตอ พระองค หรือเขามาสอู ะไรสกั อยา งท่ีอาจจะเรียกวา ศาสนาของพระองค พึงสังเกตดว ยวา จะไมทรงอา งพระองค หรืออา งอํานาจเหนอื ธรรมชาตพิ ิเศษอนั ใด เปนเครื่องยนื ยนั คาํ สอนของพระองค นอกจากเหตุผลและขอเท็จจริงท่ีใหเขาพิจารณาเหน็ ดวยปญญาของเขาเอง เชน เรื่องในอ ปณณกสตู ร ซงึ่ แสดงใหเ ห็นเหตผุ ลท่ีควรประพฤติธรรม โดยไมตองใชวิธขี ดู วยการลงโทษและลอดว ยการให รางวัล ดงั น้ี :- พระพุทธเจาเสดจ็ จารกิ ถงึ หมบู านพราหมณช ือ่ สาลา พวกพราหมณค หบดชี าวหมูบานน้ี ไดท ราบ กิตตศิ พั ทข องพระองค จึงพากันไปเฝา แสดงอาการตางๆ ในฐานะอาคนั ตกุ ะท่ยี งั มิไดน ับถือกนั พระพทุ ธเจา ตรสั ถามวาคหบดีทง้ั หลาย พวกทานมีศาสดาทานใดทานหนึ่งที่ถกู ใจ ซ่ึงทา นทัง้ หลายมีศรัทธาอยางมเี หตผุ ล (อาการวตีสทั ธา) อยบู า งหรือไม ? ครนั้ พวกพราหมณคหบดีทลู ตอบวา “ไมม ”ี ก็ไดตรัสวา เมอ่ื ทานทั้งหลายยงั ไมไ ดศาสดาที่ถกู ใจ ก็ควรจะถอื ปฏบิ ตั หิ ลกั การทไี่ มผดิ พลาดแนน อน (อปณณก ธรรม) ดงั ตอไปนี้ ดว ยวาอปณ ณกธรรมนี้ เมอ่ื ถอื ปฏบิ ตั ถิ วนถึงแลว จกั เปนไปเพ่ือประโยชนเ กือ้ กลู เพอื่ ความ สุขสิ้นกาลนาน หลักการทไี่ มผ ดิ พลาดแนน อนนี้ เปนไฉน ?
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 156 สมณพราหมณพวกหนงึ่ มวี าทะ มีทฏิ ฐิวา : ทานทใี่ หแ ลว ไมมีผล การบําเพ็ญทานไมม ผี ล การบชู าไมมี ผล ผลวบิ ากแหง กรรมทีท่ ําไวดีทาํ ไวชว่ั ไมม ี โลกนี้ไมม ี ปรโลกไมมี มารดาไมม ี บิดาไมม ี ฯลฯ สว นสมณ พราหมณอ กี พวกหนึ่ง มวี าทะ มที ิฏฐิท่เี ปน ขา ศกึ โดยตรงกับสมณพราหมณพวกน้ันทเี ดยี ววา : ทานท่ใี หแลวมี ผล การบาํ เพ็ญทานมีผล การบชู ามีผล ฯลฯ ทานทงั้ หลายเห็นเปน ไฉน ? สมณพราหมณเ หลา น้ี มีวาทะเปน ขา ศึกโดยตรงตอ กันมิใชห รอื ? เมอ่ื พราหมณค หบดที ลู ตอบวา “ใชอ ยา งนน้ั ” กต็ รัสตอ ไปวา ในสมณพราหมณ ๒ พวกนน้ั พวกที่มีวาทะ มีทฏิ ฐวิ า : ทานทใ่ี หแลวไมม ีผล การบําเพญ็ ทานไมม ผี ล ฯลฯ สาํ หรับพวกน้ี เปนอันหวังส่งิ ตอ ไปน้ไี ดคอื พวกเขาจะละทงิ้ กายสุจริต วจสี จุ รติ มโนสจุ ริต อันเปน กศุ ลธรรม ทงั้ ๓ อยางเสีย แลวจะยึดถอื ประพฤตกิ ายทุจรติ วจที ุจริต มโนทจุ รติ ซึ่งเปน อกุศลธรรมท้งั ๓ อยาง ขอนัน้ เปน เพราะเหตใุ ด ? ก็เพราะทานสมณพราหมณเหลา นัน้ ยอ มไมมองเหน็ โทษ ความทราม ความเศราหมอง แหง อกุศลธรรม และอานิสงสในเนกขมั มะ อนั เปน คณุ ฝายสะอาดผอ งแผวของกศุ ลธรรม อนงึ่ (หาก)เม่ือปรโลกมี เขาเห็นวา ปรโลกไมม ี ความเห็นของเขา กเ็ ปน มิจฉาทฏิ ฐิ (หาก)เม่อื ปรโลกมี เขาดาํ ริวา ปรโลกไมมี ความดาํ รขิ องเขาก็เปน มิจฉาสังกปั ปะ (หาก)เมอื่ ปรโลกมี เขากลาววา ปรโลกไมม ี วาจา ของเขาก็เปน มจิ ฉาวาจา (หาก)เม่อื ปรโลกมี เขากลาววา ปรโลกไมม ี เขาก็ทําตนเปนขาศกึ กบั พระอรหันตผรู ูป ร โลก (หาก)เมอื่ ปรโลกมี เขาทาํ ใหคนอื่นพลอยเห็นดว ยวา ปรโลกไมมี การทําใหพลอยเห็นดวยน้ัน กเ็ ปนการให พลอยเหน็ ดวยกับอสัทธรรม และดว ยการทาํ ใหคนอื่นพลอยเหน็ ดว ยกบั อสทั ธรรม เขากย็ กตนขม คนอนื่ โดยนยั น้ี เรมิ่ ตนทีเดยี ว เขาก็ละท้ิงความมีศีลดงี าม เขาไปต้ังความทุศีลเขา ไวเสยี แลว มที ั้งมจิ ฉาทิฏฐิ มิจฉาสังกปั ปะ มจิ ฉาวาจา ความเปน ขาศกึ กบั อรยิ ชน การชวนคนใหเ ห็นดวยกบั อสทั ธรรม การยกตน การขม ผูอื่น บาปอกุศล ธรรมอเนกประการเหลานี้ ยอมมีข้ึนเพราะมิจฉาทิฏฐิเปนปจ จยั ในเรอ่ื งนน้ั คนที่เปน วญิ ู ยอมพจิ ารณาเหน็ ดังนีว้ า “ถาปรโลกไมมี ทา นผูน้ี เมื่อแตกกายทาํ ลายขนั ธ ไป กท็ าํ ตนใหสวสั ดี (ปลอดภยั ) ได แตถา ปรโลกมี ทา นผูน เ้ี ม่ือแตกกายทําลายขันธ กจ็ ะเขาถงึ อบาย ทคุ ติ วินิบาต นรก เอาเถอะ ถงึ วาใหปรโลกไมมจี ริงๆ ใหค ําของทา นสมณ-พราหมณเหลา นั้นเปน ความจรงิ กเ็ ถิด ถงึ กระน้นั บุคคลผูนี้กถ็ กู วิญชู นตเิ ตยี นไดใ นปจ จุบันนเี้ องวา เปนคนทุศีล มมี จิ ฉาทิฏฐิ เปนนัตถิกวาท ก็ถา ปร โลกมีจรงิ บคุ คลผูนกี้ เ็ ปน อนั ไดแตข อ เสยี หายทงั้ สองดา น คอื ปจ จุบนั ก็ถูกวิญชู นตเิ ตียน แตกกายทาํ ลายขนั ธ ไปแลว ก็เขา ถงึ อบาย ทุคติ วินิบาต นรก อกี ดวย” ฯลฯ สมณพราหมณพวกหนึง่ มีวาทะมีทิฏฐิวา “ความดับภพหมดสิ้นไมม ”ี สว นสมณพราหมณอ กี พวกหนึ่ง ซึง่ มีวาทะ มที ฏิ ฐทิ ี่เปนขาศึกโดยตรงกับสมณพราหมณพวกน้นั กลา ววา “ความดบั ภพหมดส้ินมีอยู” ฯลฯ ในเร่อื งน้นั คนท่ีเปนวิญู ยอมพิจารณาดงั นีว้ า ท่ที า นสมณพราหมณผ ูมีวาทะมที ฏิ ฐวิ า “ความดับภพ หมดส้นิ ไมม”ี น้ี เรากไ็ มไ ดเ ห็น แมท ีท่ า นสมณพราหมณผ ูมวี าทะมีทิฏฐวิ า “ความดับภพหมดส้ินมอี ยจู รงิ ” นี้ เรา
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 157 กไ็ มทราบเหมอื นกัน กเ็ มอื่ เราไมร ูไมเหน็ อยู จะกลา วยึดเดด็ ขาดลงไปวา อยา งนี้เทา นั้นจรงิ อยางอื่นเทจ็ ดงั น้ี ยอมไมเ ปนการสมควรแกเรา กถ็ าคําของพวกสมณพราหมณทม่ี ีวาทะมีทิฏฐวิ า “ความดับภพหมดสน้ิ ไมม ”ี เปนความจรงิ การท่ีเรา จะไปเกดิ ในหมูเ ทพผไู มม รี ูปเปน สัญญามยั ซึ่งกไ็ มเปนความผดิ อะไร กย็ อมเปนส่ิงท่ีเปนไปได ถาคําของพวก สมณพราหมณท ม่ี วี าทะมที ิฏฐวิ า “ความดับภพหมดสิ้นมีอยู” เปน ความจริง การทเ่ี ราจะปรนิ พิ พานไดใน ปจ จุบัน ก็ยอ มเปน ส่ิงทเี่ ปน ไปได แตทิฏฐขิ องสมณพราหมณฝา ยทม่ี วี าทะมที ฏิ ฐิวา “ความดับภพหมดสน้ิ ไมม”ี นี้ ใกลไ ปขา งการมีความ ยอมตดิ ใกลไ ปขางการผูกพนั ใกลไ ปขางการหลงเพลิน ใกลไ ปขางการหมกมนุ สยบ ใกลไปขางการยดึ มัน่ ถอื มน่ั สวนทิฏฐขิ องทานสมณพราหมณฝายท่ีมีวาทะมที ิฏฐวิ า “ความดบั ภพหมดสนิ้ มจี รงิ ” นัน้ ใกลไปขา งการไมม ี ความยอมติด ใกลไ ปขางการไมมีความผูกมัดตัว ใกลไ ปขา งการไมหลงเพลิน ใกลไ ปขางไมห มกมนุ สยบ ใกลไ ป ขา งไมมีการยึดมนั่ ถือม่นั เขาพจิ ารณาเหน็ ดงั นแ้ี ลว ยอมเปน ผปู ฏิบตั ิเพอื่ นิพพทิ า วริ าคะ นิโรธ แหงภพทงั้ หลาย เปน แท” -2 ทาทีแบบอนรุ กั ษส ัจจะ พทุ ธพจนต อ ไปนแ้ี สดงใหเห็นวา ความรูความคดิ เห็นในระดับทยี่ ังเปนความเช่อื และเหตุผล ยงั เปน ความรูความเหน็ ทีบ่ กพรอง มีทางผิดพลาด ยงั ไมชื่อวา เปนการเขาถึงความจรงิ แนะ ทานภารทวาช ธรรม ๕ ประการนี้ มวี ิบาก ๒ สวนในปจ จุบัน ทเี ดยี ว คือ ๑. ศรทั ธา - ความเชื่อ ๒. รุจิ - ความถกู ใจ ๓. อนสุ สวะ - การฟง (หรือเรียน) ตามกนั มา ๔. อาการปรวิ ติ ักกะ - การคิดตรองตามแนวเหตผุ ล ๕. ทฏิ ฐนิ ิชฌานักขันติ - ความเขา กันไดกบั ทฤษฎขี องตน(การเพงพนิ จิ ดว ย) ก็สิ่งที่เชือ่ สนทิ ทีเดยี ว กลบั เปน ของเปลา เปนของเท็จไปกม็ ี ถึงแมส ่ิงที่ไมเชื่อเลยทีเดยี ว แตกลบั เปน ของจริง แท ไมเปน อื่นเลยกม็ ีถงึ สิ่งที่ถกู กบั ใจชอบทีเดยี ว กลับเปนของเปลา เปน ของเทจ็ ไปเสยี ก็มี ถงึ แมส ิง่ ท่ี มิไดถกู กับใจชอบเลย แตกลบั เปนของจรงิ แท ไมเปน อนื่ เลยกม็ ี ถงึ สง่ิ ทเ่ี รียนตอ กนั มาอยางดีทีเดยี ว กลับเปน ของเปลา เปนของเท็จไปกม็ ี ถงึ แมสงิ่ ทม่ี ไิ ดเรยี นตามกันมาเลย แตก ลบั เปน ของจรงิ แท ไมเ ปน อื่นไปเลยก็มี ถงึ สง่ิ ทีค่ ิดตรองอยา งดแี ลว ทเี ดียว กลบั เปนของเปลา เปนของเทจ็ ไปเสยี กม็ ี ถงึ แมสิง่ ท่มี ไิ ดเปนอยางที่ คดิ ตรองเห็นไวเ ลย แตก ลับเปน ของจรงิ แท ไมเ ปน อืน่ ไปเลยกม็ ี ถงึ สิ่งทเี่ พงพนิ ิจไวเปนอยางดี (วาถกู ตองตรงตามทิฏฐิทฤษฎหี ลักการของตน) กลบั เปน ของเปลา เปน ของเท็จไปเสียก็มี ถงึ แมส ิง่ ท่ีไมเ ปนอยางที่เพงพินจิ เห็นไวเลย แตก ลับเปน ของจรงิ แท ไมเ ปนอ่นื เลยกม็ ี จากนน้ั
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 158 ทรงแสดงวธิ วี างตนตอ ความคดิ เหน็ และความเชือ่ ของตน และการรบั ฟงความคดิ เหน็ และความเชือ่ ของผอู น่ื ซงึ่ เรียกวาเปนทัศนคตแิ บบอนรุ ักษสจั จะ (สัจจานุรกั ข แปลเอาความวา คนรกั ความจริง) วาบุรษุ ผเู ปน วิญู เม่ือ จะอนุรกั ษสจั จะ ไมค วรลงความเห็นในเร่อื งน้นั เด็ดขาดลงไปอยา งเดยี ววา “อยางนี้เทา นนั้ จริง อยา งอื่นเหลว ไหล (ทง้ั นนั้ )”ถาแมนบุรษุ มคี วามเชื่อ (ศรทั ธา อยอู ยา งหนงึ่ ) เมอื่ เขากลาววา “ขาพเจามคี วามเชอื่ อยา งน้ี” ยัง ช่ือวา เขาอนุรักษสจั จะอยู แตจ ะลงความเหน็ เด็ดขาดลงไปเปน อยา งเดียววา “อยา งนเี้ ทา นนั้ จรงิ อยางอ่นื เหลวไหล (ท้งั น้ัน)” ไมไ ดกอน ดวยขอ ปฏิบัติเพียงเทาน้ี ชื่อวามกี ารอนรุ กั ษสัจจะ และคนผนู นั้ กช็ อ่ื วาอนรุ ักษส ัจจะ อีกท้งั เรากบ็ ญั ญตั ิ การอนุรักษส จั จะดวยการปฏิบัตเิ พยี งเทานี้ แตยังไมช ่อื วา เปน การหยงั่ รูสจั จะ ถา แมนบรุ ษุ มีความเห็นที่ถกู ใจ...มกี ารเรยี นตอ กันมา...มีการคดิ ตรองตามเหตุผล...มคี วามเหน็ ที่ตรง กับทฤษฎีของตนอยู (อยา งใดอยางหนึง่ ) เมื่อเขากลา ววา “ขา พเจา มีความเห็นทีถ่ กู ใจอยางน้ี...มกี ารเลา เรยี น มาอยางนี้...มีสงิ่ ทค่ี ดิ ตรองตามเหตผุ ลไดอ ยางน้ี...มีความเห็นตามทฤษฎขี องตนวา อยางน”้ี กย็ ังชื่อวา เขา อนุรกั ษส จั จะอยู แตจะลงความเหน็ เด็ดขาดลงไปเปนอยางเดยี ววา “อยางนีเ้ ทา นน้ั จริง อยางอน่ื เหลวไหล (ท้ัง นน้ั )” ไมไ ดกอ น ดวยขอปฏบิ ตั เิ พยี งเทาน้ี ชือ่ วา มีการอนรุ กั ษสัจจะ และคนผนู ัน้ กช็ อ่ื วาอนรุ กั ษส ัจจะ อกี ท้งั เรากบ็ ญั ญตั ิ การอนุรักษสจั จะดวยการปฏบิ ัติเพยี งเทานี้ แตย งั ไมชือ่ วาเปนการหยั่งรูสัจจะ ทาทนี ีป้ รากฏชดั เมื่อตรัสเจาะจงเก่ยี วกับพระพุทธศาสนา คอื ในคราวท่มี ีคนภายนอกกาํ ลงั พูด สรรเสริญบาง ติเตียนบาง ซงึ่ พระพทุ ธศาสนา พระภกิ ษุสงฆน ําเรอื่ งน้นั มาสนทนากัน พระพทุ ธเจาไดตรสั วา ภิกษทุ ้งั หลาย ถา มคี นพวกอื่นมากลา วตเิ ตียนเรา ติเตียนธรรม ติเตยี นสงฆ เธอท้ังหลายไมค วรอาฆาต ไมค วรเศราเสียใจ ไมควรแคนเคือง เพราะคาํ ตเิ ตยี นนัน้ ถาเธอทง้ั หลายโกรธเคอื ง หรือเศรา เสยี ใจเพราะคําติ เตียนน้ัน กจ็ ะกลายเปนอนั ตรายแกพ วกเธอทั้งหลายเองนนั่ แหละ (คอื ) หากคนพวกอื่นติเตียนเรา ติเตยี นธรรม ตเิ ตียนสงฆ ถาเธอทั้งหลายโกรธเคอื ง เศราเสยี ใจ เพราะคาํ ตเิ ตียนน้ันแลว เธอทงั้ หลายจะรชู ัดถอ ยคํานีข้ องเขา วา พูดถูก พูดผิด ไดละหรือ?” ภิกษทุ ง้ั หลายทลู ตอบวา “ไมอ าจรชู ดั ได” ภกิ ษทุ งั้ หลาย ถามีคนพวกอ่ืนกลาวตเิ ตยี นเรา ติเตยี นธรรม ติเตียนสงฆ ในกรณนี ้นั เม่ือไมเ ปน จรงิ พวกเธอก็พงึ แกใ หเ หน็ วา ไมเปนจริงวา “ขอน้ีไมเปน จรงิ เพราะอยา งนี้ๆ ขอนีไ้ มถ ูกตอ ง เพราะอยา งนๆ้ี สิ่งนี้ไม มีในพวกเรา ส่งิ นีห้ าไมไ ดในหมูพ วกเรา” ภกิ ษทุ งั้ หลาย ถามคี นพวกอน่ื กลา วชมเรา ชมธรรม ชมสงฆ เธอทงั้ หลายไมควรเรงิ ใจ ไมค วรดีใจ ไม ควรกระหยมิ่ ลาํ พองใจ ในคาํ ชมนนั้ ถา มคี นมากลา วชมเรา ชมธรรม ชมสงฆ หากเธอทั้งหลาย เรงิ ใจ ลาํ พอง
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 159 ใจแลวไซร ก็จะเปนอันตรายแกพ วกเธอเองนน่ั แหละ ถามีคนมากลา วชมเรา ชมธรรม ชมสงฆ ในกรณีนัน้ เมอื่ เปนความจริง พวกเธอก็ควรรบั รองวา เปน ความจริงวา “ขอ นเี้ ปน จริง เพราะอยางนๆ้ี ขอนถ้ี ูกตอ งเพราะอยา งนๆ้ี สิ่งน้มี ใี นพวกเรา สงิ่ นี้หาไดในหมพู วกเรา” ตอ จากการอนรุ กั ษสจั จะ พระพทุ ธเจา ทรงแสดงขอ ปฏบิ ตั เิ พือ่ ใหห ยง่ั รแู ละเขาถงึ สัจจะ และในกระบวน การปฏิบตั นิ ี้ จะมองเหน็ การเกดิ ศรทั ธา ความหมาย ความสําคญั และขอบเขตความสาํ คัญของศรทั ธาไปดวย ดงั น้ี ดวยขอ ปฏบิ ัติเทา ใด จงึ จะมกี ารหยัง่ รูสัจจะ และบุคคลจึงจะชอ่ื วาหยง่ั รูสจั จะ ? เม่อื ไดย นิ ขาววา มภี กิ ษุเขา ไปอาศยั หมบู า น หรือนิคมแหงใดแหง หน่ึงอยู คฤหบดีกด็ ี บุตรคฤหบดกี ด็ ี เขาไปหาภิกษุน้นั แลว ยอ มใครครวญดูในธรรมจาํ พวกโลภะ ธรรมจาํ พวกโทสะ ธรรมจําพวกโมหะวา ทานผนู ้ี มีธรรมจําพวกโลภะทจ่ี ะเปนเหตคุ รอบงําจิตใจ ทําใหกลา วไดท ้งั ทไ่ี มรูวา “ร”ู ท้งั ที่ไมเหน็ วา “เหน็ ” หรอื ทําให เท่ียวชกั ชวนคนอื่นใหเ ปนไปในทางทจี่ ะกอใหเ กิดทุกขช่วั กาลนานแกค นอน่ื ๆ หรอื ไม ? เมอ่ื เขาพิจารณาตัวเธออยู รูอ ยา งนวี้ า ทานผนู ้ีไมม ีธรรมจําพวกโลภะท่ีจะเปนเหตุครอบงําจิตใจ ทาํ ให กลา วไดทัง้ ที่ไมร ูว า “ร”ู ทงั้ ที่ไมเห็นวา “เห็น” หรอื ทาํ ใหเ ทย่ี วชกั ชวนคนอื่นใหเปนไปในทางท่ีจะกอ ใหเกดิ สิง่ ทีม่ ิ ใชประโยชนเกือ้ กูลและเกิดทกุ ขช วั่ กาลนานแกค นอ่ืนๆไดเลย อน่ึง ทา นผนู ีม้ ีกายสมาจาร วจีสมาจาร อยางคน ไมโ ลภ ธรรมทที่ า นผูนี้แสดง ก็ลกึ ซึ้ง เหน็ ไดย าก หยง่ั รูไดย าก เปน ของสงบ ประณตี ไมอาจเขาถึงไดดวยตรรก ละเอียดออ น บัณฑิตจงึ รูได ธรรมน้ันมิใชส ่ิงทคี่ นโลภจะแสดงไดง า ยๆ เมือ่ ใด เขาพิจารณาตรวจดู มองเหน็ วา เธอเปนผูบริสุทธิ์จากธรรมจําพวกโลภะแลว เม่อื น้ันเขายอมพจิ ารณาตรวจดเู ธอย่ิงๆ ขึ้นไปอกี ในธรรมจําพวก โทสะ ในธรรมจําพวกโมหะ ฯลฯ เมื่อใด เขาพจิ ารณาตรวจดู มองเหน็ วา เธอเปน ผบู รสิ ทุ ธ์ิจากธรรมจําพวกโมหะ แลว คราวนัน้ เขายอมฝงศรทั ธาลงในเธอ เขาเกิดศรทั ธาแลว ก็เขาหา เม่อื เขาหา กค็ อยนงั่ อยูใกล (คบหา) เมือ่ คอยนั่งอยใู กล ก็เง่ยี โสตลง (ต้งั ใจ คอยฟง) เมื่อเงีย่ โสตลง ก็ไดส ดับธรรม ครัน้ สดับแลว ก็ทรงธรรมไว ยอ มพจิ ารณาไตรต รองอรรถแหง ธรรมทที่ รง ไว เมอื่ ไตรต รองอรรถอยู ก็เหน็ ชอบดวยกับขอธรรมตามที่ (ทนตอการ)คิดเพงพิสจู น เมอ่ื เห็นชอบดว ยกบั ขอ ธรรมดังที่คดิ เพง พสิ ูจน ฉนั ทะกเ็ กดิ เมื่อเกิดฉันทะ ก็อุตสาหะ ครั้นอตุ สาหะแลว กเ็ อามาคดิ ทบทวนเทียบเคียง คร้ันเทียบเคยี งแลว กย็ อ มลงมือทําความเพียร เม่อื ลงมอื ทาํ ทมุ เทจติ ใจใหแ ลว กย็ อ มทาํ ปรมัตถสัจจะใหแ จง กับ ตวั และเห็นแจง แทงตลอดปรมตั ถสจั จะนั้นดว ยปญ ญา ดวยขอ ปฏิบัติเทาน้ี ช่อื วา มกี ารหย่ังรสู จั จะ และบคุ คลช่ือวา หยัง่ รสู ัจจะ และเรายอมบัญญตั กิ ารหย่ังรู สัจจะ (สัจจานุโพธ) ดว ยขอ ปฏบิ ัตเิ ทานี้ แตย ังไมชอ่ื วาเปน การเขา ถึงสัจจะกอ น ดวยขอปฏิบตั ิเทา ใด จึงมกี ารเขา ถงึ สัจจะ และคนจงึ ชอ่ื วาเขาถึงสจั จะ? การอาเสวนะ การเจรญิ การกระทําใหม าก ซ่งึ ธรรมเหลา นน้ั แหละชือ่ วา เปนการเขาถงึ สัจจะ (สัจจานุ ปต ติ) ฯลฯ
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 160 3- สรางศรทั ธาดว ยการใชปญญาตรวจสอบ สําหรบั คนสามญั ท่ัวไป ศรทั ธาเปนธรรมขั้นตนที่สาํ คัญยิ่ง เปนอปุ กรณช ักนําใหเ ดนิ หนา ตอ ไป เมอ่ื ใช ถูกตอ งจึงเปนการเรม่ิ ตนท่ีดี ทําใหการกาวหนา ไปสูจดุ หมายไดผ ลรวดเรว็ ข้ึน ดวยเหตนุ ี้ จึงปรากฏวา บางคราว ผมู ปี ญญามากกวา แตข าดความเชือ่ มัน่ กลับประสบความสาํ เรจ็ ชากวา ผมู ีปญญาดอยกวาแตมศี รทั ธาแรง กลา ในกรณีทศ่ี รัทธานั้นไปตรงกับสง่ิ ที่ถกู ตองแลว จงึ เปนการทนุ แรงทนุ เวลาไปในตัว ตรงกนั ขาม ถา ศรทั ธา เกดิ ในสิ่งทีผ่ ดิ ก็เปน การทําใหเขว ย่ิงหลงชกั ชาหนักขึน้ ไปอกี อยา งไรก็ดี ศรทั ธาในพทุ ธธรรม มเี หตุผลเปนฐานรองรับ มีปญญาคอยควบคมุ จงึ ยากทจ่ี ะผดิ นอกจาก พนวสิ ยั จรงิ ๆ และกส็ ามารถแกไขใหถกู ตอ งได ไมด งิ่ ไปในทางทีผ่ ิด เพราะคอยรบั รูเหตผุ ล คนควา ตรวจสอบ และทดลองอยตู ลอดเวลา การขาดศรัทธา เปนอุปสรรคอยางหนึง่ ซ่งึ ทาํ ใหช ะงกั ไมกาวหนา ตอ ไปในทศิ ทางทีต่ อ งการ ดังพุทธ พจนว า :- ภกิ ษทุ ้งั หลาย ภกิ ษรุ ปู ใดรูปหนง่ึ ยงั สลัดทงิ้ ตอในใจ ๕ อยา งไมไ ด ยงั ถอนส่ิงผกู รดั ใจ ๕ อยางไมได ขอ ทวี่ า ภกิ ษนุ น้ั จกั ถงึ ความเจริญงอกงามไพบลู ย ในธรรมวนิ ยั นี้ ยอมเปนสงิ่ ทเ่ี ปนไปไมไ ด ตอในใจทภี่ ิกษุน้ันยงั สลัดท้ิงไมไ ด คือ :- ๑. ภิกษุสงสยั เคลอื บแคลง ไมป ลงใจ ไมเลื่อมใสแนบสนทิ ในพระ ศาสดา... ๒. ภิกษุสงสัย เคลอื บแคลง ไมปลงใจ ไมเ ลอ่ื มใสแนบสนทิ ในธรรม... ๓. ภิกษสุ งสยั เคลือบแคลง ไมป ลงใจ ไมเ ลื่อมใสแนบสนิทในสงฆ. .. ๔. ภกิ ษสุ งสัย เคลือบแคลง ไมปลงใจ ไมเลื่อมใสแนบสนทิ ในสกิ ขา... ๕. ภิกษโุ กรธเคอื ง นอ ยใจ มจี ติ ใจกระทบกระท่งั เกดิ ความกระดา ง เหมือนเปน ตอเกดิ ขึ้นในเพอ่ื นพรหมจรรย. .. จิตของภกิ ษุผยู ังสงสัย เคลือบแคลง ไมปลงใจ ไมเล่ือมใสแนบสนทิ ในพระศาสดา...ในธรรม...ในสงฆ. .. ในสกิ ขา...โกรธเคือง ฯลฯ ในเพ่ือนพรหมจรรย ยอมไมน อ มไปเพอ่ื ความเพยี ร เพอื่ ความหมนั่ ฝก ฝนอบรม เพ่ือ ความพยายามอยางตอ เนื่อง เพอ่ื การลงมือทําความพยายาม ภิกษุผมู ีจิตทีย่ ังไมนอมไปเพ่อื ความเพียร...ช่อื วา มตี อในใจซง่ึ สลดั ทิ้งไมได... โดยนัยน้ี การขาดศรทั ธา มีความสงสัย แคลงใจ ไมเชือ่ มน่ั จึงเปนอปุ สรรคสาํ คัญในการพฒั นาปญ ญา และการกาวหนา ไปสูจดุ หมาย ส่งิ ที่ตอ งทาํ ในกรณีน้ีกค็ ือ ตองปลกู ศรทั ธา และกําจดั ความสงสัยแคลงใจ แต การปลกู ศรัทธาในทนี่ ี้ มิไดห มายถงึ การยอมรบั และมอบความไวว างใจใหโดยไมเคารพในคุณคา แหงการใช
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 161 ปญญา แตห มายถึงการคิดพิสูจนท ดสอบดว ยปญญาของตนใหเ ห็นเหตผุ ลชัดเจน จนมั่นใจ หมดความลงั เล สงสัย วธิ ที ดสอบนัน้ นอกจากที่กลาวในพทุ ธพจนต อนกอ นแลว ยงั มีพทุ ธพจนแ สดงตัวอยา งการคดิ สอบสวน กอนทจ่ี ะเกดิ ศรทั ธาอกี เชน ในขอความตอไปนี้ ซึ่งเปน คาํ สอนใหค ิดสอบสวนแมแ ตองคพ ระพทุ ธเจาเอง ดงั ตอ ไปนี้ :- “ภิกษุท้งั หลาย ภิกษผุ ตู รวจสอบ เมอื่ ไมรูว ิธกี าํ หนดวาระจติ ของผอู น่ื พงึ กระทําการพิจารณาตรวจสอบ ในตถาคต เพ่อื ทราบวา พระองคเปน สมั มาสมั พุทธ หรอื ไม” “ภกิ ษุผูตรวจสอบ เมอื่ ไมร วู ธิ ีกาํ หนดวาระจิตของผูอ ืน่ พึงพจิ ารณาตรวจสอบตถาคตในธรรม ๒ อยาง คอื ในสิง่ ทพ่ี ึงรูไดด ว ยตา และ หู วา - เทา ท่พี ึงรูไดดว ยตาและหู ธรรมทีเ่ ศราหมอง มีแกตถาคต หรือหาไม เม่ือเธอพิจารณาตรวจสอบ ตถาคตนั้น ก็ทราบไดวา ธรรมท่ีพึงรูไดด วยตาและหู ท่เี ศรา หมองของตถาคต ไมม ี - จากนั้น เธอก็พจิ ารณาตรวจสอบตถาคตใหย งิ่ ขึ้นไปอกี วา เทาทีพ่ งึ รูไ ดด ว ยตาและหู ธรรมที่ (ช่วั บาง ดีบา ง) ปนๆ กันไป มแี กตถาคต หรอื หาไม เมอ่ื เธอพิจารณาตรวจสอบตถาคตนั้น ก็ทราบไดว า เทาที่พึงรูไ ดด วย ตาและหู ธรรมท่ี (ดบี าง ชั่วบาง) ปนๆ กนั ไปของตถาคต ไมมี - จากนัน้ เธอก็พิจารณาตรวจสอบตถาคตใหยิ่งข้ึนไปอกี วา เทาทร่ี ไู ดดว ยตาและหู ธรรมท่ีสะอาดหมด จด มีแกตถาคตหรอื หาไม. ..เธอกท็ ราบไดว า เทาที่รูไดดวยตาและหู ธรรมทส่ี ะอาดหมดจดของตถาคตมีอยู - จากนั้น เธอกพ็ จิ ารณาตรวจสอบตถาคตน้นั ใหยงิ่ ข้นึ ไปอกี วา ทา นผนู ป้ี ระกอบพรอ มบรู ณซงึ่ กุศล ธรรมน้ี ตลอดกาลยาวนาน หรือประกอบชัว่ เวลานิดหนอย...เธอก็ทราบไดวา ทานผนู ี้ประกอบพรอ มบรู ณซึง่ กศุ ลธรรมนี้ ตลอดกาลยาวนาน มใิ ชประกอบช่ัวเวลานิดหนอ ย - จากนัน้ เธอก็พิจารณาตรวจสอบตถาคตนัน้ ใหย ่งิ ขนึ้ ไปอีกวา ทา นภกิ ษุผูน ี้ มีช่ือเสยี ง มเี กียรตยิ ศแลว ปรากฏขอ เสียหายบางอยางบางหรอื ไม (เพราะวา) ภิกษุ (บางทา น) ยังไมปรากฏมีขอเสียหายบางอยา ง จนกวา จะเปนผมู ชี อ่ื เสยี ง มีเกยี รติยศ ตอเมอ่ื ใดเปนผูมชี ่อื เสียง มีเกียรติยศ เมอื่ นนั้ จงึ ปรากฏมขี อ เสียหายบางอยาง... เธอก็ทราบไดวา ทา นภิกษุผนู ี้ เปนผมู ีชอ่ื เสียง มเี กยี รตยิ ศแลว ก็ไมปรากฏมีขอ เสียหายบางอยา ง (เชนนั้น) - จากน้นั เธอก็พจิ ารณาตรวจสอบตถาคตนนั้ ใหย ง่ิ ขึ้นไปอกี วา ทา นผูนี้ เปน ผูง ดเวน (อกุศล) โดยไมม ี ความกลวั มใิ ชผูงดเวน เพราะกลัว ไมเ สวนากามท้งั หลาย กเ็ พราะปราศจากราคะ เพราะหมดสนิ้ ราคะ หรือหา ไม. ..เธอกท็ ราบไดวา ทา นผูนี้ เปนผูง ดเวนโดยไมม คี วามกลวั มิใชผ ูง ดเวนเพราะกลัว ไมเ สวนากามทงั้ หลาย ก็ เพราะปราศจากราคะ เพราะหมดราคะ... หากมผี อู ื่นถามภกิ ษนุ ้ันวา ทานมเี หตุผล (อาการะ) หยัง่ ทราบ (อนั วยา) ไดอยางไร จงึ ทําใหก ลา วไดว า ทานผูนี้ เปน ผงู ดเวน โดยไมม ีความกลวั มใิ ชผ งู ดเวนเพราะกลวั ไมเ สวนากามทั้งหลาย ก็เพราะปราศจากราคะ หมดราคะ
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 162 ภกิ ษุเมื่อจะตอบแกใ หถูกตอ ง พงึ ตอบแกวา จรงิ อยา งน้นั ทา นผูนี้ เมือ่ อยใู นหมูก็ตาม อยูลาํ พังผเู ดยี วก็ ตาม ในท่นี ั้นๆ ผใู ดจะปฏิบัติตนไดด กี ต็ าม จะปฏบิ ตั ิตนไมดีกต็ าม จะเปนผูปกครองหมคู ณะก็ตาม จะเปน บางคนทตี่ ิดวนุ อยูในอามสิ กต็ าม จะเปนบางคนทไี่ มต ิดดว ยอามสิ กต็ าม ทา นผูน ไ้ี มด หู ม่ินคนนน้ั ๆ เพราะเหตุ นน้ั ๆ เลย ขาพเจาไดส ดบั ไดร ับฟงถอยคํามา จาํ เพาะพระพกั ตรของพระผมู พี ระภาคทเี ดียววา “เราเปนผงู ด เวนโดยไมม คี วามกลัว เรามิใชผงู ดเวน เพราะกลัว เราไมเ สวนากามทั้งหลาย ก็เพราะปราศจากราคะ เพราะหมด ราคะ” ภิกษุท้ังหลาย ในกรณนี ั้น พึงสอบถามตถาคตใหย งิ่ ขน้ึ ไปอกี วา เทาที่รูไ ดด วยตาและหู ธรรมท่เี ศรา หมองมแี กต ถาคตหรอื หาไม ตถาคตเมือ่ ตอบแก ก็จะตอบแกว า...ไมม ี ไมม ี ถามวา ธรรมท่ี (ดบี า ง ชว่ั บาง) ปนๆ กันไป มแี กต ถาคตหรอื หาไม ตถาคตเมือ่ ตอบแก ก็จะตอบแกวา ... ถามวา ธรรมที่สะอาดหมดจด มีแกต ถาคตหรอื หาไม ตถาคตเมือ่ ตอบแก ก็จะตอบแกวา...มี เรามีธรรม ทสี่ ะอาดหมดจดนน้ั เปน ทางดาํ เนนิ และเราจะเปน ผูมีตณั หาเพราะเหตุน้นั กห็ าไม - ศาสดาผูกลา วไดอยา งนแี้ ล สาวกจึงควรเขาไปหาเพือ่ สดับธรรม - ศาสดายอมแสดงธรรมแกสาวกนนั้ สงู ยิ่งข้นึ ไปๆ ประณีต (ขนึ้ ไป)ๆ ท้ังธรรมดํา ธรรมขาว เปรียบเทียบ ใหเห็นตรงกนั ขา ม - ศาสดาแสดงธรรมแกภกิ ษุ...อยา งใดๆ ภกิ ษุนัน้ รยู ง่ิ ธรรมบางอยางในธรรมนน้ั อยา งนั้นๆ แลว ยอ มถงึ ความตกลงใจในธรรมทั้งหลาย ยอมเลื่อมใสในศาสดาวา “พระผูมพี ระภาค เปนสัมมาสัมพุทธ ธรรมอันพระผู มพี ระภาคตรสั ไวดีแลว สงฆเปน ผปู ฏบิ ัตดิ ี” หากจะมีผอู น่ื ถามภกิ ษุน้ันตอ ไปอกี วา “ทา นมเี หตผุ ล (อาการะ) หยงั่ ทราบ (อันวยา) ไดอยางไร จึงทาํ ใหก ลา วไดว า พระผมู พี ระภาคเปนสัมมาสัมพทุ ธ ธรรมอนั พระผูม พี ระภาคตรัสไวด แี ลว สงฆเ ปนผปู ฏบิ ัตดิ ี?” ภกิ ษนุ ั้น เม่ือจะตอบใหถกู กพ็ ึงตอบวา “ขาพเจาเขาไปเฝาพระผมู พี ระภาค เพ่ือฟง ธรรม พระองคท รงแสดง ธรรมแกขา พเจา... พระองคแ สดง...อยา งใดๆ ขา พเจา รูยง่ิ ...อยา งนน้ั ๆ จึงถงึ ความตกลงใจในธรรมทงั้ หลาย จึง เลอื่ มใสในพระศาสดา...” ภกิ ษุทงั้ หลาย ศรัทธาของบุคคลผใู ดผหู น่งึ ฝงลงในตถาคต เกดิ เปน เคามูล เปน พื้นฐานท่ตี งั้ โดยอาการ เหลา น้ี โดยบทเหลา น้ี โดยพยญั ชนะเหลา นี้ เรียกวา ศรัทธาท่มี ีเหตุผล (อาการวตี) มกี ารเหน็ เปน มูลฐาน (ทัส สนมลู กิ า) ม่นั คง อนั สมณะ หรือพราหมณ หรอื เทพเจา หรอื มาร หรอื พรหม หรือใครๆในโลก ใหเคลือ่ นคลอน ไมไ ด การพจิ ารณาตรวจสอบธรรมในตถาคต เปนอยางนแ้ี ล และตถาคต ยอ มเปน อนั ไดร ับการพิจารณาตรวจ สอบดแี ลว โดยนยั น้ี” 4- ศรัทธาแมจะสาํ คัญ แตจ ะตดิ ตนั ถา อยูแ คศ รัทธา
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 163 พึงสังเกตวา แมแตค วามสงสัยเคลือบแคลงในพระพุทธเจา กไ็ มไดถ ูกถือวา เปน บาปหรอื ความช่วั เลย ถือวาเปนเพยี งสงิ่ ท่จี ะตอ งแกไขใหรแู นช ดั ลงไปจนหมดสงสัย ดวยวธิ ีการแหงปญ ญา และยังสง เสรมิ ใหใชความ คิดสอบสวนพิจารณาตรวจสอบอีกดวย เม่อื มผี ูใดประกาศตัวเองแสดงความเลื่อมใสศรทั ธาในพระพทุ ธเจา กอ น ทพี่ ระองคจะประทานความเห็นชอบ จะทรงสอบสวนกอ นวา ศรทั ธาปสาทะของเขามีเหตุผลเปนมูลฐานหรอื ไม เชน พระสารีบุตรเขาไปเฝา พระพุทธเจา กราบทลู วา: พระองคผ เู จริญ ขา พระองคเลือ่ มใสในพระผมู ีพระภาคอยางน้วี า สมณะกด็ ี พราหมณกด็ ี อื่นใด ท่จี ะมี ความรูยิง่ ไปกวา พระผูมีพระภาค ในทางสมั โพธญิ าณไดนน้ั ไมเ คยมี จักไมมี และไมม อี ยใู นบัดนี้ พระพทุ ธเจาตรัสตอบวา: สารีบตุ ร เธอกลา วอาสภิวาจา (วาจาอาจหาญ) ครง้ั น้ียิ่งใหญน กั เธอบันลือสี หนาทถือเด็ดขาดลงไปอยา งเดยี ววา ...ดังนีน้ ้ัน เธอไดใ ชจติ กาํ หนดรจู ติ ของพระอรหนั ตสมั มาสัมพุทธเจา ทุกๆ พระองค เทา ทมี่ ีมาในอดตี แลวหรือวา พระผูม ีพระภาคเหลา นั้นมีศีลอยางน้ี เพราะเหตุดังนี้ๆ ทรงมธี รรมอยางนี้ มีปญ ญาอยางน้ี มีธรรมเคร่ืองอยอู ยา งนี้ หลดุ พนแลว เพราะเหตดุ งั นๆี้ ? ส. มใิ ชอ ยางน้นั พระเจาขา พ. เธอไดใชจ ิตกําหนดรจู ิตของพระอรหันตสมั มาสัมพุทธเจาทุกๆ พระองค ท่ีจกั มใี นอนาคตแลว หรอื วา พระผูมีพระภาคเหลา น้นั จัก...เปนอยางน้ี เพราะเหตดุ งั นๆ้ี ? ส. มิใชอยา งน้ัน พระเจาขา พ. ก็แลวเราผูเ ปนอรหันตสัมมาสัมพทุ ธเจาในบัดน้ี เธอไดใ ชจ ติ กาํ หนดรูจิตแลว หรอื วา พระผมู พี ระภาค ทรง...เปนอยา งนี้ เพราะเหตุดังนี้ๆ ? ส. มใิ ชอ ยา งนั้น พระเจาขา พ. กใ็ นเรื่องน้ี เมอื่ เธอไมม ีญาณเพ่อื กาํ หนดรจู ิตใจพระอรหนั ตสมั มาสัมพุทธเจาในอดตี อนาคต และ ปจจบุ ันเชนนีแ้ ลว ไฉนเลา เธอจงึ ไดก ลา วอาสภวิ าจาอันยิ่งใหญน ักนี้ บันลอื สีหนาทถือเปนเดด็ ขาดอยา งเดยี ว (ดงั ทีก่ ลา วมาแลว ) ? ส. พระองคผ เู จรญิ ขาพระองคไมมญี าณกําหนดรูจติ ในพระ อรหนั ตสัมมาสัมพทุ ธเจา ท้ังในอดีต อนาคต และปจจบุ ัน กจ็ ริง แตกระนน้ั ขา พระองคท ราบการหย่งั แนวธรรม พระองคผ เู จรญิ เปรียบเหมือนเมืองชายแดนของพระราชา มปี อมแนน หนา มีกําแพงและเชิงเทินมน่ั คง มปี ระตูๆ เดียว คนเฝาประตูพระนครนนั้ เปน บัณฑิต เฉียบแหลม มปี ญ ญา คอยหามคนที่ตนไมร ูจกั ยอมใหแ ต คนที่รจู กั เขา ไป เขาเทยี่ วตรวจดูทางแนวกําแพงรอบเมืองน้นั ไมเ ห็นรอยตอ หรอื ชอ งกําแพง แมเพยี งท่แี มวลอด ออกได ยอ มคิดวา สัตวตวั โตทุกอยา งทุกตวั จะเขาออกเมืองนี้ จะตอ งเขาออกทางประตนู ีเ้ ทานน้ั ฉนั ใด ขา พระองคกท็ ราบการหยงั่ แนวธรรม ฉนั นน้ั เหมอื นกันวา พระผมู ีพระภาคอรหันตสมั มาสัมพุทธเจา ทกุ พระองค เทาท่มี ีมาแลว ในอดตี ทรงละนวิ รณ ๕ ทท่ี าํ จิตใหเศราหมอง ทําปญ ญาใหอ อ นกําลงั ไดแลว มีพระ
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 164 หฤทยั ตัง้ มัน่ ดใี นสตปิ ฏ ฐาน ๔ ทรงเจริญโพชฌงค ๗ ตามเปนจริง จงึ ไดต รัสรูอนตุ รสัมมาสัมโพธญิ าณ แม พระผมู ีพระภาคอรหันตสมั มาสัมพุทธเจาทุกพระองค ท่ีจะมีในอนาคต ก็จัก (ทรงทําอยางนัน้ ) แมพระผมู ีพระ ภาคอรหนั ตสัมมาสัมพทุ ธเจาในบัดนี้ ก็ทรงละนวิ รณ ๕...มพี ระทยั ตั้งม่นั ในสติปฏฐาน ๔ ทรงเจริญโพชฌงค ๗ ตามเปน จริง จึงไดต รสั รู อนตุ รสมั มาสมั โพธญิ าณ (เชนเดียวกนั ) ฯลฯ ความเล่อื มใสศรทั ธาตอ บคุ คลผใู ดผูหน่งึ นั้น ถา ใชใหถ ูกตอง คือเปนอปุ กรณส ําหรับชว ยใหกา วหนา ตอ ไป ก็ยอมเปนสง่ิ ที่มปี ระโยชน แตใ นเวลาเดยี วกนั ก็มขี อเสยี เพราะมกั จะกลายเปนความติดในบคุ คล และ กลายเปน อุปสรรคบนั่ ทอนความกา วหนา ตอไป ขอ ดขี องศรทั ธาปสาทะนัน้ เชน อริยสาวกผใู ด เล่อื มใสอยางยงิ่ แนว แนถ ึงทสี่ ดุ ในตถาคต อริยสาวกน้นั จะไมสงสัย หรือแคลงใจ ใน ตถาคต หรือ ศาสนา (คําสอน) ของตถาคต แทจรงิ สําหรับอรยิ สาวกผูมศี รัทธา เปน อนั หวงั สิ่งนี้ได คือ เขาจัก เปน ผูตง้ั หนา ทาํ ความเพยี ร เพื่อกาํ จดั อกุศลธรรมท้งั หลาย (และ) บําเพญ็ กศุ ลธรรมท้ังหลายใหพรอมบูรณ จัก เปน ผมู ีเรี่ยวแรง บากบน่ั อยา งมน่ั คง ไมทอดธรุ ะในกุศลธรรมทัง้ หลาย สวนขอเสียกม็ ี ดงั พทุ ธพจนวา ภกิ ษทุ ั้งหลาย ขอเสยี ๕ อยา งในความเล่อื มใสบุคคลมดี งั น้ี คอื ๑. บคุ คลเล่อื มใสยงิ่ ในบคุ คลใด บคุ คลนนั้ ตอ งอาบตั อิ นั เปนเหตใุ หสงฆยกวัตร เขาจึงคิดวา บุคคลผเู ปนที่รักที่ชอบใจของเราน้ี ถกู สงฆยกวัตรเสียแลว ... ๒. บุคคลเลือ่ มใสย่ิงในบคุ คลใด บคุ คลน้นั ตอ งอาบตั อิ นั เปน เหตใุ หสงฆบ งั คับใหน ง่ั ณ ทายสุด สงฆเ สียแลว... ๓. ...บุคคลนั้น ออกเดินทางไปเสยี ทอ่ี ่ืน... ๔. ...บุคคลน้ัน ลาสิกขาเสยี ... ๕. ...บุคคลน้นั ตายเสยี ... เขายอ มไมคบหาภกิ ษอุ นื่ ๆ เม่อื ไมค บหาภกิ ษอุ ่นื ๆ กย็ อมไมไ ดสดบั สทั ธรรม เมือ่ ไมไ ดสดบั สัทธรรม ก็ ยอ มเสื่อมจากสัทธรรม เมื่อความเลอื่ มใสศรัทธากลายเปนความรกั ขอ เสยี ในการท่คี วามลาํ เอยี งจะมาปดบังการใชปญญาก็ เกิดขึ้นอีก เชน ภิกษุทั้งหลาย สิ่ง ๔ ประการน้ี ยอ มเกดิ ขนึ้ ได คอื ความรกั เกดิ จากความรกั โทสะเกดิ จากความรัก ความรักเกดิ จากโทสะ โทสะเกดิ จากโทสะฯลฯ โทสะเกดิ จากความรกั อยางไร? บคุ คลทต่ี นปรารถนา รกั ใคร พอ ใจ ถกู คนอ่ืนประพฤตติ อ ดว ยอาการทีไ่ มปรารถนา ไมนา รักใคร ไมน า พอใจ เขายอ มมคี วามคิดวา บุคคลท่เี รา ปรารถนา รกั ใครพ อใจนี้ ถูกคน อืน่ ประพฤติตอ ดวยอาการที่ไมน าปรารถนา ไมนา รกั ใคร ไมนาพอใจ ดงั นี้ เขายอมเกิดโทสะในคนเหลา น้ัน ฯลฯ
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 165 แมแตความเลอ่ื มใสศรทั ธาในองคพ ระศาสดาเอง เมอื่ กลายเปนความรักในบคุ คลไป กย็ อ มเปน อปุ สรรคตอความหลุดพน หรอื อสิ รภาพทางปญญาในข้ันสงู สดุ ได พระพุทธเจาจงึ ทรงสอนใหล ะเสยี แมบ างครงั้ จะตอ งใชวิธีคอนขา งรนุ แรง กท็ รงทาํ เชน ในกรณขี องพระวักกลิ ซง่ึ มีความเล่อื มใสศรทั ธาในพระองคอยา งแรง กลา อยากจะติดตามพระองคไ ปทุกหนทุกแหง เพ่ือไดอยูใ กลชิด ไดเห็นพระองคอยเู สมอ ระยะสุดทายเมอื่ พระ วักกลิปวยหนักอยากเฝา พระพทุ ธเจา สง คนไปกราบทูล พระองคกเ็ สดจ็ มา และมีพระดํารสั เพอื่ ใหเ กิดอิสรภาพ ทางปญญาแกพ ระวักกลติ อนหนึ่งวา พระวกั กล:ิ ขาแตพระองคผเู จรญิ เปนเวลานานนกั แลว ขาพระองคปรารถนาจะไปเฝา เพื่อจะเหน็ พระผู มีพระภาคเจา แตรางกายของขาพระองค ไมม กี าํ ลงั เพยี งพอทจ่ี ะไปเฝา เห็นองคพ ระผมู พี ระภาคเจา ได พระพุทธเจา: อยาเลย วกั กลิ รา งกายอันเนาเปอยน้ี เธอเห็นไปจะมปี ระโยชนอะไร ดูกรวกั กลิ ผใู ดเหน็ ธรรม ผนู ั้นชอ่ื วาเหน็ เรา ผูใดเห็นเรา ผนู ั้นเห็นธรรม เมื่อเห็นธรรมน่ันแหละ วักกลิ จงึ จะช่ือวา เหน็ เรา เมือ่ เห็นเรา (ก็คือ) เห็นธรรม นอกจากน้ี ความกาวหนาเพียงในขน้ั ศรัทธา ยงั ไมเ ปนการมน่ั คงปลอดภัย เพราะยังตอ งอาศยั ปจ จัยภายนอก จึงยงั เส่ือมถอยได ดงั พทุ ธพจนวา ดูกรภัททาลิ เปรยี บเหมอื นบรุ ษุ มีตาขา งเดียว พวกมิตรสหายญาตสิ าโลหติ ของเขา พงึ ชว ยกันรกั ษาตา ขางเดียวของเขาไว ดวยคิดวา อยา ใหตาขา งเดยี วของเขานั้นตอ งเสียไปเลย ขอ นีฉ้ นั ใด ภิกษุบางรูปในธรรม วนิ ัยน้ี กฉ็ นั น้ันเหมือนกนั เธอประพฤติปฏิบัติเพียงดวยศรัทธาเพยี งดว ยความรัก ในกรณีน้ัน ภิกษทุ งั้ หลายยอ มดาํ ริกันวา ภิกษรุ ูปน้ี ประพฤตปิ ฏบิ ตั อิ ยูเ พียงดวยศรัทธา เพยี งดวย ความรกั พวกเราจักชว ยกันเรง รัดเธอ ยา้ํ แลว ยํ้าอกี ใหกระทาํ การณ โดยหวงั วา อยาใหสงิ่ ท่เี ปนเพยี งศรทั ธา เปน เพยี งความรกั นน้ั เสอ่ื มสูญไปจากเธอเลย น้แี ล ภทั ทาลิ คอื เหตุคอื ปจ จัย ทท่ี ําให (ตอง) คอยชวยกันเรงรัด ภกิ ษบุ างรปู ในศาสนานี้ ยํ้าแลวย้ําอกี ใหก ระทําการณ” ลาํ พงั ศรทั ธาอยา งเดียว เม่อื ไมก าวหนา ตอ ไปตามลําดับจนถงึ ขั้นปญ ญา ยอ มมผี ลอยใู นขอบเขตจาํ กดั เพียงแคส วรรคเทา น้นั ไมส ามารถใหบ รรลุจดุ หมายของพุทธธรรมได ดงั พทุ ธพจนว า ภิกษทุ ัง้ หลาย ในธรรมทเ่ี รากลาวไวดแี ลว ซึ่งเปน ของงา ย เปดเผย ประกาศไวช ดั ไมม ีเงอ่ื นงาํ ใดๆ อยา งน้ี - สําหรบั ภกิ ษุผูเปนอรหันตขณี าสพ...ยอ มไมม ีวฏั ฏะเพื่อจะบญั ญตั ิตอไป - ภิกษุทีล่ ะสงั โยชนเ บอ้ื งตํ่าท้งั หาไดแลว ยอ มเปนโอปปาตกิ ะ ปรนิ พิ พานในโลกน้นั ฯลฯ - ภกิ ษุทล่ี ะสังโยชนส ามไดแ ลว มีราคะ โทสะ โมหะเบาบาง ยอมเปน สกทาคามี ฯลฯ - ภิกษทุ ่ีละสังโยชนส ามได ยอ มเปน โสดาบัน ฯลฯ - ภกิ ษุที่เปนธัมมานุสารี เปน สัทธานสุ ารี ยอ มเปน ผูมีสมั โพธิเปนที่หมาย - ผูทมี่ เี พียงศรทั ธา มเี พียงความรักในเรา ยอ มเปน ผูมีสวรรคเ ปน ท่หี มาย 5- เม่ือรูเหน็ ประจกั ษด วยปญ ญา ก็ไมต องเช่ือดวยศรทั ธา
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 166 ในกระบวนการพฒั นาปญญา ที่ถือเอาประโยชนจ ากศรทั ธาอยางถูกตอ ง ปญ ญาจะเจรญิ ขนึ้ โดยลาํ ดบั จนถึงขนั้ เปน ญาณทัสสนะ คือเปนการรกู ารเห็น ในขัน้ นี้ จะไมต องใชค วามเชอื่ และความเหน็ อีกตอ ไป เพราะรู เห็นประจกั ษแกตนเอง จึงเปน ขัน้ ทพ่ี นขอบเขตของศรทั ธา ขอใหพิจารณาขอ ความในพระไตรปฎกตอไปน้ี ถาม: ทา นมสุ ลิ ะ โดยไมอาศยั ศรัทธา ไมอาศยั ความถูกกับใจคดิ ไมอาศยั การเรียนรตู ามกนั มา ไม อาศัยการคิดตรองตามแนวเหตผุ ล ไมอ าศัยความเขา กนั ไดกบั การทดสอบดว ยทฤษฎี ทานมุสลิ ะมกี ารรจู าํ เพาะ ตน (ปจจัตตญาณ) หรือวา เพราะชาติเปน ปจ จัย จึงมชี รามรณะ ? ตอบ: ทานปวฏิ ฐะ ผมยอมรู ยอมเหน็ ขอที่วา เพราะชาติเปนปจ จยั จึงมชี รามรณะนีไ้ ด โดยไมตอ งอาศัย ศรัทธา...ความถกู กบั ใจคดิ ...การเรยี นรูตามกันมา...การคิดตรองตามแนวเหตผุ ล...ความเขากันไดก ับการ ทดสอบดว ยทฤษฎีเลยทีเดยี ว (จากนถ้ี ามตอบหัวขออ่ืนๆ ในปฏิจจสมุปบาท ตามลาํ ดบั ท้ังฝา ยอนโุ ลม ปฏิโลม จนถงึ ภวนโิ รธ คอื นพิ พาน) อกี แหงหนง่ึ วา ถาม: มปี ริยายบางไหม ท่ีภกิ ษุจะใชพยากรณอรหัตตผลได โดยไมต องอาศัยศรัทธา ไมต องอาศยั ความ ถูกกับใจชอบ ไมตองอาศยั การเรียนรตู ามกันมา ไมต องอาศยั การคดิ ตรองตามแนวเหตผุ ล ไมต อ งอาศยั ความ เขา กนั ไดกบั การคดิ ทดสอบดวยทฤษฎี กร็ ชู ดั วา “ชาตสิ นิ้ แลว พรหมจรรยอยจู บแลว สงิ่ ทีต่ องทาํ ไดท ําแลว สงิ่ อื่นท่ตี อ งทําเพ่ือเปน อยางน้ี ไมม ีเหลืออยูอ กี ”? ฯลฯ ตอบ: ปรยิ ายน้ันมีอยู...คอื ภิกษเุ ห็นรูปดวยตา ยอมรชู ัดซึ่งราคะ โทสะ โมหะ ท่ีมีอยูใ นตัววา “ราคะ โทสะ โมหะ มีอยูในตัวของเรา” หรอื ยอ มรูช ัดซ่งึ ราคะ โทสะ โมหะ ท่ไี มมอี ยใู นตัววา “ราคะ โทสะ โมหะ ไมม ี ในตวั ของเรา” ถาม: เร่ืองท่ีวา...นี้ ตอ งทราบดวยศรัทธา หรือดว ยความถกู กบั ใจชอบ หรอื ดว ยการเรียนรูตามกันมา หรอื ดวยการคดิ ตรองตามแนวเหตุผล หรอื ดว ยความเขา กนั ไดกับการคิดทดสอบดวยทฤษฎี หรือไม ? ตอบ: ไมใ ชอยางนัน้ ถาม: เรื่องทีว่ า...นี้ ตองเหน็ ดว ยปญ ญาจึงทราบมิใชห รือ ? ตอบ: อยา งนน้ั พระเจา ขา สรุป: นี้กเ็ ปน ปรยิ าย (หน่ึง) ที่ภกิ ษจุ ะใชพยากรณอรหัตตผลได โดยไมต องอาศยั ศรทั ธา ฯลฯ (จากน้ี ถามตอบไปตามลาํ ดับอายตนะอืน่ ๆ ในทํานองเดยี วกนั จนครบทุกขอ ) เม่ือมญี าณทสั สนะ คือการรกู ารเห็นประจกั ษแลว จงึ ไมตอ งมศี รทั ธา คอื ไมตอ งเชือ่ ตอ ผใู ดอ่ืน ดงั นัน้ พทุ ธสาวกท่บี รรลคุ ณุ วิเศษตา งๆ จงึ รูและกลา วถึงสิ่งนัน้ ๆ โดยไมตอ งเชื่อตอ พระศาสดา เชน ไดมคี าํ สนทนา
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 167 ถามตอบระหวางนิครนถนาฏบตุ ร กบั จติ ตคฤหบดี ผูเปน พทุ ธสาวกฝา ยอุบาสกทมี่ ีชอื่ เสียงเช่ียวชาญในพุทธ ธรรมมาก วา นิครนถ: แนะ ทานคฤหบดี ทานเชื่อพระสมณะโคดมไหมวา สมาธทิ ่ไี มมวี ติ ก ไมมวี จิ าร มีอยู ความดับ แหงวติ กวิจารได มีอยู ? จติ ตคฤหบดี: ในเรอ่ื งน้ี ขา พเจา มิไดย ดึ ถอื ดวยศรัทธา ตอ พระผมู ีพระภาควา สมาธิท่ไี มมวี ติ ก ไมม ี วจิ าร มีอยู ความดบั แหงวิตกวจิ ารได มอี ยู ฯลฯ ขาพเจา นี้ ทันทที มี่ งุ หวงั ...กเ็ ขาปฐมฌานอยูได...เขาทุติย- ฌานอยไู ด...เขาตตยิ ฌานอยูได. ..เขา จตตุ ถฌานอยไู ด ขา พเจา นน้ั รูอ ยอู ยางน้ี เห็นอยอู ยางนี้ จึงไมยดึ ถือดวย ศรทั ธา ตอสมณะหรอื พราหมณผใู ดๆ วา สมาธิท่ีไมมวี ติ ก ไมมวี จิ าร มีอยู ความดบั แหง วติ กวิจารได มีอยู ดวยเหตุทีก่ ลาวมานี้ พระอรหันตซึ่งเปน ผูมีญาณทสั สนะถงึ ทสี่ ดุ จึงมีคณุ สมบัตอิ ยา งหนึง่ วา “อสั สัท ธะ” ซ่ึงแปลวา ผไู มมศี รัทธา คอื ไมตองเชอ่ื ตอ ใครๆ ในเรอ่ื งทต่ี นรเู หน็ ชดั ดว ยตนเองอยูแลว อยูเ หนอื ศรทั ธา หรอื ไมต องอาศัยศรทั ธา เพราะรูประจกั ษแลว ดังจะเหน็ ไดจากพุทธดํารัสสนทนากบั พระสารบี ุตรวา พระพุทธเจา : สารีบุตร เธอเชื่อไหมวา สทั ธนิ ทรียท ีเ่ จรญิ แลว กระทาํ ไดม ากแลว ยอมหยง่ั ลงสอู มตะ มี อมตะเปน ที่หมาย มีอมตะเปน ท่สี นิ้ สดุ วริ ยิ ินทรีย. ..สตนิ ทรยี . ..สมาธนิ ทรยี . ..ปญญินทรีย (ก็เชน เดียวกนั ) ? พระสารบี ุตร: ขา แตพระองคผเู จรญิ ในเรอ่ื งนี้ ขาพระองคม ไิ ดยดึ ถอื ดวยศรทั ธา ตอ พระผมู พี ระภาค... แทจ รงิ คนเหลาใด ยงั ไมรู ยงั ไมเ ห็น ยังไมทราบ ยงั ไมก ระทาํ ใหแจง ยังไมมองเหน็ ดว ยปญ ญา ชนเหลานัน้ จึงจะยึดถือดวยศรัทธาตอคนอ่นื ในเรอื่ งน.ี้ ..สวนคนเหลาใด รู เหน็ ทราบ กระทาํ ใหแ จง มองเห็นสงิ่ นี้ดว ย ปญญาแลว คนเหลานัน้ ยอ มไมมีความสงสยั ไมม ีความแคลงใจในเรอ่ื งนน้ั ... ก็ขาพระองคไดรู เหน็ ทราบ กระทําใหแจง มองเห็นส่ิงนี้ดวยปญญาแลว ขา พระองคจงึ เปนผูไมมคี วาม สงสยั ไมมีความแคลงใจในเรือ่ งน้ันวา สัทธินทรีย. ..วิริยินทรยี . ..สตินทรีย. ..สมาธนิ ทรยี . ..ปญญินทรยี ทเี่ จรญิ แลว กระทาํ ใหม ากแลว ยอ มหยั่งลงสอู มตะ มอี มตะเปน ท่หี มาย มีอมตะเปนทส่ี ิน้ สุด พระพทุ ธเจา : สาธุ สาธุ สารีบุตร ฯลฯ เพ่ือสรปุ ความสาํ คญั และความดีเดน ของปญญา ขออางพุทธพจนว า ภิกษทุ งั้ หลาย เพราะเจริญ เพราะกระทําใหมาก ซึ่งอนิ ทรยี กอ่ี ยางหนอ ภิกษผุ ขู ณี าสพจงึ พยากรณ อรหัตตผล รชู ัดวา “ชาตสิ ิ้นแลว...ส่งิ อ่นื ท่จี ะตอ งทําเพ่ือเปน อยา งน้ี ไมม เี หลอื อยูอีก” ? เพราะเจรญิ เพราะ กระทําใหมาก ซึ่งอนิ ทรยี อ ยางเดยี ว ภิกษุผขู ณี าสพ ยอมพยากรณอรหัตตผลได... อนิ ทรยี อ ยา งเดยี วน้นั กค็ อื ปญ ญินทรยี สาํ หรับอรยิ สาวกผูมีปญญา ศรทั ธาอนั เปนของคลอยตามปญญาน้ัน ยอ มทรงตัวอยูได วริ ยิ ะ... สติ...สมาธิ อันเปน ของคลอยตามปญญานน้ั ยอมทรงตัวอยูไ ด อนิ ทรียอ น่ื ๆ (คอื ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ) ลาํ พงั แตละอยางๆ ก็ดี หรือหลายอยางรวมกัน แตขาดปญ ญาเสยี เพียงอยางเดยี ว ก็ดี ไมอาจใหบรรลุผลสําเรจ็ น้ไี ด ปจจยั ใหเ กิดสมั มาทิฏฐิ
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 168 สมั มาทิฏฐิ เปน องคป ระกอบสาํ คญั ของมรรค ในฐานะทีเ่ ปน จดุ เร่มิ ตนในการปฏบิ ัตธิ รรม หรอื พดู ตาม แนวไตรสิกขา วา เปนข้นั เร่ิมแรกในระบบการศึกษาแบบพทุ ธ และเปน ธรรมที่ตอ งพฒั นาใหบริสุทธ์ิ แจง ชัด เปนอิสระมากขนึ้ ตามลาํ ดับ จนกลายเปนการตรสั รูใ นทส่ี ุด ดังกลาวมาแลว ดงั น้ันการสรางเสริมสัมมาทฏิ ฐิจงึ เปน สิ่งสาํ คัญยง่ิ มพี ทุ ธพจนแ สดงหลกั การสรางเสริมสัมมาทฏิ ฐไิ วดังนี้ ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ปจจัยเพ่ือความเกิดข้ึนแหงสมั มาทิฏฐิ มี ๒ อยา งดงั นี้ คอื ปรโตโฆสะ และ โยนิโส มนสิการ ๑. ปรโตโฆสะ = “เสยี งจากผอู นื่ ” คําบอกเลา ขา วสาร คาํ ชี้แจงอธิบาย การแนะนําชักจูง การสง่ั สอน การถายทอด การไดเรียนรจู ากผูอ นื่ (hearing or learning from others) ๒. โยนิโสมนสิการ = “การทาํ ในใจโดยแยบคาย” การพิจารณาสืบคนถึงตน เคา การใชค วามคิดสบื สาว ตลอดสาย การคิดอยางมีระเบียบ การรจู ักคดิ พจิ ารณาดว ยอบุ าย การคดิ แยกแยะออกดตู ามสภาวะของสงิ่ นน้ั ๆ โดยไมเอาความรสู กึ ดวยตัณหาอปุ าทานของตนเขา จบั (analytical reflection, critical reflection, systematic attention) ปจจัยทั้งสองอยา งน้ี ยอ มสนับสนนุ ซึง่ กันและกัน สําหรบั คนสามญั ซึ่งมปี ญญาไมแ กก ลา ยอมอาศยั การแนะนาํ ชักจงู จากผูอ่นื และคลอ ยไปตามคาํ แนะ นาํ ชกั จูงทฉี่ ลาดไดงาย แตก จ็ ะตองฝกหดั ใหสามารถใชค วามคดิ อยา งถูกวิธีดว ยตนเองไดด วย จงึ จะกา วหนา ไป ถึงทส่ี ุดได สว นคนทมี่ ีปญญาแกกลา ยอ มรูจกั ใชโ ยนิโสมนสิการไดด กี วา แตก ระน้นั กอ็ าจตอ งอาศยั คาํ แนะนาํ ท่ี ถกู ตอ งเปน เครื่องนาํ ทางในเบ้อื งตน และเปนเครื่องชว ยสง เสรมิ ใหก าวหนา ไปไดรวดเร็วยิง่ ข้นึ ในระหวา งการฝก อบรม การสรางเสริมสัมมาทิฏฐิ ดวยปจจัยอยางที่ ๑ (ปรโตโฆสะ) ก็คือ วธิ กี ารท่เี ริม่ ตน ดว ยศรทั ธา และอาศยั ศรทั ธาเปนสําคญั เมอ่ื นาํ มาใชป ฏิบัติในระบบการศกึ ษาอบรม จึงตอ งพจิ ารณาที่จะใหไ ดร บั การแนะนาํ ชกั จงู สงั่ สอน อบรมที่ไดผ ลดีทสี่ ุด คอื ตอ งมผี ูส ่งั สอนอบรมทเี่ พยี บพรอมดว ยคณุ สมบัติ มีความสามารถ และใชวิธีการอ บรมสงั่ สอนท่ไี ดผ ล ดงั นัน้ ในระบบการศึกษาอบรม จึงจํากัดใหไดป รโตโฆสะทีม่ งุ หมายดวยหลักทเ่ี รยี กวา กัลยาณมิตตตา คือความมีกัลยาณมิตร สวนปจ จยั อยา งท่ี ๒ (โยนิโสมนสิการ) เปนแกนหรอื องคป ระกอบหลักของการพฒั นาปญญา ซง่ึ จะตอ ง พจิ ารณาวา ควรใชความคดิ ใหถ กู ตองอยา งไร เมอ่ื นําปจ จยั ทั้งสองมาประกอบกนั นับวากลั ยาณมิตตตา (=ปรโตโฆสะทีด่ )ี เปน องคป ระกอบภายนอก และโยนโิ สมนสิการ เปน องคป ระกอบภายใน ถา ตรงขามจากนี้ คอื ไดผ ูไมเปนกัลยาณมิตร ทําใหป ระสบปรโตโฆสะทีผ่ ดิ พลาด และใชความคดิ ผดิ วธิ ี เปนอโยนิโสมนสิการ กจ็ ะไดร ับผลตรงขา ม คือ เปน มิจฉาทฏิ ฐิไปได
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 169 มพี ุทธพจนแ สดงปจจยั ทัง้ สองน้ี ในภาคปฏบิ ตั ขิ องการฝกอบรม พรอมท้งั ความสําคัญทค่ี วบคกู ัน ดงั นี้ ๑. สาํ หรับภกิ ษผุ ูยังตองศกึ ษา (เสขะ) ... เรามองไมเห็นองคประกอบภายนอกอ่นื ใด มปี ระโยชนม าก เทาความมีกลั ยาณมิตรเลย ๒. สําหรับภิกษผุ ูยังตอ งศึกษา (เสขะ) ... เรามองไมเหน็ องคป ระกอบภายในอ่ืนใด มปี ระโยชนมาก เทา โยนิโสมนสกิ ารเลยควรทําความเขาใจเก่ยี วกับปจ จยั ๒ อยา งนี้ โดยยอ ๑. ความมกี ลั ยาณมติ ร กัลยาณมิตร มไิ ดห มายถึงเพยี งแคเพ่อื นทด่ี ีอยางในความหมายสามัญ แตห มายถงึ บุคคลผูเพียบ พรอมดว ยคุณสมบตั ิท่จี ะสง่ั สอน แนะนาํ ชีแ้ จง ชักจูง ชว ยเหลอื บอกชองทาง ใหดาํ เนนิ ไปในมรรคาแหงการฝก ศึกษาอยา งถกู ตอ ง ในคัมภีรวสิ ุทธิมัคค ยกตวั อยางไว เชน พระพทุ ธเจา พระอรหนั ตสาวก ครู อาจารย และทา น ผูเปนพหสู ตู ทรงปญ ญา สามารถส่ังสอนแนะนําเปน ทปี่ รกึ ษาได แมจะออนวยั กวา ในกระบวนการพัฒนาปญญา ความมกี ลั ยาณมิตรน้ี จัดวา เปน ระดับความเจรญิ ปญ ญาในขัน้ ศรทั ธา สวนในระบบการศึกษาอบรม ความมกี ลั ยาณมติ ร มคี วามหมายครอบคลมุ ถงึ ตวั บุคคลผอู บรมสั่งสอน เชน ครู อาจารย เปน ตน คณุ สมบตั ขิ องผสู อนนั้น หลกั การ วิธีการ และอบุ ายตางๆ ในการสอน ตลอดจนการจดั ดาํ เนนิ การตา งๆ ทุกอยา ง ทผี่ มู ีหนาท่เี อือ้ อาํ นวยการศึกษาจะพึงจัดทาํ เพอื่ ใหการศกึ ษาไดผ ลดี เทา ที่เปน องค ประกอบภายนอกในกระบวนการพฒั นาปญ ญานน้ั ซงึ่ นับวา เปน เรือ่ งใหญ ทอ่ี าจนําไปบรรยายไดเปนอีกเร่ือง หนง่ึ ตางหาก ในที่น้ี จะยกพทุ ธพจนแสดงคุณสมบัตขิ องกัลยาณมติ ร มาเปน ตวั อยางเพียงชดุ หน่งึ ไดแก กลั ยาณมติ รธรรม ๗ ประการ ดงั นี้ ภกิ ษุท้ังหลาย ภิกษุประกอบดว ยธรรม ๗ ประการ เปนมติ ร ทคี่ วรเสวนา ควรคบหา แมจ ะถกู ขับไล ก็ ควรเขา ไปนัง่ อยูใ กลๆ กลาวคือ เปนผูนา รกั นาพอใจ ๑ เปน ผูนาเคารพ ๑ เปน ผนู ายกยอ ง ๑ เปนผรู ูจักพูด ๑ เปนผูอดทนตอ ถอ ยคํา ๑ เปน ผกู ลา วแถลงถอ ยท่ีลกึ ซง้ึ ได ๑ ไมช กั นําในเร่อื งทเี่ หลวไหลไมสมควร ๑ … จากน้ี จะแสดงเพยี งความสาํ คัญ และคณุ ประโยชน ของการมีกัลยาณมติ ร (กัลยาณมิตตตา) ไว พอให เห็นฐานะของหลักการขอ น้ีในพุทธธรรม ภกิ ษทุ ้งั หลาย เม่อื ดวงอาทิตยอ ทุ ัยอยู ยอมมแี สงอรณุ ขน้ึ มากอ นเปน บุพนิมิตฉนั ใดความมกี ลั ยาณมติ ร กเ็ ปนตวั นํา เปนบพุ นิมติ แหงการเกิดขึน้ ของอรยิ อษั ฎางคกิ มรรค แกภกิ ษุ ฉนั นน้ั ภิกษผุ มู กี ัลยาณมิตร พงึ หวงั ส่ิงนไ้ี ด คือ จักเจริญ จกั ทําใหมาก ซ่ึงอรยิ อัษฎางคิกมรรค ดกู รอานนท ความมีกลั ยาณมิตร... เทา กับเปนพรหมจรรยท้งั หมด ทเี ดียว เพราะวา ผมู กี ลั ยาณมิตร... พงึ หวงั สิง่ น้ไี ด คอื เขาจกั เจรญิ จักทําใหม าก ซึ่งอรยิ อษั ฎางคิกมรรค
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 170 อาศยั เราผเู ปน กลั ยาณมิตร เหลาสตั วผ มู ีชาตเิ ปนธรรมดา ยอมพนจากชาติ ผมู ชี ราเปนธรรมดา ยอม พนจากชรา ผูมมี รณะเปนธรรมดายอมพนจากมรณะ ผมู โี สกะ ปริเทวะ ทกุ ข โทมนัส และอปุ ายาสเปน ธรรมดา ยอมพนจาก โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกข โทมนสั และ อปุ ายาส ภิกษุทง้ั หลาย เมือ่ ดวงอาทติ ยอ ทุ ัยอยู ยอ มมแี สงเงินแสงทองเปน บพุ นมิ ติ มากอ น ฉันใด ความมี กัลยาณมิตร กเ็ ปน ตัวนาํ เปนบพุ นมิ ิตแหง การเกิดข้นึ ของโพชฌงค ๗ แกภ ิกษุ ฉันน้นั ภิกษุผูมีกัลยาณมิตร พึงหวงั สิ่งน้ไี ด คอื จักเจรญิ จักทาํ ใหมาก ซงึ่ โพชฌงค ๗ เราไมเ ลง็ เหน็ ธรรมอืน่ แมสักอยา งหนงึ่ ท่ีเปนเหตุยงั กศุ ลธรรมทย่ี งั ไมเ กดิ ใหเกดิ ขึ้น หรือยงั อกุศลธรรมที่ เกดิ ขึ้นแลว ใหเ สื่อมไป เหมือนความมกี ลั ยาณมิตรเลย เมื่อบุคคลมีกลั ยาณมิตร กศุ ลธรรมท่ยี งั ไมเ กิด ยอ มเกดิ ขึน้ และอกุศลธรรมท่เี กดิ ขน้ึ แลว ยอมเสอื่ มไป เราไมเล็งเห็นธรรมอ่ืนแมส กั อยา ง ทเี่ ปน ไปเพอื่ ประโยชนย ่ิงใหญ ...ที่เปน ไปเพื่อความดํารงม่นั ไมเส่ือมสูญ ไมอ ันตรธานแหง สทั ธรรมเหมอื นความมกี ัลยาณมิตรเลยโดยกาํ หนด วาเปนองคป ระกอบภายนอก เราไมเล็งเหน็ องคป ระกอบอืน่ แมส ักขอหนง่ึ ท่ีเปนไปเพื่อประโยชนย่ิงใหญ เหมอื น ความมกี ลั ยาณมิตรเลย สาํ หรบั ภิกษุผเู ปนเสขะ ยังไมบ รรลุอรหัตตผล ปรารถนาความเกษมจากโยคะอนั ยอดเยย่ี ม เราไมเ ล็ง เหน็ องคประกอบภายนอกอยา งอืน่ แมส ักอยางหน่ึง ทมี่ ปี ระโยชนม าก เหมอื นความมีกัลยาณมติ รเลย ภกิ ษผุ ู มกี ลั ยาณมติ ร ยอ มกําจัดอกุศลได และยอมบําเพญ็ กศุ ลใหเ กิดขึน้ ภกิ ษผุ ูมกี ลั ยาณมติ ร...พึงหวังสิ่งนไ้ี ด คือ ๑. จักเปนผมู ีศีล สาํ รวมระวงั ในปาตโิ มกข สมบรู ณด ว ยอาจาระและ โคจร ฯลฯ ๒. จกั เปนผู (มีโอกาสไดยนิ ไดฟง ไดรว มสนทนาอยางสะดวกสบาย) ตามความปรารถนา ในเร่ืองตา งๆ ท่ีขัดเกลาอุปนสิ ัย ชาํ ระจิตใจให ปลอดโปรง คือ เรอื่ งความมกั นอย ฯลฯ เรือ่ งการบาํ เพ็ญเพียร เรอื่ งศีล เรอื่ งสมาธิ เร่อื งปญ ญา เรอ่ื งวมิ ตุ ติ เรือ่ งวมิ ุตตญิ าณทัสสนะ ๓. จักเปนผูตั้งหนาทาํ ความเพยี ร เพ่อื กาํ จดั อกศุ ลธรรม และเพือ่ บําเพญ็ กุศลธรรมใหเพียบพรอ ม จักเปน ผแู ข็งขัน บากบน่ั มน่ั คง ไมท อดธรุ ะในกศุ ลธรรม ๔. จักเปนผูมีปญญา ประกอบดวยปญญาทเ่ี ปนอริยะ หยัง่ รูถ ึง ความเกดิ ความดบั ชาํ แรกกิเลส นาํ ไปสคู วามสูญสิน้ แหงทุกข” ๒. โยนิโสมนสิการ โยนโิ สมสิการ เปนการใชความคดิ อยางถกู วิธี ตามความหมายทก่ี ลา วมาแลว เมื่อเทยี บในกระบวนการ พฒั นาปญญา โยนิโสมนสกิ าร อยใู นระดับที่เหนอื ศรัทธา เพราะเปน ขัน้ ท่ีเร่ิมใชความคิดของตนเองเปนอสิ ระ
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 171 สวนในระบบการศกึ ษาอบรม โยนิโสมนสกิ ารเปนการฝก การใชค วามคดิ ใหรจู ักคดิ อยา งถกู วิธี คิด อยางมีระเบยี บ รจู กั คดิ วเิ คราะห ไมมองเหน็ สิง่ ตา งๆ อยางตนื้ ๆ ผวิ เผนิ เปน ข้นั สําคญั ในการสรา งปญ ญาที่ บริสทุ ธิเ์ ปนอสิ ระ ทาํ ใหทุกคนชวยตนเองได และนาํ ไปสจู ุดหมายของพทุ ธธรรมอยา งแทจ รงิ ความสําคัญ และคุณประโยชน ของโยนโิ สมนสกิ าร พงึ เห็นไดต ามตัวอยางพทุ ธพจนตอ ไปน้ี ภกิ ษุท้งั หลาย เมือ่ ดวงอาทิตยอทุ ยั อยู ยอ มมแี สงอรณุ ขนึ้ มากอ น เปน บุพนิมติ ฉันใด ความถึงพรอ ม ดว ยโยนิโสมนสกิ าร ก็เปนตวั นํา เปนบุพนิมิต แหงการเกิดขึน้ ของอริยอษั ฎางคิกมรรค แกภกิ ษุ ฉันนนั้ ภกิ ษุ ผถู งึ พรอ มดวยโยนิโสมนสกิ าร พึงหวังส่ิงน้ไี ด คอื จักเจริญ จกั ทาํ ใหม าก ซึ่งอรยิ อษั ฎางคกิ มรรค ภกิ ษุท้งั หลาย เม่ือดวงอาทิตยอุทยั อยู ยอมมแี สงเงนิ แสงทอง เปนบุพนมิ ิตมากอน ฉันใด โยนิโส มนสิการก็เปน ตวั นาํ เปน บุพนิมิต แหง การเกิดขน้ึ ของโพชฌงค ๗ แกภิกษุ ฉันน้ัน ภิกษุผถู ึงพรอมดว ยโยนิโส มนสิการ พึงหวงั ส่งิ นีไ้ ด คอื จักเจริญ จักทําใหม าก ซึ่งโพชฌงค ๗ เราไมเล็งเห็นธรรมอืน่ แมสกั อยา งหนึง่ ท่ีเปนเหตุใหกศุ ลธรรมท่ียังไมเ กดิ เกดิ ขน้ึ หรอื ใหอ กศุ ลธรรมท่ี เกดิ ข้ึนแลว เสือ่ มไป เหมือนโยนโิ สมนสิการเลย เมื่อมีโยนโิ สมนสิการ กศุ ลธรรมทีย่ งั ไมเ กิด ยอ มเกิดขึ้น และ อกศุ ลธรรมทเี่ กดิ ขน้ึ แลว ยอมเส่ือมไป เราไมเ ล็งเหน็ ธรรมอนื่ แมส กั อยา ง ที่เปนไปเพอื่ ประโยชนย ง่ิ ใหญ ... ที่ เปนไปเพอ่ื ความดาํ รงม่ัน ไมเ สือ่ มสญู ไมอันตรธานแหงสัทธรรม เหมือนโยนิโสมนสิการเลย โดยกําหนดวา เปน องคประกอบภายใน เราไมเ ลง็ เหน็ องคป ระกอบอื่น แมสักอยางหนึง่ ท่ีเปนไปเพื่อประโยชนยิง่ ใหญ เหมือน โยนโิ สมนสกิ ารเลย สาํ หรับภกิ ษุผูเสขะ ยงั ไมบ รรลุอรหตั ตผล ปรารถนาความเกษมจากโยคะ อนั ยอดเยยี่ ม เราไมเลง็ เห็น องคประกอบภายในอยา งอน่ื แมสกั อยา ง ที่มปี ระโยชนม าก เหมอื นโยนโิ สมนสิการเลยภิกษผุ ูใชโยนโิ สมนสิการ ยอมกําจัดอกุศลได และบําเพญ็ กศุ ลใหเ กดิ ขนึ้ เราไมเล็งเหน็ ธรรมอยางอ่ืน แมส กั ขอ หนึง่ ซึ่งเปนเหตใุ หส มั มา ทฏิ ฐิ ทย่ี ังไมเกดิ ไดเกดิ ข้ึน หรือใหสมั มาทิฏฐทิ ีเ่ กดิ ขนึ้ แลว เจรญิ ยงิ่ ข้นึ เหมอื นโยนิโสมนสกิ ารเลย เมื่อมีโยนิโส มนสิการ สมั มาทฏิ ฐทิ ่ียังไมเ กดิ ยอมเกดิ ข้นึ และสมั มาทฏิ ฐทิ ี่เกิดขนึ้ แลว ยอ มเจริญยิง่ ขน้ึ เราไมเล็งเหน็ ธรรมอนื่ แมส กั ขอหนงึ่ ซ่ึงเปนเหตุใหโพชฌงคท ยี่ ังไมเ กดิ ไดเกิดขึน้ หรอื ใหโ พชฌงคท เี่ กิดขนึ้ แลว ถงึ ความเจรญิ เต็ม บริบรู ณ เหมอื นโยนิโสมนสิการเลย เมอ่ื มีโยนิโสมนสกิ าร โพชฌงคทย่ี ังไมเ กิด ยอ มเกิดข้นึ และโพชฌงคท ี่เกิด ขึ้นแลว ยอมมีความเจรญิ เต็มบริบูรณ เราไมเ ลง็ เหน็ ธรรมอ่ืน แมส กั ขอ หน่งึ ทจี่ ะเปนเหตุใหความสงสยั ท่ยี งั ไม เกิดกไ็ มเกดิ ขึ้น หรือทเ่ี กดิ ข้ึนแลว ก็ถกู กาํ จดั ได เหมือนโยนิโสมนสกิ ารเลย เมื่อโยนโิ สมนสกิ ารอสุภนมิ ิต ราคะทีย่ ังไมเกดิ กไ็ มเกิดขึ้น ราคะทเี่ กิดแลว กถ็ กู ละได เมือ่ โยนิโส มนสกิ ารเมตตาเจโตวมิ ตุ ติ โทสะทีย่ งั ไมเ กดิ กไ็ มเ กดิ ขึ้น โทสะทเี่ กดิ แลว ก็ถกู ละได เมอ่ื โยนโิ สมนสิการ (โดยท่ัว ไป) โมหะท่ียงั ไมเกิด ก็ไมเ กดิ ขึน้ และโมหะท่เี กดิ แลว กถ็ ูกละได เมอ่ื โยนโิ สมนสกิ าร …(นวิ รณ ๕)… ที่ยังไมเกดิ ก็ไมเ กิดขน้ึ ทเ่ี กิดขึน้ แลว ก็ถกู กําจดั ได …(โพชฌงค ๗) … ที่ยังไมเกดิ กเ็ กดิ ข้ึน และที่เกิดขึ้นแลว ก็ถงึ ความเจรญิ เต็มบริบูรณ
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 172 ธรรม ๙ อยา งที่มอี ปุ การะมาก ไดแ ก ธรรม ๙ อยาง ซึง่ มีโยนโิ สมนสกิ ารเปน มลู กลา วคือ เมอื่ โยนโิ ส มนสิการ ปราโมทยยอ มเกดิ เมื่อปราโมทย ปติยอมเกดิ เมื่อมีใจปติ กายยอมผอนคลายสงบ (ปส สัทธิ) เมื่อกาย ผอนคลายสงบ ยอมไดเ สวยสขุ ผมู สี ขุ จติ ยอมเปนสมาธิ ผมู จี ิตเปนสมาธิ ยอมรเู ห็นตามเปน จริง เมอ่ื รูเห็นตาม เปนจรงิ ยอมนพิ พทิ าเอง เมอ่ื นิพพทิ า ก็วริ าคะ เพราะวริ าคะ กว็ ิมตุ ติ ตามนยั พทุ ธพจนนี้ เขียนใหด ูงาย เปน โยนิโสมนสิการ-ปราโมทย-ปติ-ปส สัทธิ-สขุ -สมาธ-ิ ยถาภูตญาณทสั สนะ-นิพพทิ า-วริ าคะ-วิมุตติ กลา วโดยสรปุ สําหรบั คนท่ัวไป ผูมปี ญญายงั ไมแ กกลา ยงั ตองอาศัยการแนะนําชักจูงจากผูอื่น การ พัฒนาปญ ญา นบั วาเร่ิมตนจาก องคประกอบภายนอก คอื ความมกี ัลยาณมติ ร (กัลยาณมติ ตตา) สําหรับให เกิดศรทั ธา (ความมน่ั ใจดว ยเหตผุ ลท่ไี ดพิจารณาเหน็ จริงแลว) กอ นจากนนั้ จึงกา วมาถงึ ขนั้ องคป ระกอบภาย ใน เรม่ิ แตน าํ ความเขา ใจตามแนวศรัทธาไปเปนพื้นฐาน ในการใชค วามคดิ อยางอิสระ ดวยโยนโิ สมนสกิ าร ทํา ใหเกิดสมั มาทิฏฐิ และทาํ ใหป ญญาเจรญิ ยงิ่ ข้นึ จนกลายเปน ญาณทสั สนะ คอื การรกู ารเหน็ ประจักษในทส่ี ุด เมอ่ื กระจายลาํ ดบั ขัน้ ในการพฒั นาปญญาตอนน้อี อกไป จงึ ตรงกบั ลําดับอาหารของวิชชาและวมิ ตุ ติ ที่ กลาวมาแลว ขางตน คือการเสวนาสตั บุรุษ-การสดับเลา เรยี นสทั ธรรม-ศรทั ธา-โยนโิ ส-มนสิการ ฯลฯ เมอื่ สัมมาทิฏฐเิ กิดขนึ้ แลว ก็จะเจริญเขาสจู ุดหมายดว ยการอดุ หนนุ ขององคป ระกอบตางๆ อยางพุทธ พจนท ีว่ า ภิกษทุ ง้ั หลาย สมั มาทฏิ ฐิ อนั องคป ระกอบ ๕ อยางคอยหนนุ (อนเุ คราะห) ยอ มมีเจโตวมิ ตุ ติ และ ปญญาวิมตุ ติ เปนผลานสิ งส องคป ระกอบ ๕ อยา งนั้น คอื ๑. ศลี (ความประพฤตดิ งี าม สจุ รติ ) ๒. สุตะ (ความรูจากการสดบั เลา เรยี น อานตํารา การแนะนําสงั่ สอนเพิม่ เติม ๓. สากัจฉา (การสนทนา ถกเถยี ง อภปิ ราย แลกเปลีย่ นความคิดเหน็ สอบคนความรู) ๔. สมถะ (ความสงบ การทาํ ใจใหสงบ การไมมีความฟงุ ซา นวนุ วายใจ การเจรญิ สมาธ)ิ ๕. วปิ ส สนา (การใชป ญ ญาพจิ ารณาเหน็ สิ่งตา งๆ ตามสภาวะของมนั คือตามทม่ี ันเปน จรงิ ) โดยสรุป สมั มาทฏิ ฐิ ก็คอื ความเหน็ ท่ีตรงตามสภาวะคอื เหน็ ตามท่สี ง่ิ ทง้ั หลายเปน จรงิ หรอื ตามทม่ี นั เปน การทีส่ ัมมาทิฏฐจิ ะเจรญิ ขึ้น ยอ มตอ งอาศยั โยนโิ สมนสกิ ารเรอ่ื ยไป เพราะโยนิโสมนสกิ ารชว ยใหไ มม อง สงิ่ ตางๆ อยางผิวเผิน หรอื มองเหน็ เฉพาะผลรวมทีป่ รากฏ แตชว ยใหมองแบบสบื คน แยกแยะ ท้ังในแงการ วเิ คราะหสวนประกอบท่ีมาประชุมกนั เขา และในแงก ารสืบทอดแหง เหตุปจ จัย ตลอดจนมองใหครบทุกแงด า น ทจ่ี ะใหเห็นความจริง และถอื เอาประโยชนไ ด จากทกุ ส่ิงทกุ อยา งที่ประสบหรือเก่ยี วขอ ง การมองและคิด พจิ ารณาดวยโยนิโสมนสกิ าร ทาํ ใหไ มถกู ลวง ไมกลายเปนหุนที่ถกู ย่วั ยุ ปลกุ ปน และเชิด ดวยปรากฏการณทาง รปู เสยี ง กลิน่ รส โผฏฐพั พะ และคตนิ ิยมตา งๆ จนเกดิ เปนปญ หาท้ังแกตนและผูอื่น แตท าํ ใหมสี ตสิ มั ปชัญญะ
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 173 เปน อสิ ระ เปนตวั ของตัวเอง คิดตัดสนิ และกระทาํ การตางๆ ดวยปญญา ซงึ่ เปนขั้นที่สัมมาทฏิ ฐิสงผลแกองค มรรคขอตอๆไป เริ่มทาํ ลายสงั โยชน อันมสี ักกายทฏิ ฐิ วิจิกิจฉา และสีลพั พตปรามาส เปน ตน ๒. สัมมาสังกปั ปะ คาํ จํากดั ความ และความหมายของสัมมาสังกัปปะ องคม รรคขอท่ี ๒ น้ี มีคําจํากดั ความตามคัมภรี ซึง่ ถอื เปนหลกั ทว่ั ไป ดงั นี้ ภิกษุท้ังหลาย สมั มาสงั กัปปะ เปนไฉน? เนกขมั มสังกปั ป อพยาบาทสังกัปป อวหิ ิงสาสังกปั ป น้เี รยี ก วา สมั มาสงั กัปปะ นอกจากนี้ ยงั มีคาํ จาํ กดั ความแบบแยกออกเปน ระดบั โลกยิ ะ และระดบั โลกุตตระ ดังนี้ ภิกษุทง้ั หลาย สมั มาสังกัปปะ เปน ไฉน? เรากลาววาสัมมาสังกปั ปะมี ๒ อยาง คอื สัมมาสังกปั ปะทย่ี งั มีอาสวะ ซ่งึ จัดเปน ฝายบญุ อํานวยวิบากแกขันธ อยางหนึง่ กบั สมั มาสังกัปปะทเ่ี ปนอริยะ ไมม ีอาสวะ เปน โลกุตตระ และเปน องคม รรคอยา งหนึ่ง สัมมาสังกปั ปะ ทีย่ งั มอี าสวะ... คอื เนกขมั มสังกปั ป อพยาบาท- สังกัปป อวหิ ิงสาสังกปั ป... สัมมาสงั กปั ปะ ทเ่ี ปน อรยิ ะ ไมมีอาสวะ เปน โลกตุ ตระ เปนองคมรรค คือ ความระลกึ (ตักกะ) ความ นึกคิด (วติ กั กะ) ความดําริ (สังกปั ป) ความคดิ แนวแน (อัปปนา) ความคดิ แนน แฟน (พยัปปนา) ความเอาใจจด จอ ลง วจีสงั ขาร ของบุคคลผูมีจิตเปนอรยิ ะ มีจิตไรอ าสวะ ผพู รอมดวยอรยิ มรรค ผูกาํ ลงั เจรญิ อรยิ มรรคอย.ู .. เพ่ือรวบรดั ในทีน่ ้ี จะทําความเขา ใจกันแตเ พียงคําจํากดั ความแบบทั่วไป ทเ่ี รยี กวาเปนข้นั โลกยิ ะ เทา น้ัน ตามคําจาํ กัดความแบบน้ี สมั มาสังกัปปะ คอื ความดํารชิ อบ หรือความนึกคิดในทางทถี่ กู ตอ ง ตรงขา มกบั ความดาํ ริผดิ ทเี่ รยี กวา มิจฉาสงั กปั ปะ ซงึ่ มี ๓ อยาง คอื ๑. กามสงั กัปป หรือ กามวิตก คอื ความดําริที่เกีย่ วขอ งกับกาม ความนึกคดิ ในทางท่จี ะแสวงหาส่ิงเสพ ความคิดอยากได หรอื หมกมนุ พัวพนั ติดของอยกู ับสิง่ สนองความตองการทางประสาททัง้ ๕ หรือส่งิ สนอง ตัณหา อปุ าทานตางๆ ความคิดในทางเห็นแกตัว เปนความนึกคดิ ในฝา ยราคะ หรือโลภะ ๒. พยาบาทสงั กัปป หรือ พยาบาทวิตก คอื ความดํารทิ ปี่ ระกอบดว ยความขดั เคอื ง ไมพ อใจ เคยี ดแคน ชงิ ชงั คิดเห็นในแงร า ยตางๆ ความขาดเมตตา เปน ความนกึ คิดในฝา ยโทสะแงถกู กระทบ ๓. วิหงิ สาสงั กัปป หรือ วิหิงสาวิตก คือ ความดาํ ริในทางทจ่ี ะเบียดเบยี น ทาํ รา ย การคดิ ที่จะขมเหง รังแก ตอ งการกอ ทุกข ทําใหค นและสัตวทั้งหลายเดือดรอ น ไมม ีความกรณุ า เปนความนกึ คดิ ในฝายโทสะแงจ ะออกไปกระทบ ความดาํ รหิ รอื แนวความคิดแบบน้ี เปนเร่อื งปรกติของคนสว นมากเพราะตามธรรมดา เม่อื ปุถุชนรับรู อารมณอยางใดอยางหน่งึ จะโดยการเหน็ ไดยิน ไดสัมผสั เปน ตน ก็ตาม จะเกดิ ความรสู กึ อยางใดอยา งหน่ึงใน สองอยา ง คือ ถา ถูกใจ กช็ อบ ตดิ ใจ อยากได พวั พัน คลอ ยตาม ถาไมถูกใจ ก็ไมช อบ ขัดใจ ขดั เคือง ชัง ผลัก
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 174 แยง เปนปฏิปก ษ จากนนั้ ความดําริ นกึ คิดตา งๆ กจ็ ะดาํ เนนิ ไปตามแนวทางหรอื ตามแรงผลกั ดันของความชอบ และไมช อบนัน้ ดว ยเหตนุ ี้ ความคดิ ของปถุ ชุ นโดยปกติ จงึ เปน ความคิดเหน็ ทเี่ อนเอียงไปขา งใดขางหน่งึ มีความพอใจ และไมพ อใจของตนเขาไปเคลอื บแฝงชกั จงู ทาํ ใหไ มเ หน็ ส่งิ ท้งั หลายตามทมี่ นั เปน ของมันเองลว นๆ ความนึกคิดทด่ี าํ เนินไปจากความถกู ใจ ชอบใจ เกิดความติดใคร พวั พนั เอยี งเขา หา กก็ ลายเปน กามวติ ก สวนที่ดาํ เนนิ ไปจากความไมถูกใจ ไมชอบใจ เกดิ ความขดั เคอื ง ชงิ ชัง เปน ปฏิปกษ มองในแงรา ย ก็ กลายเปน พยาบาทวิตก ที่ถงึ ขนาดพุง ออกมาเปน ความคิดรุกราน คิดเบียดเบียน อยากทํารา ย กก็ ลายเปน วหิ งิ สาวิตก ทาํ ใหเ กดิ ทัศนคติ (หรือเจตคติ) ตอสิง่ ตา งๆ อยางไมถกู ตอง ความดาํ ริหรือความนึกคิดท่ีเอนเอยี ง ทัศนคติทีบ่ ิดเบนและถูกเคลอื บแฝงเชนนี้ เกดิ ข้นึ ก็เพราะการขาด โยนิโสมนสกิ ารแตต น คอื มองสงิ่ ตางๆ อยา งผิวเผิน รบั รอู ารมณเขามาท้งั ดนุ โดยขาดสตสิ มั ปชัญญะ แลว ปลอ ยความนกึ คิดใหแลน ไปตามความรสู ึก หรอื ตามเหตุผลทีม่ ีความชอบใจ ไมช อบใจเปนตวั นํา ไมไ ดใชค วาม คิดวเิ คราะหแ ยกแยะสว นประกอบและความคิดสบื สาวสอบคนเหตปุ จจัย ตามหลกั โยนิโสมนสกิ าร โดยนัยนี้ มจิ ฉาทฏิ ฐิ คอื ความเขาใจผิดพลาด ไมมองเห็นสง่ิ ท้ังหลายตามความเปนจรงิ จงึ ทําใหเกดิ มจิ ฉาสังกัปปะ คือ ดําริ นึกคิด และมีทัศนคติตอสง่ิ ท้ังหลายอยางผิดพลาดบดิ เบือน และมิจฉาสังกัปปะนกี้ ส็ ง ผลสะทอ นใหเกดิ มิจฉาทิฏฐิ เขา ใจและมองเห็นสง่ิ ทัง้ หลายอยา งผดิ พลาดบิดเบอื นตอไปหรอื ยิ่งขน้ึ ไปอีก องค ประกอบทงั้ สอง คือ มิจฉาทิฏฐิ และมิจฉาสงั กปั ปะจึงสง เสริมสนบั สนนุ ซ่ึงกนั และกัน ในทางตรงขาม การท่ีจะมองเห็นสง่ิ ทัง้ หลายถกู ตอ งตามท่ีมันเปน ของมันเองได ตอ งใชโยนโิ สมนสกิ าร ซง่ึ หมายความวา ขณะนัน้ ความนึกคิดความดาํ รติ างๆ จะตอ งปลอดโปรง เปนอิสระ ไมม ที ้งั ความชอบใจ ความ ยึดตดิ พัวพัน และความไมชอบใจ ผลกั แยง เปน ปฏิปก ษตา งๆ ดว ย ขอ นม้ี คี วามหมายวา จะตองมสี ัมมาทิฏฐิ และสมั มาสังกปั ปะ และองคป ระกอบท้งั สองอยางนีส้ ง เสรมิ สนบั สนนุ ซ่ึงกนั และกนั เชน เดยี วกับในฝา ยมจิ ฉา นน่ั เอง โดยนัยนี้ ดว ยการมีโยนิโสมนสิการ ผนู ั้นกม็ ีสัมมาทฏิ ฐิ คอื มองเหน็ และเขา ใจสงิ่ ตา งๆ ตามความเปน จริง เมอื่ มองเห็นสิ่งตา งๆ ตามความเปนจรงิ จงึ มีสมั มาสงั กปั ปะ คอื ดําริ นึกคดิ และตั้งทศั นคตติ อ ส่ิงเหลา นนั้ อยางถกู ตอง ไมเอนเอียง ยดึ ติด ขัด ผลกั หรือเปนปฏิปก ษ เมื่อมคี วามดํารินึกคิดทเี่ ปน อิสระจากความชอบใจ ไมช อบใจ เปนกลางเชนน้ี จงึ ทาํ ใหมองเห็นสง่ิ ตา งๆ ตามความเปนจริง คอื เสริมสัมมาทฏิ ฐใิ หเ พ่มิ พูนยงิ่ ขึ้น จากนนั้ องคป ระกอบทง้ั สองกส็ นบั สนุนกนั และกันหมุนเวยี นตอไป ในภาวะจิตท่มี โี ยนิโสมนสิการ จึงมคี วามดํารซิ ่งึ ปลอดโปรง เปน อสิ ระ ปราศจากความเอนเอยี ง ท้ังใน ทางติดคลอ ยเขาขาง และในทางเปนปฏิปกษ ผลักเบอื นหนี ตรงขามกบั มจิ ฉาสงั กัปปะ เรยี กวา สมั มาสงั กปั ปะ มี ๓ อยางเชนเดียวกนั คือ
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 175 ๑. เนกขมั มสังกปั ป หรอื เนกขมั มวติ ก คือ ความดาํ รทิ ีป่ ลอดโลภะ หรือประกอบดว ยอโลภะ ความนกึ คดิ ทปี่ ลอดโปรง จากกาม ไมห มกมนุ พวั พันติดใครในส่งิ เสพสนองความอยากตางๆ ความคิดทปี ราศจากความเห็นแกต วั ความคดิ เสยี สละ และความคดิ ท่เี ปนคณุ หรือเปน กศุ ลทกุ อยา ง จัดเปนความนึกคิดทีป่ ลอดราคะหรอื โลภะ ๒. อพยาบาทสังกัปป หรอื อพยาบาทวิตก คือ ความดาํ รทิ ่ไี มมคี วามเคยี ดแคน ชงิ ชัง ขัดเคือง หรอื การเพงมองในแงรายตางๆ โดยเฉพาะมงุ เอาธรรมทีต่ รงขา ม คือ เมตตา ซง่ึ หมายถึงความ ปรารถนาดี ความมีไมตรี ตองการใหผอู ่นื มีความสขุ จดั เปน ความคดิ ที่ปลอดโทสะ ๓. อวหิ ิงสาสังกัปป หรือ อวหิ งิ สาวิตก คอื ความดํารทิ ป่ี ลอดจากการเบยี ดเบยี น ปราศจากความ คิดที่จะกอ ทุกขแกผอู ื่น โดยเฉพาะมุงเอาธรรมทีต่ รงขา มคอื กรณุ า ซ่งึ หมายถงึ ความคดิ ชว ย เหลือผูอ่นื ใหพน จากความทุกข เปน ความคดิ ทป่ี ลอดโทสะเชน เดยี วกนั ขอ สงั เกต และเหตุผลในการใชค าํ เชิงปฏิเสธ มขี อสังเกตอยางหนึง่ ทอี่ าจมีผูย กข้ึนอา ง ซง่ึ ขอช้แี จงไว ณ ทนี่ ้ีดว ยครัง้ หน่ึงกอ น คือเรือ่ งธรรมฝายดี หรือกศุ ล ซ่งึ ตรงขามกบั ฝา ยช่ัวหรอื อกศุ ล ในพุทธธรรมแทนท่ีจะใชศพั ทต รงขา ม มกั ใชแ ตเพยี งแคศพั ทปฏิเสธ ทําใหม ีผูค ดิ เห็นไปวา พทุ ธธรรมเปนคาํ สอนแบบนเิ สธ (negative) และเฉยเฉือ่ ย (passive) เพียงแตไมท าํ ความ ช่วั อยูเ ฉยๆ ก็เปนความดีเสยี แลว อยางที่นี้ ตรงขามกบั พยาบาทสังกปั ปใ นฝา ยมิจฉาสังกปั ป ฝายสัมมาสงั กปั ปแทนท่จี ะเปนเมตตา กลบั เปน เพียงอพยาบาทสังกปั ป คือ ปฏิเสธฝายมิจฉาเทา น้นั ความเขา ใจเชน นีผ้ ิดพลาดอยางไร จะไดช ีแ้ จงตอๆ ไปตามโอกาส แตเฉพาะเร่ืองนี้ จะชี้แจงเหตุผลแก ความเขา ใจผดิ เพยี งสั้นๆ กอน การทธ่ี รรมฝา ยกศุ ล (ในกรณีอยางนี้) ใชถอยคําท(ี่ เหมือน)เปนเพียงปฏเิ สธธรรมฝา ยอกศุ ลเทาน้นั เชน เปลี่ยนจาก “วหิ งิ สา” เปน “อวหิ งิ สา” มเี หตผุ ลดงั นี้ ๑. โดยธรรมดาแหงระบบการพฒั นาของชวี ิต หรอื โดยความเปน จริงแหงการพฒั นาของชวี ติ ทเ่ี ปน ระบบ ของธรรมชาติ อยา งทีก่ ลา วแลววา มรรคเปนทางสายเดยี ว แตมอี งคป ระกอบ ๘ การท่ีชีวิตเจรญิ งอกงามกาวหนา ไป ในมรรค ก็หมายถงึ การที่องคท งั้ ๘ ของมรรคน้นั เปน ปจจัยหนุนกันและพฒั นาพรอ มไปดว ยกัน ถาใชคํานิยม ของยคุ สมยั ก็วา พฒั นาอยางบูรณาการเปนองคร วม ไมเ ฉพาะมองเปนชวงเวลา แมแ ตใ นทุกๆ ขณะ องคท งั้ ๘ ของมรรค กท็ าํ หนา ทข่ี องตนๆ อยางประสาน ซ่ึงกนั และกัน ความเจรญิ กาวไปในมรรคก็คือ การพัฒนาของชีวิต ที่องคม รรคท้งั ๘ กา วประสานไปดวยกนั ทั้ง ระบบครบทุกสวน
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 176 ไดบอกแลว วา องคม รรคท้ัง ๘ นน้ั รวมไดเ ปน ๓ หมวด คอื ดา นศีล ทเี่ ปนพฤติกรรมการแสดงออกทาง กายวาจาและสื่อสารกับภายนอก ดานสมาธิหรอื ดานจิตใจ ที่เปนเจตจาํ นงคณุ ธรรมความรสู กึ และดา นปญ ญา ทเี่ ปน เรือ่ งของความรู-คิด-หย่งั เห็น-เขาใจ ถา พูดในแงจ ริยธรรม กบ็ อกวา จริยธรรมจะถูกตอ ง เปน พรหมจรยิ ะได ตองใหค วามถูกตอ งมอี ยูแ ละ ดําเนินไปในชวี ติ ท้ัง ๓ ดา นพรอ มกนั อยางประสานสอดคลอ ง คอื ทง้ั ดา นพฤติกรรมทแี่ สดงออกภายนอกทาง กายวาจา ทงั้ ดานจิตใจ และทงั้ ดา นปญ ญา ดงั นัน้ ขณะทพี่ ูดดที ําดี ก็ตองมเี จตนากอปรดวยคณุ ธรรมและความ รสู กึ ท่ีดี พรอ มทงั้ มคี วามคดิ ความเขา ใจทดี่ ดี วย ในทํานองเดียวกัน ในภาวะจติ ใจและความรูส ึกทด่ี ี ดา นพฤติ กรรมกายวาจาตลอดจนการใชต าหูดูฟง ก็ตอ งดงี ามสงบสาํ รวมดว ย ดานปญ ญากค็ ิดเห็นชอบและมคี วามรเู ขา ใจตระหนกั ชดั สอดคลองกันดา นปญ ญาก็เชนนัน้ เหมือนกัน ขณะทคี่ ิดพิจารณาทาํ ความรเู ขา ใจตา งๆ กต็ องมี สภาพจติ ดมี ีความรูสึกทเี่ ปน กุศล เชน ไมข ัดเคือง ไมขุน มวั เศรา หมอง และพฤติกรรมกายวาจารวมท้ังการใช อินทรยี ท ง้ั หลาย (เชน ตา ห)ู ก็ตอ งสงบสํารวมดีงามดว ยเชนเดียวกนั รวมความวา ในกิจกรรมทกุ ครัง้ ทกุ ขณะของชวี ติ ท่คี นกําลังกระทํา ถา เขาทําถูกทําดี องคม รรค ท้ัง ๘ ขอ ทงั้ ๓ ดา น กด็ ําเนนิ ไป รวมเปนการดําเนนิ ชีวิตถูกตอ ง หรือวถิ ชี ีวิตดีงาม ท่เี รียกวา มรรค (ถา ทําไมถูกไมดี ก็ เปนมจิ ฉา ไมเ ปน มรรค) กิจกรรมทีว่ า นน้ั ไมเ ฉพาะกจิ กรรมที่เปน รปู ธรรมทางกายวาจา แตรวมทง้ั กจิ กรรมนามธรรมในใจและ ในทางปญ ญาดว ยสงสัยวา ในเวลาทใ่ี จสดชนื่ เอบิ อ่มิ เบกิ บานผองใส หรอื คดิ เหตุผลคิดแกป ญ หาคิดวางแผน อะไรอยู หรือแมแตน่ังสมาธอิ ยูน่งิ ๆ หรอื เจรญิ วปิ สสนาในขอ ตามดรู ทู นั จิตของตนอยู บางทีรางกายไมไ ดเ คลอื่ น ไหวอะไรเลย จะมีพฤตกิ รรมทีถ่ กู ทด่ี ี เปนพูดชอบทาํ ชอบ (สมั มาวาจา สมั มากมั มันตะ) ไดอยา งไร ตอบวา นีล่ ะคอื คําตอบท่ีวา ทาํ ไมองคม รรคบางขอ อยางสัมมาสังกัปปะ สมั มาวาจา และ สัมมากมั มันตะ จึงมีความหมายทีแ่ สดงไวเ ปนคาํ ปฏเิ สธ ธรรมที่จะเปนองคข องมรรค ตองมีความหมายกวา ง ขวางครอบคลมุ ความเปน จรงิ ของชวี ิต ท่ีทุกสวนทํางานหรือทาํ หนาท่ปี ระสานกันเปนระบบหนงึ่ เดยี ว ดําเนิน กา วหนาไปดว ยกัน ทีเ่ รยี กวา มรรคนนั้ ไดข ณะท่ที าํ กจิ กรรมทางจิตใจ หรือทาํ กิจกรรมทางปญญาอยูน่ิงๆ ถงึ แม ไมไดเคลอื่ นไหวรา งกาย กพ็ ูดชอบ=มสี มั มาวาจา ทาํ ชอบ=มีสัมมากมั มนั ตะได เหมอื นอยางทพี่ ดู ดวยคํางายๆ วา ไมวาจะอยใู นภาวะใด แมแ ตเ วลาคดิ ก็มศี ลี ในความหมายทว่ี า ขณะน้ันเวน วา ง หรอื ปราศจากวจีทุจรติ และ กายทจุ ริตทงั้ หลาย ไมม กี ารพูดเท็จและการทาํ รา ยเบียดเบียนตางๆ ลึกลงไปกค็ ือไมมีเจตนาท่ีจะทาํ การราย เหลา นน้ั หรือไมมีภาวะทางจิตหรืออาการทางความคิดใดๆ ที่จะโยงไปสูกรรมชว่ั รายเหลาน้นั เลย ยงิ่ ในขอสัมมาสงั กปั ปะ ท่ีเปนดานปญ ญา ก็ยิ่งชัดเจนมาก ทานใหค วามหมายของสมั มาสังกัปปะ วา เปนความดาํ รหิ รือคดิ นกึ ทป่ี ลอดจากความโลภอยากไดอ ยากเสพ ไมมคี วามพยาบาทขัดเคอื ง และเปน อวหิ งิ สา คอื ไมมีการเบยี ดเบยี น
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 177 ความใครกามและความโลภ พยาบาท และวิหิงสา กด็ ี ความเผ่อื แผเสียสละ เมตตา และกรณุ า ท่ีตรง ขา มกบั สามอยางแรกนนั้ ก็ดี เปนสภาพจิตหรือคุณสมบตั ิของจิตใจ แตใ นท่นี ีม้ าเปนเครอื่ งประกอบของความ คดิ ในหมวดปญญา ตองเขาใจวา ส่งิ ทีต่ องการในที่นคี้ ือปญ ญา คือจะพัฒนาปญญาใหแ จมชดั บรสิ ุทธ์ิ ตรงตามจริง เปน ประโยชน และเกือ้ หนุนชวี ติ ใหงอกงามไปในมรรคย่งิ ขึน้ สภาพจิตหรือคณุ สมบัตฝิ ายจิตท่มี าประกอบองคม รรค ขอ น้ี จะตอ งเอื้อตอ การทาํ งานและการพฒั นาของปญ ญา ใหไดผลอยา งที่กลา วนน้ั พระพทุ ธเจา จงึ ทรงแสดง ความหมายขององคมรรคขอนี้ไวในรปู เปน คําปฏเิ สธ ซึง่ ไดทั้งความกวางขวาง และความโปรงโลง บริสทุ ธ์ิ สมั มาสงั กปั ปะมุงใหมีภาวะจิตท่ีปลอดโปรงเปนอิสระ เพ่ือใหความคดิ เดินตามแนวความเปนจริงได คลองตัว ไมเอนเอยี ง ยดึ ตดิ หรือปด เหไปขา งใดขา งหน่งึ เพ่อื จะไดความรูท ่ีถกู ตองตามความเปน จรงิ ไมบิด เบือน การใชค ําปฏิเสธจงึ เหมาะสมที่สุดแลว ดวยเหตนุ ี้ สัมมาสงั กปั ปะ ท่ีทรงแสดงความหมายโดยแยกเปน เนกขัมมสังกัปป (ความดาํ ริปลอดกาม/ โลภะ) อพยาบาทสังกปั ป (ความดํารปิ ลอดพยาบาท) และ อวิหงิ สาสังกัปป (ความดํารปิ ลอดวิหงิ สา) จงึ ไดท ัง้ ความดี ความกวางครอบคลมุ และความบริสุทธ์ิ คือ ก) ในแงความดี (จาํ เพาะ) คือ ดาํ รหิ รือคิดแตการที่จะเอื้อเฟอ เผอื่ แผเสยี สละ การทีจ่ ะรกั ใครไมตรมี ี เมตตา และการทจ่ี ะมกี รณุ าชวยเหลอื ผอู น่ื ใหพ นความทกุ ขย าก ข) ในแงค วามจริง (ไมมีขอบเขต) คือ จะดาํ ริ คิดการ หรอื พิจารณาอะไรอยางไรก็ได แตต อ งไมมีความ เห็นแกตัว ความอยากไดก ามอามิส ความขดั เคอื งไมพ อใจ หรือการทจ่ี ะรงั แกกล่นั แกลง ขมเหงใครๆ เขา มา ปะปน แอบแฝง ชักจูงไป หรอื ทาํ ใหเอนเอียง ธรรมท่เี ปนองคของมรรค ตองมีความเปนจริงของธรรมชาติ ทีจ่ ะบูรณาการเขาไปในระบบการดําเนิน ชวี ติ ไดอ ยางนี้ พรอ มกนั น้ันกเ็ ปน หลักการใหญ ที่ขยายขอบเขตออกไปไดไมส้ินสุด รวมทง้ั ปฏิบตั ิไดท กุ สถาน การณไมใ ชธรรมหรอื ขอปฏบิ ัตจิ าํ เพาะเรื่อง ดังเชนสงั คหวัตถุ จะเห็นวา ถาเปนหลกั ธรรมท่ตี รัสทั่วๆ ไป หรือสําหรบั ใชประโยชนเ ฉพาะเรอ่ื งเฉพาะกรณี ก็จะมี ลักษณะหนุนยํา้ (positive) และกระฉบั กระเฉง (active) เชน สังคหวัตถุ ๔ (หลกั การสงเคราะห หรอื สราง สามัคคี ๔ อยา ง คือ ทาน-ใหปน ปยวาจา-พดู จานารกั อัตถจริยา-บําเพ็ญประโยชน สมานัตตตา-เอาตัวเขา สมาน รวมสขุ รวมทกุ ข) แมแต สมั มาวาจา ซงึ่ เมอ่ื แสดงความหมายแบบในองคม รรค วาไดแก เวนจากพดู เท็จ เวนจากพูดคํา หยาบ เวนจากพูดสอ เสียด เวน จากพูดเพอ เจอแตเม่อื นาํ ไปตรัสในชอ่ื วา วจีสจุ รติ ๔ กท็ รงเปลี่ยนเปนคาํ ฝายดีที่ ตรงขา ม ดงั พุทธพจนว า
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 178 ภกิ ษุทัง้ หลาย วจีสุจรติ ๔ ประการนี้ ๔ ประการเปน ไฉน คือ พูดจรงิ (สจจฺ วาจา) ๑ พดู ไมส อ เสียด (อปส ุณวาจา) ๑ พูดออนหวาน (สณหฺ วาจา) ๑ พูดดว ยปญญา (มนตฺ าภาสา=พดู ดว ยความรูค ดิ ) ๑ ภิกษทุ ั้ง หลาย วจีสุจรติ ๔ ประการดังนีแ้ ล ท่กี ลาวมาน้เี ปนเหตผุ ลหลกั นอกจากน้เี ปนเหตผุ ลประกอบ ๒. โดยความกวา งขวางครอบคลมุ ซ่ึงเปนเหตุผลทางหลักภาษาที่มาหนนุ เหตุผลในขอกอ น คําบาลีทม่ี ี “อ” ปฏิเสธนําหนา ในหลายกรณี มไิ ดหมายความเพียงไมใ ชส่ิงน้นั แตหมายถึงสงิ่ ทีต่ รงขาม เชน คําวา อกศุ ล มิไดห มายถึงมใิ ชกุศล (ซึง่ อาจเปน อัพยากฤต คอื เปน กลางๆ ไมใ ชทงั้ ฝายดฝี ายชั่ว) แตหมาย ถึง ความช่ัวท่ตี รงขา มกับกศุ ลทเี ดยี ว คาํ วา อมติ ร มิไดหมายถึงคนทเี่ ปน กลางๆ ไมใชม ติ ร แตหมายถึงศตั รทู ี เดียว ดงั นีเ้ ปน ตน ยง่ิ กวา น้ัน อาจหมายครอบคลุมหมด ทง้ั ส่ิงทต่ี รงขามกบั ส่งิ น้นั และสิ่งใดกต็ ามทีม่ ใิ ชและไมม สี ง่ิ น้นั ในสัมมาสังกปั ปะนี้ “อ” มีความหมายปฏิเสธแบบครอบคลมุ คอื ทั้งที่ตรงขา มและทไ่ี มมี เชน อพยา บาทสังกัปป ก) หมายถงึ ความดําริกอปรดวยเมตตา ที่ตรงขามกับพยาบาทดวย ข) หมายถึงความดาํ รทิ ี่บรสิ ทุ ธ์ิ ปลอดโปรง ปราศจากพยาบาท เปน กลางๆ ดว ย ๓. โดยความเด็ดขาดสน้ิ เชิง การใชคาํ ท่มี ี “อ” ปฏเิ สธนี้ นอกจากมีความหมายกวา งแลว ยงั มคี วาม หมายหนกั แนนเดด็ ขาดย่ิงกวา คาํ ตรงขามเสยี อกี เพราะการใชค าํ ปฏเิ สธในท่นี ี้ มุงเจาะจงปฏเิ สธสิง่ นั้นไมใหมี โดยส้ินเชิง คอื ไมใ หมเี ช้อื หรือรอ งรอยเหลอื อยู เชน อพยาบาทสังกัปป ในท่นี ้ีหมายถึงความดาํ รทิ ่ีไมม พี ยาบาท หรอื ความคดิ รา ยแงใดสวนใดเหลอื อยูใ นใจเลยเปน เมตตาโดยสมบูรณ ไมม ขี อบเขตจาํ กดั เปนการเนนข้ันถงึ ที่ สุด ไมเหมือนคาํ สอนบางลทั ธทิ ีส่ อนใหม เี มตตากรณุ า แตเ ปนเมตตากรณุ าตามคําจาํ กัดของผูส่ังสอน มิใชต าม สภาวะของธรรม จึงมขี อบเขตตามบญั ญัตสิ าํ หรับใชแ กกลมุ หรือหมูชนพวกหนง่ึ หรอื สัตวโลกชนิดหรอื ประเภท ใดประเภทหนึ่ง แลว แตต กลงกาํ หนดเอาศึกษาธรรมคอื เขาใจธรรมชาติ ตอ งมองความหมายโดยไมประมาท มีขอควรสงั เกตเกี่ยวกับความสัมพนั ธร ะหวา งสมั มาทฏิ ฐิ กับสัมมาสังกปั ปะอกี อยา งหนงึ่ คอื เม่อื เทียบ กับกิเลสหลกั ท่เี รยี กวา อกุศลมลู ๓ อยา ง คอื โลภะ โทสะ และโมหะ แลว จะเหน็ วา สมั มาทฏิ ฐิ เปน ตัวกําจัด กเิ ลสตนตอที่สุด คือโมหะ สวน สมั มาสงั กัปปะ กําจดั กเิ ลสท่รี องหรอื ตอ เน่อื งออกมา คือ เนกขัมมสังกปั ป กําจัดราคะ หรอื โลภะ และอพยาบาทสังกปั ป กบั อวหิ งิ สาสงั กัปป กําจดั โทสะ จึงเปนความตอเนอื่ งประสาน กลมกลนื กนั ทุกดา น อยางไรก็ดี การกาวหนา มาในองคม รรคเพยี ง ๒ ขอ เทานน้ั ยงั นับวา เปน ข้นั ตนอยู การเจรญิ ปญ ญายงั ไมถ งึ ขัน้ สมบรู ณเ ต็มทตี่ ามจดุ หมาย และแมก ารปฏิบตั ธิ รรมแตล ะขอ กม็ ใิ ชจ ะสมบูรณต ามขอบเขตความหมาย ของธรรมขอน้นั ๆ ทันที แตต อ งคล่ีคลายเจริญขน้ึ ตามลําดับ
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 179 ดังนน้ั ในท่ีนจ้ี งึ ควรทาํ ความเขา ใจวา ในสมั มาสังกปั ปะ ๓ ขอนน้ั เนกขัมมสงั กปั ป บางทีก็หมายเอา เพียงขน้ั หยาบแบบสญั ลักษณ คอื การคิดออกบวช หรอื ปลกี ตวั ออกไปจากความเปน อยขู องผูครองเรอื น อพยา บาทสงั กัปป กม็ ุง เอาการเจริญเมตตาเปน หลกั และอวหิ ิงสาสังกัปป กม็ งุ เอาการเจรญิ กรุณาเปนสําคญั ปญ ญาท่เี จริญในข้ันน้ี แมจะเปนสัมมาทฏิ ฐิ มองเหน็ ตามความเปน จริง แตกย็ ังไมบรสิ ทุ ธเ์ิ ปนอสิ ระรู แจงเห็นจริงเต็มท่ี จนกวาจะถงึ ขัน้ มีอุเบกขา ทีจ่ ิตลงตัวไดท่ี มีความเปน กลางอยางแทจ รงิ ซ่ึงตองอาศัยการ พฒั นาจติ ใจตามหลักสมาธิดวย ธรรมท้งั หลายนัน้ เปน สภาวะของธรรมดา พูดงายๆ วา เปนธรรมชาตกิ ารทีจ่ ะเขาใจความหมายของมนั ไดถกู ตองชัดเจนและครบถว น มิใชเพียงแคมาบอกมาจาํ กันไป แตจะตองรจู ักมันตามท่ีมอี ยเู ปนไปโดยสมั พนั ธ กันกับธรรมหรอื สภาวะอื่นๆ ทั้งหลายในชวี ติ จิตใจท่ีเปน อยจู รงิ และขยายคลคี่ ลายไปกบั การพฒั นาของชีวติ จิต ใจนน้ั จงึ เปนเร่ืองท่ีควรศึกษาโดยไมประมาท แมแตเมตตา ซง่ึ เปนคณุ ธรรมท่ีเริม่ เจรญิ ไดตงั้ แตร ะยะตน ๆ ของการปฏบิ ัตธิ รรม ก็มิใชขอ ธรรมทง่ี า ยนกั อยางทมี่ กั เขาใจกันอยา งผวิ เผนิ เพราะเมตตาอยางท่พี ูดถงึ กันงายๆ ท่ัวๆ ไปนัน้ หายากนกั ทจี่ ะเปน เมตตาแท จรงิ ดงั นน้ั เพ่ือชวยปองกันความเขาใจผดิ ทเ่ี ปนผลเสียหายตอ การปฏิบัตธิ รรม ในขั้นตน นี้ ควรทราบหลกั เบ้ือง ตน บางอยา งไวเ ล็กนอ ยกอ น เมตตา หมายถงึ ไมตรี ความรกั ความหวังดี ความปรารถนาดคี วามเขา ใจดีตอ กนั ความเอาใจใส ใฝใจ หรือตองการ ทจ่ี ะสรา งเสริมประโยชนสขุ ใหแ กเ พ่อื นมนษุ ยแ ละสตั วท ง้ั หลาย วาโดยสาระ เมตตา คือ ความ อยากใหผูอ ืน่ เปนสขุ และอยากทําใหเ ขาเปนสุข เมตตาเปนธรรมกลางๆ กลางทัง้ ในแงผูควรมเี มตตา และในแงผ ูควรไดร บั เมตตา ทกุ คนจงึ ควรมีตอ กนั ท้งั ผูนอยตอผใู หญ และผูใหญต อ ผูนอ ย คนจนตอ คนมี และคนมีตอ คนจน ยาจกตอ เศรษฐี และเศรษฐีตอยาจก คนฐานะต่าํ ตอ คนฐานะสงู และคนฐานะสูงตอคนฐานะต่ํา คฤหสั ถตอ พระสงฆ และพระสงฆตอคฤหสั ถ เมตตาเปน ธรรมพ้ืนฐานของใจขัน้ แรก ในการสรา งความสัมพันธระหวา งบคุ คล ซึง่ ทําใหม องกนั ในแงดี และหวงั ดีตอกัน พรอมท่จี ะรับฟง และพูดจาเหตุผลของกันและกัน ไมยดึ เอาความเห็นแกต วั หรอื ความเกลยี ด ชงั เปน ท่ตี ั้ง การทก่ี ลาววา เมตตา (รวมท้งั พรหมวิหารขออื่นๆ ดว ย) เปนธรรมของผใู หญนน้ั อันที่จริงความเดมิ เปน “ธรรมของทานผูเ ปนใหญ” คือแปลคาํ วา “พรหม” ในพรหมวิหารวา “ทานผเู ปนใหญ” “พรหม” คอื ทา น(เทพ)ผูเ ปน ใหญ ของศาสนาพราหมณน ี้ เม่ือนํามาใชในพระพทุ ธศาสนา หมายถงึ “ผู ประเสริฐ” คือ ผมู ีจิตใจกวางขวางยิ่งใหญห รือยิง่ ใหญด ว ยคุณธรรมความดีงาม มใิ ชหมายถึงผใู หญเพียงใน ความหมายอยางทเ่ี ขา ใจกนั สามญั ทกุ คนควรมีพรหมวหิ าร ทกุ คนควรมีจิตใจกวา งขวางย่งิ ใหญ ไมเฉพาะผใู หญเทานั้น แตใ นเมอื่ ปจ จุบนั เขาใจกนั แพรห ลายทวั่ ไปเสยี แลว วา พรหมวหิ ารมีเมตตาเปนตน เปน ธรรมของผูใหญ ก็ควรทําความเขาใจในแง
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 180 ที่วา ความหมายเชน น้ันมุงเอาความรบั ผิดชอบเปนสาํ คัญ คอื เนน วา ในเมือ่ ทุกคนควรบาํ เพญ็ พรหมวิหาร ผู ใหญ ในฐานะที่เปน ตัวอยา งและเปน ผูน ํา กค็ วรอยางย่งิ ท่ีจะตอ งปฏิบตั ิใหไ ดกอน ถา ไมร ีบทาํ ความเขาใจกนั อยางน้ี ปลอยใหยดึ ถอื ปกใจกนั วา เมตตา กด็ ี พรหมวิหารขออ่นื ๆ กด็ ี เปน ธรรมของผูใหญ ก็จะกลายเปน ความเขาใจท่เี คล่อื นคลาดไขวเ ขว การตีความและทัศนคติของคนทัว่ ไปตอธรรม ขอ น้กี ็จะคบั แคบและผดิ พลาดไปหมด ขอ ควรสังเกตสําคญั อกี อยางหนง่ึ ของเมตตา กค็ อื สมบัติ และวิบตั ขิ องเมตตา สมบตั ิ ไดแ ก ความ สมบรู ณห รอื ผลสําเรจ็ ท่ีตอ งการของเมตตา วิบัติ ไดแ ก ความลม เหลว ความไมสําเรจ็ การปฏบิ ตั ทิ ี่คลาดเคลอ่ื น ผดิ พลาด เมอื่ วาตามหลัก สมบัติของเมตตา คอื ระงบั พยาบาทได (พฺยาปาทุปสโม เอตสิ สฺ า สมปฺ ตตฺ ิ) วิบตั ขิ องเมตตา คอื การ เกดิ สิเนหะ (สิเนหสมฺภโว วปิ ตฺติ)๑ ในแงส มบตั ไิ มม ขี อ สังเกตพิเศษ แตใ นแงวบิ ัติมีเรอื่ งทต่ี องสงั เกตอยา งสําคัญ สิเนหะ หมายถงึ เสนห า ความรักใครเย่ือใยเฉพาะบคุ คล ความพอใจโปรดปรานสวนตัว เชน ปตุ ตสเิ นหะ ความ รกั อยา งบุตร ภรยิ าสเิ นหะ ความรักใครฐานภรรยา เปน ตน สเิ นหะ เปน เหตใุ หเกดิ ความลาํ เอยี ง ทาํ ใหช วยเหลือ กนั ในทางทผ่ี ิดได อยา งท่ีเรยี กวา เกดิ ฉนั ทาคติ (ลําเอยี งเพราะรัก หรือเพราะชอบกนั ) ที่ไดยนิ พูดกนั วา “ทา น เมตตาฉนั เปน พเิ ศษ” “นายเมตตาเขามาก” เปน ตน นัน้ เปน เร่อื งของสเิ นหะ ซ่ึงเปนความวบิ ัตขิ องเมตตามาก กวา หาใชเมตตาไม สวนเมตตาทีแ่ ทจริงนน้ั เปนคณุ สมบัติทช่ี วยรกั ษาความเที่ยงธรรม เพราะเปน ธรรมกลางๆ ปรารถนาดีตอทกุ คนสมาํ่ เสมอกัน มใิ ชเ ปน ความรักใครผ กู พนั สว นตวั แตทําใหม ีภาวะจิตที่ปราศจากความเห็น แกตวั ทจี่ ะเอนเอียงเขา ขาง และไมม ีความเกลยี ดชังคดิ รายมงุ ทาํ ลาย มีไมตรี จึงพจิ ารณาตัดสนิ และกระทําสิง่ ตางๆ ไปตามเหตผุ ล มุงประโยชนสุขท่ีแทจ ริงแกคนท้ังหลายทว่ั ไป มใิ ชม ุง สง่ิ ท่ีเขาหรอื ตนชอบหรอื อยากได อยากเปน เมตตาทแ่ี ทจรงิ จะเปนไปในแบบทวี่ า พระผูมพี ระภาคนั้น ทรงมีพระทัยเสมอกนั ท้งั ตอ นายขมงั ธนู (ที่รับจา งมาลอบสงั หารพระองค) ตอพระ เทวทัต ตอโจรองคุลมิ าล ตอ ชางธนบาล (ที่พระเทวทตั ปลอยมาเพือ่ ฆา พระองค) และตอ พระราหุล ทว่ั ทกุ คน ประโยชนข องเมตตาจะเห็นได เชนในกรณขี องการถกเถยี ง ขัดแยง ในทางเหตุผล และการโตว าทะ ทํา ใหตางฝา ยยอมพจิ ารณาเหตุผลของกนั และกนั ชว ยใหค โู ตบ รรลุถงึ เหตุผลที่ถกู ตองได เชน เม่ือนิครนถผ หู นง่ึ มา เฝาสนทนาใชค ําพดู รนุ แรงตําหนิพระพุทธเจา พระองคท รงสนทนาโตต อบตามเหตุผล จนในท่ีสดุ นคิ รนถน้ัน กลา ววา เมือ่ เปน เชนนี้ ขาพเจาก็เลอื่ มใสตอ ทา นพระโคดมผเู จริญ เปนความจริง ทานพระโคดมเปนผอู บรมแลว ทั้งกาย อบรมแลวทง้ั จติ ” “นา อศั จรรย ไมเคยมีเลย ทา นพระโคดมถกู ขา พเจา พดู กระทบกระแทก แตง คํามาไลเรียงตอ นเอาถึง อยางนี้ กย็ งั มีผวิ พรรณสดใส มีสีหนาเปลงปลั่งอยไู ด สมเปนพระอรหนั ตสัมมาสัมพุทธเจาแกไ ขความคดิ ที่ไม
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 181 ดี ดวยวธิ แี หง ปญญาในกรณีท่ีมีมจิ ฉาสงั กัปปะเกดิ ขึน้ เมื่อจะแกไ ข กไ็ มควรใชวธิ ีดงึ ดนั กลัดกลมุ หรอื ฟงุ ซาน ตอไปอยางไรจุดหมาย แตค วรใชว ิธีการแหงปญ ญา โดยใชโยนิโสมนสิการ คอื มองดูมนั เรียนรจู ากมัน คดิ สบื สาวหาเหตุ และพิจารณาใหเห็นคณุ โทษของมนั เชน พุทธพจนทวี่ า ภกิ ษุทัง้ หลาย กอนสมั โพธิกาล เมอ่ื เราเปนโพธิสตั ว ยังมไิ ดตรัสรู ไดมีความคิดเกดิ ขึ้นวา : ถา กระไร เราพงึ แยกความดําริออกเปน ๒ ฝาย ดังนีแ้ ลว จงึ ไดแยกกามวติ ก พยาบาทวิตก และวหิ ิงสาวิตก ออกเปนฝา ยหน่ึง และแยกเนกขมั มวิตก อพยาบาท วิตก และอวหิ ิงสาวิตก ออกเปนอกี ฝายหนงึ่ เมอื่ เราไมป ระมาท มีความเพยี ร มงุ มนั่ อยนู น่ั เอง เกดิ มีกามวิตกขนึ้ เราก็รชู ัดวา กามวติ กข้ึนแลว แกเ รา กแ็ หละ กามวิตกน้ี ยอ มเปน ไปเพอ่ื เบยี ดเบียนตนเองบา ง เปนไปเพ่ือเบียดเบียนผอู ่ืนบา ง เปน ไปเพอ่ื เบียดเบียน ท้ังตนเองและผอู นื่ สองฝา ยบาง ทําใหปญ ญาดับ จดั เปน พวกสิ่งบบี คั้น ไมเปน ไปเพอ่ื นิพพาน เมอ่ื เราพจิ ารณาเห็นวา มนั เปนไปเพื่อเบียดเบยี นตน ก็ดี กามวติ กนนั้ กส็ ลายหายไป เมอื่ เราพจิ ารณา เหน็ วา มนั เปน ไปเพอ่ื เบยี ดเบยี นผอู ่ืนกด็ ี....วามนั เปนไปเพ่อื เบยี ดเบียนทง้ั ตนเอง และผอู ่ืน ทัง้ สองฝา ยกด็ ี วา มนั ทําใหปญ ญาดบั จดั เปนพวกสิง่ บบี ค้นั ไมเ ปนไปเพื่อนพิ พานก็ดี กามวิตกน้ันกส็ ลายหายไป เราจึงละ จงึ บรรเทากามวติ ก ท่ีเกิดข้ึนมาๆ ทําใหหมดสิ้นไปไดท งั้ นั้นเมอ่ื เราไมประมาท...เกิดมพี ยาบาทวติ กขน้ึ ...เกดิ มี วิหิงสาวติ กขน้ึ เรากร็ ชู ดั (ดังกลาวมาแลว ) จึงละ...จึงบรรเทาพยาบาทวติ ก...วหิ ิงสาวติ กที่เกิดข้ึนมาๆ ทําให หมดสนิ้ ไปไดท ้ังนน้ั ภกิ ษยุ ิง่ ตรึก ยงิ่ คิดคํานงึ ถึงความดาํ ริใดๆ มาก ใจของเธอกย็ ่ิงนอ มไปทางความดํารนิ น้ั ๆ ถา ภกิ ษยุ ิ่งตรึก ยง่ิ คิดคาํ นงึ ถึงกามวติ กมาก เธอก็ละท้ิงเนกขมั มวติ กเสยี ทาํ แตก ามวิตกใหมาก จติ ของเธอน้นั ก็ นอมไปทางกามวิตก...ฯลฯ...ถาภกิ ษยุ ง่ิ ตรกึ ย่ิงคิดคาํ นงึ ถึงเนกขมั มวติ กมาก เธอก็ละท้งิ กามวิตกเสยี ทาํ แต เนกขัมมวิตกใหมาก จติ ของเธอนนั้ กน็ อ มไปทางเนกขมั มวติ ก... พงึ ระลึกทบทวนวา สัมมาทิฏฐิ และสมั มาสงั กปั ปะ ท่ไี ดบรรยายมานเ้ี ปนองคม รรคทั้ง ๒ ในหมวด ปญ ญา การปฏิบัติธรรมในชวงขององคม รรค ๒ ขอตนน้ี สรุปไดด ว ยพทุ ธพจนวา ภกิ ษทุ ง้ั หลาย ภกิ ษผุ ูประกอบดว ยธรรม ๔ อยาง ชอื่ วา เปนผูดาํ เนินปฏปิ ทาอันไมผิดพลาด และเปน อันไดเ ร่มิ กอ ตนกําเนดิ ของความสนิ้ อาสวะแลว ธรรม ๔ อยางนั้น คือ เนกขมั มวิตก อพยาบาทวติ ก อวิหิงสา วติ ก สัมมาทิฏฐิ ๓. สัมมาวาจา ๔. สัมมากมั มนั ตะ ๕. สัมมาอาชีวะ คําจํากดั ความ และความหมายพนื้ ฐาน องคม รรค ๓ ขอนี้ เปนขัน้ ศลี ดวยกนั จงึ รวมมากลาวไวพ รอมกัน เมือ่ พิจารณาความหมายตามหลัก ฐานในคมั ภีร ปรากฏคาํ จํากดั ความดังนี้
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 182 ๑. ภกิ ษทุ ้ังหลาย สมั มาวาจา เปน ไฉน? นี้เรยี กวาสมั มาวาจา คอื ๑) มสุ าวาทา เวรมณี เจตนางดเวน จากการพูดเท็จ ๒) ปส ณุ าย วาจาย เวรมณี ” วาจาสอ เสยี ด ๓) ผรสุ าย วาจาย เวรมณี ” วาจาหยาบคาย ๔) สมฺผปฺปลาปา เวรมณี ” การพดู เพอ เจอ ๒. ภิกษทุ ้ังหลาย สมั มากัมมนั ตะ เปน ไฉน? นเี้ รียกวา สัมมากมั มันตะ คือ ๑) ปาณาตปิ าตา เวรมณี เจตนางดเวน จากการตัดรอนชีวติ ๒) อทนิ นฺ าทานา เวรมณี ” การถอื เอาของทีเ่ ขามไิ ดใ ห ๓) กาเมสุมิจฺฉาจารา เวรมณี ” การประพฤติผดิ ในกามท้งั หลาย” ๓. ภกิ ษทุ งั้ หลาย สัมมาอาชีวะ เปน ไฉน? นเ้ี รยี กวา สมั มาอาชีวะ คอื อรยิ สาวกละมิจฉาอาชวี ะ เสยี หา เลีย้ งชพี ดว ยสมั มาอาชีวะ นอกจากนี้ ยงั มคี ําจาํ กดั ความแบบแยกเปน ระดบั โลกิยะ และ ระดบั โลกุตตระ อกี ดว ย เฉพาะระดบั โลกิยะ มคี ําจํากดั ความอยา งเดียวกบั ขางตน สวนระดบั โลกตุ ตระ มคี วามหมายดังนี้ ๑. สมั มาวาจา ที่เปน โลกตุ ตระ ไดแ ก ความงด ความเวน ความเวน ขาด เจตนางดเวน จากวจี ทุจรติ ทง้ั ๔ ของทานผมู จี ิตเปนอริยะ มจี ติ ไรอ าสวะ ผูพ รอมดวยอริยมรรค กําลังเจรญิ อริยมรรคอยู ๒. สมั มากัมมันตะ ทเี่ ปนโลกุตตระ ไดแก ความงด ความเวน ความเวนขาด เจตนางดเวน จาก กายทุจรติ ท้งั ๓ ของทานผมู ีจติ เปน อรยิ ะ... ๓. สมั มาอาชีวะ ท่ีเปน โลกุตตระ ไดแ ก ความงด ความเวน ความเวนขาด เจตนางดเวนจากมจิ ฉา อาชีวะของทา นผูมีจิตเปน อรยิ ะ... ความหมายแบบขยาย ในคาํ สอนทว่ั ไป จากความหมายหลักอนั เปนประดจุ แกนกลาง ของระบบการฝก อบรมข้ันศลี ธรรมทเี่ รียกวาอธิศลี สิกขา นี้ พุทธธรรมก็กระจายคําสอนออกไป เปน ขอปฏิบัติและหลกั ความประพฤติตางๆ ในสวนรายละเอยี ด หรอื ในรปู ประยกุ ตอ ยางกวา งขวางพสิ ดาร เพือ่ ใหบ ังเกดิ ผลในทางปฏิบัติทง้ั แกบคุ คลและสงั คม เริม่ แตห ลกั แสดงแนว ทางความประพฤตทิ ต่ี รงกนั กบั ในองคม รรคนเี้ อง ซงึ่ เรยี กวา กรรมบถ และหลักความประพฤติอันเปน มนุษยธรรม ท่ีเรยี กวา เบญจศลี เปนตน อยา งไรกด็ ี คาํ สอนในรูปประยกุ ต ยอมกระจายออกไปเปนรายละเอียดอยางไมมที ส่ี น้ิ สุด เพือ่ ใหเ หมาะ สมกบั บุคคล กาละ เทศะ และส่ิงแวดลอ มอนื่ ๆ ในการสอนคร้ังน้นั ๆ ในท่นี ้ี มใิ ชโ อกาสทมี่ งุ เพ่ืออธบิ ายคาํ สอน เหลา น้นั จงึ ไมอยูในฐานะท่จี ะรวบรวมรายละเอยี ดมาแสดง ยงิ่ พุทธธรรมเปนคาํ สอนท่มี ีระบบแนนอนอยูแลว การแสดงแตเ พยี งหลกั ศนู ยกลางใหเกิดความเขา ใจแบบรวบยอด กเ็ ปน การเพยี งพอ สวนคําสอนในรูปประยุกต
พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 183 ตา งๆ ก็ปลอยใหเปน ส่งิ สาํ หรบั ผูตอ งการขอ ธรรมทเ่ี หมาะสมกบั อธั ยาศยั ระดับการครองชพี และความประสงค ของตน จะพงึ แสวงตอ ไปเมอ่ื กลา วโดยสรุปสาํ หรับคาํ สอนในรปู ประยุกต ถามใิ ชประยุกตในสว นรายละเอยี ดให เหมาะกบั บคุ คล กาลเวลา สถานที่ และโอกาสจําเพาะกรณีแลว หลกั ใหญสําหรบั การประยกุ ตก ค็ อื สภาพหรอื ระดับการครองชีวิต โดยนยั น้ี จงึ มีศลี หรือขอบญั ญตั ิ ระบบความประพฤตติ า งๆ ท่ีแยกกนั ออกไปเปนศลี สาํ หรบั คฤหัสถ และศีลสาํ หรบั บรรพชิต เปน ตน ผศู กึ ษาเร่อื งศลี จะตอ งเขาใจหลักการ สาระสําคัญ และทีส่ าํ คัญยิ่งคอื วัตถปุ ระสงคของศลี เหลา น้นั ทัง้ ในสว นรายละเอียดทีต่ างกัน และสวนรวมสงู สุดท่เี ปนอนั หน่งึ อนั เดยี วกัน จึงจะชอ่ื วา มีความเขาใจถกู ตอ ง ไมง ม งาย ปฏบิ ัติธรรมไมผ ิดพลาด และไดผลจริงในท่นี ี้ จะแสดงตัวอยา งการกระจายความหมายขององคม รรคขน้ั ศลี เหลา น้ี ออกไปเปนหลกั ความประพฤติที่บังเกิดผลในทางปฏิบตั ิ หลกั ความประพฤติท่นี ํามาแสดงเปน ตวั อยา งนี้ เปน หลกั ท่กี ระจายความหมายออกไปโดยตรง มีหวั ขอ ตรงกับในองคมรรคทกุ ขอ เปน แตเรยี งลําดับฝา ยกายกรรม (ตรงกบั สัมมากัมมนั ตะ) กอ นฝายวจีกรรม (ตรงกบั สัมมาวาจา) และเรยี กช่ือวากุศลกรรมบถบาง สจุ รติ บาง ความสะอาดทางกาย วาจา (และใจ) บา ง สมบตั ิแหง กมั มนั ตะบาง ฯลฯ มเี รอ่ื งตัวอยางดังน้ี เมือ่ พระพทุ ธเจา ประทับ ณ เมืองปาวา ในปามะมว งของนายจนุ ทะกมั มารบตุ ร นายจนุ ทะมาเฝา ได สนทนาเร่ืองโสไจยกรรม (พิธีชําระตนใหบ ริสุทธิ์) นายจนุ ทะทลู วา เขานับถือบัญญตั พิ ธิ ีชาํ ระตวั ตามแบบของ พราหมณชาวปจฉาภูมิ ผูถือเตา นํา้ สวมพวงมาลยั สาหราย บชู าไฟ ถอื การลงน้ําเปนวตั ร บัญญตั ขิ องพราหมณ พวกน้ีมวี า แตเชา ตรทู ุกวนั เมอ่ื ลุกขนึ้ จากทนี่ อนจะตองเอามือลูบแผน ดิน ถา ไมล บู แผน ดิน ตอ งลูบมูลโคสด หรอื ลบู หญาเขียว หรือบําเรอไฟ หรอื ยกมือไหวพ ระอาทติ ย หรอื มิฉะนนั้ ก็ตองลงนํ้าใหค รบ ๓ ครั้ง ในตอนเยน็ อยา งใดอยา งหน่งึ พระพทุ ธเจาตรัสวา บญั ญัติเร่อื งการชําระตัวใหส ะอาดของพวกพราหมณน ้ี เปนอยางหนงึ่ สวนการ ชาํ ระตัวใหสะอาดในอริยวนิ ัยเปน อกี อยางหนงึ่ หาเหมือนกนั ไม แลวตรสั วา คนท่ีประกอบ อกุศลกรรมบถ ๑๐ (ปาณาติบาต อทนิ นาทาน ฯลฯ ทตี่ รงขามกับ กุศลกรรมบถ ๑๐) ชอ่ื วา มีความไมส ะอาด ท้งั ทางกาย ทางวาจา ทางใจ คนเชนนี้ ลุกข้ึนเชา จะลูบแผนดิน หรอื จะไมลบู จะลบู โคมยั หรอื จะไมล ูบ จะบูชาไฟ จะไหวพระอาทิตย หรือไมท าํ กไ็ มสะอาดอยูนน่ั เอง เพราะอกศุ ลกรรมบถเปน สง่ิ ท่ี ท้งั ไมสะอาด ท้ังเปนตวั การทาํ ใหไ มสะอาด แลว ตรสั กุศลกรรมบถ ๑๐ ทเี่ ปนเครือ่ งชาํ ระตัวใหส ะอาด คือ ก. เครือ่ งชาํ ระตัวทางกาย ๓ ไดแ ก การท่ีบคุ คลบางคน ๑. ละปาณาติบาต เวน ขาดจากการตดั รอนชีวิต วางทัณฑะ วางศสั ตรา มคี วามละอายใจ กอปรดวย เมตตา ใฝใ จชว ยเหลอื เกอื้ กลู แกป วงสัตวโ ลก
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 184 ๒. ละอทินนาทาน เวน ขาดจากการถอื เอาสง่ิ ที่เขามไิ ดให ไมยดึ ถือทรพั ยสินอุปกรณอยางใดๆ ของผอู น่ื ไมวาจะเปน ของทอ่ี ยใู นบา น หรือในปา ซ่ึงเขามไิ ดให อยางเปนขโมย ๓. ละกาเมสมุ ิจฉาจาร เวน ขาดจากการประพฤติผดิ ในกามทั้งหลายไมล ว งละเมดิ ในสตรี เชน อยางผูที่ มารดารกั ษา ผูทบ่ี ิดารกั ษา ผทู พ่ี นี่ องชายรักษา ผทู พี่ ีน่ องหญงิ รกั ษา ผูท ญี่ าตริ กั ษาผทู ีธ่ รรมรักษา(เชน กฎหมาย คมุ ครอง) หญงิ มีสามี หญิงหวงหาม โดยทีส่ ุดแมหญงิ ทีห่ มนั้ แลว ข. เคร่ืองชําระตัวทางวาจา ๔ ไดแก การท่ีบุคคลบางคน ๑. ละมุสาวาท เวน ขาดจากการพูดเทจ็ เมือ่ อยใู นสภาก็ดี อยูใ นทป่ี ระชมุ กด็ ี อยทู า มกลางญาติกด็ ี อยู ทามกลางชมุ นมุ กด็ ี อยูท า มกลางราชสกลุ กด็ ี ถูกเขาอางตวั ซักถามเปน พยานวา เชญิ เถิดทาน ทานรูส่งิ ใดจงพดู สงิ่ นน้ั เมอ่ื ไมรู เขาก็กลา ววา ไมร ู เมือ่ ไมเหน็ กก็ ลาววา ไมเ ห็น เมอ่ื รู กก็ ลา ววา รู เมอ่ื เห็นกก็ ลาววา เหน็ ไมเ ปน ผกู ลา วเท็จทั้งท่รี ู ไมวา เพราะเหตแุ หง ตนเอง หรอื เพราะเหตุแหง คนอนื่ หรอื เพราะเหตเุ ห็นแกอ ามิสใดๆ ๒. ละปส ณุ าวาจา เวน ขาดจากวาจาสอเสียด ไมเปนคนที่ฟงความขางนี้ แลว เอาไปบอกขา งโนน เพือ่ ทาํ ลายคนฝายนี้ หรอื ฟง ความขางโนน แลว เอามาบอกขา งน้ี เพอื่ ทําลายคนฝา ยโนน เปนผูสมานคนทีแ่ ตกรา ว กัน สง เสริมคนท่ีสมคั รสมานกัน ชอบสามัคคี ยนิ ดใี นสามัคคี พอใจในความสามัคคี ชอบกลาวถอยคําท่ีทําให คนสามคั คีกัน ๓. ละผรุสวาจา เวนขาดจากวาจาหยาบ กลา วแตถอยคาํ ชนิดท่ีไมมโี ทษ รืน่ หู นารัก จบั ใจ สภุ าพ เปน ท่พี อใจของพหูชน เปนทีช่ น่ื ชมของพหชู น ๔. ละสัมผปั ปลาปะ เวน ขาดจากการพูดเพอเจอ พูดถกู กาล พูดคาํ จรงิ พูดเปน อรรถ พดู เปนธรรม พูด เปน วินัย กลาววาจาเปน หลักฐาน มที อี่ างองิ มกี าํ หนดขอบเขต ประกอบดว ยประโยชน โดยกาลอันควร ค. เคร่ืองชาํ ระตัวทางใจ ๓ ไดแ ก อนภชิ ฌา (ไมค ิดจองเอาของคนอนื่ ) อพยาบาท และสมั มาทิฏฐิ เฉพาะ ๓ ขอ น้ี เปนความหมายที่ขยายจากองคม รรค ๒ ขอแรก คือ สมั มาทฏิ ฐิ และสัมมาสงั กัปปะ จงึ ไมค ัดมา ไวใ นที่นี้ บุคคลผปู ระกอบดว ยกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ประการน้ี ถึงตอนเชา ตรลู กุ ข้นึ จากทนี่ อน จะมาลูบแผนดนิ ก็ เปนผูสะอาดอยูน ัน่ เอง ถึงจะไมลบู แผน ดนิ ก็เปน ผูสะอาดอยนู ั่นเอง ฯลฯ ถึงจะยกมอื ไหวพระอาทิตย ก็เปน ผู สะอาดอยนู ่นั เอง ถึงจะไมยกมือไหวพ ระอาทิตย ก็เปนผสู ะอาดอยูนน่ั เอง... เพราะวา กุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ น้ี เปน ของสะอาดเองดวย เปน ตวั การที่ทําใหส ะอาดดวย...” ที่วาความหมายซ่ึงขยายออกไปในรปู ประยกุ ต อาจแตกตา งกันตามความเหมาะสมกับกรณีน้นั ขอยก ตวั อยาง เชน เมอ่ื กลา วถงึ บคุ คลท่อี อกบวชแลว นอกจากศีลบางขอ จะเปลี่ยนไปและมีศลี เพม่ิ ใหมอ ีกแลว แม ศลี ขอ ที่คงเดมิ บางขอ ก็มีความหมายสว นทข่ี ยายออกไป ตา งจากเดมิ ขอใหสังเกตขอเวน อทินนาทาน และเวน มุสาวาทตอไปนี้ เทยี บกับความหมายในกศุ ลกรรมบถขา งตน
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 185 ละอทนิ นาทาน เวน ขาดจากการถือเอาส่งิ ของที่เขามไิ ดใ ห ถือเอาแตของทเี่ ขาให หวังแตข องท่ีเขาให มี ตนไมเปนขโมย เปนผสู ะอาดอยู ละมุสาวาท เวน ขาดจากการพูดเท็จ กลาวแตคาํ สัตย ธาํ รงสัจจะ ซอ่ื ตรง เชื่อถือได ไมลวงโลก มขี อสงั เกตสาํ คญั ในตอนน้อี ยางหนงึ่ คือ ความหมายทอ นขยายขององคมรรคขั้นศีลเหลา นีแ้ ตล ะขอ ตามปรกตจิ ะแยกไดเ ปนขอ ละ ๒ ตอน ตอนตนกลา วถึงการละเวน ไมทําความชัว่ ตอนหลังกลาวถึงการทาํ ความ ดีทต่ี รงขามกับความชัว่ ที่งดเวนแลว น้ัน พดู สัน้ ๆ วา ตอนตน ใชค ํานเิ สธ ตอนหลังใชค าํ แนะหนุน เรื่องนี้ เปน ลกั ษณะทว่ั ไปอยา งหนึ่ง ของคําสอนในพระพุทธศาสนา ทมี่ กั ใชค ําสอนควบคู ทงั้ คํานิเสธ (negative) และคํา แนะหนุน (positive) ไปพรอ มๆกัน ตามหลัก “เวน ชวั่ บําเพ็ญดี” เม่อื ถือการเวน ชั่วเปน จดุ เร่ิมตนแลว ก็ขยายความในภาคบาํ เพญ็ ดอี อกไดเรื่อยไป ซึง่ ไมจ ํากดั เฉพาะ เทาทขี่ ยายเปนตวั อยา งในองคม รรคเหลานเี้ ทา น้นั ตัวอยางเชน ขอเวนอทนิ นาทาน ในท่ีนย้ี ังไมไ ดขยายความในภาคบําเพญ็ ดีออกเปน รายละเอยี ดการ ปฏิบตั ทิ เี่ ดน ชดั แตก ไ็ ดมีคาํ สอนเรอื่ งทานเปนหลกั ธรรมใหญทสี่ ุดเร่ืองหน่งึ ในพระพทุ ธศาสนา ไวอ กี สว นหนงึ่ ตา งหากแลว ดงั นี้เปนตน ตะวนั ตกไมร จู ักจริยธรรมแบบธรรมชาติและเปน ระบบ เคยมีปราชญฝายตะวันตกบางทาน เขียนขอ ความทํานองตาํ หนพิ ระพุทธศาสนาไวว า มคี าํ สอนมงุ แตใ น ทางปฏเิ สธ (negative) คือสอนใหล ะเวนความชั่วอยา งน้นั อยางนฝ้ี า ยเดียวไมไดส อนยํา้ ชักจงู เรง รดั พทุ ธศาสนกิ ชนใหขวนขวายทําความดี (positive) ไมไ ดแ นะนําวาเมื่อเวน ชัว่ นั้นๆแลว จะพึงทําความดอี ยา งไรตอไป มีคาํ สอนเปนสกวสิ ัย (subjective) เปน ไดเ พยี ง จรยิ ธรรมแหง ความคดิ (an ethic of thoughts) เปนคาํ สอนแบบ ถอนตวั และเฉยเฉ่ือย (passive) ทาํ ใหพ ุทธศาสนกิ ชนพอใจแตเพียงแคง ดเวนทําความช่ัว คอยระวงั เพียงไมใ ห ตนตอ งเขา ไปเกี่ยวของพัวพันกับบาป ไมเ อาใจใสขวนขวายชวยเหลือเพอ่ื นมนุษย ดว ยการลงมือทาํ การปลด เปลื้องความทกุ ขและสรา งเสริมประโยชนส ขุ จรงิ จัง แมใ หเ มตตากรณุ า ก็เพยี งโดยตง้ั ความหวงั ความปรารถนา ดีแผอ อกดว ยใจอยา งเดยี ว เร่ืองนี้ โดยเฉพาะเหตผุ ลในการแสดงความหมายของหลักธรรมสําคัญดว ยคําหรอื ขอ ความเชิงปฏิเสธ ไดอ ธิบายแลวในตอนกอน ทีว่ าดว ยสมั มาสังกัปปะ (ดู หนา ๒๗๖–๒๘๑) แตย ังมขี อปลกี ยอ ยบางอยางทีค่ วร ทราบเพ่มิ เติมอกี ในแงทฝ่ี รง่ั เรียกวาจรยิ ธรรม (ethic) ซง่ึ เปน เร่ืองระดบั ศีล จึงพูดไว ณ ทนี่ ี้ นกั ปรัชญาและเทววิทยาผูมชี ื่อเสียงคนหน่งึ ท่ชี าวตะวันตกรจู ักกนั มากไดอ า งขอ ความจากพระไตรปฎ ก มาสนับสนุนทศั นะของตนท่ีวา คาํ สอนในพระพุทธศาสนาเปน เพียงขัน้ ปฏเิ สธ (negative) โดยยกคําจํากัด ความองคม รรคขอ สมั มากัมมันตะขา งตนกํากบั ไวในขอเขยี นของตน (วจนะที่อา งเปนของพระสารบี ตุ ร) วา
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 186 ทา นผูมอี ายทุ ง้ั หลาย สัมมากัมมันตะเปน ไฉน? การเวน ปาณาติบาต การเวน อทนิ นาทาน การเวน กาเมสุมจิ ฉาจาร นี้แล ทา นผูม ีอายทุ ้ังหลาย ชื่อวา สมั มากัมมันตะ สาํ หรบั ผศู ึกษาที่เขา ใจความหมายเชงิ ระบบของมรรค และทราบแนวทางทจี่ ะขยายความหมายในทาง ปฏิบตั ิขององคมรรคทัง้ หลาย ออกไปสธู รรมปลีกยอ ยตา งๆ ทเ่ี ปน ขอปฏบิ ัตเิ ฉพาะเร่อื งเฉพาะกรณีไดม ากมาย ตามท่ีชแ้ี จงมาแลว ยอ มเหน็ ไดท ันทีวา หากทานผเู ขยี นคาํ ตินีว้ จิ ารณไวดว ยเจตนาดี ขอ เขยี นของทา นนา จะตอ ง เกดิ จากการไดอา น หรือรบั ทราบพทุ ธธรรมมาแตเพียงขอ ปลกี ยอยตางสว นตางตอนไมต อเนอื่ งเปน สาย และ เกิดจากการไมเขาใจระบบแหงพทุ ธธรรมโดยสว นรวม จากความเปนระบบและการกระจายหมายในทางปฏิบัตนิ นั้ เห็นไดช ัดอยูแลว วา ระบบศีลธรรมของ มรรคไมมีลักษณะจํากดั ดว ยความเปน negative หรอื passive หรือ subjective หรอื เปน เพยี ง an ethic of thoughts การทีค่ าํ จาํ กดั ความขององคม รรคขน้ั ศลี ตอ งมีรปู ลกั ษณะเปน คําปฏเิ สธเชนน้ัน ขอกลา วถึงขอสังเกต และเหตุผลปลีกยอย เพิ่มเติมจากหลักใหญท พี่ ูดไปแลว ในตอนกอน คือ ๑. ศีลในฐานะท่เี ปน สว นหนึ่งของพทุ ธธรรม ยอมมใิ ชเ ทวโองการ ทกี่ าํ หนดใหศ าสนกิ ประพฤติ ปฏิบัติอยา งนนั้ บางอยางนี้บา ง สุดแตเทวประสงค ดวยอาศัยศรัทธาลอยๆ แบบภกั ดี ซง่ึ ไมจ ําเปนตอ งทราบเหตุ ผลเชอื่ มโยงตอ เน่ืองกนั แตศ ีล เปน สิ่งทกี่ ําหนดขึ้นตามหลกั เหตุผลของกฎธรรมชาติ ซงึ่ ผูปฏบิ ัตติ ามจะตองมอง เห็นความสมั พนั ธเ ช่อื มโยงกนั เปนระบบแมจะยงั ไมม ีปญ ญารูแ จมแจงชัดเจน มีเพยี งศรัทธา ศรัทธานั้นก็จะ ตองเปนอาการวตศี รัทธา ซึง่ อยา งนอยจะตองมพี ื้นความเขา ใจในเหตุผลเบอ้ื งตน พอเปนฐานสาํ หรับเกิด ปญ ญารูแจมชดั ตอไป ๒. ในกระบวนการปฏิบตั ธิ รรมหรือการฝก อบรมตนนน้ั เมอ่ื มองในแงลาํ ดับสงิ่ ทจ่ี ะตอ งทาํ ให ประณตี ย่งิ ขน้ึ ไปตามขัน้ กจ็ ะเร่ิมดวย ละเวนหรอื กาํ จดั ความชัว่ กอน แลวจึงเสริมสรา งความดีใหบรบิ ูรณ จนถงึ ความบริสุทธหิ์ ลดุ พนในทสี่ ดุ เหมอื นจะปลูกพชื ตอ งชาํ ระที่ดนิ กําจดั ส่ิงเปนโทษกอ น แลว จึงหวา นพชื และบาํ รงุ รกั ษาไปจนไดผลท่ีหมาย ในระบบแหง พทุ ธธรรมนน้ั เม่ือมองในแงทวี่ า น้ี ศีลเปนขอปฏิบตั ิขั้นเร่ิมแรกทส่ี ดุ มุง ไปทค่ี วามประพฤติ พื้นฐาน จึงเนน ท่กี ารละเวน ความชว่ั ตางๆ ซึง่ เปนจุดเรม่ิ ตน พดู ยา้ํ ใหเ หน็ สง่ิ ท่ตี อ งการกาํ จัดอยา งชัดเจนเสยี กอ น แลวจึงขยายขอบเขตยกระดบั ความประพฤติใหสูงขนึ้ ไปในดานความดี ดว ยอาศัยการปฏิบัตใิ นข้ันสมาธิและ ปญญาเขามาชว ยมากขึ้นๆ โดยลําดบั อยา งไรกด็ ี ท่ีวานเ้ี ปน การพดู ตามหลักทัว่ ไป แตใ นทางปฏิบตั ิ บางทกี ลบั เร่มิ โดยเนนฝายดีกอน เชน วางทานกอ นศีล หรอื ควบคผู สมผสานกันไป ซ่ึงเปน เรื่องของเทคนิค หรอื กลวิธดี ว ย ๓. ในระบบการฝก อบรมของไตรสกิ ขา ศลี ยังมิใชข อปฏบิ ัติใหถึงจดุ หมายสงู สุดโดยตัวของมนั เอง แตเปน วธิ ีการเพ่ือกา วหนา ไปสคู วามเจรญิ
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 187 ขัน้ ตอ ไป คือสมาธิ สมาธจิ ึงเปนจดุ หมายจาํ เพาะของศีล โดยนัยน้ีคณุ คา ในดา นจิตใจของศีล จึงมคี วามสําคญั มาก คณุ คา ทางจติ ใจในขนั้ ศีล กค็ ือ เจตนาที่จะงดเวน หรือการไมม ีความดาํ ริในการทจ่ี ะทําความช่วั ใดๆอยู ในใจ ซึง่ ทําใหจ ิตใจบรสิ ุทธป์ิ ลอดโปรง ไมมคี วามคดิ วนุ วายขุนมวั หรือกังวลใดๆ มารบกวน จติ ใจจึงสงบ ทําให เกดิ สมาธไิ ดง า ย เมอ่ื มีจติ ใจสงบเปนสมาธแิ ลว ก็เกดิ ความคลองตวั ในการทจี่ ะใชปญญา คิดหาเหตุผล และหา ทางดําเนนิ การสรางสรรคความดตี างๆ ใหไดผลในข้นั ตอ ไป ๔. พุทธธรรมถอื วา จิตใจเปนส่ิงสาํ คญั ยง่ิ ระบบจริยธรรมจึงตองประสานตอ เน่ืองกันโดยตลอด ทั้งดา นจติ ใจ และความประพฤตทิ างกายวาจาภายนอก ในการกระทาํ ตางๆ นัน้ จิตใจเปน จุดเรม่ิ ตน จงึ กาํ หนด ที่ตวั เจตนาในใจเปน หลัก เพ่อื ใหก ารกระทาํ ความดีตา งๆ เปนไปดวยความจริงใจอยา งแนนอน มิใชแตเ พยี งไม หลอกลวงคนอนื่ เทา น้ัน แตหมายถึงการไมหลอกลวงตนเองดวย เปนการกําจดั หนทางไมใ หเ กดิ ปญหาทางจิต ในดานความขดั แยงของความประพฤติ ๕. องคม รรคข้ันศีลสอนวา ความรบั ผิดชอบขน้ั พ้นื ฐานทส่ี ดุ ของบุคคลแตละคน ก็คอื ความรับผิด ชอบตอ ตนเอง ในการทจ่ี ะไมใหม คี วามคิดที่จะทาํ ความชั่วดวยการเบยี ดเบียนหรือลว งละเมิดตอ ผอู ื่น อยใู นจติ ใจของตนเลย เม่ือมีความบริสทุ ธนิ์ ้รี องรับอยูเ ปนเบ้ืองตนแลว ความรบั ผิดชอบน้นั จงึ ขยายกวา งออกไปถงึ ขัน้ เปนการธํารงรกั ษาและเสริมสรา งความเจริญกาวหนา แหงคุณธรรมของตน ดว ยการขวนขวายทาํ ความดี บําเพญ็ ประโยชนสุขแกค นอ่ืนๆ พดู ส้นั ๆ วา มคี วามรบั ผดิ ชอบตอ ตนเอง ในการท่ีจะละเวนความชั่ว และรบั ผดิ ชอบตอ ผูอนื่ ในการทจ่ี ะทําความดีแกเขา ๖. การกาํ หนดความหมายของศลี ในแงล ะเวน ความชวั่ เปน การกําหนดขอ ปฏิบัตอิ ยางกวา งขวาง ทส่ี ดุ คอื เพงเล็งไปที่ความชว่ั ยา้ํ ถึงเจตจาํ นงที่ไมมเี ชอ้ื แหงความช่ัวเหลืออยูเ ลย สวนในฝา ยความดี เปน เรื่องท่ี จะพึงขยายออกไปไดอ ยา งไมมเี ขตจํากดั จงึ ไมระบไุ ว ตามความเปน จริง ความดเี ปน เรอ่ื งกวางขวางไมมที ่ีส้นิ สดุ มีรายละเอียด แนวทาง และวิธีการ ยักเยื้อง ไปไดม ากมายตามฐานะและโอกาสตางๆ สวนความช่วั ที่จะตองเวน เปนเร่ืองแนนอนตายตัว เชน ทง้ั พระสงฆ และคฤหสั ถ ควรละเวนการพูดเทจ็ ดวยกนั ทัง้ สองฝา ย แตโ อกาสและวธิ ีการท่ีจะทาํ ความดีทีต่ รงขา มกับการพดู เทจ็ นนั้ ตา งกัน การวางหลักกลาง จงึ ระบุแตฝ ายเวนช่ัวไวเ ปน เกณฑ สวนรายละเอยี ด และวธิ ีการกระทาํ ในข้ัน บําเพญ็ ความดี เปนเรื่องในข้นั ประยุกตใหเหมาะสมกบั ฐานะ โอกาส และสภาพชีวิตของบคุ คลตอ ไป ๗. การปฏบิ ตั ิตามองคม รรคทุกขอ ถอื วาเปนสิ่งจาํ เปนสาํ หรับทกุ คนในการทจี่ ะเขา ถงึ จุดหมาย ของพระพทุ ธศาสนา ดังน้ัน องคม รรคแตละขอจะตอ งเปน หลักกลางๆ ท่ที กุ คนปฏิบตั ิตามได ไมจํากดั ดว ยฐานะ กาลสมยั ทองถ่ิน และส่งิ แวดลอ มจาํ เพาะอยาง เชน การเวนอทนิ นาทาน เปน สง่ิ ท่ที กุ คนทาํ ได แตก ารใหทาน ตอ งอาศัยปจจยั อน่ื ประกอบ เชน ตนมสี ิ่งที่จะใหม ีผทู ีจ่ ะรับ และเขาควรไดรบั เปน ตน
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 188 ในกรณที ่ีไมอยใู นฐานะและโอกาส เปนตน ทีจ่ ะให เจตนาทีป่ ราศจากอทินนาทาน กเ็ ปน ส่งิ ท่ีทําใหจ ิต ใจบรสิ ทุ ธเ์ิ ปน พ้ืนฐานแกส มาธิไดแลว แตในกรณที ี่อยใู นฐานะและโอกาสเปน ตน ทีจ่ ะให การไมใ สใจหรือหวง แหนจึงจะเกิดเปนความเศรา หมองขนุ มวั แกจ ติ ใจ และการใหจงึ จะเปนเครื่องสงเสรมิ คณุ ธรรมของตนใหม ากยงิ่ ข้ึน โดยนัยน้ี ความหมายหลัก จงึ อยูในรูปเปนคําปฏเิ สธ คอื การละเวนหรอื ปราศจากความชั่ว สวนความ หมายท่ขี ยายออกไปในฝา ยทาํ ความดจี ึงเปน เร่อื งของการประยกุ ตด งั กลาวแลว ๘. ในทางปฏิบัติ เมอื่ พจิ ารณาในชว งเวลาใดเวลาหนง่ึ ผปู ฏบิ ตั ิธรรมยอมกําลังบาํ เพ็ญคณุ ธรรม ความดอี ยางใดอยางหนึง่ หรือประเภทใดประเภทหน่งึ อยเู ปน พเิ ศษ ในเวลาเชน นนั้ เขายอ มจะตอ งพงุ ความคิด ความสนใจจาํ เพาะเจาะจงลงในสงิ่ ทปี่ ฏิบัตินัน้ ในกรณเี ชน น้ี ความรับผดิ ชอบของเขาตอความประพฤตดิ า น อืน่ ๆ ยอ มมีเพียงเปนสว นประกอบ คอื เพียงไมใหเกดิ ความชว่ั อยางใดอยา งหนง่ึ หรอื ความเสยี หายดา นอนื่ ขนึ้ มา เปน สําคญั ประโยชนท่ีตอ งการจากศลี ในกรณเี ชน นี้ จึงไดแ กก ารชวยควบคมุ รกั ษาความประพฤตใิ นดา นอน่ื ๆ ของ เขาไว ปอ งกันไมใ หเ สยี หลักพลาดลงไปในความชวั่ อยา งใดอยา งหนง่ึ ทําใหมีพน้ื ฐานท่ีม่ันคง สามารถบาํ เพญ็ ความดีท่เี ปนเร่อื งจาํ เพาะในขณะนัน้ ๆ ไดโ ดยสมบรู ณ ความแตกตา งระหวางศีล ในพระพุทธศาสนา กบั ศาสนาเทวนยิ ม อน่งึ มีขอ สงั เกตบางอยา งทค่ี วรทราบ เกีย่ วกับความแตกตางระหวา งศีลในพระพทุ ธศาสนา กับศีลใน ศาสนาเทวนยิ ม (รวมถึงเรื่องกรรม ความดี ความชั่ว) ดังน้ี ๑. ในพทุ ธธรรม ศีลเปนหลกั ความประพฤติท่กี าํ หนดขึน้ ตามหลกั เหตุผลของกฎธรรมชาติ สว นในศาสนาเทวนิยม ศลี เปน เทวโองการ ท่ีกําหนดข้นึ โดยเทวประสงค ๒. ในแงป ฏิเสธ ศลี ในความหมายของพุทธธรรม เปน หลักการฝกตนในการเวน จากความชั่ว จงึ เรียกศลี ทกี่ าํ หนดเปน ขอ ๆ วา สกิ ขาบท (ขอ ฝก -training rule) สว นศีลในศาสนาเทวนยิ ม เปนขอ หา ม หรือคาํ สงั่ หา มจากเบื้องบน (divine commandment) ๓. แรงจงู ใจท่ตี อ งการในการปฏิบัตติ ามศีลแบบพทุ ธธรรม ไดแกอ าการวตีศรัทธา คือ ความมน่ั ใจ (confidence) ในกฎแหงกรรม โดยมีความเขาใจพื้นฐาน มองเหน็ เหตผุ ลวา พฤติกรรมและผลของมันจะตอ งเปน ไปตามแนวทางแหง เหตปุ จ จยั สว นแรงจงู ใจท่ีตองการในการปฏิบัตติ ามศลี ของศาสนาเทวนิยมไดแกศ รทั ธาแบบภกั ดี (faith) คอื เชื่อ ยอมรับ และทาํ ตามสิง่ ใดๆ กต็ ามที่กําหนดวาเปนเทวประสงค มอบความไวว างใจใหโ ดยสิน้ เชิง ไมตอ งถามหา เหตุผล
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 189 ๔. ในพุทธธรรม การรักษาศลี ตามความหมายที่ถกู ตอง กค็ อื การฝก ตน ในทางความประพฤติ เริ่มแตเ จตนาทจ่ี ะละเวน ความช่วั อยางน้ันๆ จนถงึ ประพฤติความดีงามตา งๆ ท่ีตรงขามกบั ความชั่วนน้ั ๆ สวนในศาสนาเทวนยิ ม การรักษาศีล ก็คอื การเช่อื ฟง และปฏบิ ัตติ ามเทวโองการโดยเครงครัด ๕. ในพุทธธรรม การประพฤตปิ ฏบิ ัติในขน้ั ศีล นอกจากใหเ กิดการอยรู วมสงั คมทีเ่ กอ้ื กูลไมเ บยี ด เบยี นกันแลว มีวัตถุประสงคเ ฉพาะ คือ เพือ่ เปน บาทฐานของสมาธิ กลา วคอื เปน ระบบการฝกอบรมบุคคลใหมี ความพรอมและความสามารถที่จะใชก าํ ลังงานของจติ ใหเ ปนประโยชนมากทส่ี ุด ในทางทจ่ี ะกอใหเ กดิ ปญ ญา และนําไปสคู วามหลดุ พน หรืออสิ รภาพสมบรู ณใ นท่สี ดุ สวนการไปสวรรคเปนตน เปนเพียงผลพลอยไดข องวถิ ี แหง ความประพฤติโดยท่วั ไป แตใ นศาสนาเทวนยิ ม การประพฤตศิ ลี ตามเทวโองการ เปนเหตใุ หไดรับความโปรดปรานจากเบ้ืองบน เปนการประพฤตถิ ูกตอ งตามเทวประสงค และเปน เหตใุ หพระองคท รงประทานรางวลั ดว ยการสงไปเกดิ ใน สวรรค ๖. ในพทุ ธธรรม ผลดหี รอื ผลรา ยของการประพฤติหรอื ไมป ระพฤติศลี เปนสิ่งท่ีเปนไปเองโดยธรรม ชาติ คือ เปนเร่อื งการทาํ งานอยา งเท่ียงธรรมเปนกลางของกฎธรรมชาตทิ เี่ รียกวา กฎแหงกรรมการใหผ ลน้ีแสดง ออกตง้ั ตน แตจิตใจ กวางออกไปจนถึงบคุ ลิกภาพ และวิถีชีวติ ท่ัวไปของบคุ คลผูนนั้ ไมวา ในชาตนิ ี้หรือชาติหนา สวนในศาสนาเทวนยิ ม ผลดีผลรายของการประพฤตติ ามหรือการละเมิดศีล (เทวโองการ) เปน เรอ่ื งของ การใหผ ลตอบแทน (retribution) ผลดีคอื การไดไปเกิดในสวรรค เปนฝายรางวัล (reward) สวนผลรา ยคือไปเกิด ในนรก เปนฝายการลงโทษ (punishment) การจะไดผ ลดีหรือผลรา ยนนั้ ยอ มสดุ แตการพพิ ากษา หรอื วินจิ ฉยั โทษ (judgment) ของเบือ้ งบน ๗. ในแงค วามเขาใจเก่ียวกับความดีความชั่ว ทางฝายพทุ ธธรรมสอนวา ความดี เปนคุณคา ท่ี รกั ษาและสง เสรมิ คุณภาพของจิต ทาํ ใหจิตใจสะอาดผอ งใสบริสุทธิ์ หรอื ยกระดับใหสูงขึน้ จึงเรียกวา บุญ (good, moral หรือ meritorious) เปน สงิ่ ท่ีทาํ ใหเกิดความเจรญิ งอกงามแกจ ติ ใจ เปน ไปเพื่อความหลุดพน หรืออิ สรภาพทงั้ ทางจิตใจและทางปญญา เปนการกระทาํ ทีฉ่ ลาด ดําเนินตามวถิ ีแหง ปญ ญา เออ้ื แกสุขภาพจิต จึง เรียกวา กศุ ล (skilful หรอื wholesome) สว นความช่วั เปนสภาพทีท่ ําใหคุณภาพของจิตเสอ่ื มเสยี หรอื ทําใหตกตา่ํ ลง จึงเรยี กวาบาป (evil) เปน สิ่งทท่ี ําใหเกดิ ความเสื่อมโทรมแกช วี ติ จติ ใจ ไมเปนไปเพอ่ื ความหลดุ พน เปน การกระทําที่ไมฉ ลาด ไมเออ้ื แกส ุข ภาพจติ จึงเรยี กวา อกุศล (unskilful หรอื unwholesome) สว นในศาสนาเทวนิยม ความดีความชัว่ กาํ หนดดวยศรัทธาแบบภักดตี อองคเทวะเปน มูลฐาน คือเอา การเช่อื ฟง ยอมรับและปฏบิ ตั ิตามเทวประสงคแ ละเทวบญั ชาหรือไม เปนหลัก โดยเฉพาะความช่วั /บาป หมาย ถงึ การผิดหรือลวงละเมิดตอองคเทวะ (sin) ในรปู ใดรูปหนง่ึ ๘. จากพนื้ ฐานที่แตกตา งกนั นี้ ทําใหเ กดิ ความแตกตา งกนั ตอไปอกี อยา งนอ ย ๒ ประการ คอื
พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 190 ก) ศลี ในพุทธธรรม จึงตอ งเปน คาํ สอนทตี่ อ เนื่องกันตามเหตุผลเปนระบบจรยิ ธรรม เพราะผปู ฏบิ ตั ิ จะประพฤติไดถูกตองตอเม่ือมีความเขาใจในระบบและเหตผุ ลที่เกีย่ วของเปน พ้นื ฐานอยูด วย สวนศลี หรอื จริยธรรมทั่วไปในศาสนาเทวนิยม ยอมเปน ประกาศเทวโองการ หรือคาํ แถลงเทวประสงค เปน เรือ่ งๆ ขอ ๆ ตา งๆ กนั ไปแมนํามารวบรวมไวก ็ยอมเรยี กวา “ประมวล” ไมใ ช ระบบ เพราะผูปฏบิ ตั ติ อ งการ ความเขา ใจอยา งมากก็เฉพาะในความหมายของสง่ิ ทจี่ ะตองปฏบิ ตั เิ ทาน้นั ไมจ ําเปน ตอ งเขา ใจในระบบและเหตุ ผลทเี่ กีย่ วขอ ง เพราะถือวา ระบบและเหตผุ ลตางๆ ทง้ั ปวงอยูในพระปรีชาขององคเทวะหมดสนิ้ แลว อนั ผูปฏบิ ตั ิ ไมพึงสงสยั เพยี งแตเ ช่อื ฟง มอบความไวว างใจ และปฏบิ ัตติ ามเทวโองการเทา นนั้ เปน พอ ข) ศีลหรอื ระบบจริยธรรมแบบพุทธ เปนหลกั กลางๆ และเปนสากล กําหนดโดยขอ เทจ็ จรงิ ตามกฎ ธรรมชาติ (หมายถงึ สารัตถะของศีลในฝา ยธรรมอนั เก่ยี วดวยบญุ บาป ไมใ ชใ นความหมายฝา ยวนิ ยั อนั เกยี่ วดว ย การลงโทษ) เชน พิจารณาผลหรือปฏิกริ ิยาทเ่ี กิดข้นึ ในกระบวนการทํางานของจติ ผลตอพฤติกรรม นิสัย และ บคุ ลกิ ภาพ เปนตน จึงไมอ าจวางขอ จํากัดท่เี ปน การแบงแยกเพื่อผลประโยชนเฉพาะพวก เฉพาะกลุม หรอื เอา ความพอใจของตนเปน เคร่ืองวดั ได ไมจ าํ กัดวา คนศาสนาน้เี ทา นัน้ มกี รณุ าจึงเปนคนดี คนศาสนาอืน่ มีกรณุ าก็เปนคนดีไมไ ด ฆา คนศาสนาน้เี ทา น้ันเปนบาป ฆาคนศาสนาอ่นื ไมบาป คนศาสนาน้เี ทานัน้ ใหทานไปสวรรคไ ด คนศาสนาอนื่ ประพฤติอยางไรไมเ ชอ่ื ฉนั เสียอยา งเดียวตกนรกหมด ฆาสตั วไ มบาปเพราะสัตว (รวมทง้ั ทีไ่ มเปน อาหาร-) เปน อาหารของคน (เพราะคนไมเปนอาหารของเสือและสงิ โต-) ดังนเี้ ปน ตน จะมีการจาํ กดั แบงแยกได เชนวา บาปมากบาปนอยเปน ตน อยา งไร กเ็ ปนไปโดยขอ เทจ็ จรงิ ตาม กฎธรรมชาติ เชน พจิ ารณาผลและปฏกิ ริ ิยาทเี่ กดิ ขึ้นในกระบวนการทํางานของจติ เปน ตนดงั กลา วแลว สวนในศาสนาเทวนยิ ม หลักเหลา นย้ี อมกาํ หนดใหจ ํากดั หรอื ขยายตามเทวประสงคอ ยางไรก็ ได ดุจเปนวินยั บัญญตั ิ หรือนติ ิบัญญตั เิ พราะองคเ ทวะทรงเปนท้งั ผตู รากฎหมายและผูพ พิ ากษาเอง ๙. เนอ่ื งจากศลี เปน หลกั กลางๆ กําหนดดว ยขอ เทจ็ จริงตามกฎธรรมชาตเิ ชน น้ี ผูปฏิบตั ติ ามแนว พทุ ธธรรม จงึ ตองเปนผูกลา ยอมรบั และกลาเผชิญหนา ความจรงิ ความดี ช่ัว ถกู ผดิ มอี ยู เปน ขอเทจ็ จริงอยา ง ไร กต็ องกลา ยอมรบั ความจรงิ ตามทเี่ ปน เชนน้นั สวนตนจะปฏิบตั ิหรือไมแ คไหนเพยี งไร ก็เปนอีกเรอื่ งหนง่ึ และ ตอ งกลายอมรบั การทตี่ นปฏิบตั ิดีไมดตี ามขอ เทจ็ จริงนนั้ มิใชถ ือวา ไมช่ัว เพราะตวั อยากทําสง่ิ นน้ั ขอ เทจ็ จรงิ ตามธรรมชาติ มิไดข นึ้ ตอการวัดดว ยการอยากทําหรอื ไมของตน ถา มีอนั ถงึ กบั จะทาํ กรรมท่ใี หต กนรกสักอยาง หนึ่ง การทย่ี อมรับพูดกบั ตนเองวา กรรมนนั้ ไมด ี แตต นยอมเสยี สละตกนรก ยังดีกวา หลอกตวั เองวา กรรมน้นั ไม เปน กรรมชวั่ มสี ง่ิ ที่อาจถอื วาเปนขอไดเ ปรียบ ของศลี แบบเทวโองการ คอื ๑. ตัดการพจิ ารณาเรอื่ งถกู -ผิด จรงิ -ไมจ ริง ออกเสยี กลาวไดวา เม่ือเชอื่ เสยี แลว ศรัทธาลว นแบบ ภกั ดี ยอมไดผลในทางปฏบิ ตั ทิ ร่ี วดเร็วเรง เราและเขมแข็งหรือรนุ แรงกวา แตจะเกดิ ปญ หาขึ้นตอ ไป โดยเฉพาะ
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 191 ในยคุ แหง เหตผุ ลวา ทาํ อยา งไรจงึ จะใหเ ช่อื ได และปญหาในระยะยาวเกีย่ วกับความปลอดภยั ในการอยรู ว มกบั ผอู นื่ ทีไ่ มศ รทั ธาเหมือนตน ปญหาเรือ่ งความม่ันคงของศรัทธานนั้ และการไมม ีโอกาสเขา ถงึ อิสรภาพทาง ปญ ญา (บางขอ อาจไมต องพจิ ารณา ถา มนุษยตอ งการมชี วี ติ อยเู พยี งเปน สัตวสงั คมท่แี ยกกนั อยูเปน กลุมๆ) ๒. สาํ หรับสามัญชนทั่วไป ยอมเขา ถงึ ความหมายของศีลตามแบบศรทั ธาลวนไดง ายกวา และศลี แบบนี้กค็ วบคุมความประพฤติของคนสามัญไดเปน อยา งดี ดังน้นั แมใ นหมูช าวพุทธจาํ นวนไมน อ ย ความเขา ใจ ในเรอื่ งบุญบาปจงึ ยังคงมสี วนทค่ี ลา ยกบั ศาสนาเทวนยิ มแฝงอยูดวย เชน เห็นศลี เปน ขอหา ม (แตล างเลือนวา ใครเปนผหู า ม) เหน็ ผลของบุญบาปเปนอยา งผลตอบแทน เปนรางวลั หรอื การลงโทษ เปนตน แตปญหากค็ งเปน อยา งเดียวกบั ขอ ๑ คือ ทาํ อยา งไรจะใหเ ชือ่ กนั อยูไดต ลอดไป ๓. การบญั ญตั กิ รรมไมด บี างอยาง ทีเ่ หน็ วา ยังจําเปนตองทาํ เพื่อผลประโยชนบ างอยางของตน ใหเปนกรรมท่ีไมผ ิดไปเสยี จดั เปนวธิ ีจูงใจตวั เองไดอยางหน่ึง พุทธธรรมยอมรับวา วิธจี ูงใจตนเองนั้น เปน สิ่งท่ี ไดผ ลมากอยางหนึ่ง เพราะเปน เหตปุ จจยั อีกอยา งหนึง่ ทเ่ี ขามาเกี่ยวของเพิม่ ข้นึ ในเร่อื งน้นั ๆ เชน บัญญตั ิวา ฆา สัตวไมบ าป กท็ าํ ใหเ บาใจและไมร ูสกึ สะกดิ ใจในการฆาสตั ว แตก ารจงู ใจแบบนี้ทําใหเกดิ ผลรายในดานอนื่ และ ไมเ ปน วถิ ีทางแหง ปญ ญา พทุ ธธรรมนยิ มใหเปนอยูดวยการรับรคู วามเปนจรงิ จะแจง ในทุกขนั้ ทุกตอน ใหร ูจักเลือกตัดสินใจดวย ตนเอง พุทธธรรมสอนใหใ ชว ธิ จี งู ใจตนเองบางเหมือนกัน แตสอนโดยใหผูน ัน้ รเู ขา ใจในเรอ่ื งทจ่ี ะใชจูงใจนัน้ ตาม ขอ เทจ็ จรงิ แลว ใหนาํ ไปใชดว ยตนเอง เรือ่ งที่ใชจงู ใจนัน้ ตอ งไมมีแงทเ่ี สียหาย และใหใ ชเ ฉพาะในกรณีทีช่ วยเปน พลงั ในการทําความดีอยา งอื่นใหไ ดผ ลยิ่งขึน้ ๖. สัมมาวายามะ ความหมาย และประเภท องคมรรคขอ น้ี เปน ขอ แรกในหมวดสมาธิ หรือ อธิจติ ตสกิ ขา มคี ําจาํ กดั ความแบบพระสตู รดงั น้ี ภกิ ษทุ ้งั หลาย สัมมาวายามะ เปน ไฉน? น้เี รียกวาสัมมาวายามะ คือ ภิกษใุ นธรรมวนิ ัยนี้ ๑) สรางฉนั ทะ พยายาม ระดมความเพยี ร คอยเราจติ ไว มุงมัน่ เพือ่ (ปองกัน) อกุศลธรรมอันเปน บาป ทย่ี ังไมเ กดิ มใิ หเกิดขน้ึ ๒) สรา งฉนั ทะ พยายาม ระดมความเพยี ร คอยเราจิตไว มุงมน่ั เพอ่ื ละอกุศลธรรมอนั เปน บาป ที่ เกิดขนึ้ แลว ๓) สรา งฉันทะ พยายาม ระดมความเพียร คอยเราจติ ไว มงุ ม่นั เพื่อ (สราง) กุศลธรรม ทย่ี ังไมเ กดิ ใหเ กดิ ขึ้น ๔) สรางฉันทะ พยายาม ระดมความเพียร คอยเราจิตไว มงุ ม่นั เพ่อื ความดํารงอยู ไมเลอื นหาย เพื่อภญิ โญภาพ เพือ่ ความไพบลู ยเจริญเตม็ เปย มแหง กศุ ลธรรม ท่ีเกดิ ขนึ้ แลว สว นในอภธิ รรม มคี ําจาํ กดั ความเพิ่มอกี แบบหนง่ึ ดังนี้
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 192 สัมมาวายามะ เปนไฉน ? การระดมความเพยี ร (วิรยิ ารัมภะ) ทางใจความกา วหนา ความบากบ่นั ความขะมกั เขมน ความพยายาม ความอตุ สาหะ ความอดึ สู ความเขมแข็ง ความม่นั คง ความกาวหนา ไมลดละ ความไมท อดทง้ิ ฉนั ทะ ความไมท อดท้งิ ธุระ การแบกทูนเอาธุระไป วิริยะ วิริยินทรีย วริ ยิ พละ สัมมาวายามะ วริ ยิ สมั โพชฌงค ทีเ่ ปน องคม รรค นบั เน่อื งในมรรค น้ีเรยี กวา สมั มาวายามะ สมั มาวายามะ อยา งทแ่ี ยกเปน ๔ ขอ ตามคาํ จํากัดความแบบพระสตู ร นั้น เรยี กช่ืออกี อยา งหนง่ึ วา สัม มปั ปธาน หรือ ปธาน ๔ และมีชอื่ เรยี กเฉพาะสําหรบั ความเพียรแตล ะขอน้นั วา ๑. สังวรปธาน เพยี รปอ งกัน หรอื เพยี รระวงั (อกุศลที่ยงั ไมเ กิด) ๒. ปหานปธาน เพียรละ หรือเพยี รกําจัด (อกศุ ลท่ีเกดิ ข้ึนแลว ) ๓. ภาวนาปธาน เพยี รเจรญิ หรอื เพยี รสราง (กศุ ลท่ียังไมเกดิ ) ๔. อนรุ กั ขนาปธาน เพียรอนรุ ักษ หรือเพียรรักษาและสง เสรมิ (กุศลทเี่ กดิ ขึน้ แลว) บางแหง มคี าํ อธบิ ายแบบยกตวั อยา งความเพียร ๔ ขอ นี้ เชน ๑. สงั วรปธาน ไดแ ก ภิกษุเหน็ รปู ดว ยจักษุแลว ไมถือนิมิต (ไมค ิดเคล้มิ หลงติดในรปู ลักษณะทวั่ ไป) ไม ถืออนพุ ยญั ชนะ (ไมค ิดเคลิ้มหลงติดในลักษณะปลีกยอย) ยอมปฏิบัตเิ พ่อื สาํ รวมอนิ ทรีย ทเี่ มอื่ ไมสํารวมแลว จะ พงึ เปนเหตใุ หบาปอกศุ ลธรรม คอื อภิชฌาและโทมนัส ครอบงําเอาได ยอมรักษาจกั ขุนทรีย ถงึ ความสาํ รวมใน จกั ขนุ ทรยี ฟง เสียงดว ยหู สดู กลน่ิ ดวยจมูก ลิ้มรสดว ยล้นิ ถกู ตอ งโผฏฐพั พะดวยกาย รธู รรมารมณดวยใจ (ก็เชน เดยี วกัน) ๒. ปหานปธาน ไดแ ก ภกิ ษุไมยอมใหก ามวติ ก พยาบาทวติ ก วิหงิ สาวิตก และบาปอกศุ ลธรรมท้งั หลาย ทีเ่ กิดขนึ้ แลวตั้งตัวอยไู ด ยอ มละเสยี บรรเทาเสีย กระทาํ ใหห มดสน้ิ ไปเสีย ทําใหไ มม ีเหลอื อยูเ ลย ๓. ภาวนาปธาน ไดแ ก ภิกษเุ จรญิ โพชฌงค ๗ ประการ ซง่ึ องิ วิเวก องิ วิราคะ อิงนโิ รธ โนม ไปเพอ่ื การ สลดั พน ๔. อนุรกั ขนาปธาน ไดแ ก ภกิ ษคุ อยถนอมสมาธนิ ิมิตอันดี คือ สญั ญา ๖ ประการทีเ่ กดิ ขึ้นแลว ความสาํ คญั พเิ ศษของความเพียร ความเพียรเปนคณุ ธรรมสาํ คัญยิง่ ขอ หนง่ึ ในพระพทุ ธศาสนา ดงั จะเห็นไดจ ากการท่สี ัมมาวายามะ เปน องคม รรคประจาํ ๑ ใน ๓ ขอ (สัมมาทฏิ ฐิ สัมมาวายามะ สมั มาสต)ิ ซึง่ ตอ งคอยชว ยหนุนองคม รรคขอ อนื่ ๆ ทกุ ขอ เสมอไป ดังกลาวแลว ขางตน และในหมวดธรรมที่เกย่ี วกับการปฏบิ ัตแิ ทบทกุ หมวด จะพบความเพียรแทรก อยดู ว ย ในชอ่ื ใดชอ่ื หนงึ่ การเนนความสําคัญของธรรมขอน้ี อาจพจิ ารณาไดจากพุทธพจน เชน ธรรมน้ี เปน ของ สําหรบั ผปู รารภความเพยี ร มิใชสาํ หรับคนเกียจครา น ภกิ ษุทั้งหลาย เรารชู ดั ถึงคณุ ของธรรม ๒ ประการ คอื ๑) ความเปนผไู มสันโดษในกศุ ลธรรมท้ังหลาย (อสนฺตุฏ ติ า กสุ เลสุ ธมฺเมส)ุ ๒) ความเปน ผูไมยอมถอยหลังในการบําเพญ็ เพียร (อปฺปฏิวาณติ า ปธานสฺมึ)
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 193 ...เพราะฉะน้นั แล เธอทง้ั หลายพึงศึกษาดังน้ีวา –เราจกั ตง้ั ความเพยี รอนั ไมถอยหลงั ถึงจะเหลือแตห นัง เอน็ และกระดูก เนอ้ื และเลอื ดในสรรี ะจะแหงเหือดไปกต็ ามที ยังไมบรรลุผลทบี่ ุคคลพงึ ลุถึง ไดดวยเรยี่ วแรงของบรุ ุษ ดว ยความเพยี รของบุรษุ ดวยความบากบัน่ ของบรุ ุษแลว ทจ่ี ะหยุดยงั้ ความเพยี รเสีย เปนอนั ไมมี ? เธอท้ังหลายพงึ ศกึ ษาฉะน้ีแล การท่ตี อ งเนนความสาํ คัญของความเพยี รนั้น นอกจากเหตผุ ลอยางอื่นแลว ยอ มสบื เน่ืองมาจากหลัก พื้นฐานของพระพทุ ธศาสนาทว่ี า สัจธรรมเปน กฎธรรมชาติ หรอื หลกั ความจรงิ ที่มอี ยูโ ดยธรรมดา พระพทุ ธเจา หรอื ศาสดามฐี านะเปนผคู นพบหลักความจริงนนั้ แลว นํามาเปด เผยแกผ ูอน่ื การไดร ับผลจากการปฏิบตั ิ เปน เรอื่ งของความเปนไปอนั เทย่ี งธรรมตามเหตปุ จจยั ในธรรมชาติ ศาสดามใิ ชผบู ันดาล เมอ่ื เปนเชน นี้ ทุกคนจึงจํา เปน ตอ งเพียรพยายามสรางผลสําเร็จดว ยเร่ียวแรงของตน ไมควรคดิ หวงั และออ นวอนขอผลท่ีตองการโดยไม กระทาํ หลกั พุทธศาสนาในเรื่องนี้ จึงมีวา ตมุ ฺเหหิ กิจจฺ ํ อาตปฺป อกขฺ าตาโร ตถาคตา ความเพียร ทา นท้งั หลายตอ งทาํ เอง ตถาคตท้งั หลาย เปน แตผูบอก (ทาง) ให ความเพยี รท่ีพอดี ดว ยความสมดลุ แหงอนิ ทรยี อยา งไรกต็ ามการทําความเพียรกเ็ ชนเดียวกบั การปฏิบตั ธิ รรมขอ อืน่ ๆจะตอ งเริ่มกอ ตวั ขนึ้ ในใจใหพ รอ ม และถกู ตองกอน แลว จงึ ขยายออกไปเปนการกระทําภายนอก ใหป ระสานกลมกลนื กัน มิใชค ิดอยากทาํ ความ เพยี ร ก็สักแตวา ระดมใชกําลงั กายเอาแรงเขาทุม ซ่ึงอาจกลายเปนการทรมานตนเองทําใหเ กดิ ผลเสียไดมาก โดยนัยน้ี การทาํ ความเพยี รจงึ ตอ งสอดคลองกลมกลนื กนั ไปกบั ธรรมขอ อื่นๆ ดว ย โดยเฉพาะ สตสิ มั ปชัญญะ มีความรคู วามเขาใจ ใชป ญญาดําเนนิ ความเพียรใหพอเหมาะ อยางที่เรยี กวาไมตึง และไม หยอนเกนิ ไป ดังเร่อื งตอไปนี้ คร้งั น้นั ทา นพระโสณะพํานกั อยใู นปาสตี วนั ใกลเมืองราชคฤห ทานไดท ําความเพียรอยา งแรงกลา เดนิ จงกรมจนเทา แตกท้ังสองขาง แตไมสําเร็จผล คราวหนงึ่ ขณะอยใู นทีส่ งัด จงึ เกิดความคดิ ขึ้นวา “บรรดาสาวกของพระผูมีพระภาค ทเ่ี ปนผูตง้ั หนาทาํ ความเพียร เรากเ็ ปนผหู นงึ่ ถึงกระน้ันจติ ของเราก็ หาหลดุ พน จากอาสวะหมดอุปาทานไม กแ็ หละ ตระกูลของเรากม็ ีโภคะ เราจะใชจายโภคสมบัติ และทาํ ความดี ตา งๆ ไปดวยก็ได อยา กระน้นั เลย เราจะลาสกิ ขา ไปใชจ า ยโภคสมบตั ิ และบาํ เพญ็ ความดตี างๆ” พระพทุ ธเจาทรงทราบความคดิ ของทา นพระโสณะ และไดเ สด็จมาสนทนาดว ย พระพุทธเจา : โสณะ เธอเกดิ ความคดิ (ดงั กลา วแลว) มิใชห รือ ? โสณะ : ถกู แลว พระเจา ขา พระพุทธเจา : เธอคิดเห็นอยา งไร? ครัง้ กอน เม่อื เปน คฤหสั ถ เธอเปน ผู
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 194 ชาํ นาญในการดีดพณิ มใิ ชหรือ? โสณะ : ถูกแลว พระเจาขา พระพุทธเจา : เธอคดิ เห็นอยางไร? คราวใดสายพณิ ของเธอตงึ เกินไป คราวนัน้ พณิ ของเธอมเี สยี งเพราะ หรือเหมาะทจ่ี ะใชการ กระนั้นหรอื ? โสณะ : หามิได พระเจา ขา พระพทุ ธเจา : เธอคดิ เหน็ อยา งไร? คราวใด สายพณิ ของเธอหยอ นเกนิ ไป คราวนนั้ พณิ ของเธอ มีเสียงเพราะ หรือเหมาะท่ีจะใช การ กระน้ันหรือ? โสณะ : หามิได พระเจา ขา พระพทุ ธเจา : แตคราวใด สายพิณของเธอ ไมต งึ เกินไป ไมหยอ นเกนิ ไป ตงั้ อยใู นระดบั พอดี คราวนัน้ พิณของเธอ จึงจะมีเสยี ง ไพเราะ หรอื เหมาะทีจ่ ะใชการ ใชไ หม? พระโสณะ : ถกู แลว พระเจาขา พระพุทธเจา : ฉันนนั้ เหมอื นกนั โสณะ ความเพยี รท่ีระดมมากเกนิ ไป ยอมเปน ไปเพื่อความฟุง ซา น ความเพียรทหี่ ยอ นเกินไป ยอมเปนไปเพอ่ื ความเกยี จคราน เพราะเหตุน้ันแล เธอจง ตั้งใจกําหนดความเพียรใหเสมอพอเหมาะ จงเขา ใจความ เสมอพอดีกนั แหง อนิ ทรียท ้ังหลาย และจงถอื นิมิตใน ความเสมอพอดีกนั นั้น” ๗. สมั มาสติ คาํ จํากดั ความ สมั มาสติ เปน องคมรรคขอ ที่ ๒ ในหมวดสมาธิ หรือ อธิจิตตสิกขา มี คําจํากัดความแบบพระสตู ร ดังน้ี ภกิ ษุท้งั หลาย สมั มาสติเปนไฉน ? นเ้ี รยี กวาสัมมาสติ คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ๑) พิจารณาเห็นกายในกาย มคี วามเพียร มสี มั ปชัญญะ มสี ติ กาํ จัดอภิชฌาและโทมนสั ในโลก เสยี ได ๒) พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทัง้ หลาย มีความเพยี ร มีสมั ปชัญญะมสี ติ กาํ จดั อภิชฌาและ โทมนสั ในโลกเสียได ๓) พิจารณาเห็นจิตในจิต มีความเพียร มีสมั ปชญั ญะ มสี ติ กําจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสีย ได
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 195 ๔) พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทัง้ หลาย มคี วามเพยี ร มีสัมปชัญญะ มีสติ กําจัดอภชิ ฌาและ โทมนสั ในโลกเสยี ได คาํ จาํ กัดความอกี แบบหนึง่ ทีป่ รากฏในคมั ภีรอ ภิธรรม วา ดงั นี้ สมั มาสติ เปนไฉน? สติ คอื การคอยระลึกถงึ อยเู นอื งๆ การหวนระลกึ (กด็ )ี สติ คือ ภาวะที่ระลึกได ภาวะทท่ี รงจาํ ไว ภาวะทีไ่ มเ ลือนหายภาวะทีไ่ มล มื (กด็ )ี สติ คอื สติทีเ่ ปนอนิ ทรีย สติทเี่ ปน พละ สมั มาสติ สติ สัมโพชฌงค ท่ีเปน องคมรรค นบั เน่ืองในมรรค น้เี รยี กวา สัมมาสติ สมั มาสติ ตามคําจํากดั ความแบบพระสูตรนนั้ กค็ ือหลกั ธรรมท่ี เรยี กวา สติปฏ ฐาน น่ันเอง หวั ขอ ทั้ง ๔ ของหลักธรรมหมวดนี้ มีช่อื เรียกส้นั ๆ คือ ๑) กายานปุ สสนา (การพิจารณากาย, การตามดรู ูทนั กาย) ๒) เวทนานุปสสนา (การพจิ ารณาเวทนา, การตามดรู ูทนั เวทนา) ๓) จิตตานปุ ส สนา (การพิจารณาจิต, การตามดูรทู ันจิต) ๔) ธัมมานุปส สนา (การพจิ ารณาธรรมตางๆ, การตามดรู ูท นั ธรรม) กอ นจะพิจารณาความหมายของสมั มาสติ ตามหลกั สติปฏ ฐาน ๔ น้เี ห็นวาควรทาํ ความเขา ใจทวั่ ๆ ไป เก่ยี วกับเรอื่ งสตไิ วเปนพื้นฐานกอน สตใิ นฐานะอัปปมาทธรรม “สติ” แปลกนั งา ยๆ วา ความระลึกได เมอ่ื แปลอยา งน้ี ทาํ ใหนกึ เพง ความหมายไปในแงของความจํา ซงึ่ กเ็ ปน การถกู ตองในดานหนงึ่ แตอ าจไมเ ตม็ ตามความหมายหลักท่เี ปนจุดมงุ สาํ คัญกไ็ ดเพราะถา พดู ในแงป ฏเิ สธ สตนิ อกจากหมายถึงความไมลืม ซ่งึ ตรงกบั ความหมายขางตน ท่ีวาความระลกึ ไดแ ลว ยังหมายถงึ ความไม เผลอ ไมเลินเลอ ไมฟนเฟอนเล่ือนลอยดว ย ความหมายในแงปฏเิ สธเหลาน้ี เลง็ ไปถึงความหมายในทางสําทับวา ความระมดั ระวงั ความต่ืนตวั ตอ หนา ท่ี ภาวะที่พรอมอยเู สมอในอาการคอยรับรตู อ สง่ิ ตา งๆ ทีเ่ ขา มาเก่ยี วของ และตระหนักวาควรปฏบิ ัติตอสง่ิ น้ันๆ อยา งไร โดยเฉพาะในแงจ ริยธรรม การทาํ หนาทข่ี องสตมิ กั ถกู เปรียบเทียบเหมือนกบั นายประตูทค่ี อยระวงั เฝา ดู คนเขาออกอยเู สมอ และคอยกาํ กับการ โดยปลอ ยคนที่ควรเขา ออกใหเขาออกได และคอยกันหามคนทีไ่ มค วร เขา ไมใหเ ขา ไป คนทไี่ มควรออก ไมใ หออกไป สติจึงเปนธรรมสาํ คญั ในทางจริยธรรมเปนอยางมาก เพราะเปนตวั ควบคุมเรา เตอื นการปฏบิ ตั หิ นาที่ และเปน ตวั คอยปองกนั ยับยงั้ ตนเอง ทง้ั ทจ่ี ะไมใหห ลงเพลินไปตามความชัว่ และทจี่ ะไมใ หค วามชว่ั เลด็ ลอดเขา มาในจติ ใจไดพ ูดงา ยๆ วา ทีจ่ ะเตอื นตนเองในการทําความดี และไมเปดโอกาสแกความช่วั
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 196 พทุ ธธรรมเนนความสาํ คญั ของสติเปน อยางมาก ในการปฏบิ ัตจิ ริยธรรมทกุ ขน้ั การดาํ เนินชวี ติ หรอื การ ประพฤตปิ ฏบิ ตั โิ ดยมสี ติกาํ กับอยูเสมอนน้ั มีชื่อเรยี กโดยเฉพาะวา “อปั ปมาท” คอื ความไมป ระมาท อปั ปมาท น้ี เปนหลกั ธรรมสําคัญย่งิ สาํ หรับความกาวหนาในระบบ จริยธรรม มกั ใหความหมายวา การเปน อยูโดยไมข าดสติ ซ่ึงขยายความไดวาการระมดั ระวังอยเู สมอ ไมย อมถลําลงไปในทางเสอ่ื ม และไมยอม พลาดโอกาสสําหรบั ความเจรญิ กา วหนา ตระหนกั ดถี งึ สง่ิ ทจ่ี ะตองทาํ และตอ งไมท ํา ใสใ จสาํ นึกอยเู สมอในหนา ที่ ไมป ลอ ยปละละเลย กระทาํ การดว ยความจรงิ จงั และพยายามกาวรุดหนา อยูต ลอดเวลา กลาวไดวา อปั ปมาทธรรมนี้ เปน หลกั ความสํานึกรบั ผิดชอบ ในแงความสําคัญ อปั ปมาท จดั เปนองคประกอบภายใน เชน เดยี วกับโยนิโสมนสกิ าร คกู บั หลัก กลั ยาณมติ ร ทเ่ี ปน องคป ระกอบภายนอก พทุ ธพจนแ สดงความสาํ คัญของอัปปมาทน้ี บางทีซ้ํากับโยนิโส มนสกิ าร เหตผุ ลกค็ ือธรรมท้ังสองอยางน้ี มีความสําคญั เทา เทยี มกนั แตต า งแงกัน โยนโิ สมนสกิ าร เปนองค ประกอบฝายปญญาเปนอปุ กรณส ําหรบั ใชท ําการ (เพอ่ื สรางปญ ญา) สว นอปั ปมาทเปนองคป ระกอบฝา ยสมาธิ เปนตวั ควบคุมและเรง เราใหมกี ารใชอ ุปกรณน ้ัน และกา วหนาตอไปไมหยดุ ความสําคัญและขอบเขตการใชอ ัปปมาทธรรม ในการปฏิบัติจริยธรรมข้นั ตางๆ จะเห็นไดจ ากพทุ ธพจน ตวั อยา งตอ ไปนี้ ภกิ ษุทั้งหลาย รอยเทาของสตั วบ กทั้งหลายชนดิ ใดๆ กต็ ามยอ มลงในรอยเทา ชางไดท ้งั หมดรอยเทา ชา ง เรียกวา เปน ยอดของรอยเทา เหลา น้นั โดยความใหญ ฉนั ใด กศุ ลธรรมท้ังหลาย อยางใดๆ ก็ตาม ยอมมคี วามไม ประมาทเปน มูล ประชุมลงในความไมป ระมาทไดทงั้ หมด ความไมป ระมาท เรียกไดวาเปน ยอดของธรรมเหลา นน้ั ฉันนน้ั เราไมเลง็ เหน็ ธรรมอนื่ แมส ักอยา งหนง่ึ ทีเ่ ปน เหตใุ หกุศลธรรมท่ยี ังไมเกิด เกดิ ขน้ึ หรือใหอกศุ ลธรรมที่ เกิดขึ้นแลว เสอื่ มไป เหมือนความไมป ระมาทเลย เมอ่ื ไมป ระมาทแลว กุศลธรรมทยี่ งั ไมเ กิด ยอมเกิดขนึ้ และ อกุศลธรรมที่เกิดขนึ้ แลว ยอ มเสือ่ มไป เราไมเล็งเห็นธรรมอ่นื แมสกั อยาง ทเี่ ปน ไปเพ่ือประโยชนย งิ่ ใหญ ...ที่ เปน ไปเพอ่ื ความดํารงมน่ั ไมเสอ่ื มสญู ไมอันตรธานแหง สัทธรรม เหมือนความไมประมาทเลย โดยกําหนดวา เปน องคประกอบภายใน เราไมเ ล็งเหน็ องคป ระกอบอ่ืนแมสักขอ หน่ึง ที่เปน ไปเพอ่ื ประโยชน ยิ่งใหญ เหมอื นความไมประมาทเลย เม่ือดวงอาทิตยอทุ ยั อยู ยอมมแี สงอรณุ ขึ้นมากอนเปน บพุ นมิ ติ ฉนั ใด ความถงึ พรอ มดว ยความไมป ระมาท ก็เปน ตัวนํา เปนบุพนมิ ติ แหง การเกดิ ขนึ้ ของอริยอษั ฎางคกิ มรรค แกภ กิ ษุ ฉนั น้นั ...ธรรมเอก ทีม่ ีอุปการะมาก เพอ่ื การเกดิ ข้ึนของอรยิ อัษฎางคกิ มรรค กค็ อื ความถึงพรอ มดว ยความไม ประมาท ...เราไมเลง็ เหน็ ธรรมอื่นแมส กั อยา ง ท่ีเปนเหตใุ หอ ริยอษั ฎางคกิ มรรค ซ่ึงยังไมเกดิ กเ็ กดิ ขึน้ หรอื อรยิ อษั ฎางคกิ มรรคทเ่ี กิดขนึ้ แลว กถ็ งึ ความเจรญิ เต็มบริบูรณ เหมือนอยางความถึงพรอ มดว ยความไมประมาทนี้ เลย ภกิ ษผุ ูไมประมาทพึงหวงั ส่ิงนีไ้ ด คือเธอจักเจริญ จักกระทําใหมาก ซง่ึ อรยิ อัษฎางคกิ มรรค แมปจ ฉิมวาจา คอื พระดํารัสคร้ังสุดทา ยของพระพทุ ธเจา เมอ่ื จะเสดจ็ ดับขนั ธปรินพิ พาน ก็เปน พระ ดํารสั ในเร่อื งอปั ปมาทธรรม ดังน้ี
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 197 สง่ิ ทงั้ หลายที่ปจ จยั ปรงุ แตงข้ึน ยอมมคี วามเสอ่ื มสน้ิ ไปเปน ธรรมดา ทา นท้งั หลายจงยงั ประโยชนทม่ี ุง หมายใหส ําเรจ็ ดว ยความไมป ระมาท พทุ ธพจนเ กีย่ วกบั อัปปมาทธรรม มตี ัวอยางอกี มากมาย พงึ ดูตอ ไป ภิกษทุ งั้ หลาย เธอท้งั หลาย ควรสรางอัปปมาทโดยฐานะ ๔ คอื ๑. จงละกายทุจริต จงเจริญกายสจุ รติ และจงอยาประมาทในการ (ทง้ั สอง) นัน้ ๒. จงละวจีทจุ ริต จงเจรญิ วจีสุจริตและจงอยา ประมาทในการ (ท้งั สอง) นั้น ๓. จงละมโนทุจริต จงเจริญมโนสุจรติ และจงอยา ประมาทในการ (ทง้ั สอง) นั้น ๔. จงละมิจฉาทฏิ ฐิ จงเจรญิ สมั มาทฏิ ฐิ และจงอยา ประมาทในการ (ทั้งสอง) น้นั ในเมอ่ื ภิกษุละกายทุจรติ เจรญิ กายสุจรติ ฯลฯ ละมจิ ฉาทิฏฐิ เจรญิ สัมมาทฏิ ฐแิ ลว เธอยอ มไมหวาด กลัวตอ ความตายท่จี ะมขี างหนา ภิกษุท้งั หลาย ภกิ ษุควรสรางอปั ปมาท คอื การรักษาใจดวยสติ โดยตนเอง ในฐานะ ๔ คอื ๑. ...จิตของเรา อยา ติดใจในธรรมที่ชวนใหเกดิ ความติดใจ ๒. ...จิตของเรา อยา ขดั เคืองในธรรมท่ีชวนใหเ กิดความขัดเคอื ง ๓. ...จติ ของเรา อยา หลงในธรรมท่ีชวนใหเ กดิ ความหลง ๔. ...จติ ของเรา อยา มวั เมาในธรรมทีช่ วนใหเกิดความมวั เมา เม่ือจิตของภิกษุ ไมต ดิ ใจในธรรมที่ชวนใหเ กิดความตดิ ใจ เพราะปราศจากราคะแลว ไมข ดั เคือง...ไมห ลง...ไม มวั เมาแลว เธอยอ มไมห วาดเสยี ว ไมห วนั่ ไหว ไมคร่นั ครา ม ไมส ะดุง และไม(ตอง)เช่ือถอื แมแตเ พราะถอยคาํ ของสมณะ ถาม : มีบา งไหมธรรมขอ เดียวทจ่ี ะยดึ เอาประโยชนไ วไดท ัง้ ๒ อยางคือท้ังทฏิ ฐธัมมิกัตถะ (ประ โยชนป จจุบันหรือประโยชนเฉพาะหนา )และสัมปรายิกตั ถะ(ประโยชนเ บ้ืองหนา หรือประโยชนช ้นั สูงขนึ้ ไป)? ตอบ : มี ถาม : ธรรมนนั้ คืออะไร ? ตอบ : ธรรมนน้ั คอื ความไมประมาท ดกู รมหาบพิตร ธรรมที่เรากลา วไวด ีแลวนั้น สาํ หรบั ผูม กี ลั ยาณมติ ร มกี ลั ยาณสหาย มกี ัลยาณชนเปน ท่ี คบหา หาใชส าํ หรบั ผมู บี าปมติ ร ผมู ีบาปสหาย ผูมีบาปชนเปน ท่คี บหาไม...ความมีกัลยาณมติ รน้นั เทา กับเปน พรหมจรรยท ัง้ หมดทีเดยี ว เพราะเหตนุ น้ั แล มหาบพิตร พระองคพ งึ ทรงสําเหนียกวา เราจักเปน ผูมกี ลั ยาณมติ ร มีกลั ยาณสหาย มี กลั ยาณชนเปนที่คบหา พระองคผูทรงมกี ลั ยาณมติ รน้นั จะตองทรงดาํ เนนิ พระจรยิ าอาศัยธรรมขอ นอ้ี ยปู ระการ หนึ่ง คอื ความไมป ระมาทในกศุ ลธรรมท้งั หลาย
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 198 เมอื่ พระองคไมประมาท ดําเนินพระจริยาอาศยั ความไมประมาทอยพู วกฝายใน...เหลา ขัตตยิ บริวาร... ปวงเสนาขาทหาร...ตลอดจนชาวนิคมชนบท กจ็ ะพากันคดิ วา “พระเจา อยูหวั ทรงเปน ผไู มประมาท ทรงดาํ เนิน พระจริยาอาศยั ความไมป ระมาท ถึงพวกเรากจ็ ะเปน ผไู มป ระมาท จะเปน อยูโดยอาศยั ความไมประมาทดวย” ดูกรมหาบพติ ร เม่ือพระองคทรงเปน ผไู มป ระมาท ทรงดาํ เนินพระจริยาอาศยั ความไมประมาทอยู แม ตัวพระองคเอง ก็เปนอันไดร ับการคุมครองรกั ษา แมพวกฝา ยในก็เปน อนั ไดรับการคุมครองรักษา (ตลอดจน) แมเรอื นคลงั ยุง ฉาง ก็เปน อนั ไดรับการคมุ ครองรกั ษา มีสติรกั ษาตวั เทากับชว ยรกั ษาสงั คม พุทธพจนแ สดงคุณคาของสติ ในเสทกสูตรตอไปน้ี เปน ตัวอยา งที่ดีแหงหนึง่ ซ่ึงเชอื่ มโยงใหเ หน็ ความ หมายและคุณคา ในทางปฏิบัติทใ่ี กลช ิดกันของ อปั ปมาท กบั สติ ชว ยใหเ ขา ใจความหมายของธรรมทั้งสองขอ นัน้ ชัดเจนยงิ่ ข้นึ ในเวลาเดียวกัน พทุ ธพจนนน้ั กแ็ สดงใหเ ห็นดวยวา พุทธธรรมมองชวี ติ ดา นในของบุคคล โดยสัมพนั ธ กบั คณุ คา ดา นนอกคือทางสังคม และถือวาคุณคา ทงั้ สองดา นน้เี ชอื่ มโยงถงึ กนั ไมแยกจากกนั และสอดคลอ งไป ดวยกนั ภิกษทุ ัง้ หลาย เร่ืองเคยมมี าแลว นกั กายกรรม ยกลาํ ไมไผขึน้ ต้งั แลว เรียกศิษยมาบอกวา “มานแ่ี นะ เธอ เจาไตไ มไผข น้ึ ไปแลว จง (เลีย้ งตวั ) อยูเ หนอื ตนคอของเรา” ศิษยรบั คําแลว ก็ไตลาํ ไมไผข ึ้นไป ยนื (เลยี้ งตัว)อยู บนตนคอของอาจารย คราวนัน้ นกั กายกรรมไดพ ดู กบั ศษิ ยว า “นแี่ นะเธอ เธอจงรกั ษาฉนั นะ ฉนั กจ็ ะรกั ษาเธอ เราท้งั สองระวงั รักษากนั และกันไวอยางนี้ จักแสดงศิลปะไดดว ย จกั ไดเ งนิ ดว ย และจกั ลงจากลําไมไผไ ดโ ดยสวัสดีดวย” คร้ันอาจารยก ลาวอยางน้แี ลว ศิษยจงึ กลาวกบั อาจารยบ างวา “ทา นอาจารยข อรับ จะทําอยา งน้ันไม ได ทา นอาจารย (น่ันแหละ) จงรกั ษาตวั เองไว ผมก็จักรกั ษาตวั ผมเอง เราท้ังสองตางระวังรกั ษาตัวของตัวไว อยา งนี้ จักแสดงศลิ ปะไดดว ย จกั ไดเ งินดว ย และจักลงจากลําไมไผไดโ ดยสวัสดดี วย” พระผูม ีพระภาคตรสั วา: นนั่ เปนวิธปี ฏบิ ตั ทิ ถ่ี ูกตอ งในเร่อื งนน้ั ดุจเดียวกบั ที่ศิษยพดู กบั อาจารย (นัน่ เอง) เมอ่ื คดิ วา “เราจะรักษาตวั เอง” กพ็ ึงตองใชส ตปิ ฏ ฐาน (มสี ติไว) เมอ่ื คดิ วา “เราจะรักษาผูอนื่ ” ก็พึงตอง ใชส ตปิ ฏ ฐาน (เหมอื นกนั ) ภิกษุทงั้ หลาย เม่อื รักษาตน กช็ ่อื วารักษาผูอ ่นื (ดว ย) เมอื่ รกั ษาผูอ ื่น ก็ชือ่ วา รกั ษาตนดวย เม่อื รกั ษาตน ก็ชื่อวา รกั ษาผอู ่นื นน้ั อยางไร? ดว ยการหม่ันปฏิบัติดว ยการเจริญอบรม ดวยการทาํ ให มาก อยา งน้แี ล เมอ่ื รักษาตน กช็ ือ่ วารักษาผูอืน่ (ดว ย) เมอ่ื รกั ษาผูอ นื่ ก็ช่อื วารกั ษาตน น้นั อยา งไร? ดวยขนั ติ ดวยอวิหิงสา ดว ยความมีเมตตาจติ ดวยความ เอน็ ดูกรณุ า อยา งนีแ้ ล เมอ่ื รกั ษาผอู ่ืน กช็ อ่ื วารกั ษาตน (ดว ย)
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 199 ภิกษุทั้งหลาย เมือ่ คิดวา “เราจะรกั ษาตน” กพ็ งึ ตองใชส ตปิ ฏฐาน เมอ่ื คดิ วา “เราจะรกั ษาผอู ่นื ” ก็พงึ ตอ งใชส ตปิ ฏ ฐาน เม่ือรกั ษาตน ก็ช่อื วารักษาคนอืน่ (ดวย) เมอื่ รักษาคนอืน่ ก็ชอ่ื วา รักษาตนเอง (ดวย) บทบาทของสตใิ นกระบวนการพฒั นาปญ ญา และกําจัดอาสวกิเลส อปั ปมาท คอื ความไมประมาทนนั้ หมายถึงการมีชวี ติ อยูอ ยา งไมขาดสติ หรือ การใชสตอิ ยเู สมอในการ ครองชวี ิต อปั ปมาท เปนตวั การทําใหร ะมดั ระวังตัว ปอ งกนั ไมใ หพลาดตกไปในทางชวั่ หรือเส่อื ม คอยยบั ยัง้ เตอื น ไมใ หเพลิดเพลินมวั เมาลุมหลงสยบอยู คอยกระตุน ไมใหหยุดอยกู ับที่ และคอยเรง เรา ใหข ะมกั เขมนทจี่ ะกาว เดินรดุ หนาอยเู ร่ือยไป ทาํ ใหส ํานึกในหนา ทอี่ ยเู สมอ โดยตระหนักถึงส่ิงควรทาํ -ไมควรทาํ ทาํ แลว และยังมิไดท ํา และชว ยใหท าํ การตา งๆ ดว ยความละเอียดรอบคอบ จงึ เปนองคธ รรมสําคญั ยิ่งในระบบจรยิ ธรรมดังไดกลา ว แลว อยา งไรก็ดี ความสําคญั ของอปั ปมาทน้ัน เหน็ ไดวา เปนเรือ่ งจริยธรรมในวงกวาง เก่ยี วกบั ความเปนอยู ประพฤติปฏิบตั ทิ ่วั ๆ ไปของชีวติ กําหนดครา วๆ ตง้ั แตระดับศลี ถงึ สมาธิ ในระดับน้ี สตทิ าํ หนาท่กี าํ กบั ตามดแู ลพว งไปกับองคธ รรมอื่นๆ ทวั่ ไปหมด โดยเฉพาะจะมวี ายามะหรือ ความเพียรควบอยูด วยเสมอ การทาํ งานของสติจึงปรากฏออกมาในภาพรวมของอปั ปมาท คือความไมป ระมาท ที่เหมอื นกบั คอยวง่ิ เตนเรงเรา อยูในวงนอก ครั้นจํากดั ขอบเขตการทาํ งานแคบเขา มา และลกึ ละเอยี ดลงไปในข้ันการดําเนินของจติ ในกระบวนการ พัฒนาปญญา หรือการใชป ญ ญาชาํ ระลา งภายในดวงจติ ซ่ึงเปน เรอ่ื งจําเพาะเขามาขา งในกระบวนการทาํ งาน ในจิตใจ และแยกแยะรายละเอยี ดซอยถ่ีออกวเิ คราะหเปนขณะๆ ในระดับน้เี อง ท่สี ติทําหนา ทขี่ องมนั อยางเตม็ ท่ี และเดน ชดั กลายเปน ตวั แสดงทมี่ ีบทบาทสําคัญ ทีเ่ รยี กโดยช่ือของมันเอง ความหมายท่แี ทจาํ เพาะตวั ของ “สติ” อาจเขาใจไดจ ากการพจิ ารณาการปฏิบัติหนา ที่ของสติ ในกรณที ่ี มีบทบาทของมันเองแยกจากองคธรรมอืน่ ๆ อยางเดนชดั เชน ในขอปฏิบัตทิ เี่ รียกวา สติปฏฐาน ในกรณีเชนนี้ พอจะสรปุ การปฏิบัตหิ นา ที่ของ “สต”ิ ไดดังนี้ ลกั ษณะการทํางานโดยทว่ั ไปของ สติ นนั้ คอื การไมปลอยใจใหเ ล่อื นลอย ไมป ลอยอารมณใหผ า น เร่อื ยเปอยไป หรอื ไมปลอ ยใหค วามนึกคดิ ฟงุ ซา นไปในอารมณต างๆ แตค อยเฝา ระวงั เหมอื นจับตาดูอารมณท ่ี ผานมาแตละอยา ง มงุ หนาเขาหาอารมณนน้ั ๆ เม่ือตอ งการกําหนดอารมณใ ด ก็เขา จับดตู ดิ ๆ ไป ไมยอมให คลาดหาย คอื นึกถงึ หรือระลกึ ไวเ สมอ ไมย อมใหหลงลมื มคี ําเปรยี บเทยี บวา สติ เปน เหมอื นเสาหลัก เพราะปกแนน ในอารมณ หรือเหมอื นนายประตู เพราะเฝา อายตนะตา งๆ ท่ีเปน ทางรบั อารมณ ตรวจดูอารมณท ่ีผา นเขา มา
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 200 ปทฏั ฐาน หรือเหตุใกลช ิดทจี่ ะใหเ กิดสติ กค็ ือ สัญญา (การกาํ หนดหมาย) ท่ถี นดั มนั่ หรอื สติปฏฐาน ตา งๆ ท่ีจะกลาวตอไป พจิ ารณาในแงจริยธรรม จะมองเห็นการปฏบิ ตั หิ นาทขี่ องสตไิ ด ทั้งในแงน ิเสธ (negative) และในแงน าํ หนุน (positive) ในแงนิเสธ สติเปน ตัวปองกัน ยับย้ังจิตไมใหฟงุ ซาน ไมใ หกาวพลาด ไมใ หถ ลําลงในธรรมท่ไี มพึง ประสงค ไมย อมใหความชั่วไดโ อกาสเกิดข้ึนในจติ และไมย อมใหใ ชค วามคดิ ผิดทาง ในดา นนาํ หนนุ สตเิ ปน ตัวควบคมุ ตรวจตรากระแสการรบั รู ความนึกคดิ และพฤตกิ รรมทุกอยาง ใหอ ยู ในแนวทางท่ีตอ งการ คอยกาํ กบั จิตไวก บั อารมณทต่ี อ งการ และจงึ เปนเครื่องมือสาํ หรับยึดหรอื เกาะกุมอารมณ ใดๆ ก็ตาม ดุจเอาวางไวขา งหนา จติ เพือ่ พิจารณาจัดการอยางใดอยางหนึง่ ตอไป ในทางปฏิบตั ขิ องพทุ ธธรรม เนนความสาํ คัญของสตมิ าก อยา งทกี่ ลาววา สติจาํ ปรารถนา (คอื ตอ งนํา มาใช) ในกรณีทั้งปวง หรือ สติมปี ระโยชนใ นทกุ กรณี และเปรียบสตเิ หมือนเกลอื ทตี่ อ งใชในกับขาวทุกอยา ง และเหมือนนายกรฐั มนตรเี กี่ยวของในราชการทกุ อยา ง เปนทง้ั ตวั การเหนีย่ วร้งั ปรามจติ และหนนุ ประคองจติ ตามควรแกก รณี เมื่อนาํ ลกั ษณะการทาํ หนา ที่ของสตทิ ก่ี ลา วแลวนน้ั มาพจิ ารณาประกอบ จะมองเห็นประโยชนท่มี งุ หมายของการปฏบิ ัติฝกฝนในเรือ่ งสติ ดังน้ี :- ๑. ควบคุมรกั ษาสภาพจิตใหอ ยใู นภาวะทีต่ องการ โดยตรวจตรากระบวนการรับรูแ ละกระแส ความคิด เลือกรับสง่ิ ทีต่ อ งการ กนั ออกไปซึ่งส่ิงทีไ่ มต อ งการ ตรึงกระแสความคดิ ใหนิง่ เขา ท่ี และทําใหจ ิตเปน สมาธไิ ดงาย ๒. ทําใหรา งกายและจติ ใจอยูในสภาพทเี่ รยี กไดวาเปนตวั ของตวั เอง เพราะมีความโปรงเบา ผอ น คลาย เปนสขุ โดยสภาพของมันเอง พรอมทจ่ี ะเผชิญความเปนไปตา งๆ และจัดการกบั สงิ่ ท้ังหลายในโลกอยาง ไดผ ลดี ๓. ในภาวะจติ ทเี่ ปนสมาธิ อาจใชสติเหนย่ี วนาํ กระบวนการรบั รู และกระแสความคดิ ทาํ ขอบเขต การรบั รแู ละความคิดใหขยายออกไปโดยมิตติ างๆ หรอื ใหเ ปน ไปตางๆ ได ๔. โดยการยดึ หรือจับเอาอารมณท่เี ปนวัตถุแหงการพจิ ารณาวางไวตอ หนา จึงทาํ ใหก ารพจิ ารณา สบื คน ดว ยปญ ญาดาํ เนนิ ไปไดชัดเจนเตม็ ที่ เทากบั เปน ฐานในการสรา งเสรมิ ปญญาใหเจรญิ บรบิ รู ณ ๕. ชําระพฤตกิ รรมตางๆ ทุกอยา ง (ทง้ั กายกรรม วจกี รรม มโนกรรม) ใหบรสิ ุทธ์ิ อิสระ ไมเกลือก กลว้ั หรือเปนไปดว ยอํานาจตัณหาอปุ าทาน และรว มกบั สัมปชญั ญะ ทาํ ใหพ ฤตกิ รรมเหลา นน้ั เปน ไปดว ยปญ ญา หรอื เหตุผลบริสทุ ธิ์ ลวนๆ ประโยชนข อท่ี ๔ และ ๕ นั้น นับวา เปนจดุ หมายข้นั สงู จะเขา ถึงไดดวยวธิ ีปฏิบัติท่กี ําหนดไวเปน พิเศษ ซง่ึ ตามคําจํากัดความในขอ สมั มาสติน้ี ก็ไดแก สติปฏ ฐาน ๔
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235