Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore vinaipitaka

vinaipitaka

Published by pim, 2019-11-02 02:54:42

Description: vinaipitaka

Search

Read the Text Version

วินัยปิฎก เล่ม ๗ จุลลวัคค์ วัตตขันธกะ 385 แล้วท�ำอุโบสถ ท�ำปวารณา และท�ำสังฆกรรมแยกกัน ส่วนเหตุเป็นเครื่องท�ำให้สงฆ์ ิว ันย ิปฎก สามัคคีกันก็มี ๑๘ อย่าง แต่ท่ีตรงกันข้าม คือแสดงถูกตรงตามความจริง แล้วไม่ท�ำอุโบสถ แยกกัน ไมท่ �ำปวารณาแยกกัน และไมท่ �ำสังฆกรรมแยกกนั การทำ� สงฆใ์ ห้แตกกนั ท่ที ำ� ให้ไปอบายและไม่ไปอบาย ทรงแสดงหลังการท�ำสงฆ์ให้แตกกันท่ีมีโทษเป็นเหตุให้ไปอบาย และไม่เป็นเหตุให้ไป อบาย โดยชไ้ี ปทค่ี วามบรสิ ทุ ธใ์ิ จ และเจตนา คอื ฝา่ ยทจี่ ะไปอบายนน้ั รวู้ า่ ผดิ ธรรมวนิ ยั แตเ่ เกลง้ แสดงว่าถูกธรรมวินัย ส่วนฝ่ายท่ีไม่ไปอบายนั้น คือท�ำไปด้วยความบริสุทธิ์ใจ และด้วยเข้าใจ วา่ เรอื่ งที่โตเ้ ถียงกันนั้น เหตผุ ลของตนถกู ต้องตามธรรมวนิ ยั ๔. วัตตขันธกะ (หมวดว่าดว้ ยวัตรหรอื ข้อปฎบิ ตั ิ) อาคนั ตุกวัตร (ขอ้ ปฏบิ ัตขิ องผู้มา) ภิกษุอาคันตุกะ (ผู้เป็นแขกมาสู่วัดอื่น) ปฏิบัติไม่ชอบด้วยมารยาทของอาคันตุกะ พระผมู้ พี ระภาคจึงทรงบัญญตั ิวตั รหรือข้อปฏบิ ัตไิ ว้ ดงั (จะย่อกลา่ ว) ต่อไปน้ี ภิกษุผู้เป็นอาคันตุกะ เม่ือจะเข้าวัด (ท่ีตนขอพักอาศัย) พึงถอดรองเท้า เคาะ (ฝุ่น) ในทต่ี ำ�่ ลดร่ม เปิดศรี ษะ เอาจวี รทีค่ ลมุ ศรี ษะลดลงมาบนบ่า ค่อย ๆ เดนิ เข้าไปหาภกิ ษุผู้อยใู่ น วดั วางบาตรจวี ร นงั่ ในทที่ ส่ี มควร แลว้ ถามถงึ นำ้� ดม่ื นำ้� ใช้ ถา้ ตอ้ งการนำ�้ ดม่ื กพ็ งึ ดมื่ ถา้ ตอ้ งการ น�้ำใช้ก็พึงใช้ ล้างเท้า วิธีล้างเท้าพึงเอามือข้างหน่ึงรดน�้ำ เอามืออีกข้างหนึ่งล้าง แล้วพึงถามถึง ผ้าเช็ดรองเท้า วิธีเช็ดรองเท้า คือเอาผ้าแห้งเช็ดก่อน แล้วเอาผ้าเปียกเช็ดทีหลัง แล้วซักผ้า เชด็ รองเท้าบดิ ใหแ้ หง้ แล้วตากไว้ส่วนหนง่ึ ถา้ ภกิ ษุผู้อยู่ในวดั แกก่ วา่ พงึ กราบไหว้ ถ้าอ่อนกว่า ก็เปิดโอกาสให้เธอกราบไหว้ แล้วพึงถามถึงเสนาสนะ (ที่อยู่อาศัย) ถามถึงท่ีควรไปและไม่ควร ไป ถามถงึ สกลุ ทสี่ งฆส์ มมตวิ า่ เปน็ เสขะ ถามถงึ ทถี่ า่ ยอจุ จาระ ปสั สาวะ นำ�้ ดม่ื นำ้� บรโิ ภค ไมเ้ ทา้ กติกาของสงฆ์ กาลที่ควรเข้าควรออกจากวัด เมื่อที่อยู่ไม่มีผู้ครอบครอง พึงเคาะประตู รอครู่หนึ่งแล้วยกลิ่มสลักข้ึนผลักบานประตู ยืนดูอยู่ภายนอก ถ้าสามารถก็พึงท�ำความ สะอาดทอี่ ยู่ (วธิ ที ำ� ความสะอาดท่อี ยู่ ได้แปลไว้แลว้ หนา้ ๑๖๓ ข้อ ๑๗๐) อาวาสิกวตั ร (ข้อปฏิบัตขิ องภิกษุเจา้ ถ่นิ ) ภิกษุเจ้าถิ่น (ผู้อยู่ประจ�ำในวัด) ไม่ค่อยเอื้อเฟื้อในภิกษุอาคันตุกะ พระผู้มีพระภาค จึงทรงบญั ญัตวิ ัตรไว้ ดงั (จะย่อกล่าว) ต่อไปน้ี PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 385 5/4/18 2:24 PM

386 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ เมื่อเห็นภิกษุผู้แก่พรรษากว่า พึงปูอาสนะ ตั้งน�้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้า๑ กระเบ้ือง เชด็ เทา้ ลกุ ขนึ้ ตอ้ นรบั รบั บาตรและจวี ร ถามถงึ (ความตอ้ งการ) นำ�้ ดมื่ นำ�้ ใช้ ถา้ สามารถกพ็ งึ เช็ดรองเท้าให้ แล้วกราบไหว้ และบอกให้ทราบเรื่องต่าง ๆ ที่ควรทราบ เช่น ที่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ กติกาของสงฆ์ เป็นต้น ถ้าภิกษุอาคันตุกะอ่อนพรรษากว่า พึงนั่งบอก ช้ีท่ีวางบาตรจีวร ช้ีที่น่ัง บอก นำ้� ดมื่ นำ�้ ใช้ บอกผ้าเชด็ รองเทา้ เปดิ โอกาสให้กราบไหว้ และบอกเรอ่ื งต่าง ๆ ที่ควรทราบ คมิกวัตร (ขอ้ ปฏิบัติของภกิ ษุผจู้ ะเดนิ ทางจากไป) (เรื่องนี้แปลไว้ละเอียดแลว้ หน้า ๑๖๒ หมายเลข ๑๖๙) ภตั ตคั ควัตร (วตั รในโรงฉนั ) ก่อนจะทรงบัญญัติเร่ืองข้อปฏิบัติในโรงฉัน ได้ทรงอนุญาตให้กล่าวอนุโมทนาใน โรงฉัน และให้มภี กิ ษุผเู้ ปน็ เถระ และพระผนู้ ้อย (เถรานุเถระ) ๔ - ๕ รปู อยู่เปน็ เพอื่ นพระเถระ ในการกล่าวอนุโมทนา (สมัยก่อนพูดรูปเดียวเฉพาะหัวหน้า) เมื่อมีธุระจ�ำเป็น ให้พระเถระ กลับก่อนได้แล้วให้รูปรองลงมา กล่าวอนุโมทนาแทน แล้วทรงปรารภภิกษุฉัพพัคคีย์ผู้ปฏิบัติ ไม่เรียบรอ้ ย จึงทรงบญั ญตั วิ ัตรในโรงฉัน คอื เมอื่ มผี บู้ อกเวลาอาหารในวดั แลว้ ใหน้ งุ่ หม่ ใหเ้ ปน็ ปรมิ ณฑล คาดประคดเอว ถอื บาตร เข้าบ้านด้วยดีไม่รีบด่วน ไม่พึงเดินออกหน้าพระเถระ และปฏิบัติตามเสขิยวัตร อันว่าด้วยการ เข้าไป และการน่ังในบ้านทุกข้อ ไม่พึงน่ังเบียดเสียดพระเถระ ไม่พึงนั่งกันที่นั่งของพระท่ีอ่อน พรรษากวา่ ไมพ่ งึ นง่ั ทบั สงั ฆาฏใิ นบา้ น เมอื่ เขาถวายนำ�้ พงึ จบั บาตรทง้ั สองมอื รบั นำ้� แลว้ ลา้ งบาตร ถ้ามีท่ีรับน�้ำส�ำหรับเท พึงเทต่�ำไม่ให้น�้ำกระเซ็นเปียกภิกษุอื่นหรือเปียกสังฆาฏิ ถ้าไม่มีที่รับน�้ำ พึงเทลงบนพ้ืนดิน ไม่ให้น้�ำกระเซ็นเปียกภิกษุอ่ืนหรือเปียกสังฆาฏิ เม่ือเขาถวายข้าวก็จับบาตร ด้วยมือทั้งสองรับข้าว ถ้ามีเนยใส น้�ำมัน หรือแกงอ่อม ให้พระเถระสั่งให้เขาใส่ให้สมส่วนกัน พึงปฏิบัติตามเสขิยวัตร ว่าด้วยการรับบิณฑบาตและการฉันอาหารทุกข้อ พระเถระไม่พึงรับนำ้� จนกว่าภิกษุท้ังปวงจะฉันเสร็จ เม่ือเขาถวายน�้ำ พึงเอามือท้ังสองจับบาตรรับน้�ำ ถ้ามีที่รับน้�ำ ส�ำหรับเท พึงเทต่ำ� ๆ ไมใ่ หน้ �้ำกระเซน็ เปยี กภกิ ษอุ นื่ หรอื เปียกสงั ฆาฏิ ฯ ล ฯ เมอ่ื กลบั ให้ภิกษุ อ่อนพรรษากวา่ กลับก่อน ดว้ ยอาการอนั ดงี ามตามเสขิยวตั รทเ่ี กีย่ วกับการเขา้ บ้าน ๑ ทีร่ องเท้า - ม.พ.ป. PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 386 5/4/18 2:24 PM

วินัยปิฎก เล่ม ๗ จุลลวัคค์ วัตตขันธกะ 387 ปิณฑจาริกวัตร (วตั รของภกิ ษุผ้เู ที่ยวบิณฑบาต) ิว ันย ิปฎก ภิกษุผู้เท่ียวบิณฑบาต เม่ือจะเข้าหมู่บ้าน พึงนุ่งห่มให้เรียบร้อย และปฏิบัติตนขณะ เขา้ บ้าน (เหมอื นภิกษุผู้เข้าไปฉันในบา้ น) ตามเสขิยวัตร เมอ่ื จะเข้าสู่ทอ่ี ยู่ พงึ สังเกตทางเขา้ ออก ไม่พึงเข้าออกโดยรีบด่วน ไม่พึงยืนไกลเกินไปหรือใกล้เกินไป ไม่พึงยืนนานเกินไปหรือเร็ว เกนิ ไป พงึ สงั เกตวา่ เขาใครจ่ ะถวายอาหารหรอื ไม่ ถา้ เขาแสดงอาการจะถวาย พงึ ยนื อยู่ เมอื่ เขา ถวายอาหาร (ใสบ่ าตร) พงึ ยกสงั ฆาฏดิ ว้ ยมอื ขา้ งซา้ ย สง่ บาตรออกดว้ ยมอื ขา้ งขวา จบั บาตรดว้ ย มอื ทงั้ สองรับอาหาร ไมพ่ งึ มองหน้าของผ้ถู วายอาหาร พึงสงั เกตดูวา่ เขาท�ำอาการจะถวายแกง หรือไม่ ถ้าเขาแสดงอาการ พึงยืน (รอ) อยู่ เมื่อเขาถวายเสร็จแล้วพึงปิดบาตรด้วยสังฆาฏิ กลับไปด้วยดี ไม่รีบด่วน (ต่อจากน้ันทรงแสดงเสขิยวัตรเนื่องในการเข้าบ้านทุกข้อท่ีภิกษุ ผู้เท่ียวบิณฑบาตจะพึงปฏบิ ัติ) เมื่อเสร็จการบิณฑบาตแลว้ รปู ใดกลับกอ่ น พึงปูอาสนะ (ท่นี ั่ง) ตั้งน�้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้า กระเบ้ืองเช็ดเท้าไว้ พึงล้างภาชนะใส่เศษอาหารต้ังไว้ พึงตั้งน�้ำดื่ม น้�ำใช้ ผู้ใดกลับจากบิณฑบาตในภายหลัง ถ้ามีของฉันเหลือ ถ้าปรารถนาก็พึงฉัน ถ้าไม่ ปรารถนาก็พึงเททิ้งเสียในท่ีไม่มีของเขียวสด หรือเทลงในน�้ำที่ไม่มีตัวสัตว์ พึงเก็บอาสนะ เก็บน�้ำล้างเท้า ต่ังรองเท้า กระเบ้ืองเช็ดเท้า ล้างภาชนะใส่เศษอาหารเก็บไว้ เก็บน้�ำด่ืม น�้ำใช้ กวาดโรงฉัน ผู้ใดเห็นหม้อน้�ำดื่ม น�้ำใช้ หม้อน้�ำช�ำระว่างเปล่า พึงตักน้�ำใส่ ถ้าไม่สามารถ กพ็ งึ เรยี กภิกษรุ ปู ท่ี ๒ มา ด้วยใชม้ ือแสดงใหท้ ราบวา่ ควรตกั น�ำ้ ใส่ ไมพ่ งึ เปล่งวาจาในเรื่องน้นั อารัญญกวัตร (วัตรของภิกษุผู้อยู่ป่า) ภิกษุผอู้ ย่ปู ่า พงึ ลกุ ขน้ึ แต่เช้า เอาบาตรใส่ถงุ แลว้ คล้องบ่า เอาจีวรพาดที่คอ ใสร่ องเท้า เก็บเคร่ืองใช้ท่ีท�ำด้วยไม้และดินเผา ปิดประตูหน้าต่างแล้วลงจากท่ีอยู่อาศัย (เสนาสนะ) เมอื่ จะเขา้ บา้ น พงึ ถอดรองเทา้ เคาะในทตี่ ำ่� ใสไ่ วใ้ นถงุ แลว้ คลอ้ งบา่ นงุ่ ใหเ้ รยี บรอ้ ย คาดประคดเอว ซอ้ นผา้ (จีวรกับสังฆาฏ)ิ แล้วห่มผา้ ซ้อนน้ัน ตดิ ลกู ดมุ ลา้ งบาตรแล้วถอื เขา้ ไปด้วยดี ไมร่ บี ด่วน (ต่อจากนน้ั พงึ ปฏบิ ตั ิตามเสขยิ วัตรเนอ่ื งในการเข้าบ้านทุกขอ้ )๑ เม่ือเสร็จจากการรับบิณฑบาตออกจากบ้านแล้ว ใส่บาตรไว้ในถุงคล้องบ่า ม้วนจีวร วางไว้บนศีรษะ ใส่รองเท้าเดินไป ภิกษุผู้อยู่ป่าพึงตั้งน้�ำด่ืม น�้ำใช้ และจุดไฟไว้ วางไม้สีไฟไว้ ต้ังไม้เท้าไว้ เรียนรู้นักษัตรบท (ทางเดินของดาวฤกษ์) ท้ังหมด หรือบางส่วน และพึงเป็น ผูฉ้ ลาดในทศิ ๑ มีแปลไว้แล้ว หน้า ๒๖๓ หมายเลข (๑) สารูป ในที่น้จี งึ ไม่นำ� มาแปลหรือยอ่ ความซำ้� PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 387 5/4/18 2:24 PM

388 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ เสนาสนวตั ร (วัตรเกย่ี วกับทีอ่ ยู่อาศัย) (แปลไวแ้ ลว้ หน้า ๑๖๓ หมายเลข ๑๗๐) ชนั ตาฆรวัตร (วัตรในเรอื นไฟ) ภิกษุผู้เข้าไปในเรือนไฟก่อน ถ้ามูลเถ้ามีมาก ก็พึงน�ำไปท้ิงเสีย ถ้าเรือนไฟรกก็ พงึ กวาด ถา้ ชานภายนอกรก หรอื บรเิ วณรก หรอื ซมุ้ รก หรอื โรงแหง่ เรอื นไฟ (โรงโถงทม่ี เี รอื นไฟ ตั้งอย)ู่ รก ก็พึงกวาด พึงนำ� ผง (ส�ำหรับถูตัว) ไปไว้ให้พรอ้ ม ท�ำดนิ เหนยี วให้เปยี ก รดน�้ำลงใน รางน�้ำเม่ือเข้าสู่เรือนไฟ พึงเอาดินเหนียวทาหน้า ปิดด้านหน้าปิดด้านหลัง (คงหมายถึงปิด เรอื นไฟ) แลว้ พงึ เขา้ ไป ไมพ่ งึ นงั่ เบยี ดเสยี ดภกิ ษผุ เู้ ปน็ เถระ ไมพ่ งึ นงั่ กนั ทภี่ กิ ษผุ อู้ อ่ นพรรษากวา่ ถ้าสามารถก็พึงถูหลังให้ภิกษุผู้เป็นเถระ เมื่อจะออกจากเรือนไฟ พึงนำ� ต่ังประจ�ำเรือนไฟออก ด้วย พึงปิดด้านหน้าด้านหลังแล้วออกจากเรือนไฟ ถ้าสามารถก็พึงถูหลังให้ภิกษุผู้เป็นเถระ แม้ในน�้ำ ไม่พึงอาบน้�ำเบ้ืองหน้าภิกษุผู้เป็นเถระ ไม่พึงอาบน�้ำในกระแสน้�ำด้านเหนือพระเถระ เมื่ออาบนำ�้ เสร็จแลว้ จะข้ึน กพ็ งึ ใหท้ างแกภ่ ิกษทุ ้ังหลายผ้กู �ำลงั ขึ้น (จากน�้ำ) ส่วนภกิ ษุผู้ออกจาก เรอื นไฟทีหลัง ถ้าเรือนไฟล่ืน พงึ ล้างเสยี พึงลา้ งรางใสด่ นิ เหนียวแลว้ เกบ็ ต่ังประจำ� เรอื นไฟเสยี ดับไฟปิดประตูแล้วออกไป (แสดงว่าเม่ือเข้าไปอบในเรือนไฟให้เหง่ือออกแล้วก็อาบน้�ำในท่ี ใกล้ ๆ กันนัน้ เอง) วจั จกฎุ วี ัตร (วตั รเก่ียวกบั ส้วม) กอ่ นทจี่ ะทรงบญั ญตั ขิ อ้ ปฏบิ ตั เิ กยี่ วกบั วจั จกฎุ ี ทรงบญั ญตั ใิ หภ้ กิ ษผุ ถู้ า่ ยอจุ จาระเสรจ็ แล้วใช้น�้ำช�ำระ ถ้าไม่ช�ำระ ต้องอาบัติทุกกฏ และทรงอนุญาตให้เข้าสู่วัจจกุฎีตามล�ำดับท่ีไป ก่อนหลงั (ไมต่ อ้ งคอยตามลำ� ดบั พรรษา ซึ่งภิกษผุ มู้ ีพรรษาออ่ นกว่าเดอื ดร้อน) และทรงปรารภ ความไมเ่ รยี บรอ้ ยในการเขา้ การใชว้ จั จกฎุ ขี องภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ จงึ ทรงบญั ญตั ขิ อ้ ปฏบิ ตั เิ กยี่ วกบั วจั จกุฎี ดังต่อไปนี้ ภิกษุผู้ไปสู่วัจจกุฎี พึงยืนอยู่ข้างนอก ท�ำเสียงกระแอม ถ้ามีภิกษุอยู่ข้างใน พึง กระแอมรับ จึงพาดจีวรไว้ท่ีห่วงส�ำหรับแขวนหรือราวส�ำหรับพาด พึงเข้าไปด้วยดี ไม่รีบด่วน ไม่พึงเลิกผ้าเข้าไป ต่อเม่ือยืนบนเขียงรองเหยียบแล้วจึงเลิกผ้า ไม่พึงเบ่งถ่าย ไม่พึงเค้ียว ไมส้ ฟี นั ขณะถา่ ย ไมพ่ งึ ถา่ ยนอกหลมุ อจุ จาระนอกรางปสั สาวะ ไมพ่ งึ บว้ นนำ�้ ลายลงในรางปสั สาวะ ไม่พึงใช้ไม้ช�ำระที่หยาบ (คมแข็ง) ไม่พึงทิ้งไม้ช�ำระลงในหลุมถ่าย เมื่อยืนบนเขียงรองเหยียบ แล้ว พงึ ปกปดิ (ดงึ ผา้ นงุ่ ลงไปปกปิด) ไม่พึงออกโดยรบี ร้อน ไม่พึงเลกิ ผา้ ออกมา (เมื่อจะช�ำระ) ยืนอยู่บนเขียงรองเหยียบส�ำหรับช�ำระแล้วจึงเลิกผ้า ไม่พึงช�ำระให้มีเสียงดัง ไม่พึงเหลือน�้ำไว้ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 388 5/4/18 2:24 PM

วินัยปิฎก เล่ม ๗ จุลลวัคค์ วัตตขันธกะ 389 ในขันช�ำระ เมื่อยืนบนเขียงส�ำหรับเหยียบแล้ว พึงปกปิด (แสดงว่าที่ถ่ายกับที่ช�ำระอยู่แยกกัน ิว ันย ิปฎก แต่ใกล้กัน) ถ้าวัจจกุฎีเปื้อน พึงล้างเสีย ถ้าท่ีท้ิงไม้ช�ำระเต็ม พึงน�ำไม้ช�ำระไปเทท้ิง ถ้า วจั จกุฎีรก พงึ ปัดกวาด ถ้าชานภายนอก บริเวณ ซมุ้ รก ก็พงึ ปัดกวาด ถา้ นำ้� ในหม้อช�ำระไมม่ ี กพ็ งึ ตักน�้ำใส่ อปุ ัชฌายวตั ร (วตั รเกยี่ วกับอปุ ัชฌายะ) สัทธิวิหาริก (ผู้ที่อุปัชฌายะบวชให้) พึงลุกขึ้นแต่เช้า ถอดรองเท้า ท�ำผ้าห่ม เฉวียงบ่า ถวายไม้สีฟัน น�้ำล้างหน้า ปูอาสนะ ถ้ามีข้าวยาคู พึงล้างภาชนะแล้วน้อมข้าวยาคู เข้าไปถวาย แล้วถวายน้�ำ รับภาชนะมาล้างเก็บ เม่ืออุปัชฌายะลุกข้ึนให้ยกอาสนะข้ึน ถ้า สถานท่ีรก พึงปัดกวาด ถ้าอุปัชฌายะใคร่จะเข้าสู่หมู่บ้านพึงถวายผ้านุ่ง รับผ้าที่ท่านผลัด ถวายประคดเอว เอาผ้า (จีวรกับสังฆาฏิ) ซ้อนกันแล้วถวาย ล้างบาตรแล้วถวายท้ังที่มีน�้ำ๑ ถ้าอุปัชฌายะต้องการพระไปด้วย พึงนุ่งให้เรียบร้อย ซ้อนผ้า ห่มผ้าซ้อนติดรังดุมตามท่านไป ไม่พึงเดินไกลหรือใกล้เกินไป พึงรับอาหารแต่พอเหมาะแก่บาตร เมื่ออุปัชฌายะก�ำลังพูด ไม่พึงพูดซ้อน นอกจากนั้นยังมีข้อปฏิบัติอีกมากมาย ซึ่งพอจะย่อกล่าวได้คือ หวังความศึกษา ในท่าน ขวนขวายป้องกัน หรือระงับความเส่ือมเสียอันจักมี หรือได้มีแล้ว เช่น ระงับความ กระสัน ความเบื่อหน่าย ช่วยปลดเปล้ืองความเห็นผิดของท่าน ขวนขวายเพื่อสงฆ์งดโทษที่ จะลงแก่ท่าน หรือเพื่อผ่อนเบาลงมา รักษาน�้ำใจท่าน ไม่คบคนนอกให้เป็นเหตุแหนงใจ เช่น จะรับจะให้ เป็นต้น กับคนเช่นน้ัน บอกท่านก่อน ไม่ท�ำตามล�ำพัง ไม่เที่ยวเตร่ตามล�ำพัง จะไปข้างไหนลาท่านก่อน เมื่อท่านอาพาธ เอาใจใส่พยาบาล ไม่ไปข้างไหนเสีย จนกว่าท่านจะ หายเจบ็ หรือถึงมรณภาพ สทั ธิวิหาริกวตั ร (ขอ้ ปฏิบตั ิต่อสทั ธิวิหาริก) ภิกษุผู้เป็นอุปัชฌายะ (ผู้บวชให้) พึงปฏิบัติชอบในสัทธิวิหาริก (ผู้ท่ีตนบวชให้) ดังต่อไปนี้ เอาธุระในการศึกษาของสัทธิวิหาริก สงเคราะห์ด้วยบาตรจีวร และบริขารอย่างอ่ืน ถ้าของตนไม่มีก็ขวนขวายหาให้ ขวนขวายป้องกัน หรือระงับความเสื่อมเสียอันจักมี หรือได้มี แล้วแก่สัทธิวิหาริก (เช่นเดียวกับข้อปฏิบัติต่ออุปัชฌายะ) เม่ือสัทธิวิหาริกอาพาธ เอาใจใส่ พยาบาล ๑ ล้างบาตรแล้ว ถวายบาตรพร้อมนำ�้ - ม.พ.ป. PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 389 5/4/18 2:24 PM

390 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ อาจริยวตั ร (ข้อปฏิบัติตอ่ อาจารย)์ อนั เตวาสิกวตั ร (ข้อปฏบิ ตั ิตอ่ อันเตวาสิก) ทัง้ สองอย่างนีเ้ หมือนกับข้อปฏบิ ัติ ระหวา่ งอปุ ัชฌายะกับสัทธิวิหาริก ๕. ปาฏโิ มกขฐปนขนั ธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยการงดสวดปาฏิโมกข)์ พระอานนทก์ ราบทูลขอให้ทรงแสดงปาฏิโมกข์ ในวันอุโบสถ ๑๕ ค่�ำ วันหน่ึง พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ปราสาทท่ีนางวิสาขา สรา้ งถวาย ในบุพพาราม พร้อมดว้ ยภิกษุสงฆ์ จนกระท่งั ดึกล่วงปฐมยามแหง่ ราตรี พระอานนท์ จงึ กราบทลู ขอใหแ้ สดงปาฏโิ มกข์ แตพ่ ระผมู้ พี ระภาคกท็ รงนงั่ นงิ่ เมอื่ มชั ฌยิ ามแหง่ ราตรลี ว่ งไป พระอานนท์ก็กราบทูลเตือนเป็นครั้งท่ี ๒ แต่ก็ทรงน่ังนิ่ง คร้ันปัจฉิมยามแห่งราตรีล่วงแล้ว อรุณก�ำลังจะขึ้น พระอานนท์ก็กราบทูลเตือนอีกเป็นคร้ังที่ ๓ พระผู้มีพระภาคจึงตรัสตอบว่า บริษัท (ผู้ที่ประชุมกันอยู่) ไม่บริสุทธ์ิ พระโมคคัลลานะพิจารณาก็รู้ว่ามีภิกษุที่ขาดจาก ความเป็นภิกษุ แต่ปฏิญญาตนว่าเป็นภิกษุ น่ังปนอยู่ในบริษัทนั้น จึงพูดกับภิกษุนั้นให้ออกไป แม้พูดถึง ๓ ครั้ง ภิกษุน้ันก็ยังน่ังน่ิง ท่านจึงจับแขนพาออกไปนอกซุ้มประตู แล้วลงกลอน ข้างในเสีย พระผู้มีพระภาคจึงตรัสถึงความอัศจรรย์ ๘ ประการของมหาสมุทร เปรียบด้วย พระธรรมวนิ ยั ของพระองค์ และมที เ่ี กยี่ วกบั เหตกุ ารณน์ อ้ี ยขู่ อ้ หนง่ึ คอื มหาสมทุ รยอ่ มซดั ซากศพ ให้ขนึ้ ส่ฝู ่งั หมด เปรียบเหมอื นการทสี่ งฆไ์ ม่ยอมคบหากับผูป้ ระพฤตผิ ิด และยกเสียจากหมู่ ตอ่ จากนัน้ ไม่ทรงแสดงปาฏโิ มกขอ์ ีก เน่ืองจากเหตกุ ารณน์ ั้น จงึ ตรสั ว่า ต่อไปจะไม่ทรงแสดงปาฏิโมกข์อีก ทรงมอบใหส้ งฆ์ ท�ำอุโบสถสวดปาฏิโมกข์ ทรงอ้างเหตผุ ลว่า พระตถาคตไมแ่ สดงปาฏโิ มกขใ์ นบรษิ ทั ทีไ่ ม่บรสิ ทุ ธิ์ แลว้ ทรงบญั ญตั พิ ระวนิ ยั หา้ มภกิ ษทุ ยี่ งั มอี าบตั ติ ดิ ตวั อยฟู่ งั ปาฏโิ มกข์ ถา้ ขนื ฟงั ตอ้ งอาบตั ทิ กุ กฏ ทรงอนญุ าตใหง้ ดสวดปาฏโิ มกขเ์ พราะเหตทุ ม่ี ภี กิ ษยุ งั มอี าบตั ฟิ งั ปาฏโิ มกขไ์ ด้ พรอ้ มทงั้ ทรงแสดง วธิ สี วดประกาศระงบั การสวดปาฏโิ มกขด์ ว้ ย แตก่ ท็ รงหา้ มมใิ หง้ ดสวดปาฏโิ มกขแ์ กภ่ กิ ษผุ บู้ รสิ ทุ ธ์ิ ไมม่ อี าบตั ิ โดยไมม่ เี หตผุ ล แลว้ ทรงแสดงการระงบั การสวดปาฏโิ มกขท์ ไี่ มเ่ ปน็ ธรรม และทเี่ ปน็ ธรรม หลายประการ รวมทัง้ อนั ตรายหรอื เหตทุ ีท่ รงอนญุ าตใหห้ ยดุ สวดปาฏโิ มกขไ์ ด้ ๑๐ ประการ คอื ๑. พระราชาเสด็จมา ๒. โจรปล้น ๓. ไฟไหม้ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 390 5/4/18 2:24 PM

วินัยปิฎก เล่ม ๗ จุลลวัคค์ ภิกขุนีขันธกะ 391 ๔. นำ�้ ทว่ ม ิว ันย ิปฎก ๕. คนมามาก (เลกิ สวดเพื่อทราบเร่ืองหรือเพอ่ื ตอ้ นรับ) ๖. อมนษุ ยเ์ บยี ดเบียน ๗. สตั ว์ร้าย เช่น เสอื เขา้ มา ๘. งรู ้ายเลือ้ ยเขา้ มา ๙. ภกิ ษุเกิดอาพาธอันจะถงึ แก่ชวี ติ ๑๐. มอี ันตรายแก่พรหมจรรย์ การโจทฟ้อง ทรงตอบคำ� ถามของพระอบุ าลเี กยี่ วกบั การโจทฟอ้ ง (ภกิ ษผุ ไู้ มส่ มควรจะฟงั ปาฏโิ มกข)์ เรม่ิ ตัง้ แต่การตัดสนิ ใจน�ำตนเขา้ ไปเกีย่ วข้อง เพอื่ ธรรม เพื่อวินัย และการโจทฟ้องกันเปน็ ธรรม และไมเ่ ป็นธรรม ซึ่งมีลกั ษณะต่าง ๆ หลายประการ ๖. ภกิ ขนุ ขี นั ธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยนางภิกษณุ ี) (เรื่องต้นคือประวัติความเป็นมาของนางภิกษุณี ได้แปลไว้แล้ว หน้า ๑๒๒) พระนาง มหาปชาบดี โคตมี (ผู้เป็นพระน้านาง พระมารดาเลี้ยงของพระพุทธเจ้า) ทูลขอบวชใน พระพทุ ธศาสนา ในชน้ั แรกพระผมู้ พี ระภาคทรงปฏเิ สธ แตใ่ นทสี่ ดุ ทรงอนญุ าต โดยทรงวางเงอ่ื นไข ไว้ถึง ๘ ประการ ท่ีเรียกว่าครุธรรม ซ่ึงพระนางมหาปชาบดี โคตมี ก็ทรงยอมรับ พระอานนท์ จึงน�ำความไปกราบทูลพระผู้มีพระภาค พระองค์ตรัสว่า การท่ีมีสตรีมาบวชในพระพุทธศาสนา จะท�ำให้พระธรรมวินัยต้ังอยู่ไม่ได้นานเท่าที่ควร (แต่การทรงวางเง่ือนไขมิให้สตรีบวชได้ง่าย ๆ ก็ได้ผล คือภายหลงั พุทธปรนิ พิ พานแลว้ ไม่นานนัก ก็หมดเชอื้ สายของนางภิกษณุ )ี ทรงอนุญาตการบวชภกิ ษุณี ทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษทุ ง้ั หลายบวชใหน้ างภกิ ษณุ ี (และในภายหลงั ทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษณุ ี บวชในสงฆ์ ๒ ฝ่าย คือบวชในภิกษุณีสงฆ์ก่อน แล้วจึงบวชในภิกษุสงฆ์ เม่ือมีเหตุเกิดขึ้น มีนักเลงคอยดักประทุษร้ายนางภิกษุณีที่บวชในภิกษุณีสงฆ์ แล้วจะเดินทางมาบวชในฝ่าย ภกิ ษสุ งฆ์ จงึ ทรงอนญุ าตใหบ้ วชโดยทตู ได้ คอื เมอื่ บวชในภกิ ษณุ สี งฆเ์ สรจ็ ใหน้ างภกิ ษณุ ผี ฉู้ ลาด รปู หนง่ึ เขา้ ไปหาภกิ ษสุ งฆส์ วดขออนมุ ตั สิ งฆ์ เพอื่ ใหอ้ ปุ สมบทแกน่ างภกิ ษณุ ที ม่ี าไมไ่ ด้ รวม ๓ ครงั้ แล้วให้ภิกษุผู้ฉลาดสามารถสวดประกาศการอุปสมบท ในที่ประชุมสงฆ์ด้วยญัตติจตุตถกรรม คือเสนอญตั ติ ๑ คร้งั สวดประกาศ ๓ ครั้ง) อนึ่ง ทรงชี้แจงดว้ ยวา่ พระนางมหาปชาบดี โคตมี เปน็ อนั บวชแล้วดี ด้วยการรบั ครธุ รรม ๘ ประการ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 391 5/4/18 2:24 PM

392 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ การศกึ ษาสิกขาบท ทรงอนุญาตให้นางภิกษุณีศึกษาในสิกขาบทที่เป็นสาธารณะ คือใช้ได้ด้วยกันระหว่าง ภิกษุกับนางภิกษุณี ส่วนสิกขาบทท่ีเป็นอสาธารณะ คือบัญญัติไว้เฉพาะแก่นางภิกษุณี ก็ทรง อนุญาตให้ศกึ ษา ลกั ษณะตดั สินธรรมวนิ ัย ๘ ประการ ทรงแสดงลักษณะตดั สินธรรมวนิ ยั ๘ ประการ คือ ๑. ถา้ เปน็ ไปเพ่ือความก�ำหนัดยนิ ดี มิใชเ่ พื่อปราศจากความก�ำหนดั ยินดี ๒. เปน็ ไปเพื่อผกู มดั ไวใ้ นภพ มใิ ชค่ ลายการผูกมดั ๓. เปน็ ไปเพือ่ สะสมกเิ ลส มใิ ช่เพอ่ื รื้อถอนกิเลส ๔. เปน็ ไปเพื่อความปรารถนาใหญ่ มใิ ชเ่ พ่ือความปรารถนานอ้ ย ๕. เปน็ ไปเพือ่ ไม่ยินดดี ้วยของตน มใิ ช่เพ่ือยินดดี ้วยของของตน (สนั โดษ) ๖. เป็นไปเพอ่ื คลกุ คลีด้วยหมู่ มิใช่เพ่ือสงัดจากหมู่ ๗. เป็นไปเพ่อื ความเกยี จครา้ น มิใช่เพื่อปรารภความเพียร ๘. เปน็ ไปเพอ่ื เล้ยี งยาก มใิ ช่เพื่อเลี้ยงง่าย พงึ ทราบวา่ ธรรมเหลา่ นนั้ มใิ ชธ่ รรมมใิ ชว่ นิ ยั มใิ ชส่ ตั ถศุ าสนา ถา้ ตรงกนั ขา้ มจงึ เปน็ ธรรม วนิ ยั เปน็ สัตถุศาสนา เรอ่ื งเกย่ี วกับปาฏิโมกข์และสงั ฆกรรม ครั้งแรกทรงอนุญาตให้ภิกษุท้ังหลายสวดปาฏิโมกข์ให้นางภิกษุณีฟัง ต่อมาทรงห้าม และให้นางภิกษุณีสวดเอง โดยให้ภิกษุท้ังหลายสอนให้ ครั้งแรกทรงอนุญาตให้ภิกษุท้ังหลาย รับการแสดงอาบัติของนางภิกษุณีได้ ภายหลังทรงห้าม และให้นางภิกษุณีรับการแสดงอาบัติ ของนางภกิ ษณุ ดี ว้ ยกนั โดยใหภ้ กิ ษทุ ง้ั หลายสอนวธิ กี ารให้ ครงั้ แรกทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษทุ งั้ หลาย ท�ำกรรมแก่นางภิกษุณีได้ (สวดประกาศลงโทษ) ภายหลังทรงห้าม และให้นางภิกษุณีท�ำกรรม แก่นางภิกษุณีด้วยกัน โดยให้ภิกษุทั้งหลายสอนวิธีการให้ ทรงอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายระงับ อธิกรณ์ของนางภิกษุณีได้ แต่เก่ียวกับการท�ำกรรม ทรงอนุญาตให้ภิกษุยกกรรมยกอาบัติ ของนางภิกษุณีได้ แล้วให้มอบให้นางภิกษุณีด้วยกันท�ำกรรมและรับการแสดงอาบัติต่อไป และทรงอนญุ าตให้ภกิ ษสุ อนวนิ ัยแกน่ างภิกษุณีได้ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 392 5/4/18 2:24 PM

วินัยปิฎก เล่ม ๗ จุลลวัคค์ ปัญจสติกขันธกะ 393 การลงโทษภกิ ษดุ ้วยการไม่ไหว้ ิว ันย ิปฎก ภิกษุฉัพพัคคีย์เอาน�้ำโคลนรดนางภิกษุณีบ้าง แสดงอาการต่าง ๆ ท่ีไม่ดีไม่งาม เพอื่ จะใหน้ างภกิ ษณุ ี กำ� หนดั ในตน ทรงปรบั อาบตั ทิ กุ กฏแกผ่ ทู้ ำ� เชน่ นนั้ และใหล้ งโทษ (ทณั ฑกรรม) แกภ่ กิ ษนุ น้ั โดยให้ภกิ ษุณสี งฆน์ ัดกันไม่ไหว้ภกิ ษนุ ั้น การลงโทษนางภิกษณุ ี นางภิกษุณีฉัพพัคคีย์ (พวก ๖) ประพฤติไม่ดีไม่งามเพื่อให้ภิกษุก�ำหนัดในตน ทรง ปรับอาบัติทุกกฏและอนุญาตให้ลงโทษนางภิกษุณีน้ันโดยให้กักบริเวณ และถ้ายังไม่ละเลิก ก็ให้งดให้โอวาท นางภิกษุณีท่ีถูกงดโอวาทจะท�ำอุโบสถร่วมกับภิกษุณีอื่น ๆ ไม่ได้ จนกว่า อธกิ รณจ์ ะสงบ การให้โอวาทนางภกิ ษณุ ี ภิกษุผู้ให้โอวาทนางภิกษุณี จะงดเสียแล้วเที่ยวจาริกไปก็ตาม งดโอวาทเพราะ เขลาก็ตาม งดโอวาทโดยไม่มีเหตุผลสมควรก็ตาม งดโอวาทแล้วไม่วินิจฉัย (คือเม่ือลงโทษ งดโอวาท ก็จะต้องมีการตัดสินให้เห็นผิด) ก็ตาม ต้องอาบัติทุกกฏ ครั้งแรกทรงอนุญาตให้ นางภิกษุณีไปฟังโอวาทของภิกษุ ภายหลังทรงอนุญาตให้สมมติ คือแต่งต้ังภิกษุรูปใดรูปหน่ึง ให้ไปสอนนางภิกษณุ ี เป็นตน้ รวมท้ังระเบยี บเลก็ ๆ นอ้ ย ๆ ในการใหโ้ อวาท ขอ้ หา้ มเบด็ เตล็ด ตอ่ จากนนั้ ทรงบญั ญตั พิ ระวนิ ยั เบด็ เตลด็ เกยี่ วดว้ ยนางภกิ ษณุ ี เชน่ หา้ มใชป้ ระคดเอว ยาวเกินไป ให้รัดประคดรอบเดียว ห้ามใช้ผ้ารัดดัดซี่โครง (เพื่อรัดรูป ด่ังสตรีผู้เป็นคฤหัสถ์) นอกจากนั้นยงั ห้ามท�ำการแบบสตรีผคู้ รองเรอื นอีกหลายอย่าง เชน่ ผัดหน้า เจิมหน้า ยอ้ มหน้า ตลอดจนห้ามมีทาส ทาสี กรรมกรหญิงชาย เป็นต้น ไว้รับใช้ และห้ามใช้จีวรย้อมสีไม่ถูกต้อง เช่นเดียวกับท่ีห้ามส�ำหรับภิกษุ และห้ามใช้เส้ือใช้หมวก เป็นต้น นางภิกษุณีถึงมรณภาพ ทรงบญั ญตั ใิ หเ้ ครอื่ งใชข้ องเธอเปน็ ของภกิ ษณุ สี งฆ์ ตอ่ จากนนั้ มขี อ้ หา้ มเบด็ เตลด็ ตา่ ง ๆ รวมทงั้ เร่ืองการอปุ สมบท การทำ� อโุ บสถ และปวารณา ๗. ปัญจสติกขันธกะ (หมวดวา่ ดว้ ยพระอรหันต์ ๕๐๐ รปู ในการทำ� สงั คายนาครงั้ ที่ ๑) เล่าเรื่องพระผู้มีพระภาคนิพพานแล้ว ภิกษุท้ังหลายเศร้าโศก แต่มีภิกษุผู้บวชเมื่อแก่ รูปหน่งึ ชือ่ สภุ ทั ทะ กล่าวหา้ มไมใ่ ห้เศร้าโศก ควรจะดใี จว่า ต่อไปจะได้ไม่มีใครคอยหา้ มทำ� น่ัน ท�ำน่ี อยากท�ำอะไรก็จะท�ำได้ พระมหากัสสปปรารภถ้อยค�ำนั้น จึงเสนอให้ท�ำสังคายนา คือ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 393 5/4/18 2:24 PM

394 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ร้อยกรองหรือจัดระเบียบพระธรรมวินัยและเลือกพระอรหันต์ ๔๙๙ รูป (เว้นไว้ ๑ รูป ส�ำหรับพระอานนท์ ซ่ึงยังมิได้เป็นพระอรหันต์) แล้วเดินทางไปยังกรุงราชคฤห์ สวดประกาศ มิให้สงฆ์อ่ืนที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสังคายนาอยู่ในกรุงราชคฤห์ และใช้เวลา ๑ เดือนแรก ในการปฏสิ ังขรณส์ ง่ิ ปรักหกั พัง รุ่งขนึ้ จะมกี ารประชมุ พระอานนทก์ ไ็ ดบ้ รรลอุ รหตั ตผล การสังคายนาครง้ั ที่ ๑ พระมหากัสสปสวดขอให้สงฆ์สมมติ คือแต่งตั้งตัวท่านเองเป็นผู้ถามวินัย พระอุบาลี เป็นผู้ตอบวินัย เม่ือถามตอบเสร็จแล้ว จึงขอสมมติตัวท่านเองเป็นผู้ถามธรรมะ พระอานนท์ เปน็ ผูต้ อบธรรมะ แลว้ ได้ถามตอบนกิ าย ๕ (หมายเหตุ : หลักฐานส้ัน ๆ นแ้ี สดงวา่ คำ� ว่า ธรรม นนั้ รวมท้งั พระสูตรและอภิธรรม ตามที่อรรถกถาอธิบายว่า อภิธรรมน้ันรวมอยู่ในขุททกนิกาย อันเป็นนิกายที่ ๕ ฝ่ายท่ีค้าน ไม่เชื่อว่าอภิธรรมมีมาในสมัยพระพุทธเจ้า แต่มาแต่งขึ้นภายหลัง ก็อ้างเหตุผลตอนนี้ บอกว่าเป็นหลักฐานท่ีแสดงว่าไม่มีการสังคายนาอภิธรรมเลย เพราะนิกาย ๕ เป็นเร่ืองของ พระสตู รลว้ น ๆ) การถอนสิกขาบทเลก็ น้อย ต่อจากน้ันพระอานนท์ได้เสนอให้ท่ีประชุมทราบถึงพระพุทธานุญาตท่ีให้สงฆ์ ถ้า ปรารถนา ก็ถอนสิกขาบทเล็กน้อยเสียได้ ท่ีประชุมไม่ตกลงกันได้ว่า แค่ไหนเป็นสิกขาบท เล็กน้อย พระมหากัสสปจึงสวดเสนอญัตติให้สงฆ์งดถอนสิกขาบทเล็กน้อย เพื่อป้องกันมิให้มี ผู้กล่าวได้ว่า สิกขาบทที่พระสมณโคดมทรงบัญญัตินั้น อยู่ได้ตราบเท่าท่ียังมีศาสดาเท่านั้น จึงมีระยะกาลเหมือนควันไฟ (ซ่ึงจางหายไปง่าย) ในที่สุดเม่ือไม่มีผู้ใดคัดค้าน ก็เป็นอันใช้ อำ� นาจสงฆห์ า้ มถอนสกิ ขาบทเล็กน้อย พระอานนทถ์ กู ปรับอาบัติ พระเถระทง้ั หลายได้ปรบั อาบัตทิ กุ กฏแก่พระอานนทห์ ลายขอ้ คือ ๑. ไม่ถามใหท้ รงแสดงว่าสิกขาบทเลก็ น้อยคอื อะไรบา้ ง ๒. เม่ือเยบ็ ผา้ อาบน้�ำฝนถวายพระผมู้ ีพระภาคไดเ้ หยยี บผา้ นน้ั ๓. ตอนทน่ี ำ� สตรเี ขา้ ถวายบังคมพระศพ คนเหล่านนั้ ร้องไห้ น�้ำตาเป้อื นพระสรรี ะของ พระผู้มพี ระภาค ๔. ไม่อาราธนาใหพ้ ระผู้มพี ระภาคทรงพระชนม์อยู่ ทง้ั ทท่ี รงท�ำนมิ ติ โอภาสใหป้ รากฏ ๕. ขวนขวายให้สตรีบวชในพระพุทธศาสนา พระอานนทม์ ขี ้อชี้แจงทุกข้อ แต่ยอมแสดงอาบัตดิ ้วยศรัทธาในพระเถระเหล่าน้นั PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 394 5/4/18 2:24 PM

วินัยปิฎก เล่ม ๗ จุลลวัคค์ สัตตสติกขันธกะ 395 พระปุราณะไม่คา้ น แต่ถอื ตามท่ฟี ังมาเอง ิว ันย ิปฎก พระปุราณะพร้อมด้วยภิกษุประมาณ ๕๐๐ ท่องเที่ยวไปในทักษิณาคิรี (ภูเขาแถบ ภาคใต้ของอินเดยี ) พอสมควรแลว้ กเ็ ดินทางไปพกั ณ เวฬวุ นาราม กรงุ ราชคฤห์ เม่อื เข้าไปหา พระเถระไดร้ ับบอกเล่าวา่ พระเถระท้งั หลายไดส้ งั คายนาพระธรรมวินัยแล้ว และแนะให้รับรอง ข้อท่ีสังคายนาแล้วนั้น พระปุราณะตอบว่า ธรรมและวินัยเป็นอันพระเถระท้ังหลายสังคายนา ดีแล้ว แต่ข้าพเจ้าได้ฟังมา ได้รับมาในที่เฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคอย่างไร ข้าพเจ้า จักทรงจ�ำไว้อย่างนั้น (เร่ืองน้ีเป็นจุดหนึ่งในประวัติศาสตร์ ท่ีแสดงว่าความคิดเห็นไม่ตรงกัน เร่มิ มบี า้ งแลว้ ) ลงพรหมทัณฑ์พระฉนั นะ พระอานนท์จึงแจ้งให้สงฆ์ทราบถึงพระพุทธด�ำรัสท่ีให้ลงพรหมทัณฑ์ (การลงโทษ แบบผู้ใหญ่ หรือผู้ดี) คือพระฉันนะอยากจะท�ำอะไรก็ปล่อยให้ท�ำตามชอบใจ ภิกษุทั้งหลาย ไมพ่ งึ วา่ กลา่ วตกั เตอื นสง่ั สอน สงฆจ์ งึ มอบใหพ้ ระอานนทเ์ ปน็ ผจู้ ดั การลงพรหมทณั ฑ์ โดยใหน้ ำ� ภิกษุไปด้วยเป็นอันมากเดินทางไปกรุงโกสัมพีโดยทางเรือ ได้พบพระเจ้าอุเทน พระเจ้าอุเทน ทรงเลื่อมใสในค�ำชี้แจงเร่ืองการใช้ผ้าให้เป็นประโยชน์ แม้เม่ือเก่าแล้วก็ยังเอามาท�ำผ้าเช็ดเท้า ผ้าถูพ้ืน และน�ำมาขย�ำกับดินเหลวโบกชานภายนอกกุฎี ต่อจากน้ันพระอานนท์ก็เดินทางไปยัง โฆสติ ารามลงพรหมทณั ฑแ์ กพ่ ระฉนั นะ ทำ� ใหพ้ ระฉนั นะเสยี ใจถงึ สลบ และพยายามบำ� เพญ็ เพยี ร จนได้บรรลุอรหัตตผล จึงมาขอให้ถอนพรหมทัณฑ์ แต่พระอานนท์ตอบว่า พรหมทัณฑ์เป็น อันระงับไปแล้ว ต้ังแตพ่ ระฉันนะไดบ้ รรลอุ รหตั ตผล ๘. สตั ตสตกิ ขันธกะ (หมวดว่าดว้ ยพระอรหนั ต์ ๗๐๐ รปู ในการสังคายนาครง้ั ที่ ๒) วัตถุ ๑๐ ประการ ซง่ึ ผดิ พระธรรมวินยั เมอ่ื พุทธปรนิ ิพพานล่วงแล้ว ๑๐๐ ปี ภกิ ษุพวกวัชชีบตุ ร ชาวเมืองไพศาลี แสดงวัตถุ ๑๐ ประการ (ซ่ึงผดิ ธรรมวนิ ัย) ว่า เป็นของควรหรอื ถกู ตอ้ งตามธรรมวนิ ยั คอื ๑. เก็บเกลือในเขาสัตว์ (เขนง) เอาไวฉ้ นั กบั อาหารได้ (ความจริง ต้องอาบัติปาจติ ตีย์ เพราะเมื่อเกบ็ ไว้คา้ งคืนแล้วนำ� มาปนกบั อาหาร อาหารนั้นกเ็ หมอื นค้างคืนดว้ ย) ๒. ตะวันชายไปแล้ว ๒ น้ิว ฉันอาหารได้ (ความจริง ต้องอาบัติปาจิตตีย์ เพราะ ฉนั อาหารในเวลาวกิ าล คือเที่ยงไปแลว้ ) PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 395 5/4/18 2:24 PM

396 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๓. ภิกษุฉันอาหารในที่นิมนต์จนบอกพอ ไม่รับอาหารท่ีเขาเพ่ิมเติม แล้วคิดว่าจะ เขา้ บา้ นฉนั อาหารทไ่ี มเ่ ปน็ เดนได้ (ความจรงิ ไมไ่ ด้ ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี ์ ดหู นา้ ๒๕๑ สิกขาบทที่ ๕) ๔. ภิกษอุ ยู่ในสมี าเดียวกนั ทำ� อโุ บสถแยกกนั ได้ (ความจริงไม่ได้ ต้องอาบัตทิ กุ กฏ) ๕. สงฆย์ งั มาประชุมไม่พร้อมกันแตค่ รบจ�ำนวนพอจะทำ� กรรมได้ กค็ วรท�ำไปก่อนได้ แล้วขออนมุ ัติหรือความเห็นชอบจากภิกษุผมู้ าทีหลัง (ความจรงิ ไมค่ วร) ๖. เรอื่ งทอ่ี ุปัชฌายะอาจารยเ์ คยประพฤตมิ าแลว้ ใช้ได้ (ความจริงถ้าถกู กใ็ ช้ได้ ถ้าผิด กใ็ ช้ไม่ได้) ๗. นมสดที่แปรแล้ว แต่ยังไม่เป็นนมส้ม ภิกษุฉันในท่ีนิมนต์ จนบอกไม่รับอาหารที่ เขาถวายเพ่มิ ให้แล้ว คงดม่ื นมนน้ั ได้ (ความจริงไม่ได้ ตอ้ งอาบัตปิ าจิตตยี ์ เพราะ ยงั ไม่เขา้ ลกั ษณะเภสชั ๕) ๘. น้ำ� เมาอยา่ งอ่อนที่มีรสเมาเจอื อยนู่ อ้ ย ไมถ่ งึ กบั จะทำ� ให้เมา ควรด่มื ได้ (ความจริง ไม่ควร) ๙. ผา้ ปูน่ังท่ีไมม่ ีชาย ควรใชไ้ ด้ (ความจริงไม่ควร) ๑๐. ทองเงิน ควรรับได้ (ความจรงิ ไมค่ วร ถ้ารับ ต้องอาบตั ิปาจติ ตีย์) พระยสะ กากณั ฏกบตุ ร คดั คา้ น ภกิ ษพุ วกวชั ชบี ตุ รเอาถาดใสน่ ำ�้ เทย่ี วเรย่ี ไรเงนิ พวกอบุ าสกทมี่ าในวนั อโุ บสถ เพอื่ เปน็ ค่าบริขารของพระสงฆ์ พระยสะ กากัณฏกบุตร (ซ่ึงเป็นพระมาจากที่อื่น) กล่าวห้ามอุบาสก เหล่าน้ันว่าไม่ควรให้ แต่เพราะไม่รู้วินัย เขาจึงให้ไปตามที่เคยให้มา ตกกลางคืนภิกษุเหล่าน้ัน แบง่ เงนิ กนั แลว้ เฉลยี่ มาให้ พระยสะ กากณั ฏกบตุ ร ทา่ นปฏเิ สธ กโ็ กรธเคอื งหาวา่ ทา่ นดา่ อบุ าสก เหล่านั้น จึงประชุมกันลงปฏิสารณียกรรม (ให้ไปขอขมาชาวบ้าน) พระยสะ กากัณฏกบุตร จึงอ้างวินัยว่า จะต้องมีพระเป็นทูตไปด้วย ๑ รูป เมื่อภิกษุวัชชีบุตรสวดประกาศแต่งตั้งภิกษุ รูปหนึ่งมอบให้ไปด้วยแล้ว พระยสะก็เข้าไปหาอุบาสกเหล่าน้ัน ช้ีแจงข้อท่ีพระพุทธเจ้าตรัสไว้ หลายแหง่ หา้ มรบั ทองเงนิ อบุ าสกเหลา่ นนั้ ไดท้ ราบขอ้ วนิ ยั กเ็ ลอื่ มใสพระยสะ และกลา่ วประณาม ภิกษุวัชชีบุตร เม่ือกลับจากที่นั้น ภิกษุท่ีเป็นทูตร่วมไปด้วยก็ชี้แจงให้ภิกษุวัชชีบุตรทราบ ต่างพากันโกรธเคืองพระยสะ อ้างว่า การท่ีพระยสะไปพูดกับคนเหล่าน้ันเป็นการไปแจ้งความ แกค่ ฤหสั ถโ์ ดยมไิ ดร้ บั แตง่ ตงั้ จากสงฆ์ จงึ ควรอกุ เขปนยี กรรม (ยกเสยี จากหมู่ ไมใ่ หใ้ ครคบดว้ ย) PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 396 5/4/18 2:24 PM

วินัยปิฎก เล่ม ๗ จุลลวัคค์ สัตตสติกขันธกะ 397 การสงั คายนาคร้ังท่ี ๒ ิว ันย ิปฎก พระยสะ กากัณฏกบุตร จึงหนีไป ชวนพระเถระท่ีเห็นแก่ธรรมวินัยหลายรูป ซึ่งเป็น ประมขุ สงฆ์อยู่ในที่ตา่ ง ๆ เชน่ พระสพั พกามี พระสาฬหะ พระอุชชโสภิตะ (บางแห่งว่า ขชุ ชโสภิตะ) พระวาสภะคามกิ ะ ๔ รปู นี้ เปน็ ผ้แู ทนคณะสงฆ์ฝา่ ยตะวนั ออก พระเรวตะ พระสมั ภตู ะ สาณวาสี พระยสะ กากัณฏกบุตร พระสุมนะ ๔ รูปนี้เป็นผู้แทนคณะสงฆ์ฝ่ายตะวันตก (ชาวเมืองปาฐา) รวมทง้ั พระอรหนั ต์ทั้งหลายเป็นอนั มาก ถงึ ๗๐๐ รปู ประชมุ กัน ณ วาลกิ าราม โดยมีพระอชติ ะ ผมู้ พี รรษา ๑๐ เป็นผปู้ อู าสนะ วนิ ิจฉัยวัตถุ ๑๐ ประการ แสดงทีม่ าทท่ี รงหา้ มไว้ ปรบั อาบตั ิไว้ อยา่ งชดั เจน ชข้ี าดด้วยมติของสงฆ์ ใหว้ ัตถุ ๑๐ นน้ั ผิดธรรมผดิ วินัย มิใช่สัตถศุ าสนา (ประวตั กิ ารทำ� สงั คายนาทงั้ สองคราว คอื ครงั้ ท่ี ๑ และครง้ั ที่ ๒ นี้ มมี าในพระไตรปฎิ ก ด้วยเห็นได้ว่าเป็นการเพิ่มไว้เมื่อสังคายนาคร้ังที่ ๓ เพื่อให้เป็นหลักฐานความเป็นมาแห่ง พระธรรมวินยั ) จบความยอ่ แห่งพระไตรปฎิ ก เลม่ ๗ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 397 5/4/18 2:24 PM

เล่ม ๘ ปรวิ าร พระไตรปิฎกเล่ม ๘ น้ี เป็นเล่มสุดท้ายของวินัยปิฎก และมีข้อความท่ีพึงน�ำมาย่อไว้ เพียงเล็กน้อย เพราะข้อความในเล่มน้ีเป็นการย้อนไปกล่าวถึงพระไตรปิฎก ตั้งแต่เล่ม ๑ ถึงเล่ม ๗ ที่กล่าวมาแล้วนั้นเอง แต่การย้อนกล่าวในคร้ังนี้ เท่ากับประมวลความส�ำคัญท่ีน่า รู้ตา่ ง ๆ มากลา่ วไว้ มหี ัวขอ้ ใหญ่ ๆ อยู่ ๒๑ ข้อด้วยกัน คอื ๑. มหาวิภังค์โสฬสมหาวาร เป็นการย้อนกล่าวถึงศีลของภิกษุ ๒๒๗ ข้อ ทีละข้อ อันปรากฏในวินัยปิฎก เล่ม ๑ และ ๒ ซ่ึงมีช่ือว่ามหาวิภังค์ โดยต้ังประเด็นไว้ ๒ สว่ น สว่ นละ ๘ ประเดน็ รวมเป็น ๑๖ ประเด็น (โสฬสมหาวาร) สว่ นแรกกบั ส่วนหลัง ความจริงก็พ้องกันท้ังแปดประเด็น เป็นแต่ว่าส่วนแรกพิจารณาถึง การทำ� ผดิ โดยตรง สว่ นหลงั พจิ ารณาถงึ ผลอนั เนอื่ งมาจากเหตุ คอื การทำ� ความผดิ หรอื กลา่ วตามศพั ท์ทีป่ รากฏกค็ อื ส่วนหลังพิจารณาถึงปจั จัย คือการทำ� ความผิด นนั้ ๆ เปน็ ปจั จยั หรอื เปน็ เหตใุ หเ้ กดิ อะไรขน้ึ ประเดน็ ๘ ประเดน็ ซงึ่ มอี ยใู่ น ๒ สว่ น นนั้ คือ (๑) กตั ถปญั ญัติตวิ าร ประเด็นท่ีวา่ บญั ญตั ิไว้ ณ ทไ่ี หน หมายถงึ สถานท่ี ซ่ึงทรง บัญญัติสิกขาบท รวมทั้งบุคคลผู้เป็นต้นเหตุให้บัญญัติสิกขาบท เรื่องราวที่ เกดิ ขนึ้ เป็นต้น (๒) กตาปตั ตวิ าร ประเดน็ ทว่ี า่ เมอื่ ทำ� ความผดิ นน้ั ๆ ลงไปแลว้ จะตอ้ งอาบตั อิ ะไร บา้ ง เชน่ ภกิ ษลุ กั ทรพั ยใ์ นกรณเี ชน่ ไร ตอ้ งอาบตั ปิ าราชกิ อาบตั ถิ ลุ ลจั จยั และ อาบตั ิทุกกฏ (๓) วิปตั ติวาร ประเดน็ ท่วี ่า การท�ำความผดิ นน้ั ๆ จะเป็นศีลวิบตั ิ ความบกพร่อง ทางศีล หรอื อาจารวิบัติ ความบกพรอ่ งทางความประพฤติ เปน็ ต้น (๔) สงั คหติ วาร ประเดน็ ที่ว่า การทำ� ความผดิ นั้น ๆ สงเคราะหห์ รอื จดั เข้ากบั กอง อาบัติอะไร (๕) สมฏุ ฐานวาร ประเด็นทว่ี ่า การทำ� ความผดิ น้นั เกิดขึน้ หรอื มีสมุฏฐานทางกาย วาจา หรอื ใจ (๖) อธิกรณวาร ประเด็นที่ว่า การท�ำความผิดน้ัน ๆ เป็นอธิกรณ์ประเภทไหน ใน ๔ ประเภท (๗) สมถวาร ประเด็นที่ว่า การท�ำความผิดที่เป็นอธิกรณ์นั้น ๆ จะระงับด้วยวิธี ระงับ ๗ อย่าง ขอ้ ไหนบา้ ง PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 398 5/4/18 2:24 PM

วินัยปิฎก เล่ม ๘ ปริวาร 399 (๘) สมจุ จยวาร ประเด็นท่ีวา่ การทำ� ความผดิ นัน้ ๆ เม่ือรวมกลา่ วตั้งแตป่ ระเดน็ ิว ันย ิปฎก ท่ี ๑ ถงึ ๗ จะไดค้ วามวา่ อยา่ งไรบ้าง คอื กล่าวซ�้ำ ๗ ขอ้ แรกอกี ครั้งหนึง่ ในส่วนท่ี ๒ อีก ๘ ประเด็น ก็ท�ำนองเดียวกัน เพียงแต่เปล่ียนหลักการ เลก็ นอ้ ยว่า เพราะปัจจยั แหง่ การทำ� ความผิดนน้ั จะมผี ลเปน็ อย่างไรบา้ ง ๒. ภิกขุนีวิภังค์โสฬสมหาวาร เป็นการย้อนกล่าวถึงศีลของนางภิกษุณีแต่ละข้อ อันปรากฏในวินัยปิฎก เล่ม ๓ ซึ่งมีชื่อว่าภิกขุนีวิภังค์ โดยตั้งประเด็นไว้เป็น ๒ ส่วน ส่วนละ ๘ ประเดน็ เช่นเดียวกบั ของภกิ ษุ ๓. สมฏุ ฐานสสี สงั เขป เปน็ การรวบรวมสกิ ขาบททง้ั หมดมากลา่ วเฉพาะเรอ่ื งสมฏุ ฐาน คือทางกาย ทางวาจา หรือทางจิต โดยจัดเป็นหมวดหมู่ว่า พวกใดบ้างเกิดจาก สมุฏฐาน ๑ หรือสมุฏฐาน ๒ หรือสมุฏฐาน ๓ หรือสมุฏฐานผสมอ่ืน ๆ ใน ๓ ขอ้ นน้ั ๔. กตปิ จุ ฉาวาร เปน็ การตง้ั คำ� ถามวา่ เรอ่ื งนน้ั ๆ มเี ทา่ ไร เชน่ อาบตั มิ เี ทา่ ไร แลว้ ตอบ เปน็ ประเด็น ๆ ไป เป็นตน้ ๕. วีสติวาร (แปลตามศัพท์ว่า ๒๐ วาระ ถอดความว่า ตั้งประเด็นในการวินิจฉัยไว้ ๒๐ ประเดน็ ) เปน็ การต้งั ค�ำถาม แลว้ ตอบในเรือ่ งเก่ยี วกับอาบัติ ที่เกิดแห่งอาบตั ิ อธิกรณ์ วธิ รี ะงับอธิกรณ์ เปน็ ตน้ รวม ๒๐ ประเดน็ ๖. ขันธกปุจฉา ค�ำถาม ค�ำตอบ เกี่ยวกับขันธกะ คือหมวดต่าง ๆ ในพระไตรปิฎก เล่ม ๔ ถึงเล่ม ๗ คือทั้งมหาวรรคและจุลลวรรค รวมท้ังสิ้น ๒๒ หมวด หรือ ๒๒ ขันธกะ วา่ ในแต่ละหมวดนน้ั ๆ กลา่ วถงึ อาบตั ิไวก้ ี่ประเภท ๗. เอกุตตริกะ เป็นการชแ้ี จงเรอ่ื งเก่ยี วกับพระวนิ ยั ดว้ ยตวั เลข คอื หมวด ๑ มอี ะไร บา้ งทเ่ี ป็นขอ้ เดียว หมวด ๒ มอี ะไรบ้างทีเ่ ปน็ ๒ ขอ้ หมวด ๓ มีอะไรบา้ งทเี่ ปน็ ๓ ข้อ ดังนี้เร่ือยไปจนถึงหมวด ๑๑ มีอะไรบ้างท่ีเป็น ๑๑ ข้อ เช่น อุโบสถ ๒ คือ ๑๔ ค�่ำ กับ ๑๕ ค�่ำ ปวารณา ๒ คือ ๑๔ ค่�ำ กับ ๑๕ ค�่ำ เป็นต้น กรรม ๒ คือ อปโลกนกรรม (การบอกกล่าว) ญตั ติกรรม (การเสนอญตั ต)ิ เหลา่ นเ้ี ป็นต้น กอ็ ยู่ ในหมวด ๒ รองเท้า ๑๑ ชนิดที่เป็นของไม่ควรมีอะไรบ้าง บุคคล ๑๑ ประเภท ไมค่ วรไหว้มีอะไรบ้าง เหล่านีเ้ ปน็ ตน้ ก็อยูใ่ นหมวด ๑๑ ๘. อุโปสถาทิปุจฉาวิสัชชนา ค�ำถาม ค�ำตอบเร่ืองอุโบสถ เป็นต้น เช่น ถามว่า อะไร เปน็ เบอื้ งตน้ เปน็ ทา่ มกลาง เปน็ ทสี่ ดุ แหง่ การทำ� อโุ บสถ แลว้ ตอบวา่ ความสามคั คี เป็นเบื้องต้น การกระท�ำเป็นท่ามกลาง และการจบเป็นท่ีสุดแห่งการท�ำอุโบสถ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 399 5/4/18 2:24 PM

400 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ถามวา่ อะไรเปน็ เบอื้ งตน้ เปน็ ทา่ มกลาง เปน็ ทส่ี ดุ แหง่ การบวช ตอบวา่ บคุ คลเปน็ เบ้ืองต้น การเสนอญัตติ (ขอทาบทามสงฆ์) เป็นท่ามกลาง กัมมวาจา (การสวด ประกาศขอความตกลงใจ หรอื ขออนุมัติสงฆ์) เปน็ ทีส่ ุด ๙. อตั ถวเสปกรณ์ กล่าวถึงการทีพ่ ระผมู้ ีพระภาคทรงบญั ญตั สิ ิกขาบทเพอ่ื ประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ (๑) เพื่อความดีงามแห่งสงฆ์ (๒) เพ่ือความผาสุกแห่งสงฆ์ (๓) เพ่ือข่มคนท่ีเก้อยาก (หน้าด้าน) (๔) เพื่ออยู่สบายของภิกษุผู้มีศีลเป็นท่ีรัก (๕) เพอื่ ปอ้ งกนั อาสวะ (กเิ ลสทห่ี มกั หมมในจติ ) ปจั จบุ นั (๖) เพอ่ื ปอ้ งกนั อาสวะใน อนาคต (๗) เพอื่ ความเลอ่ื มใสของคนทยี่ งั ไมเ่ ลอ่ื มใส (๘) เพอื่ ความเลอ่ื มใสยงิ่ ขน้ึ ของผู้เล่ือมใสแล้ว (๙) เพื่อความต้ังมั่นแห่งพระสัทธรรม (๑๐) เพ่ืออนุเคราะห์ พระวนิ ยั ๑๐. คาถาสงั คณกิ ะ หมวดหรอื ชมุ นมุ แหง่ คาถาคอื คำ� ฉนั ท์ ทแ่ี สดงคำ� ถาม คำ� ตอบของ พระอาจารย์ ผู้สังคายนาพระวินยั วา่ สกิ ขาบทเทา่ ไรทย่ี กข้นึ สวด (ปาฏโิ มกข์) และ พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ในก่ีนคร มีนครอะไรบ้าง และในนครไหนบัญญัติ ไวก้ สี่ กิ ขาบท (ค�ำประพนั ธ์น้ีมปี ระโยชนช์ ่วยความจำ� ไดด้ ียงิ่ ทง้ั ส่วนวนิ ัยของภกิ ษุ และภกิ ษุณี) ๑๑. อธิกรณเภท ว่าด้วยประเภทแห่งอธิกรณ์ การรื้อฟื้นอธิกรณ์ มูลแห่งอธิกรณ์ อาบัติท่ีเนื่องในอธิกรณ์ทั้งส่ีประเภท วิธีระงับอธิกรณ์ (ซึ่งเคยกล่าวมาแล้วท้ังสิ้น เป็นแต่น�ำมาจดั เปน็ หมวดหมู่ข้ึนใหม)่ ๑๒. อปรคาถาสงั คณกิ ะ หมวดหรอื ชมุ นมุ คาถาหรอื บทประพนั ธอ์ น่ื อกี เปน็ การประพนั ธ์ ค�ำอธิบายเป็นค�ำฉันท์ เพื่อช่วยความจ�ำ เก่ียวกับการโจทฟ้อง การถามให้ระลึก เป็นตน้ รวมทัง้ ลักษณะที่จะนับว่าเปน็ อลชั ชี ๑๓. โจทนากัณฑ์ ว่าด้วยวิธีโจทฟ้องว่าจะท�ำอย่างไร ภิกษุผู้โจท ผู้ถูกโจทและสงฆ์ จะควรท�ำอย่างไร ๑๔. จูฬสงคราม ว่าด้วยข้อปฏิบัติของภิกษุผู้ถูกฟ้อง เท่ากับเป็นผู้เข้าสู่สงคราม ควรเจยี มตน ปฏิบัตติ นอย่างไร ตลอดถึงการฟ้อง การวนิ ิจฉัย ๑๕. มหาสงคราม วา่ ดว้ ยขอ้ ปฏบิ ตั หิ รอื หนา้ ทที่ ค่ี วรรอู้ นื่ อกี ของภกิ ษผุ ถู้ กู ฟอ้ ง ซงึ่ เทา่ กบั เปน็ ผ้เู ข้าสูส่ งคราม มีรายละเอียดมากขึน้ กว่าทีก่ ลา่ วมาแลว้ ในข้อ ๑๔ ๑๖. กฐนิ เภท ประเภทแหง่ กฐนิ ใครกราลไมไ่ ด้ ใครกราลได้ กฐนิ ไมเ่ ปน็ อนั กราลอยา่ งไร เป็นอันกราลอยา่ งไร รวมท้ังหัวข้อควรจำ� ต่าง ๆ เกี่ยวกับกฐนิ (ความจรงิ กลา่ วไว้ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 400 5/4/18 2:24 PM

วินัยปิฎก เล่ม ๘ ปริวาร 401 แล้วในพระไตรปิฎกฉบับภาษาบาลี เล่ม ๔ แต่น�ำมาตั้งเป็นหมวดเป็นหมู่ให้จ�ำ งา่ ยอกี ) ๑๗. อุปาลิปัญจกะ ว่าด้วยค�ำกราบทูลถามของพระอุบาลี พระด�ำรัสตอบของ พระผู้มีพระภาค ซึ่งเป็นข้อก�ำหนด ๕ ข้อตลอด รวมท้ังส้ิน ๑๔ หมวด หรือ ๑๔ วรรค คอื หมวดที่ ๑ ว่าดว้ ยภกิ ษุที่ไมค่ วรใหน้ ิสสยั คือไมค่ วรรบั ไว้ในปกครอง หมวดที่ ๒ วา่ ดว้ ยภิกษทุ ีถ่ กู ลงโทษแล้ว ไม่ควรระงบั การลงโทษ หมวดท่ี ๓ ว่าด้วยภกิ ษุ ผู้ไมค่ วรว่าคดใี นสงฆ์ หมวดท่ี ๔ ว่าด้วยการแสดงความเห็นแย้ง (ทิฏฐาวิกัมม์) อย่างไรไม่เป็นธรรม อยา่ งไรเป็นธรรม หมวดท่ี ๕ วา่ ด้วยภิกษุ ผูโ้ จทฟอ้ งภกิ ษุอ่นื หมวดท่ี ๖ วา่ ดว้ ยการประพฤตธิ ดุ งค์ ๑๓ ขอ้ (ขดั เกลากเิ ลส) มกี ารอยปู่ า่ เปน็ ตน้ ิว ันย ิปฎก หมวดที่ ๗ ว่าดว้ ยการพูดปด หมวดท่ี ๘ วา่ ด้วยการให้โอวาทแก่นางภกิ ษุณี หมวดที่ ๙ วา่ ด้วยอุพพาหิกา คอื การมอบหมายใหแ้ ยกออกไปทำ� การแทนสงฆ์ หรือการต้ังผู้แทนสงฆ์ไปวินิจฉัยเร่ืองใดเรื่องหน่ึง ในเม่ือท่ี ประชุมใหญ่ไม่สามารถวินิจฉัยได้ เพราะมีเสียงอื้ออึง เป็นต้น (เทียบด้วยการต้ังกรรมาธิการหรืออนุกรรมการ) ภิกษุผู้ควรได้รับ มอบหมาย งานน้ี ควรประกอบด้วยคณุ สมบัติ ๕ อย่างมีอะไรบ้าง หมวดท่ี ๑๐ วา่ ด้วยการระงบั อธิกรณ์ หมวดที่ ๑๑ ว่าดว้ ยสงฆแ์ ตกกนั ตอนท่ี ๑ หมวดท่ี ๑๒ ว่าดว้ ยสงฆ์แตกกัน ตอนท่ี ๒ หมวดที่ ๑๓ ว่าด้วยภิกษุผู้เปน็ เจา้ ถ่ินหรอื ประจำ� อย่ใู นวัด หมวดท่ี ๑๔ ว่าดว้ ยการกราลกฐิน ๑๘. สมุฏฐาน วา่ ด้วยสมฏุ ฐานแหง่ อาบตั ิและการออกจากอาบตั ิ ๑๙. ทตุ ยิ คาถาสงั คณกิ ะ หมวดหรอื ชมุ นมุ คาถาหรอื คำ� ฉนั ทท์ ี่ ๒ เปน็ การประพนั ธห์ วั ขอ้ และค�ำอธิบายเกี่ยวกับพระวินัย เพื่อจ�ำง่ายอีกหลายประเด็น ยาวกว่าท่ีเคยมีมา แล้วในตอนต้น (ความจริงน่าจะเรียกว่าตอน ๓ เพราะข้างต้นมี ๒ ตอนอยู่แล้ว ไดแ้ กห่ มายเลข ๑๐ กบั เลข ๑๒ แตอ่ าจจะถอื วา่ ๒ ตอนแรกรวมเปน็ ๑ ตอนกไ็ ด)้ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 401 5/4/18 2:24 PM

402 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๒๐. เสทโมจนคาถา คาถาเหงื่อแตก คือค�ำประพันธ์ต้ังปัญหาวินัยให้คิดชนิดยาก ๆ (แบบกลเถรอดเพล คอื คดิ ไมอ่ อกจนอดขา้ วกลางวนั ) รวม ๔๓ ขอ้ และมไิ ดเ้ ฉลย ไว้ (ค�ำอธบิ ายมีอยูใ่ นอรรถกถา) ๒๑. ปัญจวคั ค์ ว่าด้วยเรือ่ งตา่ ง ๆ รวม ๕ หมวด หรือ ๕ วรรค คือ วรรคที่ ๑ ว่าดว้ ยกรรม คือการท�ำกรรมของสงฆช์ นดิ ตา่ ง ๆ วรรคที่ ๒ วา่ ด้วยความมุ่งหมาย ในการบัญญัติสกิ ขาบท วรรคที่ ๓ ว่าดว้ ยการบัญญตั ิใหท้ �ำสงิ่ นัน้ ส่งิ น้ี ในทางพระวินยั วรรคท่ี ๔ ว่าด้วยสิ่งที่พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้แล้ว ว่ามีความมุ่งหมาย อย่างไร วรรคที่ ๕ ว่าด้วยการสงเคราะหห์ รอื การรวม (SYNTHESIS) เรอื่ งตา่ ง ๆ รวม ๙ ประเภท (ไดก้ ล่าวไว้แลว้ ว่า พระไตรปิฎก เลม่ ๘ อันมชี ่ือว่า ปริวาร นนั้ ไม่มอี ะไรใหม่ เป็นแต่ นำ� เร่อื งท่ีปรากฏในพระไตรปิฎก เลม่ ๑ ถงึ เล่ม ๗ น้นั เอง มากลา่ วใหม่ โดยจดั หมวดหมู่ หรือ ตงั้ ประเด็นต่าง ๆ รวมท้ังใหจ้ ำ� ง่าย เขา้ ใจง่าย ในทีน่ ้ีจึงมไิ ด้ขยายความให้พิสดารอย่างเล่มอนื่ ๆ คงยอ่ รวบรดั พอให้เหน็ หมวดหมู่และหน้าตาของพระไตรปิฎกเลม่ นี้) จบความยอ่ แหง่ พระไตรปิฎก เลม่ ๘ จบวินยั ปิฎก PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 402 5/4/18 2:24 PM

. Z PTF new13. REAR ���������� p.1271-1278 OK.indd 1277 5/4/18 2:30 PM

Rear Cover Z PTF new13. REAR ���������� p.1271-1278 OK.indd 1278 5/4/18 2:30 PM


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook