Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ct3-ผสาน

ct3-ผสาน

Published by pim, 2019-11-02 01:05:59

Description: ct3-ผสาน

Search

Read the Text Version

(92) (๑๐) มจั ฉราชจริยา (ประวตั คิ ร้ังเปน็ พญาปลา) ๙๖๐ (๑๑) กณั หทปี ายนจริยา (ประวตั ิคร้ังเป็นกณั หทปี ายนฤษ)ี ๙๖๑ (๑๒) สุตโสมจริยา (ประวตั คิ รั้งเป็นพระเจ้าสุตโสม) ๙๖๑ เมตตาบารมี ๒ เรอื่ ง ๙๖๒ (๑๓) สุวณั ณสามจรยิ า (ประวัติครงั้ เป็นสุวรรณสาม) ๙๖๒ (๑๔) เอกราชจรยิ า (ประวัติคร้งั เป็นพระเจา้ เอกราช) อุเบกขาบารมี ๑ เร่อื ง (๑๕) ม หาโลมหงั สจริยา ๙๖๒ (ประวตั คิ รัง้ เป็นนกั บวช ผูม้ ีความเป็นอยอู่ ย่างนา่ กลัว) ๙๖๒ สโมธานกถา กล่าวคำ� สรูป ค�ำอธบิ ายอภธิ รรมปิฎก อภิธัมมปิฎก ๙๖๙ อภธิ รรม ๗ คมั ภีร์ ๙๗๑ เล่ม ๓๔ ธมั มสงั คณี (รวมกลุ่มธรรมะ) ๙๗๒ ขยายความ ๑. แมบ่ ทหรือมาติกา ๙๗๒ ก. แมบ่ ทหรือบทตั้งฝา่ ยอภิธรรม (อภิธมั มมาติกา) ๙๗๓ ๑. แมบ่ ท วา่ ด้วยการจัดธรรมะเป็นหมวดละ ๓ ข้อ รวม ๒๒ หมวด (พาวสี ติติกมาติกา) ๙๗๓ ๒. แมบ่ ทหรอื บทตงั้ วา่ ดว้ ยกลมุ่ เหตุ (เหตุโคจฉกะ) ๙๗๕ ๓. แมบ่ ทหรือบทตงั้ หมวดสองขอ้ ไมส่ มั พนั ธ์กัน คู่น้อย (จูฬันตรทุกะ) ๙๗๕ ๔. แม่บทหรือบทต้งั วา่ ดว้ ยกลุม่ อาสวะ (อาสวโคจฉกะ) ๙๗๕ ๕. แม่บทหรือบทตั้ง วา่ ด้วยกลมุ่ สัญโญชน์ (สญั โญชนโคจฉกะ) ๙๗๕ ๖. แม่บทหรือบทต้ัง วา่ ดว้ ยกลุ่มคนั ถะ (คันถโคจฉกะ) ๙๗๕ ๗. แมบ่ ทหรอื บทต้ัง วา่ ด้วยกลมุ่ โอฆะ (โอฆโคจฉกะ) ๙๗๕ ๘. แม่บทหรือบทตง้ั วา่ ด้วยกลมุ่ โยคะ (โยคโคจฉกะ) ๙๗๕ ๙. แม่บทหรือบทต้ัง ว่าด้วยกลุ่มนวี รณ์ (นีวรณโคจฉกะ) ๙๗๕ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 92 5/4/18 2:19 PM

(93) ๑๐. แม่บทหรือบทต้งั วา่ ด้วยกลุ่มปรามาส (ปรามาสโคจฉกะ) ๙๗๕ สารบาญ ๑๑. แมบ่ ทหรอื บทตง้ั หมวดสองขอ้ ที่ไมส่ มั พันธ์กนั คู่ใหญ่ (มหันตรทกุ ะ) ๙๗๖ ๑๒. แมบ่ ทหรอื บทตั้ง วา่ ดว้ ยอุปาทาน (อุปาทานโคจฉกะ) ๙๗๖ ๑๓. แมบ่ ทหรือบทตง้ั วา่ ด้วยกเิ ลส (กเิ ลสโคจฉกะ) ๙๗๖ ๑๔. แมบ่ ทหรือบทตง้ั ว่าดว้ ยหมวดสองอันรั้งท้าย (ปิฏฐิทุกะ) ๙๗๖ ข. แม่บทหรือบทต้งั ฝ่ายพระสตู ร (สุตตันตมาติกา) ๙๗๖ ๒. ค�ำอธิบายเรื่องจติ เกิด (จติ ตปุ ปาทกณั ฑ)์ ๙๗๗ จิตท่วั ไป ๙๗๗ จติ ฝ่ายกศุ ล ๙๗๗ จิตฝ่ายอกศุ ล ๙๗๘ จติ ท่เี ป็นกลาง ๆ ๙๗๙ แผนผังแสดงชนิดของจิต ๙๗๙ แผนผังที่ ๑ จิต (๘๙ ชนิด) ๙๗๙ จิต ๘๙ ชนิด แสดงโดยตงั้ หัวข้อตามชาติแบง่ ตามภูมิ ๙๘๐ แผนผังท่ี ๒ กุศลจิต (จติ ฝ่ายด)ี ๒๑ ๙๘๐ แผนผงั ท่ี ๓ อกศุ ลจิต (จิตฝา่ ยชวั่ ) ๑๒ ๙๘๐ แผนผังท่ี ๔ อพั ยากตจติ (จิตทเี่ ปน็ กลาง ๆ) ๕๖ ๙๘๐ จติ ๘๙ ชนิด แสดงโดยต้ังหัวข้อตามภมู ิแบง่ ตามชาต ิ ๙๘๑ แผนผังท่ี ๕ กามาวจรจิต (จติ ทีเ่ ทีย่ วไปในกาม) ๕๔ ๙๘๑ แผนผงั ท่ี ๖ รูปาวจรจติ (จิตท่เี ท่ียวไปในรปู ) ๑๕ ๙๘๑ แผนผงั ท่ี ๗ อรปู าวจรจติ (จติ ที่เทีย่ วไปในอรูป) ๑๒ ๙๘๑ แผนผงั ที่ ๘ โลกตุ ตรจติ (จติ ทีพ่ ้นจากโลก) ๘ ๙๘๑ อัพยากตจติ ๕๖ ชนิด แสดงโดยแบง่ ตามภมู ิ ๙๘๒ แผนผงั ท่ี ๙ วิบากจิต (จติ ท่เี ป็นผล) ๓๖ ๙๘๒ แผนผงั ที่ ๑๐ กิริยาจติ (จติ ที่เป็นกริ ยิ า) ๒๐ ๙๘๒ การนับจ�ำนวนจติ ๙๘๓ คำ� อธิบายในจติ ตุปปาทกัณฑ ์ ๙๘๓ ธรรมะประกอบกับจติ ๙๘๗ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 93 5/4/18 2:19 PM

(94) แสดงจติ จากลำ� ดับที่ ๑ ถึง ๘๙ ๙๘๘ กศุ ลจิต ๒๑ ๙๘๘ ๑. กามาวจร ๘ (จติ ลำ� ดับท่ี ๑ - ๘) ๙๘๘ ๒. รูปาวจร ๕ (จิตล�ำดบั ท่ี ๙ - ๑๓) ๙๘๙ ๓. อรปู าวจร ๔ (จติ ล�ำดับท่ี ๑๔ - ๑๗) ๙๙๐ ๔. โลกุตตระ ๔ (จิตลำ� ดับท่ี ๑๘ - ๒๑) ๙๙๑ อกศุ ลจิต ๑๒ ๙๙๒ เกดิ จากความโลภเป็นมูล ๘ (จติ ล�ำดับที่ ๒๒ - ๒๙) ๙๙๒ เกดิ จากโทสะเปน็ มูล ๒ (จิตล�ำดับท่ี ๓๐ - ๓๑) ๙๙๒ เกิดจากโมหะเป็นมลู ๒ (จติ ล�ำดับที่ ๓๒ - ๓๓) ๙๙๒ ๙๙๒ อัพยากตจติ ๕๖ (วบิ ากจิต ๓๖ กิริยาจิต ๒๐) ๙๙๒ วบิ ากจติ ฝ่ายกุศล ๙๙๒ ๑. จติ ที่เปน็ วบิ าก คือเป็นผลของกศุ ลฝา่ ยกามาวจร ๑๖ ๙๙๔ (จติ ล�ำดบั ท่ี ๓๔ - ๔๙) ๙๙๔ ๒. จติ ท่ีเปน็ วิบาก คือเป็นผลของกุศลฝา่ ยรูปาวจร ๕ ๙๙๔ (จติ ลำ� ดับที่ ๕๐ - ๕๔) ๙๙๔ ๓. จิตทเ่ี ปน็ วิบาก คือเป็นผลของกุศลฝา่ ยอรปู าวจร ๔ ๙๙๔ (จิตลำ� ดับท่ี ๕๕ - ๕๘) ๙๙๕ ๔. จิตท่ีเป็นวบิ าก คือเป็นผลของกุศลฝา่ ยโลกตุ ตระ ๔ ๙๙๕ (จติ ล�ำดบั ท่ี ๕๙ - ๖๒) ๙๙๖ วบิ ากจิตฝา่ ยอกศุ ล ๙๙๖ จิตที่เป็นวบิ าก คอื เป็นผลของอกศุ ล ๗ ๙๙๗ (จิตลำ� ดับที่ ๖๓ - ๖๙) ๙๙๙ กิรยิ าจิต ๒๐ ๑. จติ ท่เี ปน็ กิริยาฝา่ ยกามาวจร ๑๑ (จติ ล�ำดบั ที่ ๗๐ - ๘๐) ๒. จติ ทเี่ ปน็ กิริยาฝ่ายรปู าวจร ๕ (จิตล�ำดับที่ ๘๑ - ๘๕) ๓. จิตทเ่ี ป็นกริ ิยาฝ่ายอรูปาวจร ๔ (จิตลำ� ดับท่ี ๘๖ - ๘๙) ๓ . ค�ำอธบิ ายเรอ่ื งรปู (รปู กณั ฑ)์ ๔. นกิ เขปกณั ฑ์ (ค�ำอธบิ ายบทตั้งทกุ ข้อ) PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 94 5/4/18 2:19 PM

๕. อตั ถทุ ธารกณั ฑ์ (ค�ำอธบิ ายบทต้งั อยา่ งยอ่ ) (95) สารบาญ ค�ำอธบิ ายกศุ ลธรรมในนิกเขปกณั ฑ ์ ค�ำอธิบายกศุ ลธรรมในอตั ถุทธารกณั ฑ ์ ๙๙๙ คำ� อธบิ ายอกุศลธรรมในนกิ เขปกัณฑ ์ ๑๐๐๐ คำ� อธิบายอกศุ ลธรรมในอตั ถุทธารกณั ฑ ์ ๑๐๐๐ คำ� อธบิ ายอัพยากตธรรมในนกิ เขปกัณฑ์ ๑๐๐๐ ค�ำอธบิ ายอพั ยากตธรรมในอตั ถุทธารกณั ฑ ์ ๑๐๐๐ เลม่ ๓๕ วิภังค์ (แยกกล่มุ ธรรมะ) ๑๐๐๐ ขยายความ ๑๐๐๐ ๑. ขันธวภิ ังค์ แจกขันธ์ ๕ ๑๐๐๒ ก. สุตตนั ตภาชนียะ แจกตามแนวพระสตู ร ๑๐๐๓ ข. อภธิ มั มภาชนียะ แจกตามแนวพระอภิธรรม ๑๐๐๓ ค. ปญั หาปจุ ฉกะ หมวดถามตอบปัญหา ๑๐๐๓ ๒. อายตนวิภังค์ แจกอายตนะ ๑๐๐๓ ก. สตุ ตนั ตภาชนยี ะ แจกตามแนวพระสูตร ๑๐๐๔ ข. อภิธัมมภาชนยี ะ แจกตามแนวพระอภิธรรม ๑๐๐๔ ค. ปัญหาปจุ ฉกะ หมวดถามตอบปัญหา ๑๐๐๔ ๓. ธาตวุ ิภงั ค์ แจกธาตุ ๑๐๐๔ ก. สุตตนั ตภาชนียะ แจกตามแนวพระสตู ร ๑๐๐๕ ข. อภิธมั มภาชนยี ะ แจกตามแนวพระอภิธรรม ๑๐๐๕ ค. ปญั หาปุจฉกะ หมวดถามตอบปญั หา ๑๐๐๖ ๔. สัจจวิภงั ค์ แจกสัจจะ ๑๐๐๖ ก. สุตตันตภาชนยี ะ แจกตามแนวพระสตู ร ๑๐๐๖ ข. อภิธมั มภาชนียะ แจกตามแนวพระอภิธรรม ๑๐๐๖ ค. ปัญหาปุจฉกะ หมวดถามตอบปัญหา ๑๐๐๖ ๕. อินทริยวภิ ังค์ แจกอินทรีย์ ๑๐๐๗ ก. อภธิ ัมมภาชนยี ะ แจกตามแนวพระอภธิ รรม ๑๐๐๗ ข. ปญั หาปุจฉกะ หมวดถามตอบปญั หา ๑๐๐๗ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 95 5/4/18 2:19 PM

(96) ๖. ปจั จยาการวิภังค์ แจกปัจจยาการ ๑๐๐๗ ก. สุตตันตภาชนยี ะ แจกตามแนวพระสูตร ๑๐๐๗ ข. อภธิ ัมมภาชนยี ะ แจกตามแนวพระอภิธรรม ๑๐๐๘ หมวด ๔ แหง่ ปัจจยั ๑๐๐๘ หมวด ๔ แห่งเหต ุ ๑๐๐๘ หมวด ๓ แหง่ สมั ปยตุ ตธรรม (ธรรมทปี่ ระกอบกัน) ๑๐๐๙ หมวด ๔ แหง่ ธรรมทอี่ งิ อาศัยกัน ๑๐๐๙ มาติกา ๑๐๐๙ ๗. สติปัฏฐานวิภังค์ แจกสติปฏั ฐาน ๑๐๑๐ ๘. สมั มัปปธานวิภังค์ แจกความเพียรชอบ ๑๐๑๐ ๙. อทิ ธิปาทวภิ ังค์ แจกอิทธิบาท ๑๐๑๐ ๑๐. โพชฌังควิภังค์ แจกโพชฌงค ์ ๑๐๑๐ ๑๑. มคั ควิภังค์ แจกมรรค ๑๐๑๑ ๑๒. ฌานวภิ งั ค์ แจกฌาน (การเพ่งอารมณ)์ ๑๐๑๑ ๑๓. อัปปมญั ญาวิภังค์ แจกอัปปมัญญา ๑๐๑๑ ๑๔. สกิ ขาปทวภิ งั ค์ แจกสิกขาบท ๑๐๑๑ ๑๕. ปฏิสมั ภทิ าวภิ งั ค์ แจกปฏิสัมภิทา ๑๐๑๑ ๑๖. ญาณวิภงั ค์ แจกญาณ (ความร)ู้ ๑๐๑๒ ๑๗. ขุททกวตั ถวุ ิภังค์ แจกเร่ืองเล็ก ๆ นอ้ ย ๆ ๑๐๑๒ ๑๘. ธัมมหทยวภิ งั ค์ แจกหวั ข้อธรรม ๑๐๑๒ เล่ม ๓๖ ธาตกุ ถา และ ปคุ คลปัญญตั ติ ๑๐๑๕ ขยายความ ธาตุกถา ๑๐๑๕ หัวขอ้ ธรรม ๑๔ ขอ้ ๑๐๑๖ ตวั อยา่ งขอ้ ท่ี ๑ (การเขา้ กนั ได้กบั การเขา้ กนั ไมไ่ ด)้ ๑๐๑๖ ตวั อยา่ งขอ้ ท่ี ๒ (เขา้ กบั อย่างหน่งึ ได้ แต่เข้ากบั อยา่ งอนื่ ไม่ได)้ ๑๐๑๗ ตวั อย่างขอ้ ที่ ๓ (เข้ากนั ไมไ่ ดก้ ับสิง่ หนึง่ แตเ่ ข้ากันได้กบั ส่ิงอืน่ ๆ) ๑๐๑๗ ตัวอย่างขอ้ ท่ี ๔ (เข้ากันได้กบั สิง่ หน่งึ ท้ังเข้ากันได้กับสิง่ อ่ืนด้วย) ๑๐๑๘ ตัวอย่างขอ้ ท่ี ๕ (เขา้ กันไมไ่ ด้กับสงิ่ หน่งึ เข้ากันไมไ่ ด้กบั สิง่ อ่นื ด้วย) ตัวอยา่ งขอ้ ที่ ๖ (การประกอบกัน และการไม่ประกอบกนั ) PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 96 5/4/18 2:19 PM

ปุคคลบัญญตั ิ (97) สารบาญ บุคคลที่มีจำ� นวน ๑ บคุ คลท่ีมจี ำ� นวน ๒ ๑๐๑๙ บุคคลท่มี ีจำ� นวน ๓ ๑๐๑๙ บคุ คลทีม่ จี ำ� นวน ๔ ๑๐๑๙ บคุ คลท่มี จี �ำนวน ๕ ๑๐๒๐ บคุ คลทม่ี ีจ�ำนวน ๖ ๑๐๒๐ บคุ คลทม่ี ีจ�ำนวน ๗ ๑๐๒๐ บุคคลท่มี ีจ�ำนวน ๘ ๑๐๒๑ บุคคลทมี่ ีจ�ำนวน ๙ ๑๐๒๑ บุคคลที่มจี �ำนวน ๑๐ ๑๐๒๑ เล่ม ๓๗ กถาวตั ถ ุ ๑๐๒๑ ประวตั นิ กิ ายต่าง ๆ ๑๐๒๓ แ ผนผังแสดงนิกายในพระพุทธศาสนายคุ ต้น ๑๐๒๓ หัวข้อเร่อื ง ๒๑๙ เป็นของนิกายไหน ๑๐๒๕ รายละเอยี ดกถาวัตถุ ๒๑๙ ข้อ ๑๐๒๖ ๑. เร่อื งบคุ คล (ปุคคลกถา) ๑๐๒๖ ๒. เรือ่ งความเส่ือม (ปรหิ านิกถา) ๑๐๒๖ ๓. เร่ืองพรหมจรรย์ (พรหมจรยิ กถา) ๑๐๒๗ ๔. เร่ืองบางสว่ น (โอธิโสกถา) ๑๐๒๗ ๕. เร่ืองละกเิ ลส (ชหตกิ ถา) ๑๐๒๘ ๖. เรือ่ งทกุ อย่างมี (สัพพมตั ถิกถา) ๑๐๒๘ ๗. เรื่องขนั ธท์ ีเ่ ปน็ อดตี เป็นตน้ (อตตี ขนั ธาติกถา) ๑๐๒๘ ๘. เรือ่ งบางอยา่ งมี (เอกัจจมัตถีติกถา) ๑๐๒๙ ๙. เรอ่ื งการตง้ั สต ิ (สติปฏั ฐานกถา) ๑๐๓๐ ๑๐. เร่อื ง ”มีอยา่ งน„ี้ เป็นตน้ (เหวตั ถกิ ถา) ๑๐๓๐ ๑๑. เร่อื งผอู้ ื่นน�ำเข้าไปให้ (ปรปู หารกถา) ๑๐๓๑ ๑๒. เรอ่ื งความไม่รู้ (อญั ญาณกถา) ๑๐๓๑ ๑๓. เรอ่ื งความสงสัย (กังขากถา) ๑๐๓๒ ๑๐๓๒ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 97 5/4/18 2:19 PM

(98) ๑๔. เรื่องการบอกของผอู้ ื่น (ปรวิตารณกถา) ๑๐๓๒ ๑๕. เรอ่ื งการเปล่งวาจา (วจีเภทกถา) ๑๐๓๒ ๑๖. เรื่องการน�ำมาซง่ึ ความรใู้ นทุกข์ (ทกุ ขาหารกถา) ๑๐๓๓ ๑๗. เรือ่ งความต้ังอยูแ่ หง่ จติ (จิตตฐิตกิ ถา) ๑๐๓๓ ๑๘. เร่อื งถ่านไฟร้อน (กุกกฬุ กถา) ๑๐๓๓ ๑๙. เรอ่ื งการตรัสรู้โดยล�ำดับ (อนปุ พุ พาภิสมยกถา) ๑๐๓๔ ๒๐. เรอื่ งโวหาร (โวหารกถา) ๑๐๓๕ ๒๑. เรอ่ื งนโิ รธความดับทุกข์ (นิโรธกถา) ๑๐๓๕ ๒๒. เรื่องก�ำลงั (พลกถา) ๑๐๓๖ ๒๓. เรื่องญาณเปน็ อริยะ (อริยนั ตกิ ถา) ๑๐๓๖ ๒๔. เรื่องจติ หลดุ พ้น (วมิ จุ จติกถา) ๑๐๓๖ ๒๕. เรื่องจิตก�ำลงั หลดุ พน้ (วิมจุ จมานกถา) ๑๐๓๗ ๒๖. เร่ืองบุคคลที่ ๘ (อัฏฐมกกถา) ๑๐๓๗ ๒๗. เรื่องอนิ ทรียข์ องบคุ คลที่ ๘ (อัฏฐมกสั ส อินทริยกถา) ๑๐๓๘ ๒๘. เรื่องตาทพิ ย์ (ทิพพจักขุกถา) ๑๐๓๘ ๒๙. เรอื่ งหทู ิพย์ (ทิพพโสตกถา) ๑๐๓๘ ๓๐. เรื่องญาณรูถ้ ึงสตั ว์ผ้เู กดิ ตามกรรม (ยถากมั มูปคตญาณกถา) ๑๐๓๘ ๓๑. เรื่องความส�ำรวม (สงั วรกถา) ๑๐๓๙ ๓๒. เร่ืองไม่มสี ญั ญา คอื ความจ�ำได้หมายรู ้ (อสญั ญกถา) ๑๐๓๙ ๓๓. เรอ่ื งเนวสญั ญานาสญั ญายตนะ (เนวสัญญานาสญั ญายตนกถา) ๑๐๔๐ ๓๔. เรอื่ งพระอรหันต์พึงเป็นคฤหสั ถ์ได้ (คิหสิ ส อรหาตกิ ถา) ๑๐๔๐ ๓๕. เรื่องความเกิด (อปุ ปัตตกิ ถา) ๑๐๔๐ ๓๖. เรอื่ งไม่มอี าสวะ (อนาสวกถา) ๑๐๔๑ ๓๗. เร่ืองพระอรหนั ตป์ ระกอบดว้ ยอะไรบ้าง (สมันนาคตกถา) ๑๐๔๑ ๓๘. เรื่องพระอรหันต์ประกอบด้วยอเุ บกขา (อเุ ปกขาสมันนาคตกถา) ๑๐๔๒ ๓๙. เรอ่ื งเปน็ พระพทุ ธเจ้าเพราะโพธิ (โพธยิ า พุทโธติกถา) ๑๐๔๒ ๔๐. เร่ืองลักษณะ (ลกั ขณกถา) ๑๐๔๒ ๔๑. เร่อื งกำ� หนดลงมาเกิด (นิยาโมกกันตกิ ถา) ๑๐๔๓ ๔๒. เรื่อง ”ประกอบด้วยคุณธรรม„ อกี ข้อหน่ึง (อปราปิสมนั นาคตกถา) ๑๐๔๓ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 98 5/4/18 2:19 PM

๔๓. เรื่องการละสัญโญชน์ท้ังหมด (สพั พสญั โญชนปหานกถา) (99) สารบาญ ๔๔. เรือ่ งหลดุ พ้น (วมิ ตุ ตกถา) ๔๕. เร่อื งพระอเสกขะ คือผ้ไู ม่ต้องศึกษา (อเสกขกถา) ๑๐๔๓ ๔๖. เรอ่ื งวปิ รติ (วปิ รีตกถา) ๑๐๔๔ ๔๗. เร่อื งท�ำนองธรรม (นยิ ามกถา) ๑๐๔๔ ๔๘. เรอ่ื งความแตกฉาน (ปฏิสัมภทิ ากถา) ๑๐๔๕ ๔๙. เร่อื งความรสู้ มมติ (สมั มติญาณกถา) ๑๐๔๕ ๕๐. เรอ่ื งญาณมีจิตเป็นอารมณ์ (จิตตารมั มณกถา) ๑๐๔๖ ๕๑. เรื่องญาณรู้อนาคต (อนาคตญาณกถา) ๑๐๔๖ ๕๒. เรอื่ งญาณร้ปู ัจจบุ นั (ปัจจปุ ปนั นญาณกถา) ๑๐๔๖ ๕๓. เรอ่ื งญาณรผู้ ล (ผลญาณกถา) ๑๐๔๗ ๕๔. เรือ่ งท�ำนองธรรม (นิยามกถา) ๑๐๔๗ ๕๕. เรอ่ื งปฏิจจสมุปบาท (ปฏิจจสมปุ ปาทกถา) ๑๐๔๗ ๕๖. เรอื่ งความจริง (สัจจกถา) ๑๐๔๘ ๕๗. เรอ่ื งอรปู สิง่ ทไ่ี ม่มีรปู (อารุปปกถา) ๑๐๔๘ ๕๘. เรอ่ื งนโิ รธสมาบตั ิ (นโิ รธสมาปัตตกิ ถา) ๑๐๔๘ ๕๙. เรือ่ งอากาศ (อากาสกถา) ๑๐๔๘ ๖๐. เรอื่ งอากาศเปน็ ของเหน็ ได้ (อากาโส สนิทัสสโนติกถา) ๑๐๔๙ ๖๑. เรอ่ื งธาตุดนิ เห็นได้ เป็นต้น (ปฐวธี าตุ สนิทสั สนาตยาทิกถา) ๑๐๔๙ ๖๒. เร่อื งอินทรีย์ คอื ตาเห็นได้ (จกั ขุนทริยงั สนิทัสสนนั ตกิ ถา) ๑๐๔๙ ๖๓. เร่ืองการกระท�ำทางกายเห็นได้ (กายกมั มัง สนทิ สั สนนั ตกิ ถา) ๑๐๕๐ ๖๔. เรอ่ื งธรรมทสี่ งเคราะห์เข้ากันได้ (สังคหิตกถา) ๑๐๕๐ ๖๕. เร่ืองธรรมท่ีประกอบกัน (สมั ปยตุ ตกถา) ๑๐๕๐ ๖๖. เร่อื งเจตสิก คือธรรมทเ่ี ป็นไปทางจิต (เจตสกิ กถา) ๑๐๕๐ ๖๗. เรอ่ื งทาน (ทานกถา) ๑๐๕๑ ๖๘. เร่ืองบญุ สำ� เร็จด้วยการใชส้ อย (ปรโิ ภคมยปญุ ญกถา) ๑๐๕๑ ๖๙. เร่อื งสิ่งท่ีใหไ้ ปจากโลกน้ี (อิโต ทนิ นกถา) ๑๐๕๑ ๗๐. เรอื่ งแผน่ ดนิ เป็นผลของกรรม (ปฐวี กัมมวปิ าโกติกถา) ๑๐๕๒ ๗๑. เร่อื งความแกค่ วามตายเปน็ ผล (ชรามรณงั กัมมวิปาโกติกถา) ๑๐๕๒ ๑๐๕๓ ๑๐๕๓ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 99 5/4/18 2:19 PM

(100) ๗๒. เรือ่ งผลของอริยธรรม (อรยิ ธัมมวิปากกถา) ๑๐๕๔ ๗๓. เรอ่ื งผลมีธรรมซงึ่ เปน็ ผลเป็นธรรมดา (วปิ าโก วปิ ากธมั มธัมโมติกถา) ๑๐๕๔ ๗๔. เรือ่ งคติ ๖ (ฉคติกถา) ๑๐๕๔ ๗๕. เร่อื งภพท่คี ัน่ ในระหวา่ ง (อนั ตราภวกถา) ๑๐๕๕ ๗๖. เรอ่ื งกามคุณ (กามคุณกถา) ๑๐๕๕ ๗๗. เร่ืองกาม (กามกถา) ๑๐๕๕ ๗๘. เร่อื งธาตุที่เปน็ รูป (รปู ธาตกุ ถา) ๑๐๕๖ ๗๙. เรื่องธาตทุ เ่ี ป็นอรปู (อรปู ธาตกุ ถา) ๑๐๕๖ ๘๐. เร่อื งอายตนะของรปู ธาตุ (รปู ธาตุยา อายตนกถา) ๑๐๕๖ ๘๑. เร่ืองรูปในอรูป (อรเู ป รปู กถา) ๑๐๕๗ ๘๒. เร่ืองรปู เป็นการกระทำ� (รปู งั กัมมันติกถา) ๑๐๕๗ ๘๓. เรอ่ื งชวี ิตินทรีย์ (ชีวติ นิ ทรยิ กถา) ๑๐๕๗ ๘๔. เรอื่ งกรรมเปน็ เหตุ (กมั มเหตุกถา) ๑๐๕๘ ๘๕. เรือ่ งอานิสงส์ ๑๐๕๘ ๘๖. เรื่องสญั โญชน์มีอมตะเปน็ อารมณ์ (อมตารัมมณกถา) ๑๐๕๘ ๘๗. เรื่องรปู มอี ารมณ์ (รปู ัง สารัมมณันติกถา) ๑๐๕๙ ๘๘. เรอื่ งอนสุ ัยไม่มีอารมณ์ (อนสุ ยา อนารมั มณาตกิ ถา) ๑๐๕๙ ๘๙. เรื่องญาณไมม่ ีอารมณ์ (ญาณัง อนารมั มณนั ติกถา) ๑๐๖๐ ๙๐. เร่ืองจติ ทีม่ ีอดตี เปน็ อารมณ์ (อตีตารัมมณกถา) ๑๐๖๐ ๙๑. เรอ่ื งจิตมอี นาคตเป็นอารมณ์ (อนาคตารัมมณกถา) ๑๐๖๐ ๙๒. เร่อื งจติ มีความตรึกตดิ ตาม (วิตักกานปุ ติตกถา) ๑๐๖๐ ๙๓. เร่ืองการแผอ่ อกแหง่ ความตรึกเป็นเสียง (วิตกั กวิปผารกถา) ๑๐๖๐ ๙๔. เรือ่ งวาจาไมเ่ ป็นไปตามจติ (น ยถาจิตตสั ส วาจาตกิ ถา) ๑๐๖๑ ๙๕. เรอื่ งการกระทำ� ทางกายไมเ่ ปน็ ไปตามจติ (น ยถาจติ ตสั ส กายกมั มนั ตกิ ถา) ๑๐๖๑ ๙๖. เรอ่ื งอดีต อนาคต ปัจจบุ ัน (อดตี านาคตปจั จปุ ปันนกถา) ๑๐๖๑ ๙๗. เรื่องความดับ (นิโรธกถา) ๑๐๖๒ ๙๘. เรื่องรูปเปน็ มรรค (รปู ัง มัคโคตกิ ถา) ๑๐๖๒ ๙๙. เร่ืองผูป้ ระกอบพร้อมด้วยวญิ ญาณ ๕ มกี ารเจรญิ มรรค ๑๐๖๒ (ปญั จวิญญาณสมคั คิสส มัคคภาวนากถา) PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 100 5/4/18 2:19 PM

(101) ๑๐๐. เรอ่ื งวญิ ญาณ ๕ เปน็ กุศลก็มี (ปัญจวญิ ญาณา กสุ ลาปตี ิกถา) ๑๐๖๓ สารบาญ ๑๐๑. เรือ่ งวิญาณ ๕ คิดค�ำนงึ ได้ (ปญั จวญิ ญาณา สาโภคาตกิ ถา) ๑๐๖๓ ๑๐๒. เรอ่ื งบคุ คลประกอบด้วยศีล ๒ อย่าง (ทวหี ิ สเี ลหิ สมันนาคโตตกิ ถา) ๑๐๖๓ ๑๐๓. เรอ่ื งศลี ไม่เป็นเจตสิก (สีลัง อเจตสกิ ันตกิ ถา) ๑๐๖๓ ๑๐๔. เรือ่ งศลี ไม่เปน็ ไปตามจิต (สลี ัง น จิตตานปุ รวิ ตั ตีติกถา) ๑๐๖๔ ๑๐๕. เร่ืองศลี มกี ารสมาทานเปน็ เหตุ (สมาทานเหตกุ กถา) ๑๐๖๔ ๑๐๖. เรอ่ื งวิญญตั ิเป็นศีล (วญิ ญัตติ สลี นั ติกถา) ๑๐๖๔ ๑๐๗. เรอ่ื งอวิญญตั ิเปน็ ทศุ ีล (อวิญญัตติ ทุสสีลยันตกิ ถา) ๑๐๖๕ ๑๐๘. เรอื่ งแมธ้ รรม ๓ อยา่ งกเ็ ป็นอนุสัย (ตสิ โสปิ อนสุ ยกถา) ๑๐๖๕ ๑๐๙. เร่อื งญาณความรู้ (ญาณกถา) ๑๐๖๕ ๑๑๐. เรอื่ งญาณเปน็ จิตตวิปปยุต (ญาณงั จิตตวปิ ปยตุ ตันตกิ ถา) ๑๐๖๖ ๑๑๑. เร่ืองการเปลง่ วาจาวา่ นท้ี กุ ข์ (อทิ งั ทกุ ขันตกิ ถา) ๑๐๖๖ ๑๑๒. เรอื่ งก�ำลังฤทธิ์ (อทิ ธพิ ลกถา) ๑๐๖๖ ๑๑๓. เร่ืองสมาธิ (สมาธิกถา) ๑๐๖๗ ๑๑๔. เรื่องความตัง้ อยู่แห่งธรรม (ธัมมัฏฐติ ตากถา) ๑๐๖๗ ๑๑๕. เร่อื งความเปน็ ของไม่เทีย่ ง (อนจิ จตากถา) ๑๐๖๗ ๑๑๖. เรอื่ งความสำ� รวมเปน็ การกระท�ำ (สงั วโร กมั มนั ตกิ ถา) ๑๐๖๗ ๑๑๗. เรือ่ งการกระท�ำ (กัมมกถา) ๑๐๖๘ ๑๑๘. เร่ืองเสียงเปน็ ผล (สทั โท วปิ าโกตกิ ถา) ๑๐๖๘ ๑๑๙. เรือ่ งอายตนะ ๖ (สฬายตนกถา) ๑๐๖๘ ๑๒๐. เรือ่ งบคุ คลผ้เู กิด ๗ คร้งั เป็นอย่างยง่ิ (สตั ตักขตั ตุปรมกถา) ๑๐๖๘ ๑๒๑. เรอ่ื งผจู้ ะไปเกดิ อกี ๒ - ๓ ครงั้ กบั ผเู้ กดิ อกี เพยี งครง้ั เดยี ว (โกลงั โกลเอกพชี กี ถา) ๑๐๖๙ ๑๒๒. เรื่องการปลงชีวติ (ชวี ติ า โวโรปนกถา) ๑๐๖๙ ๑๒๓. เรื่องทุคคติ (ทุคคติกถา) ๑๐๖๙ ๑๒๔. เรอ่ื งบคุ คลผู้เกิดในภพท่ี ๗ (สตั ตมภวกิ กถา) ๑๐๗๐ ๑๒๕. เรื่องผู้ต้งั อยตู่ ลอดกัปป์ (กปั ปฏั ฐกถา) ๑๐๗๐ ๑๒๖. เรื่องการได้กศุ ลจติ (กุสลจิตตปฏิลาภกถา) ๑๐๗๐ ๑๒๗. เรอ่ื งผปู้ ระกอบดว้ ยกรรมอนั ใหผ้ ลไมม่ รี ะหวา่ งคน่ั (อนนั ตราปยตุ ตกถา) ๑๐๗๐ ๑๒๘. เรอื่ งทำ� นองธรรมของผู้แน่นอน (นยิ ตสั ส นยิ ามกถา) ๑๐๗๑ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 101 5/4/18 2:19 PM

(102) ๑๒๙. เร่ืองผูม้ ีนวี รณ์ (นีวุตกถา) ๑๐๗๑ ๑๓๐. เร่อื งผพู้ ร้อมหนา้ กิเลส (สัมมุขีภตู กถา) ๑๐๗๒ ๑๓๑. เรื่องผูเ้ ข้าฌานย่อมพอใจ (สมาปันโน อัสสาเทติกถา) ๑๐๗๒ ๑๓๒. เรอ่ื งความก�ำหนัดในสิง่ ทไ่ี มน่ ่าพอใจ (อสาตราคกถา) ๑๐๗๒ ๑๓๓. เรอ่ื งความทะยานอยากในธรรมเปน็ อพั ยากฤต (ธมั มตณั หา อพั ยากตาตกิ ถา) ๑๐๗๒ ๑๓๔. เร่อื งธมั มตัณหามิใช่เหตใุ ห้เกิดทุกข์ (ธมั มตณั หา น ทุกขสมทุ โยตกิ ถา) ๑๐๗๓ ๑๓๕. เรือ่ งความตอ่ เนอื่ งแห่งกศุ ลและอกศุ ล (กสุ ลากุสลปฏสิ ันทหนกถา) ๑๐๗๓ ๑๓๖. เร่ืองความเกิดขน้ึ แหง่ อายตนะ ๖ ๑๐๗๓ ๑๓๗. เร่ืองปัจจัยที่ไมม่ รี ะหวา่ งคนั่ (อนนั ตรปัจจยกถา) ๑๐๗๔ ๑๓๘. เรอื่ งรปู ของพระอริยะ (อริยรูปกถา) ๑๐๗๔ ๑๓๙. เรื่องอนสุ ยั เป็นอยา่ งอื่น (อัญโญ อนุสโยตกิ ถา) ๑๐๗๔ ๑๔๐. เรอื่ งกเิ ลสเครอื่ งรงึ รดั ไมป่ ระกอบกบั จติ (ปรยิ ฏุ ฐานงั จติ ตวปิ ปยตุ ตนั ตกิ ถา) ๑๐๗๕ ๑๔๑. เรอ่ื งสงิ่ ท่ีเกี่ยวเนอื่ งกนั (ปรยิ าปันนกถา) ๑๐๗๕ ๑๔๒. เรือ่ งอพั ยากฤต (อัพยากตกถา) ๑๐๗๕ ๑๔๓. เรอื่ งโลกุตตระ (อปริยาปันนกถา) ๑๐๗๕ ๑๔๔. เรอ่ื งความเปน็ ปัจจัย (ปัจจยตากถา) ๑๐๗๕ ๑๔๕. เรือ่ งปัจจัยของกนั และกัน (อญั ญมัญญปจั จยกถา) ๑๐๗๖ ๑๔๖. เรอ่ื งกาลยดื ยาว (อทั ธากถา) ๑๐๗๖ ๑๔๗. เรื่องขณะ ประเด๋ยี ว ครู่ (ขณลยมหุ ุตตกถา) ๑๐๗๖ ๑๔๘. เรอ่ื งกเิ ลสทด่ี องสนั ดาน (อาสวกถา) ๑๐๗๗ ๑๔๙. เร่ืองความแกแ่ ละความตาย (ชรามรณกถา) ๑๐๗๗ ๑๕๐. เร่อื งสญั ญาและเวทนา (สัญญาเวทยิตกถา) ๑๐๗๗ ๑๕๑. เร่ืองสัญญาและเวทนาเรอ่ื งท่ี ๒ (ทตุ ยิ สัญญาเวทยิตกถา) ๑๐๗๗ ๑๕๒. เรอ่ื งสญั ญาและเวทนาเร่ืองที่ ๓ (ตติยสญั ญาเวทยิตกถา) ๑๐๗๘ ๑๕๓. เร่ืองสมาบตั ทิ ีใ่ หเ้ ขา้ ถึงอสญั ญสตั ว์ (อสญั ญสตั ตปุ กิ ากถา) ๑๐๗๘ ๑๕๔. เร่อื งการสะสมกรรม (กัมมปู จยกถา) ๑๐๗๘ ๑๕๕. เร่ืองการขม่ (นคิ คหกถา) ๑๐๗๙ ๑๕๖. เรอ่ื งการประคอง (ปคั คหกถา) ๑๐๗๙ ๑๕๗. เรื่องการเพม่ิ ให้ความสขุ (สขุ านปุ ปทานกถา) ๑๐๗๙ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 102 5/4/18 2:19 PM

(103) ๑๕๘. เรือ่ งการรวบรวมพจิ ารณา (อธิคคัยหมนสิการกถา) ๑๐๗๙ สารบาญ ๑๕๙. เร่ืองรปู เปน็ เหตุ (รปู งั เหตตู กิ ถา) ๑๐๘๐ ๑๖๐. เรื่องรูปมเี หตุ (รปู ัง สเหตกุ ันตกิ ถา) ๑๐๘๐ ๑๖๑. เรอ่ื งรปู เป็นกศุ ลและอกศุ ล (รปู งั กุสลากสุ ลนั ติกถา) ๑๐๘๐ ๑๖๒. เร่อื งรูปเป็นผล (รปู ัง วิปาโกตกิ ถา) ๑๐๘๐ ๑๖๓. เร่อื งรปู เป็นรูปาวจรและอรปู าวจร (รูปงั รปู าวจรารปู าวจรันติกถา) ๑๐๘๑ ๑๖๔. เรื่องรปู ราคะเนอื่ งด้วยรูปธาตุ (รปู ราโค รปู ธาตุปริยาปนั โนตกิ ถา) ๑๐๘๑ ๑๖๕. เรือ่ งพระอรหันต์มกี ารสง่ั สมบุญ (อัตถิ อรหโต ปุญญปู จโยติกถา) ๑๐๘๑ ๑๖๖. เรอื่ งพระอรหนั ตไ์ มม่ กี ารตายเมอื่ ยงั ไมถ่ งึ คราว (นตั ถิ อรหโต อกาลมจั จตู กิ ถา) ๑๐๘๑ ๑๖๗. เรอ่ื งทกุ อยา่ งมาจากกรรม (สพั พมิทัง กัมมโตตกิ ถา) ๑๐๘๒ ๑๖๘. เรอ่ื งสง่ิ ท่ีเนอ่ื งด้วยอินทรยี ์ (อนิ ทริยพัทธกถา) ๑๐๘๒ ๑๖๙. เร่ืองเว้นแตอ่ รยิ มรรค (ฐเปตวา อริยมคั คนั ติกถา) ๑๐๘๒ ๑๗๐. เรอ่ื งไมค่ วรกล่าวว่า สงฆร์ บั ทกั ษิณา ๑๐๘๒ (น วัตตัพพงั สังโฆ ทักขณิ ัง ปฏิคคณั หาตีติกถา) ๑๗๑. เร่ืองไม่ควรกลา่ วว่า สงฆท์ ำ� ทกั ษิณาใหบ้ รสิ ทุ ธิ์ ๑๐๘๓ (น วัตตัพพัง สังโฆ ทกั ขิณงั วโิ สเธตตี กิ ถา) ๑๗๒. เร่อื งไม่ควรกล่าววา่ สงฆฉ์ ัน (อาหาร) ๑๐๘๓ (น วตั ตพั พงั สังโฆ ภญุ ชตีตกิ ถา) ๑๗๓. เร่ืองไม่ควรกล่าวว่า ทานท่ีถวายแดส่ งฆ์มผี ลมาก ๑๐๘๓ (น วตั ตัพพงั สังฆัสส ทนิ นัง มหปั ผลันตกิ ถา) ๑๗๔. เรื่องไมค่ วรกลา่ ววา่ ทานท่ถี วายแด่พระพุทธเจ้ามีผลมาก ๑๐๘๓ (น วตั ตพั พงั พุทธสั ส ทนิ นงั มหปั ผลนั ตกิ ถา) ๑๗๕. เรือ่ งความบรสิ ุทธ์ิแหง่ ทกั ษิณา (ทกั ขณิ าวสิ ุทธกิ ถา) ๑๐๘๓ ๑๗๖. เร่อื งมนุษยโลก (มนสุ สโลกกถา) ๑๐๘๔ ๑๗๗. เร่ืองพระธรรมเทศนา (ธัมมเทสนากถา) ๑๐๘๔ ๑๗๘. เรือ่ งกรุณา (กรณุ ากถา) ๑๐๘๔ ๑๗๙. เร่ืองของหอม (คันธชาติกถา) ๑๐๘๕ ๑๘๐. เรื่องมรรคอันเดียว (เอกมัคคกถา) ๑๐๘๕ ๑๘๑. เรื่องการก้าวขา้ มฌาน (ฌานสงั กนั ตกิ ถา) ๑๐๘๕ ๑๘๒. เรือ่ งชอ่ งวา่ งของฌาน (ฌานนั ตรกิ ากถา) ๑๐๘๕ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 103 5/4/18 2:19 PM

(104) ๑๘๓. เรือ่ งผเู้ ข้าฌานยอ่ มได้ยินเสยี ง (สมาปนั โน สัททงั สณุ าตีติกถา) ๑๐๘๕ ๑๘๔. เรอ่ื งเหน็ รปู ดว้ ยตา (จกั ขุนา รูปัง ปัสสตีตกิ ถา) ๑๐๘๖ ๑๘๕. เรื่องการละกิเลส (กเิ ลสชหนกถา) ๑๐๘๖ ๑๘๖. เรือ่ งความสญู (สญุ ญตากถา) ๑๐๘๖ ๑๘๗. เรื่องผลแห่งความเปน็ สมณะ (สามญั ญผลกถา) ๑๐๘๖ ๑๘๘. เร่ืองการบรรลุ (ปัตตกิ ถา) ๑๐๘๗ ๑๘๙. เรื่องความจรงิ (ตถตา) ๑๐๘๗ ๑๙๐. เรือ่ งกุศล (กุสลกถา) ๑๐๘๗ ๑๙๑. เรอ่ื งขอ้ กำ� หนดเด็ดขาด (อจั จนั ตนยิ ามกถา) ๑๐๘๗ ๑๙๒. เรื่องธรรมะทเี่ ปน็ ใหญ่ (อนิ ทริยกถา) ๑๐๘๗ ๑๙๓. เรอื่ งไมจ่ งใจ (อสัญจิจจกถา) ๑๐๘๘ ๑๙๔. เรือ่ งญาณ (ญาณกถา) ๑๐๘๘ ๑๙๕. เรือ่ งนายนริ ยบาล (นริ ยปาลกถา) ๑๐๘๘ ๑๙๖. เรอื่ งสัตวด์ ริ ัจฉาน (ดิรัจฉานกถา) ๑๐๘๘ ๑๙๗. เรื่องมรรค (มัคคกถา) ๑๐๘๙ ๑๙๘. เร่อื งญาณ (ญาณกถา) ๑๐๘๙ ๑๙๙. เรอ่ื งคำ� สอน (สาสนกถา) ๑๐๘๙ ๒๐๐. เรื่องผูไ้ มส่ งัด (อววิ ิตตกถา) ๑๐๘๙ ๒๐๑. เรอื่ งกเิ ลสทีผ่ กู มดั (สญั โญชนกถา) ๑๐๙๐ ๒๐๒. เรือ่ งฤทธิ์ (อิทธิกถา) ๑๐๙๐ ๒๐๓. เรอื่ งพระพทุ ธเจ้า (พุทธกถา) ๑๐๙๐ ๒๐๔. เรอ่ื งทศิ ทง้ั ปวง (สัพพทิสากถา) ๑๐๙๑ ๒๐๕. เร่ืองธรรม (ธมั มกถา) ๑๐๙๑ ๒๐๖. เรือ่ งกรรม (กัมมกถา) ๑๐๙๑ ๒๐๗. เร่อื งปรนิ ิพพาน ๑๐๙๑ ๒๐๘. เรอ่ื งกุศลจติ (กุสลจติ ตกถา) ๑๐๙๒ ๒๐๙. เรือ่ งอาเนญชะ (อาเนญชกถา) ๑๐๙๒ ๒๑๐. เรื่องการตรัสร้ธู รรม (ธัมมาภสิ มยกถา) ๑๐๙๒ ๒๑๑. เร่อื ง ๓ ประเภท (ตสิ โสปกิ ถา) ๑๐๙๒ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 104 5/4/18 2:19 PM

(105) ๒๑๒. เรอ่ื งอพั ยากฤต (อพั ยากตกถา) ๑๐๙๓ สารบาญ ๒๑๓. เรอื่ งความเปน็ ปัจจยั เพราะส้องเสพ (อาเสวนปจั จยตากถา) ๑๐๙๓ ๒๑๔. เรือ่ งชว่ั ขณะ (ขณกิ กถา) ๑๐๙๓ ๒๑๕. เรื่องความประสงค์อันเดียวกนั (เอกาธปิ ปายกถา) ๑๐๙๔ ๒๑๖. เร่อื งเพศของพระอรหันต์ (อรหันตวัณณกถา) ๑๐๙๔ ๒๑๗. เรอ่ื งการบันดาลตามความใครข่ องผูเ้ ปน็ ใหญ่ (อสิ สริยกามการิกากถา) ๑๐๙๔ ๒๑๘. เร่ืองส่งิ ทเี่ ปน็ ราคะเทยี ม เป็นต้น (ราคปฏริ ปู กาทกิ ถา) ๑๐๙๔ ๒๑๙. เรื่องสิง่ ทีไ่ มส่ �ำเร็จรูป (อปรนิ ปิ ผันนกถา) ๑๐๙๕ นิกายไหน มีความเห็นผดิ ในขอ้ ไหน ๑๐๙๕ เล่ม ๓๘ ยมก ภาค ๑ ๑๐๙๗ คำ� อธิบายเรอ่ื งคัมภรี ย์ มก ๑๐๙๗ ขยายความ ๑๐๙๙ ๑. มูลยมก (ธรรมเป็นคอู่ นั เป็นมูล) ๑๐๙๙ ๒ . ขันธยมก (ธรรมเป็นคู่คอื ขันธ)์ ๑๐๙๙ (๑) ปณั ณตั ตวิ าร วาระวา่ ด้วยบญั ญตั ิ ๑๐๙๙ (๒) ปวตั ติวาร วาระวา่ ด้วยความเป็นไป ๑๑๐๐ ก. อปุ ปาทวาร ๑๑๐๐ ข. นิโรธวาร ๑๑๐๐ ค. อุปปาทนิโรธวาร ๑๑๐๐ (๓) ปริญญาวาร วาระวา่ ด้วยการกำ� หนดรู ้ ๑๑๐๐ ๓ . อายตนยมก (ธรรมเป็นคู่คอื อายตนะ) ๑๑๐๑ (๑) ปัณณัตตวิ าร วาระวา่ ด้วยบัญญตั ิ ๑๑๐๑ (๒) ปวตั ตวิ าร วาระวา่ ด้วยความเป็นไป ๑๑๐๑ ก. อปุ ปาทวาร ๑๑๐๑ ข. นิโรธวาร ๑๑๐๒ ค. อปุ ปาทนิโรธวาร (๓) ปริญญาวาร วาระว่าดว้ ยการกำ� หนดร ู้ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 105 5/4/18 2:19 PM

(106) ๑๑๐๒ ๑๑๐๒ ๔ . ธาตุยมก (ธรรมเปน็ ค่คู อื ธาตุ) ๑๑๐๒ ๕. สัจจยมก (ธรรมเปน็ คคู่ อื ความจรงิ ) ๑๑๐๒ (๑) ปณั ณตั ตวิ าร วาระว่าดว้ ยบญั ญัต ิ ๑๑๐๓ (๒) ปวตั ตวิ าร วาระว่าด้วยความเปน็ ไป ๑๑๐๓ (๓) ปริญญาวาร วาระวา่ ดว้ ยการก�ำหนดรู้ ๑๑๐๓ ๖. สงั ขารยมก (ธรรมเปน็ คคู่ ือสงั ขาร หรอื เคร่ืองปรงุ ) ๑๑๐๔ (๑) ปัณณัตตวิ าร วาระวา่ ดว้ ยบญั ญตั ิ ๑๑๐๔ (๒) ปวตั ติวาร วาระวา่ ดว้ ยความเป็นไป ๑๑๐๔ (๓) ปรญิ ญาวาร วาระวา่ ด้วยการกำ� หนดรู้ ๑๑๐๕ ๗. อนสุ ยยมก (ธรรมเป็นคู่คอื อนุสัย) ๑๑๐๕ (๑) อนสุ ยวาร วาระว่าดว้ ยกเิ ลสทีน่ อนเน่อื งในสนั ดาน ๑๑๐๕ (๒) สานสุ ยวาร วาระว่าด้วยบคุ คลผู้มอี นสุ ยั ๑๑๐๕ (๓) ปชหนวาร วาระว่าดว้ ยการละ ๑๑๐๖ (๔) ปริญญาวาร วาระวา่ ด้วยการก�ำหนดร ู้ ๑๑๐๖ (๕) ปหีนวาร วาระว่าดว้ ยอนสุ ยั ทลี่ ะไดแ้ ลว้ ๑๑๐๖ (๖) อปุ ปัชชนวาร วาระวา่ ดว้ ยการเกิดขน้ึ ๑๑๐๗ (๗) ธาตุวาร วาระวา่ ด้วยธาตุ ๑๑๐๗ เล่ม ๓๙ ยมก ภาค ๒ ๑๑๐๗ ขยายความ ๑๑๐๗ ๑. จิตตยมก (ธรรมเปน็ คคู่ อื จติ ) ๑๑๐๗ ก. อุทเทสหรอื บทตงั้ ๑๑๐๗ ๑. ปุคคลวาร วาระว่าดว้ ยบคุ คล ๑๑๐๗ ๒. ธัมมวาร วาระว่าดว้ ยธรรม ๑๑๐๘ ๓. ปุคคลธัมมวาร วาระว่าดว้ ยบคุ คลและธรรม ๑๑๐๘ ๔. มิสสกวาร วาระวา่ ด้วยจติ ทีผ่ สมด้วยกิเลส ๑๑๐๘ ข. นทิ เทสหรือบทอธิบาย ๑๑๐๘ ๒. ธัมมยมก (ธรรมที่เปน็ คคู่ อื ธรรม) ๑๑๐๘ (๑) ปณั ณตั ติวาร วาระวา่ ดว้ ยบัญญตั ิ ก. อทุ เทสหรอื บทต้งั 5/4/18 2:19 PM ข. นทิ เทสหรือบทอธิบาย PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 106

(107) (๒) ปวตั ติวาร วาระวา่ ด้วยความเป็นไป ๑๑๐๙ สารบาญ ก. อุปปาทวาร วาระวา่ ดว้ ยความเกิดข้นึ ๑๑๐๙ ข. นโิ รธวาร วาระว่าด้วยความดบั ๑๑๐๙ ค. อุปปาทนโิ รธวาร วาระวา่ ดว้ ยความเกดิ ข้ึนและความดบั ๑๑๑๐ (๓) ภาวนาวาร วาระว่าด้วยการทำ� ใหเ้ กิด ๑๑๑๐ ๓ . อนิ ทริยยมก (ธรรมเป็นคคู่ อื อนิ ทรยี ์ ไดแ้ ก่ธรรมท่ีเปน็ ใหญ่ในหน้าทีข่ องตน) ๑๑๑๑ (๑) ปัณณตั ติวาร วาระว่าด้วยบญั ญตั ิ ๑๑๑๑ ก. อทุ เทสหรือบทต้ัง ๑๑๑๑ ข. นทิ เทสหรอื บทอธบิ าย ๑๑๑๑ (๒) ปวัตติวาร วาระว่าด้วยความเป็นไป ๑๑๑๑ (๓) ปรญิ ญาวาร วาระว่าดว้ ยการก�ำหนดร้ ู ๑๑๑๒ เล่ม ๔๐ ปฏั ฐาน ภาค ๑ ๑๑๑๓ ค ำ� อธิบายเร่อื งคมั ภีร์ปัฏฐาน ๑๑๑๔ ข ยายความ ๑๑๑๔ มาตกิ านกิ เขปวาร (วาระแห่งการตั้งแม่บท) ๑๑๑๔ ๑. เหตุปจั จัย (ปจั จัย หรือเคร่ืองสนับสนนุ ที่เป็นเหตุ) ๑๑๑๔ ๒. อารัมมณปัจจยั (ปจั จยั ที่เปน็ อารมณ์) ๑๑๑๔ ๓. อธปิ ติปจั จัย (ปัจจยั ท่เี ป็นใหญ)่ ๑๑๑๔ ๔. อนนั ตรปัจจยั (ปัจจัยท่ีเป็นของไม่มอี ะไรคัน่ ในระหว่าง) ๑๑๑๔ ๕. สมนันตรปจั จัย (ปจั จยั ทเี่ ปน็ ของกระชน้ั ชดิ ) ๑๑๑๔ ๖. สหชาตปจั จยั (ปจั จยั ท่ีเป็นของเกดิ พร้อมกัน) ๑๑๑๔ ๗. อัญญมญั ญปจั จยั (ปจั จยั ที่เป็นขององิ อาศยั กนั และกัน) ๑๑๑๔ ๘. นิสสยปัจจัย (ปัจจยั ทีเ่ ปน็ ท่อี าศัยโดยตรง) ๑๑๑๔ ๙. อุปนสิ สยปจั จัย (ปัจจัยที่เป็นทอี่ าศัยโดยสืบต่อกนั มา) ๑๑๑๔ ๑๐. ปเุ รชาตปจั จัย (ปจั จัยทีเ่ ปน็ ของเกิดกอ่ น) ๑๑๑๔ ๑๑. ปจั ฉาชาตปจั จยั (ปัจจัยที่เป็นของเกดิ ทีหลัง) ๑๑๑๔ ๑๒. อาเสวนปัจจยั (ปัจจยั โดยการสอ้ งเสพ) ๑๑๑๕ ๑๓. กมั มปจั จยั (ปัจจยั ท่ีเปน็ กรรม คอื การกระท�ำ) ๑๔. วิปากปัจจยั (ปัจจยั ทีเ่ ปน็ ผลของกรรม) PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 107 5/4/18 2:19 PM

(108) ๑๕. อาหารปจั จัย (ปัจจยั ท่ีเป็นอาหาร) ๑๑๑๕ ๑๖. อินทรยิ ปัจจัย (ปัจจยั ที่เป็นอินทรีย)์ ๑๑๑๕ ๑๗. ฌานปัจจยั (ปัจจยั ที่เปน็ ฌาน คือสมาธทิ แี่ น่วแน)่ ๑๑๑๕ ๑๘. มคั คปจั จัย (ปจั จยั ทเี่ ป็นมรรค - คือข้อปฏิบตั ิใหถ้ ึงความดับกเิ ลสและดบั ทุกข์) ๑๑๑๕ ๑๙. สมั ปยุตตปจั จยั (ปัจจยั ท่ีเป็นของประกอบกัน - คอื เกิดพร้อมกัน ดบั พร้อมกัน) ๑๑๑๕ ๒๐. วปิ ปยุตตปัจจัย (ปจั จยั ทเ่ี ปน็ ของไม่ประกอบกัน) ๑๑๑๕ ๒๑. อัตถิปจั จยั (ปจั จัยทเี่ ปน็ ของมอี ย)ู่ ๑๑๑๕ ๒๒. นัตถปิ จั จัย (ปจั จยั ท่เี ป็นของไม่มี) ๑๑๑๕ ๒๓. วิคตปัจจยั (ปัจจัยที่เปน็ ของไปปราศ คอื พน้ ไป หมดไป) ๑๑๑๕ ๒๔. อวิคตปจั จัย (ปัจจัยที่เป็นของไมป่ ราศ คือไม่พน้ ไป ไม่หมดไป) ๑๑๑๕ ป ัจจยวภิ งั ควาร (วาระว่าดว้ ยการแจก คืออธิบายปัจจยั ๒๔) ๑๑๑๕ อนุโลมติกปฏั ฐาน (ปัจจัยแหง่ ธรรมะหมวด ๓ กล่าวไปตามล�ำดับ) ๑๑๒๐ กุสลติกะ หมวด ๓ แห่งกุศล ๑๑๒๐ เวทนาติกะ หมวด ๓ แห่งเวทนา ๑๑๒๓ วิปากติกะ หมวด ๓ แหง่ วบิ าก ๑๑๒๔ อุปาทนิ นตกิ ะ หมวด ๓ แหง่ ธรรมท่ถี กู ยดึ ถอื ๑๑๒๔ สงั กลิ ิฏฐติกะ หมวด ๓ แห่งธรรมทเี่ ศรา้ หมอง ๑๑๒๔ เล่ม ๔๑ ปัฏฐาน ภาค ๒ ๑๑๒๕ อนโุ ลมติกปัฏฐาน (ปัจจยั แห่งธรรมะหมวด ๓ กล่าวไปตามลำ� ดบั ) ๑๑๒๕ เลม่ ๔๒ ปัฏฐาน ภาค ๓ ๑๑๒๖ อนุโลมทกุ ปฏั ฐาน (ปจั จยั แห่งธรรมะหมวด ๒ กล่าวไปตามลำ� ดบั ) ตอนต้น ๑๑๒๖ ๑. เหตุทุกะ หมวด ๒ แหง่ เหตุ ๑๑๒๖ ๒. สเหตทุ กุ ะ หมวด ๒ แห่งธรรมท่ีมีเหตุ ๑๑๒๖ ๓. เหตสุ มั ปยุตตทกุ ะ หมวด ๒ แห่งธรรมท่สี ัมปยุตด้วยเหตุ ๑๑๒๗ ๔. เหตสุ เหตุกทกุ ะ หมวด ๒ แหง่ เหตแุ ละธรรมทม่ี ีเหตุ ๑๑๒๗ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 108 5/4/18 2:19 PM

(109) ๕. เหตเุ หตสุ มั ปยตุ ตทกุ ะ หมวด ๒ แห่งเหตุและธรรมทีส่ มั ปยุตด้วยเหต ุ ๑๑๒๗ สารบาญ ๖. น เหตุสเหตุกทกุ ะ หมวด ๒ แหง่ ธรรมทม่ี ใิ ช่เหตุ แตม่ เี หต ุ ๑๑๒๗ รายการบทตัง้ จัดเปน็ หมวด ๑๑๒๘ ธรรมหมวด ๒ ๑๑๒๘ ๑. กลมุ่ เหตุ หรอื เหตุโคจฉกะ มี ๖ คู่ ๑๑๒๘ ๒. กลมุ่ ธรรม ๒ ข้อทไี่ ม่สัมพันธ์กัน คนู่ ้อย หรือจฬู ันตรทุกะ มี ๗ คู่ ๑๑๒๙ ๓. กล่มุ อาสวะ คือกเิ ลสทดี่ องสันดาน หรืออาสวโคจฉกะ มี ๖ คู่ ๑๑๒๙ ๔. กลมุ่ สัญโญชน์ คอื กเิ ลสที่ผูกมดั หรือสัญโญชนโคจฉกะ มี ๖ ค ู่ ๑๑๓๐ ๕. กลุ่มคนั ถะ คือกิเลสทีร่ ้อยรัด หรอื คันถโคจฉกะ มี ๖ คู่ ๑๑๓๑ ๖. กลุ่มโอฆะ คือกิเลสทที่ �ำสตั วใ์ หจ้ มลงในวฏั ฏะ คือความเวยี นวา่ ยตายเกิด หรอื โอฆโคจฉกะ มี ๖ คู่ ๑๑๓๑ ๗. กลมุ่ โยคะ คอื กเิ ลสเครอื่ งประกอบ หรือผกู สตั วไ์ ว้ในวฏั ฏะ หรอื โยคโคจฉกะ มี ๖ คู่ ๑๑๓๑ ๘. กลุ่มนีวรณ์ คือกเิ ลสอันกน้ั จิต หรอื นีวรณโคจฉกะ มี ๖ คู่ ๑๑๓๑ ๙. กลมุ่ ปรามาส คือกเิ ลสเครื่องจบั ต้อง ในทางทผ่ี ดิ ความจรงิ มี ๕ ค ู่ ๑๑๓๑ เล่ม ๔๓ ปัฏฐาน ภาค ๔ ๑๑๓๓ อนุโลมทุกปฏั ฐาน (ปัจจยั แหง่ ธรรมะหมวด ๒ กล่าวไปตามลำ� ดบั ) ตอนปลาย ๑๑๓๓ ธรรมหมวด ๒ (ต่อ) ๑๑๓๓ ๑๐. กลุม่ ธรรม ๒ ขอ้ ท่ไี มส่ ัมพันธ์กัน คูใ่ หญ่ หรือมหันตรทุกะ ๑๔ คู่ ๑๑๓๓ ๑๑. กลุ่มอุปาทาน หรอื อุปาทานโคจฉกะ มี ๖ คู่ ๑๑๓๔ ๑๒. กลุม่ กเิ ลส หรอื กิเลสโคจฉกะ มี ๘ คู่ ๑๑๓๕ ๑๓. กลุ่มธรรม ๒ ข้อรัง้ ทา้ ย หรอื ปิฏฐทิ กุ ะ มี ๑๘ คู่ ๑๑๓๕ เล่ม ๔๔ ปฏั ฐาน ภาค ๕ ๑๑๓๘ ๑. ธรรมหมวด ๒ กับหมวด ๓ ผสมกัน (อนุโลมทุกติกปัฏฐาน) ๑๑๓๘ ๒. ธรรมหมวด ๓ กับหมวด ๒ ผสมกัน (อนุโลมตกิ ทุกปัฏฐาน) ๑๑๓๘ ๓. ธรรมหมวด ๓ กับหมวด ๓ ผสมกัน (อนโุ ลมตกิ ติกปัฏฐาน) ๑๑๓๘ ๔. ธรรมหมวด ๒ กับหมวด ๒ ผสมกัน (อนุโลมทกุ ทกุ ปัฏฐาน) ๑๑๓๙ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 109 5/4/18 2:19 PM

(110) เล่ม ๔๕ ปฏั ฐาน ภาค ๖ ๑๑๔๐ ๑. ปจั จนยี ปัฏฐาน (ปฏเิ สธทงั้ ฝา่ ยท่ีถกู อาศัยทงั้ ฝา่ ยท่เี กดิ ขน้ึ ) ๑๑๔๐ ๒. อนโุ ลมปัจจนียปัฏฐาน (ปฏเิ สธเฉพาะธรรมท่เี กิด) ๑๑๔๐ ๓. ปจั จนียานโุ ลมปฏั ฐาน (ปฏิเสธเฉพาะธรรมทีถ่ กู อาศัย) ๑๑๔๐ ภาค ๕ ๑๑๔๗ วา่ ด้วยบนั ทึกทางวิชาการ ๑๑๔๗ ฉบับท่ี ๑ ๑๑๔๘ ๑.๑ ลกั ษณะแหง่ หนังสอื พระไตรปฎิ กฉบบั ส�ำหรบั ประชาชนนี้ ๑๑๔๘ ๑.๒ การอา่ น พระไตรปฎิ กฉบับส�ำหรับประชาชน ๑๑๔๙ ฉบบั ท่ี ๒ ๑๑๔๙ ๒.๑ การทต่ี ้องมกี ารเทยี บเคียงภาษาองั กฤษไวบ้ ้างนน้ั ๑๑๔๙ ๒.๒ ในภาค ๒ ที่เลอื กแปลข้อความบางตอนจากพระไตรปิฎกน้นั ๑๑๔๙ ๒.๓ ผสู้ นใจในวิชาสงั คมวิทยา ๑๑๔๙ ๒.๔ พระไตรปฎิ กเล่ม ๙ ซง่ึ ย่อความไว ้ ๑๑๕๐ ๒.๕ การอธบิ าย หรือขยายความได้ท�ำไวใ้ นวงเลบ็ บา้ ง ๑๑๕๐ ๒.๖. ในทใ่ี ดบอกไว้ว่า ฝรัง่ เห็นวา่ อยา่ งนนั้ อย่างนี้ พึงทราบวา่ ๑๑๕๐ ๒.๗ เครอื่ งใชส้ �ำหรับนัง่ คอื อาสนั ทิ และบัลลังก์ ๑๑๕๐ ๒.๘ ในหน้า ๓๐๐ มอี ยู่ตอนหน่ึงท่ีฝรั่งแปลวา่ โบกมอื ๑๑๕๑ ฉบับท่ี ๓ ๑๑๕๑ ๓.๑ สารบาญยอ่ มช่วยใหเ้ ห็นต�ำแหนง่ และลำ� ดบั พระสูตรทที่ ่านอ่าน ๑๑๕๑ ๓.๒ ในคำ� ชแ้ี จงตอนทแี่ ลว้ ไดก้ ลา่ วถงึ ฝรง่ั แปลพระไตรปฎิ กผดิ ไวห้ ลายแหง่ ๑๑๕๑ ๓.๓ ในการใชถ้ ้อยคำ� ถอดจากพระไตรปฎิ ก บางครงั้ และบางคำ� ๑๑๕๒ ๓.๔ อนง่ึ ขอเสนอตามท่พี ระพุทธเจ้าไดต้ รัสสอนไว ้ ๓.๕ การใช้คำ� วา่ ”ทลู „ และ ”กราบทลู „ ๓.๖ คำ� ว่า ”อเุ บกขา„ ทแี่ ปลว่า ”ความวางเฉย„ ๓.๗ คำ� วา่ ”ปปัญจสัญญาสังขา„ ๓.๘ ค�ำวา่ ”มีสว่ นเปรียบ„ PTF-MRF new04. CONTENT 2 ����� ������������� (�������) p.09-114 OK.indd 110 5/4/18 2:19 PM

อภธิ ัมมปฎิ ก PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 965 5/4/18 2:26 PM

. 966 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 966 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก๑ ธัมมสงั คณี วิภงั ค์ ธาตุกถา ปคุ คลบญั ญัตติ กถาวัตถุ ยมก ปฏั ฐาน • มาตกิ า • ขนั ธวิภังค์ • หวั ขอ้ ธรรม • บคุ คล • หวั ขอ้ ธรรม • มูลยมก • อนุโลมตกิ • จติ ตุป • อายตนวิภงั ค์ จัดประเภท ท่ีมีจำ� นวน ๒๑๙ • ขันธยมก ปฏั ฐาน ปาทกัณฑ์ • ธาตุวภิ ังค์ โดยธาตุ ๑ ถึง ๑๐ กถา • อายตนยมก • อนุโลมทุก • รปู กัณฑ์ • สจั จวิภังค์ • นกิ เขปกณั ฑ์ • อนิ ทรยิ วภิ ังค์ • ธาตุยมก ปัฏฐาน • อตั ถุท • ปจั จยาการวภิ ังค์ • สัจจยมก • ธรรม ๔ หมวด ธารกัณฑ์ • สติปฏั ฐานวภิ ังค์ • สงั ขารยมก ผสมกนั • อนสุ ยยมก • ปัจจนยี ปฏั ฐาน • สัมมปั ปธานวภิ ังค์ • จติ ตยมก • อนุโลมปัจจนีย • อิทธิปาทวิภงั ค์ • ธัมมยมก ปัฏฐาน • โพชฌงั ควภิ งั ค์ • อนิ ทริยยมก • ปัจจนยี นโุ ลม • มคั ควภิ งั ค์ • ฌานวิภงั ค์ ปฏั ฐาน • อัปปมญั ญาวภิ ังค์ • สิกขาปทวภิ ังค์ • ปฏสิ ัมภิทาวภิ งั ค์ • ญาณวภิ ังค์ • ขทุ ทกวตั ถวุ ิภังค์ • ธัมมหทยวิภังค์ ๑ อภธิ ัมมปฎิ ก มี ๗ คมั ภรี ์ จดั พมิ พเ์ ป็นคัมภีร์ ๑๒ เลม่ เรยี กย่อ ๆ ว่า สัง วิ ธา ปุ ก ย ป (ดูรายละเอียด ท่ีหนา้ ๓๔) คอื พระไตรปฎิ ก เลม่ ๓๔ ถงึ เล่ม ๔๕ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 967 5/4/18 2:26 PM

. 968 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 968 5/4/18 2:26 PM

อภธิ ัมมปฎิ ก คำ� อธิบายอภิธรรมปฎิ ก เมื่อมาถึงอภิธัมมปิฎก ท่านผู้อ่านโปรดเข้าใจไว้ด้วยว่า ข้อความที่จะย่อต่อไปนี้ เป็นการกล่าวถึงหลักธรรมล้วน ๆ ไม่มีพาดพิงถึงบุคคล เหตุการณ์ และเร่ืองราวต่าง ๆ จะขอ อุปมาพอเขา้ ใจเปน็ การเปรยี บเทยี บ คอื บุคคลคณะหนงึ่ เดนิ ทางไปโดยรถยนต์ วนิ ยั ปิฎก เปรียบเหมือนการกล่าวถงึ จรรยา มารยาทของบคุ คลเหล่าน้ัน สุตตนั ตปิฎก เปรียบเหมือนการกล่าวถึงเหตกุ ารณ์ และบุคคล ตลอดจนขอ้ เตือนใจ ที่ไดพ้ บปะระหว่างทาง สว่ น อภิธัมมปฎิ ก เลิกพูดถึงเรื่องบุคคล แต่พูดถึงเคร่ืองยนต์กลไกในรถยนต์ หรือ สว่ นประกอบตา่ ง ๆ ในรา่ งกายจติ ใจคน เปน็ วชิ าลว้ น ๆ ซง่ึ ไมม่ นี ทิ านหรอื เรอ่ื งสนกุ อนื่ ๆ ประกอบ โดยท่ัวไปจึงรู้สึกกันว่า อภิธัมมปิฎกเข้าใจยาก แต่ถ้าสนใจศึกษาพิจารณาหรือท�ำ ความเขา้ ใจตาม โดยไม่กลวั ความยากจนเกนิ ไป กจ็ ะเกิดความเพลดิ เพลินในธรรม ในหลกั วิชา ตามทไี่ ดส้ งั เกตมา ผศู้ กึ ษาอภธิ รรมมกั จะตดิ ใจเพลดิ เพลนิ ในความยาก แตม่ เี หตผุ ลเกยี่ วโยงกนั หลายแงห่ ลายมมุ เพราะฉะนนั้ ในการยอ่ ความตอ่ ไปนี้ จะพยายามทำ� ใหเ้ ขา้ ใจงา่ ยเทา่ ทสี่ ามารถ จะท�ำได้ ขอ้ ความใดไมช่ ัด จะทำ� ค�ำอธิบายไว้ในวงเลบ็ ในเชงิ อรรถ เพ่ือให้เข้าใจชดั ข้ึน ความจรงิ คำ� วา่ อภธิ รรม ซง่ึ หมายถงึ ธรรมอนั ยง่ิ นนั้ มใิ ชม่ แี ตใ่ นอภธิ มั มปฎิ กเทา่ นน้ั แม้ในสุตตันตปิฎกก็มีอยู่ทั่วไป คือตอนใดพูดถึงหลักธรรมล้วน ๆ ไม่กล่าวถึงบุคคลและ เหตุการณ์ ตอนน้ันย่อมเป็นอภิธรรม ขอยกตัวอย่างข้อความในกินติสูตร อันเป็นสูตรท่ี ๓ ในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๔ และได้ย่อไว้แล้วในหน้า ๖๖๓ หมายเลข ๓ พระผมู้ พี ระภาคตรสั วา่ ถา้ มภี กิ ษุ ๒ รปู พดู ไมล่ งกนั ใน อภิธรรม ภิกษุ (ผู้หวังจะระงับข้อโต้เถียง) พึงเข้าไปหาภิกษุ ทวี่ า่ งา่ ยกวา่ พดู ใหร้ ถู้ งึ ความตา่ งกนั โดยอรรถะพยญั ชนะ เตอื นอยา่ ใหว้ วิ าทกนั อนั ไหนถอื มาผดิ หรือเรียนมาผิด ก็พึงก�ำหนดไว้ แล้วกล่าวแต่ท่ีถูกธรรมถูกวินัย ค�ำว่าอภิธรรมในพระสูตร ที่กล่าวนี้ อรรถกถาแก้วา่ ได้แกโ่ พธิปกั ขยิ ธรรม (ธรรมอนั เป็นฝ่ายแห่งการตรัสรู้) ๓๗ ประการ มีสตปิ ฏั ฐาน (การต้ังสต)ิ ๔ อย่าง เปน็ ตน้ มอี รยิ มรรค (ทางหรือขอ้ ปฏิบัติอนั ประเสรฐิ ) ๘ อย่าง เป็นที่สุด เมื่อโพธิปักขิยธรรม มีความหมายเป็นอภิธรรมได้ เราก็เห็นได้ชัดว่า เพราะมีเนื้อหา เปน็ ธรรมะลว้ น ๆ น้ันเอง ผู้ที่ทราบหลักการข้อน้ี จึงมองเห็นอภิธรรมได้ในเรื่องราวทุกอย่าง เป็นแต่ให้รู้จัก ถอดธรรมะเป็นเท่าน้ัน ขอยกตัวอย่าง หลักธรรมในพระสูตร ท่ีมีลักษณะเป็นอภิธรรม คือ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 969 5/4/18 2:26 PM

970 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ เป็นหลักธรรมล้วน ๆ ไม่เก่ียวด้วยสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา อีกสักข้อหน่ึง เพื่อให้เห็น ความเกีย่ วโยงอยา่ งนา่ สนใจในธรรมะ คอื เรอ่ื งเวทนา ๑. เวทนา หรือความรู้สึกอารมณ์ เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือไม่ทุกข์ไม่สุขน้ัน มีชื่อ เรยี กวา่ สขุ เวทนา ทกุ ขเวทนา และอทกุ ขมสขุ เวทนา โดยลำ� ดบั เรอ่ื งนเี้ ปน็ การแบง่ ตามข้อเทจ็ จรงิ ธรรมดา ๒. เวทนา หริือความรู้สึกอารมณ์ เป็นสุข เป็นทุกข์ หรือไม่ทุกข์ไม่สุขน้ี จัดว่า เป็นทุกข์ คือทนอยู่ไม่ได้ เกิดข้ึนแล้วก็ต้องดับไป เพราะฉะน้ัน สุขก็ตาม ทุกข์ก็ตาม ไม่ทุกข์ไม่สุขก็ตาม นับว่าเป็นทุกข์ คือทนอยู่ไม่ได้ทั้งส้ิน ข้อนี้ ก็เป็นการกล่าวตามข้อเท็จจริง แต่ว่ามองในอีกแง่หน่ึง คือแง่ที่ว่า ทนอยู่ไม่ได้ จงึ ชอื่ วา่ เปน็ ทุกข์ ๓. ในกรณีท่ีเวทนามีเพียง ๒ ข้อ คือพระผู้มีพระภาคตรัสว่า กล่าวโดยนัยหนึ่ง เวทนา คอื ความร้สู ึกอารมณน์ น้ั มี ๒ อยา่ งเท่านั้น คือ สขุ กบั ทุกข์ ก็เกดิ ปัญหา ขึ้นว่า ความรู้สึกเฉย ๆ คือ ไม่ทุกข์ไม่สุข จะเอาไปไว้ท่ีไหน ตอบว่า ความรู้สึก เฉย ๆ จัดเข้าใน สุข คือเม่ือ ไม่ทุกข์ ก็จัดเข้าใน สุข ได้ นี่ก็เป็นการกล่าว ตามขอ้ เทจ็ จริงอกี แง่หนึ่ง ๔. เกิดปัญหาขึ้นอีกว่า ทุกข์ เป็นทุกข์ น้ัน ลงตัวอยู่แล้ว แต่ สุข กับไม่ทุกข์ไม่สุข ท�ำไมจึงกลายเป็นทุกข์ ไปได้ ก็จะต้องตอบย้อนไปหาเหตุผลข้อที่ ๒ อีก คือจะ ต้องเข้าใจความหมายของค�ำว่า ทุกข์ ที่ช้ีไปถึงความทนอยู่ไม่ได้ เพราะสุข ก็ไม่ คงที่ ไมท่ กุ ขไ์ ม่สขุ กไ็ ม่คงท่ี มคี วามแปรปรวนไปทนอยู่ไมไ่ ด้ จงึ จัดวา่ เปน็ ทกุ ข์ หลักวิชาด่ังกล่าวข้างบนน้ี เป็นการวิเคราะห์ตามแนวพระสูตรล้วน ๆ แต่ก็มีลีลาเป็น อภธิ รรมอยใู่ นตวั เพราะฉะน้ัน ธรรมะอันย่ิง ธรรมะล้วน ๆ หรืออภิธรรมนั้นย่อมมีอยู่ แม้ใน พระสตู ร ถ้าเขา้ ใจความหมายหรือถอดความได)้ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 970 5/4/18 2:26 PM

อภธิ รรม ๗ คมั ภรี ์ ชาวไทยนิยมเรียกอภิธัมมปิฎกว่า อภิธรรม๑ ๗ คัมภีร์ ก็เพราะอภิธัมมปิฎก แยกเป็นหวั ข้อสำ� คัญ ๗ ข้อ คือ ๑. ธัมมสังคณี ว่าด้วยการ ”รวมกลุ่มธรรมะ„ คอื จัดระเบยี บธรรมะตา่ ง ๆ ที่กระจาย กันอยู่มากมายมาไว้ในหัวข้อส้ัน ๆ เทียบด้วยการน�ำเคร่ืองประกอบต่าง ๆ ของ นาฬกิ ามาคมุ กันเข้าเปน็ นาฬิกาทงั้ เรือน มเี ลม่ เดยี ว คือเล่ม ๓๔ ๒. วิภังค์ ว่าด้วยการ ”แยกกลุ่ม„ คือกระจายออกไปจากกลุ่มใหญ่ เพื่อให้เห็น รายละเอียด เช่น ขันธ์ ๕ มีอะไรบ้าง แต่ละข้อน้ันแยกออกไปอย่างไรได้อีก เทียบด้วยการถอดส่วนประกอบของนาฬิกา ออกมาจากที่รวมกันอยู่เดิม มีเล่มเดียว คอื เล่ม ๓๕ ๓. ธาตุกถา ว่าด้วย ”ธาตุ„ คือส่ิงที่เป็นต้นเดิมในทางธรรม (โปรดเข้าใจว่า เป็น คนละอย่างกับธาตทุ างวทิ ยาศาสตร์ เพราะทางธรรมมงุ่ คตสิ อนใจ สงิ่ ทเ่ี ปน็ ตน้ เดมิ ทางธรรม จงึ มคี วามหมายตามคตธิ รรม) มเี ล่มเดยี ว คือเล่ม ๓๖ อนง่ึ เล่ม ๓๖ น้ี ยังมปี คุ คลบญั ญัตริ วมอย่ดู ้วย ๔. ปคุ คลบญั ญตั ติ วา่ ดว้ ย ”การบญั ญตั บิ คุ คล„ โดยกลา่ วถงึ คณุ ธรรมสงู ตำ่� ของบคุ คล เชน่ คำ� วา่ สมยวิมุตฺโต ”ผู้พ้นเป็นคราว ๆ„ คือบางคราวก็ละกิเลสได้ บางคราวก็ ละไมไ่ ด้ อสมยวมิ ตุ โฺ ต ”ผพู้ น้ ตลอดไป ไมข่ น้ึ อยกู่ บั คราวสมยั „ ไดแ้ กผ่ ลู้ ะกเิ ลสได้ เด็ดขาด เป็นตน้ รวมอยู่ในเล่ม ๓๖ เปน็ อนั วา่ เล่ม ๓๖ มี ๒ หวั ข้อ ๕. กถาวัตถุ ว่าด้วย ”เร่ืองของถ้อยค�ำ„ คือการต้ังค�ำถามค�ำตอบ เพ่ือชี้ให้เห็น หลักธรรมท่ถี กู ต้องทางพระพทุ ธศาสนา มเี ลม่ เดียว คอื เล่ม ๓๗ ๖. ยมก ว่าด้วย ”ธรรมะท่ีเป็นคู่„ คือการจัดธรรมะเป็นคู่ ๆ โดยอาศัยหลักการ ต่าง ๆ มี ๒ เลม่ คือเลม่ ๓๘ และ ๓๙ ๗. ปัฏฐาน ว่าด้วย ”ที่ต้ัง คือปัจจัย ๒๔„ แสดงว่า ”อะไรเป็นปัจจัยของอะไรใน ทางธรรม„ มี ๖ เลม่ คือเลม่ ๔๐ ๔๑ ๔๒ ๔๓ ๔๔ และ ๔๕ ๑ ค�ำวา่ อภธิ มั ม เขยี นตามแบบบาลี อภิธรรม เขียนตามแบบไทย ซ่งึ แปลงมาจากสนั สกฤต อภธิ รฺม PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 971 5/4/18 2:26 PM

เล่ม ๓๔ ธัมมสงั คณี (รวมกล่มุ ธรรมะ) เฉพาะเล่ม ๓๔ ซึ่งมีชื่อว่า ”ธัมมสังคณี„ (รวมกลุ่มธรรมะ) น้ัน แบ่งออกเป็น ๕ หวั ขอ้ ใหญ่ ดงั ต่อไปน้ี ๑. หัวข้อท่ีเป็นกระทู้ธรรมหรือแม่บท (มาติกา) เทา่ กบั เปน็ แกน่ หรอื สาระสำ� คญั ของ ธมั มสงั คณี แต่มยี อ่ มาก จึงจ�ำเปน็ ตอ้ งมหี วั ขอ้ อืน่ ๆ ตอ่ ๆ ไปอีก ๔ ขอ้ เพอื่ ช่วย ขยายความ ๒. ค�ำอธิบายเร่ืองจิตว่าเกิดข้ึนอย่างไร (จิตตุปปาทกัณฑ์) เป็นค�ำอธิบายเพียง บางส่วนของมาติกาหรือแม่บท เฉพาะที่เกี่ยวกับจิตกับธรรมะที่เน่ืองด้วยจิต (ทเี่ รียกวา่ เจตสกิ ) จดั ว่าเป็นค�ำอธิบายทพี่ สิ ดารทส่ี ุดกวา่ หัวขอ้ ทุก ๆ หวั ขอ้ ๓. ค�ำอธิบายเร่ืองรูปคือส่วนท่ีเป็นร่างกาย (รูปกัณฑ์) เมื่อแยกพูดเรื่องจิตและ เจตสกิ ไว้ในขอ้ ที่ ๒ แล้ว จงึ พูดเรื่องรปู หรอื กายไว้ในขอ้ ท่ี ๓ นี้ ๔. ค�ำอธิบายแม่บทหรือมาติกาท่ีต้ังไว้ในข้อหน่ึง หมดทุกข้อ (นิกเขปกัณฑ์) เปน็ การอธบิ ายบทตงั้ ทกุ บทดว้ ยคำ� อธบิ ายขนาดกลาง ไมย่ าวเกนิ ไป ไมส่ นั้ เกนิ ไป ไมเ่ หมือนกบั ข้อ ๒ และข้อ ๓ ซ่ึงอธบิ ายเฉพาะบทตั้งเพียงบางบทอย่างพิสดาร ๕. ค�ำอธิบายแม่บทหรือมาติกาที่ตั้งไว้ในข้อหน่ึงแบบรวบรัดหมดทุกข้อ (อัตถุทธารกัณฑ)์ ๑ หัวข้อนอ้ี ธบิ ายอยา่ งยอ่ มาก เมื่ออ่านมาถึงเพียงนี้ ก็พอจะเห็นเค้าโครงแห่งธัมมสังคณีบ้างแล้ว ว่าแบ่งออก เป็น ๕ ส่วนอย่างไร และมีหลักเกณฑ์ในการแบ่งหัวข้ออย่างไร ต่อนี้ไป จะขยายความให้เห็น เน้อื หาของพระไตรปิฎก เล่ม ๓๔ เปน็ ลำ� ดบั ไป ขยายความ ๑. แม่บทหรอื มาติกา แมบ่ ทหรอื มาตกิ านี้ แบ่งออกเป็น ๒ หวั ข้อใหญ่ คอื อภธิ ัมมมาติกา ไดแ้ ก่ แมบ่ ทหรอื กระทู้ธรรมที่เปน็ ฝ่ายอภิธรรมอย่างหน่งึ สตุ ตันตมาตกิ า ไดแ้ ก่ แม่บทหรือกระทู้ธรรมที่เป็นฝ่ายพระสูตร คือน�ำธรรมะจาก พระสตู รมาตง้ั เทยี บเคยี งให้ดูอีกอย่างหน่ึง ๑ อรรถกถาเรียกว่า ”อัตถกถากัณฑ์„ โดยช้ีแจงว่าศิษย์ของพระสาริบุตรไม่เข้าใจ พระสาริบุตรจึงพาไปเฝ้า พระผมู้ ีพระภาคใหต้ รสั อธิบาย PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 972 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๓๔ ธัมมสังคณี มาติกา 973 แมบ่ ทฝา่ ยพระสตู รไมม่ หี วั ขอ้ ยอ่ ย คงกลา่ วถงึ ชอื่ ธรรมะตา่ ง ๆ แตต่ น้ จนจบ สว่ นแมบ่ ท อ ิภธัมม ิปฎก ฝา่ ยอภธิ รรม แบ่งออกเปน็ หัวขอ้ ย่อย ๑๔ หวั ขอ้ ดงั ต่อไปน้ี ก. แมบ่ ทหรอื บทตั้งฝ่ายอภธิ รรม (อภิธมั มมาตกิ า) ๑. แม่บท ว่าดว้ ยการจัดธรรมะเป็นหมวดละ ๓ ข้อ รวม ๒๒ หมวด (พาวสี ติตกิ มาตกิ า) คอื (๑) ธรรมท่เี ปน็ กุศล (คือฝ่ายด)ี ธรรมทีเ่ ปน็ อกศุ ล (คือฝ่ายชว่ั ) ธรรมท่ีเป็นอพั ยากฤต (คอื พระผมู้ พี ระภาคไมต่ รสั ชล้ี งไปวา่ เปน็ ฝา่ ยดหี รอื ฝา่ ยชวั่ จะวา่ เปน็ กลาง ๆ กไ็ ด)้ (๒) ธรรมที่ประกอบด้วยเวทนา (คือความรู้สึกอารมณ์) ที่เป็นสุข ที่เป็นทุกข์ ท่ี ไม่ทุกข์ไมส่ ขุ (๓) ธรรมที่เป็นวิบาก (คือเป็นผล) ธรรมที่มีผลเป็นธรรมดา (คือเป็นเหตุ) ธรรมที่ ไมเ่ ปน็ ทง้ั ๒ อยา่ งขา้ งต้น (คือไมใ่ ช่ผล ไม่ใชเ่ หตุ) (๔) ธรรมท่ีถูกยึดถือและเป็นท่ีตั้งแห่งความยึดถือ ธรรมที่ไม่ถูกยึดถือ แต่เป็น ทตี่ งั้ แห่งความยดึ ถือ ธรรมท่ไี มถ่ กู ยดึ ถือและไมเ่ ป็นท่ตี ัง้ แหง่ ความยดึ ถอื (๕) ธรรมท่ีเศร้าหมองและเป็นที่ตั้งแห่งความเศร้าหมอง ธรรมที่ไม่เศร้าหมอง แต่เป็นที่ต้ังแห่งความเศร้าหมอง ธรรมท่ีไม่เศร้าหมองและไม่เป็นที่ต้ังแห่ง ความเศร้าหมอง (๖) ธรรมท่ีมีวิตก (ความตรึก) และมีวิจาร (ความตรอง) ธรรมท่ีไม่มีวิตก (ความตรกึ ) มแี ต่เพยี งวิจาร (ความตรอง) ธรรมท่ีไมม่ ีท้ังวติ ก ไมม่ ีทง้ั วจิ าร (๗) ธรรมท่ีประกอบด้วยปีติ (ความอิ่มใจ) ธรรมที่ประกอบด้วยความสุข ธรรม ทป่ี ระกอบด้วยอเุ บกขา (ความวางเฉย) (๘) ธรรมท่ีละได้ด้วยทัสสนะ (= การเห็น คือธรรมท่ีละได้ด้วยโสดาปัตติมรรค) ธรรมท่ีละได้ด้วยภาวนา (= การอบรม คือธรรมท่ีละได้ด้วยสกทาคามิมรรค อนาคามิมรรค อรหตั ตมรรค) ธรรมที่ละไม่ได้ดว้ ยทัสสนะ ละไม่ได้ดว้ ยภาวนา๑ ๑ ได้แก่สัญโญชน์ ๓ ส�ำหรับข้อแรก สัญโญชน์ ๓ ๕ ๑๐ ส�ำหรับข้อ ๒ และธรรมท่ีเป็นฝ่ายกุศลและกลาง ๆ ส�ำหรบั ข้อ ๓ ดคู ำ� อธบิ ายข้างหน้าและดหู น้า ๗๔๖ และ ๘๖๙ วรรคท่ี ๒ ด้วย PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 973 5/4/18 2:26 PM

974 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ (๙) ธรรมที่มีเหตุอันพึงละได้ด้วยทัสสนะ (ละได้ด้วยโสดาปัตติมรรค) ธรรมที่มีเหตุ อนั พงึ ละไดด้ ว้ ยภาวนา (ละไดด้ ว้ ยอรยิ มรรคทงั้ สามเบอื้ งบน) ธรรมทมี่ เี หตอุ นั พงึ ละไม่ไดท้ ั้งด้วยทัสสนะท้ังดว้ ยภาวนา๑ (๑๐) ธรรมท่ีไปสู่ความสั่งสมกิเลส ธรรมท่ีไม่ไปสู่ความส่ังสมกิเลส ธรรมที่ไม่เป็น ทง้ั สองอย่างน้ัน (๑๑) ธรรมที่เป็นของพระอริยบุคคลผู้ยังศึกษา (ท่านผู้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติมรรค จนถึงอรหัตตมรรค รวม ๗ ประเภท) ธรรมที่เป็นของพระอริยบุคคลผู้ไม่ต้อง ศึกษา (ผบู้ รรลุอรหตั ตผลแลว้ ) ธรรมที่ไมเ่ ปน็ ท้ังสองอยา่ งนน้ั (๑๒) ธรรมที่เป็นของเล็กน้อย (= ปริตตะ คือเป็นกามาวจร ยังท่องเท่ียวอยู่ในกาม) ธรรมที่เป็นของใหญ่ (= มหัตคตะ คือเป็นรูปฌานหรืออรูปฌาน) ธรรมที่ไม่มี ประมาณ (คอื เป็นโลกุตตรธรรม ได้แก่ มรรค ผล นพิ พาน) (๑๓) ธรรมที่มีอารมณ์เล็กน้อย ธรรมที่มีอารมณ์ใหญ่ ธรรมที่มีอารมณ์ไม่มีประมาณ (๑๔) ธรรมอันเลว (อกุศลธรรม) ธรรมอันปานกลาง (ธรรมท่ีเป็นกุศลและอัพยากฤต ท่ียงั มีอาสวะ) ธรรมอันประณตี (โลกตุ ตรธรรม) (๑๕) ธรรมทเี่ ปน็ ฝา่ ยผดิ และแนน่ อน ธรรมทเี่ ปน็ ฝา่ ยถกู และแนน่ อน ธรรมทไ่ี มแ่ นน่ อน๒ (๑๖) ธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์ ธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุ ธรรมที่มีมรรคเป็นใหญ่ (อธิบดี) (๑๗) ธรรมที่เกิดขน้ึ แลว้ ธรรมท่ียงั ไมเ่ กดิ ข้นึ ธรรมท่จี กั เกิดขน้ึ (๑๘) ธรรมที่เปน็ อดีต ธรรมทเ่ี ปน็ อนาคต ธรรมทีเ่ ปน็ ปัจจบุ นั (๑๙) ธรรมท่ีมีอารมณ์เป็นอดีต ธรรมท่ีมีอารมณ์เป็นอนาคต ธรรมท่ีมีอารมณ์เป็น ปัจจบุ นั (๒๐) ธรรมทเี่ ป็นภายใน ธรรมทเี่ ปน็ ภายนอก ธรรมท่เี ปน็ ภายในและภายนอก (๒๑) ธรรมที่มีอารมณ์ภายใน ธรรมท่ีมีอารมณ์ภายนอก ธรรมท่ีมีอารมณ์ภายใน และภายนอก (๒๒) ธรรมที่เห็นได้และถูกต้องได้ ธรรมที่เห็นไม่ได้แต่ถูกต้องได้ ธรรมท่ีเห็นไม่ได้ และถกู ตอ้ งไมไ่ ด้ ๑ ค�ำว่า เหตุ ในท่ีนี้ กล่าวตามส�ำนวนอภิธรรม หมายถึงสัมปยุตตเหตุ คือเหตุท่ีเกิดขึ้นผสม ได้แก่ เหตุฝ่ายช่ัวคือ ๒ กิเลสที่มาผสมกบั นามธรรม และเป็นสมฏุ ฐานแห่งกายกรรม วจกี รรม มโนกรรม ๕ และความเห็นผิดอย่างแรง คำ� วา่ แนน่ อน ไมแ่ นน่ อน หมายถึงแน่นอนในการให้ผล ฝ่ายผิดคืออนันตริยกรรม ฝ่ายถกู คืออริยมรรค ๔ ธรรมที่ไม่แนน่ อน คือนอกจากสองขอ้ ทีแ่ ลว้ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 974 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๓๔ ธัมมสังคณี มาติกา 975 ๒. แมบ่ ทหรอื บทตัง้ ว่าด้วยกล่มุ เหตุ (เหตุโคจฉกะ) อ ิภธัมม ิปฎก มี ๖ คู่ คือ (๑) ธรรมที่เป็นเหตุ ธรรมท่ีมิใช่เหตุ (๒) ธรรมท่ีมีเหตุ ธรรมท่ีไม่มีเหตุ เป็นต้น ๓. แมบ่ ทหรือบทต้งั หมวดสองข้อไมส่ ัมพันธ์กัน คู่น้อย (จูฬนั ตรทุกะ) มี ๗ คู่ คือ (๑) ธรรมท่ีมีปัจจัย ธรรมท่ีไม่มีปัจจัย (๒) ธรรมที่เป็นสังขตะ (ถูกปัจจยั ปรุงแต่ง) ธรรมทีเ่ ปน็ อสงั ขตะ (ไม่ถูกปจั จยั ปรุงแตง่ ) เป็นต้น ๔. แม่บทหรือบทตงั้ วา่ ด้วยกล่มุ อาสวะ (อาสวโคจฉกะ) มี ๖ คู่ คือ (๑) ธรรมที่เป็นอาสวะ (กิเลสที่ดองสันดาน) ธรรมท่ีมิใช่อาสวะ (๒) ธรรมทมี่ ีอาสวะ ธรรมที่ไมม่ อี าสวะ เปน็ ต้น ๕. แมบ่ ทหรอื บทตง้ั ว่าด้วยกลมุ่ สัญโญชน์ (สัญโญชนโคจฉกะ) มี ๖ คู่ คือ (๑) ธรรมท่ีเป็นสัญโญชน์ (กิเลสเคร่ืองผูกมัด) ธรรมท่ีไม่เป็นสัญโญชน์ (๒) ธรรมทีเ่ ป็นทตี่ ้งั แห่งสญั โญชน์ ธรรมที่ไม่เป็นทีต่ ัง้ แห่งสัญโญชน์ เป็นต้น ๖. แมบ่ ทหรอื บทตั้ง ว่าด้วยกลมุ่ คันถะ (คนั ถโคจฉกะ) มี ๖ คู่ คือ (๑) ธรรมอันเป็นคันถะ (กิเลสเครื่องร้อยรัด) ธรรมที่ไม่เป็นคันถะ (๒) ธรรมอันเปน็ ท่ีตัง้ แห่งคันถะ ธรรมอันไม่เป็นท่ตี ง้ั แห่งคนั ถะ เปน็ ตน้ ๗. แม่บทหรอื บทตงั้ ว่าด้วยกลมุ่ โอฆะ (โอฆโคจฉกะ) มี ๖ คู่ คือ (๑) ธรรมอันเป็นโอฆะ (กิเลสเคร่ืองท�ำสัตว์ให้จมลงในวัฏฏะ คือความ เวียนว่ายตายเกิด) ธรรมอันไม่เป็นโอฆะ (๒) ธรรมอันเป็นที่ตั้งแห่งโอฆะ ธรรมอันไม่เป็น ทีต่ ง้ั แห่งโอฆะ เป็นตน้ ๘. แมบ่ ทหรอื บทตั้ง วา่ ด้วยกลุ่มโยคะ (โยคโคจฉกะ) มี ๖ คู่ คือ (๑) ธรรมอันเป็นโยคะ (กิเลสเคร่ืองประกอบหรือผูกสัตว์ไว้ในวัฏฏะ) ธรรมทไ่ี มเ่ ป็นโยคะ (๒) ธรรมเป็นท่ีต้ังแหง่ โยคะ ธรรมอันไมเ่ ป็นทตี่ ง้ั แห่งโยคะ เป็นต้น ๙. แมบ่ ทหรือบทตัง้ วา่ ดว้ ยกลุ่มนีวรณ์ (นีวรณโคจฉกะ) มี ๖ คู่ คือ (๑) ธรรมอันเป็นนีวรณ์ (กิเลสเครื่องก้ันจิตรัดรึงจิต) ธรรมอันไม่เป็น นีวรณ์ (๒) ธรรมอันเป็นทีต่ ง้ั แหง่ นวี รณ์ ธรรมอนั ไม่เปน็ ที่ตงั้ แห่งนวี รณ์ เป็นต้น ๑๐. แมบ่ ทหรือบทตงั้ วา่ ดว้ ยกลมุ่ ปรามาส (ปรามาสโคจฉกะ) มี ๕ คู่ คือ (๑) ธรรมอันเป็นปรามาส (กิเลสเคร่ืองจับต้องในทางที่ผิดความจริง) ธรรมอนั ไมเ่ ป็นปรามาส เปน็ ต้น PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 975 5/4/18 2:26 PM

976 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๑๑. แม่บทหรอื บทตง้ั หมวดสองขอ้ ทไี่ ม่สมั พนั ธ์กัน คใู่ หญ่ (มหนั ตรทุกะ)๑ มี ๑๔ คู่ คือ (๑) ธรรมท่ีมีอารมณ์ ธรรมท่ีไม่มีอารมณ์ (๒) ธรรมที่เป็นจิต ธรรมท่ีมิใช่จิต เป็นต้น (ได้แปลค�ำอธิบายธรรมเหล่านี้ไว้เพียง ๙ คู่ ในหน้า ๑๒๗ - ๑๒๙ หมายเลข ๘๖ - ๙๔ เป็นการแปลตามค�ำอธิบายแบบสน้ั จากอตั ถุทธารกัณฑ์ เล่ม ๓๔ น้เี อง) ๑๒. แมบ่ ทหรอื บทตั้ง ว่าด้วยอุปาทาน (อุปาทานโคจฉกะ) มี ๖ คู่ คือ (๑) ธรรมอันเป็นอุปาทาน (เป็นเหตุยึดถือ) ธรรมอันไม่เป็นอุปาทาน (๒) ธรรมอนั เปน็ ที่ต้ังแห่งอปุ าทาน ธรรมอนั ไม่เปน็ ท่ีตั้งแหง่ อุปาทาน เปน็ ต้น ๑๓. แม่บทหรอื บทตงั้ ว่าดว้ ยกิเลส (กเิ ลสโคจฉกะ) มี ๘ คู่ คือ (๑) ธรรมอันเป็นกเิ ลส (เครื่องทำ� ใจให้เศร้าหมอง) ธรรมอันไม่เป็นกเิ ลส (๒) ธรรมอนั เปน็ ทตี่ ง้ั แหง่ กิเลส ธรรมอนั ไมเ่ ป็นทตี่ ัง้ แหง่ กิเลส เป็นตน้ ๑๔. แม่บทหรอื บทตงั้ ว่าด้วยหมวด ๒ อนั รง้ั ท้าย (ปฏิ ฐิทุกะ) มี ๑๘ คู่ คอื (๑) ธรรมที่พงึ ละดว้ ยทสั สนะ (ละดว้ ยการเห็น คอื ละด้วยโสดาปตั ตมิ รรค อันเห็นนิพพาน) ธรรมท่ีไม่พึงละด้วยทัสสนะ (๒) ธรรมที่พึงละด้วยการเจริญ (ละด้วย การเจรญิ คืออรยิ มรรคทง้ั สาม เบอื้ งบน) ธรรมทไี่ ม่พงึ ละด้วยการเจริญ เป็นตน้ ข. แมบ่ ทหรือบทต้งั ฝ่ายพระสตู ร (สุตตนั ตมาติกา) ได้กลา่ วไวแ้ ล้วว่า ในแมบ่ ทของเล่มที่ ๓๔ นี้ แบ่งหัวขอ้ หรอื แมบ่ ทใหญ่ออกเปน็ ฝ่าย อภิธรรม กับฝ่ายพระสูตร เพื่อให้เทียบเคียงกันดู แม่บทฝ่ายอภิธรรมมี ๑๒๒ หัวข้อ (หัวข้อละ ๓ ประเด็นมี ๒๒ หัวข้อละ ๒ ประเด็นมี ๑๐๐) ส่วนแม่บทฝ่ายพระสูตร มี ๔๒ หัวข้อ (หัวข้อละ ๒ ประเด็น) แต่ไม่มีค�ำอธิบายแม่บทฝ่ายพระสูตร คงน�ำมาต้ังไว้ให้ทราบ เทา่ น้ัน ดังจะน�ำมากลา่ วสัก ๑๐ ขอ้ คอื ๑. ธรรมอนั เปน็ ไปในส่วนแหง่ วิชชา ธรรมอนั เปน็ ไปในสว่ นแหง่ อวชิ ชา ๒. ธรรมอันอุปมาดว้ ยสายฟา้ ธรรมอันอุปมาดว้ ยเพชร ๓. ธรรมอนั เปน็ ของคนพาล ธรรมอนั เปน็ ของบณั ฑิต ๔. ธรรมดำ� ธรรมขาว ๕. ธรรมเป็นที่ตัง้ แหง่ ความเดือดรอ้ น ธรรมไม่เป็นทตี่ ัง้ แหง่ ความเดอื ดร้อน ๖. ธรรมคอื คำ� ร้องเรียก ธรรมคอื ทางแหง่ ค�ำรอ้ งเรยี ก ๑ คำ� ว่า ไม่สัมพนั ธก์ นั คือในหมวดน้ี ไมใ่ ช่เรอื่ งเดียวกนั แต่เลือกธรรมะมากล่าวเปน็ คู่ ๆ ไม่เหมือนหมวดท่มี ีค�ำว่า โคจฉกะ ซงึ่ เป็นเร่อื งประเภทเดยี วกนั ตลอด PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 976 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๓๔ ธัมมสังคณี จิตตุปปาทกัณฑ์ 977 ๗. ธรรมคือภาษาพูด ธรรมคอื ทางแหง่ ภาษาพูด อ ิภธัมม ิปฎก ๘. ธรรมคือบญั ญตั ิ ธรรมคอื ทางแห่งบัญญตั ิ ๙. นาม รปู ๑๐. อวชิ ชา ภวตณั หา (ความทะยานอยากมี อยากเป็น) เป็นต้น ฯ ล ฯ (หมายเหตุ : ในบทตั้งหรือแม่บท ๑๖๔ หัวข้ออันแจกรายละเอียดออกไปเป็นฝ่าย พระอภิธรรม ๒๖๖ ประเด็น เป็นฝ่ายพระสูตร ๘๔ ประเด็น รวมทั้งสิ้น ๓๕๐ ประเด็น แต่น�ำมาตั้งให้เห็นเพียง ๔๕ หัวข้อ หรือ ๑๓๘ ประเด็น ที่เหลือได้ละไว้ด้วยคำ� ว่า เป็นต้นน้ัน ด้วยเจตนาจะแสดงรายการหรือประเด็นที่ส�ำคัญ ส่วนปลีกย่อยก็ผ่านไป ความจริงเท่าที่ พระทา่ นสวด ทา่ นสวดบทตงั้ ของคมั ภรี ์ ”ธมั มสงั คณ„ี คอื พระไตรปฎิ กเลม่ ๓๔ นี้ โดยทว่ั ไปนนั้ คงสวดเพียง ๒๒ หัวข้อแรก ท่ีแบ่งออกเป็นหัวข้อละ ๓ ประเด็น รวมท้ังสิ้น ๖๖ ประเด็น เท่านั้น ในที่นี้แสดงไว้ถึง ๔๕ หัวข้ออันแบ่งออกเป็น ๑๓๘ ประเด็น เพื่อให้เห็นหน้าตา ชัดเจนยิ่งขึ้น แท้จริงในการอธิบายรายละเอียดเป็นร้อย ๆ หน้าในพระไตรปิฎก เล่ม ๓๔ เอง กอ็ ธบิ ายหนกั ไปในหวั ขอ้ แรก ๓ ประเดน็ คอื กสุ ลา ธมมฺ า (ธรรมอนั เปน็ กศุ ล) อกสุ ลา ธมมฺ า (ธรรมอันเป็นอกุศล) อพฺยากตา ธมฺมา (ธรรมอันเป็นอัพยากฤต คือเป็นกลาง ๆ) เท่านั้น นอกจากนั้นก็เป็นค�ำอธิบายเรื่อง ”รูป„ กับอธิบายบทตั้งอื่น ๆ อย่างสั้น ๆ ท่านผู้อ่านจึงช่ือว่า มิไดผ้ า่ นสาระส�ำคญั ไปในการยอ่ คร้ังน)้ี ๒. ค�ำอธบิ ายเรื่องจติ เกิด (จติ ตปุ ปาทกัณฑ)์ ข้อความในกัณฑ์น้ี มี ๑๗๕ หน้า อธิบายเพียงหัวข้อแรก อันแบ่งเป็น ๓ ประเด็น คือธรรมอันเป็นกุศล อกุศล และอัพยากฤตหรือกลาง ๆ เท่าน้ัน พึงทราบว่า ความมุ่งหมาย ยังแคบเข้ามาอีก คือธรรมท้ังสามน้ัน ท่านช้ีไปท่ีจิตและสิ่งท่ีเนื่องด้วยจิต ท่ีเรียกว่า เจตสิก ดงั หวั ขอ้ ย่อย ๆ ท่จี ะกล่าวต่อไปนี้ จิตทั่วไป ๑. จติ แบง่ ออกเปน็ ๓ ประเภท คือ กศุ ลฝ่ายดี อกุศลฝา่ ยชวั่ อัพยากฤตคอื กลาง ๆ จติ ฝ่ายกุศล ๒. จติ ทเี่ ปน็ กศุ ลหรอื กุศลจิต แบ่งออกเปน็ ๔ ประเภท ตามภมู ิช้ันที่ ต�่ำและสงู คือ (๑) กามาวจร คอื จิตที่ท่องเท่ยี วไปในกาม ทเ่ี ปน็ ฝา่ ยกศุ ล๑ มี ๘ ๑ ที่ใช้ค�ำว่า เป็นฝ่ายกุศลก�ำกับเพื่อไม่ให้หลงหัวข้อ เพราะในที่นี้กล่าวเฉพาะกุศลหรือฝ่ายดีเท่าน้ัน ยังมีฝ่าย ที่เปน็ กลาง ๆ หรอื อัพยากฤตท่ีแบ่งออกเป็นกามาวจร รปู าวจร อรูปาวจร และโลกตุ ตระเช่นกัน PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 977 5/4/18 2:26 PM

978 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ (๒) รปู าวจร คอื จติ ทท่ี อ่ งเทย่ี วไปในรปู ทเี่ ปน็ ฝา่ ยกศุ ล (หมายถงึ จติ ทไี่ ด้ ฌาน คอื ฌานท่ีเพง่ รูปเปน็ อารมณ์) มี ๕ (๓) อรูปาวจร คือจิตท่ีท่องเท่ียวไปในอรูปที่เป็นฝ่ายกุศล (หมายถึงจิตที่ได้ อรูปฌาน คือฌานท่ีเพง่ นาม หรอื สิง่ ท่ไี ม่มีรูปเปน็ อารมณ์) มี ๔ (๔) โลกตุ ตระ คอื จติ ที่พ้นจากโลก (หมายถึงจิตที่เปน็ มรรค ๔) มี ๔ รวมเปน็ จิตที่เป็นฝ่ายกุศล หรอื ฝา่ ยดี ๔ ประเภทใหญ่ แบง่ เป็น ๒๑ ชนิด จิตฝา่ ยอกุศล ๓. จิตท่ีเป็นอกุศลหรืออกุศลจิต มีประเภทเดียว คือกามาวจร คือจิตท่ียังท่องเที่ยว อยู่ในกาม สูงข้ึนไปกว่าน้ันไม่มีอกุศล จิตท่ีเป็นอกุศลนี้ เป็นจิตประกอบด้วยความโลภ ๘ ความคิดประทษุ ร้าย หรือโทสะ ๒ ความหลงหรอื โมหะ ๒ จงึ รวมเป็น ๑๒ ชนดิ จิตท่เี ป็นกลาง ๆ ๔. จิตท่ีเป็นอัพยากฤต คือท่ีพระพุทธเจ้าไม่ตรัสพยากรณ์ หรือช้ีลงไปว่า เป็นกุศล หรืออกุศล จึงหมายถึงจิตท่ีเป็นกลาง ๆ หรือเรียกว่า อัพยากตจิต แบ่งออกเป็น ๔ ประเภท ใหญ่ เหมือนกศุ ล คอื จติ ทเี่ ปน็ กลาง ๆ นี้ มีไดท้ ัง้ ๔ ภมู ิ เช่นเดียวกบั กศุ ลจติ คอื (๑) กามาวจร คือ จิตที่ท่องเท่ียวไปในกาม ท่ีเป็นอัพยากฤตหรือเป็นกลาง ๆ มี ๓๔ ชนดิ แบ่งเป็นวบิ ากจิต (จติ ทเ่ี ป็นผล) ๒๓ กริ ิยาจติ (จติ ทีเ่ ปน็ เพยี ง กริ ิยา) ๑๑ (๒) รปู าวจร คือ จติ ท่ีท่องเท่ียวไปในรปู ทเี่ ปน็ อัพยากฤตหรอื เปน็ กลาง ๆ มี ๑๐ ชนดิ คอื เปน็ วบิ ากจติ (จิตทีเ่ ป็นผล) ๕ กิรยิ าจิต (จิตทเ่ี ป็นกริ ยิ า) ๕ (๓) อรปู าวจร คอื จติ ทท่ี อ่ งเทยี่ วไปในอรปู ทเ่ี ปน็ อพั ยากฤตหรอื เปน็ กลาง ๆ มี ๘ ชนดิ คอื เป็นวบิ ากจติ ๔ กริ ิยาจิต ๔ (๔) โลกุตตระ คอื จติ ทพ่ี น้ จากโลก ทเี่ ปน็ อพั ยากฤตหรอื เปน็ กลาง ๆ มี ๔ ชนดิ คอื เปน็ วบิ ากจติ ๔ รวมทั้ง ๔ ประเภท คือกามาวจร ๓๔ รูปาวจร ๑๐ อรูปาวจร ๘ และโลกุตตระ ๔ จึงมีอัพยากตจิตหรือจิตที่เป็นกลาง ๆ ทั้งสิ้น ๕๖ ชนิด และเม่ือรวมกุศลจิต ๒๑ อกุศลจิต ๑๒ อพั ยากตจติ ๕๖ จึงเปน็ จิต ๘๙ ชนิด๑ อนง่ึ เพื่อใหช้ ัดเจนยง่ิ ขน้ึ ขอแสดงโดยแผนผงั ดงั ต่อไปน้ี ๑ มีข้อท่ีควรกล่าวไว้ด้วย คือค�ำว่า อัพยากตะ เขียนตามบาลี อัพยากฤต เขียนตามสันสกฤต มีความหมาย อย่างเดียวกัน และจิต ๘๙ ชนิด ถ้าแจกโดยพิสดาร ก็จะเป็น ๑๒๑ ชนิด คือจิตที่เป็นโลกุตตระ (เป็นกุศล ๔ เป็นกลาง ๆ ๔) ๘ ชนิดน้ัน คูณด้วยรูปฌาน ๕ จะได้ ๔๐ แม้จิต ๘๙ หรือ ๑๒๑ ก็ยังนับว่าย่อ เพราะอ่าน ต่อไปจะเห็นพสิ ดารกว่านี้ ๑. PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 978 5/4/18 2:26 PM

แผนผังแสดงชนดิ ของจิต แผนผงั ที่ ๑ จิต (๘๙ ชนดิ ) เป็นฝา่ ยดี เป็นฝ่ายชัว่ เปน็ กลาง ๆ (กศุ ลจิต) (อกุศลจติ ) (อัพยากตจิต) ๒๑ ๑๒ ๕๖ อ ิภธัมม ิปฎก PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 979 5/4/18 2:26 PM

980 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ จติ ๘๙ ชนดิ แสดงโดยต้งั หัวขอ้ ตามชาติแบง่ ตามภมู ิ แผนผงั ท่ี ๒ กศุ ลจติ (จติ ฝา่ ยดี) ๒๑ ๑. กามาวจร (เที่ยวไปในกาม) ๘ รวม ๒๑ ๒. รปู าวจร (เทย่ี วไปในรูป) ๕ ๓. อรปู าวจร (เท่ียวไปในอรปู ) ๔ ๔. โลกตุ ตระ (พ้นจากโลก) ๔ กามาวจร แผนผงั ท่ี ๓ อกศุ ลจิต (จิตฝา่ ยช่ัว) ๑๒ (เทย่ี วไปในกาม) ๑๒ แผนผังท่ี ๔ อัพยากตจิต (จิตที่เปน็ กลาง ๆ) ๕๖ ๑. กามาวจร (เทีย่ วไปในกาม) ๓๔ เป็นวิบากจิต และกิริยาจิตเท่านั้น ๒. รูปาวจร (เทยี่ วไปในรปู ) ๑๐ ไมเ่ ปน็ กศุ ลและอกศุ ลเลย ๓. อรูปาวจร (เทยี่ วไปในอรปู ) ๘ เฉพาะโลกตุ ตระ ไมม่ กี ริ ิยาจิต ๔. โลกุตตระ (พน้ จากโลก) ๔ มีแต่ผลจติ หรอื วบิ ากจิต PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 980 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๓๔ ธัมมสังคณี จิตตุปปาทกัณฑ์ 981 จิต ๘๙ ชนิด แสดงโดยตง้ั หัวข้อตามภมู ิแบง่ ตามชาติ แผนผังที่ ๕ กามาวจรจิต (จิตท่เี ที่ยวไปในกาม) ๕๔ ๑. กุศล (จติ ฝา่ ยดี) ๘ เปน็ ๕๔ ๒. อกุศล (จติ ฝา่ ยช่ัว) ๑๒ ๓. วิบาก (จิตท่เี ป็นผล) ๒๓ ๔. กิรยิ า (จติ ท่ีเป็นกิรยิ า) ๑๑ แผนผงั ท่ี ๖ รูปาวจรจติ (จิตทเี่ ท่ยี วไปในรปู ) ๑๕ ๑. กศุ ล (จติ ฝ่ายด)ี ๕ เปน็ ๑๕ ๒. วิบาก (จติ ท่เี ป็นผล) ๕ ๓. กิริยา (จิตที่เป็นอาการ) ๕ แผนผังท่ี ๗ อรูปาวจรจิต (จติ ทเ่ี ท่ียวไปในอรูป) ๑๒ ๑. กุศล (จติ ฝา่ ยดี) ๔ เปน็ ๑๒ ๒. วิบาก (จติ ทเ่ี ป็นผล) ๔ ๓. กิรยิ า (จติ ทีเ่ ปน็ กิรยิ า) ๔ แผนผงั ที่ ๘ อ ิภธัมม ิปฎก โลกตุ ตรจิต (จติ ที่พ้นจากโลก) ๘ ๑. กุศล (จติ ฝ่ายด)ี ๔ เป็น ๘ ๒. วบิ าก (จติ ทเี่ ปน็ ผล) ๔ (หมายเหต ุ : ต้งั แตแ่ ผนผังท่ี ๕ ถงึ ที่ ๘ พึงทราบวา่ วบิ ากจิต และกริ ิยาจติ เป็นจิตกลาง ๆ คอื อัพยากตจิตท้งั สน้ิ ) PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 981 5/4/18 2:26 PM

982 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ อพั ยากตจติ ๕๖ ชนดิ เป็น ๓๖ แสดงโดยแบ่งตามภมู ิ แผนผังที่ ๙ (วบิ ากจิตแบง่ ตามภูมิ) วิบากจิต (จิตท่เี ป็นผล) ๓๖ ๑. กามาวจร (ทอ่ งเท่ยี วไปในกาม) ๒๓ ๒. รูปาวจร (ท่องเทย่ี วไปในรูป) ๕ ๓. อรูปาวจร (ท่องเทย่ี วไปในอรูป) ๔ ๔. โลกตุ ตระ (พ้นจากโลก) ๔ แผนผงั ที่ ๑๐ เป็น ๒๐ (กริ ยิ าจติ แบ่งตามภมู )ิ กิริยาจิต (จติ ที่เปน็ กริ ิยา) ๒๐ ๑. กามาวจร (ทอ่ งเท่ียวไปในกาม) ๑๑ ๒. รปู าวจร (ทอ่ งเทีย่ วไปในรูป) ๕ ๓. อรปู าวจร (ท่องเท่ียวไปในอรปู ) ๔ (หมายเหตุ : พึงสงั เกตว่า กริ ยิ าจติ ท่เี ปน็ โลกุตตระไมม่ )ี PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 982 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๓๔ ธัมมสังคณี จิตตุปปาทกัณฑ์ 983 การนับจำ� นวนจิต อ ิภธัมม ิปฎก (หมายเหตุ : ถ้าจะพูดอย่างรวบรัด จิตก็มีเพียงดวงเดียว เพราะไม่สามารถเกิดได้ ขณะละหลายดวง แตเ่ พราะเหตุท่ีเกิดหลายขณะ และมีสว่ นประกอบ คอื ความดีความชัว่ เปน็ ต้น ต่าง ๆ กัน จึงนับจ�ำนวนได้มาก ในพระไตรปิฎก เล่ม ๓๔ แสดงการนับจ�ำนวนไว้บางตอน เช่น จิตที่เป็นมหากุศลฝ่ายกามาวจร ๘ ส่วนรูปาวจร อรูปาวจร และโลกุตตระไม่ได้นับให้ ครน้ั ถงึ อกศุ ลจติ ไดน้ บั จำ� นวนใหอ้ กี วา่ มี ๑๒ ถงึ อพั ยากตจติ นบั จติ ทเ่ี ปน็ มหาวบิ าก ๘ นอกนนั้ เป็นแต่บอกชื่อไว้ข้างท้าย การนับจ�ำนวนท่ีแสดงในท่ีนี้ จึงเป็นการนับย่อเพ่ือให้เข้าใจง่าย แต่ตามที่มีในพระไตรปิฎกมีจ�ำนวนพิสดารมากกว่านี้ ได้เคยท�ำมาแล้วในพระสูตร๑ คอื พระไตรปฎิ กไม่ได้นับเปน็ ตวั เลขให้ แต่ผเู้ ขยี นใสต่ วั เลขนับลงไปเพื่อเขา้ ใจงา่ ย กำ� หนดงา่ ย) ค�ำอธบิ ายในจติ ตปุ ปาทกัณฑ์ ไดก้ ลา่ วแลว้ โดยใจความวา่ จติ ตปุ ปาทกณั ฑ์ เปน็ ภาคอธบิ ายภาคแรกของพระไตรปฎิ ก เลม่ ๓๔ นี้ ซ่ึงมีภาคบทต้ัง ๑ ภาค ภาคอธิบาย ๔ ภาค การต้ังเค้าโครงอธิบายของภาคแรก เจาะจงอธิบายเพียงคำ� ๓ คำ� คอื กสุ ลา ธมมฺ า (กศุ ลธรรม) อกสุ ลา ธมมฺ า (อกศุ ลธรรม) และ อพฺยากตา ธมฺมา (อัพยากตธรรม คือ ธรรมท่ีเป็นกลาง ๆ) แล้วอธิบายเป็นเร่ืองของจิต ส่วน การแบง่ เปน็ กามาวจร รปู าวจร อรปู าวจร โลกุตตระ ได้น�ำมาแบ่งภายใต้หัวข้อของกุศลธรรม ภายใต้หัวข้อของอกุศลธรรมมีกามาวจรอยู่อย่างเดียว ส่วนภายใต้หัวข้อของอัพยากตธรรม หรอื ธรรมทเี่ ปน็ กลาง ๆ คงมที ง้ั กามาวจร รปู าวจร อรปู าวจร และโลกตุ ตระ ธรรมท่ีเป็นกลาง ๆ น้ัน ได้แก่จิตทเ่ี ปน็ วิบากและเปน็ กริ ยิ า๒ เป็นอันวา่ จติ ตปุ ปาทกัณฑ์ อันเป็นค�ำอธบิ ายภาคแรก เจาะจงอธิบายเร่ืองจิตท่ีดี ท่ีไม่ดี และท่ีเป็นกลาง ๆ แต่ในขณะเดียวกันก็ได้อธิบายเจตสิก คือธรรมที่เน่ืองด้วยจิตพร้อมกันไปในตัวด้วย ต่อไปน้ีจะแสดงให้เห็นลีลาในการอธิบายค�ำว่า ธรรมอนั เปน็ กุศลในตอนแรกของจิตตปุ ปาทกณั ฑ์ ”ธรรมอนั เปน็ กศุ ล เปน็ ไฉน„ ”ธรรมอนั เปน็ กศุ ล คอื ในสมยั ใด จติ อนั เปน็ กศุ ลฝา่ ยกามาวจร๓ (ทอ่ งเทย่ี วไปในกาม) ประกอบด้วยโสมนัส (ความดีใจ) ประกอบด้วยญาณ เกิดขึ้น ปรารภอารมณ์ คือ รูป ๑ ดตู ัวอยา่ ง การพจิ ารณาจติ ๑๖ อย่าง หน้า ๔๗๔ - ม.พ.ป. ๆ มาถึง ๕๖ ขอ้ ๒ และหมายถึงรปู ด้วย แสดงจิตฝา่ ยกุศล เพยี งดวงแรกหรือชนดิ แรกขอ้ เดยี ว กพ็ ่วงเอาธรรมะอ่ืน ๓ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 983 5/4/18 2:26 PM

984 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ หรือเสียง หรือกล่ิน หรือรส หรือโผฏฐัพพะ (สิ่งท่ีถูกต้องได้) หรือธรรมะ (ส่ิงที่รู้ได้ด้วยใจ) ในสมยั นนั้ ยอ่ มมี (ธรรมะ ๕๖ อยา่ ง) คอื ๑. ผสั สะ (ความถูกต้อง) ๒. เวทนา (ความรสู้ ึกอารมณว์ า่ เป็นสขุ เปน็ ทกุ ข์ หรือไม่ทุกขไ์ ม่สขุ ) ๓. สัญญา (ความจ�ำได้หมายรู้) ๔. เจตนา (ความจงใจ) ๕. จิตตะ (จติ ) ๖. วติ ก (ความตรกึ ) ๗. วจิ าร (ความตรอง) ๘. ปีติ (ความอิม่ ใจ) ๙. สขุ (ความสบายใจ ในที่น้ีไมห่ มายเอาสุขกาย) ๑๐. จิตตสั ส เอกคั คตา (ความทจ่ี ติ มีอารมณเ์ ป็นหน่งึ ) ๑๑. สัทธนิ ทรีย์ (ธรรมอนั เป็นใหญ่คอื ความเช่อื ) ๑๒. วริ ิยินทรีย์ (ธรรมอนั เปน็ ใหญ่คือความเพียร) ๑๓. สตนิ ทรีย์ (ธรรมอันเป็นใหญ่คอื สต)ิ ๑๔. สมาธนิ ทรีย์ (ธรรมอนั เปน็ ใหญ่คือสมาธ)ิ ๑๕. ปญั ญนิ ทรยี ์ (ธรรมอนั เป็นใหญค่ อื ปัญญา) ๑๖. มนนิ ทรยี ์ (ธรรมอนั เป็นใหญค่ ือใจ) ๑๗. โสมนัสสนิ ทรยี ์ (ธรรมอันเปน็ ใหญค่ อื ความสุขใจ) ๑๘. ชีวิตนิ ทรีย์ (ธรรมอันเป็นใหญ่คอื ชีวติ ความเป็นอยู)่ ๑๙. สัมมาทิฏฐิ (ความเหน็ ชอบ คือเหน็ อริยสัจจ์ ๔) ๒๐. สัมมาสงั กปั ปะ (ความด�ำรชิ อบ) ๒๑. สมั มาวายามะ (ความพยายามชอบ) ๒๒. สมั มาสติ (ความระลกึ ชอบ) ๒๓. สัมมาสมาธิ (ความต้ังใจมัน่ ชอบ) ๒๔. สัทธาพละ (กำ� ลังคือความเชอ่ื ) ๒๕. วิริยพละ (กำ� ลังคือความเพียร) ๒๖. สตพิ ละ (ก�ำลังคอื สติ) ๒๗. สมาธพิ ละ (ก�ำลังคือสมาธิ) PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 984 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๓๔ ธัมมสังคณี จิตตุปปาทกัณฑ์ 985 ๒๘. ปญั ญาพละ (กำ� ลังคอื ปญั ญา) อ ิภธัมม ิปฎก ๒๙. หิรีพละ (กำ� ลังคอื ความละอายตอ่ บาป) ๓๐. โอตตปั ปพละ (กำ� ลังคือความเกรงกลวั ต่อบาป) ๓๑. อโลภะ (ความไม่โลภ) ๓๒. อโทสะ (ความไมค่ ิดประทษุ ร้าย) ๓๓. อโมหะ (ความไมห่ ลง) ๓๔. อนภชิ ฌา (ความไม่โลภ ชนดิ นกึ น้อมมาเป็นของตน) ๓๕. อพั ยาบาท (ความไม่คดิ ปองร้าย ชนิดนกึ ให้ผูอ้ ่ืนพินาศ) ๓๖. สัมมาทฏิ ฐิ (ความเหน็ ชอบแบบท่วั ๆ ไป เชน่ เห็นวา่ ท�ำดไี ดด้ )ี ๓๗. หริ ิ (ความละอายตอ่ บาป) ๓๘. โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวตอ่ บาป) ๓๙. กายปสั สทั ธิ (ความสงบระงบั แห่งกองเวทนา สญั ญา สังขาร)๑ ๔๐. จติ ตปสั สทั ธิ (ความสงบระงบั แห่งจิต) ๔๑. กายลหตุ า (ความเบาแห่งกองเวทนา สัญญา สงั ขาร) ๔๒. จิตตลหุตา (ความเบาแห่งจติ ) ๔๓. กายมุทุตา (ความออ่ นสลวยแห่งกองเวทนา สญั ญา สงั ขาร) ๔๔. จติ ตมุทุตา (ความออ่ นสลวยแหง่ จิต) ๔๕. กายกัมมญั ญตา (ความควรแก่การงานแห่งกองเวทนา สัญญา สังขาร) ๔๖. จิตตกัมมญั ญตา (ความควรแกก่ ารงานแห่งจติ ) ๔๗. กายปาคุญญตา (ความคลอ่ งแคลว่ แหง่ กองเวทนา สัญญา สงั ขาร) ๔๘. จิตตปาคุญญตา (ความคล่องแคล่วแหง่ จติ ) ๔๙. กายชุ ุกตา (ความตรง ไม่คดโกงแห่งกองเวทนา สญั ญา สังขาร) ๕๐. จิตตชุ ุกตา (ความตรง ไม่คดโกงแห่งจิต) ๕๑. สติ (ความระลึกได้) ๕๒. สัมปชัญญะ (ความร้ตู วั ) ๕๓. สมถะ (ความสงบแห่งจิต) ๕๔. วปิ ัสสนา (ความเหน็ แจ้ง) ๑ ค�ำว่า กาย ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าร่างกาย หากหมายถึงกองหรือหมวดแห่งนามธรรม ๓ อย่าง คือ เวทนา สัญญา สังขาร หรือจะพูดแบบรวมกค็ ือ เจตสิก PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 985 5/4/18 2:26 PM

986 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๕๕. ปัคคาหะ (ความเพยี รทางจติ ) ๕๖. อวิกเขปะ (ความไมซ่ ัดสา่ ย คือความต้ังมัน่ แหง่ จิต) ”อนงึ่ ในสมยั นนั้ ธรรมเหลา่ ใด แมอ้ นื่ ทไ่ี มม่ รี ปู องิ อาศยั กนั เกดิ ขน้ึ มอี ยู่ ธรรมเหลา่ นี้ ชอ่ื วา่ กศุ ล„ ต่อจากนน้ั เป็นคำ� อธบิ ายศัพทแ์ ตล่ ะข้อ นี้เป็นเพยี งคำ� อธบิ ายจติ ดวงแรกใน ๘๙ ดวง ซึ่งมีธรรมประกอบ ๕๖ อย่าง กับได้ขมวดเง่ือนไขไว้ว่า แม้ธรรมเหล่าอื่นท่ีไม่กล่าวไว้ แต่มิใช่รูปธรรม อิงอาศัยจิตดังกล่าวเกิดขึ้น ก็จัดเป็นกุศลจิตได้ ธรรมประกอบ ๕๖ อย่างน้ัน ในภาคอธิบายต่อไป ได้ช้ีให้เห็นว่า จะย่อได้อย่างไร หรือก�ำหนดหัวข้ออย่างไรบ้าง ดังต่อไปน้ี ”ก็ในสมัยนั้นแล ย่อมมีขันธ์ ๔ อายตนะ ๒ ธาตุ ๒ อาหาร ๓ อินทรีย์ ๘ ฌาน มอี งค์ ๕ มรรคมอี งค์ ๕ ธรรมะอนั เปน็ กำ� ลงั ๗ เหตุ ๓ ผสั สะ ๑ เวทนา ๑ สญั ญา ๑ เจตนา ๑ จิต ๑ เวทนาขนั ธ์ ๑ สัญญาขนั ธ์ ๑ สงั ขารขันธ์ ๑ วญิ ญาณขนั ธ์ ๑ มนายตนะ (อายตนะคอื ใจ) ๑ มนนิ ทรยี ์ (อนิ ทรยี ค์ อื ใจ) ๑ มโนวญิ ญาณธาตุ (ธาตรุ ู้คือใจ) ๑ ธมั มายตนะ (อายตนะคอื ธรรมทร่ี ไู้ ดด้ ว้ ยใจ) ๑ ธมั มธาตุ (ธาตคุ อื ธรรมทร่ี ไู้ ดด้ ว้ ยใจ) ๑ หรอื แมธ้ รรมเหลา่ ใด แมอ้ นื่ ทไ่ี มม่ รี ปู องิ อาศยั กนั เกดิ ขน้ึ มอี ยู่ ธรรมเหลา่ นน้ั ช่อื วา่ เป็นกุศล„ ค�ำอธิบายตอนนี้เป็นการมองธรรม ๕๖ อย่าง ซ่ึงประกอบกับจิตดวงแรกอันเป็นกุศล ฝ่ายกามาวจรนั้นว่าจะเรียกเป็นอย่างไรได้บ้าง มองในทัสสนะไหนได้บ้าง ขอยกตัวอย่างพอให้ เข้าใจ คือในธรรมประกอบ ๕๖ ข้อนนั้ จดั เปน็ ขันธ์ ๔ ไดด้ งั นี้ ข้อ ๒ คือเวทนา ข้อ ๙ คือสุข ข้อ ๑๗ คือโสมนัสสินทรีย์ ธรรมอันเป็นใหญ่ คอื ความสบายใจหรอื ความดีใจ จดั เป็นเวทนาขนั ธ์ (กองเวทนา) ข้อ ๓ คอื สัญญา ความจำ� ไดห้ มายรู้ จัดเป็นสัญญาขันธ์ (กองสญั ญา) ๕๐ ข้อ เวน้ ขอ้ ท่ี ๒ ๓ ๕ ๙ ๑๖ ๑๗ จดั เป็นสังขารขนั ธ์ (กองสงั ขาร) ข้อ ๕ คือจิต ข้อ ๑๖ คือมนินทรีย์ ธรรมอันเป็นใหญ่คือใจ จัดเป็นวิญญาณขันธ์ (กองวญิ ญาณ) ในที่น้ีไม่จัดเป็นขันธ์ ๕ เพราะขาดรูปไป ๑ เน่ืองจากเป็นเรื่องของจิต แต่ก็ สามารถจัดธรรมะถงึ ๕๖ ขอ้ มารวมได้ ใน ๔ ข้อเท่านน้ั ตอนต่อไปแสดงอายตนะ (บ่อเกิดหรือท่ีต่อ) ๒ คือ (๑) มนายตนะ (อายตนะคือใจ) (๒) ธัมมายตนะ (อายตนะคอื ธรรมทร่ี ไู้ ดด้ ้วยใจ) ในธรรม ๕๖ ข้อนัน้ ข้อที่ ๕ คอื จิต ข้อที่ ๑๖ คือมนินทรีย์ (ธรรมอันเป็นใหญ่คือใจ) จัดเข้าในมนายตนะ นอกนั้นคืออีก ๕๔ ข้อ จัดเข้าใน ธัมมายตนะ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 986 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๓๔ ธัมมสังคณี จิตตุปปาทกัณฑ์ 987 ตอนน้ียิ่งรวบรัดกว่าตอนต้นอีก เพราะจัดธรรม ๕๖ อย่างมาลงใน ๒ อย่างได้ อ ิภธัมม ิปฎก ข้อต่อไปจัดธรรม ๕๖ อยา่ งมาลงในธาตุ ๒ คอื ข้อท่ี ๕ คือจติ ขอ้ ท่ี ๑๖ คอื มนินทรยี ์ จัดเขา้ ในมโนวิญญาณธาตุ (ธาตุรู้ทางใจ) อีก ๕๔ ข้อทเ่ี หลอื จดั เข้าในธมั มธาตุ (ธาตคุ ือธรรมทร่ี ไู้ ด้ด้วยใจ) หรอื กลา่ วอกี อยา่ งหนงึ่ ตามสำ� นวนอธบิ ายทปี่ รากฏในนนั้ อกี ๕๔ ขอ้ ทเ่ี หลอื อนั เคยจดั มาแล้วว่า ได้แก่เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์นั้น จัดเป็นธัมมธาตุ (ธาตุคือธรรมะท่ีรู้ ไดด้ ว้ ยใจ) ดงั นีเ้ ปน็ ตัวอยา่ ง ตอ่ จากนั้น ไดแ้ สดงเรอ่ื งอาหาร ๓ อินทรีย์ ๘ เปน็ ต้น เป็นการชไ้ี ปว่า อาหาร ๓ มีอยู่ ในธรรม ๕๖ ข้อนั้น อินทรีย์ ๘ มีอยู่ในธรรม ๕๖ ข้อน้ันอย่างไรบ้าง คล้ายกับเป็นการส�ำรวจ เคร่ืองจักรเคร่ืองยนต์ว่า อันไหนเป็นประเภทไหน เก่ียวโยงกันอย่างไร เป็นการบริหารความคิด และความจำ� นี้เป็นค�ำอธิบายตอนที่ ๒ คือคำ� อธบิ ายตอนท่ี ๑ เรม่ิ ด้วยแสดงจิตดวงแรกทีเ่ ปน็ กุศลแลว้ แสดงธรรม ๕๖ อยา่ ง ท่ีเนอื่ งด้วยจิตดวงนน้ั ตอนที่ ๒ อธิบายว่า ธรรม ๕๖ อยา่ งน้ัน จะเรยี กชอื่ ยอ่ ๆ หรอื ก�ำหนด หวั ข้อ เป็นจ�ำนวนอย่างไรบ้าง ค�ำอธบิ ายตอนที่ ๓ ตัดจำ� นวนเลขออก เรียกแตช่ ื่อดงั ต่อไปน้ี ”ก็ในสมัยน้ัน ย่อมมีธรรม๑ มีขันธ์ มีอายตนะ มีธาตุ มีอาหาร มีอินทรีย์ มีฌาน มีมรรค มีพละ (ธรรมอันเป็นก�ำลัง) มีเหตุ มีผัสสะ มีเวทนา มีสัญญา มีเจตนา มีจิต มีเวทนาขันธ์ มีสัญญาขันธ์ มีสังขารขันธ์ มีวิญญาณขันธ์ มีมนายตนะ มีมนินทรีย์ มีมโนวิญญาณธาตุ มีธัมมายตนะ มีธัมมธาตุ อนึ่ง ในสมัยน้ัน มีธรรมะเหล่าใด แม้อ่ืน ทีไ่ ม่มีรปู องิ อาศยั กนั เกดิ ข้นึ ธรรมเหล่านี้ กช็ ่อื ว่าเป็นกศุ ลธรรม„ (ค�ำอธิบายตอน ๓ นี้ ตัดตัวเลขออกให้เข้าใจแต่ช่ือธรรมะ แล้วอธิบายว่า ธรรมะ ชื่อน้นั ไดแ้ ก่อะไร) ธรรมะประกอบกับจติ (ทา่ นผอู้ า่ นไดท้ ราบแลว้ วา่ ในจติ ตปุ ปาทกณั ฑ์ อนั เปน็ คำ� อธบิ ายภาคแรกของบทตงั้ นนั้ อธิบายเพียงค�ำว่า กุศลธรรม อกุศลธรรม และอัพยากตธรรม (ธรรมท่ีเป็นกลาง ๆ) โดย อธิบายจิตตาม ๓ หัวข้อนั้น และในขณะเดียวกันก็อธิบายธรรมะประกอบกับจิตทีละข้อ ๑ เพ่ิมขึ้นมากกว่าค�ำอธิบายตอนท่ี ๒ เฉพาะค�ำว่า ธรรม แต่ก็อธิบายหมายความอย่างเดียวกันว่า ได้แก่ ขันธ์ ๔ คือ เวทนา สญั ญา สงั ขาร วิญญาณ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 987 5/4/18 2:26 PM

988 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ด้วยว่า จิตชนิดไหนมีธรรมะประกอบอะไรบ้าง เฉพาะจิตดวงแรก ได้แสดงให้เห็นแล้วว่ามี ธรรมะประกอบ ๕๖ ขอ้ และจิตดวงตอ่ ๆ ไปก็มีเทา่ กันบ้าง มากกว่าบา้ ง น้อยลงบา้ ง จะนำ� มา กล่าวจนหมดทุกอย่าง ก็ไม่มีหน้ากระดาษพอ แต่มีข้อสังเกตท่ีใคร่ฝากไว้แด่ท่านผู้รักการ ค้นคว้าคือ ในปัจจุบันนี้เรามักไม่เรียนอภิธรรม จากอภิธัมมปิฎก แต่เรียนต�ำราย่อเนื้อความ แห่งอภิธรรมที่ช่ือว่า อภิธัมมัตถสังคหะ ท่านผู้อ่านภาษาบาลีได้ควรจะได้ติดตามสอบสวน ดดู ้วย โดยต้ังใจเป็นกลาง ๆ อยา่ ปลงใจวา่ คัมภรี ์อภิธัมมัตถสังคหะของพระอนรุ ทุ ธาจารยน์ ้นั ถูกต้องดีแล้วหรือยังบกพร่องอะไรอยู่ โดยเฉพาะเร่ืองเจตสิก ๕๒ น้ัน ก็คือธรรมะประกอบ กับจิต ๕๒ ประการนั่นเอง ในพระอภิธัมมปิฎก เล่ม ๓๔ นี้ จิตบางดวงมีธรรมประกอบถึง ๖๐ บางดวงกม็ ไี มถ่ งึ ควรจะได้สอบสวนเทียบเคียงดวู า่ ที่ว่าเจตสกิ ๕๒ น้นั สมบรู ณ์ถกู ต้องดี หรืออย่างไร หรือท่านรวมอะไรเข้ากับอะไร ตัดอะไรออก การด่วนลงความเห็นว่าอภิธัมมัตถ สังคหะของพระอนุรุทธาจารย์มีบกพร่อง ยังไม่เป็นการชอบ ควรจะได้ตรวจสอบค้นคว้าให้ ละเอียดลออถี่ถ้วน ท่ีเสนอไว้นี้เพื่อให้ท่านผู้รักการค้นคว้าได้พยายามขบคิดและสอบสวน เร่ืองนี้ท�ำเป็นต�ำราขึ้น เพื่อเป็นทางเรืองปัญญาของผู้ใคร่การศึกษาต่อไป ข้าพเจ้าผู้ท�ำหนังสือนี้ ยังไม่พร้อมที่จะท�ำการวิจัยในเร่ืองนี้ โดยเฉพาะในเล่มน้ี ขอเสนอชักชวนผู้ชอบงานค้นคว้า ใหช้ ว่ ยกนั ทำ� อกี สว่ นหนง่ึ ตอ่ ไปนจ้ี ะแสดงจติ ดวงอนื่ ๆ จนจบชนดิ ของจติ และจะละเรอ่ื งธรรมะ ท่ีประกอบกับจิตแต่ละดวงไว้ไม่กล่าวถึง เพราะจะท�ำให้พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน จบลงไม่ไดใ้ น ๑ เล่ม ตามทตี่ ้ังใจไว)้ แสดงจติ จากลำ� ดับที่ ๑ ถึง ๘๙ (ต่อไปน้ีจะแสดงจิต ๘๙ ชนิดโดยล�ำดับ จากที่ ๑ ถึง ๘๙ ความจริงโดยพิสดาร มีหลายร้อยหลายพัน และพึงทราบว่า จากล�ำดับท่ี ๑ ถึง ๒๑ เป็นกุศลจิต จากล�ำดับที่ ๒๒ ถึง ๓๓ รวม ๑๒ เป็นอกุศลจิต จากล�ำดับท่ี ๓๔ ถึง ๘๙ รวม ๕๖ เป็นอัพยากตจิต คอื จติ ทเ่ี ปน็ กลาง ๆ อนงึ่ ในจติ ทเ่ี ปน็ กลาง ๕๖ นเี้ ปน็ วบิ ากจติ คอื จติ ทเี่ ปน็ ผล ๓๖ เปน็ กริ ยิ าจติ คือจติ ท่ีเป็นกริ ิยา ๒๐) ดงั ต่อไปนี้ กศุ ลจิต ๒๑ ๑. กามาวจร (ทอ่ งเทย่ี วไปในกาม) ๘ (จิตลำ� ดับท่ี ๑ - ๘) (๑) จติ อนั เปน็ กศุ ลฝา่ ยกามาวจร ประกอบดว้ ยโสมนสั (ความดใี จ) ประกอบดว้ ย ญาณ (ความร)ู้ เป็น อสงั ขาริก (คอื ไม่ตอ้ งมีสงิ่ ชกั จงู จติ ก็เกดิ ขนึ้ ) (๒) จติ เหมอื นข้อที่ ๑ แตเ่ ปน็ สสงั ขาริก (คือต้องมีสิง่ ชกั จงู จติ จึงเกดิ ขึน้ ) PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 988 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๓๔ ธัมมสังคณี จิตตุปปาทกัณฑ์ 989 (๓) จติ อนั เปน็ กศุ ลฝา่ ยกามาวจร ประกอบดว้ ยโสมนสั แตไ่ มป่ ระกอบดว้ ยญาณ อ ิภธัมม ิปฎก เป็นอสังขารกิ (๔) จิตเหมอื นข้อที่ ๓ แต่เปน็ สสงั ขารกิ (๕) จิตอันเป็นกุศลฝ่ายกามาวจร ประกอบด้วยอุเบกขา (ความรู้สึกเฉย ๆ คือ ไมด่ ีใจ ไม่เสยี ใจ) ประกอบดว้ ยญาณ เปน็ อสงั ขารกิ (๖) จติ เหมือนขอ้ ท่ี ๕ แต่เปน็ สสังขาริก (๗) จติ อนั เปน็ กศุ ลฝา่ ยกามาวจร ประกอบดว้ ยอเุ บกขา แตไ่ มป่ ระกอบดว้ ยญาณ เป็นอสังขาริก (๘) จติ เหมอื นขอ้ ที่ ๗ แตเ่ ป็นสสงั ขารกิ ๒. รูปาวจร (ท่องเที่ยวไปในรูป) ๕ (จิตลำ� ดับที่ ๙ - ๑๓) (๙) จิตอันเป็นกุศล เนื่องด้วยฌานท่ี ๑ ประกอบด้วยวิตก (ความตรึก) วิจาร (ความตรอง) ปตี ิ (ความอ่มิ ใจ) สขุ เอกัคคตา (ความมีอารมณ์เปน็ หน่งึ ) (๑๐) จิตอนั เปน็ กศุ ล เนือ่ งดว้ ยฌานที่ ๒ ประกอบด้วยวิจาร ปตี ิ สขุ เอกัคคตา (๑๑) จิตอันเปน็ กศุ ล เนือ่ งด้วยฌานที่ ๓ ประกอบด้วยปตี ิ สุข เอกคั คตา (๑๒) จติ อนั เปน็ กุศล เนอื่ งด้วยฌานที่ ๔ ประกอบดว้ ยสุข เอกัคคตา (๑๓) จิตอันเป็นกุศล เน่ืองด้วยฌานที่ ๕ ประกอบด้วยอุเบกขา (ความวางเฉย) กับเอกคั คตา๑ (หมายเหตุ : มเี รอ่ื งแทรกทใ่ี ครอ่ ธบิ ายไวใ้ นเรอ่ื งจติ อนั เปน็ กศุ ลฝา่ ยรปู าวจรไวป้ ระกอบ การพิจารณาของผู้ใคร่การศึกษา คือการนับจ�ำนวนจิตในรูปาวจรกุศล ท่ีนับไว้เพียง ๕ ในท่ีนี้ เป็นการนับอย่างรวบรัดตามแบบอภิธัมมัตถสังคหะ แต่ถ้าจะแจกตามบาลีอภิธัมมปิฎก เล่มท่ี ๓๔ น้ีจริง ๆ ก็หลายร้อยหลายพัน ผู้ศึกษาอภิธรรมที่ไม่เคยนับตามอภิธัมมปิฎกเลย กอ็ าจเข้าใจว่า รูปาวจรกุศลจติ มี ๕ เท่านนั้ แทจ้ รงิ ทีน่ บั ว่ามีขันธ์ ๕ นบั ตามฌาน ๕ และยน่ ย่อ ถา้ นบั อยา่ งพสิ ดารจะเปน็ ดงั นี้ (๑) ทา่ นแสดงฌาน ๔ เรยี กจตกุ กนยั (นยั ะท่ีมี ๔) (๒) แลว้ แสดงฌาน ๕ เรยี กปัญจกนยั (นัยะทมี่ ี ๕) (๓) แลว้ แสดงปฏิปทา ๔ (ดปู ฏิปทา ๔ นัยแรกในหน้า ๗๘๒) ๑ โดยปกติรูปฌานมี ๔ แต่ถ้าจัดอย่างพิสดารมี ๕ มีหลักฐานในทางพระสุตตันตปิฎก โปรดดูหน้า ๖๘๒ หมายเลข ๕ และเชงิ อรรถ หนา้ ๘๕๘ ดว้ ย PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 989 5/4/18 2:26 PM

990 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ (๔) แลว้ แสดงอารมณ์ ๔ (ฌานเลก็ นอ้ ยมอี ารมณน์ อ้ ย ฌานเลก็ นอ้ ยมอี ารมณ์ ไมม่ ีประมาณ ฌานไมม่ ปี ระมาณมีอารมณเ์ ลก็ นอ้ ย ฌานไม่มีประมาณ มีอารมณ์ไม่มีประมาณ)๑ (๕) แล้วแสดงปฏิปทา ๔ กับอารมณ์ ๔ ผสมกัน เรียกว่าหมวด ๑๖ (๔×๔ = ๑๖ = โสฬสกะ) (๖) แล้วแสดงกสิณ ๘ (ความจริงกสิณมี ๑๐ แต่ท่ีจะใช้เป็นอารมณ์ของ รูปฌานได้ มเี พียง ๘ เว้นวญิ ญาณกสิณและอากาสกสณิ ) อรรถกถานับฌาน ๔ ฌาน ๕ เป็นหมวด ๙ ต้ังเกณฑ์เป็น ๑ คิดตามปฏิปทา ๔ ต้ังเลข ๔ คิดตามอารมณ์ ๔ ต้ังเลข ๔ คิดตามแบบผสมคือปฏิปทา ๔ กับอารมณ์ ๔ ตงั้ เลข ๑๖ เมือ่ น�ำเลขที่ตงั้ เป็นเกณฑไ์ ว้มารวมกนั จะได้ ๒๕ เลข ๒๕ น้ี เมื่อนบั ตามฌาน ๔ จะได้ ๑๐๐ (๒๕×๔ = ๑๐๐) เม่อื นบั ตามฌาน ๕ จะได้ ๑๒๕ (๒๕×๕ = ๑๒๕) เพราะฉะน้ัน เพยี งนับธรรมดาทง้ั ฌาน ๔ และฌาน ๕ รวมกนั จะไดฌ้ านจิตถงึ ๒๒๕ แตถ่ ือว่าฌาน ๔ รวมไว้ในฌาน ๕ จึงนับเพียง ๑๒๕ ก็ได้ คราวนเ้ี มอื่ เอาอารมณข์ องฌานมาคณู เชน่ กสณิ ๘ กจ็ ะไดจ้ ติ (๑๒๕×๘ = ๑๐๐๐) ดวง แตก่ ารแสดงอารมณข์ องฌานมไิ ดม้ เี พยี งเทา่ นี้ ทา่ นยงั แสดงอภภิ ายตนะ๒ วโิ มกข๓์ ๓ พรหมวิหาร ๔ อสุภะ ๑๐ เมื่อเอาตัวเลขต่าง ๆ มาคูณเกณฑ์ ๑๒๕ ทุกประเภท แล้วน�ำมา รวมกันจะได้ตัวเลขเป็นพัน ๆ ทีเดียว ท้ังตัวเลขเหล่านี้ อรรถกถาอัตถสาลินี ซึ่งแก้ พระไตรปิฎก เล่ม ๓๔ ก็นับให้ดูเป็นตัวอย่างด้วย จึงบันทึกไว้ในท่ีน้ี เพ่ือให้เทียบเคียงคัมภีร์ อภิธมั มัตถสงั คหะกับอภธิ มั มปฎิ กแท้ ๆ ว่ามีตา่ งกนั ในรายละเอยี ดอยู่บา้ งเหมอื นกนั ) ๓. อรูปาวจร (ทอ่ งเที่ยวไปในอรปู ) ๔ (จติ ลำ� ดับท่ี ๑๔ - ๑๗) (๑๔) จติ อนั เปน็ กศุ ล ประกอบดว้ ยอากาสานญั จายตนสญั ญา (จติ ในอรปู ฌานท่ี ๑) (๑๕) จติ อนั เปน็ กศุ ล ประกอบดว้ ยวญิ ญาณญั จายตนสญั ญา (จติ ในอรปู ฌานที่ ๒) (๑๖) จติ อนั เปน็ กศุ ล ประกอบดว้ ยอากญิ จญั ญายตนสญั ญา (จติ ในอรปู ฌานท่ี ๓) ๑ ฌานเล็กน้อย คือไม่สามารถเป็นปัจจัยแห่งฌานสูงขึ้น มีอารมณ์น้อย คือมีอารมณ์ท่ีเพ่งในขนาดจ�ำกัดพึงทราบ ๒ คำ� อธิบายนอี้ ีก ๓ ข้อโดยอนโุ ลม เพราะท่านนำ� มาแสดงเพยี งบางข้อ ๓ อภภิ ายตนะมี ๘ ดูหน้า ๘๕๘ ในทนี่ อ้ี ภิภายตนะ มิได้แสดงตัวเลขไว้ วิโมกขม์ ี ๘ แตน่ ำ� มากลา่ วเพียง ๓ ข้อแรก ดหู นา้ ๔๕๔ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 990 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๓๔ ธัมมสังคณี จิตตุปปาทกัณฑ์ 991 (๑๗) จิตอันเป็นกุศล ประกอบด้วยเนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา (จิตใน อรูปฌานที่ ๔)๑ ๔. โลกตุ ตระ (จติ พ้นจากโลก) ๔ (จติ ลำ� ดับท่ี ๑๘ - ๒๑) (๑๘) จิตอนั เป็นกศุ ลท่เี น่อื งด้วยโสดาปัตติมรรค (๑๙) จิตอันเปน็ กศุ ลท่เี น่อื งด้วยสกทาคามมิ รรค (๒๐) จติ อนั เปน็ กุศลที่เน่ืองด้วยอนาคามิมรรค (๒๑) จติ อนั เปน็ กศุ ลทีเ่ นื่องด้วยอรหัตตมรรค (หมายเหตุ : มีข้อที่น่าจะอธิบายแทรกไว้อีก คือเม่ือจบการแสดงอรูปาวจรกุศลจิต แล้ว ในพระไตรปิฎก เล่ม ๓๔ ได้ตั้งอธิบายกามาวจร รูปาวจร และอรูปาวจรซ้�ำอีก โดย ตั้งเกณฑ์อิทธิบาท คือธรรมอันให้บรรลุความส�ำเร็จ ๔ ประการ คือฉันทะ ความพอใจ วิริยะ ความเพียร จิตตะ ความฝักใฝ่ วิมังสา การพิจารณาสอบสวน แล้วแบ่งออกเป็น ๓ ข้ัน คือ อย่างเลว อย่างกลาง และอย่างประณีต (๔×๓ = ๑๒) น�ำมาประกอบกับกุศลจิตที่เป็น กามาวจร รูปาวจร และอรูปาวจร จนจบ คร้ันถึงคราวแสดงกุศลจิตที่เป็นโลกุตตรธรรม กต็ ้ังเกณฑฌ์ าน ๔ และ ฌาน ๕ อนั เปน็ โลกุตตระ (พ้นจากโลก) แล้วแสดงปฏิปทา ๔ (ปฏบิ ัติ ลำ� บาก ตรัสรู้ไดช้ ้า ปฏบิ ตั ลิ ำ� บาก ตรสั รไู้ ดเ้ รว็ ปฏิบตั สิ ะดวก ตรสั ร้ไู ดช้ า้ ปฏิบัติสะดวก ตรัสรู้ ได้เร็ว) แล้วแสดงสุญญตะ (ความว่างเปล่า) แล้วแสดงปฏิปทา ๔ ผสมกับสุญญตะ แล้ว แสดงอัปปณิหิตะ (ความไม่มีท่ีตั้ง) แล้วแสดงปฏิปทา ๔ ผสมกับอัปปณิหิตะ ครั้นแล้ว ตั้งเกณฑ์การเจริญธรรม ท่ีเป็นโลกุตตระอีก ๑๙ ข้อ๒ รวมเป็น ๒๐ ข้อทั้งโลกุตตรฌาน เมื่อตั้งเกณฑ์ ๒๐ ข้อ ตั้งเกณฑ์แจกรายละเอียดข้อละ ๑๐ จึงเป็นโลกุตตรจิตท่ีเป็นกุศล ๒๐๐ ดวง หรอื ๒๐๐ นยั (ดอู รรถกถา อ.ส. ๔๕๘ - ๔๗๒)๓อนงึ่ การตงั้ เกณฑ์ ๑๐ เพอ่ื นำ� มาคณู ธรรมะ ๒๐ ข้อ คือ (๑) ปฏิปทา ๔ ล้วน ๆ (๒) สุญญตะล้วน ๆ (๓) สุญญตะกับปฏิปทาผสมกัน (๔) อัปปณิหิตะล้วน ๆ (๕) ปฏิปทา ๔ กับอัปปณิหิตะผสมกัน รวม ๕ อย่าง คูณด้วยนัย ๒ คอื ฌาน ๔ นยั หน่งึ ฌาน ๕ นยั หนงึ่ ๕×๒ = ๑๐ (ดูอรรถกถา อ.ส. ๔๔๐ - ๔๕๗) ตอ่ จากน้นั จึงแสดงมรรค ๔) ๒๑ ดคู ำ� อธบิ ายศพั ท์ ในอรปู ฌาน ๔ นี้ ในหนา้ ๑๘๐ หมายเลข ๒๐๐ ด้วย อ ิภธัมม ิปฎก คือมรรค สติปัฏฐาน สัมมัปปธาน อิทธิบาท อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ สัจจะ สมถะ ธรรมะ ขันธ์ อายตนะ ๓ ธาตุ อาหาร ผสั สะ เวทนา สญั ญา เจตนา จิต อันเปน็ โลกุตตระ เทา่ นั้น การนับจติ เฉพาะโลกุตตระกุศลถึง ๒๐๐ ดวงนี้ ยอ่ เหลอื เพียง ๔ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 991 5/4/18 2:26 PM

992 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ อกศุ ลจติ ๑๒ เกดิ จากความโลภเป็นมูล ๘ (จิตลำ� ดบั ที่ ๒๒ - ๒๙) (๒๒) จิตอันเป็นอกุศล ประกอบด้วยโสมนัส ประกอบด้วยทิฏฐิ (ความเห็นผิด) เปน็ อสงั ขารกิ (ไม่มสี ง่ิ ชกั จงู ก็เกิดขน้ึ ) (๒๓) จิตเหมือนข้อ ๒๒ แตเ่ ป็นสสังขาริก (มีส่งิ ชกั จูงจึงเกิดขึ้น) (๒๔) จิตอนั เป็นอกศุ ล ประกอบดว้ ยโสมนัส ไมป่ ระกอบดว้ ยทฏิ ฐิ เปน็ อสงั ขารกิ (๒๕) จิตเหมือนขอ้ ๒๔ แตเ่ ปน็ สสงั ขาริก (๒๖) จติ อนั เปน็ อกศุ ล ประกอบดว้ ยอเุ บกขา (ความรสู้ กึ เฉย ๆ) ประกอบดว้ ยทฏิ ฐิ เปน็ อสังขารกิ (๒๗) จติ เหมอื นขอ้ ๒๖ แต่เปน็ สสังขารกิ (๒๘) จติ อันเป็นอกศุ ล ประกอบด้วยอุเบกขา ไมป่ ระกอบดว้ ยทฏิ ฐิ เป็นอสงั ขารกิ (๒๙) จิตเหมอื นข้อ ๒๘ แตเ่ ป็นสสงั ขารกิ เกิดจากโทสะเปน็ มูล ๒ (จิตลำ� ดับที่ ๓๐ - ๓๑) (๓๐) จติ ประกอบดว้ ยโทมนสั (ความไมส่ บายใจ) ประกอบดว้ ยปฏฆิ ะ (ความขดั ใจ) เป็นอสงั ขาริก (ไม่มสี ่งิ ชักจูงกเ็ กดิ ขนึ้ ) (๓๑) จิตเหมือนข้อ ๓๐ แตเ่ ป็นสสังขาริก (มีส่ิงชกั จงู จงึ เกดิ ขึน้ ) เกดิ จากโมหะเป็นมลู ๒ (จิตล�ำดบั ที่ ๓๒ - ๓๓) (๓๒) จติ ประกอบดว้ ยอเุ บกขา (ความร้สู กึ เฉย ๆ) ประกอบดว้ ยความสงสยั (๓๓) จติ ประกอบด้วยอเุ บกขา ประกอบด้วยอุทธัจจะ (ความฟุ้งสรา้ น) อัพยากตจติ ๕๖ (วิบากจติ ๓๖ กริ ยิ า ๒๐) วิบากจติ ๓๖ วบิ ากจติ ฝ่ายกุศล ๑. จติ ท่เี ป็นวิบาก คือเป็นผลของกุศลฝ่ายกามาวจร ๑๖ (จิตล�ำดบั ที่ ๓๔ - ๔๙) (๓๔) จักขุวิญญาณ (ความรู้อารมณ์ทางตา) ประกอบด้วยอุเบกขา (ความรู้สึก เฉย ๆ) มรี ปู เปน็ อารมณ์ (๓๕) โสตวญิ ญาณ (ความรอู้ ารมณท์ างห)ู ประกอบดว้ ยอเุ บกขา มเี สยี งเปน็ อารมณ์ (๓๖) ฆานวิญญาณ (ความรู้อารมณ์ทางจมูก) ประกอบด้วยอุเบกขา มีกล่ิน เปน็ อารมณ์ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 992 5/4/18 2:26 PM

อภิธัมมปิฎก เล่ม ๓๔ ธัมมสังคณี จิตตุปปาทกัณฑ์ 993 (๓๗) ชวิ หาวญิ ญาณ (ความรอู้ ารมณท์ างลน้ิ ) ประกอบดว้ ยอเุ บกขา มรี สเปน็ อารมณ์ อ ิภธัมม ิปฎก (๓๘) กายวิญญาณ (ความรู้อารมณ์ทางกาย) ประกอบด้วยสุข มีโผฏฐัพพะ (ส่ิงทถ่ี ูกต้องไดด้ ้วยกาย) เป็นอารมณ์ (หมายเหตุ : จากข้อ ๓๔ ถึงข้อ ๓๘ รวม ๕ ข้อน้ี เรียกว่าวิญญาณ ๕ อันเป็นวบิ าก คือเป็นผลของกศุ ล) (๓๙) มโนธาตุ (ธาตคุ อื ใจ) ประกอบดว้ ยอเุ บกขา มรี ปู เสยี ง กลนิ่ รส และโผฏฐพั พะ เปน็ อารมณ์๑ (๔๐) มโนวญิ ญาณธาตุ (ธาตรุ ทู้ างใจ) ประกอบดว้ ยโสมนสั (ความดใี จหรอื สบายใจ) มีรูป เสียง กลน่ิ รส โผฏฐัพพะ และธรรม (สิง่ ทีร่ ู้ไดด้ ว้ ยใจ) เปน็ อารมณ๒์ (๔๑) มโนวิญญาณธาตุ (ธาตุรูท้ างใจ) ประกอบด้วยอเุ บกขา มรี ูป จนถงึ ธรรมเปน็ อารมณ์ (มอี ารมณค์ รบ ๖) (หมายเหตุ : ต้ังแต่ข้อ ๓๔ ถึง ๔๑ รวม ๘ ข้อน้ี เป็นวิบากจิตธรรมดา สว่ นอีก ๘ ข้อตอ่ ไปน้ี เรยี กว่ามหาวิบาก) (๔๒) มโนวิญญาณธาตุ ประกอบด้วยโสมนัส ประกอบด้วยญาณ เป็นอสังขาริก (ไม่มีสิง่ ชกั จงู ก็เกดิ ขนึ้ ) (๔๓) เหมอื นข้อ ๔๒ ต่างแต่เป็นสสงั ขาริก (มีสิ่งชักจูงจึงเกดิ ขึน้ ) (๔๔) มโนวญิ ญาณธาตุ ประกอบดว้ ยโสมนสั ไมป่ ระกอบดว้ ยญาณ เปน็ อสงั ขารกิ (๔๕) เหมอื นขอ้ ๔๔ ตา่ งแตเ่ ปน็ สสงั ขาริก (๔๖) มโนวิญญาณธาตุ ประกอบด้วยอเุ บกขา ประกอบด้วยญาณ เปน็ อสงั ขารกิ (๔๗) เหมือนข้อ ๔๖ ต่างแตเ่ ป็นสสงั ขาริก (๔๘) มโนวญิ ญาณธาตุ ประกอบดว้ ยอเุ บกขา ไมป่ ระกอบดว้ ยญาณ เปน็ อสงั ขารกิ (๔๙) เหมือนข้อ ๔๘ ต่างแต่เป็นสสังขาริก ๑ มโนธาตุ มีอารมณเ์ พยี ง ๕ คืออารมณ์ในใจ มโนวิญญาณธาตุ มีอารมณค์ รบ ๖ พึงสงั เกตทง้ั มโนธาตุและมโนวิญญาณธาตุไว้ในเรื่องจำ� นวนอารมณด์ ว้ ย ๒ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 993 5/4/18 2:26 PM

994 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๒. จิตที่เป็นวิบาก คือเป็นผลของกศุ ล๑ ฝ่ายรูปาวจร ๕ (จติ ลำ� ดบั ท่ี ๕๐ - ๕๔) (๕๐) วบิ ากจิตในฌานที่ ๑ (๕๑) วบิ ากจิตในฌานที่ ๒ (๕๒) วบิ ากจติ ในฌานที่ ๓ (๕๓) วบิ ากจติ ในฌานที่ ๔ (๕๔) วบิ ากจิตในฌานที่ ๕ (หมายเหตุ : ต้ังแต่ข้อ ๕๐ ถึง ๕๔ รวม ๕ ข้อน้ี เป็นการย่ออย่างรวบรัด ถา้ จะแจกอยา่ งพสิ ดาร กจ็ ะตอ้ งแยกเปน็ ฌาน ๔ นยั หนงึ่ ฌาน ๕ อกี นยั หนง่ึ แลว้ แจกไปตามกสณิ ตามอยา่ งทห่ี มายเหตุไวท้ ้ายจิตขอ้ ๑๓) ๓. จิตที่เป็นวบิ าก คอื เปน็ ผลของกศุ ลฝ่ายอรปู าวจร ๔ (จติ ล�ำดบั ท่ี ๕๕ - ๕๘) (๕๕) วบิ ากจติ ทป่ี ระกอบดว้ ยอากาสานัญจายตนสัญญา (๕๖) วบิ ากจติ ทป่ี ระกอบดว้ ยวิญญาณัญจายตนสญั ญา (๕๗) วบิ ากจติ ท่ีประกอบด้วยอากิญจัญญายตนสญั ญา (๕๘) วิบากจติ ที่ประกอบด้วยเนวสญั ญานาสญั ญายตนสญั ญา๒ ๔. จิตท่ีเปน็ วิบาก คอื เปน็ ผลของกศุ ลฝ่ายโลกตุ ตระ ๔ (จติ ลำ� ดับท่ี ๕๙ - ๖๒) (๕๙) โสดาปตั ติผลจิต (๖๐) สกทาคามิผลจติ (๖๑) อนาคามผิ ลจติ (๖๒) อรหัตตผลจิต (หมายเหตุ : วิบากจิตที่เป็นโลกุตตระน้ีก็เช่นกัน ย่อแบบส้ันที่สุดจะได้ เพียง ๔ แต่ถ้ากล่าวอย่างพิสดารตามตัวหนังสือจะได้ประมาณ ๒๐๐ ตามแบบท่หี มายเหตไุ วใ้ นข้อที่ ๒๑) วบิ ากจติ ฝา่ ยอกุศล จติ ที่เป็นวบิ าก คือเปน็ ผลของอกุศล ๗ (จิตล�ำดบั ที่ ๖๓ - ๖๙) ๑ พงึ สงั เกตวา่ วบิ ากจติ ทเี่ ปน็ ผลของอกศุ ลฝา่ ยกามาวจร ยงั ไมก่ ลา่ วถงึ ในทน่ี ี้ ดว้ ยตอ้ งการแสดงฝา่ ยกศุ ลใหห้ มดกอ่ น ๒ แล้วจึงแสดงวิบากจิตที่เปน็ ผลของอกุศลภายหลัง ๑๘๐ หมายเลข ๒๐๐ ความหมายของศพั ท์ทง้ั สี่ในอรปู าวจรน้ี มกี ลา่ วไวแ้ ล้วในหนา้ PTF-MRF new10. PART 4 ������������� ��� � p.965-1144 OK.indd 994 5/4/18 2:26 PM


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook