วินัยปิฎก เล่ม ๑ มหาวิภังค์ อนิยตกัณฑ์ 235 วา่ เปน็ การไมส่ มควร กไ็ มเ่ ออ้ื เฟอ้ื เชอ่ื ฟงั ความทราบถงึ พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงเรยี กประชมุ สงฆ์ ิว ันย ิปฎก ทรงไต่สวนได้ความเป็นสัตย์แล้ว จึงทรงติเตียน และทรงบัญญัติสิกขาบท ใจความว่า ภกิ ษนุ ง่ั ในทลี่ บั ตาสองตอ่ สองกบั หญงิ เปน็ ทอี่ นั พอจะประกอบกรรมได้ ถา้ อบุ าสกิ า๑ ผมู้ วี าจาควร เชอ่ื ได้ กลา่ ววา่ ภกิ ษตุ อ้ งอาบตั อิ ยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ใน ๓ อยา่ ง คอื อาบตั ปิ าราชกิ (เพราะเสพเมถนุ ) ก็ตาม อาบตั ิสังฆาทิเสส (เพราะถูกต้องกายหญิง หรอื เกีย้ วหญงิ เปน็ ตน้ ) ก็ตาม อาบตั ิปาจิตตยี ์ (เพราะน่ังในที่ลับสองต่อสองกับหญิง) ก็ตาม ถ้าภิกษุผู้นั่งในท่ีลับตารับสารภาพอย่างไร ในอาบัติ ๓ อย่าง ก็พึงปรับอาบัติเธอตามสารภาพน้ัน หรือปรับตามที่ถูกกล่าวหาน้ัน (สุดแต่ อย่างไหนจะเหมาะสม) สกิ ขาบทท่ี ๒ วิธปี รบั อาบตั เิ พราะนั่งในท่ีลับหูกับหญิงสองต่อสอง เลา่ เรอ่ื งสบื มาจากสกิ ขาบทกอ่ น พระอทุ ายเี หน็ วา่ พระผมู้ พี ระภาคทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ห้ามนง่ั ในที่ลับตากบั หญงิ สองต่อสอง จงึ นง่ั ในทล่ี บั สองตอ่ สองกับหญงิ น้นั (ไมล่ ับตา แต่ลับห)ู สนทนาบ้าง กล่าวธรรมบ้าง นางวิสาขาไปพบเข้าอีก จึงทักท้วงว่าไม่สมควรเช่นเคย พระอุทายี กไ็ มเ่ ออื้ เฟอ้ื เชอ่ื ฟงั ความทราบถงึ พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงเรยี กประชมุ สงฆ์ ทรงไตส่ วนไดค้ วาม เปน็ สัตย์แล้ว จงึ ทรงติเตยี น และทรงบญั ญตั ิสกิ ขาบท ใจความวา่ ภกิ ษนุ ่ังในท่ลี บั (ห)ู สองตอ่ สองกับหญิง ถ้าอุบาสิกาผู้มีวาจาควรเชื่อได้ กล่าวว่า ภิกษุต้องอาบัติอย่างใดอย่างหน่ึง ใน ๒ อย่าง คืออาบัติสังฆาทิเสส (เพราะพูดเกี้ยวหญิง หรือพูดล่อหญิงให้บ�ำเรอตนด้วยกาม) ก็ตาม อาบัติปาจิตตีย์ (เพราะน่ังในท่ีลับหูกับหญิงสองต่อสอง) ก็ตาม ถ้าภิกษุผู้นั่งในท่ีลับหู รับสารภาพอย่างไร ในอาบัติ ๒ อย่าง ก็พึงปรับอาบัติเธอตามท่ีสารภาพน้ัน หรือปรับตามที่ ถกู กล่าวหานัน้ (สุดแตอ่ ยา่ งไหนจะเหมาะสม) (หมายเหตุ : เรื่องของอนิยต หรือสิกขาบทอันไม่ก�ำหนดแน่ว่าจะปรับอาบัติอย่างไร ใน ๒ - ๓ อยา่ ง ท้ังสองสิกขาบทน้ี หนักไปในทางแนะวธิ ีตดั สินอาบัติ แตก่ บ็ ง่ อยวู่ า่ ห้ามภิกษุ น่ังในที่ลับตาก็ตาม ลับหู (แม้ไม่ลับตา) ก็ตาม กับหญิงสองต่อสอง เว้นแต่ในท่ีลับตาจะมีชาย ผู้รู้เดียงสาอยู่ด้วย แต่ในท่ีลับหูหญิงหรือชายผู้รู้เดียงสานั่งเป็นเพื่อนอยู่ด้วย ก็พ้นจาก ความเป็นท่ีลับหูไป) จบความย่อแห่งพระไตรปิฎก เล่ม ๑ ๑ ท่ีเปน็ อริยบุคคล เชน่ นางวสิ าขา แตโ่ ดยใจความ หมายถึงผู้ทีพ่ บเห็น เปน็ ผมู้ วี าจาควรเช่ือได้เป็นหลักฐาน PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 235 5/4/18 2:24 PM
เล่ม ๒ มหาวภิ ังค์ ภาค ๒ พระไตรปฎิ ก เลม่ ๒ น้ี สบื เนอ่ื งมาจากเลม่ ๑ คอื วา่ ดว้ ยอาบตั ขิ องภกิ ษตุ อ่ จากทก่ี ลา่ ว มาแลว้ ในเล่ม ๑ แบ่งออกเป็นหมวดใหญ่ ๔ หมวด และมธี รรมส�ำหรบั ระงบั อธกิ รณต์ อ่ ท้าย คือ ๑. นิสสัคคิยกัณฑ์ ว่าด้วยอาบัติปาจิตตีย์ที่ต้องสละสิ่งของเสียก่อน จึงแสดง อาบัติตก อาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์นี้ มี ๓๐ สิกขาบท แบ่งออกเป็น ๓ วรรค ๆ ละ ๑๐ สิกขาบท ๒. ปาจิตติยกัณฑ์ ว่าด้วยอาบัติปาจิตตีย์ล้วน ๆ ที่ไม่ต้องมีเง่ือนไข ให้สละส่ิงของ กอ่ น อาบตั ิปาจติ ตยี น์ ้ี มี ๙๒ สกิ ขาบท แบง่ ออกเป็น ๙ วรรค ๆ ละ ๑๐ สกิ ขาบท เว้นแต่วรรคท่ี ๘ (สหธัมมิกวัคค์) มี ๑๒ สิกขาบท (ค�ำว่า ปาจิตตีย์ แปลว่า การละเมิดทีย่ งั กศุ ลคอื ความดีใหต้ ก) ๓. ปาฏเิ ทสนยี กณั ฑ์ วา่ ดว้ ยอาบตั ปิ าฏเิ ทสนยี ะ (แปลวา่ อาบตั อิ นั พงึ แสดงคนื เบากวา่ อาบัติปาจติ ตีย์) มี ๔ สกิ ขาบท ๔. เสขิยกัณฑ์ ว่าด้วยข้อท่ีภิกษุพึงศึกษา อันเก่ียวด้วยวัตร ธรรมเนียม หรือจรรยา มารยาทตา่ ง ๆ มีดว้ ยกันทงั้ หมด ๗๕ สิกขาบท แบง่ ออกเปน็ (๑) สารปู (ข้อปฏิบตั ิเพ่ือความเหมาะสมแกค่ วามเป็นสมณะ) ๒๖ สิกขาบท (๒) โภชนปฏิสังยตุ (ขอ้ ปฏิบัตเิ ก่ยี วด้วยการฉนั อาหาร) ๓๐ สกิ ขาบท (๓) ธัมมเทสนาปฏิสังยุต (ข้อปฏิบัติเก่ียวด้วยการแสดงธรรม) ๑๖ สิกขาบท นอกจากนน้ั ยังมี (๔) ปกณิ ณกะ (เบ็ดเตล็ด) อีก ๓ สกิ ขาบท จงึ รวมเปน็ ๗๕ ๕. ธรรมสำ� หรบั ระงบั อธกิ รณ์ เปน็ ขอ้ ความสน้ั ๆ แถมเขา้ มา แสดงถงึ วธิ รี ะงบั อธกิ รณ์ ด้วยธรรม ๗ ประการ ขยายความ ๑. นิสสคั คยิ กัณฑ์ (วา่ ด้วยอาบตั ิปาจติ ตีย์ ๓๐ สกิ ขาบทที่ต้องสละส่งิ ของ) (๑) จวี รวรรค วรรควา่ ด้วยจีวร มี ๑๐ สิกขาบท คือ สิกขาบทที่ ๑ ห้ามเกบ็ จวี รท่เี กินจ�ำเปน็ ไวเ้ กนิ ๑๐ วัน พระผมู้ พี ระภาคประทบั ณ โคตมกเจดยี ์ ใกลก้ รงุ เวสาลี สมยั นนั้ ทรงอนญุ าตใหภ้ กิ ษุ มจี วี รไดเ้ พยี ง ๓ ผนื (ผา้ นงุ่ ผา้ หม่ ผา้ หม่ ซอ้ นทเี่ รยี กวา่ สงั ฆาฏ)ิ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ (ภกิ ษผุ รู้ วมกนั PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 236 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ นิสสัคคิยกัณฑ์ 237 เปน็ คณะ ๖ รูป) เขา้ บ้าน อยู่ในวดั ลงสู่ท่อี าบน้�ำดว้ ยไตรจวี รต่างสำ� รบั กัน ภกิ ษุท้งั หลายตเิ ตยี น ิว ันย ิปฎก ความทราบถึงพระผู้มีพระภาค ทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามเก็บอติเรกจีวร๑ (จีวรท่ีเกินจ�ำเป็น คือเกนิ จำ� นวนทกี่ �ำหนด) ถ้าล่วงละเมิดตอ้ งอาบัตินิสสคั คยิ ปาจิตตีย)์ ต่อมามีเหตุเกิดข้ึน พระอานนท์ใคร่จะเก็บผ้าไว้ถวายพระสาริบุตร พระผู้มีพระภาค ทรงทราบ จงึ ทรงบัญญตั สิ ิกขาบทเพมิ่ เตมิ ให้เก็บไวไ้ ด้ไม่เกิน ๑๐ วนั สกิ ขาบทท่ี ๒ ห้ามอย่ปู ราศจากไตรจีวรแมค้ ืนหนงึ่ พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม สมัยนั้น ภิกษุท้ังหลายเอาผ้าสังฆาฏิ (ผ้าห่มซ้อนข้างนอก) ฝากภิกษุรูปอ่ืนไว้ จาริกไปสู่ชนบทด้วยสบง (ผ้านุ่ง) กับจีวร (ผ้าห่ม) รวม ๒ ผืนเท่าน้ัน ผ้าท่ีฝากไว้นานเปรอะเปื้อน ภิกษุผู้รับฝากจึงน�ำออกตาก ความทราบถึง พระผ้มู พี ระภาค จึงทรงติเตยี น และทรงบญั ญตั สิ ิกขาบท หา้ มอยูป่ ราศจากไตรจวี รแม้คนื หนึง่ ถ้าลว่ งละเมดิ ต้องอาบัตนิ สิ สคั คิยปาจติ ตีย์ ภายหลงั มีเรื่องเกิดขึ้น ภกิ ษเุ ปน็ ไข้ ไมส่ ามารถน�ำจวี รไปไดท้ ง้ั สามผนื จึงทรงอนุญาต ให้สงฆ์สวดสมมตแิ กภ่ ิกษุเช่นนน้ั เป็นกรณีพเิ ศษ และไม่ปรับอาบัติ สกิ ขาบทท่ี ๓ ห้ามเกบ็ ผ้าทีจ่ ะทำ� จีวรไวเ้ กินกำ� หนด พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม สมัยนั้นอกาลจีวร (ผ้าท่ีเกิดขึ้นนอกกาลที่ อนญุ าตใหเ้ กบ็ ไวไ้ ดเ้ กนิ ๑๐ วนั ) เกดิ ขนึ้ แกภ่ กิ ษรุ ปู หนงึ่ แตไ่ มพ่ อทำ� จวี ร เธอคลผี่ า้ ออก (เอามอื ) รดี ใหเ้ รยี บอยเู่ รอื่ ย ๆ พระผมู้ พี ระภาคทอดพระเนตรเหน็ ตรสั ถามทราบความแลว้ จงึ ทรงอนญุ าต ให้เก็บผ้านอกกาลไว้ได้ ถ้ามีหวังว่าจะได้ท�ำจีวร ปรากฏว่าภิกษุบางรูปเก็บไว้เกิน ๑ เดือน จึงทรงบัญญัตสิ กิ ขาบท ห้ามเกบ็ ผ้านอกกาลไว้เกนิ ๑ เดอื น ทรงปรับอาบตั นิ สิ สัคคิยปาจิตตยี ์ แก่ภกิ ษผุ ้ลู ว่ งละเมดิ สกิ ขาบทที่ ๔ ห้ามใชน้ างภิกษณุ ีซักผา้ พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เชตวนาราม อดีตภริยาของพระอุทายีเข้ามาบวชเป็น ภิกษุณี รับอาสาซักผ้าของพระอุทายี ซ่ึงมีน�้ำอสุจิเปรอะใหม่ ๆ นางได้น�ำน้�ำอสุจินั้นส่วนหน่ึง ๑ ถ้าจ�ำพรรษาครบ ๓ เดอื น เกบ็ ได้ ๑ เดอื น ถ้าไดก้ ราลกฐนิ เกบ็ ไวไ้ ด้ต่อไปอีก ๔ เดือน รวมเป็น ๕ เดือน PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 237 5/4/18 2:24 PM
238 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ เขา้ ปาก สว่ นหนงึ่ ใสไ่ ปในองคก์ ำ� เนดิ เกดิ ตงั้ ครรภข์ นึ้ จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท หา้ มใชน้ างภกิ ษณุ ี ท่ีมิใช่ญาติ๑ ซัก ย้อม หรือทุบ จีวรเก่า (คือท่ีนุ่งหรือห่มแล้วแม้คราวเดียว) ทรงปรับอาบัติ นสิ สคั คยิ ปาจิตตยี ์แกภ่ ิกษผุ ู้ล่วงละเมดิ สิกขาบทท่ี ๕ หา้ มรับจวี รจากมือของนางภกิ ษณุ ี พระผู้มีพระภาคประทับ ณ เวฬุวนาราม ใกล้กรุงราชคฤห์ พระอุทายีแค่นไค้ขอจีวร นางอุบลวัณณา ซึ่งมีผ้าอยู่จ�ำกัด นางจึงให้ผ้านุ่ง (อันตรวาสก) ความทราบถึงพระผู้มีพระภาค จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท หา้ มรบั จวี รจากมอื นางภกิ ษณุ ผี มู้ ใิ ชญ่ าติ ทรงปรบั อาบตั นิ สิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ แก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิด ภายหลังทรงบัญญัติเพ่ิมเติมมีเง่ือนไข ไม่ปรับอาบัติในกรณีท่ีเป็นการ แลกเปลีย่ นกัน สกิ ขาบทท่ี ๖ หา้ มขอจีวรตอ่ คฤหัสถ์ท่มี ใิ ช่ญาติ บุตรเศรษฐเี ล่อื มใสพระอปุ นนทะ ศากยบตุ ร จึงปวารณาใหข้ ออะไรกไ็ ด้ แต่เธอขอผา้ (ห่ม) จากตัวเขา แม้เขาจะขอไปเอาที่บ้านมาให้ก็ไม่ยอม พระศาสดาทรงทราบ จึงทรงบัญญัติ สิกขาบท ห้ามขอจีวรต่อคฤหัสถ์ชายหญิงท่ีมิใช่ญาติ ถ้าขอได้มา ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ภายหลังทรงบญั ญัติเพิ่มเติมมีเง่ือนไข ใหข้ อไดใ้ นเวลาจีวรถูกโจรชิงเอาไป หรอื จวี รหาย สิกขาบทท่ี ๗ ห้ามรับจีวรเกินก�ำหนด เมอ่ื จีวรถูกชงิ หรือหายไป ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ์ (พวก ๖ รปู ) เทยี่ วขอจวี รใหก้ ลมุ่ ภกิ ษทุ ม่ี จี วี รถกู โจรชงิ ไป หรอื จวี รหาย ทง้ั ๆ ทภ่ี ิกษุเหลา่ นนั้ มผี ู้ถวายจีวรแล้ว เป็นการขอหรือเรีย่ ไรแบบไมร่ ้จู ักประมาณ ได้ผา้ มากจน ถกู หาวา่ จะขายผา้ หรอื อยา่ งไร พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ในกรณที ผี่ า้ ถกู โจรชงิ หรือหายน้ัน ถ้าคฤหัสถ์ปวารณาให้รับจีวรมากผืน ก็รับได้เพียงผ้านุ่งกับผ้าห่มเท่าน้ัน รับเกินกวา่ น้นั ตอ้ งนสิ สคั คิยปาจิตตีย์ สิกขาบทที่ ๘ หา้ มพูดให้เขาซือ้ จีวรทด่ี ี ๆ กว่าทเี่ ขากำ� หนดไว้เดมิ ถวาย ชายผู้หนึ่งพูดกับภริยาว่า จะถวายผ้าแก่พระอุปนนทะ เธอทราบจึงไปพูดให้เขา ถวายจวี รอยา่ งนนั้ อยา่ งนี้ ถา้ ถวายจวี รอยา่ งทเี่ ธอไมใ่ ช้ เธอกไ็ มร่ จู้ ะเอาไปทำ� อะไร เขาจงึ ตเิ ตยี น ว่ามักมาก ความทราบถึงพระผู้มีพระภาค จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามก�ำหนดให้คฤหัสถ์ ทไ่ี มใ่ ช่ญาติ ไม่ไดป้ วารณาไวก้ อ่ น ให้ซ้อื จีวรอยา่ งนั้นอย่างน้ถี วายตน ดว้ ยหมายจะไดข้ องดี ๆ ทรงปรับอาบตั นิ สิ สัคคยิ ปาจติ ตีย์แกภ่ ิกษผุ ลู้ ่วงละเมดิ ๑ ค�ำว่า มิใช่ญาติ คือไม่เกี่ยวเนื่องทางสายโลหิต ทางสายมารดา หรือบิดา ส่วนเขย หรือสะใภ้ ตลอดจนผู้เคยเป็น สามี ภริยากนั ก็ไมน่ ับเปน็ ญาติ เพราะในตัวอย่างนี้ ผกู้ ่อเหตุ คอื ผเู้ คยเปน็ สามภี ริยากัน PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 238 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ นิสสัคคิยกัณฑ์ 239 สกิ ขาบทท่ี ๙ ห้ามไปพดู ใหเ้ ขารวมกนั ซอื้ จีวรที่ดี ๆ ถวาย ิว ันย ิปฎก ชายสองคนพูดกันว่า ต่างคนต่างจะซ้ือผ้าคนละผืนถวายพระอุปนนทะ เธอรู้จึงไป แนะนำ� ให้เขารวมทนุ กนั ซ้อื ผ้าชนดิ นั้นชนิดน้ี (ทด่ี ี ๆ) เขาพากนั ตเิ ตียนว่ามักมาก ความทราบถึง พระผู้มีพระภาค จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามเข้าไปขอให้คฤหัสถ์ท่ีมิใช่ญาติ มิได้ปวารณาไว้ ก่อน เขาต้ังใจ จะต่างคนต่างซื้อจีวรถวายเธอ แต่เธอกลับไปขอให้เขารวมกันซื้อจีวรอย่างน้ัน อย่างน้ี โดยม่งุ ใหไ้ ด้ผา้ ดี ๆ ทรงปรบั อาบตั นิ ิสสัคคิยปาจิตตยี ์แกภ่ กิ ษุผลู้ ่วงละเมิด สิกขาบทที่ ๑๐ หา้ มทวงจีวรเอาแกค่ นท่รี บั ฝากผอู้ น่ื เพือ่ ซือ้ จีวรถวายเกินกวา่ ๓ ครง้ั มหาอ�ำมาตย์ผู้อุปัฏฐากพระอุปนนทะ ศากยบุตร ใช้ทูตให้น�ำเงินค่าซ้ือจีวรไปถวาย พระอปุ นนทะ ทา่ นตอบวา่ ทา่ นรบั เงนิ ไมไ่ ด้ รบั ไดแ้ ตจ่ วี รทค่ี วรโดยกาล เขาจงึ ถามหาไวยาวจั จกร (ผู้ท�ำการขวนขวาย ผู้รับใช้) ท่านจึงแสดงอุบาสกคนหนึ่ง ว่าเป็นไวยาวัจจกรของภิกษุทั้งหลาย เขาจึงมอบเงินแก่ไวยาวัจจกรแล้วแจ้งให้ท่านทราบ ท่านก็ไม่พูดอะไรกับไวยาวัจจกร แม้จะได้ รบั คำ� เตอื นจากมหาอำ� มาตยซ์ งึ่ สง่ ทตู มา ขอใหใ้ ชผ้ า้ นน้ั เปน็ ครงั้ ท่ี ๒ กไ็ มพ่ ดู อะไรกบั ไวยาวจั จกร จนกระทง่ั ไดร้ บั คำ� เตอื นเปน็ ครงั้ ท่ี ๓ ขอใหใ้ ชผ้ า้ นนั้ จงึ ไปเรง่ เรา้ เอากบั ไวยาวจั จกรผกู้ ำ� ลงั มธี รุ ะ จะตอ้ งเขา้ ประชมุ สภานคิ ม ซง่ึ มกี ตกิ าวา่ ใครไปชา้ จะตอ้ งถกู ปรบั ๕๐ (กหาปณะ) แมเ้ ขาจะแจง้ ให้ทราบกติกา ก็ไม่ฟัง คงเร่งเรา้ เอาจนเขาต้องไปซอื้ ผา้ มาให้ และไปถกู ปรับเพราะเขา้ ประชมุ ชา้ คนทั้งหลายจึงติเตียนว่าท�ำให้เขาต้องเสียค่าปรับ พระผู้มีพระภาคทรงทราบ ติเตียนแล้ว บัญญัติสิกขาบท ความว่า ถ้าเขาส่งทูตมาถวายค่าซื้อจีวร และเธอแสดงไวยาวัจจกรแล้ว เธอจะไปทวงจีวรเอากับไวยาวัจจกรได้ไม่เกิน ๓ ครั้ง ไปยืนน่ิง ๆ ให้เขาเห็นไม่เกิน ๖ คร้ัง ถา้ ทวงเกนิ ๓ ครั้ง หรือไปยนื เกนิ ๖ ครง้ั ต้องอาบัตินิสสคั คยิ ปาจติ ตีย์ (๒) โกสิยวรรค วรรคว่าด้วยไหม มี ๑๐ สิกขาบท คือ สกิ ขาบทท่ี ๑ หา้ มหลอ่ เครอ่ื งปนู ั่งเจือด้วยไหม ภิกษุฉัพพัคคีย์เข้าไปหาช่างท�ำไหม ขอให้เขาต้มตัวไหม และขอใยไหมบ้าง เพื่อจะ หลอ่ สนั ถตั (เครอื่ งลาด เครอื่ งปนู ง่ั ) เจอื ดว้ ยไหม เขาหาวา่ เบยี ดเบยี นเขาและเบยี ดเบยี นตวั ไหม พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามภิกษุหล่อสันถัต เจือด้วยไหม ทรงปรับอาบัติ นิสสัคคยิ ปาจิตตยี แ์ กภ่ ิกษุผ้ลู ่วงละเมิด PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 239 5/4/18 2:24 PM
240 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ สิกขาบทที่ ๒ หา้ มหลอ่ เคร่ืองปูน่ังด้วยขนเจียมด�ำล้วน ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ห์ ลอ่ สนั ถตั ดว้ ยขนเจยี ม (ขนแพะ ขนแกะ) ดำ� ลว้ น คนทงั้ หลายตเิ ตยี น วา่ ใชข้ องอย่างคฤหัสถ์ จึงทรงบญั ญัตสิ กิ ขาบท ห้ามหลอ่ เองหรอื ใชใ้ ห้หลอ่ สนั ถัตดว้ ยขนเจียม ดำ� ลว้ น ทรงปรบั อาบัตนิ สิ สัคคยิ ปาจิตตยี ์แก่ผลู้ ว่ งละเมดิ สิกขาบทท่ี ๓ ห้ามใช้ขนเจยี มด�ำเกนิ ๒ สว่ นใน ๔ สว่ น เม่ือหลอ่ เครือ่ งปนู ัง่ ภิกษุฉัพพัคคีย์หล่อสันถัตด้วยขนเจียมด�ำล้วน เพียงแต่เอาขนจียมขาวหน่อยหน่ึง ใสล่ งไปท่ีชาย มผี ู้ติเตยี น จงึ ทรงบัญญตั สิ ิกขาบทวา่ ภิกษุจะหลอ่ สนั ถัตใหม่ พงึ ถอื เอาขนเจียม ดำ� ๒ สว่ น ขนเจยี มขาว ๑ สว่ นขนเจยี มแดง ๑ สว่ น ถา้ ไมท่ ำ� ตามสว่ นนน้ั ตอ้ งนสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ สิกขาบทท่ี ๔ ห้ามหล่อเคร่อื งปูน่งั ใหม่ เม่ือยงั ใช้ของเก่าไม่ถงึ ๖ ปี ภิกษุท้ังหลายหล่อสันถัตทุกปี ต้องขอขนเจียมจากชาวบ้าน เป็นการรบกวนเขา มีผู้ ติเตยี นอ้างวา่ ของชาวบา้ นเขาใช้ได้นานถึง ๕ - ๖ ปี จงึ ทรงบญั ญตั ิสกิ ขาบทวา่ ภิกษหุ ลอ่ สันถตั ใหม่ พึงใช้ให้ถึง ๖ ปี ถ้ายังไม่ถึง ๖ ปี หล่อใหม่ ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ภายหลังภิกษุเป็นไข้ เขานิมนต์ไปที่อ่ืน ไม่กล้าไป เพราะจะน�ำสันถัตไปด้วยไม่ไหว จึงทรงอนุญาตให้มีการสมมติ เป็นพิเศษสำ� หรบั ภิกษุไข้ สกิ ขาบทที่ ๕ ใหต้ ดั ของเก่าปนลงในของใหม่ ภกิ ษทุ ง้ั หลายทง้ิ สนั ถตั ไวใ้ นทนี่ นั้ ๆ พระผมู้ พี ระภาคทอดพระเนตรเหน็ จงึ ทรงบญั ญตั ิ สิกขาบทว่า ภิกษุจะหล่อสันถัตส�ำหรับนั่ง พึงถือเอาสันถัตเก่า ๑ คืบ โดยรอบ เจือลงไป เพ่ือท�ำลายให้เสียสี ถ้าไม่ท�ำอย่างน้ัน หล่อสันถัตใหม่ ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ (สิกขาบทน้ี ทำ� ให้เหน็ ความส�ำคัญของสนั ถตั เกา่ ทจ่ี ะต้องเก็บไว้ปนลงไปเมอ่ื หล่อใหมด่ ว้ ย) สิกขาบทที่ ๖ หา้ มน�ำขนเจียมไปด้วยตนเองเกนิ ๓ โยชน์ ภิกษุรูปหน่ึงเดินทางไปสู่กรุงสาวัตถี ในโกศลชนบท มีผู้ถวายขนเจียมในระหว่างทาง เธอเอาจีวรห่อน�ำไป มนุษย์ทั้งหลายพากันพูดล้อว่า ซื้อมาด้วยราคาเท่าไร จะได้ก�ำไรเท่าไร ความทราบถงึ พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงบญั ญัตสิ ิกขาบท ใจความว่า ภิกษุเดนิ ทางไกล มผี ้ถู วาย ขนเจียม ถ้าปรารถนาก็พึงรับและน�ำไปเองได้ไม่เกิน ๓ โยชน์ในเมื่อไม่มีผู้น�ำไปให้ ถ้าน�ำไป เกิน ๓ โยชน์ แม้ไมม่ ีผ้นู �ำไปให้ ต้องนิสสคั คยิ ปาจิตตยี ์ สกิ ขาบทที่ ๗ หา้ มใช้นางภิกษณุ ีทไ่ี ม่ใช่ญาตทิ �ำความสะอาดขนเจียม ภิกษุฉัพพัคคีย์ (พวก ๖) ใช้นางภิกษุณีให้ซัก ให้ย้อม ให้สางขนเจียม ท�ำให้เสีย การเรยี น การสอบถาม และเสยี ข้อปฏิบตั ิ ศีล สมาธิ ปัญญา ช้ันสูง พระผูม้ ีพระภาคทรงทราบ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 240 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ นิสสัคคิยกัณฑ์ 241 จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามใช้นางภิกษุณีท่ีมิใช่ญาติซัก ย้อม หรือสางขนเจียม ทรงปรับ ิว ันย ิปฎก อาบัตนิ ิสสคั คิยปาจติ ตียแ์ กภ่ กิ ษผุ ้ลู ่วงละเมดิ สิกขาบทท่ี ๘ หา้ มรบั ทองเงิน เจ้าของบ้านทีพ่ ระอุปนนทะ ศากยบตุ ร เขา้ ไปฉนั เป็นนิตย์ เตรยี มเนือ้ ไว้ถวายเวลาเชา้ แต่เด็กร้องไห้ขอกินในเวลากลางคืน จึงให้เด็กกินไป รุ่งเช้าจึงเอากหาปณะ (เงินตรามี ราคา ๔ บาท) ถวาย พระอุปนนทะก็รับ มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามภิกษุรับเอง ใช้ให้รับทอง เงิน หรือยินดีทอง เงิน ที่เขาเก็บไว้เพ่ือตน๑ ทรงปรับอาบัติ นสิ สัคคยิ ปาจติ ตีย์แกภ่ กิ ษผุ ้ลู ว่ งละเมิด สกิ ขาบทที่ ๙ ห้ามท�ำการซ้อื ขายดว้ ยรปู ยิ ะ ภกิ ษฉุ ัพพัคคีย์ (พวก ๖) ท�ำการซ้อื ขายดว้ ยรปู ิยะ (ทอง เงนิ หรอื ส่ิงทใ่ี ช้แลกเปล่ยี น แทนเงิน ที่ก�ำหนดให้ใช้ได้ท่ัวไปในที่นั้น ๆ) มนุษย์ทั้งหลายพากันติเตียนว่าท�ำเหมือนเป็น คฤหัสถ์ พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามท�ำการซ้ือขายด้วยรูปิยะ ทรงปรับอาบัติ นสิ สัคคิยปาจิตตีย์แกภ่ กิ ษุผูล้ ว่ งละเมดิ สกิ ขาบทท่ี ๑๐ หา้ มซอื้ ขายโดยใช้ของแลก ปริพพาชกผู้หน่ึง เห็นพระอุปนนทะ ศากยบุตร ห่มผ้าสังฆาฏิสีงาม จึงชวนแลกกับ ทอ่ นผา้ ของตน ภายหลงั ทราบวา่ ผา้ ของตนดกี วา่ จงึ ขอแลกคนื พระอปุ นนทะไมย่ อมใหแ้ ลกคนื จงึ ตเิ ตยี นพระอปุ นนทะ พระผมู้ พี ระภาคทรงทราบ จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษทุ ำ� การซอ้ื ขาย ด้วยประการต่าง ๆ ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ (หมายถึงซื้อขายแลกเปล่ียนโดยใช้ส่ิงของ แลกเปลี่ยนกันเองระหว่างนักบวชในพระพทุ ธศาสนา ท�ำได)้ (๓) ปัตตวรรค วรรควา่ ดว้ ยบาตร มี ๑๐ สกิ ขาบท คอื สกิ ขาบทท่ี ๑ หา้ มเกบ็ บาตรเกิน ๑ ลกู ไวเ้ กิน ๑๐ วัน ภิกษุฉัพพัคคีย์สะสมบาตรไว้เป็นอันมาก ถูกมนุษย์ติเตียนว่าเป็นพ่อค้าบาตร พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุเก็บบาตรอติเรก (คือท่ีเกิน ๑ ลูก ซึง่ เกินจำ� เปน็ สำ� หรับใช้เปน็ ประจำ� ) ไวเ้ กิน ๑๐ วัน ตอ้ งนสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ ๑ ภายหลังทรงอนุญาตให้ยินดีปัจจัย ๔ ได้ คือทายกมอบเงินไว้แก่ไวยาวัจจกร เพื่อให้จัดหาปัจจัย ๔ คือเคร่ือง นุ่งหม่ อาหาร ที่นอนทน่ี ่ัง ยารกั ษาโรค ภิกษตุ อ้ งการอะไร กบ็ อกใหเ้ ขาจัดหาให้ จงึ มีประเพณีถวายใบปวารณาปจั จัย ๔ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 241 5/4/18 2:24 PM
242 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ สิกขาบทที่ ๒ หา้ มขอบาตรเมอ่ื บาตรเปน็ แผลไม่เกนิ ๕ แหง่ ช่างหม้อปวารณาให้ภิกษุท้ังหลายขอบาตรได้ แต่ภิกษุทั้งหลายขอเกินประมาณ จนเขาเดอื ดรอ้ น พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษขุ อบาตร ตอ้ งนสิ สคั คยิ ปาจติ ตยี ์ ภายหลังมเี รอ่ื งเกิดขึน้ จงึ ทรงผอ่ นผนั ใหข้ อได้ ในเม่ือบาตรหาย หรอื บาตรแตก หรือบาตรเป็น แผลเกิน ๕ แห่ง สกิ ขาบทท่ี ๓ หา้ มเกบ็ เภสชั ๕ ไวเ้ กิน ๗ วัน มีผู้ถวายเภสัช ๕ ส�ำหรับคนไข้ คือ เนยใส เนยข้น น�้ำมัน น้�ำผ้ึง น้�ำอ้อย แก่ พระปิลินทวัจฉะ ท่านก็แบ่งให้บริษัทของท่าน (ซ่ึงเป็นภิกษุ) ภิกษุเหล่านั้นเก็บไว้ในท่ีต่าง ๆ เภสัชก็ไหลเยิ้มเลอะเทอะวิหารก็มากไปด้วยหนู คนทั้งหลายพากันติเตียน พระผู้มีพระภาค จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ให้เก็บเภสัช ๕ ไว้บริโภคได้ไม่เกิน ๗ วัน ถ้าเกิน ๗ วัน ต้อง นิสสัคคยิ ปาจิตตยี ์ สกิ ขาบทที่ ๔ หา้ มแสวงและทำ� ผ้าอาบนำ�้ ฝนเกินก�ำหนด ภิกษุฉัพพัคคีย์ทราบว่าพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตผ้าอาบน�้ำฝน จึงแสวงหาและ ทำ� นงุ่ กอ่ นเวลา (จะถงึ หนา้ ฝน) ตอ่ มาผา้ เกา่ ชำ� รดุ เลยตอ้ งเปลอื ยกายอาบนำ้� ฝน พระผมู้ พี ระภาค ทรงทราบ จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ให้แสวงหาผ้าอาบนำ�้ ฝนได้ภายใน ๑ เดอื นกอ่ นฤดฝู น ให้ทำ� นงุ่ ไดภ้ ายใน ๑๕ วนั กอ่ นฤดูฝน ถา้ แสวงหาหรอื ท�ำกอ่ นก�ำหนดนั้น ต้องนิสสคั คยิ ปาจติ ตีย์ สกิ ขาบทท่ี ๕ ใหจ้ ีวรภิกษุอืน่ แลว้ ห้ามชิงคนื ในภายหลงั พระอุปนนทะ ศากยบุตร ชวนภิกษุรูปหน่ึงเดินทางไปชนบท เธอว่าจีวรช�ำรุดมาก เธอไม่ไป พระอุปนนทะจึงให้จีวรใหม่ ภายหลังภิกษุนั้นปลี่ยนใจจะตามเสด็จพระผู้มีพระภาค พระอุปนนทะโกรธ จึงชิงจีวรคืนมา พระผู้พระภาคทรงทราบ จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษใุ ห้จวี รแกภ่ ิกษอุ นื่ แล้ว โกรธ ไม่พอใจ ชงิ คืนเองหรือใช้ให้ชงิ คืนมา ต้องนิสสคั คิยปาจติ ตีย์ สกิ ขาบทท่ี ๖ ห้ามขอดา้ ยเอามาทอเป็นจีวร ภิกษุฉัพพัคคีย์เท่ียวขอด้ายเขามาให้ช่างหูกทอเป็นจีวร ด้ายเหลือก็ไปขอเขาเพิ่ม ให้ช่างหูกทอเป็นจีวรอีก ด้ายเหลืออีก ก็ไปขอด้ายเขาสมทบ เอาไปให้ช่างหูกทอเป็นจีวรอีก รวม ๓ ครั้ง คนทั้งหลายพากันติเตียน พระผู้พระภาคทรงทราบ จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภกิ ษุขอดา้ ยเขาดว้ ยตนเอง เอามาใหช้ ่างหูกทอเปน็ จวี ร ตอ้ งนสิ สัคคยี ปาจิตตยี ์ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 242 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ นิสสัคคิยกัณฑ์ 243 สกิ ขาบทที่ ๗ หา้ มไปกำ� หนดใหช้ า่ งหูกทอใหด้ ีข้นึ ิว ันย ิปฎก พระอุปนนทะ ศากยบุตร ทราบว่า ชายผู้หนึ่งส่ังภริยาให้จ้างช่างหูกทอจีวรถวาย จึงไปหาช่างหูกส่ังให้เขาทอ ให้ยาว ให้กว้าง ให้แน่น เป็นต้น ด้ายท่ีให้ไว้เดิมไม่พอ ช่างต้องมา ขอด้ายจากหญิงน้ันไปเติมอีกเท่าตัว ชายผู้สามีทราบภายหลังจึงติเตียน พระผู้มีพระภาค ทรงทราบ จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ใจความว่า ภิกษุท่ีเขามิได้ปวารณาไว้ก่อน ไปหาช่างหูกให้ ทออย่างนั้นอย่างนี้ ตนจะให้รางวัลบ้าง คร้ันพูดกับเขาแล้ว ให้แม้ของเพียงเล็กน้อยสักว่า บิณฑบาต ต้องนสิ สัคคิยปาจติ ตีย์ สกิ ขาบทท่ี ๘ หา้ มเก็บผา้ จ�ำนำ� พรรษาไว้เกินก�ำหนด พระผูม้ พี ระภาคทรงอนญุ าต ให้รบั ผ้าจำ� น�ำพรรษา (ทีเ่ ขาถวายแกภ่ ิกษผุ อู้ ยู่จำ� พรรษา ก่อนออกพรรษา) แล้วเก็บไว้ได้ แต่ภิกษุบางรูปเก็บไว้เกินเขตจีวรกาล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบ จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ใหร้ บั ผา้ จำ� นำ� พรรษาไดก้ อ่ นออกพรรษา ๑๐ วนั แตใ่ หเ้ กบ็ ไว้ เพยี งตลอดกาลจีวร๑ เก็บเกินกำ� หนดนั้น ต้องนสิ สัคคยิ ปาจิตตีย์ สิกขาบทท่ี ๙ ห้ามภิกษุอยปู่ ่าเก็บจีวรไว้ในบา้ นเกิน ๖ คืน ภิกษุจ�ำพรรษาแล้ว อยู่ในเสนาสนะป่า พวกโจรรู้ว่ามีจีวร ก็เข้าแย่ง พระผู้มีพระภาค จึงทรงอนญุ าตให้ภกิ ษุอยู่ปา่ เก็บจีวรผืนใดผนื หนง่ึ ไว้ในบา้ นได้ ภิกษจุ ึงเก็บไวใ้ นบา้ นเกนิ ๖ คนื จีวรหายบ้าง หนูกัดบ้าง จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ให้ภิกษุอยู่ป่าเก็บจีวรผืนใดผืนหน่ึงไว้ใน บ้านได้ แต่จะอยู่ปราศจากจีวรน้ันได้ไม่เกิน ๖ คืน ถ้าเกินไป ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เว้นไว้ แตไ่ ดส้ มมติ (คอื สงฆ์ประชุมกนั สวดประกาศเปน็ กรณีพิเศษ) สิกขาบทที่ ๑๐ หา้ มน้อมลาภสงฆ์มาเพอ่ื ตน ภิกษุฉัพพัคคีย์ไปพูดกับคณะบุคคล ซ่ึงเตรียมอาหารและจีวรไว้ถวายแก่สงฆ์ เพ่ือให้เขาถวายแก่ตน เขาถูกรบเร้าหนัก ก็เลยถวายไป ความทราบถึงพระผู้มีพระภาค จึงทรง บญั ญตั ิสิกขาบทวา่ ภกิ ษรุ ้อู ยู่ นอ้ มลาภสงฆม์ าเพ่อื ตน ต้องนิสสัคคยิ ปาจิตตยี ์ ๑ ถ้าจ�ำพรรษาครบ ๓ เดือน เก็บได้หลังจากออกพรรษา ๑ เดือน ถ้าได้กราลกฐิน เก็บต่อได้อีก ๔ เดือน จึงเป็น ๕ เดือน PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 243 5/4/18 2:24 PM
244 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ๒. ปาจิตตยิ กัณฑ์๑ (ว่าด้วยอาบัตปิ าจิตตีย์ ๙๒ สิกขาบท ทไ่ี ม่ตอ้ งสละสง่ิ ของ) กัณฑน์ ี้ มี ๙๒ สิกขาบท แบ่งออกเปน็ ๙ วรรค ๆ ละ ๑๐ สิกขาบท เวน้ แตว่ รรคที่ ๘ มี ๑๒ สกิ ขาบท (๑) มสุ าวาทวรรค วรรควา่ ดว้ ยการพูดปด มี ๑๐ สิกขาบท คือ สกิ ขาบทท่ี ๑ หา้ มพดู ปด พระหัตถกะ ศากยบุตร สนทนากับพวกเดียรถีย์ ปฏิเสธแล้วกลับรับ รับแล้วกลับ ปฏิเสธ กล้าพูดปดท้ัง ๆ รู้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ ภกิ ษุผู้พูดปดทง้ั ๆ รู้ สิกขาบทที่ ๒ หา้ มด่า ภิกษุฉัพพัคคีย์ทะเลาะกับภิกษุผู้มีศีลอันเป็นที่รักอื่น ๆ แล้วด่า แช่ง ด้วยค�ำด่า ๑๐ ประการ คือถ้อยคำ� ทพ่ี าดพงิ ถึงชาติ (ก�ำเนดิ ) ชื่อ โคตร การงาน ศลิ ปะ อาพาธ เพศ กเิ ลส อาบัติ และค�ำด่าท่ีเลว พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์ แกภ่ กิ ษผุ ู้ด่าภกิ ษุอนื่ สกิ ขาบทที่ ๓ ห้ามพูดส่อเสยี ด ภกิ ษุฉพั พคั คยี ์พูดส่อเสยี ดภิกษสุ องฝ่ายซึง่ ทะเลาะกัน ฟงั ความขา้ งนไ้ี ปบอกขา้ งโน้น ฟังความข้างโน้นไปบอกข้างนี้เพื่อให้แตกร้าวกัน ท�ำให้ทะเลาะกันย่ิงข้ึน พระผู้มีพระภาค ทรงทราบ จงึ ทรงบัญญัติสกิ ขาบท ปรบั อาบตั ิปาจติ ตียแ์ ก่ภิกษผุ พู้ ดู สอ่ เสียดภิกษอุ นื่ สกิ ขาบทท่ี ๔ ห้ามกล่าวธรรมพร้อมกบั ผไู้ มไ่ ดบ้ วชในขณะสอน ภิกษุฉัพพัคคีย์สอนอุบาสกท้ังหลายให้กล่าวธรรม (พร้อมกัน) โดยบท ท�ำให้อุบาสก เหลา่ นัน้ ขาดความเคารพในภกิ ษุท้งั หลาย พระผูม้ พี ระภาคจึงทรงบัญญัตสิ กิ ขาบท ปรบั อาบัติ ปาจติ ตยี แ์ กภ่ ิกษุผสู้ อนธรรมแก่อนปุ สมั บัน (คือผูม้ ิไดเ้ ปน็ ภกิ ษหุ รอื ภิกษุณี) พร้อมกันโดยบท ๑ อรรถกถาเรียกว่า ขุททกกัณฑ์ แปลว่า หมวดเล็กน้อย และเรียกนิสสัคคิยกัณฑ์ว่า ติงสกกัณฑ์ แปลว่า หมวด ๓๐ สกิ ขาบท PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 244 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ 245 สิกขาบทท่ี ๕ หา้ มนอนรว่ มกบั อนุปสัมบนั เกนิ ๓ คนื ิว ันย ิปฎก อุบาสกไปฟังธรรม นอนค้างท่ีวัด ในหอประชุม ภิกษุบวชใหม่ก็นอนร่วมกับเขาด้วย เป็นผู้ไม่มีสติสัมปัญญะ นอนเปลือยกาย ละเมอ กรน เป็นที่ติเตียนของอุบาสกเหล่าน้ัน พระผู้มพี ระภาคจึงทรงบญั ญตั สิ ิกขาบท ปรบั อาบัติปาจติ ตยี แ์ ก่ภกิ ษผุ นู้ อนร่วมกบั อนปุ สัมบัน๑ (ผู้มใิ ชภ่ ิกษ)ุ ต่อมาทรงผ่อนผันให้นอนร่วมกันได้ไมเ่ กิน ๓ คืน สิกขาบทท่ี ๖ หา้ มนอนรว่ มกับผู้หญงิ พระอนุรุทธ์เดินทางในโกศลชนบท จะไปสู่กรุงสาวัตถี ขออาศัยในอาคารพักแรม ของหญงิ คนหนงึ่ ตอ่ มามคี นเดนิ ทางมาขออาศยั ในโรงพกั นนั้ อกี หญงิ เจา้ ของบา้ นพอใจในรปู โฉม ของพระอนุรุทธ์ จึงจัดให้พักใหม่ห้องเดียวกับนาง แล้วย่ัวยวนท่านต่าง ๆ ท่านกลับเฉย และ แสดงธรรมให้ฟัง จนหญิงนั้นปฏิญญาตนถึงพระรัตนตรัยตลอดชีวิต พระพุทธเจ้าทรงทราบ จึงทรงบญั ญัตสิ ิกขาบท ปรบั อาบตั ิปาจติ ตยี แ์ กภ่ ิกษุผู้นอนรว่ มกับมาตคุ าม (คือผหู้ ญิง) สกิ ขาบทท่ี ๗ หา้ มแสดงธรรมสองตอ่ สองกับผหู้ ญงิ พระอุทายีแสดงธรรมกระซิบที่หูของสตรี ท�ำให้ผู้อ่ืนสงสัย พระผู้มีพระภาคจึงทรง บัญญัติสิกขาบทห้ามแสดงธรรมแก่สตรี ภายหลังมีเหตุเกิดขึ้น จึงทรงบัญญัติเพิ่มเติมว่า ภิกษแุ สดงธรรมแก่มาตคุ าม (สตรี) เกนิ ๖ ค�ำ ต้องปาจติ ตยี ์ เวน้ แตม่ ชี ายผรู้ ู้เดียงสาอยู่ สกิ ขาบทที่ ๘ หา้ มบอกคณุ วิเศษทีม่ จี รงิ แก่ผู้มไิ ด้บวช พระพุทธเจ้าทรงปรารภเร่ืองเช่นเดียวกับท่ีเกิดขึ้นในปาราชิก สิกขาบทท่ี ๔ คือ อวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน แต่คราวนี้ ทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้บอก คุณวเิ ศษท่มี จี รงิ แก่ผูม้ ิได้บวช (มไิ ด้เปน็ ภิกษุ หรือภกิ ษณุ )ี สิกขาบทที่ ๙ หา้ มบอกอาบัติชว่ั หยาบของภกิ ษุ แกผ่ ู้มไิ ด้บวช ภิกษุฉัพพัคคีย์ทะเลาะกับพระอุปนนทะ ศากยบุตร เลยแกล้งประจานพระอุปนนทะ กับพวกอุบาสก ที่ก�ำลังเล้ียงพระว่า พระอุปนนทะต้องอาบัติสังฆาทิเสสสิกขาบทท่ี ๑ พระผู้มี พระภาคทรงทราบ จึงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่อนุปสัมบัน (ผู้มิได้เปน็ ภิกษุ หรอื ภิกษุณ)ี ตอ้ งปาจิตตีย์ เว้นไว้แต่ได้รับสมมติ ๑ ในทน่ี ้ี หมายถึงผชู้ าย แต่ในสกิ ขาบทท่ี ๔ หมายรวมท้งั หญิงและชาย PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 245 5/4/18 2:24 PM
246 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ สิกขาบทที่ ๑๐ หา้ มขุดดนิ หรือใชใ้ หข้ ดุ ภกิ ษชุ าวเมอื งอาฬวที ำ� การกอ่ สรา้ ง จงึ ขดุ ดนิ เองบา้ ง ใชใ้ หผ้ อู้ นื่ ขดุ บา้ ง มนษุ ยท์ ง้ั หลาย พากันติเตียนว่าผิดประเพณีนิยมของสมณะ พระผู้มีพระภาค (ทรงอนุโลมตามประเพณี ท่ีถือว่าแผ่นดินเป็นของมีชีวิต คือมีอินทรีย์หน่ึง) จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุขุด๑ ดินเอง หรอื ใชใ้ ห้ผอู้ น่ื ขุด ต้องปาจิตตีย์ (๒) ภตู คามวรรค วรรควา่ ด้วยพืชพนั ธ์ไุ ม้ มี ๑๐ สิกขาบท คอื สิกขาบทที่ ๑ หา้ มท�ำลายต้นไม้ ภิกษุชาวเมืองอาฬวีท�ำการก่อสร้าง จึงตัดต้นไม้เองบ้าง ใช้ให้ผู้อ่ืนตัดบ้าง มนุษย์ ท้ังหลายพากันติเตียน ด้วยถือว่าต้นไม้มีชีวิต มีอินทรีย์หนึ่ง พระผู้มีพระภาค (ทรงอนุโลม ตามสมมติของชาวโลก) จงึ ทรงบญั ญตั ิสกิ ขาบท ปรบั อาบตั ปิ าจิตตยี ์แกภ่ ิกษุผู้ท�ำใหต้ ้นไม้ตาย๒ (ต้นไม้มี ๕ อย่าง คือท่ีมีหัวเป็นพืช เช่น ขิง มีล�ำต้นเป็นพืช เช่น ไทร มีปล้องเป็นพืช เชน่ ออ้ ย ไมไ้ ผ่ มยี อดเป็นพืช เช่น ผักชีล้อม มีเมล็ดเปน็ พชื เช่น ขา้ ว ถวั่ ) สกิ ขาบทท่ี ๒ หา้ มพดู เฉไฉเม่อื ถูกสอบสวน พระฉนั นะประพฤตอิ นาจาร ถกู โจทอาบตั ใิ นทา่ มกลางสงฆ์ กลบั พดู เฉไฉไปตา่ ง ๆ บา้ ง นิ่งเสียบ้าง พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุ ผู้พดู ไปอย่างอ่ืน ผทู้ ำ� สงฆใ์ ห้ล�ำบาก (ดว้ ยการนงิ่ ในเม่อื ถกู ไต่สวนในทา่ มกลางสงฆ)์ สกิ ขาบทที่ ๓ ห้ามตเิ ตียนภกิ ษุผู้ทำ� การสงฆ์โดยชอบ ภิกษุท้ังหลายซ่ึงมีพระเมตติยะและพระภุมมชกะเป็นหัวหน้า ติเตียน บ่นว่า พระทัพพมัลลบุตร ผู้แจกเสนาสนะ แจกภัตต์ พระผู้มีพระภาคทรงสอบสวนแล้ว จึงทรง บญั ญตั สิ กิ ขาบท ปรบั อาบตั ปิ าจิตตีย์แก่ภกิ ษุผู้ตเิ ตียน บ่นว่า (ภกิ ษุผู้ทำ� การสงฆ์โดยชอบ) สิกขาบทท่ี ๔ หา้ มทงิ้ เตยี งต่งั ของสงฆไ์ ว้กลางแจ้ง ภกิ ษทุ ง้ั หลายนำ� เสนาสนะ (ทน่ี อนทนี่ ง่ั ) มาไวก้ ลางแจง้ ในฤดหู นาว ผงิ แดดแลว้ หลกี ไป ไมเ่ กบ็ ไมใ่ ชใ้ หผ้ อู้ นื่ เกบ็ ไมบ่ อกใหใ้ ครรบั รู้ เสนาสนะถกู หมิ ะตกใส่ (เปยี กชมุ่ ) พระผมู้ พี ระภาค ๑ หมายถึงดินท่ีฝนตกรดแล้วเกิน ๔ เดือน สิกขาบทน้ีน่าจะเห็นว่าเป็นการป้องกันการท�ำให้สัตว์ในดินเช่นไส้เดือน ๒ ตายดว้ ย ในตัวสกิ ขาบทนี้ แปลจากค�ำว่า ภตู คาม ค�ำวา่ ต้นไม้ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 246 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ 247 จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุต้ังไว้เอง หรือใช้ผู้อื่นให้ตั้งไว้ซ่ึงเตียง ตั่ง ฟูก เก้าอี้ของสงฆ์ ิว ันย ิปฎก ในกลางแจ้ง เมื่อหลีกไป ไม่เก็บเอง ไม่ใช้ให้ผู้อ่ืนเก็บ หรือไปโดยไม่บอกกล่าวให้ใครรับรู้ ต้องปาจิตตีย์ ต่อมาทรงอนุญาตพิเศษให้เก็บเสนาสนะ ในมณฑปหรือท่ีโคนไม้ ซึ่งสังเกตว่า ฝนจะไม่ตกรั่วรด กาเหยี่ยวจะไม่ถ่ายมูลรดได้ตลอด ๘ เดือน (แห่งฤดูหนาวและฤดูร้อน ฤดูละ ๔ เดอื น) สิกขาบทที่ ๕ หา้ มปล่อยท่ีนอนไว้ ไม่เก็บงำ� ภกิ ษพุ วก ๑๗ รปู ปทู นี่ อนในวหิ ารของสงฆแ์ ลว้ หลกี ไป ไมเ่ กบ็ เอง หรอื ใชใ้ หผ้ อู้ น่ื เกบ็ หรือบอกให้ใครรับรู้ ปลวกกินเสนาสนะ พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุปู หรือให้ปูที่นอนในวิหารของสงฆ์แล้ว เมื่อหลีกไป ไม่เก็บเอง หรือไม่ใช้ให้ผู้อ่ืนเก็บ หรอื ไม่บอกกลา่ วใหใ้ ครรับรู้ ตอ้ งปาจิตตีย์ สิกขาบทที่ ๖ หา้ มนอนแทรกภกิ ษุผู้เข้าไปอยู่ก่อน ภิกษุฉัพพัคคีย์หาวิธีแย่งที่อยู่ภิกษุอื่น โดยเข้าไปนอนเบียดภิกษุเถระ ด้วยคิดว่า เธออึดอัดเข้าก็จะหลีกไปเอง พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุรู้อยู่ เข้าไปนอน เบียดผู้เข้าไปอยู่ก่อนในวิหารของสงฆ์ ด้วยคิดว่า เธออึดอัดก็จะหลีกไปเอง เธอมุ่งอย่างนี้ เทา่ น้ัน ไม่ใชอ่ ยา่ งอื่น ตอ้ งปาจติ ตีย์ สิกขาบทท่ี ๗ หา้ มฉุดครา่ ภกิ ษอุ อกจากวหิ ารของสงฆ์ ภกิ ษุฉัพพคั คยี ์ (พวก ๖) แย่งทีภ่ ิกษุสตั ตรสวคั คีย์ (พวก ๑๗) เม่อื เห็นขดั ขืนกโ็ กรธ จงึ จบั คอฉดุ ครา่ ออกไป พระผมู้ พี ระภาคทรงทราบ จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษโุ กรธ ไมพ่ อใจ ฉดุ ครา่ เองกด็ ี ใช้ใหผ้ อู้ ื่นฉดุ ครา่ กด็ ี ซึง่ ภกิ ษุ จากวหิ ารของสงฆ์ ตอ้ งปาจติ ตยี ์ สิกขาบทท่ี ๘ ห้ามนั่งนอนทับเตยี งหรอื ต่ังที่อยชู่ ั้นบน ภกิ ษุ ๒ รปู อยใู่ นกฎุ เี ดยี วกนั เตยี งหนง่ึ อยขู่ า้ งลา่ ง เตยี งหนงึ่ อยขู่ า้ งบน ภกิ ษอุ ยขู่ า้ งบน น่ังบนเตียงโดยแรง เท้าเตียงหลุด ตกลงถูกศีรษะของภิกษุผู้อยู่ข้างล่าง พระผู้มีพระภาคจึง ทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุนั่งนอนบนเตียงหรือตั่งอันมีเท้าเสียบ (ในตัวเตียง) ในวิหาร ของสงฆ์ ตอ้ งปาจติ ตยี ๑์ ๑ จากสิกขาบทนเ้ี ป็นอนั ให้เลิกใชท้ อ่ี ยชู่ นดิ น้นั เวน้ แตจ่ ะทำ� ให้แน่นหนา PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 247 5/4/18 2:24 PM
248 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ สิกขาบทท่ี ๙ ห้ามพอกหลงั คาวหิ ารเกิน ๓ ชั้น มหาอำ� มาตยผ์ ูอ้ ุปฐากของพระฉันนะใหส้ รา้ งวหิ ารถวายพระ เมื่อเสรจ็ แล้ว พระฉนั นะ อ�ำนวยการพอกหลังคาพอกปูนบ่อย ๆ วิหารก็เลยพังลงมา พระฉันนะเก็บหญ้า เก็บไม้ ได้ท�ำข้าวของพราหมณ์ผู้หน่ึงให้เสียหาย พราหมณ์ยกโทษติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรง บญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ถา้ ภกิ ษจุ ะใหท้ ำ� วหิ ารใหญ่ พงึ ยนื ในทไี่ มม่ ขี องเขยี ว (พชื พนั ธไ์ุ ม)้ อำ� นวยการ พอกหลังคาไม่เกิน ๓ ช้ัน จนจดกรอบประตูเพ่ือตั้งบานประตูได้ เพ่ือทาสีหน้าต่างได้ ถ้าท�ำให้ เกนิ กว่านน้ั แมย้ นื ในท่ีปราศจากของเขยี ว ตอ้ งอาบัตปิ าจิตตยี ์ สกิ ขาบทท่ี ๑๐ หา้ มเอานำ้� มีตวั สตั วร์ ดหญา้ หรือดนิ ภิกษุชาวเมืองอาฬวีท�ำการก่อสร้าง รู้อยู่ว่าน�้ำมีตัวสัตว์ เอาน้�ำน้ันรดหญ้าบ้าง ดินบ้าง ใช้ให้รดบ้าง เป็นที่ติเตียนของภิกษุท้ังหลาย พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุรอู้ ยู่ เอาน้ำ� มตี ัวสตั ว์รดหญ้า หรือดนิ หรอื ใชใ้ หผ้ ู้อ่ืนรด ตอ้ งปาจติ ตยี ์ (๓) โอวาทวรรค วรรคว่าดว้ ยการใหโ้ อวาท มี ๑๐ สิกขาบท คือ สิกขาบทท่ี ๑ ห้ามสอนนางภิกษณุ เี มือ่ มิไดร้ ับมอบหมาย ภิกษุฉัพพัคคีย์เห็นภิกษุอื่น ๆ สอนนางภิกษุณีแล้วได้ของถวายต่าง ๆ อยากจะมี ลาภบ้าง จงึ แจ้งความประสงคแ์ กน่ างภิกษณุ ีท้ังหลาย เม่ือนางภกิ ษณุ ไี ปสดับโอวาทกส็ อนเพียง เล็กน้อย แล้วชวนสนทนาเร่ืองไร้สาระโดยมาก พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุที่ไม่ได้รับสมมุติจากสงฆ์ สอนนางภิกษุณีต้องปาจิตตีย์ ภายหลังภิกษุฉัพพัคคีย์หา ทางสมมตกิ นั เองในทนี่ อกสีมา (เพราะจำ� นวน ๖ รูป พอท่จี ะเปน็ จ�ำนวนสงฆ์) พระผ้มู พี ระภาค จึงทรงก�ำหนดคุณสมบัติเพิ่มเติมส�ำหรับภิกษุท่ีจะสอนนางภิกษุณีถึง ๘ ข้อ โดยก�ำหนดให้มี พรรษาถึง ๒๐ หรือเกินกวา่ เปน็ ขอ้ สุดทา้ ย สกิ ขาบทที่ ๒ ห้ามสอนนางภกิ ษุณตี ้ังแตอ่ าทติ ย์ตกแล้ว พระจูฬปันถกสอนนางภิกษุณีจนค�่ำ มนุษย์ทั้งหลายติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรง บัญญตั สิ ิกขาบทว่า เม่ืออาทติ ย์ตกแล้ว ภิกษุสอนนางภิกษณุ ี ต้องปาจติ ตยี ์ สกิ ขาบทท่ี ๓ หา้ มไปสอนนางภกิ ษณุ ถี งึ ทอี่ ยู่ ภิกษุฉัพพัคคีย์เข้าไปสอนนางภิกษุณีถึงท่ีอยู่ นางภิกษุณีทั้งหลายติเตียน พระผู้มี พระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุไปสอนนางภิกษุณีถึงที่อยู่ ต้องปาจิตตีย์ ภายหลัง ทรงผ่อนผันใหเ้ มอื่ นางภกิ ษณุ ีเจ็บไข้ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 248 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ 249 สิกขาบทท่ี ๔ หา้ มติเตียนภกิ ษอุ ่นื วา่ สอนนางภกิ ษณุ เี พราะเห็นแก่ลาภ ิว ันย ิปฎก ภิกษุฉัพพัคคีย์กล่าวว่า พระเถระท้ังหลายสอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่อามิส พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุพูดว่า ภิกษุทั้งหลายสอนนางภิกษุณี เพราะเห็นแก่อามิส ต้องปาจิตตีย์ (ห้ามประจานกันเอง แม้เห็นแก่อามิสจริง ถ้าเท่ียวพูดไป กต็ อ้ งอาบตั ทิ ุกกฏ) สกิ ขาบทท่ี ๕ หา้ มใหจ้ ีวรแกน่ างภกิ ษุณผี ้มู ใิ ชญ่ าติ ภิกษุรูปหนึ่งให้จีวรแก่นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรง บัญญัตสิ ิกขาบทวา่ ภิกษใุ หจ้ วี รแกน่ างภิกษุณีผู้มใิ ชญ่ าติ ต้องปาจติ ตยี ์ สกิ ขาบทที่ ๖ ห้ามเยบ็ จวี รใหน้ างภิกษุณผี ู้มิใชญ่ าติ พระอุทายีเย็บจีวรให้นางภิกษุณี มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ว่า ภิกษุเย็บเอง หรอื ใช้ผ้อู น่ื ใหเ้ ย็บจีวร เพอ่ื ใหน้ างภกิ ษุณีผ้มู ิใชญ่ าติ ตอ้ งปาจิตตยี ์ สิกขาบทที่ ๗ หา้ มเดินทางไกลร่วมกบั นางภิกษุณี ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ช์ วนนางภกิ ษณุ เี ดนิ ทางไกลรว่ มกนั มผี ตู้ เิ ตยี น พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรง บญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษชุ วนนางภกิ ษณุ เี ดนิ ทางไกลรว่ มกนั แมช้ วั่ ระยะบา้ นหนง่ึ ตอ้ งปาจติ ตยี ์ ภายหลังทรงผอ่ นผนั ให้เดนิ ทางรว่ มกนั ได้ เม่อื ทางนัน้ มภี ัย ตอ้ งไปเปน็ คณะ๑ สิกขาบทท่ี ๘ ห้ามชวนนางภิกษุณีเดนิ ทางเรอื รว่ มกัน ภิกษุฉัพพัคคีย์ชวนนางภิกษุณีไปในเรือล�ำเดียวกัน มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึง ทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุชวนนางภิกษุณีลงเรือล�ำเดียวกันข้ึนหรือล่อง ต้องปาจิตตีย์ ภายหลงั ทรงผอ่ นผนั ให้ขา้ มฟากได้ สิกขาบทที่ ๙ ห้ามฉนั อาหารทน่ี างภกิ ษุณไี ปแนะใหเ้ ขาถวาย นางถลุ ลนนั ทาภกิ ษณุ เี ทย่ี วไปสตู่ ระกลู แนะนำ� ใหเ้ ขาถวายอาหารแกพ่ ระเทวทตั กบั พวก มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุรู้อยู่ ฉันบิณฑบาตท่ีนางภิกษุณี แนะให้เขาถวาย ตอ้ งปาจติ ตีย์ ภายหลงั ทรงผอ่ นผันให้ วา่ ถา้ คฤหัสถ์เขาเรมิ่ ไว้เองก่อน ฉันได้ ๑ สตถฺ คมนโี ย แปลไดส้ องอยา่ ง คอื เปน็ ทางทตี่ อ้ งไปดว้ ยหมเู่ กวยี น ซง่ึ ถอื เอาความวา่ ตอ้ งไปเปน็ คณะ อกี อยา่ งหนงึ่ แปลว่า ต้องไปดว้ ยศัสตรา คือตอ้ งมีศัสตราวุธ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 249 5/4/18 2:24 PM
250 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ สิกขาบทท่ี ๑๐ ห้ามนงั่ ในท่ีลับสองต่อสองกับนางภิกษณุ ี พระอทุ ายนี ง่ั ในทลี่ บั สองตอ่ สองกบั นางภกิ ษณุ ผี เู้ ปน็ อดตี ภรยิ าของตนเสมอ มผี ตู้ เิ ตยี น พระผู้มีพระภาคจงึ ทรงบญั ญตั ิสกิ ขาบทวา่ ภกิ ษนุ ง่ั ในทลี่ บั สองตอ่ สองกับภิกษุณี ตอ้ งปาจิตตยี ์ (๔) โภชนวรรค วรรควา่ ด้วยการฉนั อาหาร มี ๑๐ สิกขาบท คอื สิกขาบทที่ ๑ หา้ มฉนั อาหารในโรงพกั เดินทางเกิน ๑ มื้อ ภิกษุฉัพพัคคีย์ไปฉันอาหารในโรงพักเดินทางที่คณะเจ้าของเขาจัดอาหารให้เป็นทาน แกค่ นเดนิ ทางทม่ี าพกั แลว้ เลยถอื โอกาสไปพกั และฉนั เปน็ ประจำ� เปน็ ทตี่ เิ ตยี น พระผมู้ พี ระภาค จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุพึงฉันอาหารในโรงพักเพียงม้ือเดียว ถ้าฉันเกินกว่าน้ัน ตอ้ งปาจติ ตยี ์ ภายหลังทรงผอ่ นผันให้ภิกษไุ ข้ ซง่ึ เดินทางต่อไปไมไ่ หวฉนั เกินมอ้ื เดยี วได้ สกิ ขาบทท่ี ๒ ห้ามฉนั อาหารรวมกลุ่ม พระเทวทัตเสื่อมลาภสักการะ จึงต้องเท่ียวขออาหารเขาตามสกุล ฉันรวมกลุ่มกับ บริษัทของตน มนุษย์ท้ังหลายพากันติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุฉันอาหารรวมกัน๑ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ภายหลังทรงผ่อนผันให้เมื่อเป็นไข้ เมื่อถึงหน้า ถวายจีวร เมื่อถึงคราวท�ำจีวร เมื่อเดินทางไกล เม่ือไปทางเรือ เม่ือประชุมกันอยู่มาก ๆ เม่ือนักบวช๒ เป็นเจ้าภาพเลี้ยงอาหาร สกิ ขาบทที่ ๓ หา้ มรบั นิมนตแ์ ลว้ ไปฉันอาหารทอ่ี นื่ ๓ กรรมกรผู้ยากจนคนหน่ึงนิมนต์ภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขไปฉันท่ีบ้าน ภิกษทุ ง้ั หลายไปเท่ยี วบณิ ฑบาตฉันเสียกอ่ น (อาจจะเกรงวา่ อาหารเลวหรอื ไม่พอฉนั ) เมอ่ื ไปฉนั ท่ีบ้านกรรมกรคนนั้นจึงฉันได้เพียงเล็กน้อย (เพราะอ่ิมมาก่อนแล้ว) ความจริงอาหารเหลือเฟือ เพราะชาวบ้านรู้ข่าวเอาของไปช่วยมาก พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า เป็นอาบัติ ปาจิตตีย์ เพราะรับนิมนต์แล้วไปฉันอาหารรายอ่ืนก่อน ภายหลังทรงผ่อนผันให้ในยามเจ็บไข้ ในหนา้ ถวายจีวร ในคราวท�ำจีวร มอบให้ภกิ ษอุ ื่นฉนั ในท่นี มิ นต์แทน ๑ การฉนั อาหารเป็นคณะ ในทนี่ ี้ หมายถึง ๔ รูปขนึ้ ไป หมายถงึ นกั บวชนอกพทุ ธศาสนา - ม.พ.ป. ๒๓ ทำ� ใหเ้ จ้าของบา้ นท่นี ิมนตเ์ สียใจว่าเขาเลี้ยงไมอ่ ิม่ หรอื อยา่ งไร PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 250 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ 251 สกิ ขาบทท่ี ๔ ห้ามรบั บิณฑบาตเกนิ ๓ บาตร ิว ันย ิปฎก มารดานางกาณาทำ� ขนมไวจ้ ะใหบ้ ตุ รนี ำ� ไปสสู่ กลุ แหง่ สามี ภกิ ษเุ ขา้ ไปรบั บณิ ฑบาตแลว้ กลับบอกกนั ต่อไปใหไ้ ปรบั นางจงึ ต้องถวายจนหมด แม้คร้ังท่ี ๒ ครั้งท่ี ๓ ทีท่ ำ� ขนมก็เกดิ เรือ่ ง ทำ� นองนี้ จนบตุ รขี องนางกาณาไมไ่ ดไ้ ปสู่สกลุ สามีสกั ที ท�ำใหเ้ กดิ ความเสยี หายแก่บตุ รีของนาง พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุเข้าไปสู่สกุล ถ้าเขาปรารณาด้วยขนมหรือ ด้วยข้าวสัตตุผง เพื่อน�ำไปได้ตามปรารถนา พึงรับเพียงเต็ม ๒ - ๓ บาตร ถ้ารับเกินกว่านั้น ตอ้ งปาจิตตีย์ ทางท่ีชอบ ภิกษุรบั ๒ - ๓ บาตรแล้ว พงึ น�ำไปแบ่งกบั ภกิ ษทุ ั้งหลาย สิกขาบทท่ี ๕ ห้ามฉนั อกี เม่อื ฉนั ในที่นมิ นตเ์ สร็จแล้ว ภกิ ษรุ บั นมิ นตไ์ ปฉนั บา้ นพราหมณค์ นหนง่ึ แลว้ บางรปู ไปฉนั ทอี่ นื่ หรอื ไปรบั บณิ ฑบาต อกี พราหมณต์ เิ ตียน แสดงความน้อยใจ จึงทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษฉุ ันเสร็จแล้วบอกไม่ รับอาหารที่เขาเพิ่มให้แล้ว เค้ียวหรือฉันของเค้ียวของฉัน ต้องปาจิตตีย์ ภายหลังทรงอนุญาต ใหฉ้ ันอาหารที่เป็นเดนได้ สกิ ขาบทท่ี ๖ หา้ มพูดใหภ้ กิ ษุทีฉ่ นั แลว้ ฉันอีกเพอ่ื จบั ผดิ ภกิ ษรุ ปู หนง่ึ รวู้ า่ ภกิ ษอุ กี รปู หนงึ่ ฉนั ในทนี่ มิ นตเ์ สรจ็ แลว้ แกลง้ แคน่ ไคใ้ หฉ้ นั อาหารอกี เพ่ือจับผิดเธอ (ตามสิกขาบที่ ๕) พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษผุ ู้ทำ� เช่นนน้ั สิกขาบทที่ ๗ หา้ มฉันอาหารในเวลาวิกาล ภิกษุพวก ๑๗ ฉันอาหารในเวลาวิกาล พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์ แกภ่ ิกษุผูฉ้ นั อาหารในเวลาวกิ าล (ต้งั แตเ่ ทยี่ งไปจนรงุ่ อรุณ) สิกขาบทที่ ๘ ห้ามฉันอาหารทเี่ กบ็ ไว้คา้ งคนื พระเวลัฏฐสีสะเก็บข้าวตากไว้ฉันในวันอื่น พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบตั ปิ าจิตตียแ์ กภ่ ิกษุผฉู้ นั อาหารที่เกบ็ ไวค้ ้างคืน สิกขาบทที่ ๙ ห้ามขออาหารประณตี มาเพือ่ ฉันเอง ภิกษฉุ ัพพัคคยี ์ขออาหารประณีต คือ เนยใส เนยข้น นำ�้ มนั น้ำ� ผึง้ นำ�้ ออ้ ย ปลา เนอ้ื นมสด นมส้ม มาเพ่ือฉันเอง เป็นท่ีติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบตั ปิ าจิตตยี ์ แกภ่ ิกษุผู้ท�ำเช่นน้นั เวน้ ไว้แตอ่ าพาธ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 251 5/4/18 2:24 PM
252 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ สิกขาบทที่ ๑๐ หา้ มฉันอาหารท่ีมิได้รับประเคน ภิกษุรูปหนึ่งไม่ชอบรับอาหารที่มนุษย์ถวาย จึงไปถือเอาเคร่ืองเซ่น ที่เขาทิ้งไว้ตาม สุสานบ้าง ตามต้นไม้บ้าง ตามหัวบันไดบ้าง มาฉัน เป็นที่ติเตียนของคนทั้งหลาย พระผู้มี พระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ฉันอาหารท่ีเขามิได้ให้ (ประเคน) เว้นไว้แตน่ �ำ้ และไมส้ ฟี ัน (๕) อเจลกวรรค วรรควา่ ดว้ ยชีเปลือย มี ๑๐ สิกขาบท คือ สิกขาบทท่ี ๑ ห้ามยน่ื อาหารด้วยมอื ให้ชีเปลอื ยและนักบวชอน่ื ๆ๑ ขนมเกิดข้ึนแก่สงฆ์ (เหลือเฟือ) พระผู้มีพระภาคจึงทรงโปรดให้พระอานนท์แจก เป็นทานแก่คนอดอยาก พระอานนท์จึงแจก มีนักบวชนอกศาสนาที่เป็นผู้หญิงมารับแจกด้วย เผอิญใหเ้ กนิ ไป ๑ กอ้ นแกน่ ักบวชหญงิ น้นั ด้วยเข้าใจผิด พวกเขาเองจงึ ล้อกนั ว่า พระอานนท์ เปน็ ชขู้ องหญงิ นน้ั และภิกษุรปู หน่ึงฉันเสรจ็ ก็เอาข้าวสุกคลกุ เนยใสให้แก่อาชวี กผู้หนึง่ มผี ้เู ห็น ว่าไม่เหมาะสม (เพราะการยื่นให้ด้วยมือ แสดงคล้ายเป็นศิษย์ หรือคฤหัสถ์ประเคนของ พระ จะกลายเป็นเหยียดตัวเองลงเป็นคฤหัสถ์) พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท หา้ มใหอ้ าหารแกช่ เี ปลอื ย แกป่ รพิ พาชก แกป่ รพิ พาชกิ า ดว้ ยมอื ของตน ทรงปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี ์ แกภ่ ิกษผุ ู้ลว่ งละเมิด สิกขาบทท่ี ๒ ห้ามชวนภิกษไุ ปบณิ ฑบาตด้วยแล้วไล่กลับ พระอุปนนทะ ศากยบุตร ชวนภิกษรุ ูปหนงึ่ ไปเท่ยี วบณิ ฑบาตดว้ ยกนั แล้วไล่เธอกลบั พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามท�ำเช่นนั้น ทรงปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุ ผู้ลว่ งละเมิด สกิ ขาบทท่ี ๓ ห้ามเข้าไปแทรกแซงในสกลุ ท่ีมคี น ๒ คน๒ พระอุปนนทะ ศากยบุตร เข้าไปในสกุลท่ีมีสามีภริยาเขาน่ังอยู่ด้วยกัน ได้ภิกษาแล้ว สามไี ลใ่ หก้ ลบั แตภ่ รยิ านมิ นตใ์ หน้ งั่ อยกู่ อ่ น จงึ นง่ั อยู่ เขาไลถ่ งึ ๓ ครงั้ กไ็ มก่ ลบั พระผมู้ พี ระภาค จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามภิกษุเข้าสู่สกุลที่มีสามีภริยาอยู่ด้วยกัน ทรงปรับอาบัติปาจิตตีย์ แกภ่ ิกษุผลู้ ่วงละเมดิ ๑ วางใหไ้ ม่เป็นอาบตั ิ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส ทรงตคี วามไปอยา่ งอนื่ วา่ สกลุ ทเ่ี ขากำ� ลงั บรโิ ภคอาหารกนั อยู่ สมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ๒ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 252 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ 253 สกิ ขาบทที่ ๔ หา้ มนัง่ ในที่ลบั มที ่กี ำ� บังกบั มาตคุ าม ิว ันย ิปฎก พระอุปนนทะ ศากยบุตร ไปสู่เรือนสหาย นั่งในที่ลับมีท่ีก�ำบังกับภริยาของสหายน้ัน เขาตเิ ตยี น พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท หา้ มนงั่ ในทลี่ บั มที กี่ ำ� บงั กบั มาตคุ าม (ผหู้ ญงิ ) ทรงปรับอาบัติปาจติ ตียแ์ ก่ภิกษุผู้ลว่ งละเมิด สกิ ขาบทท่ี ๕ หา้ มนง่ั ในท่ีลับ (หู) สองตอ่ สองกบั มาตุคาม พระอุปนนทะ ศากยบุตร ไปส่เู รือนสหาย นง่ั ในท่ลี ับ (ห)ู กับภรยิ าของสหายนั้นสอง ตอ่ สอง เขาตเิ ตียน พระผมู้ ีพระภาคจงึ ทรงบัญญตั ิสิกขาบท หา้ มนง่ั ในท่ลี บั (ห)ู สองตอ่ สองกบั มาตคุ าม ทรงปรับอาบัตปิ าจติ ตยี ์แกภ่ ิกษผุ ้ลู ว่ งละเมิด สิกขาบทที่ ๖ หา้ มรบั นมิ นตแ์ ลว้ ไปท่อี ่นื ไมบ่ อกลา พระอุปนนทะ ศากยบุตร รับนิมนต์ไปฉันในท่ีแห่งหนึ่งแล้ว ไปสู่สกุลอ่ืนเสียก่อน ท�ำให้ภิกษุอื่น และเจ้าของบ้านที่นิมนต์ไว้ต้องคอย พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามทำ� เชน่ นั้น ภายหลังมีเหตเุ กดิ ขน้ึ จึงทรงบญั ญตั ิเพิม่ เตมิ หลายครัง้ รวมความในสิกขาบทนี้ ว่า ภิกษุรับนิมนต์แล้ว ไม่บอกลาภิกษุท่ีมีอยู่ (ในวัด) เท่ียวไปในสกุลท้ังหลายก่อนฉันก็ดี ภายหลงั ฉนั ก็ดี เว้นแต่สมยั คอื คราวถวายจวี ร และคราวท�ำจวี ร ต้องอาบัตปิ าจิตตยี ์ สกิ ขาบทท่ี ๗ หา้ มขอของเกินก�ำหนดเวลาทเ่ี ขาอนญุ าตไว้ มหานาม ศากยะ ปวารณาต่อภิกษุสงฆ์ ให้ขอเภสัชได้ตลอด ๔ เดือน แล้วปวารณา ต่ออีก ๔ เดือน แล้วปวารณาต่อจนตลอดชีวิต ภิกษุฉัพพัคคีย์ขอเนยใส ในขณะท่ีคนใช้ของ มหานาม ศากยะ ไปท�ำงาน แม้จะถูกขอร้องให้คอยก็ไม่ยอม กลับพูดว่า ปวารณาแล้วไม่ให้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุไม่เป็นไข้ พึงขอปัจจัยส�ำหรับภิกษุไข้ที่เขา ปวารณา ๔ เดือนได้ ถ้าขอเกินก�ำหนดน้ัน เว้นไว้แต่เขาปวารณาอีก และปวารณาตลอดชีวิต ตอ้ งปาจิตตยี ์ (ไมเ่ ปน็ ไข้ขอไม่ได้ แสร้งขอในเมือ่ ไมม่ ีความจ�ำเปน็ กไ็ ม่ได)้ สิกขาบทท่ี ๘ หา้ มไปดูกองทพั ทยี่ กไป ภิกษุฉัพพัคคีย์ไปดูกองทัพที่ยกไป พระเจ้าปเสนทิทอดพระเนตรเห็นก็ทรงทักท้วง คนทั้งหลายพากันติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุไปดูกองทัพ ทเี่ ขายกไป ตอ้ งปาจติ ตยี ์ ภายหลังทรงอนญุ าตให้ไปในกองทัพได้เมอื่ มเี หตสุ มควร PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 253 5/4/18 2:24 PM
254 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ สกิ ขาบทที่ ๙ ห้ามพักอยู่ในกองทพั เกนิ ๓ คืน ภิกษุฉัพพัคคีย์มีเหตุจ�ำเป็นไปในกองทัพ และพักอยู่เกิน ๓ คืน มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า เมื่อมีเหตุจ�ำเป็นจะต้องไปในกองทัพ ภิกษุจะพัก อย่ใู นกองทพั ได้ไมเ่ กิน ๓ ราตรี ถ้าอยู่เกนิ กวา่ น้นั ตอ้ งปาจิตตยี ์ สิกขาบทท่ี ๑๐ ห้ามดเู ขารบกัน เปน็ ต้น เม่ือไปในกองทพั ภิกษุฉัพพัคคีย์มีเหตุจ�ำเป็นต้องไปพักในกองทัพ ๒ - ๓ ราตรี เธอได้ไปดูการรบ การตรวจพล การจัดทัพ และดูทัพท่ีจัดเป็นกระบวนเสร็จแล้ว ภิกษุรูปหนึ่งในจ�ำนวน ๖ รูป ถูกลูกเกาทัณฑ์ (เพราะไปดูเขารบกัน) เป็นท่ีเยาะเย้ยติเตียนของคนทั้งหลาย พระผู้มีพระภาค จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามภิกษุที่พักอยู่ในกองทัพ ๒ - ๓ ราตรี ไปดูการรบ การตรวจพล การจดั ทัพ และทัพทีจ่ ดั เปน็ ขบวนเสรจ็ แลว้ ทรงปรบั อาบตั ปิ าจิตตยี แ์ กภ่ กิ ษผุ ลู้ ว่ งละเมดิ (๖) สรุ าปานวรรค วรรควา่ ดว้ ยการดื่มสรุ า มี ๑๐ สิกขาบท คือ สกิ ขาบทที่ ๑ ห้ามดืม่ สุราเมรัย พระสาคตะปราบนาค (งูใหญ่) ของพวกชฎิลได้ ชาวบ้านดีใจ ปรึกษากันว่าจะถวาย อะไรดที ีห่ าได้ยาก ภิกษุฉพั พคั คียแ์ นะใหถ้ วายเหล้าใส สีแดงดงั่ เทา้ นกพริ าบ ชาวบา้ นจึงเตรยี ม เหล้าแดงไว้ และถวายให้พระสาคตะด่ืม พระสาคตะเมานอนอยู่ท่ีประตูเมือง พระผู้มีพระภาค จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามภิกษุด่ืมสุรา (น้�ำเมาท่ีกล่ัน) และเมรัย (น้�ำเมาท่ีหมักหรือดอง) ทรงปรบั อาบัติปาจิตตีย์แกภ่ กิ ษุผู้ลว่ งละเมิด สกิ ขาบทท่ี ๒ ห้ามจี้ภกิ ษุ ภกิ ษฉุ พั พคั คยี เ์ อานว้ิ มอื จภี้ กิ ษสุ ตั ตรสวคั คยี ์ (พวก ๑๗) รปู หนง่ึ เธอสะดงุ้ เลยขาดใจ ตาย พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบัญญตั ิสกิ ขาบทว่า ภกิ ษจุ ภ้ี กิ ษุ ต้องปาจิตตีย์ สิกขาบทท่ี ๓ ห้ามว่ายน้ำ� เลน่ ภิกษุ (พวก ๑๗) เล่นน้�ำในแม่น้�ำอจิรวดี พระเจ้าปเสนทิออกอุบายฝากขนมไป ถวายพระพุทธเจ้า เพ่ือให้ทรงทราบว่า ภิกษุเหล่าน้ีไปเล่นน�้ำ พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติ สกิ ขาบท หา้ มภกิ ษวุ ่ายน�้ำเลน่ ทรงปรับอาบัตปิ าจติ ตยี ์แก่ภกิ ษุผู้ล่วงละเมิด สิกขาบทที่ ๔ ห้ามแสดงความไม่เออ้ื เฟื้อในวินัย พระฉันนะประพฤติอนาจาร ภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวตักเตือน กลับไม่เอ้ือเฟื้อ ขืนทำ� ตอ่ ไป พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญตั สิ ิกขาบทวา่ ภกิ ษไุ ม่เอ้ือเฟอื้ ในวนิ ยั ตอ้ งปาจิตตีย์ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 254 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ 255 สิกขาบทที่ ๕ ห้ามหลอกภกิ ษใุ หก้ ลวั ิว ันย ิปฎก ภิกษุฉัพพัคคีย์ (พวก ๖) หลอกภิกษุสัตตรสวัคคีย์ (พวก ๑๗) ให้กลัวผีจนร้องไห้ พระผู้มพี ระภาคจงึ ทรงบญั ญัติสกิ ขาบทว่า ภกิ ษุท�ำภกิ ษใุ หก้ ลวั ๑ ตอ้ งปาจิตตีย์ สกิ ขาบทที่ ๖ ห้ามตดิ ไฟเพือ่ ผิง ภิกษุทั้งหลายก่อไฟผิงในฤดูหนาว งูร้อนออกจากโพรงไล่กัดภิกษุแตกหนีกระจายไป พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุก่อไฟเองก็ดี ใช้ให้ผู้อ่ืนก่อไฟก็ดี เพ่ือจะผิง ตอ้ งปาจิตตยี ์ ภายหลงั ทรงอนุญาตใหท้ ำ� ได้เมอื่ เปน็ ไข้ (ผิงไฟทคี่ นอ่ืนเขาก่อไว้แล้ว ไม่ผดิ ) สิกขาบทท่ี ๗ ห้ามอาบน�ำ้ บ่อย ๆ เว้นแต่มีเหตุ ภิกษุทั้งหลายอาบน�้ำในแม่น้�ำตโปทา พระเจ้าพิมพิสารก็เสด็จไปจะสนานพระเกศา ทรงรออยู่ภิกษุเหล่านั้นอาบอยู่จนค่�ำ พระองค์จึงได้สนานพระเกศาและกลับไปไม่ทัน ประตูเมืองปิด ต้องทรงพักค้างแรมอยู่นอกเมือง พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงทรงบัญญัติ สิกขาบท ห้ามภิกษุอาบน�้ำก่อนก�ำหนดก่ึงเดือน ทรงปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิด ภายหลังทรงอนุญาตให้อาบน้�ำได้ก่อนก�ำหนดระยะก่ึงเดือน ในเมื่อมีเหตุจ�ำเป็น เช่น ร้อนจัด เจ็บไข้ (ในปัจจันตประเทศ เช่น ประเทศเรา ไม่เก่ียวกับสิกขาบทนี้ เพราะทรงบัญญัติส�ำหรับ ประเทศภาคกลางของอนิ เดีย) สกิ ขาบทที่ ๘ ให้ท�ำเคร่ืองหมายเครอ่ื งนุ่งหม่ ภิกษุและปริพพาชกเดินทางจากเมืองสาเกตมาสู่เมืองสาวัตถี โจรปล้นระหว่างทาง เจา้ หนา้ ทจี่ บั โจรไดพ้ รอ้ มทงั้ ของกลาง จงึ ขอใหภ้ กิ ษไุ ปเลอื กจวี รของตนทถี่ กู ชงิ ไป ภกิ ษเุ หลา่ นน้ั จ�ำไม่ได้ เป็นที่ติเตียนจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุได้จีวรใหม่มา พึงถือเอาเครื่องท�ำให้ เสียสี สีใดสีหน่ึงใน ๓ สี คือสีคราม สีโคลน สีด�ำคล้�ำ (มาท�ำเครื่องหมาย) ถ้าไม่ท�ำอย่างนั้น ใช้จวี รใหม่ ต้องปาจิตตยี ์ สิกขาบทที่ ๙ วกิ ัปจวี รไว้แลว้ จะใช้ ตอ้ งถอนกอ่ น พระอปุ นนทะ ศากยบตุ ร วกิ ปั จวี รกบั ภกิ ษอุ น่ื แลว้ ยงั ไมไ่ ดถ้ อน ใชจ้ วี รนนั้ พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงบญั ญตั สิ ิกขาบทว่า ภิกษวุ ิกัปจีวรกับภิกษุ ภิกษุณี นางสิกขมานา สามเณร หรอื สามเณรี แลว้ ใช้สอยจีวรน้ันที่ยังมไิ ดถ้ อน ตอ้ งปาจิตตีย๒์ ๑ แกล้งพูดให้กลวั โจร กลวั สตั ว์ร้าย กลัวผี เขา้ ในขอ้ นีท้ ั้งสิน้ ภิกษจุ ะตอ้ งทำ� ให้เป็นสองเจ้าของกบั ภกิ ษุ วกิ ัป คอื ท�ำใหเ้ ปน็ สองเจ้าของ ถา้ ผา้ เกิดข้นึ เกินจำ� เป็นทีอ่ นุญาตให้มไี ด้ ๒ ภกิ ษณุ ี เป็นตน้ เวลาจะใช้กต็ ้องขออนญุ าตต่อผู้ท่ตี นมอบใหร้ ว่ มเปน็ เจา้ ของก่อน PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 255 5/4/18 2:24 PM
256 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ สกิ ขาบทท่ี ๑๐ หา้ มเลน่ ซ่อนบริขารของภกิ ษอุ นื่ ภิกษุพวก ๖ ซ่อนบาตรบ้าง จีวรบ้าง ของภิกษุพวก ๑๗ ซ่ึงไม่ค่อยเก็บง�ำบริขาร (เครื่องใช้) ของตนให้เรียบร้อย พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุซ่อนบาตร จวี ร กลอ่ งเขม็ ประคดเอวของภิกษุ แมเ้ พ่อื จะหัวเราะเล่น ต้องปาจติ ตยี ์ (๗) สปั ปาณกวรรค วรรควา่ ดว้ ยสัตวม์ ชี ีวิต มี ๑๐ สกิ ขาบท คือ สิกขาบทท่ี ๑ หา้ มฆา่ สัตว์ พระอุทายีเกลียดกา จึงยิงกา ตัดศีรษะเสียบไว้ในหลาว พระผู้มีพระภาคจึงทรง บญั ญัตสิ กิ ขาบทวา่ ภิกษุจงใจฆา่ สตั ว์ ตอ้ งปาจติ ตีย์ สิกขาบทท่ี ๒ ห้ามใชน้ ำ�้ มีตวั สัตว์ ภิกษุพวก ๖๑ รู้อยู่ ใช้น�้ำมีตัวสัตว์ เป็นที่ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติ สกิ ขาบทวา่ ภิกษรุ ู้อยู่ ใชน้ �้ำมตี ัวสตั ว์ ต้องปาจติ ตยี ์ สกิ ขาบทที่ ๓ ห้ามรื้อฟ้นื อธิกรณท์ ่ชี ำ� ระเปน็ ธรรมแลว้ ภิกษุพวก ๖ รู้อยู่ รื้อฟื้นอธิกรณ์ที่ช�ำระถูกต้องตามธรรมแล้ว เพ่ือให้ช�ำระใหม่ พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุรู้อยู่ ร้ือฟื้นอธิกรณ์ท่ีช�ำระถูกต้องตาม ธรรมแลว้ เพื่อให้ชำ� ระใหม่ ตอ้ งปาจิตตีย์ สิกขาบทท่ี ๔ หา้ มปกปดิ อาบตั ิชัว่ หยาบของภกิ ษุอื่น พระอุปนนทะ ศากยบุตร ต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วบอกกับภิกษุอื่นขอให้ช่วย ปกปิดด้วย ภิกษุน้ันก็ช่วยปกปิด พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุรู้อยู่ ปกปิดอาบตั ชิ ่ัวหยาบของภิกษุ ต้องปาจิตตยี ์ สิกขาบทท่ี ๕ หา้ มบวชบคุ คลอายุไมถ่ ึง ๒๐ ภกิ ษุทั้งหลายใหเ้ ดก็ ๆ บรรพชาอปุ สมบท เดก็ ๆ เหล่าน้ัน ลุกขน้ึ ร้องไห้ขออาหารกนิ ในเวลากลางคืน เพราะทนหิวไม่ไหว พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุรู้อยู่ ให้บุคคลมอี ายตุ �่ำกวา่ ๒๐ อปุ สมบท ผ้นู ้ันไมเ่ ป็นอนั อปุ สมบท ภกิ ษทุ ง้ั หลาย (ท่ีนง่ั เป็นพยาน) ต้องถกู ตเิ ตยี น และในข้อน้นั ภิกษุ (ผ้เู ปน็ อปุ ชั ฌายะให้บวช) ตอ้ งปาจิตตีย์ ๑ ค�ำว่า ภกิ ษุฉัพพัคคยี ์ กับค�ำวา่ ภิกษพุ วก ๖ ใช้หมายความอยา่ งเดียวกนั ในหนังสือนี้ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 256 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ 257 สกิ ขาบทท่ี ๖ ห้ามชวนพอ่ คา้ ผหู้ นีภาษีเดนิ ทางร่วมกนั ิว ันย ิปฎก ภกิ ษุรปู หนงึ่ รอู้ ยู่ ชวนพ่อคา้ ผู้หนภี าษเี ดินทางร่วมกนั พระผมู้ ีพระภาคจึงทรงบญั ญตั ิ สกิ ขาบทวา่ ภกิ ษรุ อู้ ยู่ ชวนพอ่ คา้ ผหู้ นภี าษเี ดนิ ทางไกลรว่ มกนั แมส้ นิ้ ระยะบา้ นหนง่ึ ตอ้ งปาจติ ตยี ์ สิกขาบทท่ี ๗ หา้ มชวนผู้หญิงเดินทางรว่ มกนั ภิกษุรูปหนึ่งเดินทางในโกศลชนบท จะไปสู่กรุงสาวัตถี ถึงหมู่บ้านแห่งหน่ึง สตรี คนหนงึ่ ทะเลาะกบั สามขี อเดนิ ทางรว่ มไปกบั ภกิ ษนุ น้ั ดว้ ย สามตี ดิ ตามทำ� รา้ ยภกิ ษุ พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษชุ วนผหู้ ญงิ เดนิ ทางไกลรว่ มกนั แมส้ น้ิ ระยะบา้ นหนง่ึ ตอ้ งปาจติ ตยี ์ สกิ ขาบทที่ ๘ หา้ มกลา่ วตู่พระธรรมวนิ ัย ภกิ ษอุ รฏิ ฐะผเู้ คยฆา่ แรง้ มากอ่ น มคี วามเหน็ ผดิ กลา่ วตพู่ ระธรรมวนิ ยั พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ใจความวา่ เมอ่ื มภี กิ ษกุ ลา่ วตพู่ ระธรรมวนิ ยั ภกิ ษทุ งั้ หลายพงึ หา้ มปราม ถ้าไมเ่ ชือ่ ฟังสงฆพ์ งึ สวดประกาศ เพือ่ ให้เธอละเลกิ เสีย สวดประกาศครบ ๓ คร้งั ยังไมเ่ ช่ือฟัง ต้องปาจติ ตีย์ สิกขาบทท่ี ๙ ห้ามคบภกิ ษผุ ู้กล่าวตพู่ ระธรรมวินยั ภิกษุฉัพพัคคีย์ยังคบหาพระอริฏฐะผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย ผู้ยังไม่ยอมละท้ิง ความเห็นผิดนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามคบ ห้ามอยู่ร่วม ห้ามนอน ร่วมกบั ภกิ ษเุ ช่นนัน้ ทรงปรบั อาบัติปาจิตตยี แ์ ก่ภกิ ษผุ ูล้ ่วงละเมดิ สกิ ขาบทท่ี ๑๐ หา้ มคบสามเณรผ้กู ล่าวตู่พระธรรมวินยั สามเณรช่ือกัณฑกะ มีความเห็นผิด กล่าวตู่พระธรรมวินัย สงฆ์จึงขับเสียจากหมู่ ภิกษุฉัพพัคคีย์กลับคบหา พูดจา ร่วมกินร่วมนอนกับสามเณรนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรง บัญญัติสิกขาบท ห้ามพูดด้วย ห้ามใช้สอย ห้ามใช้ของร่วม๑ หรือนอนร่วมกับสามเณรเช่นนั้น ทรงปรับอาบตั ปิ าจิตตียแ์ ก่ภกิ ษผุ ้ลู ่วงละเมิด ๑ ศัพท์บาลีว่า สมฺภุญฺเชยฺย มีค�ำอธิบายในท้ายสิกขาบทว่า การร่วมใช้อามิส เช่น ให้อามิส หรือรับของ กับอีก อยา่ งหนง่ึ การใช้ธรรมรว่ ม เชน่ แสดงธรรมหรือให้แสดงธรรมร่วมกันโดยบท โดยอักขระ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 257 5/4/18 2:24 PM
258 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ (๘) สหธัมมิกวรรค วรรคว่าด้วยการวา่ กลา่ วถกู ต้องตามธรรม มี ๑๒ สกิ ขาบท คอื สิกขาบทท่ี ๑ หา้ มพดู ไถลเมอ่ื ท�ำผิดแล้ว พระฉนั นะประพฤตอิ นาจาร ภกิ ษทุ ง้ั หลายวา่ กลา่ วตกั เตอื น กลบั พดู วา่ จะขอถามภกิ ษุ ผู้รู้วินัยดูก่อน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุที่ภิกษุว่ากล่าวถูกต้องตาม ธรรมกลับพูดว่า จักยังไม่ศึกษาในสิกขาบทนี้จนกว่าจะได้ถามภิกษุอื่นผู้ฉลาด ผู้รู้วินัยก่อน ตอ้ งปาจิตตยี ์ อนั ภิกษุผู้ศึกษา จะตอ้ งรู้ จะต้องสอบสวน จะตอ้ งไตถ่ าม สกิ ขาบทที่ ๒ หา้ มกล่าวติเตยี นสิกขาบท ภิกษุฉัพพัคคีย์แกล้งกล่าวติเตียนพระวินัยว่า สิกขาบทเล็ก ๆ น้อย ๆ ชวนให้น่า ร�ำคาญ รบกวนเปล่า ๆ พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ความว่า เม่ือสวดปาฏิโมกข์ ภกิ ษุแกลง้ กล่าวตเิ ตยี นสิกขาบท ต้องปาจิตตยี ์ สกิ ขาบทที่ ๓ ห้ามพูดแก้ตวั ว่า เพิง่ รวู้ ่ามีในปาฏิโมกข์ ภิกษุฉัพพัคคีย์ประพฤติอนาจาร เม่ือฟังสวดปาฏิโมกข์ว่า ภิกษุไม่รู้ก็ต้องอาบัติ จึงกล่าวว่า เพิ่งรู้ว่าข้อความน้ีมีในปาฏิโมกข์ (ท้ัง ๆ ที่ฟังมาแล้วไม่รู้ว่าก่ีคร้ัง เป็นการแก้ตัว) พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้กล่าวแก้ตัวเช่นน้ัน เป็นการปรับอาบตั ใิ นภกิ ษุ (ผูแ้ ก้ตัววา่ ) หลงลืม สกิ ขาบทท่ี ๔ ห้ามทำ� ร้ายรา่ งกายภกิ ษุ ภิกษุฉัพพัคคีย์โกรธ ท�ำร้ายร่างกายภิกษุสัตตรสวัคคีย์ (พวก ๑๗) เธอร้องไห้ พระผู้มพี ระภาคจึงทรงบัญญตั ิสิกขาบทว่า ภิกษุโกรธเคอื ง ทำ� รา้ ยภิกษุ ตอ้ งปาจิตตีย์ สกิ ขาบทที่ ๕ หา้ มเงอ้ื มือจะทำ� ร้ายภิกษุ ภิกษุฉัพพัคคีย์โกรธ เง้ือมือจะท�ำร้ายภิกษุสัตตรสวัคคีย์ พระผู้มีพระภาคจึงทรง บัญญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภิกษโุ กรธเคือง เง้ือมือ (จะท�ำร้าย) ภกิ ษุ ตอ้ งปาจติ ตยี ์ สิกขาบทที่ ๖ หา้ มโจทภกิ ษดุ ว้ ยอาบัติสงั ฆาทิเสสไมม่ มี ูล ภิกษุฉัพพัคคีย์แกล้งโจทภิกษุด้วยอาบัติสังฆาทิเสสไม่มีมูล พระผู้มีพระภาคจึง ทรงบัญญัตสิ ิกขาบทวา่ ภกิ ษโุ จทภกิ ษุด้วยอาบตั ิสงั ฆาทิเสสไม่มมี ลู ต้องปาจติ ตีย์ สกิ ขาบทท่ี ๗ ห้ามกอ่ ความร�ำคาญแก่ภกิ ษุอื่น ภกิ ษพุ วก ๖ แกลง้ พดู ใหภ้ กิ ษพุ วก ๑๗ กงั วลสงสยั วา่ เมอื่ บวชอายจุ ะไมค่ รบ ๒๐ จรงิ ถ้าเช่นนั้นก็คงไม่เป็นพระ ภิกษุพวก ๑๗ ร้องไห้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 258 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ 259 ภิกษุแกลง้ กอ่ ความร�ำคาญแกภ่ กิ ษุ ดว้ ยคิดว่า ความไม่สบายจักมแี ก่ภิกษุน้นั แม้เพยี งครู่หน่ึง ิว ันย ิปฎก มุ่งเพียงเทา่ นัน้ มิได้มุง่ เหตุอนื่ ต้องปาจิตตีย์ สิกขาบทที่ ๘ หา้ มแอบฟังความของภิกษุผ้ทู ะเลาะกนั ภกิ ษุฉัพพคั คีย์ทะเลาะกบั ภกิ ษทุ ้ังหลายแลว้ ไปแอบฟังความว่า ภกิ ษทุ ้งั หลายวา่ กลา่ ว ตนอย่างไร พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า เม่ือภิกษุท้ังหลายทะเลาะวิวาทกัน ภิกษุแอบฟังความด้วยประสงค์จะทราบว่าภิกษุเหล่านั้นพูดว่าอย่างไร มุ่งเพียงเท่าน้ัน มไิ ดม้ งุ่ เหตอุ ื่น ต้องปาจิตตีย์ สกิ ขาบทที่ ๙ ให้ฉันทะแลว้ ห้ามพูดตเิ ตียน ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ใ์ หฉ้ นั ทะในการประชมุ ทำ� กรรมของสงฆ์ แลว้ กลบั วา่ ตเิ ตยี นในภายหลงั พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุให้ฉันทะ (คือความพอใจหรือการมอบอ�ำนาจ ใหส้ งฆ์ท�ำกรรมได)้ เพ่อื กรรมอันเป็นธรรม๑ แลว้ บ่นวา่ ในภายหลัง ต้องปาจติ ตยี ์ สิกขาบทท่ี ๑๐ ขณะก�ำลังประชุมสงฆ์ หา้ มลุกไปโดยไม่ให้ฉนั ทะ สงฆ์ก�ำลังประชุมกันท�ำกรรมอยู่ ภิกษุฉัพพัคคีย์ให้ฉันทะแก่ภิกษุพวกตนรูปหนึ่ง ให้เข้าไปประชุมแทน ภายหลังภิกษุรูปน้ันไม่พอใจจึงลุกออกจากที่ประชุมทั้งท่ีมิได้ให้ฉันทะ พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษไุ มใ่ หฉ้ นั ทะ ลกุ จากอาสนะหลกี ไปในเมอ่ื ถอ้ ยคำ� วนิ ิจฉัยยังค้างอย่ใู นสงฆ์ ตอ้ งปาจติ ตีย์ สิกขาบทท่ี ๑๑ รว่ มกับสงฆใ์ หจ้ วี รแกภ่ ิกษุแลว้ ห้ามตเิ ตียนภายหลัง จวี รเกดิ ขนึ้ แกส่ งฆ์ สงฆป์ ระชมุ กนั ใหแ้ กพ่ ระทพั พมลั ลบตุ ร ภกิ ษฉุ พั พคั คยี ก์ ลบั วา่ สงฆ์ ให้จีวรเพราะชอบกนั ภิกษทุ งั้ หลายจงึ ติเตียนว่า รว่ มประชุมกบั สงฆแ์ ล้ว ทำ� ไมจงึ มาพดู ติเตยี น ในภายหลัง พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามท�ำเช่นน้ัน ทรงปรับอาบัติปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ล่วงละเมดิ สิกขาบทท่ี ๑๒ หา้ มน้อมลาภสงฆม์ าเพ่ือบคุ คล ภิกษุฉัพพัคคีย์รู้ว่าเขาเตรียมจีวรไว้ถวายแก่สงฆ์ ไปพูดให้เขาถวายแก่ภิกษุ (ท่ีเป็น พรรคพวกของตน) เขาไม่ยอม เธอก็พูดแค่นไค้จนเขาร�ำคาญ ต้องถวายไป พระผู้มีพระภาค จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษนุ อ้ มลาภทเ่ี ขากะวา่ จะถวายแกส่ งฆไ์ ปเพอื่ บคุ คล๒ ตอ้ งปาจติ ตยี ์ ๑ หมายถงึ กิจกรรมทีถ่ กู ตอ้ ง หรือเพอ่ื ให้กจิ กรรมนนั้ ถูกตอ้ ง - ม.พ.ป. ๒ ในทีน่ ี้หมายถึง เพือ่ คนใดคนหนงึ่ - ม.พ.ป. PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 259 5/4/18 2:24 PM
260 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ (๙) รตนวรรค วรรควา่ ด้วยนางแก้ว (พระราชเทวี) มี ๑๐ สิกขาบท คอื สิกขาบทท่ี ๑ ห้ามเขา้ ไปในตำ� หนกั ของพระราชา พระเจา้ ปเสนทโิ กศลขอใหพ้ ระพทุ ธเจา้ สง่ ภกิ ษไุ ปสอนธรรมแกพ่ ระองค์ พระผมู้ พี ระภาค จงึ สง่ พระอานนทไ์ ปสอนเปน็ ประจำ� เชา้ วนั หนง่ึ พระอานนทเ์ ขา้ ไปยงั ตำ� หนกั ของพระเจา้ ปเสนทโิ กศล พระนางมัลลิกาต้องรีบออกจากต�ำหนักน้ัน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ความว่า ภิกษุมิได้รับนัดหมายก้าวล่วงธรณีเข้าไป (ในห้อง) ของพระราชาผู้ได้รับมูรธาภิเษก ในเมื่อ พระราชายงั ไมเ่ สดจ็ ออก พระมเหสียังไมอ่ อก ต้องปาจิตตยี ์ สกิ ขาบทท่ี ๒ หา้ มเกบ็ ของมคี า่ ท่ตี กอยู่ ภิกษุรูปหน่ึงเก็บถุงเงินของพราหมณ์ผู้หน่ึงด้วยปรารถนาดี เมื่อพราหมณ์มาถาม ก็คืนให้ไป พราหมณ์แกล้งกล่าวว่าเงินในถุงของตนมีมากกว่านั้น (เพ่ือไม่ต้องให้รางวัล) พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามเก็บเองหรือใช้ผู้อ่ืนให้เก็บซึ่งรตนะ (แก้วแหวน เงินทอง) หรือสิ่งซ่ึงสมมติว่าเป็นรตนะ ทรงปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิด ภายหลัง ทรงบัญญัติเพ่ิมเติมว่า ของตกในวัดหรือในที่อยู่ ควรเก็บเพ่ือจะคืนเจ้าของไป ถือว่าเป็น การปฏิบตั ชิ อบ สกิ ขาบทที่ ๓ จะเขา้ บ้านในเวลาวกิ าล ต้องบอกลาภกิ ษกุ ่อน ภิกษุฉัพพัคคีย์เข้าสู่บ้านในเวลาวิกาล (เที่ยงแล้วไป) ชวนชาวบ้านพูดเรื่องไร้สาระ เป็นท่ีติเตียนของคนท้ังหลาย พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามเข้าสู่บ้านในเวลา วิกาล ทรงปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิด ภายหลังทรงผ่อนผันให้เข้าไปในบ้าน ในเวลาวิกาลได้ เมอื่ บอกลาภิกษทุ ี่มีอยู่ในวัด๑ หรือในเม่อื มีกิจรบี ด่วน สกิ ขาบทท่ี ๔ ห้ามทำ� กลอ่ งเขม็ ดว้ ยกระดกู งา เขาสตั ว์ ช่างกลงึ งาชา้ งปวารณาใหภ้ กิ ษขุ อกล่องเข็มได้ ภิกษทุ ั้งหลายกข็ อกันเรื่อย มีกลอ่ งเลก็ ขอกล่องใหญ่ มีกล่องใหญ่ขอกล่องเล็ก จนช่างไม่เป็นอันท�ำขาย เขาติเตียน พระผู้มีพระภาค จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุให้ท�ำกล่องเข็มท่ีท�ำด้วยกระดูก งาช้าง เขาสัตว์ ต้องปาจิตตีย์ ทใ่ี ห้ตอ่ ยท้งิ ๒ (ก่อนจึงแสดงอาบัตติ ก) ๑ บอกลา หมายถงึ บอกให้รู้ก่อนที่จะออกจากวัด - ม.พ.ป. ๒ หมายถึง ทุบหรือ ท�ำลายท้ิง - ม.พ.ป. PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 260 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ 261 สิกขาบทที่ ๕ หา้ มทำ� เตยี งตง่ั มเี ทา้ สงู กว่าประมาณ ิว ันย ิปฎก พระอุปนนทะ ศากยบุตร นอนบนเตียงสูง พระผู้มีพระภาคเสด็จตรวจวิหารพบเข้า จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษจุ ะใหท้ ำ� เตยี งหรอื ตงั่ ใหม่ พงึ ทำ� ใหม้ เี ทา้ เพยี ง ๘ นว้ิ ดว้ ยนวิ้ สคุ ต เว้นไว้แต่แม่แคร่เบ้ืองล่าง ถ้าท�ำให้มีเท้าเกินก�ำหนดนั้น ต้องปาจิตตีย์ ท่ีให้ตัดทิ้ง (จึงแสดง อาบตั ติ ก) สกิ ขาบทท่ี ๖ หา้ มใหท้ ำ� เตียงต่งั หุม้ ดว้ ยนุ่น ภิกษุฉัพพัคคีย์ให้ท�ำเตียงบ้าง ต่ังบ้าง หุ้มด้วยนุ่น เป็นท่ีติเตียนของคนท้ังหลาย พระผ้มู ีพระภาคจงึ ทรงบัญญัติสกิ ขาบทว่า ภกิ ษุใหท้ �ำเตยี งหรือตง่ั ที่ห้มุ ด้วยนุ่น๑ ต้องปาจิตตยี ์ ท่ีให้รือ้ เสยี (จึงแสดงอาบัตติ ก) สกิ ขาบทท่ี ๗ ห้ามทำ� ผา้ ปนู ง่ั มขี นาดเกินประมาณ ภิกษุฉัพพัคคีย์ใช้ผ้าปูนั่งไม่มีประมาณ ผ้าย้อยไปข้างหน้าข้างหลังของเตียงแลต่ัง พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุจะให้ท�ำผ้าปูน่ัง พึงท�ำให้ได้ประมาณ คือ ยาว ๒ คืบ กว้างคืบครึ่ง ด้วยคืบสุคต ถ้าท�ำให้เกินประมาณน้ันไป ต้องปาจิตตีย์ ที่ให้ตัดเสีย (จึงแสดงอาบตั ิตก) ภายหลังทรงอนุญาตชายผ้าปนู งั่ อีก ๑ คืบ สิกขาบทท่ี ๘ ห้ามทำ� ผ้าปิดฝมี ขี นาดเกนิ ประมาณ ภิกษุฉัพพัคคีย์ใช้ผ้าปิดฝีไม่มีประมาณ ลากผ้าไปข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง เที่ยวไป พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุจะให้ท�ำผ้าปิดฝี พึงท�ำให้ได้ประมาณ คือ ยาว ๔ คืบ กว้าง ๒ คืบ ด้วยคืบสุคต ถ้าท�ำให้เกินประมาณนั้น ต้องปาจิตตีย์ ท่ีให้ตัดเสีย (จึงแสดงอาบัติตก) สกิ ขาบทท่ี ๙ หา้ มท�ำผา้ อาบน�้ำฝนมีขนาดเกนิ ประมาณ ภิกษุฉัพพัคคีย์ใช้ผ้าอาบน�้ำฝนไม่มีประมาณ ลากผ้าไปข้างหน้าบ้าง ข้างหลังบ้าง เท่ียวไป พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุจะให้ท�ำผ้าอาบน�้ำฝน พึงท�ำให้ได้ ประมาณ คอื ยาว ๖ คบื กวา้ ง ๒ คืบคร่งึ ดว้ ยคบื สคุ ต ถา้ ท�ำใหเ้ กินประมาณน้นั ต้องปาจติ ตยี ์ ทีใ่ หต้ ัดเสีย (จงึ แสดงอาบตั ติ ก) ๑ คำ� ว่า น่นุ หมายถงึ นุ่นหรอื ส�ำลีจากไมย้ นื ต้น ไมเ้ ลื้อยและหญา้ ในวินัยอนุญาตให้ใช้ทำ� หมอนได้ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 261 5/4/18 2:24 PM
262 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ สกิ ขาบทท่ี ๑๐ หา้ มทำ� จีวรมีขนาดเกินประมาณ พระนนทะ พุทธอนุชา ใช้จีวรมีขนาดเท่าจีวรพระสุคต ภิกษุท้ังหลายเห็นท่านเดินมา แตไ่ กล กล็ กุ ขน้ึ ตอ้ นรบั ดว้ ยนกึ วา่ พระผมู้ พี ระภาคเสดจ็ มา เมอ่ื เขา้ ใกลเ้ หน็ วา่ มใิ ช่ จงึ ตเิ ตยี นวา่ ใช้จีวรขนาดเท่าของพระสุคต พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุท�ำจีวรให้มี ขนาดเท่าจีวรสคุ ตหรอื ยิ่งกวา่ ตอ้ งปาจิตตีย์ ทีใ่ หต้ ดั เสยี ประมาณแหง่ จวี รสุคต คือ ยาว ๙ คืบ กว้าง ๖ คบื ๓. ปาฏเิ ทสนยี กัณฑ์ (ว่าด้วยอาบัติปาฏิเทสนยี ะ คืออาบตั ทิ ่พี งึ แสดงคืน มี ๔ สกิ ขาบท) สิกขาบทที่ ๑ หา้ มรบั ของเคีย้ วของฉนั จากมอื นางภิกษณุ ีมาฉัน นางภิกษุณีรูปหน่ึงไปเที่ยวบิณฑบาต ได้แล้ว ขากลับเห็นภิกษุรูปหน่ึง จึงบอกถวาย อาหารทไ่ี ดม้ า ภกิ ษนุ น้ั กร็ บั จนหมด นางจงึ อดอาหารเพราะหมดเวลาทจ่ี ะเขา้ ไปบณิ ฑบาตอกี แลว้ รงุ่ ขน้ึ นางไปบณิ ฑบาตไดพ้ บภกิ ษรุ ปู นนั้ อกี กบ็ อกถวาย ภกิ ษรุ ปู นนั้ กร็ บั จนหมด นางจงึ อดอาหาร อีก ในวันที่ ๔ ก็เป็นเช่นน้ี จนเวลาหลีกรถเศรษฐี นางถึงกับหมดแรงล้มลง เศรษฐีขอขมา ทราบความกต็ เิ ตยี นภกิ ษนุ น้ั พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบทวา่ ภกิ ษเุ ขา้ ไปสลู่ ะแวกบา้ น รับของเค้ยี วของฉนั จากมอื ๑ ของภกิ ษณุ มี าเค้ียวหรือฉัน ตอ้ งอาบตั ิปาฏิเทสนียะ สกิ ขาบทท่ี ๒ ให้ไลน่ างภกิ ษณุ ที ีม่ ายุ่งให้เขาถวายอาหาร ภิกษุท้ังหลายได้รับนิมนต์ให้ไปฉันในสกุล นางภิกษุณีพวก ๖ ซ่ึงชอบพอกับภิกษุ พวก ๖ ได้ยืนอยู่ด้วย บอกกับเขาว่า จงถวายแกงในองค์น้ี จงถวายข้าวในองค์นี้ ภิกษุพวก ๖ ฉนั ไดต้ ามตอ้ งการ แตภ่ กิ ษอุ นื่ ๆ ฉนั อยา่ งไมส่ ะดวกใจ พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ว่า ภิกษทุ ้ังหลายได้รบั นมิ นตใ์ ห้ไปฉันในสกลุ ถ้านางภกิ ษณุ ีผ้คู ุ้นเคยมายนื อยใู่ นท่นี นั้ บอกกบั เขาวา่ จงถวายแกงในองคน์ ี้ จงถวายขา้ วในองค์น้ี ภกิ ษุทง้ั หลายพึงไลน่ างภกิ ษุณีน้ันไป จนกว่า ภิกษทุ ง้ั หลายจะฉนั เสร็จ ถา้ ภกิ ษแุ ม้รูปหนึ่งมไิ ด้ไล่นางภิกษณุ ีนั้น ต้องอาบตั ปิ าฏเิ ทสนยี ะ สกิ ขาบทที่ ๓ ห้ามรบั อาหารในสกลุ ทสี่ งฆส์ มมตวิ ่าเปน็ เสขะ ในสมัยน้ันสกุลบางสกุลเล่ือมใสทั้งฝ่ายสามีและภริยา เป็นสกุลเจริญด้วยศรัทธา แต่เสื่อมทรัพย์ (เป็นสกุลพระอริยบุคคล) บุคคลเหล่านี้ย่อมสละของเค้ียวของกินท่ีเกิดข้ึน ๑ หมายถงึ รับของถวายจากภกิ ษณุ ี - ม.พ.ป. PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 262 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ เสขิยกัณฑ์ 263 ท้ังหมดแก่ภิกษุท้ังหลาย บางครั้งตัวเองถึงอด คนท้ังหลายพากันติเตียนพวกภิกษุว่ารับไม่รู้จัก ิว ันย ิปฎก ประมาณ พระผู้มีพระภาคจึงทรงอนุญาตให้สงฆ์สวดประกาศสมมติสกุลน้ันว่าเป็นสกุลของ พระเสขะ แล้วทรงบัญญัติห้ามเข้าไปรับของเค้ียวของฉันในสกุลท่ีสงฆ์สมมติว่าเป็นเสขะ ด้วยมือของตนมาเค้ียวแลฉัน ทรงปรับอาบัติปาฏิเทสนียะแก่ภิกษุผู้ล่วงละเมิด ภายหลัง ทรงอนญุ าตว่า ถ้าเขานมิ นตไ์ วก้ อ่ นหรอื เป็นไข้ เขา้ ไปรบั อาหารมาฉันได้ สิกขาบทที่ ๔ ห้ามรับอาหารทีเ่ ขาไม่ได้จดั ไวก้ อ่ นเมือ่ อย่ปู า่ เจ้าศากยะท่ีเป็นหญิงน�ำอาหารไปเพ่ือรับประทานในเสนาสนะป่า ถูกพวกทาสชิงของ และข่มขืน เจ้าศากยะที่เป็นชายออกจับพวกน้ันได้ ติเตียนภิกษุท้ังหลายว่าไม่บอกเรื่องโจร อาศัยอยู่ในวัด พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า ภิกษุอยู่ในเสนาสนะป่าเปล่ียว น่ากลัว รับของเค้ียวของฉัน ซ่ึงเขามิได้จัดไว้ก่อนด้วยมือของตน ภายในอารามมาฉัน ต้องอาบตั ิปาฏเิ ทสนยี ะ ภายหลงั ทรงผ่อนผันให้แกภ่ กิ ษไุ ข้ ๔. เสขิยกณั ฑ์ (ว่าดว้ ยวตั รและจรรยามารยาททีภ่ กิ ษุจะตอ้ งศกึ ษา) ต้นเหตุแห่งการบัญญัติสิกขาบททุกข้อทั้งเจ็ดสิบห้าข้อในเสขิยกัณฑ์นี้ เน่ืองมาแต่ ภิกษุฉัพพัคคีย์ (ภิกษุพวก ๖) ท�ำความไม่ดีไม่งามไว้ทั้งสิ้น ในตัวสิกขาบทมิได้ปรับอาบัติไว้ เพียงแต่กล่าวว่า ภิกษุพึงท�ำความศึกษาว่า เราจะท�ำอย่างน้ันอย่างน้ี หรือไม่ท�ำอย่างนั้นอย่างน้ี แต่ในค�ำอธบิ ายท้ายสิกขาบทระบวุ ่า ถ้าท�ำเข้าต้องอาบตั ิทุกกฏ (ซ่ึงแปลวา่ ท�ำชั่ว) พร้อมทง้ั แสดง ลักษณะท่ีไม่ต้องอาบัติไว้ด้วย ในท่ีน้ีจะรวบรัดกล่าวเฉพาะตัวสิกขาบท ส่วนวัตถุประสงค์ท่ี บัญญัติสิกขาบทนั้น ตลอดจนค�ำอธิบายท้ายสิกขาบท ข้อใดควรกล่าวไว้ก็จะกล่าวไว้ในวงเล็บ อนึ่ง เมอื่ จดั หมวดใหญ่ ๆ ไว้แล้ว ยงั จดั วรรคไว้คาบเกยี่ วระหว่างหมวดใหญ่ ๆ อีกด้วย ในทนี่ ี้ จึงเลือกแสดงไว้แต่หมวดใหญ่เพ่ือกันความฟั่นเฝือ การจัดวรรคอาจสะดวกในการสวดก็ได้ แต่ในปจั จุบนั การสวดปาฏิโมกข์ของพระมิได้ระบวุ รรคไว้ด้วย คงออกชื่อแตห่ มวดใหญ่ ๆ (๑) สารปู (หมวดว่าด้วยความเหมาะสมแก่สมณเพศ) มี ๒๖ สิกขาบท สกิ ขาบทท่ี ๑ ภิกษุพงึ ท�ำความศึกษาว่า เราจักนุง่ ให้เปน็ ปริมณฑล (เบ้ืองล่างปิดเข่า เบื้องบนปิดสะดือ ไม่ห้อยไปข้าง หนา้ ขา้ งหลงั ) PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 263 5/4/18 2:24 PM
264 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ สิกขาบทท่ี ๒ ภิกษุพงึ ท�ำความศึกษาวา่ เราจกั ห่มให้เป็นปรมิ ณฑล (ให้ชายผ้าเสมอกัน ไม่หอ้ ยไปขา้ งหน้าข้างหลัง) สกิ ขาบทท่ี ๓ ภกิ ษพุ ึงท�ำความศึกษาว่า เราจกั ปกปิดกายดว้ ยดี ไปในบ้าน (คือไม่เปิดกาย) สกิ ขาบทท่ี ๔ ภิกษพุ งึ ท�ำความศึกษาว่า เราจักปกปิดกายดว้ ยดี นง่ั ในบ้าน สิกขาบทที่ ๕ ภกิ ษพุ ึงท�ำความศึกษาวา่ เราจักสำ� รวมดว้ ยดี ไปในบา้ น (คอื ไมค่ ะนองมือคะนองเท้า) สิกขาบทที่ ๖ ภกิ ษุพึงทำ� ความศึกษาวา่ เราจกั ส�ำรวมดว้ ยดี น่งั ในบา้ น สกิ ขาบทท่ี ๗ ภกิ ษุพงึ ท�ำความศกึ ษาว่า เราจักมีตาทอดลง ไปในบา้ น (คอื ไม่มองไปทางโน้นทางน้ี เหมอื นจะคน้ หาอะไร) สกิ ขาบทท่ี ๘ ภิกษุพงึ ทำ� ความศึกษาวา่ เราจักมีตาทอดลง น่งั ในบ้าน สิกขาบทท่ี ๙ ภกิ ษุพึงท�ำความศึกษาว่า เราจักไม่เวกิ ผา้ ไปในบา้ น (คือไมย่ กผา้ ขน้ึ ดา้ นเดยี วหรือ ๒ ดา้ น) สกิ ขาบทท่ี ๑๐ ภกิ ษุพงึ ทำ� ความศกึ ษาว่า เราจักไม่เวกิ ผา้ นงั่ ในบ้าน สกิ ขาบทท่ี ๑๑ ภิกษพุ ึงท�ำความศกึ ษาวา่ เราจักไมห่ ัวเราะดงั ไปในบา้ น สกิ ขาบทที่ ๑๒ ภิกษพุ งึ ท�ำความศึกษาวา่ เราจกั ไม่หวั เราะดงั นงั่ ในบ้าน สกิ ขาบทที่ ๑๓ ภกิ ษุพงึ ทำ� ความศกึ ษาว่า เราจกั ไมพ่ ดู เสยี งดงั ไปในบ้าน สกิ ขาบทท่ี ๑๔ ภกิ ษพุ ึงท�ำความศึกษาวา่ เราจกั ไม่พดู เสียงดงั นัง่ ในบ้าน สิกขาบทท่ี ๑๕ ภิกษุพึงท�ำความศกึ ษาวา่ เราจักไมโ่ คลงกาย ไปในบ้าน สกิ ขาบทที่ ๑๖ ภิกษุพึงท�ำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมโ่ คลงกาย นง่ั ในบา้ น สิกขาบทท่ี ๑๗ ภกิ ษพุ ึงทำ� ความศกึ ษาว่า เราจกั ไมไ่ กวแขน ไปในบา้ น สิกขาบทท่ี ๑๘ ภิกษุพงึ ทำ� ความศกึ ษาวา่ เราจักไมไ่ กวแขน นั่งในบา้ น สกิ ขาบทที่ ๑๙ ภิกษุพงึ ทำ� ความศกึ ษาว่า เราจักไม่สัน่ ศรี ษะ ไปในบา้ น สิกขาบทท่ี ๒๐ ภิกษพุ ึงท�ำความศึกษาวา่ เราจกั ไม่สนั่ ศรี ษะ นัง่ ในบ้าน สกิ ขาบทที่ ๒๑ ภกิ ษุพงึ ทำ� ความศึกษาว่า เราจักไม่เอามือคำ�้ กาย ไปในบา้ น สิกขาบทท่ี ๒๒ ภิกษุพงึ ท�ำความศึกษาวา่ เราจกั ไม่เอามอื ค้ำ� กาย นง่ั ในบ้าน สิกขาบทที่ ๒๓ ภิกษุพึงท�ำความศึกษาว่า เราจักไมเ่ อาผ้าคลุมศรี ษะ ไปในบา้ น สิกขาบทท่ี ๒๔ ภกิ ษพุ งึ ทำ� ความศึกษาวา่ เราจกั ไมเ่ อาผ้าคลมุ ศีรษะ นงั่ ในบ้าน สกิ ขาบทที่ ๒๕ ภกิ ษุพึงท�ำความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมเ่ ดนิ กระโหยง่ เทา้ ไปในบ้าน สิกขาบทที่ ๒๖ ภิกษุพงึ ทำ� ความศึกษาวา่ เราจกั ไม่นงั่ รดั เขา่ ในบา้ น จบหมวดสารูป ๒๖ สกิ ขาบท PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 264 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ เสขิยกัณฑ์ 265 (๒) โภชนปฏสิ ังยุต (หมวดวา่ ดว้ ยการฉันอาหาร) มี ๓๐ สิกขาบท สกิ ขาบทที่ ๑ ภิกษพุ ึงทำ� ความศกึ ษาว่า เราจักรับบณิ ฑบาตโดยเคารพ สิกขาบทที่ ๒ ภกิ ษพุ ึงท�ำความศึกษาว่า เราจักแลดแู ต่ในบาตร รบั บิณฑบาต สกิ ขาบทที่ ๓ ภิกษพุ ึงท�ำความศกึ ษาวา่ เราจกั รบั บณิ ฑบาตพอสมสว่ นกับแกง (ไมร่ ับแกงมากเกินไป) สิกขาบทท่ี ๔ ภิกษพุ ึงทำ� ความศกึ ษาวา่ เราจกั รับบิณฑบาตพอสมเสมอขอบปากบาตร สิกขาบทที่ ๕ ภกิ ษพุ งึ ท�ำความศึกษาว่า เราจกั ฉนั บณิ ฑบาตโดยเคารพ สิกขาบทที่ ๖ ภิกษุพงึ ท�ำความศกึ ษาวา่ เราจกั แลดแู ต่ในบาตร ฉนั บณิ ฑบาต สกิ ขาบทท่ี ๗ ภิกษุพึงท�ำความศกึ ษาวา่ เราจกั ฉันบิณฑบาต ไปตามล�ำดับ (ไม่ขุดให้แหวง่ ) สกิ ขาบทท่ี ๘ ภิกษพุ ึงท�ำความศึกษาว่า เราจักฉันบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง (ไมฉ่ นั แกงมากเกินไป) สกิ ขาบทท่ี ๙ ภิกษุพงึ ทำ� ความศกึ ษาวา่ เราจกั ฉนั บิณฑบาต ไมข่ ยุม้ แตย่ อดลงไป ิว ันย ิปฎก สิกขาบทท่ี ๑๐ ภกิ ษุพึงทำ� ความศกึ ษาวา่ เราจกั ไมเ่ อาขา้ วสกุ ปดิ แกงและกบั ดว้ ยหวงั จะไดม้ าก สกิ ขาบทที่ ๑๑ ภิกษุพงึ ทำ� ความศึกษาว่า เราไม่เจบ็ ไข้ จักไม่ขอแกงหรือขา้ วสกุ เพอ่ื ประโยชน์ แก่ตนมาฉัน สิกขาบทที่ ๑๒ ภิกษพุ งึ ทำ� ความศกึ ษาวา่ เราจกั ไม่มองดบู าตรของผู้อ่ืนด้วยคดิ จะยกโทษ๑ สกิ ขาบทที่ ๑๓ ภกิ ษุพึงทำ� ความศึกษาวา่ เราจักไมท่ ำ� คำ� ข้าวให้ใหญเ่ กินไป สกิ ขาบทท่ี ๑๔ ภกิ ษพุ ึงทำ� ความศึกษาวา่ เราจกั ท�ำคำ� ข้าวให้กลมกลอ่ ม สิกขาบทที่ ๑๕ ภกิ ษพุ ึงทำ� ความศึกษาวา่ เราจักไมอ่ า้ ปากในเมอื่ คำ� ข้าวยงั ไม่มาถึง สกิ ขาบทที่ ๑๖ ภิกษุพงึ ทำ� ความศกึ ษาวา่ เราจักไมเ่ อามือทงั้ มอื ใส่ปากในขณะฉนั สิกขาบทท่ี ๑๗ ภกิ ษุพงึ ท�ำความศึกษาว่า เราจกั ไม่พูดท้งั ทีป่ ากยงั มีค�ำข้าว สิกขาบทที่ ๑๘ ภิกษพุ งึ ท�ำความศกึ ษาวา่ เราจักไม่ฉนั โยนค�ำขา้ วเข้าปาก สิกขาบทท่ี ๑๙ ภิกษุพึงท�ำความศกึ ษาว่า เราจกั ไมฉ่ ันกัดค�ำข้าว๒ สิกขาบทท่ี ๒๐ ภกิ ษพุ ึงท�ำความศกึ ษาวา่ เราจักไม่ฉันท�ำกระพุ้งแก้มใหต้ ุ่ย สิกขาบทที่ ๒๑ ภกิ ษุพึงทำ� ความศกึ ษาวา่ เราจักไมฉ่ ันพลางสะบัดมือพลาง สิกขาบทท่ี ๒๒ ภกิ ษุพงึ ท�ำความศึกษาวา่ เราจกั ไม่ฉันโปรยเมล็ดขา้ ว๓ ๑ ยกโทษ หมายถงึ กล่าวโทษ หรือติเตยี น - ม.พ.ป. - ม.พ.ป. ๒ กดั คำ� ขา้ ว หมายถงึ เคยี้ วใหเ้ กดิ เสยี งกัด - ม.พ.ป. ๓ โปรย หมายถึง ทำ� ใหต้ กลงมาเป็นเม็ด ๆ หรือกระจายท่วั ไป PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 265 5/4/18 2:24 PM
266 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ สกิ ขาบทที่ ๒๓ ภิกษุพึงทำ� ความศึกษาว่า เราจกั ไม่ฉันแลบลนิ้ สิกขาบทท่ี ๒๔ ภิกษุพึงทำ� ความศกึ ษาว่า เราจกั ไม่ฉันดังจับ ๆ สกิ ขาบทท่ี ๒๕ ภกิ ษพุ ึงทำ� ความศึกษาวา่ เราจกั ไมฉ่ ันดงั ซดู ๆ สกิ ขาบทท่ี ๒๖ ภกิ ษุพึงท�ำความศึกษาวา่ เราจักไม่ฉนั เลยี มือ สกิ ขาบทที่ ๒๗ ภกิ ษุพึงทำ� ความศกึ ษาว่า เราจกั ไมฉ่ นั เลียบาตร๑ สกิ ขาบทที่ ๒๘ ภกิ ษุพึงทำ� ความศกึ ษาว่า เราจกั ไม่ฉนั เลยี ริมฝปี าก สกิ ขาบทท่ี ๒๙ ภกิ ษพุ ึงทำ� ความศึกษาวา่ เราจกั ไมเ่ อามอื เปือ้ นจับภาชนะนำ�้ สกิ ขาบทที่ ๓๐ ภิกษพุ งึ ทำ� ความศึกษาวา่ เราจักไม่เอานำ้� ลา้ งบาตรมเี มล็ดขา้ วเทลงในบ้าน (๓) ธมั มเทสนาปฏิสงั ยตุ (หมวดว่าด้วยการแสดงธรรม) มี ๑๖ สกิ ขาบท สกิ ขาบทท่ี ๑ ภิกษพุ ึงท�ำความศกึ ษาว่า เราจกั ไม่แสดงธรรมแกค่ นไม่เปน็ ไข้ท่ีมีรม่ ในมอื สิกขาบทที่ ๒ ภิกษพุ ึงทำ� ความศกึ ษาวา่ เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีไม้พลอง ในมือ สกิ ขาบทท่ี ๓ ภิกษพุ งึ ท�ำความศึกษาว่า เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ท่ีมีศัสตรา (ของมีคม) ในมือ สกิ ขาบทที่ ๔ ภิกษุพึงทำ� ความศกึ ษาวา่ เราจักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ท่ีมีอาวุธ (ของซัดไปหรอื ยงิ ไปได้) ในมือ สกิ ขาบทที่ ๕ ภิกษพุ ึงท�ำความศกึ ษาว่า เราจกั ไมแ่ สดงธรรมแกค่ นไมเ่ ปน็ ไขท้ สี่ รวมเขยี งเทา้ (รองเทา้ ไม้) สกิ ขาบทที่ ๖ ภิกษุพึงทำ� ความศึกษาว่า เราจกั ไม่แสดงธรรมแกค่ นไม่เป็นไขท้ ่สี รวมรองเท้า สกิ ขาบทที่ ๗ ภกิ ษพุ งึ ทำ� ความศึกษาว่า เราจักไมแ่ สดงธรรมแก่คนไมเ่ ปน็ ไขท้ ่ไี ปในยาน สกิ ขาบทท่ี ๘ ภกิ ษุพึงทำ� ความศกึ ษาว่า เราจกั ไมแ่ สดงธรรมแกค่ นไมเ่ ป็นไขท้ ี่อยูบ่ นที่นอน สกิ ขาบทท่ี ๙ ภิกษุพงึ ทำ� ความศกึ ษาวา่ เราจักไมแ่ สดงธรรมแก่คนไม่เปน็ ไข้ท่ีนง่ั รัดเขา่ สิกขาบทท่ี ๑๐ ภิกษุพึงทำ� ความศึกษาว่า เราจักไมแ่ สดงธรรมแก่คนไม่เปน็ ไข้ที่โพกศรี ษะ สิกขาบทท่ี ๑๑ ภกิ ษุพึงทำ� ความศกึ ษาว่า เราจกั ไมแ่ สดงธรรมแก่คนไม่เปน็ ไข้ทคี่ ลุมศรี ษะ สิกขาบทที่ ๑๒ ภิกษุพึงทำ� ความศกึ ษาวา่ เรานง่ั อยบู่ นแผน่ ดนิ จกั ไมแ่ สดงธรรมแกค่ นไมเ่ ปน็ ไข้ที่น่งั อยูบ่ นอาสนะ (ผา้ หรือเคร่อื งปนู งั่ ) ๑ บาตรสมยั น้นั ไม่ลึกมากอยา่ งปจั จบุ ัน แมภ้ าชนะใสข่ องคล้ายชาม กเ็ รยี กวา่ บาตร จงึ เลียได้ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 266 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ธรรมะส�ำหรับระงับอธิกรณ์ 267 สิกขาบทที่ ๑๓ ภกิ ษพุ ึงทำ� ความศกึ ษาวา่ เรานั่งอยู่บนอาสนะต่�ำ จักไม่แสดงธรรมแก่คนไม่ เปน็ ไขท้ ี่นั่งบนอาสนะสูง สิกขาบทที่ ๑๔ ภกิ ษุพึงทำ� ความศกึ ษาว่า เรายนื อยู่ จักไม่แสดงธรรมแกค่ นไมเ่ ป็นไขท้ ่ีนั่งอยู่ สิกขาบทที่ ๑๕ ภกิ ษพุ ึงท�ำความศึกษาวา่ เราเดนิ ไปขา้ งหลงั จกั ไมแ่ สดงธรรมแกค่ นไมเ่ ปน็ ไข้ ท่ีเดนิ ไปขา้ งหนา้ สิกขาบทที่ ๑๖ ภิกษุพึงทำ� ความศกึ ษาว่า เราเดนิ ไปนอกทาง จกั ไมแ่ สดงธรรมแกค่ นไมเ่ ปน็ ไข้ ท่ไี ปในทาง (๔) ปกิณณกะ (หมวดเบด็ เตลด็ ) มี ๓ สกิ ขาบท สิกขาบทท่ี ๑ ภกิ ษุพงึ ท�ำความศกึ ษาว่า เราไมเ่ ป็นไข้ จกั ไม่ยนื ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ สิกขาบทที่ ๒ ภิกษุพึงท�ำความศกึ ษาวา่ เราไม่เป็นไข้ จักไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วน นำ้� ลายลงในของเขยี ว (พืชพันธไ์ุ ม้) ิว ันย ิปฎก สิกขาบทท่ี ๓ ภิกษุพงึ ท�ำความศึกษาว่า เราไม่เป็นไข้ จักไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วน น้�ำลายลงในน้�ำ ๕. ธรรมส�ำหรบั ระงบั อธิกรณ์ ๗ อยา่ ง ๑ สมั มขุ าวินยั การระงบั อธกิ รณ์ ในท่พี ร้อมหนา้ (บุคคล วตั ถุ ธรรม) ๒ สตวิ นิ ัย การระงับอธิกรณ์ด้วยยกให้ว่าพระอรหนั ตเ์ ปน็ ผมู้ ีสติ ๓ อมฬู หวนิ ยั การระงบั อธกิ รณด์ ้วยยกประโยชน์ใหใ้ นขณะเป็นบา้ ๔ ปฏญิ ญาตกรณะ การระงับอธกิ รณ์ดว้ ยถือตามค�ำรบั ของจำ� เลย ๕ เยภุยยสิกา การระงบั อธิกรณด์ ้วยถอื เสยี งขา้ งมากเป็นประมาณ ๖ ตสั สปาปยิ สิกา การระงับอธิกรณด์ ้วยการลงโทษแกผ่ ผู้ ดิ ๗ ติณวตั ถารกะ การระงับอธกิ รณด์ ้วยให้ประนปี ระนอมหรอื เลิกแล้วกนั ไป จบความย่อแหง่ พระไตรปิฎก เลม่ ๒ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 267 5/4/18 2:24 PM
เลม่ ๓ ภิกขนุ วี ิภังค์ ในเล่ม ๑ และ ๒ แห่งบาลีวินัยปิฎก๑ ซ่ึงย่อมาแล้ว ว่าด้วยศีลของภิกษุ ซ่ึงมีอยู่ ๒๒๗ ขอ้ อนั จะตอ้ งสวดในทป่ี ระชมุ สงฆท์ กุ กงึ่ เดอื น บดั นจ้ี งึ มาถงึ บาลวี นิ ยั ปฎิ ก เลม่ ๓ ซง่ึ ชอ่ื วา่ ภกิ ขนุ วี ภิ งั ค์ อนั แปลวา่ ขอ้ แจกแจงอนั เกยี่ วดว้ ยนางภกิ ษณุ ี พดู งา่ ย ๆ กค็ อื แสดงถงึ ศลี ๓๑๑ ขอ้ ของนางภกิ ษุณี ซึง่ จะตอ้ งสวดในที่ประชุมภกิ ษณุ สี งฆ์ทกุ ก่ึงเดอื นเชน่ เดยี วกบั ภกิ ษุสงฆ์ ในศีล ๓๑๑ ของนางภิกษุณีน้ัน เป็นของนางภิกษุณีแท้ ๆ เพียง ๑๓๐ ข้อ ส่วนอีก ๑๘๑ ข้อ นำ� มาจากศีล ๒๒๗ ของภิกษุ เหตุท่ีน�ำมา ๑๘๑ ข้อ ก็เพราะไดเ้ ลือกเฉพาะที่ใชก้ นั ได้ ท้งั ภกิ ษแุ ละภิกษุณี อันใดทเ่ี ป็นของเฉพาะภกิ ษุแท้ ๆ กไ็ มน่ ำ� มาใชส้ ำ� หรับนางภิกษุณี บาลวี ินยั ปฎิ ก เล่ม ๓ ทช่ี ือ่ วา่ ภกิ ขนุ ีวภิ ังคน์ ้ี แบ่งออกเปน็ หวั ข้อใหญ่ ๗ หัวขอ้ คอื ๑. ปาราชิกกัณฑ์ ว่าด้วยอาบัติปาราชิก คืออาบัติที่ต้องเข้าแล้ว ท�ำให้ขาดจาก ความเป็นภิกษุณี อาบัติปาราชิกของนางภิกษุณีมี ๘ แต่แสดงไว้ในท่ีน้ีเพียง ๔ สว่ นอกี ๔ ขอ้ อนโุ ลมตามของภิกษุ ๒. สัตตรสกัณฑ์ ว่าด้วยอาบัติสังฆาทิเสส ๑๗ ข้อ (สัตตรส แปลว่า ๑๗) อาบัติ สังฆาทิเสสนั้นต้องเข้าแล้ว ต้องประพฤติมานัตต์ ๑๕ วัน (คือ ๑ ปักษ์) ในสงฆ์ ๒ ฝ่าย คือ ท้ังภกิ ษสุ งฆ์และภกิ ษุณีสงฆ์ พูดง่าย ๆ ก็คอื ตอ้ งประจานตัวเองแก่ สงฆ์ทั้งสองฝ่าย และตลอดเวลา ๑๕ วันนั้น ต้องเสียสิทธิหลายอย่าง อาบัติ สังฆาทิเสสส�ำหรับภิกษุมี ๑๓ ข้อ ใช้ได้แก่นางภิกษุณีเพียง ๗ ข้อ เป็นของ นางภกิ ษณุ แี ท้ ๆ ทแี่ สดงไวใ้ นบาลวี นิ ยั ปิฎก เลม่ ๓ นเ้ี พยี ง ๑๐ ข้อ ๓. นิสสัคคิยกัณฑ์ ว่าด้วยอาบัติปาจิตตีย์๒ ท่ีต้องสละส่ิงของ เรียกเต็มว่า อาบัติ นสิ สคั คิยปาจติ ตีย์ มี ๓๐ ข้อ เท่ากับของภิกษุ แต่น�ำของภิกษมุ าใชเ้ พยี ง ๑๘ ขอ้ อีก ๑๒ ขอ้ ทีแ่ สดงไวใ้ นท่ีน้ี เป็นของนางภิกษณุ โี ดยตรง ๔. ปาจติ ตยิ กณั ฑ์ วา่ ดว้ ยอาบตั ปิ าจติ ตยี ต์ ามปกติ ทไี่ มต่ อ้ งสละสงิ่ ของ รวม ๑๖๖ ขอ้ ในจ�ำนวนน้ี ทแ่ี สดงไว้ในท่ีนอ้ี นั เป็นของนางภิกษณุ โี ดยตรงมี ๙๖ ขอ้ นำ� ของภิกษุ มาใช้ ๗๐ ข้อ (๙๖ + ๗๐ = ๑๖๖) อาบัตปิ าจติ ตยี ์ของภิกษุมี ๙๒ ข้อ ๑ คำ� วา่ บาลวี นิ ยั ปฎิ ก หมายถงึ วนิ ยั ปฎิ ก ฉบบั ภาษาบาลี อนงึ่ คำ� วา่ ภกิ ขนุ ี เปน็ ภาษาบาลี ภกิ ษณุ ี เปน็ ภาษาสนั สกฤต อาบัติปาจติ ตีย์ แปลว่า การละเมิดท่ยี งั กุศลคอื ความดีให้ตก ๒ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 268 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาราชิกกัณฑ์ 269 ๕. ปาฏิเทสนยี กณั ฑ์ วา่ ด้วยอาบัตปิ าฏเิ ทสนยี ะ คอื อาบตั ิทคี่ วรแสดงคนื รวม ๘ ขอ้ ิว ันย ิปฎก ซึ่งไม่ซ้�ำกับของภิกษุเลย อาบัติปาฏิเทสนียะของภิกษุมี ๔ ข้อ มีที่น่าสังเกตก็คือ อาบัตนิ ี้ของนางภิกษณุ ี เนอ่ื งดว้ ยการขอของบรโิ ภคทั้ง ๘ ข้อ ๖. เสขยิ กณั ฑ์ วา่ ดว้ ยระเบียบมารยาทท่ีต้องศึกษา รวม ๗๕ ข้อ เป็นการน�ำของภกิ ษุ มาใช้ทั้ง ๗๕ ข้อ เป็นแต่ว่าในที่นี้ได้แสดงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ในเร่ืองนุ่งห่ม ไม่เรยี บร้อย กบั เร่ืองถา่ ยอุจจาระ ปสั สาวะ และบ้วนเขฬะ (น้�ำลาย) ลงในนำ้� ซ่ึง กม็ ีทห่ี า้ มอยูแ่ ล้วในเสขยิ วัตร ๗๕ ของภิกษุ ๗. อธกิ รณสมถะ วิธีระงบั อธิกรณ์ คงมี ๗ ข้ออยา่ งเดียวกบั ของภิกษุ ขยายความ ๑. ปาราชิกกณั ฑ์ (วา่ ดว้ ยอาบตั ิปาราชิก ๘ สิกขาบท) สิกขาบทท่ี ๑ หา้ มกำ� หนัดยนิ ดีการจับต้องของบุรษุ มีเรื่องเล่าว่า นางภิกษุณีช่ือสุนทรีนันทา มีความก�ำหนัดยินดีการจับต้องกายแห่ง หลานชายของนางวิสาขา ผู้มีนามว่าสาฬหะ ความทราบถึงพระผู้มีพระภาค จึงทรงบัญญัติ สกิ ขาบท ความว่า นางภิกษณุ มี ีความก�ำหนัดยนิ ดีการลบู การคล�ำ การจับ การตอ้ ง การบีบ ของชายผมู้ ี ความกำ� หนัด เบอ้ื งบนตง้ั แตใ่ ต้รากขวญั ๑ ลงไป เบือ้ งต่�ำตง้ั แต่เขา่ ขนึ้ มา ตอ้ งอาบัติปาราชกิ สกิ ขาบทท่ี ๒ หา้ มปกปิดอาบัติปาราชกิ ของนางภกิ ษุณอี ื่น นางถุลลนันทาภิกษุณีรู้ว่านางสุนทรีนันทาภิกษุณีมีครรภ์กับสาฬหะมาณพ ก็ไม่ โจทท้วงบอกกล่าว นางสุนทรีนันทาปกปิดการมีครรภ์ของตน จนครรภ์แก่จึงสึกไปคลอด พระผ้มู ีพระภาคทรงทราบ จงึ ทรงบัญญัตสิ กิ ขาบท ความวา่ นางภกิ ษณุ รี วู้ า่ นางภกิ ษณุ อี นื่ ตอ้ งอาบตั ปิ าราชกิ ไมโ่ จทดว้ ยตนเอง ไมบ่ อกแกห่ มคู่ ณะ ตอ้ งอาบัติปาราชกิ ๑ รากขวญั คอื ไหปลารา้ หรอื หลมุ คอ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 269 5/4/18 2:24 PM
270 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ สกิ ขาบทที่ ๓ หา้ มเขา้ พวกภิกษุท่ีสงฆ์ขับจากหมู่ นางถุลลนันทาภิกษุณีประพฤติตามภิกษุช่ืออริฏฐะผู้ประพฤติไม่๑ ดี สงฆ์จึงสวด ประกาศยกเสียจากหมู่ (ไม่ให้ร่วมกินร่วมนอน) พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงทรงบัญญัติ สกิ ขาบท ความว่า นางภิกษุณีประพฤติตามภิกษุที่สงฆ์สวดประกาศยกเสียจากหมู่ เป็นผู้ไม่เอื้อเฟื้อ ไม่ท�ำคืน ไม่ท�ำตนให้เป็นสหายกับพระธรรม พระวินัย ค�ำสอนของพระศาสดา นางภิกษุณีนั้น อันสงฆ์พึงตักเตือน เม่ือไม่เชื่อฟัง จึงสวดประกาศตักเตือนช้ีแจง ถ้าสวดประกาศครบ ๓ ครั้ง ยงั ไมล่ ะเลกิ ต้องอาบัตปิ าราชิก สิกขาบทที่ ๔ หา้ มเกี่ยวขอ้ งนัดหมาย เปน็ ต้น กับบุรษุ นางภิกษุณีที่เป็นคณะเดียวกัน ๖ รูป ประพฤติตนไม่สมควร มียินดีการจับมือบ้าง การจับชายสังฆาฏิบ้าง ของบุรุษ ยืนกับบุรุษบ้าง พูดจากับเขาบ้าง นัดหมายกับเขาบ้าง ยินดี การมาตามนดั หมายของเขาบา้ ง เขา้ ไปสู่ทมี่ งุ ด้วยกันบ้าง ทอดกายใหเ้ ขาเพอ่ื เสพอสทั ธรรมบา้ ง พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาราชิกแก่นางภิกษุณี ผปู้ ระพฤตเิ ชน่ น้ัน (หมายเหตุ : ปาราชิกอีก ๔ ข้อ คือต้ังแต่ข้อ ๕ ถึงข้อ ๘ อนุโลมตามของภิกษุ พึงดูหน้า ๒๑๘ - ๒๒๓) ๒. สตั ตรสกัณฑ์ (ว่าดว้ ยอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส ๑๗ สกิ ขาบท) สิกขาบทท่ี ๑ หา้ มก่อคดีในโรงศาลกับคฤหัสถแ์ ละนักบวช นางถุลลนันทาภิกษุณี เป็นความกับชายคนหน่ึงด้วยเรื่องโรงเก็บของ ที่บิดาของ ชายคนน้ันถวายเป็นของภิกษุณีสงฆ์ แต่เม่ือบิดาตาย ชายคนน้ันจะเอาคืน ศาลตัดสินให้ นางภิกษุณีชนะ ชายน้ันหาว่านางโกง นางแจ้งความ ศาลลงโทษชายนั้น ชายน้ันสร้างที่อยู่ให้ อาชีวก และให้อาชีวกมาด่า นางแจ้งความ ศาลตัดสินจ�ำคุกชายน้ัน พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงทรงบญั ญตั ิสกิ ขาบท ความว่า ๑ ภกิ ษุหรอื ภิกษุณีท่ีไม่เหน็ อาบตั ิ ไมท่ �ำคืนอาบตั ิ จะต้องถกู ลงโทษ ที่เรยี กว่าอกุ เขปนียกรรม คือการประกาศไมใ่ ห้ ร่วมกนิ รว่ มนอน ไม่ให้เขา้ หมู่ เมื่อประพฤตดิ ีแล้ว จงึ ถอนประกาศน้นั PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 270 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ สัตตรสกัณฑ์ 271 นางภิกษุณีฟ้องความกับคฤหบดี๑ บุตรคฤหบดี ทาส กรรมกร หรือแม้โดยที่สุด ิว ันย ิปฎก กบั สมณะนักบวช ต้องอาบตั ิสังฆาทเิ สส สกิ ขาบทท่ี ๒ ห้ามให้บวชแกห่ ญงิ ทเี่ ปน็ โจร ชายาของเจ้าลิจฉวีคนหนึ่งนอกใจสามี สามีจะฆ่า จึงหนีไป พร้อมท้ังขโมยของมีค่า ไปด้วย นางไปขอบวชในลัทธิอ่ืน ก็ไม่มีใครบวชให้ แต่นางถุลลนันทาภิกษุณีเห็นแก่ของก�ำนัล ยอมบวชให้ สามีตามมาถึงเมืองสาวัตถี ฟ้องต่อพระเจ้าปเสนทิขอให้สึกให้ พระเจ้าปเสนทิ ไมท่ รงยนิ ยอม ทรงถอื วา่ บวชแลว้ กแ็ ลว้ ไป สามจี งึ ตเิ ตยี นนางถลุ ลนนั ทาภกิ ษณุ ี พระผมู้ พี ระภาค ทรงทราบ จงึ ทรงบญั ญัตสิ กิ ขาบท ความวา่ นางภกิ ษณุ รี อู้ ยู่ รบั สตรซี งึ่ เปน็ โจร อนั คนทงั้ หลายรวู้ า่ มโี ทษประหาร๒ ใหอ้ ยู่ (ใหบ้ วช๓) โดยไม่บอกเล่า พระราชา สงฆ์ คณะ หมู่ พวก เว้นแต่ผู้ที่สมควร (คือบวชในลัทธิอื่นแล้ว หรอื บวชในส�ำนักนางภกิ ษุณอี ื่นอยู่แล้ว) ตอ้ งอาบัติสงั ฆาทิเสส สิกขาบทท่ี ๓ ห้ามเข้าบา้ น ขา้ มน�้ำ ค้างคืนแต่ผเู้ ดยี ว มีเรื่องหลายเรื่องที่นางภิกษุณีข้ามน�้ำ นอนตามล�ำพัง เดินทางแตกหมู่แล้วถูกข่มขืน พระผ้มู ีพระภาคจงึ ทรงบญั ญัตสิ กิ ขาบท ความว่า นางภิกษุณีแต่ล�ำพังผู้เดียวไปสู่ละแวกบ้านก็ตาม ข้ามแม่น�้ำก็ตาม ค้างคืนก็ตาม ลา้ หลงั แยกจากหมู่ (ในการเดินทาง) กต็ าม ตอ้ งอาบัตสิ ังฆาทิเสส๔ สกิ ขาบทที่ ๔ หา้ มสวดเปล้ืองโทษโดยไมบ่ อกสงฆท์ สี่ วดลงโทษ ภกิ ษสุ งฆส์ วดประกาศลงโทษนางภกิ ษณุ รี ปู หนง่ึ ผไู้ มเ่ หน็ อาบตั ิ นางถลุ ลนนั ทาภกิ ษณุ ี หาพวกสวดประกาศเปลื้องโทษ พระผ้มู ีพระภาคทรงทราบ จึงทรงบญั ญัติสกิ ขาบท ความว่า นางภิกษุณีไม่บอกกล่าวสงฆ์ผู้ท�ำการ ไม่รู้ฉันทะ (ไม่ได้รับความยินยอม) ของคณะ เปล้ืองโทษ นางภิกษุณีที่สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันยกเสียจากหมู่ ตามธรรม ตามวินัย ตาม สตั ถศุ าสนา ต้องอาบตั สิ ังฆาทเิ สส ๑ คฤหบดี แปลว่า ผู้ครองเรอื น หรือแม้นอนคนเดียวไม่มีเพื่อน สมยั นัน้ ใครลักทรัพย์ ๑ บาท คอื ๕ มาสกข้นึ ไป ตอ้ งประหารชีวิต ๒๓๔ คอื เปน็ อปุ ชั ฌายะใหบ้ วช ตามสิกขาบทนี้ แสดงว่านางภิกษุณีจะต้องอยู่ในหมู่ในคณะ จะปลีกตัวไปไหน ภกิ ษุณีดว้ ย ยอ่ มตอ้ งอาบตั ิ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 271 5/4/18 2:24 PM
272 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ สิกขาบทที่ ๕ หา้ มรับของเคีย้ วของฉนั จากมอื ของบรุ ุษ นางภิกษุณีรูปหนึ่ง รูปร่างงดงาม คนก็รุมถวายอาหารดี ๆ เกิดมีเสียงครหาข้ึน พระผู้มพี ระภาคจึงทรงบัญญตั ิสกิ ขาบท ใจความวา่ นางภิกษุณีมีความก�ำหนัด รับของเค้ียวของฉันจากมือบุรุษผู้มีความก�ำหนัด ด้วยมือ ของตนมาเค้ยี ว มาฉนั ต้องอาบัติสงั ฆาทิเสส สกิ ขาบทที่ ๖ ห้ามพูดจูงใจใหน้ างภกิ ษณุ ปี ระพฤตยิ ่อหยอ่ น นางสุนทรีนันทาภิกษุณีผู้มีรูปงาม เห็นคนถวายอาหารดี ๆ มาก และรู้ว่าคนเหล่าน้ัน มีความก�ำหนัดจึงไม่รับ นางอนันตริกาภิกษุณี กลับพูดจูงใจว่า เขาก�ำหนัดหรือไม่ก�ำหนัด จะเป็นไรไป ควรรับได้ ท่านไม่ก�ำหนัดก็แล้วกัน ความทราบถึงพระพุทธเจ้า จึงทรงบัญญัติ สกิ ขาบท ปรบั อาบัติสังฆาทิเสสแกน่ างภกิ ษุณีผูพ้ ูดจูงใจใหย้ ่อหยอ่ นแบบนน้ั สิกขาบทท่ี ๗ หา้ มพดู ดหู ม่นิ ภิกษณุ ีสงฆเ์ ม่ือโกรธเคอื ง นางจัณฑกาลีภิกษุณีทะเลาะกับนางภิกษุณีอื่น มีความโกรธเคือง พูดว่า ข้าพเจ้า ขอบอกคืนพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ สมณสตรีพวกศากยบุตรน้ีจะอะไรนักเทียว สมณสตรดี ี ๆ พวกอืน่ กม็ ี ขา้ พเจ้าจะไปประพฤติพรหมจรรยใ์ นส�ำนกั ของสมณสตรเี หล่านนั้ พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามกล่าววาจาเช่นนั้น เม่ือโกรธเคือง และเม่ือกล่าวไปแล้ว ให้ภิกษุณีสงฆ์ตักเตือน เมื่อไม่เช่ือฟัง จึงสวดประกาศ ตักเตอื น ถา้ ครบ ๓ คร้ังแลว้ ยังไมเ่ ลกิ ละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส สิกขาบทท่ี ๘ หา้ มพูดติเตียนเมอื่ ถกู ลงโทษโดยธรรม นางจณั ฑกาลภี กิ ษณุ ถี กู ลงโทษในอธกิ รณเ์ รอ่ื งหนงึ่ โกรธเคอื ง จงึ กลา่ วหาวา่ นางภกิ ษณุ ี ท้ังหลาย ลุแก่อคติ ๔ พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามติเตียน เชน่ น้ัน และให้ภิกษณุ ีสงฆ์ตักเตอื น เมือ่ ไมเ่ ชือ่ ฟงั จงึ สวดประกาศตักเตือน ถา้ ครบ ๓ ครง้ั แล้ว ยังไมเ่ ลกิ ละ ตอ้ งอาบตั สิ งั ฆาทเิ สส สกิ ขาบทท่ี ๙ ห้ามรวมกลุ่มกนั ประพฤตเิ สอื่ มเสยี นางภิกษุณีท่ีเป็นศิษย์ของนางถุลลนันทาภิกษุณี รวมกลุ่มกันประพฤติเส่ือมเสีย มชี อื่ เสยี งไมด่ ี เบยี ดเบยี นภกิ ษณุ สี งฆ์ ปกปดิ ความชวั่ ของกนั และกนั พระผมู้ พี ระภาคทรงทราบ จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามประพฤติเช่นน้ัน และให้ภิกษุณีสงฆ์ตักเตือน เม่ือไม่เชื่อฟัง จงึ สวดประกาศตกั เตือน ถ้าครบ ๓ ครัง้ แลว้ ยงั ไมเ่ ลกิ ละ ตอ้ งอาบัติสงั ฆาทเิ สส PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 272 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ นัสสัคคิยกัณฑ์ 273 สิกขาบทท่ี ๑๐ ห้ามพูดยุยงนางภิกษุณผี ปู้ ระพฤติผดิ ิว ันย ิปฎก นางถุลลนันทาภิกษุณีพูดกับนางภิกษุณีท้ังหลายท่ีถูกสงฆ์สวดประกาศตักเตือน (ตามสกิ ขาบทที่ ๙) วา่ ”แมเ่ จา้ ทง้ั หลาย ทา่ นทงั้ หลายจงรวมกลมุ่ กนั อยา่ แยกกนั แมน้ างภกิ ษณุ ี เหลา่ อืน่ ทม่ี คี วามประพฤติอย่างน้ี มีชอ่ื เสียงอยา่ งนี้ เบียดเบียนภิกษณุ ีสงฆ์ ปกปดิ โทษของกัน และกันก็มีอยู่ในสงฆ์ แต่สงฆ์ก็มิได้กล่าวอะไรซึ่งนางภิกษุณีเหล่านั้น สงฆ์ว่ากล่าวพวกท่าน เพราะดหู มน่ิ เพราะข่มเหง เพราะไมช่ อบใจ เพราะเสียงซุบซบิ เพราะ (พวกทา่ น) มกี ำ� ลงั น้อย„ พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามนางภิกษุณี กล่าวกะนางภิกษุณีที่ถูก สงฆ์สวดประกาศตักเตือนเช่นน้ัน ถ้ามีใครขืนท�ำ ให้ภิกษุณีสงฆ์ตักเตือน ถ้าไม่ฟัง ให้สวด ประกาศเตือน ครบ ๓ คร้ังแล้ว ยงั ไมล่ ะเลกิ ตอ้ งอาบัตสิ งั ฆาทิเสส (หมายเหตุ : อีก ๗ สิกขาบทไม่ได้กล่าวไว้ แต่ให้ใช้สิกขาบทของภิกษุ คือสิกขาบท ท่ี ๕ ๘ ๙ และ ๑๐ ๑๑ ๑๒ ๑๓ รวม ๗ สกิ ขาบท ดหู น้า ๒๒๘ - ๒๓๔) ๓. นสิ สัคคยิ กณั ฑ์ (วา่ ดว้ ยอาบตั ินสิ สัคคยิ ปาจติ ตีย์ ๓๐ สกิ ขาบท ท่ตี ้องสละสิ่งของ) ในทน่ี มี้ เี พยี ง ๑๒ สกิ ขาบท อกี ๑๘ สกิ ขาบทน�ำมาจากของภิกษุ (๑) ปตั ตวรรค วรรคว่าด้วยบาตร มี ๑๐ สิกขาบท สิกขาบทท่ี ๑ ห้ามสะสมบาตร นางภกิ ษณุ ที เ่ี ปน็ คณะเดยี วกนั ๖ รปู สะสมบาตรไวม้ าก เปน็ ทตี่ เิ ตยี น พระผมู้ พี ระภาค จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า นางภิกษุณีสะสมบาตร ต้องนิสสัคคิยปาจิตตีย์ (บาตรที่นับว่า สะสม คือนอกจากท่ีใช้ประจ�ำ ๑ ลูก และนอกจากท่ีท�ำวิกัป หรือท�ำให้เป็นสองเจ้าของ คืออนญุ าตใหผ้ ู้อ่ืนมสี ทิ ธิด้วย) สกิ ขาบทที่ ๒ ห้ามอธิษฐานจีวรนอกกาลและแจกจา่ ย ชาวบ้านเห็นนางภิกษุณีกลุ่มหน่ึงมีจีวรเก่า แต่ประพฤติตนสำ� รวมดี จึงเล่ือมใสถวาย จีวรนอกกาลแก่ภิกษุณีสงฆ์ นางถุลลนันทาภิกษุณีอ้างว่าตนกราลกฐินแล้ว จึงอธิษฐานเป็น จีวรในกาล ให้แจกจ่าย (เมื่อท�ำวิธีน้ี จีวรก็ตกเป็นของนางถุลลนันทาภิกษุณี ในฐานะเป็น ผู้มีพรรษามาก) เจ้าของจีวรถามนางภิกษุณีท่ีตนประสงค์จะให้ได้รับ ทราบว่าไม่ได้รับ เพราะ นางถลุ ลนนั ทาภกิ ษณุ ที ำ� ไปอยา่ งนน้ั จงึ ตเิ ตยี น พระผมู้ พี ระภาคทรงทราบ จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ห้ามอธิษฐานจีวรนอกกาล เป็นจีวรในกาล แล้วแจกจ่าย ทรงปรับอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ แกน่ างภกิ ษณุ ผี ู้ลว่ งละเมดิ PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 273 5/4/18 2:24 PM
274 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ สิกขาบทที่ ๓ ห้ามชิงจวี รคืนเมือ่ แลกเปล่ียนกนั แล้ว นางถุลลนันทาภิกษุณีแลกจีวรกับภิกษุณีรูปอื่นแล้ว ภายหลังชวนแลกคืนตามเดิม พร้อมท้ังชิงเอาท้ัง ๆ ท่ีอีกฝ่ายหน่ึงยังไม่ทันตกลงประการไร พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติ สกิ ขาบท ปรับอาบัตนิ ิสสัคคิยปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณผี ชู้ งิ คนื เอง หรอื ใชใ้ หผ้ ้อู นื่ ชงิ สกิ ขาบทท่ี ๔ หา้ มขอของอย่างหนงึ่ แลว้ ขออยา่ งอื่นอีก อบุ าสกคนหนง่ึ ถามนางถลุ ลนนั ทาภกิ ษณุ วี า่ ตอ้ งการอะไร นางตอบวา่ ตอ้ งการเนยใส เขาจึงซ้ือเนยใสมาถวาย นางกลับบอกว่า ไม่ต้องการเนยใส แต่ต้องการนำ�้ มัน เขาจึงเอาเนยใส ไปคืน จะขอน้�ำมันมาแทน แต่พ่อค้าไม่ยอมให้คืน เขาจึงติเตียนนางถุลลนันทาภิกษุณี พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ห้ามขอของอย่างหน่ึง แล้วขอของอย่างอื่นอีก ทรงปรับอาบตั นิ ิสสัคคยิ ปาจิตตียแ์ กน่ างภกิ ษณุ ผี ู้ประพฤติเชน่ นน้ั สิกขาบทที่ ๕ ห้ามส่งั ซือ้ ของกลับกลอก อุบาสกผู้หนง่ึ เอาเงิน ๑ กหาปณะฝากไวท้ ่พี ่อคา้ ในตลาด แล้วบอกกบั นางถุลลนนั ทา ภิกษุณีว่า ต้องการอะไรในราคานั้นให้ไปน�ำมา นางใช้นางสิกขมานา (สามเณรีผู้ก�ำลังศึกษา คือสามเณรีท่ีเตรียมตัวจะเป็นนางภิกษุณีตามระยะกาลก�ำหนด) ผู้หน่ึง ให้ไปน�ำน�้ำมันมาราคา ๑ กหาปณะ ครนั้ นำ� มาแลว้ สงั่ เปลย่ี นใหมว่ า่ ไมต่ อ้ งการนำ้� มนั แตต่ อ้ งการเนยใส นางสกิ ขมานานำ� นำ้� มนั ไปคนื จะขอเนยใสมา พอ่ คา้ ไมย่ อมรบั คนื นางสกิ ขมานากย็ นื รอ้ งไห้ พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรง บัญญตั สิ ิกขาบท ปรบั อาบัตินิสสัคคยิ ปาจิตตียแ์ ก่นางภกิ ษณุ ีผ้สู ่ังซื้อของกลับกลอกเช่นนัน้ สิกขาบทที่ ๖ หา้ มจา่ ยของผดิ วตั ถุประสงคเ์ ดิม พวกอบุ าสกเรย่ี ไรกนั เพอื่ ทำ� จวี รถวายภกิ ษณุ สี งฆ์ แลว้ เกบ็ ของไว้ ณ บา้ นของพอ่ คา้ ผา้ คนหน่ึง เข้าไปหานางภิกษุณีท้ังหลาย ส่ังว่า ถ้าต้องการจีวรให้ไปรับมาจัดแบ่งกัน นางภิกษุณี ทั้งหลายเอาผ้านั้นไปจ่ายแลกเภสัชมาบริโภคเสียเอง เขารู้เข้าก็พากันติเตียน พระผู้มีพระภาค จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณี ที่เอาของที่เขาประสงค์ เจาะจงเพื่อประโยชน์อยา่ งหน่ึง ถวายแก่สงฆ์ไว้ไปจา่ ยแลกของอืน่ สิกขาบทท่ี ๗ หา้ มขอของมาจา่ ยแลกของอน่ื พวกอุบาสกเร่ียไรกันเพ่ือท�ำจีวรถวายภิกษุณีสงฆ์ แล้วเก็บของไว้ที่บ้านของพ่อค้าผ้า คนหนึง่ เข้าไปหานางภกิ ษณุ ที ั้งหลาย สง่ั วา่ ถ้าตอ้ งการจวี ร กใ็ หไ้ ปรับมาจดั แบง่ กัน นางภกิ ษณุ ี PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 274 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ นัสสัคคิยกัณฑ์ 275 ขอผ้านั้นด้วยตนแล้ว เอาบริขารน้ันไปจ่ายแลกเภสัชมาบริโภค เขารู้เข้าก็พากันติเตียน ิว ันย ิปฎก พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณี ที่เอาของ ที่เขาประสงค์เจาะจงเพื่อประโยชน์อย่างหนึ่ง ถวายแก่พระสงฆ์ซึ่งตนขอมาเองไปจ่ายแลก ของอ่นื สิกขาบทท่ี ๘ หา้ มจ่ายของของคณะแลกของอืน่ ชนกลุ่มหน่ึงเร่ียไรกันเพื่อทำ� ข้าวยาคถู วายนางภิกษณุ ีทั้งหลาย (ในทน่ี ้ไี ม่ใชค้ ำ� วา่ สงฆ์ ดว้ ยมงุ่ หมายหมนู่ างภกิ ษณุ ที ลี่ ำ� บากดว้ ยขา้ วยาค)ู แลว้ ฝากของไวท้ บ่ี า้ นพอ่ คา้ คนหนงึ่ เขา้ ไปหา นางภิกษุณีทั้งหลาย สั่งว่า ถ้าต้องการข้าวยาคู ให้ไปเอาข้าวสารมาต้มเป็นข้าวยาคูบริโภค นางภิกษุณีท้ังหลายเอาของน้ันจ่ายแลกเภสัชมาบริโภค เขาทราบเข้าพากันติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณี ท่ีเอา ของที่เขาประสงค์เจาะจงเพื่อประโยชน์อย่างหนึ่ง ถวายไว้แก่คณะนางภิกษุณี มาจ่ายแลก ของอย่างอ่ืน (ความต่างกันของสิกขาบทน้ี กับสิกขาบทที่ ๖ ที่ ๗ อยู่ที่คณะกับสงฆ์ คณะ หมายเอา ๒ - ๓ รูป สงฆ์หมายเอา ๔ รูปข้ึนไป) สิกขาบทที่ ๙ ห้ามขอของของคณะมาจ่ายแลกของอน่ื เร่ืองเช่นเดียวกับสิกขาบทท่ี ๘ เป็นแต่นางภิกษุณีขอก่อนแล้วจึงจ่ายแลกของ ทำ� นองเดียวกบั สิกขาบทท่ี ๗ เปน็ แตส่ กิ ขาบทนีเ้ ขาถวายแก่คณะ สกิ ขาบทที่ ๑๐ หา้ มขอของบุคคลมาจา่ ยแลกของอน่ื เรื่องท�ำนองเดียวกับสิกขาบทที่ ๙ เป็นแต่เขาถวายของเป็นส่วนบุคคลส�ำหรับค่า ทำ� ความสะอาดบรเิ วณ แตผ่ ้รู ับเอามาจ่ายแลกเภสชั (๒) จีวรวรรค วรรควา่ ด้วยจวี ร มี ๒ สิกขาบท สกิ ขาบทที่ ๑ ห้ามขอผ้าหม่ หนาวเกนิ ราคา ๑๖ กหาปณะ พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเล่ือมใสในธรรมเทศนาของนางถุลลนันทาภิกษุณี ออกปาก ให้ขอของได้ นางจึงขอผ้ากัมพลราคาแพง พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติ นิสสัคคิยปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีท่ีขอ (หรือให้เขาจ่าย) ผ้าห่มหนาว ราคาเกิน ๔ กังสะ (๑๖ กหาปณะ) สิกขาบทท่ี ๒ หา้ มขอผ้าหม่ ฤดรู อ้ น ราคาเกิน ๑๐ กหาปณะ พระเจ้าปเสนทโิ กศลทรงเลือ่ มใสในธรรมเทศนาของนางถุลลนันทาภิกษณุ ี ตรัสใหข้ อ ส่ิงที่ต้องการได้ นางขอผ้าเปลือกไม้ ก็ถวายผ้าเปลือกไม้ตามประสงค์ มนุษย์ท้ังหลายพากัน PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 275 5/4/18 2:24 PM
276 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ ติเตียนว่ามักมาก (เข้าใจว่าจะขอผ้าที่ทรงห่มอยู่ซ่ึงมีราคาแพง) พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติ สิกขาบท ปรับอาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณี เม่ือขอผ้าห่มฤดูร้อน ขอผ้าเกินราคา ๒ กงั สะครึ่ง (๑๐ กหาปณะ)๑ (หมายเหตุ : นิสสัคคิยกัณฑ์ที่แสดงไว้น้ี มีเพียง ๑๒ สิกขาบท ท้ัง ๆ ที่กล่าวมา มี ๓๐ สิกขาบท เพราะน�ำของภิกษุมาใช้ ๑๘ สิกขาบท กล่าวอีกอย่างหน่ึงนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ของภิกษุ ๓๐ สิกขาบทน้ัน เอาออกเสีย ๑๒ น�ำมาใช้ส�ำหรับนางภิกษุณีได้ ๑๘ สิกขาบท ทเี่ อาออก ๑๒ คอื สกิ ขาบทท่ี ๔ ที่ ๕ แหง่ จวี รวรรค สกิ ขาบทที่ ๑ ถงึ ๗ แหง่ โกสยิ วรรค สกิ ขาบท ที่ ๑ ที่ ๘ และที่ ๙ แห่งปัตตวรรค ดหู นา้ ๒๓๗ - ๒๔๓) ๔. ปาจติ ตยิ กัณฑ์ (วา่ ดว้ ยอาบตั ิปาจติ ตยี ์ ๑๖๖ สกิ ขาบท ท่ไี ม่ต้องสละส่งิ ของ) (ในเล่มนีแ้ สดงเฉพาะทเี่ ปน็ ของนางภกิ ษณุ ีแท้ ๆ ๙๖ สกิ ขาบท ส่วนอกี ๗๐ สกิ ขาบท นำ� ของภิกษมุ าใช้ จึงรวมเป็น ๑๖๖ สิกขาบท ใน ๙๖ สกิ ขาบท แบ่งออกเปน็ ๙ วรรค วรรคท่ี ๑ ถึงวรรคท่ี ๗ มีวรรคละ ๑๐ สกิ ขาบท วรรคที่ ๘ และที่ ๙ วรรคละ ๑๓ สกิ ขาบท) (๑) ลสณุ วรรค วรรคว่าดว้ ยกระเทยี ม มี ๑๐ สกิ ขาบท สกิ ขาบทที่ ๑ หา้ มฉันกระเทยี ม อบุ าสกผู้หนึ่งอนุญาตใหภ้ ิกษุณีสงฆข์ อกระเทียมได้ พร้อมทง้ั สั่งคนเฝ้าไรใ่ ห้จัดถวาย วันหนึ่งนางภิกษุณีหลายรูปไปขอกระเทียม เผอิญกระเทียมท่ีบ้านหมด เขาจึงให้ไปเก็บเอาเอง ท่ีไร่ นางถุลลนันทาภิกษุณี ไม่รู้จักประมาณ ใช้คนเก็บไปเสียมากมาย คนเฝ้าไร่ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีท่ีฉันกระเทียม (คงเพ่ือป้องกนั ไมใ่ ห้ไปเทย่ี วขอกระเทียมชาวบ้านอีก) สิกขาบทที่ ๒ ห้ามน�ำขนในทแ่ี คบออก นางภิกษุณีไปอาบน้�ำเปลือยกายในท่าน�้ำอันเดียวกับหญิงแพศยา (โสเภณี) ถูกพวก หญงิ แพศยายกโทษตเิ ตยี นวา่ นำ� ขนในทแี่ คบออกเหมอื นคฤหสั ถผ์ บู้ รโิ ภคกาม พระผมู้ พี ระภาค จึงทรงบญั ญัติสิกขาบทปรับอาบัติปาจติ ตยี ์แก่นางภิกษณุ ที ่ีให้น�ำขนในทแ่ี คบออก๒ ๑ มีข้อน่าสังเกตอยู่ ๒ แห่ง คือผ้าห่มฤดูหนาว ใช้ค�ำว่า ผ้าห่มหนัก (ครุปาปุรณํ) ผ้าห่มฤดูร้อน ใช้ค�ำว่า ผ้าห่มเบา ๒ (ลหุปาปรุ ณํ) ค�ำว่า ขอ แปลหกั จากค�ำวา่ ”ทำ� ใหเ้ ขาจา่ ย„ (เจตาเปยฺย) ค�ำว่า ท่แี คบ หมายถงึ รกั แรท้ ัง้ สองและองคก์ �ำเนิด PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 276 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ 277 สกิ ขาบทท่ี ๓ ห้ามใช้ฝา่ มือตบกนั ด้วยความกำ� หนดั ิว ันย ิปฎก นางภิกษุณี ๒ รูปเกิดความก�ำหนัด จึงเข้าห้องใช้ฝ่ามือตบ๑ (ตามเนื้อตัวของกัน และกนั ) พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี แ์ กน่ างภกิ ษณุ ผี ทู้ ำ� เชน่ นน้ั สิกขาบทที่ ๔ หา้ มใช้สิง่ ทท่ี ำ� ดว้ ยยางไม้ นางภิกษุณีมีความก�ำหนัด ใช้ส่ิงที่ท�ำด้วยยางไม้ใส่ในองค์ก�ำเนิด พระผู้มีพระภาค จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีผู้ท�ำเช่นนั้น (ค�ำว่า ยางไม้ กินความถึงไม้ แป้ง ดนิ เหนียว โดยทสี่ ดุ แม้ใบบวั - คำ� อธบิ ายทา้ ยสิกขาบท๒) สกิ ขาบทท่ี ๕ ห้ามชำ� ระลึกเกิน ๒ ข้อน้ิว พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้นางภิกษุณีใช้น�้ำช�ำระได้เมื่อปัสสาวะ ภิกษุณีบางรูป ใช้น้ำ� ช�ำระลึกเกนิ ไปทำ� ให้เปน็ แผล จงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ปรับอาบัตปิ าจิตตีย์แก่นางภิกษณุ ีผู้ ใชน้ ำ้� ชำ� ระลกึ เกนิ ๒ ขอ้ นวิ้ (เพอื่ ปอ้ งกนั การกระทำ� ดว้ ยความกำ� หนดั - คำ� อธบิ ายทา้ ยสกิ ขาบท๒) สกิ ขาบทที่ ๖ ห้ามเขา้ ไปยืนถือน้�ำและพัดในขณะทภี่ กิ ษุกำ� ลงั ฉนั มหาอำ� มาตยผ์ หู้ นง่ึ ออกบวช ภรยิ ากอ็ อกบวชเปน็ นางภกิ ษณุ ดี ว้ ย เวลาฉนั นางภกิ ษณุ ี ท่ีเคยเป็นภริยามายืนถือภาชนะน�้ำด่ืมและถือพัดปฏิบัติอยู่ ภิกษุท่ีเคยเป็นสามีเห็นไม่เหมาะ จงึ หา้ มปราม นางโกรธจงึ เอาภาชนะนำ้� ควำ่� ลงไปบนศรี ษะและเอาพดั ตภี กิ ษนุ น้ั พระผมู้ พี ระภาค จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีผู้เข้าไปยืนถือภาชนะน้�ำและพัด เม่ือภิกษกุ �ำลังฉนั สกิ ขาบทท่ี ๗ หา้ มทำ� การหลายอย่างกบั ข้าวเปลอื กดิบ นางภิกษุณีไปขอข้าวเปลือกดิบได้มา แต่ถูกแย่งชิงท่ีประตูเมือง พระผู้มีพระภาคจึง ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี แ์ กน่ างภกิ ษณุ ผี ขู้ อเอง ใชใ้ หข้ อ ฝดั เอง ใชใ้ หฝ้ ดั ตำ� เอง ใช้ให้ต�ำ ซ่ึงข้าวเปลือกดิบ หุงต้มเอง ใช้ให้หุงต้ม ฉันข้าวนั้น (คือฉันข้าวที่ตนท�ำ หรือใช้ให้ท�ำ อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ เกย่ี วกบั ขา้ วเปลอื กดิบนัน้ ตอ้ งอาบัต)ิ ๒๑ มคี �ำอธิบายทา้ ยสิกขาบทวา่ เมอ่ื ก�ำหนดั ยินดีสมั ผัส แม้ใช้ใบบัวตีทีอ่ งคก์ ำ� เนดิ ต้องปาจติ ตีย์ หมายถงึ คำ� อธิบายทา้ ยสิกขาบทนี้ ในพระไตรปิฎกบาลี - ม.พ.ป. PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 277 5/4/18 2:24 PM
278 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ สิกขาบทที่ ๘ หา้ มทงิ้ ของนอกฝานอกก�ำแพง นางภิกษุณีถ่ายอุจจาระใส่ภาชนะ เทลงไปนอกฝา ตกใส่ศีรษะของพราหมณ์คนหนึ่ง พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีท่ีท้ิง หรือใช้ให้ทิ้ง อุจจาระ ปัสสาวะ ขยะ หรือของท่ีเป็นเดน นอกฝาหรือนอกก�ำแพง สิกขาบทท่ี ๙ ห้ามทิง้ ของเช่นนนั้ ลงบนของเขยี วสด นางภิกษุณีท้ิงอุจจาระ เป็นต้น ลงในนาของพราหมณ์ผู้หนึ่ง พราหมณ์ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีท่ีทิ้ง หรือใช้ให้ ทงิ้ อจุ จาระ ปัสสาวะ หรอื ของที่เปน็ เดน ในของเขียวสด สิกขาบทท่ี ๑๐ หา้ มไปดฟู อ้ นรำ� ขับรอ้ ง มีงานมหรสพบนยอดเขากรุงราชคฤห์ นางภกิ ษณุ ีไปดู มีผตู้ เิ ตียน พระผูม้ ีพระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี แ์ กน่ างภกิ ษณุ ผี ไู้ ปดกู ารฟอ้ นรำ� การขบั รอ้ ง การบรรเลง (๒) อันธการวรรค วรรคว่าด้วยเวลากลางคนื มี ๑๐ สิกขาบท สกิ ขาบทที่ ๑ หา้ มยนื หรือสนทนาสองต่อสองกบั บรุ ษุ ในทม่ี ืด นางภิกษุณีบางรูปยืนบ้าง สนทนาบ้าง กับบุรุษสองต่อสองในราตรีอันมืด มิได้ตาม ประทปี พระผู้มพี ระภาคจงึ ทรงบญั ญัตสิ กิ ขาบท ปรบั อาบัตปิ าจิตตยี แ์ กน่ างภิกษณุ ผี ้ทู ำ� เชน่ นั้น สิกขาบทท่ี ๒ ห้ามยนื หรือสนทนาสองตอ่ สองกับบรุ ษุ ในทล่ี ับ นางภิกษุณีบางรูปยืนบ้าง สนทนาบ้าง กับบุรุษสองต่อสองในท่ีลับ พระผู้มีพระภาค จึงทรงบญั ญตั สิ ิกขาบท ปรับอาบัตปิ าจติ ตยี ์แก่นางภิกษณุ ผี ้ทู ำ� เช่นนั้น สกิ ขาบทที่ ๓ หา้ มยนื หรอื สนทนาสองตอ่ สองกบั บุรุษในท่ีแจง้ นางภิกษุณีบางรูปเห็นว่า ห้ามท�ำ เช่น สิกขาบทที่ ๒ ในท่ีลับ จึงยืนบ้าง สนทนาบ้าง กับบุรุษสองต่อสองในที่แจ้ง มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติ ปาจิตตยี ์แก่นางภกิ ษณุ ีผู้ทำ� เชน่ นัน้ สิกขาบทท่ี ๔ หา้ มท�ำเช่นน้นั ในท่อี ่นื อกี นางถุลลนันทาภิกษุณี กับบุรุษสองต่อสอง ยืนอยู่บ้าง สนทนากันบ้าง กระซิบที่หู กนั บ้าง สง่ นางภิกษุณีท่เี ปน็ เพอ่ื นไปเสียบ้าง ในถนนรกบา้ ง ในถนนตันบ้าง (ถนนเช่นนี้ เข้าทาง ไหนต้องออกทางน้ัน) ในทางแยกบ้าง มีผู้ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรบั อาบตั แิ ก่นางภกิ ษณุ ผี ้ทู �ำเชน่ น้นั PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 278 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ 279 สิกขาบทท่ี ๕ หา้ มเข้าบา้ นผอู้ นื่ แลว้ เวลากลบั ไม่บอกลา ิว ันย ิปฎก นางภกิ ษุณบี างรปู ไปฉันประจำ� ในบ้านหนึ่ง วันหนึง่ เมื่อฉนั เสร็จแล้วกห็ ลีกไปโดยมิได้ บอกลาเจ้าของบ้าน นางทาสีกวาดบ้าน จึงเอาเครื่องลาดใส่ลงไปในภาชนะ เจ้าของบ้านไม่เห็น เครื่องลาด จึงถามเอากับนางภิกษุณี นางภิกษุณีตอบว่าไม่ทราบ เขาก็ทวงเอากับนางภิกษุณี บริภาษเอาแล้วตัดการถวายอาหารประจ�ำ ภายหลังคนท้ังหลายพบเครื่องลาดนั้นในภาชนะ จึงให้เจ้าของบ้านไปขอขมานางภิกษุณีนั้น พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติ ปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีผู้เข้าไปสู่สกุลก่อนเวลาอาหาร (ก่อนเท่ียง) น่ังบนอาสนะแล้ว ไม่บอกลาเจ้าของบา้ นกอ่ นหลีกไป สกิ ขาบทท่ี ๖ ห้ามนัง่ นอนบนอาสนะโดยไมบ่ อกเจ้าของบ้านกอ่ น นางถลุ ลนนั ทาภกิ ษณุ เี ขา้ ไปสสู่ กลุ ในเวลาหลงั อาหาร (เทย่ี งไปแลว้ ) ไมบ่ อกเจา้ ของบา้ น นั่งบ้าง นอนบ้าง เหนืออาสนะ๑ มนุษย์ท้ังหลายละอายนาง ก็ไม่นั่งไม่นอนเหนืออาสนะ (เกรง จะเปน็ การตเี สมอ) และพากนั ตเิ ตยี น พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี ์ แก่นางภิกษุณที ่เี ข้าสู่สกุล ในเวลาหลงั อาหาร ไม่บอกเจา้ ของบ้านกอ่ น นง่ั หรอื นอนบนอาสนะ สิกขาบทที่ ๗ ห้ามปูลาดทน่ี อนในบ้านโดยไม่บอกเจ้าของบา้ น นางภิกษุณีหลายรูปเดินทางไปสู่กรุงสาวัตถี ในระหว่างทางแวะขออาศัยพักกับสกุล พราหมณ์แห่งหนึ่ง นางพราหมณีขอให้รอจนกว่าพราหมณ์ผู้สามีจะกลับมา นางภิกษุณีก็ปูลาด ทนี่ อน ดว้ ยคดิ วา่ จะรอแลว้ นงั่ บา้ ง นอนบา้ ง พราหมณน์ น้ั มาในเวลากลางคนื ถาม ทราบความแลว้ สง่ั ใหไ้ ลอ่ อกไป พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี แ์ กน่ างภกิ ษณุ ผี เู้ ขา้ สูส่ กุลในเวลาวิกาล ไมบ่ อกเจา้ ของบา้ นก่อนปูลาด หรอื ใชใ้ หป้ ลู าดท่ีนอนแลว้ น่งั หรือนอน สิกขาบทท่ี ๘ ห้ามตเิ ตยี นผ้อู น่ื ไม่ตรงกบั ท่ีฟังมา นางภทั ทา กาปลิ านเี หน็ ศษิ ยท์ ต่ี นเปน็ อปุ ชั ฌายะ๒ บวชให้ รบั ใชด้ ี จงึ กลา่ วกะนางภกิ ษณุ ี ทั้งหลายว่า ”แม่เจ้าท้ังหลาย นางภิกษุณีนี้อุปฐากเราดี เราจักให้จีวรแก่เธอ„ นางภิกษุณีน้ัน ก็เทียวพูดยกโทษ๓ กะผู้อื่นด้วยถ้อยค�ำ (ประชด) ท่ีถือมาผิด จ�ำมาผิดว่า ”ได้ยินว่า ข้าพเจ้า ๑ อาสนะ คือเครอ่ื งลาดหรอื ปลู าด แต่ในทา้ ยสิกขาบทแกว้ า่ ทีว่ า่ งแห่งบัลลังก์ จึงหมายความวา่ นัง่ บนเกา้ อ้ี กช็ อื่ ว่า ๓๒ นั่งบนอาสนะ อปุ ชั ฌายา ก็ได้ คำ� ว่า อุปชั ฌายะ สำ� หรบั นางภกิ ษุณีใชว้ ่า ปวัตตนิ ี ก็ได้ ยกโทษ ในที่น้ีหมายถึง ติเตยี น กลา่ วโทษ - ม.พ.ป. PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 279 5/4/18 2:24 PM
280 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ อปุ ฐากแมเ่ จา้ ไมด่ ี แมเ่ จา้ จงึ ไมใ่ หจ้ วี รแกข่ า้ พเจา้ „ ความทราบถงึ พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงบญั ญตั ิ สกิ ขาบท ปรับอาบตั ิปาจิตตียแ์ กน่ างภิกษณุ ี ผูย้ กโทษผอู้ นื่ ด้วยถ้อยค�ำที่ถอื มาผิด ทรงจ�ำผดิ สิกขาบทท่ี ๙ ห้ามสาปแช่งด้วยเร่ืองนรกหรอื พรหมจรรย์ ของของนางภิกษุณีหลายรูปหาย นางภิกษุณีจึงพากันถามนางจัณฑกาลีภิกษุณีว่า เห็นบ้างไหม นางจัณฑกาลีภิกษุณีก็สาปแช่งตัวเอง สาปแช่งผู้อื่นว่า ถ้าข้าพเจ้าเอาของไป ขอใหเ้ คลอื่ นจากพรหมจรรย์ ขอใหต้ กนรก ถา้ ใครหาความไมจ่ รงิ กข็ อใหเ้ คลอื่ นจากพรหมจรรย์ ใหต้ กนรก พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี แ์ กน่ างภกิ ษณุ ผี สู้ าปแชง่ ตัวเองหรอื ผู้อน่ื ดว้ ยนรกหรอื พรหมจรรย์ สิกขาบทที่ ๑๐ ห้ามทำ� รา้ ยตัวเองแลว้ ร้องไห้ นางจณั ฑกาลภี กิ ษณุ ที ะเลาะกบั นางภกิ ษณุ อี นื่ ๆ กต็ อี กชกหวั แลว้ รอ้ งไห้ พระผมู้ พี ระภาค จงึ ทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แกน่ างภกิ ษณุ ผี ู้ท�ำรา้ ยตวั เองแลว้ รอ้ งไห้ (๓) นัคควรรค วรรควา่ ด้วยเรอื่ งเปลือยกาย มี ๑๐ สกิ ขาบท สกิ ขาบทที่ ๑ ห้ามเปลือยกายอาบน้ำ� นางภิกษุณีเปลือยกายอาบน้�ำร่วมกับหญิงแพศยา ในท่าน้�ำอันเดียวกัน ถูกพูด เย้ยหยันต่าง ๆ พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณี ผเู้ ปลอื ยกายอาบน�้ำ สกิ ขาบทท่ี ๒ ห้ามท�ำผา้ อาบน�้ำยาวใหญ่เกินประมาณ นางภกิ ษณุ พี วก ๖ ทำ� ผา้ อาบนำ�้ เกนิ ประมาณยอ้ ยไปขา้ งหนา้ ขา้ งหลงั พระผมู้ พี ระภาค จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีท่ีให้ท�ำผ้าอาบน�้ำเกินประมาณ คอื ยาวเกนิ ๔ คบื กว้าง ๒ คบื ด้วยคืบพระสุคต สกิ ขาบทที่ ๓ ห้ามพูดแล้วไม่ทำ� นางถุลลนันทาภิกษุณีพูดกับภิกษุณีรูปหนึ่งว่า ผ้าท�ำจีวรของท่านดี แต่จีวรท�ำไว้ไม่ดี เยบ็ ไวไ้ มด่ ี นางภกิ ษณุ นี นั้ จงึ กลา่ ววา่ ขา้ พเจา้ จะเลาะออก ทา่ นจะเยบ็ ใหไ้ หม นางถลุ ลนนั ทาภกิ ษณุ ี รับปากว่า จะเย็บให้ นางภิกษุณีน้ันเลาะจีวรน้ันแล้ว จึงให้แก่นางถุลลนันทาภิกษุณี นางพดู ว่า จะเย็บ ๆ แตก่ ไ็ ม่เยบ็ หรือขวนขวายใหผ้ ้อู ่นื เยบ็ พระผมู้ ีพระภาคทรงทราบ จงึ ทรง บัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีผู้เลาะหรือให้เลาะจีวรแล้ว ภายหลังไม่มี เหตุขัดข้อง ไมเ่ ย็บเองหรือไมข่ วนขวายใหผ้ อู้ น่ื เยบ็ เวน้ ไวแ้ ต่พักไวเ้ พยี ง ๔ - ๕ วนั PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 280 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ 281 สกิ ขาบทที่ ๔ ห้ามเว้นการใชผ้ ้าซอ้ นนอกเกิน ๕ วัน ิว ันย ิปฎก นางภิกษุณีท้ังหลายฝากจีวรกับนางภิกษุณีด้วยกันแล้วจาริกไปสู่ชนบท จีวรเหล่านั้น เก็บไวน้ านกเ็ ปรอะเป้อื น นางภกิ ษุณี (ท่รี ับฝาก) จงึ นำ� ออกตาก พระผู้มีพระภาคจงึ ทรงบญั ญัติ สิกขาบท ปรบั อาบัติปาจิตตีย์แก่นางภกิ ษณุ ีทีเ่ วน้ การใชผ้ ้าซ้อนนอกเกิน ๕ วัน (หมายเหตุ : ตามธรรมดานางภิกษุณีมีผ้าส�ำหรับใช้ประจ�ำ ๕ ผืน คือ ๑. สังฆาฏิ (ผา้ ซอ้ นนอก สำ� หรบั ใชเ้ มอ่ื หนาว) ๒. อตุ ตราสงค์ (ผา้ หม่ ) ๓. อนั ตรวาสก (ผา้ นงุ่ ) ๔. สงั กจั ฉกิ ะ (ผ้ารัดหรือผ้าโอบ) ๕. อุทกสาฏิกา (ผ้าอาบน้�ำ) พิจารณาดูตามสิกขาบทนี้ เป็นเชิงห้าม เว้นการใช้ผ้าซ้อนนอก คือสังฆาฏิอย่างเดียว แต่ในค�ำอธิบายท้ายสิกขาบท ขยายความเป็นว่า เว้นผนื ใดผืนหนงึ่ ใน ๕ ผืน เกนิ ๕ วนั ไมไ่ ด้ คำ� วา่ เว้น คอื ไมน่ งุ่ ไม่หม่ หรอื ไมต่ ากแดด) สกิ ขาบทที่ ๕ ห้ามใชจ้ วี รสับกับของผอู้ นื่ นางภิกษุณีรูปหนึ่งเท่ียวบิณฑบาต แล้วตากจีวรที่เปียกไว้ เข้าไปสู่วิหาร ภิกษุณีอีก รูปหนึ่ง จึงห่มจีวรนั้นเข้าไปสู่บ้าน เจ้าของจีวรออกมาเท่ียวถามหา ทราบความก็ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีท่ีใช้จีวรสับกับของ ผ้อู ่ืน (ไดร้ ับอนุญาตจากเจา้ ของกอ่ นไม่เป็นอาบตั )ิ สิกขาบทที่ ๖ หา้ มทำ� อนั ตรายลาภจีวรของสงฆ์ สกุลอุปฐากของนางถุลลนันทาภิกษุณีกล่าวว่า ใคร่จักถวายจีวรแก่ภิกษุณีสงฆ์ นางกลับตัดบทด้วยวาจาว่า ท่านท้ังหลายมีกิจมาก มีกรณียะมาก ไฟไหม้เรือนของเขา เขาจึง ติเตียนที่ท�ำอันตรายไทยธรรม (ของถวาย) ของเขา และทำ� ให้เขาเสื่อมจากทรัพย์และจากบุญ พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีผู้ทำ� อันตรายลาภ จวี รของสงฆ์ สิกขาบทท่ี ๗ ห้ามยบั ยงั้ การแบง่ จีวรอันเป็นธรรม จีวรนอกกาลเกิดขึ้นแก่ภิกษุณีสงฆ์ ภิกษุณีสงฆ์จึงประชุมกันเพื่อแบ่งจีวรน้ัน นางถุลลนันทาภิกษุณีถือเอาเหตุท่ีศิษย์ของตนหลีกไปที่อื่น คัดค้านมิให้แบ่ง ภิกษุณีท้ังหลาย จึงแบ่งไม่ได้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณี ทคี่ ัดค้านการแบ่งจวี รอนั เป็นธรรม PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 281 5/4/18 2:24 PM
282 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ สกิ ขาบทที่ ๘ หา้ มใหส้ มณจีวรแก่คฤหสั ถห์ รือนักบวช นางถุลลนันทาภิกษุณีให้สมณจีวร (ผ้าท่ีท�ำส�ำเร็จรูปส�ำหรับภิกษุณี) แก่นักแสดง ละครบ้าง นักฟ้อนบ้าง นักกระโดดบ้าง นักเล่นกลบ้าง นักเล่นกลองบ้าง๑ โดยขอให้เขา สรรเสริญตนในที่ประชุมชน พวกนั้นก็เท่ียวสรรเสริญต่าง ๆ พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติ สกิ ขาบท ปรบั อาบตั ปิ าจติ ตยี แ์ กน่ างภกิ ษณุ ผี ใู้ หส้ มณจวี รแกผ่ คู้ รองเรอื น แกน่ กั บวช (นอกศาสนา) ชายหรอื หญงิ สิกขาบทท่ี ๙ หา้ มท�ำใหก้ จิ การชะงกั ดว้ ยความหวังลอย ๆ สกลุ อปุ ฐากของนางถลุ ลนนั ทาภกิ ษณุ กี ลา่ ววา่ ถา้ สามารถกจ็ ะถวายจวี รแกภ่ กิ ษณุ สี งฆ์ เมอื่ ภกิ ษณุ ที ง้ั หลายจำ� พรรษาเสรจ็ แลว้ กป็ ระชมุ กนั จะแบง่ จวี ร นางถลุ ลนนั ทาภกิ ษณุ คี ดั คา้ นให้ รอไปก่อน อ้างว่าภิกษุณีสงฆ์ยังหวังจะได้จีวรอยู่ เมื่อ (รอไปพอสมควรแล้ว) ภิกษุณีทั้งหลาย ก็เตือนเร่ืองจีวรท่ีจะได้นั้น นางถุลลนันทาภิกษุณีจึงไปเตือนสกุลท่ีเขาว่าจะให้ เขาตอบว่า เขาไม่สามารถให้เสียแล้ว ภิกษุณีทั้งหลายจึงติเตียนนางถุลลนันทาภิกษุณีท่ีท�ำให้คอยจนเกิน สมัยส�ำหรับท�ำจีวร พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณี ทที่ ำ� ให้ล่วงเลยสมัยท�ำจวี รไป ดว้ ย (อ้าง) ความหวงั ว่าจะได้จวี รทเ่ี พยี งเขาพดู ไว้ สิกขาบทที่ ๑๐ ห้ามคัดคา้ นการเพิกถอนกฐนิ ทีถ่ กู ธรรม อุบาสกผู้หนึ่งสร้างวิหารถวายสงฆ์ และใคร่จะถวายจีวรนอกกาลแก่ภิกษุสงฆ์และ ภิกษุณีสงฆ์ ในการฉลองวิหารนั้น จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเพ่ือขอให้ทรงเพิกถอน (ภาษาพระว่า เดาะ) กฐิน พระผู้มีพระภาคจึงทรงอนุญาตโดยให้ประชุมสงฆ์สวดประกาศ ขอมตใิ นการเพกิ ถอนกฐนิ แตใ่ นภกิ ษณุ สี งฆ์ ไมม่ ใี ครทำ� การนสี้ ำ� เรจ็ เพราะนางถลุ ลนนั ทาภกิ ษณุ ี คัดค้านไว้ด้วยหวังจะได้ลาภจีวรเป็นส่วนตัว พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรบั อาบัตปิ าจติ ตียแ์ ก่นางภิกษณุ ผี ูค้ ดั คา้ นการเพิกถอนกฐนิ อนั เปน็ ธรรม (๔) ตุวัฏฏวรรค วรรคว่าด้วยการนอนรว่ มกัน มี ๑๐ สิกขาบท สกิ ขาบทท่ี ๑ หา้ มนอนบนเตียงเดียวกันสองรปู นางภิกษุณีสองรูปนอนร่วมกันบนเตียงเดียวกัน พวกมนุษย์พากันติเตียนว่าท�ำ เหมือนคฤหัสถ์ พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่ นางภิกษุณีท่นี อนบนเตยี งเดียวกนั สองรปู ๑ คำ� ว่า นกั เลน่ กลอง แปลจากคำ� วา่ กมุ ภถนู กิ า PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 282 5/4/18 2:24 PM
วินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ ปาจิตติยกัณฑ์ 283 สิกขาบทท่ี ๒ หา้ มใชเ้ ครอ่ื งปลู าดและผา้ หม่ รว่ มกันสองรูป ิว ันย ิปฎก นางภิกษุณีสองรูปนอนร่วมกัน ใช้เคร่ืองปูลาดและห่มผืนเดียวกัน พระผู้มีพระภาค จงึ ทรงบญั ญตั ิสกิ ขาบท ปรบั อาบัตปิ าจิตตยี ์แกน่ างภกิ ษณุ ผี ทู้ �ำเชน่ น้นั สกิ ขาบทที่ ๓ ห้ามแกลง้ กอ่ ความร�ำคาญแกน่ างภกิ ษณุ ี มนุษย์ทั้งหลายพากันสรรเสริญนางภัททากาปิลานีภิกษุณีด้วยประการต่าง ๆ นางถุลลนนั ทาภิกษุณีริษยา จงึ เดินจงกรม (เดินกลับไปกลบั มา) บ้าง ยืนบ้าง นั่งบา้ ง นอนบา้ ง สอนธรรมบ้าง ใช้ให้สอนบ้าง ท�ำการท่องบ่นบ้าง เบื้องหน้า นางภัททากาปิลานี (เพื่อก่อ ความร�ำคาญให้) พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณี ผแู้ กล้งกอ่ ความรำ� คาญแก่นางภิกษณุ ี สิกขาบทท่ี ๔ ห้ามเพิกเฉยเมอ่ื ศิษย์ไม่สบาย นางถุลลนันทาภิกษุณีไม่พยาบาลเอง ไม่ขวนขวายเพื่อให้ผู้อ่ืนพยาบาลสหชีวินี (คือนางภิกษุณีที่ตนเป็นอุปัชฌายะ บวชให้) ผู้เป็นไข้ เป็นที่ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรง บญั ญตั ิสิกขาบท ปรบั อาบัติปาจิตตยี ์แก่นางภกิ ษณุ ีผทู้ ำ� เชน่ นั้น สกิ ขาบทท่ี ๕ ห้ามฉดุ คร่านางภิกษณุ ีออกจากทอี่ ยู่ นางถุลลนันทาภิกษุณี ให้ท่ีอยู่แก่นางภัททากาปิลานีภิกษุณีแล้ว ภายหลังมีจิตริษยา โกรธเคือง ฉุดคร่านางภัททากาปิลานี จากท่ีอยู่ เป็นที่ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติ สิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีผู้ให้ท่ีอยู่แก่นางภิกษุณีแล้ว โกรธเคือง ฉุดคร่าเอง หรือใช้ให้ฉุดคร่าออกไป สิกขาบทท่ี ๖ ห้ามคลุกคลีกับคฤหบดหี รอื บตุ รคฤหบดี นางจัณฑกาลีภิกษุณีคลุกคลีกับคฤหบดีบ้าง บุตรคฤหบดีบ้าง เป็นที่ติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีท่ีคลุกคลีกับ คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดี เป็นผู้อันนางภิกษุณีท้ังหลายตักเตือนแล้ว ไม่ฟัง ภิกษุณีสงฆ์ สวดประกาศใหล้ ะเลกิ ครบ ๓ คร้งั แลว้ กย็ ังไมล่ ะเลกิ สิกขาบทที่ ๗ ห้ามเดนิ ทางเปลี่ยวตามลำ� พงั นางภกิ ษณุ เี ดนิ ทางเปลยี่ ว มภี ยั เฉพาะหนา้ ภายในแวน่ แควน้ โดยมไิ ดไ้ ปกบั หมเู่ กวยี น ถูกพวกนักเลงประทุษร้าย เป็นท่ีติเตียน พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติ ปาจิตตียแ์ กน่ างภิกษุณผี ู้เดนิ ทางเชน่ นั้น PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 283 5/4/18 2:24 PM
284 พระไตรปิฎกฉบับส�ำหรับประชาชน ภาค ๔ สิกขาบทที่ ๘ หา้ มเดนิ ทางเชน่ น้ันนอกแว่นแคว้น ความในสิกขาบทน้ีเหมือนกับสิกขาบทที่ ๗ ต่างแต่ห้ามเดินทางเช่นนั้นนอก แวน่ แคว้น คอื ออกนอกรฏั ฐะ (เชน่ จากแคว้นกาสีไปสู่แคว้นมคธ) สิกขาบทท่ี ๙ หา้ มเดนิ ทางภายในพรรษา นางภกิ ษณุ เี ดนิ ทางภายในพรรษา เปน็ ทตี่ เิ ตยี น พระผมู้ พี ระภาคจงึ ทรงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ปรบั อาบตั ปิ าจิตตียแ์ ก่นางภกิ ษณุ ผี ูท้ ำ� เชน่ น้นั สิกขาบทที่ ๑๐ ห้ามอยู่ประจ�ำทีเ่ มอ่ื จ�ำพรรษาแล้ว นางภิกษุณีอยู่จ�ำพรรษาในกรุงราชคฤห์ ในฤดูหนาว ในฤดูร้อน ก็คงอยู่ประจ�ำในท่ี น้ัน เป็นที่ติเตียน พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณี ผู้จำ� พรรษาแลว้ ไมห่ ลีกไปสทู่ จ่ี าริก แมส้ น้ิ ระยะทาง ๕ - ๖ โยชน์ (๕) จิตตาคารวรรค วรรควา่ ดว้ ยอาคารอันวิจิตร๑ มี ๑๐ สกิ ขาบท สิกขาบทที่ ๑ ห้ามไปดพู ระราชวงั และอาคารอนั วิจติ ร เป็นต้น มนุษย์ท้ังหลายพากันไปดูอาคารอันวิจิตร (ด้วยลวดลาย) ในอุทยานของพระเจ้า ปเสนทิโกศล นางภิกษุณีพวก ๖ ก็พากันไปดูบ้าง มีผู้ติเตียนว่าท�ำตนเหมือนคฤหัสถ์ พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบทปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีผู้ไปดูพระราชวัง กต็ าม อาคารอนั วิจติ รกต็ าม ปา่ ก็ตาม สวนก็ตาม สระนำ้� ก็ตาม สิกขาบทที่ ๒ ห้ามใชอ้ าสนั ทิและบัลลังก์ นางภิกษุณีใช้อาสันทิ (ม้ายาว) บ้าง บัลลังก์ (เก้าอ้ีนวมบุด้วยขนสัตว์) บ้าง มีผู้ ติเตียนว่า ใช้ของอย่างคฤหัสถ์ พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์ แก่นางภกิ ษุณผี ูใ้ ช้อาสันทแิ ละบลั ลังก์ (อาสันทิ ตดั เท้าออก บัลลังก์ รอ้ื นวมขนสตั วอ์ อก ใช้ได้ ไม่เปน็ อาบตั )ิ สิกขาบทท่ี ๓ ห้ามกรอด้าย นางภิกษุณีพวก ๖ กรอด้าย มีผู้ติเตียนว่า ท�ำการเหมือนคฤหัสถ์ พระผู้มีพระภาค จงึ ทรงบัญญัติสิกขาบท ปรบั อาบตั ิปาจติ ตยี แ์ กน่ างภกิ ษณุ ผี ู้กรอดา้ ย ๑ คำ� วา่ จติ ตาคาร หรอื อาคารอนั วิจิตรนี้ ฝรง่ั มคี วามเหน็ วา่ ควรแปลว่า อาคารท่แี สดงจติ รกรรม (Picture Gallery) คำ� อธบิ ายทา้ ยสกิ ขาบทว่า เป็นท่เี ล่นทีร่ ืน่ รมย์ของมนษุ ย์ทัง้ หลาย PTF-MRF new08. PART 4 ��������������������� ��� � p.209-402 OK.indd 284 5/4/18 2:24 PM
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221