พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 51 ภาวะจติ ที่มคี วามสุขอยา งน้ี อาจบรรยายลักษณะไดว า เปน ความ สะอาด เพราะไมม ีความรสู ึกทเ่ี ปน กเิ ลสตา งๆ เขา ไปปะปนขุนมวั สวางเพราะประกอบดวยปญ ญา มองเหน็ สิ่งทงั้ หลายตามทมี่ นั เปน เหน็ กวาง ขวางไมม ขี ีดจาํ กดั มคี วามเขา อกเขา ใจ และพรอ มท่จี ะรบั รพู จิ ารณาสงิ่ ท้งั หลายตามสภาววิสยั สงบ เพราะไมมี ความกระวนกระวาย ปลอดจากส่งิ กงั วลใจ ไมวา วนุ หวน่ั ไหว ผอนคลาย ราบเรยี บ เสรี เพราะเปน อสิ ระ ไมมสี ิ่ง ทีจ่ าํ กัดความนกึ คิด ไมมีความกีดกั้นขอ งขดั โปรงเบา ไมย ดึ ตดิ ไมคับแคบ เปด กวาง แผความรูสกึ รักใคร ปรารถนาดดี ว ยเมตตาไปยังมนุษย สัตว ท่วั หนา รับรูความทุกขของผอู น่ื ดว ยกรณุ า รว มบันเทิงใจดว ยมุทิตา ในความสุขความรงุ เรืองสาํ เร็จของคนทกุ คน และ สมบูรณ เพราะไมมคี วามรูสึกขาดแคลน บกพรอง วาเหว มี แตค วามแชมชื่นเบิกบาน เปรียบในทางรางกายเหมือนการมีสขุ ภาพดี ยอ มเปน ภาวะทีเ่ ตม็ เปยมสมบรู ณอยู ในตวั ในเมอ่ื ไมมีโรคเปนขอบกพรอง ในภาวะจิตเชน นี้ คุณธรรมทีเ่ ปนสวนประกอบสาํ คญั กค็ อื ความเปนอิสระ ไมเก่ยี วเกาะผูกพันเปนทาส และ ปญ ญา ความรค วามเขาใจตามความเปนจริง คณุ ธรรมสองอยางน้ีแสดงออกในภาวะของจติ ที่เรยี กวา อุเบกขา คือ ภาวะทีจ่ ิตราบเรียบ เปนกลาง พรอมทจ่ี ะเขาเกีย่ วขอ งจดั การกบั สิง่ ทัง้ หลายตามสภาววิสัย ตามท่ี ควรจะเปน ดว ยเหตุผลบริสทุ ธ์ิ ความสขุ ประเภทน้ี มีคุณคา สงู สุดในทางจริยธรรม เรยี กวา นิรามสิ สขุ คือความสุขทไี่ มต อ งอาศัยอามสิ ไมต อ งข้ึนตอสง่ิ ภายนอก ไมกอใหเ กดิ ปญ หา เชน ความหวงกังวล ความเบื่อหนา ย ความหวาดหว่นั การแยง ชงิ แตเ ปน ภาวะท่ีไมมีปญหาและชวยขจัดปญ หา เปน ภาวะทีป่ ระณตี ลกึ ซง้ึ ซง่ึ อาจพฒั นาไปจนถงึ ขน้ั ท่ีเกนิ กวา จะ เรียกวา เปน ความสุข จึงเรยี กงา ยๆ วา ความพนจากทกุ ข เพราะแสดงลกั ษณะเดนวาพนจากขอ บกพรองและ ความแปรปรวน ในการดํารงชีวิตของชาวโลกซึ่งตอ งเกย่ี วขอ งกบั การแสวงหาความสุขประเภททห่ี น่งึ อยูดวยเปนธรรม ดาน้นั เปนไปไมไ ดทีม่ นุษยจะไดร ับสิ่งสนองความตอ งการทกุ อยา งไดท ันใจทกุ คร้งั ตลอดทกุ เวลาสมหวงั เสมอไป และคงอยตู ลอดไป เพราะเปน เรื่องข้ึนตอปจจยั ภายนอกและมคี วามแปรปรวนไดต ามกฎธรรมชาติ จงึ เปน ความ จาํ เปนทีจ่ ะตอ งพยายามสรา งสภาพจติ อยา งท่ีเรียกวา ความสขุ ประเภททีส่ องไวดวย อยางนอ ยพอเปน พื้นฐาน ของจิตใจ ใหม ีสุขภาพจิตดีพอที่จะดํารงชวี ิตอยใู นโลกอยา งทเ่ี รียกวา สขุ สบาย มคี วามทกุ ขนอ ยทสี่ ดุ รจู กั วา ควร จะปฏิบัติตนอยางไรตอความสุขประเภทที่หน่ึงนน้ั เพื่อมใิ หกลายเปนปญหา กอ ใหเ กิดความเดอื ดรอ น ทง้ั แกต น และบุคคลอื่น สภาพจิตเชน น้จี ะสรางข้ึนไดก ด็ ว ยการรจู กั มองสิง่ ท้งั หลายตามทม่ี นั เปน เพอ่ื ความมชี วี ติ อยอู ยา ง ที่เรยี กวา ไมยึดติดถือม่ัน ซ่ึงอาศยั การรเู ทา ทนั หลกั ความจรงิ ของธรรมชาติ จนถึงข้ันอนตั ตา ๕) ในการแสวงหาความสุขประเภทที่หน่ึง ซ่งึ ตองอาศัยปจจยั ภายนอกนั้น จะตอ งยอมรบั ความ จรงิ วา เปน การเขา ไปสมั พนั ธกนั ของคสู มั พนั ธอ ยา งนอย ๒ ฝาย เชน บคุ คล ๒ คน หรือ บุคคล ๑ กับ วัตถุ ๑ เปน ตน และแตล ะฝา ยมีความทุกข มคี วามขดั แยง บกพรอ ง ไมสมบูรณแ ฝงติดตัวมาดวยกนั อยแู ลว เม่อื สิง่ ที่มี ความขดั แยง กับสงิ่ ทีม่ ีความขัดแยงมาสัมพนั ธกัน ก็ยอมมีทางท่ีจะใหเ กดิ ความขัดแยงท่ีเพิม่ ขึน้ ทงั้ ในดาน
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 52 ปรมิ าณและระดับความรนุ แรง ตามอัตราการปฏบิ ตั ทิ ี่ผดิ ตัวอยา งงายๆ ในกรณกี ารแสวงหาความสขุ น้ี เพอื่ ความสะดวก ยกฝา ยหน่งึ เปนผูเสวยความสขุ และอกี ฝา ยหนึ่งเปน ผถู ูกเสวย ท้งั ผูเ สวยและผูถกู เสวย มคี วามบกพรอ งและขัดแยงอยใู นตวั ดวยกนั อยแู ลว เชน ตัวผู เสวยเอง ไมอยูใ นภาวะและอาการท่พี รอมอยูตลอดเวลาที่จะเสวยความสุขตามความตอ งการของตน ฝายผูถกู เสวยก็ไมอยใู นภาวะและอาการทีพ่ รอ มอยตู ลอดเวลาทจี่ ะถกู เสวย ในภาวะเชน นี้ เปน ไปไมไ ดท ่ีจะไดฝ า ย เดียว โดยไมย อมเสยี บางเลย เมื่อฝายใดฝายหนึง่ หรอื ทั้งสองฝา ย ไมต ระหนกั หรือไมย อมรับความจริงนี้ ยอม ถือเอาความยดึ อยากของตนเปนประมาณ และยอ มเกดิ อาการขดั แยง ระหวา งกนั ขึ้น เรมิ่ แตค วามขดั ใจ เปน ตน ไป อนึง่ อาการทผี่ เู สวยยดึ อยากตอ ส่งิ ที่ถกู เสวยน้นั ยอมรวมไปถึงความคดิ ผกู หวงแหนไวกบั ตนและความ ปรารถนาใหค งอยใู นสภาพน้ันตลอดไปดวย อาการเหลา นี้เปนการขัดแยงตอ กระบวนการของธรรมชาติ ทเี่ ปน ไปตามกระแสแหง เหตุปจ จยั ตางๆ จึงเปนการนําตนเขาไปขวางขนื ความประสานกลมกลนื กันในกระบวน การของธรรมชาติ เม่ือดาํ รงชีวิตอยูโดยไมร ูเทาทันความเปนจรงิ เหลา น้ี ถือเอาแตความอยากความยึด คือ ตณั หาอปุ าทานเปน ประมาณ กค็ อื การเปนอยอู ยา งฝน ทอ่ื ๆ ซึง่ จะตองเกดิ ความกระทบกระทัง่ ขดั แยง บีบค้นั และผลสะทอนกลับท่เี ปนความทุกขใ นรปู ตางๆ เกิดขึ้นเปนอนั มาก ย่งิ กวานน้ั ในฐานะทีค่ สู ัมพันธท ้ังสองฝาย เปน สว นประกอบอยใู นธรรมชาติ ความสัมพนั ธระหวางกัน นอกจากจะเก่ียวขอ งไปถงึ กระบวนการธรรมชาตทิ ั้งหมดเปนสว นรวมแลว ยงั มกั มีสวนประกอบอื่นบางสวนเขา มาเกีย่ วของอยา งพเิ ศษ เปนตัวการอยางทสี่ ามอีกดวย เชน บุคคลทอ่ี ยากไดข องส่ิงเดยี วกัน เปน ตน ความยดึ อยากทถี่ ูกขัด ยอ มใหเกดิ ปฏกิ ริ ิยาแสดงความขดั แยง ออกมาระหวางกัน เชน การแขง ขนั ตอ สู แยงชิง เปน ตน เปน อาการรูปตางๆ ของความทุกข ย่ิงจดั การกับปญหาดว ยความยดึ อยากมากเทา ใด ความทกุ ขก ย็ งิ่ รนุ แรงเทา นนั้ แตถ าจัดการดว ยปญญามากเทา ใด ปญ หากห็ มดไปเทานนั้ โดยนยั นี้ จากอวชิ ชา หรือ โมหะ คอื ความไมร สู ิ่งท้งั หลายตามทีม่ นั เปน จงึ อยากไดอ ยา งเห็นแกต ัวดว ย โลภะ เมือ่ ขัดของหรือถูกขดั ขวางและไมมีปญญารูเ ทา ทนั ก็เกิดโทสะความขดั ใจและความคดิ ทาํ ลาย จาก กเิ ลสรากเหงา ๓ อยา งนี้ กเิ ลสรูปตา งๆ กป็ รากฏขึน้ มากมาย เชน ความหวงแหน ความตระหนี่ ความริษยา ความหวาดระแวง ความฟุง ซาน ความวติ กกังวล ความหวาดกลวั ความพยาบาท ฯลฯ เปนการระดมสราง ปจ จยั แหง ความขดั แยง ใหเกดิ ข้ึนในตวั มากขนึ้ ๆ และกเิ สสอนั เปนเคร่ืองหมายแหงความขดั แยงเหลา นี้ ยอม กลายเปนสิ่งสาํ หรับกีดกั้นจํากัด และแยกตนเองออกจากความประสานกลมกลืนของกระบวนการแหง ธรรม ชาติ ความขัดแยง ตอธรรมชาตินี้ ยอมสงผลรา ยสะทอ นกลบั มาบบี คนั้ กดดนั บคุ คลน้นั เอง เปนการลงโทษโดย ธรรมชาติ ทกุ ขใ นธรรมชาติ หรือสงั ขารทุกข จึงแสดงผลออกมาเปน ความทุกขท่ีรสู ึกไดในตวั คน เชน *เกดิ ความรูส ึกคบั แคบ มืด ขุนมัว อดึ อัด เรา รอน กระวนกระวาย กลัดกลุม *เกิดผลรา ยตอบคุ ลกิ ภาพ และกอ อาการทางรางกาย เชน โรคภยั ไขเจ็บ
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 53 *ความทุกขท เี่ ปนอาการตามปกตทิ างรางกายอนั เปนธรรมดาสงั ขาร เชน ความเจ็บปวดในยามปวยไข ทวคี วามรุนแรงเกินกวา ท่ีควรจะเปนตามปกติของมนั เพราะความเขาไปยึดดว ยตัณหาอปุ าทาน เปนการซา้ํ เตมิ ตนเองหนกั ย่ิงขนึ้ *เปนการกอความทุกขความขดั แยง ความคับแคบ อึดอดั ขนุ มวั ใหเกิดแกคนอนื่ ๆ ขยายวงกวางออกไป *เมอื่ คนสว นใหญใ นสงั คม แตละคน ตา งระดมสรางกิเลสข้นึ มาปด กั้นแยกตนเองดว ยความเห็นแกต ัว ความขัดแยง ตา งๆ กเ็ กดิ เพิ่มพูนมากข้นึ สงั คมกเ็ สือ่ มโทรมเดือดรอ น เพราะผลกรรมรว มกนั ของคนในสงั คม นคี้ อื กระบวนการทาํ ใหส งั ขารทกุ ข เกดิ กลายเปนทกุ ขเวทนา หรอื ความทกุ ขแ ทๆ (ทกุ ขทุกข) ข้ึนมา เพราะเขาไปเกยี่ วขอ งกบั สง่ิ ทั้งหลายดว ยอวชิ ชา มชี ีวติ อยา งฝน ทอ่ื ๆ ตอ กระบวนการธรรมชาติ และปลอยตวั ลงเปนทาสในกระแสของมนั เรยี กสัน้ ๆ วา เพราะความยึดมัน่ ถือม่ัน วถิ ีทีต่ รงขา มจากน้ี ก็คอื การเปนอยูอ ยา งรูเ ทาทันความจริง คือรจู ักสง่ิ ทงั้ หลายตามทมี่ ันเปน แลว เขา ไปเก่ียวขอ งดวยปญ ญา รูจ กั ท่จี ะปฏบิ ัติโดยประการที่วา ทุกขในธรรมชาติทเ่ี ปนไปตามสภาวะของมนั เอง ตามธรรมดาสงั ขาร จะคงเปน แตเ พยี งสังขารทกุ ขอ ยตู ามเดมิ ของมนั เทานั้น ไมก อใหเ กดิ ความขัดแยงเปนพษิ เปน ภยั มากข้นึ ทงั้ ยงั สามารถถอื เอาประโยชนจากสังขารทุกขเ หลานัน้ ดว ย โดยเมอ่ื รูว าส่งิ เหลานเ้ี ปน ทกุ ข เพราะเขา ไปยึดถอื ดวยตณั หาอปุ าทาน ก็ไมเ ขาไปยดึ ถือมนั ไมเปน อยอู ยา งฝนท่ือๆ ไมส รางกิเลสสาํ หรบั มาขดี วงจาํ กดั ตนเองใหกลายเปน ตัวการสรา งความขัดแยงข้นึ มาบีบคนั้ ตนเองมากขนึ้ พรอมกนั นน้ั กร็ ูจกั ทจ่ี ะอยอู ยา งกลมกลืนประสานกบั ธรรมชาตแิ ละเพอ่ื นมนษุ ย ดว ยการประพฤติคุณ ธรรมตา งๆ ซึง่ ทาํ ใจใหเปด กวา งและทาํ ใหเ กดิ ความประสานกลมกลนื เชน เมตตา ความรักความปรารถนาดตี อ กนั กรุณา-ความคิดชวยเหลือ มทุ ิตา-ความบนั เทิงใจในความสุขสาํ เร็จของผูอ ่ืน อเุ บกขา-ความวางใจเปนกลาง ตัดสินเหตกุ ารณตามเปนจรงิ ตามเหตุปจ จัย และราบเรยี บไมหวนั่ ไหวเพราะกระแสโลก ความสามคั คี ความรว ม มือ การชวยเหลอื บาํ เพ็ญประโยชนแกกนั ความเสยี สละ ความสํารวมตน ความอดทน ความเคารพออนนอ ม ความมวี ิจารณญาณไมห ลงใหลในเหตกุ ารณ เปนตน อันเปน คุณสมบัตติ รงขา มกบั กเิ ลสทส่ี รา งความขัดแยง และความคับแคบ เชน ความเกลยี ดชงั ความพยาบาท ความรษิ ยา ความกลัดกลมุ วนุ วายใจ ความหวงแหน ความแกงแยง แขง ดี การเห็นแกไ ด การตามใจตนเอง ความหนุ หัน ความด้อื รน้ั ความเยอ หยงิ่ ความกลวั ความ หวาดระแวง ความเกยี จครา น ความเฉือ่ ยชา ความหดหู ความมวั เมา ความลมื ตวั ความลุมหลงงมงาย เปนตน น้ีคือวิถีแหงความมีชวี ิตที่ประสานกลมกลืนในธรรมชาติ การสามารถถอื เอาประโยชนจ ากกฎธรรมชาติ หรอื ใชก ฎธรรมชาติใหเปนประโยชนไ ด การอยอู ยางไมสูญเสียอสิ รภาพ อยางที่วา อยูอ ยา งไมยดึ ม่ันถอื มน่ั ไม ขน้ึ ตอส่งิ ใด หรอื การมีชีวิตอยูดวยปญ ญา ซง่ึ ถอื วาเปนการมีชีวิตอยอู ยา งประเสรฐิ สุด ตามพุทธภาษิตวา “ปฺ าฺ ชวี ึ ชวี ิตมาหุ เสฏฐ”ํ ๓. หลกั อนัตตตา
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 54 ความรูท่ีหย่ังถึงอนตั ตตา มีคุณคาทสี่ ําคัญในทางจริยธรรม คอื ๑) ในข้ันตน ทางดา นตัณหา ชว ยลดทอนความเห็นแกต น มิใหท ําการตางๆ โดยยึดถอื แต ประโยชนต นเปน ประมาณ ทําใหมองเห็นประโยชนใ นวงกวาง ท่ไี มมตี ัวตนมาเปน เครอื่ งกีดกัน้ จาํ กดั อนง่ึ ภาวะท่สี ่ิงทั้งหลายไมมีตัวตนของมันเอง เกดิ จากสว นประกอบและเปนไปตามเหตปุ จ จัยน้นั สอน วา ส่งิ ท้งั หลายจะปรากฏรปู เปน อยางไร ยอมแลว แตก ารปรงุ แตง ดวยการกระทาํ ที่เหตุปจ จยั และชักโยงเชอ่ื ม ความสัมพนั ธใ หเ ปนไปตามความมงุ หมายและขอบเขตวิสยั ความสามารถโดยนัยน้ี จึงเปนการยา้ํ ขอ ทว่ี าบคุ คล ควรปฏบิ ัตติ อส่ิงทงั้ หลายตรงตวั เหตุปจจัย ดว ยทา ทที ี่เปน อิสระ ซง่ึ เปน วธิ ที ี่ดีท่สี ดุ ท่จี ะใหไ ดทง้ั ผลสาํ เรจ็ ตาม ความมุงหมาย และไมเกิดทกุ ขเพราะตัณหาอุปาทาน ๒) ในขนั้ กลาง ทางดา นทิฏฐิ ทาํ ใหจ ิตใจกวางขวางข้ึน สามารถเขา ไปเกย่ี วของ พจิ ารณา และจดั การกับปญหาและเรื่องราวตางๆ โดยไมเอาตวั ตน ความอยากของตน ตลอดจนความเห็น ความยึดมัน่ ถือมั่น ของตนเขา ไปขัด แตพ จิ ารณาจัดการไปตามธรรม ตามตัวเหตตุ วั ผล ตามทีม่ นั เปนของมนั หรือควรจะเปน แทๆ คือ สามารถตง้ั อเุ บกขา วางจิตเปน กลาง เขาไปเพงตามที่เปน จริง งดเวน อัตตาธปิ ไตย ปฏิบัตติ ามหลัก ธรรมาธปิ ไตย ๓) ในขั้นสงู การรูหลักอนัตตตา กค็ ือ การรสู ง่ิ ทง้ั หลายตามท่มี นั เปนอยา งแทจ ริง คือ รหู ลักความ จริงของธรรมชาตถิ ึงทีส่ ุด ความรูสมบูรณถงึ ขน้ั น้ี ทาํ ใหสลัดความยดึ มน่ั ถอื มน่ั เสยี ได ถงึ ความหลดุ พน บรรลอุ สิ ร ภาพโดยสมบูรณ อนั เปนจดุ หมายของพทุ ธธรรม อยางไรกด็ ี ความรแู จมแจงในหลกั อนัตตตา ตองอาศัยความ เขาใจตามแนวปฏจิ จสมปุ บาท และการปฏิบัติตามแนวมรรค ซ่ึงจะกลาวตอ ไป ๔) กลา วโดยทั่วไป หลักอนัตตตา พรอมทั้งหลกั อนิจจตา และหลักทุกขตาเปนเครื่องยนื ยนั ความ ถกู ตองแทจริง ของหลกั จริยธรรมอนื่ ๆ โดยเฉพาะหลกั กรรม และหลักการปฏิบตั ิเพอ่ื ความหลุดพน เชน เพราะ ส่งิ ทั้งหลายไมม ีตัวตน ความเปนไปในรูปกระแสแหง เหตปุ จ จัย ทสี่ มั พนั ธสืบตอเนอ่ื งอาศัยกนั จึงเปนไปได กรรมจงึ มไี ด และเพราะส่งิ ท้ังหลายไมม ตี วั ตน ความหลุดพนจงึ มไี ด ดังน้เี ปน ตน อยางไรกด็ ี คาํ อธิบายในเร่อื งน้ี จะตอ งพจิ ารณาตามแนวปฏิจจสมุปบาทที่จะกลาวตอ ไปชีวิตเปนไปอยา งไร ? ปฏิจจสมปุ บาท การทส่ี ิง่ ท้งั หลายอาศยั กันๆ จึงเกิดมี ตัวกฎหรือตวั สภาวะ ๑. ฐานะและความสาํ คญั ปฏิจจสมุปบาท แปลพอใหไดความหมายในเบอ้ื งตนวา การเกิดขึ้นพรอมแหงธรรมทงั้ หลายโดยอาศยั กัน การท่ีสงิ่ ทงั้ หลายอาศยั กัน ๆ จึงเกิดมขี ้ึน หรอื การทที่ ุกขเกิดขึ้นเพราะอาศัยปจจยั สมั พนั ธเกี่ยวเน่อื งกนั มา ปฏจิ จสมุปบาท เปนหลกั ธรรมอีกหมวดหนงึ่ ทพี่ ระพุทธเจาทรงแสดงในรูปของกฎธรรมชาติ หรอื หลัก ความจริงที่มีอยโู ดยธรรมดา ไมเก่ียวกบั การอบุ ตั ขิ องพระศาสดาทง้ั หลาย
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 55 พทุ ธพจนแสดงปฏจิ จสมุปบาทในรูปของกฎธรรมชาตวิ าดงั น้ี ตถาคตทั้งหลาย จะอบุ ัติหรอื ไมกต็ าม ธาตุ (หลัก) นั้น ก็ยงั คงมอี ยู เปนธรรมฐติ ิ เปน ธรรมนิยาม คอื หลกั อิทัปปจ จยตา๑ ตถาคตตรัสรู เขา ถึงหลกั นั้นแลว จงึ บอก แสดง วางเปน แบบ ต้งั เปน หลัก เปดเผย แจกแจง ทําใหเ ขาใจ งา ย และจึงตรสั วา “จงดูส”ิ “เพราะอวชิ ชาเปน ปจจยั จงึ มีสงั ขาร ฯลฯ” ภกิ ษุทัง้ หลาย ตถตา (ภาวะทเี่ ปนอยา งนั้น) อวติ ถตา (ภาวะไมคลาดเคลือ่ นไปได) อนญั ญถตา (ภาวะ ทไ่ี มเปนอยางอื่น) คือหลักอิทัปปจจยตา ดังกลาวมานี้แล เรียกวา ปฏิจจสมปุ บาท ความสําคัญของปฏจิ จสมปุ บาท จะเหน็ ไดจ ากพุทธพจนว า ผูใดเหน็ ปฏิจจสมปุ บาท ผูน ั้นเห็นธรรม ผูใดเห็นธรรม ผนู ั้นเหน็ ปฏิจจสมุปบาท ภกิ ษุท้งั หลาย แทจริง อริยสาวกผไู ดเรยี นรแู ลว ยอ มมีญาณหย่งั รใู นเร่อื งน้ี โดยไมต อ งเช่ือผอู ืน่ วา เมอื่ ส่ิงนี้มี สง่ิ นจ้ี งึ มี เพราะสง่ิ น้ีเกิดข้ึน สิง่ นี้จึงเกิดขึน้ ฯลฯ เมอ่ื ใด อรยิ สาวกรทู ั่วถึงความเกิดและความดับของโลกตามที่มันเปนอยางน้ี อริยสาวกนี้ เรยี กวาเปน ผู มีทฏิ ฐิสมบรู ณ ก็ได ผมู ีทัศนะสมบรู ณก ไ็ ด ผลู ุถึงสทั ธรรมน้ี กไ็ ด ผูป ระกอบดว ยเสขญาณ ก็ได ผูประกอบดว ย เสขวิชชา กไ็ ด ผบู รรลกุ ระแสธรรมแลว กไ็ ด พระอรยิ ะผูม ีปญญาชาํ แรกกิเลส กไ็ ด ผอู ยชู ิดประตูอมตะ ก็ได สมณะหรือพราหมณเหลา ใดเหลา หน่งึ รจู กั ธรรมเหลาน้ี รูจ ักเหตุเกดิ แหงธรรมเหลานี้ รูจกั ความดบั แหง ธรรมเหลา นี้ รจู ักทางดําเนนิ ถงึ ความดับแหง ธรรมเหลาน้ี ฯลฯ สมณะหรือพราหมณเหลานน้ั แล จงึ ยอมรับได วา เปน สมณะในหมูส มณะ และยอมรับไดว า เปนพราหมณในหมูพราหมณ และจึงไดชอื่ วา ไดบรรลปุ ระโยชน ของความเปน สมณะ และประโยชนของความเปนพราหมณ ดว ยปญ ญาอันย่งิ เอง เขาถึงอยใู นปจ จุบนั อยางไรก็ดี มพี ทุ ธพจนตรสั เตือนไว ไมใหป ระมาทหลกั ปฏจิ จสมุปบาทนีว้ า เปน หลักเหตุผลทเ่ี ขาใจงาย เพราะเคยมเี รือ่ งพระอานนทเ ขาไปกราบทูลพระองคแ ละไดตรสั ตอบดงั น้ี นาอศั จรรย ไมเ คยมมี าเลย พระเจา ขา หลกั ปฏจิ จสมปุ บาทน้ี ถึงจะเปนธรรมลกึ ซ้งึ และปรากฏเปน ของ ลึกซึ้ง ก็ยังปรากฏแกขาพระองค เหมอื นเปนธรรมงายๆ อยากลาวอยา งนน้ั อยา กลาวอยา งนนั้ อานนท ปฏจิ จสมุปบาทน้ี เปน ธรรมลึกซงึ้ และปรากฏเปน ของ ลึกซึง้ เพราะไมรู ไมเขา ใจ ไมแทงตลอดหลกั ธรรมขอ น้ีแหละ หมูสัตวน ี้จงึ วุน วายเหมอื นเสน ดา ยทีข่ อดกัน ยุง จึงขมวดเหมอื นกลมุ เสนดา ยท่ีเปน ปม จงึ เปนเหมือนหญา มงุ กระตา ย และหญา ปลอ ง จึงผานพน อบาย ทคุ ติ วินิบาต สังสารวฏั ไปไมได ผศู ึกษาพุทธประวัตแิ ลว คงจําพทุ ธดําริเมือ่ ครง้ั หลงั ตรสั รูใหมๆ กอ นเสดจ็ ออกประกาศพระศาสนาไดว า คร้ังนั้น พระพุทธเจาทรงนอ มพระทยั ไปในทางท่จี ะไมท รงประกาศธรรม ดงั ความในพระไตรปฎ กวา
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 56 ภกิ ษทุ งั้ หลาย เราไดมคี วามดําริเกดิ ข้ึนวา : ธรรมที่เราไดบรรลุแลว น้ีเปนของลึกซึ้ง เหน็ ไดย าก รูตามได ยาก สงบระงับ ประณตี ไมเ ปนวิสัยแหงตรรก ละเอียด บัณฑิตจึงจะรูได ก็แหละ หมูประชาน้ี เปน ผเู ริงรมยอ ยูดวยอาลัย ยินดีอยใู นอาลยั ระเรงิ อยูในอาลัย สําหรับหมูประชา ผเู ริงรมย รน่ื ระเริงอยใู นอาลยั (เชน นี)้ ฐานะอันนีย้ อมเปนสิ่งทเ่ี หน็ ไดยาก กลาวคือ หลักอทิ ปั ปจจยตาปฏจิ จส มปุ บาท ถงึ แมฐานะอันนี้ ก็เปน สงิ่ ที่เห็นไดยาก กลาวคือ ความสงบแหง สงั ขารท้ังปวง ความสลดั อุปธทิ ง้ั ปวง ความสนิ้ ตณั หา วิราคะ นโิ รธ นพิ พาน ก็ถา เราพึงแสดงธรรม และคนอื่นไมเ ขา ใจซ้ึงตอ เรา ขอนนั้ ก็จะพงึ เปน ความเหน็ดเหน่อื ยเปลา แกเรา จะพึงเปนความลําบากเปลา แกเ รา พุทธดาํ รติ อนนี้ กลา วถึงหลกั ธรรม ๒ อยาง คือ ปฏจิ จสมุปบาท และนิพพาน เปนการย้าํ ทัง้ ความยาก ของหลกั ธรรมขอ น้ี และความสําคญั ของหลักธรรมน้ี ในฐานะเปน สง่ิ ที่พระพุทธเจาตรัสรูและจะทรงนํามาสง่ั สอนแกหมปู ระชา ๒. ตวั บทและแบบความสัมพนั ธ ในหลักปฏจิ จสมปุ บาท พุทธพจนท ีเ่ ปนตวั บทแสดงหลกั ปฏจิ จสมุปบาทนั้น แยกไดเปน ๒ ประเภท คือทีแ่ สดงเปน กลางๆ ไม ระบชุ ่อื หัวขอปจจัย กับที่แสดงเจาะจงระบชุ อื่ หัวขอ ปจจัยตา งๆ ซึ่งสบื ทอดตอ กันโดยลาํ ดับเปนกระบวนการ อยา งแรก มกั ตรสั ไวนาํ หนา อยางหลงั เปนทาํ นองหลกั กลาง หรอื หลักทวั่ ไป สว นอยางหลงั พบไดม ากมาย และ สวนมากตรสั ไวลวนๆ โดยไมมี อยา งแรกอยูด ว ย อยา งหลังน้ี อาจเรยี กไดว าเปน หลกั แจงหัวขอ หรือขยายความ เพราะแสดงราย ละเอยี ดใหเหน็ หรอื เปนหลกั ประยุกต เพราะนาํ เอากระบวนการธรรมชาตมิ าแสดงใหเห็นความหมายตามหลัก ท่วั ไปน้นั อน่ึง หลกั ทั้ง ๒ อยางนนั้ แตละอยางแบงออกไดเ ปน ๒ ทอน คอื ทอนแรกแสดงกระบวนการเกดิ ทอน หลังแสดงกระบวนการดบั เปนการแสดงใหเ หน็ แบบความสมั พนั ธ ๒ นยั ทอนแรกท่ีแสดงกระบวนการเกดิ เรียกวา สมุทัยวาร และถอื วา เปนการแสดงตามลําดบั จงึ เรียกวา อนุโลมปฏจิ จสมปุ บาท เทียบในหลักอรยิ สจั เปนขอที่ ๒ คอื ทุกขสมทุ ัย ทอ นหลังที่แสดงกระบวนการดับ เรียกวา นโิ รธวาร และถือวาเปนการแสดงยอนลําดบั จึงเรยี กวา ปฏโิ ลมปฏิจจสมปุ บาท เทยี บในหลักอริยสจั เปน ขอที่ ๓ คือ ทุกขนิโรธ แสดงตัวบททัง้ ๒ อยาง ดงั น้ี ๑) หลักท่วั ไป เมอื่ ส่งิ นมี้ ี สิ่งนีจ้ งึ มี ก. อมิ สฺมึ สติ อิทํ โหติ อมิ สฺสปุ ฺปาทา อทิ ํ อุปปฺ ชชฺ ติ เพราะสง่ิ นเี้ กิดข้นึ สง่ิ นีจ้ งึ เกดิ ขึ้น ข. อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ เม่อื สงิ่ น้ีไมม ี สิ่งน้ีกไ็ มมี อิมสสฺ นิโรธา อทิ ํ นิรุชฌฺ ติ เพราะสง่ิ น้ดี บั ไป ส่ิงน้กี ็ดับ (ดวย)
พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 57 พิจารณาตามรูปพยญั ชนะ หลักทวั่ ไปน้ี เขา กับช่อื ทเ่ี รยี กวา อทิ ัปปจ จยตา ๒) หลักแจงหัวขอ หรอื หลกั ประยุกต ก.อวชิ ชฺ าปจฺจยา สงฺขารา เพราะอวชิ ชาเปน ปจ จัย สังขารจงึ มี สงฺขารปจฺจยา วิฺาฺ ณํ เพราะสงั ขารเปน ปจจยั วญิ ญาณจึงมี วิ ฺฺาณปจจฺ ยา นามรูปเพราะวญิ ญาณเปนปจจัย นามรปู จงึ มี นามรูปปจฺจยา สฬายตนํเพราะนามรูปเปนปจจัย สฬายตนะจึงมี สฬายตนปจจฺ ยา ผสโฺ ส เพราะสฬายตนะเปนปจ จัย ผสั สะจึงมี ผสสฺ ปจจฺ ยา เวทนา เพราะผัสสะเปนปจ จัย เวทนาจึงมี เวทนาปจฺจยา ตณหฺ า เพราะเวทนาเปน ปจ จยั ตณั หาจึงมี ตณหฺ าปจฺจยา อปุ าทานํ เพราะตัณหาเปนปจจยั อปุ าทานจงึ มี อุปาทานปจฺจยา ภโว เพราะอุปาทานเปนปจ จยั ภพจงึ มี ภวปจจฺ ยา ชาติ เพราะภพเปน ปจจยั ชาตจิ ึงมี ชาตปิ จจฺ ยา ชรามรณํ เพราะชาตเิ ปน ปจ จยั ชรามรณะจึงมี .....….......................................................................................... โสกปริเทวทุกขฺ โทมนสสฺ ุปายาสา สมภฺ วนฺติ ความโศก ความครํา่ ครวญ ทุกข โทมนสั และความคบั แคนใจ จึงมพี รอม เอวเมตสสฺ เกวลสสฺ ทกุ ขฺ กขฺ นฺธสฺส สมุทโย โหติ ความเกดิ ขน้ึ แหงกองทุกขทั้งปวงนี้ จึงมีได ดวยประการฉะน้ี ข. อวิชฺชาย ตเฺ วว อเสสวริ าคนิโรธา เพราะอวิชชาสาํ รอกดบั ไปไมเ หลือ สงขฺ ารนิโรโธ สงั ขารจงึ ดับ สงขฺ ารนิโรธา วิ ฺฺาณนิโรโธ เพราะสังขารดบั วญิ ญาณจงึ ดับ วิ ฺาฺ ณนโิ รธา นามรูปนิโรโธ เพราะวญิ ญาณดบั นามรูปจึงดบั นามรูปนโิ รธา สฬายตนนโิ รโธ เพราะนามรูปดบั สฬายตนะจึงดับ สฬายตนนโิ รธา ผสสฺ นิโรโธ เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดบั ผสสฺ นิโรธา เวทนานโิ รโธ เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ เวทนานโิ รธา ตณหฺ านโิ รโธ เพราะเวทนาดบั ตัณหาจึงดบั ตณฺหานโิ รธา อปุ าทานนิโรโธ เพราะตัณหาดบั อุปาทานจงึ ดบั อปุ าทานนโิ รธา ภวนิโรโธ เพราะอปุ าทานดบั ภพจึงดบั ภวนโิ รธา ชาตนิ โิ รโธ เพราะภพดับ ชาติจงึ ดบั ชาตนิ โิ รธา ชรามรณํ เพราะชาติดับ ชรามรณะ (จึงดับ)
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 58 ................................................................................................... โสกปรเิ ทวทุกฺขโทมนสสฺ ปุ ายาสา นิรุชฌฺ นตฺ ิ ความโศก ความคร่าํ ครวญ ทกุ ข โทมนัส ความคับแคน ใจ กด็ ับ เอวเมตสสฺ เกวลสฺส ทกุ ขฺ กฺขนธฺ สฺส นิโรโธ โหติ ความดบั แหงกองทกุ ขทงั้ มวลนี้ ยอ มมีดวยประการฉะน้ี ขอใหส งั เกตวา คําสรปุ ปฏิจจสมุปบาทนี้ บง วา เปน กระบวนการเกิดขึ้นและดบั ไปแหง ความทกุ ข ขอ ความเชน นี้ เปนคาํ สรุปสวนมากของหลักปฏิจจสมุปบาท ที่ปรากฏในท่ีทว่ั ไป แตบางแหงสรปุ วา เปน การเกิดขึน้ และสลายหรือดบั ไปของโลกก็มี โดยใชคาํ บาลวี า “อยํ โข ภกิ ขฺ เว โลก สสฺ สมทุ โย-น้แี ล ภิกษทุ ้งั หลาย คือความเกิดขึน้ แหง โลก” “อยํ โข ภิกขฺ เว โลกสสฺ อตฺถงคฺ โม-น้แี ล ภกิ ษุทัง้ หลาย คือความสลายตวั แหง โลก” หรอื วา “เอวมยํ โลโก สมทุ ยต-ิ โลกนย้ี อ มเกดิ ขึ้นดวยอาการอยา งนี้” “เอวมยํ โลโก นิ รชุ ฌฺ ต-ิ โลกนย้ี อ มดบั ไปดวยอาการอยา งน้ี” อยา งไรก็ดี วาโดยความหมายทีแ่ ทจรงิ แลว คําสรุปทั้งสองอยา งน้ี ไดค วามตรงกนั และเทา กนั ปญ หาอยู ท่ีความหมายของศพั ท ซึง่ จะตองทาํ ความเขาใจกนั ตอไป ปฏจิ จสมุปบาทนี้ ในคมั ภีรอภิธรรมและคัมภีรรุน อรรถกถา มีชอ่ื เรยี กอีกอยา งหนงึ่ วา ปจจยาการ ซึง่ แปลวา อาการท่สี งิ่ ท้งั หลายเปนปจจยั แกกัน ในหลักทีแ่ สดงเตม็ รปู อยา งในท่นี ้ี องคป ระกอบทั้งหมดมจี ํานวน ๑๒ หวั ขอ องคประกอบเหลา นเี้ ปน ปจ จยั เนอื่ งอาศยั สืบตอกนั ไปเปน รปู วงเวียน ไมม ตี น ไมมีปลาย คือไมมตี ัวเหตุเรม่ิ แรกท่สี ุด (มูลการณ หรอื the First Cause) การยกเอาอวิชชาตง้ั เปนขอ ที่หนึ่ง ไมไดห มายความวา อวชิ ชาเปนเหตเุ ริม่ แรกหรือมลู การณข อง สิ่งทง้ั หลาย แตเปนการตงั้ หัวขอ เพ่อื ความสะดวกในการทําความเขาใจ โดยตัดตอนยกเอาองคประกอบอนั ใด อันหนง่ึ ที่เห็นวา เหมาะสมทส่ี ุดขึน้ มาตั้งเปน ลาํ ดบั ที่ ๑ แลว ก็นับตอ ไปตามลําดับ บางคราวทานปอ งกนั มใิ หมกี ารยดึ เอาอวชิ ชาเปนมูลการณ โดยแสดงความเกิดของอวชิ ชาวา “อวิชชา เกิด เพราะอาสวะเกดิ อวิชชาดบั เพราะ อาสวะดบั -อาสวสมุทยา อวิชฺชาสมุทโย อาสวนโิ รธา อวชิ ฺชานโิ รโธ” องคป ระกอบ ๑๒ ขอ ของปฏจิ จสมุปบาทนัน้ นับต้งั แตอวชิ ชา ถึง ชรามรณะเทา นน้ั (คือ อวชิ ชา - สังขาร - วิญญาณ - นามรูป - สฬายตนะ - ผัสสะ - เวทนา - ตณั หา - อปุ าทาน - ภพ - ชาติ - ชรามรณะ) สวน โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกข โทมนัส อปุ ายาส (ความคับแคนใจ) เปน เพยี งตวั พลอยผสม เกดิ แกผูม ีอาสวกิเลสเม่อื มีชรา มรณะแลว เปนตวั การหมกั หมมอาสวะ ซึง่ เปน ปจจัยใหเ กิดอวิชชา หมุนวงจรตอไปอกี ในการแสดงปฏจิ จสมุปบาทแบบประยกุ ต พระพทุ ธเจา มิไดต รัสตามลําดับ และเต็มรูปอยา งน้ี (คอื ชกั ตนไปหาปลาย) เสมอไป การแสดงในลาํ ดบั และเต็มรปู เชน น้ี มักตรสั ในกรณเี ปน การแสดงตัวหลกั
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 59 แตในทางปฏบิ ตั ิ ซึง่ เปน การเร่มิ ตน ดวยเง่อื นปญหา มักตรสั ในรปู ยอ นลําดบั (คือชกั ปลายมาหาตน) เปน ชรามรณะ - ชาติ - ภพ - อปุ าทาน - ตณั หา - เวทนา - ผัสสะ - สฬายตนะ - นามรปู - วญิ ญาณ - สังขาร - อวชิ ชา ในทางปฏบิ ตั ิเชน นี้ การแสดงอาจเร่ิมตน ทอี่ งคป ระกอบขอหนง่ึ ขอใดในระหวา งกไ็ ด สดุ แตอ งคป ระกอบ ขอ ไหนจะกลายเปนปญหาทถี่ กู หยิบยกขนึ้ มาพิจารณา เชน อาจจะเรมิ่ ที่ชาติ ท่เี วทนา ที่วิญญาณ อยา งใด อยา งหนงึ่ แลว เช่อื มโยงกันขึน้ มาตามลาํ ดับจนถงึ ชรามรณะ (ชักกลางไปหาปลาย) หรอื สืบสาวยอนลาํ ดบั ลงไป จนถึงอวิชชา (ชกั กลางมาหาตน ) ก็ไดหรอื อาจเร่ิมตนดว ยเรื่องอ่นื ๆ ที่มิใชช ือ่ ใดชือ่ หน่งึ ใน ๑๒ หัวขอน้ี แลวชกั เขา มาพิจารณาตามแนวปฏิจจสมปุ บาทกไ็ ด โดยนยั นี้ การแสดงปฏิจจสมุปบาท จึงไมจ าํ เปน ตอ งครบ ๑๒ หวั ขออยางขา งตน และไมจําเปนตอ งอยู ในรปู แบบท่ตี ายตวั เสมอไป ขอ ควรทราบที่สําคญั อกี อยา งหนง่ึ คอื - ความเปนปจ จัยแกก ันขององคประกอบเหลานี้ มใิ ชมีความหมายตรงกบั คาํ วา “เหต”ุ ทีเดียว เชน ปจจัยใหต น ไมงอกขน้ึ มิใชหมายเพียงเมล็ดพืช แตห มายถงึ ดนิ นาํ้ ปยุ อากาศ อุณหภูมิ เปนตน เปน ปจ จัยแต ละอยา ง และ - การเปน ปจจยั แกกันนี้ เปนความสัมพันธท ไ่ี มจาํ ตอ งเปน ไปตามลําดบั กอ นหลังโดยกาละหรือเทศะ เชน พน้ื กระดาน เปน ปจจยั แกการต้ังอยูของโตะ เปน ตน ๓. การแปลความหมายหลักปฏจิ จสมปุ บาท หลักปฏจิ จสมุปบาทนี้ ถกู นํามาแปลความหมายและอธบิ ายโดยนยั ตา งๆ ซงึ่ พอสรุปเปน ประเภทใหญๆ ไดดังนี้ ๑. การอธบิ ายแบบแสดงววิ ัฒนาการของโลกและชีวิต โดยการตคี วามพุทธพจนบ างแหงตามตัว อกั ษร เชน พุทธดาํ รสั วา โลกสมทุ ัย เปนตน ๒. การอธบิ ายแบบแสดงกระบวนการเกิด-ดับแหงชวี ติ และความทุกขของบคุ คล ซง่ึ แยกไดเ ปน ๒ นัย ๑) แสดงกระบวนการชว งกวา งระหวา งชวี ติ ตอ ชีวิต คอื แบบขาม ภพขา มชาติ เปน การแปลความหมายตามรูปศัพทอ กี แบบหนง่ึ และเปน วิธอี ธิบายทพ่ี บท่วั ไปในคมั ภรี ร ุนอรรถกถา ซง่ึ ขยาย ความหมายออกไปอยา งละเอยี ดพิสดาร ทําใหก ระบวนการนีม้ ี ลักษณะเปน แบบแผน มีขน้ั ตอนและคําบัญญัติเรียกตางๆ จน ดสู ลับซบั ซอ นแกผ เู รม่ิ ศึกษา
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 60 ๒) แสดงกระบวนการท่หี มนุ เวยี นอยตู ลอดเวลาในทกุ ขณะของ การดํารงชีวิต เปนการแปลความหมายทแ่ี ฝงอยูในคาํ อธบิ าย นยั ท่ี ๑) นน่ั เอง แตเ ลง็ เอานยั อนั ลึกซึง้ หรือนัยประยุกตข อง ศพั ท ตามทเี่ ขา ใจวาเปนพุทธประสงค (หรอื เจตนารมณของ หลักธรรม) เฉพาะสวนท่เี ปนปจจบุ ัน วิธีอธิบายนัยนย้ี นื ยันตัว เองโดยอา งพุทธพจนในพระสตู รไดหลายแหง เชน ใน เจตนาสตู ร ทกุ ขนโิ รธสตู ร และโลกนิโรธสตู ร เปน ตน ในพระอภิธรรม มบี าลแี สดงกระบวนการแหง ปฏจิ จสมปุ บาททั้งหมด ทเ่ี กดิ ครบถว นในขณะจิตเดยี วไว ดว ย จดั เปน ตอนหน่งึ ในคมั ภีรทีเดยี ว ในการอธบิ ายแบบท่ี ๑ บางคร้ังมีผูพยายามตีความหมายหลักปฏิจจสมุปบาทใหเ ปนทฤษฎแี สดงตน กําเนิดของโลก โดยถือเอาอวิชชาเปนมลู การณ (the First Cause) แลว จงึ ววิ ฒั นาการตอมาตามลําดบั หวั ขอ ทง้ั ๑๒ นนั้ การแปลความหมายอยางนี้ ทําใหเ ห็นไปวาคําสอนในพระพุทธศาสนามสี ว นคลายคลงึ กบั ศาสนาและ ระบบปรัชญาอนื่ ๆ ที่สอนวา มีตัวการอันเปนตน เดิมสดุ เชน พระผสู ราง เปน ตน ซ่ึงเปนตน กาํ เนิดของสตั วและสงิ่ ทงั้ ปวง ตางกันเพียงวา ลทั ธิที่มีพระผสู รา ง แสดงกําเนิดและความเปนไปของโลกในรปู ของการบันดาลโดย อาํ นาจเหนอื ธรรมชาติ สวนคําสอนในพระพุทธศาสนา (ทต่ี ีความหมายอยา งน)้ี แสดงความเปน ไปในรูป วิวฒั นาการตามกระบวนการแหงเหตปุ จจยั ในธรรมชาติเอง อยา งไรกด็ ี การตคี วามหมายแบบนย้ี อ มถกู ตดั สินไดแ นนอนวา ผิดพลาดจากพทุ ธธรรม เพราะคาํ สอน หรือหลักลทั ธใิ ดกต็ ามที่แสดงวา โลกมมี ูลการณ (คือเกิดจากตัวการทเี่ ปนตนเคา เดมิ ทีส่ ดุ ) ยอ มเปน อันขัดตอ หลัก อิทปั ปจ จยตา หรอื หลักปฏจิ จสมุปบาทน้ี หลกั ปฏิจจสมุปบาทแสดงเหตุผลเปน กลางๆ วา ส่งิ ท้ังหลายเปน ปจจยั เนือ่ งอาศยั กัน เกิดสืบตอ กนั มาตาม กระบวนการแหง เหตปุ จ จัยอยางไมมีทส่ี ้นิ สุด มูลการณเปน สิง่ ท่ีเปน ไปไมได ไมว า จะในรูปพระผูส รางหรือสิ่งใดๆ ดว ยเหตุนี้ การแปลความหมายหลกั ปฏจิ จสมปุ บาทใหเ ปน คาํ อธบิ ายววิ ฒั นาการของโลกและชวี ิต จงึ เปนที่ยอมรับไดเฉพาะในกรณีทีเ่ ปนการอธิบายใหเห็นความคลค่ี ลายขยายตวั แหง กระบวนการธรรมชาตใิ นทาง ที่เจรญิ ขนึ้ และทรดุ โทรมเสื่อมสลายลงตามเหตปุ จ จัย หมนุ เวียนกันเร่ือยไป ไมม เี บ้ืองตน ไมมีเบือ้ งปลาย เหตุผลสําคัญอยา งหนงึ่ สําหรบั ประกอบการพิจารณาวา การแปลความหมายอยางใดถกู ตอ ง ควรยอม รบั หรอื ไม ก็คอื พุทธประสงคใ นการแสดงพุทธธรรม ซึ่งตองถือวา เปน ความมงุ หมายของการทรงแสดงหลัก ปฏจิ จสมุปบาทดวย ในการแสดงพทุ ธธรรมนน้ั พระพทุ ธเจาทรงมงุ หมายและสง่ั สอนเฉพาะส่งิ ท่ีจะนาํ มาใชปฏบิ ัตใิ หเ ปน ประโยชนในชวี ิตจรงิ ได เกยี่ วของกับชีวิตการแกไขปญ หาชวี ติ และการลงมอื ทาํ จริงๆ ไมทรงสนบั สนนุ การ
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 61 พยายามเขาถึงสจั ธรรมดว ยวธิ ีครุนคดิ และถกเถยี งหาเหตผุ ลเกย่ี วกับปญหาทางอภปิ รัชญา ซงึ่ เปน ไปไมไ ด ดว ย เหตุนี้ การกําหนดความเปน พุทธธรรม จงึ ตองอาศยั การพิจารณาคุณคา ทางจริยธรรมประกอบดว ย ในกรณีการแปลความหมายแบบววิ ัฒนาการชนิดหมุนเวยี นไมม ีตนปลายนน้ั แมจะพงึ ยอมรบั ได ก็ยัง จัดวามีคุณคาทางจริยธรรม (คือคุณคาในทางปฏบิ ัตเิ พือ่ ประโยชนแกช วี ิตจริง)นอย คอื ไดเ พียงโลกทัศนห รอื ชวี ทัศนอยา งกวา งๆ วา ความเปน ไปของโลกและชีวติ ดาํ เนนิ ไปตามกระแสแหง เหตุผล ขนึ้ ตอ เหตุปจ จัยในกระบวน การของธรรมชาติเอง ไมม ผี สู รา งผบู ันดาล และไมเ ปน ไปลอยๆ โดยบังเอิญ ในความเขา ใจท่ถี กู ตอ งตามหลักพุทธธรรม คณุ คาทางจรยิ ธรรมอยางสาํ คญั ทีจ่ ะเกิดขนึ้ คือ ๑. ความเชื่อหรอื ความรตู ระหนกั วา ผลท่ตี องการ ไมอาจใหสาํ เร็จดว ยความหวงั ความปรารถนา การ ออ นวอนตอ พระผูสรา ง หรืออาํ นาจเหนือธรรมชาติใดๆหรอื ดว ยการรอคอยโชคชะตาความบงั เอญิ แตต อ งสาํ เรจ็ ดว ยการลงมือกระทํา คอื บคุ คลจะตอ งพึ่งตนดว ยการทาํ เหตปุ จ จัยท่ีจะใหผลสําเร็จท่ตี องการน้ันเกิดข้นึ ๒. การกระทําเหตปุ จจัยเพอื่ ใหไ ดผลท่ีตองการ จะเปน ไปไดตอ งอาศัยความรคู วามเขาใจในกระบวน การของธรรมชาติน้นั อยางถกู ตอ ง ปญ ญาจงึ เปนคุณธรรมสาํ คัญ คอื ตอ งเกี่ยวของและจัดการกับส่งิ ทัง้ หลาย ดว ยปญ ญา ๓. การรเู ขา ใจในกระบวนการของธรรมชาติ วา เปน ไปตามกระแสแหงเหตุปจ จยั ยอ มชว ยลดหรอื ทาํ ลายความหลงผิดทีเ่ ปนเหตใุ หเ ขา ไปยึดมัน่ ถือมัน่ ในสิ่งท้งั หลายวา เปนตัวตนของตนลงได ทาํ ใหเขาไปเกยี่ ว ขอ งกบั สิ่งทงั้ หลายอยา งถกู ตอ งเปนประโยชนต ามวตั ถุประสงค โดยไมก ลบั ตกไปเปน ทาสของส่งิ ทเ่ี ขาไปเก่ียว ขอ งนัน้ เสีย ยังคงเปน อสิ ระอยไู ด โลกทศั นและชวี ทัศนท ก่ี ลาวน้ี แมจ ะถกู ตอ งและมคี ณุ คา ตรงตามความมุงหมายของพทุ ธธรรมทุก ประการ ก็ยังนบั วา หยาบ ไมห นกั แนน และกระชั้นชดิ พอทีจ่ ะใหเ กดิ คุณคาทั้ง ๓ ประการน้ัน (โดยเฉพาะ ประการที่ ๓) อยา งครบถว นและแนนอน เพือ่ ใหก ารแปลความหมายแบบนีม้ ีคณุ คา สมบรู ณยงิ่ ข้นึ จะตอ งพิจารณากระบวนการหมุนเวียนของ ธรรมชาติ ใหช ดั เจนถึงสวนรายละเอียดยิง่ กวา นี้ คอื จะตอ งเขา ใจรเู ทาทนั สภาวะของกระบวนการน้ี ไมวา ณจดุ ใดกต็ ามท่ีปรากฏตัวใหพ ิจารณาเฉพาะหนาในขณะน้นั ๆ และมองเหน็ กระแสความสบื ตอเนอ่ื งอาศยั กนั แหง เหตุ ปจจัยทงั้ หลาย แมใ นชวงสนั้ ๆ เชนนั้นทุกชว ง เม่อื มองเหน็ สภาวะแหงสงิ่ ท้ังหลายตอหนาทุกขณะโดยชัดแจง เชน น้ี คุณคา ๓ ประการน้นั จึงจะเกิดขึ้นอยางครบถว นแนน อน และยอมเปน การครอบคลมุ ความหมายแบบ ววิ ัฒนาการชว งยาวเขาไวใ นตัวไปดว ยพรอมกนั ในการแปลความหมายแบบที่ ๑ ท่กี ลา วมาท้ังหมดน้ี ไมวา จะเปนความหมายอยางหยาบหรอื อยาง ละเอยี ดกต็ าม จะเห็นวา การพิจารณาเพงไปท่ีโลกภายนอก คือเปนการมองออกไปขางนอก สวนการแปลความ หมายแบบที่ ๒ เนนหนกั ทางดานชวี ิตภายใน สิ่งท่พี จิ ารณาไดแกกระบวนการสืบตอแหง ชีวิตและความทกุ ขข อง บุคคล เปน การมองเขา ไปขางใน
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 62 การแปลความหมายแบบท่ี ๒ นัยที่ ๑ เปนแบบที่ยอมรับและนําไปอธบิ ายกนั มากในคมั ภรี ร ุน อรรถ กถาท้ังหลาย มรี ายละเอียดพิสดาร และมีคาํ บัญญตั ิตา งๆ เพม่ิ อกี มากมาย เพ่อื แสดงกระบวนการใหเ หน็ เปน ระบบทีม่ ีขัน้ ตอนแบบแผนชัดเจนย่งิ ขึน้ แตในเวลาเดยี วกนั กอ็ าจทําใหเ กิดความรสู กึ ตายตวั จนกลายเปน ยดึ ถอื แบบแผน ตดิ ระบบข้นึ ได พรอมกับที่กลายเปนเรอ่ื งลึกลับซับซอ นสําหรบั ผูเริ่มศึกษา ในที่นจ้ี ึงจะไดแยกไป อธบิ ายไวต างหากอีกตอนหน่ึง สว นความหมายตามนยั ที่ ๒ ก็มลี ักษณะสมั พนั ธก ับนยั ที่ ๑ ดวย จงึ จะนาํ ไป อธบิ ายไวในลาํ ดบั ตอ กนั ๔. ความหมายโดยสรปุ เพื่อความเขาใจเบ้อื งตน เพอ่ื ความเขาใจอยา งงายๆ กวา งๆ ในเบอื้ งตน เหน็ วา ควรแสดงความหมายของปฏิจจสมุปบาทไวโดย สรุปครั้งหน่งึ กอน ความหมายของ “ทกุ ข” คาํ สรปุ ของปฏจิ จสมปุ บาท แสดงใหเ หน็ วา หลกั ปฏจิ จสมุปบาททัง้ หมด เปน กระบวนการเกิด-ดบั ของ ทกุ ข หรอื หลักปฏจิ จสมปุ บาททัง้ หมด มคี วามมุงหมายเพ่อื แสดงความเกดิ -ดับของทุกข คําวา “ทกุ ข” มคี วามสาํ คญั และมีบทบาทมากในพุทธธรรม แมในหลกั ธรรมสาํ คัญอื่นๆ เชน ไตรลักษณ และอริยสัจ กม็ ีคําวา ทุกขเปน องคประกอบทีส่ าํ คญั จึงควรทาํ ความเขาใจในคําวา ทกุ ขกนั ใหชัดเจนกอน ในตอนตน เมอ่ื พดู ถึงไตรลักษณ ไดแสดงความหมายของทุกขไ วสน้ั ๆ คร้งั หนึ่งแลว แตใ นทน่ี ้ี ควร อธิบายเพม่ิ เตมิ อกี ครงั้ หนงึ่ เมือ่ ทําความเขา ใจคาํ วาทกุ ขในพทุ ธธรรม ใหสลดั ความเขาใจแคบๆ ในภาษาไทยท้งิ เสียกอ น และ พิจารณาใหมตามความหมายกวางๆ ของพทุ ธพจนท่แี บง ทกุ ขตา เปน ๓ อยาง พรอมดว ยคาํ อธิบายในอรรถ กถา ดังนี้ ๑. ทกุ ขทกุ ขตา ทกุ ขท่เี ปน ความรสู กึ ทุกข คือ ความทุกขก ายทกุ ขใจ อยางที่เขา ใจกันโดยสามญั ตรงตามชื่อ ตามสภาพ ท่ีเรยี กกันวา ทุกขเวทนา (ความทกุ ขอยางปกติ ทเ่ี กดิ ข้นึ เมอื่ ประสบ อนิฏฐารมณ หรอื สงิ่ กระทบกระทงั่ บบี ค้ัน) ๒. วิปริณามทุกขตา ทุกขเนื่องดว ยความผนั แปร หรอื ทกุ ขทเี่ นื่องใน ความผันแปรของสุข คือความสขุ ทก่ี ลายเปน ความทุกข หรอื ทํา ใหเ กดิ ทุกข เพราะความแปรปรวนกลับกลายของมนั เอง (ภาวะท่ี ตามปกติ ก็สบายดีเฉยอยู ไมร สู กึ ทกุ ขอ ยางใดเลย แตครั้นได เสวยความสขุ บางอยาง พอสขุ นัน้ จางลงหรือหายไป ภาวะเดมิ ท่ี
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 63 เคยรสู กึ สบายเปน ปกตินั้น กลบั กลายเปน ทุกขไ ป เสมือนเปน ทกุ ขแฝง ซงึ่ จะแสดงตวั ออกมาในทนั ทที คี่ วามสุขนนั้ จดื จางหรอื เลอื นลางไป ย่งิ สุขมากขนึ้ เทา ใด ก็กลับกลายเปนทกุ ขรนุ แรง มากข้นึ เทานั้น เสมือนวา ทุกขทีแ่ ฝงขยายตวั ตามขึ้นไป ถาความ สขุ นั้นไมเกิดข้ึน ทุกขเพราะสุขนน้ั ก็ไมม ี แมเ มอื่ ยงั เสวยความสขุ อยู พอนกึ วา สขุ น้ันอาจจะตองส้นิ สุดไป ก็ทุกขดวยหวาดกงั วลใจ หายไหวหวนั่ ) ๓. สงั ขารทุกขตา ทุกขตามสภาพสังขาร คอื สภาวะของตัวสงั ขาร เอง หรอื ส่ิงท้งั หลายทัง้ ปวงทเี่ กิดจากเหตุปจจัย ไดแก ขนั ธ ๕ (รวมถึง มรรค ผล ซ่งึ เปน โลกตุ ตรธรรม) เปนทกุ ข คอื เปน สภาพที่ถกู บบี ค้นั ดวยปจ จัยที่ขดั แยง มกี ารเกดิ ขึน้ และการ สลายหรอื ดบั ไป ไมม คี วามสมบูรณใ นตวั ของมันเอง อยใู นกระแส แหง เหตปุ จจัย จึงเปนสภาพซึ่งพรอมท่จี ะกอ ใหเกดิ ทุกข (ความรู สกึ ทกุ ขห รือทกุ ขเวทนา) แกผ ูไมร ูเทาทันตอ สภาพและกระแส ของมนั แลว เขาไปฝน กระแสอยา งทอื่ ๆ ดว ยความอยากความยึด (ตัณหาอุปาทาน) อยางโงๆ (อวิชชา) ไมเขาไปเกยี่ วของและ ปฏบิ ตั ติ อ มนั ดวยปญ ญา ทุกขข อสาํ คัญคือขอท่ี ๓ แสดงถงึ สภาพของสงั ขารทง้ั หลายตามทม่ี ันเปน ของมันเอง แตสภาพน้ีจะกอ ใหเกดิ ความหมายเปน ภาวะในทางจิตวิทยาขึน้ กไ็ ด ในแงท ่วี า มนั ไมอาจใหค วามพึงพอใจโดยสมบรู ณ๒ และ สามารถกอใหเ กดิ ทกุ ขไดเ สมอ แกผ เู ขาไปเกย่ี วขอ งดวยอวิชชาตัณหาอุปาทาน สิง่ ทั้งหลาย คือกระแสเหตุปจจัย มิใชม ตี วั ตนทีเ่ ที่ยงแทเปน จรงิ หลกั ปฏจิ จสมุปบาท แสดงใหเห็นอาการทสี่ ง่ิ ท้งั หลายสมั พนั ธเ น่อื งอาศัยเปนเหตปุ จจัยตอ กนั อยา งเปน กระแส ในภาวะทเี่ ปนกระแสน้ี ขยายความหมายออกไปใหเ หน็ แงต า งๆ ได คือ - สงิ่ ทง้ั หลายมีความสมั พนั ธเนอ่ื งอาศยั เปน ปจ จยั แกก ัน - สงิ่ ทัง้ หลายมีอยโู ดยความสัมพันธ - ส่งิ ท้งั หลายมีอยดู วยอาศัยปจ จยั - ส่ิงทั้งหลายไมมีความคงที่อยูอยา งเดมิ แมแตข ณะเดียว - ส่งิ ทัง้ หลาย ไมม ีอยูโ ดยตวั ของมันเอง คือ ไมม ตี ัวตนท่ีแทจ รงิ ของมัน - สิง่ ทงั้ หลายไมม มี ูลการณ หรอื ตนกําเนิดเดิมสุด
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 64 พดู อีกนัยหน่ึงวา อาการทส่ี ่งิ ทง้ั หลายปรากฏเปนรูปตางๆ มีความเจรญิ ความเส่ือมเปนไปตางๆ นนั้ แสดงถงึ สภาวะท่แี ทจรงิ ของมันวา เปน กระแสหรอื กระบวนการ ความเปน กระแสแสดงถงึ การประกอบขึ้นดวย องคป ระกอบตางๆ รปู กระแสปรากฏเพราะองคประกอบทัง้ หลายสมั พันธเน่อื งอาศยั กนั กระแสดาํ เนนิ ไปแปรรปู ไดเพราะองคป ระกอบตา งๆ ไมค งทอ่ี ยูแมแตขณะเดยี ว องคป ระกอบทง้ั หลายไมค งที่อยูแ มแ ตข ณะเดยี วเพราะ ไมม ตี วั ตนที่แทจริงของมัน ตัวตนทแ่ี ทจรงิ ของมันไมมมี นั จึงขน้ึ ตอ เหตุปจ จัยตางๆ เหตุปจ จัยตางๆ สัมพนั ธตอ เนอื่ งอาศัยกัน จงึ คมุ รปู เปน กระแสได ความเปนเหตุปจ จยั ตอเน่อื งอาศัยกนั แสดงถงึ ความไมมตี นกาํ เนดิ เดมิ สดุ ของส่งิ ท้ังหลาย พูดในทางกลบั กนั วา ถา สิง่ ทงั้ หลายมตี วั ตนแทจริง กต็ อ งมคี วามคงท่ี ถา ส่งิ ท้ังหลายคงท่ีแมแ ตขณะ เดยี ว กเ็ ปนเหตปุ จ จัยแกก นั ไมไ ด เมือ่ เปนเหตุปจ จัยแกก ันไมไ ด กป็ ระกอบกนั ขึน้ เปน กระแสไมได เมอ่ื ไมมี กระแสแหงปจ จยั ความเปนไปในธรรมชาตกิ ม็ ีไมได และถา มีตัวตนทแี่ ทจ ริงอยา งใดในทา มกลางกระแส ความ เปน ไปตามเหตปุ จ จยั อยา งแทจ ริงกเ็ ปน ไปไมไ ด กระแสแหงเหตุปจจัยที่ทาํ ใหสิง่ ทัง้ หลายปรากฏโดยเปนไปตาม กฎธรรมชาติ ดาํ เนินไปได กเ็ พราะสง่ิ ท้งั หลายไมเ ท่ยี ง ไมค งอยู เกดิ แลว สลายไป ไมม ตี ัวตนที่แทจรงิ ของมัน และสมั พันธเนอื่ งอาศัยกัน ภาวะท่ีไมเทยี่ ง ไมค งอยู เกดิ แลว สลายไป เรียกวา อนิจจตา ภาวะท่ีถกู บีบคนั้ ดวยเกิดสลาย มคี วามกด ดนั ขัดแยง แฝงอยู ไมส มบรู ณในตัว เรียกวา ทุกขตา ภาวะทีไ่ รต วั ตนท่แี ทจ ริงของมันเอง เรียกวา อนตั ตตา ปฏจิ จสมปุ บาทแสดงใหเหน็ ภาวะทง้ั ๓ นี้ในส่งิ ทัง้ หลาย และแสดงใหเห็นความสัมพันธตอ เนอ่ื งเปน ปจ จัยแกกันของสงิ่ ทง้ั หลายเหลา นน้ั จนปรากฏรปู ออกมาเปนตางๆ ในธรรมชาติ สง่ิ ท้ังหลายทปี่ รากฏมี จึงเปนเพียงกระแสความเปนไปแหงเหตุปจจยั ที่สมั พนั ธส ง ผลสบื ทอดกนั มา อาจเรยี กสั้นๆ วา กระบวนธรรม ซงึ่ ถือไดว าเปน คําแปลของคําบาลที ที่ า นใชว า ธรรมปวตั ติ (ธมมฺ ปปฺ วตตฺ ิ) ภาวะและความเปนไปตามหลกั ปฏจิ จสมปุ บาทน้ี มแี กส ่ิงทงั้ ปวง ทงั้ ท่ีเปน รปู ธรรม ทัง้ ท่เี ปน นามธรรม ทั้งในโลกฝา ยวัตถุ ทัง้ แกช วี ติ ท่ปี ระกอบพรอ มดวยรปู ธรรมนามธรรม โดยแสดงตัวออกเปน กฎธรรมชาตติ า งๆ คอื ธรรมนยิ าม-กฎความสัมพันธร ะหวา งเหตกุ ับผล อุตนุ ยิ าม-กฎธรรมชาติฝา ย อนนิ ทรียวัตถุ พชี นยิ าม-กฎ ธรรมชาติฝา ยอนิ ทรยี วัตถรุ วมทั้งพันธกุ รรม จิตตนยิ าม-กฎการทํางานของจติ และกรรมนิยาม-กฎแหง กรรม ซ่งึ มีความเกีย่ วของเปนพเิ ศษกบั เรื่องความสขุ ความทกุ ขข องชีวติ และเปน เรอ่ื งท่จี ริยธรรมจะตอ งเกยี่ วขอ งโดยตรง เร่ืองที่ควรยาํ้ เปน พเิ ศษ เพราะมกั ขดั กบั ความรูส กึ สามญั ของคน คอื ควรย้าํ วา กรรมกด็ ี กระบวนการ แหงเหตผุ ลอน่ื ๆ ทกุ อยางในธรรมชาติก็ดี เปน ไปได ก็เพราะสิ่งทงั้ ปวงเปนของไมเ ท่ียง (เปนอนิจจัง) และไมม ีตัว ตนของมันเอง (เปน อนัตตา) ถาสงิ่ ทงั้ หลายเปนของเที่ยง มีตัวตนจริงแลว กฎธรรมชาตทิ ้งั มวลรวมทง้ั หลักกรรม ยอมเปนไปไมไ ด นอกจากนนั้ กฎเหลา นี้ยังยนื ยนั ดวยวา ไมมีมลู การณหรอื ตน กําเนิดเดิมสุดของสง่ิ ท้ังหลาย เชน พระผูสรา ง เปน ตน สิ่งทงั้ หลาย ไมม ีตัวตนแทจ รงิ เพราะเกิดขึ้นดว ยอาศัยปจ จัยตา งๆ และมอี ยอู ยาง สัมพนั ธกัน ตัวอยางงายๆ หยาบๆ เชน เตียงเกิดจากนําสว นประกอบตางๆ มาประกอบเขาดว ยกันตามรูปแบบ
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 65 ทก่ี าํ หนด ตัวตนของเตียงทต่ี างหากจากสว นประกอบเหลา น้นั ไมมี เม่ือแยกสว นประกอบตางๆ ออกหมดสน้ิ แลว กไ็ มม เี ตยี งอกี ตอไป เหลืออยแู ตบ ัญญัติวา “เตียง” ทีเ่ ปนความคดิ ในใจ แมบ ัญญัตนิ ้ันเองท่ีมคี วามหมายอยาง น้ัน ก็ไมม อี ยโู ดยตวั ของมันเอง แตต อ งสมั พนั ธเ นอ่ื งอาศัยกับความหมายอนื่ ๆ เชน บญั ญัติวา เตยี ง ยอมไมม ี ความหมายของตนเอง โดยปราศจากความสมั พนั ธกับ การนอนแนวระนาบ ท่ตี ้ัง ชองวา ง เปน ตน ในความรูสกึ สามญั ของมนษุ ย ความรูในบญั ญตั ิตางๆ เกิดข้นึ โดยพวงเอาความเขาใจในปจ จยั และ ความสัมพันธท ่เี กีย่ วของเขา ไวดว ยเหมอื นกัน แตเมอ่ื เกิดความกําหนดรขู น้ึ แลว ความเคยชนิ ในการยดึ ตดิ ดวย ตณั หาอุปาทาน ก็เขาเกาะกับสงิ่ ในบญั ญัตินน้ั จนเกิดความรสู กึ เปนตวั ตนข้ึนอยางหนาแนน บงั ความสํานึกรู และแยกสิ่งนน้ั ออกจากความสัมพันธกบั สงิ่ อืน่ ๆ ทาํ ใหไมรเู ห็นตามทีม่ ันเปน อหังการและมมังการจึงแสดงบท บาทไดเ ต็มที่ ส่ิงท้ังปวงอยใู นกระแสเหตปุ จ จยั ไรมูลการณ ไมต องมีผูส รา งผูบ นั ดาล อนึ่ง ธรรมดาของส่งิ ท้ังหลาย ยอมไมมมี ูลการณ หรอื เหตุตนเคา หรือตน กาํ เนดิ เดมิ สุด เมอ่ื หยบิ ยกสง่ิ ใดกต็ ามขึน้ มาพจิ ารณา ถาสืบสาวหาเหตุตอไปโดยไมห ยดุ จะไมสามารถคนหาเหตุดงั้ เดิมสดุ ของส่ิงนัน้ ได แต ในความรสู กึ สามญั ของมนษุ ย มักคดิ ถึงหรือคดิ อยากใหมีเหตตุ นเคา สักอยา งหน่งึ ซึง่ เปน ความรูสกึ ท่ขี ัดกบั ธรรมดาของธรรมชาติ เรยี กไดว า เปน สัญญาวปิ ลาสอยางหนึง่ เหตเุ พราะความเคยชนิ ของมนุษย เมอื่ เกย่ี วของ กบั สงิ่ ใดและคดิ สืบสวนถงึ มูลเหตุของสง่ิ นนั้ ความคิดก็จะหยดุ จบั ติดอยูกับสง่ิ ที่พบวาเปน เหตแุ ตอ ยา งเดียว ไม สืบสาวตอ ไปอีก ความเคยชนิ เชน น้ี จึงทําใหค วามคดิ สามัญของมนษุ ยใ นเรือ่ งเหตุผล เปน ไปในรูปท่ีขาดตอนติดตัน และคดิ ในอาการทขี่ ัดกบั กฎธรรมดา โดยคิดวาตอ งมเี หตุตนเคาของสิง่ ท้งั หลายอยา งหนึ่ง ซงึ่ ถา คดิ ตามธรรมดา กจ็ ะตอ งสบื สาวตอ ไปวา อะไรเปน เหตขุ องเหตุตน เคา นนั้ ตอไปไมม ที ่ีส้ินสดุ เพราะสิ่งท้งั หลายมีอยอู ยา ง สมั พนั ธเ นื่องอาศัยเปน ปจ จัยสืบตอกนั จงึ ยอมไมม ีมลู การณหรอื เหตตุ น เคา เปนธรรมดา ควรตง้ั คาํ ถามกลับซา้ํ ไปวา ทาํ ไมส่งิ ทง้ั หลายจะตอ งมีเหตุตนเคา ดว ยเลา ? ความคดิ ฝนธรรมดาอีกอยางหนึง่ ซึง่ เกิดจากความเคยชนิ ของมนษุ ย และสัมพันธก บั ความคดิ วา มเี หตุ ตนเคา คือ ความคดิ วา เดมิ ทีเดยี วนัน้ ไมม อี ะไรอยเู ลย ความคดิ นเ้ี กดิ จากความเคยชนิ ในการยึดถืออตั ตา โดย กําหนดรูข น้ึ มาในสว นประกอบท่ีคุมเขา เปน รปู ลักษณะแบบหนึ่ง แลววางความคดิ หมายจาํ เพาะลงเปนบญั ญตั ิ ยึดเอาบญั ญตั ินนั้ เปน หลัก เกดิ ความรสู กึ คงท่ลี งวา เปน ตัวตนอยางใดอยางหน่งึ จงึ เหน็ ไปวา เดมิ สงิ่ นน้ั ไมมีแลว มามขี ึ้น ความคดิ แบบชะงักทอ่ื ติดอยกู บั สิง่ หน่งึ ๆ ไมแลน เปนสายเชน น้ี เปนความเคยชนิ ในทางความคดิ อยา งท่ี เรียกวาตดิ สมมติ หรอื ไมรูเ ทา ทันสมมติ จงึ กลายเปนไมร ูตามทีม่ นั เปน เปนเหตใุ หต องคดิ หาเอาสิ่งใดส่งิ หน่งึ ทมี่ ี อยเู ปน นริ ันดรขน้ึ มาเปนเหตตุ น เคา เปน ท่มี าแหงการสําแดงรปู เปนตางๆ หรอื เปน ผูสรางสิง่ ทัง้ หลาย ทาํ ใหเ กิด
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 66 ขอขัดแยง ขน้ึ มากมาย เชน สงิ่ นริ นั ดรจะเปนท่มี าหรอื สรา งสิง่ ไมเ ปนนริ ันดรไดอ ยา งไร ถา สิง่ เปนนริ ันดรเปน ทม่ี า ของส่ิงไมเ ปนนริ ันดร สิ่งไมเ ปน นริ นั ดรจะไมเ ปน นริ ันดรไดอยางไร เปนตน แทจ รงิ แลว ในกระบวนการอนั เปนกระแสแหง ความเปนเหตปุ จจยั สบื เนือ่ งกนั น้ี ยอมไมม ปี ญ หาแบบบง ตัวตนวา มอี ะไรหรอื ไมม ีอะไรอยเู ลย ไมว าเดมิ ทีเดียว หรือบัดน้ี เวน แตจะพูดกนั ในขั้นสมมติสัจจะเทา น้ัน ควร ยอ นถามใหค ดิ ใหมดว ยซ้ําไปวา ทําไมจะตองไมมกี อนมีดว ยเลา ? แมค วามเชื่อวา ส่งิ ท้ังหลายมผี สู ราง ซงึ่ ปรกติถอื กนั วา เปนความคดิ ธรรมดานน้ั แทจ รงิ กเ็ ปน ความคดิ ขดั ธรรมดาเชน กนั ความคดิ เช่อื เชนนี้เกิดขึ้น เพราะมองดูตามขอ เท็จจริงตา งๆ ซ่ึงเหน็ และเขาใจกันอยูสามัญวา มนุษยเ ปนผูส รางอุปกรณ สิง่ ของ เคร่ืองใช ศิลปวตั ถุ ฯลฯ ขนึ้ ส่งิ เหลาน้ีเกิดข้ึนไดเพราะการสรา งของมนษุ ย ฉะนัน้ สงิ่ ท้ังหลายท้ังโลกกต็ อ งมผี สู รา งดวยเหมอื นกนั ในกรณนี ี้ มนุษยพ รางตนเอง ดวยการแยกความหมายของการสรางออกไปเสียจากความเปน เหตุเปน ปจจยั ตามปรกติ จึงทาํ ใหเ กิดการต้ังตนความคดิ ท่ผี ิด ความจริงนน้ั การสรา งเปน เพยี งความหมายสวนหนง่ึ ของการเปน เหตุปจจยั การท่มี นษุ ยส รางสิ่งใด ก็ คือการทีม่ นุษยเขา ไปรวมเปนเหตุปจ จยั สวนหนงึ่ ในกระบวนการแหงความสมั พนั ธของเหตปุ จ จัยตา งๆ ท่จี ะทํา ใหผ ลรวมท่ตี อ งการน้นั เกดิ ขึ้น แตมพี เิ ศษจากกระบวนการแหง เหตปุ จจยั ฝายวตั ถุลว นๆ กเ็ พียงวา ในกรณีนี้ มี ปจ จัยฝายนามธรรมทปี่ ระกอบดว ยเจตนาเปนลกั ษณะพิเศษเขา ไปรวมบทบาทดว ย แตถึงอยา งน้นั กย็ งั คงมี ฐานะเปนเพยี งปจจัยอยา งหนึ่งรวมกบั ปจ จยั อ่นื ๆ และตองดาํ เนนิ ไปตามกระบวนการแหงเหตุปจ จยั จึงจะเกดิ ผลท่ตี องการ ยกตัวอยา ง เชน เมอื่ มนุษยจะสรางตึก กต็ อ งเขา ไปเกยี่ วขอ งเปนเหตุเปน ปจจัยชวยผลักดนั เหตปุ จจัย ตางๆ ใหดําเนนิ ไปตามสายของมันจนเกิดผลสําเรจ็ ถาการสรางเปนการบนั ดาลผลไดอ ยางพิเศษกวา การเปน เหตุปจ จยั มนษุ ยก เ็ พยี งนั่งนอนอยู ณ ทใี่ ดท่ีหนง่ึ แลวคดิ บันดาลใหเรือนหรอื ตึกเกิดขนึ้ ในท่ปี รารถนาตาม ตองการ ซง่ึ เปนไปไมได การสรางจงึ มไิ ดม ีความหมายนอกเหนอื ไปจากการเปนเหตุปจ จยั แบบหนงึ่ และในเมื่อส่งิ ทั้งหลายเปน ไปตามกระบวนการแหงเหตปุ จจยั ตอ เนอื่ งกนั อยูต ามวถิ ขี องมนั เชนน้ี ผูสรา งยอ มไมอ าจมีไดใ นตอนใดๆ ของ กระบวนการ อยางไรกด็ ี การพิจารณาเหตผุ ลในปญหาเกย่ี วกับเหตตุ นเคา และผูสราง เปน ตน นี้ ถือวามีคณุ คานอย ในพุทธธรรม เพราะไมม ีความจําเปน ตอ การประพฤตปิ ฏบิ ัตเิ พ่ือประโยชนใ นชีวิตจริง แมวาจะชวยใหเกิดโลก ทศั นแ ละชวี ทัศนก วางๆ ในทางเหตุผลอยางที่กลาวขา งตน กอ็ าจขา มไปเสียได ดว ยวาการพิจารณาคณุ คาใน ทางจริยธรรมอยา งเดยี ว มีประโยชนที่มุง หมายคมุ ถงึ อยแู ลว ในท่นี ้จี ึงควรพุงความสนใจไปในดานท่ีเกยี่ วกับ ชีวติ ในทางปฏิบตั ิเปน สําคญั ถา รไู มทันกระแสเหตุปจ จัย ชวี ิตจะตกเปนทาส ถกู มนั กระแทกบบี คน้ั
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 67 ดังไดก ลาวแลวแตตนวา ชีวติ ประกอบดว ยขันธ ๕ เทานั้น ไมม สี ิ่งใดอ่ืนอีกนอกเหนือจากขันธ ๕ ไมวา จะแฝงอยใู นขันธ ๕ หรอื อยตู างหากจากขนั ธ ๕ ท่ีจะมาเปนเจา ของหรอื ควบคมุ ขนั ธ ๕ ใหชวี ิตดําเนินไป ดังนนั้ ในการพจิ ารณาเร่อื งชวี ิต เม่ือยกเอาขนั ธ ๕ ขึน้ เปนตัวตง้ั แลว กเ็ ปนอนั ครบถวนเพยี งพอ ขันธ ๕ เปนกระบวนการท่ดี ําเนนิ ไปตามกฎแหง ปฏจิ จสมปุ บาท คือมีอยูในรปู กระแสแหง ปจ จัยตา งๆ ท่ี สัมพนั ธเ นือ่ งอาศัยสบื ตอ กนั ไมม สี วนใดในกระแสคงทีอ่ ยไู ด มแี ตการเกิดขึ้นแลวสลายตวั ไป พรอ มกับทเ่ี ปน ปจจยั ใหม กี ารเกดิ ข้นึ แลวสลายตัวตอ ๆ ไปอกี สว นตางๆ สัมพันธกัน เน่อื งอาศัยกนั เปน ปจ จยั แกก ัน จึงทําให กระแสหรอื กระบวนการน้ดี ําเนนิ ไปอยา งมเี หตผุ ลสมั พนั ธ และคมุ เปน รูปรางตอ เนื่องกนั ในภาวะเชน น้ี ขนั ธ ๕ หรือ ชวี ติ จงึ เปนไปตามกฎแหงไตรลักษณ คือ อยูในภาวะแหง อนิจจตา ไมเทย่ี ง ไมค งท่ี เกดิ ดบั เสอ่ื มสลายอยู ตลอดเวลา อนตั ตตา ไมมสี ว นใดที่มตี วั ตนแทจ ริง และไมอ าจยดึ ถอื เอาเปน ตวั จะเขา ยึดครองเปนเจา ของบงั คบั บัญชาใหเปนไปตามความปรารถนาของตนจริงจังไมได ทุกขตา ถูกบบี คน้ั ดวยการเกดิ ขนึ้ และสลายตวั อยูท ุก ขณะ และพรอมท่จี ะกอใหเ กิดความทุกขไดเ สมอ ในกรณีท่มี กี ารเขาไปเก่ยี วของดวยความไมรูแ ละยึดติดถือม่นั กระบวนการแหง ขันธ ๕ หรือชวี ติ ซึง่ ดาํ เนนิ ไปพรอ มดวยการเปล่ยี นแปลงอยูต ลอดทกุ ขณะ โดยไมม ี สว นทเี่ ปนตวั เปนตนคงท่อี ยูนี้ ยอ มเปน ไปตามกระแสแหง เหตปุ จจยั ทสี่ ัมพันธแกกันลวนๆ ตามวิถีทางแหงธรรม ชาติของมัน แตในกรณขี องชีวติ มนุษยป ุถชุ น ความฝนกระแสจะเกดิ ข้นึ โดยทีจ่ ะมคี วามหลงผิดเกดิ ข้นึ และยึด ถือเอารูปปรากฏของกระแสหรือสว นใดสว นหน่ึงของกระแสวาเปน ตัวตน และปรารถนาใหตัวตนน้ันมีอยู คงอยู หรอื เปน ไปในรปู ใดรูปหน่งึ ในเวลาเดียวกัน ความเปล่ยี นแปลงหมุนเวยี นทีเ่ กิดขึ้นในกระแสก็ขัดแยงตอ ความปรารถนา เปนการ บบี คน้ั และเรงเรา ใหเ กดิ ความยดึ อยากรนุ แรงยง่ิ ขึน้ ความดน้ิ รนหวงั ใหม ตี ัวตนในรปู ใดรูปหน่ึง และใหต ัวตนนั้น เปน ไปอยา งใดอยา งหนงึ่ กด็ ี ใหคงทเี่ ทยี่ งแทถ าวรอยูในรปู ที่ตอ งการก็ดี กย็ ิ่งรุนแรงข้ึน เมื่อไมเปน ไปตามท่ียดึ อยาก ความบีบค้ันก็ย่งิ แสดงผลเปน ความผดิ หวงั ความทกุ ขความคับแคน รนุ แรงขึ้นตามกัน พรอ มกันนน้ั ความ ตระหนกั รใู นความจรงิ อยางมวั ๆ วาความเปลี่ยนแปลงจะตอ งเกดิ ขน้ึ อยา งใดอยา งหนึ่งแนนอน และตัวตนทตี่ น ยดึ อยูอาจไมม หี รืออาจสญู สลายไปเสีย ก็ยิง่ ฝง ความยดึ อยากใหเหนียวแนน ย่ิงขนึ้ พรอมกับความกลัว ความ ประหว่ันพร่นั พรึง ก็เขา แฝงตัวรวมอยูดวยอยางลกึ ซงึ้ และซับซอน ภาวะจติ เหลานี้ก็คอื อวชิ ชา (ความไมร ูตามเปน จรงิ หลงผดิ วามีตัวตน) ตณั หา (ความอยากใหต วั ตนที่ หลงวามีนนั้ ได เปน หรอื ไมเ ปน ตา งๆ) อุปาทาน (ความยดึ ถือผกู ตวั ตนในความหลงผิดนั้นไวกับสิ่งตางๆ) กิเลสเหลานแ้ี ฝงลึกซบั ซอนอยูในจิตใจ และเปน ตัวคอยบงั คับบัญชาพฤตกิ รรมท้ังหลายของบคุ คลให เปนไปตา งๆ ตามอาํ นาจของมัน ทั้งโดยรูตวั และไมร ูตัว ตลอดจนเปนตัวหลอ หลอมบคุ ลกิ ภาพและมีบทบาท สําคัญในการชชี้ ะตากรรมของบุคคลน้นั ๆ กลาวในวงกวา ง มันเปน ที่มาแหง ความทกุ ขข องมนษุ ยปถุ ุชนทุกคน โดยสรปุ ขอ ความท่กี ลา วมานี้ แสดงการขดั แยง หรอื ปะทะกันระหวา ง กระบวนการ ๒ ฝา ย คอื
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 68 ๑. ความเปนจรงิ ของกระบวนการแหงชีวิต ที่เปนไปตามกฎแหง ไตรลกั ษณ อนั เปนกฎธรรมชาตทิ ี่ แนน อน คอื อนิจจตา ทกุ ขตา และอนตั ตตา ซงึ่ แสดงอาการออกมาเปน ชาติ ชรา มรณะ ทั้งในความหมายแบบ ต้ืนหยาบ และละเอยี ดลกึ ซึง้ ๒. ความไมร ูต ามเปน จริง ซงึ่ กระบวนการแหงชีวิตน้นั โดยหลงผดิ วา เปน ตัวตนและเขา ไปยดึ ม่นั ถอื มั่นเอาไว แฝงพรอมดวยความหวนั่ กลวั และความกระวนกระวาย พดู ใหส้ันลงไปอีกวา เปนการขัดแยง กนั ระหวา งกฎธรรมชาติ กบั ความยึดถอื ตัวตนไวด ว ยความหลงผดิ หรอื ใหตรงกวา นน้ั วา การเขาไปสรา งตวั ตนขวางกระแสแหง กฎธรรมชาตไิ ว นีค้ อื ชีวิตทีเ่ รยี กวา เปนอยดู วยอวิชชา อยูอยา งยึดมน่ั ถอื ม่นั อยอู ยา งเปน ทาส อยอู ยา งขดั แยง ฝน ตอ กฎ ธรรมชาติ หรืออยูอยางเปนทกุ ข การมีชวี ติ อยเู ชน นี้ ถาพดู ในทางจริยธรรม ตามสมมตสิ จั จะ กอ็ าจกลา วไดว า เปนการมตี ัวตนข้นึ ๒ ตน คอื ตัวกระแสแหงชีวติ ทด่ี าํ เนนิ ไปตามกฎธรรมชาติ ซง่ึ เปล่ยี นแปลงไปตามเหตปุ จ จัย แมจ ะไมมีตัวตนแทจ รงิ แตกาํ หนดแยกออกเปนกระแสหรือกระบวนการอนั หนง่ึ ตางหากจากกระแสหรอื กระบวนการอน่ื ๆ เรยี กโดย สมมตสิ จั จะวาเปนตน และใชป ระโยชนในทางจรยิ ธรรมได อยางหนึ่ง กับตวั ตนจอมปลอม ทถ่ี ูกคิดสรา งขึน้ ยึด ถือเอาไวอ ยา งมนั่ คงดวยอวิชชา ตัณหา อปุ าทาน ดงั กลา วแลว อยา งหนง่ึ ตัวตนอยา งแรกที่กาํ หนดเรียกเพอ่ื ความสะดวกในขั้นสมมตสิ ัจจะโดยรสู ภาพตามทเ่ี ปน จรงิ ยอ มไมเ ปน เหตใุ หเ กดิ ความยดึ มั่นถือม่นั ดวยความหลงผดิ แตตัวตนอยา งหลงั ท่สี รา งขนึ้ ซอนไวใ นตัวตนอยางแรก ยอ มเปน ตัวตนแหง ความยึดมน่ั ถือมั่น คอยรบั ความกระทบกระเทือนจากตัวตนอยางแรก จงึ เปนทมี่ าของความทกุ ข การมีชวี ติ อยูอยา งที่กลาวขางตน นอกจากเปนการแฝงเอาความกลัวและความกระวนกระวายไวในจติ ใจสว นลึกทีส่ ดุ เพื่อไวบ ังคับบัญชาพฤติกรรมของตนเอง ทาํ ใหก ระบวนการแหงชวี ติ ไมเปนตวั ของตวั เอง หรอื ทาํ ตนเองใหต กเปน ทาสไปโดยไมรูตวั แลว ยังแสดงผลรา ยออกมาอกี เปน อนั มาก คอื - ทําใหม ีความอยากไดอ ยางเห็นแกต ัว ความแสหาส่ิงตา งๆ ที่จะสนองความตอ งการของตนอยา งไมม ี ท่สี น้ิ สุด และยดึ อยากหวงแหนไวกับตน โดยไมคํานงึ ถึงประโยชนข องผูใดอ่ืน - ทาํ ใหเ กาะเหนีย่ วเอาความคดิ เหน็ ทฤษฎี หรอื ทศั นะอยา งใดอยา งหนง่ึ มาตคี า เปนอนั หนงึ่ อนั เดยี วกบั ตนหรือเปน ของตน แลว กอดรัดยดึ มน่ั ทะนถุ นอมความคดิ เหน็ ทฤษฎหี รอื ทัศนะนน้ั ๆ ไว เหมอื นอยา งปอ งกัน รกั ษาตวั เอง เปน การสรา งกําแพงขนึ้ มากั้นบังตนเองไมใ หต ดิ ตอ กับความจรงิ หรอื ถึงกบั หลบตวั ปลีกตวั จาก ความจริง ทาํ ใหเกิดความกระดา งทื่อๆ ไมค ลอ งตัวในการคดิ เหตผุ ลและใชวจิ ารณญาณ ตลอดจนเกิดความถอื รัน้ การทนไมไ ดท จี่ ะรบั ฟงความคดิ เหน็ ของผอู ืน่ - ทาํ ใหเ กดิ ความเชื่อและการประพฤติปฏิบัตงิ มงายไรเ หตผุ ลตา งๆ ท่ีหวังวาจะบันดาลผลให และยดึ มน่ั ในความเช่อื ความประพฤติและวิธีปฏบิ ัตเิ หลา น้ัน เพราะรูเหน็ ความสมั พันธใ นทางเหตผุ ลของสง่ิ เหลา น้นั อยา ง ลางๆ มัวๆ แมจ ะไมม ีความแนใจ แตใ นเวลาเดยี วกนั ก็มคี วามหว งใยในตวั ตนที่สรางข้นึ ยดึ ถอื ม่ันไว กลัวจะเกิด
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 69 ความสญู เสียแกต วั ตนนน้ั ได จงึ รบี ไขวควายดึ ฉวยเอาอะไรๆ ทพ่ี อจะหวงั ไดไวกอน แมจ ะอยใู นรูปทีล่ างๆ มดื มวั กต็ าม - ทาํ ใหเ กดิ มตี วั ตนลอยๆ อันหนึ่ง ที่จะตองคอยยดึ คอยถือ คอยแบกเอาไว คอยรกั ษาทะนถุ นอมปอ ง กันไมใหถ กู กระทบกระเทอื นหรือสูญหาย พรอมกนั นัน้ กก็ ลายเปน การจํากดั ตนเองใหแ คบ ใหไมเปนอสิ ระ แบง แยกและพลอยถูกกระทบกระแทกไปกับตัวตนท่ีสรา งข้ึนยดึ ถอื แบกไวนนั้ ดวย โดยนยั นี้ ความขัดแยง บีบค้นั และความทกุ ขจ งึ มไิ ดมอี ยเู ฉพาะในตัวบุคคลผูเ ดียวเทาน้นั แตยงั ขยาย ตัวออกไปเปน ความขดั แยง บบี ค้นั และความทุกขแกค นอืน่ ๆ และระหวางกนั ในสงั คมดวย กลาวไดว า ภาวะเชน นเี้ ปน ทีม่ าแหงความทุกขความเดือดรอนและปญ หาท้ังปวงของสงั คม ในฝายท่เี กดิ จากการกระทาํ ของมนุษย มีปญ ญารูเทาทัน จะไดป ระโยชนจ ากกฎธรรมชาติ ดจุ เปนนายเหนอื มัน หลกั ปฏจิ จสมุปบาทแบบประยกุ ต แสดงการเกิดขึ้นของชวี ติ แหงความทุกข หรอื การเกดิ ข้ึนแหงการ(มี ชีวิตอยูอยา ง)มีตวั ตน ซ่ึงจะตองมีทุกขเปน ผลลัพธแ นนอน เม่ือทาํ ลายวงจรในปฏิจจสมปุ บาทลง ก็เทากบั ทําลายชีวติ แหงความทกุ ข หรือทําลายความทุกขท ง้ั หมดทจี่ ะเกิดข้นึ จากการ(มีชีวิตอยูอยา ง)มตี ัวตน น่ีกค็ อื ภาวะทตี่ รงกนั ขา ม อันไดแก ชีวิตทเี่ ปนอยดู ว ยปญ ญา อยูอยางไมม ีความหลงยึดถือตดิ ม่นั ในตวั ตน อยูอยาง อสิ ระ อยอู ยา งประสานกลมกลนื กับความจรงิ ของธรรมชาติ หรอื อยอู ยางไมม ที กุ ข การมีชีวิตอยูดวยปญญา หมายถึง การอยอู ยา งรเู ทา ทนั สภาวะ และรูจักถอื เอาประโยชนจ ากธรรมชาติ การถอื เอาประโยชนจากธรรมชาตไิ ดเ ปน อยางเดยี วกบั การอยอู ยา งประสานกลมกลนื กบั ธรรมชาติ การอยู ประสานกลมกลนื กับธรรมชาติ เปน การอยูอ ยา งอสิ ระ การอยอู ยา งเปนอิสระ กค็ อื การไมตอ งตกอยใู นอาํ นาจ ของตัณหาอุปาทาน หรอื การอยอู ยางไมยดึ ม่ันถือมนั่ การอยูอ ยา งไมยึดมั่นถือมั่น กค็ ือการมชี ีวิตอยูดว ย ปญญา หรือการรูแ ละเขา เก่ยี วขอ งจัดการกับสิง่ ทง้ั หลายตามวถิ ีทางแหง เหตปุ จ จยั มีขอควรยํ้าเกีย่ วกับความสมั พนั ธระหวา งมนุษยกับธรรมชาติอกี เลก็ นอ ย ตามหลักพุทธธรรม ยอ มไมม ี สิ่งที่อยเู หนือธรรมชาติ หรอื นอกเหนอื ธรรมชาติ ในแงท ว่ี า มีอทิ ธิฤทธิบ์ ันดาลความเปนไปในธรรมชาตไิ ด หรอื แม ในแงที่วาจะมสี ว นเกีย่ วของอยา งหน่ึงอยา งใดกับความเปน ไปในธรรมชาติ สิ่งใดอยนู อกเหนอื ธรรมชาติ สิง่ นั้น ยอมไมเกยี่ วขอ งกับธรรมชาติ คอื ยอ มพนจากธรรมชาตสิ นิ้ เชิง ส่งิ ใดเกยี่ วขอ งกับธรรมชาติ สิ่งนนั้ ไมอยนู อก เหนอื ธรรมชาติ แตตอ งเปน สว นหนง่ึ ในธรรมชาติ อนึง่ กระบวนการความเปนไปทั้งปวงในธรรมชาติยอมเปนไปตามเหตุปจจยั ไมม ีความเปน ไปลอยๆ และไมมกี ารบนั ดาลใหเกดิ ข้ึนไดโดยปราศจากเหตปุ จ จัยความเปน ไปที่ประหลาดนาเหลอื เชื่อดเู ปนอทิ ธิ ปาฏหิ าริย หรืออศั จรรยใ ดๆ กต็ าม ยอมเปน ส่งิ ทีเ่ กิดขึ้นและเปนไปตามเหตุปจ จัยทัง้ สิน้ แตในกรณีทเ่ี หตปุ จ จยั ในเรอ่ื งน้นั สลบั ซับซอนและยงั ไมถกู รูเทาทนั เรือ่ งนนั้ กก็ ลายเปน เรอื่ งประหลาดอัศจรรย แตความประหลาด
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 70 อศั จรรยจ ะหมดไปทนั ทีเมอ่ื เหตุปจจยั ตางๆ ในเร่ืองนัน้ ถกู รูเ ทา ทันหมดสิ้น ดังนัน้ คําวา สิง่ เหนอื หรือนอกเหนือ ธรรมชาติ ตามท่กี ลาวมาแลว จึงเปน เพยี งสํานวนภาษาเทาน้นั ไมมีอยูจ รงิ ในเรอ่ื งมนุษยก ับธรรมชาติ กเ็ ชน กนั การทแ่ี ยกออกมาเปนคําตา งหากกัน วา มนษุ ยกับธรรมชาตกิ ด็ ี วา มนษุ ยสามารถบังคบั ควบคมุ ธรรมชาติไดก ด็ ี เปน เพียงสาํ นวนภาษา แตตามเปน จรงิ แลว มนุษยเปนเพยี งสวน หนึ่งในธรรมชาติ และการทม่ี นุษยควบคมุ บังคบั ธรรมชาตไิ ด กเ็ ปนเพยี งการทม่ี นษุ ยรวมเปนเหตุปจจัยอยา ง หนึ่งและผลักดนั ปจ จยั อื่นๆ ในธรรมชาตใิ หต อเน่อื งสืบทอดกนั ไปจนบงั เกดิ ผลอยา งนน้ั ๆ ขนึ้ เปน แตใ นกรณขี อง มนุษยนี้ มีปจ จยั ฝายจิต อันประกอบดวยเจตนา เขารว มในกระบวนการดว ย จึงมกี ารกระทําและผลการกระทาํ อยางทเ่ี รียกวาสรา งสรรคขึน้ ซ่งึ กเ็ ปนเร่ืองของเหตุปจ จยั ลว นๆ ทง้ั สิน้ มนษุ ยไมสามารถสรา งในความหมายทวี่ า ใหม ใี หเ ปน ขน้ึ ลอยๆ โดยปราศจากการเปน เหตุปจ จยั กนั ตามวถิ ีทางของมัน ที่วามนุษยบงั คับควบคุมธรรมชาตไิ ด กค็ อื การท่มี นุษยร ูเหตปุ จ จัยตา งๆ ท่จี ะสมั พันธสงทอดเปน กระบวนการใหเ กิดผลทีต่ อ งการแลว จึงเขา รว มเปน ปจจัยผลกั ดนั ปจจัยตา งๆ เหลา นั้นใหต อเนอ่ื งสบื ทอดกนั จน เกดิ ผลท่ีตองการ ข้ันตอนในเรื่องนี้มี ๒ อยา ง อยา งท่ี ๑ คอื รู จากนนั้ จึงมีอยางหรือขั้นท่ี ๒ คอื เปนปจ จยั ใหแ ก ปจจยั อ่นื ๆ ตอ ๆ กันไป ใน ๒ อยา งน้ี อยางที่สําคญั และจําเปน กอ นคือ ตอ งรู ซงึ่ หมายถงึ ปญ ญา เมอ่ื รูห รือมี ปญ ญาแลว ก็เขารวมดวยเจตนาในกระบวนการแหง เหตปุ จ จัย อยา งที่เรยี กวาจดั การใหเ ปนไปตามประสงคได การเก่ยี วของจัดการกับสิง่ ท้งั หลายดวยความรูหรือปญญาเทา นัน้ จึงจะชอ่ื วา เปนการถอื เอาประโยชน จากธรรมชาตไิ ด หรอื จะเรียกตามสํานวนภาษาก็วา สามารถบังคบั ควบคมุ ธรรมชาตไิ ด และเรื่องน้มี ีหลักการ อยา งเดียวกัน ทงั้ ในกระบวนการฝา ยรูปธรรมและนามธรรม หรอื ทง้ั ฝายจิตและฝายวตั ถุ ฉะนัน้ ที่กลาวไวข างตนวา การถอื เอาประโยชนจากธรรมชาตไิ ด เปน อยางเดยี วกบั การอยอู ยาง ประสานกลมกลืนกบั ธรรมชาติ จึงเปนเรอ่ื งของขอ เทจ็ จริงของการเปนเหตเุ ปน ปจ จยั แกกันตามกฎธรรมดานเ่ี อง ทั้งนี้รวมถึงธรรมชาติดา นนามธรรมดวย ซง่ึ จะพูดเปนสาํ นวนภาษาวา สามารถบงั คบั ควบคุมธรรมชาติฝาย นามธรรมได ควบคุมจิตใจของตนได ควบคุมตนเองได ก็ถูกตองทั้งสนิ้ ดังนั้น การมชี วี ิตอยดู ว ยปญญาจึงเปน สิง่ สาํ คัญย่งิ ท้งั ในฝายรูปธรรมและนามธรรม ที่จะชว ยใหม นษุ ย ถอื เอาประโยชนได ทัง้ จากกระบวนการฝา ยจติ และกระบวนการฝา ยวัตถุ ชวี ติ แหงปญญา จงึ มองลักษณะได ๒ ดา น คอื ดา นภายใน มีลกั ษณะสงบเยน็ ปลอดโปรง ผอ งใสดว ย ความรเู ทาทนั เปนอสิ ระ เม่อื เสวยสขุ ก็ไมสยบมัวเมาหลงระเรงิ ลมื ตวั เม่อื ขาด พลาด หรือพรากจากเหยื่อลอ ส่ิงปรนปรือตางๆ กม็ ัน่ คง ปลอดโปรงอยูไ ด ไมหวัน่ ไหว ไมห ดหซู ึมเศราส้ินหวังหมดอาลยั ตายอยาก ไมป ลอ ยตวั ฝากความสขุ ทกุ ขของตนไวใ นกาํ มอื ของอามิสภายนอกท่จี ะตดั สนิ ใหเ ปนไป ดานภายนอก มีลกั ษณะคลอ งตัว วอ งไว พรอมอยเู สมอที่จะเขา เกี่ยวขอ งและจัดการกบั ส่ิงท้งั หลาย ตามทีม่ ันควรจะเปน โดยเหตผุ ลบรสิ ทุ ธิ์ ไมมี เงือ่ นปม หรอื ความยึดตดิ ภายในท่ีจะมาเปนนวิ รณ เขา ขัดขวาง กั้นบงั ถวง ทาํ ใหเขว หรือทําใหพรา มัว
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 71 ชวี ติ ทแี่ ตกตา ง ระหวางผูมัวยดึ มัน่ กบั ทานทอ่ี ยดู วยปญ ญา มพี ทุ ธพจนบางตอนทีแ่ สดงใหเ หน็ ลักษณะบางอยา ง ที่แตกตา งกันระหวางชีวิตแหงความยดึ มนั่ ถอื ม่นั กับชวี ิตแหง ปญ ญา เชน ภิกษุทง้ั หลาย ปุถชุ นผูมไิ ดเ รียนรู ยอมเสวยสุขเวทนาบาง ทกุ ขเวทนาบา ง อทกุ ขมสุขเวทนา (เฉยๆ ไม ทุกขไ มสขุ ) บา ง อริยสาวกผูไดเรียนรแู ลว กย็ อมเสวยสุขเวทนาบาง ทกุ ขเวทนาบา ง อทกุ ขมสขุ เวทนาบา ง ภกิ ษุ ทง้ั หลาย ในกรณีน้นั อะไรเปน ความพเิ ศษ เปนความแปลก เปนขอแตกตาง ระหวา งอริยสาวกผไู ดเ รียนรู กบั ปถุ ชุ นผูม ิไดเรียนรู ? ภกิ ษทุ ้งั หลาย ปุถชุ นผูม ิไดเ รยี นรู ถกู ทุกขเวทนากระทบเขาแลวยอ มเศราโศกครํา่ ครวญ ร่ําไห ราํ พัน ตี อกรองไห หลงใหลฟน เฟอนไป เขายอมเสวยเวทนาทง้ั ๒ อยาง คอื เวทนาทางกาย และเวทนาทางใจ เปรยี บเหมอื นนายขมังธนู ยิงบรุ ุษดว ยลูกศรดอกหนง่ึ แลว ยิงซา้ํ ดว ยลกู ศรดอกที่ ๒ อกี เม่ือเปนเชน น้ี บรุ ษุ นน้ั ยอมเสวยเวทนาเพราะลูกศรทัง้ ๒ ดอก คือ ท้งั ทางกาย ทั้งทางใจ ฉนั ใด ปุถชุ นผมู ิไดเรยี นรู ก็ฉนั นั้น... ยอมเสวยเวทนาทงั้ ๒ อยาง คือ ท้งั ทางกาย และทางใจ อน่งึ เพราะถกู ทกุ ขเวทนานั้นกระทบ เขายอมเกดิ ความขัดใจ เม่อื เขามีความขดั ใจเพราะทกุ ขเวทนา ปฏิฆานสุ ยั เพราะทุกขเวทนาก็ยอมนอนเนอ่ื ง เขาถกู ทกุ ขเวทนากระทบเขาแลว กห็ นั เขา ระเรงิ กับกามสขุ เพราะ อะไร? เพราะปุถุชนผมู ิไดเรยี นรู ยอ มไมร ูท างออกจากทกุ ขเวทนา นอกไปจากกามสขุ และเมอ่ื เขาระเรงิ อยูกบั กามสขุ ราคานุสยั เพราะสขุ เวทนานน้ั ยอ มนอนเนื่อง เขายอ มไมร เู ทาทันความเกดิ ขน้ึ ความสลายไป ขอดี ขอ เสยี และทางออก ของเวทนาเหลานัน้ ตามท่ีมันเปน เมื่อเขาไมร ตู ามท่มี นั เปน อวชิ ชานสุ ยั เพราะอทกุ ขมสขุ เวทนา (= อุเบกขาเวทนา) ยอมนอนเนือ่ ง ถาไดเ สวยสขุ เวทนา เขาก็เสวยอยางถกู มดั ตัว ถา เสวยทกุ ขเวทนา เขาก็เสวยอยา งถูกมัดตวั ถาเสวยอ ทุกขมสขุ เวทนา เขากเ็ สวยอยางถูกมดั ตวั ภกิ ษุทง้ั หลาย นีแ้ ล เรยี กวา ปถุ ชุ นผูมไิ ดเรยี นรู ผปู ระกอบ ดวย ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข โทมนสั และอุปายาส เราเรยี กวา ผูประกอบดว ยทกุ ข ภกิ ษทุ ัง้ หลาย ฝายอริยสาวกผไู ดเ รยี นรู ถกู ทกุ ขเวทนากระทบเขาแลว ยอ มไมเศรา โศก ไมคร่าํ ครวญ ไม ราํ่ ไร ไมร ําพนั ไมตอี กรองไห ไมหลงใหลฟนเฟอน เธอยอ มเสวยเวทนาทางกายอยา งเดียว ไมเ สวยเวทนาทางใจ เปรียบเหมอื นนายขมังธนู ยิงบรุ ษุ ดว ยลูกศร แลว ยิงช้าํ ดวยลกู ศรดอกที่ ๒ ผิดไป เม่อื เปน เชน นี้ บรุ ุษนนั้ ยอมเสวยเวทนาเพราะลกู ศรดอกเดยี ว ฉันใด อริยสาวกผูไดเ รยี นรกู ฉ็ ันนน้ั ...ยอมเสวยเวทนาทางกายอยา งเดยี ว ไมไดเสวยเวทนาทางใจ อนึ่ง เธอยอมไมม ีความขัดใจเพราะทกุ ขเวทนานั้น เม่อื ไมมคี วามขัดใจเพราะทกุ ขเวทนา ปฏฆิ านสุ ยั เพราะทุกขเวทนานนั้ ก็ไมน อนเนอื่ ง เธอถกู ทกุ ขเวทนากระทบ กไ็ มหันเขาระเรงิ กับกามสุข เพราะอะไร? เพราะ อรยิ สาวกผูเรยี นรแู ลว ยอ มรทู างออกจากทุกขเวทนา นอกจากกามสุขไปอกี เมอ่ื เธอไมระเรงิ กบั กามสุข ราคานุ
พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 72 สยั เพราะสขุ เวทนานน้ั กไ็ มน อนเนอ่ื ง เธอยอมรเู ทาทันความเกิดขึ้น ความสลายไป ขอดี ขอ เสีย และทางออก ของเวทนาเหลาน้นั ตามท่ีมนั เปน เมื่อเธอรตู ามทม่ี นั เปน อวชิ ชานุสยั เพราะอทกุ ขมสขุ เวทนา ก็ไมน อนเนือ่ ง ถา เสวยสุขเวทนา เธอก็เสวยอยางไมถูกมัดตัว ถาเสวยทกุ ขเวทนาเธอกเ็ สวยอยางไมถ กู มดั ตวั ถา เสวยอทกุ ขมสุขเวทนา เธอก็เสวยอยา งไมถกู มัดตวั ภกิ ษทุ ัง้ หลาย นเ้ี รียกวา อรยิ สาวก ผไู ดเ รยี นรู ผูป ราศจาก ชาติ ชรา มรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข โทมนสั และอุปายาส เราเรยี กวา ผูป ราศจากทกุ ข ภกิ ษุท้งั หลาย นแ้ี ลเปน ความพิเศษ เปน ความแปลก เปน ขอแตกตาง ระหวางอรยิ สาวกผไู ดเรียนรู กับ ปุถุชนผมู ไิ ดเ รยี นร”ู ท่กี ลา วมานี้ เปนเพียงใหรวู า อะไรเปนอะไร อะไรควรทาํ ลาย เม่ือทําลายแลว จะไดอะไร อะไรควรทําให เกดิ ข้นึ เม่อื เกดิ ขึ้นแลว จะไดอ ะไร สวนท่วี า ในการทาํ ลายและทาํ ใหเกดิ ข้ึนนนั้ จะตอ งทําอะไรบาง เปน เรอ่ื งของ จรยิ ธรรม ท่จี ะกลาวตอ ไปขา งหนา ๕. คําอธบิ ายตามแบบ คําอธบิ ายแบบน้ี มีความละเอยี ดลึกซง้ึ และกวางขวางพิสดารมาก เปน เรื่องทางวชิ าการโดยเฉพาะ ผู ศึกษาตองอาศยั พนื้ ความรูทางพทุ ธธรรมและศัพทวิชาการภาษาบาลมี าก และมีคมั ภรี ท ีแ่ สดงไวเปนเรื่อง จาํ เพาะท่จี ะศึกษาไดโดยตรงอยูแลว จงึ ควรแสดงในทนี่ ้เี พียงโดยสรปุ พอเปนหลักเทา นน้ั ก. หัวขอและโครงรปู หวั ขอท้งั หมด ไดแ สดงไวใ นตอนวาดว ยตัวบทแลว จึงแสดงในทนี่ แ้ี บบรวบรัด .ใหเขาใจงายๆ ดงั นี้ อวชิ ชา-สงั ขาร-วญิ ญาณ-นามรูป-สฬายตนะ-ผัสสะ-เวทนา-ตณั หา-อุปาทาน-ภพ-ชาต-ิ ชรามรณะ .... โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกข โทมนสั อุปายาส = ทกุ ขสมทุ ยั ๑ ๒๓ ๔ ๕ ๖๗ ๘ ๙ ๑๐ ๑๑๑๒ สวนฝา ยดบั หรอื ทกุ ขนิโรธ ก็ดาํ เนินไปตามหวั ขอ เชนเดยี วกนั นี้อนง่ึ โดยที่กระบวนธรรมของปฏิจจสมปุ บาท หมุนเวียนเปนวฏั ฏะหรือวงจร ไมมจี ุดเริ่มตน ไมม จี ุดจบ ไมม เี บ้ืองตนเบอ้ื งปลาย จึงควรเขยี นใหม เพอ่ื ไมใหเกิด ความเขา ใจผิดในแงน ี้ ดังนี้ ข. คําจํากัดความองคป ระกอบ หรอื หวั ขอ ตามลาํ ดบั กอ นแสดงคาํ จํากัดความและความหมายตามแบบ จะใหคําแปลและความหมายงา ยๆ ตามรปู ศพั ท เปนพ้นื ฐานความเขา ใจไวชั้นหนงึ่ กอน ดังน้ี ๑. อวิชชา ความไมรูแจง คือ ไมร คู วามจรงิ หรอื ไมร ตู ามเปน จรงิ ๒. สังขาร ความคิดปรงุ แตง เจตจํานงและทกุ สิง่ ทจี่ ิตไดสะสมไว ๓. วญิ ญาณ ความรตู อสง่ิ ทถี่ กู รับรู คอื การเหน็ -ไดยิน-ฯลฯ-รูเ ร่อื งในใจ ๔. นามรปู นามธรรมและรปู ธรรม ชีวติ ทงั้ กายและใจ
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต) 73 ๕. สฬายตนะ อายตนะ คอื ชองทางรบั รู ๖ ไดแก ตา หู จมกู ลิน้ กาย ใจ ๖. ผสั สะ การรบั รู การประจวบกนั ของอายตนะ+อารมณ( ส่งิ ที่ถูกรบั รู)+วญิ ญาณ ๗. เวทนา ความเสวยอารมณ ความรสู กึ สุข ทกุ ข หรอื เฉยๆ ๘. ตณั หา ความทะยานอยาก คือ อยากได อยากเปน อยากไมเปน ๙. อุปาทาน ความยึดติดถอื มนั่ การยึดถือคา งใจ การยึดถือเขากับตัว ๑๐. ภพ ภาวะชีวติ ท่ีเปนอยู สภาพชีวติ ผลรวมกรรมทั้งหมดของบุคคล ๑๑. ชาติ ความเกดิ ความปรากฏแหงขันธท ้งั หลายทยี่ ึดถอื เอาเปน ตวั ตน ๑๒. ชรามรณะ ความแก-ความตาย คอื ความเสื่อมอินทรีย-ความสลายแหงขันธ ตอ ไปนี้ คือ คําจาํ กัดความองคประกอบ หรือหัวขอ ท้งั ๑๒ ตามแบบ ๑. อวิชชา = ความไมร ูทกุ ข-สมุทยั -นโิ รธ-มรรค (อริยสัจ ๔) และ (ตามแบบ อภิธรรม) ความไมรหู นกอ น-หนหนา -ท้งั หนกอนหนหนา - ปฏิจจสมปุ บาท ๒. สงั ขาร = กายสังขาร วจีสงั ขาร จิตตสงั ขาร และ(ตามนยั อภิธรรม) ปุญญาภสิ งั ขาร อปญุ ญาภิสังขาร อาเนญชาภิสงั ขาร ๓. วิญญาณ = จักขวุ ญิ ญาณ โสต~ ฆาน~ ชวิ หา~ กาย~ มโนวิญญาณ (วญิ ญาณ ๖) ๔. นามรูป =นาม (เวทนา สญั ญา เจตนา ผัสสะ มนสกิ าร; หรือ ตามแบบอภธิ รรมวา เวทนาขนั ธ สัญญาขนั ธ สังขารขนั ธ) + รูป (มหาภูต ๔ และ รูปที่อาศยั มหาภูต ๔) ๕. สฬายตนะ = จกั ขุ-ตา โสตะ-หู ฆานะ-จมูก ชวิ หา-ลิน้ กาย-กาย มโน-ใจ ๖. ผสั สะ = จกั ขสุ ัมผสั โสต~ ฆาน~ ชวิ หา~ กาย~ มโนสมั ผัส (สัมผสั ๖) ๗. เวทนา = เวทนาเกดิ จากจกั ขุสัมผสั จากโสต~ ฆาน~ ชิวหา~ กาย~ และมโนสัมผสั (เวทนา ๖) ๘. ตณั หา = รูปตัณหา (ตัณหาในรปู ) สทั ทตณั หา (ในเสียง) คันธตณั หา (ในกลิ่น) รสตัณหา (ในรส) โผฏฐัพพตัณหา (ในสัมผัสทางกาย) ธัมมตณั หา (ในธรรมารมณ) (ตณั หา ๖) ๙. อุปาทาน = กามุปาทาน (ความยดึ มั่นในกาม คอื รปู รส กลิ่น เสียง สมั ผัสตา งๆ)
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 74 ทิฏุปาทาน (ความยดึ ม่นั ในทิฏฐิ คอื ความเหน็ ลัทธิ ทฤษฎีตางๆ) สีลัพพตปุ าทาน (ความยึดม่ันในศลี และพรต วาจะทําให คนบรสิ ทุ ธิไ์ ด) อัตตวาทปุ าทาน (ความยึดม่ันในการถอื อตั ตา สรา งตัวตน ขึน้ มายึดถือไวดว ยความหลงผิด) ๑๐. ภพ= กามภพ รูปภพ อรูปภพ อกี นัยหนง่ึ = กรรมภพ (ปญุ ญาภิสงั ขาร อปญุ ญาภสิ งั ขาร อาเนญชาภิ- สงั ขาร) กบั อปุ ปตตภิ พ (กามภพ รูปภพ อรปู ภพ สัญญา- ภพ อสญั ญาภพ เนวสัญญานาสัญญาภพ เอกโวการภพ จตโุ วการภพ ปญ จโวการภพ) ๑๑. ชาติ =ความปรากฏแหงขันธท ง้ั หลาย การไดมาซึ่งอายตนะตา งๆ หรอื ความเกิด ความปรากฏขึน้ ของธรรมตางๆ เหลา นน้ั ๆ ๑๒. ชรามรณะ = ชรา (ความเสื่อมอายุ ความหงอ มอนิ ทรีย) กบั มรณะ (ความสลายแหงขันธ ความขาดชีวิตนิ ทรีย) หรือ ความ เสื่อม กับ ความสลายแหง ธรรมตา งๆ เหลา น้ันๆ๑ ค. ตัวอยา งคาํ อธบิ ายแบบชวงกวางทสี่ ุด เพื่อใหคําอธบิ ายส้ันและงา ย เห็นวาควรใชวธิ ยี กตัวอยา ง ดังน(้ี อาสวะ-) อวิชชา เขา ใจวาการเกดิ ใน สวรรคเปนยอดแหงความสขุ เขา ใจวาฆาคนน้ันคนนเี้ สียไดเปน ความสขุ เขา ใจวา ฆา ตัวตายเสียไดจะเปน สุข เขา ใจวา ถงึ ความเปน พรหมแลว จะไมเ กดิ ไมต าย เขา ใจวา ทําพิธีบวงสรวงเซนสงั เวยแลว จะไปสวรรคได เขา ใจวา จะไปนพิ พานไดด วยการบาํ เพ็ญตบะ เขา ใจวาตัวตนอันน้ีนัน่ แหละจะไดไปเกดิ เปนนน่ั เปนน่ีดวยการ กระทําอยางนี้ เขาใจวาตายแลวสูญ ฯลฯ จงึ - สังขาร นกึ คดิ ตัง้ เจตจาํ นงไปตามแนวทางหรือโดยสอดคลองกับความเขา ใจน้ันๆ คดิ ปรุงแตงวิธีการ และลงมอื กระทาํ การ (กรรม) ตางๆ ดวยเจตนาเชนนั้น เปนกรรมดี (บญุ ) บา ง เปนกรรมช่วั (อบญุ หรือบาป) บา ง เปนอาเนญชาบาง จึง - วญิ ญาณ เกิดความตระหนักรแู ละรบั รูอารมณต างๆ เฉพาะท่เี ปนไปตามหรือเขา กันไดก ับเจตนาอยา ง นนั้ เปน สําคัญ พูดเพือ่ เขา ใจกนั งายๆ กว็ า จติ หรอื วิญญาณถกู ปรุงแตง ใหม คี ุณสมบัติเฉพาะขน้ึ มาอยา งใดอยา ง หนงึ่ หรอื แบบใดแบบหน่ึง เม่ือตาย พลังแหง สงั ขารคอื กรรมทป่ี รงุ แตง ไว จงึ ทําใหป ฏิสนธวิ ิญญาณท่มี ีคณุ สมบัติเหมาะกับตวั มัน ปฏสิ นธขิ ้ึนในภพ และระดบั ชวี ติ ท่เี หมาะกนั คอื ถอื กําเนดิ ขน้ึ แลว
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 75 - นามรปู กระบวนการแหงการเกิด ก็ดาํ เนินการกอ รปู เปนชีวติ ท่พี รอ มจะปรุงแตง กระทาํ กรรมตา งๆ ตอ ไปอีก จึงเกิดมีรูปขนั ธ เวทนาขันธ สัญญาขนั ธ สงั ขารขันธข ึน้ โดยครบถว น ประกอบดวยคุณสมบตั ิและขอ บกพรอ งตางๆ ตามพลงั ปรงุ แตง ของสังขารคือกรรมทท่ี าํ มา และภายในขอบเขตแหงวิสัยของภพท่ไี ปเกดิ นน้ั สดุ แตจะเกดิ เปน มนษุ ย ดิรจั ฉาน เทวดา เปน ตน - สฬายตนะ แตช ีวติ ที่จะสนองความตองการของตวั ตน และพรอ มท่ีจะกระทาํ การตา งๆ โตต อบตอโลก ภายนอก จะตองมีทางติดตอ กบั โลกภายนอก สําหรับใหกระบวนการรับรูดาํ เนนิ งานได ดังนน้ั อาศยั นามรปู เปน เครอ่ื งสนับสนุน กระบวนการแหงชีวิตจึงดาํ เนนิ ตอไปตามพลังแหง กรรม ถึงขน้ั เกิดอายตนะทงั้ ๖ คอื ประสาท ตา หู จมูก ลนิ้ กาย และเครอ่ื งรับรอู ารมณภายใน คอื ใจ จากนั้น - ผสั สะ กระบวนการแหง การรบั รูก ็ดําเนินงานได โดยการเขา กระทบหรือประจวบกันระหวา งองค ประกอบสามฝา ย คอื อายตนะภายใน (ตา หู จมูก ลนิ้ กาย และใจ) กบั อารมณ หรอื อายตนะภายนอก (รปู เสยี ง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ และธรรมารมณ) และวญิ ญาณ (จกั ขวุ ิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวญิ ญาณ ชิวหา วิญญาณ กายวญิ ญาณ และมโนวญิ ญาณ) เม่อื การรบั รเู กดิ ขน้ึ คร้ังใด - เวทนา ความรูสึกทีเ่ รียกวา การเสวยอารมณ ก็จะตองเกิดขึ้นในรูปใดรปู หนึ่ง คือ สขุ สบาย (สขุ เวทนา) ไมสบาย เจ็บปวด เปนทุกข (ทกุ ขเวทนา) หรอื ไมก เ็ ฉยๆ (อทกุ ขมสขุ เวทนา หรืออุเบกขาเวทนา) และโดยวิสัย แหงปุถุชน กระบวนการยอ มไมหยดุ อยูเ พียงนี้ จึง - ตัณหา ถา สุขสบาย กช็ อบใจ ติดใจ อยากได หรอื อยากไดใหม ากยง่ิ ๆ ข้นึ ไปอกี เกดิ การทะยานอยาก และแสห าตา งๆ ถาเปนทกุ ข ไมสบาย กข็ ัดใจ ขดั เคือง อยากใหส ญู ส้นิ ใหหมดไป หรอื ใหพน ๆ ไปเสยี ดว ยการ ทําลายหรือหนไี ปใหพ นก็ตาม เกิดความกระวนกระวายด้นิ รนอยากใหพ น จากอารมณท ่ีเปนทกุ ข ขดั ใจ หนั ไปหา ไปเอาสิง่ อืน่ อารมณอ ืน่ ทจี่ ะใหค วามสขุ ได หรอื ไมก ร็ ูสกึ เฉยๆ คืออุเบกขา ซึ่งเปนความรูสกึ เพลินๆ อยา งละเอยี ด จดั เขา ในฝา ยสขุ เพราะไมข ดั ใจ เปนความสบายอยางออ นๆ จากนัน้ - อุปาทาน ความอยากเมื่อรนุ แรงขึ้นก็กลายเปน ยดึ คือยดึ มั่นถือม่ันติดสยบหมกมุนในส่ิงนั้น หรอื เมื่อ ยังไมไ ดกอ็ ยากดว ยตณั หา เมอ่ื ไดห รอื ถึงแลว กย็ ึดฉวยไวดว ยอุปาทาน และเม่ือยดึ มน่ั กม็ ิใชย ดึ แตอารมณที่ อยากได (กามุปาทาน) เทานั้น แตยังพวงเอาความยดึ ม่ันในความเหน็ ทฤษฎี ทฏิ ฐิ ตางๆ (ทิฏปุ าทาน) ความ ยดึ มน่ั ในแบบแผนความประพฤตแิ ละขอปฏบิ ตั ิทจ่ี ะใหไดสิง่ ทป่ี รารถนา (สลี พั พตุปาทาน) และความยึดม่นั ถือ ม่ันในตวั ตน (อัตตวาทุปาทาน) พัวพนั เก่ียวเน่อื งกันไปดว ย ความยดึ มน่ั ถือมน่ั น้ี จึงกอ ใหเ กดิ - ภพ เจตนา เจตจาํ นงทจ่ี ะกระทําการ เพอื่ ใหไ ดม าและใหเ ปนไปตามความยดึ มนั่ ถือม่นั นน้ั และนาํ ให เกดิ กระบวนพฤตกิ รรม (กรรมภพ) ท้งั หมดขึ้นอกี เปน กรรมดี กรรมชัว่ หรืออาเนญชา สอดคลอ งกบั ตัณหา อปุ าทานนนั้ ๆ เชน อยากไปสวรรค และมีความเห็นท่ียึดมน่ั ไววา จะไปสวรรคไดด ว ยการกระทําเชนนี้ ก็กระทํา กรรมอยางนนั้ ๆ ตามท่ีตองการ พรอมกบั การกระทาํ นัน้ กเ็ ปนการเตรยี มภาวะแหง ชีวิต คือขันธ ๕ ทจ่ี ะปรากฏ
พุทธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 76 ในภพที่สมควรกับกรรมน้ันไวพรอมดว ย (อปุ ปตติภพ) เมอ่ื กระบวนการกอ กรรมดาํ เนนิ ไปเชน น้ีแลว ครน้ั ชวี ิต ชวงหนง่ึ สน้ิ สุดลง พลงั แหง กรรมทีส่ รางสมไว (กรรมภพ) กผ็ ลกั ดันใหเ กิดการสบื ตอข้ันตอนตอไปในวงจรอกี คอื - ชาติ เรมิ่ แตป ฏิสนธวิ ิญญาณท่มี คี ณุ สมบัติสอดคลองกับพลังแหง กรรมนั้น ปฏสิ นธขิ นึ้ ในภพที่สมควร กบั กรรม บงั เกิดขันธ ๕ ข้ึนพรอ ม เร่ิมกระบวนการแหง ชวี ิตใหดาํ เนินตอไป คือ เกดิ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ และเวทนาข้ึน หมนุ เวยี นวงจรอีก และเม่อื การเกิดมีข้ึนแลว ยอ มเปนการแนนอนท่ีจะตอ งมี - ชรามรณะ ความเสอ่ื มโทรม และแตกดบั แหง กระบวนการของชีวติ นัน้ สําหรับปถุ ชุ น ชรามรณะนี้ ยอมคุกคามบบี ค้นั ทงั้ โดยชดั แจง และแฝงซอ น (อยูในจติ สว นลกึ ) ตลอดเวลา ดังนนั้ ในวงจรชีวิตของปถุ ุชน ชรามรณะจงึ พว งมาพรอมดว ย ..... โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข โทมนัส อปุ ายาส ซ่งึ เรยี กรวมวา ความทุกขน น่ั เอง คาํ สรปุ ของปฏิจจสมุปบาท จึงมีวา “กองทกุ ขท ง้ั ปวง จึงเกดิ มีดว ยอาการอยางน”้ี อยางไรกด็ ี เนอื่ งจากเปนวฏั ฏะ หรือวงจร จงึ มิใชม ีความสนิ้ สุดทจ่ี ุดนี้ แทจ รงิ องคประกอบชวงนี้ กลบั เปน ขน้ั ตอนสาํ คัญอยางย่งิ อกี ตอนหน่ึง ทจ่ี ะทาํ ใหวงจรหมนุ เวยี นตอไป กลาวคือ โสกะ (ความแหง ใจ) ปรเิ ทวะ (ความรํา่ ไร) ทุกข โทมนัส (ความเสยี ใจ) อปุ ายาส (ความผิดหวังคับแคน ใจ) เปนอาการสําแดงออกของการมี กเิ ลสทีเ่ ปน เช้อื หมกั ดองอยูในจิตสันดาน ที่เรยี กวา “อาสวะ” อนั ไดแกความใฝใ จในสง่ิ สนองความอยากทาง ประสาททั้ง ๕ และทางใจ (กามาสวะ) ความเห็นความยดึ ถือตา งๆ เชน ยดึ ถือวา รปู เปน เรา รปู เปนของเรา เปนตน (ทิฏฐาสวะ) ความชน่ื ชอบอยใู นใจวา ภาวะแหง ชวี ิตอยางนัน้ อยางนี้ เปน ส่งิ ดีเลิศ ประเสริฐ มคี วามสุข เชน คดิ ภมู ิใจหมายมนั่ อยวู าเกิดเปนเทวดามีความสขุ แสนพรรณนา เปนตน (ภวาสวะ) และความไมร สู งิ่ ทง้ั หลายตามท่ีมนั เปน (อวชิ ชาสวะ) ชรามรณะเปน เครอ่ื งหมายแหงความเส่ือมสนิ้ สลาย ซึ่งขัดกบั อาสวะเหลา นี้ เชน ในดา นกามาสวะ ชรา มรณะทําใหป ุถชุ นเกดิ ความรูสึกวา ตนกําลงั พลดั พราก หรอื หมดหวงั จากส่งิ ทช่ี น่ื ชอบทีป่ รารถนา ในดา นทฏิ ฐา สวะ เม่ือยดึ ถืออยวู า รางกายเปน ตัวเราเปน ของเรา พอรา งกายแปรปรวนไป กผ็ ดิ หวังแหงใจ ในดา นภวาสวะทํา ใหรูสึกตัววา จะขาด พลาด พราก ผิดหวัง หรือหมดโอกาสทจ่ี ะครองภาวะแหงชีวติ ทต่ี วั ชนื่ ชอบอยา งนัน้ ๆ ใน ดา นอวชิ ชาสวะ กค็ อื ขาดความรูค วามเขาใจมูลฐานตง้ั ตน แตวาชีวติ คอื อะไร ความแกช ราคืออะไร ควรปฏบิ ตั ิ อยา งไรตอความแกช รา เปนตน เม่ือขาดความรูความคดิ ในทางท่ีถกู ตอ ง พอนกึ ถงึ หรอื เขาเกีย่ วขอ งกบั ชรา มรณะก็บงั เกิดความรสู ึกและแสดงอาการในทางหลงงมงาย หวาดกลัว และเกิดความซึมเศรา หดหตู างๆ ดงั น้นั อาสวะจงึ เปน เช้ือ เปนปจ จยั ท่ีจะให โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข โทมนัส อปุ ายาส เกิดขนึ้ ไดท นั ทที ่ีชรามรณะเขามา เก่ียวขอ ง อน่ึง โสกะ เปน ตนเหลา น้ี แสดงถึงอาการมดื มวั ของจติ ใจ เวลาใดความทกุ ขเ หลา นีเ้ กดิ ขึน้ จติ ใจจะพรา มวั เรารอนอับปญ ญา เมอ่ื เกิดอาการเหลา นี้ กเ็ ทา กบั พวงอวิชชาเกิดข้ึนมาดวย อยา งท่กี ลาวในวสิ ทุ ธมิ คั คว า :โส
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 77 กะ ทกุ ข โทมนัส และอุปายาส ไมแ ยกไปจากอวิชชา และธรรมดาปริเทวะก็ยอ มมแี กค นหลง เหตนุ ้ัน เม่ือโสกะ เปน ตน สําเร็จแลวอวิชชากย็ อมเปนอนั สาํ เรจ็ แลว วา: ในเร่อื งอวิชชา พงึ ทราบวา ยอมเปน อนั สําเร็จมาแลวแตธ รรมมีโสกะเปนตน และวา: อวชิ ชายอมยงั เปน ไปตลอดเวลาที่โสกะเปนตนเหลา นน้ั ยงั เปนไปอยู โดยนยั น้ี ทานจึงกลาววา “เพราะอาสวะเกิด อวิชชาจงึ เกดิ ” และสรุปไดวา ชรามรณะของปุถุชน ซง่ึ พว งดวยโสกะ ปรเิ ทวะ ทุกข โทมนัส อุปายาส ยอ มเปนปจ จัยใหเกดิ อวชิ ชา หมุนวงจรตอเน่อื งไปอีกไมข าดสาย จากคาํ อธิบายตามแบบ ทไี่ ดแสดงมา มขี อ สงั เกตและสง่ิ ทคี่ วรทาํ ความเขา ใจเปน พเิ ศษ ดังน้ี ๑. วงจรแหงปฏิจจสมปุ บาทตามคาํ อธบิ ายแบบน้ี นยิ มเรยี กวา “ภวจักร” ซง่ึ แปลวาวงลอ แหง ภพ หรือ “สงั สารจักร” ซ่งึ แปลวา วงลอ แหง สังสารวฏั และจะเหน็ ไดว า คาํ อธบิ ายคาบเกยี่ วไปถงึ ๓ ชว งชีวติ คือ อวชิ ชา กบั สงั ขาร ชวงหน่ึง วญิ ญาณ ถงึ ภพ ชวงหนง่ึ และ ชาติ กบั ชรามรณะ (พว งดวย โสกะ เปนตน ) อีก ชวงหนึ่งถากาํ หนดเอาชว งกลาง คอื วิญญาณ ถงึ ภพ เปน ชีวติ ปจจุบัน ชว งชีวิตทัง้ ๓ ซึ่งประกอบดว ยองค (หวั ขอ) ๑๒ ก็แบง เปน กาล ๓ ดงั นี้ ๑) อดีต = อวิชชา สังขาร ๒) ปจ จุบัน = วญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา ตณั หา อุปาทาน ภพ ๓) อนาคต = ชาติ ชรามรณะ (+ โสกะ ฯลฯ) ๒. เมือ่ แยกออกเปน ๓ ชวงเชนนี้ ยอ มถือเอาชว งกลาง คอื ชวี ติ ปจจบุ นั หรือชาตนิ ้ี เปน หลัก และ เมือ่ ถอื เอาชวงกลางเปนหลัก ก็ยอมแสดงความสัมพันธในฝา ยอดตี เฉพาะดา นเหตุ คือสบื สาวจากผลทีป่ รากฏ ในปจ จุบนั วาเกิดมาจากเหตุอะไรในอดตี (= อดีตเหต-ุ ปจ จุบนั ผล) และในฝา ยอนาคตแสดงเฉพาะดานผล คอื สืบสาวจากเหตุในปจจบุ ันออกไปวา จะใหเ กิดผลอะไรในอนาคต (= ปจ จุบนั เหตุ-อนาคตผล) โดยนัยน้ี เฉพาะ ชว งกลาง คอื ปจจุบันชว งเดียว จึงมพี รอมทัง้ ฝา ยผล และ เหตุ เมอื่ มองตลอดสาย กแ็ สดงไดเปน ๔ ชว ง (เรียก วา สงั คหะ ๔ หรือ สงั เขป ๔) ดงั นี้ ๑) อดตี เหตุ = อวิชชา สงั ขาร ๒) ปจจบุ นั ผล = วิญญาณ นามรปู สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ๓) ปจจุบนั เหตุ = ตัณหา อปุ าทาน ภพ ๔) อนาคตผล = ชาติ ชรามรณะ (+ โสกะ ฯลฯ) ๓. จากคาํ อธบิ ายขององคประกอบแตล ะขอ จะเหน็ ความหมายที่ คาบเกยี่ วเช่อื มโยงกนั ขององคป ระกอบบางขอ ซึง่ จัดเปน กลุม ไดดงั นี้
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 78 ๑) อวิชชา กบั ตัณหา อุปาทาน - จากคาํ อธบิ ายของ อวิชชา จะเห็นชดั วา มีเรอ่ื งของความอยาก (ตัณหา) และความยึดมัน่ (อปุ าทาน) โดยเฉพาะความยึดม่ันในเร่อื งตวั ตนเขา แฝงอยดู ว ยทกุ ตวั อยา ง เพราะเม่อื ไมร จู กั ชีวติ ตามความเปน จรงิ หลงผดิ วามตี วั ตน กย็ อมมคี วามอยากเพ่ือตัวตน และความยึดถือเพ่อื ตวั ตนตางๆ และในคําที่วา “อาสวะเกิด อวชิ ชาจงึ เกดิ ” น้ัน กามาสวะ ภวาสวะ และ ทฏิ ฐาสวะ ก็เปนเรื่องของตัณหาอุปาทานนน่ั เอง ดงั นน้ั เม่อื พูดถึงอวชิ ชา จงึ มคี วามหมายพวงหรือเชอื่ มโยงไปถึงตณั หาและอุปาทานดว ยเสมอ - ในคําอธบิ าย ตัณหา และ อุปาทาน ก็เชน เดยี วกนั จะเหน็ ไดว า มอี วชิ ชาแฝงหรอื พวงอยดู วยเสมอ ใน แงทว่ี า เพราะหลงผดิ วา เปนตวั ตน จึงอยากและยึดถอื เพ่ือตวั ตนน้นั เพราะไมรสู ง่ิ ทัง้ หลายตามทม่ี นั เปน จึงเขา ไปอยากและยึดถอื ในสิง่ เหลา น้ันวา เปน เราเปนของเรา หรืออยากไดเพ่อื เราเปน เรือ่ งของความเห็นแกตัวทง้ั ส้นิ และในเวลาที่อยากและยดึ ถอื เชนน้ัน ยง่ิ อยากและยึดแรงเทาใด กย็ ิง่ มองขา มเหตผุ ล มองไมเห็นสงิ่ ท้งั หลาย ตามสภาพของมัน และละเลยการปฏิบตั ิตอ มันดวยสตปิ ญ ญาตามเหตตุ ามผลมากขึ้นเพยี งนน้ั โดยเหตุนี้ เม่อื พูดถึง ตัณหา อุปาทาน จงึ เปนอันพว งเอาอวชิ ชาเขาไวดวย โดยนยั น้ี อวิชชา ในอดีตเหตุ กับ ตัณหา อปุ าทาน ในปจจบุ นั เหตุ จึงใหความหมายทีต่ อ งการไดเ ปน อยางเดียวกนั แตการที่ยกอวชิ ชาข้ึนในฝายอดีต และยกตัณหาอุปาทานขึ้นในฝายปจ จุบัน ก็เพอ่ื แสดงตวั ประกอบทีเ่ ดน เปนตวั นํา ในกรณีที่สัมพนั ธก บั องคป ระกอบขออ่ืนๆ ในภวจักร ๒) สังขาร กบั ภพ สังขารกบั ภพ มคี ําอธบิ ายในวงจรคลายกันมาก สงั ขารอยใู นชว งชีวติ ฝายอดีต และภพอยใู นชวงชีวติ ฝา ยปจ จบุ นั ตา งกเ็ ปน ตัวการสาํ คญั ที่ปรุงแตง ชวี ติ ใหเ กดิ ในภพตางๆ ความหมายจึงใกลเ คยี งกนั มาก ซึ่งความ จรงิ กเ็ กอื บเปน อันเดยี วกัน ตางที่ขอบเขตของการเนน สงั ขาร มงุ ไปท่ีตวั เจตนา หรอื เจตจํานงผูปรงุ แตงการกระทาํ เปน ตวั นําในการทาํ กรรม สว น ภพ มีความหมายกวา งกวา โดยแบงเปนกรรมภพ กบั อุปปต ตภิ พ กรรมภพแมจะมีเจตนาเปน ตวั การสาํ คญั เหมอื นสงั ขาร แตใ หค วามรสู ึกครอบคลมุ มากกวา โดยเพงเอากระบวนพฤติกรรมทงั้ หมดทีเดียว สวน อุปปตติภพ หมายถงึ ขันธ ๕ ท่ีเกดิ เพราะกรรมภพนน้ั โดยนยั น้ี สงั ขาร กบั กรรมภพ จงึ พดู พว งไปดวยกันได ๓) วญิ ญาณ ถงึ เวทนา กับ ชาติ ชรามรณะ (+ โสกะ ฯลฯ) - วิญญาณ ถึง เวทนา เปนตวั ชวี ิตปจจบุ ัน ซ่ึงเปน ผลมาจากเหตใุ นอดตี มุงกระจายกระบวนการออกให เห็นอาการทอ่ี งคประกอบสว นตา งๆ ของชีวิต ซง่ึ เปนฝายผลในปจ จบุ ัน เขาสมั พนั ธกันจนเกดิ องคป ระกอบอ่นื ๆ ทเี่ ปนเหตปุ จ จุบนั ท่ีจะใหเกดิ ผลในอนาคตตอ ไปอีก - สว น ชาติ ชรามรณะ แสดงไวเ ปนผลในอนาคต ตอ งการช้ีใหเ หน็ เพยี งวา เมื่อเหตุปจจบุ ันยงั มีอยู ผล ในอนาคตกจ็ ะยังมีตอ ไป จึงใชเ พียงคาํ วา ชาติ และชรามรณะ ซ่ึงก็หมายถงึ การเกดิ ดบั ของ วญิ ญาณ ถงึ เวทนา
พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 79 นั่นเอง แตเ ปน คําพูดแบบสรุป และตองการเนนในแงก ารเกดิ ขน้ึ ของทกุ ข เชื่อมโยงกลับเขาสวู งจรอยางเดิมได อกี ดังน้นั ตามหลักจึงกลาววา วญิ ญาณ ถึง เวทนา กับ ชาติ ชรามรณะเปนอันเดียวกนั พูดแทนกันได เมือ่ ถอื ตามแนวนี้ เรอ่ื ง เหต-ุ ผล ๔ ชวงในขอ ๒. จึงแยกองคป ระกอบเปน ชว งละ ๕ ไดทกุ ตอน คอื ๑) อดตี เหตุ ๕ = อวชิ ชา สงั ขาร ตณั หา อปุ าทาน ภพ ๒) ปจ จบุ ันผล ๕ = วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา (= ชาติ ชรามรณะ) ๓) ปจ จบุ นั เหตุ ๕ = อวชิ ชา สังขาร ตัณหา อุปาทาน ภพ ๔) อนาคตผล ๕ = วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา (= ชาติ ชรามรณะ) เมือ่ นบั หวั ขอ ดงั น้ี จะได ๒๐ เรียกกันวา อาการ ๒๐ ๔. จากคําอธบิ ายในขอ ๓. จงึ นาํ องค ๑๒ ของปฏจิ จสมปุ บาท มาจัดประเภทตามหนา ทขี่ องมนั ในวงจร เปน ๓ พวก เรียกวา วัฏฏะ ๓ คือ ๑) อวิชชา ตณั หา อปุ าทาน เปน กิเลส คอื ตัวสาเหตผุ ลกั ดนั ใหคิดปรงุ แตงกระทําการตางๆ เรยี ก วา กเิ ลสวัฏ ๒) สงั ขาร (กรรม)ภพ เปน กรรม คอื กระบวนการกระทาํ หรอื กรรมท้งั หลายท่ีปรงุ แตง ชีวิตใหเ ปน ไปตา งๆ เรียกวา กรรมวัฏ ๓) วญิ ญาณ นามรูป สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา เปน วบิ าก คือสภาพชวี ติ ท่ีเปน ผลแหงการปรงุ แตง ของกรรม และกลบั เปน ปจจัยแหง การกอ ตัวของกิเลสตอไปไดอ กี เรียกวา วิปากวัฏ วฏั ฏะ ๓ นี้ หมุนเวียนตอ เน่อื งเปนปจจัยอดุ หนนุ แกก นั ทาํ ใหวงจรแหงชีวติ ดําเนนิ ไปไมข าดสาย ซึ่งอาจ เขียนเปน ภาพไดดงั น้ี ๕. ในฐานะทีก่ ิเลสเปน ตัวมลู เหตุของการกระทาํ กรรมตางๆทีจ่ ะปรงุ แตงชวี ิตใหเ ปนไปจึงกาํ หนด ใหก ิเลสเปน จุดเรม่ิ ตน ในวงจรเม่ือกาํ หนดเชน น้กี ็จะไดจ ดุ เร่มิ ตน ๒ แหงในวงจรนี้ เรยี กวา มลู ๒ ของ ภวจกั ร คอื ๑) อวชิ ชา เปน จุดเริม่ ตน ในชว งอดตี ท่ีสง ผลมายังปจจบุ นั ถึง เวทนาเปนท่สี ุด ๒) ตณั หา เปน จุดเร่ิมตน ในชวงปจ จุบัน ตอจากเวทนา สง ผลไปยัง อนาคต ถงึ ชรามรณะเปนทีส่ ดุ เหตุผลท่ีแสดงอวชิ ชาในชวงแรก และตณั หาในชว งหลังน้นั เหน็ ไดช ดั อยูแลว อยางท่ีกลาวในขอ ๓. คือ อวิชชา ตอ เนื่องจาก โสกะ ปรเิ ทวะ ฯลฯ สว นตัณหา ตอ เน่ืองจากเวทนา ดงั น้ัน อวิชชา และ ตณั หา จงึ เปนกเิ ลส ตัวเดนตรงกับกรณีนน้ั ๆ
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 80 อน่งึ ในแงข องการเกิดในภพใหม คําอธบิ ายตามแบบกไ็ ดแสดงความแตกตางระหวา ง กรณที อ่ี วิชชา เปน กิเลสตัวเดน กับ กรณที ่ตี ัณหาเปนกเิ ลสตวั เดน ไวด วย คอื - อวิชชา เปนตัวการพเิ ศษ ทจี่ ะใหสตั วไปเกิดในทุคติ เพราะผถู กู อวิชชาครอบงาํ ไมรูว า อะไรดี อะไรช่วั อะไรถกู อะไรผิด อะไรเปน ประโยชนไมเปนประโยชน อะไรเปน เหตุใหเ กิดความเสื่อมพนิ าศ ยอมทาํ การตางๆ ดวยความหลง มดื มัว ไมมีหลกั จงึ มโี อกาสทํากรรมทผี่ ิดพลาดไดมาก - ภวตณั หา เปนตัวการพเิ ศษท่จี ะใหส ัตวไปเกิดในสคุ ติ ในกรณที ีภ่ วตัณหาเปนตวั นํา บุคคลยอ มคาํ นงึ ถงึ และใฝใจในภาวะแหงชีวิตทด่ี ๆี ถาเปนโลกหนา ก็คิดอยากไปเกิดในสวรรค ในพรหมโลก เปนตน ถาเปนภพ ปจจุบนั ก็อยากเปนเศรษฐี อยากเปนคนมีเกยี รติ ตลอดจนอยากไดช่ือวาเปน คนดี เมื่อมคี วามอยากเชนน้ี กจ็ งึ คิดการและลงมอื กระทํากรรมตา งๆ ทจี่ ะเปน ทางใหบรรลุจดุ หมายน้นั ๆ เชน อยากไปเกดิ เปน พรหม ก็บําเพ็ญ ฌานอยากไปสวรรค ก็ใหท านรักษาศลี อยากเปนเศรษฐี กข็ ยันหาทรพั ย อยากเปน คนมีเกียรติ ก็สรางความดี ฯลฯ ทําใหรูจักยงั้ คดิ และไมป ระมาทขวนขวายในทางทีด่ ี มีโอกาสทาํ ความดีไดม ากกวาผอู ยูดว ยอวชิ ชา เร่ืองท่ยี กอวิชชา และ ภวตัณหา เปนหัวขอ ตน (มลู ) ของวัฏฏะ แตก ็มใิ ชเปนมูลการณนัน้ มีพทุ ธพจน แสดงไวอีก เชน ภิกษทุ ง้ั หลาย ปลายแรกสุดของอวิชชาจะปรากฏกห็ าไมวา “กอ นแตน ี้ อวิชชามิไดม ี คร้ันมาภายหลัง จงึ มีข้นึ ” เรอื่ งน้ี เรากลาวดงั นวี้ า “ก็แล เพราะส่ิงนเ้ี ปน ปจ จยั อวิชชาจึงปรากฏ” สวน ภวตัณหา ก็มีพทุ ธพจนแสดงไว มีความอยางเดยี วกัน ดงั นี้ ภกิ ษุท้ังหลาย ปลายแรกสุดของภวตณั หาจะปรากฏกห็ าไมว า “กอนแตน ้ี ภวตณั หามิไดม ี คร้นั มาภาย หลัง จงึ มขี ้นึ ” เรื่องน้ี เรากลาวดังนว้ี า “ก็แล เพราะสงิ่ นีเ้ ปน ปจจยั ภวตณั หาจงึ ปรากฏ” ขอ ที่อวิชชาและตณั หาเปน ตัวมลู เหตุ และมาดวยกัน กม็ ีพทุ ธพจนแ สดงไว เชน ภิกษุทงั้ หลาย กายน้ี เกิดขึน้ พรอ มแลว อยา งน้ี แกค นพาล แกบณั ฑิต ผูถ กู อวชิ ชาปดกั้น ผถู กู ตัณหาผกู รดั ก็แล กายน้นี ัน่ เอง กับนามรูปภายนอก จงึ มเี ปน ๒ อยา ง อาศัย ๒ อยางนั้น จงึ มผี สั สะเพียง ๖ อายตนะเทา นนั้ คนพาล..บัณฑิต ไดผ ัสสะโดยทางอายตนะเหลา นีห้ รอื เพยี งอนั ใดอนั หนง่ึ จึงไดเ สวยความสขุ และความทกุ ข ๖. อาการทอ่ี งคป ระกอบตางๆ ในปฏจิ จสมุปบาท สัมพนั ธเ ปนปจ จยั แกกนั น้นั ยอ มเปนไปโดย แบบความสมั พันธอ ยางใดอยา งหนง่ึ หรือหลายอยา ง ในบรรดาแบบความสัมพนั ธท่เี รยี กวา ปจจยั ๒๔ อยาง ตามคาํ อธบิ ายแบบท่ีเรียกวา ปฏฐานนยั อนงึ่ องคป ระกอบแตล ะขอ ยอมมรี ายละเอียดและขอบเขตความหมายกวางขวางอยูในตัว เชน เรอ่ื ง วิญญาณหรอื จติ กแ็ ยกออกไปไดอีกวา วญิ ญาณหรือจติ ทด่ี ีหรอื ช่วั มคี ณุ สมบตั ิอยางไรบา ง มีกีร่ ะดับ จติ อยาง ใดจะเกิดได ณ ภพใด ดังน้เี ปนตน หรือในเรื่องรูป ก็มรี ายละเอยี ดอกี เปน อนั มาก เชน รปู มีก่ปี ระเภท แตละอยาง มคี ณุ สมบัติอยา งไร ในภาวะเชนใดจะมีรปู อะไรเกดิ ขึ้นบาง ดังนเ้ี ปน ตน
พุทธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 81 เรอื่ ง ปจจยั ๒๔ น้ันกด็ ี รายละเอยี ดโดยพิสดารขององคประกอบแตละขอ ๆ ก็ดี เห็นวา ยังไมจําเปนจะ ตองนํามาแสดงไวใ นท่ีนท้ี ง้ั หมด ผูส นใจพเิ ศษพึงศึกษาโดยเฉพาะจากคมั ภรี ฝายอภธิ รรม จากคําอธบิ ายขา งตน อาจแสดงเปนแผนภาพประกอบความเขาใจไดดังนี้ หมายเหตุ: เทยี บตามแนวอรยิ สัจ เรียกชว งเหตุวา “สมทุ ยั ” เพราะเปน ตัวการกอ ทุกข เรยี กชว งผลวา “ทกุ ข” อีกอยางหนงึ่ เรยี กชวงเหตวุ า “กรรมภพ” เพราะเปน กระบวนการฝายกอ เหตุ เรยี กชว งผลวา “อุปปตติ ภพ” เพราะเปน กระบวนการฝา ยเกิดผล - จุดเชือ่ มตอระหวาง เหตุ กบั ผล และ ผล กับ เหตุ เรยี กวา “สนธ”ิ มี ๓ คือ สนธิท่ี ๑=เหตผุ ลสนธิ สนธิท่ี ๒=ผลเหตุสนธิ สนธทิ ี่ ๓=เหตผุ ลสนธิ ๖. ความหมายในชีวติ ประจาํ วัน คาํ อธิบายท่ผี านมาแลวน้นั เรยี กวา คาํ อธบิ ายตามแบบ โดยความหมายวา เปน คาํ อธิบายที่มใี นคัมภีร อรรถกถาตา งๆ และนยิ มยดึ ถอื กนั สบื มา จะเห็นไดว า คําอธิบายแบบนน้ั มุงแสดงในแงส ังสารวฏั คอื การเวยี น วา ยตายเกดิ ขา มชาตขิ า มภพ ใหเหน็ ความตอเนอ่ื งกนั ของชีวิตในชาติ ๓ ชาติ คือ อดตี ปจ จบุ นั และอนาคต และไดจดั วางรูปคาํ อธบิ ายจนดเู ปน ระบบ มแี บบแผนแนนอนตายตวั ผไู มเห็นดว ย หรือไมพ อใจกบั คาํ อธบิ ายแบบนน้ั และตอ งการอธิบายตามความหมายทเี่ ปน ไปอยทู ุก ขณะในชวี ติ ประจาํ วนั นอกจากจะสามารถอา งคําอธบิ ายในคัมภรี อภิธรรม ทีแ่ สดงปฏจิ จสมปุ บาทตลอดสายใน ขณะจิตเดยี วแลว ยังสามารถตคี วามพุทธพจนข อเดยี วกันกบั ทฝ่ี า ยอธบิ ายตามแบบไดใ ชอางอิงนนั่ เอง ใหเหน็ ความหมายอยา งที่ตนเขา ใจ นอกจากน้นั ยังสามารถอา งเหตผุ ลและหลักฐานในคมั ภีรอ ยางอ่ืนๆ เปนเครื่องยนื ยนั ความเห็นฝา ยตนใหห นกั แนน ยง่ิ ขน้ึ ไปอีกไดดว ย คําอธิบายแบบน้ี มคี วามหมายท่ีนาสนใจพเิ ศษเฉพาะตัว มนั จึงแยกมาตั้งเปนอีกหัวขอหนึ่งตางหาก เหตผุ ลท่อี า งไดในการอธิบายแบบนมี้ หี ลายอยาง เชนวา การดับทุกข และอยูอยางไมม ที ุกขข องพระ อรหันต เปน เรอ่ื งที่เปนไปอยูตัง้ แตชีวติ ปจ จบุ ันนี้แลว ไมตอ งรอใหสิ้นชวี ิตเสียกอ นจึงจะไมมชี าตใิ หม ไมมชี รา มรณะแลวจงึ ไมมี โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกข โทมนัส อปุ ายาส ในอนาคตชาติ แตโ สกะ ปรเิ ทวะ ฯลฯ ไมม ตี งั้ แตชาติ ปจจุบนั นแ้ี ลว วงจรของปฏจิ จสมุปบาทในการเกดิ ทกุ ข หรือดับทกุ ขก็ดี จึงเปนเรื่องของชวี ิตท่เี ปน ไปอยใู น ปจจุบนั นเี้ องครบถวนบรบิ ูรณ ไมต องไปคนหาในชาติกอ น หรือรอไปดชู าตหิ นา นอกจากน้นั เมือ่ เขา ใจวงจรทีเ่ ปนไปอยใู นชีวิตปจจบุ นั ดีแลว กย็ อมเขาใจวงจรในอดตี และวงจรใน อนาคตไปดวย เพราะเปน เร่ืองอยางเดียวกนั น่นั เอง ในดานพุทธพจน ก็อาจอา งพุทธดาํ รสั ตอไปน้ี เชน ดูกรอทุ ายี ผใู ดระลกึ ขันธท ่เี คยอยมู ากอ นไดต า งๆ มากมาย… ผนู ้ัน จงึ ควรถามปญ หากะเราในเรอื่ งหน หลงั (ชาตกิ อน) หรอื เราจงึ ควรถามปญ หาในเร่อื งหนหลงั กะผูน ั้น ผูน ัน้ จึงจะทําใหเราถกู ใจไดด ว ยการแกป ญ หา ในเรอื่ งหนหลงั หรอื เราจึงจะทําใหผนู นั้ ถกู ใจไดด ว ยการแกปญ หาในเรอ่ื งหนหลงั
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 82 ผใู ดเห็นสตั วท ้ังหลาย ทงั้ ทจี่ ุติอยู ท้งั ทีอ่ บุ ตั อิ ยู ดวยทพิ ยจักษ.ุ ..ผูนน้ั จึงควรถามปญหากะเราในเร่อื งหน หนา (ชาติหนา ) หรอื วา เราจงึ ควรถามปญ หาในเรอื่ งหนหนา กะผนู ัน้ ผนู น้ั จงึ จะทาํ ใหเราถกู ใจไดดว ยการแก ปญหาในเรอ่ื งหนหนา หรือเราจงึ จะทําใหผนู นั้ ถกู ใจไดดวยการแกปญ หาในเร่ืองหนหนา ก็แล อทุ ายี เรื่องหนกอน ก็งดไวเ ถดิ เรื่องหนหนา ก็งดไวเ ถดิ เราจกั แสดงธรรมแกทาน “เม่ือสิง่ น้ีมี สงิ่ นี้ จงึ มี เพราะสิ่งนเี้ กิดข้นึ ส่ิงนีจ้ งึ เกิดเมือ่ ส่ิงนไ้ี มมี สิง่ นจ้ี งึ ไมม ี เพราะส่ิงนดี้ บั ส่งิ น้ีจงึ ดับ” นายบาน ช่อื คนั ธภกั นง่ั ลง ณ ทีส่ มควรแลว ไดกราบทลู พระผูม ีพระภาคเจา วา “ขาแตพระองคผ ูเ จริญ ขอพระผมู ีพระภาคเจาไดโปรดแสดงความอุทยั และความอัสดงแหง ทุกข แกข า พระองคด วยเถดิ ” พระผูม ีพระภาคเจาตรัสวา:- แนะทานนายบาน ถาเราแสดงความเกิดขน้ึ และความอัสดงแหง ทุกขแก ทา น โดยอา งกาลสวนอดตี วา “ในอดีตกาล ไดม ีแลว อยางน”้ี ความสงสยั เคลือบแคลงในขอน้ัน ก็จะมีแกทา น ได ถาเราแสดงความเกดิ ขึน้ และความอสั ดงแหงทุกขแ กท า น โดยอางกาลสวนอนาคตวา “ในอนาคตกาล จกั เปนอยางน้ี” ความสงสยั ความเคลือบแคลง กจ็ ะมีแกทานแมในขอนัน้ ไดอ กี กแ็ ล ทานนายบาน เราน่งั อยทู ี่น่ี แหละ จักแสดงความเกิดขึ้นและความอัสดงแหง ทกุ ขแกทาน ผนู ่ังอยู ณ ท่นี เ้ี หมอื นกนั ดกู รสวิ ก เวทนาบางอยางเกดิ ขึ้น มีดเี ปน สมุฏฐานกม็ .ี ..มีเสมหะเปน สมุฏฐานก็มี...มีลมเปน สมุฏฐานก็ มี...มกี ารประชุมแหงเหตเุ ปน สมุฏฐานกม็ ี...เกดิ จากความแปรปรวนแหง อุตกุ ็มี...เกิดจากบรหิ ารตนไมส มาํ่ เสมอ กม็ ี...เกดิ จากถกู ทาํ รา ยกม็ .ี ..เกิดจากผลกรรมกม็ ี ขอ ท่เี วทนา...เกิดขึน้ โดยมี (สิ่งท่ีกลา วมาแลว ) เปนสมฏุ ฐาน เปนเรอ่ื งทีร่ ูไดดว ยตนเอง ท้งั ชาวโลกกร็ กู นั ทั่ววา เปน ความจรงิ อยางน้ัน ในเรอ่ื งนัน้ สมณพราหมณเ หลาใด มีวาทะ มคี วามเห็นอยา งน้ีวา “บคุ คลไดเ สวยเวทนาอยา งใดอยา ง หน่งึ เปนสุขกต็ าม เปนทุกขกต็ ามเวทนาทั้งหมดน้นั เปน เพราะกรรมท่กี ระทาํ ไวใ นปางกอ น” สมณพราหมณ เหลา นั้น ชอ่ื วา แลนไปไกลลวงเลยสิ่งที่รกู นั ไดดว ยตนเอง แลนไปไกลลวงเลยส่งิ ท่ชี าวโลกเขารกู ันทว่ั วาเปน ความจริง ฉะนั้น เรากลาววาเปนความผดิ ของสมณพราหมณเ หลา นน้ั เอง ภกิ ษทุ ัง้ หลาย บุคคลจงใจ กาํ หนดจดจอ ครุนคดิ ถงึ สง่ิ ใด ส่ิงน้ันยอมเปน อารมณเ พื่อใหว ิญญาณดาํ รง อยู เม่ืออารมณมอี ยู วิญญาณกม็ ีทีอ่ าศยั เมื่อวิญญาณต้งั มนั่ แลว เมอ่ื วญิ ญาณเจรญิ ข้นึ แลว การบงั เกดิ ในภพ ใหมตอไปจึงมี เมอ่ื การบงั เกดิ ในภพใหมตอ ไปมอี ยู ชาติ ชรามรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข โทมนัส อุปายาส จึงมี ตอไป ความเกิดข้ึนแหง กองทุกขทง้ั สิ้นน้ี ยอมมีไดอ ยางนี้ ความหมายของปฏิจจสมุปบาทตามแนวน้ี แมจ ะตอ งทาํ ความเขา ใจเปน พเิ ศษ กไ็ มท ิ้งความหมายเดมิ ที่อธบิ ายตามแบบ ดังนั้น กอ นอา นความหมายท่จี ะกลาวตอ ไป จึงควรทําความเขา ใจความหมายตามแบบที่ กลาวมาแลว เสยี กอนดว ย เพื่อวางพืน้ ฐานความเขาใจและเพอื่ ประโยชนใ นการเปรยี บเทียบตอไป ก. ความหมายอยางงาย ๑. อวชิ ชา (ignorance, lack of knowledge) = ความไมรูไ มเห็นตามความเปนจรงิ ความไมรเู ทาทนั ตาม สภาวะ ความหลงไปตามสมมุตบิ ญั ญตั ิความไมเ ขา ใจโลกและชีวติ ตามทีเ่ ปนจริง ความไมรทู ่แี ฝงอยู
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 83 กับความเช่ือถอื ตางๆ ภาวะขาดปญญา ความไมห ยัง่ รูเหตุปจ จยั การไมใชปญญาหรือปญญาไม ทาํ งานในขณะนน้ั ๒. สังขาร (volitional activities) = ความคดิ ปรงุ แตง ความจงใจ มุงหมาย ตัดสินใจ และการทจ่ี ะแสดง เจตนาออกเปนการกระทํา กระบวนความคิดที่เปน ไปตามความโนม เอยี ง ความเคยชนิ และคุณสมบตั ิ ตา งๆ ของจติ ซึ่งไดส งั่ สมไว ๓. วญิ ญาณ (consciousness) = การรตู ออารมณต า งๆ คือ เหน็ ไดยนิ ไดก ลิน่ รรู ส รสู ัมผัสกาย รูต อ อารมณทม่ี ีในใจ ตลอดจนสภาพพนื้ เพของจิตใจในขณะนั้นๆ ๔. นามรปู (animated organism) = ความมีอยูของรปู ธรรมและนามธรรมในความรบั รูข องบคุ คล ภาวะที่ รางกายและจิตใจทุกสว นอยูในสภาพท่สี อดคลองและปฏบิ ัติหนา ทเ่ี พื่อตอบสนองในแนวทางของ วิญญาณท่เี กดิ ข้ึนนนั้ สวนตา งๆ ของรางกายและจิตใจทเี่ จริญหรือเปล่ยี นแปลงไปตามสภาพจติ ๕. สฬายตนะ (the six sense-bases) = ภาวะทีอ่ ายตนะท่เี กย่ี วขอ งปฏบิ ัติหนาท่โี ดยสอดคลอ งกบั สถาน การณนัน้ ๆ ๖. ผัสสะ (contact) = การเชื่อมตอความรูก บั โลกภายนอก การรับรอู ารมณ หรือประสบการณตา งๆ ๗. เวทนา (feeling) = ความรสู กึ สุขสบาย ถกู ใจ หรือทุกข ไมส บาย หรอื เฉยๆ ไมสขุ ไมท ุกข ๘. ตณั หา (craving) = ความอยาก ทะยานรา นรนหาสิ่งอาํ นวยสุขเวทนา หลกี หนสี ิ่งที่กอทกุ ขเวทนา แยก โดยอาการเปน อยากได อยากเอา อยากเปน อยากคงอยูในภาวะนนั้ ๆ ย่ังยนื ตลอดไป อยากเลีย่ งพน อยากใหด บั สญู หรอื อยากทาํ ลาย ๙. อุปาทาน (attachment, clinging) = ความยดึ ติดถือมัน่ ในเวทนาทีช่ อบหรอื ชัง รวบรง้ั เอาส่งิ ตา งๆ และ ภาวะชีวติ ท่ีอาํ นวยเวทนานนั้ เขามาผกู พันกับตัว, การเทิดคาถอื ความสําคญั ของภาวะและสงิ่ ตางๆ ใน แนวทางที่เสรมิ หรอื สนองตณั หาของตน ๑๐. ภพ (process of becoming) = กระบวนพฤตกิ รรมท้ังหมดท่ีแสดงออกเพ่ือสนองตัณหาอุปาทานนน้ั (กรรมภพ-the active process) และ ภาวะแหง ชวี ิตสาํ หรับตวั ตน หรอื ตัวตนทจี่ ะมจี ะเปนในรปู ใดรูป หน่งึ (อุปปตติภพ-the passsive process) โดยสอดคลองกบั อปุ าทานและกระบวน พฤตกิ รรมนนั้ ๑๑. ชาติ (birth) = การเกิดความตระหนักในตัวตนวา อยหู รือไมไดอยูในภาวะชีวติ นน้ั ๆ มีหรอื ไมไ ดมี เปน หรอื ไมไ ดเ ปน อยา งน้นั ๆ ๑๒. ชรามรณะ (decay and death) = ความสํานกึ ในความขาด พลาด หรอื พรากแหง ตวั ตน จากภาวะ ชีวติ อันนั้น ความรสู กึ วาตัวตนถูกคกุ คามดวยความสญู สิน้ สลาย หรือพลัดพรากจากภาวะชวี ิตนน้ั ๆ หรือจากการไดม ี ไดเปน อยางน้นั ๆ จึงเกดิ โสกะ ปรเิ ทวะ ทุกข โทมนัส อปุ ายาส พวงมาดวย คอื รสู ึก คับแคน ขัดขอ ง ขนุ มัว แหง ใจ หดหู ซึมเซา หวาด กงั วลไมสมหวัง กระวนกระวาย และทุกขเวทนา ตา งๆ
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 84 ข. ตัวอยางแสดงความสัมพนั ธอยางงาย ๑. อวชิ ชา-สงั ขาร: เพราะไมร ตู ามเปน จรงิ ไมเขาใจชดั เจน จงึ คิดปรงุ แตง เดา คิดวาดภาพไปตา งๆเหมือน คนอยใู นความมืด เห็นแสงสะทอ นนัยนต าสตั ว มคี วามเชอ่ื เรอื่ งผอี ยแู ลว เลยคดิ เห็นเปน รูปหนาหรือตัว ผขี ้นึ มาจรงิ ๆ และเหน็ เปนอาการตางๆ เกดิ ความกลัว คดิ กระทําการอยางใดอยางหนง่ึ เชน วิ่งหนีหรือ เหมือนคนไมเห็นของทายท่อี ยูใ นกาํ มือ จึงคิดหาเหตผุ ลมาทายเดา และถกเถยี งตางๆ ฯลฯ ย้ิมใหเขา เขาไมยม้ิ ตอบ ไมไ ดสอบสวนหรอื พจิ ารณาวา เขาอาจไมทนั มอง เขาสายตาส้นั มองไมเหน็ หรือเขามี อารมณค าง เปนตน จงึ โกรธ นอยใจ คดิ ฟงุ ซา นไปตางๆ หรือเหน็ เขายิ้ม ไมร ยู ้มิ อะไร ตัวมีปมในใจ คดิ วาดภาพไปวาเขาเยาะและผูกอาฆาตคนทเ่ี ช่ือวา เทวดาชอบใจจะบนั ดาลอะไรใหไ ด กค็ ดิ ปรงุ แตง คํา ออ นวอน พธิ ีบวงสรวงสงั เวยตา งๆขึ้น กระทําการเซน สรวงออ นวอนตางๆ ๒. สังขาร-วิญญาณ: เม่อื มเี จตนา คือตง้ั ใจมงุ หมาย ตกลงจะเก่ียวของ วิญญาณทีเ่ หน็ ไดยนิ เปนตน จึง จะเกดิ ข้นึ แตถ าไมจํานง ไมใ สใ จ ถึงจะอยูในวสิ ัยท่ีจะรับรไู ด วิญญาณกไ็ มเกิดข้ึน (= ไมเหน็ ไมไ ดยิน ฯลฯ) เหมือนคนกําลงั คิดมุงหรือทํางานอะไรอยา งจดจองสนใจอยอู ยา งหนึง่ เชน อานหนังสอื อยา ง เพลดิ เพลิน จิตรบั รเู ฉพาะเรื่องทอี่ าน มีเสยี งดังควรไดย นิ ก็ไมไดย นิ ยงุ กดั กไ็ มร ตู ัว เปน ตน กําลังมงุ คน หาของอยา งใดอยา งหน่งึ มองไมเ หน็ คนหรือของอน่ื ทผี่ า นมาในวิสัยที่จะพึงเห็นมองของส่งิ เดยี วกนั คนละครัง้ ดวยเจตนาคนละอยาง เหน็ ไปตามแงของเจตนานน้ั เชน มองไปทพ่ี น้ื ดินวางแหง หนง่ึ ดว ย ความคดิ ของเดก็ ทจี่ ะเลน ไดค วามรับรแู ละความหมายอยางหนึง่ มองไปอีกครงั้ ดวยความคดิ จะปลูก สรางบา น ไดความรับรูแ ละความหมายไปอกี อยางหนึ่ง มองไปอีกครงั้ ดว ยความคดิ ของเกษตรกร ได ความรบั รูและความหมายอยางหนง่ึ มองดวยความคิดของอุตสาหกร ไดค วามรบั รแู ละความหมายอีก อยา งหนงึ่ มองของส่งิ เดยี วกันคนละครัง้ ดวยความคดิ นกึ คนละอยา ง เกิดความรบั รูคนละแงละดา น เมอ่ื คิดนึกในเรอ่ื งท่ดี งี าม จิตกร็ บั รูอารมณท ีด่ ีงาม และรบั รูความหมายในแงท ดี่ ีงามของอารมณน น้ั เมอ่ื คิดนกึ ในทางท่ีชว่ั รา ย จิตกร็ บั รูอารมณสว นทชี่ ัว่ รา ย และรับรูความหมายในแงท ่ชี วั่ รายของอารมณน ้นั โดยสอดคลอ งกนั เชน ในกลมุ ของหลายอยา งทว่ี างอยูใกลก ัน และอยูในวสิ ัยของการเหน็ ครง้ั เดียวทง้ั หมด มมี ดี กบั ดอกไม อยูดวย คนท่รี กั ดอกไม มองเขา ไป จิตอาจรบั รูเ ห็นแตดอกไมอ ยางเดียว และการรบั รูจ ะเกิดซํา้ อยทู ด่ี อก ไมอยา งเดียว จนไมไ ดส งั เกตเหน็ ของอืน่ ทีว่ างอยใู กล ย่งิ ความสนใจชอบใจ ตดิ ใจในดอกไมม มี ากเทา ใด การรับรตู อ ดอกไมก ย็ ่ิงถ่ขี ้ึน และการรบั รตู อ ส่ิงของอ่นื ๆ ก็นอยลงไปเทานนั้ สว นคนทก่ี ําลงั จะใช อาวุธมองเขา ไป จติ ก็จะรบั รูแตม ีดเชนเดียวกนั และแมใ นกรณเี หน็ มดี เปน อารมณดว ยกัน สาํ หรับคน หนง่ึ อาจรบั รูม ดี ในฐานะอาวธุ สําหรบั ประหารผอู ่นื อกี คนหน่ึงอาจรบั รใู นแงส่ิงทจี่ ะใชประโยชนใ นครวั อีกคนหนึง่ อาจรับรใู นฐานะเปน ชิ้นโลหะช้นิ หน่ึง สุดแตผนู ัน้ เปนโจร เปนคนครัว เปน คนรับซ้อื โลหะเกา และอยใู นภาวะแหง ความคดิ นึกเจตจาํ นงอยางใด ฯลฯ
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 85 ๓. วญิ ญาณ-นามรูป : วญิ ญาณกับนามรูป อาศัยซ่ึงกันและกนั อยา งท่ีพระสารบี ุตรกลา ววา “ไมออ ๒ กํา ตั้งอยไู ดเพราะตางอาศัยซงึ่ กันและกันฉันใด เพราะนามรูปเปน ปจจัย จงึ มวี ญิ ญาณ เพราะวญิ ญาณ เปน ปจ จยั จงึ มนี ามรูป ฯลฯ ฉันนัน้ ไมออ ๒ กาํ นนั้ ถา เอาออกเสยี กาํ หน่งึ อกี กาํ หนง่ึ ยอมลม ถาดงึ อีก กําหน่งึ ออก อีกกาํ หนึง่ กล็ ม ฉนั ใด เพราะนามรปู ดบั วญิ ญาณก็ดับ เพราะวิญญาณดับ นามรปู ก็ดบั ฯลฯ ฉนั นนั้ ” โดยนยั น้ี เม่ือวิญญาณเกิดมี นามรปู จงึ เกดิ มไี ด และตองเกดิ มีดวย ในกรณีทีส่ ังขารเปน ปจจัยให เกดิ วญิ ญาณน้ัน กเ็ ปน ปจ จยั ใหเกิดนามรปู พรอมกนั ไปดวย แตเ พราะนามรูปจะมไี ดต องอาศยั วิญญาณ ในฐานะท่เี ปน คุณสมบัติเปน ตนของวญิ ญาณ จึงกลา ววาสงั ขารเปน ปจจยั ใหเ กดิ วิญญาณ วิญญาณเปน ปจ จยั ใหเกดิ นามรปู ในทีน่ ีอ้ าจแยกภาวะท่วี ิญญาณเปนปจ จัยใหเกดิ นามรปู ไดดงั นี้ ๑) ท่วี า จิตรับรูตออารมณอ ยางใดอยา งหนึง่ เชน เห็นของส่งิ หนงึ่ ไดย นิ เสียงอยางหนึ่งเปนตน นน้ั แทจ รงิ กค็ ือรบั รตู อ นามรูป (ในที่นหี้ มายถงึ รูปขนั ธ เวทนาขันธ สัญญาขันธ และสังขารขนั ธ) ตางๆ นัน่ เอง ส่ิงท่ีมีสําหรบั บคุ คลผูใดผหู นึง่ ก็คอื สิง่ ที่มอี ยูใ นความรบั รขู องเขาในขณะน้นั ๆ หรือนามรปู ทีถ่ ูก วญิ ญาณรบั รใู นขณะน้ันๆ เทานัน้ เชน ดอกกุหลาบทีม่ ีอยู ก็คือดอกกหุ ลาบทีก่ ําลังถกู รับรทู างจักษุ ประสาท หรอื ทางมโนทวารในขณะนนั้ ๆ เทาน้นั นอกจากน้ี ดอกกุหลาบ ท่มี อี ยู และท่เี ปน ดอกกุหลาบ อยา งน้ันๆ กม็ ไิ ดมอี ยตู างหากจากบัญญัติ (concept) ในมโนทวาร และมไิ ดผดิ แปลกไปจากเวทนา สญั ญา และสงั ขารของผูนน้ั ที่มอี ยใู นขณะนั้นๆ เลย โดยนยั น้ี เมอ่ื วญิ ญาณมี นามรูปจงึ มีอยพู รอมกัน น่ันเอง และมอี ยูอ ยา งอิงอาศยั คํา้ จนุ ซ่ึงกันและกัน ๒) นามรูปท่ีเนอ่ื งอาศยั วิญญาณ ยอมมีคุณภาพสอดคลองกับวญิ ญาณนัน้ ดว ย โดยเฉพาะนาม ท้งั หลายกค็ อื คณุ สมบัติของจติ นั่นเอง เม่อื ความคิดปรุงแตง (สงั ขาร) ดงี าม ก็เปน ปจ จยั ใหเ กดิ วญิ ญาณซึ่งรับรูอ ารมณท ่ีดงี ามและในแงท ่ีดีงาม ในขณะน้ัน จิตใจกป็ ลอดโปรง ผองใสไปตาม อากัปกริ ิยาหรอื พฤตกิ รรมตางๆ ทางดา นรา งกาย กแ็ สดงออกหรือปรากฏรปู ลักษณะในทางทดี่ ีงาม สอดคลองกนั เมอื่ คิดนึกในทางท่ีชัว่ ก็เกิดความรบั รูอารมณใ นสวนและในแงที่ช่วั รา ย จติ ใจกม็ ีสภาพ ขุนมวั หมนหมอง อากัปกริ ิยาหรอื พฤตกิ รรมตางๆ ทางรา งกาย ก็แสดงออกหรอื ปรากฏรปู ลกั ษณะเปน ความเครยี ดกระดา งหมน หมองไปตาม ในสภาพเชน นี้ องคประกอบตางๆ ทั้งในทางจิตใจ และรางกาย อยูในภาวะทีพ่ รอ ม หรอื อยใู นอาการทก่ี าํ ลงั ปฏบิ ตั ิหนา ทีโ่ ดยสอดคลอ งกับสงั ขารและวญิ ญาณทเ่ี กดิ ข้ึนเม่ือรูสึกรักใครม ีไมตรี (สังขาร) กเ็ กดิ ความรบั รอู ารมณสวนท่ีดีงาม (วญิ ญาณ) จติ ใจก็แชม ช่นื เบกิ บาน (นาม) สีหนากส็ ดชน่ื ย้ิมแยมแจม ใส ตลอดจนกริ ยิ าอาการตางๆกก็ ลมกลนื กนั (รปู ) อยใู นภาวะท่ี พรอมจะแสดงออกในทางทด่ี ีงามตอไป เมื่อโกรธเคอื ง กเ็ กดิ ความรับรอู ารมณแตส วนท่ีเลว จิตใจก็ขุนมวั ขดั ขอ ง สหี นา กริ ยิ าอาการกบ็ งึ้ บดู เครง เครยี ด อยใู นภาวะทพี่ รอ มจะแสดงอาการและกระทําการตา งๆ ในแนวทางน้ันตอไป
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 86 นักกีฬาทอี่ ยใู นสนาม เม่ือการแขงขนั เริ่มขึน้ ความนกึ คิด เจตจํานงตางๆ จะพงุ ไปในกีฬาทแ่ี ขงขันอยู นัน้ ความรับรตู า งๆ กเ็ กดิ ดบั อยใู นเรื่องนนั้ ดว ยอตั ราความถี่มากนอ ยตามกาํ ลังของเจตจาํ นงความสน ใจทพี่ งุ ไปในกฬี านั้น จติ ใจและรางกายทกุ สวนท่เี กีย่ วขอ งกอ็ ยูในภาวะพรอ มท่จี ะปฏิบัตหิ นา ท่ีแสดง พฤติกรรมออกมาโดยสอดคลอ งกัน ความเปนไปในชวงน้ี เปน ขั้นตอนสาํ คัญสว นหนง่ึ ในกระบวนการ แหงกรรมและการใหผ ลของกรรม วงจรแหง วัฏฏะหมนุ มาครบรอบเล็ก (อวชิ ชา:กเิ ลส - สงั ขาร:กรรม - วญิ ญาณ+นามรปู :วิบาก) และกาํ ลังจะเริม่ ตงั้ ตน หมนุ ตอไป นับวาเปน ข้ันตอนสาํ คัญสว นหนึง่ ในการ สรางนิสยั ความเคยชนิ ความรู ความชํานาญ และบคุ ลกิ ภาพ ๔. นามรูป-สฬายตนะ: การท่ีนามรปู จะปฏบิ ตั ิหนาที่ตอ ๆ ไป ตองอาศัยความรูตอโลกภายนอก หรือดึง ความรทู ี่สะสมไวแ ตเดิมมาเปน เคร่ืองประกอบการตดั สินหรือเลือกวา จะดําเนินพฤตกิ รรมใดตอ ไป ใน ทิศทางใด ดงั น้นั นามรูปสว นทีม่ ีหนาที่เปน ส่อื หรอื ชอ งทางตดิ ตอ รับรูอารมณต างๆ คอื อายตนะท่ีเกย่ี ว ขอ งในกรณนี นั้ ๆ จงึ อยูใ นสภาพตนื่ ตัวและปฏิบตั ิหนาท่ีสมั พนั ธสอดคลองกบั ปจ จัยขอ กอ นๆ ตาม ลาํ ดบั มา เชน ในกรณีของนกั ฟตุ บอลในสนาม อายตนะท่ีทําหนา ที่รับรอู ารมณอ ันเกย่ี วกบั กฬี าทเี่ ลน อยู นน้ั เชน ประสาทตา ประสาทหู เปนตน กจ็ ะอยใู นสภาพต่นื ตวั ทีจ่ ะรบั รูอารมณท ่เี กย่ี วของกบั กีฬาทเี่ ลน ดว ยความไวเปนพิเศษ ในขณะเดียวกัน อายตนะทไ่ี มเ ก่ยี วกบั การรับรูอารมณทมี่ ุงหมายน้นั กจ็ ะไมอยู ในสภาพตน่ื ตัวท่จี ะใหเ กดิ การรบั รูอารมณ พูดงา ยๆ วา ผอ นการปฏบิ ตั ิหนา ที่ลงไปตามสวน เชน ความ รสู ึกกลนิ่ และความรูสกึ รสอาจไมเ กิดข้นึ เลย ในขณะที่กําลงั เลน อยางกระชั้นชิดติดพนั เปนตน ๕. สฬายตนะ-ผสั สะ: เมือ่ อายตนะปฏิบตั ิหนาท่ี การรบั รกู เ็ กิดขน้ึ โดยมีองคประกอบ ๓ อยางเขา บรรจบ กัน คอื อายตนะภายใน (ตา หู จมูก ล้นิ กาย มโน อยา งใดอยางหนึ่ง) กับอารมณภ ายนอก (รูป เสยี ง กล่นิ รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ อยา งใดอยางหนงึ่ ) และวญิ ญาณ (ทางจกั ขุ โสตะ ฆานะ ชวิ หา กาย มโน อยางใดอยางหนึ่ง) การรับรกู ็เกิดข้ึนโดยสอดคลอ งกบั อายตนะน้ันๆ ๖. ผสั สะ-เวทนา: เมื่อผสั สะเกดิ ขน้ึ แลว ก็จะตอ งมีความรูสกึ เก่ยี วดวยสุขทุกขเ กิดขน้ึ อยา งใดอยา งหนงึ่ ใน ๓ อยาง คือ สบาย ช่นื ใจ เปน สุข (สุขเวทนา) หรอื ไมก ็ บีบค้ัน ไมสบาย เจบ็ ปวด เปนทุกข (ทุกขเวทนา) หรือไมก ็เฉยๆ เรือ่ ยๆ ไมส ุขไมท กุ ข (อุเบกขา หรอื อทกุ ขมสขุ เวทนา) ปฏจิ จสมุปบาทตัง้ แตห ัวขอ ท่ี ๓ ถึง ๗ คือ วญิ ญาณ-ถึง-เวทนา นี้ เปนกระบวนการในชวงวบิ าก คอื ผลของกรรม โดยเฉพาะขอ ๕-๖-๗ ไมเปนบญุ เปน บาป ไมดไี มชว่ั โดยตัวของมนั เอง แตจ ะเปนเหตุแหง ความดีความชวั่ ไดตอ ไป ๗. เวทนา-ตัณหา : เมอ่ื ไดรับสุขเวทนา กพ็ อใจ ชอบใจ ติดใจอยากได และอยากไดย ่งิ ๆ ขึน้ ไป เม่อื ไดร ับ ทกุ ขเวทนา กข็ ัดใจ อยากใหส ิง่ นนั้ สญู สิ้นพนิ าศไปเสยี อยากใหตนพน ไปจากทกุ ขเวทนานัน้ และอยาก ได แส ด้นิ รนไปหาสง่ิ อนื่ ทจี่ ะใหส ขุ เวทนาตอไป เมือ่ ไดรบั อเุ บกขาเวทนา คอื รูส กึ เฉยๆ กช็ วนใหเกิด อาการซมึ ๆ เพลิน อยางมโี มหะ และเปน สุขเวทนาอยางออนๆ ทีท่ าํ ใหติดใจได และเปน เช้ือใหขยายตัว ออกเปน ความอยากไดส ขุ เวทนาตอไปตณั หา น้ัน เมอ่ื แยกใหช ัดโดยอาการ ก็มี ๓ อยา ง คอื
พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 87 ๑) กามตณั หา (craving for sense-pleasure) ความอยากไดสง่ิ สาํ หรบั สนองความตอ งการทางประสาททั้ง ๕ ๒) ภวตัณหา (craving for self-existence) ความอยากไดส่ิงตางๆ โดย สมั พนั ธก ับภาวะชวี ิตอยางใดอยา งหนึง่ หรอื ความอยากในภาวะชีวติ ท่ีจะอํานวยสง่ิ ทปี่ รารถนานัน้ ๆ ได ในความหมายที่ลกึ ลงไป คอื ความอยากในความมอี ยูข องตวั ตนที่จะไดจะเปน อยา งใดอยา งหนึง่ ๓) วิภวตณั หา (craving for non-existence or self-annihilation) ความอยากใหตัวตนพนไป ขาดหาย พรากหรือสญู สิ้นไปเสียจากส่งิ หรือภาวะชีวิตท่ีไมป รารถนานนั้ ๆ ตณั หาชนดิ น้ี แสดงออกในรปู ท่ี หยาบ เชน ความรูส กึ เบื่อหนาย ความเหงา วา เหว ความเบ่ือตวั เอง ความชังตัวเอง ความสมเพชตนเอง เปน ตน ตัณหาจงึ แสดงออกในรปู ตางๆ เปนความอยากไดก ามคณุ ตา งๆ บางอยากไดภาวะแหงชวี ิตบางอยา ง เชนความเปนเศรษฐี ความเปน ผูมเี กียรติ ความเปน เทวดา เปน ตน ซึ่งจะอาํ นวยสง่ิ ทป่ี รารถนาใหบ างอยากพน ไปจากภาวะท่ไี มปรารถนา เบือ่ หนา ย หมดอาลัยตายอยาก ตลอดจนถึงอยากตายบาง หรอื ในกรณที ่ีแสดงออก ภายนอก เมอื่ ถกู ขัดหรือฝน ความปรารถนา ก็เปน เหตใุ หเกดิ ปฏิฆะ ความขดั ใจ ขดั เคอื ง โทสะ ความคดิ ประทุษ ราย ความคิดทาํ ลายผูอืน่ สิ่งอ่นื เปนตน ๘. ตัณหา-อุปาทาน : เม่ืออยากไดส ่ิงใด กย็ ดึ มัน่ เกาะตดิ เหนยี วแนน ผูกมดั ตวั ตนติดกับส่งิ น้ัน ยิ่งอยากได มากเทาใดกย็ ่ิงยดึ ม่ันแรงขึน้ เทานั้น ในกรณที ่ีประสบทุกขเวทนา อยากพนไปจากส่งิ นน้ั กม็ ีความยดึ มนั่ ในแง ชงิ ชงั ตอสิ่งนน้ั อยางรุนแรง พรอมกบั ท่ีมีความยึดมน่ั ในส่ิงอ่ืนท่ตี นจะดนิ้ รนไปหารุนแรงขน้ึ ในอตั ราเทาๆ กนั จึง เกดิ ความยึดมน่ั ในส่ิงสนองความตองการตา งๆ ยึดมัน่ ในภาวะชวี ิตที่จะอํานวยส่งิ ทปี่ รารถนา ยดึ มัน่ ในตัวตนท่ี จะไดจ ะเปนอยางนัน้ อยา งนี้ ยึดมัน่ ในความเห็น ความเขาใจ ทฤษฎแี ละหลักการอยา งใดอยา งหนึ่งทสี่ นอง ตัณหาของตน ตลอดจนยึดมั่นในแบบแผน วธิ ีการตางๆ ทสี่ นองความตอ งการของตัวตน ๙. อุปาทาน-ภพ : ความยึดมั่นยอ มเกย่ี วของไปถึงภาวะชีวติ อยางใดอยา งหน่ึง ความยดึ มนั่ นัน้ แสดงถงึ ความสัมพันธร ะหวา งสง่ิ สองสง่ิ คอื เปนการนําเอาตัวตนไปผกู มดั ไว หรือทาํ ใหเ ปน อันเดียวกันกบั ภาวะชวี ติ อยา งใดอยางหน่ึง ซ่งึ อาจเปนภาวะชวี ติ ท่จี ะอาํ นวยส่งิ ทป่ี รารถนา หรอื เปนภาวะชีวติ ทช่ี วยใหพ น ไปจากสง่ิ ทไ่ี ม ปรารถนา ในเวลาเดยี วกัน เม่ือมีภาวะชวี ิตทตี่ อ งการ ก็ยอมมีภาวะชีวติ ท่ไี มต อ งการอยูดวยพรอ มกนั ภาวะชวี ติ ทถ่ี ูกยึดเกีย่ วเกาะไวนี้ เรยี กวา อุปปตตภิ พเมื่อยดึ ม่ันในภาวะชวี ติ นั้น จึงคดิ มุงหมายหรือมเี จตจํานงเพอ่ื เปน อยางน้ันๆ หรือเพื่อหลีกเลย่ี งความเปนอยา งน้นั ๆ แลว ลงมอื กระทาํ การตา งๆ เรม่ิ แตค ดิ สรา งสรรคปรุงแตง แสวง วิธกี ารตางๆ และดําเนนิ การตามจุดมงุ หมาย แตค วามคดิ และการกระทาํ ทงั้ หมดนน้ั ยอ มถกู ผลกั ดนั ใหด าํ เนนิ ไป ในทศิ ทาง และในรูปแบบท่ีอุปาทานกาํ หนด คอื เปน ไปตามอาํ นาจของความเชอื่ ถอื ความคดิ เห็น ความเขา ใจ
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 88 ทฤษฎี วิธีการ ความพอใจ ชอบใจอยา งใดอยา งหน่งึ ทต่ี นยึดถอื ไว จึงแสดงออกซงึ่ พฤตกิ รรมและกระทําการ ตางๆ โดยสอดคลอ งกบั อุปาทานนัน้ ตวั อยางในชั้นหยาบ เชน อยากเกิดเปนเทวดา จึงยึดถือในลัทธิคาํ สอน ประเพณี พธิ ีกรรม หรอื แบบ แผนความประพฤตอิ ยางใดอยา งหนึง่ ทีเ่ ชอื่ วาจะใหไปเกิดไดอ ยา งนั้น จงึ คดิ มุง หมาย กระทาํ การตางๆ ไปตาม ความเชื่อนนั้ จนถึงวา ถา ความยดึ มั่นรนุ แรง กท็ าํ ใหมรี ะบบพฤติกรรม ท่เี ปนลักษณะพิเศษจาํ เพาะตวั เกิดข้ึน แบบใดแบบหน่ึง หรือตวั อยางใกลเขา มา เชน อยากเปน คนมเี กยี รติ ก็ยอมยึดม่นั เอาคณุ คาอยางใดอยางหน่งึ วา เปน ความมเี กียรติ ยดึ มนั่ ในแบบแผนความประพฤติท่สี อดคลองกบั คณุ คา นนั้ ยดึ มนั่ ในตัวตนทจ่ี ะมีเกียรติ อยา งน้นั ๆ เจตจาํ นง และการกระทาํ กม็ ุงไปในทิศทางและรปู แบบทีย่ ดึ ไวน ัน้ พฤติกรรมตา งๆ ทีแ่ สดงออกกม็ รี ปู ลกั ษณะสอดคลอ งกนั อยากไดข องมคี าของผูอ ืน่ จงึ ยึดมั่นในภาวะทต่ี นจะเปนเจา ของสิ่งของนน้ั จงึ ยึดม่นั ในความเคยชนิ หรือวธิ กี ารท่ีจะใหไ ดสิ่งของนน้ั มา ไมรูโทษและความบกพรอ งของวิธกี ารทผี่ ดิ จึงคิดนกึ มงุ หมาย และกระทาํ การตามความเคยชนิ หรอื วิธกี ารท่ียดึ ไว กลายเปนการลักขโมย หรือการทุจริตข้ึน ความเปนเจา ของท่ียดึ ไวเดิม กลายเปนความเปน โจรไป โดยนยั นี้ เพอื่ ผลท่ีปรารถนา มนุษยจึงทาํ กรรมชว่ั เปนบาป เปน อกศุ ลบาง ทาํ กรรมดี เปน บุญ เปน กศุ ลบาง ตามอํานาจความเช่อื ถือความยึดม่ันทีผ่ ดิ พลาดหรอื ถูกตองในกรณนี ้นั ๆ กระบวนพฤตกิ รรมท่ีดําเนนิ ไปในทศิ ทางแหง แรงผลักดนั ของอปุ าทานน้ัน และปรากฏรปู ลักษณะ อาการสอดคลองกบั อุปาทานน้ัน เปนกรรมภพ ภาวะแหงชวี ิตทีส่ บื เนอ่ื งมาจากกระบวนพฤตกิ รรมน้นั เชน ความเปนเทวดา ความเปน คนมเี กียรติ ความเปน เจา ของ และความเปนโจร เปนตน เปนอุปปตติภพ อาจเปน ภพ (ภาวะแหงชีวิต) ที่ตรงกบั ความตอ งการ หรอื ภพทไ่ี มต อ งการกไ็ ดป ฏจิ จสมปุ บาทชวงนี้ เปน ข้ันตอนสาํ คญั ในการทํากรรมและรับผลของกรรม การกอนสิ ยั และการสรางบคุ ลกิ ภาพ ๑๐. ภพ-ชาติ: ชีวิตทเ่ี ปนไปในภาวะตางๆ ทงั้ หมดน้ัน วาตามความหมายทีแ่ ท กค็ อื ขันธ ๕ ทีเ่ กดิ -ดับ เปลย่ี นแปลงไป โดยมีคุณสมบัตทิ สี่ ะสมเพม่ิ -ลดในดา นตางๆ ตามเหตปุ จจัยทั้งภายในและภายนอก ซงึ่ มเี จตจาํ นงคือเจตนาเปน ตวั นาํ ทําใหก ระแสโดยรวมหรือกระบวนธรรมนน้ั ๆ มีลักษณะอาการอยา ง ใดอยางหน่ึงขนั ธ ๕ ทร่ี วมเปนชีวติ นน้ั เกดิ ดบั เปลีย่ นแปลงอยูทุกขณะตลอดเวลาเมอ่ื กลา วถงึ ความจรงิ นนั้ ดวยภาษาตามสมมติ จึงพูดวา คนเรานีเ้ กดิ -แก-ตายอยทู ุกขณะ อยา งทอี่ รรถกถาแหงหนึง่ กลา ววา โดยปรมัตถ เม่อื ขนั ธทัง้ หลาย เกิดอยู แกอยู ตายอยู การทพ่ี ระผูมีพระภาคตรสั วา “ดูกอ นภิกษุ เธอ เกดิ แก และตายอยู ทุกขณะ” ดงั น้ี ก็พึงทราบวา เปนอนั ไดทรงแสดงใหเ ห็นแลว วาในสตั วท ้ังหลายน้นั การเลง็ ถึงขันธเ สรจ็ อยูแลวในตัว” อยา งไรกต็ าม สาํ หรับปุถชุ น ยอมมใิ ชมีเพยี งการเกดิ -ดบั ของขันธ ๕ ตามธรรมดาของธรรมชาตเิ ทา นัน้ แตเ มือ่ มภี พขน้ึ ตามอปุ าทานแลว กเ็ กดิ มตี วั ตนซึง่ สํานึกตระหนักขนึ้ มาวา “เรา” ไดเ ปน นน่ั เปน น่ี อยู ในภาวะชวี ติ อนั น้ันอันน้ี ซึ่งตรงกบั ความตองการ หรอื ไมตรงกบั ความตองการ พุดสน้ั ๆ วา ตวั ตนเกดิ ขนึ้
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 89 ในภพนั้น จงึ มีตวั เราที่เปน เจา ของ ตวั เราที่เปน โจร ตวั เราที่เปนคนไมมีเกยี รติ ตัวเราท่ีเปน ผชู นะ ตัวเรา ที่เปนผแู พ ฯลฯ ในชีวิตประจําวันของปถุ ชุ น การเกิดของตวั ตนจะเห็นไดเ ดนชดั ในกรณีความขัดแยง เชน การถกเถยี ง แมในการเถียงหาเหตผุ ล ถา ใชกเิ ลส ไมใ ชป ญญา กจ็ ะเกดิ ตวั ตนท่เี ปนน่นั เปนน่ขี นึ้ มาชดั วา เราเปนนาย เราเปน ผูมีเกียรติ (พรอ มกบั เขาเปน ลกู นอ ง เขาเปน คนชั้นตํา่ )น่เี ปน ความเห็นของเรา เราถูกขัดแยง ทําใหค วามเปนนน่ั เปน นี่ดอยลงพรอ งลง หรือจะสญู สลายไปชาติจงึ ยิง่ ชดั เมอื่ ปรากฏชรามรณะ แตเพราะมชี าติจึงมีชรามรณะได ๑๑. ชาต-ิ ชรามรณะ : เมือ่ มีตวั ตนท่ไี ดเปน อยา งน้นั อยางน้ี กย็ อมมตี วั ตนทไี่ มไดเปนอยา งนน้ั อยางนี้ ตัวตน ท่ีขาด พลาด หรือพรากจากความเปนอยา งนน้ั อยา งน้ี ตวั ตนท่ีถกู คุกคามดวยความขาด พลาด หรือพรากไป จากความเปน อยางน้ันอยางนี้ และตวั ตนทถ่ี ูกกระทบกระท่งั ถูกขดั ขวาง ขดั แยง ใหก ระแสความเปนอยางนนั้ ๆ สะดดุ หว่นั ไหว สะเทอื น ลด ดอ ยลง พรอ งลง เสอ่ื มลงไป ไมสมบรู ณเตม็ เปยมอยางที่อยากใหเปนและอยางที่ ยึดถืออยู เมื่อตวั ตนเกิดมีขึ้นแลว กอ็ ยากจะดาํ รงอยูตลอดไป อยากจะเปน อยางน้นั อยางนีอ้ ยางทต่ี อ งการ หรือ อยากใหภาวะแหง ชวี ิตนน้ั อยูก ับตัวตนตลอดไป แตเม่อื ตวั ตนเกิดมีขึ้นได พองโตใหญข้ึนได ตัวตนก็ยอมเสื่อม สลายได แมเมื่อยังไมส ูญสลาย ก็ถูกคุกคามดว ยความพรอ ง ความดอย และความสญู สลายทจ่ี ะมมี า จงึ เกดิ ความหวาดกลวั ตอความถกู หวั่นไหว กระทบกระแทก และความสูญสลาย และทําใหเกดิ ความยดึ ม่ันผูกพันตวั ตนไวก ับภาวะชวี ติ นั้นใหเ หนยี วแนนย่งิ ขึน้ ความกลัวตอความสญู สลายแหง ตวั ตนน้ี เกิดสืบเน่ืองมาจากความรูสึกถูกคกุ คามและหวาดกลวั ตอ ความตายของชวี ติ นีน้ ่นั เอง ซง่ึ แฝงอยูในจิตใจอยางละเอียดลึกซง้ึ ตลอดเวลา และคอยบีบคัน้ พฤตกิ รรมทัว่ ๆ ไป ของมนษุ ย ทําใหห วาดกลัวตอ ความพลัดพราก สูญสลาย ทาํ ใหด ิ้นรนไขวค วาภาวะชีวติ ท่ตี องการอยา งเรา รอ น ทําใหเ กรงกลวั และผดิ หวังเม่ือไดรับทกุ ขเวทนา และทาํ ใหเ สวยสขุ เวทนาอยา งกระวนกระวาย พรอ มดวยความ หวาดกลวั ความพลดั พราก ทัง้ นโ้ี ดยไมตระหนักรูวา ทแ่ี ทน น้ั ชวี ิตคอื ขันธทัง้ ๕ เกดิ -ตายอยูแ ลว ตลอดเวลา โดยนยั นี้ เมื่อตัวตนเกดิ ขน้ึ ในภาวะชีวติ ท่ีไมตอ งการ ไมเกิดในภาวะชวี ติ ทีต่ อ งการก็ดี เมอ่ื ตัวตนเกดิ ได เปนอยา งนนั้ อยา งนี้ อยูในภาวะชีวติ ที่ตอ งการ แตต องสญู สลายพรากไปก็ดี ถกู คกุ คามดว ยความขาด พลาด และพรากจากภาวะชวี ิตที่ตองการก็ดี ความทุกขแ บบตางๆ ยอ มเกิดขึ้น คอื เกิดโสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข โทมนัส และอุปายาส และในภาวะแหงความทุกขเชนนี้ จติ ใจก็ขนุ มวั เศรา หมอง ไมร ูไมเขาใจหรือไมมองสิง่ ตางๆ ตาม ความเปน จริง มีความคับของขัดใจ ความหลงใหล และความมืดบอด อันเปน ลกั ษณะของอวชิ ชา จึงเกิดการดิน้ รนหาทางออกดวยวธิ ีการแหงอวิชชาตามวงจรตอไป ตัวอยางงายๆ ในชีวติ ประจําวนั เมื่อมีการแขงขนั และมีการชนะเกิดขน้ึ สาํ หรบั ปุถชุ นจะไมม ีเพยี งการ ชนะท่ีเปนเหตกุ ารณท างสงั คม ซงึ่ มคี วามหมายและวัตถปุ ระสงคตามทต่ี กลงกําหนดวางกนั (สมมต)ิ ไวเ ทา
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตฺโต) 90 นน้ั แตจ ะมคี วามเปนผูชนะท่ยี ดึ มั่นไวกบั ความหมายพเิ ศษบางอยางเฉพาะตวั ดว ยอุปาทาน (ภพ) ดวย ในบาง โอกาส โดยเฉพาะในกรณีของคนมักหยงิ่ ผยอง หรือในกรณเี กดิ เรอ่ื งกระทบกระเทือนใจ ก็จะเกดิ ความ รูสึกโผลขน้ึ มาวา เราเปน ผชู นะ = ตวั เราเกดิ ข้ึนในความเปนผชู นะ (ชาต)ิ แตความเปนผชู นะของเราในความ หมายสมบรู ณเต็มตัว ตองพวงเอาความมีเกยี รติ ความยกยองเยนิ ยอ ความไดผ ลประโยชน ความนิยมชม ชอบ การยอมรบั ของผูอน่ื เปนตน ไวด วย ความเกิดของตวั เราในความชนะ หรือความชนะของเรา จงึ เกดิ พรอม กับการที่จะตองมผี ูยอมรบั ยกยอ งเชิดชู การทําใหผูใดผูห นงึ่ แพไ ปได การไดทําหรือแสดงออกอะไรสกั อยางที่ สุดขีดของความอยาก ฯลฯ อยา งใดอยางหน่งึ หรอื หลายอยา ง จากน้นั ในขณะเดียวกบั ท่ีตัวเราในฐานะผชู นะ พรอมท้ังความหมายตา งๆ ที่พวงอยกู บั มัน เกดิ ขนึ้ ความสมหวงั หรอื ไมสมหวงั ก็เกิดขน้ึ เมอื่ สมหวงั ก็จะตามมาดว ยความรูสกึ ท่จี ะตอ งผูกพันมดั ตัวไวกับความ เปนผชู นะนน้ั ใหแ นนแฟน เพราะกลัววาความเปนผูชนะจะสญู สิน้ ไปจากตน กลัววา ความยอมรบั นยิ มยกยอ ง เชดิ ชทู ่ไี ดร บั ในฐานะนัน้ จะไมคงอยอู ยางเดมิ จะลดนอยลง เสื่อมไป หรอื หมดไปจากตน เมือ่ พบเหน็ ผูใดผู หนึง่ แสดงอาการไมเ ชิดชใู หเกยี รติอยางทห่ี วงั หรอื เทา ทหี่ วัง หรอื การยกยองเชิดชูเกียรตทิ ่ีเคยไดอยู มาลดนอย ลง ก็ยอ มเกดิ ความขุนมัวหมน หมองใจและอปุ ายาส เพราะตวั ตนในภาวะผูช นะน้ันกําลงั ถกู กระทบ กระแทก หรอื ถูกบบี คน้ั กาํ จดั ใหพ รากไปเสียจากภาวะผชู นะ คอื กําลงั ถูกคกุ คามดวยความเสื่อมโทรม (ชรา) และความสญู สลาย (มรณะ) จากความเปน ผชู นะพรอมท้งั คุณคาผนวกตางๆ ทย่ี ดึ ไว (ภพ) เมือ่ ภาวการณดาํ เนนิ ไปเชน นี้ ความรสู กึ ขุนมวั หมน หมอง กังวล ผิดหวงั ตา งๆ ท่ีเกิดข้ึนท้ังหมด ซง่ึ มไิ ด ถูกขุดท้ิงโดยสติและสัมปชญั ญะ (ปญญา) กจ็ ะเขาหมักหมมทบั ถมในสนั ดาน มผี ลตอบุคลิกภาพ สภาพชวี ติ จติ ใจ และพฤติกรรมของบุคคลนนั้ ตามวงจรปฏจิ จสมปุ บาทตอ ไปเปนการเสวยเวทนาอยา งที่เรยี กวาหมกตัว หรอื ผกู มัดตวั ขอใหต้ังขอสงั เกตงายๆ วา เมื่อมีตัวตน (ในความรสู ึก) เกดิ ขึ้น กย็ อ มมีความกนิ เน้อื ที่ เม่อื กนิ เน้อื ที่ กม็ ี ขอบเขต หรือถกู จํากัด เมอ่ื ถกู จาํ กดั กม็ ีการแยกตัวออกตา งหาก เมือ่ มีการแยกตัวออกตางหาก กม็ ีการ แบงวา ตัวเราและมใิ ชตวั เรา เม่อื ตวั ตนของเราเกดิ ขน้ึ แลว กข็ ยายตัวเบงพองออก พรอ มดวยความอยากได อยากเดนอยากแสดงตอ ตวั ตนอ่นื ๆ พลงุ ออกมา แตต ัวตนและความอยากน้นั ไมสามารถขยายออกไปอยา ง อสิ ระไมม ีท่ีสดุ ตองถูกฝนกดหรอื ขมไวโ ดยบุคคลนน้ั เอง ในกรณีท่เี ขามคี วามสาํ นึกในการแสดงตวั แกผ อู น่ื วา ตน เปน คนดี หรอื ถาตนเองไมกดหรือขม ไว ปลอ ยใหแสดงออกเตม็ ท่ี ก็ยอ มเกิดการปะทะขดั แยง ภายนอกและแม แสดงออกไดเ ตม็ ท่ี กท็ าํ ใหพลังในตนเองลดนอยลง เสริมกําลงั ความอยากใหแรงยงิ่ ๆขน้ึ และความรสู กึ พรอ งให มากขน้ึ ๆ ในคราวตอๆไป เปนการเพิม่ โอกาสใหแกค วามขดั แยง และการปะทะทีจ่ ะแรงย่ิงๆ ขึ้นและหมดความ เปนตัวของตวั เองลงไปทกุ ที ความสมบรู ณเตม็ อยากจึงไมมี และความกดดนั ขัดแยงกระทบกระทั่งบีบคน้ั ยอ ม เกดิ ขนึ้ ไดใ นทกุ กรณี
พทุ ธธรรม (ฉบับเดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 91 อยางไรกด็ ี ตวั อยางท่กี ลา วมานี้ มุง ความเขา ใจงายเปน สาํ คญั บางตอนจงึ มีความหมายผิวเผิน ไมใ ห ความเขาใจแจม แจง ลึกซง้ึ เพียงพอ โดยเฉพาะหัวขอ ท่ียากๆ เชน อวิชชาเปน ปจ จัยใหเ กิดสังขาร และ โสกะ ปรเิ ทวะทาํ ใหว งจรเริม่ ตนใหม เปนตน ตวั อยางท่แี สดงในขออวิชชา เปน เร่อื งทมี่ ิไดเ กิดขึ้นเปน สามญั ในทุกชว ง ขณะของชวี ิต ชวนใหเ หน็ ไดว า มนษุ ยปถุ ุชนสามารถเปน อยใู นชวี ิตประจําวนั โดยไมม อี วิชชาเกดิ ขึ้นเลยหรอื เหน็ วา ปฏิจจสมปุ บาทไมใชห ลกั ธรรมท่แี สดงความจริงเกยี่ วกับชีวติ อยางแทจริง จงึ เห็นวาควรอธิบายความหมาย ลึกซ้ึงของบางหวั ขอทยี่ ากใหล ะเอยี ดชัดเจนออกไปอกี ๗. ความหมายลกึ ซ้ึงขององคธ รรมบางขอ ก. อาสวะหลอเล้ยี งอวิชชา ทเี่ ปด ชองแกส งั ขาร ตามปกติ มนุษยป ุถชุ นทุกคน เมอ่ื ประสบสงิ่ ใดสิง่ หนึ่ง หรอื อยูในสถานการณอยางใดอยา งหน่ึง จะ แปลความหมาย ตดั สินส่ิงหรือเหตกุ ารณน นั้ พรอ มท้งั คดิ หมาย ต้ังเจตจํานง แสดงออกซง่ึ พฤตกิ รรม และ กระทาํ การตา งๆ ตามความโนม เอียง หรอื ตามแรงผลักดนั ตอ ไปนี้ คอื ๑. ความใฝในการสนองความตอ งการทางประสาททั้ง ๕ (กาม) ๒. ความใฝหรอื หว งในความมอี ยคู งอยูของตวั ตน การที่ตัวตนจะได เปนอยางนน้ั อยางนี้ และการที่ตนจะดาํ รงคงอยูใ นภาวะทีอ่ ยาก เปน น้ันย่งั ยืนตลอดไป (ภพ) ๓. ความเคยชิน ความเชอื่ ถือ ความเขา ใจ ทฤษฎี แนวความคิด อยางใดอยา งหน่ึงทีส่ ง่ั สมอบรมมา และยดึ ถอื เชดิ ชไู ว (ทิฏฐ)ิ ๔. ความหลง ความไมเ ขา ใจ คือ ความไมตระหนกั รูแ ละไมกําหนดรู ความเปน มาเปน ไป เหตุ ผล ความหมาย คณุ คา วัตถุประสงค ตลอด จนความสมั พันธข องส่งิ ตา งๆ หรือเหตุการณท ัง้ หลายตามสภาวะ โดยธรรมชาติของมันเอง ความหลงผดิ วามีตวั ตนท่เี ขาไปกระทํา และถกู กระทํากบั สง่ิ ตางๆ ไมม องเห็นความสมั พนั ธท ั้งหลาย ใน รูปของกระบวนการแหงเหตปุ จ จยั พูดสน้ั ๆ วา ไมร ูเ ห็นตามที่มนั เปน แตรูเหน็ ตามท่ีคดิ วา มนั เปน หรือคิดใหม ันเปน (อวิชชา) โดยเฉพาะขอ ๓ และ ๔ นนั้ จะเห็นไดวาเปน สภาพท่ีสมั พนั ธต อเน่ืองกนั คือเมอ่ื ไมไ ดกาํ หนดรู หลง เพลินไป ก็ยอมทําไปตามความเคยชิน ความเชือ่ ถอื ความเขา ใจทีส่ ัง่ สมอบรมมากอ น อนงึ่ ขอ ๓-๔ นี้ มีความหมายกวา งขวางมาก รวมไปถงึ นสิ ัย ความเคยชิน ทศั นคติ แบบแผน ความ ประพฤตติ างๆ ทีเ่ ปนผลมาจากการศกึ ษาอบรม คานยิ มหรือคตนิ ยิ มทางสงั คม การถายทอดทางวัฒนธรรม
พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 92 เปน ตน สิ่งเหลา นแี้ สดงอทิ ธิพลสมั พันธกบั ขอ ท่ี ๑ และ ๒ นน้ั กลายเปนตวั การกาํ หนดและควบคุมความรสู ึกนกึ คิดและพฤตกิ รรมทง้ั หมดของบุคคล ต้งั ตน แตวา จะใหชอบอะไร ตองการอะไร จะสนองความตองการของตนใน รูปแบบและทิศทางใด แสดงพฤตกิ รรมออกมาอยา งไร คือเปน สิ่งท่แี ฝงอยูลกึ ซึง้ ในบคุ คลและคอยบัญชาพฤติ กรรมของบุคคลนนั้ โดยเจาตวั ไมรตู วั เลย ในความเขาใจตามปกติ บุคคลนน้ั ยอ มรูสึกวา ตวั เขากาํ ลงั กระทาํ กาํ ลงั ประพฤติอยางนั้นๆ ดว ยตนเอง ตามความตอ งการของตนเองอยางเต็มที่ แตแ ทจริงแลว นบั เปนความหลงผดิ ท้งั ส้นิ เพราะถาสืบสาวลงไปใหช ดั วา เขาตองการอะไรแน ทาํ ไมเขาจึงตองการสง่ิ ทเี่ ขาตอ งการอยนู ั้น ทาํ ไมเขาจึงกระทําอยางทกี่ ระทาํ อยูน ้นั ทําไมจงึ ประพฤตอิ ยา งท่ปี ระพฤตอิ ยูน ้นั ก็จะเห็นวา ไมมอี ะไรที่เปน ตวั ของเขาเองเลย แตเ ปน แบบแผนความ ประพฤตทิ ีเ่ ขาไดรับถายทอดมาในการศกึ ษาอบรมบาง วฒั นธรรมบาง ความเชอ่ื ถอื ทางศาสนาบาง เปนความ นยิ มในทางสงั คมบา ง เขาเพยี งแตเลือกและกระทาํ ในขอบเขตแนวทางของสิง่ เหลา น้ี หรือทาํ ใหแปลกไปอยาง ใดอยา งหนงึ่ โดยเอาสง่ิ เหลานเ้ี ปนหลักคิดแยกออกไปและสําหรับเทยี บเคยี งเทา น้ันเอง ส่ิงทีเ่ ขายดึ ถอื วาเปน ตวั ตนของเขานัน้ จงึ ไมมีอะไรนอกไปจากสง่ิ ท่ีอยูในขอ ๑ ถงึ ๔ เทาน้ันเอง สงิ่ เหลา นนี้ อกจากไมม ีตัวมตี นแลว ยงั เปนพลงั ผลักดันที่อยพู นอาํ นาจควบคมุ ของเขาดว ย จึงไมม ที างเปนตัวตนของเขาไดเลย ในทางธรรมเรียกส่ิงท้ังสน่ี วี้ า อาสวะ ๔ (inflowing impulses หรือ influxes หรือ biases) อยา งที่ ๑ เรียก กามาสวะ (sense-gratification) อยา งที่ ๒ เรยี ก ภวาสวะ (existence หรือ self-centered pursuits) อยา งท่ี ๓ เรียก ทฏิ ฐาสวะ (views) อยา งที่ ๔ เรยี ก อวิชชาสวะ (ignorance) บางแหง ตดั ขอ ๓ ออก เหลอื เพียงอาสวะ ๓ จงึ เห็นไดว า อาสวะตางๆ เหลาน้ี เปนท่มี าแหงพฤตกิ รรมของมนุษยปุถชุ นทกุ คน เปน ตวั การทท่ี าํ ให มนษุ ยหลงผิด ยดึ ถอื ในความเปนตัวตนทพี่ รามัว อันเปน อวิชชาชั้นพ้ืนฐาน แลว บังคบั บญั ชาใหนกึ คิดปรุงแตง แสดงพฤตกิ รรม และกระทําการตางๆ ตามอาํ นาจของมนั โดยไมรตู ัวของตัวเอง เปน ขน้ั เร่มิ ตน วงจรแหงปฏิจจส มุปบาท คอื เม่ืออาสวะเกดิ ขน้ึ อวิชชากเ็ กิดขึ้น แลวอวิชชาก็เปนปจจยั ใหเกิดสงั ขาร ในภาวะท่ีแสดงพฤติกรรม ดวยความหลงวา ตวั ตนทาํ เชนน้ี กลา วไดด วยคาํ ยอนแยง วา มนษุ ยไ มเ ปน ตวั ของตัวเอง เพราะพฤติกรรมถกู บังคับบญั ชาดว ยสังขารทเ่ี ปน แรงขบั ไรสาํ นึกทั้งสิน้ กลา วโดยสรปุ เพอ่ื ตดั ตอนใหชัด ภาวะท่เี ปนอวชิ ชา ก็คือ การไมมองเห็นไตรลกั ษณ โดยเฉพาะความ เปน อนัตตา ตามแนวปฏจิ จสมุปบาท คือ ไมรูตระหนักวา สภาพท่ีถือกันวา เปนสัตว บคุ คล ตวั ตน เรา เขา นัน้ เปน เพยี งกระแสแหงรูปธรรมนามธรรมสวนยอ ยตา งๆ มากมาย ที่สมั พนั ธเน่ืองอาศยั เปนเหตุปจจัยสืบตอกนั โดยอาการเกิดสลายๆ ทําใหก ระแสน้นั อยใู นภาวะท่ีกําลงั แปรรปู อยูตลอดเวลา
พุทธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 93 พูดใหง า ยขนึ้ วา บุคคลกค็ อื ผลรวมแหงความรสู กึ นึกคดิ ความปรารถนา ความเคยชนิ ความโนมเอยี ง ทศั นคติ ความรู ความเขาใจ ความเช่อื ถอื (ตัง้ แตข้ันหยาบที่ผดิ หรอื ไมมีเหตผุ ล จนถึงขัน้ ละเอยี ดทีถ่ กู ตองและ มเี หตผุ ล) ความคิดเห็น ความรูสกึ ในคณุ คา ตางๆ ฯลฯ ท้งั หมดในขณะน้ันๆ ที่เปนผลมาจากการถา ยทอดทาง วัฒนธรรม การศึกษาอบรม และปฏกิ ิริยาตางๆ ทง้ั ท่เี กิดขึน้ ภายใน และทม่ี ีตอ ส่งิ แวดลอมท้งั หลาย อนั กําลงั ดาํ เนนิ ไปอยตู ลอดเวลา เม่ือไมต ระหนกั รเู ชนน้ี จงึ ยดึ ถือเอาสิ่งเหลานีอ้ ยางใดอยา งหนง่ึ เปนตัวตนของตนในขณะหน่งึ ๆ เม่ือยึด ถือสิ่งเหลา นเ้ี ปน ตัวตน กค็ ือถูกส่งิ เหลาน้นั หลอกเอา จงึ เทา กับตกอยใู นอาํ นาจของมนั ถกู มันชกั จงู บงั คบั เอา ให เหน็ วาตัวตนนัน้ เปน ไปตา งๆ พรอมท้ังความเขาใจวา ตนเองกาํ ลงั ทาํ การตา งๆ ตามความตองการของตน เปนตน ท่ีกลาวมาน้ี นบั วา เปนคาํ อธบิ ายในหัวขอ อวิชชาเปนปจจัยใหเ กิดสงั ขาร ในระดับที่จัดวา ละเอยี ดลกึ ซงึ้ กวากอ น สวนหัวขอตอ จากน้ไี ปถงึ เวทนา เห็นวาไมย ากนกั พอจะมองเหน็ ไดตามคําอธิบายทกี่ ลาวมาแลว จึง ขา มมาถึงตอนสาํ คัญอีกชวงหนึง่ คือ ตัณหาเปน ปจจัยใหเ กิดอุปาทาน ซง่ึ เปนชว งของกิเลสเหมือนกนั ข. ตัณหา อาศยั อวิชชา โดยสัมพนั ธกับทิฏฐิ ตณั หาทัง้ ๓ อยา งท่ีพดู ถึงมาแลว นั้น ก็คืออาการแสดงออกของตณั หาอยา งเดียวกนั และมีอยเู ปน สามัญโดยครบถวนในชีวิตประจาํ วนั ของปุถุชนทกุ คน แตจะเห็นไดต อ เม่อื วิเคราะหด สู ภาพการทาํ งานของจติ ใน สว นลกึ เร่ิมแตม นุษยไมรูไมเขา ใจและไมรจู ักมองส่ิงท้ังหลายในรูปของกระบวนการแหงความสมั พนั ธกันของ เหตุปจจัยตา งๆ ตามธรรมชาติ จงึ มีความรูสึกมวั ๆ อยวู า มีตวั ตนของตนอยูในรูปใดรปู หนึง่ มนุษยจงึ มคี วาม อยากทเ่ี ปนพื้นฐานสําคัญ คือ ความอยากมีอยเู ปน อยู หรืออยากมีชวี ติ อยู ซึ่งหมายถึงความอยากใหต ัวตนใน ความรสู ึกมัวๆ นัน้ คงอยยู งั่ ยนื ตอ ไป แตความอยากเปนอยนู ้ี สัมพันธก ับความอยากได คือไมใ ชอ ยากเปน อยเู ฉยๆ แตอ ยากอยเู พื่อเสวยสงิ่ ท่ี อยากได คอื เพือ่ เสวยสงิ่ ทจ่ี ะใหสุขเวทนาสนองความตอ งการของตนตอ ไป จึงกลา วไดวา ทอี่ ยากเปน อยกู เ็ พราะ อยากได เม่ืออยากได ความอยากเปน อยกู ็ย่งิ รุนแรงขนึ้ เมอื่ ความอยากเปนอยรู ุนแรง อาจเกิดกรณที ่ี ๑ คือ ไมไดส่งิ ท่อี ยากทนั อยาก จึงเกดิ ปฏิกิรยิ าขึ้น คือ ภพ หรือความมีชวี ิตเปนอยูในขณะนั้น ไมเปนที่นาชืน่ ชม ชีวิตขณะนนั้ เปน ทข่ี ดั ใจ ทนไมไ ด อยากใหดบั สูญไป เสียความอยากใหดับสูญจงึ ติดตามมา แตท นั ทนี ั้นเอง ความอยากไดก ็แสดงตวั ออกมาอกี จงึ กลวั วา ถา ดบั สูญ ไปเสยี กจ็ ะไมไดเ สวยสุขเวทนาทอ่ี ยากไดตอไป ความอยากเปนอยจู งึ เกิดตามตดิ มาอีก ในกรณีท่ี ๒ ไมไ ดท ี่อยาก หรือกรณที ่ี ๓ ไดไมเ ตม็ ขดี ที่อยาก ไดไมส มอยาก หรอื กรณีท่ี ๔ ไดแลวอยาก ไดอน่ื ตอไป กระบวนการก็ดําเนนิ ไปในแนวเดยี วกนั แตก รณที ีน่ ับวาเปน พื้นฐานท่ีสุดและครอบคลมุ กรณีอ่นื ๆ ทัง้ หมด ก็คืออยากยงิ่ ๆ ข้นึ ไป
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ ฺโต) 94 เม่อื กาํ หนดจบั ลงท่ขี ณะหนึง่ ขณะใดกต็ าม จะปรากฏวา มนุษยกําลงั แสห าภาวะท่เี ปน สขุ กวาขณะท่ี กําหนดนน้ั เสมอไป ปถุ ชุ นจึงปดหรอื ผละทิง้ จากขณะปจจบุ ันทกุ ขณะ ขณะปจจุบันแตละขณะ เปนภาวะชีวิตท่ี ทนอยูไมได อยากใหด บั สญู หมดไปเสีย อยากใหตนพน ไป ไปหาภาวะที่สนองความอยากไดต อไป ความอยาก ได อยากอยู อยากไมอยู จงึ หมนุ เวียนอยูตลอดเวลาในชีวิตประจําวันของมนุษยป ถุ ุชน แตเ ปนวงจรทีล่ ะเอียด ชนดิ ทุกขณะจติ อยางที่แตละคนไมรตู วั เลยวา ชีวิตทเ่ี ปนอยแู ตละขณะของตนกค็ ือ การด้ินรนใหพ น ไปจาก ภาวะชวี ิตในขณะเกา และแสห าสิง่ สนองความตอ งการในภาวะชวี ิตใหมอยทู ุกขณะนั่นเอง เมื่อสืบสาวลงไป ยอ มเหน็ ไดว า ตณั หาเหลาน้ี สบื เน่ืองมาจากอวิชชานน่ั เอง กลาวคือ เพราะไมร ูสิ่งทงั้ หลายตามทีม่ นั เปน ไมรจู ักมนั ในฐานะกระบวนการแหงเหตปุ จ จยั ท่สี มั พนั ธต อ เน่ืองกัน จึงเกดิ ความเห็นผิดพน้ื ฐานเกยี่ วกบั เรือ่ งตวั ตนขึ้นมาในรปู ใดรูปหนึง่ คือ เหน็ วาสง่ิ ท้งั หลายมตี ัวมีตนเปน ชิ้นเปนอัน เปน แนน อนตายตวั ซ่ึงจะยง่ั ยืนอยไู ด หรือไมก เ็ หน็ วาส่ิงทงั้ หลายแตกดับสูญสน้ิ สลายตัวหมดไปไดเปน สงิ่ ๆ เปนช้นิ ๆ เปน อันๆไป มนุษยปุถชุ นทกุ คนมคี วามเห็นผดิ ในรปู ละเอยี ดอยใู นตัวทง้ั สองอยา ง จึงมตี ณั หา ๓ อยา งนน้ั คือ เพราะเขา ใจมืดมัวอยูใ นจติ สวนลึกวา สิ่งทัง้ หลายมตี ัวตนย่งั ยนื แนน อนเปนช้ินเปนอัน จงึ เกิดความอยากใน ความเปนอยคู งอยู หรือภวตัณหาได และอีกดา นหน่งึ ดว ยความไมรู ไมแนใ จ ก็เขาใจไปไดอ กี แนวหนง่ึ วา สงิ่ ทั้ง หลายเปน ตวั เปนตน เปน ช้ินเปนอนั แตล ะสวนละสว นไป มันสูญสนิ้ หมดไป ขาดหายไปได จึงเกดิ ความอยากใน ความไมเ ปน อยู หรอื วิภวตณั หา ได ความเหน็ ผิดทัง้ สองน้ี สัมพันธก ับตัณหาในรูปของการเปดโอกาสหรอื เปด ชอ งทางให ถารูเขา ใจเห็นเสยี แลว วาส่ิงทง้ั หลายเปนกระแส เปน กระบวนการแหงเหตุปจจยั ทส่ี ัมพันธตอ เนือ่ ง กัน กย็ อมไมมีตัวตนท่จี ะยั่งยนื ตายตวั เปนชนิ้ เปน อนั ได และกย็ อมไมม ตี วั ตนเปนชิ้นเปนอนั ท่ีจะหายจะขาดสญู ไปได ตณั หา(ภวตณั หา และวิภวตัณหา) ก็ไมมีฐานทก่ี อตัวได สวนกามตณั หา กส็ บื เนอื่ งจากความเห็นผดิ ทัง้ สองนน้ั ดวย เพราะกลัววาตวั ตนหรอื สุขเวทนาก็ตามจะ ขาดสูญสนิ้ หายหมดไปเสีย จงึ เรารอ นแสห าสขุ เวทนาแกต น และเพราะเห็นวา ส่ิงท้งั หลายเปนตวั เปนตนเปนช้นิ เปนอนั แนนอนคงตัวอยูไ ด จงึ ดิ้นรนไขวค วา กระทาํ ยํา้ ใหหนักแนนใหมน่ั คงอยูใ หได ในรูปทห่ี ยาบ ตัณหาแสดงอาการออกมาเปน การดิ้นรนแสหาสิ่งสนองความตอ งการตางๆ การแสห า ภาวะชวี ิตที่ใหสงิ่ สนองความตอ งการเหลา นนั้ ความเบ่ือหนายสงิ่ ท่มี แี ลว ไดแ ลว เปน แลว ความหมดอาลัยตาย อยาก ทนอยไู มไ ดโดยไมมีสิง่ สนองความตอ งการใหมๆ เรอ่ื ยๆ ไป ภาพท่เี หน็ ไดชัดกค็ ือ มนุษยท ่เี ปน ตัวของตวั เองไมไ ด ถา ปราศจากสิ่งสนองความตองการทางประสาท ทง้ั ๕ แลว ก็มแี ตค วามเบื่อหนา ย วา เหว ทนไมไ หว ตองเทีย่ วด้นิ รนไขวควา สิ่งสนองความตอ งการใหมๆ อยู ตลอดเวลา เพ่อื หนจี ากภาวะเบื่อหนายตัวเอง ถาขาดส่งิ สนองความตอ งการ หรอื ไมไ ดตามทต่ี องการเมอ่ื ใด ก็ ผิดหวัง ชีวิตหมดความหมาย เบอ่ื ตวั เอง ชังตวั เอง ความสขุ ความทุกขจ ึงข้ึนตอปจ จยั ภายนอกอยางเดยี ว เวลา วางจึงกลบั เปนโทษ เปนภัยแกมนษุ ยไ ดทง้ั สว นบคุ คลและสังคม ความเบ่อื หนา ย ความซมึ เศรา ความวา เหว
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 95 ความไมพอใจ จงึ มีมากข้นึ ทั้งท่ีมีสิง่ สนองความตอ งการมากขึ้น และการแสวงหาความปรนปรอื ทางประสาท สัมผัสตางๆ จงึ หยาบและรอนแรงยิ่งข้นึ การตดิ ส่ิงเสพยติดตา งๆ ก็ดี การใชเวลาวางทําความผดิ ความชัว่ ของเดก็ วยั รุน กด็ ี ถาสืบคน ลงไปในจติ ใจอยางลกึ ซงึ้ แลว จะเห็นวาสาเหตสุ ําคัญ ก็คอื ความทนอยไู มได ความเบื่อหนายจะหนไี ปใหพ น จากภพท่เี ขา เกิดอยใู นขณะนั้นนัน่ เอง ในกรณที มี่ กี ารศึกษาอบรม ไดร ับคาํ แนะนําส่งั สอนทางศาสนา มีความเชอื่ ถอื ในทางทถ่ี ูกตอ ง หรือยึด ถือในอุดมคตทิ ี่ดงี ามตางๆ แลว (อวชิ ชาไมมดื บอดเสียทเี ดยี ว) เกดิ ความใฝจะเปน ในทางทด่ี ี ตณั หาก็ถกู ผันมา ใชในทางทีด่ ไี ด จึงมีการทาํ ดีเพ่ือจะไดเ ปนคนดี การขยนั หมั่นเพยี เพือ่ ผลทหี่ มายระยะยาวการบาํ เพญ็ ประโยชน เพือ่ เกียรตคิ ุณ หรอื เพ่ือไปเกิดในสวรรค การใชเ วลาวางใหเ ปนประโยชน ตลอดจนการอาศยั ตณั หาเพอื่ ละ ตัณหาก็ได ค. อปุ าทาน เปนเงอื่ นปมสาํ คญั ท่ีปน วงจรชวี ติ กเิ ลสท่ีสืบเน่ืองจากตณั หา ไดแ ก อปุ าทาน (ความยึดมั่นถือม่ัน) ซึง่ มี ๔ อยาง คือ ๑. กามุปาทาน ความยึดมน่ั ในกาม (clinging to sensuality): เมอื่ อยากได ดิ้นรน แสหา ก็ยดึ มน่ั ตดิ พันในสงิ่ ทอ่ี ยากไดน น้ั เม่ือไดแ ลว กย็ ดึ มัน่ เพราะอยากสนองความตอ งการใหยิ่งๆ ข้นึ ไป และกลัวหลดุ ลอยพราก ไปเสีย ถึงแมผ ดิ หวงั หรือพรากไป กย็ ง่ิ ปกใจม่นั ดว ยความผกู ใจอาลัย พรอมกนั น้นั ความยึดมน่ั ก็ยง่ิ แนน แฟน ขนึ้ เพราะสิง่ สนองความตองการตา งๆ ไมใ หภ าวะเตม็ อิ่มหรือสนองความตองการไดเต็มขดี ทอ่ี ยากจรงิ ๆ ในคราว หน่งึ ๆ จงึ พยายามเพอ่ื เขาถึงขีดทเี่ ตม็ อยากน้ันดวยการกระทําอกี ๆ และเพราะสิง่ เหลานั้นไมใ ชข องของตนแท จรงิ จึงตอ งยึดมน่ั ไวดว ยความรสู กึ จงู ใจตนเองวา เปนของของตนในแงใดแงห นง่ึ ใหได ความคดิ จติ ใจของปุถุชน จึงไปยดึ ตดิ ผูกพันของอยูก บั สิง่ สนองความอยากอยางใดอยา งหนง่ึ อยเู สมอ ปลอดโปรง เปนอิสระ และเปน กลางไดยาก ๒. ทิฏปุ าทาน ความยึดมั่นในทฤษฎหี รอื ทิฏฐติ างๆ (clinging to views): ความอยากใหเปน หรอื ไม ใหเปนอยา งใดอยา งหน่ึงตามทตี่ นตอ งการ ยอมทาํ ใหเ กิดความเอนเอียงยึดมั่นในทฏิ ฐิ ทฤษฎี หรอื หลกั ปรัชญา อยางใดอยางหน่ึงท่เี ขากับความตอ งการของตน ความอยากไดสงิ่ สนองความตองการของตน ก็ทาํ ใหย ึดมน่ั ใน หลักการ แนวความคิด ความเห็น ลัทธิ หลกั คาํ สอนทีส่ นอง หรอื เปน ไปเพ่อื สนองความตองการของตน เม่อื ยึด ถอื ความเหน็ หรอื หลกั ความคิดอนั ใดอันหนง่ึ วา เปน ของตนแลว ก็ผนวกเอาความเหน็ หรอื หลักความคิดนนั้ เปนตัวตนของตนไปดวย จงึ นอกจากจะคดิ นึกและกระทาํ การตา งๆ ไปตามความเห็นน้นั ๆ แลว เมอ่ื มที ฤษฎหี รอื ความเหน็ อนื่ ๆ ทขี่ ดั แยง กบั ความเห็นทยี่ ดึ ไวน้ัน กร็ สู กึ วา เปนการคุกคามตอ ตัวตนของตนดว ย เปนการเขามา บบี คัน้ หรือจะทําลายตัวตนใหเ ส่ือมดอ ยลง พรอ งลง หรือสลายไป อยางใดอยางหน่งึ จึงตองตอสรู กั ษาความ เหน็ นน้ั ไวเ พ่ือศักด์ศิ รเี ปน ตน ของตัวตน จึงเกดิ การขดั แยง ท่ีแสดงออกภายนอก เกดิ การผกู มัดตวั ใหค บั แคบ
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 96 สรา งอปุ สรรค กกั ปญ ญาของตนเอง ความคดิ เห็นตางๆ ไมเกดิ ประโยชนตามความหมายและวัตถปุ ระสงคแทๆ ของมนั ทาํ ใหไมสามารถถอื เอาประโยชนจ ากความรู และรบั ความรูต า งๆ ไดเทาทคี่ วรจะเปน ๓. สลี พั พตปุ าทาน ความยดึ มั่นในศลี และพรต (clinging to mere rule and ritual): ความอยากได อยากเปน อยู ความกลวั ตอ ความสูญสลายของตัวตน โดยไมเขา ใจกระบวนการแหง เหตุปจ จยั ในธรรมชาติ ผสม กับความยดึ มั่นในทิฏฐอิ ยางใดอยางหนึ่ง ทาํ ใหท ําการตา งๆ ไปตามวิธีปฏบิ ัติท่สี ักวายึดถอื มา เปนแบบแผน หรอื ประพฤติปฏบิ ตั ไิ ปตามๆ กนั อยางงมงายในส่งิ ทนี่ ิยมวา ขลงั วา ศกั ด์สิ ิทธิ์ ทจ่ี ะสนองความอยากของตนได ทงั้ ทีไ่ มม องเหน็ ความสัมพันธโ ดยทางเหตผุ ล ความอยากใหต ัวตนคงอยู มอี ยู และความยดึ มน่ั ในตัวตน แสดงออกมาภายนอกหรอื ทางสงั คม ในรูป ของความยดึ มั่น ในแบบแผนความประพฤตติ างๆ การกระทําสบื ๆกันมา ระเบียบวิธี ขนบธรรมเนยี มประเพณี ลัทธพิ ธิ ี ตลอดจนสถาบันตางๆ ทแ่ี นน อนตายตัว วาจะตอ งเปน อยางนน้ั ๆ โดยไมต ระหนกั รูในความหมาย คณุ คา วตั ถุประสงค และความสมั พนั ธโ ดยเหตุผล กลายเปนวามนษุ ยส รา งสิง่ ตางๆ เหลา นข้ี น้ึ มาเพอื่ กีดกั้น ปด ลอมตวั เอง และทําใหแ ข็งทอ่ื ยากแกก ารปรบั ปรงุ ตวั และการทีจ่ ะไดร บั ประโยชนจากสง่ิ ทงั้ หลายทีต่ นเขา ไป สมั พนั ธ ในเรื่องสีลพั พตปุ าทานนี้ มคี าํ อธิบายของทานพทุ ธทาสภกิ ขุ ตอนหนง่ึ ท่เี หน็ วาจะชว ยใหความหมาย ชดั เจนขึน้ อกี ดังน้ี เมอื่ มาประพฤตศิ ลี หรอื ธรรมะขอใดขอ หนึ่งแลว ไมท ราบความมุงหมาย ไมคํานึงถึงเหตุผล ไดแ ตล ง สันนษิ ฐานเอาเสียวา เปน ของศักดิส์ ิทธ์ิ เมื่อลงไดปฏิบตั ขิ องศักดส์ิ ิทธิ์แลว ยอ มตองไดร ับผลดีเอง ฉะนัน้ คน เหลา นจ้ี งึ สมาทานศีล หรือประพฤติธรรมะ แตเพียงตามแบบฉบับ ตามตัวอกั ษร ตามประเพณี ตามตวั อยา ง ท่ี สบื ปรมั ปรากนั มาเทา น้นั ไมเขาถงึ เหตุผลของส่งิ นั้นๆ แตเพราะอาศัยการประพฤติกระทํามาจนชนิ การยดึ ถือ จึงเหนยี วแนน เปน อปุ าทานชนิดแกไขยาก...ตา งจากอุปาทานขอ ทส่ี องขางตน ซง่ึ หมายถงึ การถือในตัวทิฏฐิ หรือความคิดความเห็นที่ผดิ สวนขอนี้ เปน การยึดถือในตวั การปฏิบตั ิ หรอื การกระทาํ ทางภายนอก ๔. อตั ตวาทปุ าทาน ความยดึ ม่นั ในวาทะวาตวั ตน (clinging to the ego-belief): ความรสู ึกวามีตวั ตน ที่แทจ รงิ น้นั เปน ความหลงผดิ ทีม่ เี ปนพืน้ ฐานอยแู ลว และยงั มปี จ จัยอืน่ ๆ ท่ีชว ยเสรมิ ความรูสกึ น้อี กี เชนภาษา อนั เปนถอยคําสมมตสิ ําหรับสือ่ ความหมาย ที่ชวนใหมนษุ ยผตู ิดบญั ญตั มิ องเหน็ สงิ่ ตางๆ แยกออกจากกันเปน ตัวตนทีค่ งท่ี แตค วามรสู กึ นีก้ ลายเปนความยดึ ม่นั เพราะตัณหาเปนปจ จัย กลาวคอื เมอ่ื อยากไดก ็ยดึ ม่นั วา มตี วั ตนท่ีเปน ผไู ดร บั และเสวยสิ่งทีอ่ ยากน้นั มตี ัวตนที่เปน เจาของสง่ิ ทีไ่ ดนั้น เมอ่ื อยากเปนอยู กอ็ ยากใหมีตัวตนอัน ใดอนั หน่ึงเปนอยู คงอยู เม่ืออยากไมเปน อยู ก็ยึดในตวั ตนอนั ใดอนั หน่งึ ท่จี ะใหสูญสลายไป เม่อื กลวั วา ตวั ตนจะ สูญสลายไป กย็ ิ่งตะเกยี กตะกายยํ้าความรสู กึ ในตัวตนใหแ นน แฟนหนกั ขึ้นไปอกี ทส่ี ําคญั คือ ความอยากน้นั สัมพนั ธก บั ความรสู กึ วา มีเจาของผูมอี าํ นาจควบคมุ คือมตี ัวตนทเ่ี ปน นาย บังคบั บัญชาส่ิงตา งๆ ใหเ ปน ไปอยา งที่อยากใหเ ปน ได และกป็ รากฏคลา ยกับวามกี ารบังคับบญั ชาไดส ม
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดิม) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 97 ปรารถนาบา งเหมือนกัน จงึ หลงผิดไปวา มีตัวฉนั หรือตัวตนของฉันที่เปนเจา ของ เปนนายบงั คบั สง่ิ เหลาน้ันได แตความจริงมีอยวู า การบงั คับบัญชานั้น เปน ไปไดเพียงบางสว นและช่ัวคราวเทา นนั้ เพราะสิง่ ทย่ี ดึ วา เปน ตวั ตน น้ัน กเ็ ปน เพียงปจจยั อยางหนงึ่ ในกระบวนการแหง เหตปุ จจยั ไมสามารถบังคบั บัญชาสง่ิ อ่ืนๆ ท่ีเขา ไปยดึ ให เปนไปตามท่อี ยากใหเ ปนไดถ าวรและเต็มอยากจรงิ ๆ การท่รี ูสึกวาตัวเปนเจา ของควบคุมบังคบั บญั ชาไดอ ยบู า ง แตไ มเ ตม็ สมบูรณจ รงิ ๆ เชน นี้ กลับเปนการยํา้ ความหมายม่นั และตะเกียกตะกายเสริมความรสู ึกวาตัวตนให แนนแฟน ยงิ่ ขึ้นไปอีก เมอ่ื ยดึ มั่นในตวั ตนดวยอุปาทาน ก็ไมร ูจกั ทจ่ี ะจดั การสง่ิ ตางๆ ตามเหตุตามปจ จัยท่จี ะใหม ันเปนไป อยางน้นั ๆ กลับหลงมองความสัมพนั ธผดิ ยกเอาตวั ตนข้นึ ยดึ ไวในฐานะเจาของทีจ่ ะบงั คับควบคุมส่ิงเหลา นัน้ ตามความปรารถนา เม่อื ไมท ําตามกระบวนการแหงเหตปุ จจัย และสง่ิ เหลา นั้นไมเ ปนไปตามความปรารถนา ตวั ตนก็ถูกบีบคั้นดว ยความพรอ ง เสือ่ มดอ ย และความสูญสลาย ความยดึ มนั่ ในตวั ตนนนี้ ับวาเปน ขอ สําคัญ เปน พื้นฐานของความยึดมน่ั ขอ อื่นๆ ท้ังหมด วา โดยสรปุ อปุ าทานทําใหม นษุ ยปถุ ุชนมจี ิตใจไมป ลอดโปรงผอ งใส ความคดิ ไมแลนคลอ งไปตาม กระบวนการแหงเหตปุ จจยั ไมส ามารถแปลความหมาย ตัดสิน และกระทาํ การตางๆ ไปตามแนวทางแหงเหตุ ปจจัยตามท่มี ันควรจะเปน โดยเหตผุ ลบรสิ ทุ ธิ์ แตม คี วามตดิ ของ ความเอนเอียง ความคบั แคบ ความขดั แยง และความรสู กึ ถูกบบี คัน้ อยูตลอดเวลา ความบบี ค้ันเกิดขน้ึ เพราะความยดึ วาเปนตวั เรา ของเรา เม่อื เปนตวั เรา ของเรา กต็ องเปนอยางทเ่ี ราอยากใหเ ปน แตส ่ิงท้งั หลายเปนไปตามเหตุปจจัย ไมใชเปนไปตามทเี่ ราอยากให เปน เม่ือมันไมอ ยใู นบงั คับของความอยาก กลบั เปนอยา งอน่ื ไปจากทอี่ ยากใหเปน ตวั เราก็ถกู ขดั แยง กระทบ กระแทกบบี คน้ั ส่ิงที่ยึดถูกกระทบเม่ือใด ตวั เราก็ถกู กระทบเมือ่ นนั้ สิ่งที่ยึดไวม จี ํานวนเทาใด ตัวเราแผไปถึง ไหน ยดึ ไวด วยความแรงเทาใด ตวั เราท่ีถกู กระทบ ขอบเขตทถ่ี กู กระทบ และความแรงของการกระทบ กม็ ีมาก เทานั้น และผลทเ่ี กิดข้ึน มใิ ชเ พยี งความทุกขเทาน้นั แตห มายถงึ ชีวติ ทีเ่ ปนอยูและกระทาํ การตางๆ ตามอาํ นาจ ความยดึ อยาก ไมใ ชเ ปนอยแู ละทาํ การดว ยปญญาตามเหตปุ จจัย จงึ เปนเหตใุ หการงานทที่ ําไมสาํ เรจ็ ผลดี หรอื ยากทจ่ี ะไดผลดี กบั ทั้งยงั พว งเอาปญหาจุกจิกวุนวายนอกเรื่องตามมาอกี มากมายโดยไมสมควร ตอ จากอปุ าทาน กระบวนการดาํ เนนิ ตอไปถงึ ขนั้ ภพ ชาติ ชรามรณะ จนเกิด โสกะ ปริเทวะ เปนตน ตามแนวทอ่ี ธิบายมาแลว เมอ่ื เกิด โสกะ ปรเิ ทวะ เปนตนแลว บคุ คลยอ มหาทางออกดว ยการคิด ตัดสินใจ และ กระทําการตา งๆ ตามความเคยชิน ความโนม เอียง ความเขา ใจ และความคิดเห็นท่ียดึ มน่ั สะสมไวอกี โดยไม มองเหน็ ภาวะที่ประสบในขณะนน้ั ๆ ตามทีม่ ันเปนของมนั จรงิ ๆ วงจรจงึ เรม่ิ ขึ้นที่อวชิ ชา แลวหมุนตอ ไปอยา งเดมิ ง. การผอนเบาปญ หา เม่อื ยังมอี วิชชาและตณั หา
พทุ ธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 98 แมอวิชชาจะเปนกิเลสพน้ื ฐาน เปน ทกี่ อ ตวั ของกเิ ลสอ่ืนๆ แตใ นขนั้ แสดงออกเปน พฤตกิ รรมตา งๆ ตณั หายอมเปนตัวชักจูง เปนตัวบงการและแสดงบทบาททีใ่ กลช ดิ เห็นไดชัดเจนกวา ดังน้นั ในทางปฏิบตั ิ เชน ใน อรยิ สจั ๔ จงึ ถือวาตัณหาเปน เหตใุ หเ กิดทุกข เมอื่ อวชิ ชาเปนไปอยางมืดบอดเลือ่ นลอย ตณั หาไมมหี ลกั ไมถกู ควบคมุ เปน ไปสดุ แตจะใหส นองความ ตองการไดสาํ เร็จ ยอ มมที างใหเ กดิ กรรมฝายชว่ั มากกวาฝา ยดี แตเมือ่ อวชิ ชาถกู ปรุงแปลงดวยความเชอ่ื ถือใน ทางท่ดี ีงาม ไดร ับอทิ ธพิ ลจากความคิดท่ถี ูกตอ ง หรอื จากความเชอื่ ท่มี ีเหตุผล ตณั หาถกู ชกั จูงใหเ บนไปสเู ปา หมายท่ดี งี าม ถกู ควบคมุ ขดั เกลา และขับใหพ งุ ไปอยา งมจี ดุ หมาย ก็ยอมใหเกดิ กรรมฝา ยดี และเปน ประโยชน ไดอ ยางมาก และถา ไดรับการชักนําอยา งถกู ตอง กจ็ ะเปน เคร่ืองอุปถมั ภ สําหรับกําจดั อวิชชาและตณั หาไดต อ ไปดว ย วิถอี ยา งแรกเปนวิถแี หง ความชั่ว แหงบาปอกศุ ล อยางหลังเปนวิถีแหงความดี แหงบุญกุศล คนดีและ คนช่ัวตางกย็ งั มที ุกขอ ยูตามแบบของตนๆ แตวิถีฝา ยดีเทา น้นั ที่สามารถนําไปสูค วามสนิ้ ทกุ ข ความหลุดพน และความเปน อิสระได ตัณหาทีถ่ กู ใชใ นทางทเ่ี ปน ประโยชนน น้ั มีตัวอยา งถงึ ข้ันสงู สดุ เชน :- ดกู รนองหญงิ ภกิ ษุในธรรมวินัยนี้ ไดยนิ วา ภิกษุช่ือน้ี กระทาํ ใหแ จงซงึ่ เจโตวิมตุ ติปญ ญาวมิ ุตติอนั หา อาสวะมิได ฯลฯ เธอจึงมคี วามดําริวาเม่ือไรหนอ เราจักกระทําใหแ จง ซึ่งเจโตวิมตุ ติ ปญญาวมิ ตุ ติ ฯลฯ บาง สมยั ตอ มา เธออาศัยตัณหาแลว ละตัณหาเสยี ได ขอทีเ่ รากลาววา กายน้เี กดิ จากตัณหา พึงอาศยั ตณั หา ละ ตัณหาเสยี เราอาศยั ความขอนเ้ี องกลาว ถา ไมส ามารถทาํ อยา งอื่น นอกจากเลอื กเอาในระหวา งตัณหาดว ยกัน พึงเลอื กเอาตัณหาในทางทด่ี เี ปน แรงชักจงู ในการกระทาํ แตถาทําได พงึ เวนตัณหาท้ังฝายชัว่ ฝายดี เลือกเอาวิถแี หง ปญ ญา อันเปนวิถที ่บี ริสุทธ์ิ อิสระ และไรทกุ ข ๘. ปฏิจจสมุปบาทในฐานะมชั เฌนธรรมเทศนา ความเขาใจในปฏิจจสมปุ บาท เรยี กวาเปนสัมมาทิฏฐิ หรือเหน็ ถูกตอง และความเห็นทถ่ี กู ตองน้เี ปน ความเห็นชนิดที่เรียกวาเปน กลางๆ ไมเ อยี งสดุ ไปทางใดทางหน่งึ ปฏิจจสมปุ บาทจงึ เปนหลักหรือกฎท่ีแสดง ความจรงิ เปน กลางๆ ไมเอียงสุด อยางที่เรียกวา “มชั เฌนธรรมเทศนา” ความเปน กลางของหลกั ความจรงิ น้ี เหน็ ไดโดยโดยการเทยี บกบั ลัทธหิ รอื ทฤษฎเี อยี งสดุ ตา งๆ และ ความเขาใจปฏิจจสมุปบาทโดยถกู ตอ ง จะตอ งแยกออกจากทฤษฎีเอียงสุดเหลา นีด้ ว ย ดังนัน้ ในที่น้ีจึงควรนาํ ทฤษฎีเหลานมี้ าแสดงไวเปรียบเทียบเปนคูๆ โดยการใชวธิ ีอา งพุทธพจนเปนหลกั และอธิบายใหนอ ยท่ีสุด คทู ่ี ๑: ๑. อัตถกิ วาทะ ลัทธวิ าสิง่ ทั้งหลายมีอยจู รงิ (extreme realism) ๒. นตั ถกิ วาทะ ลัทธวิ าสิ่งท้ังหลายไมม จี ริง (nihilism)
พทุ ธธรรม (ฉบบั เดมิ ) พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตโฺ ต) 99 ขา แตพ ระองคผ เู จริญ ที่เรยี กวา “สมั มาทิฏฐิ สัมมาทฏิ ฐิ” ดังนี้ แคไ หน จึงจะชื่อวา เปนสัมมาทิฏฐิ? แนะ ทานกัจจานะ โลกนโ้ี ดยมากอิง (ทฤษฎขี องตน) ไวกับภาวะ ๒ อยาง คอื อตั ถิตา (ความม)ี และนตั ถิตา (ความไมม ี) เม่ือเหน็ โลกสมทุ ัยตามที่มันเปน ดว ยสัมมาปญญา นัตถติ าในโลกก็ไมม ี เมื่อเหน็ โลกนิโรธตาม ท่ีมนั เปน ดว ยสมั มาปญ ญา อัตถิตาในโลกน้กี ไ็ มม ี โลกน้ีโดยมากยดึ มน่ั ถือมั่นในอบุ าย(systems) และถกู คลอง ขงั ไวดว ยอภนิ ิเวส (dogmas) สว นอริยสาวก ยอ มไมเขาหา ไมยึด ไมต ดิ อยูกับความยดึ มน่ั ถอื มัน่ ในอุบาย ความปก ใจ อภนิ ิเวส และอนสุ ยั วา “อัตตาของเรา” ยอมไมเ คลือบแคลงสงสัยวา “ทุกขน น่ั แหละ เมอื่ เกดิ ขึน้ ยอ มเกดิ ขึน้ ทกุ ข เมือ่ ดบั ก็ยอ มดบั ” อรยิ สาวกยอ มมญี าณในเรอื่ งนี้ โดยไมต องอาศยั ผูอ่ืนเลย เพียงเทานแ้ี ล ช่ือวามสี ัมมาทิฏฐิ ดกู อนกัจจานะ ขอ วา ‘สงิ่ ทั้งปวงมีอยู’ นี้เปนทีส่ ดุ ขางหน่ึง ขอ วา ‘ส่ิงท้งั ปวงไมมี’ น้เี ปนท่สี ดุ ขา งหนึง่ ตถาคตยอมแสดงธรรมเปนกลางๆ ไมเขา ไปติดท่สี ุดท้ังสองนัน้ วา “เพราะอวชิ ชาเปนปจจัย สังขารจงึ มเี พราะ สังขารเปน ปจ จัย วิญญาณจึงมี ฯลฯ เพราะอวชิ ชานั่นแหละสํารอกดบั ไปไมเหลือ สังขารจึงดบั เพราะสังขารดบั ไป วญิ ญาณจึงดับ ฯลฯ” พราหมณน ักโลกายตั คนหน่งึ มาเฝา ทูลถามปญ หาวา: ทานพระโคตมะผูเ จริญ สิง่ ท้งั ปวงมอี ยูหรือ? พระพุทธเจา ตรัสตอบวา : ขอวา ‘สง่ิ ท้งั ปวงม’ี เปนโลกายตั หลกั ใหญทสี่ ุด ถาม: สิ่งทั้งปวงไมมีหรอื ? ตอบ: ขอวา ‘ส่ิงทงั้ ปวงไมม ี’ เปนโลกายตั ทสี่ อง ถาม: ส่ิงทั้งปวงเปนภาวะหนงึ่ เดยี ว (เอกัตตะ-unity) หรือ? ตอบ: ขอ วา ‘ส่ิงทั้งปวงเปนภาวะหน่ึงเดยี ว’ เปน โลกายัตทสี่ าม ถาม: สง่ิ ทงั้ ปวง เปนภาวะหลากหลาย (ปุถตุ ตะ-plurality) หรือ? ตอบ: ขอวา ‘สง่ิ ท้งั ปวงเปน ภาวะหลากหลาย’ เปนโลกายัตทีส่ ี่ ดูกอ นพราหมณ ตถาคตไมเ ขา ไปติดทส่ี ดุ ท้ังสองขา งเหลา น้ี ยอมแสดงธรรมเปนกลางๆ วา “เพราะ อวิชชาเปนปจจยั สงั ขารจงึ มี เพราะ สังขารเปน ปจจยั วิญญาณจงึ มี ฯลฯ เพราะอวิชชาสาํ รอกดบั ไปไมเ หลอื สงั ขารจึงดบั เพราะสงั ขารดบั วญิ ญาณจึงดบั ” คทู ่ี ๒: ๑. สสั สตวาทะ ลัทธถิ ือวาเทีย่ ง (eternalism) ๒. อจุ เฉทวาทะ ลัทธถิ ือวา ขาดสญู (annihilationism) คทู ี่ ๒ นี้ มกี ลาวถึงบอ ยๆ ในทที่ ัว่ ไปอยูแ ลว จงึ ไมแ สดงไวทน่ี ี้อีก คทู ่ี ๓: ๑. อตั ตการวาทะ หรือ สยังการวาทะ ลัทธิถอื วาสขุ ทุกขเ ปนตน ตนทําเอง
พุทธธรรม (ฉบับเดมิ ) พระธรรมปฎ ก (ป. อ. ปยตุ โฺ ต) 100 (self-generationism หรือ Karmic autogenesisism) ๒. ปรการวาทะ ลทั ธถิ ือวาสขุ ทกุ ขเปน ตน เกดิ จากตวั การภายนอก (other-generationism หรือ Karmic heterogenesisism) คูที่ ๓ นี้ และคูที่ ๔ ที่จะกลาวตอ ไป มคี วามสาํ คัญมากในแงของหลกั กรรม เมอ่ื ศกึ ษาเขาใจดีแลว จะ ชวยปองกันความเขา ใจผดิ ในเรอ่ื งกรรมไดเ ปนอยางมาก จงึ ควรสงั เกตตามแนวพุทธพจน ดงั น้ี :- ถาม: ทุกข ตนทําเองหรอื ? ตอบ: อยากลา วอยา งน้นั ถาม: ทกุ ขต วั การอยางอ่นื กระทําใหหรอื ? ตอบ: อยา กลา วอยา งนนั้ ถาม: ทุกขตนทาํ เองดว ย ตัวการอยางอืน่ ทาํ ใหด วยหรอื ? ตอบ: อยา กลา วอยางน้ัน ถาม: ทุกขม ิใชต นทําเอง มิใชต วั การอยา งอื่นทําให แตเกดิ ข้นึ เอง ลอยๆ (เปนอธิจจสมุปบัน) หรือ? ตอบ: อยา กลาวอยา งน้ัน ถาม: ถาอยางนนั้ ทุกขไ มมีหรือ? ตอบ: ทุกขม ใิ ชไมมี ทกุ ขมอี ยู ถาม: ถาอยางนัน้ ทา นพระโคตมะ ไมร ู ไมเหน็ ทกุ ขหรือ? ตอบ: เรามใิ ชไมร ู ไมเห็นทุกข เรารู เราเหน็ ทุกขแ ททีเดียว ถาม: ...ขอพระผูมพี ระภาคเจา ไดโปรดบอก โปรดแสดงทกุ ขแ ก ขา พเจา ดว ยเถิด ตอบ: เมือ่ วา ‘ทุกขต นทําเอง’ อยางทว่ี าทีแรก ก็เทากับบอกวา ‘ผนู ้นั ทํา ผูน น้ั เสวย(ทกุ ข)’ กลายเปน สสั สตทฏิ ฐไิ ป เม่อื วา ‘ทกุ ขตัวการ อยา งอื่นทาํ ให’ อยา งทผี่ ูถ กู เวทนาทม่ิ แทงรูส กึ กเ็ ทากบั บอกวา ‘คนหนึ่งทาํ คนหนึง่ เสวย(ทกุ ข)’ กลายเปน อจุ เฉททิฏฐไิ ป ตถาคตไมเ ขา ไปตดิ ทสี่ ุดทง้ั สองขางนนั้ ยอ มแสดงธรรมเปน กลางๆ วา “เพราะอวชิ ชาเปนปจจัย สังขารจึงมี เพราะสงั ขาร เปนปจจยั วญิ ญาณจึงมี ฯลฯ เพราะอวชิ ชาสํารอกดับไปไม เหลอื สงั ขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ฯลฯ” ถาม: สขุ ทุกข ตนทําเอง หรือ? ตอบ: อยากลาวอยา งน้ัน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235