วินัยปิฎก เล่ม ๕ มหาวัคค์ เภสัชชขันธกะ 335 มหาอำ� มาตย์แหง่ มคธ ชอ่ื สนุ ธี วสั สการะ นิมนต์พระพุทธเจา้ พรอ้ มด้วยภิกษสุ งฆ์เพ่อื ิว ันย ิปฎก ฉนั ภตั ตาหารเสรจ็ แลว้ พระผมู้ พี ระภาคเสดจ็ ขา้ มแมน่ ำ�้ คงคาไปยงั โกฏคิ าม (ตงั้ อยใู่ นแควน้ วชั ช)ี ทรงแสดงธรรมเรือ่ งอริยสจั จ์ ๔ นางอมั พปาลีถวายปา่ มะม่วง นางอัมพปาลี (ผู้เป็นหญิงนครโสเภณี) ได้เดินทางโดยขบวนยานจากกรุงไพศาลี (ราชธานีแห่งแคว้นวัชชี) ไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงโกฏิคาม แล้วนิมนต์ฉันในวันรุ่งข้ึน คณะกษตั รยิ ล์ จิ ฉวแี หง่ กรงุ ไพศาลี กเ็ ดนิ ทางไปโกฏคิ าม เพอ่ื เฝา้ พระผมู้ พี ระภาค กราบทลู นมิ นต์ ฉันในวันรุ่งขึ้น แต่พระผู้มีพระภาคทรงรับนิมนต์ของนางอัมพปาลีไว้ก่อนแล้ว คณะกษัตริย์ ลิจฉวีขอร้องนางอัมพปาลีให้พวกตนได้เล้ียงก่อน นางไม่ยอม ในวันรุ่งข้ึนเม่ือถวายอาหารแด่ พระผูม้ พี ระภาคและภกิ ษุสงฆ์เสร็จแล้ว จึงกราบทูลถวายปา่ มะม่วงใหเ้ ป็นสังฆาราม สหี เสนาบดีเปลยี่ นศาสนา สีหเสนาบดีเป็นสาวกนิครนถ์ (ศาสนาเชน) ได้ฟังคณะกษัตริย์ลิจฉวีสรรเสริญ คุณพระรัตนตรัย ก็ใคร่จะไปเฝา้ พระผูม้ พี ระภาค เมอ่ื ไปปรึกษากับอาจารย์คือนิครนถนาฏบุตร ก็ถูกห้ามปรามถึง ๓ คร้ัง ในท่ีสุดได้ตัดสินใจไปเฝ้าโดยไม่บอกอาจารย์ เมื่อได้ไปเฝ้ากราบทูล ถามถึงข้อที่มีคนกล่าวหาพระผู้มีพระภาค ซ่ึงได้ทรงชี้แจงโดยละเอียดแล้วทรงแสดงธรรม โปรดสีหเสนาบดีได้ดวงตาเห็นธรรม (เป็นโสดาบันบุคคล) และได้นิมนต์ฉันภัตตาหารใน วันรุ่งขึน้ พวกนิครนถ์เทยี่ วพูดว่า สีหเสนาบดีฆ่าสตั วม์ าทำ� เปน็ อาหารเลี้ยงพระ พระสมณโคดม รู้อยู่ก็ยังฉันเน้ือสัตว์น้ัน สีหเสนาบดีได้ทราบก็ปฏิเสธว่าไม่เป็นจริง แล้วก็ถวายอาหารแด่ พระผู้มีพระภาค พรอ้ มทั้งภิกษุสงฆต์ อ่ ไปจนเสร็จ พระผู้มีพระภาคทรงปรารภเหตุนั้น จึงทรงบัญญัติพระวินัย ห้ามฉันเนื้อสัตว์ที่เขาฆ่า ท�ำถวายเจาะจงภกิ ษุ ทรงปรบั อาบตั ทิ กุ กฏแก่ภกิ ษผุ ู้ฉนั และทรงอนุญาตปลาและเนอ้ื ทบ่ี รสิ ทุ ธิ์ โดยเงอื่ นไข ๓ ประการ คือ ไม่ได้เหน็ ไมไ่ ดฟ้ ัง ไมไ่ ดน้ ึกรังเกียจ (วา่ เขาฆา่ เพอ่ื ให้ตนบริโภค) ทรงถอนข้ออนุญาตส�ำหรบั ยามขา้ วยาก ต่อมากรุงไพศาลีสมบูรณ์บริบูรณ์ขึ้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงถอนข้ออนุญาตท่ี ประทานไวใ้ นสมัยขา้ วยาก เป็นอันกลับห้ามตอ่ ไป คือ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 335 5/4/18 2:24 PM
336 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ห้ามเก็บอาหารค้างคืนในท่ีอยู่ ห้ามหุงต้มในที่อยู่ ห้ามหุงต้มด้วยตนเอง ห้ามฉัน ผลไม้ที่เก็บมาเอง โดยหาคนประเคนทีหลัง ๔ ข้อน้ีปรับอาบัติทุกกฏแก่ผู้ล่วงละเมิด ห้ามฉันอาหารจนไม่รับของท่ีเขาจะถวายเพิ่ม แล้วกลับฉันของท่ีเขาน�ำมาถวายจากบ้าน เจ้าภาพอีก หรือฉันอาหารท่ีรับประเคนไว้ก่อนเวลาอาหาร หรือฉันอาหารท่ีเกิดในป่า ในสระนำ้� เชน่ ผลไม้ เหงา้ บวั ให้ปรับอาบตั ิแก่ผบู้ ริโภคตามควรแกก่ รณี (อาบัตปิ าจติ ตีย์) ทรงอนุญาตทเ่ี กบ็ อาหาร มีผู้น�ำของท่ีเป็นอาหาร เช่น เกลือ น้�ำมัน ข้าวสาร ของเค้ียว (ผลไม้) มาถวาย พระผู้มีพระภาคจึงทรงอนุญาตกัปปิยภูมิ คือที่เก็บของที่สมควร โดยให้สวดประกาศ เปน็ การสงฆ์ โดยทรงระบกุ ปั ปยิ ภูมิ ๔ ชนิด คอื ๑. อุสสาวนนั ตกิ า กัปปิยภูมิท่ปี ระกาศให้ได้ยินกนั ๒. โคนสิ าทกิ า กปั ปิยภมู ิที่ไม่มที ่ีล้อม ๓. คหปติกา กปั ปยิ ภูมทิ ีค่ ฤหบดถี วาย และ ๔. สัมมติกา กัปปิยภูมทิ ี่สงฆส์ มมติ คือสวดประกาศเป็นการสงฆ์ ทรงแสดงธรรมโปรดเมณฑกคฤหบดี พระผู้มีพระภาคเสด็จจากกรุงไพศาลี ไปยังภัททิยนคร ประทับ ณ ชาติยาวัน ณ ทีน่ ัน้ เมณฑกคฤหบดี (ผ้เู ป็นเศรษฐี) ไดไ้ ปเฝา้ ไดส้ ดบั พระธรรมเทศนาได้ดวงตาเหน็ ธรรม แลว้ กน็ มิ นตฉ์ นั ในวนั รงุ่ ขนึ้ เมอื่ ฉนั เสรจ็ แลว้ พระผมู้ พี ระภาคไดท้ รงแสดงธรรมโปรดครอบครวั พร้อมท้ังทาสของเมณฑกคฤหบดีให้ได้ดวงตาเห็นธรรม ทุกคนปฏิญญาตนเป็นอุบาสกหรือ อบุ าสกิ าผู้ถงึ พระรตั นตรยั เปน็ สรณะตลอดชวี ิต ทรงอนุญาตตามท่ีเมณฑกคฤหบดีขอรอ้ ง เมณฑกคฤหบดีทราบว่าพระผู้มีพระภาคจะเสด็จเดินทางไกลไปอังคุตตราปะ จึงกราบทูลขอร้องใหท้ รงอนุญาตเสบียง จงึ ทรงอนุญาต ดงั ตอ่ ไปนี้ ๑. ทรงอนุญาตของ ๕ อย่างท่ีเกิดจากโค (ปัญจโครส) คือนมสด นมส้ม เปรียง๑ เนยขน้ เนยใส ๑ แปลค�ำว่า ตกฺก ตามท่ีไทยเราเคยแปลกันเช่นนั้น แต่เท่าท่ีสอบสวนแล้ว ตรงท่ีแปลว่า นมส้ม ควรแปลว่า นมข้น (curds) ตรงคำ� ว่า เปรียง ควรแปลวา่ นมสม้ (buttermilk) PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 336 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๕ มหาวัคค์ เภสัชชขันธกะ 337 ๒. ทรงอนุญาตให้แสวงหาเสบียงทางได้ คือ ข้าวสาร ถั่วเขียว ถั่วราชมาส เกลือ งบน้�ำออ้ ย น้ำ� มนั เนยใส ตามความต้องการ ๓. เมื่อมีคนมอบเงินทองแก่กัปปิยการก ทรงอนุญาตให้ยินดีเฉพาะของท่ีควร ซ่ึงจะได้มาจากเงินทองน้ัน แต่ไม่ทรงอนุญาตให้ยินดีตัวเงินทอง หรือให้แสวงหา เงนิ ทองเลย ทรงอนญุ าตนำ้� อัฏฐบาน (น้�ำด่มื ๘ อยา่ ง) ณ ต�ำบลอาปณะ ทรงปรารภคำ� ขอของเกณยิ ะ ชฎิลผปู้ รงุ น�้ำปานะ (นำ�้ ดืม่ จากผลไม้) มาถวาย จึงทรงอนญุ าตน้�ำปานะ ๘ อยา่ ง๑ คือ ๑. นำ้� มะมว่ ง ๒. นำ�้ ชมพ่หู รอื น้ำ� หว้า ๓. นำ้� กล้วยมเี มล็ด ๔. น�ำ้ กลว้ ยไมม่ เี มลด็ ๕. น้�ำมะทราง ๖. นำ�้ ลูกจนั ทนห์ รอื องุ่น ิว ันย ิปฎก ๗. น้ำ� เหงา้ อบุ ล ๘. นำ�้ มะปรางหรอื ลน้ิ จ่ี ทรงอนญุ าตนำ้� จากผลไมท้ กุ ชนดิ เวน้ แตป่ ระเภทขา้ ว ทรงอนญุ าตนำ้� จากใบไมท้ กุ ชนดิ เว้นแต่รสแห่งผักที่ต้มแล้ว ทรงอนุญาตน้�ำจากดอกไม้ทุกชนิด เว้นแต่น้�ำดอกมะทราง (มธกุ ปุปผรส) และทรงอนุญาตน�้ำจากตน้ ออ้ ย (ใหด้ มื่ หลงั เท่ยี งได)้ ทรงอนญุ าตผกั และของเค้ยี วท่ีท�ำดว้ ยแป้ง ณ เมืองกุสินารา ทรงปรารภค�ำขอของมัลลกษัตริย์ชื่อโรชะ ผู้เคยเป็นสหายของ พระอานนท์ ทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษฉุ นั ผกั และของขบเคยี้ วทที่ ำ� ดว้ ยแปง้ ทกุ ชนดิ (เฉพาะกอ่ นเทย่ี ง) ทรงหา้ มและทรงอนญุ าตอืน่ อีก ณ ต�ำบลอาตุมา ทรงปรารภการกระท�ำของภิกษุผู้บวชเมื่อแก่ผู้เคยเป็นช่างตัดผม จงึ ทรงหา้ มมใิ หช้ กั ชวนบคุ คลไปในทางไมส่ มควร กบั หา้ มมใิ หภ้ กิ ษผุ เู้ คยเปน็ ชา่ งตดั ผมใชเ้ ครอื่ ง มดี โกน ทรงปรับอาบัติทุกกฏแกภ่ ิกษผุ ลู้ ว่ งละเมิด ณ กรงุ สาวตั ถี ทรงอนญุ าตของเค้ียวประเภทผลไม้ทกุ ชนดิ ให้ฉันได้ พืชของสงฆ์ ปลูกในท่ีของบุคคล ให้แบ่งส่วนแล้วบริโภคได้ (อรรถกถาว่าให้แบ่ง ให้ ๑ ใน ๑๐) ๑ น�้ำด่ืมท�ำจากผลไม้ ๘ อย่างน้ี อรรถกถาอธิบายว่า เป็นของเย็น หรือตากแดดใช้ได้ แต่จะท�ำให้สุกด้วยไฟ ฉันในเวลาวิกาลไมไ่ ด้ ชะรอยจะกลายเป็นเหมอื นแป้งเปยี กซึง่ ใกลไ้ ปในทางเป็นอาหารมากข้ึน PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 337 5/4/18 2:24 PM
338 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ทรงแนะข้อตัดสิน ทรงแนะวา่ สงิ่ ท่ไี มไ่ ด้ทรงหา้ มไว้ แตเ่ ข้ากับสิง่ ไมค่ วร ค้านกับสิ่งทีค่ วร ก็นับว่าไม่ควร ส่ิงท่ีไม่ได้ทรงห้ามไว้ แตเ่ ขา้ กบั ส่งิ ทค่ี วร คา้ นกับสิง่ ที่ไมค่ วร กน็ บั ว่าควร สงิ่ ทีม่ ไิ ด้ทรงอนญุ าต ไว้ แตเ่ ขา้ กบั ส่ิงทีไ่ ม่ควร ค้านกับสิ่งทค่ี วร กน็ ับวา่ ไม่ควร สิง่ ทมี่ ไิ ด้ทรงอนุญาตไว้ แตเ่ ขา้ กบั สง่ิ ที่ควร ค้านกับสิ่งทไ่ี มค่ วร ก็นับวา่ ควร อนง่ึ ทรงชขี้ าดเรอื่ งกาลกิ (คอื ของฉนั ทอ่ี นญุ าตไวต้ ามกำ� หนดกาลเวลา) รวม ๔ อยา่ ง คอื ๑. ยาวกาลกิ ของที่ใหฉ้ นั ไดเ้ ช้าชว่ั เที่ยง ๒. ยามกาลกิ ของที่ให้ฉันได้ไมข่ ้ามคืน ๓. สตั ตาหกาลิก ของที่ให้ฉนั ไดไ้ ม่เกิน ๗ วัน และ ๔. ยาวชีวกิ ของที่อนุญาตใหฉ้ ันได้ตลอดชวี ิต ของเหล่านี้ เม่ือผสมกัน ให้นับตามอายุของท่ีมีเวลาน้อย (เช่น เอาน้�ำตาลซ่ึงฉันได้ ภายใน ๗ วนั มาผสมกบั ข้าวสกุ ก็ฉันได้เพยี งเช้าชั่วเที่ยง) ๓. กฐินขันธกะ (หมวดวา่ ด้วยกฐนิ ) ภกิ ษชุ าวเมอื งปาฐา ๓๐ รปู ซง่ึ เปน็ ผถู้ อื การอยปู่ า่ การเทยี่ วบณิ ฑบาต นงุ่ หม่ ผา้ บงั สกุ ลุ (ผา้ เกบ็ ตกมาปะตดิ ปะตอ่ ทำ� เปน็ จวี ร) และใชจ้ วี ร ๓ ผนื (ไมเ่ กนิ กวา่ นนั้ ) เปน็ วตั ร เดนิ ทางจะมา เฝ้าพระผู้มีพระภาค มาถึงเมืองสาเกต ถึงวันเข้าพรรษา ต้องจ�ำใจจ�ำพรรษาอยู่ในเมืองสาเกต มคี วามระลึกถงึ สมเดจ็ พระบรมศาสดา ออกพรรษาแล้วจงึ มาเฝ้าทั้งท่ีจวี รเปยี กนำ้� ฝน และต้อง เดินทางลุยน้�ำลุยโคลน พระผู้มีพระภาคทรงปรารภเหตุนั้น จึงทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้จ�ำพรรษา แลว้ กราลกฐนิ ได้ (กราลกฐนิ คอื ลาดไมส้ ะดงึ หรอื ไมแ้ บบ ลงไปเอาผา้ ทาบ ตดั ผา้ ตามไมแ้ บบนน้ั แล้วชว่ ยกนั ท�ำจีวรแจกแกภ่ กิ ษุผ้สู มควร) อานิสงส์ ๕ ของภกิ ษผุ ไู้ ดก้ ราลกฐิน ทรงแสดงอานิสงส์ ๕ ส�ำหรับภิกษผุ ู้ไดก้ ราลกฐิน คือ ๑. ไปไหนไม่ต้องบอกลาภิกษุอ่ืน ตามความในสิกขาบทที่ ๖ อเจลกวรรค ปาจิตตยิ กัณฑ์ ๒. ไปไหนไมต่ อ้ งนำ� ไตรจวี รไปครบสำ� รบั ตามสกิ ขาบทที่ ๒ จวี รวรรค นสิ สคั คยิ กณั ฑ์ ๓. ฉนั อาหารรวมกลุ่มกนั ได้ ตามสิกขาบทที่ ๒ โภชนวรรค ปาจิตตยิ กณั ฑ์ ๔. เก็บจีวรไว้ได้หลายตัวตามต้องการโดยไม่ต้องวิกัป (คือท�ำให้เป็นสองเจ้าของ) ตามสกิ ขาบทท่ี ๑ จวี รวรรค นสิ สัคคิยกณั ฑ์ และ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 338 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๕ มหาวัคค์ กฐินขันธกะ 339 ๕. ผ้าที่เกิดขึ้นในวัดนั้นเป็นของเธอ (คือเธอมีสิทธิได้รับส่วนแบ่ง ภิกษุเขตอื่นมาก็ ิว ันย ิปฎก ไม่มีสทิ ธิ) ทรงอนญุ าตให้สวดประกาศกฐนิ ทรงอนุญาตให้สวดประกาศมอบผ้ากฐินแก่ภิกษุรูปใดรูปหน่ึง เป็นการสงฆ์ โดยต้ังญตั ติ ๑ ครง้ั สวดประกาศขอความเห็นชอบ ๑ คร้งั (รวมเรยี กวา่ ญัตติทุตยิ กรรม) ทรงแสดงเร่ืองกฐินเปน็ อันกราลและไม่เป็นอนั กราล ทรงแสดงว่ากฐินไม่เป็นอันกราลด้วยเพียงสักว่า ขีด ประมาณ ซักผ้า กะผ้า ตัดผ้า เย็บเนา เย็บล้มตะเข็บ เป็นต้น รวมท้ังไม่เป็นอันกราลด้วยผ้าที่ท�ำนิมิต (พูดให้เขาใช้ผ้าน้ัน ๆ เป็นผา้ กฐิน) และดว้ ยผา้ ทเี่ ลยี บเคียงให้เขาถวายเปน็ ผ้ากฐนิ ๑ แล้วทรงแสดงว่ากฐินเป็นอันกราลด้วยผ้าใหม่ ผ้าเทียมใหม่ ผ้าเก่า เป็นต้น รวมทั้ง การปฏิบตั ิให้ถูกต้องตามพระวินัยอกี หลายประการ ขอ้ กำ� หนดในการเดาะกฐิน ทรงแสดงมาติกา คือแม่บทหรือข้อก�ำหนดในการเดาะกฐิน (คือเลิกหรือร้ือไม้สะดึง ออกได)้ รวม ๘ ประการ คือ ๑. เดนิ ทางไปที่อนื่ ไม่คิดจะกลับมา ๒. ท�ำจีวรเสร็จแล้ว ๓. ตง้ั ใจเลกิ เรื่องการท�ำจวี ร ๔. จวี รท่ีก�ำลังท�ำอยู่ ทำ� เสยี หรือหายเสยี ๕. ด้วยได้ยินข่าว คือเธอจากไปด้วยคิดจะกลับมาอีก แต่ได้ยินข่าวว่าในวัดที่เธออยู่ เขาเลกิ ท�ำกันแล้ว ๖. ดว้ ยหมดหวัง คอื หวงั ว่าจะไดจ้ ีวร แตก่ ไ็ ม่สมหวัง ๗. อยูน่ อกเขตสมี า คอื คิดจะกลับมาท่ีวัดนน้ั จนหมดสมัยของกฐิน และ ๘. เลิกกฐินพร้อมกับภิกษุทั้งหลาย คือเม่ือพ้นก�ำหนดก็เป็นอันเลิกกฐินร่วมกัน (ต่อจากนเี้ ป็นค�ำอธิบายมาติกาทัง้ แปดโดยพิสดาร) ๑ มีเหตุเกิดข้ึนบ่อย ๆ ภิกษุผู้ไม่รู้วินัยข้อน้ี ชักชวนชาวบ้าน หรือพูดเลียบเคียงให้เขาทอดกฐินในวัดของตน กฐินน้นั ก็ไมเ่ ป็นกฐิน คือเปน็ โมฆะ ไม่ไดป้ ระโยชนท์ ง้ั ผ้ถู วายผู้รบั ขอ้ นค้ี วรช่วยกนั รบั รู้ไวด้ ว้ ย PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 339 5/4/18 2:24 PM
340 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ในตอนท้ายได้สรุปเก่ียวด้วยปลิโพธ (ความหมายใจหรือห่วงใย) ๒ ประการ คือ อาวาสปลิโพธ ความห่วงใยด้วยวัด (คือตั้งใจจะกลับมาท่ีวัด) กับจีวรปลิโพธ ความห่วงใย ด้วยจีวร (คือหมายใจจะท�ำจวี รภายในก�ำหนด) ถา้ หมดปลโิ พธ ก็เป็นอนั เลกิ กฐนิ ๔. จีวรขันธกะ (หมวดว่าด้วยจีวร) คณะผู้มั่งมีชาวกรุงราชคฤห์ไปเที่ยวเมืองไพศาลี เห็นบ้านเมืองเจริญ และมีหญิง นครโสเภณี นามวา่ อมั พปาลี เมอื่ กลบั ไปกรงุ ราชคฤห์ จงึ ไปแนะนำ� พระเจา้ พมิ พสิ ารทรงอนญุ าต ให้มีหญิงนครโสเภณีบ้าง เมื่อทรงอนุญาต จึงหาหญิงสาวร่างงามชื่อนางสาลวตีมาเป็นหญิง นครโสเภณีประจ�ำกรุงราชคฤห์ นางตั้งครรภ์คลอดบุตรเป็นชาย จึงให้น�ำไปทิ้งยังกองขยะ อภัยราชกุมารไปพบจึงให้รับไปเลี้ยงไว้ในวัง เด็กนั้นจึงมีช่ือว่า ชีวก (รอดตาย) โกมารภัจจ์ (พระราชกุมารเล้ียงไว)้ เมื่อชวี กโกมารภัจจเ์ ตบิ โต จงึ เดนิ ทางไปศกึ ษาวชิ าแพทย์ ณ เมืองตักกสิลา อยู่ ๗ ปี เมื่อส�ำเร็จแล้วในระหว่างเดินทางกลับก็ได้รักษาภริยาเศรษฐีผู้หนึ่ง ซ่ึงเป็น โรคปวดศรี ษะมา ๗ ปี ดว้ ยใชย้ านำ้� มนั ให้นัตถ์ทุ างจมกู ได้ลาภสกั การะมาก กม็ าต้งั หลักแหลง่ อยู่ในบริเวณท่ีอยขู่ องอภยั ราชกุมาร ต่อมาได้รักษาโรคริดสีดวงทวารของพระเจ้าพิมพิสารหายด้วยให้ทายาเพียงคร้ังเดียว จงึ ไดร้ บั แต่งตัง้ ใหเ้ ปน็ แพทย์ประจ�ำราชสำ� นัก และประจำ� พระพทุ ธเจา้ พร้อมทง้ั ภกิ ษสุ งฆ์ ต่อมาได้รักษาโรคปวดศีรษะของเศรษฐีผู้หนึ่งแห่งกรุงราชคฤห์ด้วยการผ่าตัด รกั ษาโรคลำ� ไสใ้ หญข่ องบตุ รเศรษฐผี หู้ นง่ึ แหง่ กรงุ พาราณสดี ว้ ยการผา่ ตดั รกั ษาโรคผอมเหลือง ของพระเจ้าจัณฑปัชโชตแห่งกรุงอุชเชนีด้วยการถวายยาให้ทรงดื่ม ได้ผลดีทุกราย ครั้งหลัง ถวายยาถ่ายแด่พระผู้มีพระภาคโดยไม่ต้องให้เสวย เพียงอบยาใส่ดอกอุบล ๓ ก�ำ แล้วให้ใช้ พระหตั ถข์ ยที้ ลี ะกำ� กไ็ ดผ้ ลดี ในทส่ี ดุ ไดก้ ราบทลู ขอรอ้ งตอ่ พระผมู้ พี ระภาค เพอื่ ใหภ้ กิ ษทุ ง้ั หลาย รับคฤหบดีจีวรได้ (คือจีวรที่มีผู้ศรัทธาถวายให้ใช้ สมัยก่อนอนุญาตแต่จีวรท่ีเก็บเศษผ้า มาปะติดปะต่อใช้) ทรงปรารภค�ำขอของหมอชีวก จึงทรงอนุญาตให้รับคฤหบดีจีวรได้ แต่ถ้า ใครจะยังถอื จะใช้จีวรที่เกบ็ มาปะตดิ ปะต่อ ทเ่ี รยี กบังสุกุลจีวร กใ็ ห้ถอื ต่อไปตามอัธยาศัย ทรงอนญุ าตเจ้าหน้าทเี่ ก่ียวกบั จวี ร เมื่อมนุษย์ท้ังหลายทราบว่าทรงอนุญาตให้ถวายจีวรได้ก็พากันน�ำมาถวายมากหลาย เม่ือจีวรมีมากก็ทรงอนุญาตให้สวดประกาศแต่งตั้งภิกษุผู้รับจีวร (ในนามของสงฆ์) ภิกษุ ผู้เก็บจีวร ภิกษุผู้รักษาเรือนคลัง (สำ� หรับเก็บจีวร) ภิกษุผู้แจกจีวร และทรงก�ำหนดคุณสมบัติ ของภกิ ษุเหลา่ นน้ั ดว้ ย PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 340 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๕ มหาวัคค์ จีวรขันธกะ 341 ทรงอนุญาตสียอ้ มและวธิ กี ารเก่ยี วกับจีวร ิว ันย ิปฎก ทรงอนญุ าตสียอ้ มจีวร ๖ ชนิด คือท่ีทำ� จากรากไม้ ลำ� ตน้ ไม้ เปลอื กไม้ ใบไม้ ดอกไม้ และผลไม้ และทรงอนญุ าตวธิ กี ารต่าง ๆ ในการย้อมจวี ร ทรงอนุญาตวธิ ีตดั จวี ร เมื่อเสด็จไปยังทักขิณาคิรี (ภูเขาภาคใต้) ทอดพระเนตรเห็นนาชาวมคธมีขอบคัน และกะทงนา จงึ ตรสั ใหพ้ ระอานนทล์ องตดั จวี รเปน็ รปู นนั้ ดู เมอื่ พระอานนทท์ ำ� เสรจ็ ทรงสรรเสรญิ ว่าฉลาด ต่อมาทรงอนุญาตจีวร ๓ ผืน (ไตรจีวร) คือผ้าสังฆาฏิ (ผ้าซ้อนนอก) ๒ ช้ัน ผ้าห่ม ๑ ชนั้ ผา้ นงุ่ ๑ ชนั้ แลว้ ทรงอนญุ าตใหเ้ กบ็ จวี รทเ่ี กนิ จำ� นวน ๓ ผนื ไวไ้ ดไ้ มเ่ กนิ ๑๐ วนั ถา้ จะเกบ็ เกินว่านั้นให้วิกัป (คือท�ำให้เป็นสองเจ้าของ) ต่อมาทรงอนุญาตว่า ถ้าเป็นผ้าเก่าให้ใช้สังฆาฏิ ๔ ชัน้ ผา้ ห่ม ๒ ช้ัน ผา้ นุ่ง ๒ ชั้น (เพ่ือไมใ่ หเ้ ห็นช่องขาดปุปะ) ทรงอนุญาตค�ำขอ ๘ ประการของนางวิสาขา นางวิสาขาปรารถนาจะถวายความสะดวกแก่พระภิกษุสงฆ์ จึงกราบทูลขอพร ๘ ประการ เพ่ือถวายสงิ่ ตา่ ง ๆ แก่ภิกษุ อา้ งเหตผุ ลทเ่ี คยประสบมาต่าง ๆ อันควรจะทรงอนญุ าต ก็ทรงอนญุ าตตามท่ีขอร้อง คือ ๑. ผา้ อาบน้ำ� ฝน ๒. อาคันตุกภตั (อาหารสำ� หรับภกิ ษผุ ้มู า) ๓. คมิกภตั (อาหารสำ� หรบั ภกิ ษผุ ไู้ ป) ๔. คิลานภตั (อาหารสำ� หรับภกิ ษผุ ปู้ ว่ ยไข้) ๕. คิลานุปฏั ฐากภัต (อาหารสำ� หรบั ภิกษผุ ู้พยาบาลไข้) ๖. ยาสำ� หรบั ภิกษผุ ปู้ ว่ ยไข้ ๗. ขา้ วยาคทู ่ีถวายเปน็ ประจ�ำ และ ๘. ผ้าอาบน�้ำสำ� หรบั นางภกิ ษุณี ทรงอนญุ าตผ้าอื่น ๆ ต่อมาทรงอนุญาตผ้าปูลาด หรือผ้าปูนอน (เพื่อป้องกันเสนาสนะเปรอะเปื้อน) ทรงอนุญาตผ้าปิดฝี เม่อื เปน็ ฝเี ปน็ ต่อม ทรงอนญุ าตผ้าเช็ดหนา้ และผ้าอนื่ ๆ ท่ใี ช้เป็นบรขิ าร เช่น ผ้ากรองน�้ำ ถุงใส่ของ แล้วตรัสสรุปว่า ไตรจีวรให้อธิษฐานไม่ให้วิกัป๑ ผ้าอาบน้�ำฝนให้ อธิษฐานใช้ตลอด ๔ เดือนฤดูฝน ต่อจากนั้นให้วิกัป ผ้าปูน่ัง ผ้าปูนอน ให้อธิษฐานไม่ให้วิกัป ๑ อธิษฐาน คือตั้งใจเอาไวใ้ ช้ วกิ ปั คอื ท�ำให้เป็นสองเจ้าของ เมือ่ จะใช้ก็ขออนุญาตกอ่ น PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 341 5/4/18 2:24 PM
342 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ผ้าปิดฝีให้อธิษฐานไว้ใช้ตลอดเวลาท่ีอาพาธ หายแล้วให้วิกัป ผ้าเช็ดหน้าและผ้าที่ใช้เป็น บรขิ ารอืน่ ๆ ให้อธิษฐานไมใ่ หว้ กิ ปั ทรงอนญุ าตและห้ามเก่ยี วกับจีวรอกี ต่อมาทรงอนุญาตว่า (ในไตรจีวรนั้น) ให้ใช้ผ้าที่ไม่ต้องตัด (เย็บเป็นกะทง) ได้เพียง ๒ ผืน ต้องเป็นผ้าท่ีตัด ๑ ผืน ถ้าจะตัดผ้าไม่พอให้ใช้ผ้าเพลาะ (น�ำช้ินผ้าอื่นมาผสม) ทรง ปรับอาบัติทุกกฏแก่ภิกษุผู้นุ่งห่มผ้าที่มิได้ตัด (เย็บให้เป็นกะทง) เลย อนึ่ง ทรงอนุญาตให้ ให้ผ้าแก่มารดาบิดาได้ แต่ไม่ให้ท�ำของท่ีเขาให้ด้วยศรัทธาให้ตก (ค�ำว่า ท�ำศรัทธาไทยให้ตก คือเอาของทเ่ี ขาถวายไปให้แกค่ นอื่นทีเ่ ปน็ คฤหสั ถ์ และไมใ่ ช่มารดาบิดา) มปี ญั หาเรอ่ื งการนำ� จวี รไปไมค่ รบสำ� รบั จวี รทเี่ กบ็ ไวถ้ กู โจรลกั ไป จงึ ทรงกำ� หนดเงอ่ื นไข ว่าจะเข้าบ้านโดยเก็บจีวรไว้ ไม่น�ำไปครบส�ำรับได้ เช่น วิหารมีกลอนป้องกันได้ดี เป็นต้น และมีปัญหาเร่ืองมีผู้ถวายจีวรแก่สงฆ์ จะแบ่งอย่างไร รวมทั้งปัญหาเร่ืองภิกษุจ�ำพรรษา ในวดั หนงึ่ แตล่ ะโมภไปรบั จวี รในวดั อน่ื เปน็ สว่ นแบง่ หรอื ทำ� เปน็ วา่ อยู่ ๒ แหง่ จะตดั สนิ อยา่ งไร พระพุทธเจา้ ทรงพยาบาลภกิ ษุอาพาธ เรื่องตอนน้ีได้น�ำไปแปลไว้แล้วโดยละเอียดในหน้า ๑๓๖ ข้อ ๑๑๒ และหน้า ๑๐๑ - ๑๐๒ ข้อ ๔๕ และ ๔๖ ที่ว่าด้วยคนไข้ที่ดีและไม่ดี ผู้พยาบาลไข้ท่ีดีและไม่ดี นอกจากน้ัน ได้ทรงแสดงวิธีสวดประกาศของสงฆ์ เพื่อมอบบริขาร (เครื่องใช้) ของผู้เป็นไข้ท่ีสิ้นชีวิตแก่ ภิกษุผู้พยาบาลไข้ แต่ถ้าเป็นครุภัณฑ์ ครุบริขาร (คือของใช้ขนาดใหญ่) ห้ามแบ่งและแจกให้ เก็บไวเ้ ป็นของสงฆ์ การเปลอื ยกายและการใชผ้ า้ ทรงห้ามเปลือยกายแบบเดียรถีย์ และปรับอาบัติถุลลัจจัยแก่ผู้ล่วงละเมิด อน่ึง ทรงห้ามใช้ผ้าคากรอง เปลือกต้นไม้กรอง ผลไม้กรอง ผ้ากัมพล ท�ำด้วยผมคน ผ้ากัมพล ทำ� ดว้ ยขนหางสตั ว์ ปกี นกเคา้ หรอื หนงั เสอื ซง่ึ เปน็ ของพวกเดยี รถยี ใ์ ชน้ งุ่ หม่ ตอ้ งอาบตั ถิ ลุ ลจั จยั ผา้ ท�ำด้วยปอ นงุ่ หม่ ต้องอาบัติทุกกฏ (ความหมายในท่นี ้ี คอื ไมใ่ ห้นงุ่ ห่มเลียนแบบเดียรถยี )์ ทรงห้ามใชจ้ วี รทมี่ สี ีไมค่ วร และหา้ มใชเ้ สอ้ื หมวก ผ้าโพก ทรงห้ามใช้จีวรมีสีไม่สมควรต่าง ๆ คือ เขียวล้วน เหลืองล้วน แดงล้วน เลื่อมล้วน๑ ดำ� ลวั น แดงเขม้ แดงกลาย ๆ (ชมพ)ู อนงึ่ ทรงหา้ มจวี รทไ่ี มต่ ดั ชาย จวี รมชี ายยาว จวี รมชี ายเปน็ ดอกไม้ จีวรมีชายเปน็ แผน่ และทรงหา้ มใช้เส้ือ หมวก ผ้าโพก ทรงปรบั อาบตั ิทุกกฏแก่ผ้ใู ช้ ๑ สีเล่ือมน้ัน อรรถกถาอธิบายว่า คล้ายฝาง อนึ่ง เน่ืองจากทรงห้ามสีเหลืองล้วน พระภิกษุบางรูปจึงนิยมย้อมกรัก คอื สจี ากแก่นขนนุ ทบั อีกครัง้ หน่ึง เพ่ือให้เปน็ สีน้�ำฝาดผสม PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 342 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๕ มหาวัคค์ จัมเปยยขันธกะ 343 ทรงวางหลกั เก่ยี วกับจวี รอกี ิว ันย ิปฎก เม่ือภิกษุจ�ำพรรษาแล้ว จีวรยังไม่ทันเกิดขึ้น๑ ไปเสีย๒ ภายหลังมีจีวรเกิดข้ึน ถ้ามีผู้รับแทนเธอท่ีสมควรก็ให้ให้ไป แต่ถ้าเธอสึกเสีย เป็นต้น สงฆ์ย่อมเป็นใหญ่ ถ้าสงฆ์ แตกกัน ให้แจกผ้าตามความประสงค์ของผู้ถวายว่าจะถวายแก่ฝ่ายไหน ถ้าเขาไม่เจาะจง ใหแ้ บ่งฝา่ ยละเท่ากัน อน่ึง ทรงวางหลักการถือเอาจีวรของภิกษุอ่ืนด้วยถือวิสสาสะ คือคุ้นเคยกันว่าต้องมี เหตุผลสมควร แล้วทรงแสดงกตกิ า (ข้อก�ำหนดหรอื แมบ่ ท) ๘ ประการที่จวี รจะเกิดข้ึน คือ ๑. เขาถวายกำ� หนดเขตภกิ ษทุ อี่ ยใู่ นสีมา ๒. เขาถวายก�ำหนดกติกา ๓. เขาถวายก�ำหนดเฉพาะเขตหรอื วัดทีเ่ ขาท�ำบุญประจ�ำ ๔. เขาถวายแก่สงฆ์ ๕. เขาถวายแกส่ งฆ์ ๒ ฝ่าย (คอื ภิกษุ ภกิ ษณุ )ี ๖. เขาถวายแกส่ งฆ์ทจ่ี �ำพรรษาแล้ว ๗. เขาถวายโดยเจาะจง (ใหเ้ กย่ี วเนอ่ื งกบั การถวายขา้ วยาคู หรอื อาหารอน่ื ๆ เปน็ ตน้ ) ๘. เขาถวายจ�ำเพาะบคุ คล (คอื แก่ภิกษุรูปนั้นรปู น้)ี ๕. จัมเปยยขันธกะ (หมวดวา่ ด้วยเหตกุ ารณ์ในกรุงจมั ปา)๓ การท�ำกรรมทไี่ มเ่ ปน็ ธรรมและทีเ่ ป็นธรรม ภกิ ษชุ ือ่ กสั สปโคตร เป็นผูเ้ ออ้ื เฟอ้ื ดีต่อภิกษุทเี่ ป็นอาคันตกุ ะ เมอ่ื มีภกิ ษอุ าคันตุกะมา กต็ อ้ นรบั ถวายความสะดวกดว้ ยประการตา่ ง ๆ ภกิ ษทุ ม่ี าตดิ ใจพกั อยดู่ ว้ ย แตเ่ มอ่ื พกั อยนู่ านไป ภิกษุช่ือกัสสปโคตรก็ไม่ขวนขวายอาหารให้ เพราะถือว่ารู้ท�ำเลบิณฑบาตแล้ว ถ้าขืนขวนขวาย มาก ก็จะต้องรบกวนชาวบ้านเป็นการประจ�ำ ภิกษุอาคันตุกะไม่พอใจ สวดประกาศยกเธอเสีย จากหมู่ (ลงอุกเขปนียกรรมอย่างผิด ๆ) เธอจึงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคกราบทูลถาม พระองค์ ตรสั สงั่ ใหเ้ ธอกลบั ไปอยทู่ เี่ ดมิ ทรงชแ้ี จงวา่ ภกิ ษทุ ลี่ งโทษเธอนน้ั ทำ� ไปโดยไมเ่ ปน็ ธรรม เธอไมม่ ี ๑ ไม่ทันเกิดข้ึน หมายถงึ ยังไม่มีผนู้ �ำผา้ มาถวาย - ม.พ.ป. ๒ ไปเสีย หมายความวา่ ออกจากวัดนน้ั ไป - ม.พ.ป. ๓ กรงุ จัมปา เป็นนครหลวงของแควน้ องั คะ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 343 5/4/18 2:24 PM
344 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ อาบัติอะไร ฝ่ายภิกษุพวกที่ลงโทษ ร้อนตัว จึงมาขอขมาต่อสมเด็จพระบรมศาสดา พระองค์ ประทานอภัยแล้ว จึงทรงแสดงการท�ำสังฆกรรมท่ีเป็นธรรมและไม่เป็นธรรมหลายอย่าง หลายประการ พร้อมท้ังทรงก�ำหนดจำ� นวนสงฆท์ ี่ท�ำกรรมดงั น้ี ๑. สงฆ์ ๔ รูป ท�ำกรรมทั้งปวงได้ เว้นแต่การอุปสมบท การปวารณา และสวดถอน จากอาบัติสังฆาทิเสส (แสดงว่ากฐินก็ใช้สงฆ์ ๔ รูปได้ แต่อรรถกถาแก้ว่า กฐิน ต้อง ๕ รูป ซ่ึงปรากฏในอรรถกถา ส.ปา. ๓/๒๓๔ เมื่ออรรถกถาแย้งกับบาลี จงึ ตอ้ งฟงั ทางบาล)ี ๒. สงฆ์ ๕ รูป ท�ำกรรมท้ังปวงได้ เว้นไว้แต่การอุปสมบทกุลบุตรในมัธยมประเทศ และการสวดถอนจากอาบตั ิสงั ฆาทเิ สส ๓. สงฆ์ ๑๐ รูป ท�ำกรรมท้ังปวงได้ เว้นแต่การสวดถอนจากอาบตั สิ ังฆาทิเสส ๔. สงฆ์ ๒๐ รปู ทำ� กรรมทง้ั ปวงได้ ๕. สงฆ์เกนิ ๒๐ รปู ข้นึ ไป ทำ� กรรมท้งั ปวงได้ แตท่ กุ ข้อนี้ ต้องประชุมพร้อมเพรียงกนั โดยธรรม ถกู ตอ้ งตามพระวนิ ัย ครัน้ แล้วทรง อธิบายรายละเอียดเกย่ี วกบั สงฆ์ ๔ รูป ๕ รปู ๑๐ รูป ๒๐ รูป ซ่ึงทำ� กรรมตา่ ง ๆ กนั โดยพิสดาร อกุ เขปนยี กรรม (ยกจากหมู่) คร้ันแล้วทรงแสดงหลักการลงอุกเขปนียกรรม คือการสวดประกาศยกเสียจากหมู่ ไม่ให้ใครร่วมกินร่วมนอน หรือคบหาด้วย ว่าจะท�ำได้ในกรณีท่ีไม่เห็นอาบัต๑ิ ไม่ท�ำคืนอาบัติ ไมส่ ละความเหน็ ทชี่ วั่ ตอ่ จากนนั้ ทรงอธบิ ายการทำ� กรรมทเ่ี ปน็ ธรรมและไมเ่ ปน็ ธรรมแกพ่ ระอบุ าลี ตัชชนียกรรม (ขม่ ขู่) ทรงแสดงหลักการลงตัชชนียกรรม คือการสวดประกาศลงโทษเป็นการต�ำหนิภิกษุ ผ้ชู อบหาเร่อื งกอ่ การทะเลาะววิ าท ก่ออธกิ รณ์ขึน้ ในสงฆ์ นยิ สกรรม (ถอดยศหรอื ตดั สิทธิ) ทรงแสดงหลักการลงนิยสกรรม คือการถอดยศ หรือตัดสิทธิแก่ภิกษุผู้มากด้วย อาบตั ิ คลุกคลีกับคฤหสั ถใ์ นลกั ษณะทไ่ี ม่สมควร ๑ ไมเ่ ห็นอาบัติ คือ การท�ำผดิ แลว้ บอกว่าไม่ผิด - ม.พ.ป. PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 344 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๕ มหาวัคค์ โกสัมพิขันธกะ 345 ปพั พาชนยี กรรม (ขบั ไล่) ิว ันย ิปฎก ทรงแสดงหลักการลงปพั พาชนียกรรม คือการไลเ่ สยี จากวัดแกภ่ ิกษุผู้ประจบคฤหัสถ์ (ยอมตวั ให้เขาใช)้ มคี วามประพฤตชิ ั่ว ปฏิสารณียกรรม (ขอโทษคฤหสั ถ์) ทรงแสดงหลักการลงปฏิสารณียกรรม คือการให้ไปขอโทษคฤหัสถ์แก่ภิกษุผู้ด่า บรภิ าษคฤหสั ถ์ คร้ันแล้วทรงแสดงวิธีระงับการลงโทษทั้งห้าประการนั้น (รายการพิสดารเรื่องนี้ ยังจะมีในพระไตรปิฎก เลม่ ๖ ตอนกมั มขันธกะ ว่าดว้ ยสงั ฆกรรม เก่ยี วดว้ ยการลงโทษ) ๖. โกสมั พิขันธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยเหตุการณ์ในกรงุ โกสัมพี)๑ เร่ิมต้นด้วยเล่าเรื่องภิกษุ ๒ รูป ทะเลาะกัน คือรูปหนึ่งหาว่าอีกรูปหน่ึงต้องอาบัติ แล้วไม่เห็นอาบัติ จึงพาพวกมาประชุมสวดประกาศลงอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุรูปน้ัน ต่างก็มี เพื่อนฝูงมากด้วยกันท้ังสองฝ่าย และต่างหาว่าอีกฝ่ายหนึ่งท�ำไม่ถูก ถึงกับสงฆ์แตกกันเป็น สองฝ่าย และแยกท�ำอุโบสถ แม้พระผู้มีพระภาคจะทรงแนะน�ำตักเตือนให้ประนีประนอมกัน ก็ไม่ฟัง ในที่สดุ ถึงกับทะเลาะวิวาทและแสดงอาการกายวาจาทีไ่ ม่สมควรตอ่ กัน พระผู้มีพระภาคทรงตักเตือนอีก ภิกษุเหล่านั้นก็กลับพูดขอให้พระผู้มีพระภาค อย่าทรงเกี่ยวข้อง ขอให้ทรงหาความสุขส่วนพระองค์ไป ตนจะด�ำเนินการกันเองต่อไป พระผู้มีพระภาคจึงทรงส่ังสอนให้ดูตัวอย่างทีฆาวุกุมารแห่งแคว้นโกศล ผู้คิดแก้แค้น พระเจ้าพรหมทัตแห่งแคว้นกาสี ในการท่ีจับพระราชบิดาของพระองค์ คือพระเจ้าทีฆีติ ไปทรมานประจานและประหารชีวิต เมื่อมีโอกาสจะแก้แค้นได้ ก็ยังระลึกถึงโอวาทของบิดา ท่ีไม่ให้เห็นแก่ยาว (คือไม่ให้ผูกเวร จองเวรไว้นาน) ไม่ให้เห็นแก่ส้ัน (คือไม่ให้ตัดไมตรี) และ ให้ส�ำนึกว่า เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร จึงไว้ชีวิตแก่พระเจ้าพรหมทัต แล้วกลับได้ ราชสมบัตทิ ่เี สียไปคนื พรอ้ มท้ังได้พระราชธดิ าของพระเจ้าพรหมทัตดว้ ย ทรงสรปุ วา่ พระราชา ท่จี บั ศตั ราอาวุธยงั ทรงมขี ันติ (ความอดทน) และโสรจั จะ (ความสงบเสงี่ยม) ได้ จึงควรท่ภี ิกษุ ๑ กรุงโกสมั พเี ปน็ นครหลวงของแควน้ วงั สะ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 345 5/4/18 2:24 PM
346 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ทั้งหลายผู้บวชในพระธรรมวินัยน้ีจะมีความอดทนและความสงบเสง่ียม แต่ภิกษุเหล่าน้ัน ก็มิได้เช่ือฟัง จึงเสด็จไปจากท่ีน้ัน สู่พาลกโลณการกคาม สู่ป่าช่ือปาจีนวังสะโดยล�ำดับ ได้ทรง พบปะกับพระเถระต่าง ๆ ในที่ที่เสด็จไปน้ัน ในท่ีสุดได้เสด็จไปพ�ำนักอยู่ ณ โคนไม้สาละ อันร่มรื่น ณ ป่าช่ือปาริเลยยกะ ในตอนนี้ได้เล่าเรื่องแทรกว่า มีพญาช้างชื่อปาริเลยยกะ มาอุปฐากดูแลพระผมู้ ีพระภาค ต่อจากนน้ั จึงได้เสด็จไปยังกรงุ สาวัตถี อุบาสกอุบาสิกาชาวโกสัมพี ไม่พอใจภิกษุที่แตกกันเหล่านั้น จึงนัดกัน ไม่แสดง ความเคารพ ไมถ่ วายอาหารบณิ ฑบาต ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั ไดร้ บั ความลำ� บากก็รสู้ ึกผดิ ชอบ จึงพากัน เดินทางไปกรุงสาวัตถี และยอมตกลงระงับข้อวิวาทแตกแยกกัน โดยภิกษุรูปท่ีเป็นต้นเหตุ ยอมแสดงอาบัติ ภิกษุฝ่ายท่ีสวดประกาศลงโทษยอมถอนประกาศ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสให้ ประชุมสงฆ์สวดประกาศระงบั เรือ่ งนั้น เปน็ สงั ฆสามัคคี เสรจ็ แลว้ ใหส้ วดปาฏโิ มกข์ อนึ่ง ทรงแสดงเร่ืองสังฆสามัคคี คือความพร้อมเพรียงแห่งสงฆ์ท่ีไม่เป็นธรรมและ ที่เป็นธรรม โดยแสดงว่า การสามัคคีกันภายหลังท่ีแตกกันแล้วจะต้องแก้ท่ีต้นเหตุ วินิจฉัย เรอื่ งราว เข้าหาเรือ่ งเดิมให้เสรจ็ ส้ินไป ไมใ่ ช่ปล่อยคลุม ๆ ไว้แลว้ สามัคคกี นั อยา่ งคลุม ๆ (เห็นได้ว่าตอนนี้แสดงเป็นประวัติไว้เป็นส่วนใหญ่ ส่วนข้อวินัยเก่ียวกับสงฆ์แตกกัน ในตอนนี้ มีซ้ำ� กับท่ีจะกลา่ วข้างหน้า ในเล่ม ๗ สงั ฆเภทขนั ธกะ คอื หมวดว่าด้วยสงฆแ์ ตกกนั ) จบความย่อแหง่ พระไตรปฎิ ก เล่ม ๕ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 346 5/4/18 2:24 PM
เล่ม ๖ จุลลวัคค์ ภาค ๑ ได้กล่าวมาแล้วว่า มหาวัคค์ (วรรคใหญ่) ซ่ึงเป็นวินัยปิฎกนั้น ได้แก่พระไตรปิฎก เล่ม ๔ และ เล่ม ๕ ซ่ึงได้ย่อความมาแล้ว ในเล่ม ๔ มี ๔ ขันธกะ หรือ ๔ หมวด ในเล่ม ๕ มี ๖ ขันธกะ หรือ ๖ หมวด รวมมหาวัคค์มี ๑๐ ขันธกะ บัดนี้มาถึงย่อความแห่งจุลลวัคค์ (วรรคเล็ก) จึงควรทราบว่า จุลลวัคค์น้ี ได้แก่พระไตรปิฎก เล่ม ๖ และเล่ม ๗ ซึ่งยังเป็น วินัยปิฎก เล่มที่ ๖ มี ๔ ขันธกะ เล่ม ๗ มี ๘ ขันธกะ ท้ังสองเล่มจึงมี ๑๒ ขันธกะ (รวมทั้ง มหาวัคค์และจุลลวคั คม์ ี ๒๒ ขันธกะ หรือ ๒๒ หมวด) เฉพาะเลม่ ๖ น้ี ที่ว่ามี ๔ ขันธกะ นน้ั ดังน้ี ๑. กัมมขันธกะ (หมวดว่าด้วยสังฆกรรม) ในหมวดน้ีได้น�ำเรื่องวิธีลงโทษ ซึ่งเคย กล่าวไว้แล้วในเล่ม ๕ มาขยายความเป็นข้อ ๆ คือ ตัชชนียกรรม (ข่มขู่) นิยสกรรม (ถอดยศหรือตัดสิทธิ) ปัพพาชนียกรรม (ขับไล่) ปฏิสารณียกรรม (ขอขมาคฤหัสถ์) และอุกเขปนียกรรม (ยกจากหมู่) พร้อมด้วยวิธีระงับการ ลงโทษน้ัน ๆ ๒. ปาริวาสิกขันธกะ (หมวดว่าด้วยภิกษุผู้อยู่ปริวาสเพ่ือออกจากอาบัติสังฆาทิเสส) กล่าวถึง วัตรหรือข้อปฏิบัติของภิกษุผู้อยู่ปริวาส รวม ๙๔ ข้อ และกระบวนการ อันเก่ียวกับการออกจากอาบัติสังฆาทิเสส เช่น ข้อก�ำหนดในการอยู่ปริวาส การ ชกั เข้าหาอาบตั ิเดมิ การประพฤติมานัตต์ และการสวดถอนจากอาบัติ ๓. สมุจจยขันธกะ (หมวดว่าด้วยการรวบรวม) คือประมวลเร่ืองที่เก่ียวกับการออก จากอาบัติสังฆาทิเสส ท่ีเหลือจากปริวาสิกขันธกะ มีเรื่องการขอมานัตต์ การให้ มานัตต์ การขออพั ภาน (สวดถอนจากอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส) เปน็ ต้น ๔. สมถขนั ธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยวธิ ีระงับอธิกรณ)์ วธิ รี ะงับอธิกรณ์ ๗ อย่างมีอะไรบา้ ง ได้กล่าวไว้แล้วในท้ายพระไตรปิฎก เล่ม ๒ ตอนน้ีเป็นการอธิบายโดยละเอียด ทั้ง ๗ ข้อ คือ (๑) สมั มุขาวินยั การระงบั แบบพรอ้ มหน้า (๒) สติวนิ ยั การระงบั ดว้ ยยกใหพ้ ระอรหนั ตว์ า่ เปน็ ผมู้ สี ติ (๓) อมฬู หวนิ ยั การระงบั ดว้ ยยกประโยชนใ์ ห้ ในขณะเป็นบ้า (๔) ปฏิญญาตกรณะ การระงับด้วยถือตามค�ำรับของจ�ำเลย (๕) เยภุยยสิกา การระงับด้วยถือเสียงข้างมากเป็นประมาณ (๖) ตัสสปาปิยสิกา การระงบั ดว้ ยการลงโทษแกผ่ ผู้ ดิ (๗) ตณิ วตั ถารกะ การระงบั ดว้ ยใหป้ ระนปี ระนอม หรือเลิกแลว้ กันไป PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 347 5/4/18 2:24 PM
348 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ขยายความ ๑. กัมมขนั ธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยสังฆกรรม) ภิกษุ ๒ รูป ช่ือปัณฑุกะ กับ โลหิตกะ ชอบก่อการทะเลาะวิวาท ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ สนับสนุนภิกษุผู้ชอบก่อทะเลาะวิวาท มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงเรียกประชุมสงฆ์ ทรงไต่สวนได้ความเป็นสัตย์ จึงทรงโปรดให้สงฆ์ลงตัชชนียกรรม (การข่มขู่) แก่เธอท้ังสอง โดยให้โจทอาบัติ ให้ระลึกว่าได้ท�ำผิดจริงหรือไม่ แล้วให้ยกอาบัติขึ้นเป็นเหตุ สวดประกาศ ขอมตสิ งฆล์ งตชั ชนยี กรรมแก่เธอ (สวดเสนอญัตติ ๑ คร้งั สวดประกาศยำ�้ ขอมติ ๓ ครงั้ ) คร้ันแล้วทรงแสดงลักษณะการท�ำตัชชนียกรรม ว่าอย่างไรไม่เป็นธรรม อย่างไรเป็น ธรรม การท�ำทีไ่ ม่เป็นธรรม เชน่ ไม่ทำ� ต่อหน้า ไมซ่ ักถาม (คือลงโทษโดยไมฟ่ ังคำ� ใหก้ าร) ไมฟ่ ัง ปฏญิ ญา (คือการรบั ผิดของจำ� เลย) สว่ นทีเ่ ป็นธรรม คือทำ� ในท่ตี อ่ หนา้ มีการซักถาม มกี ารฟงั ปฏญิ ญาของจำ� เลย เป็นตน้ ลกั ษณะของผทู้ ี่ควรลงตชั ชนียกรรม ภิกษทุ ี่สงฆ์ปรารถนาจะลงตัชชนยี กรรม (ข่มขู่) กล็ งได้ คือ ๑. เป็นผู้ชอบกอ่ การทะเลาะวิวาท ก่ออธกิ รณ์ในสงฆ์ ๒. เปน็ ผู้มากด้วยอาบัติ มีความประพฤติไม่เรียบร้อย ๓. เป็นผู้คลุกคลีด้วยคฤหัสถ์ในทางท่ีไม่สมควร หรอื เป็นผู้ ๑. มีศลี วิบัติ คอื เสียหายทางศลี ๒. มีอาจารวิบัติ คอื เสียหายทางความประพฤติ หรอื มารยาท ๓. มีความเหน็ วิบตั ิ หรอื เปน็ ผู้ ๑. ตเิ ตยี นพระพุทธ ๒. ตเิ ตียนพระธรรม ๓. ติเตยี นพระสงฆ์ หรือภิกษุ ๓ รูป แต่ละรูปท�ำการท่ีผิดอย่างใดอย่างหน่ึงดังกล่าวมาข้างต้น (การลงโทษไม่นิยมให้ท�ำแก่ภิกษุ ๔ รูปขึ้นไป เพราะจะกลายเป็นสงฆ์ลงโทษสงฆ์ ถ้ามีเร่ือง เกดิ ขึ้น จะต้องหาทางออกใหส้ งฆล์ งโทษแกบ่ คุ คลไม่เกิน ๓ รปู ) การถกู ลงโทษเป็นเหตใุ หเ้ สียสิทธิตา่ ง ๆ ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ลงตัชชนียกรรม จะต้องประพฤติวัตรหรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งก็คือ ถูกตดั สิทธิต่าง ๆ รวม ๑๘ อยา่ ง คอื PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 348 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๖ จุลลวัคค์ กัมมขันธกะ 349 ๑. ไม่พงึ ให้อุปสมบท (หา้ มเป็นอุปชั ฌายะ) ิว ันย ิปฎก ๒. ไม่พงึ ใหน้ สิ สยั (ห้ามรบั บคุ คลไวใ้ นปกครอง) ๓. ไมพ่ งึ มสี ามเณรไว้รบั ใช้ ๔. ไมพ่ ึงรบั แตง่ ตัง้ ใหส้ ั่งสอนนางภกิ ษุณี ๕. ได้รับแต่งตงั้ แล้วกไ็ มพ่ ึงส่งั สอนนางภกิ ษณุ ี ๖. ถกู สงฆล์ งโทษดว้ ยอาบัตใิ ด ไม่พึงตอ้ งอาบตั ินน้ั ซำ�้ อกี ๗. ไมพ่ ึงต้องอาบตั ิประเภทเดียวกนั นั้น ๘. ไม่พงึ ตอ้ งอาบัตทิ เี่ ลวกวา่ น้ัน ๙. ไมพ่ งึ ตำ� หนกิ รรมนัน้ ๑๐. ไมพ่ งึ ตำ� หนิสงฆ์ผูท้ ำ� กรรมน้นั ๑๑. ไม่พงึ หา้ มอุโบสถแกภ่ กิ ษุปกติ ๑๒. ไมพ่ ึงหา้ มปวารณาแก่ภิกษุปกติ ๑๓. ไม่พึงไตส่ วนภิกษุอนื่ ๑๔. ไม่พึงเร่ิมตง้ั อนุวาทาธิกรณ์ (การโจทอาบัติ) ๑๕. ไมพ่ งึ ขอใหภ้ ิกษอุ ่นื ท�ำโอกาส (เพ่อื จะโจทอาบัต)ิ ๑๖. ไมพ่ งึ โจทอาบตั ิภกิ ษอุ นื่ ๑๗. ไมพ่ ึงทำ� ภกิ ษุอื่นให้ระลึก (ว่าท�ำความผดิ ข้อนั้นข้อน้ีหรอื ไม่) ๑๘. ไม่พึงชว่ ยภิกษทุ ัง้ หลายให้ส้กู นั ในอธกิ รณ์ การไม่ระงบั และระงบั โทษ ภกิ ษทุ ถี่ กู สงฆล์ งตชั ชนยี กรรม เสยี สทิ ธติ า่ ง ๆ แลว้ ฝนื ทำ� ในขอ้ ทถ่ี กู ตดั สทิ ธนิ น้ั ไมค่ วร ระงับการลงโทษ ตอ่ เม่ือปฏบิ ตั ิตามในการยอมเสียสทิ ธติ ่าง ๆ จึงควรสวดประกาศระงับโทษ นิยสกรรม (การถอดยศ) ภิกษชุ ือ่ ว่าเสยยสกะ เป็นผมู้ ากดว้ ยอาบัติ มมี ารยาทไมเ่ รยี บรอ้ ย คลุกคลกี ับคฤหัสถ์ ในทางที่ไม่สมควร ภิกษุปกติทั้งหลายก็ยังให้ปริวาส เป็นต้น คือช่วยท�ำพิธีออกจากอาบัติ สังฆาทิเสสให้เธอ มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงเรียกประชุมสงฆ์ ได้ความเป็นสัตย์แล้ว จึงทรงโปรดให้สงฆ์ลงนิยสกรรม (คือการถอดยศหรือตัดสิทธิ) แก่เธอโดยวิธีเดียวกับท่ีลง ตชั ชนยี กรรม PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 349 5/4/18 2:24 PM
350 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ นอกจากน้ัน ทรงแสดงลักษณะการท�ำนิยสกรรมว่าอย่างไรไม่เป็นธรรม อย่างไรเป็น ธรรม ซ่งึ มีข้อกำ� หนดเหมอื นตชั ชนยี กรรม แล้วทรงแสดงลักษณะของภิกษุผู้ควรลงนิยสกรรม เหมือนกับลักษณะของผู้ถูกลง ตชั ชนียกรรมทุกประการ การเสียสิทธิ การระงับการลงโทษ การไม่ระงับการลงโทษ ก็เป็นแบบเดียวกับ ตัชชนียกรรม (แต่พึงสังเกตว่า ตัชชนียกรรมเน้นในเรื่องก่อวิวาท แต่นิยสกรรมเน้นในเร่ือง ต้องอาบัตมิ าก มีมารยาทไมด่ ี และคลกุ คลกี ับคฤหัสถ์) ปพั พาชนียกรรม (การลงโทษขับไล)่ ภิกษุท่ีเป็นพวกของพระอัสสชิ๑ และพระปุนัพพสุกะซ่ึงอยู่ ณ ชนบท ช่ือกิฏาคิรี เป็นพระอลัชชีประพฤติส่ิงที่ไม่สมควร เช่น ปลูกต้นไม้เอง ใช้ให้ปลูกต้นไม้ให้คฤหัสถ์ ร้อยดอกไม้ให้คฤหัสถ์ บริโภคอาหารในเวลาวิกาล ด่ืมน้�ำเมา ทัดทรงดอกไม้ ฟ้อนร�ำขับร้อง และเล่นซนอน่ื ๆ พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงทรงส่งพระสาริบุตร พระโมคคัลลานะให้ไปจัดการลง ปพั พาชนียกรรม แกภ่ ิกษเุ หลา่ นนั้ ทรงแนะวิธที �ำ วิธสี วดประกาศ มิใหภ้ กิ ษุพวกของพระอัสสชิ และพระปนุ พั พสกุ ะ อยูใ่ นชนบทชื่อกฏิ าคิรีตอ่ ไป ทรงแสดงลักษณะการท�ำปัพพาชนียกรรมว่าอย่างไรไม่เป็นธรรม อย่างไรเป็นธรรม ซึง่ มขี ้อก�ำหนดเหมือนตชั ชนยี กรรมซง่ึ กลา่ วมาแล้ว แล้วทรงแสดงลักษณะของภิกษุผู้ควรลงปัพพาชนียกรรม (ขับไล่) หลายประการ มีทั้งความไม่ดี ไม่งาม แบบที่กล่าวไว้ในตัชชนียกรรม และนิยสกรรม มีท้ังความไม่ดีไม่งาม อันเนอื่ งดว้ ยความประพฤตไิ ม่สมควรทางกายวาจา และการเลย้ี งชีพในทางที่ผิด เปน็ ต้น การเสยี สทิ ธขิ องภกิ ษผุ ถู้ กู ลงปพั พาชนยี กรรม คงมี ๑๘ อยา่ งเชน่ เดยี วกบั ตชั ชนยี กรรม (แตท่ พ่ี ิเศษออกไปกค็ อื การถูกขบั ไล่ไม่ให้อย่ใู นท่อี ย่ขู องตน) แลว้ ทรงแสดงลกั ษณะทไ่ี มค่ วรระงบั การลงโทษ และควรระงบั การลงโทษเชน่ เดยี วกบั ทกี่ ล่าวแลว้ ๑ พระอสั สชิรูปน้ี มใิ ช่รปู เดียวกับท่ีเป็นอาจารย์พระสารบิ ตุ ร PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 350 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๖ จุลลวัคค์ กัมมขันธกะ 351 ปฏสิ ารณียกรรม (การลงโทษใหข้ อขมาคฤหสั ถ์) ิว ันย ิปฎก พระสุธัมมะอาศัยอยู่ในวัดของจิตตะคฤหบดี ณ ราวป่าชื่อมัจฉิกา โกรธว่า คฤหบดี นมิ นตพ์ ระเถระรปู อนื่ ไปฉนั โดยไมบ่ อกเลา่ หรอื ปรกึ ษาหารอื ตนกอ่ น จงึ แกลง้ พดู ใหก้ ระทบถงึ การสืบสกุลของคฤหบดีผู้นั้นในท่ีซึ่งพระเถระอื่นอยู่ด้วยว่า ของเค้ียวของฉันของท่านสมบูรณ์ หมด ไม่มีอยูก่ แ็ ตข่ นมคลุกงา (ติลสงั คุลกิ า)๑ และไดแ้ สดงอาการอยา่ งอ่ืนในทางท่ไี ม่สมควร พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงทรงแนะให้สงฆ์สวดประกาศลงปฏิสารณียกรรม คอื ให้ไปขอโทษคฤหสั ถ์ที่ตนรุกรานลว่ งเกิน แล้วทรงแสดงลักษณะของการท�ำปฏิสารณียกรรมท่ีไม่เป็นธรรมและที่เป็นธรรม ในท�ำนองเดียวกับตัชชนียกรรมทก่ี ลา่ วมาแล้ว สว่ นลกั ษณะของภิกษุผ้คู วรลงโทษแบบนี้ ทา่ นแสดงไว้ ๔ หมวด หมวดละ ๕ ขอ้ คือ หมวด ๑ ๑. ขวนขวายเพื่อเส่อื มลาภแกค่ ฤหัสถ์ ๒. ขวนขวายเพื่อความเสียหาย (อนตั ถะ) แก่คฤหัสถ์ ๓. ขวนขวายเพื่ออยไู่ ม่ได้แกค่ ฤหสั ถ์ ๔. ด่าหรอื บรภิ าษคฤหสั ถ์ (บรภิ าษ คอื ด่าโดยออ้ ม) ๕. ท�ำคฤหสั ถ์ให้แตกกบั คฤหัสถ์ หมวด ๒ ๑. ติเตยี นพระพุทธเจา้ ให้คฤหัสถ์ฟงั ๒. ติเตยี นพระธรรมให้คฤหัสถฟ์ งั ๓. ติเตยี นพระสงฆใ์ ห้คฤหสั ถฟ์ ัง ๔. ด่าหรือพูดขม่ คฤหัสถ์ ด้วยถอ้ ยค�ำอนั เลว ๕. รบั ปากอนั เป็นธรรมแกค่ ฤหสั ถไ์ ว้แลว้ ท�ำใหค้ ลาดเคลื่อน คือไมท่ �ำตามน้ัน หมวด ๓ ภิกษุ ๕ รปู แตล่ ะรปู ทำ� ความไมด่ ีด่งั ทกี่ ล่าวไว้ในหมวด ๑ รูปละอยา่ ง ๑ ตน้ สกลุ ของคฤหบดีผ้นู ี้ มีอาชพี ทำ� ขนมคลุกงาขาย อนงึ่ คฤหบดผี ู้นี้เปน็ พระอนาคามี PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 351 5/4/18 2:24 PM
352 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ หมวด ๔ ภกิ ษุ ๕ รูป แต่ละรูปทำ� ความไม่ดดี งั่ ทกี่ ล่าวไวใ้ นหมวด ๒ รูปละอย่าง ท้ังส่ีหมวด หมวดละ ๕ ข้อน้ี เพียงหมวดใดหมวดหน่ึงท่ีภิกษุได้กระท�ำลงไป ถา้ สงฆ์ปรารถนาจะลงโทษใหข้ อขมาคฤหัสถ์ (ปฏิสารณียกรรม) กท็ ำ� ได้ ต่อจากนั้นทรงแสดงการเสียสิทธิ หรือการประพฤติวัตร ๑๘ อย่างเหมือนที่กล่าวไว้ ในตัชชนียกรรม แล้วทรงแสดงวิธีท่ีจะปฏิบัติในการขอขมาคฤหัสถ์ ซ่ึงจะต้องมีการสวดประกาศสงฆ์ ส่งภิกษุเป็นทูตไปด้วยรูปหน่ึงร่วมกับภิกษุที่ถูกลงโทษ เพื่อช่วยเจรจาให้เขายกโทษให้ เม่ือท�ำไดด้ ังนี้ สงฆจ์ ึงสวดประกาศเพิกถอนการลงโทษนน้ั ต่อจากน้ัน จึงทรงแสดงลักษณะของภิกษุท่ีไม่ควรและควรเพิกถอนการลงโทษ แบบน้ี ฝา่ ยละ ๑๘ ขอ้ เชน่ เดยี วกับตชั ชนยี กรรม อกุ เขปนียกรรม (การยกเสยี จากหมู่) พระฉันนะต้องอาบัติแล้ว ไม่เห็นอาบัติ ความทราบถึงพระผู้มีพระภาค จึงทรงแนะ ให้สงฆ์ลงโทษยกเสียจากหมู่ คือไม่คบค้าด้วย ทรงแสดงลักษณะการลงโทษท่ีไม่ถูกธรรม และถูกธรรม เช่นเดียวกับที่กล่าวไว้ในเร่ืองตัชชนียกรรม แต่มีการเน้นว่า การลงโทษยก เสียจากหมู่น้ี เพราะภิกษุไม่เห็นอาบัติ ไม่ท�ำคืนอาบัติ ไม่เลิกละความเห็นท่ีชั่ว และยังมี ความไมด่ ขี อ้ อ่ืนอีกทซี่ ้ำ� กับตัชชนยี กรรม แล้วทรงแสดงการเสียสิทธิ เป็นต้น เหมือนกับที่กล่าวไว้ในตัชชนียกรรม (อนึ่ง พึงสังเกตว่า ค�ำว่า การเสียสิทธิน้ัน เป็นการพูดให้เข้าใจง่าย ในภาษาบาลีใช้ค�ำว่า วัตร๑ หรอื ขอ้ ปฏบิ ัติ ๑๘ ข้อ) ๒. ปรวิ าสิกขันธกะ (หมวดวา่ ด้วยผอู้ ยู่ปริวาส) เมื่อมาถึงวินัยกรรมเกี่ยวกับการออกจากอาบัติสังฆาทิเสส ซึ่งกล่าวไว้ในหมวดนี้ ควรจะได้ทราบความหมายเก่ียวกับศัพท์ และล�ำดับการปฏิบัติซึ่งกล่าวถึงในหมวดน้ีก่อน ซง่ึ มดี ังนี้ ๑ คำ� นใ้ี นภาษาบาลี เขียนเปน็ วตั ต - ม.พ.ป. PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 352 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๖ จุลลวัคค์ ปริวาสิกขันธกะ 353 (๑) การอยู่ปริวาส คือการลงโทษให้ต้องอบรมตัวเอง เท่าก�ำหนดเวลาที่ต้องอาบัติ ิว ันย ิปฎก สังฆาทิเสส แล้วปิดไว้ ถ้าปิดไว้กี่วันก่ีเดือน ก็จะต้องอยู่ปริวาสเท่านั้นวันเท่า นนั้ เดอื น (๒) การชักเข้าหาอาบัติเดิมหรือมูลายปฏิกัสสนา คือในขณะท่ีอยู่ปริวาสก็ตาม ประพฤติมานัตต์ (ซ่ึงจะกล่าวต่อไป) ก็ตาม เธอไปต้องอาบัติสังฆาทิเสสซ้�ำกับ ที่ต้องไว้เดิมเข้าอีก ก็จะต้องเริ่มต้ังต้นถูกลงโทษไปใหม่ คือต้องขอกลับเริ่มต้น ถกู ลงโทษในล�ำดับแรกอีก (๓) การประพฤติมานัตต์ เมื่ออยู่ปริวาสครบก�ำหนดที่ปิดไว้แล้ว หรือถ้าไม่ได้ปิดไว้ เลย กไ็ มต่ อ้ งอยูป่ ริวาส คงประพฤติมานตั ตท์ ีเดยี ว การประพฤตมิ านตั ต์ คอื การ ถูกลงโทษให้ต้องประจานความผิดของตนแบบปริวาส แต่มีก�ำหนด ๖ ราตรี ไม่ว่า จะปดิ ไวห้ รอื ไมป่ ดิ อาบตั สิ งั ฆาทเิ สส ตอ้ งประพฤตมิ านตั ต์ ๖ ราตรี เหมอื นกนั หมด (๔) การสวดถอนจากอาบัติสังฆาทิเสสหรืออัพภาน เมื่อภิกษุถูกลงโทษให้อยู่ปริวาส (ถา้ ปดิ อาบตั ไิ ว)้ และใหป้ ระพฤตมิ านตั ตถ์ กู ตอ้ งแลว้ กเ็ ปน็ ผคู้ วรแกก่ ารสวดถอน จากอาบตั นิ นั้ การสวดถอนจากอาบตั นิ ี้ เรยี กวา่ อพั ภาน ตอ้ งใชภ้ กิ ษปุ ระชมุ กนั ไม่ น้อยกวา่ ๒๐ รปู ในระหวา่ งทถี่ กู ลงโทษเหลา่ น้ี ภกิ ษถุ กู ตดั สทิ ธมิ ากหลาย ทงั้ ยงั ตอ้ งคอยบอกความผดิ ของตนแก่ภิกษผุ ูผ้ า่ นไปมาและบอกในที่ประชุมสงฆ์ เม่ือทำ� อุโบสถสงั ฆกรรมด้วย รวมความว่า เปน็ การลงโทษทที่ ำ� ใหผ้ ถู้ กู ลงโทษรสู้ กึ วา่ หนกั มาก ตอ้ งเกย่ี วขอ้ งกบั สงฆส์ ว่ นมาก โดยการประจาน ตัวและการสวดประกาศหลายขน้ั หลายตอน ตัดสทิ ธิภกิ ษผุ ู้อยู่ปริวาส สมยั นนั้ ภกิ ษผุ อู้ ยปู่ รวิ าส ยนิ ดกี ารกราบไหว้ เปน็ ตน้ ของภกิ ษปุ กติ (คอื ผไู้ มต่ อ้ งอาบตั )ิ พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงทรงวางข้อก�ำหนด มิให้ภิกษุผู้อยู่ปริวาสยินดีการกราบไหว้ การลุกขึ้นต้อนรับ การท�ำอัญชลี การท�ำชอบ (เช่น การแสดงความเคารพ) การน�ำอาสนะมาให้ การน�ำท่ีนอนมาให้ การล้างเท้า การตั้งตั่งรองเท้า การต้ังกระเบื้องเช็ดเท้า การรับบาตรจีวร การถูหลังในเวลาอาบน้�ำ ถ้าขืนยินดีให้ผู้อ่ืนท�ำแก่ตนเช่นน้ัน ต้องอาบัติทุกกฏ ทรงอนุญาตให้ ภิกษุผู้อยู่ปริวาสด้วยกันปฏิบัติแสดงความเคารพเอื้อเฟื้อต่อกันดังกล่าวข้างต้นได้ตามล�ำดับ พรรษา และทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้อยู่ปริวาสด้วยกันท�ำอุโบสถ ปวารณา รับแจกผ้าอาบน้�ำฝน รบั โอนอาหาร รบั แจกอาหารไดต้ ามลำ� ดับพรรษา PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 353 5/4/18 2:24 PM
354 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ วตั ร ๙๔ ขอ้ ของผอู้ ยูป่ ริวาส ทรงแสดงวัตร ๙๔ ข้อของภิกษผุ ู้อย่ปู ริวาส หรอื กล่าวอีกอย่างหน่ึงก็คอื การตัดสิทธิ ตา่ ง ๆ ห้ามท�ำอย่างนนั้ อย่างนี้ รวมทั้งส้นิ ๙๔ ขอ้ (แต่ในที่นี้ จะเกบ็ ใจความมากลา่ ว พอใหเ้ หน็ เป็นหวั ข้อใหญ่ ๆ) ดงั ต่อไปน้ี ๑. ไม่ให้ท�ำการในหน้าที่พระเถระ แม้เป็นเถระมีหน้าที่อย่างนั้นอยู่ก็เป็นอันระงับ ช่วั คราว เช่น ห้ามบวชให้ผู้อืน่ หา้ มใหน้ ิสสัย (รับผอู้ ืน่ ไว้ในปกครอง) เปน็ ตน้ ๒. ก�ำลังถูกลงโทษเพราะอาบัติใด ห้ามต้องอาบัติน้ันซ�้ำ หรือต้องอาบัติอ่ืนท่ีมี ลกั ษณะเดยี วกัน หรอื ท่ีเลวทรามกว่านนั้ ๓. ห้ามถือสิทธิแห่งภิกษุปกติ เช่น ไม่ให้มีสิทธิ๑ ห้ามอุโบสถ หรือปวารณาแก่ภิกษุ ปกติ ห้ามโจททว้ งภิกษอุ ่นื เป็นตน้ ๔. ห้ามถือสิทธิอนั จะพงึ ไดต้ ามลำ� ดบั พรรษา เช่น ไม่ให้เดินนำ� หนา้ ไม่ใหน้ ่งั ข้างหน้า ภิกษปุ กติ เมื่อมีการแจกของ พึงยนิ ดขี องเลวทแี่ จกทีหลัง ท้ังนหี้ มายรวมทั้งท่ีน่ัง ที่นอน และทอ่ี ยู่อาศัย ๕. ห้ามท�ำอาการของผู้มีเกียรติหรือเด่น เช่น มีภิกษุปกติเดินน�ำหน้า หรือเดินตาม หลงั หรือใหเ้ ขาเอาอาหารมาส่ง ด้วยไมต่ ้องการจะให้ใครร้วู า่ กำ� ลังถูกลงโทษ ๖. ให้ประจานตัว เช่น ไปสู่วัดอื่น ก็ต้องบอกอาบัติของตนแก่ภิกษุในวัดน้ัน เมื่อ ภิกษุอ่ืนมา ก็ต้องบอกอาบัติของตนนั้นแก่ภิกษุผู้มา จะต้องบอกอาบัติของตนใน เวลาท�ำอโุ บสถ เวลาท�ำปวารณา ถ้าปว่ ยไข้ต้องส่งทตู ไปบอก ๗. ห้ามอยู่ในวัดท่ีไม่มีสงฆ์อยู่ (เพ่ือป้องกันการเล่ียงไปอยู่วัดร้าง ซึ่งไม่มีพระ จะได้ ไมต่ อ้ งประจานตวั แก่ใคร ๆ) ๘. ห้ามอยู่ร่วมในท่ีมุงอันเดียวกับภิกษุปกติน้ี เพื่อเป็นการตัดสิทธิทางการอยู่ร่วม กบั ภกิ ษอุ ่นื ชัว่ คราว ๙. เหน็ ภกิ ษุปกติ ต้องลกุ ขึน้ จากอาสนะ ใหเ้ ชญิ นง่ั บนอาสนะ ไม่ให้นง่ั หรอื ยืน เดิน ในทีห่ รือในอาการ ท่ีสูงกว่าภิกษปุ กติ ๑๐. แม้ในภิกษุผู้ถูกลงโทษด้วยกันเอง ก็ไม่ให้อยู่ร่วมในที่มุงเดียวกัน รวมทั้งไม่ให้ ตเี สมอกนั และกนั (ทางท่ดี ีไมใ่ ห้มารวมกัน ให้ตา่ งคนตา่ งอย)ู่ ๑ หมายถึง ตดั สทิ ธิ์ - ม.พ.ป. PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 354 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๖ จุลลวัคค์ ปริวาสิกขันธกะ 355 ต้ังแต่ข้อ ๖ ถึงข้อ ๑๐ ถ้าภิกษุฝ่าฝืน การประพฤติตัวของเธอเพ่ือออกจากอาบัติ ิว ันย ิปฎก ย่อมเปน็ โมฆะ มศี ัพทเ์ รียกวา่ วตั ตเภท (เสียวตั ร) และรัตติเฉท (เสียราตร)ี วนั ทีล่ ่วงละเมิดนน้ั มใิ หน้ บั เปน็ วนั สมบรู ณใ์ นการเปลอ้ื งโทษ จะตอ้ งทำ� ใหมแ่ ละนบั วนั ใหมใ่ นการรบั โทษแกไ้ ขตวั เอง ๑๑. ในการท�ำสังฆกรรมเกี่ยวกับการให้ปริวาส การชักเข้าหาอาบัติเดิม ซึ่งต้องการ สงฆ์ ๔ รูป ห้ามภกิ ษทุ ถี่ กู ลงโทษเขา้ ร่วมกรรมเปน็ องค์ที่ ๔ ถา้ มภี กิ ษุปกติ ๔ รูป แล้วภิกษุที่ถูกลงโทษเข้าร่วมได้ ไม่เสียกรรม และในการสวดถอนอาบัติ สังฆาทิเสสของภิกษุอ่ืน ซ่ึงต้องการสงฆ์ ๒๐ รูป ภิกษุที่ถูกลงโทษจะเข้าร่วม เป็นองคท์ ี่ ๒๐ ไม่ได้ ตอ้ งมีภกิ ษปุ กตคิ รบ ๒๐ รปู จงึ ใช้ได้ ต่อจากนี้ไป ได้แสดงถึงภิกษุท่ีถูกลงโทษในล�ำดับต่าง ๆ กันว่า จะต้องประพฤติวัตร เหมือนภกิ ษผุ อู้ ยปู่ รวิ าส คอื ๑. ภกิ ษุทคี่ วรชกั เข้าหาอาบัตเิ ดมิ (เพราะต้องอาบัตทิ �ำนองเดียวกันเข้าอกี ในระหวา่ ง ประพฤติตนเพ่ือออกจากอาบตั ินั้น) ๒. ภกิ ษุผคู้ วรแก่มานตั ต์ (พราะอย่ปู ริวาสเสรจ็ แลว้ หรือเพราะไม่ไดป้ ดิ อาบัตไิ ว้) ๓. ภิกษผุ ปู้ ระพฤตมิ านตั ต์ (คือกำ� ลังประพฤติมานตั ตอ์ ย่)ู ๔. ภิกษุผู้ควรแก่อัพภาน คือควรจะสวดถอนจากอาบัติได้แล้ว (เพราะอยู่ปริวาส และประพฤติมานัตต์เสร็จแล้ว) รัตตเิ ฉท (การเสยี ราตร)ี พระอุบาลีได้กราบทูลถามพระผู้มีพระภาคถึงเร่ืองการเสียราตรี (รัตติเฉท) ของภิกษุ ผอู้ ยปู่ รวิ าส หรอื ประพฤตมิ านตั ตแ์ ลว้ ลว่ งละเมดิ ขอ้ หา้ มวา่ จะมตี า่ งกนั อยา่ งไร พระผมู้ พี ระภาค ตรสั ตอบว่า การเสียราตรีของภกิ ษุผอู้ ยูป่ รวิ าส มเี พราะเหตุอยู่ ๓ อยา่ ง คอื ๑. อย่รู วมในชายคาเดยี วกบั ภกิ ษุอื่น ๒. อยู่ในวดั ท่ีไมม่ ีภิกษุ ๓. ไม่บอกหรือประจานตวั เองเกี่ยวกบั อาบตั นิ น้ั แกภ่ กิ ษุ หรอื แกส่ งฆ์ แล้วแตก่ รณี สว่ นการเสยี ราตรีของภกิ ษผุ ้ปู ระพฤติมานตั ต์มี ๔ อย่าง คอื ๓ ข้อแรกเหมือนกบั ของ ภิกษุผู้อยู่ปริวาส เฉพาะในข้อ ๔ คือประพฤติมานัตต์ในสงฆ์ที่ไม่เต็มคณะ (คือระหว่าง ประพฤตมิ านตั ต์ สงฆ์ในวดั น้ันลดจ�ำนวนลงนอ้ ยกวา่ ๔ ไม่ได)้ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 355 5/4/18 2:24 PM
356 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ การเก็บปรวิ าสและเกบ็ มานตั ต์ ในกรณีที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้น อันท�ำให้ไม่สามารถอยู่ปริวาสหรือประพฤติมานัตต์ได้ สะดวก เช่น สงฆ์มาประชุมกันมากมาย จะเที่ยวบอกประจานตัวเองให้หมดส้ินท่ัวถึงไม่ไหว ก็ทรงอนุญาตให้เก็บปริวาส หรือมานัตต์ได้ เมื่อเหตุการณ์เป็นปกติแล้ว จึงสมาทาน คือถือ การอยปู่ ริวาสหรอื ประพฤตมิ านัตต์ตอ่ ไปใหม่ ๓. สมจุ จยขนั ธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยการรวบรวมเรื่องการออกจากอาบตั ิสงั ฆาทิเสส) ในหมวดน้ีแสดงวิธีออกจากอาบัติสังฆาทิเสส โดยเล่าเรื่องพระอุทายีปรึกษาสงฆ์ว่า ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วจะควรปฏิบัติอย่างไร (คล้ายเป็นการตั้งตุ๊กตาให้เห็นวิธีปฏิบัติ ตั้งแตต่ น้ จนจบ) มกี ารแสดงรายละเอยี ด ซง่ึ พระผ้มู พี ระภาคตรัสแนะดังต่อไปน้ี (๑) ต้องอาบัติสังฆาทิเสสข้อเดียว ไม่ได้ปกปิด ให้ขอมานัตต์ ให้สวดประกาศให้ มานัตต์ เมื่อประพฤติมานัตต์เสร็จแล้ว ให้ขออัพภาน (ขอให้สงฆ์สวดถอนจาก อาบัติ) ให้สวดประกาศถอนจากอาบตั ิให้ (๒) ต้องอาบัติสังฆาทเิ สสขอ้ เดยี ว ปดิ ไวว้ นั เดยี ว ใหข้ อปรวิ าส ๑ วนั เสรจ็ แล้วจงึ ขอ มานตั ตแ์ ล้วดำ� เนนิ การตอ่ ไปตามล�ำดบั เหมอื นขอ้ (๑) (๓) ตอ้ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สสขอ้ เดยี ว แตป่ ดิ ไว้ ๒ วนั บา้ ง ๓ วนั บา้ ง ๔ วนั บา้ ง ๕ วนั บา้ ง ให้ขอปริวาส ๒ วัน ๓ วัน ๔ วัน ๕ วัน ตามควรแก่เหตุ แล้วขอมานัตต์ และ ดำ� เนนิ การต่อไปตามล�ำดบั เหมอื นขอ้ (๑) (๔) ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วปกปิดไว้ ๕ วัน ขอปริวาส ๕ วัน ระหว่างอยู่ปริวาส ต้องอาบัติข้อนั้นอีก ให้ชักเข้าหาอาบัติเดิม โดยขอต่อสงฆ์ ให้ชักเข้าหาอาบัติ เดิมแล้วขอปริวาสใหม่ อยู่ปริวาสอีก ๕ วัน แล้วจึงท�ำต่อไปตามล�ำดับเหมือน ข้อ (๑) (๕) ตอ้ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สสแลว้ ปกปดิ ไว้ ๑ ปกั ษ์ (๑๕ วนั ) ใหข้ อปรวิ าส ๑ ปกั ษ์ ระหวา่ ง ที่อยู่ปริวาสต้องอาบัติเดิมอีก ปิดไว้ ๕ วัน ให้ขอต่อสงฆ์ เพื่อชักเข้าหาอาบัติ เดิม เริ่มต้นขอปริวาสใหม่ โดยรวมกับอาบัติท่ีปิดไว้เดิม (เม่ือรวมกันก็นับข้าง มากเพยี งฝ่ายเดียว คือ ๑๕ วนั ไม่ต้องเติมอกี ๕ วัน) ตอ่ มาเมอื่ เธออยูป่ ริวาส เสรจ็ แลว้ ขอประพฤตมิ านตั ต์ ระหวา่ งทป่ี ระพฤตมิ านตั ต์ ตอ้ งอาบตั ขิ อ้ เดมิ ซำ�้ อกี ให้สงฆช์ กั เข้าหาอาบัติเดมิ คือต้องเรมิ่ ต้นอยปู่ ริวาสใหม่ (อีก ๑๕ วนั ) แล้วจึงขอ มานตั ต์ ประพฤตมิ านตั ต์ใหม่ จนสวดถอนในทส่ี ุด PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 356 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๖ จุลลวัคค์ สมถขันธกะ 357 นอกจากนไ้ี ดแ้ สดงตวั อยา่ งอนื่ อกี หลายขอ้ ทเ่ี กดิ ปญั หาสลบั ซบั ซอ้ นในระหวา่ งประพฤติ ิว ันย ิปฎก มานัตต์บ้าง ในกรณีอื่น ๆ บ้าง (ถ้าภิกษุรูปใดประพฤติยุ่งยากแบบน้ี คือขณะออกจากอาบัติ กอ็ อกไมไ่ ดส้ กั ที กลบั ทำ� ความผดิ ซำ�้ แลว้ ซำ�้ เลา่ ในทางปฏบิ ตั ิ กอ็ าจขบั ไล่ คอื ลงปพั พาชนยี กรรมได้ เพราะศลี วบิ ตั ิ แตใ่ นทน่ี พี้ ระผมู้ พี ระภาคทรงแนะใหแ้ กป้ ญั หาเฉพาะในทางวธิ กี ารออกจากอาบตั ิ คล้ายกับเป็นการเฉลยข้อกฎหมายในเรื่องใดเร่ืองหน่ึง โดยเฉพาะมิได้ยกเอาข้ออ่ืนมาตัดบท อยา่ งไรกต็ าม เรอ่ื งราวในสมจุ จยขนั ธกะน้ี เทา่ กบั เปน็ ประมวลแบบปฏบิ ตั ใิ นเรอื่ งออกจากอาบตั ิ สงั ฆาทิเสสที่มปี ัญหาสลบั ซับซอ้ น แสดงคำ� บาลสี �ำหรับสวดประกาศไวอ้ ย่างพิสดาร) ๔. สมถขนั ธกะ (หมวดว่าดว้ ยวธิ รี ะงบั อธิกรณ)์ ๑ ภิกษุฉัพพัคคีย์ (พวก ๖) ท�ำกรรมประเภทลงโทษแก่ภิกษุทั้งหลายท่ีไม่ได้อยู่ต่อหน้า (เป็นการท�ำลับหลัง) คือตัชชนียกรรม (ข่มขู่) บ้าง นิยสกรรม (ถอดยศหรือตัดสิทธิ) บ้าง ปัพพาชนียกรรม (ขับไล่) บ้าง ปฏิสารณียกรรม (ให้ขอขมาคฤหัสถ์) บ้าง อุกเขปนียกรรม (ยกเสียจากหมู่ไม่ให้ใครคบ) บ้าง มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติพระวินัย ห้ามทำ� การลับหลังผูถ้ ูกลงโทษ ทรงปรับอาบตั ทิ กุ กฏแกผ่ ู้ท�ำเช่นนั้น (๑) สัมมขุ าวินัย (การระงบั ต่อหน้า) ทรงแสดงภกิ ษทุ เ่ี ป็นบคุ คลฝ่ายไม่ดี ๓ ประเภท คือ (๑) บคุ คล (คนเดยี ว) (๒) บคุ คลหลายคน (๓) สงฆ์ (๔ รูปข้นึ ไป) ทีพ่ ดู ไมเ่ ปน็ ธรรม ฝ่ายหนึ่ง กับ ทรงแสดงภิกษุท่เี ป็นบคุ คลฝา่ ยดี ๓ ประเภท คือ (๑) บุคคล (คนเดยี ว) (๒) บุคคลหลายคน (๓) สงฆ์ (๔ รปู ข้ึนไป) ท่พี ูดเป็นธรรมอีกฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายทพ่ี ูดไมเ่ ปน็ ธรรม แมจ้ ะระงบั เรอ่ื งทีเ่ กดิ ขึน้ ในที่พรอ้ มหน้า ก็เรยี กวา่ สัมมขุ าวนิ ัย เทียมและระงับอย่างไม่เป็นธรรม ฝ่ายท่ีพูดเป็นธรรม ระงับเร่ืองที่เกิดข้ึน เรียกว่าสัมมุขาวินัย และระงับอย่างเปน็ ธรรม ๑ อธกิ รณ์ คอื เรื่องท่เี กดิ ขน้ึ แลว้ จะตอ้ งจัดตอ้ งทำ� แบ่งออกเปน็ ๔ อยา่ ง ดังจะกลา่ วในหมวดนี้ ซงึ่ มีพระพทุ ธภาษิต อธบิ ายไว้ด้วย PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 357 5/4/18 2:24 PM
358 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ พระทพั พมลั ลบุตรท�ำงานให้สงฆ์ พระทพั พมลั ลบตุ รไดบ้ รรลอุ รหตั ตผลตง้ั แตอ่ ายยุ งั นอ้ ย ทา่ นปรารถนาจะทำ� ประโยชน์ แก่สงฆ์ จึงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ขอรับท�ำหน้าท่ีเป็นผู้จัดเสนาสนะ (ที่อยู่อาศัย) และแสดง ภตั ต์ (จัดภกิ ษุไปฉนั ในทนี่ ิมนต์) พระผู้มพี ระภาคทรงเหน็ ชอบดว้ ย จงึ ตรัสให้เรยี กประชุมสงฆ์ ขอมติสวดประกาศแต่งต้ังพระทัพพมัลลบุตรเป็นผู้จัดเสนาสนะ (เสนาสนคาหาปกะ) และผู้ แสดงภตั ต์ (ภตั ตทุ เทสกะ) เมอ่ื ไมม่ ผี ใู้ ดคดั คา้ น จงึ เปน็ อนั ประกาศแตง่ ตง้ั เมอื่ ไดร้ บั แตง่ ตงั้ แลว้ ปรากฏวา่ ไดจ้ ดั เสนาสนะไดด้ แี ละเรยี บรอ้ ย ถงึ กบั มภี กิ ษมุ าแกลง้ ใหจ้ ดั ในทตี่ า่ ง ๆ กนั ซงึ่ อยหู่ า่ ง ไกลกนั ทีละหลาย ๆ รปู เพอื่ จะดูความสามารถ แตท่ ่านกจ็ ดั ได้เรียบร้อยอย่างน่าอัศจรรย์ สว่ นการจดั แบง่ ภกิ ษไุ ปรบั อาหารกท็ ำ� ไดเ้ รยี บรอ้ ย แตม่ ภี กิ ษพุ วกหนง่ึ ซง่ึ เปน็ พวกภกิ ษุ เมตติยะ และภุมมชกะ ไมพ่ อใจวา่ ตนไมค่ อ่ ยไดร้ บั อาหารดี ๆ (ความจริง เพราะเปน็ ผูบ้ วชใหม่ คนจงึ ไม่สนใจถวายอาหารดี ๆ เหมอื นภิกษุอน่ื ) ภิกษพุ วกนนั้ เข้าใจผดิ วา่ พระทพั พมัลลบุตร กล่ันแกล้งจึงหาเรื่องให้นางเมตติยาภิกษุณีแกล้งใส่ความหาว่าข่มขืนนาง เม่ือไต่สวนได้ ความสัตย์แล้ว ภิกษุท้ังหลายจึงจัดการให้สึกนางเมตติยาภิกษุณี แม้ภิกษุที่ก่อเรื่องจะขอ รับผดิ แทน ว่าตนเปน็ ผู้ตน้ คิด ก็ไมม่ กี ารผ่อนผัน (๒) สตวิ ินัย (การระงับด้วยยกให้วา่ เป็นผู้มสี ต)ิ พระผู้มีพระภาคจึงทรงแนะวิธีระงับอธิกรณ์ชนิดนี้ซึ่งเกิดข้ึนแก่พระอรหันต์ ให้สงฆ์ สวดประกาศ ให้สติวินัยแก่พระทัพพมัลลบุตร แล้วทรงแสดงเง่ือนไข ๕ ประการ ในการให้ สตวิ นิ ยั คือ ๑. ภิกษุผถู้ ูกโจทฟ้อง เปน็ ผบู้ ริสทุ ธ์ิ ไม่มอี าบตั ิ ๒. มีผู้กล่าวฟ้องเธอ ๓. เธอขอสตวิ ินยั ๔. สงฆใ์ หส้ ติวินัยแก่เธอ ๕. สงฆพ์ รอ้ มเพรียงกนั ให้โดยธรรม อยา่ งนี้ จงึ เรียกวา่ การใหส้ ติวินัยอันเปน็ ธรรม (๓) อมูฬหวนิ ัย (การระงับดว้ ยยกให้ว่าเป็นบา้ ) ภิกษุชื่อคัคคะ เป็นบ้า ได้ท�ำความผิดหลายประการ มีผู้โจทฟ้อง พระผู้มีพระภาค จึงทรงแนะให้ระงับด้วยอมูฬหวินัย โดยให้ผู้ถูกฟ้อง (ซ่ึงหายแล้ว) ขออมูฬหวินัย และให้สงฆ์ สวดประกาศให้อมูฬหวินัย เป็นอันระงับด้วยยกให้ว่าเป็นบ้าในขณะท�ำความผิด แต่ก็ทรงวาง PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 358 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๖ จุลลวัคค์ สมถขันธกะ 359 เงื่อนไขไว้ว่า ถ้าท�ำความผิดขณะที่รู้สึกตนและไม่เป็นบ้า แต่แก้ตัวว่าไม่รู้สึกตน หรือรู้สึก ิว ันย ิปฎก เหมือนฝัน หรือแก้ตัวอ้างความเป็นบ้า สงฆ์ให้อมูฬหวินัยแก่เธอ ดังน้ี เรียกว่าไม่เป็นธรรม ถ้าตรงกนั ข้าม คอื ท�ำไปในขณะเปน็ บา้ ไมร่ สู้ กึ ตัวจรงิ ๆ การให้อมฬู หวินัยจงึ เปน็ ธรรม (๔) ปฏิญญาตกรณะ (การระงบั ดว้ ยค�ำสารภาพของผถู้ ูกฟ้อง) ภิกษุฉัพพัคคีย์ลงกรรมแก่ภิกษุท้ังหลาย โดยไม่ฟังค�ำสารภาพของภิกษุเหล่าน้ัน มผี ู้ตเิ ตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบญั ญัติพระวนิ ัย หา้ มทำ� เชน่ น้ัน ถ้าฝ่าฝนื ต้องอาบัตทิ ุกกฏ จึงทรงแสดงวิธีระงับอธิกรณ์ด้วยการรับสารภาพของจ�ำเลยที่ไม่เป็นธรรมและที่ เป็นธรรม ทไี่ ม่เป็นธรรม คอื สารภาพผดิ จากที่ท�ำลงไปจรงิ เชน่ ต้องอาบตั ิหนัก สารภาพวา่ ต้อง อาบตั ริ องลงมา หรอื ตอ้ งอาบตั เิ บา สารภาพวา่ ตอ้ งอาบตั หิ นกั สว่ นทเี่ ปน็ ธรรม คอื ตอ้ งอาบตั อิ ะไร ก็สารภาพถกู ตรงตามนน้ั (๕) เยภุยยสิกา (การระงบั ดว้ ยถือเสยี งข้างมาก) ภิกษุทั้งหลายทะเลาะวิวาทกัน พระผู้มีพระภาคจึงทรงอนุญาตให้ระงับอธิกรณ์ชนิดน้ี ด้วยถือเอาเสียงข้างมาก ให้สมมติภิกษุผู้ให้จับสลาก (ค�ำว่า สลาก แปลว่า ซ่ีไม้ส�ำหรับใช้ลง คะแนน) ภกิ ษุผู้ให้จบั สลาก จะต้องประกอบดว้ ยองค์ ๕ คือ ไม่ล�ำเอียงเพราะรัก เพราะเกลยี ด เพราะหลง เพราะกลัว และรวู้ า่ อย่างไรเปน็ อันจบั อย่างไรไม่เป็นอันจบั (คมุ การลงคะแนนไดด้ ี) แลว้ ให้สวดประกาศแตง่ ตัง้ ภกิ ษผุ ใู้ ห้จับสลากเป็นการสงฆ์ แล้วทรงแสดงการจับสลาก (ลงคะแนน) ที่ไม่เป็นธรรมและท่ีเป็นธรรม อย่างละ ๑๐ ประการ คือ ๑. เป็นเรอ่ื งเลก็ นอ้ ย ๒. ไมล่ กุ ลามไปสู่วัดอื่น ๓. ไม่ต้องคดิ แลว้ คดิ เลา่ ๔. รวู้ ่าผกู้ ล่าวไม่เปน็ ธรรมมมี ากกว่า ๕. รู้ว่าผกู้ ลา่ วไม่เปน็ ธรรมอาจมมี ากกว่า ๖. รู้วา่ สงฆจ์ ะแตกกัน (ถ้าขืนลงมต)ิ ๗. รู้วา่ สงฆอ์ าจแตกกัน ๘. จบั สลากโดยไมเ่ ปน็ ธรรม ๙. จับสลากเปน็ พวก ๆ (ไมเ่ รียงทลี ะคน) ๑๐. มิไดจ้ ับสลากตามความเห็นของตน อยา่ งน้เี รยี กวา่ ไมเ่ ปน็ ธรรม ส่วนทเ่ี ป็นธรรมคือท่ีตรงกันขา้ ม PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 359 5/4/18 2:24 PM
360 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ (๖) ตสั สปาปิยสิกา (การระงับดว้ ยการลงโทษ) ภิกษุช่ืออุปวาฬะ ถูกฟ้องด้วยเร่ืองต้องอาบัติในท่ีประชุมสงฆ์ ปฏิเสธแล้วกลับรับ รับแล้วกลับปฏิเสธ ให้การกลับกลอก กล่าวเท็จท้ัง ๆ รู้ พระผู้มีพระภาคทรงทราบจึงทรงแนะ ให้สงฆใ์ ช้วิธตี ัสสปาปยิ สกิ า คอื ใหส้ วดประกาศเปน็ การสงฆล์ งโทษจ�ำเลย (ตามควรแก่อาบตั )ิ ทรงแสดงการทำ� ตสั สปาปยิ สิกากรรม ทเ่ี ป็นธรรมวา่ ประกอบดว้ ยองค์ ๕ คือ ๑. ภิกษุเปน็ ผ้ไู ม่บริสุทธิ์ ๒. เป็นผู้ไม่มียางอาย ๓. มผี โู้ จทฟอ้ ง ๔. สงฆท์ ำ� ตสั สปาปยิ สิกากรรม (ลงโทษ) แก่เธอ ๕. สงฆ์พรอ้ มเพรยี งกนั ลงโทษโดยธรรม อน่ึง ทรงแสดงลักษณะการท�ำกรรมชนิดนี้ไม่เป็นธรรมและที่เป็นธรรม ตามแบบท่ี ทรงแสดงไว้ ในเรื่องตชั ชนยี กรรม ทรงแสดงลักษณะที่สงฆค์ วรลงโทษชนิดนี้ และการเสียสทิ ธิ ของภิกษผุ ตู้ ้องโทษชนดิ นี้ เช่นเดยี วกับตชั ชนียกรรม (๗) ตณิ วตั ถารกะ (การระงบั ดว้ ยใหเ้ ลกิ แล้วกนั ไป) ภกิ ษทุ ง้ั หลายทะเลาะววิ าทกนั และเหน็ วา่ ถา้ ขนื ทะเลาะววิ าทกนั ตอ่ ไป เรอ่ื งกจ็ ะลกุ ลาม เลวร้าย ถึงกับแตกแยกกัน พระผู้มีพระภาคจึงทรงอนุญาตให้ระงับอธิกรณ์ชนิดนี้ ด้วยให้เลิก แล้วกันไป (ติณวตั ถารกะ) ทรงแสดงวธิ สี วดประกาศขอมตใิ นทปี่ ระชมุ สงฆใ์ หเ้ ปน็ อนั พน้ อาบตั ดิ ว้ ยกนั ทง้ั สองฝา่ ย โดยมีภิกษุรูปหน่ึงแต่ละฝ่ายที่เสนอญัตติน้ันเป็นผู้แสดงแทน เว้นอาบัติหนัก เว้นอาบัติที่ เน่ืองด้วยคฤหสั ถ์ เว้นผ้แู สดงความเห็นแย้ง เว้นผู้ไม่ไดป้ ระชมุ อยู่ในทีน่ ้ัน (คอื มีผขู้ าดประชมุ ) อธิกรณ์ ๔ อธกิ รณม์ ี ๔ คอื ๑. วิวาทาธกิ รณ์ การววิ าทกนั ในเรอ่ื งเกย่ี วกับพระธรรมวินัย ๒. อนวุ าทาธกิ รณ์ การโจทฟ้องกันด้วยศีลวิบัติ เปน็ ตน้ ๓. อาปตั ตาธกิ รณ์ การต้องอาบตั ิ และ ๔. กิจจาธกิ รณ์ เร่ืองที่สงฆจ์ ะตอ้ งจัดต้องทำ� ที่เป็นสงั ฆกรรม PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 360 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๖ จุลลวัคค์ สมถขันธกะ 361 คร้ันแล้วทรงแสดงลักษณะของอธิกรณ์แต่ละอย่าง พร้อมทั้งมูลเหตุโดยพิสดาร ิว ันย ิปฎก ในทสี่ ุดตรัสสรุปว่า อธิกรณ์แตล่ ะอยา่ งจะระงับไดด้ ้วยสมถะ (วิธีระงับ) อะไรบา้ ง ดงั น้ี ๑. วิวาทาธกิ รณ์ การวิวาทกนั ในเร่ืองเก่ียวกบั พระธรรมวนิ ยั ย่อมระงบั ด้วยวิธีระงบั ๒ ประการ คือ (๑) ระงับในทพ่ี รอ้ มหน้า (สัมมุขาวนิ ยั ) (๒) ระงับโดยถอื เสียงขา้ งมากเป็นประมาณ (เยภุยยสกิ า) ๒. อนุวาทาธิกรณ์ การโจทฟ้องกันด้วยศีลวิบัติ (ความเสียหายเก่ียวกับศีล) อาจารวบิ ตั ิ (ความเสยี หายเกยี่ วกบั ความประพฤต)ิ ทฏิ ฐวิ บิ ตั ิ (ความเสยี หายเกยี่ ว กับความเห็น) และอาชีววิบัติ (ความเสียหายเกี่ยวกับการเลี้ยงชีพ) ระงับด้วยวิธี ระงับ ๔ ประการ คือ (๑) ระงบั ในทีพ่ ร้อมหนา้ (สัมมขุ าวินยั ) (๒) ระงับด้วยยกใหว้ ่ามสี ติ (สติวินยั ) (๓) ระงับด้วยยกให้ว่าเปน็ บ้า (อมูฬหวนิ ยั ) (๔) ระงบั ด้วยการลงโทษ (ตสั สปาปิยสกิ า) ๓. อาปตั ตาธกิ รณ์ การตอ้ งอาบัตติ า่ ง ๆ ระงบั ดว้ ยวิธีระงบั ๓ ประการ คือ (๑) ระงับในทีพ่ รอ้ มหน้า (สมั มุขาวนิ ยั ) (๒) ระงบั ดว้ ยถือค�ำสารภาพ (ปฏิญญาตกรณะ) (๓) ระงับด้วยให้เลกิ แลว้ กัน (ตณิ วัตถารกะ) ๔. กิจจาธิกรณ์ เรื่องท่ีสงฆ์จะต้องจัดต้องท�ำที่เป็นสังฆกรรม ระงับด้วยวิธีระงับ ประการเดียว คอื ระงับในทพี่ ร้อมหนา้ (สมั มุขาวินยั ) ทรงปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ร้ือฟื้นอธิกรณ์ที่ช�ำระเสร็จไปแล้ว และปรับอาบัติ ปาจติ ตยี แ์ ก่ภิกษผุ ู้ให้ฉันทะแลว้ บ่นว่าในภายหลงั (เว้นแต่อธิกรณน์ ้ันช�ำระไมเ่ ป็นธรรม)๑ จบความยอ่ แห่งพระไตรปฎิ ก เล่ม ๖ ๑ ดหู น้า ๒๕๖ สกิ ขาบทที่ ๓ และหนา้ ๒๕๙ สิกขาบทที่ ๙ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 361 5/4/18 2:24 PM
เล่ม ๗ จุลลวัคค์ ภาค ๒ ได้กล่าวแล้วว่า จุลลวัคค์ มี ๒ เล่ม คือเล่ม ๖ กับเล่ม ๗ เล่ม ๖ ท่ีย่อมาแล้วมี ๔ หมวด หรอื ๔ ขันธกะ ในเล่ม ๗ มี ๘ หมวด หรือ ๘ ขันธกะ ดงั ต่อไปนี้ ๑. ขทุ ทกวัตถุขนั ธกะ (หมวดวา่ ด้วยเร่ืองเล็ก ๆ นอ้ ย ๆ) เร่อื งทกี่ ลา่ วในหมวดนเี้ ปน็ เร่ืองเบ็ดเตล็ด เช่น ข้อปฏิบัติในเวลาอาบน�้ำ การดูมหรสพ ข้อห้ามและอนุญาต เกี่ยวกับบาตร เป็นต้น จนถึงเร่ืองเครื่องใช้ที่ท�ำด้วยโลหะ ท�ำด้วยไม้และท�ำด้วย ดนิ เหนยี ว ๒. เสนาสนขนั ธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยทอี่ ยอู่ าศยั ) ในหมวดนก้ี ลา่ วถงึ เรอื่ งสถานทอ่ี ยอู่ าศยั เครอื่ งใช้ เชน่ เตยี งตง่ั ผา้ ปนู ง่ั ปนู อน เครอ่ื งใชป้ ระจำ� ในทอี่ ยู่ ตลอดจนการกอ่ สรา้ ง เปน็ ต้น ๓. สังฆเภทขันธกะ (หมวดว่าด้วยสงฆ์แตกกัน) เล่าเร่ืองพระเทวทัตคิดประทุษร้าย พระพทุ ธเจา้ แตไ่ มส่ ำ� เรจ็ จนถงึ เหตกุ ารณท์ ที่ ำ� ใหพ้ ระเทวทตั อาเจยี นเปน็ โลหติ และ เร่ืองการท�ำสงฆ์ใหแ้ ตกกนั พร้อมทัง้ ขอ้ ก�ำหนดต่าง ๆ เกย่ี วกบั การทสี่ งฆแ์ ตกกนั ๔. วัตตขันธกะ (หมวดว่าด้วยวัตรหรือข้อปฏิบัติ) ว่าด้วยวัตรหรือข้อปฏิบัติต่าง ๆ ๑๓ เร่ืองคือข้อปฏิบัติของภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะ ข้อปฏิบัตของภิกษุผู้เป็น เจา้ ของถน่ิ ขอ้ ปฏบิ ตั ขิ องภกิ ษผุ จู้ ะเดนิ ทางจากไป ขอ้ ปฏบิ ตั ใิ นโรงอาหาร ขอ้ ปฏบิ ตั ิ ของภิกษุผู้บิณฑบาต ข้อปฏิบัติของภิกษุผู้อยู่ป่า ข้อปฏิบัติเนื่องด้วยที่อยู่อาศัย ข้อปฏิบัติในเรือนไฟ ข้อปฏิบัติเกี่ยวกับวัจจกุฎี (ส้วม) ข้อปฏิบัติต่ออุปัชฌายะ ข้อปฏิบตั ิตอ่ สทั ธวิ หิ าริก ขอ้ ปฏิบตั ิต่ออาจารย์ ข้อปฏบิ ตั ิตอ่ อนั เตวาสกิ ๕. ปาฏิโมกขฐปนขันธกะ (หมวดว่าด้วยการงดหรือหยุดสวดปาฏิโมกข์) กล่าวถึง การหยุดสวดปาฏิโมกข์ เพราะมีภิกษุผู้ไม่บริสุทธ์ิปนอยู่ด้วย พร้อมท้ังเง่ือนไข ต่าง ๆ เป็นอนั มาก ๖. ภิกขุนีขันธกะ (หมวดว่าด้วยนางภิกษุณี) กล่าวถึงความเป็นมาของนางภิกษุณี และข้อปฏบิ ตั ิ ข้อห้าม ขอ้ อนุญาตต่าง ๆ เก่ียวกับนางภิกษณุ ี ๗. ปัญจสติกขันธกะ (หมวดว่าด้วยพระอรหันต์ ๕๐๐ ซึ่งท�ำสังคายนาคร้ังที่ ๑) พรรณนาเหตุการณภ์ ายหลังพุทธปรนิ ิพพานถึงการท�ำสังคายนาครัง้ ที่ ๑ ๘. สัตตสติกขันธกะ (หมวดว่าด้วยพระอรหันต์ ๗๐๐ ซึ่งท�ำสังคายนาคร้ังที่ ๒) พรรณนามลู เหตแุ ละการดำ� เนนิ ในการท�ำสงั คายนาคร้งั ที่ ๒ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 362 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๗ จุลลวัคค์ ขุททกวัตถุขันธกะ 363 ขยายความ ิว ันย ิปฎก ๑. ขทุ ทกวตั ถขุ ันธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยเรอ่ื งเลก็ ๆ น้อย ๆ) เรือ่ งเกย่ี วกบั การอาบนำ้� ทรงปรารภการกระท�ำของภิกษุฉัพพัคคีย์ ซ่ึงมีผู้ติเตียน จึงตรัสห้ามมิให้ภิกษุเอา กายสีกับต้นไม้ สีกับเสา สีกับข้างฝา ในขณะอาบน�้ำ ทรงปรับอาบัติทุกกฏแก่ผู้ล่วงละเมิด (เพราะชาวบา้ นตวิ ่า ทำ� เหมือนนกั มวยปล�้ำ) ทรงหา้ มอาบน�้ำเอากายสที ี่แผ่นกระดาน (ทเ่ี ขาท�ำเป็นตาหมากรุก แล้วเอาจุณโรยไว้ใช้ สีกาย) อน่ึง ทรงห้ามใชเ้ ครอ่ื งสีกายด้วยของไมค่ วร เชน่ ไมท้ �ำเปน็ รูปมอื หรือจักเป็นฟนั มงั กร และเกลียวเชือกท่ีคม เอาหลังต่อหลังสีกันก็ห้าม ทรงปรับอาบัติทุกกฏแก่ผู้ล่วงละเมิด (เพราะมีผู้ติเตียนว่าท�ำเหมือนอย่างคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม) ทรงอนุญาตไม้ไม่จักเป็นซี่๑ และใหใ้ ชเ้ กลยี วผา้ หรือฝา่ มอื ถตู วั ได้ ห้ามใช้เครอื่ งประดับแบบคฤหสั ถ์ ทรงห้ามประดับกายด้วยตุ้มหู สายสร้อย สร้อยคอ สร้อยเอว เข็มขัด บานพับ (ส�ำหรับรดั แขน) กำ� ไลมอื และแหวน ทรงปรับอาบัติทกุ กฏแกผ่ ทู้ ำ� เชน่ นน้ั ข้อห้ามเกี่ยวกับผม ทรงห้ามไว้ผมเกิน ๒ เดือน หรือไว้ผมยาวเกิน ๒ นิ้ว อน่ึง ทรงห้ามใช้แปรง ใช้หวี ใช้มือต่างหวี ใช้น�้ำมัน หรือน�้ำมันเจือน�้ำใส่ผม ซ่ึงเป็นอย่างคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ทรงปรบั อาบัติทกุ กฏแกผ่ ูท้ ำ� เช่นน้นั ข้อห้ามเก่ียวกับการสอ่ งกระจกหรอื แวน่ ทรงห้ามมองดูเงาหน้าในแว่น (โลหะขัดเงา) หรือในภาชนะน้�ำ (เพราะชาวบ้านติเตียน วา่ ทำ� เหมอื นคฤหสั ถ์ผู้บริโภคกาม) มเี หตุสมควร เช่น เป็นแผลท่ีหน้า ทรงอนญุ าตใหด้ ูได้ ข้อหา้ มทาหน้าทาตวั ทรงห้ามผัดหน้า ไล้หน้า (ใช้ฝุ่นละลายน�้ำ ทาแห้งแล้วลูบให้เสมอ) ทาหน้า (เช่น ทาแป้ง) เจิมหน้า ย้อมตัว ย้อมท้ังตัวทั้งหน้า ทรงปรับอาบัติทุกกฏแก่ผู้ท�ำเช่นนั้น ใช้ฝุ่น ผัดหน้า เพอื่ รกั ษาโรคได้ (ในเรื่องกลา่ ววา่ รักษาโรคตา ฝ่นุ นน้ั คงผสมยาบางอย่าง) ๑ ไมจ่ ักเปน็ ซ่ี คือ ไม่ทำ� ให้เปน็ ซ่ี ๆ - ม.พ.ป. PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 363 5/4/18 2:24 PM
364 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ หา้ มดฟู อ้ นร�ำและห้ามขับดว้ ยเสยี งอันยาว ทรงห้ามไปดูฟ้อนร�ำขับร้อง ทรงห้ามขับธรรมด้วยเสียงขับอันยาว ทรงแสดงโทษ ๕ ประการ (ดูหน้า ๑๑๑ หมายเลข ๖๕) แต่ทรงอนุญาตให้สวดสรภัญญะ (สวดใช้เสียงที่ ไมเ่ สยี สมณสารปู ) ห้ามใชผ้ า้ ขนเเกะ ทรงห้ามใช้ผ้าขนแกะท่ีมีขนอยู่ภายนอก ซ่ึงคฤหัสถ์ใช้กัน ทรงปรับอาบัติทุกกฏแก่ ผลู้ ว่ งละเมิด ขอ้ ห้ามและอนุญาตเกยี่ วกบั ผลไม้ ทรงห้ามฉันมะม่วง เพราะภิกษุฉัพพัคคีย์ให้คนสอยมะม่วงในพระราชอุทยานของ พระเจ้าพิมพิสาร ซ่ึงอนุญาตให้พระฉันผลไม้ได้ จนพระเจ้าพิมพิสารจะเสวยเองก็ไม่ได้เสวย ฝานเปลือกมะม่วงใส่แกง อนุญาตให้ฉันได้ ในท่ีสุดทรงอนุญาตให้ฉันผลไม้ได้ทุกชนิด ถา้ เปน็ ของควรแกส่ มณะ ๕ อยา่ ง คอื เอาไฟจี้๑ เอามดี กรดี ๒ เอาเลบ็ จกิ (หมายถงึ ทค่ี นอน่ื ทำ� ให)้ ผลไม้ที่ไม่มีเมล็ด ผลไม้ที่ปล้อนเปลือกออกแล้ว (การฉันผลไม้ในคร้ังพุทธกาล คงใช้ขบเคี้ยว เพ่ือรักษาประเพณีที่ว่า นักบวชไม่ควรท�ำลายพืชตามความนิยมของคนในคร้ังนั้น จึงต้องมี ขอ้ ก�ำหนดใหท้ ำ� ให้ควรกอ่ น) ตรัสสอนให้แผ่เมตตา ภิกษุถูกงูกัด ถึงแก่มรณภาพ จึงตรัสสอนให้แผ่เมตตาในสกุลพญางูท้ังสี่ รวมทั้ง หมู่สัตว์ทั้งหลายไม่เลือกว่า ๒ เท้า ๔ เท้า มีเท้ามากหรือไม่มีเท้า ขอให้สัตว์เหล่านั้นจงพบเห็น แตส่ ่ิงทดี่ ีงาม หา้ มตดั องคชาต ภิกษุรูปหน่ึงเกิดความก�ำหนัด จึงตัดองคชาตท้ิง พระผู้มีพระภาคทรงติเตียน และทรงบัญญัตพิ ระวินัย หา้ มตัดองคชาต ถ้าตดั ต้องอาบตั ิถลุ ลัจจยั ๑ ท�ำให้สกุ - ม.พ.ป. ๒ ตดั ผา่ - ม.พ.ป. PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 364 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๗ จุลลวัคค์ ขุททกวัตถุขันธกะ 365 ขอ้ หา้ มและอนุญาตเกยี่ วกบั บาตร ิว ันย ิปฎก ทรงปรารภพระปิณโฑล ภารทวาชะ ผู้ได้บาตรไม้จันทน์มา เพราะแสดงอ�ำนาจจิต เหนอื เจา้ ลทั ธทิ ง้ั หก พระผมู้ พี ระภาคทรงทราบ จงึ ทรงบญั ญตั พิ ระวนิ ยั หา้ มแสดงอทิ ธปิ าฏหิ ารยิ ์ แก่คฤหัสถ์ ถ้าแสดงต้องอาบัติทุกกฏ อน่ึง ทรงส่ังให้ท�ำลายบาตรไม้จันทน์น้ัน เพ่ือใช้การ อย่างอืน่ เชน่ บดเป็นยาหยอดตา แลว้ ตรัสหา้ มใช้บาตรไม้ และปรบั อาบตั ิทุกกฏแกผ่ ้ใู ช้ อนึ่ง ทรงห้ามใช้บาตรที่ท�ำด้วยทอง เงิน แก้วมณี แก้วไพฑูรย์ แก้วผลึก ส�ำริด แก้วหุง ดีบุก สังกะสี ทองแดง (รวมเป็น ๑๑ ทั้งบาตรไม้) ทรงอนุญาตบาตร ๒ ชนิด คอื บาตรเหลก็ และบาตรดิน ทรงอนุญาตให้ใช้เชิงบาตร (เพื่อกันก้นบาตรเสียดสี) แต่ไม่อนุญาตเชิงบาตร ทท่ี �ำดว้ ยทอง เงิน หรือวจิ ิตรงดงาม ทรงอนุญาตท่ีท�ำด้วยดบี กุ หรอื สงั กะสี ทรงหา้ มเกบ็ บาตรทงั้ ทย่ี งั เปยี กนำ้� ทรงอนญุ าตใหต้ ากแดดหรอื เชด็ ใหห้ มดนำ�้ ตากแลว้ จึงเก็บบาตร ทรงห้ามเกบ็ บาตรไวก้ ลางแดด ทรงอนุญาตใหต้ ากไวก้ ลางแดดคร่หู นง่ึ แล้วจงึ เก็บ ทรงอนญุ าตทรี่ องบาตร เพอื่ กนั บาตรถกู ลมพดั กลง้ิ ไปแตก ทรงหา้ มเกบ็ บาตรบนพนกั บนพรงึ (ชานนอกพนกั ) ทรงอนญุ าตเครอื่ งรองบาตรเวลาควำ�่ บาตร (ไมใ่ หป้ ากบาตรครดู กบั พนื้ ) เปน็ เครอื่ งรองหญา้ หรือผา้ ก็ได้ ทรงอนุญาตชั้นเก็บบาตร (เพื่อกันปลวกขึ้นผ้าหรือเส่ือท่ีรองบาตร) ทรงอนุญาต ภาชนะปากกว้าง ส�ำหรับวางบาตร (เพื่อกันบาตรกล้ิงลงมาจากชั้น) ทรงอนุญาตถุงบาตร (เพอื่ กนั มใิ หก้ น้ บาตรครดู กบั ภาชนะสำ� หรบั เกบ็ ) ทรงหา้ มแขวนบาตร (ไวก้ บั สง่ิ ทยี่ น่ื ออกมาจาก ขา้ งฝา เชน่ ลกู ประสกั ) ทรงหา้ มเกบ็ บาตรไวบ้ นเตยี ง บนตงั่ บนตกั บนรม่ (เพอ่ื กนั ตกแตก) อนงึ่ ทรงห้ามผลักบานประตูเม่ือยังถือบาตรอยู่ และห้ามใช้กะทะดิน กะโหลกน้�ำเต้า กะโหลกหัวผี ต่างบาตร นอกจากน้ันยังทรงห้ามทิ้งเศษอาหาร ก้างปลา กระดูก เนื้อ และน�้ำเป็นเดน เช่น น�้ำบว้ นปากลงในบาตร ทรงอนญุ าตมดี และเขม็ ต่อจากนน้ั เลา่ เรื่องทรงอนญุ าตมีดส�ำหรบั ตดั ผ้า พร้อมทงั้ อนญุ าตปลอกมีด และทรง อนุญาตด้ามมีด แต่ไม่อนุญาตด้ามท่ีท�ำด้วยทอง เงิน วิจิตรงดงาม ทรงอนุญาตด้ามมีดที่ท�ำ ด้วยกระดกู งา เขาสตั ว์ ไมอ้ ้อ ไม้ไผ่ ไม้ ยางไม้ ผลไม้ โลหะและขนดสงั ข์ ภิกษุสมัยนั้นใช้ขนไก่บ้าง ซ่ีไม้ไผ่บ้างเย็บจีวร ปรากฏว่าไม่เรียบร้อย จึงทรงอนุญาต เข็ม และเพ่ือป้องกันเข็มเป็นสนิม ทรงอนุญาตกล่องเข็ม และผงท่ีใส่ลงไปกันสนิม รวมทั้ง อนุญาตใหส้ อดเขม็ ไว้ในขี้ผึ้ง PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 365 5/4/18 2:24 PM
366 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ทรงอนญุ าตและหา้ มเกี่ยวกบั ไม้แบบหรอื สะดงึ ทรงอนุญาตไม้แบบหรือไม้สะดึง และเชือกขึงรัดจีวรเข้ากับไม้สะดึงแล้วเย็บ ตลอดจนวิธกี ารตา่ ง ๆ เพ่ือใหก้ ารเยบ็ ผา้ เปน็ ไปโดยเรียบร้อย ทรงห้ามเหยียบไม้แบบ ทั้งท่ียังมิได้ล้างเท้า แม้เท้ายังเปียกอยู่ก็ห้ามเหยียบ รวมทั้ง ห้ามเหยียบไม้แบบทงั้ ที่ใสร่ องเทา้ ทรงอนญุ าตสนบั นวิ้ (เพอื่ กนั เขม็ ตำ� นว้ิ ในขณะเยบ็ ผา้ ) แตไ่ มอ่ นญุ าตสนบั นวิ้ ทที่ ำ� ดว้ ย ทอง เงิน ทรงอนุญาตเช่นเดียวกับด้ามมีด คือท่ีท�ำด้วยกระดูก เป็นต้น ทรงอนุญาตที่ใส่เข็ม มีด สนับนิ้ว และถงุ ใส่สนบั นิว้ ดา้ ย สำ� หรบั คลอ้ งบา่ (เวลาน�ำเครอ่ื งใชเ้ หล่าน้นั ติดตัวไป) ทรงอนุญาตโรงไม้แบบ (กฐินศาลา) และมณฑปไม้แบบ และทรงอนุญาตให้ยกพื้น กันน�้ำท่วม ทรงอนุญาตให้ก่อที่ยกพ้ืนด้วยอิฐ ศิลา หรือไม้ ทรงอนุญาตให้มีบันไดและ ราวบันได (เพ่ือขน้ึ ส่ยู กพ้นื ) ผงหญ้าในโรงไม้แบบตกลงมา (จากหลังคา) จึงทรงอนุญาตให้ใช้ไม้ระแนงถี่ และ ฉาบปูน และทาสีเป็นต้น ตลอดจนทรงอนุญาตให้มีห่วงแขวนจีวรและราวจีวร อนึ่ง เม่ือเสร็จ กฐินแล้ว ทรงอนุญาตให้เก็บไม้แบบให้ดี เช่น ให้มีไม้ไผ่หรือด้ามไม้ประกบข้างในเพื่อกัน ไม้แบบแตก ให้มีเชือกรัด ให้แขวนไม้แบบไว้กับประสักหรือขอ (เพ่ือกันตก หรือดีกว่าพิงไว้ ซึ่งอาจจะลม้ ลงมาแตก) ทรงอนญุ าตถงุ ใสข่ อง สายคลอ้ งบ่า ผ้ากรองนำ้� และมุ้ง ทรงอุนญาตถงุ ใสย่ า ถุงใส่รองเท้า และสายสำ� หรบั คล้องบา่ ทรงอนุญาตให้ใชผ้ ้ากรองนำ้� ผ้ากรองมีด้ามและกระบอกกรองน�้ำ เมื่อภิกษุอ่ืนขอใช้ผ้ากรองน�้ำ ภิกษุที่ถูกขอไม่ให้ ต้อง อาบัติทุกกฏ ภิกษุเดินทางไกล ไม่มีผ้ากรองน้�ำ ต้องอาบัติทุกกฏ ถ้าไม่มีผ้ากรองน�้ำหรือ กระบอกกรองน�้ำ ให้อธิษฐานชายผ้าสังฆาฏิเป็นผ้ากรองน�้ำ ในการก่อสร้างทรงอนุญาต เคร่ืองกรองน�้ำขนาดใหญ่ ๒ ชนิด และทรงอนุญาตมงุ้ สำ� หรบั กนั ยงุ ทรงอนญุ าตการจงกรมและเรอื นไฟ เปน็ ตน้ ทรงปรารภค�ำแนะน�ำของหมอชีวก โกมารภัจจ์ จึงทรงอนุญาตการจงกรม (เดินไปมา อบรมจติ ใจเปน็ การออกกำ� ลงั ) และเรอื นไฟสำ� หรบั อบกาย (ใหเ้ หง่อื ออกแบบอาบน้�ำดว้ ยไอนำ�้ ) ต่อจากน้ันทรงอนุญาตให้ปรับปรุงที่จงกรมให้ดีข้ึน มีโรงจงกรมยกพ้ืนกันน้�ำท่วม บันได ราวบันได ส่วนเรือนไฟ ทรงอนุญาตส่วนประกอบและเครื่องปรับปรุงต่าง ๆ เช่น ปล่องไฟ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 366 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๗ จุลลวัคค์ ขุททกวัตถุขันธกะ 367 รางระบายน้�ำเพ่ือกันน้�ำเฉอะแฉะ ทรงห้ามภิกษุเปลือยกายไหว้กัน หรือถูหลังให้กัน ตลอดจน ิว ันย ิปฎก ห้ามเปลือยกายให้ของ รับของ เค้ียวอาหาร ฉันอาหาร ลิ้มรส ด่ืมน้�ำ ทรงปรับอาบัติทุกกฏ แก่ภกิ ษุผู้ท�ำเชน่ น้นั ทรงปรารภน้�ำด่ืม จึงทรงอนุญาตให้มีน้�ำด่ืม และเครื่องประกอบต่าง ๆ ในการนั้น เช่น ขันน�้ำท�ำด้วยโลหะ ท�ำด้วยไม้ หรือหนังสัตว์ รวมทั้งโรงเก็บน�้ำด่ืม ฝาปิดท่ีเก็บน้�ำ รางน�้ำ ต่มุ นำ้� ทรงอนุญาตท่ีอาบน้�ำที่มีรางระบายน้�ำ มีฝากั้น และทรงอนุญาตผ้าเช็ดตัว๑ อนึ่ง ทรงอนุญาตสระน้�ำและให้ก่อขอบสระได้ด้วยอิฐ ศิลา หรือไม้ ทรงอนุญาตให้มีบันได ราวบันได และทรงอนุญาตให้มี เหมืองน้�ำ ท่อน้�ำ (เพื่อระบายน�้ำในสระ) ในที่สุด ทรงอนุญาต เรือนไฟทม่ี งุ หลังคาเป็นรูปวงกลม๒ เรื่องทนี่ งั่ ที่นอน และที่ใส่อาหาร ทรงหา้ มอยปู่ ราศจากผา้ ปนู ง่ั ตลอด ๔ เดอื น ทรงปรบั อาบตั ทิ กุ กฏแกภ่ กิ ษลุ ว่ งละเมดิ ๓ ทรงห้ามนอนบนที่นอนที่เกลี่ยด้วยดอกไม้ ทรงอนุญาตให้รับของหอมได้ โดยให้เจิม ๕ น้ิว ไว้ท่ีบานประตู ทรงอนุญาตให้รับดอกไม้ได้ แต่ให้เก็บไว้ข้างหนึ่งในวิหาร ทรงอนุญาตผ้าปูนั่ง ท่ีทอด้วยขนสัตว์ และไมต่ อ้ งอธิษฐาน (คอื ตงั้ ใจเอาไว้ใช้) หรือวกิ ัป (ทำ� ให้เป็นสองเจา้ ของ) ทรงห้ามฉันอาหารในลงุ้ (ภาชนะใส่อาหาร ท่ที ำ� ด้วยทองแดง หรอื เงนิ ฝรง่ั สันนิษฐาน ว่าเป็นเก้าอ้นี วมท่ปี ระดบั งดงาม ซงึ่ ไกลไปจากคำ� อธบิ ายของอรรถกถา) ภิกษเุ ปน็ ไข้ ไมส่ ามารถ ถือบาตรไว้ในมอื ขณะฉนั ได้ จงึ ทรงอนญุ าตทร่ี องทีท่ �ำดว้ ยไม้ หา้ มฉันอาหาร ดม่ื นำ�้ ในภาชนะเดียวกนั เป็นต้น ทรงห้ามฉันอาหารในภาชนะเดียวกัน ห้ามด่ืมน้�ำในถ้วยเดียวกัน ห้ามนอนร่วมกัน บนเตยี งเดยี วกัน บนผา้ ปนู อนเดยี วกนั ในโปงเดียวกัน (ใชผ้ า้ หม่ ร่วมกนั ) เหมือนอย่างคฤหัสถ์ ผู้บริโภคกาม ทรงปรับอาบัตทิ ุกกฏแกผ่ ู้ลว่ งละเมดิ ๑ อรรถกถาหมายถึง เม่ือขน้ึ จากน�้ำควรมที ่ีรองเหยียบกนั น�ำ้ เลอะเทอะ ตอ่ ไมม่ จี งึ ให้ใชผ้ ้า ยง่ิ อยู่ป่ายง่ิ จ�ำเป็นมาก นิลเฺ ลขํ ชนฺตาฆรํ โบราณแปลกนั ว่า เรือนไฟทไ่ี มม่ ีรอยมงุ ๓๒ จากข้อน้ี แสดงวา่ ผ้าปนู ั่งเปน็ บริขารจ�ำเปน็ สำ� หรบั พระ เวลานัง่ บนพื้นจีวรจะไดไ้ มส่ กปรก PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 367 5/4/18 2:24 PM
368 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ การลงโทษคว�ำ่ บาตรแกว่ ัฑฒะลิจฉวี วัฑฒะลิจฉวี เป็นพวกของพระเมตติยะและภุมมชกะ รู้ว่าพระพวกนั้นไม่ชอบ พระทัพพมัลลบุตร (ผู้เป็นพระอรหันต์) จึงวางอุบายก�ำจัดพระทัพพมัลลบุตร โดยไปฟ้อง พระพุทธเจ้าว่า พระทัพพมัลลบุตรท�ำชู้ด้วยภริยาตน พระผู้มีพระภาคทรงประชุมสงฆ์ ไต่สวน ไดค้ วามเปน็ สตั ยว์ า่ เปน็ การแกลง้ ใสค่ วามกนั จงึ ทรงแนะสงฆใ์ หล้ งโทษควำ่� บาตรแกว่ ฑั ฒะลจิ ฉวี ทรงก�ำหนดองค์ ๘ สำ� หรับอบุ าสกท่คี วรควำ�่ บาตร คือ ๑. ขวนขวายเพ่ือเสอ่ื มลาภแกภ่ กิ ษุ ๒. ขวนขวายเพื่อความเสียหายแก่ภกิ ษุ ๓. ขวนขวายเพอื่ อยไู่ มไ่ ดแ้ กภ่ กิ ษุ ๔. ดา่ หรอื บรภิ าษภกิ ษุ ๕. ท�ำภิกษุให้แตกกบั ภิกษุดว้ ยกนั ๖. ตเิ ตียนพระพทุ ธ ๗. ติเตยี นพระธรรม และ ๘. ตเิ ตยี นพระสงฆ์ ตอ่ จากนน้ั ทรงแสดงวธิ สี วดประกาศควำ่� บาตรโดยละเอยี ด เมอ่ื พระอานนทไ์ ปแจง้ ให้ วฑั ฒะลจิ ฉวีทราบว่า บดั นส้ี งฆไ์ ด้ควำ�่ บาตร ไมเ่ กยี่ วขอ้ งด้วยแล้ว วัฑฒะลิจฉวเี สยี ใจถึงสลบ๑ มิตร อ�ำมาตย์ ญาติสาโลหติ ๒ จงึ แนะนำ� ใหไ้ ปกราบทลู ขอขมาพระผู้มีพระภาค ซ่ึงวฑั ฒะลิจฉวี ได้ปฏิบัติตาม เม่ือพระผู้มีพระภาคทรงเห็นว่าวัฑฒะลิจฉวีส�ำนึกตนยอมรับผิด จึงตรัสแนะให้ สงฆ์ประกาศหงายบาตร โดยให้วัฑฒะลิจฉวีเข้าไปกราบสงฆ์ขอให้หงายบาตร แล้วให้สงฆ์ สวดประกาศหงายบาตร เร่ืองผ้าขาวทีไ่ มใ่ หเ้ หยียบและเหยยี บได้ โพธริ าชกมุ ารฉลองปราสาท นมิ นตพ์ ระผมู้ พี ระภาคพรอ้ มดว้ ยภกิ ษสุ งฆไ์ ปฉนั ทรงให้ ปูผ้าขาวไว้ตลอดจนถึงชานบันได พระผู้มีพระภาคไม่ทรงเหยียบ (มีเกร็ดเล่าว่า โพธิราชกุมาร ๑ การคว�่ำบาตร คือไม่ยอมรับอาหารจากผู้น้ัน ไม่ติดต่อเก่ียวข้องด้วย ดูไม่น่ากระทบกระเทือนอะไร แต่เหตุไฉน จึงเสยี ใจถงึ สลบ เหน็ ไดว้ ่า เป็นการเสอื่ มเสยี ทางสังคมอยา่ งร้ายแรง วฑั ฒะลจิ ฉวจี ึงรีบแก้ไขอย่างไมม่ ที ิฏฐมิ านะ ๒ ตอ่ ไปอกี - ม.พ.ป. ญาติทีม่ คี วามผกู พันธ์ทางสายโลหิต PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 368 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๗ จุลลวัคค์ ขุททกวัตถุขันธกะ 369 อธิษฐานว่า ถ้าจะได้บุตรขอให้ทรงเหยียบ) ต่อมาทรงปรารภเร่ืองนั้น จึงตรัสห้ามมิให้เหยียบ ิว ันย ิปฎก ผ้าขาว ถา้ เหยียบ ต้องอาบัตทิ กุ กฏ ถ้าเจ้าของงานขอให้เหยียบเพื่อเป็นมงคล ทรงอนุญาตให้เหยียบได้ แม้ผ้าเช็ดเท้า ก็ทรงอนญุ าตใหเ้ หยียบได้ นางวสิ าขาถวายของใช้ นางวิสาขาน�ำหม้อน�้ำ ท่ีเช็ดเท้าท�ำเป็นรูปฝักบัว ไม้กวาดไปถวาย พระผู้มีพระภาค ทรงรบั หมอ้ นำ้� และไมก้ วาด และตรสั อนญุ าตใหภ้ กิ ษใุ ชไ้ ด้ ตรสั หา้ มใชท้ เ่ี ชด็ เทา้ ทท่ี ำ� เปน็ รปู ฝกั บวั ส่วนเครื่องเช็ดเท้าท่ที ำ� ดว้ ยหินกระเบ้อื ง และหนิ ฟองน�ำ้ ทรงอนญุ าตใหใ้ ช้ได้ นางวิสาขาน�ำพัด และพัดใบตาลไปถวาย ทรงรับและทรงอนุญาตให้ภิกษุใช้ได้ ทรงอนุญาตให้ใช้พัดส�ำหรับไล่ตัวแมลง แต่ไม่ทรงอนุญาตพัดท่ีท�ำด้วยขนจามรี ทรงอนุญาต พดั ๓ อยา่ ง คือทีท่ �ำดว้ ยเปลอื กไม้ ทำ� ดว้ ยใบเปง้ และทที่ ำ� ดว้ ยขนปกี นกยูง ทรงอนญุ าตและหา้ มใชร้ ่ม คร้ังแรกทรงอนุญาตให้ใช้ร่ม ภายหลังภิกษุฉัพพัคคีย์กางร่มเที่ยวไปในท่ีต่าง ๆ มีผู้ ตเิ ตยี นวา่ ทำ� อยา่ งมหาอำ� มาตย์ จงึ ทรงหา้ มใชร้ ม่ แตท่ รงผอ่ นผนั ใหใ้ ชร้ ม่ ไดเ้ มอ่ื ไมส่ บาย เมอื่ ใช้ ภายในวัด หรือในบรเิ วณวัด (ถือเอาความวา่ ถ้าใชร้ ม่ เพอ่ื ปอ้ งกันแดดฝนธรรมดา ก็อนญุ าตให้ ใช้ได้ ในข้อว่า ถ้าไม่ใช่ไม่สบาย แต่ถ้าใช้ร่มเพ่ือแสดงเกียรติ เช่น มหาอ�ำมาตย์ หรือพระราชา ทรงหา้ ม) ทรงหา้ มและอนญุ าตไมค้ าน สาแหรก ครั้งแรกทรงห้ามภิกษุมิให้ใช้ไม้คาน สาแหรก น�ำของไปในที่ต่าง ๆ ต่อมามีภิกษุ ป่วยไข้ ต้องการใช้ไม้คานคอนของไป ก็ทรงอนุญาต โดยให้สงฆ์สวดประกาศสมมติให้เป็น พิเศษ ต่อมาอีก มีภิกษุป่วยไข้ ต้องการใช้สาแหรกส�ำหรับหิ้วบาตรไป ก็ทรงอนุญาต โดยให้ สงฆ์ประกาศสมมติให้เป็นพิเศษ ต่อมามีความจ�ำเป็นท่ีภิกษุป่วยไข้จะใช้ทั้งไม้คานท้ังสาแหรก ก็ทรงอนญุ าต และใหส้ งฆส์ วดสมมติเช่นเคย เรือ่ งอาเจยี นและเมล็ดขา้ ว ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ เปน็ โรคอาเจยี น อาเจยี นออกมาแลว้ กก็ ลนื เขา้ ไป ถกู กลา่ วหาวา่ ฉนั อาหาร ในเวลาวกิ าล พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงอนญุ าตพเิ ศษสำ� หรบั ภกิ ษผุ เู้ ปน็ โรคนี้ แตห่ า้ มวา่ ถา้ อาเจยี น ออกจากปากไปแลว้ ไม่ให้กลืนกินเขา้ ไปอกี PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 369 5/4/18 2:24 PM
370 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ในโรงฉันมีเมล็ดข้าวเกลื่อนกล่น มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงอนุญาตว่า ของที่เขาถวายท่ีตก ให้เก็บขึ้นฉันเองได้ เพราะทายกบริจาคสิ่งนั้นแล้ว (ในข้อน้ีเพ่งเล็งเฉพาะ ไม่เป็นอาบัติ เม่ือฉันของไม่ได้รับประเคน แต่ถ้าเพ่งว่าของนั้นจะสกปรกก็จะต้องพิจารณา เป็นเรื่อง ๆ ไป ในเรื่องน้ีไม่บังคับให้ฉันของตก แต่อนุญาตว่า ของตกเมื่อเขาถวายแล้ว ใหห้ ยบิ ขน้ึ มาฉนั เองได้ จงึ นา่ จะเลอื กดวู า่ ในกรณที ขี่ องนน้ั ไมส่ กปรก กค็ วรฉนั ได้ เรอื่ งนผี้ เู้ ขยี น ไดเ้ คยแปลกใจมาแล้ว เมอ่ื เคยรับประทานรว่ มกับชาวยุโรปบ่อย ๆ เศษขนมปัง เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ตกอยู่ข้างจาน เห็นเขาเอานิ้วจิม้ ให้ตดิ แล้วเอาเขา้ ปาก) ทรงอนุญาตมีดตัดเล็บ เป็นตน้ ทรงห้ามไว้เล็บยาว ภิกษุผู้ไว้เล็บยาว ต้องอาบัติทุกกฏ และทรงอนุญาตมีดตัดเล็บ ให้ตัดพอเสมอเนื้อ ทรงห้ามขัดเล็บให้เกลี้ยงเกลาท้ัง ๒๐ นิ้ว (เพื่อสวยงาม) ทรงปรับอาบัติ ทกุ กฏ การน�ำมลู เลบ็ ออกทรงอนุญาต เร่อื งผมและหนวดเครา ทรงถามว่า จะสามารถโกนศีรษะกันเองได้หรือไม่ เม่ือภิกษุท้ังหลายรับว่าได้ จึงทรง อนุญาตมีดโกน หินลับมีด ฝักมีดโกน เครื่องสะบัดมีดโกน และเครื่องใช้เก่ียวกับมีดทุกชนิด (เฉพาะภกิ ษผุ เู้ คยเปน็ ชา่ งตดั ผม มหี า้ มไวใ้ นทอี่ น่ื มใิ หม้ เี ครอื่ งมดี โกนไวใ้ ช้ ดว้ ยเกรงจะอยากไป ประกอบอาชพี นั้นอีก) ภิกษุฉัพพัคคีย์แต่งหนวดด้วยกรรไตร และไว้หนวดไว้เคราเป็นรูปต่าง ๆ รวมท้ังให้ น�ำขนในท่ีแคบออก ทรงห้ามและปรับอาบัติทุกกฏ ในกรณีท่ีป่วยไข้ ทรงอนุญาตให้น�ำขน ในทีแ่ คบออกได้ เช่นเม่ือเป็นเเผลหรอื ตอ้ งการทายา ทรงห้ามตัดผมด้วยกรรไตร ทรงอนุญาตให้ใช้มีดโกน แต่ถ้าป่วยไข้ ทรงอนุญาตให้ ตัดผมด้วยกรรไตรได้ ทรงห้ามไว้ขนจมูกยาว เพราะมีผู้ติเตียน ทรงอนุญาตให้ถอนด้วยแหนบ ทรงห้าม ถอนผมหงอกและปรับอาบัตทิ ุกกฏเมือ่ ลว่ งละเมดิ เครอื่ งใชเ้ บด็ เตล็ด ทรงอนุญาตเคร่ืองแคะหู แต่ไม่อนุญาตท่ีท�ำด้วยทอง เงิน ทรงอนุญาตเครื่องแคะหู ทท่ี ำ� ดว้ ยกระดูกงา เขาสัตว์ เป็นต้น ทรงห้ามสะสมเคร่ืองใช้ท่ีทำ� ด้วยโลหะและสำ� ริด และปรับอาบัติทุกกฏเม่ือล่วงละเมิด ทรงอนุญาตปลอกหรือฝกั ยาตา ไม้ปา้ ยยาตา ไมแ้ คะหู PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 370 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๗ จุลลวัคค์ ขุททกวัตถุขันธกะ 371 เครอ่ื งใช้ทีเ่ ป็นผ้า ิว ันย ิปฎก ทรงห้ามรัดเข่าด้วยใช้ผ้าสังฆาฏิรัด และปรับอาบัติทุกกฏเมื่อล่วงละเมิด แต่ภิกษุ บางรูปป่วยไข้ไม่มีเคร่ืองรัดเข่าก็ไม่สบาย จึงทรงอนุญาตเคร่ืองรัดเข่า ทรงอนุญาตเคร่ืองมือ ของช่างหูกทุกชนิด เพื่อให้ท�ำเชือกรัดเข่า (การรัดเข่าของคนในคร้ังนั้น มี ๓ ชนิด คือรัดด้วย เครื่องรัด อาโยคปัลลัตถิกา รัดด้วยมือ หัตถปัลลัตถิกา และรัดด้วยผ้า ทุสสปัลลัตถิกา เป็นความเคยชินท่ีถ้าไม่ได้ท�ำก็ไม่สบาย โดยปกติเคร่ืองรัดน้ัน ก็รัดโอบหลัง ตะโพกและเข่า เม่ือคล้องลงไปแล้วก็นั่งอย่างสบาย อน่ึง ในเรื่องนี้ถึงกับทรงอนุญาตให้พระทอเครื่องรัดเข่า เองได้ แสดงว่าเป็นเร่ืองเล็กน้อย ไม่ต้องเสียเวลามากเหมือนทอผ้า เพราะไม่เช่นนั้นพระจะ กังวลดว้ ยการงานชนดิ น้ี จนไมเ่ ป็นอนั ศกึ ษา หรืออบรมจติ ใจ) ทรงห้ามเข้าบ้านโดยไม่มีประคดเอว (เพราะปรากฏว่าภิกษุรูปหน่ึงผ้านุ่งหลุดในบ้าน) ทรงห้ามประคดเอวทถ่ี ักสวยงาม มีทรวดทรงตา่ ง ๆ ซึง่ คฤหสั ถส์ มยั นนั้ นิยมใช้กัน ทรงอนญุ าต ประคดเอวทีท่ อตามปกติ ทเี่ รียกว่าประคดแผน่ และชนิดไสส้ กุ ร ทรงอนุมตั วิ ธิ ีการตา่ ง ๆ ทจี่ ะ ทำ� ใหป้ ระคดมน่ั คง เชน่ การทอและเยบ็ ชายใหม้ น่ั คง ในทส่ี ดุ ทรงอนญุ าต ลกู ถวนิ คอื หว่ งสำ� หรบั ร้อยประคดเอว ทรงห้ามใช้ ลูกถวนิ ท่ที ำ� ดว้ ยทอง เงนิ ทรงอนญุ าตลูกถวินที่ท�ำดว้ ยกระดูก งา เขาสตั ว์ ไมอ้ ้อ ไมไ้ ผ่ ไมแ้ กน่ ยางไม้ ผลไม้ (เช่น กะลามะพร้าว) โลหะ ขนดสงั ข์และด้ายถัก ทรงอนุญาตลูกดุมและรังดุมส�ำหรับสังฆาฏิ (เวลาห่มเข้าบ้านลมจะได้ไม่พัดให้ สังฆาฏเิ ปดิ ) และทรงอนญุ าตและทรงห้ามลกู ดุมอย่างเดยี วกับลกู ถวนิ ทรงอนุญาตใหต้ ดิ แผน่ ผา้ สำ� หรบั ตดิ ลกู ดุม และรงั ดุม (เพอื่ กนั จวี รชำ� รดุ ) เม่อื ตดิ แลว้ มมุ จวี รยังเปดิ กท็ รงอนุญาตใหต้ ิดลูกดมุ ท่ีชายจีวร สว่ นรงั ดุมใหต้ ดิ ลกึ เข้าไป ๗ หรือ ๘ น้วิ ทรงห้ามนุ่งห่มแบบคฤหัสถ์ เช่น นุ่งแบบงวงช้าง นุ่งแบบหางปลา นุ่งแบบปล่อย ๔ ชาย นุ่งแบบก้านตาล และนุ่งยกกลีบ อน่ึง ทรงห้ามห่มผ้าแบบคฤหัสถ์ และห้ามนุ่งผ้า หยักรั้ง แบบนักมวยปลำ�้ และกรรมกร เรื่องหาบหาม ทรงห้ามหาบของโดยมีของอยู่ ๒ ด้าน (คนหาบอยู่กลาง) เพราะมีผู้กล่าวว่า ท�ำเหมือนคนหาบของพระราชา ทรงอนุญาตการคอน (มีของด้านเดยี ว) การหาม (ของอยกู่ ลาง คนอยู่ ๒ ข้าง) การแบกบนศีรษะ การแบกบนบ่า การกระเดียด (ท่ีสะเอว) และการสะพาย (หอ้ ย หรอื แขวน) PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 371 5/4/18 2:24 PM
372 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ การเค้ียวไมส้ ีฟัน ทรงแสดงโทษในการไม่เค้ียวไม้สีฟัน ๕ ประการ และแสดงอานิสงส์ (ผลดี) ในการ เคี้ยวไมส้ ฟี นั ๕ ประการ (แปลไวแ้ ลว้ ในหนา้ ๑๑๐ หมายเลข ๖๓ ๖๔) ทรงห้ามเคี้ยวไม้สีฟนั ยาวเกนิ ๘ นวิ้ และหา้ มเอาไมส้ ฟี นั ตสี ามเณร ทรงหา้ มเคยี้ วไมส้ ฟี นั สน้ั เกนิ ๔ นวิ้ และปรบั อาบตั ิ ทุกกฏเม่อื ล่วงละเมิด ห้ามจดุ ป่าและข้นึ ต้นไม้ ทรงหา้ มเผาป่าและปรบั อาบัติทุกกฏ เม่ือไฟไหม้ป่าลามมา ทรงอนญุ าตให้จุดไฟรับได้ ทรงห้ามขึ้นต้นไม้ เมื่อมีเหตุจำ� เป็นอนุญาตให้ข้ึนได้แค่ตัวคน แต่ถ้ามีอันตราย ทรงอนุญาตให้ ขึ้นสงู ไดต้ ามตอ้ งการ หา้ มยกพุทธวจนะขน้ึ โดยฉันท์ ทรงห้ามยกพุทธวจนะขึ้นโดยฉันท์ ทรงอนุญาตให้เรียนพุทธวจนะด้วยภาษาของ ตนได้ (อรรถกถาแก้ว่า ห้ามยกพุทธวจนะข้ึนสู่ภาษาสันสกฤต ท�ำนองพระเวทของพราหมณ์ แตม่ ที างสนั นษิ ฐานวา่ หา้ มแตง่ ถอ้ ยคำ� ของพระพทุ ธเจา้ เปน็ คำ� ฉนั ท์ เพราะอาจทำ� ใหค้ วามหมาย เดิมผิดเพี้ยน หรือบิดผันไปตามบังคับหนักเบาของค�ำฉันท์ ยิ่งถ้าผู้แต่งไม่แตกฉานในภาษา เพียงพอ ก็จะเป็นการท�ำร้ายพุทธวจนะ ท�ำให้เน้ือความแปรปรวนไป แต่การห้ามทั้งน้ีน่าจะ หมายความว่า การแต่งเพอื่ ใช้เปน็ ต�ำรบั ต�ำรา ซึ่งจะต้องท่องจ�ำเล่าเรยี นศกึ ษา ส่วนการแต่งสดดุ ี ตามปกติอันเป็นของส่วนบุคคลไม่อยู่ในข้อน้ี ในเร่ืองเดิมเล่าถึง ภิกษุผู้เกิดในสกุลพราหมณ์ ๒ รูป ไปขออาสาต่อพระผู้มีพระภาค เพื่อจะยกพุทธวจนะขึ้นโดยฉันท์ แต่ทรงปฏิเสธและ บัญญตั ิข้อหา้ มไวด้ ้วย) หา้ มเรยี นห้ามสอนโลกายตะและติรจั ฉานวิชชา ทรงห้ามเรียนห้ามสอนโลกายตะ (ได้แก่คติท่ีถือว่า ควรหาความสุขไปวัน ๆ หน่ึง ดกี วา่ จะไปค�ำนงึ ถึงบุญบาปท�ำไม ควรร่าเริงกินเหลา้ เป็นหน้เี ปน็ สินตามชอบใจ ซึง่ หนักไปทาง วัตถนุ ิยม แต่ในอรรถกถาแกว้ ่า เป็นคมั ภีร์ หรือต�ำราของพวกนอกศาสนา เช่น วา่ ด้วยกาเผือก นกยางดำ� ในที่บางแห่งแกว้ ่า เปน็ วติ ณั ฑาศาสตร์ ซ่ึงเปน็ เเขนงหน่งึ ในการศึกษาของพราหมณ์) รวมทั้งห้ามเรียน ห้ามสอนติรัจฉานวิชชา (วิชาภายนอกท่ีไม่มีประโยชน์) ทรงปรับอาบัติแก่ผู้ ล่วงละเมดิ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 372 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๗ จุลลวัคค์ ขุททกวัตถุขันธกะ 373 หา้ มถอื โชคลาง แตไ่ ม่ขัดใจคนอนื่ ิว ันย ิปฎก คร้ังหน่ึงพระผู้มีพระภาคก�ำลังแสดงธรรม ทรงจามข้ึน ภิกษุท้ังหลายก็ส่งเสียงร้อง ดงั ขนึ้ วา่ ขอพระผมู้ พี ระภาคจงเจรญิ พระชนม์ จนเปน็ อปุ สรรคแกก่ ารแสดงธรรม พระผมู้ พี ระภาค ตรัสถามว่า เมื่อพูดเช่นนั้น จะท�ำให้มีชีวิตหรือท�ำให้ตายไปได้จริงๆ หรือ เมื่อภิกษุเหล่านั้น กราบทูลว่า ไม่เป็นไปได้ จึงตรัสห้ามพูดแก้ลางแบบนั้นเม่ือมีการจาม และปรับอาบัติทุกกฏ แก่ผลู้ ว่ งละเมิด แต่เป็นธรรมเนียมของคนในครั้งน้ัน ถ้าพระภิกษุจามและชาวบ้านพูดว่า ขอให้ท่าน มีชีวิตอยู่ พระจะต้องกล่าวตอบ (โดยอัธยาศัยไมตรี) ว่า ขอให้ท่านมีชีวิตอยู่เช่นกัน ภิกษุ ท้ังหลายไม่กล้ากล่าวตอบเกรงจะผิดพระพุทธบัญญัติ พระผู้มีพระภาคจึงทรงผ่อนผันให้ กล่าวตอบเขาได้ (แต่ไมใ่ หใ้ ช้กนั เองในหมู่ภิกษุ) ห้ามฉันกระเทียม ภิกษรุ ูปหนึ่งฉันกระเทียม เกรงภกิ ษอุ นื่ จะเหม็นเวลาน่ังฟังธรรม เลยนั่งหา่ งจากภกิ ษุ อื่น ๆ ไม่เข้าใกล้ใคร พระผู้มีพระภาคจึงทรงห้ามฉันกระเทียม และปรับอาบัติทุกกฏแก่ผู้ล่วง ละเมดิ ภายหลงั ทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษอุ าพาธฉนั ได้ (คงหมายถงึ ฉนั กระเทยี มเปลา่ ๆ ถา้ ฉนั ปนกบั ของอ่ืน หรือที่เขาปรุงเสร็จแล้ว ไม่น่าจะอยู่ในข้อห้ามน้ี ถ้าจะพิจารณาถึงวัตถุประสงค์ใน การห้าม ก็จะเห็นได้ว่าเพื่อไม่ให้เข้าหมู่ไม่ได้ หรือท�ำความร�ำคาญแก่หมู่ หรือเป็นเหตุให้เสีย การฟังธรรม เพราะฉะน้ัน ปัญหาเร่ืองกลน่ิ แรงของกระเทยี ม จงึ เปน็ ประเดน็ ส�ำคัญในที่น้ี) ทรงอนุญาตทถ่ี า่ ยปสั สาวะอจุ จาระ ในเรอ่ื งปสั สาวะ ทรงอนญุ าตใหถ้ า่ ยในทที่ จี่ ดั ไว้ ทรงอนญุ าตหมอ้ ปสั สาวะ ทร่ี องเหยยี บ เวลานั่งถ่าย ฝาหรือก�ำแพงส�ำหรับกั้นท่ีท�ำด้วยอิฐ ศิลาหรือไม้ รวมท้ังฝาปิดหม้อปัสสาวะ (เพือ่ กันกลน่ิ เหม็น) ในเร่ืองอุจจาระทรงอนุญาตให้ถ่ายในที่ท่ีจัดไว้ ให้มีหลุมอุจจาระ และให้ก่อยกพ้ืน ใหส้ งู เพอื่ กนั นำ้� ทว่ ม ใหม้ บี นั ไดและราวบนั ได ใหล้ าดพนื้ เจาะชอ่ งตรงกลาง ใหม้ เี ขยี งรองเหยยี บ ใหม้ ีรางปัสสาวะ ให้ใช้ไม้ชำ� ระ ทใี่ ส่ไม้ช�ำระ และฝาปดิ หลมุ อจุ จาระ และใหม้ ีโรงถา่ ยโดยเฉพาะ ทเี่ รียกวา่ วัจจกุฎี มฝี าหรือกำ� แพง พร้อมท้ังเคร่ืองประกอบ เช่น ดาล กลอน เชือกชัก ราวพาด จวี ร เปน็ ตน้ อนง่ึ ไดท้ รงอนญุ าตใหม้ ซี มุ้ สำ� หรบั ชำ� ระทำ� ความสะอาด เมอ่ื เสรจ็ จากอจุ จาระแลว้ ให้มีรางระบายน�้ำ ให้มีหม้อน�้ำช�ำระ ขันตักน�้ำช�ำระ และเขียงรองขณะช�ำระ ตลอดจนฝา หรอื ก�ำแพง PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 373 5/4/18 2:24 PM
374 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ทรงหา้ มประพฤติอนาจาร ภิกษุฉัพพัคคีย์ประพฤติอนาจารมีประการต่าง ๆ เช่น ประจบคฤหัสถ์ เก่ียวข้องกับ สตรีมากไป เล่นฟ้อนร�ำขับร้อง เล่นกีฬาสนุกต่าง ๆ ทรงห้ามท�ำเช่นน้ัน และให้ปรับอาบัติตาม ควรแกค่ วามผดิ ทรงอนุญาตเคร่อื งใช้ พระอุรุเวลกัสสปบวชแล้ว ก็มีผู้ถวายเคร่ืองใช้ท�ำด้วยโลหะ ท�ำด้วยไม้ ท�ำด้วย ดนิ เหนยี ว ท่านสงสยั วา่ ทรงอนญุ าตไว้หรือเปลา่ พระผูม้ ีพระภาคจงึ ตรสั อนุญาตใหใ้ ชไ้ ด้ ๒. เสนาสนขันธกะ (หมวดว่าด้วยท่ีอยู่อาศัย) ทรงอนุญาตทีอ่ ยู่ ๕ ชนดิ เศรษฐีกรุงราชคฤห์เลื่อมใสในภิกษุทั้งหลายท่ีอยู่กับพระพุทธเจ้า ณ เวฬุวนาราม ใครจ่ ะสร้างวหิ ารถวาย จงึ ขอให้ภิกษเุ หล่านัน้ กราบทูลพระผู้มพี ระภาค พระองค์จึงทรงอนญุ าต ท่ีอยู่ ๕ ชนิด คือ (๑) วิหาร (กุฎปี กต)ิ (๒) เพิง (อฑั ฒโยคะ) (๓) เรือนเปน็ ชน้ั ๆ (ปราสาท) (๔) เรอื นโลน้ หรือหลังคาตดั (หมั มิยะ) และ (๕) ถ้�ำ (คหุ า) ภายหลังเม่ือมีคนทราบว่าทรงอนุญาตวิหาร หรือที่อยู่แก่สงฆ์ จึงสร้างท่ีอยู่ถวาย เป็นอันมาก พระผู้มีพระภาคก็ทรงอนุญาตแก้ไขเพ่ิมเติม ให้ที่อยู่น้ันสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เช่น ประตู กลอน ลิ่มสลัก หนา้ ตา่ ง หนา้ ต่างมีลูกกรง เป็นต้น เครอื่ งนั่งเครื่องนอน ทรงอนุญาตเตียงนอน (เพื่อไม่ต้องนอนบนพื้นดิน) และตั่งส�ำหรับน่ังหลายชนิด ทรงอนุญาตอาสันทิกะ (ม้าสี่เหล่ียม) ทั้งชนิดท่ีสูง และชนิดท่ีมีส่วน ๗ (ท่ีเท้าแขน ๒ ที่พิง ๑ และเทา้ ๔ มลี กั ษณะตรงกับเก้าอ้ีเท้าแขนหรืออารม์ แชร)์ และเตยี งตง่ั อีกหลายชนิด ทรงหา้ มใช้ เตียงสงู แต่ให้มที ่รี องเตยี งได้ ที่รองเตยี งมใิ หส้ งู เกิน ๘ น้วิ และทรงอนุญาตส่วนประกอบอนื่ ๆ ทรงอนญุ าตหมอนยัดนนุ่ ๓ ชนิด คอื นนุ่ ตน้ ไม้ ไมเ้ ลอ้ื ยและหญ้า (โปฏก)ี ทรงหา้ มใชห้ มอนยาว ครึ่งตัว โดยให้ใช้หมอนขนาดพอกับศีรษะ ทรงอนุญาตฟูกยัดด้วยของ ๕ ชนิด คือ ขนสัตว์ เศษผา้ เปลือกไม้ หญา้ และใบไม้ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 374 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๗ จุลลวัคค์ เสนาสนขันธกะ 375 ต่อจากน้ันเป็นการอนุญาตการห้ามเกี่ยวกับที่อยู่อาศัยเบ็ดเตล็ดอีกเป็นอันมาก ิว ันย ิปฎก เช่น ห้ามเขียนรูปผู้หญิง ชายในวิหาร ลงท้ายด้วยทรงอนุญาตหลังคา ๕ ชนิด คือที่ท�ำด้วยอิฐ ศิลา ปูนขาว หญ้า ใบไม้ อนาถปิณฑิกคฤหบดีนบั ถือพระพทุ ธศาสนา อนาถปิณฑิกคฤหบดี (เศรษฐีชาวกรุงสาวัตถี) ผู้เป็นสามีของน้องสาวแห่งเศรษฐี กรุงราชคฤห์ เดินทางไปกรุงราชคฤห์ ทราบว่าพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลกแล้ว และเศรษฐี กรุงราชคฤห์ก�ำลังเตรียมถวายอาหารบิณฑบาต จึงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ได้สดับ พระธรรมเทศนา ได้ดวงตาเห็นธรรม (เป็นพระโสดาบัน) เม่ือได้ถวายภัตตาหารในวันต่อมา แล้ว จึงอาราธนาพระผู้มีพระภาคไปจ�ำพรรษา ณ กรุงสาวัตถี และได้เดินทางล่วงหน้าไปก่อน เมอ่ื ไปถงึ กรงุ สาวตั ถแี ลว้ กไ็ ดซ้ อ้ื สวนนอกเมอื งแปลงหนงึ่ จากราชกมุ าร ชอื่ เชตะ สรา้ งเชตวนาราม ขนึ้ เปน็ วัดในพระพทุ ธศาสนา ต้งั ภิกษผุ คู้ วบคมุ การก่อสรา้ ง พระผู้มีพระภาคเสด็จจากกรุงราชคฤห์ มาทางกรุงไพศาลี ประทับ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ตรัสอนุญาตให้สงฆ์สวดประกาศแต่งตั้งภิกษุผู้ควบคุมการก่อสร้างวิหาร ซง่ึ คฤหบดผี หู้ น่ึงสละทรพั ย์สร้าง ลำ� ดบั อาวโุ ส ในการเสด็จสู่กรุงสาวัตถี (จากกรุงไพศาลี) นั้น ภิกษุท้ังหลายผู้เป็นศิษย์ของภิกษุ ฉัพพัคคีย์ มักจะเดินทางล่วงหน้าเท่ียวจองที่พักไว้มากมาย เพื่ออุปัชฌายะ เพ่ืออาจารย์ และเพ่ือตัวเอง เป็นเหตุให้พระอ่ืน ๆ เช่น พระสาริบุตรหาที่พักไม่ได้ ต้องไปพักท่ีโคนไม้ พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงตรัสให้เรียกประชุมสงฆ์ก�ำหนดให้ภิกษุท้ังหลายปฏิบัติชอบ ต่อกัน และให้มีสิทธิต่าง ๆ เช่น ได้รับการกราบไหว้ ลุกข้ึนต้อนรับ การทำ� อัญชลี การแสดง ความเคารพ การได้อาสนะท่ีดี ได้น�้ำท่ีดี ได้อาหารที่ดี ตามล�ำดับอาวุโส (แก่พรรษากว่า) ผูใ้ ดปฏิเสธการถือเอาตามล�ำดับอาวุโสเก่ยี วกับของสงฆ์ ผู้น้ันต้องอาบตั ิทุกกฏ บุคคลผไู้ มค่ วรไหว้ ๑๐ ประเภท๑ ทรงแสดงถึงบคุ คลที่ (ภกิ ษุ) ไมค่ วรไหว้ ๑๐ ประเภท คอื ๑. ผบู้ วชภายหลงั ไมค่ วรท่ีผูบ้ วชกอ่ นจะไหว้ ๒. ผู้ไม่ได้บวช ไม่ควรทีผ่ ู้บวชจะไหว้ ๑ ควรดูท่ีแปลไว้แล้ว หนา้ ๙๖ - ๙๘ ขอ้ ๓๓ - ๓๗ เทยี บเคียงด้วย PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 375 5/4/18 2:24 PM
376 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๓. ภกิ ษทุ เ่ี ปน็ นานาสงั วาส (ต่างนกิ ายกัน) แกก่ ว่า ถ้าพดู ไมเ่ ป็นธรรมก็ไม่ควรไหว้ ๔. มาตุคาม (ผู้หญิง) อันภกิ ษไุ ม่ควรไหว้ ๕. กะเทย ๖. ภิกษทุ ี่อยปู่ ริวาส ๗. ภิกษทุ คี่ วรชกั เข้าหาอาบตั ิเดมิ ๘. ภกิ ษุผู้ควรประพฤตมิ านตั ต์ ๙. ภกิ ษุผ้ปู ระพฤตมิ านัตต์ ๑๐. ภิกษุผูค้ วรสวดถอนจากอาบตั ิสงั ฆาทิเสส ท้ังหมดนี้ ไมค่ วรทภ่ี ิกษุจะพงึ ไหว้ บุคคลผ้คู วรไหว้ ๓ ประเภท ๑. ผู้บวชก่อน ควรท่ีผู้บวชทีหลังจะไหว้ ๒. ภิกษุท่ีเป็นนานาสังวาส (ต่างนิกายกัน) แกก่ วา่ ถ้าพูดเป็นธรรมก็ควรไหว้ ๓. พระตถาคตอรหันตสมั มาสัมพทุ ธเจา้ เปน็ ผ้คู วรไหว้ มณฑปทส่ี ร้างอทุ ิศสงฆ์ ศิษย์ของภิกษุฉัพพัคคีย์ถือโอกาสเลี่ยงข้อบัญญัติท่ีให้ถือเอาตามล�ำดับอาวุโส เก่ียวกับสงฆ์ เมื่อมีผู้สร้างมณฑปอุทิศแก่สงฆ์ ก็เท่ียวจับจองแย่งที่ให้อุปัชฌายะ ให้อาจารย์ และเพอื่ ตนเอง โดยอา้ งวา่ ทห่ี า้ มนน้ั ห้ามเฉพาะของสงฆ์ ไมไ่ ด้หา้ มเกยี่ วกับทอี่ ยทู่ มี่ ีผสู้ ร้างข้นึ อทุ ศิ สงฆ์ (เปน็ การอา้ งเกยี่ วกบั ถอ้ ยคำ� ทหี่ า้ ม) พระผมู้ พี ระภาคทรงทราบ กท็ รงหา้ มทำ� เชน่ นนั้ อกี และปรบั อาบตั ทิ ุกกฏแกผ่ ู้ลว่ งละเมดิ ท่ีนัง่ ต่างชนดิ ของคฤหัสถ์ เมื่อคนท้ังหลายนิมนต์พระไปฉันในโรงฉันในละเเวกบ้าน ก็จัดท่ีนั่งต่างชนิด หลายอย่าง (ดี ๆ ตามที่คฤหัสถ์ใช้) คร้ังแรกทรงห้ามก�ำหนดอาสันทิ บัลลังก์ และของยัดนุ่น ภายหลังทรงอนญุ าตใหน้ ่ังทบั เครือ่ งนั่งของคฤหสั ถ์ (ทุกชนดิ ) แตไ่ ม่ให้นอนทบั การถวายเชตวนาราม เม่ือเสด็จถึงกรุงสาวัตถีแล้ว อนาถปิณฑิกคฤหบดีนิมนต์ฉันในวันรุ่งขึ้น เม่ือถวาย ภัตตาหารเสร็จกราบทูลถามว่า จะปฏิบัติอย่างไรเกี่ยวกับเชตวนาราม ตรัสให้ถวายแก่สงฆ์ ๔ ทิศ ท้ังทมี่ าแล้ว และยังไมม่ าสู่เชตวนาราม PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 376 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๗ จุลลวัคค์ เสนาสนขันธกะ 377 ปญั หาลำ� ดับอาวโุ สเพิ่มเตมิ ิว ันย ิปฎก ทรงห้ามภิกษุผู้แก่พรรษากว่า ไล่ภิกษุอ่อนกว่าท่ีก�ำลังน่ังฉันค้างอยู่ เพื่อเข้าน่ังแทน ทรงปรับอาบัติทุกกฏแก่ผู้ท�ำเช่นน้ัน (พระอุปนันทะมาช้า ไล่ภิกษุอื่น เกิดโกลาหลในขณะฉัน) แตก่ ็ทรงยืนยนั สิทธใิ นท่นี ่ังตามล�ำดบั อาวโุ ส ซงึ่ ภิกษผุ ู้ออ่ นพรรษากว่าจะปฏิเสธไม่ได้ ตรัสห้ามไล่ที่ภิกษุไข้ เพ่ือถือเอาที่อยู่ตามล�ำดับอาวุโส ทรงปรับอาบัติทุกกฏแก่ภิกษุ ผู้ไล่ ภิกษุฉัพพัคคีย์ถือโอกาสท่ีตนเป็นไข้ เลือกเสนาสนะดี ๆ ด้วยคิดว่า ใครไล่ตนไม่ได้ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสให้จดั ท่ีนอนตามสมควรแก่ภิกษุไข้ (ไมใ่ ชเ่ ลอื กเองตามชอบใจ) ภกิ ษฉุ พั พคั คยี อ์ า้ งเลศ กดี กนั เสนาสนะ และถอื สทิ ธฉิ ดุ ครา่ ภกิ ษพุ วก ๑๗ รปู ออกจาก ทอี่ ยู่ ทรงหา้ มทำ� เชน่ นน้ั และปรบั อาบตั ทิ กุ กฏในกรณกี ดี กนั เสนาสนะโดยอา้ งเลศ และปรบั อาบตั ิ ปาจิตตีย์ ในกรณีฉุดคร่า (มีในหน้า ๒๔๗ สิกขาบทที่ ๗) เพราะปรารภเหตุเหล่าน้ี จึงตรัสให้ จดั สรรภิกษถุ ือเสนาสนะ คอื เขา้ อยูอ่ าศัย โดยแตง่ ต้ังภิกษผุ ูจ้ ดั สรร การจดั สรรท่ีอยู่อาศยั ทรงกำ� หนดคณุ สมบตั ขิ องภกิ ษผุ จู้ ดั สรรทอ่ี ยอู่ าศยั (เสนาสนคาหาปกะ) ๕ ประการ คอื ๑. ไม่ล�ำเอยี งเพราะชอบ ๒. ไมล่ �ำเอยี งเพราะชัง ๓. ไมล่ �ำเอียงเพราะหลง ๔. ไมล่ �ำเอยี งเพราะกลัว และ ๕. รจู้ ักเสนาสนะ ท่ีจดั สรรแล้วและยังมิไดจ้ ดั สรร ทรงแนะวิธีสวดประกาศแต่งต้ังภิกษุผู้จัดสรรที่อยู่อาศัยเป็นการสงฆ์ แล้วตรัสแนะ วธิ จี ดั สรร โดยใหน้ บั ภกิ ษกุ อ่ นแลว้ ใหน้ บั ทนี่ อน นบั แลว้ ใหจ้ ดั สรรตามจำ� นวนทนี่ อน เมอื่ จดั สรร แลว้ ยงั มที นี่ อนเหลอื ใหจ้ ดั สรรตามจำ� นวนวหิ าร (กฎุ )ี ถา้ กฎุ ยี งั เหลอื กใ็ หจ้ ดั ตามจำ� นวนบรเิ วณ ถ้าบริเวณยังเหลือก็ให้แบ่งส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้อีก๑ เม่ือได้รับส่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้ว ถ้ามีภิกษุอ่ืนมา แม้ไม่อยากให้ก็ต้องให้ ทรงห้ามจัดสรรที่อยู่อาศัยแก่ภิกษุผู้อยู่นอกสีมา และทรงหา้ มยดึ ครองที่อยู่อาศยั ตลอดกาล อนุญาตเพยี ง ๓ เดือน ต่อจากน้ันจะหวงหา้ มไม่ได้ ๑ เปน็ การกระจายการอยู่อาศัย เพื่อช่วยกันรกั ษาอาคารสถานที่ เป็นการบริหารเสนาสนะ - ม.พ.ป. PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 377 5/4/18 2:24 PM
378 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ทรงแสดงการจัดสรรท่อี ยู่อาศัย (เสนาสนคาหะ) ว่ามี ๓ อย่าง คือ ๑. การจัดสรร ตอนต้น คอื ในวนั ใกลเ้ ขา้ พรรษาแรก ๒. การจดั สรร ตอนหลงั คือในวันใกล้เขา้ พรรษาหลงั และ ๓. การจัดสรร ที่นอกจากระหว่างพรรษา คือเม่ือใกล้จะถึงวันปวารณา จัดเพ่ือให้จำ� พรรษาคราวต่อไป ทรงหา้ มภกิ ษุรปู เดียวหวงหา้ มที่อยูอ่ าศัยไวถ้ ึง ๒ แห่ง ถา้ ทำ� เช่นน้นั ตอ้ งอาบตั ิทกุ กฏ การนง่ั ต�ำ่ น่งั สูง ทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้สอนท่ีบวชใหม่น่ังอาสนะเสมอหรือสูงกว่าได้ และให้ภิกษุ ผู้เป็นเถระ (แก่กว่า) ที่เรียนน่ังอาสนะเสมอหรือต�่ำกว่าได้ ด้วยความเคารพในธรรม (ในปัจจบุ ันน้ี ภกิ ษทุ ่ีแสดงธรรมแมพ้ รรษาน้อยกข็ นึ้ น่ังบนธรรมมาสนส์ ูงกวา่ ภกิ ษุทง้ั ปวง) ทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษทุ ม่ี สี ทิ ธใิ นการนง่ั เสมอกนั นง่ั รวมกนั ได้ คอื ภกิ ษทุ มี่ พี รรษาไลเ่ ลยี่ กันภายใน ๓ ปี ภิกษุท่ีมีสิทธิในการนั่งเสมอกัน น่ังเตียงตั่งเดียวกัน เตียงตั่งพังลงมา จงึ ทรงจ�ำกดั จำ� นวนให้นงั่ ไมเ่ กนิ ๓ รูป เตียงต่งั กย็ ังพังอกี จึงให้น่ังไดเ้ พยี ง ๒ รปู สว่ นทน่ี งั่ ยาว แม้ภิกษุจะมีสิทธิในการน่ังไม่เสมอกันก็ให้น่ังรวมกันได้ เว้นแต่กะเทย ผู้หญิง ผู้มีอวัยวะเพศ ทั้งสองเพศ มีปัญหาว่า อย่างไรจึงจัดว่าเป็นที่นั่งยาวจึงก�ำหนดว่า ถ้าน่ังได้ถึง ๓ คน ก็จัดเป็น ท่ีนัง่ ยาวอย่างต่ำ� ท่สี ดุ (มากกวา่ นนั่ ไม่มีปัญหา) ปราสาทและเครอื่ งนงั่ นอนต่าง ๆ ทรงอนุญาตใหใ้ ช้ปราสาทได้ทกุ ชนิด (ปราสาท คือเรอื นเปน็ ชนั้ ๆ) ส่วนเครื่องน่งั นอน เป็นต้น ของคฤหัสถ์รวมหลายอย่าง ซ่ึงถวายแก่สงฆ์เมื่อคราวพระอัยยิกา (ยาย) ของพระเจ้า ปเสนทโิ กศลสน้ิ พระชนมน์ น้ั ทรงอนญุ าตใหต้ ดั เทา้ อาสนั ทิ (ตงั่ สเี่ หลย่ี ม) แลว้ ใชไ้ ด้ สว่ นบลั ลงั ก์ (เก้าอ้ีนวม) ให้ร้ือขนสัตว์ออกแล้วใช้ได้ เคร่ืองใช้ยัดนุ่น ให้ร้ือนุ่นมายัดหมอน ส่วนเครื่องใช้ ท่ีเหลือ ให้ใชเ้ ป็นเครอ่ื งปูพ้นื ปญั หาเรอื่ งทอี่ ยอู่ าศยั เกิดข้ึนอกี ภิกษุที่อยู่ประจ�ำในวัดใกล้หมู่บ้าน มีภิกษุอ่ืนผ่านไปมาเสมอ ล�ำบากด้วยการจัดที่อยู่ อาศัย เพื่อแก้ข้อขัดข้องน้ี สงฆ์จึงประชุมกันมอบท่ีอยู่อาศัยให้ภิกษุรูปหนึ่งเสีย ทุกรูปจึงได้อยู่ อาศยั ด้วยการให้ของภิกษรุ ปู น้นั เม่อื มีภกิ ษุผา่ นไปมาจะขอพักอาศัย กอ็ า้ งว่า ไดย้ กใหแ้ กภ่ กิ ษุ รูปหนึง่ ไปแลว้ ไมม่ ีท่จี ะให้พกั พระผู้มพี ระภาคจงึ ทรงวางหลกั เกณฑ์เพมิ่ เติม คือ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 378 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๗ จุลลวัคค์ เสนาสนขันธกะ 379 ส่งิ ท่จี ะสละ (ให้ใคร ๆ) ไมไ่ ด้ ๕ หมวด ิว ันย ิปฎก ของ ๕ อยา่ ง ทสี่ งฆ์ หรอื คณะ หรอื บคุ คล จะสละใหใ้ คร ๆ ไมไ่ ด้ แมส้ ละแลว้ กไ็ มเ่ ปน็ อันสละ ผสู้ ละ (หรือยกให้) ตอ้ งอาบตั ถิ ลุ ลจั จยั คอื ๑. วัดและท่ีต้งั วดั ๒. วิหารและท่ตี ง้ั วหิ าร (หมายถงึ กฎุ ที อ่ี ยู่ทัว่ ไป) ๓. เตยี ง ตง่ั ฟกู หมอน ๔. เคร่ืองใช้โลหะ คือหม้อโลหะ อ่างโลหะ กระถางโลหะ กะทะโลหะ มีดใหญ่ หรือพร้าโต้ ขวาน ผึ่งส�ำหรับถากไม้ จอบ หรือเสียม สว่านส�ำหรับเจาะไม้ (สิ่วก็อยใู่ นข้อนี)้ ๕. เถาวัลย์ เช่น หวาย ไม้ไผ่ หญ้ามุงกระต่าย หญ้าปล้อง หญ้าสามัญ ดินเหนียว ของท�ำด้วยไม้ ของท�ำด้วยดินเผา (ที่ห้ามนี้ คือห้ามไม่ให้เอาของสงฆ์ไปเป็น ของบคุ คล) ภายหลังทรงเพิ่มข้อความให้มากขึ้น จากค�ำว่า ไม่ให้สละ เป็นไม่ให้แบ่ง ไม่ให้แจก ของ ๕ หมวดทกี่ ล่าวแลว้ ผใู้ ดแบง่ หรอื แจก ต้องอาบัตถิ ุลลัจจัย การควบคมุ การกอ่ สร้าง ห้ามมอบหมายการควบคุมการก่อสร้างในเร่ืองเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น ติดประตู ทาสี มุงหลังคา และห้ามมอบหมายการควบคุมการก่อสร้างนานเกินไป เช่น ๒๐ - ๓๐ ปี หรอื ตลอดชวี ิต หรอื จนถงึ เวลาเผาศพผรู้ บั มอบหมาย ห้ามมอบหมายการก่อสร้างวิหารหมดทุกอย่าง ห้ามมอบการก่อสร้าง ๒ อย่างแก่ ภิกษุรูปเดียว ภิกษุผู้รับมอบการก่อสร้าง จะถือสิทธิหวงห้ามที่อยู่ของสงฆ์ไม่ได้ ภิกษุอยู่นอก สมี า หา้ มมอบหมายใหเ้ ปน็ ผคู้ วบคมุ การกอ่ สรา้ ง ภกิ ษผุ คู้ วบคมุ การกอ่ สรา้ ง จะครอบครองทอี่ ยู่ อาศัยได้เพยี ง ๓ เดอื น หา้ มครอบครองตลอดไป เมือ่ พน้ ๓ เดือน ตอ้ งยนิ ยอมใหจ้ ดั สรรใหม่ ภกิ ษผุ คู้ วบคมุ การกอ่ สรา้ งพอรบั มอบหรอื ทำ� คา้ งไว้ สกึ ไปหรอื เดนิ ทางไปทอ่ี น่ื เปน็ ตน้ ให้มอบให้ผู้อ่ืนท�ำการแทน ต่อจากนั้นเป็นการแสดงสิทธิในส่ิงก่อสร้างว่า ในกรณีเช่นไรเป็น ของสงฆ์ เปน็ ของบคุ คล การขนยา้ ยของใชแ้ ละรกั ษาทอ่ี ย่อู าศยั ห้ามขนย้ายของใช้ประจ�ำท่ีอยู่อาศัยแห่งหน่ึงไปท่ีอ่ืน (ผิดความประสงค์ของผู้ถวาย) ขอยืมไปชั่วคราวได้ น�ำไปเพื่อรักษาไม่ให้เสียหายได้ แลกเปลี่ยน (ผาติกรรม) ได้ในกรณีที่ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 379 5/4/18 2:24 PM
380 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ของนั้นราคาแพงเกินไป (ไม่เหมาะแก่สงฆ์จะใช้สอยเอง) ต่อจากน้ันเป็นการอนุญาตเคร่ืองใช้ เบ็ดเตล็ด เช่น เคร่ืองเช็ดเท้า และให้รักษาท่ีอยู่อาศัย ไม่ให้เหยียบทั้งท่ีเท้าเปื้อนเท้าเปียก หรอื เหยยี บทงั้ รองเทา้ ทรงอนญุ าตกระโถนเพอื่ ไมใ่ หบ้ ว้ นนำ้� ลายลงบนพน้ื ทรงปรบั อาบตั ทิ กุ กฏ แก่ภิกษุผู้บ้วนน�้ำลายลงบนพ้ืน ทรงอนุญาตให้ใช้ผ้าพันเท้าเตียงต่ัง เพ่ือไม่ให้พื้นที่อยู่เสียหาย ทรงห้ามพิงผนังที่ทาสี และอนุญาตให้มีแผ่นกระดานส�ำหรับพิง และให้เอาผ้าพันแผ่นกระดาน นน้ั เพอ่ื กันครูดผนัง รวมท้ังอนุญาตใหน้ อนโดยปูผ้าก่อน อาหารและการแจกอาหาร ทรงอนุญาตการถวายอาหารเจาะจง การนิมนต์ การถวายโดยสลาก การถวายประจ�ำ ปักษ์ การถวายประจ�ำวันอุโบสถ การถวายประจ�ำวันค�่ำหนึ่ง และทรงก�ำหนดคุณสมบัติของ ภิกษุผู้แสดงอาหาร (จดั ภกิ ษไุ ปรับอาหารในท่ีนมิ นต์) ว่าไม่มีอคติ ๔ และรู้ว่าแสดงแลว้ หรอื ยงั มิได้แสดง (จัดแล้วหรือยัง) ทรงแสดงวิธีสวดสมมติ คือแต่งต้ังภิกษุผู้แสดงอาหาร และ แนะวิธแี จกโดยใช้สลาก (ซ่ไี ม้) หรือแผน่ ผา้ เจา้ หน้าทที่ ำ� การสงฆอ์ ่ืน ๆ ทรงแนะให้มีการแต่งตั้งภิกษุผู้มีคุณสมบัติเหมาะสมเป็นเจ้าหน้าท่ีท�ำการสงฆ์อ่ืน ๆ โดยการสวดประกาศ คือภิกษุผู้ปูลาดเสนาสนะ ผู้ดูแลเรือนคลัง ผู้รับจีวร ผู้แจกจีวร ผู้แจกข้าวยาคู ผู้แจกผลไม้ ผแู้ จกของเคีย้ ว ผู้แจกของเลก็ ๆ น้อย ๆ (เช่น เข็ม มดี รองเทา้ ) ผูแ้ จกผ้า (อาบน้�ำฝน) ผ้แู จกบาตร ผใู้ ช้คนทำ� งานวดั ผ้ใู ชส้ ามเณร ๓. สังฆเภทขนั ธกะ (หมวดว่าดว้ ยสงฆ์แตกกนั ) เล่าเร่ืองราชกุมารในศากยสกุล คือ ภัททิยราชา อนุรุทธ์ อานนท์ ภัคคุ กิมพิละ และราชกุมารในโกลยิ สกลุ คือเทวทัต รวมเป็น ๗ ทั้งอบุ าลผี ู้เป็นช่างกลั บก ออกบวช ต่างเหน็ พรอ้ มกนั ว่า ควรใหอ้ ุบาลีบวชก่อน ตนจะได้กราบไหว้ คลายทิฏฐมิ านะ เมอ่ื บวชแลว้ พระภทั ทยิ ะไดว้ ชิ ชา ๓ พระอนรุ ทุ ธไ์ ดท้ พิ จกั ษุ พระอานนทไ์ ดเ้ ปน็ โสดาบนั สว่ นพระเทวทัตไดฤ้ ทธข์ิ องปถุ ุชน พระเทวทัตคดิ การใหญ่ พระเทวทัตคิดหวังลาภสักการะ จึงแปลงกายเป็นเด็กน้อยไปน่ังอยู่บนตักของ ราชกุมารช่ืออชาตศัตรู (ผู้เป็นโอรสพระเจ้าพิมพิสารแคว้นมคธ) เพื่อท�ำให้ราชกุมารเล่ือมใส มลี าภสักการะเกดิ ข้ึนแลว้ ก็คดิ การจะปกครองคณะสงฆ์เสียเองแทนพระพุทธเจา้ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 380 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๗ จุลลวัคค์ สังฆเภทขันธกะ 381 ความทราบถึงพระโมคคลั ลานเถระ จึงเขา้ ไปเฝ้ากราบทลู พระผมู้ พี ระภาค ตรัสแสดง ิว ันย ิปฎก ศาสดา ๕ ประเภทท่ีต้องอาศัยหรือหวังความคุ้มครองจากสาวก คือศาสดาผู้มีศีลไม่บริสุทธ์ิ มกี ารเลี้ยงชพี ไมบ่ ริสุทธิ์ มีการแสดงธรรมไมบ่ รสิ ทุ ธ์ิ มกี ารตอบคำ� ถามไม่บริสุทธ์ิ มญี าณทสั สนะ ไม่บริสุทธ์ิ แต่แสดงตนว่าเป็นผู้บริสุทธ์ิใน ๕ ทางนั้น ส่วนพระองค์มิต้องหวังความคุ้มครอง ของสาวก เพราะมไิ ดเ้ ปน็ ดงั่ น้ัน พระเทวทัตขอปกครองคณะสงฆ์ เม่ือได้โอกาส พระเทวทัตจึงเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค อ้างว่า พระองค์มีอายุมากแล้ว ขอให้ทรงขวนขวายน้อย และให้สละภิกษุสงฆ์ให้แก่ตน ตนจะบริหารเอง พระผู้มีพระภาคทรง ปฏเิ สธถึง ๓ ครั้ง และในครั้งที่ ๓ ทรงกลา่ วว่า แมพ้ ระสาริบุตรและพระโมคคัลลานะ พระองค์ ยังมิได้มอบภิกษุสงฆ์ให้ ไฉนจะทรงมอบแก่พระเทวทัต ซึ่งได้ยังความอาฆาตให้เกิดข้ึนแก่ พระเทวทัตเปน็ ครั้งแรก ตรสั ให้ขออนุมตั สิ งฆป์ ระกาศเรอ่ื งพระเทวทตั ตรสั สง่ั ใหป้ ระชมุ สงฆ์ เพอ่ื ขออนมุ ตั ใิ หป้ ระกาศไมร่ บั รองการกระทำ� ใด ๆ ทางกายวาจา ของพระเทวทตั ถือวา่ ไมเ่ กี่ยวกับพระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ และให้สงฆ์สวดประกาศแตง่ ตัง้ พระสาริบตุ รเปน็ ผชู้ แ้ี จงแก่ชาวกรงุ ราชคฤห์ พระเทวทตั ยุใหข้ บถ พระเทวทัตจึงยุราชกุมารช่ืออชาตศัตรู ให้คิดฆ่าพระราชบิดา เพื่อชิงราชสมบัติ ส่วนตนเองจะฆ่าพระพุทธเจ้า เพ่ือเป็นพระพุทธเจ้าเสียเอง แต่ราชกุมารท�ำการหละหลวม ถูกจับได้ ขณะพกอาวุธเข้าวัง มหาอ�ำมาตย์จึงถวายความเห็นให้ฆ่าเสียท้ังพระเทวทัตและ ราชกุมาร รวมทง้ั ภกิ ษุทง้ั หลาย (ท่เี ป็นพวก) ดว้ ย บางพวกกใ็ หฆ้ า่ แตพ่ ระเทวทตั กับราชกมุ าร บางพวกเหน็ วา่ ไม่ควรฆา่ ทั้งหมด การประทษุ รา้ ยพระพทุ ธเจา้ ครัง้ แรก พระเจ้าพิมพิสารทรงทราบว่าราชกุมารอยากได้ราชสมบัติ ก็ทรงมอบราชสมบัติให้ พระเทวทัตก็มีอ�ำนาจยิ่งข้ึน จึงขอก�ำลังจากพระเจ้าอชาตศัตรูส่งคนไปคอยฆ่าพระพุทธเจ้า แลว้ สง่ั วา่ ถ้าฆ่าแล้วให้ไปทางน้ัน ๆ แลว้ ส่งคน ๒ คนไปคอยดกั ฆ่าคนทฆี่ ่าพระพทุ ธเจา้ ส่งคน ๔ คนไปคอยดกั ฆา่ พวก ๒ คนนนั้ สง่ คน ๘ คนไปคอยดกั ฆา่ พวก ๔ คนน้นั และส่งคน ๑๖ คน PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 381 5/4/18 2:24 PM
382 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ไปคอยดักฆ่าพวก ๘ คนน้ัน (เพื่อปิดปาก) แต่คนเหล่าน้ันกลับเล่ือมใสในพระพุทธศาสนา ปฏิญาณตนเป็นอุบาสกหมดสิ้น พระผู้มีพระภาคทรงส่งคนเหล่านั้นกลับไปให้สับทางกับที่ พระเทวทัตสั่ง จึงไม่มีการฆ่ากันเกิดข้ึน และเมื่อพวกท่ีคอยอยู่เห็นนานไป นึกสงสัยมาถาม พระพทุ ธเจา้ ก็ทรงแสดงธรรมให้ฟัง ต่างแสดงตนเปน็ อุบาสกหมดทกุ ชดุ การประทุษรา้ ยคร้ังที่ ๒ เม่ือใช้คนไปฆ่าไม่ส�ำเร็จ พระเทวทัตจึงเตรียมลงมือเอง คือขึ้นไปอยู่บนเขาคิชฌกูฏ คอยกล้ิงก้อนหินใหญ่ให้ลงมาทับพระพุทธเจ้า แต่ไม่สมประสงค์ เพียงสะเก็ดหินที่แตกมา กระทบพระบาทหอ้ พระโลหติ เทา่ นน้ั ภกิ ษทุ ง้ั หลายพากนั เปน็ หว่ ง จงึ มาอยยู่ ามเฝา้ แหนพระพทุ ธเจา้ ท่องบ่นด้วยเสียงอันดัง (ด้วยเกรงว่าพระเทวทัตจะส่งคนมาท�ำร้ายพระพุทธเจ้า เพราะได้ก�ำลัง จากพระเจ้าอชาตศัตรู) แต่พระผู้มีพระภาคตรัสสั่งให้ภิกษุเหล่าน้ันกลับไป ไม่ต้องมีใครมา คอยคุ้มครองให้ แลว้ ตรัสว่า เปน็ ธรรมดาที่พระตถาคตจะไม่ปรินพิ พานดว้ ยความพยายามของ ผอู้ นื่ แลว้ ตรสั เรอ่ื งศาสดา ๕ ประเภททต่ี อ้ งหวงั อารกั ขาจากสาวก ดง่ั ทต่ี รสั กบั พระโมคคลั ลานะ การประทุษรา้ ยครัง้ ท่ี ๓ พระเทวทัตไปหาคนเลี้ยงช้างของพระราชา อ้างตนเป็นญาติของพระราชา แล้วอ้างว่า สามารถเล่อื นต�ำแหนง่ เพม่ิ อาหาร เพ่มิ คา่ จา้ งได้ แลว้ ส่ังให้ปล่อยช้างนาฬาคิรีซง่ึ ดรุ ้ายฆา่ มนษุ ย์ ไปท�ำร้ายพระพุทธเจ้า ถ้าเห็นพระองค์เสด็จมาทางตรอกน้ัน คนเลี้ยงช้างยอมท�ำตาม เม่ือเห็น พระผ้มู ีพระภาคเสด็จมากป็ ลอ่ ยชา้ งไป ภิกษุทั้งหลายเห็นดังนนั้ กก็ ราบทลู ใหเ้ สดจ็ หนี แตท่ รง ปฏิเสธ และตรัสว่า ตถาคตจะไม่ปรินิพพานด้วยความพยายามของผู้อ่ืน ในการนี้มีผู้เห็น เหตุการณ์คอยดูบนท่ีสูง พระผู้มีพระภาคทรงแผ่เมตตาจิต ช้างก็เอางวงจับฝุ่นที่พระบาทข้ึน โรยบนกระพองและกลบั สู่โรงชา้ งตามเดมิ พระเทวทตั เสนอข้อปฏิบตั ิ ๕ ขอ้ พระเทวทัตคิดฆ่าพระพุทธเจ้าไม่สมประสงค์ จึงชวนพรรคพวกมีพระโกกาลิกะ เป็นต้น คิดเสนอข้อปฏบิ ัติ ๕ ประการ เพื่อให้เหน็ ว่าตนเครง่ ครัด คอื ๑. ใหภ้ กิ ษุทั้งหลายอยูป่ า่ ตลอดชวี ิต เข้าสู่บา้ นมโี ทษ ๒. ใหถ้ ือบณิ ฑบาตตลอดชวี ติ รบั นมิ นตม์ โี ทษ ๓. ให้ถือผา้ บงั สุกลุ ตลอดชีวิต รบั คฤหบดจี ีวร (ผ้าที่เขาถวาย) มโี ทษ ๔. ใหอ้ ยู่โคนไม้ตลอดชีวติ เขา้ สทู่ มี่ งุ บังมีโทษ ๕. หา้ มฉนั เนอื้ สัตว์ตลอดชวี ติ ฉันเข้ามีโทษ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 382 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๗ จุลลวัคค์ สังฆเภทขันธกะ 383 เมอื่ ไดโ้ อกาสจงึ เขา้ เฝา้ พระผมู้ พี ระภาค กราบทลู เสนอขอ้ ปฏบิ ตั ทิ ง้ั หา้ นนั้ พระผมู้ พี ระภาค ิว ันย ิปฎก ทรงปฏิเสธ คือใน ๔ ข้อข้างต้น ให้ภิกษุปฏิบัติตามความสมัครใจ ไม่บังคับ โดยเฉพาะ ข้อที่ ๔ ทรงอนุญาตให้อยู่โคนไม้เพียง ๘ เดือน (ฤดูฝนไม่ให้อยู่โคนไม้) และข้อ ๕ การฉัน เนื้อสัตว์ ทรงอนุญาตเนื้อสัตว์ที่บริสุทธ์โดยเง่ือนไข ๓ ประการ คือ ไม่ได้เห็น ไม่ได้ฟัง ไม่ได้ นึกรังเกียจวา่ เขาฆา่ เพอ่ื ตน พระเทวทัตก็ดีใจท่ีจะได้ประกาศว่า ตนเคร่งกว่าพระพุทธเจ้า จึงเที่ยวประกาศ ทวั่ กรุงราชคฤหถ์ ึงเร่อื งขอ้ เสนอนนั้ ทำ� สงฆใ์ ห้แตกกนั ครั้นถึงวนั อุโบสถ พระเทวทัตกช็ วนภกิ ษเุ ปน็ พวกไดม้ าก (เปน็ พระบวชใหมโ่ ดยมาก) แลว้ พาภกิ ษุเหลา่ น้ันแยกไปทำ� อุโบสถ ณ ตำ� บลคยาสีสะ พระเทวทัตอาเจียนเป็นโลหิต พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงสง่ พระสารบิ ตุ รและพระโมคคลั ลานะไปชแ้ี จงใหภ้ กิ ษทุ เ่ี ขา้ เปน็ พวกพระเทวทัตหายเข้าใจผิด พระเทวทัตเข้าใจว่าพระสาริบุตรและพระโมคคัลลานะมาเข้า พวกดว้ ย กม็ อบใหพ้ ระสารบิ ตุ รสง่ั สอนพระเหลา่ นนั้ ตนเองนอนพกั ผอ่ น พระสารบิ ตุ รแสดงธรรม ให้พระเหล่านั้นฟัง ได้ดวงตาเห็นธรรม (เป็นโสดาบัน) แล้วก็กลับ มีภิกษุเหล่าน้ันประมาณ ๕๐๐ รูปตามมา พระโกกาลิกะรบี ปลกุ พระเทวทตั แจง้ ข้อความให้ฟงั พระเทวทัตถึงกับอาเจยี น เปน็ โลหิต พระผู้มีพระภาคจึงให้ภิกษุเหล่านั้นแสดงอาบัติถุลลัจจัย เพราะประพฤติตามภิกษุ ผู้ท�ำสงฆ์ให้แตกกัน และตรัสสรรเสริญพระสาริบุตรว่ามีลักษณะสมเป็นทูต เพราะประกอบ ดว้ ยองค์ ๘ คือ ๑. ฟงั คนอ่นื ๒. ทำ� ให้คนอื่นฟงั ตน ๓. คงแก่เรียน ๔. ทรงจ�ำดี ๕. รคู้ �ำพูดของคนอน่ื ๖. ทำ� ใหค้ นอื่นรู้คำ� พดู ของตน ๗. ฉลาดในประโยชนแ์ ละมใิ ชป่ ระโยชน์ และ ๘. ไมช่ วนทะเลาะ ครนั้ แล้วไดท้ รงแสดงธรรมอกี หลายเร่ือง PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 383 5/4/18 2:24 PM
384 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ความร้าวและความแตกกนั ของสงฆ์ ทรงแสดงเร่ือง ”สังฆราชิ„ ความร้าวรานแห่งสงฆ์ว่า ถ้าภิกษุสองฝ่าย ยังไม่ครบ ฝ่ายละ ๔ รูป ก็ยังเป็นเพียงความร้าวรานแห่งสงฆ์เท่านั้น ยังไม่เป็น ”สังฆเภท„ ความแตก แหง่ สงฆ์ ตอ่ เมอื่ ทงั้ สองฝ่ายมีตง้ั แต่ ๔ รูปขึน้ ไป มรี ูปท่ี ๙ สวดประกาศ จงึ เป็นทง้ั ความรา้ วราน และความแตกกนั แห่งสงฆ์ ใครทำ� ใหส้ งฆ์แตกกนั ไดแ้ ละไมไ่ ด้ (๑) ภกิ ษุณี (๒) นางสกิ ขมานา (๓) สามเณร (๔) สามเณรี (๕) อุบาสก (๖) อุบาสกิ า บคุ คล ๖ ประเภทนี้ ท�ำใหส้ งฆ์แตกกันไม่ได้ ทำ� ไดแ้ ต่เพยี งพยายามให้สงฆแ์ ตกกนั ภกิ ษปุ กติ มสี งั วาสเสมอกัน อยใู่ นสีมาเดียวกนั จงึ ท�ำลายสงฆ์ให้แตกกันได้ เหตุเป็นเครือ่ งทำ� ให้สงฆ์แตกกันและสามคั คีกัน มี ๑๘ ข้อ คือ ๑. แสดงอธรรม วา่ เปน็ ธรรม ๒. แสดงธรรม ว่าเปน็ อธรรม ๓. แสดงอวินยั วา่ เป็นวินยั ๔. แสดงวนิ ัย วา่ เปน็ อวินัย ๕. แสดงข้อท่ีพระพุทธเจา้ มไิ ด้ตรสั ไว้ วา่ ตรัสไว้ ๖. แสดงข้อทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั ไว้ วา่ มิไดต้ รสั ไว้ ๗. แสดงขอ้ ที่พระพุทธเจ้ามไิ ดป้ ระพฤติ ว่าไดป้ ระพฤติ ๘. แสดงขอ้ ทพ่ี ระพทุ ธเจ้าประพฤติ วา่ มไิ ด้ประพฤติ ๙. แสดงขอ้ ที่พระพุทธเจา้ มไิ ด้บัญญตั ิ ว่าบัญญัติ ๑๐. แสดงขอ้ ท่พี ระพทุ ธเจา้ บัญญัติ วา่ มไิ ด้บัญญตั ิ ๑๑. แสดงสิ่งมิใชอ่ าบตั ิ ว่าเป็นอาบัติ ๑๒. แสดงอาบตั ิ วา่ มใิ ชอ่ าบัติ ๑๓. แสดงอาบัติเบา วา่ หนกั ๑๔. แสดงอาบัติหนกั วา่ เบา ๑๕. แสดงอาบตั ไิ ม่มีส่วนเหลอื วา่ มีสว่ นเหลอื ๑๖. แสดงอาบตั มิ สี ว่ นเหลือ ว่าไมม่ สี ว่ นเหลือ ๑๗. แสดงอาบตั ิช่ัวหยาบ ว่าไม่ช่วั หยาบ ๑๘. แสดงอาบัติไม่ชัว่ หยาบ วา่ ชัว่ หยาบ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 384 5/4/18 2:24 PM
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221