พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 201 สติปฏฐานในฐานะสมั มาสติ สตปิ ฏฐาน แปลกันวา ทตี่ ้ังของสตบิ า ง การปรากฏของสตบิ า ง ฯลฯ ถอื เอาแตใ จความงายๆ ก็คอื การ ใชส ติ หรอื วธิ ีปฏบิ ัติเพ่ือใชสตใิ หบ ังเกดิ ผลดีถึงท่ีสดุ อยา งที่กลา วถงึ ในพทุ ธพจนในมหาสตปิ ฏ ฐานสูตรวา ภิกษุทัง้ หลาย ทางนีเ้ ปน มรรคาเอก เพือ่ ความบริสุทธข์ิ องสัตวท้งั หลาย เพอ่ื ขา มพน โสกะและปริเทวะ เพ่อื ความอัสดงแหง ทกุ ขแ ละโทมนสั เพื่อบรรลโุ ลกตุ ตรมรรค เพ่อื กระทําใหแจงซึง่ นิพพาน น้ีคอื สตปิ ฏ ฐาน ๔ การเจรญิ สติปฏฐานน้ี เปน วธิ ปี ฏบิ ตั ธิ รรมทน่ี ิยมกนั มา และยกยองนับถอื กันอยางสูง ถอื วามีพรอ มทัง้ สมถะ และวิปส สนาในตัว ผูปฏบิ ตั ิอาจเจริญสมถะจนไดฌ าน อยา งทีจ่ ะกลาวถึงในเรอื่ งสมั มาสมาธิ อันเปน องคมรรคขอ ท่ี ๘ กอ น แลวจึงเจรญิ วิปส สนาตามแนวสติปฏ ฐานไปจนถงึ ทส่ี ุดกไ็ ด หรือจะอาศัยสมาธเิ พยี งข้ันตน ๆ เทา ทจี่ าํ เปน มาประกอบ เจรญิ แตว ปิ สสนาฝายเดยี วตามแนวสติปฏฐานน้ี ไปจนถึงท่ีสุดก็ได วิปสสนา เปนหลักปฏิบัตสิ ําคญั ในพระพุทธศาสนา ทีไ่ ดยินไดฟ ง กนั มาก พรอมกบั ท่ีมคี วามเขา ใจไขว เขวอยมู ากเชนเดยี วกัน จึงเปนเรื่องทค่ี วรทาํ ความเขาใจตามสมควร จากการศกึ ษาครา วๆ ในเรอ่ื งสตปิ ฏ ฐานตอ ไปนี้ จะชวยใหเ กิดความเขา ใจในความหมายของวปิ สสนาดีขนึ้ ทั้งในแงสาระสําคัญ ขอบเขตความกวา งขวาง และความยดื หยนุ ในการปฏบิ ัติ ตลอดจนโอกาสท่ีจะฝกฝนปฏบิ ตั ิ โดยสมั พนั ธกับการดําเนนิ ชีวติ ของคนทว่ั ไป วาเปนไปไดและมปี ระโยชนเ พยี งใด เปน ตน อยา งไรกต็ าม ในท่ีน้ี ไมไดม ุงอธิบายเรือ่ งวิปส สนาโดยตรง คงมุง เพยี งใหเขา ใจวปิ ส สนาเทาทมี่ องเห็นไดจ ากสาระสาํ คญั ของสติปฏฐานเทาน้นั ก) สตปิ ฏ ฐาน ๔ โดยสงั เขป สติปฏฐาน มีใจความโดยสังเขป คือ:- ๑. กายานุปสสนา การพจิ ารณากาย หรือตามดูรูท นั กาย ๑.๑ อานาปานสติ คอื ไปในทีส่ งดั นง่ั ขัดสมาธิ ตั้งสตกิ าํ หนดลมหายใจเขา ออก โดยอาการ ตา งๆ ๑.๒ กําหนดอริ ิยาบถ คือ เมอื่ ยืน เดนิ นั่ง นอน หรือรา งกายอยูใ นอาการอยางไรๆ ก็รูชดั ในอาการที่ เปนอยนู น้ั ๆ ๑.๓ สมั ปชญั ญะ คือ มีสมั ปชัญญะในการกระทาํ และความเคลื่อนไหวทกุ อยา ง เชน การกาวเดิน การเหลียวมอง การเหยยี ดมอื นงุ หมผา กนิ ด่มื เค้ียว ถา ยอจุ จาระ ปส สาวะ การตืน่ การหลับ การพูด การนง่ั เปน ตน ๑.๔ ปฏิกูลมนสกิ าร คือ พิจารณารางกายของตนตง้ั แตศีรษะจดปลายเทา ซงึ่ มีสว นประกอบทไี่ ม สะอาดตางๆ มากมายมารวมๆ อยูดว ยกนั ๑.๕ ธาตุมนสิการ คือ พจิ ารณารางกายของตน โดยใหเ ห็นแยกประเภทเปน ธาตุ ๔ แตละอยา งๆ
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 202 ๑.๖ นวสวี ถกิ า คอื มองเหน็ ศพท่ีอยใู นสภาพตางๆ กนั โดยระยะเวลา ๙ ระยะ ตง้ั แตตายใหมๆ ไป จนถงึ กระดกู ผแุ ลว ในแตล ะกรณีนนั้ ใหยอนมานกึ ถงึ รา งกายของตน วา กจ็ ะตอ งเปน เชน นั้น เหมอื นกนั ๒. เวทนานุปส สนา การตามดรู ูทันเวทนา คอื เมื่อเกิดความรูส ึกสุขก็ดี ทกุ ขกด็ ี เฉยๆ ก็ดี ทงั้ ทีเ่ ปน ชนิดสามสิ และนิรามสิ กร็ ูชัดตามทีเ่ ปนอยูในขณะน้ันๆ ๓. จิตตานปุ ส สนา การตามดรู ทู ันจติ คอื จติ ของตนในขณะน้นั ๆ เปนอยางไร เชน มรี าคะ ไมมี ราคะ มีโทสะ ไมม ีโทสะ มีโมหะ ไมมีโมหะ ฟุงซาน เปน สมาธิ หลดุ พน ยงั ไมหลดุ พน ฯลฯ ก็รู ชดั ตามทมี่ นั เปนอยูในขณะนน้ั ๆ ๔. ธมั มานปุ ส สนา การตามดูรทู ันธรรม คอื ๔.๑ นวิ รณ คอื รูช ัดในขณะน้นั ๆ วา นวิ รณ ๕ แตล ะอยา งๆ มีอยูในใจตนหรอื ไม ทย่ี งั ไมเกิด เกดิ ขนึ้ ไดอ ยา งไร ท่เี กิดขนึ้ แลว ละเสยี ไดอยางไร ทล่ี ะไดแ ลว ไมเ กดิ ขน้ึ อีกตอ ไปอยา งไร รชู ัดตามที่ เปนไปอยใู นขณะนน้ั ๆ ๔.๒ ขันธ คือ กาํ หนดรวู า ขันธ ๕ แตละอยาง คืออะไร เกดิ ขึ้นไดอ ยางไร ดับไปไดอ ยา งไร ๔.๓ อายตนะ คือ รูชัดในอายตนะภายในภายนอกแตล ะอยา งๆ รูชัดในสัญโญชนท ีเ่ กดิ ขึน้ เพราะ อาศยั อายตนะนั้นๆ รชู ัดวาสญั โญชนท่ยี ังไมเ กิด เกิดขนึ้ ไดอยา งไร ทเ่ี กิดขนึ้ แลว ละเสียได อยางไร ท่ีละไดแลว ไมเกดิ ข้ึนไดอกี ตอ ไปอยางไร ๔.๔ โพชฌงค คอื รูชดั ในขณะน้ันๆ วา โพชฌงค ๗ แตล ะอยางๆ มีอยใู นใจตนหรอื ไม ทยี่ งั ไมเ กิด เกดิ ข้ึนไดอยางไรทเี่ กิดข้นึ แลว เจริญเต็มบริบรู ณไดอ ยางไร ๔.๕ อริยสัจ คือ รูชัดอริยสัจ ๔ แตล ะอยา งๆ ตามความเปน จริง วา คืออะไร เปน อยางไร ในตอนทา ยของทกุ ขอ ทกี่ ลา วน้ี มีขอ ความอยา งเดยี วกนั วาภิกษพุ จิ ารณาเหน็ กายในกายภายใน (=ของ ตนเอง) อยบู าง พจิ ารณาเหน็ กายในกายภายนอก (=ของคนอ่นื ) อยบู า ง พจิ ารณาเหน็ กายในกาย ท้ังภายใน ภายนอกอยบู าง พจิ ารณาเหน็ ธรรมคอื ความเสอ่ื มสน้ิ ไปในกายอยูบ าง พจิ ารณาเห็นธรรมคอื ความเกิดข้ึนและ ความเส่อื มส้ินไปในกายอยบู าง กแ็ ล มีสตปิ รากฏชัดวา “กายมีอย”ู เพียงพอเปนความรู และพอสําหรับระลึก เทาน้นั แลเธอเปนอยูอยางไมอ ิงอาศยั และไมย ดึ มัน่ ส่ิงใดๆ ในโลก ข) สาระสําคญั ของสตปิ ฏ ฐาน จากใจความยอ ของสตปิ ฏฐานที่แสดงไวแลว น้นั จะเห็นวา สติปฏ ฐาน (รวมทัง้ วิปส สนาดวย) ไมใ ชห ลกั การท่จี ํากัดวาจะตอ งปลีกตัวหลบลี้ไปนั่งปฏิบัติอยนู อกสงั คม หรอื จําเพาะในกาลเวลาตอนใดตอนหนง่ึ โดยเหตุ น้ีทานผรู ูจงึ สนับสนุนใหนาํ มาปฏบิ ตั ิในชีวติ ประจําวันทั่วไป
พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 203 จากขอ ความในคําแสดงสติปฏ ฐานแตล ะขอ ขางตน จะเหน็ ไดว า ในเวลาปฏิบตั นิ ั้น ไมใ ชใชสตเิ พียง อยางเดียว แตม ีธรรมขอ อนื่ ๆ ควบอยดู วยธรรมทไี่ มบง ถึงไว ก็คอื สมาธิ ซึง่ จะมอี ยดู วยอยางนอยในขั้นออนๆพอ ใชสําหรับการนี้ สวนธรรมทรี่ ะบไุ วด วย ไดแ ก ๑. อาตาป = มีความเพยี ร (ไดแกอ งคมรรคขอ ๖ คือสมั มาวายามะ ซงึ่ หมายถึงเพยี รระวังปองกัน และละความชวั่ กับเพยี รสรา งและรักษาความดี) ๒. สัมปชาโน = มสี มั ปชัญญะ (คอื ตัวปญ ญา ไดแกสมั มาทิฏฐิ) ๓. สติมา = มีสติ (หมายถงึ สตทิ ่ีกาํ ลังพดู ถึงน้ี คอื สมั มาสต)ิ ขอนา สังเกตคอื สมั ปชาโน ซง่ึ แปลวา มสี มั ปชญั ญะ สมั ปชัญญะนี้ จะเห็นไดวาเปน ธรรมทม่ี กั ปรากฏ ควบคกู บั สติ สัมปชัญญะก็คอื ปญ ญา ดังนนั้ การฝก ฝนในเร่อื งสติน้จี งึ เปนสว นหนง่ึ ในกระบวนการพัฒนา ปญ ญานั่นเอง สมั ปชัญญะ หรอื ปญญา ก็คอื ความรคู วามเขาใจตระหนักชดั ตอส่งิ ท่สี ตกิ ําหนดไวน ัน้ หรอื ตอ การ กระทาํ ในกรณีนน้ั วา มคี วามมุงหมายอยา งไร สิ่งทท่ี าํ นน้ั เปนอยา งไร ปฏิบัติตอมนั อยา งไร และไมเ กดิ ความหลง หรือความเขาใจผดิ ใดๆ ข้ึนมาในกรณนี นั้ ๆ ขอความตอไปทวี่ า “กาํ จดั อภิชฌาและโทมนัสในโลกเสยี ได” แสดงถึงทาทีท่เี ปน ผลจากการมี สตสิ ัมปชัญญะวา เปนกลาง เปน อิสระ ไมถูกกเิ ลสผูกพนั ท้งั ในแงต ดิ ใจอยากได และขัดเคืองเสียใจในกรณีน้นั ๆ ขอความตอทายเหมือนๆ กนั ของทุกขอ ท่ีวา “มองเหน็ ความเกิดความเส่ือมสน้ิ ไป” น้นั แสดงถึงการ พจิ ารณาเขาใจตามหลกั ไตรลักษณ จากนนั้ จึงมที ศั นคติทเี่ ปน ผลเกดิ ข้ึน คอื การมองและรูส กึ ตอส่ิงเหลานน้ั ตามภาวะของมันเอง เชนทว่ี า “กายมอี ย”ู เปน ตน กห็ มายถงึ รับรคู วามจริงของสง่ิ นนั้ ตามทเ่ี ปนอยา งนัน้ ของมนั เอง โดยไมเอาความรสู ึกสมมติและยึดม่ันตา งๆ เขา ไปสวมใสใหมัน วา เปน คน เปน ตัวตน เปน เขา เปน เรา หรอื กายของเรา เปนตน ทา ทีอยา งนกี้ ็คอื ทาทแี หงความเปนอิสระ ไมอิงอาศยั คอื ไมข ้ึนตอ สงิ่ น้นั สงิ่ น้ี ที่เปนปจจยั ภายนอก และไมยึดมั่นสิ่งตางๆ ในโลกดวยตัณหาอุปาทาน การปฏิบัติตามแนวสติปฏฐานน้ี นักศึกษาฝา ยตะวนั ตกบางทานนําไปเปรยี บเทยี บกับวิธกี ารแบบจิต วิเคราะหของจติ แพทย (psychiatrist)สมัยปจ จบุ นั และประเมินคุณคา วาสตปิ ฏฐานไดผ ลดกี วาและใชป ระ โยชนไดก วางขวางกวา เพราะทุกคนสามารถปฏบิ ัติไดเ องและใชในยามปรกติเพ่ือความมสี ุขภาพจติ ทด่ี ีไดดว ย อยางไรก็ตาม ในที่น้จี ะไมวิจารณความเห็นน้ัน แตจ ะขอสรปุ สาระสาํ คัญของการเจรญิ สตปิ ฏ ฐานใหม อีกแนวหน่ึง ดังน้ี ก. กระบวนการปฏิบตั ิ ๑. องคป ระกอบหรอื ส่ิงทีร่ ว มอยูในกระบวนการปฏิบัตนิ ี้ มี ๒ ฝา ย คือ ฝายทีท่ ํา (ตวั ทาํ การ ทีค่ อย กําหนดหรอื คอยสังเกตตามดรู ูทนั ) กบั ฝายทถ่ี กู ทาํ (สิ่งท่ถี ูกกาํ หนด หรือถกู สังเกตตามดรู ทู นั )
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 204 ๒. องคประกอบฝา ยที่ถูกทาํ หรือถูกกําหนดตามดรู ูทัน ก็คอื ส่งิ ธรรมดาสามัญทมี่ อี ยกู ับตัวของทกุ คน นน่ั เอง เชน รางกาย การเคลื่อนไหวของรา งกาย ความรูสกึ นกึ คิดตางๆ เฉพาะทีเ่ ปน ปจจบุ นั คอื กําลงั เกิดข้ึน เปน ไปอยูใ นขณะนั้นๆ ๓. องคประกอบฝายทีท่ ํา คือ คอยกาํ หนด คอยตามดูรูทนั เปน องคธรรมหลักของสตปิ ฏ ฐาน ไดแก สติ กบั สัมปชัญญะ สติ เปนตวั เกาะจบั ส่งิ ที่จะพิจารณาเอาไว สมั ปชญั ญะ คือตวั ปญญาท่ีรชู ดั ตอ สงิ่ หรืออาการที่ถูก พจิ ารณานัน้ โดยตระหนกั วา คอื อะไร เปนอยา งไร มคี วามมงุ หมายอยา งไร เชน เมอ่ื กําหนดพจิ ารณาการเคลอ่ื น ไหวของรา งกาย ขณะท่ีเดนิ กร็ พู รอมอยกู ับตวั วา กําลังเดิน ไปไหน เปน ตน และเขา ใจส่ิงนน้ั หรือการกระทํานน้ั ตามความเปนจรงิ โดยไมเอาความรูส ึกชอบใจหรือไมช อบใจเปนตนของตนเขาไปปะปนหรอื ปรุงแตง ๔. อาการทกี่ าํ หนดและตามดูรทู นั นน้ั เปน อยางท่ีวา ใหรเู หน็ ตามทีม่ นั เปนในขณะนัน้ คือ ดู-เหน็ -เขา ใจ วา อะไร กําลังเปน อยา งไร ปรากฏผลอยางไรเทา น้ัน ไมเ กิดปฏิกิริยาใดๆ ในใจ ไมมกี ารคิดวิจารณ ไมม กี า วนิ จิ ฉัยวา ดชี ั่ว ถูกผดิ เปนตน ไมใสค วามรสู กึ ความโนม เอียงในใจ ความยึดม่นั ตางๆ ลงไปวา ถกู ใจ ไมถ กู ใจ ชอบ ไมชอบ เพยี งเห็นเขา ใจตามทม่ี ันเปน ของสง่ิ น้ัน อาการนน้ั แงน ั้นๆ เองโดยเฉพาะ ไมสรางความคดิ ผนวก วา ของเรา ของเขา ตัวเรา ตัวเขา นาย ก. นาย. ข. เปนตน ยกตัวอยา งเชน ตามดูเวทนาในใจของตนเอง ขณะน้นั มที กุ ขเ กดิ ขึน้ มีความกงั วลใจเกดิ ขนึ้ ก็รวู า ทกุ ข เกดิ ข้ึน ทกุ ขน ั้นเกิดข้ึนอยา งไร กาํ ลงั จะหมดส้นิ ไปอยางไร กลายเปนเหมอื นกับสนุกไปกับการศึกษาพจิ ารณา วิเคราะหทกุ ขของตน และทกุ ขน น้ั จะไมมีพิษสงอะไรแกต วั ผพู จิ ารณาเลย เพราะเปนแตต ัวทุกขเ องลวนๆ ท่ี กาํ ลังเกิดขึ้น กาํ ลงั ดบั ไป ไมมที ุกขข องฉนั ฉนั เปน ทกุ ข ฯลฯ แมแ ตค วามดีความชั่วใดๆ ก็ตามทม่ี ีอยู หรือปรากฏขึน้ ในจติ ใจขณะนน้ั ๆ ก็เขา เผชิญหนามัน ไมเลีย่ ง หนี เขา รับรูต ามดมู นั ตามที่มันเปนไป ต้ังแตมนั ปรากฏตัวขน้ึ จนมนั หมดไปเองตามเหตุปจ จยั แลวก็ตามดสู งิ่ อนื่ ตอ ไปท้งั นี้ เปนทา ทที ่ีเปรียบไดก บั แพทยที่กาํ ลงั ชาํ แหละตรวจดศู พ หรอื นกั วทิ ยาศาสตรท ก่ี ําลงั สังเกตดวู ตั ถุท่ี ตนกาํ ลงั ศกึ ษา ไมใ ชท าทแี บบผูพพิ ากษาทีก่ ําลังพิจารณาคดรี ะหวางโจทกกบั จาํ เลย เปน การดูเห็นแบบสภาว วิสัย (objective) ไมใชส กวสิ ยั (subjective) ข. ผลของการปฏบิ ัติ ๑. ในแงความบริสทุ ธ์ิ เมอ่ื สติจบั อยูกับสงิ่ ที่กาํ หนดอยา งเดียว และสมั ปชัญญะรูเขา ใจสิ่งนน้ั ตามทีม่ นั เปน ยอ มเปน การควบคมุ กระแสการรับรูและความคดิ ไวใ หบริสุทธิ์ ไมมีชองทก่ี ิเลสตางๆ จะเกดิ ขึน้ ได และใน เม่ือมองเหน็ สง่ิ เหลา น้ันเพยี งแคตามท่ีมันเปน ไมใ สค วามรูสกึ ไมส รา งความคดิ คํานึงตามความโนมเอยี งและ ความใฝใจตางๆ ท่เี ปน สกวสิ ัย (subjective) ลงไป ก็ยอ มไมม คี วามยดึ มัน่ ถอื มนั่ ตา งๆ ไมม ีชองท่กี เิ ลสทง้ั หลาย เชนความโกรธจะเกดิ ขนึ้ ได เปน การกาํ จัดอาสวะเกา และปองกันอาสวะใหมไ มใ หเกิดข้นึ
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 205 ๒. ในแงความเปน อิสระ เม่ือมีสภาพจติ ท่บี ริสทุ ธิ์อยางในขอ ๑. แลว ก็ยอมมีความเปน อสิ ระดวย โดย จะไมหวน่ั ไหวไปตามอารมณต า งๆ ทเ่ี ขามากระทบ เพราะอารมณเหลา น้นั ถกู ใชเ ปนวัตถสุ ําหรบั ศกึ ษาพจิ ารณา แบบสภาววสิ ยั (objective) ไปหมด เม่ือไมถ ูกแปลความหมายตามอํานาจอาสวะที่เปน สกวิสัย (subjective) สิ่งเหลา นน้ั กไ็ มม อี ิทธพิ ลตามสกวิสยั แกบ คุ คลน้นั และพฤตกิ รรมตา งๆ ของเขา จะหลุดพน จากการถกู บงั คับ ดว ยกเิ ลสทเ่ี ปน แรงขับหรอื แรงจูงใจไรส าํ นกึ ตา งๆ (unconscious drives หรอื unconscious motivations) เขา จะเปนอยูอยา งทเี่ รียกวา ไมองิ อาศัย ไมยดึ ม่ันสง่ิ ใดในโลก ๓. ในแงป ญ ญาเม่ืออยูในกระบวนการทาํ งานของจติ เชนน้ปี ญญายอ มทําหนาทไี่ ดผ ลดีที่สดุ เพราะจะ ไมถ ูกเคลือบหรอื หนั เหไปดว ยความรูส กึ ความเอนเอียงและอคตติ างๆทําใหรเู ห็นตามท่ีมนั เปน คือรตู ามความ จริง ๔. ในแงความพน ทุกข เมอื่ จิตอยูในภาวะตืน่ ตัว เขา ใจสง่ิ ตา งๆ ตามทม่ี ันเปน และคอยรกั ษาทาทขี อง จิตอยไู ดเชนน้ี ความรูสกึ เอนเอียงในทางบวกหรอื ลบตอสง่ิ นนั้ ๆ ทมี่ ิใชเปนไปโดยเหตผุ ลบรสิ ุทธิ์ ยอ มเกดิ ข้ึนไม ได จงึ ไมมคี วามรูสกึ ทั้งในดา นตดิ ใครอยากได (อภชิ ฌา) และดา นขุนหมองขดั ขอ งใจ (โทมนัส) ปราศจาก อาการกระวนกระวาย (anxiety) ตางๆ เปน ภาวะจติ ท่เี รียกวา พน ทุกข มคี วามปลอดโปรง โลง เบา ผองใส ผอน คลาย ผลท่กี ลาวมาทงั้ หมดน้ี ความจริงก็สัมพนั ธเ ปนอันเดยี วกัน เปนแตแยกกลาวในแงตา งๆ เมอ่ื สรปุ ตามแนวปฏจิ จสมปุ บาทและไตรลกั ษณ กไ็ ดความวา เดิมมนุษยไ มร ูวา ตัวตนที่ยดึ ถอื ไว ไมมี จรงิ เปนเพยี งกระแสของรูปธรรมนามธรรมสวนยอยจาํ นวนมากมายที่สมั พันธเนอื่ งอาศัยเปนเหตุปจจยั สบื ตอ กนั กาํ ลังเกิดขนึ้ และเสอื่ มสลายเปล่ียนแปลงไปอยตู ลอดเวลา เม่ือไมรูเ ชนนี้ จงึ ยึดถอื เอาความรูส ึกนกึ คิด ความปรารถนา ความเคยชนิ ทัศนคติ ความเช่อื ความเหน็ การรบั รู เปนตน ในขณะน้ันๆ วา เปนตวั ตนของตน แลว ตวั ตนนนั้ ก็เปลี่ยนแปลงเรื่อยไป รูสึกวาฉนั เปน น่นั ฉนั เปนนี่ ฉนั รสู ึกอยางนน้ั ฉันรสู ึกอยา งน้ี ฯลฯ การรูส ึกวาตวั ฉันเปนอยา งนั้นอยา งนี้ กค็ ือการถูกความรูส ึกนึกคิด เปนตน ทเ่ี ปนนามธรรมสว นยอยใน ขณะน้นั ๆ หลอกเอา หรือเอาสงิ่ เหลา นน้ั มาสรา งภาพหลอกข้นึ นนั่ เอง เมอ่ื อยูใ นภาวะถกู หลอกเชนนัน้ ก็คือการ ตั้งตน ความคิดท่ผี ดิ พลาด จงึ ถกู ชกั จงู บังคับใหค ิดเหน็ รูส กึ และทาํ การตา งๆ ไปตามอํานาจของสงิ่ ทต่ี นยดึ วา เปน ตัวตนในขณะนนั้ ๆ คร้นั มาปฏบิ ตั ติ ามหลกั สตปิ ฏฐานแลว ก็มองเหน็ รูปธรรมนามธรรมแตละอยางทีเ่ ปนสว นประกอบของ กระแสนัน้ กาํ ลงั เกดิ ดับอยูต ามสภาวะของมัน เมือ่ วิเคราะหส วนประกอบตางๆ ในกระแส แยกแยะออกมองเหน็ กระจายออกไปเปน สวนๆ เปน ขณะๆ มองเห็นอาการทีด่ ําเนนิ สบื ตอ กนั เปน กระแสไปเรื่อยๆ แลว ยอ มไมถ ูก หลอกใหยดึ ถอื เอาสง่ิ นนั้ ๆ เปนตัวตนของตนและสง่ิ เหลาน้ันก็หมดอํานาจบังคบั ใหบ คุ คลอยใู ตการชกั จงู ของมนั ถาการมองเห็นน้เี ปน ไปอยางลึกซง้ึ สวางแจม ชดั เต็มที่ กเ็ ปน ภาวะทีเ่ รียกวา ความหลุดพน ทําใหจ ติ ต้งั ตน ดาํ เนนิ ในรปู ใหม เปนกระแสท่ีบริสทุ ธิโ์ ปรง เบา เปน อิสระ ไมม ีความเอนเอยี งยึดตดิ เงื่อนปมตางๆ ภายใน
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 206 เกิดเปนบุคลิกภาพใหม กลาวอกี นยั หนึ่งวา เปน ภาวะของจติ ทมี่ ีสขุ ภาพสมบูรณดุจรางกายท่ีเรียกวามสี ุขภาพ สมบูรณ เพราะองคอวัยวะทกุ สว นปฏิบตั ิหนาทไี่ ดคลอ งเต็มทีต่ ามปรกติของมัน ในเม่ือไมมโี รคเปนขอบกพรอ ง อยเู ลย โดยนัยน้ี การปฏบิ ัตติ ามหลกั สติปฏ ฐานจงึ เปนวิธกี ารชําระลางอาการเปนโรคตา งๆ ทมี่ ีในจติ กําจดั สิ่ง ที่เปนเงอ่ื นปมเปนอปุ สรรคถวงขัดขวางการทํางานของจติ ใหหมดไป ทําใหใ จปลอดโปรง พรอ มทจ่ี ะดาํ รงชวี ติ อยู เผชญิ และจัดการกับสงิ่ ท้ังหลายในโลกดว ยความเขมแข็งและสดชื่นตอ ไป สุขภาพกาย-สขุ ภาพใจ เร่ืองท่ีไดอ ธบิ ายมา อาจสรุปดวยพุทธพจนด ังตอ ไปนี้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย โรคมอี ยู ๒ ชนิดดังน้ี คอื โรคทางกาย ๑ โรคทางใจ ๑ สตั วท ง้ั หลายที่ยนื ยนั ไดวา ตนไมม ี โรคทางกายเลย ตลอดเวลาทง้ั ป กม็ ีปรากฏอยู ผูทีย่ นื ยนั ไดวา ตนไมม ีโรคทางกายเลย ตลอดเวลา ๒ ป ... ๓ ป ... ๔ ป ... ๑๐ ป ... ๒๐ ป ... ๓๐ ป ... ๔๐ ป ... ๕๐ ป ... ๑๐๐ ป ... ก็มปี รากฏอยู แตส ัตวทย่ี นื ยนั ไดว า ตนไม เปน โรคทางใจเลย แมช วั่ เวลาเพียงครหู น่งึ นน้ั หาไดย ากในโลก ยกเวนแตพระขณี าสพ (ผูสิ้นอาสวะแลว ) ทงั้ หลาย พระสารีบตุ ร: แนะ ทา นคฤหบดี อนิ ทรียข องทานผองใสนกั สหี นา ของทานก็สดใสเปลง ปล่งั วนั นี้ ทาน ไดฟงธรรมกี ถาในทเ่ี ฉพาะพระพกั ตรพ ระผูมพี ระภาคเจาแลว หรือ? คฤหบดนี กลุ บิดา: พระคุณเจา ผเู จรญิ ไฉนจะไมเ ปนเชน น้ีเลา วันนีพ้ ระผูมีพระภาคเจาทรงหลง่ั นา้ํ อมฤตรดขาพเจาแลว ดว ยธรรมกี ถา พระสารีบุตร: พระผูมีพระภาคเจาทรงหลัง่ อมฤตรดทา น ดว ยธรรมีกถาอยางไร? คฤหบดี: พระคุณเจาผูเจรญิ ขา พเจา เขาไปเฝาพระผูมีพระภาค ถวายอภิวาท นัง่ ณ ทค่ี วรสว นหนง่ึ แลว ไดก ราบทูลวา :- พระพุทธเจาขา ขา พระองคช ราแลว เปนคนแกเ ฒา ลวงกาลผานวยั มานาน รา งกายกม็ ีโรคเรา รมุ เจ็บ ปวยอยเู นืองๆ อนึง่ เลา ขา พระองคมไิ ด( มีโอกาส)เหน็ พระผมู ีพระภาค และพระภกิ ษุทั้งหลาย ผชู วยใหเ จริญใจ อยเู ปน นติ ย ขอพระผูมีพระภาค ไดโ ปรดประทานโอวาทสั่งสอนขา พระองค ในขอ ธรรมท่จี ะเปนไปเพือ่ ประโยชน เพอ่ื ความสขุ แกข า พระองค ตลอดกาลนาน พระคุณเจาผเู จรญิ พระผมู พี ระภาคไดต รสั กะขาพเจาวา : ถูกแลว ทา นคฤหบดี เปน เชนน้นั อนั รางกาย นี้ ยอมมีโรครุมเรา ดจุ ดงั วา ฟองไข ซง่ึ ผิวเปลือกหอหมุ ไว ก็ผูใ ดท่บี รหิ ารรา งกายนอี้ ยู จะยนื ยนั วาตนไมมีโรคเลย แมชั่วครหู น่ึง จะมีอะไรเลา นอกจากความเขลา เพราะเหตุฉะนนั้ แล ทานคฤหบดี ทา นพงึ ฝก ใจวา “ถงึ กายของ เราจะปว ยออดแอดไปแตใ จของเราจะไมปวยดวยเลย” พระคณุ เจาผเู จรญิ พระผูม ีพระภาคทรงหลง่ั อมฤตรดขา พเจา ดว ยธรรมีกถา ดง่ั นแ้ี ล
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 207 ๘. สัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิ เปน องคมรรคขอสุดทาย และเปนขอทม่ี ีเนือ้ หาสําหรบั ศกึ ษามาก เพราะเปน เรื่องของการ ฝก อบรมจติ ในขนั้ ลกึ ซ้ึง เปนเรื่องละเอียดประณีต ทงั้ ในแงท ี่เปน เร่ืองของจติ อันเปน ของละเอียด และในแงก าร ปฏิบัติ ทีม่ รี ายละเอยี ดกวางขวางซับซอน เปน จุดบรรจบ หรอื เปนสนามรวมของการปฏิบัติ ในการบรรยายเรอื่ งน้ี เห็นวา ถา จะแสดงเนือ้ หาไปตามลําดบั อยางในองคมรรคขอ กอ นๆ จะทาํ ใหเ ขา ใจ ยาก จึงเปลีย่ นมาใชว ิธสี รุปขอ ควรทราบ ใหเห็นใจความไวก อ น แลวจงึ แสดงเนอ้ื หาตอภายหลงั ความหมาย และระดบั ของสมาธิ “สมาธ”ิ แปลกันวา ความตง้ั มั่นของจติ หรือ ภาวะท่ีจิตแนวแนต อ สง่ิ ทกี่ ําหนด คาํ จาํ กัดความของสมาธิ ทพ่ี บเสมอ คือ “จติ ตัสเสกคั คตา” หรอื เรียกสัน้ ๆ วา “เอกคั คตา” ซง่ึ แปลวา ภาวะทีจ่ ิตมีอารมณเปน หนง่ึ คือ การทีจ่ ิตกําหนดแนวแนอยูกบั สิ่งใดสง่ิ หน่ึง ไมฟ ุงซา นหรอื สา ยไป สมาธิ นั้น แบง ไดเ ปน ๓ ระดบั คอื ๑. ขณิกสมาธิ สมาธิชัว่ ขณะ (momentary concentration) ซึ่งคนสามญั ทว่ั ไปสามารถนํามาใช ประโยชน ในการปฏิบัติหนาทกี่ จิ การงาน ในชีวติ ประจาํ วัน ใหไดผลดี ๒. อุปจารสมาธิ สมาธเิ ฉียดๆ หรือจวนจะแนวแน (neighbourhood concentration) ๓. อปั ปนาสมาธิ สมาธทิ ่ีแนว แนแนบสนิท (attainment concentration) สมาธิในขั้นฌาน เปนสมาธิ ระดับสูงสดุ ซึง่ ถือวาเปน ความสําเรจ็ ทีต่ อ งการของการเจรญิ สมาธิ “สัมมาสมาธ”ิ ตามคําจํากดั ความในพระสูตรตางๆ เจาะจงวาไดแก ฌาน ๔ อยา งไรก็ดี คําจาํ กัดความ น้ี ถือไดวาเปนการใหความหมายโดยยกหลักใหญเต็มรปู ขน้ึ มาตงั้ เปนแบบไว ใหรูวา การปฏบิ ัตสิ มาธทิ ีถ่ ูก จะ ตอ งดาํ เนนิ ไปในแนวนี้ ดังที่ผปู ฏบิ ัติธรรมสามารถเจริญวปิ สสนาไดโดยใชส มาธิเพียงขนั้ ตนๆ ที่เรยี กวา วปิ สสนาสมาธิ ซงึ่ เปนสมาธิในระดบั เดยี วกับขณิกสมาธิ และอปุ จารสมาธิ (ทานลาํ ดบั ไวระหวางขณิกสมาธกิ บั อุปจารสมาธิ) ผลสาํ เรจ็ ในระดบั ตางๆ ของการเจริญสมาธิ การเจรญิ สมาธนิ น้ั จะประณีตขึ้นไปเปน ขนั้ ๆ โดยลาํ ดบั ภาวะจิต ทม่ี สี มาธิถงึ ขั้นอปั ปนาสมาธิแลว เรียกวา “ฌาน” (absorption) ฌานมหี ลายขั้น ย่งิ เปนขน้ั สูงขึ้นไป องคธ รรมตางๆ ซง่ึ ทําหนา ทป่ี ระกอบอยกู บั สมาธิ ก็ยิ่งลดนอยลงไป ฌาน โดยทว่ั ไปแบง เปน ๒ ระดับใหญๆ และแบงยอยออกไปอีกระดบั ละ ๔ รวมเปน ๘ อยาง เรยี กวา ฌาน ๘ หรอื สมาบัติ ๘ คือ ๑. รปู ฌาน ๔ ไดแ ก
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 208 ๑) ปฐมฌาน (ฌานที่ ๑) มีองคป ระกอบ ๕ คอื วติ ก วจิ าร ปติ สขุ เอกคั คตา ๒) ทุติยฌาน (ฌานท่ี ๒) มีองคป ระกอบ ๓ คอื ปต ิ สขุ เอกคั คตา ๓) ตติยฌาน (ฌานท่ี ๓) มีองคประกอบ ๒ คอื สขุ เอกคั คตา ๔) จตุตถฌาน (ฌานที่ ๔) มีองคประกอบ ๒ คอื อเุ บกขา เอกัคคตา ๒. อรูปฌาน ๔ ไดแ ก ๑) อากาสานัญจายตนะ (ฌานทกี่ าํ หนดอากาศ-space อันอนนั ต) ๒) วิญญาณัญจายตนะ (ฌานทกี่ าํ หนดวญิ ญาณอันอนนั ต) ๓) อากญิ จัญญายตนะ (ฌานท่กี ําหนดภาวะท่ีไมมีสิง่ ใดๆ) ๔) เนวสญั ญานาสญั ญายตนะ (ฌานท่เี ขา ถึงภาวะมีสัญญากไ็ มใชไ มมสี ัญญาก็ไมใ ช) การเพียรพยายามบําเพ็ญสมาธิ โดยใชว ธิ กี ารใดๆ ก็ตาม เพือ่ ใหเ กดิ ผลสําเรจ็ เชน น้ีทา นเรยี กวา “สมถะ” มนษุ ยปถุ ชุ นเพยี รพยายามบําเพญ็ สมาธิเพยี งใดกต็ าม ยอ มไดผลสาํ เร็จอยา งสงู สดุ เพยี งเทาน้ี หมาย ความวา สมถะลว นๆ ยอ มนําไปสูภ าวะจติ ทเี่ ปนสมาธไิ ดสูงสุด ถึงฌาน เพยี งเนวสญั ญานาสัญญายตนะ เทา นั้น แตท า นผบู รรลุผลสําเรจ็ ควบท้ังฝา ยสมถะ และวปิ ส สนา เปนพระอนาคามหี รือพระอรหนั ต สามารถเขา ถึงภาวะทป่ี ระณีตสูงสดุ อีกข้นั หนึง่ นับเปน ขนั้ ที่ ๙ คือ สัญญาเวทยิตนโิ รธ หรอื นิโรธสมาบัติ เปนภาวะท่สี ญั ญา และเวทนาดบั คือหยุดปฏิบัติหนาท่ี และเปนความสุขขน้ั สูงสุด วิธีเจริญสมาธิ การปฏิบตั เิ พือ่ ใหเ กิดสมาธิ จนเปนผลสําเร็จตา งๆ อยางทกี่ ลา วแลวนัน้ ยอมมีวิธีการหรอื อบุ ายสาํ หรับ เหนี่ยวนําสมาธมิ ากมายหลายอยา ง พระอรรถกถาจารยไดรวบรวมขอปฏิบัตทิ ่ีเปนวธิ ีการตา งๆ เหลา น้ีวางไว มี ท้งั หมดถึง ๔๐ อยา ง คอื ๑. กสิณ ๑๐ เปนการใชว ตั ถภุ ายนอกเขาชวย โดยการเพงเพอ่ื ใหจติ รวมเปนหนึง่ วตั ถุที่ใชเ พง ได แก ดนิ น้าํ ไฟ ลม สีเขียว สเี หลอื ง สีแดง สขี าว อากาศ (ชอ งวาง) และแสงสวาง ซงึ่ จัดทําขึ้นเพอื่ ใหเ หมาะกบั การใชเ พงโดยเฉพาะ ๒. อสุภะ ๑๐ พิจารณาซากศพในระยะตา งๆ รวม ๑๐ ประเภท ๓. อนสุ ติ ๑๐ ระลึกถึงอารมณท ีส่ มควรชนิดตางๆ เชน พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคณุ ศลี จาคะ เปน ตน ๔. อปั ปมัญญา ๔ เจริญธรรมทเ่ี รียกวาพรหมวิหาร ๔ คอื เมตตา กรุณา มุทติ า อเุ บกขา โดยใชว ธิ ี แผไปอยางกวา งขวางไมมขี อบเขต ๕. อาหาเรปฏิกูลสัญญา ๑ กําหนดความเปนปฏิกลู ในอาหาร
พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 209 ๖. ธาตุววฏั ฐาน ๑ กาํ หนดพิจารณาธาตุ ๔ ๗. อรปู ๔ กําหนดอารมณของอรูปฌาน ๔ วิธีปฏบิ ตั ิ ๔๐ อยางน้ี เรียกวา กรรมฐาน ๔๐ การปฏบิ ัติกรรมฐานเหลา นต้ี า งกนั โดยผลสําเรจ็ ท่วี ิธี นั้นๆ สามารถใหเกดิ ขึ้น สงู ตํา่ มากนอยกวา กนั และตางโดยความเหมาะสมแกผ ูป ฏบิ ัติ ซง่ึ จะตอ งพิจารณา เลือกใชใหเ หมาะกบั ลกั ษณะนสิ ยั ความโนม เอียงทแ่ี ตกตา งกนั ระหวา งบคุ คล ที่เรียกวา “จรยิ า” ตา งๆ เชน อสภุ ะเหมาะสาํ หรับคนหนักทางราคะ เมตตาเหมาะสําหรบั คนหนกั ในโทสะ เปน ตน จรยิ า มี ๖ คอื ๑. ราคจริยา ลกั ษณะนิสยั ที่หนักไปทางราคะ รกั สวยรักงาม ๒. โทสจริยา ลักษณะนิสัยที่หนักไปทางโทสะ ใจรอนหุนหัน ๓. โมหจริยา ลักษณะนิสัยที่หนกั ไปทางโมหะ มกั หลงลมื ซมึ งง ๔. สทั ธาจริยา ลกั ษณะนสิ ัยทีม่ ากดว ยศรทั ธา ซาบซึ้ง เช่ืองา ย ๕. พุทธจิ ริยา ลกั ษณะนสิ ัยท่ีหนกั ในปญญา คลอ งแคลว ชอบคดิ พิจารณาเหตผุ ล ๖. วติ กั กจรยิ า ลกั ษณะนสิ ยั ท่มี ากดวยวิตก ชอบครนุ คดิ กังวล บุคคลใดหนกั ในจริยาใด ก็เรยี กวา เปน “จริต” นน้ั ๆ เชน ราคจรติ โทสจริต เปนตน รายละเอียดเกีย่ วกบั วิธปี ฏิบตั ิตางๆ และลักษณะนิสยั เหลา น้ี เปนเรอ่ื งท่จี ะตอ งอธิบายไวต า งหาก ขอบเขตความสาํ คัญของสมาธิ ก) ประโยชนที่แท และผลจํากดั ของสมาธิ สมาธเิ ปนองคธ รรมทส่ี ําคญั ยงิ่ ขอ หนึ่งก็จริง แตก ม็ ขี อบเขตความสาํ คัญท่พี ึงตระหนักวา สมาธิมคี วาม จําเปน แคไหนเพียงใด ในกระบวนการปฏบิ ตั ิ เพื่อเขา ถงึ วิมตุ ติ อนั เปนจุดหมายของพทุ ธธรรม ขอบเขตความ สาํ คญั นี้ อาจสรุปดงั นี้ ๑. ประโยชนแทข องสมาธิ ในการปฏิบตั ิเพอื่ เขาถึงจดุ หมายของพุทธธรรมน้ัน อยทู ที่ ําใหจ ติ เหมาะแก งาน ซึ่งจะนํามาใชเ ปน ทท่ี าํ การสาํ หรบั ใหปญญาปฏบิ ัติการอยา งไดผลดีทีส่ ดุ และสมาธทิ ใ่ี ชเพื่อการนีก้ ็ไมจาํ เปนตองถงึ ขน้ั สูงสดุ ในทางตรงขา ม ลําพงั สมาธิอยางเดยี ว แมจะเจริญถงึ ขั้นฌานสงู สดุ หากไมก า วไปสขู ้ันการ ใชป ญญาแลว ยอมไมสามารถทาํ ใหถงึ จุดหมายของพุทธธรรมไดเปนอนั ขาด ๒. ฌานตางๆ ท้ัง ๘ ขัน้ แมจะเปน ภาวะจติ ทล่ี กึ ซง้ึ แตใ นเม่ือเปน ผลของกระบวนการปฏบิ ตั ทิ ่ี เรยี กวาสมถะอยา งเดยี ว กย็ งั เปน เพียงโลกียเทาน้นั จะนําไปปะปนกับจดุ หมายของพทุ ธธรรมหาไดไ ม ๓. หลุดพน ไดช ัว่ คราว กลาวคือ ในภาวะแหง ฌานที่เปนผลสาํ เร็จของสมาธินั้น กเิ ลสตางๆ สงบ ระงับไป จงึ เรยี กวาเปน ความหลุดพนเหมอื นกนั แตค วามหลดุ พน นี้มชี วั่ คราวเฉพาะเมือ่ อยใู นภาวะน้ันเทา นั้น และถอยกลับสูสภาพเดมิ ได ไมยงั่ ยนื แนน อน ทานจึงเรียกความหลดุ พนชนดิ นวี้ าเปนโลกยิ วโิ มกข (ความหลุด
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 210 พน ข้ันโลกยี ) และกุปปวโิ มกข (ความหลุดพนที่กําเริบ คือเปลย่ี นแปลงกลับกลายหายสญู ได) และเปน วิกขัมภน วมิ ุตติ (ความหลดุ พนดวยขมไว คือ กิเลสระงบั ไปเพราะกําลงั สมาธิขม ไว เหมือนเอาแผน หนิ ทับหญา ยกแผน หินออกเม่ือใด หญายอมกลบั งอกงามข้นึ ไดใหม) จากขอพจิ ารณาทก่ี ลา วมานี้ จะเห็นวา - ในการปฏิบตั เิ พ่อื เขา ถงึ จดุ หมายของพุทธธรรมนนั้ องคธ รรมหรอื ตวั การสาํ คญั ท่สี ุดทเ่ี ปนตวั ตดั สนิ ขน้ั สดุ ทาย จะตอ งเปน ปญ ญา และ - ปญ ญาท่ใี ชป ฏิบตั ิการในขนั้ นี้ เรียกชอ่ื เฉพาะไดว า “วิปส สนา” ดงั นั้น การปฏิบัติจงึ ตองกา วมาถงึ ขั้น วิปส สนาดว ยเสมอ สว นสมาธิ แมจ ะจําเปน แตอ าจยืดหยนุ เลอื กใชข น้ั ใดข้ันหนึ่งกไ็ ดเ ริม่ แตขนั้ ตนๆ เรยี กวา วิปสสนา สมาธิ (ทา นแสดงไวในระดับเดยี วกับขณกิ สมาธิ และอุปจารสมาธิ ดู หนา ๓๓๑) ข) สมถะ-วิปส สนา โดยนัยน้ี วถิ ีแหง การเขา ถงึ จดุ หมายแหง พุทธธรรมนนั้ แมจะมสี าระสาํ คญั วา ตองประกอบพรอมดวย องคมรรคท้งั ๘ ขอ เหมือนกัน แตกอ็ าจแยกไดโดยวิธีปฏบิ ตั ิทเ่ี ก่ยี วขอ งกบั การใชสมาธิ เหมือนเปน ๒ วถิ ี หรือวิธี คือ ๑. วิธีการที่มุงเฉพาะดา นปญญา คือการปฏบิ ตั อิ ยา งทีก่ ลาวไวบางแลวในเรอ่ื งสัมมาสติ เปนวธิ ี ปฏบิ ตั ิทสี่ ตมิ ีบทบาทสําคญั คือ ใชส มาธแิ ตเพียงขั้นตน ๆ เทา ทจี่ ําเปน สําหรบั การปฏิบตั ิ หรือใชสมาธเิ ปน เพียง ตัวชวย แตใชสติเปน หลักสําคญั สําหรับยดึ จับหรอื มัดสิง่ ที่ตองการกําหนดไว ใหป ญญาตรวจพจิ ารณา น้ีคอื วิธี ปฏบิ ัติที่เรียกวา วิปส สนา แทจ รงิ นน้ั ในการปฏบิ ตั วิ ธิ ีท่ี ๑ นี้ สมถะก็มอี ยู คือการใชส มาธิขัน้ ตน ๆ เทา ทีจ่ าํ เปนแกการทํางานของ ปญญาท่ีเปนวปิ ส สนา แตเพราะการฝกตามวธิ ขี องสมถะไมป รากฏเดนออกมา เม่ือพูดอยางเทียบกนั กบั วธิ ีที่ ๒ จึงเรียกการปฏิบตั ิในวิธที ี่ ๑ น้วี า เปน แบบ วิปส สนาลวน ๒. วธิ กี ารทเ่ี นนการใชส มาธิ เปนวธิ ีปฏบิ ตั ิทส่ี มาธิมีบทบาทสาํ คญั คอื บําเพ็ญสมาธใิ หจ ติ สงบ แนว แน จนเขาถึงภาวะทเี่ รียกวา ฌาน หรอื สมาบตั ิ ขนั้ ตา งๆ เสียกอ น ทําใหจติ ดืม่ ดาํ่ แนนแฟนอยูกับสงิ่ ท่ี กาํ หนดนน้ั ๆ จนมคี วามพรอ มอยโู ดยตวั ของมนั เอง ทจี่ ะใชปฏบิ ัตกิ ารตางๆ อยา งทีเ่ รยี กวา จติ นมุ นวล ควรแก การงาน โนม ไปใชในกิจทปี่ ระสงคอ ยางไดผ ลดที ี่สดุ ในสภาพจิตเชนน้ี กิเลสอาสวะตางๆ ซงึ่ ตามปรกตฟิ งุ ขน้ึ รบกวนและบีบคน้ั บงั คบั จิตใจพลานอยู ก็ถกู ควบคุมใหส งบน่งิ อยใู นเขตจาํ กัด เหมือนผงธุลที ่ตี กตะกอนในเวลานํ้านง่ิ และมองเหน็ ไดช ดั เพราะนา้ํ ใส เหมาะ สมอยางย่ิงแกการท่ีจะกา วตอไป สูขนั้ ใชป ญ ญาจดั การกําจดั ตะกอนเหลา นนั้ ใหหมดไปโดยสิ้นเชงิ การปฏิบตั ิ ในชั้นน้ที ้ังหมดเรยี กวา เปน สมถะ ถาไมหยดุ เพยี งนี้ ก็จะกา วตอ ไปสูขนั้ ใชปญญากําจดั กเิ ลสอาสวะใหห มดส้ิน เชิง คอื ขั้นวปิ สสนา คลา ยกับในวิธที ี่ ๑ แตกลาวตามหลักการวา ทําไดง า ยขนึ้ เพราะจิตพรอ มอยแู ลว
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 211 การปฏิบัติอยา งนี้ คือ วิธที เี่ รียกวา ใชท ง้ั สมถะ และวิปส สนา ค) เจโตวมิ ุตติ-ปญ ญาวิมตุ ติ; ปญญาวิมตุ -อุภโตภาควมิ ุต ผลสาํ เร็จของการปฏบิ ัติตามวิถที ี่ ๑ เรยี กวา ปญญาวิมุตติ คอื ความหลุดพน (เปนอสิ ระสิน้ อาสวะ) ดวยปญ ญา เมอื่ ปญ ญาวมิ ตุ ตเิ กิดข้นึ สมาธิขนั้ เบือ้ งตน ท่ีใชเ ปน ฐานของการปฏิบัติมาแตเ ร่มิ แรก ก็จะมัน่ คง และบริสุทธส์ิ มบูรณเขาควบคกู ับปญญา กลายเปน เจโตวมิ ตุ ติ แตเจโตวิมุตติในกรณนี ี้ไมโ ดดเดน เพราะเปน เพยี งสมาธขิ ั้นตนเทา ท่จี าํ เปน ซ่งึ พว งมาดว ยแตต น แลว พลอยถงึ จดุ สนิ้ สุดบริบรู ณไปดวยเพราะปญ ญาวมิ ตุ ตนิ นั้ ผลสําเรจ็ ของการปฏิบัติตามวิถีท่ี ๒ แบงไดเปน ๒ ตอน ตอนแรก ท่เี ปน ผลสําเรจ็ ของสมถะ เรียกวา เจโตวิมตุ ติ คอื ความหลดุ พน (เปนอิสระพน อํานาจกเิ ลส- ชว่ั คราว-เพราะคมุ ไวไ ดด วยกาํ ลังสมาธิ) ของจิต และ ตอนที่ ๒ ซ่งึ เปนข้นั สดุ ทาย เรยี กวา ปญ ญาวมิ ตุ ติ เหมือนอยางวถิ แี รก เมื่อถงึ ปญญาวมิ ุตตแิ ลว เจโต วมิ ุตตทิ ไ่ี ดม ากอนซึ่งเสือ่ มถอยได ก็จะพลอยมั่นคงสมบรู ณก ลายเปนเจโตวิมุตตทิ ่ีไมก ลบั กลายอีกตอ ไป เม่อื แยกโดยบคุ คลผปู ระสบผลสําเร็จในการปฏิบัติตามวิถที ัง้ สองน้ี ๑. ผูไดรับผลสาํ เรจ็ ตามวถิ แี รก ซึง่ มปี ญญาวิมุตตเิ ดนชดั ออกหนาอยอู ยา งเดียว เรียกวา “ปญญาวมิ ตุ ” คอื ผูหลุดพน ดว ยปญญา ๒. สว นผไู ดรบั ผลสาํ เร็จตามวิถที ่ี ๒ เรียกวา “อุภโตภาควมิ ุต” คอื ผหู ลดุ พนทง้ั สองสวน (ทัง้ ดวยสมาบตั ิ และอริยมรรค) ขอทีค่ วรทราบเพิม่ เตมิ และเนนไวเ กีย่ วกับวถิ ที ่ีสอง คอื วิถที ใี่ ชท ง้ั สมถะ และวปิ สสนา ซง่ึ ผูปฏิบตั ไิ ดผล สาํ เร็จเปน อภุ โตภาควมิ ุตนัน้ มีวา ๑. ผปู ฏิบัติตามวถิ ีนี้ อาจประสบผลไดพิเศษในระหวา ง คือความสามารถตา งๆ ท่ีเกดิ จากฌานสมาบัติ ดว ย โดยเฉพาะท่เี รียกวา อภญิ ญา ซง่ึ มี ๖ อยาง คือ ๑) อทิ ธวิ ิธิ (แสดงฤทธติ์ า งๆ ได- magical powers) ๒) ทิพพโสต (หทู ิพย- clairaudience หรอื divine ear) ๓) เจโตปริยญาณ (กาํ หนดใจหรือความคดิ ผูอน่ื ได- telepathy หรอื mind-reading) ๔) ทพิ พจกั ขุ หรอื จุตูปปาตญาณ (ตาทิพย หรอื รูการจุติและอุบัติของสัตวท งั้ หลายตามกรรมของ ตน- divine eye หรอื clairvoyance หรือ knowledge of the decease and rebirth of beings) ๕) ปุพเพนิวาสานสุ สตญิ าณ (การระลึกชาติได- reminiscence of previous lives) ๖) อาสวักขยญาณ (ญาณหยั่งรูค วามสิ้นอาสวะ- knowledge of the extinction of all cankers) จะตอ งทราบวา ความรคู วามสามารถพเิ ศษ ที่เปนผลไดใ นระหวาง ซ่งึ ทานผูเปนอภุ โตภาควิมุต(อาจ จะ)สาํ เรจ็ นัน้ หมายถงึ อภญิ ญา ๕ ขอ แรก อันเปน อภิญญาขน้ั โลกยี (โลกยิ อภิญญา)
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 212 สวนอภญิ ญา ขอท่ี ๖ คือ อาสวักขยญาณ ขอ เดียว ซึ่งเปนโลกตุ ตรอภญิ ญา เปน ผลสาํ เรจ็ สดุ ทา ยทเี่ ปน จุดหมาย ท้งั ของพระปญ ญาวมิ ตุ และพระอภุ โตภาควิมุต อนั ใหสําเร็จความเปนพุทธะ และเปน พระอรหนั ต ฉะนัน้ ผูป ฏบิ ตั ไิ มวาวถิ แี รก หรอื วิถีท่ี ๒ คือ ไมวาจะเปน ปญญาวมิ ตุ หรืออุภโตภาควิมตุ กต็ องไดบ รรลุ อภญิ ญา ขอ ที่ ๖ ทีเ่ ปนโลกตุ ตระ คือ อาสวักขยญาณ แตท า นผูอภุ โตภาควมิ ตุ อาจจะไดอ ภิญญาข้นั โลกยี ๕ ขอ แรกดวย สวนทานผปู ญญาวมิ ุต (วิถแี รก) จะไดเพยี งอภิญญา ขอท่ี ๖ คอื ความสิ้นอาสวะอยางเดยี ว ไมไ ดโ ลกิ ยอภิญญา ๕ ทีเ่ ปนผลสาํ เร็จพิเศษอันเกดิ จากฌาน โลกยิ อภญิ ญา ๕ นน้ั ฤาษีโยคกี อนพุทธกาลไดก นั มาแลว มากมาย ความเปนพุทธะ ความเปนพระอรหนั ต ความเปนผปู ระเสรฐิ อยูท ่ีความส้ินอาสวกเิ ลสดว ยอาสวักขย ญาณ ซึง่ ทงั้ พระปญญาวิมุต และพระอภุ โตภาควมิ ตุ มเี สมอเทากนั ๒. ผูป ฏบิ ตั ติ ามวิถีท่ี ๒ จะตองปฏิบตั ใิ หค รบทั้ง ๒ ข้ันของกระบวนการปฏิบัติ การปฏิบัตติ ามวิถีของสมถะอยา งเดียว แมจะไดฌ าน ไดสมาบตั ิขัน้ ใดกต็ าม ตลอดจนสําเรจ็ อภญิ ญา ขน้ั โลกยี ท ง้ั ๕ ตาทพิ ย หทู ิพย อานใจผอู ่ืนได มฤี ทธต์ิ างๆ ก็เปนไดแ คฤาษีโยคกี อ นพทุ ธกาล ทพ่ี ระโพธสิ ัตวเห็น วามิใชท างแลว จงึ เสด็จปลีกออกมาถาไมกาวหนาตอไปถงึ ข้นั วปิ สสนา หรือควบคไู ปกับวปิ สสนาดวยแลว จะ ไมส ามารถเขา ถึงจุดหมายของพทุ ธธรรมเปนอันขาด การใชส มาธเิ พื่อประโยชนตางๆ การฝกอบรมเจริญสมาธิน้นั ยอ มมคี วามมงุ หมายเพอ่ื ประโยชนตางๆ กนั ขอใหพิจารณาตัวอยางการ ใชป ระโยชน ดังน้ี “ภิกษทุ ั้งหลาย สมาธภิ าวนา (การเจรญิ สมาธ)ิ มี ๔ อยา ง ดังน้ี คอื ๑. สมาธภิ าวนาทเี่ จริญแลว ทาํ ใหมากแลว เปน ไปเพอื่ ทิฏฐธรรมสุขวิหาร (การอยเู ปนสขุ ใน ปจ จุบัน) ๒. สมาธิภาวนาทเี่ จริญแลว ทาํ ใหม ากแลว เปนไปเพื่อการไดญาณทัสสนะ ๓. สมาธิภาวนาทีเ่ จริญแลว ทาํ ใหมากแลว เปน ไปเพื่อสติและสัมปชัญญะ ๔. สมาธภิ าวนาท่เี จรญิ แลว ทําใหม ากแลว เปนไปเพอ่ื ความสนิ้ ไปแหง อาสวะทั้งหลาย” น้ีเปนตัวอยางการใชประโยชนต างๆ จากการฝก อบรมสมาธิ แบบท่ี ๑ ไดแกก ารเจริญรปู ฌาณ ๔ ซึง่ เปนวิธเี สวยความสุขแบบหนงึ่ ตามหลักที่แบงความสุขเปน ๑๐ ข้นั ประณตี ข้ึนไปตามลาํ ดับ คอื กามสขุ สขุ ในรูปฌาน ๔ ขั้น สุขในอรปู ฌาน ๔ ข้นั และสขุ ในนิโรธสมาบัติ พระ พทุ ธเจา และพระอรหนั ตสว นมากนิยมเจริญฌาน ๔ นี้ ในโอกาสวาง เพอ่ื พกั ผอ นอยางสุขสบาย เรียกวา ทฏิ ฐ ธรรมสุขวหิ าร
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 213 แบบท่ี ๒ อรรถกถาอธบิ ายวา หมายถึงการไดท ิพยจกั ษุ จงึ เปน ตัวอยา งการนาํ สมาธไิ ปใช เพ่ือผลทาง ความสามารถพิเศษประเภทปาฏหิ าริยตา งๆ แบบท่ี ๓ มคี วามหมายชดั อยูแ ลว แบบท่ี ๔ คือการใชส มาธเิ พื่อประโยชนทางปญญา หรอื เปนบาทฐานของวิปสสนาโดยตรง เพอื่ บรรลจุ ดุ หมายสูงสุด คอื ความหลุดพนสิน้ อาสวะ ความเขาใจในเรือ่ งประโยชนหรอื ความมุง หมายในการเจรญิ สมาธนิ ้ี จะชวยปอ งกนั และกาํ จดั ความเขา ใจผิดพลาด เกย่ี วกบั เร่อื งสมาธิ และชวี ติ ของพระสงฆในพระพทุ ธศาสนาไดเปนอันมาก เชน ความเขาใจผิดวา การบําเพ็ญสมาธเิ ปนเร่ืองของการถอนตวั ไมเ อาใจใสใ นกิจการของสงั คม หรือวา ชวี ติ พระสงฆเ ปน ชวี ติ ทป่ี ลกี ตวั โดยส้ินเชงิ ไมร บั ผิดชอบตอ สังคม เปน ตน ขอ พจิ ารณาตอ ไปน้ี อาจเปน ประโยชนในการปอ งกนั และกําจดั ความเขา ใจผิดทีก่ ลาวแลวนั้น - สมาธิ เปนวิธกี ารเพ่อื เขาถงึ จุดหมาย ไมใชต ัวจดุ หมาย ผเู รมิ่ ปฏบิ ัติอาจตองปลกี ตัวออกไป มคี วาม เก่ยี วขอ งกบั สงั คมนอยเปน พิเศษเพือ่ การปฏบิ ตั ิฝก อบรมชว งพิเศษระยะเวลาหนง่ึ แลว จงึ ออกมามบี ทบาททาง สงั คมตามความเหมาะสมของตนตอ ไป อีกประการหนงึ่ การเจรญิ สมาธิโดยท่ัวไป ก็มิใชจ ะตอ งมานั่งเจรญิ อยู ทั้งวันทงั้ คืน และวิธปี ฏบิ ัติกม็ มี ากมาย เลือกใชไดต ามความเหมาะสมกับจรยิ า เปนตน - การดาํ เนนิ ปฏิปทาของพระสงฆ ขึน้ ตอ ความถนดั ความเหมาะสมของลกั ษณะนสิ ยั และความพอใจ สวนตนดว ย บางรูปอาจพอใจและเหมาะสมท่จี ะอยูป า บางรูปถึงอยากไปอยูปา กห็ าสมควรไม มีตวั อยา งทพี่ ระ พุทธจา ไมทรงอนญุ าตใหภ ิกษบุ างรปู ไปปฏิบตั ธิ รรมในปา และแมภกิ ษทุ ่ีอยปู า ในทางพระวนิ ยั ของสงฆก ห็ าได อนุญาตใหตัดขาดจากความรบั ผิดชอบทางสงั คมโดยสิน้ เชงิ อยา งฤาษีชีไพรไม - ประโยชนของสมาธแิ ละฌานทีต่ องการในพทุ ธธรรม ก็คอื ภาวะจติ ท่เี รียกวา “นุมนวล ควรแกง าน” ซงึ่ จะนาํ มาใชเ ปน ทปี่ ฏบิ ตั ิการของปญญาตอ ไปดงั กลา วแลว สว นการใชสมาธิและฌานเพือ่ ประโยชนอนื่ จากนี้ ถือเปน ผลไดพ เิ ศษ และบางกรณีกลายเปน เร่ืองไมพงึ ประสงค ซ่งึ พระพุทธเจาไมท รงสนับสนนุ ตวั อยา งเชน ผใู ด บําเพ็ญสมาธิเพือ่ ตองการอิทธิปาฏิหาริย ผนู ัน้ ช่ือวา ตัง้ ความดํารผิ ิด อิทธิปาฏหิ าริยน ้ันอาจกอใหเ กดิ ผลรายได มากมายเสอื่ มได และไมท าํ ใหบรรลุจุดหมายของพุทธธรรมไดเลย สวนผใู ดปฏบิ ตั เิ พอ่ื จุดหมายทางปญ ญา ผา นทางวธิ สี มาธิ และไดอทิ ธปิ าฏหิ ารยิ ดวย ก็ถือเปนความสามารถพิเศษทีพ่ ลอยไดไ ป - อยา งไรกด็ ี แมในกรณปี ฏบิ ัตดิ ว ยความมุงหมายท่ถี ูกตอ งแตตราบใดยังไมบ รรลจุ ดุ หมายการได อทิ ธิปาฏหิ าริยยอมเปนอนั ตรายไดเสมอเพราะเปน เหตใุ หเกดิ ความหลงเพลนิ และความตดิ หมกมุน ทั้งแกตน และคนอ่ืน เปน ปลโิ พธอยา งหนง่ึ และอาจเปน เหตุพอกพนู กิเลสจนถว งใหด าํ เนนิ ตอ ไปไมไ ด หรือถึงกบั ไถลออก จากทางพระพุทธเจา แมจะทรงมีอิทธปิ าฏหิ าริยมากมาย แตไ มทรงสนบั สนุน
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 214 การใชอ ิทธปิ าฏิหาริย เพราะไมใชว ิถีแหงปญญาและความหลุดพนเปนอสิ ระ ตามพทุ ธประวตั จิ ะเหน็ วา พระพทุ ธเจาทรงใชอ ิทธปิ าฏิหาริยใ นกรณที ตี่ องกําราบผูลําพองในฤทธ์ิ ใหห มดพยศ แลวสงบลง และพรอ มทจ่ี ะ รับฟงธรรม - สาํ หรับทานผฝู ก อบรมกา วหนาไปในมรรคแลว หรือสาํ เรจ็ บรรลุจุดหมายแลว มักนยิ มใชก ารเจรญิ สมาธขิ น้ั ฌาน เปนเคร่อื งพักผอนอยา งเปนสขุ ในโอกาสวาง เชน พระพุทธองคเอง แมจ ะเสด็จจาริกส่ังสอนประชาชนเปน อันมาก เกีย่ วของกบั คนทกุ ชน้ั วรรณะ และทรงปกครองคณะสงฆห มใู หญ แตกท็ รงมีพระคุณสมบตั ิอยางหน่ึง คอื ฌานสลี ีหมายความวา ทรงนยิ มฌาน ทรงพอพระทัยเจริญฌานเปน ที่พักผอ นในโอกาสวา ง เชนเดียวกบั พระสาวกเปนอันมาก อยางทเ่ี รยี กวา ทฏิ ฐธรรมสุขวิหาร คอื เพือ่ การอยูเปน สขุ ในปจ จุบัน ที่ปรากฏวา ทรงปลีก พระองคไปอยูใ นทส่ี งดั เปนเวลานานๆ ถงึ ๓ เดือน เพ่อื เจรญิ สมาธิ ก็เคยมี - การนยิ มหาความสุขจากฌาน หรอื เสวยสขุ ในสมาธิ บคุ คลใดจะทาํ แคไ หนเพยี งใด ยอ มเปน เสรีภาพสวน บคุ คล แตส าํ หรบั ผยู ังปฏบิ ตั ิ ยังไมบรรลจุ ดุ หมาย หากติดชอบเพลินมากไป อาจกลายเปน ความประมาท ท่ีกีด ก้ันหรอื ทาํ ลายความกา วหนาในการปฏิบัติ และอาจเปน เหตุละเลยความรับผดิ ชอบตอ สวนรวม ซง่ึ ถกู ถือเปน เหตุตาํ หนิได ถึงแมจ ะเปนความตดิ หมกมุนในขนั้ ประณีตก็ตาม อีกทงั้ ระบบชีวติ ของภิกษสุ งฆใ นพระพุทธ ศาสนา วา ตามหลกั บทบญั ญตั ใิ นทางวนิ ยั ยอมถอื เอาความรับผดิ ชอบตอสงฆคอื สวนรวมเปน หลกั สาํ คัญ ความเจรญิ รงุ เรอื งก็ดี ความเสื่อมโทรมก็ดี ความตง้ั อยูไดและไมไ ดก ด็ ี ของสงั ฆะ ยอ มข้นึ อยูก บั ความเอาใจใส รับผดิ ชอบตอสว นรวมน้ัน เปนขอสําคัญประการหน่ึง ดงั จะเหน็ ไดในภาควา ดวยมชั ฌมิ าปฏิปทาในแงประยกุ ต ตอไป บทเพ่ิมเติม ชีวติ ท่เี ปนอยดู ี ดว ยมีการศกึ ษาท้งั ๓ ท่ีทาํ ใหพ ัฒนาครบ ๔ (มรรคมีองค ๘ - สกิ ขา ๓ - ภาวนา ๔) มนุษยเ ปนสัตวท ีป่ ระเสริฐดวยการศกึ ษา ธรรมชาติพเิ ศษที่เปน สว นเฉพาะของมนุษย คอื เปน สัตวที่ฝกได จะพดู วา เปนสตั วท พ่ี ฒั นาได เปน สัตวทศ่ี กึ ษาได หรอื เปนสตั วท่ีเรียนรูไ ด ก็มคี วามหมายอยา งเดียวกัน จะเรยี กวา เปน สัตวพ ิเศษกไ็ ด คอื แปลก จากสตั วอ ื่น ในแงทีว่ า สตั วอืน่ ฝกไมไ ด หรือฝก แทบไมไ ด แตมนุษยน ้ีฝกได และพรอ มกันนน้ั ก็เปน สัตวที่ตอ งฝก ดว ยพดู สัน้ ๆ วา มนษุ ยเ ปน สัตวทตี่ อ งฝก และฝกไดส ัตวอ ่นื แทบไมตองฝก เพราะมันอยูไดดว ยสญั ชาตญาณ เกิดมาแลว เรยี นรูจากพอแมนิดหนอ ย ไมน านเลย มนั กอ็ ยูรอดได อยางลูกววั คลอดออกมาสกั ครูหนงึ่ ก็ลุกขนึ้ เดินได ไปกบั แมแลว ลูกหานออกจากไขเชา วันนั้น พอสายหนอ ยกว็ ิ่งตามแมล งไปในสระนํ้า วง่ิ ได วา ยนาํ้ ได หา กินตามพอ แมของมนั ได แตม นั เรยี นรไู ดนิดเดยี ว แคพอกนิ อาหารเปน ตน แลว กอ็ ยูดว ยสัญชาตญาณไปจน
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 215 ตลอดชวี ติ เกิดมาอยางไรก็ตายไปอยางน้นั หมุนเวยี นกันตอ ไป ไมส ามารถสรางโลกของมนั ตางหากจากโลก ของธรรมชาติ แตมนุษยนตี้ อ งฝก ตองเรียนรู ถา ไมฝ ก ไมเรยี นรู ก็อยูไมไ ด ไมตอ งพูดถึงจะอยดู ี แมแ ตร อดกอ็ ยูไ มได มนุษยจึงตอ งอยกู ับพอแมห รอื ผเู ลย้ี ง เปน เวลานับสิบป ระหวางน้กี ็ตองฝก ตอ งหัดตองเรยี นรไู ป แมแ ตก นิ น่งั นอน ขบั ถา ย เดนิ พูด ทกุ อยา งตองฝกทั้งนน้ั มองในแงนีเ้ หมือนเปน สตั วท่ดี อ ย แตเม่ือมองในแงบ วก วา ฝกได เรียนรูได ก็กลายเปน แงเ ดน คอื พอฝก เรมิ่ เรียนรแู ลว คราวน้มี นุษยกเ็ ดินหนา มปี ญญาเพิม่ พูนข้ึน พดู ได ส่ือ สารได มคี วามคิดสรางสรรค ประดษิ ฐอ ะไรๆ ได มคี วามเจริญทง้ั ในทางนามธรรม และทางวตั ถุธรรม สามารถ พัฒนาโลกของวตั ถุ เกดิ เทคโนโลยตี างๆ มศี ลิ ปวิทยาการ เกิดเปน วัฒนธรรม อารยธรรม จนกระท่งั เกดิ เปนโลก ของมนษุ ยซอ นข้ึนมา ทา มกลางโลกของธรรมชาติ สัตวอ่นื อยางดี ทฝ่ี กพิเศษไดบา ง เชน ชา ง มา ลงิ เปน ตน ก็ ๑. ฝก ตัวเองไมไ ด ตองใหม นุษยฝ กให ๒. แมม นษุ ยจะฝก ให กฝ็ กไดใ นขอบเขตจาํ กัด แตมนุษยฝก ตวั เองได และฝกไดแทบไมม ีท่สี ิ้นสุดการฝก ศกึ ษาพฒั นาตน จึงทําใหม นษุ ยกลายเปนสตั ว ทีป่ ระเสรฐิ เลิศสูงสุด ซึ่งเปนความเลิศประเสริฐท่สี ตั วท ้งั หลายอ่ืนไมมี หลักความจรงิ น้ีสอนวา มนุษยมใิ ชจะ ประเสรฐิ ขน้ึ มาเองลอยๆ แตประเสริฐไดด ว ยการฝก ถา ไมฝกแลวจะดอ ยกวาสัตวด ริ จั ฉาน จะตาํ่ ทราม ย่งิ กวา หรือไมกท็ ําอะไรไมเปน เลย แมจ ะอยูรอดก็ไมได ความดเี ลศิ ประเสริฐของมนษุ ยน้ัน จึงอยทู ก่ี ารเรยี นรฝู ก ศึกษาพัฒนาตนขน้ึ ไป มนุษยจะเอาดีไมไ ด ถาไมมีการเรียนรฝู ก ฝนพฒั นาตน เพราะฉะนน้ั จึงตองพดู ใหเต็มวา “มนุษยเปนสัตวป ระเสรฐิ ดว ยการฝก” ไมค วรพูดแคว า มนุษยเ ปน สัตวประเสริฐ ซึ่งเปน การพูดที่ตกหลน บกพรอง เพราะวา มนุษยน ี้ ตอ งฝกจงึ จะประเสรฐิ ถา ไมฝ ก กไ็ มป ระเสริฐ คาํ วา “ฝก ” นี้ พูดตามคําหลักแทๆ คือ สิกขา หรือศกึ ษา ถาพูดอยา งสมยั ใหม กไ็ ดแกค ําวา เรียนรูแ ละ พฒั นา พดู รวมๆ กันไปวา เรียนรูฝกหดั พัฒนา หรือเรียนรูฝ กศกึ ษาพัฒนาศกั ยภาพของมนุษย คือจดุ เร่มิ ของ พระพุทธศาสนา ความจรงิ แหง ธรรมชาตขิ องมนษุ ยใ นขอ ท่ีวา มนุษยเปน สัตวทีฝ่ กไดนี้ พระพทุ ธศาสนาถอื เปน หลัก สําคัญ ซ่ึงสมั พนั ธกบั ความเปนพระศาสดาและการทรงทําหนาทีข่ องพระพทุ ธเจา ดังทีไ่ ดเนน ไวใ นพทุ ธคณุ บทที่ วา อนตุ ตฺ โร ปุริสทมมฺ สารถิ สตฺถา เทวมนสุ ฺสานํ “เปนสารถฝี ก คนทค่ี วรฝก ผูยอดเยี่ยม เปน ศาสดาของเทวะ และมนุษยท ัง้ หลาย” [ม.มู. ๑๒/๙๕/๖๗] มีพทุ ธพจนมากมาย ทเ่ี นนย้าํ หลักการฝก ฝนพฒั นาตนของมนษุ ยและเราเตือน พรอมทงั้ สง เสรมิ กําลัง ใจ ใหท กุ คนมงุ มนั่ ในการฝกศกึ ษาพฒั นาตนจนถงึ ทส่ี ดุ เชน วรมสฺสตรา ทนตฺ า อาชานยี า จ สนิ ธฺ วา กุ ฺชรา จ มหานาคาอตฺตทนฺโต ตโต วรํ
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 216 “อสั ดร สนิ ธพ อาชาไนย กญุ ชร และชา งหลวง ฝกแลว ลว นดีเลศิ แตค นที่ฝกตนแลวประเสริฐกวา(ทง้ั หมด)น้ัน” [ขุ.ธ. ๒๕/๓๓/๕๗] ทนโฺ ต เสฏโ มนุสฺเสส.ุ “ในหมูม นษุ ย ผูป ระเสรฐิ สุด คอื คนท่ฝี ก แลว” [ข.ุ ธ. ๒๕/๓๓/๕๗] วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน โส เสฏโ เทวมานเุ ส. “ผูถึงพรอ มดวยวชิ ชาและจริยะ เปนผปู ระเสริฐสดุ ท้ังในหมูม นษุ ยและมวลเทวา” [สํ.น.ิ ๑๖/๗๒๔/๓๓๑] อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ โก หิ นาโถ ปโร สยิ า อตตฺ นา หิ สทุ นฺเตน นาถํ ลภติ ทลุ ฺลภํ “ตนแลเปน ท่พี ่ึงของตน แทจ รงิ นัน้ คนอื่นใครเลา จะเปน ทพ่ี ่งึ ได มีตนทีฝ่ ก ดีแลวนั่นแหละ คือไดที่พึ่งซงึ่ หาได ยาก” [ขุ.ธ. ๒๕/๒๒/๓๖] มนสุ สฺ ภตู ํ สมฺพุทฺธํ อตตฺ ทนตฺ ํ สมาหิตํ . . .เทวาป ตํ นมสสฺ นตฺ ิ . . . . . . . . . “พระสมั พทุ ธเจา ท้ังท่เี ปนมนษุ ยน่แี หละ แตทรงฝก พระองคแลว มพี ระ หฤทยั ซึ่งอบรมถึงทแี่ ลว แมเทพท้ังหลายกน็ อมนมสั การ” [อง.ฺ ปจฺ ก. ๒๒/๓๑๔/๓๘๖] คาถานี้เปนการใหก ําลงั ใจแกม นษุ ยว า มนษุ ยท ่ฝี กแลว น้นั เลิศประเสริฐ จนกระท่งั แมแตเทวดาและ พรหมกน็ อมนมสั การ ความหมายที่ตองการในทน่ี ้ี กค็ ือ การมองมนษุ ยว าเปนสัตวท ่ฝี ก ได และมคี วามสามารถในการฝกตัว เองไดจ นถงึ ท่ีสดุ แตตองฝกจงึ จะเปนอยา งนั้นได และกระตุน เตอื นใหเ กิดจิตสํานกึ ตระหนักในการที่จะตอ ง ปฏิบตั ติ ามหลักแหงการศกึ ษาฝก ฝนพัฒนาตนน้นั ถาใชค าํ ศัพทส มัยปจ จบุ นั ก็พดู วา มนุษยม ศี กั ยภาพสงู มี ความสามารถที่จะศึกษาฝก ตนไดจ นถงึ ขนั้ เปนพุทธะ ศกั ยภาพน้ีเรยี กวา โพธิ ซึง่ แสดงวาจุดเนน อยูทีป่ ญญา เพราะโพธนิ นั้ แปลวา ปญ ญาตรัสรู คือปญ ญาที่ทาํ ใหม นุษยก ลายเปนพทุ ธะ ในการศึกษาตามหลกั พทุ ธศาสนาหรอื การปฏิบัตธิ รรมนั้น สิง่ สําคญั ที่จะตอ งมเี ปนจดุ เร่ิมตน คือ ความ เชอื่ ในโพธนิ ี้ ที่เรยี กวา โพธศิ รัทธา ซงึ่ ถือวา เปนศรทั ธาพน้ื ฐาน เม่ือมนุษยเ ชื่อในปญ ญาท่ีทําใหมนุษยเ ปนพุทธะไดแ ลว เขากพ็ รอมทีจ่ ะศกึ ษาฝกฝนพฒั นาตนตอ ไป ตามทีก่ ลา วมานจ้ี ะเห็นวา คาํ วา โพธิ น้นั ใหจดุ เนน ท้งั ในดา นของศกั ย-ภาพที่มนุษยฝ กไดจ นถงึ ท่สี ุด และในดานของปญ ญา ใหเห็นวาแกนนาํ ของการฝก ศกึ ษาพัฒนาน้ันอยทู ่ีปญญา และศกั ยภาพสงู สุดก็แสดง ออกท่ปี ญ ญาเพราะตวั แทนหรือจุดศนู ยรวมของการพฒั นาอยทู ี่ปญญา เพ่ือจะใหโ พธินป้ี รากฏขนึ้ มา ทาํ บุคคลใหกลายเปนพทุ ธะ เราจงึ ตอ งมีกระบวนการฝก หรอื พฒั นาคน ท่ี เรียกวาสกิ ขา ซ่ึงก็คือ การศึกษา สิกขา คือกระบวนการการศกึ ษา ท่ฝี ก หรือพฒั นามนุษย ใหโพธปิ รากฏขน้ึ จน ในที่สุดทําใหมนษุ ยน ้ันกลายเปน พุทธะ ชีวติ ที่ดี คือชวี ติ ทศ่ี ึกษา เมอ่ื พัฒนาคนดวยไตรสิกขา ชีวิตกก็ าวไปในอริยมรรคา
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 217 ชีวิตนั้นเปนอนั เดยี วกันกับการศกึ ษา เพราะชีวติ คอื การเปน อยู และการทช่ี ีวิตเปนอยูดําเนินไป กค็ ือ การท่ีตอ งเคล่อื นไหว พบประสบการณใ หมๆ และเจอสถานการณใหมๆ ซึง่ จะตองรูจัก ตอ งเขาใจ ตอ งคดิ ตอ ง ปฏิบตั หิ รือจัดการอยา งใดอยา งหน่งึ หรือหาทางแกไ ขปญหาใหผ า นรอดหรอื ลลุ ว งไป ทําใหต อ งมีการเรียนรู มี การพิจารณาแกป ญ หาตลอดเวลา ท้งั หมดน้ีพูดสั้นๆ ก็คอื สิกขา หรือการศกึ ษา ดงั นน้ั เม่อื ยงั มีชวี ิตอยู ถาจะเปนอยไู ดหรอื จะเปนอยใู หดี ก็ตอ งสิกขาหรอื ศึกษาตลอดเวลา พูดไดว า ชีวติ คือการศกึ ษา หรือ ชีวติ ทด่ี คี ือชีวิตที่มีการศกึ ษา มีการเรียนรู หรือมกี ารฝกฝนพัฒนาไปดวย การศกึ ษาตลอดชีวติ ในความหมายท่ีแท คอื อยางน้ี ถา จะพูดใหหนกั แนน กต็ องวา “ชีวติ คอื การศกึ ษา” พดู อีกอยา งหนงึ่ วา การดําเนนิ ชีวิตทดี่ ี จะเปน ชวี ิตแหง สกิ ขาไปในตัว ชวี ติ ขาดการศึกษาไมได ถา ขาด การศกึ ษากไ็ มเ ปน ชวี ิตทด่ี ี ทีจ่ ะอยูไ ดอยา งดี หรือแมแ ตจ ะอยูใหร อดไปได ตรงนีเ้ ปนการประสานเปน อันเดียวกัน ระหวาง การศกึ ษาพฒั นามนุษยห รอื การเรยี นรูฝก ฝนพัฒนาคน ท่เี รยี กวา สิกขา กับ การดําเนินชวี ิตทดี่ ขี องมนุษย ทีเ่ รยี กวา มรรค คือการดําเนินชวี ิตชนดิ ที่มีการศกึ ษาพัฒนา ชวี ติ ไปดวยในตัว จึงจะเปน ชวี ิตทดี่ ี สกิ ขา ก็คอื การพฒั นาตวั เองของมนษุ ย ใหดําเนนิ ชวี ิตไดดีงามถกู ตอง ทาํ ให มวี ิถีชวี ิตทเ่ี ปน มรรค สวน มรรค กค็ ือทางดําเนนิ ชีวติ หรือวิถชี ีวิตที่ถกู ตอ งดีงามของมนุษย ซงึ่ เปนวิถีชีวติ แหง การเรียนรฝู ก ฝนพัฒนาตนคือสกิ ขา มรรค กับ สกิ ขา จงึ ประสานเปนอนั เดียวกนั จงึ ใหความหมายไดว า สิกขา/การศึกษา คือการเรียนรทู ่จี ะใหสามารถเปน อยูไดอยา งดี หรือฝกให สามารถมีชีวิตที่ดี เปน อนั วา ชวี ิตคอื การศกึ ษานี้ เปนของแนนอน แตปญ หาอยูท่วี าเราจะศึกษาเปน หรอื ไม ถาคนไมร ูจ ัก ศกึ ษา ก็มชี วี ิตเปลาๆ หมายความวา พบประสบการณใ หมๆ กไ็ มไดอ ะไร เจอสถานการณใ หมๆ กไ็ มรูจะปฏิบตั ิ อยา งไรใหถกู ตอง ไมมกี ารเรียนรู ไมมีการพัฒนา ไมมีการแกป ญหา เปนชีวิตทเี่ ลอื่ นลอย เปน ชีวติ ที่ไมดี ไมม ี การศึกษา ทางธรรมเรยี กวา “พาล” แปลวา มีชีวิตอยูเ พียงแคดว ยลมหายใจเขาออก เพราะมองความจรงิ อยางนี้ ทางธรรมจึงจัดไวใ หการศกึ ษา กับชวี ติ ทดี่ ี เปนเรอื่ งเดียวกัน หรอื ตอ งไป ดวยกนั ทานถอื วา ชีวิตนี้เหมอื นกับการเดนิ ทางกา วไปๆ และในการเดนิ ทางนน้ั กพ็ บอะไรใหมๆ อยเู รอื่ ย จงึ เรยี ก วา “มรรค” หรอื “ปฏปิ ทา” แปลวา ทางดาํ เนินชวี ติ หรอื เรยี กวา “จริย/จรยิ ะ” แปลวา การดําเนินชีวติ มรรค หรือ ปฏิปทา จะเปนทางดําเนินชวี ิต หรือวิถชี ีวติ ท่ีดี จริยะ จะเปนการดําเนินชีวิตทีด่ ี ก็ตอ งมี สิกขา คือการศึกษา เรียนรู และพัฒนาตนเองตลอดเวลา ดงั กลาวแลว มรรคทถ่ี ูกตอ ง เรยี กวา “อริยมรรค” (มรรคาอนั ประเสริฐ หรอื ทางดาํ เนินชวี ิตที่ประเสรฐิ ) ก็เปนจริยะทด่ี ี เรยี กวา “พรหมจรยิ ะ” (จรยิ ะอยางประเสริฐ หรอื การดําเนนิ ชีวิตทป่ี ระเสรฐิ ) ซงึ่ กค็ ือมรรค และจรยิ ะ ท่ีเกดิ จากสิกขา หรือประกอบดวยสิกขา
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 218 สิกขา ทจ่ี ะใหเ กดิ มรรค หรอื จรยิ ะอันประเสรฐิ คือสิกขาท่ีเปนการฝก ฝนพฒั นาคนครบทัง้ ๓ ดา นของ ชีวิต ซ่งึ เรยี กวา ไตรสิกขา แปลวา การศกึ ษาท้งั ๓ ท่จี ะกลาวตอ ไป ชวี ิตมี ๓ ดา น การฝก ศกึ ษากต็ องประสานกนั ๓ สวน พฒั นาคนแบบองครวม จึงเปนเร่อื งธรรมดาของการศึกษา ชวี ิต และการดําเนินชวี ติ ของมนุษยน นั้ แยกไดเ ปน ๓ ดา น คอื ๑. ดา นสัมพันธกบั สงิ่ แวดลอ ม การดําเนินชวี ติ ตอ งติดตอ สื่อสารสมั พนั ธก ับโลก หรือสิง่ แวดลอ มนอก ตัว โดยใช ก) ทวาร/ชอ งทางรบั รแู ละเสพความรสู กึ ทเ่ี รยี กวาอนิ ทรีย คอื ตา หู จมูก ล้นิ กาย (รวม ใจ ดวยเปน ๖) ข) ทวาร/ชองทางทาํ กรรม คือ กาย วาจา โดย ทาํ และพูด (รวม ใจ-คิด ดวยเปน ๓) สิ่งแวดลอ มทม่ี นุษยต ดิ ตอ ส่ือสารสมั พนั ธนนั้ แยกไดเปน ๒ ประเภท คอื ๑) สงิ่ แวดลอ มทางสังคม คอื เพือ่ นมนษุ ย ตลอดจนสรรพสัตว ๒) สิง่ แวดลอ มทางวัตถุ หรือทางกายภาพ มนษุ ยควรจะอยูรว มกบั เพื่อนมนษุ ยแ ละเพื่อนรว มโลกดว ยดี อยางเกื้อกูลกนั เปนสว นรว มที่สรา งสรรค ของสงั คม และปฏิบตั ิตอ ส่งิ แวดลอ มทางวัตถุ ตงั้ ตนแตการใชตา หู ดู ฟง ทง้ั ดา นการเรยี นรู และการเสพ อารมณ ใหไ ดผลดี รูจ ักกินอยู แสวงหา เสพบรโิ ภคปจ จยั ๔ เปนตน อยา งฉลาด ใหเ ปน คุณแกตน แกส ังคม และ แกโลก อยางนอยไมใ หเปนการเบยี ดเบียน ๒. ดานจิตใจ ในการสมั พนั ธกบั ส่งิ แวดลอมหรอื แสดงออกทกุ คร้งั จะมกี ารทาํ งานของจิตใจ และมีองค ประกอบดา นจิตเกี่ยวขอ ง เริม่ แตต องมเี จตนา ความจงใจ ตง้ั ใจ หรอื เจตจาํ นง และมแี รงจงู ใจอยา งใดอยา งหนงึ่ พรอ มท้ังมีความรสู ึกสขุ หรือทุกข สบาย หรอื ไมสบาย และปฏิกริ ยิ าตอจากสขุ -ทุกขนนั้ เชน ชอบใจ หรือไมชอบ ใจ อยากจะได อยากจะเอา หรืออยากจะหนี หรอื อยากจะทาํ ลาย ซง่ึ จะมผี ลชักนําพฤตกิ รรมทงั้ หลาย ตั้งแตจะ ใหด ูอะไร หรอื ไมดอู ะไร จะพดู อะไร จะพดู กับใครวาอยา งไร ฯลฯ ๓. ดา นปญญา ในการสมั พันธกับสงิ่ แวดลอมหรอื แสดงออกทกุ คร้ัง กต็ าม เม่ือมีภาวะอาการทางจติ ใจ อยางหนึง่ อยา งใด กต็ าม องคป ระกอบอีกดานหนง่ึ ของชีวิต คือ ความรคู วามเขา ใจ ความคิด ความเช่ือถือ เปนตน ทเี่ รียกรวมๆ วาดานปญ ญา กเ็ ขา มาเกี่ยวของ หรือมบี ทบาทดว ย เร่มิ ต้งั แตว า ถามีปญญา ก็แสดงออกและมภี าวะอาการทางจิตอยางหนงึ่ ถาขาดปญ ญา ก็แสดงออก และมภี าวะอาการทางจิตอีกอยางหนึ่ง เรามีความรคู วามเขาใจเรื่องนนั้ แคไ หน มคี วามเชื่อ มีทัศนคติ มคี วาม ยดึ ถอื อยางไร เรากแ็ สดงออกหรอื มองสิ่งนัน้ ไปตามแนวคดิ ความเขา ใจ หรือแมก ระทั่งคานิยมอยา งนน้ั ทาํ ให ชอบใจ ไมช อบใจ มสี ุขมีทกุ ขไปตามน้ัน และเมื่อเรามองเหน็ เรารู เขา ใจอยางไร แคไหน เราก็แสดงออกหรือมี พฤตกิ รรมของเราไปตามความรคู วามเขาใจ และภายในขอบเขตของความรูของเรานัน้
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 219 ถา ปญญา ความรู ความเขาใจเกิดมากขน้ึ หรือเราคดิ เปน กท็ ําใหเ ราปรบั แกพ ฤตกิ รรมและจิตใจของ เราใหม เชน เจอประสบการณทไี่ มดี เรารสู กึ ไมชอบใจ พอไมช อบใจ ก็ทุกข แตถ าเกดิ ปญ ญาคิดไดข นึ้ มาวา ส่งิ ท่ีไมดหี รือไมชอบนั้น ถาเราเรยี นรู เรากไ็ ดค วามรู พอมองในแงเ รียนรู กก็ ลายเปนไดค วามไมชอบใจหายไป กลายเปนชอบสง่ิ ท่ีเคยไมช อบ พอไดค วามรูกเ็ กิดความสขุ จากทกุ ขก ็เปลีย่ นเปน สุข ปฏกิ ริ ิยาทแ่ี สดงออกมาทาง พฤติกรรมก็เปลี่ยนไป ในชีวติ ประจําวนั หรือในการประกอบอาชพี การงาน เมื่อเจอคนหนาบึ้ง พูดไมดี ถาเรามองตามความ ชอบใจ-ไมช อบใจ ไมใชป ญ ญา เรากโ็ กรธ แตพ อใชโยนโิ สมนสกิ าร มองตามเหตุปจ จัย คิดถงึ ความเปนไปไดแ ง ตา งๆ เชน วาเขาอาจจะมเี ร่ืองทุกข ไมสบายใจอยู เพียงคิดแคน ้ี ภาวะจติ กอ็ าจจะพลิกเปลย่ี นไปเลย จากโกรธก็ กลายเปน สงสาร อยากจะชวยเขาแกป ญ หา ปญ ญาเปน ตัวชีน้ ํา บอกทาง ใหแ สงสวาง ขยายขอบเขต ปรบั แกจ ติ ใจและพฤติกรรม และปลดปลอ ย ใหห ลุดพน หนา ทสี่ ําคญั ของปญญา คอื ปลดปลอ ย ทาํ ใหเ ปน อสิ ระ ตวั อยา งงา ยๆ เพียงแคไ ปทไ่ี หน เจออะไร ถา ไมร วู าคอื อะไร ไมร ูจะปฏิบัตติ อมันอยา งไร หรอื พบปญ หา ไมรวู ิธีแกไข จติ ใจกเ็ กดิ ความอดึ อดั รูสกึ บบี ค้นั ไม สบายใจ นี่คอื ทกุ ข แตพ อปญ ญามา รูวา อะไรเปนอะไร จะทาํ อยางไร กโ็ ลง ทนั ที พฤติกรรมติดตนั อยู พอปญญา มา ก็ไปได จติ ใจอดั อ้ันอยู พอปญ ญามา กโ็ ลง ไป องคป ระกอบของชวี ติ ๓ ดานน้ี ทํางานไปดวยกัน ประสานกนั ไป และเปนเหตปุ จจัยแกกัน ไมแยกตา ง หากจากกัน การสมั พันธกบั โลกดว ยอนิ ทรยี แ ละพฤตกิ รรมทางกายวาจา (ดานท่ี ๑) จะเปนไปอยางไร ก็ข้นึ ตอ เจตนา ภาวะและคณุ สมบัตขิ องจิตใจ (ดา นที่ ๒) และทําไดภ ายในขอบเขตของปญญา (ดา นที่ ๓) ความตั้งใจและความตองการเปน ตน ของจิตใจ (ดา นที่ ๒) ตองอาศัยการส่ือทางอินทรียแ ละพฤตกิ รรม กายวาจาเปน เครอื่ งสนอง (ดา นท่ี ๑) ตอ งถูกกาํ หนดและจํากดั ขอบเขตตลอดจนปรบั เปลี่ยนโดยความเชอ่ื ถอื ความคิดเห็น และความรูค วามเขา ใจที่มอี ยูแ ละที่เพ่มิ หรือเปลย่ี นไป (ดา นที่ ๓) ปญ ญาจะทํางานและจะพัฒนาไดด ีหรือไม (ดา นท่ี ๓) ตอ งอาศยั อนิ ทรยี เชน ดู ฟง อาศัยกายเคล่ือน ไหว เชน เดินไป จับ จัด คน ฯลฯ ใชวาจาสอื่ สารไถถ าม ไดดีโดยมีทักษะแคไ หน (ดานท่ี ๑) ตอ งอาศยั ภาวะและ คุณสมบัติของจติ ใจ เชน ความสนใจ ใฝใจ ความมีใจเขมแขง็ สูปญหา ความขยนั อดทน ความรอบคอบ มสี ติ ความมีใจสงบแนวแน มีสมาธิ หรือไมเ พยี งใด เปน ตน (ดานที่ ๒) น้คี ือการดําเนินไปของชวี ิต ทอี่ งคประกอบ ๓ ดา นทาํ งานไปดว ยกัน อาศยั กัน ประสานกนั เปนปจจยั แกก ัน ซ่ึงเปน ความจรงิ ของชีวติ นน้ั ตามธรรมดาของมัน เปนเรื่องของธรรมชาติ และจึงเปน เหตผุ ลที่บอกอยใู น ตัววา ทําไมจะตองแยกชวี ิตหรือการดาํ เนนิ ชีวิตเปน ๓ ดา น จะแบงมากหรอื นอ ยกวา น้ีไมได
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 220 เมื่อชีวติ ที่ดาํ เนนิ ไปมี ๓ ดา นอยา งน้ี การศึกษาทฝ่ี ก คนใหด าํ เนนิ ชีวิตไดดีกต็ องฝก ฝนพัฒนาที่ ๓ ดา น ของชีวิตน้นั ดังนน้ั การฝก หรอื ศกึ ษา คอื สกิ ขา จงึ แยกเปน ๓ สว น ดังท่เี รยี กวา ไตรสิกขา เพอื่ ฝกฝนพัฒนา ๓ ดา นของชีวิตนั้น ใหต รงกัน แตเ ปนการพัฒนาพรอมไปดว ยกันอยางประสานเปนระบบสัมพนั ธอ นั หนงึ่ อนั เดียว ไตรสกิ ขา: ระบบการศกึ ษา ซึ่งพฒั นาชวี ิตท่ีดาํ เนนิ ไปท้ังระบบ ในระบบการดําเนนิ ชีวติ ๓ ดา น ทีก่ ลาวแลว นัน้ เมื่อศกึ ษาฝก ชีวติ ๓ ดานนัน้ ไปแคไ หน ก็เปน อยดู ําเนิน ชีวติ ที่ดีไดเทานั้น ฝกอยางไร กไ็ ดอยา งน้ันหรอื สิกขาอยางไร ก็ไดมรรคอยา งนน้ั สกิ ขา คือการศึกษา ทฝี่ ก อบรมพัฒนาชีวติ ๓ ดา นนัน้ มีดังนี้ ๑. สกิ ขา/การฝกศึกษา ดานสัมพันธก บั สิง่ แวดลอ ม จะเปน สง่ิ แวดลอ มทางสังคม คือเพอ่ื นมนุษย ตลอดจนสรรพสตั ว หรือสง่ิ แวดลอ มทางวัตถุก็ตาม ดวยอินทรีย (เชน ตา ห)ู หรอื ดว ยกาย วาจา กต็ าม เรยี กวา ศีล (เรียกเตม็ วา อธสิ ีลสกิ ขา) ๒. สิกขา/การฝกศกึ ษา ดา นจิตใจ เรียกวา สมาธิ (เรยี กเต็มวา อธิจิตตสกิ ขา) ๓. สกิ ขา/การฝกศึกษา ดา นปญญา เรยี กวา ปญญา (เรยี กเตม็ วา อธปิ ญญาสิกขา) รวมความวา การฝก ศึกษาน้ัน มี ๓ อยาง เรยี กวา สกิ ขา ๓ หรอื ไตรสกิ ขา คอื ศลี สมาธิ ปญ ญา ซึง่ พดู ดวยถอ ยคําของคนยุคปจ จบุ ันวา เปน ระบบการศกึ ษาท่ีทําใหบุคคลพัฒนาอยางมีบรู ณาการ และใหมนษุ ย เปนองครวมทพี่ ฒั นาอยา งมดี ุลยภาพ เมือ่ มองจากแงข องสิกขา ๓ จะเหน็ ความหมายของสกิ ขาแตละอยา ง ดังน้ี ๑. ศลี คือ สิกขาหรือการศึกษาท่ฝี ก ในดา นการสมั พนั ธต ิดตอ ปฏิบตั จิ ดั การกับสิ่งแวดลอ ม ทั้งทางวตั ถุ และทางสังคม ท้งั ดว ยอินทรียต า งๆ และดว ยพฤตกิ รรมทางกาย-วาจา พูดอีกอยางหนึ่งวา การมวี ิถชี ีวิตทป่ี ลอด เวรภัยไรการเบียดเบยี น หรอื การดําเนินชวี ติ ที่เกอ้ื กลู แกสังคม และแกโ ลก ๒. สมาธิ คอื สิกขาหรือการศกึ ษาทฝ่ี กในดานจิต หรือระดับจติ ใจ ไดแ กการพฒั นาคุณสมบัตติ างๆ ของ จิต ทงั้ …ในดานคณุ ธรรม เชน เมตตา กรุณา ความมีไมตรี ความเห็นอกเหน็ ใจ ความเอื้อเฟอเผอื่ แผ ความ สุภาพออ นโยน ความเคารพ ความซ่อื สัตย ความกตญั ู ในดา นความสามารถของจติ เชน ความเขมแขง็ ม่นั คง ความเพียรพยายาม ความกลา หาญ ความขยัน ความอดทน ความรบั ผิดชอบ ความมงุ ม่ันแนว แน ความมสี ติ สมาธิ และในดา นความสขุ เชน ความมีปต ิอิ่มใจ ความมีปราโมทยร า เรงิ เบกิ บานใจ ความสดชนื่ ผอ งใส ความรู สึกพอใจ พูดส้นั ๆ วา พัฒนาคุณภาพ สมรรถภาพ และสุขภาพของจิต ๓. ปญ ญา คอื สิกขาหรอื การศกึ ษาทฝี่ ก หรอื พัฒนาในดา นการรูความจริง เร่ิมตงั้ แตค วามเช่ือท่ีมเี หตุ ผล ความเห็นที่เขาสแู นวทางของความเปนจรงิ การรูจักหาความรู การรูจ ักคดิ พจิ ารณา การรูจ ักวนิ ิจฉยั ไตรตรอง ทดลอง ตรวจสอบ ความรเู ขา ใจ ความหยั่งรูเหตผุ ล การเขา ถึงความจรงิ การนําความรมู าใชแ กไข ปญหา และคดิ การตางๆ ในทางเกือ้ กลู สรางสรรค เฉพาะอยา งยงิ่ เนน การรูตรงตามความเปน จรงิ หรือรเู หน็
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 221 ตามทีม่ นั เปน ตลอดจนรูแจง ความจริงทเ่ี ปนสากลของส่งิ ทั้งปวง จนถงึ ขั้นรเู ทา ทนั ธรรมดาของโลกและชีวติ ที่ ทาํ ใหมจี ติ ใจเปน อสิ ระ ปลอดปญ หา ไรทกุ ข เขา ถงึ อสิ รภาพโดยสมบรู ณ หลักทง้ั ๓ ประการแหงไตรสิกขา ท่ีกลาวมาน้ี เปนการศึกษาท่ฝี ก คนใหเ จริญพฒั นาขึน้ ไปในองค ประกอบทงั้ ๓ ดา นของชวี ติ ท่ีดงี าม ที่ไดก ลา วแลวขางตน ยํา้ อกี ครั้งหนึง่ วา การฝก ศกึ ษาทจ่ี ะใหมชี ีวิตท่ดี ีงาม เปนสิกขา ชวี ิตดงี ามทเี่ กดิ จากการฝกศกึ ษานัน้ เปน มรรค ระบบแหง สกิ ขา เรม่ิ ดวยจัดปรับพนื้ ทใี่ หพ รอ มทจ่ี ะทาํ งานฝก ศึกษาไตรสิกขา เปน การศกึ ษา ๓ ดา น ที่พฒั นา ชีวติ ไปพรอมกนั ทั้งระบบ แตถา มองหยาบๆ เปนภาพใหญ ก็มองเห็นเปนการฝกศกึ ษาทด่ี าํ เนนิ ไปใน ๓ ดาน/ขัน้ ตอน ตามลําดับ (มองไดทงั้ ในแงประสานกนั และเปน ปจ จยั ตอ กัน) ศีล เปนเหมือนการจดั ปรับพ้นื ทแี่ ละบริเวณแวดลอ ม ใหส ะอาดหมดจดเรียบรอยราบร่ืนแนนหนามน่ั คง มีสภาพท่ีพรอมจะทาํ งานไดค ลอ งสะดวก สมาธิ เปน เหมือนการเตรียมตัวของผูทํางานใหมเี รี่ยวแรงกําลังความถนัดจัดเจนทพ่ี รอมจะลงมือ ทาํ งาน ปญ ญา เปนเหมอื นอุปกรณที่จะใชทาํ งานน้นั ๆ ใหส าํ เรจ็ เชน จะตดั ตน ไม: ไดพ้นื เหยยี บยนั ทแ่ี นน หนามน่ั คง (ศลี ) + มีกาํ ลังแขนแข็งแรงจับมดี หรือขวานไดถ นดั มัน่ (สมาธิ) + อปุ กรณคอื มดี หรือขวานทีใ่ ชต ดั นั้นไดขนาดมคี ุณภาพดีและลับไวคมกรบิ (ปญ ญา)-ไดผลคอื ตดั ไมสาํ เร็จโดยไมย าก อกี อปุ มาหนึ่งท่ีอาจจะชวยเสริมความชดั เจน บานเรอื นท่อี ยูทีท่ ํางาน ฝาผพุ ้ืนขรขุ ระหลงั คา รวั่ รอบอาคารถนนหนทางรกรุงรงั ทง้ั เปนถ่นิ ไมปลอดภยั (ขาดศลี ) -การจดั แตง ตง้ั วางสิ่งของเครอ่ื งใช จะเตรยี ม ตัวอยหู รือทาํ งาน อดึ อัดขดั ของ ไมพ รอ มไมสบายไมม ่นั ใจไปหมด (ขาดสมาธ)ิ -การเปน อยแู ละทํางานคิดการ ทั้งหลาย ไมอ าจดาํ เนินไปไดดว ยดี (ขาดปญญา) -ชีวิตและงานไมสัมฤทธลิ์ ุจุดหมาย เนอ่ื งจากไตรสกิ ขา เปนหลักใหญทีค่ รอบคลมุ ธรรมภาคปฏบิ ตั ิทัง้ หมด ในที่น้ีจงึ มใิ ชโ อกาสที่จะอธิบาย หลักธรรมหมวดน้ีไดม าก โดยเฉพาะข้ันสมาธิและปญญาทเี่ ปนธรรมละเอียดลกึ ซงึ้ จะยงั ไมพดู เพม่ิ เติมจากท่ีได อธิบายไปแลว แตในขัน้ ศีลจะพดู เพิ่มอกี บาง เพราะเกย่ี วของกบั คนทั่วไปมาก และจะไดเปนตวั อยา งแสดงให เห็นความสมั พันธระหวา งสกิ ขาทงั้ ๓ ดานนัน้ ดว ย การฝก ศึกษาในขนั้ ศีล มหี ลกั ปฏิบัตทิ ่สี ําคัญ ๔ หมวด คือ ๑. วินัย เปน เคร่อื งมือสําคัญขัน้ แรกท่ใี ชใ นการฝก ข้นั ศีล มตี ้ังแตวนิ ยั แมบ ท ของชมุ ชนใหญนอ ย ไปจน ถงึ วนิ ยั สวนตัวในชีวติ ประจาํ วัน วินัย คอื การจัดตัง้ วางระบบระเบียบแบบแผนเก่ียวกับการดําเนนิ ชีวิต และการอยูรวมกันของหมูมนษุ ย เพอ่ื จัดปรบั เตรียมสภาพชีวติ สังคมและส่งิ แวดลอ ม รวมทงั้ ลักษณะแหง ความ สัมพนั ธต างๆ ใหอยใู นภาวะท่ีเหมาะและพรอมที่จะเปน อยูปฏบิ ัตกิ จิ และดําเนนิ การตางๆ เพอื่ กาวหนา ไปอยา ง
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 222 ไดผ ลดีที่สดุ สจู ุดหมายของชวี ิต ของบุคคล ขององคกร ของชมุ ชน ตลอดจนของสังคมท้งั หมดไมวาในระดับใดๆ โดยเฉพาะสําคัญท่สี ุด เพ่ือเอื้อโอกาสใหแ ตล ะบคุ คลฝก ศกึ ษาพฒั นาชีวติ ของเขาใหประณีตประเสริฐ ที่จะได ประโยชนสงู สุดที่จะพงึ ไดจากการที่ไดม ีชวี ติ เปนอยู วนิ ัยพ้นื ฐานหรือข้นั ตน สุดของสงั คมมนษุ ย ไดแก ขอ ปฏบิ ัตทิ ่ีจะไมใ หม กี ารเบยี ดเบยี นกัน ๕ ประการ คอื ๑. เวนการทาํ รายรางกายทาํ ลายชีวิต ๒. เวนการละเมิดกรรมสทิ ธใิ์ นทรัพยส นิ ๓. เวนการประพฤตผิ ดิ ทางเพศและละเมิดตอ คูค รองของผูอ่นื ๔. เวน การพูดเทจ็ ใหร า ยหลอกลวง และ ๕. เวน การเสพสุรายาเมาส่ิงเสพตดิ ท่ที าํ ลายสตสิ มั ปชัญญะ แลวนํา ไปสกู ารกอกรรมชั่วอยางอื่น เริม่ ตัง้ แตค กุ คามตอ ความรสู กึ ม่ันคงปลอดภัยของผรู วมสังคม ขอปฏบิ ัติพ้นื ฐานชุดน้ี ซึ่งเรียกงายๆ วา ศีล ๕ เปนหลกั ประกันทร่ี ักษาสังคมใหม ั่นคงปลอดภัย เพยี งพอ ทมี่ นษุ ยจ ะอยูรวมกันเปน ปกติสขุ และดาํ เนินชวี ิตทาํ กิจการตางๆ ใหเ ปน ไปไดด วยดีพอสมควร นบั วาเปน วนิ ยั แมบทของคฤหสั ถ หรอื ของชาวโลกทั้งหมด ไมค วรมองวินยั วาเปนการบบี บังคบั จํากดั แตพ ึงเขาใจวาวินยั เปน การจดั สรรโอกาส หรือจดั สรรสิ่งแวด ลอ มหรอื สภาวะทางกายภาพใหเ อ้ือโอกาส แกการทีจ่ ะดําเนนิ ชีวติ และกิจการตา งๆ ใหไ ดผ ลดีทสี่ ุด ต้งั แตเรอื่ ง งายๆ เชน การจดั สง่ิ ของเครือ่ งใชเ ตียงตงั่ โตะเกา อ้ีในบานใหเ ปนท่เี ปนทางทาํ ใหหยบิ งายใชค ลอ งนง่ั เดนิ ยนื นอน สะดวกสบาย การจัดเตรียมวางสงเครือ่ งมือผาตดั ของศัลยแพทย การจดั ระเบยี บจราจรบนทอ งถนน วินยั ของ ทหาร วินยั ของขาราชการ ตลอดจนจรรยาบรรณของวิชาชีพตางๆ ในวงกวา ง ระบบเศรษฐกิจ ระบบสังคม ระบบการเมืองการปกครองตลอดจนแบบแผนทกุ อยา งทอี่ ยตู วั กลายเปน วัฒนธรรม รวมอยใู นความหมายของคําวา “วนิ ัย” ท้งั ส้นิ สาระของวนิ ัย คือ การอาศัย(ความรใู น)ธรรมคอื ความจรงิ ของส่ิงทั้งหลายตามทม่ี ันเปน อยู มาจดั สรร ตงั้ วางระเบยี บระบบตางๆ ข้ึน เพอ่ื ใหม นษุ ยไดป ระโยชนสงู สดุ จากธรรมคอื ความจรงิ นัน้ เพ่อื ใหบ คุ คลจาํ นวนมาก ไดป ระโยชนจ ากธรรมที่พระองคไดต รสั รู พระพทุ ธเจาจงึ ทรงตง้ั สงั ฆะข้นึ โดย จดั วางระเบยี บระบบตา งๆ ภายในสังฆะนนั้ ใหผ ทู ส่ี มัครเขามา ไดมคี วามเปนอยู มวี ถิ ีชีวติ มกี ิจหนา ท่ี มรี ะบบ การอยรู ว มกนั การดาํ เนินกิจการงาน การสัมพนั ธก ันเองและสัมพนั ธกับบุคคลภายนอก มวี ธิ ีแสวงหาจัดสรร แบง ปน และบรโิ ภคปจ จัย ๔ และการจดั สรรสภาพแวดลอมทกุ อยา งทเี่ ออ้ื เกือ้ กลู เหมาะกัน พรอ มท้งั ปด ก้นั ชอง โหวโอกาสทีจ่ ะกอ เก้อื แกก ารท่ีเส่ือมเสียหาย ทําทุกอยา งใหอาํ นวยโอกาสมากท่ีสุด แกการท่ีแตล ะบคุ คลจะฝก ศึกษาพัฒนาตน ใหเ จริญในไตรสิกขากา วหนาไปในมรรค และบรรลุผลท่พี งึ ไดจ ากชวี ติ ทดี่ งี ามประเสริฐ เขา ถงึ
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 223 ธรรมสงู สดุ ทั้งวิชชา วมิ ตุ ติ วิสุทธิ สนั ติ นิพพาน กบั ทั้งใหช ุมชนแหง สังฆะนน้ั เปนแหลงแผขยายธรรมและ ประโยชนสุขกวา งขวางออกไปโดยรอบและทวั่ ไปในโลก นคี้ อื วนิ ยั ของสงั ฆะ โดยนัยนี้ วนิ ยั จงึ เปนจดุ เรม่ิ ตนในกระบวนการฝก ศึกษาพัฒนามนุษยเปนกระบวนการพืน้ ฐานในการ ฝก พฤตกิ รรมทด่ี ี และจดั สรรสภาพแวดลอม ทจ่ี ะปองกนั ไมใหม ีพฤตกิ รรมทไ่ี มดี แตใหเอื้อตอ การมีพฤตกิ รรมที่ ดที ี่พึงประสงค พรอ มทัง้ ฝก คนใหค นกบั พฤตกิ รรมที่ดีจนพฤติกรรมเคยชินท่ดี ีนนั้ กลายเปนพฤตกิ รรมเคยชิน และเปน วถิ ชี วี ติ ของเขา ตลอดจนการจดั ระเบียบระบบทง้ั หลายท้ังปวงในสังคมมนษุ ยเพ่อื ใหเกิดผลเชนนั้น เม่อื ใดการฝก ศึกษาไดผ ล จนพฤตกิ รรมทีด่ ตี ามวินัย กลายเปน พฤตกิ รรมเคยชนิ อยตู ัว หรอื เปนวถิ ีชวี ติ ของบคุ คล ก็เกดิ เปนศีล ชวี ิตทัง้ ๓ ดา น การศกึ ษาทง้ั ๓ ข้นั ประสานพรอมไปดว ยกนั ๒. อินทรยี สงั วร แปลตามแบบวา การสํารวมอนิ ทรยี หมายถงึ การใชอ นิ ทรีย เชน ตาดู หฟู ง อยา งมีสติ มิใหถกู ความโลภ ความโกรธ ความแคนเคือง ความหลง ความริษยา เปน ตน เขา มาครอบงาํ แตใชใหเ ปน ใหไ ดประโยชน โดยเฉพาะใหเ กิดปญญา รคู วามจริง และไดข อมูลขา วสาร ทจ่ี ะนาํ ไปใชใ นการแกป ญ หาและทํา การสรางสรรคต างๆ ตอ ไป ควรทราบวา โดยสรุป อินทรีย คอื ตา หู จมกู ลน้ิ กาย ใจ ทําหนาท่ี ๒ อยาง คอื ๑) หนา ทร่ี ู คือรบั รูขอมูลขา วสาร เชน ตาดู รูวา เปน อะไร วา เปน นาฬิกา เปนกลองถา ยรูป เปน ดอกไม ใบไมส เี ขียว สแี ดง สีเหลือง รปู รา งยาวสน้ั ใหญเ ลก็ หูไดย นิ เสียงวา ดัง เบา เปนถอยคําสอื่ สารวา อยา งไรเปน ตน ๒) หนาท่ีรูสกึ หรือรบั ความรูส กึ พรอ มกบั รบั รูข อมลู เราก็มีความรสู กึ ดว ย บางทีตวั เดน กลบั เปน ความ รสู ึก เชน เหน็ แลวรสู กึ สบายหรือไมส บาย ถกู ตาไมถกู ตา สวยหรอื นาเกลยี ด ถูกหูไมถกู หู เสยี งนมุ นวลไพเราะ หรือดงั แสบแกว หูรําคาญ เปนตน - หนา ท่ดี า นรู เรยี กงายๆ วา ดานเรียนรู หรอื ศกึ ษา - หนาท่ีดา นรูสึก เรยี กงายๆ วา ดา นเสพ พดู ส้นั ๆ วา อนิ ทรียทาํ หนาที่ ๒ อยาง คอื ศกึ ษา กบั เสพ ถาจะใหชีวิตของเราพฒั นา จะตอ งใชอ ินทรยี เพอ่ื รหู รือศึกษาใหมาก มนุษยท ่ีไมพัฒนา จะใชอินทรียเพื่อเสพความรูสกึ เปนสวนใหญ บางทีแทบไมใชเพ่อื การศกึ ษาเลย เมื่อ มงุ แตจะหาเสพความรสู ึกทถี่ ูกหู ถกู ตา สวยงาม สนนุ สนานบนั เทิง เปนตน ชวี ติ ก็วุนวายอยกู ับการว่ิงไลหาสง่ิ ท่ี ชอบใจ และดิ้นรนหลีกหนสี ิง่ ท่ีไมชอบใจ วนเวียนอยแู คความชอบใจ-ไมชอบใจ รัก-ชงั ติดใจ-เกลียดกลัว หลง ไหล-เบอื่ หนา ย แลวกฝ็ ากความสขุ ความทกุ ขของตนไวใหข ึ้นกบั สงิ่ เสพบริโภค ซ่งึ เม่ือเวลาผา นไป ชวี ติ ที่ไมได ฝก ฝนพฒั นา กต็ กตํา่ ดอ ยคา และไมมีอะไรทีจ่ ะใหแกโลกนี้ หรอื แกส งั คม ถา ไมม ัวหลงติดอยกู ับการหาเสพความรูส ึก ที่เปนไดแ คน กั บริโภค แตรูจกั ใชอ นิ ทรยี เพอื่ ศึกษา สนอง ความตอ งการรูห รอื ความใฝร ู กจ็ ะใชตา หู เปน ตน ไปในทางการเรียนรู และจะพัฒนาไปเรือ่ ยๆ ปญญาจะเจริญ งอกงาม ความใฝรูใฝส รางสรรคจ ะเกิดขึน้ กลายเปนนักผลติ นกั สรา งสรรค และจะไดพบกับความสุขอยางใหมๆ
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 224 ท่พี ัฒนาขยายขอบเขตและประณีตยิ่งขน้ึ พรอ มกบั ความใฝร ใู ฝส รา งสรรคทก่ี าวหนา ไป เปนผมู ชี วี ติ ทด่ี งี าม และ มคี ณุ คาแกสังคม ๓. ปจ จยั ปฏิเสวนา คอื การเสพบรโิ ภคปจ จยั ๔ รวมท้ังส่ิงของเคร่อื งใชท ัง้ หลาย ตลอดจนเทคโนโลยี ศีลในเรอ่ื งน้ี คือการฝก ศึกษาใหร จู กั ใชส อยเสพบริโภคสง่ิ ตา งๆ ดวยปญ ญาทรี่ ูเขาใจคณุ คา หรือ ประโยชนทแ่ี ทจ รงิ ของสิง่ นัน้ ๆ เรม่ิ ตง้ั แตอ าหาร กพ็ จิ ารณารเู ขา ใจความจริงวา รบั ประทานเพอ่ื เปนเครอื่ งหลอ เล้ยี งชวี ติ ใหรางกายมสี ขุ ภาพแข็งแรง ชวยใหสามารถดาํ เนินชวี ติ ที่ดงี าม อยา งทต่ี รัสไวว า ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ภิกษุในธรรมวินยั นี้ พิจารณาโดยแยบคายแลว จงึ เสพ(นงุ หม)จวี ร เทา ท่ีวา เพ่อื ปอ งกัน ความหนาว รอน สัมผสั แหง เหลอื บ ยุง ลม แดด และสตั วเลื้อยคลาน เทาที่วา เพื่อปกปดอวัยวะทคี่ วรละอาย พิจารณาโดยแยบคายแลว จงึ เสพ(ฉัน)อาหารบณิ ฑบาต มใิ ชเพอื่ สนกุ มใิ ชเพ่ือมัวเมา มิใชเพ่ือสวยงาม มใิ ชเพือ่ เดน โก แตเสพ(ฉนั ) เทาทว่ี า เพ่อื ใหรา งกายน้ีดาํ รงอยูได เพ่อื ยังชวี ิตใหเ ปน ไป เพอ่ื ระงบั ความหวิ เพอ่ื เกื้อหนุนชวี ติ ที่ประเสรฐิ ดวยการปฏิบัติดังน้ี เราจะกาํ จัดเวทนาเกา (ความไมส บายเพราะความหิว) เสยี ดว ย จะ ไมใ หเวทนาใหม (เชนความอึดอดั แนน จกุ เสียด) เกิดขน้ึ ดวย เรากจ็ ะมีชวี ิตดําเนินไป พรอ มทั้งความไมมีโทษ และความอยผู าสกุ การบริโภคดวยปญ ญาอยา งนี้ ทา นเรียกวา เปน การรูจักประมาณในการบริโภค หรือการบริโภคพอดี หรอื กินพอดี เปน การบรโิ ภคทีค่ มุ คา ไดประโยชนอ ยางแทจ รงิ ไมส นิ้ เปลอื ง ไมส ูญเปลา และไมเกิดโทษ อยางที่ บางคนกนิ มาก จายแพง แตกลับเปน โทษแกรา งกาย เม่อื จะซอ้ื หาหรือเสพบริโภคอะไรกต็ าม ควรฝก ถามตวั เองวา เราจะใชม ันเพ่ืออะไร ประโยชนท ีแ่ ทจ ริง ของสิง่ นคี้ ืออะไร แลว ซอ้ื หามาใชใ หไดประโยชนท ่แี ทจ รงิ นั้น ไมบ ริโภคเพียงดว ยตณั หาและโมหะ เพยี งแคต่นื เตนเห็นแกความโกเก เหมิ เหอไปตามกระแสคา นยิ มเปนตน โดยไมไ ดใ ชป ญ ญาเลย พึงระลึกไววา การเสพบริโภค และเรือ่ งเศรษฐกจิ ท้งั หมด เปนปจ จยั คือเปน เครื่องเก้อื หนุนการพัฒนา ชวี ติ ทด่ี งี าม ไมใชเปนจุดหมายของชวี ติ ชีวติ มใิ ชจ บท่ีนี่ ชวี ิตไมใชอยแู คนี้ เมอ่ื ปฏบิ ตั ถิ กู ตอ งตามหลกั น้ี กจ็ ะเปน คนทก่ี นิ อยเู ปน เปน ผมู ศี ลี อีกขอหนึง่ ๔. สัมมาอาชีวะ คือการหาเลย้ี งชพี โดยทางชอบธรรม ซง่ึ เปน ศลี ขอสาํ คัญอยางหนง่ึ เมือ่ นํามาจัดเขา ชุดศลี ๔ ขอนี้ และเนนสําหรับพระภกิ ษุ ทานเรียกวา “อาชวี ปาริสทุ ธิ” (ความบริสุทธ์ิแหงอาชีวะ) เปนเร่ืองของ ความสจุ รติ เกย่ี วกับ ปจ จัยปรเิ ยสนา คอื การแสวงหาปจ จัย (ตอ เนอื่ งกบั ขอ ๓ ปจ จยั ปฏิเสวนา คือการใชส อย เสพบรโิ ภคปจ จัย) ศลี ขอ นใ้ี นข้ันพ้ืนฐาน หมายถงึ การเวนจากมิจฉาชีพ ไมประกอบอาชีพทผี่ ิดกฎหมาย ผดิ ศลี ธรรม แตห าเลย้ี งชีพโดยทางสจุ รติ วาโดยสาระ คอื ไมป ระกอบอาชพี ที่เปน การเบยี ดเบยี น กอ ความเดือดรอน เสียหายแกช ีวติ อ่ืน และแกสงั คม หรือทจ่ี ะทําชีวิต จติ ใจ และสังคมใหเ ส่ือมโทรมตกต่าํ ดงั น้ันสาํ หรบั คฤหัสถ จึง มพี ทุ ธพจนแ สดงอกรณียวณิชชา คือการคา ขายทอี่ ุบาสกไมพึงประกอบ ๕ อยา ง ไดแ ก การคาอาวธุ การคา มนุษย การคา สัตวขายเพื่อฆา เอาเนือ้ การคาของเมา (รวมทั้งสิ่งเสพตดิ ท้งั หลาย) และการคายาพษิ
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 225 เมอ่ื เวน มิจฉาชพี กป็ ระกอบสัมมาชพี ซึ่งเปนการงานท่ีเปนไปเพื่อแกป ญ หาและชว ยสรางสรรคเ กอ้ื กลู แกช วี ติ และสงั คมอยา งใดอยา งหนงึ่ อันจะทาํ ใหเ กิดปติและความสขุ ไดท ุกเวลา ไมว า ระลึกนกึ ขึ้นมาคราวใด ก็ อิม่ ใจภูมใิ จวาเราไดท ําชวี ิตใหม ีคณุ คาไมวา งเปลา ซงึ่ จะเปนปจจัยหนุนใหเ จริญกา วหนา ยิ่งขึ้นไปในมรรค โดย เฉพาะระดับจติ ใจหรือสมาธิ สมั มาชพี นอกจากเปน อาชีพการงานทเ่ี ปน ประโยชนแ กช วี ติ และสังคมแลว ยังเปนประโยชนใ นดา นการ ศึกษาพัฒนาชวี ติ ของตนเองดว ย ซงึ่ ผทู ํางานควรตงั้ ใจใชเ ปน โอกาสในการพฒั นาตน เชน เปนแดนฝกฝน พฒั นาทักษะตางๆ ฝก กายวาจากิรยิ ามารยาท พัฒนาความสามารถในการส่ือสารสมั พันธกับเพ่ือนมนษุ ย ฝก ความเขมแขง็ ขยันอดทน ความมวี ินัย ความรับผิดชอบ ความมฉี นั ทะ มีสติ และสมาธิ พัฒนาความสุขในการ ทํางาน และพัฒนาดานปญญา เรียนรจู ากทกุ ส่งิ ทุกเร่ืองท่เี กี่ยวของเขา มา คิดคนแกไขปรับปรงุ การงาน และการ แกปญหาตา งๆ ทั้งน้ี ในความหมายทีล่ ึกลงไป การเลี้ยงชวี ติ ดว ยสมั มาชีพ ทา นรวมถงึ ความขยันหม่ันเพยี ร และการ ปฏบิ ตั ิใหไ ดผ ลดใี นการประกอบอาชพี ทส่ี จุ ริต เชน ทาํ งานไมใ หค ัง่ คา งอากลู เปนตน ดวย อาชพี การงานนัน้ เปน กิจกรรมทค่ี รองเวลาสว นใหญแ หงชวี ติ ของเรา ถาผูใดมโี ยนิโสมนสกิ าร คดิ ถกู ปฏบิ ตั ถิ ูก ตอ อาชีพการงานของตน นอกจากไดบ าํ เพ็ญประโยชนเ ปนอันมากแลว ก็จะไดป ระโยชนจ ากการงาน นัน้ ๆ มากมาย ทาํ ใหงานนน้ั เปนสวนแหงสกิ ขา เปน เคร่อื งฝกฝนพฒั นาชีวติ ของตนใหก า วไปในมรรคไดด วยดี การฝกศึกษาในดา นและในขนั้ ศีล ๔ ประเภท ที่กลาวมาน้ี จะตองเอาใจใสใ หความสาํ คญั กนั ใหม าก เพราะเปน ท่ีทรงตัวปรากฏตัวของวิถชี วี ิตดงี ามทเี่ รยี กวามรรค และเปนพืน้ ฐานของการกา วไปสสู ิกขาคอื การ ศกึ ษาทีส่ งู ขึ้นไป ถาขาดพน้ื ฐานน้แี ลว การศกึ ษาข้นั ตอ ไปกจ็ ะงอนแงนรวนเร เอาดีไดยาก สว นสิกขาดา นจติ หรอื สมาธิ และดา นปญญา ท่เี ปน เร่อื งลึกละเอียดกวา งขวางมาก จะยงั ไมกลาวเพิม่ จากท่ีพูดไปแลว กอนจะผา นไป มขี อควรทาํ ความเขา ใจทสี่ าํ คัญในตอนนี้ ๒ ประการ คอื ๑. ในแงไ ตรสกิ ขา หรอื ในแงความประสานกนั ของสิกขาทัง้ ๓ ไดกลา วแลว วา ชีวติ คนท้ัง ๓ ดาน คือ การสัมพันธกบั โลก จติ ใจ และความรคู วามคิด ทํางานประสานเปน ปจ จัยแกกนั ดังน้ัน การฝกศึกษาทั้ง ๓ ดาน คอื ศลี สมาธิ และปญ ญา กจ็ ึงดาํ เนินไปดว ยกัน ทพ่ี ดู วา สกิ ขา/ฝก ศึกษาข้นั ศลี นี้ มิใชหมายความวา เปนเรอ่ื งของศลี อยา งเดยี ว แตห มายความวา ศีล เปน แดนหรอื ดานท่ีเรากําลงั เขามาปฏิบตั จิ ัดการหรอื ทําการฝก อยใู นตอนนีข้ ณะน้ี แตตัวทํางานหรือองคธรรมที่ ทาํ งานในการฝก กม็ คี รบทงั้ ศลี สมาธิ และปญ ญา ถามองดูใหดี จะเหน็ ชดั วา ตวั ทาํ งานสาํ คัญๆ ในการฝก ศลี น้ี กค็ ือองคธ รรมฝายจติ หรือสมาธิ และองคธ รรมฝา ยปญญา ดูงา ยๆ กท็ ี่ศลี ขอ อินทรยี สงั วรน้นั ตัวทํางานหลักก็ คือสติ ซงึ่ เปน องคธรรมฝายจิตหรอื หมวดสมาธิ และถาการฝก ศกึ ษาตรงน้ีถกู ตอ ง กป็ ญ ญานนั่ แหละท่ที าํ งานมาก มาใชป ระโยชนและเดินหนา
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 226 พดู ดว ยภาษางา ยๆ วา ในขัน้ ศลี นี้ ธรรมฝา ยจิต/สมาธิ และปญ ญา มาทํางานกับเร่ืองรปู ธรรม ในแดน ของศีล เพอ่ื ชวยกันฝกฝนพฒั นาศีล และในการทํางานนี้ ท้ังสมาธแิ ละปญญากฝ็ ก ศกึ ษาพฒั นาตัวมันเองไป ดว ยในข้นั หรอื ดา นอน่ื ๆ ก็เชนเดยี วกนั ทั้งศีล สมาธิ และปญญา ตางกช็ วยกันรว มกันทาํ งานประสานกนั ตามบท บาทของตนๆ ๒. ในแงม รรค หรือในแงคุณสมบตั ภิ ายในของชวี ิต ขณะทมี่ ีการฝกศกึ ษาดว ยไตรสกิ ขานั้น ถา มองเขา ไปในชีวติ ทีด่ ําเนนิ อยคู อื มรรคทีร่ ับผลจากการฝก ศึกษาของสิกขา กจ็ ะเห็นวา กระบวนธรรมของการดําเนนิ ชวี ติ ก็กา วไปตามปกติของมนั โดยมีปญ ญาในช่อื วาสมั มาทฏิ ฐเิ ปน ผูนํากระบวนของชีวติ นน้ั ทงั้ ๓ ดาน สมั มาทฏิ ฐนิ ้ี มองเห็นรูเขาใจอยางไรเทาไร ก็คดิ พดู ทาํ ดําเนนิ ชีวติ ไปในแนวทางน้ันอยา งน้ันและไดแ คน ัน้ แตเ มือ่ การฝกศึกษาของไตรสกิ ขาดาํ เนินไป ปญญาชอื่ สัมมาทฏิ ฐิน้นั กพ็ ัฒนาตัวมนั เองดวยประสบ การณทงั้ หลายจากการฝก ศกึ ษานั้น เฉพาะอยา งยง่ิ ดวยการทํางานคิดวจิ ยั สืบคน ไตรตรองของสมั มาสังกปั ปะ ทาํ ใหม องเห็นรูเขา ใจกวา งลกึ ชดั เจนทั่วตลอดถึงความจรงิ ยงิ่ ขน้ึ ๆ แลวก็จดั ปรบั นํากระบวนธรรมกา วหนาเปน มรรคท่ีสมบรู ณใ กลจ ุดหมายย่งิ ขน้ึ ๆ ไปการศกึ ษาจะดาํ เนินไป มปี จ จัยชวยเกื้อหนนุ ขอยอนย้าํ วา มรรค คือการดาํ เนนิ ชวี ิตหรอื วิถชี ีวติ ที่ดี แตจ ะดาํ เนินชีวติ ดไี ดก็ตองมกี ารฝก ฝนพฒั นา ดงั น้นั จึงตองมกี ารฝก ศกึ ษาท่เี รยี กวา สกิ ขา มรรค เปนจุดหมายของ สกิ ขา การท่ใี หม ไี ตรสกิ ขา ก็เพือ่ ใหคนมชี ีวิตทเ่ี ปนมรรค และกา วไปในมรรคนน้ั ดวยการฝกตามระบบแหง ไตรสกิ ขา องค ๘ ของมรรคจะเกิดข้ึนเปน คุณสมบัตขิ องคน และเจริญพฒั นา ทําใหมชี ีวติ ดี ท่ีเปนมรรค และกา วไปในมรรคนั้น อยางไรก็ดี กระบวนการแหง สกิ ขา มใิ ชว าจะเรม่ิ ข้ึนมาและคืบหนาไปเองลอยๆ แตตอ งอาศัยปจจัยเก้ือ หนนุ หรือชว ยกระตุน เน่อื งจากปจ จัยท่วี า นเ้ี ปนตวั นาํ เขาสสู กิ ขา จึงจดั วาอยใู นข้ันกอนมรรค และการนําเขาสสู ิกขานีเ้ ปน เร่อื งสําคญั มาก ดวยเหตุนี้จึงทําใหแบง กระบวนการแหงการศกึ ษาออกเปน ๒ ข้นั ตอนใหญ คอื ข้ันนาํ เขาสู สิกขา และ ข้ันไตรสิกขา ๑. ขัน้ นาํ สสู กิ ขา หรือการศึกษาจดั ตง้ั ขัน้ กอ นท่ีจะเขาสูไตรสิกขา เรียกอีกอยา งหนง่ึ วา ข้นั กอ นมรรค เพราะมรรค หรือเรยี กใหเต็มวามรรคมี องค ๘ นน้ั ก็คือ วถิ แี หงการดําเนินชีวิต ทเ่ี กดิ จากการฝก ศกึ ษาตามหลักไตรสกิ ขานนั่ เอง เมือ่ มองในแงของมรรค ก็เริ่มจากสมั มาทิฏฐิ คอื ความเห็นชอบ ซึง่ เปนปญญาในระดับหนึง่ ปญญาในข้นั น้ี เปนความเช่ือและความเขา ใจในหลกั การท่ัวๆ ไป โดยเฉพาะความเชอื่ วา ส่งิ ท้ังหลาย เปน ไปตามเหตปุ จจยั หรอื การถอื หลักการแหงเหตุปจ จยั ซึง่ เปนความเชอื่ ที่เปน ฐานสาํ คญั ของการศึกษา ทจ่ี ะ ทาํ ใหมีการพัฒนาตอไปได เพราะเมือ่ เชื่อวาสงิ่ ทั้งหลายเปนไปตามเหตุปจจยั พอมอี ะไรเกิดขนึ้ กต็ องคดิ คน สืบ สาวหาเหตุปจ จัย และตอ งปฏบิ ตั ิใหสอดคลอ งกับเหตปุ จ จัย การศกึ ษากเ็ ดนิ หนา
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 227 ในทางตรงขาม ถา มที ฏิ ฐิความคดิ เห็นเชือ่ ถือท่ีผดิ กจ็ ะตดั หนทางท่ีจะพัฒนาตอไป เชน ถาเช่ือวาสิง่ ทั้ง หลายจะเปน อยา งไรก็เปนไปเองแลว แตโ ชค หรือเปน เพราะการดลบันดาล คนก็ไมต องศกึ ษาพัฒนาตน เพราะ ไมร ูจะพัฒนาไปทําไม ดงั นั้น ในกระบวนการฝก ศกึ ษาพฒั นาคน เมอื่ เร่ิมตนจงึ ตอ งมีปญญาอยบู า ง น่ันคือ ปญญาในระดับของความเชือ่ ในหลกั การที่ถกู ตอ ง ซึง่ เมอ่ื เช่ือแลวกจ็ ะนําไปสกู ารศึกษาคราวนี้ สง่ิ ทต่ี อ ง พิจารณาตอไป กค็ ือ สมั มาทิฏฐิ ซง่ึ เปน ฐานหรอื เปน จดุ เร่มิ ใหค นมกี ารศกึ ษาพฒั นาตอไปไดน้ี จะเกิดขนึ้ ในตวั บุคคลไดอยา งไร หรือทําอยา งไรจะใหบคุ คลเกิดมีสัมมาทิฏฐิ ในเร่ืองน้ี พระพทุ ธเจาไดต รัสแสดง ปจจยั แหง สัมมาทฏิ ฐิ ๒ อยา ง คือ ๑. ปจ จัยภายนอก ไดแ ก ปรโตโฆสะ ๒. ปจ จยั ภายใน ไดแ ก โยนโิ สมนสิการ ตามหลกั การนี้ การมสี มั มาทิฏฐอิ าจเริม่ จากปจ จยั ภายนอก เชน พอ แม ครอู าจารย ผใู หญ หรือวฒั น ธรรม ซึ่งทําใหบคุ คลไดร บั อทิ ธพิ ลจากความเชือ่ แนวคดิ ความเขาใจ และภมู ิธรรมภูมิปญญา ท่ถี า ยทอดตอ กัน มา ถาสง่ิ ทไ่ี ดรบั จากการแนะนําสั่งสอนถายทอดมานนั้ เปน ส่ิงทดี่ งี ามถูกตอ ง อยูในแนวทางของเหตผุ ล กเ็ ปน จดุ เริม่ ของสัมมาทฏิ ฐิ ทจ่ี ะนาํ เขา สกู ระแสการพฒั นาหรือกระบวนการฝกศกึ ษา ในกรณีอยา งน้ี สัมมาทฏิ ฐเิ กดิ จาก ปจ จยั ภายนอกที่เรียกวา ปรโตโฆสะ ถา ไมเ ชน น้ัน บคุ คลอาจเขา สกู ระแสการศกึ ษาพัฒนาโดยเกดิ ปญญาทเี่ รียกวาสมั มาทิฏฐินน้ั ดวยการ ใชโยนิโสมนสิการ คอื การรูจ ักคดิ รจู ักพิจารณาดวยตนเอง แตคนสวนใหญจ ะเขา สูก ระแสการศึกษาพัฒนาดวยปรโตโฆสะ เพราะคนทีม่ ีโยนโิ สมนสกิ ารแตแ รกเรมิ่ นน้ั หาไดยาก “ปรโตโฆสะ” แปลวา เสียงจากผอู ื่น คอื อทิ ธิพลจากภายนอก เปนคาํ ท่มี ีความหมายกลางๆ คอื อาจจะดี หรอื ชัว่ ถกู หรอื ผิดก็ได ถา ปรโตโฆสะ นั้นเปนบุคคลท่ีดี เราเรยี กวา กัลยาณมติ ร ซ่งึ เปน ปรโตโฆสะชนดิ ทมี่ คี ุณ ภาพโดยเฉพาะท่ีไดเลือกสรรกล่นั กรองแลว เพอ่ื ใหมาทํางานในดา นการศกึ ษา ถา บุคคลและสถาบันท่ีมีบทบาทสาํ คัญมากในสงั คม เชน พอแม ครอู าจารย สอ่ื มวลชน และองคก รทาง วฒั นธรรม เปน ปรโตโฆสะท่ีดี คอื เปน กัลยาณมติ ร ก็จะนาํ เดก็ ไปสูส มั มาทฏิ ฐิ ซึ่งเปน ฐานของการพัฒนาตอไป อยา งไรก็ตาม คนท่พี ฒั นาดแี ลวจะมีคุณสมบตั ทิ สี่ าํ คญั คือ พึง่ ตนไดโดยมีอิสรภาพ แตคณุ สมบตั นิ ้จี ะเกดิ ข้นึ ตอ เมือ่ เขารจู กั ใชป จ จัยภายใน เพราะถา เขายังตองอาศัยปจจัยภายนอก กค็ อื การท่ยี งั ตองพง่ึ พา ยังไมเปน อสิ ระ จงึ ยงั ไมส ามารถพึ่งตนเองได ดังน้นั จุดเนนจงึ อยทู ี่ปจ จัยภายใน แตเ ราอาศัยปจจัยภายนอกมาเปนสื่อในเบ้ืองตน เพอ่ื ชว ยชกั นาํ ใหผ ูเ รียนสามารถใชโ ยนโิ สมนสกิ าร ที่ เปนปจ จัยภายในของตัวเขาเอง เมื่อรหู ลักนี้แลว เราก็ดาํ เนินการพฒั นากลั ยาณมิตรข้ึนมาชวยชักนาํ คนใหรจู กั ใชโยนโิ สมนสิการ
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 228 นอกจากปรโตโฆสะทีเ่ ปน กัลยาณมิตร และโยนิโสมนสกิ าร ซึ่งเปน องคป ระกอบหลกั ๒ อยา งนีแ้ ลว ยงั มอี งคป ระกอบเสริมทชี่ วยเกื้อหนนุ ในขน้ั กอ นเขา สมู รรคอกี ๕ อยาง จงึ รวมท้งั หมดมี ๗ ประการ องคธรรมเกือ้ หนุนท้งั ๗ ท่กี ลาวมาน้นั มชี อื่ เรยี กวาบุพนิมติ ของมรรคเพราะเปนเครอ่ื งหมายบง บอกลว ง หนาถงึ การท่ีมรรคจะเกดิ ข้ึน หรอื เปน จุดเร่มิ ทจ่ี ะนาํ เขาสูม รรค อาจเรียกเปนภาษางา ยๆ วา แสงเงินแสงทอง ของ(วถิ ี)ชวี ิตทดี่ งี าม หรือเรียกในแงส ิกขาวา รุง อรุณของการศกึ ษา ดงั นี้ ๑. กลั ยาณมิตตตา (มีกัลยาณมติ ร=แสวงแหลง ปญ ญาและแบบอยางทดี่ )ี ไดแก ปรโตโฆสะท่ดี ี ซง่ึ เปน ปจจยั ภายนอก ท่ไี ดก ลา วแลว ๒. ศลี สมั ปทา (ทําศลี ใหถ งึ พรอม=มวี นิ ัยเปนฐานของการพัฒนาชวี ติ ) คือ ประพฤติดี มีวินยั มีระเบียบ ในการดําเนนิ ชีวติ ตงั้ อยูใ นความสุจรติ และมีความสัมพันธทางสงั คมท่ดี ีท่ีเก้อื กลู ๓. ฉนั ทสมั ปทา (ทาํ ฉนั ทะใหถงึ พรอ ม=มีจิตใจใฝรูใฝส รา งสรรค) คอื พอใจใฝร กั ในความรู อยากรใู ห จรงิ และปรารถนาจะทําสง่ิ ท้งั หลายใหดงี าม ๔. อตั ตสมั ปทา (ทําตนใหถ งึ พรอม=มงุ มน่ั ฝก ตนเต็มสดุ ภาวะทีค่ วามเปนคนจะใหถึงได) คือการทําตน ใหถงึ ความสมบูรณแ หงศักยภาพของความเปน มนษุ ย โดยมจี ิตสํานึกในการท่ีจะฝก ฝนพัฒนาตนอยูเสมอ ๕. ทิฏฐสิ ัมปทา (ทาํ ทฏิ ฐใิ หถึงพรอม=ถือหลักเหตุปจ จัยมองอะไรๆตามเหตแุ ละผล) คือ มีความเชอื่ ทม่ี ี เหตผุ ล ถือหลักความเปนไปตามเหตปุ จจัย ๖. อัปปมาทสัมปทา (ทาํ ความไมประมาทใหถ ึงพรอม=ตงั้ ตนอยใู นความไมป ระมาท) คือ มสี ตคิ รองตวั เปนคนกระตือรือรน ไมเ ฉือ่ ยชา ไมป ลอยปละละเลย โดยเฉพาะมีจติ สาํ นกึ ตระหนกั ในความเปลีย่ นแปลง ซึ่งทาํ ใหเหน็ คณุ คาของกาลเวลา และรจู ักใชเ วลาใหเปน ประโยชน ๗. โยนโิ สมนสกิ ารสมั ปทา (ทําโยนิโสมนสิการใหถ ึงพรอ ม=ฉลาดคดิ แยบคายใหไ ดประโยชนและความ จรงิ ) รจู กั คดิ รูจ กั พิจารณา มองเปน คดิ เปนเห็นส่งิ ทั้งหลายตามที่มันเปนไป ในระบบความสัมพนั ธแ หงเหตุ ปจ จยั รจู กั สอบสวนสืบคน วิเคราะหว ิจยั ใหเ ห็นความจรงิ หรอื ใหเ หน็ แงดา นทจี่ ะทาํ ใหเ ปนประโยชน สามารถ แกไ ขปญ หาและจดั ทําดําเนินการตางๆ ใหสาํ เร็จไดด ว ยวธิ ีการแหงปญ ญา ทจ่ี ะทาํ ใหพึง่ ตนเองและเปนท่พี ่งึ ของคนอื่นไดในการศกึ ษาน้นั ปจจัยตวั แรก คอื กัลยาณมิตร อาจชวยชักนํา หรอื กระตนุ ใหเ กิดปจ จัยตวั อนื่ ตั้ง แตต วั ท่ี ๒ จนถงึ ตวั ที่ ๗ การท่จี ะมกี ลั ยาณมติ รนัน้ จดั แยกไดเปน การพัฒนา ๒ ขนั้ ตอน ข้นั แรก กลั ยาณมติ รน้ัน เกิดจากผอู น่ื หรือสงั คมจดั ให ซึง่ จะทําใหเด็ก อยใู นภาวะทีเ่ ปนผรู ับและยงั มีการพึ่งพามาก ขั้นทส่ี อง เมือ่ เด็กพัฒนามากขน้ึ คอื รูจกั ใชโยนิโสมนสกิ ารแลว เด็กจะมองเหน็ คุณคา ของแหลง ความรู และนยิ มแบบอยางทดี่ ี แลว เลอื กหากลั ยาณมิตรเอง โดยรูจ กั ปรึกษาไตถ าม เลือกอานหนังสือ เลือกชมรายการ โทรทัศนทดี่ ีมปี ระโยชน เปน ตน พัฒนาการในขั้นท่ีเด็กเปนฝา ยเลือกคบหากลั ยาณมิตรเองน้ี เปนความหมายของความมกี ลั ยาณมติ รท่ี ตองการในทน่ี ้ี และเมอื่ ถึงข้ันนแ้ี ลว เดก็ จะทําหนา ท่เี ปน กัลยาณมิตรของผูอ่นื ไดดวย อันนบั เปนจุดสาํ คัญของ
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 229 การท่จี ะเปนผูม ีสว นรวมในการสรา งสรรคแ ละพัฒนาสงั คม ถาบุคคลมีปจจยั ๗ ขอ นแี้ ลว ก็เชอื่ มัน่ ไดว าเขาจะมชี ีวิตทด่ี งี าม และกระบวนการศึกษาจะเกดิ ขึน้ อยา ง แนน อน เพราะปจ จัยเหลา นเี้ ปน สว นขยายของมรรค หรือของไตรสกิ ขานั้นเอง ท่ียน่ื ออกมาเชื่อมตอ เพ่อื รบั หรอื ดึงคนเขา สูกระบวนการฝกศึกษาพฒั นา โดยเปนท้ังตวั ชักนาํ เขา สไู ตรสิกขาและเปน ตวั เรง และคอยเสรมิ ใหการ ฝกศกึ ษาของไตรสกิ ขาเดนิ หนาไปดว ยดี การศึกษา[ท่ีสงั คม]จัดตง้ั ตอ งไมบ ดบงั การศกึ ษาท่แี ทของชีวิต การศกึ ษาที่จดั ทํากันอยา งเปนงานเปน การ เปน กิจการของรัฐของสังคม กค็ อื การยอมรับความสาํ คัญ และดาํ เนนิ การในขนั้ ของ ปจ จัยขอท่ี ๑ คือ ความมีกัลยาณมิตร ทเ่ี ปน ปจ จยั ภายนอก นัน่ เอง ปจ จัยขอ ๑ นเ้ี ปน เรื่องใหญ มีความสําคัญมาก รัฐหรือสังคมนน่ั เองทาํ หนา ที่เปนกัลยาณมติ ร ดว ยการ จัดสรรและจัดเตรียมบุคลากรทีจ่ ะดาํ เนินบทบาทของกัลยาณมติ ร เชน ครอู าจารย ผูบรหิ าร พรอ มทัง้ อปุ กรณ และปจจัยเกอื้ หนนุ ตา งๆ ถงึ กับตอ งจดั เปนองคกรใหญโต ใชจ า ยงบประมาณมากมาย ถาไดก ลั ยาณมติ รท่ดี ี มีคณุ สมบัติทเ่ี หมาะ และมีความรเู ขาใจชัดเจนในกระบวนการของการศกึ ษา สํานึกตระหนักตอ หนา ทแ่ี ละบทบาทของตนในกระบวนการแหงสกิ ขาน้ัน มเี มตตา ปรารถนาดีตอชวี ิตของผู เรียนดว ยใจจริง และพรอมที่จะทําหนา ท่ีของกัลยาณมิตร กจิ การการศกึ ษาของสงั คมก็จะประสบความสําเรจ็ ดว ยดี ดงั น้ัน การสรา งสรรจดั เตรยี มกลั ยาณมติ รจึงเปน งานใหญท ่สี าํ คญั ยิ่ง ซง่ึ ควรดาํ เนนิ การใหถ กู ตอ ง อยาง จริงจัง ดวยความไมประมาท อยา งไรกด็ ี จะตองระลึกตระหนักไวต ลอดเวลาวา การพยายามจัดใหม ีปรโตโฆสะทด่ี ี ดวยการวาง ระบบองคก รและบคุ ลากรกัลยาณมิตรขึ้นทัง้ หมดน้ี แมจ ะเปนกจิ การทางสงั คมท่จี าํ เปนและสาํ คญั อยา งยง่ิ และ แมจ ะทาํ อยางดีเลศิ เพยี งใด กอ็ ยูใ นข้ันของการนําเขา สูการศกึ ษา เปน ขน้ั ตอนกอ นมรรค และเปนเรื่องของ ปจจยั ภายนอกทัง้ นั้น พดู สน้ั ๆ วาเปน การศกึ ษาจัดต้งั การศกึ ษาจดั ต้งั กค็ ือ กระบวนการชวยชักนาํ คนเขาสกู ารศกึ ษา โดยการดําเนินงานของกัลยาณมติ ร ในกระบวนการศึกษาจดั ตง้ั นี้ ผูทาํ หนาที่เปน กัลยาณมติ ร และผูท าํ งานในระบบจดั สรรปรโตโฆสกรรม/ ปรโตโฆสการ ท้งั หมด พงึ ระลกึ ตระหนักตอ หลกั การสาํ คญั บางอยาง เพือ่ ความมน่ั ใจในการทีจ่ ะปฏบิ ตั ิใหถกู ตอ ง และปอ งกันความผิดพลาด ดังตอไปน้ี -โดยหลักการ กระบวนการแหงการศึกษาดาํ เนินไปในตัวบุคคล โดยสมั พันธก ับโลก/สิง่ แวดลอ ม/ปจ จัยภาย นอก ทั้งในแงรบั เขา แสดงออก และปฏสิ ัมพนั ธ สําหรับคนสวนใหญ กระบวนการแหงการศึกษาอาศยั การโนม นําและเกอื้ หนนุ ของปจจัยภายนอกเปน อยา งมาก ถา มแี ตป จ จัยภายนอกทีไ่ มเอือ้ คนอาจจะหมกจมติดอยใู น
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 230 กระบวนการเสพความรูสกึ และไมเ ขา สูการศึกษา เราจงึ จดั สรรปจ จยั ภายนอก ที่จะโนมนาํ และเก้อื หนุนปจจยั ภายในทด่ี ใี หพ ฒั นาขน้ึ มา ซง่ึ จะนาํ เขาเขาสกู ารศกึ ษา และกา วไปในทางชีวิตท่เี ปน มรรค -โดยความมุงหมาย เราจัดสรรและเปนปจ จัยภายนอกในฐานะกัลยาณมติ ร ทีจ่ ะโนม นาํ ใหปจจัยภาย ในทีด่ พี ฒั นาขนึ้ มาในตวั เขาเอง และเกอื้ หนนุ ใหก ระบวนการแหงการศึกษาในตวั ของเขา พาเขากาวไปในมรรค พูดสั้นๆ วา ตัวเราที่เปนปจจยั ภายนอกนี้ จะตอ งตอ หรือจดุ ไฟปจจยั ภายในของเขาขนึ้ มาใหได ความสาํ เรจ็ อยทู ่ี เขาเกดิ มปี จจัยภายใน (โยนโิ สมนสิการ และบุพนิมติ แหงมรรคขอ อนื่ ๆ อกี ๕) ซึง่ จะนําเขาเขาสกู ระบวนการ แหงการศกึ ษา (ศีล สมาธิ ปญญา) ที่ทาํ ใหเขากาวไปในมรรค ดวยตวั เขาเอง - โดยขอบเขตบทบาท ระลึกตระหนกั ชดั ตอตาํ แหนง หนาทข่ี องตนในฐานะกัลยาณมติ ร/ปจจยั ภายนอก ทจี่ ะชวย(โนมนําเกอ้ื หนนุ )ใหเ ขาศึกษา สิกขาอยทู ีต่ วั เขา มรรคอยูในชวี ติ ของเขา เราตอ งจดั สรรและเปนปจจยั ภายนอกทีด่ ีท่ีสดุ แตปจจยั ภายนอกท่ีวา “ดีทส่ี ดุ ” นน้ั อยทู ี่หนุนเสริมปจ จยั ภายในของเขาใหพ ัฒนาอยางไดผลท่ีสดุ และ ใหเขาเดนิ ไปไดเอง ไมใ ชวาดีจนกลายเปนทาํ ใหเ ขาไมต องฝก ไมต องศึกษา ไดแตพ่งึ พาปจจัยภายนอกเร่อื ยไป คิดวา ดี แตที่แทเปน การกาวกายกดี ขวางลวงลาํ้ และครอบงาํ โดยไมร ูตัว - โดยการระวงั จุดพลาด ระบบและกระบวนการแหงการศกึ ษา ที่รัฐหรือสังคมจัดขนึ้ มาท้ังหมด เปนการ ศกึ ษาจัดตง้ั ความสาํ เรจ็ ของการศกึ ษาจดั ตัง้ น้ี อยทู ่กี ารเชอื่ มประสานหรือตอ โยง ใหเกิดมแี ละพฒั นาการศกึ ษา แทขึ้นในตวั บคุ คล อยางท่ีกลา วแลวขา งตน เร่ืองนี้ ถาไมร ะวงั จะหลงเพลนิ วา ได “จัด” การศึกษาอยา งดีท่ีสุด แตการศึกษาก็จบอยแู คก ารจัดต้ัง การศกึ ษาท่แี ทไมพัฒนาขึ้นไปในเนอ้ื ตวั ของคน แมแตการเรียนอยางมคี วาม สุข ก็อาจจะเปน ความสขุ แบบจัดตง้ั ที่เกดิ จากการจัดสรรปจจัยภายนอก ในกระบวนการของการศกึ ษาจัดตั้ง ในชั้นเรียนหรอื ในโรงรยี น เปน ตน ถึงแมนักเรยี นจะมีความสุขจรงิ ๆ ในบรรยากาศและสภาพแวดลอ มทีจ่ ัดตัง้ นั้น แตถา เดก็ ยังไมเกดิ มี ปจ จยั ภายในที่จะทาํ ใหเขาสามารถมแี ละสรา งความสขุ ได เมือ่ เขาออกไปอยกู บั ชีวิตจริง ในโลกแหง ความเปน จรงิ ท่ีไมเ ขาใครออกใคร ไมมีใครตามไปเอาอกเอาใจ หรอื ไปจัดสรรความสขุ แบบจัดตง้ั ให เขาก็จะกลายเปน คน ที่ไมมีความสุข ซาํ้ รายความสขุ ท่ีเกิดจากการจดั ต้งั น้นั อาจทําใหเ ขาเปน คนมคี วามสุขแบบพึ่งพา ทีพ่ ง่ึ ตนเองไม ไดในการทจ่ี ะมคี วามสุข ตองอาศยั การจัดตัง้ อยเู รือ่ ยไป และกลายเปน คนที่มคี วามสุขไดยาก หรือไมสามารถมี ความสขุ ไดใ นโลกแหง ความปน จริง อาจกลา วถงึ ความสมั พันธระหวา งการศกึ ษาจดั ตัง้ ของสงั คม กบั การศกึ ษาที่แทของชีวิต ทดี่ ูเหมือน ยอนแยง กนั แตตองทําใหเ ปนอยา งนน้ั จรงิ ๆ ซึ่งเปน ตัวอยา งของขอ เตือนใจไวปองกนั ความผิดพลาด ดังนี้ ๑) (ปจ จัยภายนอก) จัดสรรใหเด็กไดรับสิ่งแวดลอมและปจจัยเอื้อทกุ อยา งที่ดที ่ีสดุ ๒) (ปจ จัยภายใน) ฝกสอนใหเ ดก็ สามารถเรยี นรูอยดู เี ฟน หาคณุ คาประโยชนไดจ ากส่ิงแวดลอ มและ สภาพทุกอยา งแมแ ตท ่เี ลวรา ยทส่ี ุด
พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 231 ๒. ขัน้ ไตรสิกขา หรือกระบวนการศกึ ษาทีแ่ ทของธรรมชาติ ขนั้ ตอนนี้ เปนการเขาสูก ระบวนการฝก ศึกษา ท่ีเปน กิจกรรมแหงชีวิตของแตล ะบคุ คล ในระบบแหง ไตรสกิ ขา คือ การฝกศึกษาพฒั นาความสมั พันธกับ สิ่งแวดลอม พฒั นาจิตใจ และพฒั นาปญญา ตามหลักแหง ศีล สมาธิ และปญ ญา ที่ไดพูดไปกอนนแ้ี ลว ระบบไตรสกิ ขาเพื่อการพัฒนาอยา งองคร วมในทกุ กจิ กรรม ไดก ลา วแลว วา ในกระบวนการพัฒนาของไตรสกิ ขานน้ั องคทั้ง ๓ คือ ศลี สมาธิ ปญ ญา จะทํางาน ประสานโยงสง ผลตอ กนั เปน ระบบและกระบวนการอันหนึง่ อนั เดยี ว แตเ มอ่ื มองไตรสิกขาน้ี โดยภาพรวมทเ่ี ปน ระบบใหญของการฝก กจ็ ะเห็นองค ๓ นั้นเดนขึ้นมาทีละอยาง จากหยาบแลวละเอียดประณีตขนึ้ ไป เปนชวงๆ หรอื เปนข้นั ๆ ตามลําดับ คอื ชวงแรก เดนออกมาขางนอก ทีอ่ นิ ทรียแ ละกายวาจา กเ็ ปนขน้ั ศลี ขนั้ ทส่ี อง เดนดานภายใน ทจี่ ติ ใจ กเ็ ปนข้นั สมาธิ ชว งทีส่ าม เดน ทค่ี วามรูความคิดเขา ใจ ก็เปน ข้ัน ปญญา แตใ นทกุ ข้ันนนั้ เอง องคอีก ๒ อยา งก็ทาํ งานรวมอยูดว ยโดยตลอด หลกั การท้ังหมดน้ี ไดอธิบายขา งตน แลว แตม ีเรอ่ื งท่ขี อพูดแทรกไวอ ยา งหนึง่ เพื่อเสรมิ ประโยชนใ นชวี ติ ประจําวัน คอื การทาํ งานของกระบวนการฝกศกึ ษาพฒั นา ท่อี งคท้งั สาม ท้ัง ศีล สมาธิ ปญ ญา ทํางานอยูด ว ย กนั โดยประสานสัมพนั ธเ ปนเหตปุ จ จยั แกก ัน การปฏบิ ตั ิแบบทีว่ าน้ี กค็ ือ การนาํ ไตรสิกขาเขา สกู ารพจิ ารณา ของโยนิโสมนสิการ หรือการโยนิโสมนสิการในไตรสิกขา ซ่ึงควรปฏบิ ัติใหไ ดเปน ประจํา และเปน สงิ่ ทปี่ ฏิบัติได จรงิ โดยไมย ากเลย ดงั น้ี ในการกระทาํ ทกุ ครั้งทกุ อยา ง ไมวาจะแสดงพฤตกิ รรมอะไร หรอื มีกิจกรรมใดๆ กต็ าม เราสามารถฝก ฝนพฒั นาตนและสาํ รวจตรวจสอบตนเอง ตามหลกั ไตรสิกขาน้ี ใหม กี ารศึกษาครบท้งั ๓ อยา ง ทง้ั ศลี สมาธิ และปญญา พรอมกนั ไปทุกครั้งทกุ คราว คือ เมอ่ื ทาํ อะไรก็พจิ ารณาดวู า พฤตกิ รรม หรอื การกระทาํ ของเราครง้ั น้ี จะเปนการเบยี ดเบยี น ทําใหเ กดิ ความเดือดรอนแกใ ครหรือไม จะกอใหเ กิดความเส่ือมโทรมเสยี หายอะไรๆ บางไหม หรือวาเปน ไปเพ่อื ความเก้ือกลู ชวยเหลอื สง เสริม และสรางสรรค (ศลี ) ในเวลาที่จะทําน้ี จิตใจของเราเปนอยางไร เราทาํ ดวยจิตใจท่เี หน็ แกตัว มงุ รา ยตอ ใคร ทําดวยความโลภ โกรธ หลง หรือไม หรือทาํ ดว ยเมตตา มีความปรารถนาดี ทาํ ดวยศรัทธา ทาํ ดวยสติ มีความเพียร มคี วามรบั ผิด ชอบ เปนตน และ ในขณะท่ีทาํ สภาพจติ ใจของเราเปน อยา งไร เรารอน กระวนกระวาย ขุน มัว เศรา หมอง หรือวา มีจติ ใจท่สี งบ รา เริง เบิกบาน เปน สุข เอิบอิม่ ผองใส (สมาธิ) เรื่องท่ที ําครงั้ นี้ เราทําดว ยความรคู วามเขา ใจชดั เจนดแี ลวหรอื ไม เรามองเหน็ เหตุผล รเู ขา ใจหลกั เกณฑ และความมุงหมาย มองเห็นผลดผี ลเสยี ทอ่ี าจจะเกิดขึน้ และหนทางแกไขปรบั ปรุงพรอ มดแี ลว หรือไม (ปญ ญา)
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 232 ดว ยวธิ ปี ฏิบัติอยา งน้ี คนทฉ่ี ลาดจงึ สามารถฝก ศกึ ษาพฒั นาตน และสํารวจตรวจสอบวัดผลการพฒั นา ตนไดเสมอตลอดทุกคร้ังทกุ เวลา เปนการบําเพญ็ ไตรสิกขาในระดบั รอบเลก็ (คอื ครบสกิ ขาท้ังสาม ในพฤตกิ รรม เดียวหรอื กจิ กรรมเดียว) พรอ มกนั น้ัน การศึกษาของไตรสิกขาในระดับข้ันตอนใหญ ก็คอยๆ พัฒนาข้นึ ไปทีละ สว นดวย ซงึ่ เมือ่ มองดภู ายนอก ก็เหมอื นศึกษาไปตามลาํ ดับทีละอยางทลี ะขั้น ยง่ิ กวา น้นั ไตรสิกขาในระดับ รอบเลก็ น้กี ็จะชวยใหก ารฝก ศึกษาไตรสิกขาในระดบั ข้ันตอนใหญยงิ่ กาวหนาไปดวยดีมากขน้ึ ในทางยอนกลบั การฝกศึกษาไตรสกิ ขาในระดับขน้ั ตอนใหญ กจ็ ะสง ผลใหการฝกศึกษาไตรสิกขาในระดับรอบเลก็ มคี วามชัด เจนและสมบูรณย ิ่งขึ้นดว ยเชนกัน ตามที่กลาวมาน้ี ตองการใหม องเห็นความสัมพันธอ ยา งองิ อาศัยซ่ึงกันและกนั ขององคประกอบทเี่ รียก วา สกิ ขา ๓ ในกระบวนการศกึ ษาและพฒั นาพฤตกิ รรม เปน การมองรวมๆ อยา งสัมพันธถงึ กนั หมด ปฏิบตั กิ ารฝก ศึกษาดว ยสิกขา แลววดั ผลดว ยภาวนา ไดอ ธิบายแลว ขางตน วา สกิ ขา ท่ีทานจดั เปน ๓ อยาง ดังท่ีเรียกวา “ไตรสิกขา” นน้ั เพราะเปน ไปตาม ความเปน จรงิ ในการปฏบิ ัติ ซึง่ เปน เรือ่ งธรรมดาแหง ธรรมชาตขิ องชีวติ นี้เอง กลาวคอื ในเวลาฝก ศกึ ษา สิกขา ๓ ดาน จะทาํ งานประสานสมั พนั ธกัน ซ่ึงในขณะหน่ึงๆ อยา งครบเต็มทีเ่ มือ่ ออกมาถงึ การสมั พันธก บั ภายนอก กม็ ี ๓ ดา น ดงั เชน ในขณะทส่ี มั พนั ธก บั สงิ่ แวดลอม ไมว า จะเปนวัตถุหรอื บุคคล ไมว าจะดวยอนิ ทรีย เชน ตา หู หรอื ดว ยกาย-วาจา (ดา นศีล) กต็ อ งมเี จตนา แรงจูงใจ และสภาพจิตอยางใดอยางหนึง่ (ดานจติ หรือสมาธิ) และ ตอ งมคี วามคิดเหน็ เชอื่ ถอื รูเขา ใจในระดบั ใดระดับหนง่ึ (ปญญา) น้เี ปนเรือ่ งของธรรมภาคปฏบิ ตั ิ ซง่ึ ตองทาํ ให สอดลอ งตรงกันกบั ระบบความเปนไปของสภาวะในธรรมชาติ แตย ังมีธรรมประเภทอนื่ ซงึ่ แสดงไวดว ยความมงุ หมายท่ีตา งออกไปโดยเฉพาะท่ีโยงกบั เรื่องสกิ ขา ๓ น้ี กค็ ือหลักภาวนา ๔ เมื่อปฏิบตั ิแลว กค็ วรจะมีการวัดหรอื แสดงผลดวย เร่ืองการศกึ ษานี้ กท็ ํานองนั้น เม่อื ฝกศึกษาดว ย สกิ ขา ๓ แลว กต็ ามมาดวยหลักท่จี ะใชวดั ผล คอื ภาวนา ๔ ตอนปฏิบตั กิ ารฝก สิกขามี ๓ แตท าํ ไมตอนวดั ผล ภาวนามี ๔ ไมเทา กนั ทาํ ไม (ในเวลาทาํ การฝก) จึง จดั เปนสิกขา ๓ และ (ในเวลาวดั ผลคนท่ไี ดร ับการฝก) จึงจัดเปนภาวนา ๔ ? อยา งที่ชแ้ี จงแลว วา ธรรมภาคปฏบิ ัติการตองจัดใหตรงสอดคลอ งกับระบบความเปนไปของธรรมชาติ แตตอนวัดผลไมต องจดั ใหต รงกันแลว เพราะวัตถปุ ระสงคอยทู จี่ ะมองดูผลท่เี กิดข้ึนแลว ซึ่งมงุ ทจ่ี ะใหเ หน็ ชดั เจน ตอนน้ถี า แยกละเอียดออกไป ก็จะยิง่ ดี นแี่ หละคอื เหตผุ ลทว่ี า หลกั วดั ผลคอื ภาวนาเพ่มิ เปน ๔ ขอใหดคู วามหมายและหัวขอของภาวนา ๔ นั้นกอน “ภาวนา” แปลวา ทําใหเจรญิ ทําใหเ ปน ทําใหม ขี ้นึ หรอื ฝก อบรม ในภาษาบาลี ทา นใหความหมายวา “วฑฒฺ นา” คือวฒั นา หรอื พัฒนา นั่นเอง ภาวนานเ้ี ปนคาํ หน่งึ ทมี่ คี วามหมายใชแ ทนกันไดกบั “สกิ ขา”
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 233 ภาวนาจัดเปน ๔ อยาง คือ ๑. กายภาวนา การพัฒนากาย คอื การมคี วามสมั พันธท ่ีเกอ้ื กูลกับสง่ิ แวดลอมทางกายภาพ หรือทาง วัตถุ ๒. ศีลภาวนา การพฒั นาศีล คอื การมีความสัมพันธท เ่ี ก้ือกูลกับสงิ่ แวดลอมทางสังคม คือเพ่ือนมนษุ ย ๓. จติ ภาวนา การพฒั นาจิต คือ การทาํ จิตใจใหเจรญิ งอกงามขึน้ ในคณุ ธรรม ความดีงาม ความเขม แข็งมน่ั คง และความเบกิ บานผอ งใสสงบสุข ๔. ปญญาภาวนา การพัฒนาปญญา คอื การเสรมิ สรา งความรูความคดิ ความเขา ใจ และการหย่ังรู ความจรงิ อยางที่กลา วแลว วา ภาวนา ๔ น้ี ใชในการวดั ผลเพ่ือดูวาดานตางๆ ของการพัฒนาชวี ติ ของคนนน้ั ได รบั การพฒั นาครบถวนหรอื ไม ดังนน้ั เพอ่ื จะดใู หชัด ทานไดแ ยกบางสวนละเอยี ดออกไปอกี สวนทแ่ี ยกออกไปอกี นี้ คอื สกิ ขาขอท่ี ๑ (ศลี ) ซึ่งในภาวนา แบง ออกไปเปน ภาวนา ๒ ขอ คือกาย ภาวนา และศลี ภาวนา ทาํ ไมจงึ แบงสิกขาขอ ศลี เปนภาวนา ๒ ขอ ? ทจี่ รงิ สกิ ขาดา นที่ ๑ คอื ศีล น้นั มี ๒ สวนอยูแลว ในตัว เม่ือจัดเปนภาวนา จึงแยกเปน ๒ ไดทันที คอื ๑. ศลี ในสวนทส่ี ัมพันธกบั สงิ่ แวดลอมทางกาย (ท่ีเรียกวา สิ่งแวดลอ มทางกายภาพ) ไดแ กความ สมั พันธก บั วตั ถหุ รอื โลกของวัตถุและธรรมชาตสิ วนอื่น ท่ไี มใชม นุษย เชน เรอ่ื งปจจัย ๔ ส่ิงท่ีเราบรโิ ภคใชสอย ทุกอยา ง และธรรมชาติแวดลอ มทว่ั ๆ ไป สว นน้แี หละ ที่แยกออกไปจดั เปน กายภาวนา ๒. ศีล ในสวนทีส่ ัมพันธกบั สิง่ แวดลอ มทางสังคม คอื บคุ คลอ่ืนในสงั คมมนษุ ยดวยกนั ไดแกความเกย่ี ว ขอ งสมั พนั ธอยรู วมกันดวยดใี นหมูมนุษย ที่จะไมเบียดเบียนกนั แตช วยเหลอื เกื้อกลู กนั สว นน้ี แยกออกไปจัดเปน ศีลภาวนา ในไตรสกิ ขา ศลี ครอบคลมุ ความสัมพันธกบั สิง่ แวดลอ ม ทงั้ ทางวตั ถหุ รือทางกายภาพ และทางสงั คม รวมไวใ นขอเดยี วกัน แตเ ม่อื จดั เปน ภาวนา ทานแยกกนั ชัดออกเปน ๒ ขอ โดยยกเรือ่ งความสมั พันธก ับส่งิ แวดลอมในโลก วัตถุ แยกออกไปเปนกายภาวนา สวนเรื่องความสัมพนั ธก ับเพอื่ นมนษุ ยในสงั คม จัดไวในขอศีลภาวนา ทาํ ไมตอนทเ่ี ปนสกิ ขาไมแยก แตตอนเปน ภาวนาจึงแยก ?อยา งที่กลาวแลว วา ในเวลาฝก หรือใน กระบวนการฝกศกึ ษา องคท งั้ ๓ อยางของไตรสกิ ขา จะทํางานประสานไปดวยกนั ในศีลท่ีมี ๒ สวน คอื ความสัมพันธกบั สิ่งแวดลอ มดา นกายภาพในโลกวัตถุ และความสมั พันธก ับ มนษุ ยในสังคมนั้น สวนทีส่ มั พันธแ ตละครั้งจะเปนอันใดอนั หน่ึงอยางเดยี ว
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 234 ในกรณหี นงึ่ ๆ ศีลอาจจะเปน ความสมั พันธดานท่ี ๑ (กายภาพ) หรอื ดา นที่ ๒ (สังคม) ก็ได แตตอ งอยาง ใดอยางหนงึ่ ดังนนั้ ในกระบวนการฝกศึกษาของไตรสิกขา ทม่ี ีองคประกอบท้งั สามอยางทํางานประสานเปนอัน เดยี วกนั นน้ั จงึ ตองรวมศีลท้งั ๒ สว นเปนขอ เดียว ทําใหสิกขามเี พียง ๓ คอื ศีล สมาธิ ปญญา แตในภาวนาไมม เี หตุบงั คับอยา งนัน้ จงึ แยกศีล ๒ สว นออกจากกนั เปน คนละขอ อยางชัดเจน เพ่อื ประโยชนใ นการตรวจสอบ จะไดวดั ผลดูจําเพาะใหชัดไปทลี ะอยางวา ในดานกาย ความสัมพันธก ับสภาพแวด ลอ มทางวัตถุ เชน การบรโิ ภคปจจัย ๔ เปน อยางไร ในดา นศีล ความสัมพนั ธก ับเพือ่ นมนษุ ยเปนอยางไร เปน อนั วา หลักภาวนา นิยมใชในเวลาวดั หรอื แสดงผล แตใ นการฝกศกึ ษาหรือตวั กระบวนการฝกฝน พฒั นา จะใชเ ปน ไตรสิกขา เนือ่ งจากภาวนาทานนยิ มใชใ นการวัดผลของการศึกษาหรอื การพัฒนาบคุ คล รปู ศพั ททพี่ บจึงมักเปน คําแสดงคณุ สมบตั ขิ องบุคคล คือแทนทีจ่ ะเปน ภาวนา ๔ (กายภาวนา ศลี ภาวนา จติ ภาวนา และ ปญญา ภาวนา) ก็เปล่ียนเปน ภาวิต ๔ คือ ๑. ภาวิตกาย มกี ายทพ่ี ัฒนาแลว (=มกี ายภาวนา) คือ มีความสัมพนั ธก ับสิ่งแวดลอมทางกายภาพใน ทางท่เี กอื้ กูลและไดผ ลดี เรมิ่ แตรูจกั ใชอินทรยี เชน ตา หู ดู ฟง เปนตน อยา งมีสติ ดูเปน ฟงเปน ใหไ ดปญญา บริโภคปจ จัย ๔ และสิ่งของเครือ่ งใช ตลอดจนเทคโนโลยี อยางฉลาด ไดผลตรงเต็มตามคณุ คา ๒. ภาวิตศีล มศี ลี ที่พัฒนาแลว (=มีศลี ภาวนา) คอื มีพฤติกรรมทางสงั คมทีพ่ ัฒนาแลว ไมเ บยี ดเบียน กอความเดอื ดรอนเวรภยั ต้ังอยใู นวนิ ยั และมีอาชีวะที่สจุ ริต มีความสมั พันธทางสังคมในลกั ษณะทเี่ กอื้ กลู สรา ง สรรคแ ละสงเสรมิ สันตสิ ขุ ๓. ภาวติ จิต มจี ิตทพี่ ฒั นาแลว (=มจี ติ ภาวนา) คอื มจี ิตใจทีฝ่ กอบรมดแี ลว สมบูรณดว ยคุณภาพจติ คือ ประกอบดวยคณุ ธรรม เชน มีเมตตากรณุ า เออ้ื อารี มมี ทุ ิตา มีความเคารพ ออ นโยน ซ่อื สัตย กตัญู เปนตน สมบูรณดวยสมรรถภาพจติ คือ มีจิตใจเขม แขง็ มนั่ คง มคี วามเพียรพยายาม กลา หาญ อดทน รับผิด ชอบ มสี ติ มีสมาธิ เปนตน และสมบรู ณด ว ยสขุ ภาพจิต คือ มจี ติ ใจทรี่ า เรงิ เบิกบาน สดช่ืน เอบิ อ่มิ ผองใส และ สงบ เปน สุข ๔. ภาวติ ปญ ญา มปี ญญาทีพ่ ัฒนาแลว (=มปี ญญาภาวนา) คอื รจู ักคดิ รูจกั พจิ ารณา รจู กั วนิ ิจฉยั รจู ัก แกป ญหา และรูจ ักจัดทาํ ดาํ เนินการตางๆ ดว ยปญญาทีบ่ รสิ ทุ ธิ์ ซง่ึ มองดรู ูเขา ใจเหตุปจจัย มองเห็นสิง่ ท้ังหลาย ตามเปน จรงิ หรอื ตามทม่ี ันเปน ปราศจากอคติและแรงจงู ใจแอบแฝง เปน ผูที่กิเลสครอบงาํ บัญชาไมไ ด เปน อยู ดว ยปญ ญารเู ทาทนั โลกและชีวิต เปน อสิ ระ ไรท ุกข ผมู ภี าวนา ครบท้งั ๔ อยาง เปนภาวิต ทัง้ ๔ ดา นนแ้ี ลว โดยสมบูรณ เรียกวา \"ภาวิตัตตะ\" แปลวาผูได พฒั นาตนแลว ไดแ กพ ระอรหนั ต เปน อเสขะ คือผจู บการศกึ ษาแลว ไมตอ งศึกษาอกี ตอ ไป กถํ ภควา ภาวิตตโฺ ต ฯ ภควา ภาวิตกาโย ภาวิตสีโล ภาวิตจติ ฺโต
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 235 ภาวิตป ฺโ … [ข.ุ จู. ๓๐/๑๔๘/๗๑] พระผูมพี ระภาค ทรงเปน ภาวติ ัตต (มพี ระองคท ีท่ รงเจริญหรอื พัฒนาแลว ) อยา งไร? พระผมู ีพระภาค ทรงเปน ภาวติ กาย ภาวิตสลี ภาวิตจติ ต ภาวิตปญญา… (มีพระวรกาย มศี ีล มีจติ มปี ญญา … ทเี่ จรญิ แลว ) [ขยายความตอ ไปอีกวาทรงเจรญิ โพธปิ ก ขิยธรรม ๓๗ ประการแลว ] เทาทบ่ี รรยายมา ๒ ภาคตนนี้ เปน การแสดงระบบของพทุ ธธรรม เฉพาะสวนท่เี ปนหลกั การใหญ อันจาํ เปนสําหรบั การเขาถงึ จดุ หมายของ พระพทุ ธศาสนา จึงยังคงเหลอื ขอทจ่ี ะตองพจิ ารณาอีก ๒ เรือ่ ง คอื จดุ หมาย กบั การประยกุ ตหลกั การในสว นขอ ปฏบิ ัติตา งๆ มาใชใหเ กิดประโยชนตามความมุงหมาย ในแนวทางและกรณี ตางๆ ฉะน้ัน การบรรยายจงึ จะไดด าํ เนินตอไปอีก ๒ ภาค คือ ภาคท่ี ๓ วาดวยวิมตุ ติ หรือ ชวี ติ เมื่อถึงจุดหมายแลว แสดงถงึ ความหมายและภาวะของจดุ หมายเอง สวนหน่ึง กับคุณคา ตา งๆ ทพ่ี ิจารณาจากตัวบุคคลผเู ขา ถึงจุดหมายน้ันแลว สว นหนึ่ง ภาคที่ ๔ วาดว ยมัชฌมิ าปฏิปทาภาคประยกุ ต หรือ บคุ คลและสังคมควรดาํ รงอยูอยางไร แสดงวธิ ีที่จะ นาํ หลักการท่กี ลา วแลว ในภาคที่ ๒ มาใชป ฏบิ ตั ใิ นชวี ติ ประจาํ วนั ในการครองชีวิตของบุคคล ในการฝกอบรม บคุ คล และในการอยรู ว มกนั ของหมชู น เพ่อื ประโยชนส ขุ อนั รวมกนั สอดคลองกับแนวทางแหง ชวี ติ ทเ่ี ขา ถึงจดุ หมายนัน้ แลว ท้ัง ๒ เรอ่ื งนี้ จะไดพจิ ารณาตอไปโดยลาํ ดบั พระศรีวสิ ุทธิโมลี (ประยทุ ธ ปยตุ โฺ ต) [ปจ จบุ นั คอื พระธรรมปฎ ก (ประยุทธ ปยุตโฺ ต)] *สําหรบั ตวั อางองิ (FOOTNOTE) ตามหนา ตางๆ หากจะใสใ นโปรแกรม ณ เวลาน้ี หรือจะพิมพแทรกเขา ไปใน ระหวางหนาแตหนา เกรงวาจะเกดิ การสบั สนและยืดยาวไมตอเน่อื งในเนือ้ ความ เพราะจอคอมพิวเตอร จะ ไมเ หมอื นหนาในหนงั สอื ทสี่ ามารถเหน็ ขอมูลท้ังหมดอยูใ นหนาเดยี วกันได คณะผูจ ัดทําคาดวา จะทาํ การปรบั ปรุงโปรแกรมอีกครัง้ และนาํ ตัวอางอิง(FOOTNOTE) ซอนอยใู น เนื้อความแตละคําหรอื ประโยคนน้ั ๆเพื่อใหง ายตอการจะเรยี กดู และเนื้อความจะไมปนกับเนอื้ ความหลกั ทาํ ให การอา นหรือศึกษาไดอยางตอ เนื่อง คณะผจู ัดทาํ ๑๒ ก.ค. ๔๕
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235