วินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ 285 สิกขาบทท่ี ๔ หา้ มรับใช้คฤหสั ถ์ ิว ันย ิปฎก นางภิกษุณีท�ำการขวนขวายเพื่อคฤหัสถ์ (รับใช้) มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึง ทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีผู้รับใช้คฤหัสถ์ (เช่น หุงข้าว หรือ ซักผ้าให้เขา) สกิ ขาบทที่ ๕ ห้ามรบั ปากแลว้ ไม่ระงับอธิกรณ์ นางถุลลนันทาภิกษุณีรับปากว่าจะระงับอธิกรณ์แล้วไม่ระงับ ไม่ขวนขวายเพื่อให้ ระงับ พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีผู้ท�ำ เชน่ นั้นในเมือ่ ไมม่ เี หตุขัดขอ้ ง สกิ ขาบทท่ี ๖ ห้ามให้ของกินแก่คฤหัสถ์ เปน็ ต้น ดว้ ยมือ นางถุลลนันทาภิกษุณีให้ของเค้ียวของบริโภคด้วยมือของตนแก่นักแสดงละครบ้าง นักฟ้อนบ้าง นักกระโดดบ้าง นักเล่นกลบ้าง นักเล่นกลองบ้าง เพื่อให้เขาสรรเสริญตนในท่ี ชุมนุมชน พวกนั้นก็พากันสรรเสริญต่าง ๆ มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติ สิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณี ผู้ให้ของเคี้ยวของบริโภคด้วยมือของตนแก่ คฤหัสถก์ ต็ าม แกน่ กั บวชชายก็ตาม หญงิ ก็ตาม สิกขาบทที่ ๗ หา้ มใช้ผา้ น่งุ ส�ำหรับผมู้ ีประจ�ำเดอื นเกนิ ๓ วัน นางถุลลนันทาภิกษุณีใช้ผ้านุ่งส�ำหรับผู้มีประจ�ำเดือนแล้วไม่สละ (คือไม่ซักแล้ว เฉลี่ยให้ผู้อื่นใช้บ้าง)๑ นางภิกษุณีท่ีมีประจ�ำเดือนก็ไม่ได้ใช้ มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรง บญั ญตั ิสิกขาบท ปรบั อาบัติปาจิตตียแ์ กน่ างภกิ ษุณีผ้ใู ชผ้ ้านุ่งส�ำหรับผู้มีประจ�ำเดอื นครบ ๓ วนั แล้วไม่สละ (มีความจ�ำเป็น เช่น ผ้าอื่นถูกโจรลักไปหรือหายเสีย หรือไม่มีภิกษุณีผู้มี ประจำ� เดือน ไม่เป็นอาบตั ิ) สิกขาบทท่ี ๘ หา้ มครอบครองทอ่ี ยเู่ ปน็ การประจ�ำ นางถุลลนันทาภิกษุณีไม่สละที่อยู่ หลีกไปสู่ท่ีจาริก ที่อยู่ถูกไฟไหม้ ไม่มีใครกล้า ช่วยขนของออก ด้วยเกรงว่าจะถูกหาว่าท�ำให้ของหาย นางถุลลนันทาภิกษุณีกลับมาถาม ทราบความ กลับยกโทษติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์ แก่นางภิกษุณีผู้ไม่สละที่อยู่ หลีกไปสู่ท่ีจาริก (เมื่อจะเดินทางไปท่ีอ่ืน ต้องมอบท่ีอยู่ให้ นางภิกษุณีหรอื นางสกิ ขมานา หรือสามเณรี) ๑ ในสมยั นน้ั ผา้ หายาก จงึ มผี ถู้ วายไวเ้ ปน็ ของกลาง สำ� หรบั ใชเ้ ฉพาะผมู้ ปี ระจำ� เดอื น เมอ่ื ใชแ้ ลว้ ตอ้ งซกั ทำ� ความสะอาด แล้วใหผ้ ้อู ืน่ ใชบ้ ้าง PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 285 5/4/18 2:24 PM
286 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ สิกขาบทที่ ๙ หา้ มเรียนตริ ัจฉานวชิ ชา นางภิกษุณีพวก ๖ เรียนติรัจฉานวิชชา (วิชาภายนอกที่ไม่มีประโยชน์) มีผู้ติเตียน พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี แ์ กน่ างภกิ ษณุ ผี เู้ รยี นตริ จั ฉานวชิ ชา สิกขาบทท่ี ๑๐ หา้ มสอนตริ จั ฉานวชิ ชา นางภิกษุณีพวก ๖ สอนติรัจฉานวิชชา มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติ สกิ ขาบท ปรับอาบตั ปิ าจติ ตยี ์แกน่ างภิกษุณผี ูส้ อนติรัจฉานวิชชา (๖) อารามวรรค วรรคว่าดว้ ยอาราม มี ๑๐ สิกขาบท สกิ ขาบทท่ี ๑ หา้ มเขา้ ไปในวดั ท่มี ภี ิกษโุ ดยไม่บอกลว่ งหนา้ ภิกษุหลายรูปนุ่งผ้าผืนเดียว (ไม่ได้ห่มจีวร) ท�ำจีวรอยู่ในวัดใกล้หมู่บ้าน นางภิกษุณี ไม่ได้บอกล่วงหน้า เข้าไปในวัด (คงท�ำให้น่าเกลียดที่เข้าไปเห็นพระนุ่งสบงโดยไม่ห่มจีวร) ภิกษุเหล่าน้ันพากันติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท และบัญญัติเพิ่มเติมอีก ๒ ครง้ั รวมเปน็ ขอ้ ความวา่ นางภกิ ษณุ รี อู้ ยไู่ มบ่ อก (ลว่ งหนา้ ) เขา้ ไปสทู่ วี่ ดั ทมี่ ภี กิ ษุ ตอ้ งปาจติ ตยี ์ สิกขาบทท่ี ๒ หา้ มดา่ หรือบริภาษภกิ ษุ นางภิกษุณีพวก ๖ โกรธเคืองพระกัปปิตกะ ผู้เป็นอุปัชฌายะของพระอุบาลี คิดจะ ฆ่าเสีย บางรูปเล่าให้พระอุบาลีฟัง พระอุบาลีจึงบอกให้พระกัปปิตกะทราบ พระกัปปิตกะ จึงหลบซ่อน นางภกิ ษณุ ีพวกนนั้ ฆ่าไมส่ ำ� เรจ็ ก็โกรธเคอื งพระอุบาลวี ่าเปน็ ผู้ไปบอก จึงพากนั ดา่ และบริภาษพระอุบาลี พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ นางภิกษณุ ีผดู้ า่ หรือบรภิ าษภกิ ษ๑ุ สิกขาบทท่ี ๓ ห้ามบริภาษภกิ ษณุ ีสงฆ์ นางถุลลนันทาภิกษุณีโกรธเคืองภิกษุณีสงฆ์ ซ่ึงสวดประกาศลงอุกเขปนียกรรม (ยกจากหมู่) แก่นางจัณฑกาลีภิกษุณี เพราะเหตุท่ีไม่เห็นอาบัติ จึงด่าบริภาษภิกษุณีสงฆ์ว่า ”นางภิกษณุ เี หลา่ นเ้ี ป็นคนเขลา ไมฉ่ ลาด ไมร่ ูจ้ กั ธรรม โทษของกรรม กรรมวิบัตหิ รือกรรมสมบัติ„๒ พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี แ์ กน่ างภกิ ษณุ ผี บู้ รภิ าษภกิ ษณุ สี งฆ์ ๑ อกโฺ กเสยยฺ - ดา่ ปรภิ าเสยยฺ = บรภิ าษ ตามศพั ทน์ า่ จะเปน็ วา่ ดา่ คอื ดา่ ตรง ๆ บรภิ าษ คอื ดา่ โดยออ้ ม แตค่ ำ� อธบิ าย ๒ ท้ายสกิ ขาบทว่า บรภิ าษ คอื พูดใหก้ ลวั ค�ำว่า กรรม หมายถึงสังฆกรรม คือกรรมที่ท�ำเป็นการสงฆ์ ค�ำบริภาษตรงน้ีเห็นได้ชัดว่าเป็นการด่าโดยอ้อม กรรมวิบัติ คือสงั ฆกรรมท่ไี ม่สมบรู ณ์ กรรมสมบัติ คอื สงั ฆกรรมทถี่ กู ตอ้ งสมบรู ณ์ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 286 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ 287 สิกขาบทที่ ๔ ห้ามฉนั อกี เมื่อรับนิมนต์หรือเลิกฉนั แล้ว ิว ันย ิปฎก พราหมณ์ผู้หนึ่งนิมนต์นางภิกษุณีหลายรูปไปฉัน บางรูปฉันเสร็จแล้ว ไม่รับอาหาร ท่ีเขาจะเติมให้อีกแล้ว (ภาษาพระว่า ห้ามข้าวแล้ว) ก็ไปสู่สกุลญาติ บางรูปก็รับบิณฑบาตแล้ว จากไป พราหมณ์ผู้นิมนต์ทราบเรื่องก็ติเตียน ด้วยความน้อยใจว่า ตนไม่สามารถถวายอาหาร ให้ได้ตามต้องการหรืออย่างไร พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า นางภิกษุณี รับนิมนต์แล้ว หรือไม่รับอาหารที่เขาจะเติมให้อีกแล้ว เคี้ยวก็ตาม ฉันก็ตาม ซึ่งของเค้ียว หรือของฉนั ตอ้ งปาจติ ตีย์ สกิ ขาบทท่ี ๕ หา้ มพดู กดี กันภกิ ษณุ อี ื่น นางภิกษุณีไปบิณฑบาตในตรอกแห่งหนึ่ง ในกรุงสาวัตถี เจ้าของบ้านนิมนต์ให้ ฉันอาหาร แล้วส่ังให้บอกภิกษุณีอ่ืนให้มาบ้าง เธอคิดจะกีดกัน จึงพูดกับนางภิกษุณีอื่น ๆ ว่า ทีน่ นั่ มีสุนัขร้าย มโี คดุ เปน็ ท่ีเฉอะแฉะ อย่าไปเลย ภายหลังความแตก เพราะนางภกิ ษุณีรปู อ่นื ไปทางตรอกน้ัน ได้รับนิมนต์ให้ฉัน แล้วถูกต่อว่า ว่าเหตุไฉนนางภิกษุณีท้ังหลายจึงไม่มา เมอ่ื เขาทราบความกพ็ ากนั ตเิ ตยี น พระผู้มีพระภาคจึงทรงบญั ญตั สิ ิกขาบท ปรับอาบตั ปิ าจิตตยี ์ แก่นางภิกษุณีผู้ตระหนี่สกุล (คือพูดกีดกันมิให้ภิกษุณีรูปอ่ืนไปสู่สกุล หรือแกล้งพูดติเตียน นางภิกษุณีดว้ ยกนั ใหเ้ ขาฟงั เพอื่ จะได้นมิ นตต์ นแต่ผู้เดียว) สกิ ขาบทท่ี ๖ ห้ามจำ� พรรษาในอาวาสทไี่ มม่ ภี กิ ษุ นางภกิ ษณุ จี ำ� พรรษาในอาวาสท่ีไมม่ ภี กิ ษุ มผี ูต้ ิเตียน พระผู้มพี ระภาคจงึ ทรงบัญญัติ สิกขาบท ปรบั อาบัติปาจิตตยี ์แก่นางภกิ ษุณีผู้จำ� พรรษาในอาวาสทไ่ี มม่ ีภิกษุ (หมายเหตุ : ในคำ� อธบิ ายท้ายสิกขาบท๑ อ้างว่า ทำ� ใหไ้ ม่ได้ฟงั โอวาทและไม่ไดอ้ ยรู่ ว่ ม คำ� วา่ อยรู่ ว่ ม หมายความวา่ ทำ� กรรมรว่ มกนั เรยี นรว่ มกนั ศกึ ษารว่ มกนั เหตผุ ลทใ่ี หน้ างภกิ ษณุ ี อยู่ในวดั ทีม่ ภี กิ ษุ อาจจะเพอื่ ป้องกันคนข่มเหงด้วยอกี สว่ นหนงึ่ ) สกิ ขาบทท่ี ๗ ห้ามการขาดปวารณาในสงฆ์สองฝ่าย นางภิกษุณีหลายรูปจ�ำพรรษาแล้วมิได้ปวารณาต่อภิกษุสงฆ์ มีผู้ติเตียน พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ นางภกิ ษณุ จี ำ� พรรษาแลว้ ไมป่ วารณาในสงฆ์ ๒ ฝา่ ย (ภิกษุสงฆ์ - ภิกษุณีสงฆ์) โดยฐานะ ๓ คือ ด้วยได้เห็น ด้วยได้ยิน ด้วยนึกรังเกียจสงสัย ต้องปาจติ ตีย์ (ปวารณา คอื การอนุญาตให้ว่ากล่าวตกั เตือนได้) ๑ หมายถึง คำ� อธิบายทา้ ยสกิ ขาบทนี้ ในพระไตรปิฎกบาลี - ม.พ.ป. PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 287 5/4/18 2:24 PM
288 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ สิกขาบทท่ี ๘ หา้ มการขาดรับโอวาทและการขาดการอย่รู ว่ ม นางภิกษุณีพวก ๖ มีภิกษุพวก ๖ มาให้โอวาทอยู่แล้ว ก็ไม่ไปฟังโอวาทร่วมกับ นางภิกษุณีทั้งหลาย มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า นางภิกษุณี ไม่ไปเพื่อรับโอวาท เพ่ือการอยู่ร่วม ต้องปาจิตตีย์ (การอยู่ร่วม คือร่วมสามัคคีท�ำกรรม หรอื ศกึ ษาเล่าเรียนร่วมกบั นางภิกษณุ อี ่นื ๆ) สิกขาบทท่ี ๙ ห้ามการขาดถามอโุ บสถและการไปรบั โอวาท นางภิกษุณีไม่ถามวันอุโบสถ ไม่ขอรับโอวาท มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรง บัญญัติสิกขาบทว่า นางภิกษุณีพึงหวังธรรม ๒ อย่าง จากภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน คือการถาม วันอุโบสถ การเขา้ ไปหาเพื่อรับโอวาท ถ้าใหล้ ่วงกำ� หนดนั้นไป ต้องปาจติ ตีย์ สิกขาบทที่ ๑๐ หา้ มให้บุรุษบบี ฝี ผา่ ฝี เปน็ ตน้ นางภิกษุณีรูปหน่ึง สองต่อสองกับบุรุษ ให้บีบฝีซ่ึงเกิดข้ึนท่ี ”ปสาขา„ (ใต้สะดือลงไป เหนือเข่าข้ึนมา) บุรุษน้ันพยายามข่มขืนนางภิกษุณีน้ัน นางจึงร้องข้ึน พระผู้มีพระภาคจึง ทรงทราบ จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า นางภิกษุณีไม่บอกสงฆ์หรือคณะก่อน เป็นผู้สองต่อสอง กับบุรุษ ให้บีบก็ตาม ให้ผ่าก็ตาม ให้ชะก็ตาม ให้พันผ้าก็ตาม ให้แก้ผ้าพันก็ตาม ซ่ึงฝีหรือ แผลอันเกิดขนึ้ ที่ ”ปสาขา„ ต้องปาจิตตยี ์ (๗) คพั ภินวี รรค วรรควา่ ด้วยหญิงมคี รรภ์ มี ๑๐ สิกขาบท สกิ ขาบทท่ี ๑ ห้ามใหบ้ วชแกห่ ญิงมีครรภ์ นางภิกษุณีให้หญิงมีครรภ์บวช นางออกบิณฑบาต มนุษย์ทั้งหลายกล่าวว่า จงถวาย ภิกษาแก่นางเถิด เพราะนางมีครรภ์ มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า นางภิกษุณใี หห้ ญิงมีครรภ์บวช ต้องปาจติ ตยี ์ สิกขาบทท่ี ๒ หา้ มใหบ้ วชแก่หญิงที่ยงั มเี ดก็ ดม่ื นม นางภิกษุณีให้หญิงท่ียังมีเด็กดื่มนมบวช นางออกบิณฑบาต มนุษย์ท้ังหลายกล่าวว่า จงถวายภิกษาแก่นางเถิด เพราะนางมีคนท่ีสอง มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติ สิกขาบทว่า นางภิกษุณีให้หญิงที่ยังมีเด็กดื่มนมบวช ต้องปาจิตตีย์ (หญิงเช่นน้ี หมายรวม ทงั้ ผเู้ ป็นมารดาและแมน่ ม) PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 288 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ 289 สิกขาบทที่ ๓ หา้ มให้บวชแก่นางสกิ ขมานาซง่ึ ศึกษายังไมค่ รบ ๒ ปี ิว ันย ิปฎก นางภิกษณุ ีให้บวชแกน่ างสกิ ขมานาผูย้ ังมไิ ดศ้ ึกษาในธรรม ๖ อย่าง๑ ครบ ๒ ปี นางก็ เป็นผู้เขลาไม่ฉลาด ไม่รู้สิ่งท่ีควรหรือไม่ควร มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงตรัสอธิบายวิธีที่ นางสิกขมานาจะขอสิกขาสมมติ (การสวดประกาศให้การศึกษา) จากภิกษุณีสงฆ์ และการ สวดสมมตขิ องภกิ ษณุ สี งฆ์ ตลอดจนการเปลง่ วาจาสมาทานและการไมป่ ระพฤตลิ ว่ งธรรม ๖ ขอ้ คร้ันแล้วได้ทรงบัญญัติสิกขาบทว่า นางภิกษุณีให้บวชแก่นางสิกขมานาท่ียังมิได้ศึกษาใน ธรรม ๖ อย่าง ครบ ๒ ปี ตอ้ งปาจติ ตีย์ สกิ ขาบทที่ ๔ ห้ามให้บวชแก่นางสิกขมานาที่สงฆย์ ังมไิ ดส้ วดสมมติ นางภกิ ษณุ ีให้บวชแก่นางสกิ ขมานาที่ศึกษาในธรรม ๖ อยา่ ง ครบ ๒ ปีแลว้ แต่สงฆ์ ยงั มไิ ดส้ วดสมมติ มผี ตู้ เิ ตยี น พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงแสดงวธิ ที น่ี างสกิ ขมานาผศู้ กึ ษาครบ ๒ ปี แล้ว จะพึงเข้าไปหาภิกษุณีสงฆ์เพ่ือขอวุฏฐานสมมติ (การสวดประกาศให้ความเห็นชอบท่ี จะอุปสมบทได้) แล้วทรงบัญญัติสิกขาบทว่า นางภิกษุณีให้บวชแก่นางสิกขมานาที่ศึกษา ในธรรม ๖ อย่าง ครบ ๒ ปแี ลว้ แต่สงฆ์ยังมิได้สวดสมมติ ตอ้ งปาจิตตยี ์ สิกขาบทท่ี ๕ หา้ มใหบ้ วชแกห่ ญิงทม่ี สี ามีแล้ว แตอ่ ายยุ งั ไมถ่ ึง ๑๒ นางภิกษุณีให้บวชแก่หญิงท่ีมีสามีแล้ว แต่อายุยังไม่ถึง ๑๒ ขวบ นางไม่อดทนต่อ หนาว ร้อน หิว ระหาย เหลือบ ยุง ลม แดด สัตว์เสือกคลาน ค�ำพูดล่วงเกินและเวทนากล้า พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า นางภิกษุณีให้บวชแก่หญิงท่ีมีสามีแล้ว แต่อายุ ยงั ไม่ถงึ ๑๒ ขวบ ต้องปาจิตตีย์ สิกขาบทท่ี ๖ หา้ มใหบ้ วชแกห่ ญงิ เชน่ น้นั อายุครบ ๑๒ แล้ว แต่ยังมไิ ด้ศกึ ษา ๒ ปี สิกขาบทที่ ๗ หา้ มให้บวชแก่หญิงเชน่ นัน้ ที่ศกึ ษา ๒ ปีแลว้ แต่สงฆย์ งั มไิ ดส้ วดสมมติ สองสิกขาบทนี้ มีข้อความคล้ายสิกขาบทที่ ๓ และสิกขาบทที่ ๔ คือจะต้องขอสิกขา สมมติ และขอวุฏฐานสมมติจากนางภิกษุณีสงฆ์ จึงจะให้บวชได้ ถ้าให้บวชผู้ยังมีคุณสมบัติ ไมส่ มบรู ณ์ ต้องปาจิตตยี ์ ๑ ธรรม ๖ อย่าง คือศีล ๕ กับเว้นการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล อนึ่ง เฉพาะศีลที่ ๓ เว้นจากการประพฤติล่วง พรหมจรรย์ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 289 5/4/18 2:24 PM
290 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ สิกขาบทท่ี ๘ ห้ามเพกิ เฉยไมอ่ นเุ คราะหศ์ ษิ ยท์ ีบ่ วชแล้ว นางถุลลนันทาภิกษุณีให้สหชีวินี (สัทธิวิหาริก คือผู้เป็นศิษย์ท่ีอุปัชฌายะ หรือ ปวัตตินี บวชให้) บวชแล้วมิได้สงเคราะห์เอง หรือให้ผู้อ่ืนสงเคราะห์ (ด้วยการสอนธรรม การสอบถาม การให้โอวาท การพร�ำ่ สอน) ตลอดเวลา ๒ ปี นางจึงเปน็ ผ้เู ขลา ไม่ฉลาด ไม่รูส้ ่ิงที่ ควรหรือไม่ควร มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์ แกน่ างภิกษณุ ีผู้เปน็ อุปชั ฌายะ (ปวัตติน)ี ผู้ท�ำเชน่ น้นั สกิ ขาบทที่ ๙ หา้ มนางภิกษณุ แี ยกจากอปุ ชั ฌายะ คอื ไม่ตดิ ตามครบ ๒ ปี นางภิกษุณีทั้งหลายมิได้ติดตาม๑ ปวัตตินี (อุปัชฌายะ) ผู้บวชให้ตนตลอด ๒ ปี จึงเป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด ไม่รู้ส่ิงที่ควรและไม่ควร มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติ สกิ ขาบท ปรับอาบตั ปิ าจติ ตยี แ์ ก่นางภิกษุณีผู้เป็นสหชีวินี (สทั ธิวิหาริก) ผทู้ ำ� เชน่ นนั้ สิกขาบทที่ ๑๐ หา้ มเพกิ เฉยไม่พาศิษยไ์ ปทอ่ี ืน่ นางถุลลนันทาภิกษุณีให้สหชีวินี (สัทธิวิหาริก) บวชแล้ว มิได้พาไปที่อื่น มิได้ใช้ ใหพ้ าไปทอ่ี ืน่ สามี (ของนางภกิ ษุณีนั้น) รบั ตัวไป (คอื พาใหส้ ึกไป) มผี ู้ตเิ ตียน พระผ้มู ีพระภาค จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า นางภิกษุณีให้สหชีวินีบวชแล้ว ไม่พาไปท่ีอื่น โดยท่ีสุดแม้เพียง ๕ - ๖ โยชน์ ตอ้ งปาจติ ตยี ์ (๘) กมุ ารีภตู วรรค วรรคว่าดว้ ยหญิงสาวท่ยี งั ไมม่ ีสามี มี ๑๓ สิกขาบท สกิ ขาบทท่ี ๑ ห้ามใหบ้ วชแกห่ ญงิ สาวทีอ่ ายุไมค่ รบ ๒๐ ปี นางภิกษุณีทั้งหลายให้หญิงสาวที่มีอายุไม่ครบ ๒๐ ปีบวช นางไม่อดทนต่อหนาว ร้อน หิว ระหาย เป็นต้น มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า นางภิกษุณี ให้หญงิ สาวทม่ี ีอายไุ มค่ รบ ๒๐ ปีบวช ตอ้ งปาจติ ตยี ์ (หมายเหตุ : พึงสังเกตว่า หญิงที่มีสามีแล้ว อายุครบ ๑๒ จะบวชเป็นนางภิกษุณี ต้องเป็นนางสกิ ขมานาศึกษาอยอู่ ีก ๒ ปี จนอายคุ รบ ๑๔ ปีบรบิ ูรณแ์ ลว้ จงึ บวชเป็นนางภิกษุณี ได้ แต่ถ้ายังมิได้มีสามี ต้องอายุครบ ๒๐ จึงบวชได้ แต่ก่อนจะบวชเป็นนางภิกษุณี จะต้อง เป็นนางสิกขมานา ๒ ปี ทุกรายไป ฉะนั้น หญิงที่ประสงค์จะบวชเป็นนางภิกษุณี เม่ืออายุ ครบ ๒๐ ปีบริบูรณ์ จะต้องบวชเป็นสามเณรีและเป็นนางสิกขมานาก่อนอายุครบ เพื่อไม่ต้อง ยดื เวลาเปน็ นางสกิ ขมานาเมือ่ อายุครบแล้ว) ๑ คำ� วา่ ไมต่ ดิ ตามน้ี คำ� ทา้ ยสกิ ขาบท หมายถงึ ไมร่ บั ใช้ พงึ สงั เกตวา่ นางภกิ ษณุ บี วชแลว้ จะตอ้ งตดิ ตามรบั ใชอ้ ปุ ชั ฌายะ เพ่ือไดศ้ กึ ษา เพือ่ อยใู่ นปกครอง ๒ ปี แตภ่ ิกษุตอ้ งถือนสิ สยั คอื อยใู่ นปกครองของอปุ ชั ฌายะหรอื อาจารย์ ๕ ปี PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 290 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ 291 สกิ ขาบทท่ี ๒ หา้ มบวชหญงิ ทอี่ ายุครบ แตย่ งั มิไดศ้ ึกษาครบ ๒ ปี ิว ันย ิปฎก สกิ ขาบทท่ี ๓ ห้ามบวชหญิงท่ศี ึกษาครบ ๒ ปแี ล้ว แต่สงฆย์ งั มิไดส้ วดสมมติ สองสกิ ขาบทน้ี มีเค้าความท�ำนองเดยี วกบั สกิ ขาบทที่ ๓ และท่ี ๔ และท่ี ๖ ที่ ๗ แห่ง คัพภินีวรรค ท่ีกล่าวมาแล้ว เป็นแต่น�ำมาใช้ในกรณีท่ีเป็นหญิงสาวมีอายุครบ ๒๐ ปี มีสิทธิ จะบวชได้ กค็ งให้ศึกษาก่อน และศกึ ษาแล้วก็ต้องใหส้ งฆส์ วดสมมตอิ นุญาตใหอ้ ปุ สมบทก่อน สกิ ขาบทท่ี ๔ ห้ามเปน็ อุปัชฌายเ์ ม่ือพรรษาไม่ครบ ๑๒ นางภกิ ษณุ ี พรรษาไมค่ รบ ๑๒ ใหผ้ อู้ นื่ บวช ตนเองกเ็ ปน็ ผเู้ ขลา ไมฉ่ ลาด ไมร่ สู้ งิ่ ทค่ี วร และไม่ควร แม้สัทธิวิหารินี (ผู้ที่ตนบวชให้แปลตามศัพท์ว่า ผู้อยู่ร่วม) ก็เป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด ไม่รู้ส่ิงท่ีควรและไม่ควร มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า นางภิกษุณี พรรษาหยอ่ นกว่า ๑๒ ใหผ้ ู้อ่นื บวช ต้องปาจิตตยี ์ สกิ ขาบทที่ ๕ หา้ มเปน็ อปุ ัชฌาย์โดยทีส่ งฆม์ ิไดส้ วดสมมติ นางภิกษุณีมีพรรษาครบ ๑๒ แล้ว แต่สงฆ์ยังมิได้สมมติ (แต่งตั้ง) ให้ผู้อ่ืนบวช มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า นางภิกษุณีที่มีพรรษาครบ ๑๒ แล้ว แต่สงฆ์ยงั มิได้สมมติ ให้ผ้อู นื่ บวช ต้องปาจิตตีย์ สกิ ขาบทท่ี ๖ ห้ามรับรู้แลว้ ตเิ ตียนในภายหลัง นางจัณฑกาลีภิกษุณีเข้าไปหาภิกษุณีสงฆ์ ขอให้แต่งตั้งเป็นอุปัชฌายะ ภิกษุณีสงฆ์ พจิ ารณาแลว้ ไมอ่ นญุ าต (เพราะเหน็ วา่ ยงั ไมเ่ หมาะสม) นางกร็ บั คำ� วา่ ”สาธ„ุ ภายหลงั ภกิ ษณุ สี งฆ์ แต่งตั้งนางภิกษุณีอ่ืนให้เป็นอุปัชฌายะ นางจัณฑกาลีภิกษุณีจึงเที่ยวโพนทะนาว่ากล่าว พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า นางภิกษุณีที่สงฆ์ยังไม่อนุญาตให้เป็นอุปัชฌายะ รับค�ำว่า สาธุ แล้วภายหลังกลับติเตียน ต้องปาจิตตีย์ (สิกขาบทน้ีให้อ�ำนาจภิกษุณีสงฆ์ พิจารณาผทู้ ีจ่ ะเปน็ อุปชั ฌายะด้วย แม้มีพรรษาครบ ๑๒ แล้ว จะไม่แตง่ ตั้งสวดสมมตใิ หก้ ไ็ ด้) สิกขาบทที่ ๗ หา้ มรับปากวา่ จะบวชให้ แลว้ กลบั ไม่บวชให้ นางถุลลนันทาภิกษุณีรับปากกับนางสิกขมานารูปหนึ่งว่า ถ้าให้จีวรจะบวชให้ แล้วไม่ บวชให้ ไม่ขวนขวายให้ผู้อื่นบวชให้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า นางภิกษุณี PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 291 5/4/18 2:24 PM
292 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ กล่าวกะนางสิกขมานาว่า ถ้าท่านจักให้จีวรแก่ข้าพเจ้า๑ ข้าพเจ้าจักบวชให้ แล้วภายหลังไม่มี เหตุขัดข้อง ไมบ่ วชให้เองก็ดี ไม่ขวนขวายให้ผอู้ ่นื บวชให้ก็ดี ตอ้ งปาจิตตีย์ สิกขาบทที่ ๘ ห้ามรับปากแลว้ ไม่บวชใหใ้ นกรณอี ื่น นางถลุ ลนนั ทาภกิ ษณุ รี บั ปากกบั นางสกิ ขมานารปู หนงึ่ วา่ ถา้ ตดิ ตามครบ ๒ ปี จะบวชให้ แล้วไมบ่ วช ไมข่ วนขวายใหผ้ ู้อืน่ บวชให้ พระผมู้ ีพระภาคจึงทรงบญั ญตั ิสิกขาบทวา่ นางภิกษณุ ี กล่าวกะนางสิกขมานาว่า ถ้าติดตาม (รับใช้) ครบ ๒ ปี แล้วจะบวชให้ ภายหลังไม่มีเหตุ ขัดขอ้ ง ไมบ่ วชใหเ้ องกด็ ี ไมข่ วนขวายใหผ้ ้อู ื่นบวชให้ก็ดี ต้องปาจิตตยี ์ สิกขาบทที่ ๙ ห้ามบวชให้นางสิกขมานาทป่ี ระพฤติไมด่ ี นางถุลลนันทาภิกษุณีบวชให้นางสิกขมานาผู้คลุกคลีด้วยบุรุษ คลุกคลีด้วยชายหนุ่ม เป็นคนดุร้าย ก่อความเศร้าใจแก่คนอื่น มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติ สิกขาบทว่า นางภิกษุณีบวชให้นางสิกขมานาผู้คลุกคลีด้วยบุรุษ คลุกคลีด้วยชายหนุ่ม เป็นคนดุร้าย ก่อความเศร้าใจแก่คนอ่ืน ต้องปาจิตตีย์ (บุรุษ คือคนมีอายุครบ ๒๐ แล้ว กมุ ารกะหรอื ชายหนุ่ม คอื ท่อี ายุยังไมถ่ ึง ๒๐) สิกขาบทท่ี ๑๐ หา้ มบวชให้นางสิกขมานาทีม่ ารดาบดิ าหรอื สามไี ม่อนญุ าต นางถุลลนันทาภิกษุณีบวชให้นางสิกขมานาที่มารดาบิดายังไม่อนุญาตบ้าง ท่ีสามียัง ไม่อนุญาตบ้าง มารดาบิดาบ้าง สามีบ้าง พากันติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงบัญญัติสิกขาบทว่า นางภกิ ษุณีบวชให้นางสกิ ขมานาท่ีมารดาบิดาหรือสามียงั มิได้อนญุ าต ต้องปาจติ ตยี ์ สิกขาบทท่ี ๑๑ หา้ มทำ� กลบั กลอกในการบวช นางถลุ ลนนั ทาภกิ ษณุ คี ดิ จะบวชใหน้ างสกิ ขมานา จงึ นมิ นตพ์ ระภกิ ษทุ เี่ ปน็ เถระทง้ั หลาย มาประชุมกัน ครั้นแล้วเห็นของเค้ียวของฉันมีมาก จึงกล่าวว่า ”ข้าพเจ้าจะยังไม่บวชให้ นางสิกขมานาละ„ แล้วส่งพระภิกษุเถระเหล่าน้ันกลับ นิมนต์พระเทวทัต เป็นต้น (รวม ๕ รูป ซึ่งล้วนเป็นพระท่ีก่อเรื่องยุ่งยาก) มาประชุมกัน บวชให้นางสิกขมานา มีผู้ติเตียน พระผู้มพี ระภาคจึงทรงบญั ญตั สิ ิกขาบท ปรับอาบตั ิปาจติ ตยี ์ แกน่ างภิกษณุ ีผทู้ �ำเชน่ นัน้ ๑ ๑ มที างสนั นษิ ฐานไดเ้ ป็น ๒ ประการ คือพูดเปน็ เชงิ เรียกสินบนหรอื ส่งิ ตอบแทนอย่างหน่ึง อกี อยา่ งหน่งึ หมายเพียง ไปหาจีวรมาได้ก็จะบวชให้ คือมิใช่รับไว้เป็นของตน เพราะเป็นประเพณีที่ผู้ขอบวชจะต้องมอบจีวรแก่อุปัชฌายะ ๒ แล้วอปุ ชั ฌายะท�ำพธิ มี อบให้ในเวลาบวช ไปในทางวา่ ดว้ ยแสดงความพอใจภกิ ษทุ อี่ ยปู่ รวิ าส (ในการออกจากอาบตั )ิ ฉบบั ฝรงั่ แปลคำ� วา่ ปารวิ าสกิ ฉนทฺ ทาเนน แต่คำ� อธิบายท้ายสิกขาบท และอรรถกถามงุ่ ไปในทางท�ำใหพ้ ระทีม่ าประชมุ ชุดก่อนต้องเกอ้ เลกิ ไป PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 292 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ 293 สิกขาบทที่ ๑๒ ห้ามบวชให้คนทุกปี ิว ันย ิปฎก สมัยนั้น นางภิกษุณีบวชให้คนทุก ๆ ปี ที่อยู่ไม่พอกัน มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาค จงึ ทรงบญั ญตั ิสกิ ขาบท ปรับอาบตั ปิ าจติ ตีย์แก่นางภิกษณุ ีผูบ้ วชใหท้ ุกปี (ตอ้ งบวชปเี วน้ ป)ี สิกขาบทท่ี ๑๓ ห้ามบวชให้ปีละ ๒ คน สมัยน้ัน นางภิกษุณีบวชให้ปีละ ๒ คน ที่อยู่ไม่พอกัน มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาค จึงทรงบญั ญตั สิ ิกขาบท ปรบั อาบัติปาจติ ตยี ์แก่นางภิกษณุ ีทีบ่ วชใหป้ ีละ ๒ คน (๙) ฉตั ตปุ าหนวรรค วรรควา่ ด้วยร่มและรองเท้า มี ๑๓ สกิ ขาบท สกิ ขาบทท่ี ๑ ห้ามใช้รม่ ใชร้ องเทา้ เวน้ แตจ่ ะไมส่ บาย สมัยนั้น นางภิกษุณีพวก ๖ ใช้ร่มใช้รองเท้า มนุษย์ท้ังหลายติเตียนว่าใช้ของเหมือน คฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า นางภิกษุณีใช้ร่มใช้รองเท้า ตอ้ งปาจติ ตยี ์ ภายหลงั ทรงบญั ญตั เิ พม่ิ เตมิ อนญุ าตใหใ้ ชไ้ ด้ ถา้ เปน็ ไข้ หรอื ไมใ่ ชแ้ ลว้ จะไมส่ บาย สกิ ขาบทที่ ๒ หา้ มไปดว้ ยยาน เวน้ แตไ่ ม่สบาย นางภิกษุณีพวก ๖ ไปด้วยยาน มนุษย์ท้ังหลายติเตียนว่าท�ำเหมือนคฤหัสถ์ผู้ บริโภคกาม พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า นางภิกษุณีไปด้วยยาน ต้องปาจิตตีย์ ภายหลังทรงบัญญตั เิ พ่ิมเติม อนญุ าตให้ไปด้วยยานได้ ถา้ เปน็ ไข้ (หมายเหตุ : ท้ังสองสิกขาบทน้ี เห็นได้ว่าเพ่ือมิให้ถูกติว่าเลียนแบบคฤหัสถ์ เป็น การบัญญัติตามกาลเทศะ และส่ิงแวดล้อม ตกมาถึงสมัยนี้ ความรังเกียจคงเปล่ียนแปลงไป สิกขาบทเหล่านี้ จึงคงอยู่ในประเภทท่ีทรงอนุญาตไว้ก่อนปรินิพพานว่า ถ้าจะถอนสิกขาบท เล็กน้อยเสียก็ถอนได้ เป็นการเปิดทางให้กาลเทศะ แต่พระสาวกสมัยสังคายนาเห็นว่า ถ้าปล่อยให้ถอนกันตามชอบใจ จะยุ่งกันใหญ่ คืออาจจะไปถอนสิกขาบทท่ีส�ำคัญเข้า แต่เห็น เป็นไม่ส�ำคญั ฉะนัน้ ท่านจงึ สวดประกาศหา้ มถอน เปน็ การใชอ้ �ำนาจสงฆส์ ั่งการ เช่นนั้น) สกิ ขาบทท่ี ๓ ห้ามใช้ผา้ หยักร้ัง นางภกิ ษณุ ถี กู สกลุ ทต่ี นเขา้ ไปฉนั ขอรอ้ งใหน้ ำ� ผา้ ”สงั ฆาณ„ี ๑ (ผา้ แคบ แตย่ าวพอนงุ่ ปดิ สะโพกได้ เมือ่ น่งุ แล้วจะดูเป็นผา้ หยักร้งั ฝร่งั เรียกวา่ Loin - cloth คือผ้าปกสะโพก แสดงรปู ชาวอินเดียนุ่งผ้าแบบน้ีให้ดูด้วย) ไปมอบให้สตรีอีกคนหน่ึง นางภิกษุณีนั้นคิดว่าจะใส่บาตร ๑ อรรถกถาแสดงวา่ มลี กั ษณะเปน็ ตาขา่ ยรอ้ ยดอกไม้ ดา้ ยหลดุ ดอกไมห้ ลน่ กระจาย จงึ นา่ จะเปน็ เครอ่ื งประดบั สะเอว แต่ Miss I.B. Horner แปลคำ� นี้ว่า Petticoat หรอื กระโปรงชนั้ ใน เมอื่ ดสู กิ ขาบทต่อไปเทียบเคียงแลว้ ทำ� ใหเ้ ห็น วา่ น่าจะเป็นเคร่ืองประดับสะเอว PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 293 5/4/18 2:24 PM
294 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ นำ� ไปก็เกรงน่าเกลียด จึงนงุ่ ไป ในขณะทไี่ ปในถนนดา้ ยขาด ผ้าจึงหลดุ ลงมาเรี่ยราด ถูกติเตยี น ว่าใช้ผ้านุ่งเหมือนคฤหัสถ์ พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์ แก่นางภกิ ษณุ ผี ใู้ ชผ้ า้ สงั ฆาณี สิกขาบทที่ ๔ ห้ามใช้เครอ่ื งประดบั กายสำ� หรบั หญงิ นางภิกษุณีพวก ๖ ใช้เคร่ืองประดับกายส�ำหรับหญิง (คือเครื่องประดับศีรษะ คอ มือ เท้า และสะเอว) มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า นางภิกษุณีใช้ เคร่ืองประดับกายสำ� หรับหญิง ตอ้ งปาจติ ตยี ์ สิกขาบทที่ ๕ ห้ามอาบน�้ำหอมและนำ้� มีสี นางภิกษุณีพวก ๖ อาบน�้ำด้วยน้�ำหอมและน้�ำมีสี (อาจใช้ย้อมกายได้) มีผู้ติเตียนว่า ทำ� อยา่ งคฤหสั ถผ์ บู้ รโิ ภคกาม พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ นางภกิ ษณุ อี าบนำ้� ดว้ ย น้ำ� หอมและน้�ำมสี ี ต้องปาจติ ตยี ์ สกิ ขาบทที่ ๖ หา้ มอาบนำ้� ดว้ ยแป้งงาอบ นางภกิ ษณุ ีพวก ๖ อาบน�ำ้ ดว้ ยแปง้ ทที่ ำ� ดว้ ยงาอบกลิ่น มผี ู้ติเตยี นวา่ ท�ำอย่างคฤหสั ถ์ ผบู้ ริโภคกาม พระผู้มพี ระภาคจงึ ทรงบญั ญัติสกิ ขาบทว่า นางภกิ ษณุ ีอาบนำ�้ ดว้ ยแป้งงาอบกลนิ่ ต้องปาจติ ตยี ์ สกิ ขาบทท่ี ๗ ห้ามให้นางภกิ ษุณที าน�ำ้ มนั หรือนวด สมยั นนั้ นางภกิ ษณุ ใี หน้ างภกิ ษณุ ดี ว้ ยกนั ทานำ�้ มนั บา้ ง นวดบา้ ง มผี ตู้ เิ ตยี นวา่ ทำ� เหมอื น คฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า นางภิกษุณีให้นางภิกษุณี ทาน้ำ� มนั หรือนวด ตอ้ งปาจิตตีย์ สกิ ขาบทท่ี ๘ - ๙ - ๑๐ หา้ มใหผ้ ู้อน่ื ทาน�้ำมันหรือนวด สิกขาบททั้งสามน้ี ก็เหมือนกับสิกขาบทที่ ๗ ต่างแต่ผู้ทานำ้� มันและนวดในสิกขาบท ท่ี ๘ เปน็ นางสกิ ขมานา สกิ ขาบทที่ ๙ เปน็ สามเณรี สกิ ขาบทที่ ๑๐ เปน็ คหิ นิ ี (สตรผี เู้ ปน็ คฤหสั ถ)์ สกิ ขาบทท่ี ๑๑ หา้ มน่ังหนา้ ภกิ ษุโดยไมบ่ อกกอ่ น สมัยน้นั นางภิกษณุ ที ้ังหลายไมอ่ าปจุ ฉา๑ นัง่ บนอาสนะเบ้อื งหนา้ ของภิกษุ มีผตู้ ิเตยี น พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า นางภิกษุณีไม่อาปุจฉา น่ังบนอาสนะเบ้ืองหน้าภิกษุ ตอ้ งปาจิตตีย์ ๑ ตามศัพทแ์ ปลวา่ ถามโดยเออื้ เฟ้ือ โดยความคือขอโอกาสหรอื ขออนญุ าต PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 294 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาฏิเทสนียกัณฑ์ 295 สิกขาบทท่ี ๑๒ หา้ มถามปัญหาภิกษุโดยไม่ขอโอกาส ิว ันย ิปฎก สมยั นน้ั นางภกิ ษณุ ถี ามปญั หาภกิ ษผุ ทู้ ตี่ นมไิ ดข้ อโอกาส มผี ตู้ เิ ตยี น พระผมู้ พี ระภาค จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า นางภิกษุณีถามปัญหาภิกษุท่ีตนมิได้ขอโอกาส ต้องปาจิตตีย์ (เปน็ ระเบียบเรอื่ งความเคารพ) สิกขาบทที่ ๑๓ หา้ มเข้าบา้ นโดยไม่ใชผ้ ้ารดั หรือผา้ โอบ นางภิกษุณีเข้าบ้าน ไม่มีผ้าสังกัจฉิกะ (ผ้ารัดหรือโอบที่ใช้ปิดต้ังแต่หลุมคอลงไป และตงั้ แตส่ ะดอื ขนึ้ มา) มนษุ ยพ์ ากนั แกลง้ ชมโฉมตา่ ง ๆ พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ว่า นางภิกษุณีไม่ใช้ผ้าสังกัจฉิกะ (ผ้ารัดหรือผ้าโอบ) เข้าบ้าน (ก�ำหนดต้ังแต่เขตร้ัวเข้าไป) ต้องปาจิตตยี ์ (หมายเหตุ : ปาจิตตีย์ของนางภิกษุณีทั้งหมดมี ๑๖๖ แต่แสดงไว้ในภิกขุนีวิภังค์นี้ เพียง ๙๖ สิกขาบท แบ่งเป็น ๙ วรรค ๗ วรรคแรก มีวรรคละ ๑๐ สิกขาบท ๒ วรรคหลัง มีวรรคละ ๑๓ สิกขาบท และได้น�ำปาจิตตยี ์ของภิกษุมาใช้ ๗๐ สิกขาบท (๙๖ + ๗๐ = ๑๖๖) คือปาจิตตีย์ของภิกษุมี ๙๒ สิกขาบท น�ำออกเสีย ๒๒ สิกขาบทเฉพาะท่ีไม่จ�ำเป็นส�ำหรับ นางภิกษุณี ๒๒ สิกขาบทที่ไม่ใช้แก่นางภิกษุณี คือ โอวาทวรรคที่ ๓ รวมหมดทั้งสิบสิกขาบท โภชนวรรคที่ ๕ เฉพาะสิกขาบทที่ ๓ ๕ ๖ และ ๙ รวม ๔ สิกขาบท อเจลกวรรคที่ ๕ เฉพาะสิกขาบทที่ ๑ สัปปาณกวรรคท่ี ๗ เฉพาะสิกขาบทที่ ๔ ๕ และ ๗ รวม ๓ สิกขาบท รตนวรรคท่ี ๙ เฉพาะสิกขาบทท่ี ๑ ๓ ๗ และ ๙ รวม ๔ สกิ ขาบท รวมทงั้ สน้ิ ๒๒ สิกขาบท ท่านผู้ประสงค์จะทราบว่าสิกขาบทท่ีไม่น�ำมาใช้ส�ำหรับนางภิกษุณีตามท่ีระบุไว้ ๒๒ สิกขาบทนี้ วา่ ดว้ ยเร่อื งอะไรบ้าง โปรดดูหนา้ ๒๔๘ - ๒๖๑) ๕. ปาฏิเทสนยี กณั ฑ์ (วา่ ด้วยอาบตั ิที่พึงแสดงคนื ๘ สิกขาบท) สิกขาบทท่ี ๑ ถึงสิกขาบทท่ี ๘ หา้ มขอโภชนะประณีต ๘ อยา่ ง ตามลำ� ดับสกิ ขาบท มาฉัน ความในสิกขาบททงั้ แปดนอ้ี ยา่ งเดียวกนั ตา่ งกนั แตข่ องที่ขอรวม ๘ อย่าง ตามลำ� ดับ สกิ ขาบท คือนางภกิ ษณุ ีไม่เปน็ ไข้ ขอของเหลา่ นี้ มาบริโภค ตอ้ งอาบัติปาฏเิ ทสนยี ะ คอื (๑) เนยใส (๒) นำ้� มนั (๓) น�ำ้ ผง้ึ (๔) น้ำ� อ้อย (๕) ปลา (๖) เน้อื (๗) นมสด (๘) นมส้ม (เรียงลำ� ดับสิกขาบทตามลำ� ดับของ) PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 295 5/4/18 2:24 PM
296 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ (หมายเหตุ : อาบัติปาฏิเทสนียะ แปลว่า อาบัติท่ีต้องแสดงคืน ท้ังแปดสิกขาบทนี้ ไมม่ ีพอ้ งกบั ของภิกษุเลย อนง่ึ ของบริโภค ๘ อย่างทหี่ ้ามขอมาฉัน ในเม่อื ไม่เปน็ ไขน้ ี้ เคยเรียก ในสกิ ขาบทสำ� หรบั ภิกษวุ า่ โภชนะประณตี มี ๙ อย่าง โดยเพิ่มเนยข้น (นวนตี ํ) เข้าในล�ำดบั ท่ี ๒ แล้วเลอ่ื นข้ออ่นื ๆ ไปไว้ถัดไป โดยนยั นี้ จงึ ขาดเนยขน้ ไปอยา่ งเดยี ว อาจเปน็ เพราะไม่มใี ครทำ� ตัวอย่าง จึงไม่บญั ญัตสิ กิ ขาบทกไ็ ด)้ ๖. เสขยิ กัณฑ์ (ว่าด้วยวัตรและมารยาททีภ่ กิ ษณุ ีจะตอ้ งศกึ ษา) ในพระไตรปิฎกเรียกช่ือว่าเสขิยธรรม คือธรรมที่ต้องศึกษาของนางภิกษุณี คงมี ๗๕ ขอ้ เหมอื นของภิกษุ เปน็ แตไ่ ดแ้ สดงต้นเรอ่ื งไว้ ๒ ขอ้ ท่ีนางภกิ ษุณพี วก ๖ นุ่งห่มไมเ่ ป็น ปริมณฑล และถ่ายอุจจาระบ้าง ปัสสาวะบ้าง บ้วนเขฬะบ้าง ลงในนำ�้ เป็นเหตุให้ทรงบัญญัติ สกิ ขาบทขนึ้ ซ่งึ มฟี ้องกนั อยู่แล้วในขอ้ หา้ มส�ำหรับภิกษุ ๗. อธกิ รณสมถะ (ว่าด้วยธรรมสำ� หรับระงับอธิกรณ์ ๗ อย่าง) ทัง้ เจด็ ข้อน้ีกต็ รงกบั ของภกิ ษุ โปรดดหู น้า ๒๖๗ สรปู ศลี ของนางภกิ ษณุ ี ชอ่ื ของนางภกิ ษณุ ี น�ำของภิกษุมาใช้ รวม ๘ ปาราชิก ๔ ๔ ๑๗ สังฆาทิเสส ๑๐ ๗ ๓๐ นิสสคั คยิ ปาจิตตยี ์ ๑๒ ๑๘ ๑๖๖ ปาจิตตีย์ ๙๖ ๗๐ ๘ ปาฏเิ ทสนยี ะ ๘ - ๗๕ เสขิยะ - ๗๕ ๗ อธิกรณสมถะ - ๗ ๓๑๑ รวมทัง้ สน้ิ ๑๓๐ ๑๘๑ จบความย่อแหง่ พระไตรปฎิ ก เลม่ ๓ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 296 5/4/18 2:24 PM
เล่ม ๔ มหาวัคค์ ภาค ๑ ค�ำว่า มหาวัคค์ แปลว่า วรรคใหญ่ บรรจุข้อความมากถึง ๒ เล่มพระไตรปิฎก คือ เล่ม ๔ และเล่ม ๕ เฉพาะในเล่ม ๔ นี้แบ่งเป็นหมวดหรือตอนที่ส�ำคัญ ซ่ึงเรียกว่า ”ขันธกะ„ รวม ๔ ขันธกะ หรือ ๔ ตอน คือ ๑. มหาขนั ธกะ (หมวดใหญห่ รอื ตอนใหญ)่ วา่ ดว้ ยเหตกุ ารณต์ ง้ั แตต่ รสั รู้ จนถงึ แสดง ปฐมเทศนา แสดงอนัตตลักขณสูตร แสดงธรรมโปรดยสกุลบุตร พร้อมทั้ง ครอบครัวและมิตรสหาย แสดงธรรมโปรดภัททวัคคียกุมาร ๓๐ คน แสดง อาทิตตปริยายสูตรโปรดชฎิลพันรูป แสดงธรรมโปรดพระเจ้าพิมพิสาร พระสาริบุตร พระโมคคัลลานะออกบวช อุปัชฌายวัตร (ข้อปฏิบัติต่อท่านผู้บวช ให้) สัทธิวิหาริกวัตร (ข้อปฏิบัติต่อศิษย์ท่ีตนบวชให้) การประณาม (ขับไล่) การขอขมา การบวชด้วยญัตติจตุตถกรรม การบอกนิสสัย ๔ อาจริยวัตร (ข้อปฏิบัติต่ออาจารย์) อันเตวาสิกวัตร (ข้อปฏิบัติต่อภิกษุที่เป็นศิษย์ผู้อยู่ใน ปกครอง) นิสสัยระงับ ผู้ควรให้บวช การอบรมผู้เคยเป็นเดียรถีย์ก่อนให้บวช ภัณฑุกรรม การขาดคุณสมบัติในการบวช การบวชสามเณร สิกขาบท และ การลงโทษสามเณร ผู้ที่ห้ามบวช วิธีการในการอุปสมบท และเร่ืองของภิกษุ ท่ถี ูกสงฆล์ งโทษ เพราะไม่เห็นความผิด (อาบตั ิ) ๒. อุโบสถขันธกะ (หมวดหรือตอนว่าด้วยอุโบสถ) กล่าวถึงการฟังธรรม การสวด ปาฏิโมกข์ในวันอุโบสถ การสมมติสีมา การสมมติโรงท�ำอุโบสถ ปัญหาเร่ืองสีมา การสวดปาฏโิ มกข์ยอ่ การอนญุ าตให้เรยี นปกั ขคณนา สว่ นประกอบอ่นื ๆ ในการ ปฏิบัตกิ ่อนสวดปาฏิโมกข์ การนับวันอุโบสถและบุคคลที่ไมอ่ นุญาตใหท้ �ำอุโบสถ ๓. วสั สปู นายกิ าขนั ธกะ (หมวดหรอื ตอนวา่ ดว้ ยวนั เขา้ พรรษา) การจำ� พรรษา วนั เขา้ พรรษา ๒ อยา่ ง การเลอื่ นวนั เขา้ พรรษาใหเ้ รว็ เขา้ การเดนิ ทางกลบั ภายใน ๗ วนั อนั ตราย ของภิกษุผู้จ�ำพรรษา การจ�ำพรรษาในที่ต่าง ๆ และอาบัติทุกกฏเพราะรับค�ำแล้ว ไมท่ �ำตามถ้อยค�ำเก่ียวกบั การจำ� พรรษา ๔. ปวารณาขนั ธกะ (หมวดหรอื ตอนวา่ ดว้ ยการปวารณา คอื การอนญุ าตใหภ้ กิ ษอุ น่ื วา่ กลา่ วตกั เตอื นได)้ วา่ ดว้ ยรายละเอยี ดตา่ ง ๆ ทพี่ งึ ทราบและพงึ ปฏบิ ตั เิ กยี่ วกบั การ ปวารณา นี้เปน็ ใจความยอ่ แหง่ พระไตรปฎิ ก เลม่ ๔ มหาวรรค วินยั ปิฎก PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 297 5/4/18 2:24 PM
298 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ขยายความ ๑. มหาขนั ธกะ (หมวดใหญ่) เหตุการณ์ตัง้ แตต่ รัสรู้ พระผู้มีพระภาคตรัสรู้ใหม่ ประทับ ณ โคนไม้โพธิริมฝั่งแม่น�้ำเนรัญชรา ในต�ำบล อรุ เุ วลา พระองคป์ ระทับน่ังเสวยวิมตุ ิสุข ณ โคนไม้โพธิตลอด ๗ วัน ในเวลาปฐมยามแหง่ ราตรี ทรงพจิ ารณาปฏจิ จสมปุ บาท (ธรรมทเี่ กดิ ขน้ึ เพราะอาศยั เหตปุ จั จยั ) สายเกดิ แลว้ ทรงเปลง่ อทุ าน ความว่า เม่ือธรรมปรากฏแก่พราหมณ์ ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เขาย่อมสิ้นความสงสัย เพราะรู้ ธรรมพร้อมทั้งต้นเหตุ ในเวลามัชฌิมยามแห่งราตรี ทรงพิจารณาปฏิจจสมุปบาทสายดับ แล้วทรงเปล่งอุทาน ความว่า เมื่อธรรมปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ เขาย่อมส้ิน ความสงสยั เพราะไดท้ ราบถึงความสน้ิ ไปแห่งปจั จัย ในเวลาปัจฉมิ ยามแหง่ ราตรี ทรงพิจารณา ปฏิจจสมุปบาท ทั้งโดยอนุโลม (ตามล�ำดับ) และโดยปฏิโลม (ย้อนลำ� ดับ) แล้วทรงเปล่งอุทาน ความว่า เมื่อธรรมปรากฏแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียรเพ่งอยู่ พราหมณ์น้ันย่อมก�ำจัดมาร พรอ้ มท้ังเสนาเสยี ได้ ดัง่ ดวงอาทติ ย์ท�ำทอ้ งฟ้าให้สวา่ งฉะนน้ั ทรงโตต้ อบกับพราหมณ์ท่ีชอบตวาดคน เมอื่ ครบ ๗ วนั แลว้ ทรงออกจากสมาธนิ น้ั เสดจ็ จากโคนไมโ้ พธิ ไปยงั ไมอ้ ชปาลนโิ ครธ (ตน้ ไทรทเ่ี ดก็ เลยี้ งแพะชอบมาพกั ) ประทบั นง่ั เสวยวมิ ตุ สิ ขุ ณ โคนไมน้ นั้ ตลอด ๗ วนั มพี ราหมณ์ ผู้ชอบตวาดคนมาเฝ้า กราบทูลถามถึงธรรมะที่ท�ำคนให้เป็นพราหมณ์ ทรงเปล่งอุทานเป็นใจ ความว่า ผู้ท่ีจะนับว่าเป็นพราหมณ์ คือผู้ลอยบาป ไม่มักตวาดคน ไม่มีกิเลสเหมือนน้�ำฝาด ส�ำรวมตน มคี วามรจู้ บเวท อย่จู บพรหมจรรย์แลว้ ไม่มคี วามพอง๑ (เย่อหย่งิ ) ทรงเปลง่ อุทานท่ตี น้ จกิ ครั้นครบ ๗ วันแล้ว ทรงออกจากสมาธิน้ัน เสด็จจากโคนไม้อชปาลนิโครธ ไปยัง ตน้ จกิ ประทบั นั่งเสวยวิมุตสิ ุข ณ โคนไมจ้ ิกนั้นตลอด ๗ วัน ได้เกดิ เมฆใหญ่ผดิ ฤดกู าล มฝี น ตกพร�ำเจือด้วยลมหนาวตลอด ๗ วัน พญานาคชื่อมุจลินท์มาวงด้วยขนดรอบพระกายของ พระผู้มพี ระภาค ๗ รอบ เพอ่ื ปอ้ งกันหนาว รอ้ น เหลอื บ ยุง เปน็ ต้น ทรงเปล่งอุทานปรารภสุข ๔ ประการ คือ สุขเพราะความสงัด สุขเพราะไม่เบียดเบียน สุขเพราะปราศจากราคะ ก้าวล่วง กามเสียได้ และประการสดุ ทา้ ย สุขอยา่ งยอด คือการนำ� ความถอื ตัวออกเสยี ได้ ๑ อรรถกถาแก้ว่า ความพองมอี ยู่ ๕ อยา่ ง คือพองเพราะราคะ โทสะ โมหะ มานะและทฏิ ฐิ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 298 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๔ มหาวัคค์ มหาขันธกะ 299 เหตุการณ์ท่ตี น้ เกตก์ ิว ันย ิปฎก ครั้นครบ ๗ วันแล้ว ทรงออกจากสมาธิน้ัน เสด็จจากโคนไม้จิก ไปยังไม้ราชายตนะ (ตน้ เกตก)์ ประทบั นง่ั เสวยวมิ ตุ ิสขุ ณ โคนไมเ้ กตกน์ ัน้ ตลอด ๗ วนั มีพ่อคา้ ๒ คนช่ือ ตปุสสะ กับภัลลิกะ เดินทางมาจากอุกกละชนบท ถวายข้าวสัตตุก้อนและสัตตุผง ทรงรับด้วยบาตร ท่ีท้าวจาตุมหาราชถวาย แล้วเสวยข้าวนั้น พ่อค้า ๒ คนปฏิญญาตนเป็นอุบาสก ถึงพระพุทธ พระธรรม เป็นสรณะ นับเป็นอุบาสกชุดแรกในโลก ท่ีเปล่งวาจาถึงรตนะ ๒ (คือพระพุทธ พระธรรม) เสดจ็ กลับไปตน้ ไทรอกี คร้ันครบ ๗ วันแล้ว ทรงออกจากสมาธิน้ัน เสด็จจากโคนไม้เกตก์ ไปยังต้นไทร ท่ีเดก็ เลีย้ งแพะชอบมาพัก (อชปาลนิโครธ) และประทบั ณ โคนไม้ไทรน้นั ทรงพิจารณาเหน็ วา่ ธรรมท่ีพระองค์ตรัสรู้ลึกซึ้ง ยากที่คนอ่ืนจะตรัสรู้ได้ ก็ทรงน้อมพระหฤทัยไปในทางที่จะไม่ แสดงธรรม พระพรหมมาอาราธนา ท้าวสหัมบดีพรหมทราบพระพุทธด�ำริ จึงมาเฝ้ากราบทูลอาราธนาให้ทรงแสดงธรรม อ้างเหตุผลว่า ผู้ท่ีมีกิเลสน้อย พอจะรู้พระธรรมได้มีอยู่ พระผู้มีพระภาคทรงพิจารณาสัตว์ เปรียบเทียบด้วยดอกบัว ๓ ชนิด คือท่ีอยู่ใต้น้�ำ เสมอน�้ำ โผล่พ้นน้�ำ อันเทียบด้วยบุคคล ๓ ชนิด (ที่พอจะตรัสรู้ได้ ส่วนประเภท ๔ คือดอกบัวท่ีไม่มีหวังจะโผล่ได้ เทียบด้วยบุคคล ผู้ไม่มีหวังจะตรัสรู้) จึงทรงตกลงพระหฤทัยท่ีจะแสดงธรรม ทรงปรารภอาฬารดาบส กาลามโคตร ก็ทรงทราบว่าถึงแก่กรรมเสีย ๗ วันแล้ว ทรงปรารภอุททกดาบส รามบุตร ก็ทรงทราบว่าถึงแก่กรรมเสียเมื่อวานน้ีเอง จึงตกลงพระหฤทัยเสด็จไปแสดงธรรมโปรดภิกษุ ปัญจวัคคีย์ (พวก ๕) ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ระหว่างทางทรงพบอุปกาชีวก ได้รับส่ัง โตต้ อบกับอาชีวกนั้น แตอ่ ปุ กะไม่เชอ่ื ทรงแสดงธรรมครั้งแรก (ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร มัชฌิมาปฏิปทา) เม่ือเสดจ็ ถึงป่าอิสปิ ตนมฤคทายวัน แขวงกรุงพาราณสแี ล้ว คร้ังแรกภิกษุปญั จวัคคีย์ แสดงอาการกระด้างกระเดื่อง แต่เมื่อทรงเตือนให้นึกถึงว่า เมื่อก่อนพระองค์ไม่เคยตรัสบอก เลยว่าตรัสรู้ บัดน้ีตรัสบอกแล้วจึงควรตั้งใจฟัง ก็พากันต้ังใจฟัง พระผู้มีพระภาคจึงทรง แสดงธมั มจกั กัปปวัตตนสูตร มีใจความสำ� คญั คอื PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 299 5/4/18 2:24 PM
300 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๑. ทรงช้ีทางท่ีผิด อันได้แก่กามสุขัลลิกานุโยค (การประกอบตนให้ชุ่มอยู่ด้วยกาม) และอตั ตกลิ มถานโุ ยค (การทรมานตนใหล้ ำ� บาก) วา่ เปน็ สว่ นสดุ ทบ่ี รรพชติ ไมค่ วร ด�ำเนนิ แล้วทรงแสดงมชั ฌมิ าปฏิปทา (ข้อปฏิบตั ิสายกลาง) ไดแ้ กม่ รรคมีองค์ ๘ วา่ พระองคต์ รสั รู้แลว้ เปน็ ไปเพ่ือพระนิพพาน ๒. ทรงแสดงอริยสัจจ์ ๔ คือ ทุกข์ เหตุให้ทุกข์เกิด ความดับทุกข์ ข้อปฏิบัติให้ถึง ความดบั ทกุ ข์ โดยละเอียด ๓. ทรงแสดงว่าทรงรู้ตัวอริยสัจจ์ทั้งสี่ ทรงรู้หน้าที่อันควรท�ำในอริยสัจจ์ทั้งส่ี และ ทรงรู้ว่าได้ทรงท�ำหน้าท่ีเสร็จแล้ว จึงทรงแน่พระหฤทัยว่าได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมา สัมโพธญิ าณแล้ว (อันแสดงว่าทรงปฏบิ ัติจนได้ผลด้วยพระองคเ์ องแล้ว) เมื่อจบพระธรรมเทศนา พระโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม๑ และได้ขอบวชก่อน ต่อมา พระวัปปะกับพระภัททิยะ สดับพระธรรมเทศนา ได้ดวงตาเห็นธรรมและได้ขอบวช ต่อมา พระมหานามะกับพระอัสสชิสดับพระธรรมเทศนาได้ดวงตาเห็นธรรม และได้ขอบวช เปน็ อันไดบ้ วชครบทั้งห้ารปู ทรงแสดงอนตั ตลกั ขณสูตร (ภกิ ษุปญั จวคั คีย์ ไดเ้ ป็นพระอรหนั ต)์ ต่อจากนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงแสดงอนัตตลักขณสูตรแก่ภิกษุปัญจวัคคีย์นั้น มใี จความสำ� คัญคอื ๑. รูป (ร่างกาย) เวทนา (ความรู้สึกสุข ทุกข์หรือเฉย ๆ) สัญญา (ความจ�ำได้ หมายรู้) สังขาร (ความคิดหรือเจตนา) และวิญญาณ (ความรู้อารมณ์ทางตา หู เป็นต้น) ไม่ใช่ตน ถ้าเป็นตนก็จะบังคับบัญชาให้เป็นอย่างน้ีไม่เป็นอย่างน้ันได้ เพราะไมใ่ ช่ตนจึงบงั คบั บัญชาไม่ได้ ๒. แลว้ ตรสั ถามให้ตอบเปน็ ขอ้ ๆ ไปวา่ ขนั ธ์ ๕ (มรี ูป เปน็ ตน้ นน้ั ) เทีย่ งหรือไมเ่ ที่ยง ตอบวา่ ไมเ่ ทย่ี ง สง่ิ ทไ่ี มเ่ ทย่ี ง เปน็ ทกุ ขห์ รอื สขุ ตอบวา่ เปน็ ทกุ ข์ สงิ่ ใดไมเ่ ทย่ี ง เป็นทุกข์ มคี วามแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรอื ท่จี ะตามเห็นว่า นัน่ ของเรา เราเป็นน่นั นัน่ เป็นตวั ตนของเรา ตอบว่า ไม่ควร ๓. ตรัสสรุปว่า เพราะเหตุน้ัน ควรเห็นด้วยปัญญาอันชอบว่า รูป เป็นต้น นั้น ทกุ ชนดิ ไมใ่ ชข่ องเรา เราไม่ไดเ้ ปน็ น่ัน น่ันไมใ่ ชต่ ัวตนของเรา ๑ เปน็ พระโสดาบัน คอื พระอรยิ บคุ คลชัน้ ตน้ ในพระพุทธศาสนา PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 300 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๔ มหาวัคค์ มหาขันธกะ 301 ๔. ตรัสแสดงผลว่า อริยสาวกผู้เห็นอย่างนี้ ย่อมเบ่ือหน่ายในรูป เป็นต้นน้ัน ิว ันย ิปฎก เม่ือเบื่อหน่ายก็คลายก�ำหนัด เพราะคลายก�ำหนัดจึงหลุดพ้น เมื่อหลุดพ้น ก็รู้ว่าหลุดพ้นแล้ว รู้ว่าสิ้นชาติ อยู่จบพรหมจรรย์ ท�ำหน้าที่เสร็จแล้ว ไม่ต้องท�ำ หนา้ ท่อี ะไรเพื่อความเป็นอย่างนอ้ี กี ภกิ ษปุ ญั จวคั คยี ม์ จี ติ หลดุ พน้ จากอาสวะ ไมถ่ อื มนั่ ดว้ ยอปุ าทาน ครงั้ นนั้ มพี ระอรหนั ต์ ในโลก ๖ องค์ (ทั้งพระพทุ ธเจ้า) แสดงธรรมโปรดยสกลุ บตุ รกบั ครอบครัว และมิตรสหาย (อนุปพุ พิกถา อุบาสก อุบาสิกา ชดุ แรก) ยสกลุ บุตรเบอ่ื หนา่ ยชีวิตครองเรอื น กลมุ้ ใจออกจากบา้ นไปยังปา่ อิสิปตนมคิ ทายวัน๑ ในเวลาเช้ามืด ได้พบพระผู้มีพระภาค สดับพระธรรมเทศนาได้ดวงตาเห็นธรรม เศรษฐีผู้เป็น บิดาออกตาม พบพระผู้มีพระภาคได้สดับพระธรรมเทศนาได้ดวงตาเห็นธรรม ประกาศตน เป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัย (พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) เป็นสรณะตลอดชีวิต นับเป็น อุบาสกคนแรกที่ถึงพระรัตนตรัย ในขณะที่ฟังพระธรรมเทศนาท่ีแสดงแก่เศรษฐีผู้เป็นบิดา ยสกุลบุตรก็ได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ และขอบวช ครั้งน้ันมีพระอรหันต์ในโลก ๗ องค์ รุ่งเช้าพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยพระยสะเสด็จไปฉันที่เรือนเศรษฐีผู้บิดา ทรงแสดงธรรม โปรดมารดาและภรยิ าของพระยสะใหไ้ ดด้ วงตาเหน็ ธรรม ประกาศตนเปน็ อบุ าสกิ าถงึ พระรตั นตรยั ตลอดชวี ติ นบั เปน็ อบุ าสกิ าชุดแรกในโลก คร้ันแลว้ มเี พอ่ื นของพระยสะ ๔ คน กับอกี ๕๐ คน ตามล�ำดับ ได้มาฟังพระธรรมเทศนา ส�ำเร็จเปน็ พระอรหันต์ จึงมพี ระอรหนั ตใ์ นโลก ๖๑ องค์ ทรงส่งพระสาวกไปประกาศพระศาสนา พระผู้มีพระภาคจึงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายส่งไปประกาศพระศาสนา โดยให้ไป ทิศทางละ ๑ รูป อย่าไปรวมกัน ๒ รูป ส่วนพระองค์ตรัสว่า จะเสด็จไปแสดงธรรม ณ ตำ� บลอรุ เุ วลา เสนานิคม ทรงอนุญาตการบรรพชาอุปสมบท ภิกษทุ ่ีไปเผยแผพ่ ระศาสนาเหลา่ น้ัน นำ� กลุ บตุ รท่ีประสงค์จะบรรพชาอปุ สมบทมาเฝา้ เพื่อให้พระผู้มีพระภาคทรงบรรพชาอุปสมบทให้ ได้รับความล�ำบาก จึงทรงเรียกประชุมสงฆ์ อนญุ าตใหภ้ ิกษเุ หลา่ นนั้ ดำ� เนินการได้เอง โดยใหผ้ ู้ประสงค์จะบวชโกนผม ปลงหนวด นุง่ ห่มผ้า ๑ ค�ำว่า มคิ ทายวัน เป็นคำ� บาลี เขียนแบบสันสกฤตเปน็ มฤคทายวนั - ม.พ.ป. PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 301 5/4/18 2:24 PM
302 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ย้อมฝาด ท�ำผ้าห่มเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ไหว้เท้าภิกษุทั้งหลาย เปล่งวาจาถึงพระรัตนตรัยเป็น สรณะ ครบ ๓ คร้ัง กเ็ ปน็ อนั ไดบ้ วชดว้ ยการถงึ สรณะ ๓ (ติสรณคมนปู สัมปทา) ตรัสเร่ืองความหลดุ พ้นอยา่ งยอดเยย่ี ม เม่ือพระผู้มีพระภาคทรงจ�ำพรรษาเสร็จแล้ว ตรัสสอนภิกษุท้ังหลายว่า เราได้บรรลุ ได้ท�ำให้แจ้งแล้วซ่ึงความหลุดพ้นอันยอดเย่ียม (อนุตตรวิมุติ) ด้วยการไตร่ตรองโดยแยบคาย (โยนิโส มนสิการ) ด้วยความเพียรชอบโดยแยบคาย (โยนิโส สัมมัปปธาน) แม้ท่านทั้งหลาย ก็ได้บรรลุ ได้ท�ำให้แจ้งแล้วซ่ึงความหลุดพ้นอันยอดเยี่ยม ด้วยการไตร่ตรองอันแยบคาย และดว้ ยความเพยี รชอบอนั แยบคายเช่นเดยี วกัน โปรดสหาย (ภัททวคั คยี กุมาร) ๓๐ คน คร้ันประทับ ณ กรุงพาราณสีพอสมควรแล้ว ก็เสด็จไปยังต�ำบลอุรุเวลา ระหว่างทาง ทรงแวะพัก ณ โคนไมแ้ หง่ หนง่ึ ไดแ้ สดงธรรมโปรดภทั ทวัคคียกุมาร ซง่ึ เปน็ สหายกนั ๓๐ คน ให้ได้ดวงตาเห็นธรรม แล้วขอบวช พระองค์ก็ได้ประทานการบวชด้วย เอหิภิกขุอุปสัมปทา (คอื ตรัสว่า จงเป็นภิกษุมาเถดิ ) โปรดชฎลิ ๓ พน่ี อ้ งและบรวิ าร (อุรุเวลากัสสป นทีกสั สป และคยากสั สป) คร้ันถึงต�ำบลอุรุเวลา ซึ่งชฎิล ๓ พ่ีน้องอาศัยอยู่ คืออุรุเวลากัสสป นทีกัสสป และคยากสั สป แตล่ ะคนมบี ริวาร ๕๐๐ ๓๐๐ และ ๒๐๐ โดยล�ำดบั ในชั้นแรกไดท้ รงขอพกั ใน เขตอาศรมของอรุ เุ วลากสั สป ไดท้ รงแสดงปาฏหิ ารยิ ห์ ลายอยา่ ง จนอรุ เุ วลากสั สปคลายทฏิ ฐมิ านะ ขอบวชในพระพุทธศาสนา เม่ือพระผู้มีพระภาคตรัสให้บอกลาบริวารก่อน บริวารก็ตกใจ จะบวชด้วย จึงลอยบริขารลงในน้�ำ ขอบวชร่วมกัน ซึ่งพระผู้มีพระภาคก็ประทานการบวชด้วย เอหภิ กิ ขอุ ุปสัมปทา (คอื ตรสั ว่า จงเป็นภกิ ษุมาเถิด) นทีกัสสป น้องคนที่สองเห็นบริขารลอยมาตามกระแสน้�ำ คิดว่าเกิดอันตรายแก่พี่ ของตน แต่เม่ือสอบถาม ทราบความจึงลอยบริขารของตนและบริวารขอบวช ท�ำนองเดียวกับ พช่ี าย และคยากัสสปเห็นบริขารลอยมากส็ งสยั เม่อื สอบถาม ทราบความกข็ อบวช พร้อมดว้ ย บริวารเชน่ เดียวกัน ทรงแสดงอาทิตตปรยิ ายสูตร เม่ือประทับ ณ ต�ำบลอุรุเวลาพอสมควรแล้ว ก็เสด็จไปยังต�ำบลคยาสีสะ พร้อมด้วย ภกิ ษสุ งฆห์ มใู่ หญ่ ผเู้ คยเปน็ ชฎลิ มาก่อน ณ ทีน่ ้ันทรงแสดงอาทติ ตปรยิ ายสตู ร มใี จความวา่ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 302 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๔ มหาวัคค์ มหาขันธกะ 303 ๑. ตา หู จมกู ล้ิน กาย ใจ (ซึ่งเปน็ อายตนะภายใน) เปน็ ของร้อน ิว ันย ิปฎก รูป เสยี ง กลิน่ รส โผฏฐพั พะ คอื สิง่ ที่ถูกตอ้ งได้ดว้ ยกาย ธรรมะ คือส่ิงทีร่ ูไ้ ด้ด้วยใจ (ซึ่งเป็นอายตนะภายนอก) เปน็ ของร้อน วญิ ญาณ คือความร้อู ารมณท์ างตา หู เปน็ ต้น เปน็ ของรอ้ น ผสั สะ คือความกระทบอารมณท์ างตา เป็นตน้ เป็นของรอ้ น เวทนา คอื ความเสวยอารมณเ์ ปน็ สขุ ทกุ ข์ หรอื ไมท่ กุ ขไ์ มส่ ขุ ซง่ึ เกดิ จากสมั ผสั ทางตา เป็นตน้ เป็นของรอ้ น รอ้ น เพราะไฟคือราคะ โทสะ โมหะ รอ้ น เพราะความเกิด ความแก่ ความตาย ความเศร้าโศก ความพิไรร�ำพัน ความไม่สบายกาย ความไมส่ บายใจ และความขดั ใจ ๒. เมื่ออรยิ สาวกผ้ไู ดส้ ดับ เหน็ ได้เช่นน้ี ยอ่ มเบื่อหน่ายในตา หู เปน็ ตน้ (ซึ่งเปน็ อายตนะภายใน) ย่อมเบ่ือหนา่ ยในรูป เสยี ง เป็นตน้ (ซึ่งเปน็ อายตนะภายนอก) ย่อมเบื่อหน่ายในวญิ ญาณ มคี วามรู้อารมณ์ ทางตา เปน็ ต้น ยอ่ มเบอ่ื หน่ายในผสั สะ มคี วามกระทบอารมณ์ทางตา เป็นตน้ ยอ่ มเบ่อื หนา่ ยในเวทนา มีความเสวยอารมณ์ทีเ่ กดิ เพราะจกั ขสุ มั ผสั เปน็ ตน้ เม่ือเบอื่ หน่ายกค็ ลายก�ำหนดั เพราะคลายกำ� หนัดยอ่ มหลดุ พน้ เมือ่ พน้ ก็มีญาณรูว้ า่ พน้ แล้ว รูว้ ่าส้ินความเกิด ไดอ้ ยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ไดท้ ำ� หน้าท่เี สรจ็ แล้ว ไม่มกี จิ อื่นทจี่ ะพงึ ทำ� เพอ่ื ความเป็นอย่างน้อี กี ผลของการแสดงพระธรรมเทศนาน้ี ภิกษุพันรูปมีจิตพ้นจากอาสวะ ไม่ถือมั่นด้วย อปุ าทาน โปรดพระเจ้าพมิ พสิ าร (ประทานพระพุทธานญุ าตใหม้ ีวดั ) เม่ือประทับ ณ ต�ำบลคยาสีสะพอสมควรแล้ว จึงเสด็จไปสู่กรุงราชคฤห์ พร้อมด้วย ภิกษุผู้เคยเป็นชฎิลพันรูป ประทับอยู่ ณ เจดีย์ซึ่งประดิษฐานไว้ดีแล้ว ณ สวนตาลหนุ่ม พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพแคว้นมคธ พร้อมด้วยพราหมณ์คฤหบดีชาวมคธ จ�ำนวน ๑๒ นหุต๑ ๑ นหตุ หน่ึง เทา่ กบั หน่ึงหม่ืน PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 303 5/4/18 2:24 PM
304 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ได้สดับกิตติศัพท์ของพระผู้มีพระภาค จึงเสด็จไปและไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ในช้ันแรก พระผู้มีพระภาคทรงให้อุรุเวลากัสสปประกาศความที่ตนละเลิกลัทธิเดิมมาขอบวชว่ามีเหตุผล อย่างไร เพื่อท�ำลายทิฏฐิมานะของบุคคลบางคนก่อน แล้วจึงทรงแสดงอนุปุพพิกถา (แสดง เร่ืองทาน ศีล สวรรค์ โทษของกามและอานิสงส์ของการออกจากกามโดยล�ำดับ) แล้วจึงทรง แสดงอริยสัจจ์ ๔ พระเจ้าพิมพิสาร พร้อมท้ังพราหมณ์คฤหบดี ๑๑ นหุต ได้ดวงตาเห็นธรรม (เปน็ โสดาบนั บุคคล) พระเจ้าพิมพิสารกราบทูลในการที่ทรงสมพระราชประสงค์ ๕ ประการ คือ ขอให้ได้ อภิเษกในราชสมบัติ ขอให้พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสู่แว่นแคว้น ขอให้ได้เข้าไปน่ังใกล้ ขอให้พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมและขอให้ได้รู้ธรรมะของพระผู้มีพระภาค ครั้นแล้ว กราบทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนา ประกาศพระองค์เป็นอุบาสกถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะ ตลอดพระชนมชีพ แล้วทรงอาราธนาพระผู้มีพระภาค พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์เพ่ือเสวยและฉัน ในวันรุง่ ขึ้น ในวันรุ่งขึ้นท่ีพระผู้มีพระภาคเสด็จไปเสวย ณ ราชนิเวศน์พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ เม่ืออังคาส (เล้ียงดู) เสร็จแล้ว พระเจ้าพิมพิสารได้ทรงหล่ังน้�ำจากพระเต้าทอง ถวายเวฬุวัน ป่าไผ่แด่พระสงฆ์มีพระพุทธเจ้าทรงเป็นประมุข พระผู้มีพระภาคทรงรับแล้วเสด็จกลับ ทรงปรารภเหตุน้นั จึงประทานพระพทุ ธานุญาตให้มอี าราม (คือวดั ) ได้ สารบิ ุตร โมคคัลลานะ ออกบวช สมัยน้ัน สัญชัยปริพพาชกอาศัยอยู่ ณ กรุงราชคฤห์ พร้อมด้วยบริษัทปริพพาชก หมู่ใหญ่ จ�ำนวน ๒๕๐ คน และสมัยนั้น สาริบุตรและโมคคัลลานะประพฤติพรหมจรรย์ ในสำ� นกั สญั ชยั ปรพิ พาชก ตา่ งทำ� กตกิ ากนั วา่ ใครไดบ้ รรลอุ มตธรรมกอ่ น จงบอกแกอ่ กี คนหนง่ึ สารบิ ตุ รไดเ้ หน็ พระอสั สชเิ ขา้ ไปสกู่ รงุ ราชคฤหเ์ พอ่ื บณิ ฑบาต มคี วามเลอ่ื มใสในความสงบเสงยี่ ม เรียบร้อยของท่าน จึงรอจนได้โอกาสก็เข้าไปถามถึงหลักธรรมในศาสนาที่ท่านบวช ท่านกล่าว หลักธรรมเพียงย่อ ๆ ให้ฟังว่า ธรรมเหล่าใดเกิดแต่เหตุ พระตถาคตทรงแสดงเหตุแห่งธรรม เหล่านน้ั และความดับแหง่ ธรรมเหลา่ นน้ั สารบิ ตุ รไดฟ้ งั กไ็ ดด้ วงตาเหน็ ธรรม แลว้ นำ� มาเลา่ ใหโ้ มคคลั ลานะฟงั โมคคลั ลานะกไ็ ด้ ดวงตาเห็นธรรม จึงพากันไปลาปริพพาชก ๒๕๐ คน เพ่ือจะไปบวชในส�ำนักพระบรมศาสดา แต่ปริพพาชกเหล่าน้ันขอไปด้วย จึงพร้อมกันไปลาสัญชัยผู้อาจารย์ สัญชัยขอให้อยู่ช่วยกัน PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 304 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๔ มหาวัคค์ มหาขันธกะ 305 บริหารหมู่คณะถึง ๓ ครั้ง แต่สาริบุตร โมคคัลลานะไม่ยอม คงลาไป พร้อมท้ังปริพพาชก ิว ันย ิปฎก อกี ๒๕๐ คน สญั ชัยเสียใจ ถึงอาเจียนเปน็ โลหิต เมอื่ ไปเฝา้ ทลู ขอบวชในพระพทุ ธศาสนาตอ่ พระผมู้ พี ระภาคกไ็ ดร้ บั พระพทุ ธานญุ าตให้ เป็นภกิ ษุ ด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทา ครั้งนั้นคนส�ำคัญชาวมคธออกบวชประพฤติพรหมจรรย์ในพระผู้มีพระภาคเป็น อันมาก คนท้ังหลายจึงพากันติเตียน ว่าเป็นปฏิปทาที่ท�ำสกุลวงศ์ให้ขาดสูญ พระผู้มีพระภาค จึงทรงแนะน�ำให้ภิกษุท้ังหลายโต้ตอบว่าพระองค์แนะน�ำโดยธรรม มิใช่โดยอธรรม เม่ือมนุษย์ ท้ังหลายจ�ำนนต่อค�ำว่า ”ธรรม„ และหาทางจับผิดท่ีว่ามีอะไรเป็น ”อธรรม„ ไม่ได้ ก็พากันเลิก ตเิ ตยี นภายใน ๗ วนั ทรงอนุญาตใหม้ ีอุปัชฌายะ สมัยน้ัน ภิกษุทั้งหลายไม่มีอุปัชฌายะ ไม่มีผู้ให้โอวาทสั่งสอน ก็นุ่งห่มไม่เรียบร้อย มอี ากปั ปกริ ยิ าไมเ่ หมาะสมเทย่ี วไปบณิ ฑบาต เขากำ� ลงั บรโิ ภคอยกู่ ย็ นื่ บาตรเขา้ ไปเหนอื ของบรโิ ภค ของขบเคยี้ ว เปน็ ตน้ บา้ งกข็ อแกงบา้ ง ขอขา้ วสกุ บา้ ง ดว้ ยตนเองมาฉนั บา้ งกส็ ง่ เสยี งสงู เสยี งดงั ในโรงอาหาร เป็นท่ีติเตียน พระผู้มีพระภาคทรงปรารภเหตุนี้ จึงทรงอนุญาตให้มีอุปัชฌายะ ใหอ้ ปุ ชั ฌายะตง้ั จติ ในสทั ธวิ หิ ารกิ เหมอื นบตุ ร ใหส้ ทั ธวิ หิ ารกิ ตง้ั จติ ในอปุ ชั ฌายะเหมอื นบดิ า ทรง สอนวธิ ีถอื อุปชั ฌายะซ่ึงตอ้ งเปล่งวาจาดว้ ยกนั ทง้ั สองฝ่าย (อุปัชฌายะ แปลตามศัพท์วา่ ผสู้ อน หมายถงึ ผ้บู วชใหแ้ ละสงั่ สอน สัทธิวหิ าริก แปลวา่ ผู้อยู่ด้วย หมายถึงศิษยท์ ีอ่ ปุ ัชฌายะบวชให)้ ทรงบญั ญัติอุปชั ฌายวตั ร คร้ันแล้วทรงบญั ญัตอิ ปุ ชั ฌายวัตร คือขอ้ ที่สัทธวิ หิ าริกจะพงึ ปฏบิ ัตชิ อบในอปุ ัชฌายะ มีการรบั ใช้ การปฏิบัติตนตอ่ ท่าน การช่วยจดั ส่งิ ต่าง ๆ ให้ทา่ น ประมาณไม่น้อยกวา่ ๑๐๐ ข้อ ทรงบัญญัตสิ ทั ธิวิหารกิ วัตร คร้ันแล้วทรงบัญญัติสัทธิวิหาริกวัตร คือข้อท่ีอุปัชฌายะจะพึงปฏิบัติชอบใน สทั ธวิ ิหาริก มีการสั่งสอนการสงเคราะหด์ ้วยบาตร จีวร การพยาบาลเมือ่ ปว่ ยไข้ การทำ� อะไรตอ่ อะไรใหไ้ ม่นอ้ ยกวา่ ๑๐๐ ข้อเชน่ กัน ทรงปรับอาบตั ิ อนญุ าตให้ประณามและขอขมา ครัง้ น้นั สทั ธวิ หิ ารกิ ไมป่ ฏิบัติชอบในอปุ ชั ฌายะ เปน็ ทต่ี ิเตียน จึงทรงบัญญัตพิ ระวินัย ปรับอาบัติทุกกฏแก่สทั ธวิ หิ ารกิ ผไู้ ม่ปฏิบตั ชิ อบในอุปัชฌายะ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 305 5/4/18 2:24 PM
306 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ แม้เช่นนั้น ก็ยังมีสิทธิวิหาริกท่ีไม่ปฏิบัติชอบ จึงทรงอนุญาตให้อุปัชฌายะประณาม คือไล่สัทธิวิหารกิ ดว้ ยแจ้งใหท้ ราบด้วยกายหรือวาจาได้ สัทธิวิหาริกที่ถูกไล่แล้ว ไม่ขอขมา จึงทรงอนุญาตให้ขอขมาและ ปรับอาบัติทุกกฏ แกผ่ ไู้ ม่ขอขมา สัทธิวิหาริกขอขมาแล้ว อุปัชฌายะไม่ยอมยกโทษให้ จึงทรงอนุญาตให้อุปัชฌายะ ยกโทษให้ อปุ ชั ฌายะไมย่ กโทษใหก้ ม็ ี สทั ธวิ หิ ารกิ จงึ จากไปบา้ ง สกึ ไปบา้ ง ไปเขา้ รตี เดยี รถยี บ์ า้ ง ทรงทราบ จึงทรงบัญญัติพระวินัย ปรับอาบัติทุกกฏแก่อุปัชฌายะที่สัทธิวิหาริกขอขมาแล้ว ไมย่ อมยกโทษให้ ทรงวางวิธีประณามใหร้ ดั กมุ สมยั นนั้ อปุ ชั ฌายะประณาม (ขบั ไล)่ สทั ธวิ หิ ารกิ ทป่ี ฏบิ ตั ชิ อบ ไมป่ ระณามสทั ธวิ หิ ารกิ ท่ีไม่ปฏิบัติชอบ ทรงทราบ จึงทรงบัญญัติว่า สัทธิวิหาริกที่ปฏิบัติชอบ ไม่ควรประณาม ผู้ใดประณาม ผู้น้ันต้องอาบัติทุกกฏ สัทธิวิหาริกที่ปฏิบัติไม่ชอบ จะไม่ประณามไม่ได้ ถ้าไม่ ประณาม ต้องอาบตั ิทกุ กฏ ครั้นแล้วจึงทรงแสดงองค์ ๕ ของสัทธิวิหาริกท่ีควรประณาม มีขาดความละอาย ขาดความเคารพ เปน็ ตน้ แลว้ ทรงแสดงองค์ ๕ ของสทั ธวิ หิ ารกิ ทไี่ มค่ วรประณาม มปี ระกอบดว้ ย ความละอาย ความเคารพ เป็นต้น สัทธิวิหาริกที่ควรประณาม แต่ไม่ประณามก็มีโทษ ถ้าประณามก็ไม่มีโทษ ส่วนสัทธิวิหาริกที่ไม่ควรประณาม ถ้าประณามก็มีโทษ ถ้าไม่ประณาม ก็ไม่มีโทษ ทรงอนญุ าตการบวชเป็นการสงฆ์ พราหมณ์ผู้หนึ่งช่ือราธะ ขอบวช ไม่มีภิกษุรูปใดบวชให้ พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า ใครระลึกถึงอุปการะของพราหมณ์น้ีได้บ้าง พระสาริบุตรตอบว่า ท่านระลึกได้ ว่าพราหมณ์ผู้น้ีเคยถวายอาหารแก่ท่านทัพพีหนึ่ง พระผู้มีพระภาคจึงสรรเสริญที่กตัญญูและ มอบให้พระสาริบุตรบวชให้พราหมณ์น้ัน โดยทรงแสดงวิธีบวชเป็นการสงฆ์ท่ีเรียกว่า ญตั ตจิ ตตุ ถกมั มอปุ สมั ปทา (การบวชดว้ ยกรรม มกี ารเสนอญตั ตเิ ปน็ ท่ี ๔ คอื เปน็ การเสนอญตั ติ ขออนุมัติสงฆ์ ๑ คร้ัง เป็นการสวดประกาศฟังมติ ว่าจะคัดค้านหรือไม่อีก ๓ คร้ัง) ภายหลัง มีเหตุเกิดข้ึน คือผู้บวชประพฤติไม่เรียบร้อย และอ้างว่าไม่ได้ขอบวช พระบวชให้เอง จึงทรง อนญุ าตใหบ้ วชเฉพาะแกผ่ ูข้ อบวช PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 306 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๔ มหาวัคค์ มหาขันธกะ 307 ผู้บวชเพราะเห็นแกท่ อ้ ง ิว ันย ิปฎก พราหมณ์ผู้หนึ่งเห็นว่าบวชแล้วกินอ่ิมนอนหลับ จึงออกบวช ครั้นอาหารที่เขาถวาย ประจ�ำหมดวาระ ภิกษทุ ัง้ หลายจึงชวนออกบณิ ฑบาต ก็กล่าววา่ จะสึก เพราะคดิ วา่ จะบวชโดย ไม่ต้องบิณฑบาต มีผู้ติเตียนว่าบวชเพราะเห็นแก่ท้อง พระผู้มีพระภาคจึงทรงอนุญาตให้ บอกนิสสัย ๔ แก่ผู้บวชใหม่ (นิสสัย ๔ คือปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิต อันได้แก่อาหาร เครอื่ งนงุ่ หม่ ทอ่ี ยอู่ าศยั ยารกั ษาโรค เพอื่ ซอ้ มความเขา้ ใจกนั กอ่ นวา่ แมไ้ มฟ่ มุ่ เฟอื ย แตเ่ ปน็ ของ พออาศัยด�ำรงชีพอยู่ได้ก็ต้องอดทน เช่น อาหารที่เที่ยวบิณฑบาตได้มา ผ้าที่เก็บตกมา ปะติดปะต่อพอท�ำนุ่งห่ม ที่อยู่อ่ืนไม่มีก็ใช้โคนไม้ ยาอื่นไม่มีก็ใช้ยาดองด้วยน้�ำมูตรเน่า ซงึ่ ปจั จบุ ันพบกนั ว่าเปน็ ยาปฏิชีวนะ) ขอ้ บญั ญัติเพมิ่ เตมิ ในการบวช ๑. ภิกษุบอกนิสสัยก่อน ผู้บวชไม่พอใจ จึงทรงห้ามบอกนิสสัยก่อน แต่ให้บอก เม่ือบวชเสร็จแล้วในเวลาตดิ ๆ กนั ทรงปรับอาบัติทกุ กฏแกภ่ ิกษผุ ู้บอกนิสสัยก่อน ๒. ภิกษุที่ร่วมในการบวชเป็นคณะ คือ ๒ รูปบ้าง ๓ รูปบ้าง ๔ รูปบ้าง ทรงทราบ จึงทรงบัญญัติพระวินัย ปรับอาบัติทุกกฏแก่ภิกษุท่ีให้บวชมีคณะต่�ำกว่า ๑๐ คณะครบ ๑๐ หรือเกนิ ๑๐ ใหบ้ วชได้ ๓. ภิกษุมีพรรษา ๑ บ้าง ๒ บ้าง ให้สัทธิวิหาริกบวช แม้พระอุปเสนะ วังคันตบุตร มีพรรษาเพียง ๑ ก็ให้สัทธิวิหาริกอุปสมบท จึงทรงบัญญัติพระวินัย ปรับอาบัติแก่ภิกษุผู้มี พรรษาหยอ่ นกวา่ ๑๐ ท่บี วชให้สัทธิวหิ ารกิ พรรษาครบ ๑๐ หรอื เกนิ ๑๐ ใหบ้ วชได้ ๔. ภิกษุมีพรรษาครบ ๑๐ แต่เป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด ให้สัทธิวิหาริกบวช ปรากฏเป็น ผ้ดู อ้ ยกว่าสัทธิวิหาริก จงึ ทรงอนุญาตให้ภิกษทุ ่ฉี ลาด สามารถ ผมู้ ีพรรษาครบ ๑๐ หรอื เกนิ ๑๐ ให้สทั ธิวหิ ารกิ บวชได้ ทรงอนุญาตให้มอี าจารย์ สมัยนั้น อุปชั ฌายะทัง้ หลายเดนิ ทางไปทีอ่ ่นื บา้ ง สึกไปบา้ ง ถงึ มรณภาพบา้ ง ไปเข้ารีต เสยี บา้ ง ภกิ ษทุ งั้ หลายไมม่ ใี ครใหโ้ อวาทสง่ั สอน กน็ งุ่ หม่ ไมเ่ รยี บรอ้ ย ประกอบดว้ ยอากปั ปกริ ยิ า อนั ไมส่ มควรตา่ ง ๆ พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงอนญุ าตใหม้ อี าจารย์ ใหอ้ าจารยต์ ง้ั จติ ในอนั เตวาสกิ (ผอู้ ยใู่ ตป้ กครอง) เหมอื นบตุ ร และใหอ้ นั เตวาสกิ ตง้ั จติ ในอาจารยเ์ หมอื นบดิ า แลว้ ทรงแสดงวธิ ี ถือนสิ สัย (การขออาศยั อยู่ใต้ปกครอง) ของอนั เตวาสกิ และคำ� กลา่ วตอบของอาจารย์ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 307 5/4/18 2:24 PM
308 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ อาจรยิ วัตรและอันเตวาสกิ วัตร ครั้นแล้วทรงแสดงวัตรที่อันเตวาสิกคือผู้อยู่ใต้ปกครอง จะพึงปฏิบัติต่ออาจารย์ และวัตรที่อาจารย์จะพึงปฏิบัติต่ออันเตวาสิก ถ้อยทีปฏิบัติชอบต่อกัน ไม่น้อยกว่าฝ่าย ละ ๑๐๐ ขอ้ การประณาม การขอขมา การยกโทษ มีอันเตวาสิกไม่ปฏิบัติชอบในอาจารย์ จึงทรงอนุญาตให้มีการประณาม (ไล่) การ ขอขมา การยกโทษให้ในท�ำนองเดียวกับเร่ืองอุปัชฌายะและสัทธิวิหาริก แล้วทรงแสดงผู้ ประกอบด้วยองค์ ๕ ที่ควรประณามและไม่ควรประณาม ตลอดจนให้อาจารย์ที่มีพรรษา ครบ ๑๐ หรอื เกินกวา่ ๑๐ ทเี่ ป็นผ้ฉู ลาด สามารถ จงึ ใหน้ สิ สยั (รับผู้อ่ืนอย่ใู ตป้ กครอง) ได้ นิสสยั ระงบั จากอุปชั ฌายะและอาจารย์ สมยั นน้ั อปุ ชั ฌายะและอาจารยเ์ ดนิ ทางไปทอ่ี น่ื บา้ ง สกึ ไปบา้ ง เปน็ ตน้ พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงแสดงลกั ษณะ ๕ ประการ ทน่ี สิ สยั (การอยใู่ ตป้ กครอง) ระงบั จากอปุ ชั ฌายะ คอื อปุ ชั ฌายะ (๑) หลีกไปที่อื่น (๒) สึก (๓) ถึงมรณภาพ (๔) เข้ารีตเดียรถีย์ และ (๕) อุปัชฌายะมีค�ำส่ัง (เชน่ สง่ั ประณาม คอื ไลไ่ มใ่ หอ้ ยใู่ นปกครอง) ครนั้ แลว้ ทรงแสดงลกั ษณะ ๖ ประการทน่ี สิ สยั ระงบั จากอาจารย์ คือ ๕ ข้อแรกเหมือนกับของอุปัชฌายะ ส่วนข้อที่ ๖ เมื่ออันเตวาสิกพบเข้ากับ อปุ ัชฌายะ (คอื เม่อื พบกับผ้มู สี ิทธิปกครองอนั สงู กว่า การอยู่ใต้ปกครองของอาจารยก์ ็ระงับไป) คณุ สมบัติของอุปชั ฌายะ ๕ อยา่ ง พระผมู้ พี ระภาคไดท้ รงแสดงการขาดคณุ สมบตั ิ ๕ อยา่ งและการประกอบดว้ ยคณุ สมบตั ิ ๕ อย่างของภิกษุ ท่ีท�ำให้เป็นผู้ไม่ควรให้อุปสมบท ไม่ควรให้นิสสัย ไม่ควรมีสามเณรรับใช้ รวม ๑๖ หมวด เป็นหมวดขาดคุณสมบัติ ๕ อย่างในลักษณะต่าง ๆ กัน รวม ๘ ประเภท หรอื ๘ หมวด หมวดประกอบด้วยคณุ สมบตั ิ ๕ อย่างในลักษณะต่าง ๆ กนั รวม ๘ ประเภท หรือ ๘ หมวด (การมีคุณสมบัติ หรือขาดคุณสมบัติดังกล่าวน้ี โปรดดูท่ีแปลไว้อย่าง พิสดารแล้ว หน้า ๙๘ - ๑๐๑ เพียงแต่ตัดข้อที่ ๖ ออกทุกข้อ และการขาดคุณสมบัติก็คือ ไมม่ ีคณุ สมบตั ติ ามทีแ่ ปลไว้นัน้ ) คณุ สมบตั ขิ องอุปชั ฌายะ ๖ อย่าง ครั้นแล้วทรงแสดงการขาดคุณสมบัติ และการประกอบด้วยคุณสมบัติ ๖ อย่างใน ลักษณะต่าง ๆ กนั ฝา่ ยละ ๘ หมวด รวม ๒ ฝา่ ยเป็น ๑๖ หมวด ของภกิ ษุ ว่าควรใหอ้ ุปสมบท ควรใหน้ สิ สยั และควรมสี ามเณรรบั ใชห้ รอื ไม่ ดงั ทแี่ ปลไวแ้ ลว้ ในหนา้ ๙๘ - ๑๐๑ (มขี อ้ นา่ สงั เกต ว่า ๕ ข้อ หรือ ๖ ข้อนั้นต่างกันที่ข้อสุดท้าย คือมีพรรษาครบ ๑๐ หรือเกิน ๑๐ คือใน คุณสมบัติ ๕ อย่างไมม่ ีขอ้ ก�ำหนดเรื่องพรรษา ถ้าเติมข้อกำ� หนดเร่ืองพรรษาก็เปน็ ๖ อย่าง) PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 308 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๔ มหาวัคค์ มหาขันธกะ 309 ในตอนทา้ ยไดส้ รปู ถงึ คณุ สมบตั ิ ๕ อนั มี ๑๖ หมวดและคณุ สมบตั ิ ๖ อนั มี ๑๖ หมวด๑ ิว ันย ิปฎก เพือ่ กำ� หนดงา่ ย ข้อปฏบิ ัตติ อ่ ผ้เู คยเป็นเดียรถีย์ มีเหตุการณ์เกิดข้ึนเกี่ยวกับผู้บวชแล้ว ไปเข้ารีตเป็นเดียรถีย์ พระผู้มีพระภาคจึง ตรัสว่า ผู้เคยเป็นเดียรถีย์เข้ามาบวช อุปัชฌายะว่ากล่าวโดยธรรม กลับคัดค้านแล้วจากไปเข้า รตี เดยี รถีย์ คร้นั แล้วขอเข้ามาบวชอีก ไม่ควรบวชให้ ส่วนผู้ที่เคยเป็นเดียรถีย์ประสงค์จะบรรพชาอุปสมบทในพระธรรมวินัยนี้ จะต้องได้ รบั การอบรม (ปริวาส) ๔ เดอื น คอื ให้โกนผม ปลงหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ท�ำผา้ หม่ เฉวยี งบ่า ขา้ งหนงึ่ ไหวเ้ ทา้ ภกิ ษทุ ง้ั หลาย เปลง่ วาจาถงึ พระรตั นตรยั ๓ จบ แลว้ ใหภ้ กิ ษรุ ปู หนง่ึ สวดประกาศ ขอให้สงฆ์ให้ปริวาส (การอบรม) ๔ เดือน เมื่อไม่มีผู้ใดคัดค้านจึงส�ำเร็จไปขั้นหนึ่ง ในระหว่าง ๔ เดือน ถา้ ประพฤติตนไม่เรยี บร้อย ไม่เปน็ ท่ีพอใจ กไ็ ม่ควรบวชให้ ถา้ ประพฤติตนเรียบรอ้ ย เปน็ ทน่ี า่ พอใจ จงึ บวชให้ อนง่ึ ไดป้ ระทานขอ้ ก�ำหนดพิเศษแกพ่ ระญาตผิ เู้ กิดในศากยสกลุ ถา้ เคยเปน็ เดียรถีย์ มาก่อน แลว้ มาขอบวช ใหบ้ วชให้เลย ไมต่ ้องรบั การอบรม ๔ เดือน หา้ มบวชให้คนเป็นโรค ๕ ชนดิ สมัยนั้น มีโรค ๕ ชนิดเกิดข้ึนมากในแคว้นมคธ คือโรคเร้ือน โรคฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ และโรคลมบ้าหมู๒ มนุษย์ทั้งหลายท่ีเป็นโรคเหล่าน้ี ก็พากันไปหาหมอชีวกเพ่ือ ให้ชว่ ยรกั ษาให้ หมอชีวกไม่รบั รักษา อ้างวา่ มภี าระต้องรกั ษาพระราชา บุคคลในราชสำ� นกั และ ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข คนเหล่าน้ันเห็นไม่มีทางอ่ืน จึงขอบวช ภิกษุท้ังหลาย ก็บวชให้ เป็นภาระแก่ภิกษุทั้งหลายที่จะต้องพยาบาล แม้หมอชีวกเองก็ต้องท�ำงานหนักจน เสียราชกิจ ชายคนหนึ่งออกบวชให้หมอชีวกรักษา พอหายแล้วก็สึกไป หมอชีวกเห็นเข้าจ�ำได้ ถามทราบความ กต็ เิ ตยี น พระผู้มพี ระภาคจึงทรงบญั ญัตวิ นิ ัย ห้ามบวชแกค่ นเปน็ โรค ๕ ชนิด ผูใ้ ดบวชให้ ตอ้ งอาบัติทุกกฏ ๑ คุณสมบตั ิ ๖ มเี พียงฝ่ายละ ๗ หมวด รวม ๒ ฝา่ ย จงึ เปน็ ๑๔ หมวด - ม.พ.ป. คอื โรคมองครอ่ นน้ั ได้แก่โรคที่ ๒ คำ� แปลโรคทงั้ หา้ ชนิดน้ี เป็นไปตามทฝี่ า่ ยไทยเราเคยแปลกนั มา มีขอ้ ทคี่ วรอธบิ าย มเี สมหะแหง้ อยใู่ นลำ� หลอดปอด ไดส้ อบดกู บั คำ� แปลของศาสตราจารยร์ ดิ ส์ เดวดิ ส์ รว่ มกบั โอลเดนเบอรก์ มดี งั นี้ (๑) โรคเรอื้ น (Leprosy) (๒) โรคฝี (Boils) (๓) โรคเรอ้ื นแหง้ (Dry leprosy) (๔) วณั โรคแหง่ ปอด (Consumption) (๕) โรคลมชัก (Fit) ควรดูอรรถกถา หน้า ๖๗ ประกอบดว้ ย PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 309 5/4/18 2:24 PM
310 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ หา้ มบวชให้ข้าราชการ เกิดความไม่สงบชายแดน พระเจ้าพิมพิสารตรัสส่ังมหาอ�ำมาตย์ที่เป็นนายทัพให้ ไปปราบ มีหลายคนหนีไปบวช ภิกษุทั้งหลายก็บวชให้ พระเจ้าพิมพิสารจึงทรงขอให้ พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติวินัย มิให้พระบวชคนท่ีเป็นข้าราชการ เพราะอาจมีพระราชาที่ไม่ เลอ่ื มใสในพระพทุ ธศาสนาเบยี ดเบยี นภกิ ษเุ หลา่ นน้ั พระผมู้ พี ระภาคจงึ ตรสั หา้ มบวชใหข้ า้ ราชการ ทรงปรับอาบัติทุกกฏแก่ภิกษุท่ีบวชให้ (ในสมัยนี้ ผู้เป็นข้าราชการจะต้องมีใบอนุญาตเป็น ลายลกั ษณอ์ กั ษรจากผทู้ พ่ี ระมหากษตั รยิ ท์ รงมอบหมายใหอ้ นญุ าตแทนพระองค์ พระอปุ ชั ฌายะ และสงฆ์จึงบวชให)้ หา้ มบวชใหโ้ จรที่มชี ่อื สมยั นนั้ โจรองคลุ มิ าลบวชอยใู่ นสำ� นกั ภกิ ษทุ ง้ั หลาย คนเหน็ กต็ กใจกลวั บา้ ง สะดงุ้ บา้ ง วิ่งหนีบ้าง มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติวินัย ห้ามบวชให้โจรท่ีมีช่ือเสียง ทรงปรับอาบตั ิทุกกฏแกภ่ ิกษผุ ้บู วชให้ ห้ามบวชโจรทท่ี ำ� ลายเครื่องพันธนาการ ครง้ั นน้ั พระเจา้ พมิ พสิ ารทรงประกาศมใิ หใ้ ครทำ� อะไร (เชน่ จบั กมุ ) บคุ คลทเ่ี ขา้ มาบวช ในพระพุทธศาสนา โจรผู้หน่ึงท�ำโจรกรรม ถูกพันธนาการด้วยเครื่องจองจ�ำ แต่ท�ำลายเครื่อง จองจ�ำได้ จึงหนีไปบวช คนท้ังหลายพากันติเตียนภิกษุผู้บวชให้ พระผู้มีพระภาคจึงทรง บัญญัติพระวนิ ัย ห้ามบวชให้โจรท่ที ำ� ลายเครื่องพนั ธนาการ ผู้บวชให้ ต้องอาบตั ทิ ุกกฏ ห้ามบวชบุคคลทไ่ี มส่ มควรอนื่ อกี ได้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ภิกษุทั้งหลายบวชให้บุคคลผู้ไม่สมควร มีผู้ติเตียน พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบัญญตั พิ ระวินยั หา้ มบวชใหบ้ ุคคลผู้ไม่สมควรอื่นอีก คอื โจรที่ถูกหมายประกาศใหฆ้ า่ บุคคลท่ถี กู โบยดว้ ยแส้ ถกู ลงโทษแล้วเนรเทศ บคุ คลท่ถี ูกนาบดว้ ยเหล็กแดงให้เสียโฉม บุคคลทีเ่ ป็นหน้ี บุคคลทเ่ี ป็นทาส PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 310 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๔ มหาวัคค์ มหาขันธกะ 311 ให้บอกสงฆ์เมื่อจะโกนศีรษะคนบวช ิว ันย ิปฎก เด็กลูกช่างทอง๑ ทะเลาะกับพ่อแม่ หนีมาบวช พ่อแม่มาถาม ภิกษุท้ังหลายไม่ทราบ จึงปฏิเสธ ครั้นเขาพบว่ามาบวชก็ติเตียน หาว่าภิกษุเหล่าน้ันพูดปด (ความจริงไม่รู้) พระผู้มีพระภาคจึงทรงอนุญาตให้บอกกล่าวสงฆ์เมื่อจะโกนศีรษะคนบวช (ภัณฑุกัมม์ - การโกนศีรษะ) ห้ามบวชผ้มู อี ายุยังไม่ครบ ๒๐ เด็ก ๑๗ คนขออนุญาตมารดาบิดาออกบวช ถึงเวลากลางคืนลุกขึ้นร้องไห้ขออาหาร พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงทรงบัญญัติพระวินัย ห้ามบวชให้คนมีอายุไม่ถึง ๒๐ ทั้งท่ีรู้อยู่ (วา่ อายไุ ม่ถึง) ถา้ บวชใหใ้ ห้จดั การตามควร (มวี นิ ยั ทีอ่ ื่นปรับอาบตั ิปาจิตตียอ์ ยู่แล้ว ดูหนา้ ๒๕๖ สิกขาบทท่ี ๕ สัปปาณกวรรค) ข้อห้ามเกีย่ วกบั สามเณร อหิวาตกโรคเกิดข้ึน สกุลหน่ึงรอดตายมาเฉพาะบิดากับบุตร ทั้งสองคนออกบวช เมอ่ื มผี ถู้ วายอาหารแกบ่ ดิ า บตุ รวงิ่ ไปขอแบง่ เปน็ ทตี่ เิ ตยี น จงึ ทรงหา้ มบรรพชา (บวชเปน็ สามเณร) ให้เดก็ ที่มีอายหุ ย่อน ๑๕ ปี ภายหลังมีเหตุจ�ำเป็นท่ีต้องสงเคราะห์บวชให้เด็กอ่ืน ๆ ที่พ่อแม่ตายหมด จึงทรง ผ่อนผันให้บวชให้เด็กอายุหย่อน ๑๕ ปี ซึ่งสามารถไล่กาได้ (คือพอจะรู้เดียงสา) และมีเหตุ เกิดข้ึนเก่ียวกับสามเณร จึงทรงบัญญัติมิให้ภิกษุรูปหนึ่งมีสามเณรไว้รับใช้ถึง ๒ รูป ถ้าท�ำ เช่นนน้ั ต้องอาบัตทิ กุ กฏ๒ ผ่อนผันเร่อื งการถือนสิ สยั สมัยน้ัน ภิกษุจะต้องถือนิสสัย (อยู่ในปกครองของอุปัชฌายะหรืออาจารย์) ตลอด ๑๐ ปี เกิดความไม่สะดวก จึงทรงผ่อนผันให้ภิกษุท่ีฉลาด สามารถถือนิสสัยตลอด ๕ ปี ส่วนภิกษุผู้ไม่ฉลาด ให้ถือนิสสัยตลอดชีวิต แล้วทรงแสดงการขาดคุณสมบัติ ๕ อย่าง รวม ๔ ชุด การประกอบด้วยคุณสมบตั ิ ๕ อย่าง รวม ๔ ชุด ทีภ่ ิกษจุ ะตอ้ งถอื นสิ สยั หรือไมต่ อ้ ง ถือนิสสัย แล้วทรงแสดงการขาดคุณสมบัติ ๖ อย่าง รวม ๔ ชุด การประกอบด้วยคุณสมบัติ ๑ ลกู ชา่ งทองคนหนงึ่ ในภาษาบาลใี ชค้ ำ� วา่ กมั มารภณั ฑุ ฝรงั่ แปลวา่ ลกู ชา่ งทอง ซงึ่ มศี รี ษะโลน้ หรอื ลา้ น แตอ่ รรถกถา ๒ อธิบายไวว้ า่ ไว้ผมแหยม ๕ แหยม ตรงอน่ื โกนหมด มีสามเณรไวร้ ับใช้ได้ไมจ่ ำ� กดั ภายหลงั ทรงอนุญาตใหภ้ กิ ษุผู้ฉลาด สามารถอบรมส่งั สอน PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 311 5/4/18 2:24 PM
312 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๖ อย่าง รวม ๔ ชุด ท่ีภิกษุจะต้องถือนิสสัย หรือไม่ต้องถือนิสสัย การขาดคุณสมบัติ หรือ การประกอบด้วยคุณสมบัติ มีลักษณะคล้ายคลึงกับที่ก�ำหนดไว้ส�ำหรับอุปัชฌายะและอาจารย์ โดยเฉพาะทก่ี ลา่ วถงึ คณุ สมบตั ิ ๖ อยา่ ง ขอ้ ท่ี ๖ กค็ อื กำ� หนดวา่ จะตอ้ งมพี รรษาครบ ๕ หรอื เกนิ ๕ พระราหุลบวชเป็นสามเณร พระผมู้ พี ระภาคเสดจ็ สกู่ รงุ กบลิ พสั ด์ุ พระราหลุ กราบทลู ขอราชสมบตั ิ พระผมู้ พี ระภาค ตรัสสั่งให้พระสาริบุตรบวชให้ ทรงก�ำหนดวิธีบรรพชาเป็นสามเณรด้วยการถึงสรณะ ๓ (คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์) พระเจ้าสุทโธทนะทรงขอร้องพระผู้มีพระภาคอย่าให้บวช แก่บุตรท่ีมารดาบิดายังมิได้อนุญาต พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามบวชผู้ท่ี มารดาบดิ ายังมไิ ด้อนุญาต ผบู้ วชให้ ตอ้ งอาบตั ิทกุ กฏ ให้มสี ามเณรรบั ใช้ไดเ้ กนิ รูป ๑ พระสารบิ ุตรมีสามเณรราหุลไวร้ บั ใช้ ๑ รูป แต่เมื่อมสี ามเณรอื่น ๆ บวชเพิ่มขึ้น กไ็ ม่ กล้ารับไว้ในปกครอง พระผู้มีพระภาคจึงทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้ฉลาด สามารถมีสามเณรไว้รับ ใช้ได้ ๒ รูป กับสามารถจะให้โอวาทสั่งสอนได้จ�ำนวนเท่าใด ก็อนุญาตให้มีสามเณรไว้รับใช้ ได้ตามจ�ำนวนน้ัน (คือไม่จ�ำกัดจ�ำนวน แท้จริงการมีสามเณรไว้รับใช้ ไม่เหมือนแบบมีคนใช้ ของคฤหัสถ์ เพราะภิกษุจะต้องเป็นผู้ปกครองส่งั สอน ให้การศกึ ษาทางพระพทุ ธศาสนา การใช้ เลก็ ๆ นอ้ ย ๆ ก็คงมบี ้าง) ศลี ๑๐ ของสามเณร สามเณรท้ังหลายสงสัยว่าสิกขาบทหรือศีลของตนมีเท่าไร จะพึงศึกษาในสิกขาบท อะไรบ้าง พระผ้มู พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั ิสิกขาบท ๑๐ ของสามเณร คือ ๑. เวน้ จากฆ่าสัตว์ ๒. เวน้ จากลักทรพั ย์ ๓. เวน้ จากประพฤติล่วงพรหมจรรย์ ๔. เว้นจากพูดเท็จ ๕. เวน้ จากด่มื สรุ าเมรยั ๖. เวน้ จากบริโภคอาหารในเวลาวกิ าล (เท่ียงแล้วไป) ๗. เว้นจากฟอ้ นร�ำขับรอ้ งประโคมและการดมู หรสพ ๘. เว้นจากทัดทรงตกแต่งประดับประดาร่างกายด้วยดอกไม้ของหอม เคร่ืองทา เคร่อื งย้อมผดั ผิว ต่าง ๆ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 312 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๔ มหาวัคค์ มหาขันธกะ 313 ๙. เว้นจากที่น่ังท่ีนอนอันสูงใหญ่ (คือเว้นจากน่ังนอนเหนือเตียงตั่งมีเท้าสูงเกิน ิว ันย ิปฎก ประมาณ และท่นี ั่งท่ีนอนอันใหญ่ มภี ายในใสน่ นุ่ และส�ำลี) ๑๐. เวน้ จากการรับทองเงนิ การลงโทษสามเณร สมัยนั้น สามเณรไม่มีความเคารพในภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติ องค์ ๕ ทจี่ ะทำ� ทัณฑกรรม (ลงโทษ) สามเณร คอื ๑. ขวนขวายเพ่ือความเส่อื มลาภของภิกษุท้งั หลาย ๒. ขวนขวายเพื่อใหเ้ กดิ ความเสยี หาย (อนัตถะ) แกภ่ กิ ษุทง้ั หลาย ๓. ขวนขวายเพ่อื ใหภ้ ิกษทุ ัง้ หลายอยไู่ ม่ได้ ๔. ดา่ บริภาษภกิ ษทุ ้ังหลาย ๕. ทำ� ภิกษุท้งั หลายให้แตกกัน เรื่องเกีย่ วกบั การลงโทษ ภิกษุท้ังหลายสงสัยว่าจะลงโทษสามเณรอย่างไร จึงทรงอนุญาตให้ก�ำหนดข้อห้ามได้ ภิกษุทั้งหลายห้ามไม่ให้เข้าสังฆาราม (วัดท่ีสงฆ์อยู่) สามเณรเข้าไม่ได้ ก็เดินทางไปท่ีอ่ืนบ้าง สึกไปบ้าง ไปเข้ารีตเดียรถีย์บ้าง จึงทรงห้ามมิให้ภิกษุห้ามสามเณรเข้าสังฆารามทั้งหมด ถ้าท�ำ เช่นน้ัน ต้องอาบัติทุกกฏ อนุญาตให้ท�ำการห้ามเฉพาะในบริเวณท่ีอยู่ ที่ไปมา (กักบริเวณ) ภิกษุทั้งหลายห้ามกลืนกินอาหาร (ห้ามใช้ปากบริโภคอาหารหรือดื่มข้าวยาคู) คนถวายอาหาร ถวายขา้ วยาคู สามเณรก็ไมก่ ลา้ ฉนั มผี ู้ติเตยี น จงึ ทรงปรับอาบตั ทิ ุกกฏแก่ภกิ ษทุ ่หี า้ มแบบนั้น ภิกษุฉัพพัคคีย์กักบริเวณสามเณรหลายรูป อุปัชฌายะท้ังหลายตามเที่ยวถามหา ทราบความกต็ เิ ตยี น พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั พิ ระวนิ ยั วา่ ถา้ ยงั ไมบ่ อกเลา่ อปุ ชั ฌายะกอ่ น ไมพ่ ึงท�ำการห้าม (กกั บรเิ วณ) สามเณร ผู้ทำ� เช่นนน้ั ตอ้ งอาบัติทกุ กฏ ห้ามชวนสามเณรของภกิ ษอุ ืน่ ไปอยดู่ ้วย ภิกษุฉัพพัคคีย์ชวนสามเณรของภิกษุผู้เป็นเถระไปอยู่ด้วย ท่านล�ำบากด้วยการหา ไมส้ ฟี นั และน้�ำล้างหนา้ เอง จึงทรงบญั ญัตพิ ระวินัย ไม่ใหช้ วนบริษทั (สามเณร) ของภกิ ษุอื่นไป อยูด่ ้วย ถ้าท�ำเชน่ นัน้ ต้องอาบตั ิทกุ กฏ การให้สามเณรสกึ สามเณรของพระอปุ นนทะ ศากยบุตร ประทษุ รา้ ย (ข่มขืน) นางภิกษุณี ภกิ ษุทั้งหลาย ติเตียน พระผู้มพี ระภาคจึงทรงอนญุ าตใหน้ าสนะ (ไล่สึก) สามเณรผู้ประกอบดว้ ยองค์ ๑๐ คอื PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 313 5/4/18 2:24 PM
314 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๑. ฆ่าสัตว์ ๒. ลักทรพั ย์ ๓. ประพฤตผิ ดิ ในกาม ๔. พดู ปด ๕. ดม่ื สรุ าเมรยั ๖. ติเตยี นพระพุทธ ๗. ตเิ ตียนพระธรรม ๘. ตเิ ตียนพระสงฆ์ ๙. มคี วามเหน็ ผดิ ๑๐. ประทุษรา้ ย (ข่มขืน) นางภิกษณุ ี บคุ คลทห่ี ้ามบวชอื่น ๆ อีก ต่อมามีเหตุการณ์เกิดขึ้นในการท่ีภิกษุทั้งหลายบวชให้แก่ผู้ไม่สมควร จึงทรงบัญญัติ พระวินยั ห้ามบวชให้แกผ่ ู้ไมส่ มควรตอ่ ไปน้ี ๑. กะเทย๑ ๒. คนทล่ี กั เพศ (คอื บวชเอาเองโดยไมถ่ กู ตอ้ ง) ๓. ภิกษทุ ่ไี ปเขา้ รตี เดียรถีย์ ๔. สตั วด์ ริ ัจฉาน ๕. ผฆู้ ่ามารดา ๖. ผูฆ้ า่ บดิ า ๗. ผฆู้ ่าพระอรหันต์ ๘. ผขู้ ม่ ขืนนางภกิ ษุณี ๙. ผทู้ ำ� สงฆ์ใหแ้ ตกกัน ๑๐. ผปู้ ระทษุ รา้ ยพระพทุ ธเจา้ ถงึ ยงั พระโลหติ ใหห้ อ้ ๑๑. คนมอี วัยวะ ๒ เพศ (อภุ โตพยัญชนก) ทัง้ ๑๑ ประเภทนี้ ถ้าบวชใหแ้ ล้วรเู้ ข้าภายหลัง ตอ้ งให้สกึ ไป ลักษณะท่ีไม่ควรใหอ้ ุปสมบท (บวชเป็นพระ) อีก ๒๐ ประเภท คร้ันแล้วทรงบัญญัติพระวินัยแสดงลักษณะที่ไม่ควรให้บวช (อุปสมบท) บุคคล รวม ๒๐ ประเภท ดังตอ่ ไปน้ี ๑. ผไู้ มม่ ีอุปชั ฌายะ ๒. ผมู้ ีอปุ ชั ฌายะเปน็ สงฆ์ (อุปชั ฌายะตอ้ งมรี ปู เดยี ว ไม่ใช่มากรูป) ๓. ผู้มีอปุ ัชฌายะเป็นคณะ (๒ ๓ ชื่อวา่ เปน็ คณะ ๔ ขนึ้ ไปเป็นสงฆ)์ ๔. ผมู้ ีอปุ ชั ฌายะเป็นกะเทย ๕. ผมู้ ีอปุ ชั ฌายะเป็นคนลักเพศ (ผ้บู วชเอาเอง) ๖. ผูม้ อี ุปชั ฌายะเป็นผเู้ ข้ารีตเดียรถยี ์ ๗. ผูม้ ีอุปัชฌายะเปน็ สตั ว์ดริ จั ฉาน (มีเรื่องเลา่ ว่า นาคปลอมมาบวช) ๘. ผ้มู ีอุปชั ฌายะเป็นผฆู้ ่ามารดา ๑ กะเทยหรือทเ่ี รยี กวา่ บัณเฑาะก์ คอื ผู้ท่ีพอใจใหบ้ รุ ุษเก่ยี วข้องกบั ตนโดยมคี วามรสู้ กึ ตนเหมือนเปน็ สตรี PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 314 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๔ มหาวัคค์ มหาขันธกะ 315 ๙. ผมู้ อี ุปัชฌายะเปน็ ผฆู้ ่าบิดา ิว ันย ิปฎก ๑๐. ผ้มู อี ปุ ชั ฌายะเปน็ ผู้ฆ่าพระอรหนั ต์ ๑๑. ผู้มอี ปุ ชั ฌายะเปน็ ผขู้ ม่ ขืนนางภกิ ษุณี ๑๒. ผมู้ อี ปุ ัชฌายะเป็นผทู้ �ำลายสงฆ์ใหแ้ ตกกนั ๑๓. ผู้มอี ปุ ัชฌายะเป็นผู้ประทุษรา้ ยพระพุทธเจ้า จนถงึ ยังพระโลหติ ใหห้ อ้ ๑๔. ผมู้ อี ุปชั ฌายะเปน็ ผ้มู อี วยั วะ ๒ เพศ ๑๕. ผไู้ มม่ ีบาตร ๑๖. ผไู้ มม่ จี ีวร ๑๗. ผูไ้ ม่มที ง้ั บาตรทงั้ จวี ร ๑๘. ผขู้ อยืมบาตรเขามาบวช ๑๙. ผ้ขู อยืมจวี รเขามาบวช ๒๐. ผขู้ อยมื ท้ังบาตรทงั้ จวี รเขามาบวช ท้ัง ๒๐ ประเภทน้ี ถ้า (สงฆ์) บวชให้ ตอ้ งอาบัติทุกกฏ ลักษณะที่ไมค่ วรให้บรรพชา (เป็นสามเณร) ๓๒ ประเภท ๑. คนมมี อื ขาด ๒. คนมีเทา้ ขาด ๓. คนมีทั้งมอื ทง้ั เทา้ ขาด ๔. คนมีหูขาด ๕. คนมีจมูกแหว่ง ๖. คนมีทงั้ หูขาดทัง้ จมูกแหวง่ ๗. คนมีนิว้ มอื ขาด ๘. คนมนี ้วิ หัวแม่มอื ขาด ๙. คนมีเอ็น (เท้า) ขาด ๑๐. คนมีมอื เป็นแผน่ (น้ิวติดกัน) ๑๑. คนค่อม ๑๒. คนเตีย้ (เกนิ ไป) ๑๓. คนคอพอก ๑๔. คนถูกนาบด้วยเหลก็ แดงจนเสียโฉม (ในการลงโทษ) ๑๕. คนถกู โบยถูกแส้ (มรี อยแผล) PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 315 5/4/18 2:24 PM
316 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๑๖. คนถูกหมายจบั (ใหฆ้ ่าได้เมอ่ื พบ) ๑๗. คนมเี ทา้ ปกุ (เป็นตุม้ ) ๑๘. คนเปน็ โรคอันเปน็ โทษแหง่ บาป (โรคเร้ือรงั ที่รกั ษาไมห่ าย) ๑๙. คนประทษุ รา้ ยบริษทั (คอื อยใู่ นหมู่แลว้ ท�ำใหห้ มดู่ ูวิปรติ ด้วยรปู ร่างอันผดิ ปกติ ของตน เช่น สงู เกนิ ไป เตยี้ เกินไป ดำ� เกนิ ไป ขาวเกินไป ผอมเกินไป อว้ นเกนิ ไป เปน็ ตน้ ) ๒๐. คนตาบอดข้างเดียว หรอื ทง้ั สองขา้ ง ๒๑. คนเป็นง่อย ๒๒. คนกระจอก (เท้าผดิ ปกติ ต้องเดินด้วยหลงั เทา้ เปน็ ต้น) ๒๓. คนเป็นอัมพาต (ร่างกายตายไปซกี หน่งึ ) ๒๔. คนเปลย้ี (เดินเองไมไ่ ด)้ ๒๕. คนชรา ทพุ พลภาพ ๒๖. คนตาบอดแตก่ ำ� เนิด ๒๗. คนใบ้ ๒๘. คนหูหนวก ๒๙. คนทัง้ บอดทงั้ ใบ้ ๓๐. คนทงั้ บอดทัง้ หนวก ๓๑. คนท้งั ใบท้ ัง้ หนวก ๓๒. คนทง้ั บอดทงั้ ใบ้ท้งั หนวก บุคคลทัง้ ๓๒ ประเภทนี้ ผบู้ รรพชาให้ ตอ้ งอาบัตทิ ุกกฏ (หมายเหตุ : การก�ำหนดข้อห้ามไม่ให้บวชคน ๓๒ ประเภทน้ีเป็นสามเณรน้ันเป็น อันห้ามส�ำหรับบวชเป็นพระด้วย เพราะตามวิธีการบวช ผู้ท่ีจะบวชเป็นพระจะต้องผ่านล�ำดับ จากการเป็นสามเณรมาก่อนแม้ช่ัวครู่หน่ึง การต้ังข้อก�ำหนดนี้ เพื่อมิให้พระพุทธศาสนา เป็นเหมือนถังขยะรับคนที่ทางโลกไม่ต้องการแล้ว แต่ก็ไม่มีข้อห้ามเด็ดขาดถึงขนาดว่า บวชให้แลว้ ต้องใหส้ ึกไปเหมอื นบุคคล ๑๑ ประเภท ทีก่ ล่าวไวใ้ นขอ้ ห้ามบวชเด็ดขาด) ขอ้ ก�ำหนดเรือ่ งใหน้ ิสสัยเพิ่มเตมิ ต่อมามีเหตุการณ์เกิดขึ้น จึงทรงบัญญัติพระวินัย มีข้อก�ำหนดเพิ่มเติมเร่ืองการ ให้นิสสัย (รบั เข้าในปกครอง) ดงั น้ี PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 316 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๔ มหาวัคค์ มหาขันธกะ 317 ๑. หา้ มใหน้ สิ สยั แก่ภิกษุอลัชชี (ผู้ไม่ละอายในการต้องอาบตั ิ) ถ้าใหน้ ิสสัย ตอ้ งอาบตั ิ ิว ันย ิปฎก ทุกกฏ ๒. จะรวู้ า่ เป็นผมู้ คี วามละอาย หรอื เป็นอลชั ชี ให้รอดู ๔ - ๕ วันได้ ว่าจะเขา้ กบั ภิกษุ ทงั้ หลายไดห้ รือไม่ ๓. ภิกษเุ ดนิ ทางไกล อนุญาตใหไ้ ม่ต้องถือนสิ สยั ในเมื่อไมม่ ภี ิกษุผู้ให้นิสสยั ๔. อนญุ าตใหภ้ กิ ษผุ เู้ ปน็ ไข้ ภกิ ษผุ พู้ ยาบาลภกิ ษไุ ขไ้ มต่ อ้ งถอื นสิ สยั ไดใ้ นเมอื่ ไมม่ ภี กิ ษุ ผใู้ ห้นิสสัย ๕. อนญุ าตใหภ้ กิ ษผุ อู้ ยปู่ า่ ไมต่ อ้ งถอื นสิ สยั ไดใ้ นเมอ่ื ไมม่ ภี กิ ษผุ ใู้ หน้ สิ สยั แตถ่ า้ มภี กิ ษุ ผใู้ ห้นสิ สัยมา ต้องถอื นสิ สัย ข้อก�ำหนดเร่ืองการอปุ สมบท ต่อมาทรงบัญญัติให้สวดอนุสาวนา๑ ไม่ต้องระบุนาม แต่ระบุเพียงโคตร (สกุล) ได้ และให้สวดประกาศครั้งละ ๒ - ๓ รูปได้ โดยมีอุปัชฌายะรูปเดียวกัน และทรงอนุญาตให้นับ อายุผู้บวชวา่ ครบ ๒๐ โดยคดิ ตั้งแตอ่ ยูใ่ นครรภ์ ขอ้ บัญญตั ใิ นพธิ ีกรรมอุปสมบท คร้ันแล้วทรงแสดงวิธีการต่าง ๆ ในการอุปสมบท เช่น การสอบถามอันตรายิกธรรม (อุปสัคทีต่ ้องหา้ มในการบวช) ๑๗ ขอ้ มโี รค ๕ อย่างนน้ั เป็นต้น ทงั้ การซกั ถามเป็นสว่ นตัวกอ่ น แลว้ จงึ ซักถามในทป่ี ระชมุ สงฆ์ ตลอดจนการสวดประกาศ ๓ จบ แล้วอนมุ ตั ใิ ห้เป็นภิกษไุ ด้ เมอ่ื บวชแลว้ ใหว้ ดั เงาแดด ใหบ้ อกฤดู ใหบ้ อกสว่ นของวนั ใหบ้ อกสงั คตี ิ คอื บอกรวม ขา้ งตน้ ทง้ั หมด เพอื่ เป็นหลักฐาน แล้วให้บอกนิสสัย ๔ (ปัจจัยเครื่องอาศัยของบรรพชิต ๔ อย่าง คืออาหาร เครอ่ื งนงุ่ ห่ม ทีอ่ ยอู่ าศัย ยารกั ษาโรค ซ่ึงกล่าวมาแลว้ ข้างตน้ ) แล้วให้บอกอกรณียกิจ (สิ่งท่ีไม่ควรท�ำ) ๔ อย่าง คือการเสพเมถุน การลักทรัพย์ การฆ่าสัตว์และมนุษย์ การอวดคุณพิเศษที่ไม่มีในตน (เพื่อป้องกันการท�ำความผิดที่ส�ำคัญ ในตอนแรก) การปฏิบัตติ ่อผทู้ �ำผดิ มีเรื่องเกิดขนึ้ จงึ ทรงแสดงข้อปฏิบัติในกรณีนัน้ ๆ คือ ๑. เมอื่ ภกิ ษไุ มเ่ หน็ อาบตั ิ (คอื ตอ้ งอาบตั แิ ลว้ ไมร่ บั วา่ ตอ้ ง) ถกู สงฆป์ ระกาศยกเสยี จาก หมู่จึงสึกไป ภายหลังขอเข้ามาบวชใหม่ ถ้าสอบถามแล้วยอมรับว่าต้องอาบัติจริง ๑ อนสุ าวนา หมายความวา่ ประกาศข้อปรึกษาและขอ้ ตกลงของสงฆ์ - ม.พ.ป. PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 317 5/4/18 2:24 PM
318 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ กใ็ หบ้ วชได้ เมือ่ บวชแล้ว ให้ท�ำพิธที ำ� คืนอาบัตทิ ตี่ อ้ งไว้แต่ครงั้ ก่อน ๒. เม่ือภิกษุไม่ท�ำคืนอาบัติ ถูกสงฆ์สวดประกาศยกเสียจากหมู่จึงสึกไป ภายหลังมา ขอบวช ถา้ รับว่าจักทำ� คืนอาบตั ิ กใ็ ห้บวชได้ เมื่อบวชแล้ว ใหท้ �ำคนื อาบัติท่ตี อ้ งไว้ แต่คร้งั ก่อนให้เรยี บรอ้ ย ๓. เมื่อภิกษุมีความเห็นชั่วหยาบ คือความเห็นผิดอย่างแรง ถูกสงฆ์สวดประกาศ ยกเสียจากหมู่จึงสึกไป ภายหลังมาขอบวช ถ้ารับว่าจักละความเห็นผิดน้ัน ก็ให้ บวชได้ เมื่อบวชแล้วไมย่ อมท�ำคนื อาบตั กิ ด็ ี ไม่ยอมสละความเหน็ ผดิ กด็ ี สงฆม์ ีสิทธิประกาศ ยกเสียจากหมู่ได้อีก แต่ถ้าไม่ได้ภิกษุครบองค์สงฆ์ท่ีจะสวดประกาศ ก็อยู่ร่วมกับเธอได้ ไม่ตอ้ งอาบตั ิ๑ ๒. อุโบสถขันธกะ (หมวดว่าด้วยอุโบสถ) พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพแคว้นมคธ เห็นนักบวชลัทธิอ่ืนประชุมกันกล่าวธรรม ใน วนั ๑๔ คำ�่ ๑๕ คำ่� และ ๘ คำ่� แหง่ ปกั ษ์ มคี นไปฟงั ธรรม มคี วามรกั ความเลอ่ื มใส ทำ� ใหน้ กั บวช เหล่าน้ันมีผู้เข้าเป็นฝักฝ่าย ทรงปรารภจะให้ภิกษุในพระพุทธศาสนาท�ำอย่างนั้นบ้าง จึงเข้าเฝ้า พระผมู้ พี ระภาค กราบทลู พระราชดำ� รนิ นั้ พระผมู้ พี ระภาคกท็ รงอนมุ ตั ิ ประทานพระพทุ ธานญุ าต ให้ภิกษุทั้งหลายประชุมกันในวนั ๑๔ ค่ำ� ๑๕ ค�่ำ และ ๘ ค�ำ่ แห่งปักษ์ คร้ังแรกภิกษุท้ังหลายประชุมกัน แต่น่ังนิ่ง ๆ ชาวบ้านจะฟังธรรมก็ไม่ได้ฟัง จงึ ติเตียน พระผูม้ ีพระภาคจึงทรงอนุญาตใหป้ ระชมุ กนั เพือ่ กลา่ วธรรม การสวดปาฏโิ มกขเ์ ป็นอโุ บสถกรรม พระผู้มีพระภาคทรงพระดำ� ริว่า สิกขาบทท่ที รงบัญญัติแกภ่ ิกษทุ ั้งหลาย ควรอนุญาต ให้สวดเป็นปาฏิโมกข์ การสวดปาฏิโมกข์นั้นจักเป็นอุโบสถกรรม คือการท�ำอุโบสถของภิกษุ เหล่าน้ัน จึงทรงบัญญัติตามที่ทรงพระด�ำรินั้น และทรงแสดงวิธีสวดปาฏิโมกข์ เริ่มต้นแต่ กจิ เบ้ืองต้น ข้อก�ำหนดเพิ่มเตมิ เกยี่ วกับปาฏโิ มกข์ ๑. ภิกษุท้ังหลายสวดปาฏิโมกข์ทุกวัน ตรัสห้ามและปรับอาบัติทุกกฏแก่ผู้ท�ำ เช่นนนั้ ทรงอนญุ าตให้สวดเฉพาะวันอุโบสถ ๑ ในท่ีน้หี มายถงึ คณะภิกษทุ ่ยี งั ไมค่ รบองค์สงฆ์ ไมต่ ้องอาบัติ - ม.พ.ป. PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 318 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๔ มหาวัคค์ อุโบสถขันธกะ 319 ๒. ภิกษุทั้งหลายสวดปาฏิโมกข์ ๓ ครั้ง ต่อ ๑ ปักษ์ (กึ่งเดือน) คือในวัน ๑๔ คำ่� ิว ันย ิปฎก ๑๕ ค�่ำ และ ๘ ค่�ำ ตรสั ห้ามและปรับอาบัตทิ ุกกฏแกผ่ ทู้ �ำเช่นนัน้ ทรงอนญุ าตให้สวดปาฏิโมกข์ เพยี งครัง้ เดยี วตอ่ ๑ ปกั ษ์ คือในวนั ๑๔ ค�่ำ หรือ ๑๕ ค่�ำ ๓. ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ส์ วดปาฏโิ มกขเ์ ฉพาะในพวกของตน ตรสั หา้ มและปรบั อาบตั ทิ กุ กฏ แกผ่ ้ทู �ำเชน่ นน้ั ทรงอนญุ าตให้ท�ำอุโบสถโดยพรอ้ มเพรียงกนั ๔. ภิกษุท้ังหลายสงสัยว่า จะก�ำหนดเขตพร้อมเพรียงกันในอาวาสหนึ่งหรือถือเขต แผ่นดนิ ทง้ั ผืน ตรัสให้ใชอ้ าวาสเดียวกนั เปน็ เขตสามคั คี ๕. พระมหากปั ปนิ ะ (ผเู้ ปน็ พระอรหนั ต)์ คดิ วา่ ทา่ นบรสิ ทุ ธอิ์ ยแู่ ลว้ จะควรไปทำ� อโุ บสถ สังฆกรรมหรือไม่ พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงตรัสตอบว่า ถ้าเธอไม่สักการะ เคารพ นับถือ บูชาอุโบสถแล้ว ใครเล่าจะท�ำเช่นน้นั และตรัสสัง่ ใหไ้ ปทำ� อโุ บสถสงั ฆกรรม ๖. ภกิ ษทุ ง้ั หลายสงสยั วา่ อาวาสเดยี วกนั นน้ั กำ� หนดอยา่ งไร จงึ ทรงอนญุ าตใหส้ มมติ คือประกาศสีมา (เขตแดน) โดยก�ำหนดภูเขา ก้อนหิน ป่าไม้ ต้นไม้ หนทาง จอมปลวก แม่น้�ำหรือแอ่งน้�ำ เป็นเครื่องหมาย (นิมิต) แล้วทรงแสดงวิธีสวดสมมติสีมาด้วยเคร่ืองหมาย เหลา่ น้นั ๗. ภิกษฉุ ัพพคั คยี ส์ มมติสมี า (ประกาศเขตแดน) ใหญเ่ กนิ ไป ๔ โยชนบ์ า้ ง ๕ โยชน์ บ้าง ๖ โยชน์บ้าง ภิกษุท้ังหลายมาพอดีสวดปาฏิโมกข์ก็มี สวดจบแล้วก็มี ก�ำลังสวดอยู่ก็มี จึงทรงห้ามสมมติสีมาใหญ่เกินไป ทรงปรับอาบัติทุกกฏแก่ผู้ฝ่าฝืน แล้วทรงอนุญาตให้ สมมตสิ มี าอย่างใหญ่เพียง ๓ โยชน์ ๘. ภิกษุฉัพพัคคีย์สมมติสีมาริมฝั่งแม่น้�ำ ภิกษุที่มาท�ำอุโบสถถูกน้�ำพัด บาตรจีวร ถูกน้�ำพัด จึงตรัสห้ามสมมติสีมาเช่นนั้น ทรงอนุญาตให้ท�ำได้ต่อเม่ือมีเรือจอดอยู่เป็นประจ�ำ หรือมีสะพานทอดอยู่เป็นประจำ� ๙. ภิกษุท้ังหลายสวดปาฏิโมกข์ตามบริเวณ ไม่มีที่สังเกต ภิกษุที่เป็นอาคันตุกะ (ผู้มาจากที่อ่ืน) ไม่รู้ว่าท�ำอุโบสถกันที่ไหน จึงทรงอนุญาตให้สมมติโรงอุโบสถท�ำอุโบสถ จะเป็นวหิ าร (กฎุ ที ่อี ยอู่ าศัย) หรือ เพงิ หรอื ปราสาท (เรือนเป็นช้นั ) หรอื เรอื นโลน้ (หลังคาตัด) หรอื ถ้ำ� ก็ได้ ๑๐. ภิกษุท้ังหลายสมมติโรงอุโบสถ ๒ แห่งในอาวาสเดียวกัน ตรัสห้ามและ ตรสั แนะให้สวดถอนโรงอุโบสถเสยี หลัง ๑ คงให้ใชเ้ พยี งหลงั เดียว PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 319 5/4/18 2:24 PM
320 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๑๑. ภิกษุทั้งหลายสมมติโรงอุโบสถเล็กเกินไป มีพระมาประชุมมาก บางรูปต้อง นั่งนอกเขต พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เป็นอันท�ำอุโบสถ และได้ตรัสแนะให้ก�ำหนดเครื่องหมาย (นมิ ติ ) แล้วประชมุ สงฆ์สวดสมมตหิ นา้ มขุ อโุ บสถขยายให้ใหญ่ออกไปตามต้องการ ๑๒. ภิกษุบวชใหม่มาประชุมก่อนในวันอุโบสถ นึกว่าพระเถระคงยังไม่มา จึงกลับไป กว่าจะได้ท�ำอโุ บสถก็กลางคนื จึงตรสั อนญุ าตใหภ้ ิกษทุ ี่เป็นเถระมาประชมุ ก่อนในวันอโุ บสถ ๑๓. มีวัดหลายวัดในเขตสีมาเดียวกัน ภิกษุท้ังหลายต่างวัดต่างท�ำอุโบสถ พระผู้มี พระภาคจงึ ทรงให้รวมท�ำแห่งเดยี วกัน ไม่ใหแ้ ยกกันทำ� ๑๔. ตรัสอนุญาตให้สมมติสีมา เป็นเขตอยู่ร่วมกัน ท�ำอุโบสถร่วมกัน โดยให้เป็นเขต ไมอ่ ยปู่ ราศจากไตรจวี ร (ภายในบรเิ วณสมี านนั้ ไปไหนไดไ้ มต่ อ้ งนำ� จวี รตดิ ตวั ไปดว้ ยครบสำ� รบั ) และใหส้ มมติเว้นเขตบา้ นและละแวกบ้าน (เพอื่ ไมใ่ หเ้ ก็บจีวรไวใ้ นบา้ น) ๑๕. ตรสั อนญุ าตวา่ เมอ่ื สวดถอน (เลกิ ใช)้ ใหถ้ อนเขตไมอ่ ยปู่ ราศจากไตรจวี รกอ่ นแลว้ ถอนเขตอยู่รว่ มกนั ทีหลัง ๑๖. ถ้ายังมิได้สมมติสีมา ให้ใช้หมู่บ้านหรือนิคมท่ีอยู่นั้นเป็นคามสีมาและนิคม สีมาได้ แล้วอนุญาตให้ใช้เขตท่ีพ้นระยะน้�ำสาดถึง ในแม่น�้ำเป็นอุทกุกเขปสีมา (เขตวักน�้ำสาด) เป็นเขตลอยเรือหรือแพ หรือปลูกโรงท�ำอุโบสถได้กลางแม่น�้ำ ทะเลหรือสระน้�ำ แต่ไม่อนุญาต แม่น้�ำ ทะเล หรือสระน�้ำทง้ั หมดเปน็ เขต (สมี า) ๑๗. ตรัสห้ามมิใหส้ มมตสิ ีมาคาบเก่ยี วกัน ใหม้ ชี านของสมี า ๑๘. ตรสั อธบิ ายวา่ วนั อโุ บสถ ๑๔ คำ่� กม็ ี ๑๕ คำ�่ กม็ ี (กลางเดอื นเปน็ ๑๕ คำ�่ ปลายเดอื น เปน็ ๑๔ คำ่� บา้ ง ๑๕ คำ�่ บ้าง สดุ แต่เดอื นขาด เดอื นเต็ม) ๑๙. ตรสั อธบิ ายหลักเกณฑ์เรื่องสวดปาฏิโมกข์ย่อ เม่ือมเี หตสุ มควร ๑๐ อยา่ งเกดิ ขึน้ ๒๐. ภิกษุที่จะกล่าวธรรมต้องได้รับเชื้อเชิญ ทรงอนุญาตให้พระเถระกล่าวธรรมเอง หรือเชญิ ภิกษุอื่นกลา่ วธรรม ๒๑. ตรัสอนญุ าตให้มกี ารสมมติผู้ถามพระวนิ ยั และผตู้ อบพระวนิ ยั ๒๒. ตรสั อนญุ าตใหข้ อโอกาสก่อน แลว้ จึงโจทอาบัติ ๒๓. ในการท�ำกรรมเป็นการสงฆ์ ทรงอนุญาตให้ค้านได้ ให้แสดงความเห็นได้ อธิษฐานในใจวา่ ไมเ่ ห็นดว้ ย ในเมือ่ คนเดียวคา้ นเข้าจะยุง่ ยาก ๒๔. ตรสั หา้ มมใิ หแ้ กลง้ สวดปาฏโิ มกขม์ ใิ หผ้ อู้ นื่ ไดย้ นิ ถา้ มเี สยี งผดิ ปกตแิ ละพยายามแลว้ ไม่เป็นอาบตั ิ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 320 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๔ มหาวัคค์ อุโบสถขันธกะ 321 ๒๕. ตรสั ห้ามมใิ ห้สวดปาฏโิ มกขโ์ ดยมคี ฤหัสถป์ นอยใู่ นบรษิ ทั ิว ันย ิปฎก ๒๖. ภิกษุผู้มิได้รับเช้ือเชิญ ตรัสห้ามมิให้สวดปาฏิโมกข์ ทรงอนุญาตให้พระเถระ เป็นใหญ่ในเร่อื งปาฏโิ มกข์ (จะสวดเองหรือใหใ้ ครสวดกไ็ ด้) ๒๗. พระเถระสวดเองไม่ได้ จึงทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้ฉลาด สามารถเป็นใหญ่ในเร่ือง ปาฏิโมกข์ ๒๘. พระทั้งวัดไม่สามารถสวดปาฏิโมกข์ได้ ให้ส่งภิกษุรูปหน่ึงไปเรียนจากอาวาส ใกลเ้ คยี ง จะโดยยอ่ หรอื โดยพสิ ดารกต็ าม ใหพ้ ระเถระเปน็ ผใู้ ชไ้ ป ผถู้ กู ใชข้ ดั ขนื ในเมอื่ ไมป่ ว่ ยไข้ ตอ้ งอาบตั ิทุกกฏ ๒๙. ตรสั อนญุ าตให้เรยี นปักขคณนา (การคำ� นวณปกั ษ์) ได้ทุกรปู เพ่อื บอกดถิ แี กค่ น ทง้ั หลายได้ ๓๐. ตรสั อนุญาตใหเ้ รียกชื่อ ใหจ้ ับสลาก๑ เพื่อนบั จ�ำนวนภกิ ษใุ นวนั อุโบสถ ๓๑. ตรัสอนุญาตให้ปัดกวาด ปูอาสนะ ตามประทีป ต้ังน้�ำด่ืมน�้ำใช้ในโรงอุโบสถ โดยใหพ้ ระเถระเป็นผู้สั่งการ ๓๓. ตรัสห้ามภิกษุท่ีจะไปท่ีอื่นโดยไม่บอกลาอุปัชฌาย์หรืออาจารย์ ให้อุปัชฌายะ หรืออาจารย์สอบสวนว่าจะไปไหน ไปกับใคร ถ้าเห็นไม่สมควรก็ไม่ให้อนุญาต ถ้าไม่อนุญาต ขนื ไป ตอ้ งอาบัติทุกกฏ ๓๔. ภิกษุผู้ทรงความรู้ ประพฤติตนดีมา ให้ต้อนรับด้วยดี ถ้าไม่ต้อนรับ ต้องอาบัติ ทุกกฏ ๓๕. ถ้าไม่มีใครสวดปาฏิโมกข์ได้เเลย และไม่สามารถจะส่งใครไปเรียนวิธีสวด ห้ามอยู่จำ� พรรษาร่วมกบั ภกิ ษุเหลา่ นั้น ถา้ ขนื อยู่ ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ๓๖. ภิกษุเป็นไข้ ตรัสให้บอกความบริสุทธ์ิแก่ภิกษุรูปหนึ่ง เพ่ือน�ำไปบอกแก่สงฆ์ ถา้ ไมม่ ผี รู้ บั ไปบอก ใหน้ ำ� ขนึ้ เตยี ง ขนึ้ ตงั่ หามไปทำ� อโุ บสถ ไมใ่ หท้ ำ� อโุ บสถแยกกนั ถา้ ใหเ้ คลอื่ นท่ี อาพาธอาจก�ำเริบหรืออาจถึงมรณภาพ ให้สงฆ์ไปท�ำอุโบสถท่ีภิกษุรูปนั้น แล้วตรัสให้ภิกษุผู้รับ บอกปารสิ ทุ ธ๒ิ ตอ้ งไปบอกแกส่ งฆใ์ หจ้ งได้ ถา้ ไปไมไ่ ด้เอง ใหม้ อบหมายผูอ้ ืน่ บอกแทน ๑ หมายถึง ใหภ้ ิกษุถือเอาสลาก ไปมอบใหผ้ นู้ ับจำ� นวนภกิ ษุ แทนการเรยี กช่ือ - ม.พ.ป. ๒ แปลวา่ บรสิ ุทธ์ิ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 321 5/4/18 2:24 PM
322 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๓๗. ในสงั ฆกรรมอนื่ จากอโุ บสถ ถา้ ภกิ ษเุ ปน็ ไข้ ตรสั อนญุ าตใหม้ อบฉนั ทะ และมเี งอื่ นไข คล้ายอุโบสถ (ฉนั ทะคือความพอใจ มอบใหส้ งฆท์ ำ� กรรมไปโดยตนไม่ต้องร่วมด้วย) ๓๘. ในวันอโุ บสถ ถ้ามีสงั ฆกรรมอ่นื ด้วย ตรัสอนุญาตให้ภกิ ษุผบู้ อกความบรสิ ุทธ์ินัน้ บอกให้ฉนั ทะด้วย ๓๙. ภิกษุถูกญาติจับตัว ถูกคนอ่ืน ๆ จับตัวไม่สามารถมาร่วมท�ำอุโบสถได้ ให้เจรจา ขอตัวมาท�ำอุโบสถ ถ้าเจรจาไม่ส�ำเร็จ ให้น�ำออกให้พ้นเขตสีมา เพ่ือให้สงฆ์ท�ำอุโบสถ ห้ามท�ำ อุโบสถทั้งที่มีภกิ ษอุ ืน่ อยู่ในเขตสีมา แต่มิไดเ้ ข้ารว่ มประชุม ๔๐. ถ้าในอุโบสถหรือสังฆกรรมอ่ืนมีภิกษุเป็นบ้า ให้สงฆ์สวดสมมติเพื่อจะได้ท�ำ อุโบสถหรือสังฆกรรมอน่ื โดยไม่มเี ธออยดู่ ้วย ๔๑. พระมี ๔ รปู ตรัสอนญุ าตใหส้ วดปาฏิโมกข์ ถ้ามี ๓ รูป หรอื ๒ รูป ใหป้ ระชุมกนั บอกความบริสุทธ์ิแก่กันและกัน เรียกว่าปาริสุทธิอุโบสถ ถ้ามีรูปเดียว ให้ปัดกวาดสถานท่ี คอยภกิ ษอุ นื่ เมอ่ื ไมเ่ หน็ มาใหอ้ ธษิ ฐาน คอื ตงั้ ใจระลกึ วา่ วนั นเี้ ปน็ วนั อโุ บสถ ถา้ ไมท่ ำ� ตอ้ งอาบตั ิ ทกุ กฏ ๔๒. มิให้ท�ำอุโบสถทั้งที่ยังมีอาบัติ ให้แสดงอาบัติก่อนแล้วจึงท�ำอุโบสถ ถ้าสงสัย ในอาบตั กิ ็ให้บอกแก่ภิกษรุ ูปหน่ึงก่อน ๔๓. ห้ามภิกษุท่ีต้องอาบัติเหมือน ๆ กัน แสดงอาบัติเช่นน้ันแก่กัน (สภาคาบัติ) ถ้าแสดงหรอื รบั ตอ้ งอาบัติทกุ กฏ ๔๔. ถ้าระลึกได้ว่ายังมีอาบัติอยู่ หรือสงสัยว่าจะต้องอาบัติใด ๆ ในขณะฟังปาฏิโมกข์ ใหบ้ อกแกภ่ ิกษุทีอ่ ย่ใู กล้เพ่อื รับทราบไว้ เมือ่ เสรจ็ อุโบสถจะไดท้ �ำคืน ๔๕. ถ้าสงฆ์ต้องอาบัติในเรื่องเดียวกัน (สภาคาบัติ) ท้ังวัด ให้ส่งพระรูปหน่ึงไปแสดง ทวี่ ดั อน่ื ถา้ ไมม่ ีวัดใกลเ้ คยี ง ใหไ้ ปกลบั ภายใน ๗ วนั เพือ่ หาทแี่ สดงอาบตั ิของส่วนรวม ๔๖. ถา้ สงฆท์ ง้ั วดั ตอ้ งอาบตั เิ รอื่ งเดยี วกนั แตไ่ มร่ ชู้ อ่ื หรอื ตน้ เคา้ แหง่ อาบตั ิ ใหส้ อบถาม ภิกษุผู้รู้วินัยท่ีเดินทางมาพัก แล้วแสดงคืนเสีย แต่ถ้าได้ไต่ถามพูดจากันแล้ว ภิกษุทั้งหลาย ยังไมย่ อมแสดงอาบัติ (เพราะยงั ไม่เชื่อ เปน็ ตน้ ) กใ็ ห้ปลอ่ ยไว้ ไมต่ อ้ งวา่ กลา่ ว ๔๗. แล้วทรงแสดงเงื่อนไขในการท�ำอุโบสถที่ไม่ต้องอาบัติเกี่ยวกับไม่รู้ว่ายังมีภิกษุอ่ืน อยอู่ กี จึงท�ำอุโบสถไปก่อน รวม ๑๕ ข้อ ๔๘. แลว้ ทรงแสดงเงอ่ื นไขในการทำ� อโุ บสถทท่ี ำ� ดว้ ยบรสิ ทุ ธใิ์ จ แตก่ ร็ วู้ า่ ยงั มภี กิ ษอุ นื่ อกี ยงั มิได้มาท�ำอโุ บสถ คงปรับอาบัตทิ กุ กฏเฉพาะภิกษุผู้สวด รวม ๑๕ ขอ้ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 322 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๔ มหาวัคค์ วัสสูปนายิกาขันธกะ 323 ๔๙. แล้วทรงแสดงเงื่อนไขในการท�ำอุโบสถ (เหมือนข้อ ๔๘) แต่สงสัยว่าจะเป็นการ ิว ันย ิปฎก ควรหรือไม่ แล้วขนื สวดปาฏิโมกข์ คงปรับอาบัติทกุ กฏเฉพาะผสู้ วด รวม ๑๕ ขอ้ ๕๐. แลว้ ทรงแสดงเงอื่ นไขในการทำ� อุโบสถ (เหมือนข้อ ๔๙) แต่รังเกยี จ หรือข้องใจว่า จะเปน็ การควรหรือไม่ แล้วขืนสวดปาฏิโมกข์ คงปรับอาบตั เิ ฉพาะผสู้ วด รวม ๑๕ ขอ้ ๕๑. แล้วทรงแสดงเงื่อนไขในการท�ำอุโบสถ (เหมือนข้อ ๕๐) แต่มุ่งให้แตกแยกกัน แล้วขนื สวดปาฏโิ มกข์ ปรบั อาบตั ถิ ลุ ลจั จัย (แรงกว่าทกุ กฏ) แกภ่ ิกษุผสู้ วด รวม ๑๕ ข้อ ๕๒. แล้วทรงแสดงเง่ือนไขแบบต้น ๆ ระหว่างภิกษุท่ีอยู่ประจ�ำวัดกับภิกษุที่อยู่ ประจ�ำวัด ระหว่างภิกษุที่อยู่ประจ�ำวัดกับภิกษุอาคันตุกะ ระหว่างภิกษุอาคันตุกะกับภิกษุที่อยู่ ประจำ� วดั และระหวา่ งภิกษอุ าคันตุกะ กบั อาคนั ตกุ ะ รวม ๗๐๐ ข้อ ๕๓. แล้วทรงแสดงเงือ่ นไขการนบั วันอโุ บสถ ๑๔ ค่ำ� หรือ ๑๕ คำ่� ท่ภี ิกษุอยปู่ ระจำ� วัด กบั ภกิ ษอุ าคนั ตกุ ะมคี วามเหน็ แตกตา่ งกนั ใหอ้ นโุ ลมตามภกิ ษขุ า้ งมาก เปน็ ตน้ อกี หลายรอ้ ยขอ้ ๕๔. ในท่ีสุดทรงแสดงหลักการที่มิให้ผู้ไม่สมควรนั่งรวมอยู่ด้วยในการสวดปาฏิโมกข์ ในวันอโุ บสถ รวม ๒๒ ขอ้ ทไี่ มใ่ หส้ วดปาฏโิ มกข์ เชน่ มีนางภิกษุณนี ง่ั อยูด่ ้วย เปน็ ตน้ (หมายเหตุ : การล�ำดับเลขแต่ ๑ ถงึ ๕๔ ข้อนี้ ล�ำดบั เอาเองเพื่ออา่ นเข้าใจงา่ ย ถ้าจะ ลำ� ดบั ให้พิสดารตามท่ีทรงบญั ญัตทิ กุ ข้อ กค็ งจะถึงจำ� นวนพนั ข้อ) ๓. วัสสูปนายิกาขันธกะ (หมวดว่าดว้ ยวนั เขา้ พรรษา) พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เวฬุวนาราม กรุงราชคฤห์ สมัยน้ัน ยังมิได้ทรงบัญญัติ เรอ่ื งการจำ� พรรษา (คอื พกั อยใู่ นวดั ตลอด ๓ เดอื นฤดฝู น) ภกิ ษทุ ง้ั หลายเทย่ี วจารกิ ไปทกุ ฤดกู าล มีผู้ติเตียน ว่าเท่ียวเหยียบต้นหญ้า และเหยียบสัตว์ตาย พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติ พระวินัยใหภ้ กิ ษจุ ำ� พรรษา แลว้ ทรงแสดงว่า วันจำ� พรรษามี ๒ อย่าง คอื วนั จำ� พรรษาต้น และวนั จ�ำพรรษาหลงั (เมอื่ ดวงจนั ทรเ์ สวยฤกษอ์ าสาฬหะลว่ งแลว้ วนั หนงึ่ คอื แรม ๑ คำ�่ เดอื น ๘ เปน็ วนั เขา้ พรรษาตน้ เมือ่ ดวงจันทรเ์ สวยฤกษ์อาสาฬหะลว่ งแลว้ ๑ เดือน คือแรม ๑ คำ่� เดอื น ๙ เป็นวันเข้าพรรษา หลงั ซง่ึ สนั นิษฐานว่า ทรงบญั ญัติตามปีปกตแิ ละปีมีอธกิ มาส จึงมี ๒ อย่าง) แล้วทรงห้ามจาริกไปไหนระหว่าง ๓ เดือนของวันเข้าพรรษาแรกหรือเข้าพรรษาหลัง แลว้ แต่กรณี ทรงปรบั อาบัตทิ ุกกฏแกภ่ กิ ษุผลู้ ่วงละเมดิ แล้วทรงบัญญัติพระวินัย ปรับอาบัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้เม่ือถึงวันเข้าพรรษาแล้วไม่ จำ� พรรษา หรือพบวัดทีจ่ ะจำ� พรรษาแลว้ แกล้งเดนิ ทางเลยไปเสีย PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 323 5/4/18 2:24 PM
324 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ทรงอนมุ ตั กิ ารเลื่อนวันจำ� พรรษา พระเจ้าพิมพิสารทรงส่งทูตไปเฝ้า ขอให้เล่ือนวันจ�ำพรรษาออกไปอีก ในวันเพ็ญหน้า (รวมเปน็ ๑ เดอื น) จงึ ทรงอนญุ าตใหอ้ นวุ ตั ตามพระราชา (สนั นษิ ฐานวา่ ทรงขอใหเ้ ลอื่ นจำ� พรรษา ไปตามวันอธิกมาสทางโลก) ทรงอนญุ าตใหไ้ ปกลบั ภายใน ๗ วนั แล้วทรงอนุญาตให้เดินทางได้ในระหว่างพรรษาโดยให้กลับภายใน ๗ วัน ในเมื่อมี ความจ�ำเป็นเกิดขึ้น ที่เรียกวา่ ”สตั ตาหกรณยี ะ„ ดงั ต่อไปนี้ ๑. ทายกปรารถนาจะบ�ำเพ็ญกุศล ส่งคนมานิมนต์ ในกรณีเช่นน้ี ทรงอนุญาตให้ไป ได้เฉพาะทีเ่ ขาส่งค�ำนิมนตม์ า ถา้ ไม่ส่งคำ� นมิ นต์มา ไมใ่ หไ้ ป ๒. เพ่ือนสหธัมมิก คือผู้บวชร่วมกัน (ภิกษุ ภิกษุณี นางสิกขมานา สามเณร สามเณรี) เป็นไข้ จะส่งคนมานิมนต์หรือไม่ก็ตาม ทรงอนุญาตให้ไปได้ นอกจาก นั้นยังทรงบัญญัติรายละเอียดเก่ียวกับเพ่ือนสหธัมมิกอีก คือเมื่อเพื่อนสหธัมมิก เป็นไข้ ภิกษุปรารถนาจะชว่ ยแสวงหาอาหาร ผู้พยาบาล ยารกั ษาโรค ก็ไปได้ เมอ่ื เพ่ือนสหธัมมิกเกิดความไม่ยินดี เกิดความรังเกียจ หรือเกิดความเห็นผิดขึ้น ไปเพ่ือระงับเหตุน้ัน ๆ เมื่อเพ่ือนสหธัมมิก (เฉพาะภิกษุ ภิกษุณี) ต้อง อาบตั สิ งั ฆาทเิ สส ปรารถนาจะออกจากอาบตั ใิ นขน้ั ใด ๆ กต็ าม หรอื สงฆป์ รารถนา จะท�ำสังฆกรรมลงโทษภิกษุรูปหนึ่ง ภิกษุรูปที่จะถูกลงโทษต้องการให้ไป ก็ไปได้ เพ่ือไกล่เกลี่ยไม่ให้ต้องท�ำกรรม หรือให้ลงโทษเบาลงไป เพื่อให้ปฏิบัติโดย ชอบด้วยพระวินัย เพื่อปลอบใจ เป็นต้น หรือเม่ือนางสิกขมานาหรือสามเณร ปรารถนาจะบวช ไปเพื่อช่วยเหลอื ในการนนั้ ๓. มารดา บิดา พีน่ ้อง หรอื ญาติ เปน็ ไข้ ส่งคนมานิมนตห์ รือไม่ รู้เข้า ไปได้ ๔. วิหารชำ� รุด ไปเพอื่ หาสิ่งของมาปฏสิ งั ขรณ์ ขาดพรรษาทไี่ มต่ อ้ งอาบัติ เมื่อมีเหตุเกิดข้ึน ไม่สามารถจะจ�ำพรรษาในที่น้ัน ๆ ต่อไปได้ ทรงอนุญาตให้ไม่ต้อง อาบตั ิ ดงั ต่อไปนี้ ๑. ถกู สัตวร์ า้ ยรบกวน ถูกโจรปลน้ วิหารถูกไฟไหม้ หรือถกู นำ�้ ทว่ ม ๒. ชาวบ้านถูกโจรปล้น อพยพหนีไป ทรงอนุญาตให้ไปกับเขาได้ ชาวบ้านแตกกัน เปน็ ๒ ฝ่าย ทรงอนญุ าตใหไ้ ปกบั ฝ่ายข้างมากได้ หรอื ถ้าฝ่ายข้างมากไมม่ ีศรทั ธา เล่ือมใสกท็ รงอนญุ าตให้ไปกับฝ่ายขา้ งนอ้ ยทมี่ ีศรัทธาเลอ่ื มใส PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 324 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๔ มหาวัคค์ ปวารณาขันธกะ 325 ๓. ขาดแคลนอาหารหรอื ยารกั ษาโรค หรอื ขาดผบู้ ำ� รงุ ไดร้ บั ความลำ� บาก ทรงอนญุ าต ใหไ้ ปได้ ๔. มผี ู้เอาทรัพย์มาลอ่ ทรงอนุญาตให้ไปใหพ้ น้ ได้ ๕. ภิกษุสงฆ์หรือภิกษุณีสงฆ์แตกกัน หรือมีผู้พยายามให้แตกกัน หรือท�ำให้ แตกกันแลว้ ไปเพ่ือหาทางระงบั ได้ ทรงอนุญาตการจ�ำพรรษาในทีบ่ างแห่ง ิว ันย ิปฎก มภี กิ ษบุ างรปู ประสงคจ์ ะจำ� พรรษาในบางทบ่ี างแหง่ ตา่ ง ๆ กนั ทรงผอ่ นผนั ใหจ้ ำ� พรรษา ได้ คือ ๑. ในคอกสัตว์ (อยู่ในท่ขี องนายโคบาล) ๒. เม่ือคอกสตั วย์ ้ายไป ทรงอนุญาตใหย้ ้ายตามไปได้ ๓. ในหมู่เกวยี น ๔. ในเรอื ทรงห้ามจำ� พรรษาในที่ไม่สมควร ทรงห้ามการจ�ำพรรษาในทไี่ มส่ มควร คือ ๑. ในโพรงไม้ ๒. บนก่งิ หรือคา่ คบไม้๑ ๓. กลางแจ้ง ๔. ไมม่ ีเสนาสนะ (คือทน่ี อนทนี่ ัง่ ) ๕. ในโลงผี ๖. ในกลด๒ (เชน่ เตน๊ ทข์ องนายโคบาล) ๗. ในตมุ่ ข้อหา้ มอนื่ ๆ ๑. ห้ามต้ังกติกาที่ไม่สมควร เชน่ ไม่บวชสามเณรใหใ้ นพรรษา ๒. ห้ามรบั ปากว่าจะจ�ำพรรษาในท่ใี ดแล้ว ไม่จำ� พรรษาในท่นี ้ัน ๔. ปวารณาขันธกะ (หมวดว่าดว้ ยปวารณา) เล่าเร่ืองภิกษุท่ีจ�ำพรรษาในแคว้นโกศล ต้ังกติกา ไม่พูดกัน ใช้วิธีบอกใบ้ หรือใช้มือ แทนค�ำพูด เมื่อออกพรรษาแล้วไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ตรัสถาม ทราบความแล้ว ก็ทรง ติเตียน และทรงอนุญาตการปวารณา (คือการอนุญาตให้ภิกษุอ่ืนว่ากล่าวตักเตือนได้) ในเม่ือ ๑ ง่ามตน้ ไมท้ ีก่ ิ่งใหญ่กับลำ� ต้น แยกจากกนั - ม.พ.ป. ๒ อรรถกถาแกว้ า่ ต้ังเสา ๔ เสา แลว้ เอาร่มหรอื กลดทาบลงไปบนเสานนั้ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 325 5/4/18 2:24 PM
326 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ จ�ำพรรษาแล้ว โดยให้สวดประกาศตั้งญัตติ แล้วให้ภิกษุพรรษาแก่กว่าปวารณาก่อน ๓ ครั้ง ภิกษุพรรษาออ่ นปวารณาทีหลงั ทรงห้ามไม่ให้น่ังลงกับพื้น (คงนั่งกระหย่ง) จนกว่าจะปวารณาเสร็จ คือให้ทุกรูป นงั่ กระหย่ง รปู ไหนเสร็จก่อนกน็ ั่งลงกบั พืน้ ได้ ทรงแสดงวันปวารณาว่ามี ๒ คือ วัน ๑๔ ค่�ำ และ ๑๕ ค�่ำ และทรงแสดงปวารณา ๔ อย่าง คือปวารณาแยกกันที่ไม่เป็นธรรม ปวารณารวมกันท่ีไม่เป็นธรรม ปวารณาแยกกัน ทีเ่ ป็นธรรม ปวารณารวมกนั ทีเ่ ป็นธรรม แลว้ ตรัสสอนใหป้ วารณาเฉพาะรวมกันทเ่ี ป็นธรรม แล้วทรงแสดงการบอกปวารณา (ใช้ให้ผู้อ่ืนปวารณาแทน) ของภิกษุผู้เป็นไข้ มีลักษณะคลา้ ยบอกบรสิ ทุ ธิห์ รอื ฉันทะในเรอ่ื งปาฏิโมกข์ และทรงอนุญาตให้ปวารณาเป็นการสงฆ์ต่อเม่ือมีภิกษุ ๕ รูปข้ึนไป ภิกษุ ๔ รูป ลงมาถึง ๒ รูป ให้ปวารณากันเอง (เป็นส่วนบุคคล) ถ้ามีรูปเดียวให้อธิษฐาน คือตั้งใจว่าวันน้ี เป็นวันปวารณา ทรงแสดงการปวารณาไปโดยไมร่ วู้ า่ ยงั มภี กิ ษอุ น่ื มาไมค่ รบ ๑๕ ประเภททไ่ี มต่ อ้ งอาบตั ิ และแสดงเงื่อนไขอน่ื ๆ เหมือนเรอ่ื งอโุ บสถ อนงึ่ ทรงแสดงวา่ เม่ือมีเหตุจำ� เปน็ จะปวารณา ๓ คร้ังไมไ่ ด้ ก็ทรงอนุญาตใหป้ วารณา ๒ คร้ัง หรือครั้งเดียวได้ และให้ภิกษุผู้มีพรรษาเท่ากันปวารณาพร้อมกันได้ (การปวารณาน้ัน คืออนญุ าตให้ว่ากล่าวตกั เตือนได้ ดว้ ยไดเ้ หน็ กต็ าม ได้ฟังก็ตาม หรอื นึกรงั เกยี จสงสัยกต็ าม) อน่ึง ทรงห้ามภิกษุท่ียังมีอาบัติมิให้ปวารณา ถ้าขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ ทรงอนุญาตให้ขอโอกาสแล้วโจทอาบัติได้ ถ้าภิกษุผู้ต้องอาบัติ ไม่ยอมให้โอกาสเพื่อโจทอาบัติ ให้สงฆ์สวดประกาศหยุดการปวารณาไว้ อ้างเหตุว่า ผู้น้ันผู้น้ียังมีอาบัติอยู่ แล้วทรงแสดง ลกั ษณะทห่ี ยุดการปวารณาไว้ หรอื หยุดไมไ่ ด้ (เพราะปวารณาไปแลว้ ) เป็นตน้ มีภิกษุที่อ่ืนประสงค์จะมาก่อการทะเลาะ หรือก่อให้เกิดอธิกรณ์ ทรงอนุญาตให้รีบ ปวารณาเสียให้เสร็จก่อนที่ภิกษุเหล่านั้นจะมา ถ้าท�ำอย่างนั้นไม่ได้ ให้สวดปาฏิโมกข์แทน โดยเลอ่ื นวนั ปวารณาออกไปอีกปกั ษ์หนึ่ง (๑๕ วนั ) ถา้ ภกิ ษุท่ีก่อเรือ่ งยงั พักอยจู่ นถงึ ปวารณาที่ เลื่อนไปน้ัน ให้สวดประกาศเลื่อนการปวารณาออกไปได้อีกปักษ์หนึ่ง แล้วสวดปาฏิโมกข์แทน ถา้ ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั ยงั พกั อยอู่ กี แมไ้ มป่ ระสงคจ์ ะปวารณา กต็ อ้ งปวารณาหมดทกุ รปู (เลอ่ื นอกี ไมไ่ ด)้ สงฆ์อยู่ด้วยกันเป็นผาสุก ถ้าปวารณาแล้วจะแยกย้ายจากกันไป ทรงอนุญาตให้ เล่อื นวันปวารณาไปไดอ้ ีก ๑ เดือน จบความยอ่ แห่งพระไตรปฎิ ก เลม่ ๔ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 326 5/4/18 2:24 PM
เลม่ ๕ มหาวัคค์ ภาค ๒ ได้กล่าวแล้วว่า มหาวัคค์ มี ๒ เล่ม คือเล่ม ๔ กับเล่ม ๕ ในเล่ม ๔ ที่ย่อจบมาแล้ว มี ๔ หมวด หรือ ๔ ขันธกะ แตใ่ นเลม่ ๕ มี ๖ หมวด หรือ ๖ ขนั ธกะ (รวมทั้งส้นิ ในมหาวัคค์ จงึ มี ๑๐ ขันธกะ) ดงั น้ี ๑. จัมมขันธกะ (หมวดว่าด้วยหนัง) ในหมวดนี้เล่าประวัติของพระโสณโกฬิวิสะ บตุ รเศรษฐี ผอู้ อกบวชแลว้ บำ� เพญ็ เพยี รจนเทา้ แตก ทรงอนญุ าตใหใ้ ชร้ องเทา้ หญา้ ช้ันเดียว ห้ามใช้รองเท้าสีต่าง ๆ และห้ามใช้รองเท้าหนังสัตว์ท่ีไม่ควรต่าง ๆ ทรงแสดงเรื่องมารยาทในการใช้รองเท้าว่าอย่างไรเป็นเสียความเคารพ อย่างไร ไม่เสีย ทรงห้ามรองเท้าไม้ ห้ามใช้ยานท่ีไม่สมควร ห้ามใช้ที่น่ังท่ีนอนอันสูงใหญ่ ห้ามใช้หนังแผ่นใหญ่ เรื่องของพระโสณกุฏิกัณณะผู้อยู่ในแคว้นอวันตี และ กำ� หนดเขตชนบทภาคกลางและชนบทชายแดน ๒. เภสชั ชขนั ธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยยารกั ษาโรค) กลา่ วถงึ ยาตา่ งชนดิ เลา่ เรอื่ งพระเวลฏั ฐสสี ะ พระปิลินทวัจฉะ ทรงอนุญาตการผ่าตัด ทรงอนุญาตยา ๔ ชนิดและยาสมอ ดองด้วยน�้ำมูตร ทรงอนุญาตคนท�ำงานวัด อนุญาตเภสัช ๕ เล่าเรื่อง พระกังขาเรวตะ พระผู้มีพระภาคทรงประชวรโรคลมในท้อง ห้ามเก็บอาหาร และหุงต้มในที่อยู่ เร่ืองเนื้อที่ไม่สมควรฉัน การเสด็จสู่ปาฏลิคาม เร่ือง นางอัมพปาลี เร่ืองน้�ำด่ืม ๘ อย่างและเรอื่ งกาลกิ ๔ ๓. กฐินขันธกะ (หมวดว่าด้วยกฐิน) กล่าวถึงต้นเหตุทรงอนุญาตกฐิน อานิสงส์ ๕ เมื่อได้กราล๑ กฐิน กฐินไม่เป็นอันกราล ข้อก�ำหนด ๘ อย่างในการเดาะกฐิน (รื้อไม้สะดงึ ) ความกังวลและไมก่ งั วลเกย่ี วกบั กฐนิ ๔. จีวรขันธกะ (หมวดว่าด้วยจีวร) กล่าวถึงเรื่องราวต่าง ๆ ต้ังแต่ทรงอนุญาตให้รับ จีวรได้ ตลอดจนผ้าท่ีจะใช้หลายชนิด กับทั้งผ้าท่ีเกิดข้ึนโดยผู้ถวายต้ังเง่ือนไขไว้ ต่าง ๆ ๕. จัมเปยยขันธกะ (ว่าด้วยเหตุการณ์ในกรุงจัมปา) ว่าด้วยการท�ำกรรมของสงฆ์ ตา่ งชนดิ สว่ นใหญเ่ ปน็ เรอื่ งลงโทษ เชน่ อกุ เขปนยี กรรม (การยกขน้ึ จากหม)ู่ เปน็ ตน้ ๖. โกสัมพิขันธกะ (ว่าด้วยเหตุการณ์ในกรุงโกสัมพี) ส่วนใหญ่กล่าวถึงเร่ืองสงฆ์ แตกสามัคคกี ัน แล้วทรงแสดงวิธปี รองดองของสงฆใ์ นทางพระวนิ ยั ๑ กราล คอื ลาดผ้าลงกับไมส้ ะดึง : กฐิน เปน็ ชือ่ ของไมส้ ะดึง คอื ไม้แบบส�ำหรับตัดจีวร PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 327 5/4/18 2:24 PM
328 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ขยายความ ๑. จมั มขนั ธกะ (หมวดว่าดว้ ยหนัง) พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์ พระเจ้าพิมพิสารจอมทัพ แคว้นมคธ ทรงเรียกประชุมชาวบ้านจ�ำนวนมากที่อยู่ภายใต้การปกครองของพระองค์ ได้ทรง ทราบข่าวว่า บุตรเศรษฐีช่ือ โสณโกฬิวิสะมีขนขึ้นที่พ้ืนเท้า ก็ทรงใคร่จะได้เห็น จึงตรัสให้ไป เฝ้า ทอดพระเนตรแล้ว กท็ รงสั่งสอนชาวบา้ นเหล่านนั้ ด้วยเรื่องประโยชนป์ จั จุบันแล้ว ใหบ้ ุคคล เหลา่ นนั้ ไปเฝ้าพระผูม้ พี ระภาค เพ่อื สดบั เร่ืองประโยชน์อนาคต พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงอนุปุพพิกถา (ถ้อยค�ำท่ีกล่าวโดยล�ำดับ คือเรื่องทาน ศีล สวรรค์ โทษของกาม อานิสงส์ในการออกจากกาม) และอริยสัจจ์ ๔ ประการ ชาวบ้าน เหล่านน้ั ปฏญิ าณตนเป็นอบุ าสก ถงึ พระรัตนตรัยตลอดชีวติ ส่วนโสณโกฬิวิสะขอบวช เม่ือบวชแล้วมีความเพียรเดินจงกรม (เดินไปมาก�ำหนด ขอ้ ฝกึ หัดจติ ใจ) จนเท้าแตกโลหติ ไหล พระผ้มู ีพระภาคทรงทราบว่าพระโสณโกฬวิ สิ ะเมอื่ ยงั ไม่ บวชเคยดีดพิณ จึงทรงแสดงธรรมให้เดินสายกลาง ไม่ตึงเกินไป ไม่หย่อนเกินไป เหมือน สายพิณทขี่ งึ แต่พอดี ย่อมดีดดังไพเราะ พระโสณโกฬวิ สิ ะปฏบิ ัตติ ามกไ็ ด้บรรลพุ ระอรหตั ตผล ทรงอนุญาตรองเทา้ ใบไม้ พระผมู้ พี ระภาคทรงเหน็ พระโสณโกฬวิ สิ ะ เปน็ ผสู้ ขุ มุ าล (ละเอยี ดออ่ น) กท็ รงอนญุ าต ให้ใช้รองเท้าใบไม้ชั้นเดียว พระโสณะเกี่ยงว่า ถ้าอนุญาตแก่สงฆ์เป็นส่วนรวม ท่านจึงจะใช้ จึงทรงอนุญาตรองเทา้ ทท่ี ำ� ดว้ ยใบไมช้ ั้นเดยี ว หา้ มใชช้ นิดท่ที �ำ ๒ - ๓ ชั้นหรอื ซ้อนหลายช้นั ทรงห้ามรองเทา้ ทไ่ี ม่ควร ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ใ์ ช้รองเท้าสีตา่ ง ๆ มีผ้ตู ิเตียน จึงทรงหา้ มใช้ เธอใช้หรู องเท้า (ประกอบ รองเท้าคีบ) สีต่าง ๆ มีผู้ติเตียน ก็ทรงห้ามอีก เธอยักย้ายไปใช้รองเท้าลักษณะต่าง ๆ เช่น รองเท้าปิดส้น ปิดหลังเท้า และท่ีสวยงาม ประดับประดาต่าง ๆ ซึ่งเป็นของคฤหัสถ์ใช้กัน ก็ทรงห้ามท้ังหมด นอกจากนั้น ยังทรงห้ามใช้รองเท้าหนังสัตว์ที่ไม่ควรต่าง ๆ ซ่ึงคฤหัสถ์สมัย นั้นใชก้ นั เชน่ รองเทา้ ท�ำด้วยหนังราชสีห์ เสือโคร่ง อูฐ เปน็ ต้น ขอ้ อนุญาตและขอ้ ห้ามเกย่ี วกับรองเท้า ๑. ทรงอนุญาตรองเท้าหลายช้นั ทคี่ นอ่นื ใชแ้ ล้ว หา้ มใชท้ ีเ่ ปน็ ของใหม่ ๒. ถ้าภิกษุผู้เป็นอาจารย์ หรือปูนอาจารย์ เป็นอุปัชฌายะ หรือปูนอุปัชฌายะ ไมส่ รวมรองเท้าเดินจงกรม หา้ มภกิ ษุใช้รองเท้า เดินจงกรม PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 328 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๕ มหาวัคค์ จัมมขันธกะ 329 ๓. ทรงห้ามใช้รองเท้าในวัด ภายหลังทรงอนุญาตให้ใช้ได้ รวมท้ังทรงอนุญาตให้ใช้ ิว ันย ิปฎก คบเพลงิ ประทีปและไมเ้ ทา้ (เพ่อื ไม่เหยียบหนาม เหยยี บตอ และเพ่อื สะดวกในเวลากลางคืน) ๔. ทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษทุ ่ีเจ็บเท้า เทา้ แตก หรือมโี รคท่ีเทา้ ใช้รองเทา้ ได้ ๕. จะขน้ึ เตยี ง ขน้ึ ตง่ั กท็ รงอนญุ าตใหใ้ ชร้ องเทา้ ได้ (เพอ่ื วา่ ลา้ งเทา้ ใหม่ ๆ นำ�้ ทตี่ ดิ เทา้ และผงตา่ ง ๆ จะได้ไม่ทำ� ใหเ้ ตียงตัง่ เสียหาย) ๖. ห้ามใชร้ องเทา้ ไม้ (เพราะมเี สยี งดัง) ๗. ห้ามใช้รองเท้าท�ำด้วยใบตาลและใบไผ่ (เพราะพระเที่ยวขอให้เขาตัดต้นตาล และต้นไผท่ ยี่ ังรุน่ ) ๘. ห้ามใช้รองเท้าหญ้าและรองเท้าใบไม้หลายชนิด ตลอดจนรองเท้าท�ำด้วยเงินทอง เพชรพลอย และโลหะต่าง ๆ (เพราะมัวยุ่งอยู่ด้วยเร่ืองรองเท้า ไม่เป็นอันเล่าเรียนหรือ ประพฤตปิ ฏบิ ัต)ิ ๙. ทรงอนญุ าตเขยี งเทา้ ทต่ี รงึ ตดิ กบั ที่ สำ� หรบั ใชใ้ นการถา่ ยอจุ จาระ ปสั สาวะ และชำ� ระ ทงั้ หมดน้ี ถ้าล่วงละเมิด ตอ้ งอาบัตทิ กุ กฏ ขอ้ ห้ามเกยี่ วกับโคตวั เมีย๑ เขาน�ำโคตัวเมียข้ามล�ำน้�ำอจิรวดี ภิกษุฉัพพัคคีย์เท่ียวจับท่ีเขาบ้าง หูบ้าง คอบ้าง หางบ้าง ขึ้นขี่หลังบ้าง ถูกต้ององคชาตด้วยจิตก�ำหนัดบ้าง จับลูกโคกดน้�ำให้ตายบ้าง มีผู้ติเตียนอ้ือฉาว จึงทรงห้ามท�ำเช่นน้ัน ถ้าขืนท�ำ ให้ปรับอาบัติตามควรแก่กรณี (มีสิกขาบท ในที่อืน่ ห้ามเป็นข้อ ๆ อยแู่ ล้ว การห้ามในทน่ี จี้ ึงไมร่ ะบอุ าบตั ไิ ว้) ขอ้ ห้ามเกย่ี วกบั ยาน ทรงหา้ มไปดว้ ยยาน เวน้ แตจ่ ะไมส่ บาย ทรงอนญุ าตทม่ี ผี ชู้ ายลาก ทรงอนญุ าตคานหาม มีตัง่ นั่ง และเปลผา้ ท่เี ขาผกู ติดกบั ไม้คาน (ในเรือ่ งนี้ เป็นการห้ามตามความรังเกยี จของประเทศ คือคนในสมัยนั้นเห็นพระนั่งยานก็พากันค่อนขอดติเตียน จึงทรงห้ามเพ่ือตัดปัญหา แต่ก็ทรง อนญุ าตเมือ่ มีเหตผุ ลสมควร ส่วนการอนญุ าตคานหาม เปลหาม ก็เพอ่ื สะดวกในยามเจบ็ ไข)้ ๑ ท่านผู้อ่านโปรดทราบว่า ข้อห้ามเหล่านี้หรือในวินัยโดยมาก ต้องมีใครท�ำอะไรที่เป็นต้นบัญญัติแล้วไม่ดีไม่งาม มีผู้ติเตยี น จงึ ทรงหา้ มเป็นคราว ๆ ไป คอื ห้ามตามเหตกุ ารณ์ทเี่ กิดขนึ้ มใิ ช่ทรงคิดห้ามเอง โดยไมม่ เี หตเุ กิดขนึ้ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 329 5/4/18 2:24 PM
330 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ข้อหา้ มเกีย่ วกับท่ีนั่งทน่ี อน ทรงหา้ มท่ีนงั่ ทนี่ อนอันสูงใหญ่ ท่ีมลี กั ษณะวิจติ รงดงาม เปน็ ของใชค้ ฤหสั ถ์ และห้าม ใช้หนังสัตวข์ นาดใหญ่ ๆ (สำ� หรบั ปนู ง่ั หรือนอน) เช่นคฤหสั ถ์ ภายหลังมีภกิ ษุตอ้ งการใช้หนังโค และมีผู้ฆ่าโคน�ำหนังมาถวาย จึงทรงห้ามใช้หนังสัตว์ทุกชนิด เว้นไว้แต่น่ังบนของท่ีคฤหัสถ์ เขามไี วใ้ ช้ แตไ่ มใ่ หน้ อนบนนน้ั (วนิ ยั ขอ้ นเี้ พอ่ื ปอ้ งกนั มใิ หพ้ ระมเี ครอ่ื งนง่ั นอนหรหู ราแบบคฤหสั ถ์ แต่ในกรณีท่ีเขานิมนต์ให้นั่งบนที่นั่งของเขาท่ีมีอยู่โดยปกติ ก็ทรงอนุญาต) นอกจากน้ัน ทรงอนุญาตให้ใชห้ นังสัตวท์ เ่ี ขาท�ำเป็นเชอื กผกู ห้ามสรวมรองเท้าเข้าบา้ น ทรงห้ามสรวมรองเทา้ เข้าบา้ น เว้นแตป่ ว่ ยไข้ (ทงั้ น้เี พราะมนุษยท์ ง้ั หลายพากันตเิ ตียน ภิกษฉุ ัพพัคคียผ์ ทู้ �ำเชน่ น้ัน เห็นไดว้ ่าบัญญตั ินี้ อนุโลมตามความนยิ มหรือไม่นยิ มของกลุม่ ชน) พระโสณกฏุ กิ ณั ณะ๑ โสณกุฏิกัณณะอุบาสก ใคร่จะบวช จึงไปหาพระมหากัจจานะ ขอให้ช่วยสงเคราะห์ บวชให้ ท่านเห็นว่าล�ำบากที่จะประพฤติปฏิบัติจึงห้ามไว้ คร้ังท่ีสองเม่ือขอบวชอีกและเห็นว่า ต้ังใจแน่วแน่ จึงบวชเป็นสามเณรให้ และกว่าจะหาภิกษุประชุมครบ ๑๐ รูป เพ่ือบวชเป็น ภิกษุให้ก็ล�ำบากยิ่งนัก เพราะในชนบทกันดารเช่นน้ันมีภิกษุน้อย พระโสณกุฏิกัณณะบวชแล้ว มาเฝ้าพระพุทธเจ้า น�ำค�ำขอร้องของพระมหากัจจานเถระผู้เป็นอุปัชฌายะมากราบทูลหลายข้อ เกี่ยวด้วยการผ่อนผันพระวนิ ยั บางประการสำ� หรบั เขตกันดาร ขอ้ อนุญาตสำ� หรับชนบทชายแดน ๑. ทรงอนุญาตให้อุปสมบทกุลบุตรในชนบทชายแดน (ปัจจันตชนบท) ท้ังปวง ดว้ ยภิกษุเปน็ คณะเพยี ง ๕ รูป (ปกตใิ ห้ใช้ ๑๐ รูป) ๒. ทรงก�ำหนดชนบทภาคกลาง (มัชฌมิ ชนบท) ดงั น้ี คือ ทิศตะวนั ออก ภายในแต่มหาสาลนครเข้ามา ทิศตะวันออกเฉยี งใต้ ภายในแต่แม่น�้ำสลั ลวตเี ขา้ มา ทิศใต้ ภายในแต่เสตกณั ณนิคมเขา้ มา ทศิ ตะวันตก ภายในแตห่ มูบ่ ้านพราหมณ์ชอื่ ถนู ะเขา้ มา ทิศเหนอื ภายในแต่ภูเขาอุสีรธชะเข้ามา ท้ังหมดน้ีร่วมในมัชฌิมชนบท พ้นเขตนั้นออกไปเป็นปัจจันตชนบท ทรงอนุญาต ใหภ้ ิกษุ ๕ รูป บวชกลุ บตุ รได้ ๑ เรอ่ื งของท่านผ้นู ี้ มกี ลา่ วไว้บ้างแล้วในหนา้ ๗ แต่ในท่ีน้นั น�ำมาเล่าจากพระไตรปฎิ ก เล่ม ๒๕ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 330 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๕ มหาวัคค์ เภสัชชขันธกะ 331 ๓. ทรงอนุญาตใหใ้ ช้รองเทา้ หลายชัน้ ได้ (เพราะแผ่นดนิ ขรขุ ระเปน็ ระแหง) ิว ันย ิปฎก ๔. ทรงอนญุ าตใหอ้ าบน้�ำไดป้ ระจำ� (ดสู ิกขาบทที่ ๗ สรุ าปานวรรค หนา้ ๑๗๓) ๕. ทรงอนุญาตให้ใช้หนังแกะ หนังแพะ หนังเน้ือ เป็นเคร่ืองลาดได้ ตามท่ีมีใช้กัน อยู่ในเขตนัน้ ๖. ทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่นอกสีมารับจีวรที่เขาถวายได้ โดยยังไม่ต้องนับวัน ตราบเวลาทผี่ า้ ยงั ไมถ่ งึ มอื ภกิ ษุ (เพราะมขี อ้ หา้ มมใิ หภ้ กิ ษเุ กบ็ จวี รทเี่ กนิ กวา่ ๓ ผนื ซงึ่ เกนิ จำ� เปน็ ส�ำหรับใช้ประจ�ำไว้เกิน ๑๐ วัน ต้องวิกัป คือท�ำให้เป็นสองเจ้าของ จึงเก็บไว้ได้ และถ้าจีวร ประจำ� ไม่มี ก็ต้องอธิษฐานจีวรใหมเ่ ปน็ จีวรประจ�ำ) ๒. เภสชั ชขันธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยยา) ทรงอนญุ าตเภสัช ๕ และอนื่ ๆ (๑) ภิกษุหลายรูปอาพาธ ดื่มข้าวยาคู หรือฉันอาหารก็อาเจียนออก (เพราะอาหาร ไม่ย่อย) จึงซูบผอม พระผู้มีพระภาคจึงทรงอนุญาตเนยใส น้�ำมัน น�้ำผึ้ง น�้ำอ้อย ให้ฉันได้ ทั้งในกาล (ก่อนเที่ยง) และในวกิ าล (เทย่ี งแลว้ ไป) (๒) ทรงอนญุ าตเปลวสตั ว์หลายอย่าง ใหเ้ คย้ี วบรโิ ภคเป็นเภสัชได้เฉพาะในกาล (๓) ทรงอนุญาตให้ฉันมูลเภสัช (ยาที่เป็นหัวหรือเหง้าไม้) เช่น ขมิ้น ขิง เป็นต้น ได้ตลอด ไม่ก�ำหนดกาล แต่ต้องมีเหตุสมควร ถ้าไม่มีเหตุสมควร ต้องอาบัติทุกกฏ ส�ำหรับ ภกิ ษผุ ูอ้ าพาธ ทรงอนญุ าตให้ใชห้ ินบดบดได้ (๔) ทรงอนุญาตให้ฉันกสาวเภสัช (ยาที่เป็นน�้ำฝาดจากต้นไม้) ได้ตลอดชีวิต ในเม่ือ มเี หตสุ มควร (๕) ทรงอนญุ าตใหฉ้ นั ปณั ณเภสชั (ใบไมท้ เ่ี ปน็ ยา) ไดต้ ลอดชวี ติ ในเมอื่ มเี หตสุ มควร (๖) ทรงอนุญาตให้ฉันผลเภสัช (ผลไม้ท่ีเป็นยา) เช่น ดีปลี สมอ มะขามป้อม ไดต้ ลอดชีวติ เม่ือมเี หตุสมควร (๗) ทรงอนุญาตให้ฉันชตุเภสัช (ยางไม้ที่เป็นยา) เช่น มหาหิงคุ์ ได้ตลอดชีวิต เม่ือมเี หตสุ มควร (๘) ทรงอนุญาตโลณเภสัช (เกลือท่ีเป็นยา) เช่น เกลือสมุทร เกลือสินเธาว์ ไดต้ ลอดชีวติ เม่ือมีเหตุสมควร (๙) ทรงอนุญาตให้ใช้ยาผง ในเม่ือเป็นแผลพุพอง หรือกล่ินตัวแรง เพ่ือมิให้แผล ตดิ จวี ร ส�ำหรับภกิ ษผุ ูไ้ มอ่ าพาธ ทรงอนุญาตใหใ้ ชม้ ูลโค (แหง้ ) ดิน (แหง้ ) และกากเครอื่ งยอ้ ม ทรงอนญุ าตครก สาก และแล่ง (สำ� หรับร่อนยาผง) เพื่อการน้ี PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 331 5/4/18 2:24 PM
332 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ (๑๐) ทรงอนุญาตเนอ้ื สตั วด์ บิ โลหิตดบิ ในเมอ่ื อาพาธ เนือ่ งดว้ ยอมนุษย์ (๑๑) ทรงอนญุ าตยาตา และกลกั ยาตา ส�ำหรับภิกษุผ้อู าพาธเป็นโรคตา แตห่ า้ มมใิ ห้ใช้ กลกั ยาตา ทท่ี ำ� ดว้ ยเงนิ ทองแบบของคฤหสั ถ์ กบั ทรงอนญุ าตฝาปดิ กลกั ยาตา และใหใ้ ชด้ า้ ยพนั กันฝาตก กับทรงอนุญาตให้ใช้ไม้ป้ายยาตาและถุงใส่ไม้ป้ายยาตา รวมท้ังสายส�ำหรับ สะพายคล้องบา่ (๑๒) ทรงอนุญาตให้ทาน้�ำมันท่ีศีรษะ เม่ือเป็นโรคร้อนศีรษะ และอนุญาตให้นัตถุ์ยา และกล้องยานัตถุ์ แต่กล้องยานัตถุ์ ห้ามใช้ท่ีท�ำด้วยทองเงินหรืองดงามแบบของคฤหัสถ์ ทรงอนุญาตกลอ้ งยานตั ถุ์ที่มีหลอดคู่ ทรงอนญุ าตใหส้ ดู ควัน (ของยา) ทางจมกู ทรงอนุญาต กล้องยาสูบ (ท่ีใช้รักษาโรค) แต่ไม่ให้ใช้กล้องท่ีท�ำด้วยทองเงินหรืองดงามแบบคฤหัสถ์ ทรงอนญุ าตใหม้ ีเครือ่ งปดิ กล้องยาสบู (เพ่ือกันสัตวเ์ ข้าไปขา้ งใน) ทรงอนุญาตถงุ ใสก่ ล้องยาสูบ และถุงคู่ รวมทง้ั สายส�ำหรบั สะพายคลอ้ งบ่า (๑๓) ทรงอนุญาตให้เคี่ยวน้�ำมัน (ท�ำยา) และทรงอนุญาตให้เติมน้�ำเมาลงในน�้ำมันที่ จะท�ำยาได้ โดยมีเง่ือนไขว่า น�้ำเมาท่ีใส่นั้น สีกลิ่นรสไม่ปรากฏ ทรงอนุญาตภาชนะส�ำหรับ ใส่น�้ำมันท่ีท�ำด้วยโลหะ หรือผลไม้ ทรงอนุญาตการท�ำให้เหง่ือออก ตั้งแต่อย่างธรรมดาถึง อย่างเข้ากระโจม โดยมีถาดน�้ำรอ้ นอยู่ในนั้น (๑๔) ทรงอนญุ าตใหน้ ำ� เลอื ดออกดว้ ยใชเ้ ขาควายดดู (คอื การกอก ไดแ้ กเ่ จาะเลอื ดออก เล็กน้อย แล้วใช้เขาควายกดลงไปให้ดูดเลือดออก ในอรรถกถาไม่ได้บอกว่าต้องจุดไฟด้วย หรือไม่ ตามธรรมดาการท�ำเช่นน้ีจะต้องจุดไฟที่เศษกระดาษหรือเช้ือไฟอ่ืน ๆ เพ่ือไล่อากาศ เขาควายจงึ มีแรงดูด) (๑๕) ทรงอนญุ าตยาทาเทา้ เมอื่ เทา้ แตก และอนุญาตใหป้ รงุ ยาทาเทา้ ได้ (๑๖) ทรงอนญุ าตการผา่ ฝี และอนญุ าตกระบวนการทงั้ ปวงทเี่ นื่องด้วยแผลผ่าตัดน้ัน (๑๗) ทรงอนุญาตยา ๔ ชนดิ ในขณะถูกงกู ดั คอื มตู ร (ปสั สาวะ) คถู (อจุ จาระ) ขีเ้ ถา้ และดินในขณะรีบดว่ นเช่นนน้ั ถ้าไม่มีคนทำ� ให้ ใหถ้ อื เอาเองแล้วฉนั ได้ ไม่เปน็ อาบตั ิ (ยาชนิดนี้ จะเพ่ือให้อาเจียนหรอื อยา่ งไร ไม่มบี อกไว)้ (๑๘) ทรงอนญุ าตยาและอาหารออ่ นบางอยา่ งตามควรแกโ่ รคและความตอ้ งการทจี่ ำ� เปน็ เช่น น้�ำด่างจากข้ีเถ้าของข้าวสุกเผา แก้โรคท้องอืด สมอดองน�้ำมูตรโค แก้โรคผอมเหลือง การทาตัวด้วยของหอม แก้โรคผิวหนัง น�้ำข้าวใส น�้ำถ่ัวต้มที่ไม่ข้น น�้ำถ่ัวต้มท่ีข้นเล็กน้อย นำ้� เนอื้ ตม้ (เป็นการผ่อนผนั ให้เหมาะแกอ่ าพาธ) PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 332 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๕ มหาวัคค์ เภสัชชขันธกะ 333 ทรงห้ามเกบ็ เภสัช ๕ ไว้เกิน ๗ วนั ิว ันย ิปฎก มนุษย์ทั้งหลายเลื่อมใสพระปิลินทวัจฉะ ในฐานะมีอ�ำนาจจิตสูง ใช้อ�ำนาจจิตได้ หลายอย่าง พากันถวายเภสัช ๕ คือ เนยใส เนยข้น น�้ำมัน น้�ำผ้ึง น�้ำอ้อย เป็นอันมาก ท่านก็แบ่งถวายภิกษุผู้เป็นบริษัทของท่าน ภิกษุเหล่าน้ันเก็บของเหล่านี้ใส่ผ้ากรองบ้าง ใส่ถุงบ้าง แขวนไว้บ้าง พาดที่หน้าต่างบ้าง มีหนูรบกวนมาก เป็นท่ีติเตียนของคนท้ังหลาย พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติว่า ภิกษุรับเภสัช ๕ แล้ว จะเก็บไว้บริโภคได้ไม่เกิน ๗ วัน ถ้าล่วงก�ำหนดนั้นไป ให้ปรับอาบัติตามควร (คืออาบัติปาจิตตีย์ ส่วนอาหารห้ามเก็บไว้ค้างคืน เพ่ือจะฉันแม้เพยี งคนื เดยี ว) ทรงอนุญาตของฉนั บางอยา่ ง ทรงอนุญาตให้ฉันน�้ำอ้อยที่ใส่ขี้เถ้า ใส่แป้งเล็กน้อย (เพียงเพื่อให้ยึดติดกัน) ทรง อนญุ าตใหฉ้ นั ถั่วเขียว และขา้ วตม้ เปรี้ยวใสเ่ กลอื ได้๑ ส�ำหรบั ภิกษุผ้ไู ม่เป็นไข้ ใหเ้ จือน้ำ� ดื่มได้ ห้ามเก็บอาหารคา้ งคนื ในทอ่ี ยู่ เป็นต้น พระผู้มีพระภาคทรงอาพาธด้วยโรคลมในท้อง พระอานนท์ของา ข้าวสาร ถั่วเขียว ด้วยตนเอง เก็บค้างคืนไว้ในท่ีอยู่แล้วต้มเองในท่ีอยู่เสร็จแล้วถวาย พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงตรัสห้ามเก็บอาหารค้างคืนในท่ีอยู่ (อันโตวุตถะ) ห้ามหุงต้มอาหารในที่อยู่ (อันโตปักกะ) และห้ามหุงต้มเอง (สามปักกะ) ผู้ล่วงละเมิดต้องอาบัติทุกกฏ แต่การอุ่นของที่สุกแล้วอนุญาต ให้ท�ำได้ ต่อมาเกิดข้าวยากในกรุงราชคฤห์ ทรงอนุญาตให้เก็บอาหารค้างคืนในท่ีอยู่ ให้หุงต้ม อาหารในทอ่ี ยู่ ให้หงุ ตม้ เองได้ (แตเ่ ม่อื บ้านเมอื งกลับส่สู ภาพปกติ กท็ รงห้ามการเก็บอาหารคา้ ง คืนในทอี่ ยู่ เป็นตน้ นั้นอกี ดงั ท่ีปรากฏข้างหน้า) อนงึ่ ทรงอนญุ าตวา่ (ในการเดินทางไกล) เหน็ ผลไม้ตกอยู่ ถา้ ไม่มีกัปปยิ การก (ผ้จู ัด ท�ำส่ิงท่ีควร) ก็ให้เก็บน�ำไปเอง ต่อพบกัปปิยการก จึงให้วางบนพ้ืนดิน ให้เขาจัดถวายให้ฉันได้ ทรงอนุญาตให้รับประเคนผลไม้ท่ีเก็บมาเองได้ (ข้อนี้ต่อมาก็ทรงยกเลิกเช่นเดียวกับเรื่องการ เกบ็ อาหารในทอี่ ย่)ู ๑ ข้าวต้มเปร้ียวใส่เกลือ แปลจากค�ำว่า โลณโสจิรกํ ในฉบับยุโรป เป็น โลณโสวีรกํ ค�ำว่า โสวีรก ในสันสกฤต เป็น เสาวีรก (sour gruel) ใชเ้ ป็นอาหารอ่อนสำ� หรับคนไข้ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 333 5/4/18 2:24 PM
334 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ทรงอนญุ าตเร่ืองการฉันหลายข้อ ทรงอนุญาตให้ภิกษุท่ีฉันเสร็จแล้ว บอกไม่รับอาหารที่เขาเพ่ิมให้แล้ว ฉันอาหารที่ ไม่เป็นเดน ซ่ึงน�ำมาจากบ้านเจ้าภาพได้ (ห้ามไว้ในสิกขาบทท่ี ๕ โภชนวรรค ปาจิตติยกัณฑ์ หนา้ ๒๕๑ แต่ทรงบัญญัตเิ พ่มิ เติมว่า ถ้าเจา้ ภาพน�ำมาถวายท่วี ดั อีกให้ฉนั ได้) อนึง่ ถ้าเขาถวาย ไว้ก่อนเวลาอาหาร และถา้ ของนัน้ เป็นของปา่ ของเกดิ ในสระกท็ รงอนญุ าตใหฉ้ นั ได้ อนง่ึ ผลไม้ ท่ีไม่มีพืช หรือที่ปล้อนพืชออกแล้ว ไม่มีใครท�ำให้ควรก็ทรงอนุญาตให้ฉันได้ (ในข้อหลังน้ี มุง่ เพยี งไม่ใหท้ �ำลายเมล็ดพชื ของผลไม้ ถ้าฉันโดยไมท่ ำ� ลายเมลด็ พืชกท็ ำ� ได)้ ทรงห้ามทำ� การผ่าตดั หรอื ผกู รัดท่ที วารหนัก ทรงห้ามผา่ ตดั หรือผูกมดั ดว้ ยหนังหรือผา้ ภายในบริเวณ ๒ นิ้ว โดยรอบทวารหนกั ผ้ฝู ่าฝนื ต้องอาบตั ิถุลลจั จัย (เกย่ี วกับริดสีดวงทวาร) ทรงหา้ มฉันเน้อื ทไ่ี ม่ควร ๑. ทรงห้ามฉันเนื้อมนุษย์ ผู้ฉัน ต้องอาบัติถุลลัจจัย ภิกษุจะฉันเน้ือสัตว์ ต้องพิจารณาก่อน ขืนฉันทั้งไม่พิจารณา ต้องอาบัติทุกกฏ (นางสุปปิยาอุบาสิกาเห็นภิกษุ อยากฉันเน้อื หาเนอ้ื ไมไ่ ด้ จงึ ตดั เน้อื ตนเองปรุงอาหารถวาย) ๒. ทรงห้ามฉันเน้ือสัตว์ท่ีไม่สมควรอีก ๙ ชนิด คือ เน้ือช้าง เน้ือม้า เนื้อสุนัขบ้าน เน้อื งู เนอื้ ราชสหี ์ (สงิ โต) เนื้อเสือโคร่ง เนือ้ เสอื ดาว เนือ้ หมี และเนอื้ สนุ ัขปา่ ทรงอนุญาตและไม่อนญุ าตของฉันบางอย่าง ๑. ทรงอนุญาตข้าวยาคู และขนมผสมน�้ำผง้ึ ทรงสรรเสรญิ ขา้ วยาควู ่ามอี านสิ งสม์ าก (ส่วนหนง่ึ แปลไว้ในหนา้ ๑๑๐ ในหมายเลข ๖๒) ๒. ถา้ เปน็ ขา้ วยาคู แบบขน้ มเี นอ้ื ขา้ วมาก ทเ่ี รยี กวา่ โภชชยาคู ซงึ่ ฉนั ไดอ้ ม่ิ ถา้ รบั นมิ นต์ ฉนั ทอ่ี น่ื ไว้ หา้ มฉนั ยาคชู นิดน้ขี องผอู้ ่นื กอ่ นไปฉันในทน่ี มิ นต์ ๓. ทรงแสดงธรรมโปรดเวลัฏฐะ กัจจานะ ผู้ถวายงบน�้ำอ้อยแก่ภิกษุทั้งหลายให้ได้ ดวงตาเหน็ ธรรม ปฏญิ ญาตนเปน็ อบุ าสกถงึ พระรตั นตรยั เปน็ สรณะตลอดชวี ติ ตอ่ มาทรงปรารภ เรื่องงบน�ำ้ ออ้ ย ทรงอนญุ าตให้ภกิ ษุทีป่ ่วยไขฉ้ นั ได้ แตภ่ ิกษผุ ้ไู ม่ปว่ ยไข้ ใหล้ ะลายนำ้� ฉนั เสด็จแสดงธรรมที่ปาฏลคิ ามและโกฏิคาม พระผู้มีพระภาคเสด็จจากกรุงราชคฤห์ไปยังปาฏลิคาม ทรงแสดงธรรมโปรดอุบาสก ชาวปาฏลิคาม เร่ืองโทษแห่งศีลวิบัติ (ความบกพร่องแห่งศีล) ของผู้ทุศีล และอานิสงส์แห่ง ศลี สมั ปทา (ความสมบรู ณด์ ว้ ยศีล) ของผู้มศี ีล PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 334 5/4/18 2:24 PM
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221