ขนุ รองปลดั ชู ขุนรองปลัดชู ชาวเมืองวิเศษไชยชาญรุ่นแรก ท่ียอมพลีชีวิตเพ่ือรักษาเอกราชของชาติ ในสงครามก่อนเสียกรุงศรีอยุธยา คือ กองลาดตระเวนสืบข่าวข้าศึกที่เรียกว่า “กองอาทมาต” ของขุนรองปลดั ชูกรมการเมืองเมืองวิเศษไชยชาญ มกี าลงั คนจานวน 4๐๐ คน ได้ต่อสกู้ บั กองทัพพม่า ทบ่ี ุกเข้ามาในอาณาจกั รไทย เน่ืองจากมีกาลังน้อยกวา่ จึงเสยี ชีวิตท้ังหมด เม่ือปี พ.ศ.23๐2 พระเจ้ามังระกษัตริย์พม่าทรงทราบว่าทางกรุงศรีอยุธยาพลัดแผ่นดินใหม่ สมเด็จพระท่นี ่งั สุริยาศนอ์ มรินทรข์ ึ้นครองราชย์แทนสมเดจ็ พระเจ้าอุทุมพร จงึ เป็นโอกาสทจ่ี ะตีกรงุ ศรี อยุธยาไว้เป็นประเทศราช ได้มีพระราชบัญชาให้แม่ทัพพม่ายกกาลังเก้าหมื่นมาทางใต้ตีได้เมืองมะริด ตะนาวศรี แล้วแสร้งปล่อยข่าวมาทางกรุงศรีอยุธยาว่าพม่ายกทัพมา ๓ ทาง คือ มะริดทางหน่ึง ท่ากระดานทางหนึ่ง เชียงใหม่ทางหน่ึง สมเด็จพระท่ีนั่งสุริยาศน์อมรินทร์ จึงมีรับสั่งให้จัดกองทัพ ไปต้านกาลังข้าศึกทั้ง ๓ ทาง ทาให้กาลังพลที่ยกไปเมืองมะริดมีน้อยเกินควร กองทัพหน้าของพระราชรองเมือง ซงึ่ ยกไปถึงปลายแม่นา้ ตะนาวศรี กถ็ ูกพมา่ ตแี ตกยับเยิน อนสุ าวรีย์ ขนุ รองปลัดชู ท่มี า : https://thailandtourismdirectory.go.th/th/info/attraction/detail/itemid/4446 - 34 -
ส่วนขุนรองปลัดชูแห่งเมืองวิเศษไชยชาญ ตามประวัติกล่าวว่า เป็นผู้ขลังวิทยาคม มีลูกศิษย์ มาก คุมสมัครพรรคพวกชาววิเศษไชยชาญมา ๔๐๐ คน ล้วนมีฝีมือและอยู่ยงคงกระพันเข้ามาอาสา ทาสงคราม ได้รับแต่งต้ังเป็นกองอาทมาต ซ่ึงเป็นหน่วยสอดแนมลาดตระเวน เพื่อหย่ังดูกาลังข้าศึก มากับกองทัพของพระยารัตนาธิเบศร์ ยกมาตั้งม่ันอยู่ท่ีเมืองกุยบุรี คร้ันได้ข่าวพม่าบุกมาถึง พระยารัตนาธิเบศร์จึงให้ขุนรองปลัดชูคุมกองอาทมาตไปต้ังสกัดที่อ่าวหว้าขาว ปะทะกับทัพพม่า และสู้รบกันอย่างตะลุมบอนตั้งแต่เช้าถึงเที่ยงไม่จบส้ิน เพราะพม่าส่งกาลังทหารหนุนเนืองเข้ามา มากมาย พระยารัตนาธิเบศร์ให้เกณฑ์กาลัง ๕๐๐ คน ลงไปหนุนกองกาลังขุนรองปลัดชู แต่ยกลงมา ไมท่ นั ในท่สี ดุ กองกาลงั อาทมาต ชาววเิ ศษไชยชาญก็ตายหมดสิน้ กล่าวกันว่า ภายหลังลกู หลานของขุนรองปลัดชูและกองอาทมาต ตลอดจนชาววเิ ศษไชยชาญ ท้ังหลายได้ร่วมแรงร่วมในกันสร้าง วัดส่ีร้อย ข้ึน เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้บรรพบุรุษผู้กล้าหาญ ของเขา คอื ขุนรองปลดั ชู และกองกาลังพลท้งั ส่รี อ้ ยผู้เปน็ ตน้ แบบการพลีชีพเพื่อชาติ นายดอก นายทองแก้ว ปี พ.ศ. ๒๓๐๘ ก่อนท่ีกรุงศรีอยุธยาจะเสียแก่พม่า ทัพพม่าซึ่งมีเนเมียวดีสีหบดี เป็นแม่ทัพได้ให้กองทหารปล้นทรัพย์จับผู้คน ตั้งแต่นครสวรรค์เร่ือยมาจนถึงเมืองวิเศษไชยชาญ ราษฎรได้รับความเดือนร้อนแสนสาหัส นายดอก นายทองแก้ว ๒ ท่านนี้ เป็นชาวเมือง วิเศษไชยชาญ ช่วยกันรวบรวมผู้คนและอาวุธเท่าที่พอหาได้ ได้หลอกพม่าฆ่าเสียมาก แต่กาลังพม่า มมี ากกว่าหลายเท่าเห็นจะสู้ไม่ไหว จึงพากนั หลบหนีไปสมทบกนั ท่ีคา่ ยบางระจัน โดยมหี ัวหน้าเพ่ิมข้ึน ทค่ี ่ายบางระจัน อนุสาวรีย์นายดอก นายทองแก้ว เป็นอนุสรณ์สถานที่ชาววิเศษชัยชาญและชาวอ่างทอง ร่วมกันสร้าง เพื่อราลึกถึงคุณงามความดีของวีรบุรุษแห่งบ้านโพธ์ิทะเล ชาววิเศษชัยชาญ นายดอกและนายทองแก้ว ยอมสละชีวิตอย่างกล้าหาญเพ่ือปกป้องแผ่นดินไทยในการสู้รบกับพม่า ที่ค่ายบางระจันก่อนกรุงศรีอยุธยาจะแตก ในปี พ.ศ. ๒๓๐๙ โดยนายดอกและนายทองแก้ว เป็นบุคคลสาคัญในกลุ่มของ ๑๑ วีรชนแห่งชาวบ้านบางระจัน ซึ่งการรบที่บางระจันน้ัน เป็นการรบเพ่ือป้องกันตัวเองของ ชาวบ้านเมืองสิงห์บุรีและเมืองต่าง ๆ ที่พากันมาหลบภัยกองทัพ พมา่ สงครามบางระจันในคราวเสียกรุงศรีอยุธยาคร้ังทสี่ อง สามารถต้านทานการเข้าตีของกองทัพพม่า ได้หลายครงั้ จนได้ช่ือวา่ “เข้มแขง็ กว่ากองทัพ ของกรงุ ศรีอยุธยาในสมยั นั้น” และมกี ิตติศัพท์เล่อื งลือ ด้านวีรกรรมความกล้าหาญในประวัติศาสตร์ไทย วีรกรรมอันกล้าหาญของนักรบไทยค่ายบางระจัน เป็นที่ภาคภูมิใจและอยู่ในความทรงจาของคนไทยตลอดมา ชาวเมืองอ่างทองจึงพร้อมใจ กันสร้างอนุสาวรีย์เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่นายดอก และนายทองแก้วไว้ ที่บริเวณวัดวิเศษไชยชาญ โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดาเนินมาทรงกระทาพิธี เปิดอนุสาวรีย์เม่ือวันท่ี ๒๕ มีนาคม พ.ศ.๒๕๒๐ ในวันน้ีของทุกปี ชาวเมืองอ่างทองจะทาพิธี วางพวงมาลาสักการะอนุสาวรีย์ นายดอก นายทองแก้ว เพื่อเป็นการระลึกถึงคุณความดี ในวีรกรรม ความกล้าหาญของทา่ นอยา่ งมิอาจลมื เลอื น - 35 -
อนุสาวรยี ์ นายดอก นายทองแก้ว ท่ีมา : http://phakamat12.blogspot.com/2017/01/2.html นายแท่น นายโชติ นายอิน นายเมอื ง นายแท่น นายโชติ นายอิน นายเมือง ชาวบ้านสีบัวทอง แขวงเมืองสิงห์บุรี ซ่ึงได้ร่วมกับ นายดอก นายทองแก้ว ร่วมรบในศึกบางระจัน ซ่ึงการออกรบทุกครั้ง นายแท่น นายโชติ นายอิน นายเมอื ง ร่วมเข้าต่อสูอ้ ย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยวในการรบคร้ังท่ี ๔ นายแท่นเป็นแม่ทัพถือพล 200 คน ทัพนายทองเหม็นปีกขวา และทัพพันเรืองปีกซ้าย สู้รบกับทัพสุรินทร์จอข่อง ของพม่าที่สมรภูมิ บา้ นห้วยไผ่ คลองสะตอื สตี่ น้ ได้รับชยั ชนะ นายแทน่ เปน็ คนบ้านสบี ัวทอง แขวงเมืองสิงหบ์ ุรี เป็นผู้ท่มี ีความกลา้ หาญ และมีฝีมือในการ วางแผนรบ จัดว่าเป็นแม่ทัพใหญ่อีกคนหน่ึง นายแท่นคุมพลเข้ารบกับทหารพม่าหลายคร้ังได้รับ ชยั ชนะ ในการรบครัง้ ที่ 4 ท่านคุมพล 200 คน เปน็ ทัพหลวง คมุ พลเขา้ ตีลวงพม่าก่อน และใหท้ หาร ปีกขวา และปีกซ้ายตีโอบหลัง สนามรบคือฝ่ังคลองทุ่งห้วยไผ่สะตือสี่ต้น ในการรบครั้งน้ันท่านได้รับ ชัยชนะ และสามารถฆ่าแม่ทัพพม่าได้ คือ สุรินทร์จอข่อง แต่ท่านก็ได้รับบาดเจ็บท่ีเข่า เนื่องจาก ถูกอาวุธของข้าศึก ต้องหามกลับค่ายหลังจากนั้นท่านต้องนอนรักษาตัวอยู่ในค่าย ไม่นานก็เสียชีวิต เพราะพิษบาดแผล ทาให้ทุกคนในบางระจันเสียขวัญกาลังใจ เน่ืองจากขาดบุคคล ซึ่งเป็นท่ีพึ่ง 1 ใน 11 ทา่ น ทกุ คนในค่ายต้องหลั่งนา้ ตาในการจากไปของทา่ น นายโชติ เป็นคนบ้านสีบัวทอง แขวงเมืองสิงห์บุรีติดต่อเมืองสุพรรณบุรี นายโชติ ได้รวม ชาวบ้านที่ถูกกองลาดตะเวนของทหารพมา่ ข่มเหง และให้ส่งหญิงสาวให้ ในครง้ั น้ันท่านกับพรรคพวก - 36 -
ได้ลวงทหารพม่าไปฆ่าได้กว่า 20 คน จากน้ันท่านและชาวบ้านจึงมาอยู่รวมกัน ณ บางระจัน ท่านได้ ตอ่ สู้กบั ทหารพมา่ จนเสียชีวติ ในสนามรบ นายอิน เป็นคนบ้านสีบัวทอง ที่มากับนายแท่น นายโชติ นายเมือง เป็นคนหน่ึงที่ร่วมกัน ฆ่าทหารพม่าในคร้ังแรก แล้วมารวมกาลังตั้งค่ายบางระจันขึ้น ณ วัดโพธ์ิเก้าต้น ท่านเป็น 1 ใน 11 ผ้นู าชาวบ้านทอ่ี อกตอ่ สูก้ บั ทหารพม่า ดว้ ยความกลา้ หาญจนตวั ตายในสนามรบ นายเมือง เป็นคนบ้านสีบัวทอง แขวงเมืองสิงห์บุรี ร่วมกับนายอิน นายโชติ นายแท่น และ ชาวบ้านอีกจานวนหนึ่ง ลวงทหารพม่าไปฆ่า และท่านเป็นคนไปนิมนต์พระอาจารย์ธรรมโชติ จากแขวงเมืองสุพรรณ มาอยู่วัดโพธ์ิเก้าต้น ค่ายบางระจัน นายเมืองเป็น 1 ใน 11 ผู้นาชาวบ้านในค่าย ท่ีคุมคนออกตอ่ สูก้ ับพม่า จนกระท่ังเสยี ชีวิตในสนามรบ เพื่อระลึกถึงวีรกรรมของบุคคลทั้งส่ีท่ีร่วมรบต่อสู้พม่าได้นานถึง 5 เดือน ประชาชน ชาวสีบัวทองมี จ.ส.อ.โปร่ง พุ่มแก้ว เป็นช่างป้ัน สร้างอนุสาวรีย์วีรชนชาวบ้านสีบัวทองในที่ดิน ส่วนบุคคล หมู่ที่ ๒ ตาบลสีบัวทอง อาเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง และมีการสักการะในช่วง วนั สงกรานตข์ องทกุ ปี อนุสาวรยี ์ นายแท่น นายโชติ นายอิน นายเมอื ง ที่มา : http://angthongnews.blogspot.com - 37 -
กจิ กรรมท้ายบทที่ ๑ ใบงานที่ 1 คาชแ้ี จง ใหผ้ ู้เรยี นตอบคาถามต่อไปนี้ ๑. จากการทผี่ ู้เรียนได้ศกึ ษาเรื่องประวตั ศิ าสตร์จังหวัดอา่ งทอง ผ้เู รยี นมคี วามร้สู ึกอย่างไรกับจงั หวัดอา่ งทอง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………..………………… ๒. ผเู้ รียนสามารถค้นคว้าหาความร้เู พ่มิ เตมิ ในเรอ่ื งประวตั ศิ าสตรจ์ งั หวดั อา่ งทอง จากแหล่งเรยี นรู้ใดบ้าง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ๓. ผเู้ รยี นสามารถปฏิบตั ิตนในชีวิตประจาวนั ไดอ้ ยา่ งไรบา้ ง ในการทาใหจ้ ังหวดั อ่างทองเปน็ เมืองน่าอยู่ ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………..………………… - 38 -
ใบงานท่ี ๒ คาช้แี จง ให้ผูเ้ รียนตอบคาถามต่อไปน้ี ๑. จากการทผ่ี ู้เรียนได้ศกึ ษาเร่ืองภูมิศาสตรจ์ ังหวัดอ่างทองแลว้ ผ้เู รียนมีความรู้ ความเข้าใจอยา่ งไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………..………………… ๒. ผู้เรียนสามารถคน้ ควา้ หาความรใู้ นเร่ืองภมู ิศาสตรจ์ ังหวัดอา่ งทอง จากแหลง่ ข้อมลู ใดบา้ ง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………..………………… ๓. ผู้เรยี นสามารถนาความรู้ในเรื่องภมู ิศาสตร์จงั หวัดอา่ งทอง ไปปรบั ใช้ในการประกอบอาชีพได้อย่างไร ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………..………………… - 39 -
ใบงานที่ ๓ คาชแี้ จง ให้ผูเ้ รยี นตอบคาถามต่อไปน้ี ๑. จากคาขวัญของจังหวัดอ่างทอง ใหผ้ เู้ รยี นบอกทมี่ าของคาขวัญในแตล่ ะข้อความว่ามาจากอาเภอใด 1.1 พระสมเด็จเกษไชโย จากอาเภอ...................................................................................... 1.2 หลวงพ่อโตองคใ์ หญ่ จากอาเภอ...................................................................................... 1.3 วีรไทยใจกลา้ จากอาเภอ...................................................................................... 1.4 ต๊กุ ตาชาววัง จากอาเภอ..................................................................................... 1.5 โด่งดังจักสาน จากอาเภอ...................................................................................... 1.6 ถน่ิ ฐานทากลอง จากอาเภอ...................................................................................... 1.7 เมอื งสองพระนอน จากอาเภอ...................................................................................... ๒. ผเู้ รียนมคี วามประทบั ใจในประโยคใดของคาขวญั จงั หวดั อา่ งทองมากที่สดุ และเพราะเหตใุ ด ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………......................................................................................... ............................................................................................................................. ................................... ๓. จากการศึกษาเรื่องบุคคลสาคัญทางประวัติศาสตร์ ผู้เรียนมีความรู้สึกอย่างไร และสามารถนาไป ปรบั ใชใ้ นชวี ิตประจาวนั ไดอ้ ยา่ งไรบ้าง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ………………………………………………………………………………………………………………………………..……………. - 40 -
บทที่ 2 วัฒนธรรม ประเพณขี องจงั หวดั อา่ งทอง สาระสาคัญ เน้ือหาสาระเก่ียวกับ ความหมายของวัฒนธรรม ประเพณี ประวัติ ท่ีมาของวัฒนธรรม ประเพณีของจังหวัดอ่างทอง รวมถึงเห็นคุณค่าความสาคัญ การอนุรักษ์และสืบสานวัฒนธรรม ประเพณีของจังหวดั อา่ งทอง ผลการเรยี นร้ทู ค่ี าดหวงั 1. บอกความหมายของวัฒนธรรม ประเพณีได้ 2. สามารถวเิ คราะห์ความแตกต่างระหว่างวฒั นธรรมกบั ประเพณขี องจงั หวดั อ่างทองได้ 3. เห็นคุณคา่ และความสาคัญของวัฒนธรรม ประเพณีของจงั หวัดอ่างทอง 4. บอกแนวทางการอนุรักษแ์ ละสบื สานวัฒนธรรม ประเพณีของจงั หวัดอา่ งทอง ขอบข่ายเน้ือหา เรื่องที่ 1 ความหมายของวัฒนธรรมและประเพณี เรอ่ื งที่ 2 วัฒนธรรมของจังหวัดอ่างทอง เรอ่ื งท่ี 3 ประเพณีของจังหวัดอ่างทอง เรือ่ งท่ี 4 คุณคา่ และความสาคญั ของวัฒนธรรม ประเพณขี องจงั หวัดอา่ งทอง เรอ่ื งท่ี 5 การอนรุ ักษ์และสืบสานวัฒนธรรม ประเพณขี องจงั หวัดอา่ งทอง ส่อื ประกอบการเรยี นรู้ 1. หนังสอื แบบเรียน 2. อนิ เทอรเ์ น็ต 3. ปราชญแ์ ละภมู ปิ ญั ญาท้องถ่นิ 4. แหลง่ เรยี นรู้ 41
วัฒนธรรม ประเพณขี องจังหวดั อา่ งทอง วัฒนธรรม ประเพณีของจังหวัดอ่างทอง เป็นสิ่งท่ีแสดงออกจากพฤติกรรม และความรู้สึก ของคนในท้องถิ่น เป็นองค์ความรู้ วิธีการ ทักษะ ความเช่ือ ที่พัฒนามาจากการมีความสัมพันธ์ ระหว่างคนกับสภาพแวดล้อมตามธรรมชาติและเหนือธรรมชาติ วัฒ นธรรม ประเพณี ของจังหวัดอ่างทอง จึงเป็นส่ิงท่ีมีคุณค่าทางจิตใจท่ีสืบทอดกันมาจากคนรุ่นหนึ่งมายังคนอีกรุ่นหน่ึง จนกลายเป็นวถิ ชี ีวิตของคนในจงั หวดั อา่ งทอง เรื่องท่ี 1 ความหมายของวัฒนธรรมและประเพณี วัฒนธรรม หมายถึง สิ่งท่ีทาความเจริญงอกงามให้แก่หมู่คณะ เช่น วัฒนธรรมไทย วัฒนธรรมในการแตง่ กาย, วถิ ชี วี ติ ของหม่คู ณะ เชน่ วัฒนธรรมพืน้ บ้าน วฒั นธรรมชาวเขา ประเพณี หมายถงึ สิ่งที่นิยมถือประพฤตปิ ฏบิ ตั ิสบื ๆ กันมาจนเป็นแบบแผน ขนบธรรมเนยี ม หรือจารีตประเพณี เรื่องที่ 2 วฒั นธรรมของจังหวดั อ่างทอง วิถีชีวิตของผู้คนในท้องถ่ินย่อมมีวัฒนธรรมอันเหมาะสมเฉพาะของตน ท่ีสืบสาน จากคนรุ่นหน่ึงสู่อีกรนุ่ หนึ่ง แต่วัฒนธรรมและวิถีชีวิตแบบด้ังเดิมได้ปรับเปล่ียนไปตามสภาพแวดล้อม ทางธรรมชาติและกระแสการพัฒนาทางเทคโนโลยีสมัยใหม่ ซึ่งเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมในท้องถ่ิน ของจังหวัดอ่างทอง เป็นสื่อแสดงลักษณะเฉพาะของชุมชนท่ีจะผูกคล้องใจให้เกิดความรัก ความผูกพันและความสามัคคีของคนในจังหวัดอ่างทอง ซึ่งเป็นปัจจัยพ้ืนฐานในการพัฒนาท้องถ่ิน แบบพ่ึงพาตนเองด้วยภูมิปัญญาอันชาญฉลาด ชุมช นของจังหวัดอ่างทองเป็นชุมชนเล็ก ๆ ผู้คนดาเนินชีวิตอย่างสงบสุขและเรียบง่าย แต่มีมรดกทางวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์อันมีคุณค่า ท่ีน่าภาคภมู ิใจ สมควรไดร้ ับการอนรุ กั ษแ์ ละสืบสาน ดังน้ี ตุก๊ ตาชาววงั บา้ นบางเสด็จ จงั หวัดอ่างทอง เป็นจังหวัดที่ประสบปัญหาน้าท่วมในช่วงหน้าฝนมาเป็นระยะเวลายาวนาน ทาให้ประชาชนมีความเดือดร้อนเป็นอย่างมาก แต่เดิมพื้นที่ ตาบลบางเสด็จ อาเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง มีอาชีพทาอิฐและเหลาไม้ก้านธูป เม่ือยามท่ีฝนตกทาให้น้าท่วมไม่สามารถเผาอิฐ หรือตากธูปได้ ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อนในเรื่องการทามาหากินช่วงหน้าฝน ในปี พ.ศ. 2519 สมเด็จพระนางเจ้าสิรกิ ิต์ิ พระบรมราชนิ ีนาถ เสด็จฯ เยี่ยมราษฎร ที่ตาบลบางเสดจ็ ทรงมีพระดาริว่า น่าจะมีอาชีพเสริมอย่างอื่น โดยทรงคานึงว่าชาวบ้านมีทรัพยากรธรรมชาติที่พร้อมอยู่แล้ว คือ ดินเหนียวท่ีใช้ทาอิฐ ประกอบกับทรงระลึกถึงตุ๊กตาไทยที่เรียกว่าตุ๊กตาชาววังน้ันหาดูได้ยาก เกือบจะสูญส้ินไปหมดแล้ว หากจะฟ้ืนฟูขึ้นก็น่าจะช่วยสืบสานศิลปหัตถกรรมไทยแบบโบราณ ของไทยได้อีกอยา่ งหนง่ึ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อาจารยจ์ ุลทัศน์ พยาฆรานนท์ และอาจารย์ เสริมศรี บุนนาค จากวิทยาลัยเพาะช่าง มาสอนป้ันตุ๊กตาชาววัง ด้วยดินเหนียว โดยเป็นการปั้น 42
ท่ีแสดงให้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน และวัฒนธรรมประเพณีไทยต่าง ๆ อาทิเช่น การละเล่น ของเด็กไทย วงมโหรีปี่พาทย์ สุภาษิตคาพังเพยไทย หรือรูปผลไม้ไทยหลากหลายชนิด ซึ่งล้วนมี ความสวยงามน่ารกั และรูปแบบต่าง ๆ มากมาย ตุ๊กตาชาววัง มีกาเนิดในช่วงปลายสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยการ ทาเป็นของเล่นเฉพาะในกลุ่มข้าหลวงชาววัง ต่อมาขา้ หลวงบางคนท่ีออกมาอาศัยกบั ครอบครัวนอกวัง ริเริ่มทาตุ๊กตาชาววังออกขาย จึงเริ่มเป็นท่ีรู้จักของประชาชน การปั้นตุ๊กตา บ่งบอกถึงคุณค่า แห่งศิลปวัฒนธรรมไทยได้เป็นอย่างดี โครงการรื้อฟ้ืนวิชาการปั้นตุ๊กตาชาววังที่พระร าชทาน แก่ชาวบ้านบางเสด็จ ทาให้ที่นี่กลายเป็นแหล่งผลิตตุ๊กตาชาววังที่ใหญ่ท่ีสุด และมีชื่อเสียงแพร่หลาย ไปไกลทัว่ โลก สรา้ งอาชพี เสรมิ เพ่ิมพนู รายได้ใหแ้ ก่ราษฎรมาต้งั แตป่ ี พ.ศ.2519 เป็นตน้ มา รปู ปัน้ ตุก๊ ตาชาววังบ้านบางเสด็จ ท่มี า : http://horobiz.com/?p=289 43
จกั สานบ้านบางเจ้าฉา่ แหล่งหัตถกรรมเคร่ืองจักสานสาคัญที่ขึ้นช่ือของจังหวัดอ่างทอง คือ \"บ้านบางเจ้าฉ่า” ตั้งอยู่ หมู่ที่ ๘ บ้านยางทอง ตาบลบางเจ้าฉ่า เป็นชุมชนที่มีมาในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซ่ึงชาวบ้าน ได้ร่วมกับชาวแขวงเมืองวิเศษไชยชาญ และชาวบางระจัน สู้รบกับพม่า ณ บ้านบางระจัน โดยมี นายฉ่าเป็นผู้นา นายฉ่านั้น พ้ืนเพเป็นคนสีบัวทอง ภายหลังการสู้รบยุติแล้ว “นายฉ่า” จึงได้นาชาวบ้านมาต้ังบ้านเรือนเป็นที่อยู่อาศัยถาวรขึ้นในชุมชนด้านทิศตะวันตกของแม่น้าน้อย แต่เดิมเรียกว่า “บ้านสร้างสามเรือน” เพราะเริ่มแรกมีเพียงสามหลังคาเรือนเท่านั้น ซ่ึงเป็นพื้นที่ อุดมสมบูรณ์ เหมาะแก่การตั้งเป็นท่ีอยู่อาศัย ปัจจุบันมีช่ือว่า “บางเจ้าฉ่า” เพราะนาช่ือของนายฉ่า มาตัง้ ชือ่ ซง่ึ นายฉา่ น้ัน เป็นท้ังผู้นาและเปน็ ผู้กอ่ ต้ังหมูบ่ ้าน โดยที่น่ีเป็นแหล่งผลิตเครื่องจักสานด้วยไม้ไผ่ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เคยเสด็จพระราชดาเนินมาเยือนและได้พระราชทานคาแนะนาให้ราษฎรปลูกไม้ไผ่สีสุก เพื่อเป็น วัตถุดิบในการทาเคร่ืองจักสานและเป็นการอนุรักษ์งานฝีมือประเภทน้ีไว้ งานจักสานของบ้านบางเจ้าฉ่า มีความละเอียดประณีตสวยงามสามารถพัฒนางานฝีมือตามความต้องการของตลาด ไม่ยึดติด กับรูปแบบเก่าจนสามารถส่งออกขายต่างประเทศได้ จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นหมู่บ้านตัวอย่าง ในการพัฒนาอาชพี จกั สานบ้านบางเจา้ ฉ่า ทมี่ า : https://www.m-culture.go.th/angthong/ewt_news.php?nid=472 44
กลองดีตีดังแหง่ บ้านปากนา้ การทากลองเป็นงานศิลปหัตถกรรมท่ีเกิดจากความชานาญ โดยการสร้างกลอง ทเ่ี ปน็ ทัง้ เครือ่ งดนตรีมคี วามงดงามประณตี อยใู่ นชิน้ งานเดยี วกนั “ย่านทากลอง” แหล่งที่ใหญ่ท่ีสุดในขณะนี้อยู่ท่ีบ้านปากน้า ตาบลเอกราช อาเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง ชาวบ้านท่ีนี่ทากลองกันท้ังหมู่บ้าน ทากลองหลายชนิดและหลายขนาด เป็นแหล่ง ผลิตสินค้าท่ีระลึกและเคร่ืองดนตรีชั้นเยี่ยมที่หัวหน้าวงดนตรีเสาะแสวงหา การผลิตกลองส่วนใหญ่ เป็นกลองท่ีมีการสั่งเข้ามาและสามารถขายได้สะดวก เช่น กลองยาว กลองทัด กลองแขก กลองที่ระลึกขนาดเล็ก ๆ ส่วนกลองที่ใช้ในเคร่ืองดนตรีของภาคต่าง ๆ มีการทาบ้างเพียงเล็กน้อย ซ่ึงจะมีผ้สู ัง่ ทาพเิ ศษเท่านนั้ หมู่บ้านทากลองที่ตาบลเอกราช อยู่ไม่ห่างจากตัวอาเภอป่าโมกเท่าใดนัก การเดินทาง สู่หมบู่ ้านทากลองต้องเข้าไปตามทางถนนลูกรัง ผ่านประตูระบายน้าคลองปลากด และวัดโบสถว์ รดิตถ์ ลึกเข้าไปด้านใน มีบ้านเรือนไทย บ้านเรือนไม้ธรรมดาบ้างกลางเก่ากลางใหม่ รวมกันอยู่เป็นกลุ่ม ท่ีลานบ้านและใต้ถนุ บ้าน มีกองไม้ถูกตัดเป็นท่อนเพอ่ื ใช้ในการผลิตกลอง ทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ แทบทกุ หลังคาเรือน จังหวัดอ่างทอง อยู่ในบริเวณที่ราบลุ่มแม่น้าเจ้าพระยา ซ่ึงอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างย่ิง ชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพหลักทางเกษตรกรรม โดยเฉพาะการทานา เม่ือว่ างจากงานแล้ว ชาวจังหวัดอ่างทอง ซ่ึงได้ชื่อว่า เป็นศิลปินโดยสายเลือด จะใช้เวลาว่างจากการทานาไปออกแสดง มหรสพต่าง ๆ เช่น ลเิ ก เป็นตน้ จากคาบอกเล่าประวตั ิการเร่ิมทากลองชาวบ้านปากน้าเล่ากันว่า เกิดจากบุคคลผู้หน่ึงซ่ึงเป็น นายวงป่ีพาทย์ เม่ือราว 50 ปีมาแล้ว เร่ิมทากลองทัดก่อนเป็นอันดับแรก แล้วจึงทากลองชนิดอ่ืน ๆ บ้าง เช่น กลองแขก กลองยาว และมีการจ้างชาวบ้านในละแวกใกล้เคียงมาช่วยตัดไม้ ถากไม้ ขุด เจาะ กลึงตัวกลอง แต่ก็ไม่ได้เผยแพร่วิชาการทากลองน้ีให้แก่ผู้ใด จึงมีการลอกเลียนแบบ ท่ีเรียกว่า “ครูพักลักจา” เมื่อฝึกฝีมือจนชานาญแล้ว ลูกจ้างหลาย ๆ คน จึงแยกตัวออกไปประกอบ อาชีพผลิตกลองชนิดต่าง ๆ และสามารถส่งไปจาหน่ายได้แพร่หลายมากข้ึน ซึ่งชาวบ้านปากน้า สืบทอดวิธีการผลิตกลองมาจนถึงปัจจุบัน โดยกลองไทยจานวนมากที่ใช้กันอยู่ในขณะน้ี มีแหล่งผลิต มาจากทอ้ งทุง่ ในอาเภอปา่ โมกแทบทั้งสนิ้ 45
กลองประเภทตา่ ง ๆ ทผ่ี ลติ ในหมบู่ า้ นทากลอง ที่มา : https://www.m-culture.go.th/angthong/ewt_news.php?nid=465 ราโทนคณะบ้านหนา้ วดั โบสถ์ การเล่นราโทนของชาวสามโก้ จังหวัดอ่างทอง ริเริ่มโดยตารวจและทหารท่ีไปปฏิบัติหน้าที่ ในสงครามโลกครั้งท่ี 2 หลังจากเสร็จภารกิจแล้ว ทางการส่ังให้มาประจาหน่วย ซึ่งปัจจุบัน คือ วัดเกษทอง เพ่ือปราบปรามโจรผู้ร้ายและเหล่าบรรดามิจฉาชีพต่าง ๆ ที่มีอยู่ชุกชุมในขณะน้ัน คร้ันเมื่อเลิกจากงานแล้วต่างก็สร้างความสาราญให้กับตนเอง ด้วยการร้องราเล่นเพลงต่าง ๆ เพลงที่นามาร้องนั้นส่วนมากเป็นเพลงส้ัน ๆ จาง่าย มีเครื่องดนตรีให้จังหวะ ได้แก่ โทน ฉ่ิง และกรับ ต่อมาชาวบ้านได้นามาร้องเล่นกัน เมื่อทานาเสร็จก็มาชุมนุมกันท่ีเนินสูงกลางหมู่บ้าน โดยจะร้องกัน เป็นประจาทุกคนื ในระยะต่อมาได้มีการละเล่นชนิดหนึ่ง เรียกว่า “ราวง” หรือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า “เชียร์ราวง” ซ่ึงมีลักษณะคล้ายกับการประยุกต์รูปแบบการเล่นราโทน ใช้จังหวะแบบดนตรีสากล ซึ่งมีความเร้าใจทาให้หนุ่มสาวหันมาเล่นราวงกันมากข้ึน ภายหลังได้เกิดคณะราวงข้ึนมากมาย ซึ่งคณะราวงตา่ ง ๆ ทีเ่ กดิ ขนึ้ นี้เปน็ ท่นี ยิ มแพร่หลายถึงกบั ทาให้การเล่นราโทนซบเซาลง จนกระทั่งปี พ.ศ. 2521 นายทองอาบ ไข่แก้ว อดีตผู้ใหญ่บ้าน ได้มีการฟ้ืนฟูราโทนขึ้นใหม่ ด้วยเห็นว่าราโทนของสามโก้เคยรุ่งเรืองมาแต่อดีต และเป็นเอกลักษณ์ประจาหมู่บ้าน จึงได้ชักชวน เพ่ือนบ้านที่เคยเล่นราโทนมาร่วมกันฟ้ืนฟูการเล่นราโทนข้ึนใหม่ และนับแต่น้ันมาก็มีการเผยแพร่ การเล่นราโทนสู่เยาวชนในโรงเรียนต่าง ๆ ละแวกใกล้เคียง เช่น โรงเรียนสามโก้วิทยาคม โรงเรียนวิเศษไชยชาญตันติวิทยาภูมิ นอกจากน้ียังมีการอนุเคราะห์ให้ข้อมูล ตลอดจนวิธีการเล่น ราโทนแกค่ ณะอาจารยแ์ ละนกั ศึกษาทงั้ ภายในจังหวัดอ่างทองและจงั หวดั ใกล้เคยี ง 46
บทเพลงในการเล่นราโทนของคณะบ้านหน้าวัดโบสถ์ เป็นบทเพลงท่ีมีพัฒนาการมายาวนาน นับเป็นคณะราโทนท่ีมีบทเพลงมาก และสามารถอนุรักษ์บทเพลงไว้ได้มากที่สุด ซ่ึงแสดงถึง ความเป็นปึกแผ่นและแข็งแกร่งของวัฒนธรรมพ้ืนบ้าน ที่สะท้อนถึงเรื่องราวแห่งความบันเทิง ในระดบั ทอ้ งถิน่ ที่มคี วามสมั พันธ์กับวิถชี ีวติ ชาวบา้ น และสภาพสงั คมในสมยั นั้นอยา่ งชดั เจน บทเพลงราโทนมีความหลากหลายทั้งด้านทานอง จังหวะ และบทร้อง จัดได้ว่า เป็นการละเล่นพื้นบ้านที่แตกต่างจากเพลงประเภทอ่ืน เนื่องจากเพลงราโทนมีองค์ประกอบ ของความเป็นดนตรีอย่างสมบูรณ์ ทั้งในด้านบทร้อง ทานอง จังหวะ ระบบเสียง ความหลากหลาย ของท่วงทานองที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราว ถ่ายทอดสภาพสังคมได้อย่างละเอียด นับเป็นบทเพลง ของชีวิตแห่งท้องทุ่งท่ีทรงคณุ ค่า และควรแกก่ ารอนรุ ักษ์สืบสานตอ่ ไป การแสดงราโทน ที่มา : https://www.m-culture.go.th/angthong/more_news.php?cid=68 47
เร่อื งท่ี ๓ ประเพณีของจงั หวัดอา่ งทอง ประเพณีของจังหวัดอ่างทอง เกิดจากวิถีแห่งการดารงชีวิตของผู้คนตามความเชื่อท่ีถ่ายทอด สืบเน่ืองในแต่ละยุคสมัย ประกอบกับสภาพทางภูมิศาสตร์อันเป็นปัจจัยหนึ่งที่หล่อหลอม และสร้างผลิตผลทางวัฒนธรรมให้มีเอกลักษณ์เฉพาะของแต่ละท้องถิ่น จังหวัดอ่างทองเป็นเมือง ที่ได้ชื่อว่า “ในน้ามีปลาในนามีข้าว” ประชาชนดารงชีวิตอยู่กับสายน้าหลัก 2 สาย ได้แก่ แม่น้าเจ้าพระยาและแม่น้าน้อย ซ่ึงเป็นแหล่งก่อเกิดขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ สมควรได้รับ การอนรุ ักษแ์ ละสืบสานดังนี้ ประเพณีทิ้งกระจาด งานประเพณีพิธีทิ้งกระจาดที่จัดขึ้นนี้ เป็นประเพณีที่ได้มีการปฏิบัติสืบต่อกันมาต้ังแต่ สมัยโบราณนานกว่า 1 พันปี เน่ืองจากมีความเชือ่ กันวา่ วันซโิ กว หรืองานบญุ เดือนเจด็ ของชาวจนี น้ัน เป็นการสร้างทานบารมีท่ีย่ิงใหญ่ให้แก่บรรดาสัมภเวสี หรือภูตผีไม่มีญาติ ท่ีถูกปลดปล่อยออกมา รบั ส่วนบุญเป็นเวลา 1 เดือน โดยที่จังหวัดอ่างทอง จะเป็นสถานท่ีเร่ิมต้นพิธี ทีจ่ ะต้องนิมนตพ์ ระสงฆ์ จีน หรือ “ซือหู” มาทาพิธีเปิดประตูนรกเพื่อปลดปล่อยวิญญาณ จากนั้นจะผลัดเปลี่ยนหมุนเวียน ไปแตล่ ะพนื้ ที่จัดพิธแี จกทานไปทกุ จังหวดั และไปทาพิธกี าร “ปิดประตูนรก” ซ่ึงประเพณีทิ้งกระจาดท่ีศาลเจ้าอ่างทอง ตาบลตลาดหลวง อาเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง ประชาชนชาวไทยเชื้อสายจนี ในพน้ื ที่ จะรว่ มกนั บริจาคส่งิ ของ ขา้ วสารอาหารแห้ง เพ่ือแจกทานใหแ้ ก่ คนยากจน โดยมีประชาชนคนยากจนในพื้นที่ และจังหวัดข้างเคียงท่ีทราบข่าว จะหอบลูกจูงหลาน มารับแจกทานข้าวสาร อาหารแห้ง รวมทั้งเครื่องอุปโภคบริโภค เป็นจานวนมาก ซึ่งการจัดงาน ประเพณีงานท้ิงกระจาดประจาปีของจังหวัดอ่างทองน้ี เป็นงานบุญท่ีชาวไทยเช้ือสายจีน ไดป้ ฏิบตั ดิ ารงมาจากอดตี ถึงปัจจบุ นั ประชาชนรว่ มงานประเพณีท้ิงกระจาด ท่มี า : http://angthongnews.blogspot.com/2017/08/2560_23.html 48
ประเพณีพิธหี ่มผ้าพระนอนวัดขุนอนิ ทประมลู พระนอนวัดขุนอินทประมูล ประดิษฐานอยู่ ณ วัดขุนอินทประมูล ตาบลอินทประมูล อาเภอโพธ์ิทอง จังหวัดอ่างทอง มีองค์พระยาว 1 เส้น 5 วา หรือ 50 เมตร จากตานานกล่าวว่า ขุนอินทประมูลได้ยักยอกเงินหลวงมาสร้าง คร้ันถูกสอบถามว่าเอาเงินจากไหนมาสร้างพระ ขุนอินทประมูลก็ไม่ยอมบอกความจริง จึงถูกลงโทษจนตาย คงมีความเชื่อที่ว่าถ้าบอกแหล่งท่ีมา ของเงินแล้ว ตนจะไมไ่ ดก้ ุศลตามท่ีปรารถนา โดยองค์พระนอนมีลักษณะพระพักตร์หันไปทางทิศเหนือ พระเศียรหันไปทางทิศตะวันออก เม่ือมองตลอดท้ังองค์มีความสง่างามมาก พระพักตร์งดงามได้สัดส่วน แสดงออกถึงความมีเมตตา ปัจจบุ ันองค์พระนอนอยู่กลางแจ้งไมม่ วี ิหารคลุมเชน่ พระนอนองค์อน่ื เน่ืองจากสมัยก่อนหลังจากสรา้ ง องค์พระนอนเสร็จแล้ว ระหว่างการสร้างวิหารเพ่ือคลุมองค์พระนอน ก็มีเหตุให้สร้างไม่ได้อยู่หลายครั้ง หลายครา จนชาวบ้านไม่รู้จะทาอย่างไร จึงปล่อยให้ประดิษฐานอยู่กลางแจ้ง ซ่ึงองค์พระนอนก็เด่น เปน็ สงา่ สวยงดงามอย่างที่เหน็ และปจั จบุ ันมีต้นไม้ใหญ่ขึน้ เปน็ จานวนมาก ทาใหร้ ม่ รน่ื ย่งิ นกั สาหรับพิธีห่มผ้าน้ัน เร่ิมจากการการนาผ้าผืนใหญ่ท่ีชาวอ่างทองในเขตพ้ืนท่ีอาเภอต่าง ๆ ร่วมใจกันเย็บข้ึน เพื่อนาใช้ในการห่มองค์พระนอนพุทธไสยาสน์ ซ่ึงแต่ละอาเภอได้นามารวมกัน ท่ีวัดขุนอินทประมูลแห่งน้ี เพ่ือทาการเย็บรวมเป็นผืนเดียวกัน ขนาดยาว 25 วา เมื่อทาการเย็บรวม เสร็จแลว้ กท็ าพิธกี ารแห่ผ้าดังกลา่ ว แล้วชว่ ยกันชักเชอื กดึงผา้ ข้ึนห่มองคพ์ ระนอน พิธีการห่มผ้าพระนอนน้ัน เป็นการอนุรักษ์ความเป็นไทย และสืบสานวัฒนธรรมประเพณี ท่ีเคยปฏิบัติสืบทอดต่อกันมาอย่างช้านาน โดยชาวอ่างทองมีความเชื่อว่าในการห่มผ้าองค์พระนอนน้ี จะส่งผลบุญใหเ้ กิดความสงบสุขร่มเยน็ แก่ตนเองและครอบครัว ประชาชนบชู าขอพรพระนอนวัดขนุ อนิ ทประมลู ท่มี า : https://www.tnews.co.th/region/335255/อา่ งทอง 49
ประเพณีเผาข้าวหลามวดั บา้ นแก ประเพณีการเผาข้าวหลามวัดบ้านแก เป็นพุทธบูชาและสร้างความสามัคคีให้กับชาวบ้าน ในชุมชน ที่บริเวณวัดบ้านแก ตาบลศรพี ราน อาเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง ทางวัดร่วมกับชาวบ้าน ในชุมชน ได้จัดให้มีประเพณีการเผาข้าวหลาม จานวน 10,000 กระบอก เพื่อถวายเป็น พุทธบูชาแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เน่ืองในวันมาฆบูชา โดยมีชาวบ้านจาก 2 ตาบล จากพนื้ ท่ี 2 อาเภอ จานวนกวา่ หลายร้อยคน ได้ร่วมสืบทอดประเพณใี นการเผาขา้ วหลาม สร้างความ สามัคคีที่วัดบ้านแกกันมาหลายสิบปี โดยมีเจ้าอาวาสวัดบ้านแก หน่วยงานราชการ และชาวบ้าน ได้ร่วมจิตร่วมใจ นาข้าวเหนียว ไม้ไผ่ ใบตองแห้ง ไม้ฟืนมาร่วมกันเผาข้าวหลาม บริเวณลานข้างวัด จานวน 10,000 กระบอก โดยช่วยกันทาตามหน้าที่และความถนัดของแต่ละคน เพื่อเป็นการ เชอ่ื มความสัมพันธไมตรี สร้างความสามคั คีในหมคู่ ณะ ท่ที ากนั มาต้งั แตบ่ รรพบุรษุ เจ้าอาวาสวัดบ้านแก เปิดเผยว่าประเพณีการเผาข้าวหลามท่ีวัดแห่งน้ี สืบทอดกันมาต้ังแต่ สมัยบรรพบุรุษเนิ่นนานมาหลายสิบปีแล้ว เป็นการร่วมมือกันระหว่างชาวบ้านในชุมชนท้ัง 2 หมู่บ้าน ใน 2 อาเภอ กับพระสงฆ์ ประชาชน และนักแสวงบุญท่ีทราบขา่ วเดินทางมารว่ มงานบญุ เพื่อเป็นการ บูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เน่ืองในวันมาฆบูชา และเป็นการมุ่งเน้นทาบุญอุทิศส่วนกุศล ให้แก่ผู้ท่ีล่วงลับไปแล้ว โดยอาศัยจากญาติโยมผู้ใจบุญท่ีได้ร่วมใจกันช่วยเหลือ เพ่ือให้เกิดกิจกรรม ในชุมชน และเป็นการเชื่อมความสัมพันธ์ ความสามัคคี ความรักของชุมชนให้เกิดขึ้น โดยยึดมั่น ในบญุ กศุ ลให้เกิดความร่มเยน็ และความผาสุก สาหรับประเพณีการเผาข้าวหลาม เร่ิมด้วยพิธีสงฆ์ในการทาบุญเล้ียงพระ โดยมีชาวบ้าน จานวนหลายรอ้ ยคนแบ่งหน้าที่กันทาอย่างสนุกสนาน ตงั้ แต่เล่ือยไม้ไผ่ การเตรียมกระบอกข้าวหลาม การช่วยกันขูดมะพร้าว คั้นกะทิ การเตรียมข้าวเหนียว และการนาใบตองแห้งมามัดทาเป็นจุก เพ่ืออุดกระบอกข้าวหลาม ซึ่งมีชาวบ้านในชุมชนทุกเพศทุกวัยและนักแสวงบุญ ได้ช่วยกัน กรอกส่วนผสมข้าวหลามเข้าไปในกระบอก แล้วนาไปเรียงเป็นแถวทาการเผาให้สุกก่อนท่ีจะนาไป ทาบญุ เลยี้ งพระในวนั มาฆบชู า ชาวบ้านร่วมมือกนั ทาข้าวหลาม ท่มี า : https://mgronline.com/local/detail/9610000020584 50
ประเพณงี านบญุ โขลกแป้งขนมจีน วดั สว่างอารมณ์ งานประเพณีงานบุญโขลกแป้งขนมจีน วัดสว่างอารมณ์ ตาบลสามง่าม อาเภอโพธิ์ทอง จงั หวดั อา่ งทอง จัดขึน้ เป็นประจาทุกปี ตรงกับวันข้ึน ๑๑ ค่า เดือน ๑๑ เพ่ือเป็นการสืบทอดประเพณี ที่ ดี งาม ให้ ค งอ ยู่ คู่ ชุ ม ช น ต ล อ ด ไป แล ะเป็ น ก ารส่ งเส ริม ก ารท่ องเท่ี ยว เชิ งวัฒ น ธรรม โดยหลวงพ่อพุด จันทโชโต อดีตเจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์ ได้เป็นผู้คิดริเริ่มประเพณีนี้ขึ้น มากว่า ๖๐ ปีแล้ว เนื่องจากได้มเี รือท่ีบรรทุกข้าวสารอาหารแห้งท่ีเรี่ยไรมาจากชาวบ้านได้ล่มลงกลางแม่น้าน้อย หลวงพ่อพุด กลัวว่าข้าวสารที่จมน้าไปจะเสียโดยเปล่าประโยชน์ จึงให้ชาวบ้านช่วยกันนาข้าวสาร มาหมักเป็นแป้งทาขนมจีนถวายเป็นภัตตาหารแด่พระสงฆ์ และแจกจ่ายให้แก่ชาวบ้านทั่วไป ไดร้ ับประทาน และถือเอาวันทีม่ กี ารโขลกแป้งขนมจนี เป็นงานบญุ ประจาปี การทาขนมจีนแบบโบราณนั้น จะนาแป้งหมักใส่ถุงพลาสติก มัดปากถุง เอาหินทับ ราดน้าเช้าและเย็น นาไปโม่หรือยีด้วยมือให้เป็นน้าแป้งนาใส่โอ่งท้ิงให้แป้งตกตะกอน 2 คืน เทน้าใสออก แล้วตักแป้งใส่ถุงผ้าหนา ๆ เอาหินทับให้แห้ง นาแป้งออกมาป้ันเป็นลูกกลม ๆ ต้มในน้าเดือด แช่น้าเย็นนาไปตาและเข้าเคร่ืองนวด กรองด้วยผ้าขาวบางโรยให้เป็นเส้น ตักออก มาล้างน้าจับเส้นให้เป็นจับ ใส่กระจาดรองด้วยใบตอง คลุมเส้นด้วยผ้าขาวบางชุบน้าหมา ด ๆ กนั เสน้ แหง้ พร้อมรบั ประทาน การโขลกแปง้ ขนมจนี ทมี่ า : http://angthongnews.blogspot.com/2013/10/blog-post_15.html 51
เจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์ กล่าวว่า งานประเพณีงานบุญโขลกแป้งขนมจีน ได้มีการจัดข้ึน เป็นประจาทุกปี โดยมีกาหนดจัดงานในวันข้ึน 11 ค่า และขึ้น 12 ค่า ซ่ึงวันข้ึน 11 ค่า จะเป็นวัน โขลกขนมจีน ส่วนวันข้ึน 12 ค่า จะเป็นวันเลี้ยงพระ โดยจะมีงานในเดือน 11 ทุกปี เพ่ือเป็นการ สืบทอดประเพณีวัฒนธรรมที่ดีงาม ให้คงอยู่คู่ชุมชนตลอดไป และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยว เชิงวัฒนธรรมอีกดว้ ย ประเพณแี ข่งขันตะไลชนโคม ประเพณีแข่งขันตะไลชนโคม เป็นกีฬาพ้ืนบ้านที่มีการสืบสานกันมา ภายหลังจากหลวงพ่อเล็ก พระเกจิอาจารย์ช่ือดัง เป็นผู้ริเร่ิมไว้เม่ือ 80 ปีก่อน ซึ่งจัดขึ้นทุกปีในเทศกาลเข้าพรรษา ท่ีมีความ สนุกสนาน สร้างความสามัคคี และเป็นการบูชาพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง โดยมีการจัดการแข่งขัน ตะไลชนโคมทวี่ ัดเกาะ อาเภอโพธิท์ อง จังหวดั อา่ งทอง การแข่งขันตะไลชนโคมที่วัดเกาะ ใช้สุ่มไก่ จานวน 4 อัน ผูกไว้ส่ีมุม มีสุ่มปลาจานวน 1 อัน ผูกไว้ต รงกลาง น าไป แขวน ไว้ด้าน บ น ท่ี สูงป ระม าณ 30 เมต ร ให้ ผู้แข่งขัน แต่ละที ม ทาการจุดตะไลให้ขึ้นไปบนท้องฟ้า หากตะไลเข้าไปติดอยู่ภายในสุ่มจะได้คะแนน โดยแต่ละทีม มี 4 คน แต่ละคนจะมีตะไลให้จุด จานวน 4 ดอก โดยยืนอยู่ด้านล่างตรงกับสุ่ม ก่อนที่จะจุดตะไล ไปบนท้องฟ้า หากเข้าสุ่มไก่ที่แขวนอยู่ด้านบน จะได้ 5 คะแนน แต่ถ้าชนสุ่มคะแนนลดลงไป ตามกติกาท่ีกาหนด ซ่ึงเป็นการแข่งขันท่ีสร้างความสนุกสนานแก่นักท่องเที่ยว และชาวบ้านที่เข้ามา เที่ยวและทาบุญเข้าพรรษาเป็นอย่างมาก ที่สาคัญก่อนการแข่งขันของแต่ละทีม ทางวัดเกาะจะให้ ผู้เข้าแข่งขันทาการจุดตะไลถวายหลวงพ่อเล็ก เพ่ือเป็นการบูชาก่อน 1 ดอก หากตะไลที่จุดวิ่งเข้าไป ในสุ่มปลาขนาดเล็กท่ีแขวนไว้ตรงกลาง จะได้รางวัลจากคณะกรรมการ และเปน็ การสร้างขวัญกาลังใจ แกท่ มี ทเ่ี ขา้ รว่ มแข่งขนั การแข่งขนั ตะไลชนโคม ทม่ี า : https://www.thairath.co.th/content/668872 52
ประเพณีพธิ ีไหวค้ รูกลอง ประเพณีพิธีไหว้ครูกลอง ตาบลเอกราช อาเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง เป็นประเพณีที่จัดขึ้น ทุกปี โดยผู้นากลุ่มผู้มีอาชีพทากลองและชาวตาบลเอกราช โดยมีวัตถุประสงค์ท่ีสาคัญเพ่ือเป็นการ ราลึกถึงคุณครูบาอาจารย์ ท่ีได้ประสิทธิประสาทวิชาการทากลองไว้ให้เพื่อประกอบอาชีพ เล้ียงครอบครัว เป็นการส่งเสรมิ และการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวเชิงศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญา ท้องถิ่นของหมู่บ้านทากลองเอกราช และเพ่ือให้เป็นท่ีรู้จักอย่างแพร่หลายของคนท่ัวไป ท้ังชาวไทย และชาวต่างชาติ หมู่บ้านทากลอง ตาบลเอกราช เป็นหมู่บ้านท่ีมีชื่อเสียงใน การทากลองท่ีมีคุณภาพ มีการสืบทอดการทากลอง ซึ่งเป็นภูมิปัญญาของบรรพบุรุษจนเป็นมรดกตกทอดจนมาถึงรุ่นลูก รุ่นหลาน เป็นการสั่งสมประสบการณ์ ตลอดจนมีการพัฒนาและปรับปรุงแก้ไข จนเป็นแหล่งผลิตกลอง ท่ีมคี ณุ ภาพ เป็นทย่ี อมรับของนักดนตรไี ทยระดบั มืออาชพี และชาวตา่ งชาติ ดังน้ัน ชาวตาบลเอกราช จึงได้จัดพิธีไหว้ครูกลองข้ึน โดยมีการจัดเครื่องเซ่นไหว้เป็นมงคล ตา่ ง ๆ ตามความเชื่อของผู้มอี าชีพทากลอง มีพราหมณ์เป็นตัวแทนกล่าวโองการถวายแด่พระเพชรฉลูกัณฑ์ ซ่ึงเป็นเทพแห่งความสาเร็จ ทาให้เกิดความเป็นสิริมงคล เกิดความสาเร็จในหน้าท่ีการงาน การอาชีพ โดยพิธไี หวค้ รกู ลองนี้จัดขนึ้ ในวนั พฤหสั บดี ขา้ งข้ึนเดอื น 9 เปน็ ประจาทุกปี การจดั พธิ ไี หว้ครูกลอง ทีม่ า: http://www.angthong.go.th/pdf/feb59.pdf 53
ประเพณสี ดุดีวีรชนคนแสวงหา “งานสดุดีวีรชนคนแสวงหา” จัดขึ้นโดยอาเภอแสวงหา ร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถ่ิน ในอาเภอแสวงหา โดยจัดข้ึนในเดือนมีนาคมของทุกปี ณ สนามกีฬาอาเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง เพ่ือราลึกถึงคุณงามความดีของวีรชนคนแสวงหา คือ นายอิน นายเมือง นายแท่น นายโชติ สี่วีรชน คา่ ยบางระจัน ทส่ี ละชพี ต่อส้กู ับทหารพมา่ ครง้ั พมา่ บุกกรงุ ศรีอยธุ ยาเมอ่ื ปี พ.ศ. ๒๓๐๙ ภายในงานจะมีขบวนแห่สดุดีวรี ชนคนแสวงหา ในพิธีเปิดงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทุกตาบล มีการจัดนิทรรศการของหน่วยงานราชการ การจาหน่ายสินค้าราคาถูก สินค้า OTOP สนิ ค้าราคาประหยัด การแสดงแสง สี เสียง และการแสดงศิลปวัฒนธรรมพืน้ บ้านต่าง ๆ มากมาย ขบวนแหส่ ดดุ ีวีรชนคนแสวงหา ทมี่ า : http://www.news-town.com/public/2020/08/28/114721/ 54
ประเพณกี ารแข่งเรอื ยาว ประเพณี การแข่งเรือยาว เป็นประเพณี ท่ีนิยมกันมาตั้งแต่โบราณ จนถึงปัจจุบัน เพราะจังหวัดอ่างทองมีสภาพภูมิประเทศเป็นที่ราบลุ่ม มีแม่น้าสาคัญไหลผ่าน 2 สาย คือ แม่น้าน้อย และแม่น้าเจ้าพระยา ประชาชนส่วนใหญ่ท่ีอาศัยอยู่ริมแม่น้าใช้เรือเป็นพาหนะสัญจรไปมา ส่วนประชาชนท่ีมิได้อาศัยอยู่ริมแม่น้า เม่ือถึงฤดูน้าหลาก น้าจะท่วมบริเวณบ้านเรือนและไร่นาท่ัวไป จึงต้องอาศัยเรือในการสัญจรไปมาเช่นกัน ทาให้มีความสามารถในการพายเรือ จนทาให้เกิดกีฬา หรือการละเล่นแข่งขันเรือยาวข้ึน เพ่ือเป็นการแสดงฝีมือในการพายเรือ และความสามัคคี ของประชาชน ประเพณีการแข่งเรือยาว มีการจัดขึ้นในช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี ซ่ึงวัดที่อยู่ริมแม่น้าจะจัดงานแข่งขันเรือยาวเพ่ืออนุรักษ์สืบทอดประเพณีของท้องถ่ิน และประกวด ประชันฝีมือฝีพาย เพื่อสร้างความสนุกสนานตื่นเต้นให้กับผู้ร่วมงาน เช่น งานประเพณีแข่งเรือยาว วัดปา่ โมกวรวิหาร อาเภอปา่ โมก และงานประเพณแี ขง่ ขนั เรือยาว วดั สุวรรณราชหงส์ อาเภอโพธท์ิ อง โดยเรือยาวที่สร้างข้ึนจะเก็บรักษาไว้เป็นสมบัติของวัดและประชาชนในท้องถ่ิน ซึ่งวัดที่มี เรือยาวมีช่ือเสียงของจังหวัดอ่างทอง ได้แก่ วัดสุวรรณราชหงส์ วัดโบสถ์ราษฎร์ศรัทธาธรรม วดั บา้ นสร้าง และวดั โพธิ์ราษฎร์ เปน็ ต้น การแขง่ ขนั เรอื ยาว ที่มา : http://travel.trueid.net/detail/rk86JkEB5VZ 55
ประเพณกี ารสรงนา้ พระ ๑๐๐ รูป การสรงน้าพระ ๑๐๐ รูป เป็นประเพณี ของอาเภอสามโก้ จังหวัดอ่างทอง โดยจัดข้ึน ในวันที่ ๑๕ เมษายน เวลา ๑๔.๐๐ น. ของทุกปี ถือเป็นประเพณีการเฉลิมฉลองวันขึ้นปีใหม่ของไทย ที่ยึดถือปฏิบัติมาแต่โบราณช่วงวันสงกรานต์ จึงเป็นวันแห่งความเอื้ออาทร ความรัก ความผูกพัน ท่ีมีต่อกันท้ังครอบครัว ชุมชน สังคม และศาสนา แต่ปัจจุบันได้เปลี่ยนไปสู่สังคมในวงกว้าง และมี แนวโน้มที่จะเปล่ียนทัศนคติ และความเช่ือส่วนน้ันไป ในความเช่ือดั้งเดิมที่ใช้สัญลักษณ์ เป็นองค์ประกอบหลักในพิธี ได้แก่ การใช้น้าเป็นตัวแทนขอพรจาก บิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย และญาติผู้ใหญ่ท่ีเคารพนับถือ เพื่อแสดงความกตัญญูกตเวที ต่อบรรพบุรุษที่ล่วงลับไปแล้ว ด้วยการทาบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้ อีกท้ัง ยังเป็นการสร้างความสมัครสมานสามัคคีในชุมชน โดยการรว่ มกนั ทาบุญให้ทาน การก่อพระเจดยี ์ทราย ซึ่งนับวา่ เปน็ การทานุบารงุ พระพุทธศาสนา ประชาชนรว่ มงานประเพณีสรงนา้ พระ ๑๐๐ รปู 56
ประเพณกี าฟา้ ประเพณีกาฟ้า เป็นประเพณีท่ีสาคัญของชาวไทยพวน คาว่า”กา” ในภาษาพวนหมายถึง การนับถือสักการะ คาว่า \"ฟ้า” หมายถึง เจ้าฟ้า เจ้าแผ่นดิน ผู้อยู่สูงเทียมฟ้า หรือเทวดาและ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่ีมองไม่เห็น คาว่า \"กาฟ้า” จึงหมายถึง การนับถือการบูชาฟ้า มีตานานเล่าต่อ ๆ กันมา ว่าสาเหตุที่เกิดวันกาฟ้า เนื่องจากสมัยหน่ึงเมืองพวนขึ้นอยู่กับนครเวียงจันทน์ และมีเจ้าชมพู เป็นกษัตริย์เมืองพวนนาทัพร่วมกับนครเวียงจันทน์ไปตีเมืองหลวงพระบาง แต่เจ้าชมพูได้ประกาศ เอกราชไม่เป็นเมืองขึ้นของเวียงจันทน์ ทาให้เจ้านนท์แห่งนครเวียงจันทน์โกรธมาก ยกทัพมาปราบ เมืองพวนและจับเจ้าชมพูได้ จึงสั่งให้ประหารชีวิต ขณะท่ีทาพิธีประหาร ฟ้าผ่าถูกด้ามหอกที่จะใช้ ประหาร ทหารเวียงจันทน์ไปกราบทูลเจ้านนท์ให้ทราบเหตุอัศจรรย์น้ัน เจ้านนท์จึงรับส่ังให้นา เจ้าชมพูกลับไปครองเมืองพวนตามเดิม ต้ังแต่เหตุการณ์คร้ังนั้น จึงทาให้เกิดประเพณีกาฟ้าสืบมา จนถึงปัจจุบัน ประกอบกับชาวไทยพวนมีอาชีพทานาอยู่แล้ว จึงมีวิถีชีวิตผูกพันกับฟ้า ไม่กล้าทาให้ ฟ้าพิโรธ เพราะกลัวฟ้าฝนไม่ตกต้องตามฤดูกาล การจัดงานบุญกาฟ้าน้ี ก็เพ่ือให้ผีฟ้าเทวดามีความ พงึ พอใจ อีกทัง้ ยังเป็นการแสดงความขอบคณุ ผีฟา้ ทีป่ ระทานฝนให้ตกตอ้ งตามฤดูกาลอกี ด้วย ประเพณีกาฟ้าของชาวไทยพวนในตาบลเทวราช อาเภอไชโย จังหวัดอ่างทองนั้น ตามประเพณีจัดตั้งแต่วันข้ึน 2 ค่า เดือน 3 ซึ่งเป็นวันเตรียมงานหรือวันสุกดิบ คนในหมู่บ้าน หรือสมาชิกในครัวเรือนจะช่วยกันทา ข้าวหลาม ข้าวจี่ (ข้าวเหนียวป้ันยัดไส้หวาน ไส้เค็ม ชุบไข่ และปิ้งไฟจนแห้งเกรียม) เพื่อนาส่ิงของดังกล่าวไปเซ่นไหว้ผีฟ้า นอกจากน้ียังมีการสร้างปะราสาหรับ ทาพิธีที่วัด ตอนเย็นนิมนต์พระสงฆ์มาเจริญพระพุทธมนต์ ผู้อาวุโสของหมู่บ้านจะประกอบพิธี เบิกบายศรี อัญเชิญเทพยดาผีฟ้ามารับเคร่ืองสังเวยและมีราขอพร กล่าวคาขอให้ผีฟ้า ผีบ้าน ผีเรือน มาปกปักรักษาคนในครอบครัวให้อยู่ดีกินดี มีข้าวปลาอาหารบริบูรณ์ พร้อมร่วมกันเผาข้าวหลาม 1,000 กระบอก เพอ่ื นามาแจกจ่ายชาวบา้ น การประกอบพิธใี นประเพณีกาฟา้ ทม่ี า : https://mgronline.com/local/detail/9630000012911 57
ประเพณีราลกึ วรี ชนแขวงเมอื งวิเศษไชยชาญ “งานราลึกวีรชนแขวงเมืองวิเศษไชยชาญ” จัดขึ้นโดยอาเภอวิเศษชัยชาญร่วมกับ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในอาเภอวิเศษชัยชาญ โดยจัดขึ้นในเดือนมีนาคมของทุกปี และทาพิธี วางมาลาสักการะอนุสาวรีย์นายดอก นายทองแก้ว ทุกวันท่ี 25 เดือนมนี าคม ของทุกปี เพ่ือเป็นการ ระลึกถึงคุณความดีในวีรกรรมความกล้าหาญของท่าน ที่สละชีพสู้กับทหารพม่า เมื่อปี พ.ศ.๒๓๐๘ ก่อนท่ีกรุงศรีอยุธยาจะเสียแก่พมา่ ณ บรเิ วณอนุสาวรีย์นายดอก นายทองแก้ว หมู่ที่ ๒ ตาบลไผจ่ าศีล อาเภอวิเศษชยั ชาญ จงั หวัดอา่ งทอง ภายในงานมีขบวนแห่ในพิธีเปิดงานขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่ินทุกตาบลในอาเภอ วิเศษชัยชาญ มีนิทรรศการของหน่วยงานราชการและเอกชน กิจกรรมลานวัฒนธรรม ซุ้มจัดแสดง และจัดจาหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน การจัดจาหน่ายสินค้าราคาถูก สินค้า OTOP สินค้าราคาประหยัด การแสดงแสง สี เสยี ง การแสดงศิลปวฒั นธรรมพื้นบ้านต่าง ๆ การแสดงศิลปะการต่อส้กู ารปอ้ งกนั ตัว และมหรสพ ประชาชนรว่ มทาพิธีวางมาลาสกั การะอนสุ าวรีย์นายดอก นายทองแก้ว ที่มา : https://www.innnews.co.th/regional-news/news_38736 58
เรื่องท่ี 4 คุณคา่ และความสาคญั ของวัฒนธรรม ประเพณี ของจังหวดั อ่างทอง คุณคา่ ของวฒั นธรรม และประเพณี สามารถจาแนกได้ ดงั นี้ 1. วัฒนธรรม และประเพณี เป็นสิ่งท่ีแสดงถึงเอกลักษณ์ของความเป็นชาติไทย ที่คนไทย ทุกคนควรภาคภูมิใจ วัฒนธรรมไทยมีความโดดเด่นและแสดงออกถึงความเป็นชาติไทย ได้อย่างชดั เจน 2. วัฒนธรรม และประเพณี เป็นสิ่งท่ีทาให้เกิดความเป็นระเบียบในสังคม โดยวัฒนธรรม จะเป็นบรรทัดฐานทางสังคม ท่ีกาหนดแนวทางความประพฤติของคนในสังคม ประกอบด้วย วิถชี าวบ้าน จารีตประเพณี และกฎหมาย 3. วัฒนธรรม และประเพณี ทาหน้าที่หล่อหลอมบุคลิกภาพให้กับคนไทย และความดีงาม เหมาะกับสังคมไทย เป็นเครื่องกล่อมเกลาให้คนไทยมีพฤติกรรมหรือบุคลิกภาพท่ีดีงาม เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เช่น กิริยามารยาทที่สุภาพอ่อนโยน ความอ่อนน้อมถ่อมตน ความใจดี มเี มตตา เป็นตน้ 4. วัฒนธรรม และประเพณี ก่อให้เกิดความเป็นอนั หน่ึงอันเดียวกัน ทาให้คนไทยมีความร้สู ึก ผูกพัน สามารถพึ่งพาอาศัยกันและกันได้ มีจิตสานึกถึงความเป็นพวกเดียวกัน มีปณิธานร่วมกัน ที่จะสืบสานวฒั นธรรมให้คงอยู่ และพัฒนาต่อไปไดอ้ ยา่ งไม่หยุดย้ัง 5. วัฒนธรรม และประเพณี ทาให้เศรษฐกิจของชาติสามารถพึ่งพาตนเองได้ การคิดค้น ประดิษฐ์สิ่งของเคร่ืองใช้ของไทยในปัจจุบัน ได้พยายามรณรงค์ให้สร้างสรรค์ และพัฒนามาจาก ภูมิปัญญาด้ังเดิมของคนไทย โดยสามารถนาไปพัฒนาเป็นสินค้าหน่ึงตาบลหน่ึงผลิตภัณฑ์ (OTOP) ซ่ึงเป็นสินค้าที่ทารายได้ให้ท้องถิ่นและประเทศชาติเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ประเทศไทยในปัจจุบัน ยังยึดแนวคิดตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล อดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร จึงทาให้ สงั คมไทยมีความมนั่ คงและพอเพียง ทางเศรษฐกจิ สามารถพ่ึงพาตนเองได้ ความสาคญั ของวฒั นธรรม และประเพณี มอี ย่หู ลายประการ ดงั นี้ 1. วัฒนธรรม และประเพณี ช่วยแก้ปัญหาและสนองความต้องการต่าง ๆ ของมนุษย์ ให้พน้ จากอันตราย สามารถเอาชนะธรรมชาติได้ 2. วัฒนธรรม และประเพณี ช่วยส่งเสรมิ ร้ังสมาชิกในสังคมให้มีความเปน็ อันหนึ่งอันเดียวกัน และในสังคมทมี่ วี ัฒนธรรมเดียวกันย่อมมีความรู้สกึ ผกู พนั เป็นพวกเดียวกัน 3. วฒั นธรรม และประเพณี เป็นเคร่ืองแสดงเอกลักษณ์ของชาติ โดยชาติท่ีมีวัฒนธรรมดีงาม ย่อมไดร้ บั การยกยอ่ ง และเปน็ หลกั ประกนั ความมน่ั คงของชาติ 4. วัฒนธรรม และประเพณี เป็นเครื่องกาหนดพฤติกรรมของคนในสังคม ช่วยให้ผู้คน อยู่รว่ มกันอยา่ งสันติสขุ 59
5. วัฒนธรรม และประเพณี ช่วยให้ประเทศชาติมีความรุ่งเรืองถาวร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากชาตินั้น มีวัฒนธรรมท่ีดี มีทัศนคติในการดาเนินชีวิตท่ีเหมาะสม ยึดม่ันในหลักขยัน ประหยัด อดทน ความมรี ะเบียบวินัยทด่ี ีงาม สงั คมน้นั จะมีความเจรญิ รงุ่ เรอื ง 6. วัฒนธรรม และประเพณี เป็นส่ิงท่ีน่าสนใจท่ีมีผลต่ออุตสาหกรรมการท่องเท่ียว และเป็น ส่ิงดึงดูดนกั ท่องเทยี่ วอกี ด้วย เรอ่ื งท่ี 5 การอนรุ ักษแ์ ละการสบื สานวัฒนธรรม และประเพณี 1. การอนุรักษ์วัฒนธรรม และประเพณี ควรเริ่มต้นจากการปลูกจิตสานึกให้เยาวชน และประชาชนทุกคน ให้ตระหนกั ถึงคุณค่าและความสาคญั ของวัฒนธรรม 2. ร่วมกันเผยแพร่วัฒนธรรม ประเพณีโดยการเรียนรู้ สืบทอดวัฒนธรรม ประเพณี ของชาติตนเอง 3. เร่ิมต้นจากครอบครัว โดยการร่วมมือกันของคนในครอบครัว ชุมชน สังคม เพื่อจัด กิจกรรมอนรุ ักษ์ สืบทอดวฒั นธรรม และประเพณใี นทอ้ งถน่ิ 4. ส่ือต่างๆ ในสังคมเห็นความสาคัญที่จะศึกษา และถ่ายทอดวัฒนธรรมเป็นประจา อย่างสม่าเสมอ 5. ทกุ คนตอ้ งร่วมมอื กนั หวงแหน รกั ษาวัฒนธรรมอนั ดงี ามใหค้ งอยู่ตลอดไป 6. การร่วมมือรักษา และถ่ายทอดภูมิปัญญาให้ไปสู่สังคมรุ่นลูก รุ่นหลาน จากประสบการณ์ สง่ั สมไว้ในการดารงชีพ มกี ารสบื ทอดกนั มา มกี ารแลกเปลย่ี นเรียนรกู้ บั กลุ่มคนอืน่ 7. หาแนวทางการอนุรักษ์และการสืบสานวัฒนธรรมของชุมชน โดยร่วมกันทั้งหน่วยงาน ภาครัฐและเอกชน ทท่ี าหนา้ ท่ีส่งเสรมิ สนับสนุน การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างชุมชน 60
กิจกรรมทา้ ยบทท่ี 2 ใบงานที่ ๑ คาช้แี จง ให้ผูเ้ รียนตอบคาถามและทากิจกรรมต่อไปน้ี 1. จงบอกความหมายของคาตอ่ ไปน้ี วฒั นธรรม หมายถึง................................................................................................................. .................................................................................................. .............................................................. ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................... ................................................................. ............................................................................................................................. ................................... ประเพณี หมายถงึ .................................................................................................................... .................................................................................................. .............................................................. ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... 2. ให้ผ้เู รียนอธบิ ายคุณคา่ และความสาคัญของวฒั นธรรม ประเพณีของจงั หวดั อ่างทอง มาพอสังเขป ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................... ................................................................. ............................................................................................................................. ................................... ........................................................................................................................................................ ........ ......................................................................................................................... ....................................... ............................................................................................................................. ................................... 3. ให้ผ้เู รียนบอกแนวทางการอนรุ ักษ์และสบื สานวฒั นธรรมและประเพณี ............................................................................................................................. ................................... .................................................................................... ............................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... .............................................................................................. .................................................................. ............................................................................................................................. ................................... 61
4. ให้ผเู้ รียนยกตัวอย่างวัฒนธรรมและประเพณีของจังหวัดอา่ งทอง มาพอสงั เขป วฒั นธรรม …………………………………………………………………………………………........................................................... ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ประเพณี …………………………………………………………………………………………........................................................... ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ 5. ให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่ม 5 - 7 คน เพ่ือระดมความคิด วิเคราะห์ ความแตกต่างระหว่างวัฒนธรรม กบั ประเพณขี องจังหวัดอ่างทอง โดยให้ตวั แทนออกมานาเสนอและร่วมกนั แสดงความคดิ เห็น 62
ใบงานท่ี ๒ คาช้แี จง ใหผ้ ู้เรยี นตอบคาถามตอ่ ไปนี้ ๑. จากการท่ีได้ศกึ ษาเรอื่ ง............................................................................ผู้เรียนมีความรคู้ วามเข้าใจ ในเร่อื ง....................................................................อย่างไร ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................. ............... .................................................................................................................... ............................................ ............................................................................................................................. ................................... ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... .................................................................................... ............................................................................ ๒. ผู้เรียนสามารถคน้ ควา้ หาความรใู้ นเร่อื ง.................................................จากแหล่งข้อมูลใดบา้ ง หนังสอื เรยี น อินเทอรเ์ นต็ หอ้ งสมุด ปราชญ์ชาวบา้ น/ภมู ิปัญญาทอ้ งถิน่ อ่ืนๆ ระบุ...................................... ๓. ผู้เรยี นสามารถนาความร้ใู นเรือ่ ง........................................มาปรบั ใชใ้ นชีวติ ประจาวนั ได้อย่างไรบ้าง ................................................................................................................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ............................................................................................................................. ................................... ........................................................................................ ........................................................................ ............................................................................................................................. ................................... ..................................................................................................................................................... ........... ........................................................................................................................ ........................................ ............................................................................................................................. ................................... 63
บทท่ี 3 ภมู ปิ ัญญาและปราชญช์ าวบ้านของจงั หวัดอา่ งทอง สาระสาคัญ เนอ้ื หาสาระเก่ียวกบั ภมู ปิ ัญญาของจังหวัดอ่างทอง ที่เปน็ องคค์ วามรู้ ความเชือ่ ความสามารถ ของคนในท้องถ่ิน และปราชญ์ชาวบ้านของจังหวัดอ่างทอง ผู้เป็นบุคคลที่มีความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ และนาภมู ิปญั ญามาใช้ประโยชน์ในการดารงชวี ติ จนประสบผลสาเร็จ ผลการเรียนรทู้ ่ีคาดหวัง 1. มคี วามรู้ความเข้าใจในภูมิปัญญาและปราชญช์ าวบา้ นของจงั หวดั อ่างทอง 2. ตระหนกั ถงึ ความสาคัญของภมู ปิ ัญญาและปราชญช์ าวบา้ นของจังหวัดอ่างทอง ขอบข่ายเนอื้ หา เรอ่ื งท่ี 1 ความหมายของภูมิปญั ญาและปราชญช์ าวบ้าน เรอื่ งที่ 2 ภมู ิปญั ญาและปราชญช์ าวบ้านของจงั หวดั อ่างทอง สอ่ื ประกอบการเรยี นรู้ 1. หนงั สอื แบบเรยี น 2. อนิ เทอร์เนต็ 4. แหล่งเรยี นรูภ้ ูมิปัญญาและปราชญ์ชาวบา้ น - 64 -
ภูมิปญั ญาและปราชญ์ชาวบ้านของจงั หวดั อ่างทอง ภูมิปัญญาและปราชญ์ชาวบ้านของจังหวัดอ่างทอง เป็นสิ่งท่ีมีคุณค่าของจังหวัดอ่างทอง เพราะเป็นสิ่งท่ีบ่มเพาะ ส่ังสม และสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ส่งผลให้จังหวัดอ่างทอง มีอัตลักษณ์ และเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ภูมิปัญญาและปราชญ์ชาวบ้านในหลาย ๆ ด้าน เป็นฐานในการ สร้างจังหวัดอ่างทอง ให้เจริญภายใต้สังคมการส่ือสารไร้พรมแดนในยุคปัจจุบัน และเป็นสิ่งที่จาเป็น ต่อการเรียนรู้ สร้างจิตสานึกการอนุรักษ์ สืบสาน ตลอดจนการส่งเสริมการเรียนรู้เพ่ือการสืบทอด ปรับประยุกต์ใหด้ ารงสบื ตอ่ ไป เร่อื งที่ 1 ความหมายของภมู ปิ ญั ญาและปราชญ์ชาวบ้าน ภูมิปัญญา หมายถึง องค์ความรู้ ความเชื่อ ความสามารถของคนในท้องถ่ิน ท่ีได้จากการส่ังสม ประสบการณ์และการเรียนรู้มาเป็นระยะเวลายาวนาน มีลักษณะเป็นองค์รวม และมีคุณค่า ทางวฒั นธรรม ปราชญ์ชาวบ้าน หมายถึง บุคคลผู้เป็นเจ้าของภูมิปัญญาชาวบ้าน และนาภูมิปัญญา มาใช้ประโยชน์ในการดารงชีวิตจนประสบผลสาเร็จ สามารถถ่ายทอดเช่ือมโยงคุณค่าของอดีต กบั ปัจจุบันได้อยา่ งเหมาะสม เรือ่ งท่ี ๒ ภมู ปิ ัญญาและปราชญช์ าวบ้านของจงั หวัดอา่ งทอง ภูมิปัญญาและปราชญ์ชาวบ้าน เป็นองค์ความรู้ ความเชื่อ ความสามารถของคนในท้องถ่ิน ที่ได้จากการส่ังสมประสบการณ์ และการเรียนรู้มาเป็นระยะเวลายาวนาน สามารถเผยแพร่ และถ่ายทอดเช่ือมโยงคุณค่าของภูมิปัญญาไปอย่างกว้างขวาง ซ่ึงหนังสือเรียนรายวิชาเลือกเสรี วิชาอ่างทองเมืองน่าอยู่ ฉบับนี้ ขอนาเสนอภูมิปัญญาและปราชญ์ชาวบ้านของจังหวัดอ่างทอง ที่มคี วามโดดเดน่ เป็นทีย่ อมรบั สมควรแก่การอนุรักษ์ สืบทอด และเรียนร้ไู ว้ ดังน้ี - 65 -
ภมู ปิ ญั ญาของจงั หวัดอา่ งทอง เครือ่ งจักสานไมไ้ ผ่ ศูนย์การเรยี นรจู้ ักสานบ้านบางเจา้ ฉ่า ท่มี า : https://thailandtourismdirectory.go.th/th/info/attraction/detail/itemid/1511 งานจักสานไม้ไผ่ เป็นภูมิปัญญาท่ีสืบทอดกันมาจากบรรพบุรุษ โดยสมัยก่อนการจักสาน จะผลิตเป็นภาชนะท่ีใช้ในชีวิตประจาวัน เช่น ตะกร้า กระบุง เคร่ืองมือท่ีใช้เล้ียงสัตว์ และสาหรับ จับสัตวน์ า้ แตป่ จั จุบันได้พฒั นา ดัดแปลงเป็นของใช้ท่ีทนั สมยั อย่างเช่น กระเป๋าถือไมไ้ ผ่ทีส่ วยงาม ที่อยู่ : ศูนย์การเรียนรู้จักสานบ้านบางเจ้าฉ่า หมู่ท่ี ๘ บ้านยางทอง ตาบลบางเจ้าฉ่า อาเภอโพธท์ิ อง จงั หวดั อ่างทอง ประวตั คิ วามเป็นมาของภมู ปิ ญั ญา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเสด็จพระราชดาเนินมาเยือน และได้พระราชทานคาแนะนาให้ราษฎรปลกู ไม้ไผ่สสี ุก เพ่ือเปน็ วตั ถุดิบในการทาเคร่ืองจักสาน และเป็น การอนุรักษ์งานฝีมือประเภทนี้ไว้ งานจักสานของบ้านบางเจ้าฉ่านี้ มีความละเอียดประณีตสวยงาม สามารถพัฒนางานฝีมือตามความต้องการของตลาด ไม่ยึดติดกับรูปแบบเก่า จนสามารถส่งออกขาย ต่างประเทศได้ จึงได้รบั การยกยอ่ งวา่ เป็นหมบู่ า้ นตวั อยา่ งในการพฒั นาอาชีพ - 66 -
องค์ความร/ู้ การถ่ายทอดความรู้ การจักสานไม้ไผ่ของบ้านบางเจ้าฉ่า เป็นการพัฒนาลวดลายจากไม้ไผ่สีสุก และไม้ไผ่นวล ท่ีมีอยู่ในชุมชน นามาขูดผิว ผ่าออก แล้วจักออกเป็นชิ้น ๆ นาไปผึ่งแดดให้แห้งทาเป็นตอก แล้วนา ไปย้อมสี เพื่อข้ึนรปู ทาเป็นกระเป๋าถือสุภาพสตรี ลายมดั หม่ี น้าไหล พร้อมตกแต่งดว้ ยหวายกรุผ้าไหม ด้านในกระเป๋า ซึ่งในการทาแต่ละใบนั้น จะใช้ระยะเวลาอยู่ท่ี 5 - 7 วัน แล้วแต่ความยากง่าย ของลวดลาย โดยเป็นสินค้าสง่ ออกไปยังประเทศญปี่ ุ่นถงึ 40 เปอรเ์ ซน็ ต์ กระเป๋าถือจกั สานบา้ นบางเจ้าฉ่า ทมี่ า : https://www.welovelocal.travel/agro-tourism-village/1163 - 67 -
เคร่อื งจักสานหวาย นายทนง ประดษิ ฐ์ทรพั ย์ ศิษย์เก่าที่สาเร็จการศึกษาจาก กศน.อาเภอแสวงหา สานักงาน กศน.จังหวัดอ่างทอง เป็นวทิ ยากรถา่ ยทอดความรู้ใหก้ ับผู้เรียน และเป็นภาคเี ครอื ข่ายของ สานักงาน กศน.จังหวัดอ่างทอง งานจักสานหวาย เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกิดจากการถ่ายทอดภูมิปัญญาชาวบ้านจากรุ่นสู่รุ่น วัตถุดิบ และแรงงานส่วนใหญ่มาจากชุมชน เป็นการสร้างอาชีพให้กับชาวบ้าน นอกเหนือจากการทานา และยังเป็นการถ่ายทอดภูมิปัญญาชาวบ้านให้แก่ผู้ที่สนใจ ซ่ึงจะนาไปประกอบเป็นอาชีพได้ อกี ทง้ั เป็นการอนุรกั ษ์ภมู ปิ ัญญาในดา้ นการจักสานหวายใหส้ บื ทอดตอ่ ไป ปราชญช์ าวบา้ น : นายทนง ประดษิ ฐ์ทรัพย์ ท่อี ยู่ : เลขท่ี ๑๕๖ หมู่ท่ี ๑ ตาบลศรพี ราน อาเภอแสวงหา จงั หวัดอา่ งทอง ประวตั ิความเป็นมาของภูมิปัญญา ในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ นายวิเชียร วิมลศาสตร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง ออกพ้ืนที่ อาเภอแสวงหา เพ่ือเย่ียมเยียนสอบถามทุกข์สุขของประชาชนในตาบลศรีพราน โดยมี นายพงษ์เพชร โพธ์ิจินดา นายอาเภอแสวงหา เป็นผู้พาเยี่ยมชาวบ้าน พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ มีอาชีพทานา เม่ือหมดฤดูกาลทานาจึงว่างงาน นายวิเชียร วิมลศาสตร์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง ต้องการให้ชาวบ้านมีอาชีพเสริมหลังฤดูกาลที่เก็บเกี่ยวข้าวเสร็จสิ้น จึงได้เชิญครูแบบ มาจากหัวเวียง จงั หวดั พระนครศรีอยุธยา เพื่อมาสอนอาชพี การสานตะกรา้ จากหวาย และสอนการออกแบบลวดลาย ให้กับชาวบ้าน ส่วนในเร่ืองของการตลาด ผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง ได้ติดต่อหน่วยงานต่าง ๆ - 68 -
ของจังหวัดในการจัดหาตลาด โดยนาไปขายในงานเกษตรของจังหวัดอ่างทอง ซ่ึงมีประชาชน ให้ความสนใจ เป็นอย่างมาก มีพ่อค้ารายย่อยมารับไปขายต่อในแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆ หลายราย ทาให้เกิดอาชีพในชุมชนของตาบลศรีพราน ในปี พ.ศ. ๒๕๓๕ ตะกร้าหวายผลิตไม่ทันส่งให้กับลูกค้า นายทนง ประดิษฐ์ทรัพย์ จึงได้จัดตั้งกลุ่มสานตะกร้าหวาย เพ่ือเป็นศูนย์กลางในชุมชนในการจัดทา ตะกรา้ หวาย และสง่ เสริมการประกอบอาชพี ของชาวตาบลศรีพราน องค์ความร/ู้ การถา่ ยทอดความรู้ มกี ารคิดค้นดัดแปลง รปู แบบ ลวดลายของตะกรา้ ให้มคี วามแปลกใหม่ เน้นเรอื่ งรายละเอยี ด และความประณีตของช้ินงาน เน่ืองจากประชาชนรุ่นใหม่นิยมของที่ผลิตด้วยมือ แต่ต้องมีคุณภาพ ซง่ึ มลี ายใหมท่ ่ีเกิดข้นึ มากมาย เชน่ ลายสพุ รรณหงส์ ลายช้างคู่ ลายห่าน ลายห่านคู่ ลายหมี เปน็ ตน้ ความภาคภมู ิใจ/รางวลั ทีไ่ ดร้ ับ ได้แก่ ๑. ได้รับรางวัลผลิตภัณฑ์ดีเด่น ระดับส่ีดาว OTOP Product Champion ภาคกลาง ประจาปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ตามโครงการคัดสรรสุดยอดหนึ่งตาบลหน่ึงผลิตภัณฑ์ไทย ประเภทเครื่องใช้ และเครื่องประดับตกแต่ง 2. ได้รับรางวัลชนะเลิศ “หัตถศิลป์อ่างทอง ๒๕๕๗” ผลิตภัณฑ์จักสานหวาย ประเภท ประโยชน์ใชส้ อย ในงานของดีเมืองอา่ งทองและงานกาชาด ปี พ.ศ.๒๕๕๗ 3. สานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ให้ใบรับรองแก่กลุ่มจักสานหวาย - ไม้ไผ่ เ พ่ื อ อ นุ ญ า ต ใ ห้ แ ส ด ง เ ค ร่ื อ ง ห ม า ย ม า ต ร ฐ า น ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ ชุ ม ช น กั บ ผ ลิ ต ภั ณ ฑ์ จั ก ส า น ห ว า ย ประเภทใชเ้ ป็นของใชท้ ัว่ ไป เครื่องจกั สานหวาย ตาบลศรีพราน - 69 -
เคร่ืองจกั สานผกั ตบชวา นางปราณี จนั ทวร ศิษย์เก่าท่ีสาเร็จการศึกษาจาก กศน.อาเภอเมืองอ่างทอง สานักงาน กศน.จังหวัดอ่างทอง เป็นวทิ ยากรถา่ ยทอดความร้ใู หก้ บั ผู้เรยี น และเป็นภาคเี ครอื ข่ายของสานกั งาน กศน.จังหวัดอ่างทอง ลกั ษณะท่ีโดดเด่นของจักสานผกั ตบชวา คือ เป็นภมู ิปญั ญาท้องถนิ่ และใช้วัสดุจากธรรมชาติ ที่หาไดง้ า่ ยภายในหมู่บา้ น และนามาเพ่มิ มลู คา่ มีลวดลายท่ีเป็นเอกลักษณ์แบบไทย ปราชญช์ าวบ้าน : นางปราณี จันทวร ทีอ่ ยู่ : เลขท่ี 19/2 หมู่ท่ี 1 บา้ นบางตาแผน่ ตาบลคลองวัว อาเภอเมือง จงั หวดั อา่ งทอง ประวตั คิ วามเป็นมาของภูมิปญั ญา ย้อนอดีตถึงวันเร่ิมต้น เพราะต้องการท่ีจะหารายได้เสริม จากที่ทาการเกษตรเป็นอาชีพหลัก และในหมู่บ้านมีภูมิปัญญาในเร่ืองการจักสาน จึงเริ่มต้นด้วยการจักสานงานไม้ไผ่ โดยใช้ไม้ไผ่ ในพ้ืนที่มาสานเป็นของใช้ในครัวเรือนตามภูมิปัญญาท่ีถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น มีจุดเด่น ท่ีความละเอียดประณีต และยังใช้วัตถุดิบประเภทหวาย เพ่ือเป็นทางเลือกแก่ผู้ซื้อนอกเหนือ จากวัตถุดิบหลัก คือ ไม้ไผ่ ต่อมาวัตถุดิบเริ่มขาดแคลนและมีราคาสูง การผลิตจึงประสบปัญหา จึงมีแนวคิดหาวัตถุดิบชนิดอื่นทดแทน ในปี พ.ศ. 2534 ได้เปล่ียนมาใช้ผักตบชวาเป็นวัตถุดิบหลัก ในการจักสานแทน ซ่ึงในเขตบ้านบางตาแผ่นน้ัน ตามลาน้าจะมีผักตบชวามาก ซ่ึงก่อให้เกิดปัญหา การกีดขวางทางน้า จะกาจัดอย่างไรก็ไม่หมด จึงนามาต่อยอด ผสมผสานกับภูมิปัญญาท้องถิ่นเดิม - 70 -
ผลิตส่ิงของเคร่ืองใช้จากผักตบชวา อาทิ กระเป๋า ตะกร้า ได้คุณภาพใกล้เคียงกับไม้ไผ่และหวาย ให้สนองความต้องการของตลาดผู้บริโภคท่ีหลากหลาย พัฒนาวิธีการผลิต รูปแบบเพื่อให้ได้ช้ินงาน ท่ีมีคุณภาพคงทนเหมาะสมต่อการใช้งาน มีลวดลายท่ีสวยงามทันสมัย ควบคู่กับการอนุรักษ์ลวดลาย ด้งั เดิม ที่ไดร้ ับการถา่ ยทอดสบื ต่อกันมาอย่างยาวนานแตค่ รั้งอดตี องค์ความร้/ู การถ่ายทอดความรู้ เร่ิมต้นจากการหาผักตบชวาจากแหล่งธรรมชาติตามคลอง บึง แม่น้าจากแหล่งชุมชนต่าง ๆ แต่หากการนามาปลูกเองในแหล่งน้าธรรมชาติจะจัดเก็บได้ง่าย สามารถดูแลบารุงรักษา เพื่อให้ได้ ขนาดที่พอเหมาะกับการนามาจักสาน ผักตบชวาจะเป็นกอ เวลาเก็บจะต้องเลือกเฉพาะ ตรงกึ่งกลางกอ เลือกลาต้นขนาดกลางไม่อ่อนไม่แก่และไม่อวบเกินไป เพื่อเหมาะในการนามาจักสาน จากน้ันตัดโคนต้นและใบออกใช้เฉพาะก้านเท่าน้ัน นามาล้างด้วยสารส้มเพื่อให้ลาต้นขาวสะอาด นาก้านผักตบชวามาผ่ึงแดดโดยวางบนสังกะสีเพื่อให้ผักตบชวาแห้งเร็วข้ึน ผึ่งแดดจนแห้งสนิท โดยใชเ้ วลาประมาณ 5 - 7 วัน เมื่อเห็นว่าผักตบชวาแหง้ ดีแลว้ ควรเกบ็ ไว้ อยา่ ผ่ึงแดดท้ิงไวน้ านเกนิ ไป เพราะจะทาใหก้ รอบได้ โดยกอ่ นจะทาการรีดหรือสาน จะต้องนาไปชุบนา้ ยาป้องกันเชื้อราก่อน ความภาคภูมใิ จ/รางวัลที่ได้รบั ไดแ้ ก่ 1. ได้รับการคัดสรรเป็นผลิตภัณฑ์ดีเด่นระดับห้าดาว ภาคกลาง ประจาปี พ.ศ.2546 ประเภทเคร่ืองใช้และเครื่องประดับตกแต่ง ตามโครงการคัดสรรสุดยอดหนึ่งตาบลหนึ่งผลิตภณั ฑ์ไทย OTOP 2. ได้รับรางวัลชนะเลิศการประกวดผลิตภัณฑ์ดีเด่น หน่ึงตาบลหน่ึงผลิตภัณฑ์ 25 จังหวัด ภาคกลาง ของกรมพฒั นาชุมชน กระทรวงมหาดไทย 3. ได้รับโล่เกียรติยศการแข่งขันผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมในครอบครัว ประเภทผักตบชวา งานศูนยศ์ ลิ ปาชีพบางไทร ครัง้ ที่ 7 เครื่องจกั สานผักตบชวาบา้ นบางตาแผน่ - 71 -
เครือ่ งจกั สานเส้นพลาสตกิ นางกัลยา อินทรโ์ ต วิทยากรถา่ ยทอดความรูใ้ ห้กับผู้เรียน และเป็นภาคเี ครือขา่ ยของสานักงาน กศน.จังหวัดอ่างทอง งานจักสานเส้นพลาสติก เป็นศิลปะการจักสานท่ีมีลวดลายสวยงาม มีการออกแบบ สีสัน ของเส้นพลาสติก ลวดลายต่าง ๆ ตามความต้องการของลูกค้า มีความละเอียดประณีต เรียบร้อย ได้มาตรฐาน คงทน สมประโยชน์ ราคาไม่แพง มีการพัฒนารูปแบบทันสมัยอย่างต่อเนื่อง และเปน็ สากล ปราชญ์ชาวบา้ น : นางกลั ยา อินทรโ์ ต ทีอ่ ยู่ : เลขที่ 118 หมูท่ ่ี 2 ตาบลศรพี ราน อาเภอแสวงหา จงั หวัดอ่างทอง ประวตั ิความเป็นมาของภูมิปญั ญา ปี พ.ศ.2528 นางกัลยา อินทร์โต เป็นผู้ริเริ่มทาผลิตภัณฑ์จักสานจากหวาย โดยเริ่มทา ภายในครอบครวั กอ่ น ปี พ.ศ.2538 ธุรกิจเครื่องจักสานจากพลาสติกเร่ิมก่อตัวข้ึน โดยความคิดของลูกค้า ชาวเดนมาร์กช่ือว่า Mr.ฮันต์ ที่รักงานสานและได้เข้ามาแวะดูงานท่ีตาบลศรีพราน อาเภอแสวงหา จังหวดั อ่างทอง เนอ่ื งจากมีความสนใจในงานฝีมอื ของกลุ่มแมบ่ ้านของนางกัลยา โดย Mr.ฮนั ต์ ได้เป็น ผเู้ สนอแนวความคิดให้นางกลั ยาลองใชเ้ สน้ พลาสติก (PP) ในการจกั สานแทนวสั ดุจากท้องถนิ่ อื่น ๆ - 72 -
ปี พ.ศ.2545 ธุรกิจเคร่ืองจักสานเส้นพลาสติก (PP) ได้รับความนิยมและมีช่ือเสียง เพิ่มมากขึ้น ได้รับการสนับสนุนให้เป็นสินค้าหนึ่งตาบลหนึ่งผลิตภัณฑ์หรือสินค้า OTOP และได้ ตั้งชื่อว่า กลุ่มแม่บ้านศรีพราน และมีคนรู้จักและเช่ือม่ันในสินค้ามากข้ึน ทาให้กลุ่มแม่บ้านศรีพราน มีชื่อเสียงและทารายได้อย่างมากมาย นอกจากจะผลิตขายในประเทศไทยแล้ว ยังส่งออกไปในหลาย ๆ ประเทศ เช่น สหรฐั อเมรกิ า อิตาลี เดนมารก์ ญปี่ นุ่ มาเลเซยี เปน็ ตน้ ปี พ.ศ.2548 ตลาดของธรุ กิจเครื่องจักสานเส้นพลาสตกิ เติบโตข้ึนเรื่อย ๆ ทาใหก้ ลุม่ แม่บา้ น ศรีพราน มีงานเพมิ่ มากข้ึนและสร้างรายได้ให้กับครอบครัวของชาวบ้าน รวมทง้ั เป็นการสร้างชอื่ เสียง ให้กบั ประเทศไทยในการส่งออกสนิ คา้ ต่าง ๆ อีกดว้ ย องคค์ วามรู้/การถา่ ยทอดความรู้ กระบวนการผลติ ยงั ใช้แบบดั้งเดิม ทาให้มองเห็นคุณค่าและแสดงถึงเอกลกั ษณ์ความเป็นไทย ซ่ึงเป็นความภาคภูมิใจของคนตาบลศรีพราน เป็นผลงานจากการสร้างสรรค์ชิ้นงานท่ีประสาน ภมู ิปัญญาของคนรุ่นเกา่ กับคนร่นุ ใหม่ใหเ้ ขา้ กนั ได้อย่างลงตัวและเหมาะสม ความภาคภมู ิใจ/รางวลั ทไ่ี ดร้ ับ ได้แก่ 1. ไดร้ บั รางวลั ชมเชย การประกวดผลิตภัณฑ์ดเี ดน่ จงั หวัดอ่างทอง ปี พ.ศ. 2545 2. ได้รับรางวัลผลิตภัณฑ์ดีเด่น ระดับ 4 ดาว ภาคกลางประจาปี พ.ศ.2546 ประเภทเคร่ืองใช้ และเครื่องประดบั ตกแต่ง เครื่องจักสานเสน้ พลาสติกตาบลศรีพราน - 73 -
การทากลอง กลองตาบลเอกราช ท่ีมา : https://thailandtourismdirectory.go.th/th/info/attraction/detail/itemid/1644 บรรพบุรุษของไทยได้คิดค้นและส่งเสริมการละเล่นต่าง ๆ โดยมีเครื่องดนตรีประกอบ ให้เป็นจังหวะ คือ กลอง ซ่ึงเป็นเคร่ืองดนตรีที่ช่วยแสดงถึงความพร้อมเพรียง และความสามัคคี ในหมู่คณะ โดย “กลองไทย” เป็นเคร่ืองดนตรีที่มีความนิยมอย่างแพร่หลายในงานต่าง ๆ เช่น ขบวนแห่นาค ขบวนทอดผ้าป่า งานรื่นเริง งานเทศกาลต่าง ๆ เป็นต้น โดย “กลองไทย” ตาบลเอกราช อาเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง เป็นอีกหน่ึงภูมิปัญญาท้องถ่ินท่ีมีประวัติความเป็นมา อนั ยาวนาน ที่อยู่ : หมูบ่ า้ นทากลอง ตาบลเอกราช อาเภอปา่ โมก จงั หวดั อ่างทอง ประวัติความเปน็ มาของภูมิปัญญา สมยั ก่อนเมอ่ื ชาวบ้านว่างจากการทานากห็ ันมาทากลอง โดยได้รับการสืบทอดจากบรรพบุรุษ มาจนถึงปัจจุบัน ในช่วงแรกที่เร่ิมทากลอง เครื่องไม้เครื่องมือยังไม่พร้อมเท่าทุกวันนี้ ต้องอาศัยแรงงานในชุมชนมาชว่ ยกันทา และหลังจากท่ีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงสนับสนุนและส่งเสริมให้มีการอนุรักษ์เครื่องดนตรีไทย ทาให้ประชาชนตระหนักถึงความสาคัญ ของเครื่องดนตรีไทยมากข้ึน จึงเกิดการร่วมแรงร่วมใจของชุมชนเอกราช จึงได้มีการจัดตั้งกลุ่มผู้ผลิต กลองในชุมชนข้นึ โดยเป็นชมุ ชนทากลองท่ีเป็นมรดกสืบทอดมามากกวา่ 70 ปี โดยมีทนุ ทางประเพณี วัฒนธรรมเกี่ยวกบั กลอง อาทิเช่น พธิ ไี หวค้ รูกลอง รวมถงึ การใช้ภมู ิปัญญาทอ้ งถนิ่ มาผสมผสานในการ - 74 -
ทากลองตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน จึงทาให้ชุมชนน้ีมีจุดเด่นและสามารถผลิตกลองท่ีมีคุณภาพท่ีดี อกี ทั้งยงั สามารถผลติ กลองท่ีเป็นเอกลักษณ์ของประเทศได้อกี ด้วย องคค์ วามร/ู้ การถ่ายทอดความรู้ การทากลอง เป็นงานศิลปหตั ถกรรมท่ีเกิดจากความชานาญเฉพาะตัว แต่ก็สามารถถ่ายทอด ไปสู่ผู้ใกล้ชิดได้ เม่ือมีการถ่ายทอดเรียนรู้โดยการสร้างกลองท่ีเป็นเคร่ืองดนตรีหรือของที่ระลึก จะมีความงดงามประณีตอยู่ในงานช้ินเดียวกัน จึงมีการร่วมกันทาเป็นหมู่คณะในบริเวณ บ้านใกล้เรือนเคียง อาจจะเรียกได้ว่าเป็น “ย่านทากลอง” ซึ่งหมายถึงบริเวณที่มีการผลิตกลอง เปน็ จานวนมากนัน่ เอง “ย่านทากลอง” แหล่งท่ีใหญ่ท่ีสุดในขณะนี้ อยู่ท่ีบ้านปากน้า ตาบลเอกราช อาเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง โดยชาวบ้านท่ีนี่จะทากลองกันท้ังหมู่บ้าน มีมากมายหลายชนิดและหลายขนาด รวมถงึ เปน็ แหล่งผลิตสนิ ค้าท่รี ะลกึ อีกดว้ ย - 75 -
ปราชญช์ าวบา้ น นายสุนทร สมาธมิ งคล วทิ ยากรถา่ ยทอดความร้ใู ห้กับผู้เรียน และเปน็ ภาคเี ครือข่ายของสานักงาน กศน.จงั หวดั อ่างทอง ประวตั สิ ่วนตวั วนั เดอื นปี เกดิ : ๑๗ มนี าคม พ.ศ.๒๕๐๒ ทอี่ ยู่ : บ้านเลขที่ ๕ หมูท่ ่ี ๑ ตาบลมงคลธรรมนิมติ อาเภอสามโก้ จงั หวดั อ่างทอง อาชีพ : เกษตรกร องคค์ วามรู้/การถา่ ยทอดความรู้ นายสุนทร สมาธิมงคล เป็นเกษตรกรที่ดาเนินชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีความสามารถและสร้างผลงานโดดเด่น เป็นประโยชน์ต่อสังคม ทั้งภายในอาเภอสามโก้และจังหวัด ใกล้เคียง จนได้รับตาแหน่งทางสังคมมากมาย เช่น ประธานบริหารกลุ่มเกษตรปลูกมะม่วงคุณภาพ ส่งออก วิทยากรศูนย์เรียนรู้ตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและเกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรกรผู้นา สู่เกษตรกรปลอดสารพิษ ปราชญ์ชาวบ้านผู้นาแนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ สาขาทาสวน ปี พ.ศ.2552 อีกท้ังยังเป็นเกษตรกรท่ีสามารถนาภูมิปัญญาและเทคโนโลยีมาปรับใช้ในแปลงเกษตร เพ่อื เพม่ิ ผลผลติ และเพ่ิมรายได้ ดงั นี้ 1. การฝากท้องมะม่วง นายสุนทร สมาธิมงคล ได้สังเกตจากการท่ีบริษัทส่งออก ต้องการ มะม่วงพันธ์ุน้าดอกไม้สีทองมากกว่าพันธ์ุน้าดอกไม้เบอร์ 4 จึงทาการฝากท้องมะม่วง โดยใช้ ยอดมะม่วงพันธ์ุน้าดอกไม้สีทองไปฝากกับยอดมะม่วงพันธ์ุเขียวเสวย ซึ่งเป็นต้นเดิม ทาให้ได้ผลผลิต - 76 -
เป็นน้าดอกไม้สีทองตามความต้องการของตลาดต่างประเทศ สามารถเพิ่มผลผลิต และเพิ่มรายได้ ที่เป็นตัวอย่างแก่เกษตรกรทั่วไป จนได้รับคัดเลือกเป็นปราชญ์ชาวบ้านด้านการผลิตมะม่วงส่งออก ของตาบล จากสานักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัดอ่างทอง โดยได้ถ่ายทอดความรู้ให้แก่เกษตรกร และผู้ทีส่ นใจในจงั หวัดอ่างทอง จนขยายวงกว้างไปสจู่ ังหวัดใกล้เคยี ง 2. ผลิตฮอร์โมนไข่เป็นคนแรกของจังหวัดอ่างทอง เพ่ือช่วยกระตุ้นให้มะม่วงออกดอก และติดผลจงึ เปน็ การลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตให้กับมะมว่ ง 3. การห่อผลผลิตมะม่วงด้วยถุงกระดาษเคลือบด้วยคาร์บอน แทนกระดาษหนังสือพิมพ์ ทาให้ได้ผลผลิตมะม่วงสวยงาม ปราศจากโรค ไม่มีแมลงรบกวน จึงเป็นท่ีต้องการของตลาดส่งออก และทาใหเ้ พิม่ มูลคา่ ของผลผลิต 4. เทคนิคการปลูกมะม่วงระยะชิด เพ่ือให้ได้จานวนต้นมากข้ึน และการตัดแต่งกิ่ง โดยการตัดยอด เพอื่ รกั ษาให้ลาตน้ เต้ยี อยเู่ สมอ ทาให้ดูแลรักษางา่ ย สะดวกในการห่อผลผลิต ความภาคภมู ิใจ/รางวลั ท่ไี ด้รบั ไดแ้ ก่ 1. ไดร้ บั รางวลั ชนะเลิศเกษตรกรดเี ด่น สาขาอาชพี ทาสวน ระดับเขต ปี พ.ศ.2552 2. ได้รับเกียรติบัตรการประกวดผลงานตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ครั้งที่ 2 ประเภทเกษตรทฤษฎใี หม่ ปี พ.ศ.2553 3. ไดร้ บั ประกาศเกียรติคณุ เกษตรกรดีเด่นแห่งชาติ อาชพี ทาสวน ปี พ.ศ.2558 - 77 -
นายพรปวีณ์ แสงฉาย วทิ ยากรถ่ายทอดความรใู้ ห้กับผูเ้ รียน และเปน็ ภาคเี ครือข่ายของสานักงาน กศน.จังหวดั อ่างทอง ประวตั สิ ่วนตัว วัน เดือน ปี เกิด : 4 มกราคม พ.ศ.2516 ที่อยู่ : บ้านเลขที่ ๑๒๘ หมู่ที่ ๓ ตาบลบางเสดจ็ อาเภอปา่ โมก จังหวัดอา่ งทอง อาชพี : เกษตรกร องคค์ วามร/ู้ การถา่ ยทอดความรู้ นายพรปวณี ์ แสงฉาย เป็นเกษตรกรท่ีมคี วามรู้ ความสามารถ มีความเช่ียวชาญดา้ นการผลิต และการใช้สารชีวภาพในการปลูกพืช การเล้ียงสัตว์ เป็นวิทยากรของโรงเรียนชาวนาบางเสด็จ โดยนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวคิดในการลดต้นทุนการทานา ซึ่งใช้วิธีการ และแนวทางในการปฏิบัติจากโรงเรียนชาวนา นาไปประยุกต์ใช้กับการทาเกษตรในไร่นาสวนผสม ในหลาย ๆ อย่าง ดงั น้ี 1. การปลกู ข้าว โดยหวา่ นขา้ ว 5 กโิ ลกรัมตอ่ ไร่ เพอื่ เปน็ การลดต้นทนุ 2. การเลี้ยงปลานิล ปลาดุก ปลาสวาย ในบ่อดิน มีการนาจุลินทรีย์หน่อกล้วยมาช่วย ในการบาบัดน้า โดยอาหารท่ีให้ปลานั้น มีการใช้ฮอร์โมนไข่ผสมกับอาหารให้ปลากิน เพื่อเป็นการ เพ่มิ การเจรญิ เตบิ โตของปลา 3. ผลติ และใช้สารชวี ภาพในการปอ้ งกันกาจดั ศตั รูพืช เพ่ือเป็นการลดการใชส้ ารเคมี 4. มแี ปลงพยากรณเ์ ตือนการระบาดของศตั รูพืชประจาตาบลบางเสด็จ - 78 -
ความภาคภูมิใจ/รางวลั ทไี่ ด้รับ ได้แก่ 1. ได้รับรางวัลเกษตรกรดีเด่น สาขาเพาะเลี้ยงสัตว์น้าจืด รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 1 ระดบั ประเทศ ปี พ.ศ.2552 2. ได้รบั รางวัลเกษตรกรดีเด่น สาขาบญั ชีฟารม์ รางวลั ชนะเลศิ ระดับจงั หวดั ปี พ.ศ.2558 3. ได้รับรางวัลเกษตรกรต้นแบบในการน้อมนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง จังหวดั อ่างทอง จากสภาเกษตรกรแห่งชาติ ปี พ.ศ.2559 - 79 -
นายสองเมอื ง พันธุรัตน์ วทิ ยากรถ่ายทอดความรู้ให้กบั ผเู้ รยี น และเปน็ ภาคีเครือข่ายของสานักงาน กศน.จังหวดั อ่างทอง ประวัติส่วนตัว วัน เดือน ปี เกิด : 12 พฤษภาคม พ.ศ.2512 ทีอ่ ยู่ : บ้านเลขท่ี 94 หมทู่ ่ี 4 ตาบลแสวงหา อาเภอแสวงหา จังหวดั อ่างทอง อาชีพ : ครูสอนดนตรีไทย องค์ความรู/้ การถ่ายทอดความรู้ นายสองเมือง พันธุรัตน์ ได้เริ่มเรียนดนตรีไทยตั้งแต่อายุ 10 ปี เคร่ืองดนตรีที่เร่ิมฝึกหัด คือ “ฆ้องวงใหญ่” โดยมีครผู ฝู้ ึกสอนคนแรกทวี่ างพน้ื ฐานให้ คือ ครสู ้มเช้า สารีผล (หวั หนา้ ส้มเช้ามิตร สมั พันธ์) และได้เรียนดนตรีเพ่ิมเติมกบั ครอู าวุโสอีกหลายท่าน นายสองเมอื ง พนั ธุรัตน์ มีความชานาญ ในการเล่นดนตรีไทย และได้รับความไว้วางใจให้บรรเลงดนตรีคร้ังแรก คือ งานบวชนาคท่ีวัดทุ่งแฝก อาเภอศรีประจันต์ จังหวัดสุพรรณบุรี ครั้นพออายุได้ประมาณ 20 ปี ได้อุปสมบทที่วัดแสวงหา ตาบลแสวงหา อาเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง และอยู่เพศบรรพชิตเป็นเวลา 5 พรรษา ซ่ึงในช่วงระหว่างพรรษาที่ 2 ยาเสพติดระบาดมากในหมู่วัยรุ่นและในเด็ก ๆ นายสองเมือง พันธุรัตน์ จึงมีแนวคดิ ที่จะชว่ ยเด็ก ๆ ให้พ้นจากยาเสพติด จงึ ได้ขออนญุ าตจากพระอุปัชฌายเ์ พ่ือสอนดนตรีไทย เพราะมคี วามรู้ความสามารถท่ีจะถ่ายทอดให้กับเด็ก ๆ ได้ เนอ่ื งจากวดั แสวงหาน้นั มีเคร่ืองป่ีพาทย์ไทย และป่ีพาทย์มอญ ท้ังน้ีเป็นการช่วยให้เด็ก ๆ ได้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ ตลอดจนเป็นการอนุรักษ์ วัฒนธรรมไทยอีกด้วย โดยใช้สถานท่ีของหอสวดมนต์ และใช้ชื่อคณะว่า “ศิษย์ปัญญา” ทั้งนี้นายสองเมือง พันธุรัตน์ ยังได้รับเชิญให้เป็นวทิ ยากรเผยแพร่ความรู้ด้านดนตรีไทยในสถานศึกษา หลาย ๆ แห่ง เช่น โรงเรียนอ่างทองปัทมโรจน์วิทยาคม มหาวิทยาลัยราชภัฏเทพสตรี วิทยาเขตบางระจัน โรงเรยี นบา้ นหนองรี เปน็ ตน้ - 80 -
นายสองเมือง พันธุรัตน์ มีการถ่ายทอดความรู้ด้านดนตรีไทย ตั้งแต่การฝึกทักษะเบื้องต้น ตามลาดับ ได้แก่ ท่าน่ัง การจับไม้ การตี การตีคู่แปด การกรอระนาด จากน้ันจะเป็นการจดจา ทานองเพลง ซ่ึงการจดจาทานองเพลงเป็นไปตามครูผู้สอน และร้องเป็นทานอง “น้อย นอย” ไปตามเสียงของทานองเพลง หรอื ที่บางคนเรยี กว่า การนอยเพลง คือ การออกเสียงตามลักษณะเสียง ของเครื่องดนตรีนั้น ๆ และการฝึกต่อเพลง โดยเพลงที่ นายสองเมือง พันธุรัตน์ กาหนด ได้แก่ เพลงแขกบรรเทศเถา ซ่งึ จะตอ่ ชน้ั เดียวก่อน แลว้ ค่อย ๆ ต่อจนครบเถา เทคนิคในการต่อเพลงของนายสองเมือง พันธุรัตน์ ให้มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ในการเรียนการสอนดนตรีนั้น นายสองเมือง พันธุรัตน์ จะแบ่งนักเรียนท่ีมีความสามารถออกเป็น 2 กลุ่ม โดยจะต่อเพลงกลมุ่ ละหน่ึงเพลง หลังจากนน้ั นายสองเมือง พันธุรัตน์ จะให้นักเรียนต่อเพลง สลับกัน วิธีน้ที าใหน้ ักเรยี นตอ่ เพลงไดร้ วดเร็วข้ึน และสามารถชว่ ยใหแ้ ม่นเพลงข้นึ อกี ด้วย นายสองเมือง พันธุรัตน์ มีความพยายามในการศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง จนกระทั่ง มีความรู้อยู่ในระดับแนวหน้าทั้ง ๆ ที่อายุยังน้อย “ฟังรู้ ดูออก บอกถูก ทาเป็น” เป็นคติ ท่ีนายสองเมือง พันธุรัตน์ ยึดม่ัน และปฏิบัติตามจนเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ได้กล่าวไว้ว่า “คนเรามีการเรียนรู้ตลอดเวลา และยิ่งได้สนทนากับผู้มีความรู้ด้วยแล้วยิ่งทาให้ฉลาดมากขึ้น ” ซึง่ เปน็ แนวทางหน่งึ ในการพัฒนาตนเองของนายสองเมือง พันธุรตั น์ ความภาคภมู ใิ จ/รางวลั ที่ได้รับ 1. ไดร้ ับยกยอ่ งให้เป็นปราชญ์ชาวบา้ นทมี่ ีความชานาญการดา้ นดนตรีไทย จากสภาวัฒนธรรม จังหวดั อา่ งทอง เม่ือวนั ท่ี 6 พฤษภาคม พ.ศ.2547 2. ได้ร่วมสาธติ และบรรเลงดนตรไี ทยงานนิทรรศการ ผลงานด้านวัฒนธรรมจงั หวดั อา่ งทอง ประจาปี 2547 เม่ือวันท่ี 2 ตลุ าคม พ.ศ.2547 3. ไดร้ ่วมบรรเลงถวายมอื พธิ ีไหวค้ รูดนตรไี ทย นาฏศลิ ปแ์ ละศลิ ปะ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏเทพสตรี เม่ือวนั ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ.2547 - 81 -
นายวีระ มเี หมือน วทิ ยากรถ่ายทอดความร้ใู ห้กบั ผู้เรียน และเป็นภาคเี ครือข่ายของสานักงาน กศน.จังหวดั อ่างทอง ประวัติส่วนตัว วนั เดอื น ปี เกดิ : ๗ เมษายน พ.ศ.๒๔๘๗ ที่อยู่ : บา้ นเลขท่ี ๑๑๙ หมู่ ๔ ตาบลมงคลธรรมนมิ ิต อาเภอสามโก้ จงั หวดั อ่างทอง อาชีพ : ข้าราชการบานาญ องค์ความรู้/การถา่ ยทอดความรู้ ครูวีระ มีเหมือน ถ่ายทอดความรู้ด้านศิลปะการแสดงโขน การแสดงหนังใหญ่ การแกะสลัก ตัวหนังใหญ่ ประวัติความเป็นมาของนาฏศิลป์ไทย การพากย์โขน การพากย์หนังใหญ่ การจัดทา หัวโขน กระบวนการการทาหนังใหญ่ โดยการได้รับเชิญจากโรงเรียน และสถาบันการศึกษาต่าง ๆ หรอื แม้แต่ประชาชนทีส่ นใจก็สามารถไปเรียนรู้กับครวู ีระ มเี หมอื น ได้ นอกจากนี้องค์กรต่างๆ ยังได้บันทึกวีดิทัศน์ศิลปะการทาหนังใหญ่และได้เผยแพร่ไปยัง อีกหลาย ๆ ประเทศอกี ดว้ ย ความภาคภมู ใิ จ/รางวลั ท่ไี ดร้ ับ ไดแ้ ก่ 1. ได้รับรางวัลศิลปินดีเด่นจังหวัดนนทบุรี สาขาศิลปะการแสดง การแสดงหนังใหญ่ ปี พ.ศ.๒๕๔๒ 2. ได้รับรางวัลครูภูมิปัญญาไทย รุ่นที่ ๒ ด้านศิลปกรรม การทาหนังใหญ่ จากสานักงาน คณะกรรมการการศกึ ษาแหง่ ชาติ สานักนายกรฐั มนตรี ปี พ.ศ.๒๕๔๕ 3. ได้มีโอกาสทาหนังใหญ่ทูลเกล้าถวาย สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จานวน ๒ ตวั คอื หนงั จบั ทโ่ี รงเรยี นนายเรือ และหนงั เฝ้า (พระลกั ษณ์) ทีว่ ทิ ยาลัยชา่ งทองหลวง - 82 -
นายฉลอง คล้ายสงั วาลย์ วทิ ยากรถา่ ยทอดความรู้ให้กบั ผูเ้ รียน และเปน็ ภาคเี ครือข่ายของสานักงาน กศน.จงั หวดั อ่างทอง ประวตั ิส่วนตัว วัน เดือน ปี เกดิ : 21 ตุลาคม พ.ศ.2504 ทอ่ี ยู่ : บ้านเลขท่ี ๑๒๖ หม่ทู ี่ ๕ ตาบลห้วยคันแหลน อาเภอวิเศษชยั ชาญ จงั หวัดอ่างทอง อาชพี : เกษตรกร องค์ความรู้/การถ่ายทอดความรู้ นายฉลอง คล้ายสังวาลย์ เป็นคนช่างสังเกต และสั่งสมประสบการณ์ในการทานามานาน ได้สังเกตเห็นว่าตอซังข้าวที่ถูกล้อรถเก็บเกี่ยวเหยียบย่าล้มลงราบกับพ้ืนนาในขณะท่ีดินมีความชื้น หมาด ๆ คอื ไม่แห้งและเปียกเกินไป หลงั จากเกบ็ เกีย่ วเสร็จแลว้ ๗ - ๑๐ วัน จะมหี น่อข้าวแทงข้ึนมา จากโคนตอซังส่วนท่ีติดอยู่กับดินเจริญเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง เท่าท่ีดินยังมีความชื้น เพียงพอ แต่ตอซังข้าวที่ไม่ถูกล้อรถเก็บเกี่ยวทับจะมีหน่อแตกงอกออกจากข้อของต้นข้าว ซ่ึงนายฉลอง คล้ายสังวาลย์ สังเกตเห็นว่า หน่อจะงอกช้ากว่า และขนาดเล็กกว่าหน่อท่ีงอกออกจาก ตอซงั ที่ล้มลงด้วยล้อรถเก็บเกย่ี วทับ โดยเพ่ือตอบสนองความอยากร้ขู องนายฉลอง คลา้ ยสงั วาลย์ เอง และคิดว่าสามารถลดต้นทุนลงหลายอย่าง เช่น ค่าเมล็ดพันธ์ุ ค่าเตรียมดิน นายฉลอง คล้ายสังวาลย์ จึงได้ทาการทดสอบ ๔ ฤดู โดยปลูกข้าวพันธุ์สุพรรณบุรี ๑ พบว่า ได้ผลผลิตสูงไม่แตกต่าง จากการใช้เมล็ดหว่าน อีกท้ังยังประหยัดเร่ืองของเมล็ดพันธ์ุ การเตรียมดิน และอายุสั้นเพียง ๙๐ วัน เท่าน้ัน ซึ่งวิธีการปลูกข้าวเช่นนี้ เกษตรกรเรียกว่า“การปลูกข้าวด้วยตอซัง” ในปี พ.ศ.๒๕๔๙ มีเกษตรกรอาเภอวิเศษชัยชาญ ได้ทาตามวธิ ีการของนายฉลอง คล้ายสังวาลย์ รวมพน้ื ท่ี ๔๕,๐๐๐ ไร่ ต่อฤดู ทาให้มีผลผลิตที่ดี และยังได้ขยายผลไปสู่เกษตรกรจังหวัดใกล้เคียง เช่น จังหวัดสุพรรณบุรี อีกด้วย - 83 -
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251