นวตั กรรมและเทคโนโลยสี ารสนเทศทางการศกึ ษา [ Innovation and information Technologies in Education] อาจารยน์ พิ นธ์ บรเิ วธานันท์
เอกสารคาสอน รายวิชา นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศกึ ษา นพิ นธ์ บรเิ วธานนั ท์ คณะครศุ าสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั ภเู ก็ต 2560
เอกสารคาสอน รายวชิ า นวตั กรรมและเทคโนโลยสี ารสนเทศทางการศึกษา นพิ นธ์ บรเิ วธานนั ท์ (กศ.ม. เทคโนโลยีการศกึ ษา) คณะครศุ าสตร์ มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏภเู ก็ต 2560
คานา เอกสารประกอบการสอนรายวิชา นวตั กรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา รหสั 1103303 หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต คณะครุศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏภูเก็ต ฉบับนี้จัดทาข้ึนเพ่ือใช้เป็นเอกสาร ประกอบในการจัดการเรียนการสอนในรายวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา โดยให้จัด สาระของเนื้อหาวิชารวมทั้งหมด 7 บทตามหลักสูตรกาหนดเรียงลาดับดังน้ี แนวคิด ความหมาย ทฤษฎี นวัตกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาประเภทของเทคโนโลยสี ารสนเทศทางการศึกษาและนวัตกรรม การศึกษา หลักการและแนวคิด ส่ือการเรียนการสอน การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีกับการจัดการศึกษา แหล่ง ทรพั ยากรการเรียนร้แู ละเครือข่ายการเรียนรู้ การประเมนิ และหาประสทิ ธิภาพสอื่ การสอน แนวโน้มเทคโนโลยี การศกึ ษาในปจั จุบัน เอกสารประกอบการสอนนี้คงอานวยประโยชน์ต่อการเรียนการสอนในรายวิชา นวัตกรรมและ เทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาตามสมควร หากท่านท่ีนาเอกสารการสอนนี้ไปใช้และมีข้อเสนอแนะ ผูเ้ ขยี นยนิ ดีรบั ฟังและขอขอบคณุ ในความอนุเคราะหน์ ั้นมา ณ โอกาสน้ีด้วย นิพนธ์ บรเิ วธานันท์ 10 กุมภาพันธ์ 2560
สารบัญ หน้า คานา (1) สารบัญ (2) สารบญั ภาพ (4) แผนบริหารการสอนประจาวชิ า แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 1 1 บทท่ี 1 แนวคิด ทฤษฎี ความหมาย นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ 3 3 ความหมาย กระบวนการเกิดและองคป์ ระกอบของนวตั กรรม 9 นวตั กรรมการศึกษา 9 แนวความคดิ ท่ีก่อใหเ้ กดิ นวัตกรรมการศกึ ษา 9 ประเภทของนวตั กรรมการศึกษา 12 ความหมาย ประเภท องค์ประกอบของเทคโนโลยีและเทคโนโลยสี ารสนเทศ 23 ความรเู้ บอ้ื งต้นเก่ียวกับเทคโนโลยสี ารสนเทศทางการศึกษา 26 สรุป 27 แบบฝกึ หัดท้ายบท 28 เอกสารอ้างอิง 30 แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 2 32 บทท่ี 2 แหล่งเรยี นรู้และเครือข่ายการเรยี นรู้ 32 ความหมายของแหลง่ การเรียนรู้ 33 ความสาคัญและความจาเปน็ ของแหลง่ การเรียนรู้ 34 ประเภทของแหล่งการเรียนรู้ 39 แหลง่ เรียนรทู้ างการศกึ ษา 42 ความหมายของเครือขา่ ยการเรียนรู้ 43 แนวทางในการสร้างเครือขา่ ยการเรียนรู้ 45 เครอื ข่ายการเรียนรู้ในประเทศไทย 51 สรุป 52 แบบฝกึ หดั ท้ายบท 53 เอกสารอา้ งอิง
สารบัญ (ตอ่ ) หนา้ แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 3 56 บทท่ี 3 สอ่ื การเรียนการสอน 58 58 ความหมายของสื่อการเรียนการสอน 59 ความสาคัญของส่ือการเรยี นการสอน 60 บทบาทของสื่อการเรียนการสอน 61 ลกั ษณะของสอ่ื การเรียนการสอน 62 หลักการเลือกส่ือการเรียนการสอน 69 ประเภทและคณุ สมบัตขิ องสือ่ การเรยี นการสอน 73 หลักการใช้สอ่ื การเรียนการสอน 74 ขั้นตอนการใชส้ ื่อการเรยี นการสอน 75 สรุป 75 แบบฝึกหัดท้ายบท 76 เอกสารอ้างองิ 77 แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 4 79 บทที่ 4 เทคโนโลยกี บั การจัดการเรียนการสอนผ่านเว็บ 79 การจัดการเรยี นการสอนผ่านเวบ็ 81 ลักษณะและประเภทของการเรยี นการสอนผ่านเว็บ 84 หลักการออกแบบโครงสร้างเวบ็ 91 การออกแบบและพฒั นาการเรยี นการสอนผา่ นเวบ็ 93 ขอ้ ดี ข้อจากัดของการเรยี นการสอนผ่านเวบ็ 94 สรปุ 95 แบบฝกึ หัดทา้ ยบท 96 เอกสารอา้ งองิ 98 แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 5 100 บทที่ 5 การประเมนิ และหาประสิทธิภาพสอื่ การสอน 100 ความหมายของการประเมนิ สื่อการสอน 100 ความสาคัญของการประเมนิ ส่ือการสอน 102 วธิ กี ารประเมินผลนวัตกรรม
สารบญั (ตอ่ ) หนา้ ประเภทและลักษณะการประเมินผลสื่อการสอน 103 การหาประสทิ ธภิ าพส่ือการเรียนการสอน 107 ความหมายของการทดสอบประสิทธภิ าพ 108 ความจาเป็นทต่ี ้องหาประสิทธภิ าพ 108 การกาหนดเกณฑป์ ระสทิ ธิภาพ 109 การตีความหมายผลการคานวณการหาประสิทธิภาพ 112 ข้นั ตอนการทดสอบประสทิ ธิภาพ 112 สรปุ 115 แบบฝกึ หดั ท้ายบท 115 เอกสารอา้ งอิง 116 แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 6 117 บทท่ี 6 การประยุกต์เทคโนโลยกี ับการจัดการเรียนการสอน 119 เทคโนโลยีความเปน็ จรงิ เสรมิ (Augmented Reality) 119 ความหมายของเทคโนโลยีความเป็นจรงิ เสริม 120 แนวคิดหลกั ของเทคโนโลยีความเปน็ จรงิ เสริม 121 เทคโนโลยีความเป็นจริงเสรมิ กับการจดั การเรยี นการสอน 123 ข้อดี ข้อจากัดของเทคโนโลยคี วามเป็นจรงิ เสรมิ กับการจัดการเรียนการสอน 123 ห้องเรยี นอจั ฉรยิ ะ (Smart Classroom) 124 ความหมายของห้องเรยี นอัจฉรยิ ะ 124 องค์ประกอบของห้องเรยี นอจั ฉรยิ ะ 125 รูปแบบของหอ้ งเรียนอัจฉริยะ 132 ความสาคญั และความจาเป็นท่ีมตี ่อการใชห้ ้องเรียนอัจฉริยะ 134 ประโยชนข์ องห้องเรยี นอัจฉริยะ 136 สรปุ 137 แบบฝกึ หัดทา้ ยบท 138 เอกสารอ้างองิ 139 แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 7 143 บทที่ 7 แนวโน้มเทคโนโลยีการศึกษาในอนาคต 144 แผนพัฒนาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติกับทิศทางการศึกษา 144
สารบญั (ตอ่ ) หนา้ แนวโนม้ การเรียนรู้ดจิ ทิ ลั MAGICS สาหรับการเรียนรใู้ นศตวรรษท่ี 21 145 การนาเทคโนโลยกี ารศึกษามาใช้ในการจัดการเรียนการสอน 148 เทคโนโลยคี วามเปน็ จริงเสมอื น (Virtual Reality – VR) 153 ความหมายของความเปน็ จรงิ เสมอื น 153 ความเปน็ มาของความเปน็ จริงเสมอื น 154 ระดับของความเป็นจรงิ เสมือน 155 การประยุกตใ์ ช้เทคโนโลยคี วามเปน็ จรงิ เสมือน 158 เทคโนโลยี Cloud Computing 159 ความหมายของ Cloud Computing 159 ประเภทของระบบประมวลผลแบบกลุม่ เมฆ 160 การใช้ Cloud Computing ในการเรียนการสอน 162 บทบาทของผูส้ อนและผู้เรียน 163 Massive Open Online Course (MOOCs) 165 MOOC : แหลง่ เรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 167 สรปุ 169 แบบฝึกหดั ทา้ ยบท 170 เอกสารอ้างอิง 171
สารบญั ภาพ หน้า ภาพท่ี 5 8 1.1 ตัวอย่างบทเรยี นคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน 15 1.2 การเปลี่ยนแปลงของนวัตกรรมและเทคโนโลยี 16 1.3 เทคโนโลยีสารสนเทศ 16 1.4 คียบ์ อรด์ 16 1.5 เมาส์ 17 1.6 หนว่ ยประมวลผลกลาง 17 1.7 รอม (Read Only Memory – ROM) 18 1.8 แรม (Random Access Memory – RAM) 18 1.9 ฮาร์ดดสิ ก์ (Hard Disk) 19 1.10 ฟล็อบป้ีดิสก์ (Floppy Disk) 19 1.11 ซดี ี (Compact Disk – CD) 20 1.12 การ์ดเมมโมรี (Memory Card) 20 1.13 จอภาพ (Monitor) 21 1.14 อุปกรณ์ฉายภาพ (Projector) 22 1.15 อุปกรณ์เสยี ง (Audio Output) 22 1.16 ระบบปฏบิ ตั กิ ารวนิ โดวส์ (Window) ลีนุกซ์ (Linux) แมคโอเอส (Mac OS) 23 1.17 โปรแกรมอรรถประโยชน์ (Utilities Program) 23 1.18 ดีไวซ์ไดร์ฟเวอร์ (Device Driver) 24 1.19 ซอฟตแ์ วรป์ ระยุกต์ (Application Software) 25 1.20 อนิ เทอรเ์ น็ต (Internet) 25 1.21 ระบบสารสนเทศการสอน 26 1.22 ไปรษณยี ์อเิ ล็กทรอนิกส์ 36 1.23 สานักงานอัตโนมัติ (Office Automation) 37 2.1 Rocky Mountain National Park, Colorado USA 37 2.2 The Great Stupa of Dharmakaya : Shambhala Mountain Center USA 38 2.3 อาจารย์ธนติ ศรีกล่ินดี ศลิ ปนิ แหง่ ชาติ 39 2.4 ห้องสมดุ 46 2.5 แหล่งเรียนรใู้ นชมุ ชน วัดพระทอง จ.ภเู กต็ 2.6 สานักงานบริหารเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อพฒั นาการศกึ ษา
สารบญั ภาพ (ตอ่ ) ภาพท่ี หนา้ 2.7 SchoolNet Thailand 48 2.8 การศกึ ษาทางไกลผา่ นดาวเทียม (eDLTV) 49 2.9 สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน 51 3.1 หลักการเลือกสื่อการเรยี นการสอน 62 4.1 กระบวนการของ Web – based Instruction ในฐานะเป็นสอื่ กลางก่อใหเ้ กดิ ความรู้ 81 4.2 แสดงโครงสรา้ งลักษณะเรียงลาดับ 85 4.3 แสดงโครงสรา้ งลักษณะกริด 86 4.4 แสดงโครงสร้างลักษณะลาดบั ช้นั 86 4.5 แสดงโครงสร้างที่ต้นื เกินไป 87 4.6 แสดงโครงสรา้ งท่ีลกึ เกินไป 87 4.7 แสดงโครงสร้างในลกั ษณะเว็บ 88 4.8 แสดงโครงสร้างเชิงเสน้ ตรง 89 4.9 แสดงโครงสร้างลกั ษณะเปิด 90 4.10 แสดงโครงสรา้ งลักษณะผสมผสาน 90 6.1 เคร่ืองสวมหัวท่ปี ระดิษฐ์โดย Ivan Sutherland 119 6.2 แสดงกระบวนการทางานของเทคโนโลยีความเป็นจริงเสริม (Augmented Reality: AR) 121 6.3 แสดงกระบวนการทางานของชดุ สวมศรี ษะ (HMD: Head Mounted Display) 122 6.4 แสดงกระบวนการทางานของมอื ถือหรอื อปุ กรณ์พกพา (HD : Handheld Display) 122 6.5 การแสดงภาพบนจอดจิ ิทัล (SAR: Spatial Augmented Reality) 122 6.6 บรรยากาศห้องเรยี นในศตวรรษท่ี 21 125 6.7 คอมพิวเตอรต์ ้ังโต๊ะ (Personal Computer) 126 6.8 คอมพิวเตอร์แบบพกพา (Notebook) 126 6.9 เครื่องฉายภาพโปรเจคเตอร์ (LCD Projector) 126 6.10 กระดานอจั ฉริยะ (Interactive Board) 127 6.11 แท็บเล็ต (Tablet) 127 6.12 สมารท์ โฟน (Smartphone) 128 6.13 เครือ่ งขยายเสยี ง (Stereo) 128 6.14 อุปกรณ์เชื่อมต่อระบบอนิ เทอร์เน็ต 128 6.15 Single Classroom Architectures 132
สารบัญภาพ (ตอ่ ) หนา้ ภาพท่ี 133 134 6.16 Scattered Classroom Architectures 134 6.17 Point-to-Point , Two – classes Architectures 6.18 Multiple Classroom Architecture
แผนบริหารการสอนประจาวิชา รหสั วชิ า 1103303 หน่วยกติ 3 (2-2-5) รายวิชา นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา (Educational Innovation and Information Technology) คาอธบิ ายรายวิชา ความหมาย ขอบขา่ ย ความสาคญั พฒั นาการ แนวโน้ม แนวคดิ ทฤษฎแี ละหลักการของนวัตกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารทางการศึกษาสาหรับการจัดการ เรียนรู้สาหรับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษาและสาหรับผู้เรียนที่มีความสามารถแตกต่างกัน โดยเน้นท่ี เก่ียวข้องกบั วชิ าเอกของแตล่ ะวชิ าเอก การออกแบบ การสร้าง การผลติ การเลอื ก การจัดหา การนาไปใช้ การ ประเมินผลและการหาประสิทธภิ าพของส่ือ แหล่งเรียนรู้ เครือข่ายการเรยี นรู้ การวิเคราะห์สภาพปัญหาที่เกดิ จากการใช้ส่ือนวัตกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับชาติ ปฏิบัติการ เกี่ยวกบั การผลิตสื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยี ตัง้ แตข่ นั้ ตอนกอ่ นการผลติ ขัน้ ตอนการผลิตและขั้นตอนหลักการ ผลิตที่เหมาะสมกับสภาพการเรียนการสอน การนาเสนอและการจัดการแสดงส่ือนวัตกรรมเทคโนโลยี สารสนเทศการศึกษาผ่านชอ่ งทางในรปู แบบต่าง ๆ เชน่ สอื่ ออนไลน์ สือ่ คอมพิวเตอร์ เป็นต้น วตั ถปุ ระสงคท์ วั่ ไป 1. อธบิ ายแนวคดิ ความหมาย ทฤษฎขี องเทคโนโลยีการศึกษา นวตั กรรมการศึกษาและเทคโนโลยี สารสนเทศได้ 2. ประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ แหลง่ การเรยี นรแู้ ละเครือข่ายการเรียนร้ใู นการจัดการเรียนการ สอนได้ 3. เลอื กใชแ้ ละบารุงรักษาส่อื การเรยี นการสอนได้ 4. ออกแบบและพฒั นาเทคโนโลยแี ละนวัตกรรมการศึกษาได้ 5. อธิบายสภาพปัญหาทางการศึกษาของประเทศไทยและการนานวัตกรรมและเทคโนโลยี สารสนเทศทางการศกึ ษามาใชใ้ นการแก้ปญั หาการจัดการเรียนการสอนได้ 6. ตระหนักถึงความสาคัญของนวัตกรรมการศึกษาและเทคโนโลยีสารสนเทศท่ีมีต่อการพัฒนา คณุ ภาพการเรียนรู้
เนื้อหาวชิ า 8 ชว่ั โมง 8 ชว่ั โมง บทที่ 1 แนวคดิ ความหมาย ทฤษฎี นวัตกรรม เทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา 8 ชัว่ โมง บทนา 12 ช่ัวโมง ความหมาย กระบวนการเกิด องค์ประกอบของนวัตกรรม นวตั กรรมการศึกษา ความหมาย ประเภท องค์ประกอบของเทคโนโลยีและเทคโนโลยีสารสนเทศ ความรเู้ บ้อื งต้นเก่ยี วกับเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศกึ ษา สรุป แบบฝึกหัด เอกสารอา้ งอิง บทที่ 2 แหลง่ ทรพั ยากรการเรยี นรแู้ ละเครือขา่ ยการเรียนรู้ ความหมายของแหลง่ เรียนรู้ ความสาคัญและความจาเปน็ ของแหล่งการเรียนรู้ เครือข่ายการเรยี นรู้ (Learning Network) ความหมาย แนวทางการสร้างเครือขา่ ยการเรียนรู้ สรปุ แบบฝกึ หัด เอกสารอา้ งอิง บทท่ี 3 สื่อการเรียนการสอน ความหมาย ความสาคัญของส่ือการเรียนการสอน บทบาท ลักษณะของสื่อการเรียนการสอน หลักการเลอื กสอื่ การเรยี นการสอน ประเภท คุณสมบตั แิ ละการบารุงรกั ษาสื่อการเรียนการสอน ขน้ั ตอนการใชส้ อื่ การเรียนการสอน สรปุ แบบฝึกหดั เอกสารอา้ งอิง บทที่ 4 เทคโนโลยกี ับการจัดการเรยี นการสอนผา่ นเว็บ การจดั การเรียนการสอนบนเวบ็ ลกั ษณะและประเภทของการเรียนการสอนผา่ นเว็บ หลกั การออกแบบโครงสร้างเวบ็ การออกแบบและพัฒนาการเรยี นการสอนผ่านเว็บ ข้อดี ข้อจากัดของการเรยี นการสอนผ่านเวบ็
สรปุ 8 ชวั่ โมง แบบฝกึ หดั 10 ชั่วโมง เอกสารอ้างอิง บทท่ี 5 การประเมนิ และหาประสิทธิภาพสือ่ การสอน การความหมายของการประเมนิ สือ่ การสอน ความสาคัญของการประเมนิ ผลนวัตกรรม วธิ กี ารประเมนิ ผลนวัตกรรม ประเภทและลักษณะการประเมนิ ผลสอ่ื การเรยี นรู้ ข้นั ตอนการประเมนิ ผลส่ือการเรยี นการสอน ความหมายของการทดสอบประสทิ ธภิ าพ การกาหนดเกณฑ์ประสทิ ธิภาพ การคานวณหาประสทิ ธภิ าพ การตคี วามหมายผลการคานวณ การทดสอบประสทิ ธิภาพ สรุป แบบฝกึ หดั เอกสารอ้างอิง บทที่ 6 การประยกุ ต์เทคโนโลยีกับการจัดการเรียนการสอน เทคโนโลยีความเป็นจรงิ เสรมิ (Augmented Reality) ความหมายของเทคโนโลยีความเป็นจริงเสรมิ แนวคิดหลักของเทคโนโลยีความเปน็ จรงิ เสรมิ เทคโนโลยีความเปน็ จริงเสรมิ กบั การเรียนการสอน ข้อดี - ข้อจากดั ของเทคโนโลยคี วามเปน็ จรงิ เสริมกบั การเรียนการสอน หอ้ งเรยี นอัจฉริยะ (Smart Classroom) ความหมายของห้องเรียนอัจฉริยะ องคป์ ระกอบของห้องเรยี นอัจฉริยะ รปู แบบของหอ้ งเรียนอจั ฉรยิ ะ ประโยชน์ของห้องเรียนอจั ฉริยะ สรุป แบบฝึกหัด เอกสารอา้ งอิง
บทที่ 7 แนวโนม้ เทคโนโลยกี ารศึกษาในอนาคต 10 ช่ัวโมง แผนพฒั นาเศรษฐกจิ และสังคมแหง่ ชาติกับทศิ ทางการศึกษา แนวโนม้ การเรียนร้ดู จิ ิทลั “MAGICS” สาหรับการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 การนาเทคโนโลยกี ารศึกษามาใชใ้ นการจดั การเรียนการสอน สรุป แบบฝกึ หดั เอกสารอา้ งองิ วธิ สี อน และกจิ กรรม 1. นักศึกษาศึกษาเอกสารประกอบการสอนรายวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทาง การศกึ ษาสารสนเทศ 2. ผู้สอนใช้เทคนิคการสอนแบบบรรยายเนือ้ หาประกอบการปฏิบตั กิ าร 3. นกั ศึกษาร่วมอภปิ รายและซักถาม 4. นกั ศึกษาทาแบบฝึกหัดท้ายบท สื่อการเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอนวชิ านวัตกรรมและเทคโนโลยสี ารสนเทศทางการศึกษา 2. เวบ็ ไซตท์ เ่ี กี่ยวข้องกับนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ 3. PowerPoint ประกอบการบรรยายวิชานวัตกรรมและเทคโนโลยสี ารสนเทศทางการศึกษา การวัดผลและการประเมนิ ผล 70 % 5% การวดั ผล 5% 1. คะแนนระหวา่ งเรยี น 15 % 10 % 1.1 การมสี ว่ นรว่ มในช้ันเรยี น 15 % 1.2 การมสี ว่ นรว่ มในชน้ั เรียน 20 % 1.3 การนาเสนอผลงานตามภาระที่ได้รบั มอบหมาย 30 % 1.4 โครงการนวัตกรรม 1.5 ผลงานนวัตกรรมท่สี ร้างสรรค์ 1.6 สอบกลางภาคเรยี น 2. คะแนนสอบปลายภาคเรียน
การประเมินผล 80 – 100 ได้ระดบั A คะแนนระหวา่ ง 76 – 79 ได้ระดบั B+ คะแนนระหว่าง 70 – 75 ไดร้ ะดับ B คะแนนระหว่าง 66 – 69 ไดร้ ะดบั C+ คะแนนระหวา่ ง 60 – 65 ไดร้ ะดบั C คะแนนระหว่าง 56 – 59 ได้ระดับ D+ คะแนนระหวา่ ง 50 – 55 ได้ระดับ D คะแนนระหว่าง 50 ไดร้ ะดับ E คะแนนตา่ กว่า
1 แผนบริหารการสอนประจาบทที่ 1 เรื่อง แนวคดิ ทฤษฎี ความหมาย นวัตกรรมและเทคโนโลยสี ารสนเทศ เนือ้ หา 1. ความหมาย กระบวนการเกดิ และองคป์ ระกอบของนวัตกรรม 2. นวัตกรรมการศึกษา 3. ความหมาย ประเภท องค์ประกอบของเทคโนโลยีและเทคโนโลยีสารสนเทศ 4. ความรูเ้ บื้องต้นเกยี่ วกบั เทคโนโลยสี ารสนเทศทางการศึกษา 5. สรุป วตั ถุประสงคเ์ ชิงพฤติกรรม เมือ่ นักศึกษาเรียนจบบทเรยี นนแ้ี ล้วสามารถ 1. อธบิ ายความหมาย กระบวนการเกดิ องค์ประกอบของนวัตกรรมได้ 2. อธิบายความหมายของนวัตกรรมการศกึ ษาได้ 3. อธบิ ายความหมาย ประเภท องค์ประกอบของเทคโนโลยี และเทคโนโลยีสารสนเทศได้ 4. บอกถึงความร้เู บ้ืองต้นเก่ยี วกับเทคโนโลยสี ารสนเทศทางการศึกษาได้ 5. สรุปทฤษฎี ความหมายนวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศได้ วธิ ีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจาบท 1. นักศึกษาศึกษาเอกสารประกอบการสอนแนวคิด ทฤษฎี ความหมาย นวตั กรรมและ เทคโนโลยีสารสนเทศ 2. อาจารย์ใช้เทคนิคการสอนแบบบรรยายเนอื้ หาประกอบการปฏิบัติการ 3. นักศกึ ษาร่วมอภปิ รายและซักถาม 4. นกั ศกึ ษาทาแบบฝกึ หดั ท้ายบท สอื่ การเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอนวิชานวตั กรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาบทท่ี 1 เรอ่ื ง แนวคดิ ทฤษฎี ความหมาย นวตั กรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ 2. เว็บไซตท์ ี่เกยี่ วข้องกบั นวตั กรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ
2 3. PowerPoint ประกอบการบรรยายเรื่อง แนวคดิ ทฤษฎี ความหมาย นวตั กรรมและ เทคโนโลยสี ารสนเทศ การวัดผลและประเมินผล 1. สังเกตการมสี ว่ นรว่ มของผู้เรียน การอภิปราย และการตอบคาถาม 2. ตรวจสอบความถูกต้องของแบบฝึกหัดทา้ ยบท 3. การเขา้ ช้นั เรียน
3 บทท่ี 1 แนวคดิ ทฤษฎี ความหมาย นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศ กระบวนการจัดการเรียนการสอนมีความสาคัญอย่างมากสาหรับครูผู้สอนที่จะจัดกิจกรรม การเรยี นการสอนตา่ ง ๆ เพอ่ื ใหผ้ ู้เรยี นสามารถบรรลุไดต้ รงตามวัตถุประสงค์ ในปัจจุบนั มีการกล่าวถึง นวัตกรรมและเทคโนโลยีการศึกษาเป็นจานวนมาก เพราะผู้สอนได้มีการบูรณาการนวัตกรรมและ เทคโนโลยีการศึกษาเข้ามาใช้ในการจัดการศึกษามากข้ึน เพื่อให้การจัดการเรียนการสอน มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลมากที่สุด ความหมาย กระบวนการเกิดและองค์ประกอบของนวัตกรรม ในการศึกษาความเขา้ ใจถงึ ความหมายกระบวนการเกิดและองค์ประกอบของนวัตกรรมนั้น จาเป็นต้องทาความเข้าใจถึงคาจากัดความของนวัตกรรม การเกิดนวัตกรรม และระยะของการเกิด นวัตกรรม ดงั นี้ 1. ความหมายของนวตั กรรม นวตกรรม หรอื นวกรรม มาจากคาว่า “นว” หมายถงึ ใหม่ “กรรม” หมายถึง การกระทา เม่ือนาสองคานี้มารวมกันเป็น นวตกรรมหรือนวกรรม จึงหมายถึงการกระทาใหม่ ๆ มนี ักการศกึ ษาหลายท่านได้ให้ความหมายของคาน้ีไว้ ดังนี้ นวตกรรม หมายถึง การนาส่ิงใหม่ ๆ อาจเป็นแนวความคิดหรือสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ ท่ียัง ไม่เคยมีใช้มาก่อนหรือเป็นการพัฒนาดัดแปลงจากของเดิมที่มีอยู่แล้วให้ทันสมัยและได้ผลดี มปี ระสทิ ธภิ าพและประสทิ ธิผลสงู กว่าเดมิ ท้งั ยังช่วยประหยดั เวลาและแรงงานไดด้ ้วย เปรื่อง กมุ ุท (2519: 141) ได้กลา่ วถึงความคดิ หรือการกระทาใหม่ ๆ ทท่ี าให้เกดิ นวตั กรรม ว่ามี 5 ลกั ษณะ คอื 1. ความคดิ หรอื การกระทานนั้ ใหมใ่ นบ้านเราทัง้ ๆ ทเ่ี กา่ มาจากทีอ่ นื่ 2. ความคิดหรือการกระทาน้ันใหม่ในขณะน้ีทั้ง ๆ ที่เคยใช้มาแล้วในอดีตแต่ไม่ได้ผล และ ล้มเลิกไปเน่ืองจากขาดสิ่งอานวยความสะดวกต่าง ๆ ในขณะนั้น 3. ความคิดหรือการกระทานั้นใหม่ เน่ืองจากมีความคิดหรือการกระทาอยู่แล้วในขณะน้ัน ประจวบเหมาะกบั การสนับสนนุ ทางเทคโนโลยที ่ีเขา้ มาพร้อม ๆ กนั จึงทาใหส้ ่งิ เหลา่ น้ันดาเนนิ ไปอย่าง ได้ผล
4 4. ความคิดหรือการกระทานั้นใหม่ เนื่องจากสิ่งเคยทาอยู่หรือของเดิมถูกตัดหรือไม่ได้รับ การสนับสนุนจากผู้บรหิ ารจึงตอ้ งเลกิ ล้มแต่บดั น้ีกลับไดร้ ับการสนบั สนนุ และได้เร่มิ กระทาตอ่ ไป 5. ความคิดหรอื การกระทาน้นั ใหมจ่ รงิ ๆ ยังไม่เคยมใี ครกระทามาก่อน ไชยยศ เรืองสุวรรณ (2521: 13) ได้อ้างถึงนิยามความหมายของมอตัน (Morton, J.A.) หมายถึงการทาให้ใหม่ข้ึนอีกคร้ัง (Renewal) ซึ่งหมายถึงการปรับปรุงของเก่า และการพัฒนา ศักยภาพของบุคลากรตลอดจนหน่วยงานหรือองค์การน้ัน ๆ นวกรรมไม่ใช่การขจัดหรือล้มล้างสิ่งเก่า ให้หมาดไปแตเ่ ป็นการปรับปรงุ เสรมิ แต่ง และพฒั นาเพ่ือความอย่รู อดของระบบ วสันต์ อติศัพท์ (2523: 15) กล่าวว่า นวกรรม เป็นคาสมาสระหว่าง “นว” และ “กรรม” ซ่ึงมีความหมายว่าความคิด และการกระทาใหม่ ๆ ที่จะทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงไปสู่ส่ิงท่ีดีกว่า เช่น นวกรรมทางการแพทย์ หมายถึง ความคิด และการกระทาใหม่ ๆ เพือ่ ทีจ่ ะเปล่ียนแปลง ปรบั ปรงุ ตลอดจนแก้ปัญหาทางการแพทย์ท่ีมีอยู่ในปัจจุบัน นวกรรมการศึกษาหมายถึง ความคิด และ การกระทาใหม่ ๆ ทีจ่ ะทาใหเ้ กิดการเปล่ียนแปลงเพือ่ จะแกป้ ัญหาที่เกดิ ขึ้นในระบบการศึกษา ชยั ยงค์ พรหมวงศ์ (2523: 118-119) ได้สรุปแนวคิดเกยี่ วกับนวัตกรรมไวด้ งั นี้ 1. อาจเป็นสิง่ ใหมท่ ัง้ หมด หรือบางสว่ นอาจเปน็ ของเกา่ ทใี่ ชไ้ ม่ได้ผลในอดตี แล้วนามา ปรับปรงุ ใหมใ่ หด้ ีขน้ึ 2. มกี ารจัดระบบข้นั ตอนการดาเนนิ งานทเ่ี หมาะสมก่อนทาการเปล่ยี นแปลง 3. มกี ารพิสจู น์ด้วยการวิจยั หรืออยรู่ ะหว่างการวจิ ัยว่าส่ิงใหมน่ น้ั จะช่วยใหก้ ารแก้ปญั หา และดาเนินงานบางอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ 4. ยงั ไม่เป็นส่วนหน่งึ ของระบบงานปจั จุบนั สานักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (2549: 3) ได้ให้ความหมายของนวัตกรรมไว้ว่า นวัตกรรม คือ “สิ่งใหมท่ ี่เกิดจากการใชค้ วามรู้ และความคดิ สรา้ งสรรคท์ ีม่ ปี ระโยชนต์ ่อเศรษฐกจิ และสงั คม” สมนึก เอื้อจิระพงษ์พันธ์ และคณะ (2553: 52) ได้ให้ความหมายของ นวัตกรรม หมายถึง “ส่ิงใหม่ท่ีเกิดข้ึนจากการใช้ความรู้ ทักษะ ประสบการณ์ และความคิดสร้างสรรค์ ในการพัฒนาข้ึน ซึ่งอาจจะมีลักษณะเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ บริการใหม่ หรือกระบวนการใหม่ท่ีก่อให้เกิดประโยชน์ใน เชิงเศรษฐกิจและสงั คม” โดยสรุปแล้ว นวัตกรรม หมายถึง สิ่งใหม่ การกระทาใหม่ หรือการนาสิ่งเก่ามากระทาใหม่ โดยผา่ นกระบวนการวจิ ัยแล้ววา่ สามารถนามาใชใ้ นการทางานได้อย่างมีประสิทธภิ าพ
5 2. กระบวนการเกดิ นวัตกรรม กระบวนการเกิดนวตั กรรม การเกดิ นวตั กรรมมีกระบวนการท่สี าคัญ 3 ข้นั ตอน คือ 1. มกี ารประดิษฐค์ ดิ คน้ สิง่ ใหม่ หรอื ปรับปรุงของเก่าให้เหมาะสมกบั สภาพงาน 2. มีการตรวจสอบ หรอื ทดลอง และปรับปรุงพัฒนา 3. มีการนามาใช้หรอื ปฏบิ ตั ิงานในสถานการณ์จรงิ การที่จะพิจารณาว่าสิ่งน้ัน ๆ จะเป็นนวัตกรรมหรือไม่ต้องมีคุณลักษณะหรอื คุณสมบัติของ กระบวนการครบท้ัง 3 ขั้นตอน อาทิ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) เป็นนวัตกรรมเพราะผ่าน กระบวนการครบ 3 ข้ันตอน ได้แก่ ข้ันที่หน่ึงมีการประดิษฐ์คิดค้น ขั้นท่ีสองมีการทดลองใช้ และ พฒั นามาแล้วและ ขัน้ ทีส่ ามมกี ารนามาใชก้ ันแลว้ ในการจดั การเรียนการสอน ภาพท่ี 1.1 ตัวอยา่ งบทเรียนคอมพิวเตอรช์ ว่ ยสอน ท่ีมา : [ออนไลน]์ , เข้าถงึ ได้จาก http://www.thaischool1.in.th/_files_school/48100687/ workteacher/48100687_0_20131116-110659.jpg 3. การนานวตั กรรมมาใช้ เอกวิทย์ แก้วประดิษฐ์ (2545: 8) ได้กล่าวว่า การนานวัตกรรมมาใช้ย่อมขึ้นอยู่กับสภาพ และความเหมาะสม นวัตกรรมในท่ีหน่ึงอาจไม่เหมาะสมกับอีกที่หนึ่ง การนานวัตกรรมมาใช้บางครั้ง อาจเกิดปัญหามากกว่าท่ีจะได้ผลดีตามที่คาดคิดซึ่งการนานวัตกรรมมาใช้ จึงมีหลักในการพิจารณา ดังน้ี
6 3.1 แหล่งท่ีมาของนวัตกรรมหรือสิ่งใหม่ และเหตุผลความเป็นมาของการเปล่ียนแปลง แหล่งทมี่ า เชน่ 3.1.1 เป็นความคิด และวิธีการที่ปฏิบัติอยู่แล้วในสงั คมอื่นแต่นามาปรับใช้ให้เหมาะกบั องคก์ รของตน 3.1.2 เป็นความคิด และวิธีการที่ปฏิบัติอยู่เดิมในองค์กรแต่นามาปรับปรุงพัฒนาให้มี ประสิทธิภาพเพ่ิมข้นึ 3.1.3 เป็นความคิด และวิธีการที่เคยปฏิบัติอยู่ในสังคมน้ันแต่ไม่ได้ผลเพราะล้ายุค เกินไปตอ่ มาสงั คมเปล่ียนแปลงจงึ นากลับมาใชใ้ หม่ 3.1.4 เปน็ ความคิด และวิธกี ารทเี่ คยปฏิบัติแต่ไม่ไดร้ บั การสนับสนนุ หรือไม่มีส่ิงอานวย ความสะดวกต่อมาเมื่อมคี วามพร้อมจึงกลับมาใชอ้ ีก 3.1.5 เป็นความคดิ และวธิ ีการใหม่ทีเ่ พ่ิงปรากฏครั้งแรกไม่มที ีใ่ ดมาก่อน 3.2 วิทยาการท่ีจะใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการวินิจฉัยว่าความเปล่ียนแปลงน้ันถูกต้อง และ จะได้รับความสาเร็จ 3.3 ความสัมพันธก์ ับสภาพแวดล้อมมีความสอดคล้องเหมาะสม 3.4 มีวิธีอันเหมาะสมท่ีจะทาให้ความเปล่ียนแปลงนั้นเป็นไปได้อย่างร าบรื่น และ มีข้อขัดแย้งน้อยท่ีสุดมีวิธีการอันเหมาะสมที่สาคัญถ้าสามารถปฏิบัติตามได้จะทาให้การต่อต้าน ลดน้อยลง การใชน้ วตั กรรมก็หวงั ได้รับผลสาเรจ็ และมีผลขยายกว้างออกไป จึงควรปฏิบตั ิดงั นี้ 3.4.1 ควรให้ผู้ท่ีเกี่ยวข้องในวิธีปฏิบัติท้ังใหม่ และเก่าได้มีโอกาสเลือกปฏิบัติ และ มีความรู้สึกวา่ เขามสี ่วนร่วมในการวนิ ิจฉัยหรอื ตดั สินใจวา่ อะไรดหี รอื ไม่ดี และควรนามาใชห้ รือไม่ 3.4.2 ใหผ้ ้เู กีย่ วข้องได้ทราบผลของการปฏิบัติแบบตา่ ง ๆ เปรยี บเทียบกันอันจะเป็นผล ใหม้ ีความมัน่ ใจมากข้ึน 3.4.3 ผูท้ ่ีเกี่ยวข้องต้องทราบวตั ถุประสงค์ที่แน่ชัดว่าการปฏบิ ัติใหม่ทาเพื่ออะไร และจะ ใชห้ ลักเกณฑใ์ ดสาหรบั วินจิ ฉยั ว่าทาอยา่ งไรจึงจะถอื วา่ เปน็ ผลดี 4. ปัจจัยทีส่ ่งผลตอ่ การยอมรับนวตั กรรม ในการที่จะยอมรับนวัตกรรมนั้นมีเหตุและปัจจัยต่าง ๆ ที่แตกต่างกันซึ่งไม่ว่าจะเป็น ความรวดเร็วนการยอมรับนวัตกรรม ความคงทนของนวัตกรรมนั้น ๆ ข้ึนอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ (Roger and Burdger, 1972. อ้างองิ จาก เอกวทิ ย์ แก้วประดิษฐ์. 2545: 8) ดังตอ่ ไปน้ี 4.1 ปัจจัยด้านคุณลักษณะของตัวนวัตกรรม นวัตกรรมแต่ละอย่างจะมีลักษณะเฉพาะตัวท่ี สามารถนามาใช้ในการแก้ปัญหา หรือเพ่ิมประสิทธิภาพการปฏิบัติงานท่ีเป็นได้ตามสถานการณ์ และ ความต้องการของผู้นามาใช้ ดังจะเห็นได้ว่านวัตกรรมบางอย่างได้ผลดีในที่แห่งหนึ่งแต่อาจไม่ได้ผล
7 ในท่ีอีกแห่งหนึ่งซึ่งข้ึนอยู่กับว่านวัตกรรมน้ันมีความเหมาะสมกับสถานการณ์น้ัน ๆ หรือไม่มีปัจจัย หลายด้านทมี่ ีอทิ ธิพลต่อการยอมรับและใชน้ วตั กรรม เช่น 4.1.1 การได้รับผลประโยชน์จากนวัตกรรม (Relation Advantage) หมายความว่า ตัวนวัตกรรมใดมีคุณสมบัติท่ีดี และผู้ใช้มีความเช่ือว่าสามารถใช้ได้ดี และมีประโยชน์สามารถนามา ทดแทนของเก่าได้จรงิ หรือดีกวา่ ของเกา่ กจ็ ะทาใหม้ ีโอกาสถูกยอมรบั มากข้นึ 4.1.2 การเขา้ กันไดด้ ีกบั สง่ิ ที่มีอยเู่ ดมิ (Compatibility) หมายความวา่ นวัตกรรมที่จะ นามาใช้ถ้ามีคุณค่า มีคุณสมบัติต่าง ๆ ท่ีสอดคล้องกับความต้องการ และระเบียบวิธีท่ีปฏิบัติอยู่ก่อน สามารถเข้ากันได้กับสิ่งต่าง ๆ และไม่สร้างความยุ่งยากให้งานที่ปฏิบัตินวัตกรรมน้ันก็จะมีโอกาส ถูกยอมรบั ได้ง่ายข้นึ 4.1.3 ความซับซ้อน (Complexity) หมายถึง ระดับความเช่ือว่าในตัวนวัตกรรมยาก ต่อการทาความเข้าใจ และมีความยุ่งยากต่อการนาไปใช้ เน่ืองจากนวัตกรรมบางอย่างสามารถ ทาความเข้าใจ และนาไปใช้ได้ง่ายในขณะท่ีบางอย่างมีความยุ่งยาก ซับซ้อน และทาความเข้าใจยาก อุปกรณ์ที่ใช้อาจมีความยุ่งยากจนผู้ใช้อาจหมดความอดทนท่ีจะเรียนรู้ทาให้ไม่ค่อยอยากนา มาใช้ ในการปฏิบตั ิงาน 4.1.4 การทดลองปฏบิ ตั ิได้ (Trainability) หมายความวา่ นวัตกรรมท่จี ะนามาใช้ สามารถทดลอง ทดสอบให้เห็นผลจริงอย่างน้อยภายใต้สภาพที่จากัดเม่ือได้เห็นผลท่ีเกิดจาก การทดลองอย่างมีข้ันตอน มีระบบได้รับผลออกมาแล้วนวัตกรรมน้ันก็จะถูกยอมรับได้มากกว่า นวตั กรรมทไี่ ม่สามารถทดลอง ทดสอบได้ 4.1.5 การสังเกตได้ (Observability) หมายความว่า นวัตกรรมใดท่ีสามารถแสดงให้ เห็นขั้นตอนวิธีการ หรือกระบวนการท่ีมีลักษณะเป็นรูปธรรมได้จะช่วยให้ผู้ใช้เกิดความมั่นใจ และ พร้อมทจี่ ะยอมรับนวตั กรรมน้นั ได้ง่าย 4.2. ปัจจัยเกี่ยวกับตัวผู้รับนวัตกรรมไม่ว่านวัตกรรมนั้นจะมีคุณสมบัติดีเพียงใดเหมาะสม กับสภาพแวดล้อมอย่างไร การจะยอมรับนวัตกรรมใด ปัจจัยอยู่ท่ีตัวบุคคลหรือผู้รับนั่นเอง ถ้าผู้รับ ไมม่ ีความพร้อมในการยอมรบั ไมย่ อมรบั ไม่ปฏบิ ัตนิ วตั กรรมน้ันก็ไร้ความหมาย ปัจจัยสาคัญเกี่ยวกับ ผู้รบั นวตั กรรม เชน่ 4.2.1 สถานภาพทางเศรษฐกิจ สงั คม (Socio-economic) สถานภาพทางเศรษฐกิจ สงั คมของบุคคลจะมผี ลต่อการยอมรบั นวตั กรรมเทคโนโลยี เช่น อาชีพ ระดับการศึกษา รายได้ 4.2.2 คุณลักษณะของบคุ ลิกภาพ (Personality) เป็นลักษณะเฉพาะตวั ของบคุ คลท่ี ได้รับการสั่งสมมาต้ังแต่เล็กจนโต หล่อหลอมจากบ้านจนมาถึงสถาบันการศึกษาทาให้บุคลิกภาพ แตกตา่ งกันไป เช่น เปน็ บุคคลแข็งกระดา้ ง อ่อนโยน ไมย่ อมรบั ความคดิ เหน็ ของบคุ คลอ่นื
8 4.2.3 ปัจจัยด้านระบบสังคม (Social System) ในสังคมจะมีทั้งผู้นา และผู้ตามมีผู้นา ทางความคิดมีค่านิยมและมีปทัสฐานทางสังคม (Norms) ปทัสฐานทางสังคมจะเป็นอุปสรรคต่อ การเปล่ียนแปลงได้เพราะบุคคลยึดปทัสฐานทางสังคมหากไม่สอดคล้องกับนวัตกรรมบุคคล กไ็ ม่ยอมรับนวัตกรรม 4.2.4 ปัจจัยทางด้านการติดต่อสื่อสาร การส่ือสารเป็นส่วนประกอบสาคัญของ กระบวนการการเปล่ยี นแปลงทางสังคม และกระบวนการแพร่กระจายนวตั กรรมเป็นการตดิ ต่อสื่อสาร ประเภทหน่ึง กระบวนการน้ีเกี่ยวข้องกับข่าวสารที่เป็นแนวความคิดใหม่ ๆ ข่าวสารเหล่าน้ีจึงมีความ แตกต่างจากข่าวสารท่ัว ๆ ไปในชีวิตประจาวัน และเกี่ยวข้องกับระดับความเสี่ยงของผู้รับอย่าง หลกี เลยี่ งไม่ได้ 5. ระยะการเกิดของนวตั กรรม การเกดิ ของนวัตกรรม สามารถแบง่ ออกได้เป็น 3 ระยะ ได้แก่ ระยะท่ี 1 การประดษิ ฐค์ ิดคน้ (Innovation) หรอื เปน็ การปรงุ แต่งของเก่าให้มีความ เหมาะสมกบั ยุคสมัย ระยะท่ี 2 การพฒั นาการ (Development) มกี ารทดลอง การวิจัยแล้วว่านวตั กรรมนั้น ๆ สามารถนามาใช้งานได้จรงิ ระยะท่ี 3 การนาเอาไปปฏิบัตใิ นสถานการณท์ ั่วไป นวัตกรรมเม่ือมีการพัฒนาและนาไปใช้อย่างแพร่หลายจนเป็นปกติของหน่วยงานแล้ว นวัตกรรมน้ัน ๆ จะถูกเปล่ียนสภาพเป็นเทคโนโลยีและเม่ือนาเทคโนโลยีไปใช้งานอย่างกว้างขวางจน พบข้อบกพร่องทาให้เกิดปัญหากับระบบงานและเมื่อได้มีการนาเทคโนโลยีน้ันมาปรับปรุงใหม่ แก้ไข ข้อบกพรอ่ งน้นั ๆ ใหม่เทคโนโลยีนน้ั กจ็ ะกลับกลายเปน็ นวัตกรรมอกี คร้งั เทคโนโลยี การพัฒนา เผยแพร่ นวัตกรรม การเผยแพร่ ภาพที่ 1.2 แสดงการเปล่ยี นแปลงของนวัตกรรมและเทคโนโลยี
9 นวัตกรรมการศกึ ษา จากคานิยามของคาว่านวัตกรรมที่ได้ศึกษาแล้ว เม่ือนานวัตกรรมมาใช้กับการศึกษา จึงมผี ใู้ ห้คาจากดั ความของคาวา่ นวัตกรรมการศึกษา อาทิ กดิ านนั ท์ มลทิ อง (2540: 245) กล่าวว่า นวตั กรรมการศกึ ษา หมายถงึ นวตั กรรมทจี่ ะช่วย ใหก้ ารศกึ ษา และการเรียนการสอนมปี ระสิทธภิ าพดยี ่ิงขึน้ ผเู้ รยี นสามารถเกดิ การเรียนรู้อยา่ งรวดเร็ว มีประสิทธิผลสูงกว่าเดิม เกิดแรงจูงใจในการเรียนด้วยนวัตกรรมการศึกษา และประหยัดเวลาใน การเรียน ปัจจุบันมีการใช้นวัตกรรมการศึกษามากมายหลายอย่างซึ่งมีทั้งนวัตกรรมท่ีใช้กัน อย่างแพร่หลายแล้ว และประเภทท่ีกาลังเผยแพร่ เช่น การเรียนการสอนที่ใช้คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction) การใช้แผ่นวีดิทัศน์เชิงโต้ตอบ (Interactive Video) สื่อหลาย มิติ (Hypermedia) และอินเทอร์เน็ต (Internet) เปน็ ตน้ สุคนธ์ สินธพานนท์. (2553: 16) กล่าวว่า นวัตกรรมการศึกษา หมายถึง ส่ิงใหม่ๆ ที่สร้าง ขึ้นมาเพ่ือช่วยแก้ปัญหาเก่ียวกับการจัดการเรียนการสอนหรือพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมี ประสิทธภิ าพ ได้แก่ แนวคิด รูปแบบ วิธีการ กระบวนการ สื่อต่าง ๆ ท่เี กย่ี วกบั การศึกษา สรุปได้ว่า นวัตกรรมการศึกษาหมายถึง การกระทา ส่ิงประดิษฐ์ หรือสิ่งใหม่ๆต่าง ๆ ท่ีนามาใช้ในการจัดการศึกษาเพื่อให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพดีย่ิงขึ้น ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ อยา่ งรวดเรว็ มีประสิทธิผลสงู กวา่ เดมิ แนวความคิดท่ีก่อให้เกดิ นวัตกรรมการศกึ ษา องค์ประกอบท่ีสาคัญต่อการเกิดนวัตกรรมการศึกษา คือ ความคิดพ้ืนฐานทางการศึกษา ท่ีเปลี่ยนแปลงไป แนวความคิดดังกล่าวต้องใช้วิธีการนาเอาระบบการจัดการทางการศึกษาเข้ามา วางแผนการดาเนินงาน สามารถสรปุ ไดด้ งั นี้ 1. แนวความคิดพ้ืนฐานในเร่ืองความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual different) ระบบการศึกษาของไทยได้ให้ความสาคัญในเร่ืองความแตกต่างระหว่างบุคคลไว้อย่างชัดเจน เช่น การจัดระบบห้องเรียนโดยใชอ้ ายุเป็นเกณฑ์ ใช้ความสามารถเป็นเกณฑ์ เป็นต้น นวัตกรรมการศึกษา ทเ่ี กิดขน้ึ เพ่อื ตอบสนองแนวความคดิ พนื้ ฐานน้ี ได้แก่ 1.1 การเรยี นแบบไม่แบ่งชนั้ (Non-graded school) 1.2 แบบเรียนสาเรจ็ รูป (Programmed text book) 1.3 เครื่องสอน (Teaching machines) 1.4 การสอนเปน็ คณะ (Team teaching) 1.5 การจัดโรงเรยี นในโรงเรยี น (School within school) 1.6 คอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอน (Computer Assisted Instruction)
10 2. แนวความคิดพ้ืนฐานในเรื่องความพร้อม (Readiness) การจัดการศึกษาในอดีต มีความคิดว่าเด็กจะเรียนหนังสือได้ต้องมีความพร้อมตามพัฒนาการทางธรรมชาติแต่ในปัจจุบัน นักจิตวิทยาการศึกษากล่าวว่า สามารถสร้างความพร้อมเพ่ือให้เกิดการเรียนรู้ได้ นวัตกรรมในการ เตรียมความพรอ้ ม ไดแ้ ก่ 2.1 ศนู ยก์ ารเรียน (Learning center) 2.2 การจัดโรงเรียนในโรงเรยี น (School within school) 2.3 การปรบั ปรุงการสอนสามขนั้ (Instructional development in 3 phases) 3. แนวความคิดพืน้ ฐานในเรื่องการใช้เวลาเพ่ือการศึกษา แนวความคิดน้ี ไดแ้ ก่ การจัดการ เรียนการสอนโดยอาศัยความสะดวกเป็นหลัก เช่น การจัดตารางสอนตามคาบเวลาต่าง ๆ กาหนด แน่นอนเปน็ รายวัน รายสัปดาห์ หรือรายภาคเรียน แต่ในสภาพปจั จุบันสามารถใช้นวัตกรรมการศึกษา มาใช้เกย่ี วกบั การจดั การเร่อื งเวลาในการเรียนการสอนได้ เช่น 3.1 การจัดตารางสอนแบบยืดหยุ่น (Flexible scheduling) 3.2 มหาวิทยาลัยเปดิ (Open university) 3.3 แบบเรยี นสาเร็จรูป (Programmed text book) 3.4 การเรยี นทางไปรษณยี ์ (Post office education) 4. แนวความคิดพ้ืนฐานในเร่ืองการขยายตัวทางวิชาการ และอัตราการเพิ่มประชากร มีความต้องการในด้านการศึกษาเพ่ิมมากขึ้นมีความจาเป็นในการศึกษาเฉพาะเร่ืองเพ่ิมมากข้ึน จึงจาเป็นต้องมีระบบการศึกษาใหม่เกิดขึ้นทาให้มีแนวโน้มของนวัตกรรมการศึกษาในการจัดระบบ การศึกษาใหม่ ๆ เกดิ ขนึ้ เชน่ 4.1 มหาวิทยาลัยเปดิ (Open university) 4.2 การเรียนทางวิทยุ (Radio education) 4.3 การเรยี นทางโทรทัศน์ (Television education) 4.4 การเรยี นทางไปรษณีย์ (Post office education) 4.5 แบบเรยี นสาเร็จรูป (Programmed text books) 4.6 ชดุ การเรียน (Kits) 4.7 การเรยี นในระบบอนิ เทอร์เนต็ (Tele conferencing) ประเภทของนวัตกรรมการศกึ ษา มนสิช สิทธิสมบูรณ์ (2557: 26 - 29) กล่าวว่า นวัตกรรมท่ีนามาใช้ในทางการศึกษาท้ัง การกระทาใหมใ่ ด ๆ การสรา้ งสิ่งใหม่ ๆ รวมทง้ั การพฒั นาดัดแปลงจากสิง่ ใด ๆ เพ่ือใช้ในการเรยี นการ สอน แบ่งเปน็ 5 ประเภท ได้แก่
11 1. นวัตกรรมดา้ นสื่อการสอน ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอร์เครือข่ายและเทคโนโลยี โทรคมนาคม ทาให้นักการศึกษาพยายามนาศักยภาพของเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ในการผลิตส่ือ การเรียนการสอนใหม่ ๆ ท้ังการเรียนด้วยตนเอง การเรียนเป็นกลุ่ม และการเรียนแบบมวลชน ตลอดจนส่ือที่ใช้เพ่ือสนับสนุนการฝึกอบรมผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ อาทิ บทเรียนคอมพิวเตอร์ ช่วยสอน ชดุ ฝกึ อบรม หนงั สืออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์ เปน็ ตน้ 2. นวัตกรรมดา้ นวิธกี ารจดั การเรยี นการสอน การใช้วิธีระบบในการปรบั ปรุง และคิดค้น พัฒนาวิธีสอนแบบใหม่ ๆ เพื่อให้ตอบสนอง การเรียนรู้ได้ในรูปแบบการสอนรายบุคคล การสอนแบบผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง การเรียนแบบร่วมมือ การเรียนรู้แบบแก้ปัญหา อาทิ การสอนแบบร่วมมือร่วมใจ (Cooperative Learning) การสอนแบบ โครงสร้างความรู้ (Graphic Organizer) การสอนแบบศูนย์การเรียน (Learning Center) การสอน แบบสืบเสาะหาความรู้(Inquiry Based) การสอนแบบบูรณาการ (Integrate Teaching) การสอน ด้วยรปู แบบซปิ ปา (CIPPA Model) การสอนแบบโครงงาน (Project Method) เปน็ ต้น 3. นวัตกรรมทางดา้ นหลักสูตร นวัตกรรมทางด้านหลักสูตรเป็นการนาวิธีการใหม่ ๆ ในการพัฒนาหลักสูตรให้มี ความสอดรับกับสภาพแวดล้อมในท้องถิ่น และตอบสนองความต้องการการสอนบุคคลให้มากขึ้น นอกจากนี้การพัฒนาหลักสูตรยังมีความจาเป็นท่ีจะต้องอยู่บนฐานของแนวคิดทฤษฎี และปรัชญา ทางการจัดการสัมมนาอีกดว้ ย การพฒั นาหลักสูตรตามหลักการ และวิธกี ารดงั กล่าวต้องอาศัยแนวคิด และวิธีการใหม่ ๆ ท่ีเป็นนวัตกรรมการศึกษาเข้ามาช่วยเหลือจัดการให้เป็นไปในทิศทางที่ต้องการ อาทิ หลักสูตรสาระเพ่ิมเติม หลักสูตรท้องถิ่น หลักสูตรการฝึกอบรม และหลักสูตรกิจกรรมพัฒนา ผเู้ รยี น เปน็ ตน้ 4. นวตั กรรมด้านการวดั และการประเมินผล เป็นนวัตกรรมท่ีใช้เป็นเคร่ืองมือเพ่ือการวัดผล และประเมินผลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทาได้อย่างรวดเร็ว รวมไปถึงการวจิ ยั ทางการศึกษา การวิจัยสถาบันด้วยการประยุกต์ใชโ้ ปรแกรม คอมพิวเตอร์มาสนับสนุนการวัดผล ประเมินผลของสถานศึกษา ครู อาจารย์ ตัวอย่างนวัตกรรม ทางด้านการประเมินผล อาทิ การสร้างแบบวัด การสร้างเครื่องมือ การประยุกต์ใช้โปรแกรม คอมพิวเตอร์ 5. นวตั กรรมด้านการบรหิ ารจัดการ การใช้นวัตกรรมที่เกี่ยวข้องกับการใช้สารสนเทศมาช่วยในการบริหารจัดการเพ่ือการ ตัดสินใจของผู้บริหารการศึกษาให้มีความรวดเร็วทันเหตุการณ์ ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก นวตั กรรมการศกึ ษาที่นามาใชท้ างด้านการบริหารจะเกยี่ วขอ้ งกับระบบการจดั การฐานข้อมูลในหน่วย
12 งานสถานศึกษา เช่น ฐานข้อมูล นักเรียน นักศึกษา ฐานข้อมูล คณะอาจารย์ และบุคลากรใน สถานศึกษาด้านการเงิน บัญชี พัสดุ และครุภัณฑ์ ฐานข้อมูลเหล่าน้ีต้องการออกระบบที่สมบูรณ์ มีความปลอดภัยของข้อมูลสูง นอกจากนี้ยังมีความเก่ียวข้องกับสารสนเทศภายนอกหน่วยงาน เช่น ระเบียบปฏิบัติ กฎหมาย พระราชบัญญัติที่เกี่ยวกับการจัดการศึกษาซึ่งจะต้องมีการอบรมเก็บรักษา และออกแบบระบบการสืบค้นท่ีดีพอซึ่งผู้บริหารสามารถสืบค้นข้อมูลมาใช้งานได้ทันทีตลอดเวลา การใช้นวัตกรรมแต่ละด้านอาจมีการผสมผสานที่ซ้อนทับกันในบางเรื่องซึ่งจาเป็นต้องมีการพัฒนา ร่วมกันไปพร้อม ๆ กันหลายด้าน การพัฒนาฐานข้อมูลอาจต้องทาเป็นกลุ่มเพื่อให้สามารถนามาใช้ ร่วมกันได้อย่างมปี ระสิทธภิ าพ ความหมาย ประเภท องค์ประกอบของเทคโนโลยแี ละเทคโนโลยีสารสนเทศ 1. ความหมายของเทคโนโลยี เทคโนโลยี (Technology) เป็นคามาจากภาษากรีกว่า “Techne” หมายถึง ศิลปะ วิทยาศาสตร์หรือทักษะ (Art, Science or Skill) และมาจากภาษาลาตินว่า “Texere” มีความหมาย ว่าการสาน (to Weave) หรือการสร้าง (to Construct) ในภาษากรีกมีคาว่า Technologia หมายถึง การกระทาอย่างมีระบบ (Systematic treatment) พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ได้ให้ความหมายของคาว่า “เทคโนโลยี” ไว้ดังนี้ เทคโนโลยี หมายถึง “วิทยาการที่เกี่ยวกับศิลปะ ในการนาเอาวิทยาศาสตร์ประยุกต์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในทางปฏิบัติและอุตสาหกรรม ” เม่ือพิจารณาจากรูปศัพท์ภาษาอังกฤษจะมีความหมายดังนี้ Techno แปลว่า วิธีการ Logy แปลว่า วิชาหรอื การศกึ ษาเก่ียวกับ ดังน้ันเมอ่ื รวมคาแล้ว “เทคโนโลยี” จงึ หมายถงึ เทคนิควิทยาหรือวิชาที่ว่า ด้วยวิธีการ หรือ ศาสตร์ท่ีว่าด้วยเทคนิควิธีการหรือวิธีปฏิบัติโดยใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์อย่างเปน็ ระบบ (Systematic Treatment) นอกจากนีย้ งั มีนักวชิ าการทไี่ ด้ใหค้ วามหมายของ “เทคโนโลยี” ไวด้ งั นี้ ชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2523: 36) กล่าวว่า เทคโนโลยี หมายถึง ศาสตร์ท่ีว่าด้วยวิธีการ แต่ความหมายท่ีแท้ของเทคโนโลยีเปน็ กระบวนการ วธิ กี ารหลกั ปฏบิ ตั แิ ละสง่ิ ประดิษฐ์ซึ่งอยู่ในรูปของ การจดั ระบบงานทปี่ ระกอบดว้ ยองคป์ ระกอบ 3 ประการ ได้แก่ 1. ข้อมลู ทีใ่ ส่เขา้ ไป ได้แก่ การกาหนดปัญหา วตั ถุประสงค์ รวบรวมข้อมูลที่เก่ียวข้อง 2. กระบวนการ ได้แก่ การลงมือแกไ้ ข แจกแจง วิเคราะหข์ อ้ มูลเพื่อให้บรรลุ วัตถปุ ระสงค์ 3. ผลลพั ธ์ ไดแ้ ก่ ผลท่ีไดจ้ ากการแกป้ ัญหา หรือสรปุ การวเิ คราะห์ซึ่งสามารถนาไป ทดลองประยุกต์ใช้ และทาการประเมินผล
13 สมบูรณ์ สงวนญาติ (2534: 16) กล่าวว่า เทคโนโลยี หมายถึง การนาเอาความรู้ทาง ศาสตร์สาขาต่าง ๆ มาประยุกต์ให้เกิดเป็นระบบท่ีดีซึ่งสามารถนาไปใช้แก้ปัญหาเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงให้ บรรลเุ ปา้ หมายไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ กูด (Good, 1973: 592) กล่าวว่า เทคโนโลยี หมายถงึ การนาวิทยาศาสตรม์ า ประยุกต์ใช้ในวงการต่าง ๆ หรือสาขาต่าง ๆ เม่ือนามาใช้แล้วจะทาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงใน ระบบงานที่ปฏิบัติอยู่ถ้าหากมีการนาเทคโนโลยีมาใช้แล้ววิธีการทางานยังคงเหมือนเดิมไม่ถือว่าเป็น เทคโนโลยซี ่ึงเทคโนโลยีสามารถสรปุ ได้ 5 ความหมาย ดงั นี้ 1. เป็นระบบวิธกี ารทางวทิ ยาศาสตรท์ ่ีศกึ ษาเกี่ยวกบั เทคนคิ 2. เป็นการนาเอาวิธกี ารทางวิทยาศาสตร์มาใช้แกป้ ัญหาในเชิงปฏิบัติ 3. เปน็ การจัดระบบขอ้ เทจ็ จรงิ และหลักเกณฑท์ ี่เชือ่ ถือได้ เพอ่ื จดุ ประสงค์ในทางปฏิบตั ิ และอาจรวมถึงหลักการทีก่ ่อใหเ้ กิดผลทางการเรียนการสอน 4. เป็นการนาเอาความรทู้ างวทิ ยาศาสตรแ์ ละวิธีระบบมาใช้ 5. เป็นการนาเอาความร้ดู า้ นตรรกศาสตร์ คณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตรม์ าใชเ้ พื่อให้เกิด ความเจรญิ ทางวตั ถุ ไฮนชิ และคนอ่ืนๆ (Heinich and others, 1996: 443) กล่าววา่ เทคโนโลยมี ี 3 ลักษณะ ได้แก่ 1. เทคโนโลยีในลักษณะของกระบวนการ (Process) เทคโนโลยีในลักษณะของ กระบวนการหรือวิธีการ เปน็ การประยุกต์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์หรือความรูด้ า้ นอ่ืนมาใช้อา่ งมีระบบ เพ่อื นาไปสู่ประโยชน์ในงานเฉพาะและแก้ปัญหา 2. เทคโนโลยีในลักษณะของผลผลิต (Product) เทคโนโลยี คือ วัสดุและอุปกรณ์ อันเป็นผลมาจากการใช้กระบวนการทางเทคโนโลยี อันเป็นผลผลิตท่ีได้รับจากการประยุกต์ใช้ความรู้ ต่าง ๆ อย่างเปน็ ระบบ 3. เทคโนโลยีในลักษณะผสมผสานของกระบวนการและผลผลิต (Process and Product) จากท่ีกล่าวมา สรุปได้ว่า เทคโนโลยี หมายถึง การประยุกต์ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ และศาสตรด์ า้ นอนื่ ๆ มาใชอ้ ยา่ งเป็นระบบเพ่ือใช้ในการบรหิ ารจัดการงานใดใหเ้ กดิ ความเปน็ ระเบียบ เรียบร้อยแก่งานน้ัน ๆ มีการนาเทคโนโลยีมาใช้ในวงการต่าง ๆ อาทิ การนาเทคโนโลยีมาใช้ใน วงการศึกษาจะเรียกว่าเทคโนโลยีการศึกษา นาเทคโนโลยีมาใช้ในวงการแพทย์เรียกว่าเทคโนโลยี การแพทย์ นาเทคโนโลยีมาใช้ในวงการอาหารเรียกว่าเทคโนโลยีการอาหาร หรือ นาเทคโนโลยีมาใช้ ในวงการเกษตรเรยี กว่าเทคโนโลยกี ารเกษตร เปน็ ต้น
14 2. ความหมายของเทคโนโลยสี ารสนเทศ สารสนเทศ (Information) หมายถึง เรื่องราว ความรู้ ข้อมูลต่าง ๆ ท่ีได้ผ่าน การประมวลผลด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งและผสมผสานความรู้หรือหลักวิชาที่เกี่ยวข้องผลลัพธ์ ทีไ่ ด้สามารถนาไปใชป้ ระโยชน์ต่อผู้ทเี่ ก่ยี วข้องไดท้ ั้งในส่วนบคุ คล และสว่ นรวม เทคโนโลยีสารสนเทศ คือ วิธีการปฏิบัติท่ีมีการจัดลาดับอย่างมีรูปแบบและขั้นตอน เพื่อที่จะทาให้เกิดประสิทธิภาพในเร่ืองของความรวดเร็ว ความน่าเช่ือถือ ความถูกต้อง ซึ่งเป็น เทคโนโลยีท่ีมีการนาคอมพิวเตอร์ การส่ือสารโทรคมนาคม และเทคโนโลยีสาหรับการผลิตในโรงงาน อุตสาหกรรมมาทางานร่วมกัน เพ่ือให้เกิดการแลกเปล่ียนสารสนเทศโดยนาข้อมูลป้อนเข้าสู่เครื่อง คอมพิวเตอร์แลว้ ทาการประมวลผลเพ่ือให้ได้ผลลัพธต์ ามต้องการ เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง การนาเอาเทคโนโลยีมาใช้สร้างมูลค่าเพ่ิมให้กับ สารสนเทศ ทาให้สารสนเทศมีประโยชน์ และใช้งานได้กว้างขวางมากขึ้น เทคโนโลยีสารสนเทศ รวมไปถึงการใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ ท่ีจะรวบรวม จัดเก็บ ใช้งาน ส่งต่อ หรือส่ือสารระหว่างกัน เทคโนโลยีสารสนเทศเกี่ยวข้องโดยตรงกับเครื่องมือเครื่องใช้ในการจัดการสารสนเทศ ได้แก่ เครื่อง คอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์รอบข้าง ข้ันตอนวิธีการดาเนินการซึ่งเก่ียวข้องกับซอฟต์แวร์ เก่ียวข้องกับ ตัวข้อมูล เก่ียวข้องกับบุคลากร เก่ียวข้องกับกรรมวิธีการดาเนินงานเพื่อให้ข้อมูลเกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนแ้ี ล้วยังรวมไปถึง โทรทศั น์ วิทยุ โทรศพั ท์ โทรสาร หนังสือพิมพ์ นิตยสารต่าง ๆ ฯลฯ พิเชษฐ เพียรเจริญ (2538: 54 - 58). เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง เทคโนโลยี ที่เก่ียวกับระบบการทางานใด ๆ เพ่ือจัดทาสารสนเทศไว้ใช้งานซ่ึงประกอบด้วย เทคโนโลยี คอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีโทรคมนาคม และยังรวมถึงเทคโนโลยีอื่น ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับการนาข้อมูล ขา่ วสารทเี่ ป็นประโยชน์มาใช้ ครรชิต มาลยั วงศ์ (2540: 77) เทคโนโลยสี ารสนเทศ หมายถงึ เทคโนโลยีท่ีเก่ยี วข้องกับ การจัดเก็บ ประมวลผล และเผยแพร่สารสนเทศ ซ่ึงรวมๆแล้วก็คือ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และ เทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคม หรือ Computer and Communication หรือเรียกว่า C&C ถึงอย่างไรก็ตามมีแนวโน้มที่จะนับเทคโนโลยีอื่น ๆ ท่ีเป็นองค์ประกอบของ C&C และที่เกี่ยวเนื่อง เข้ามาเป็นเทคโนโลยีสารสนเทศด้วย เช่น เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์ เทคโนโลยีการพิมพ์ เทคโนโลยี สานักงานอตั โนมัติ โดยสรุป เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง การประยกุ ตใ์ ช้เครือ่ งมอื อปุ กรณต์ า่ ง ๆ ได้แก่ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์โทรคมนาคมต่าง ๆ เป็นเคร่ืองมือที่ช่วยเก็บ และประมวลข้อมูลให้เกิด สารสนเทศสาหรับผ้ใู ช้
15 ภาพที่ 1.3 เทคโนโลยีสารสนเทศ ทีม่ า :Dek-D, พ.ศ. 2560 [ออนไลน]์ , เขา้ ถึงไดจ้ าก https://writer.dek-d.com/ending00459/ story/view.php?id=1681160 3. องคป์ ระกอบของเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยสว่ นมากแลว้ เทคโนโลยีสารสนเทศจะประกอบด้วยองค์ประกอบหลัก ๆ 2 องคป์ ระกอบ ได้แก่ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ และ เทคโนโลยสี อื่ สารโทรคมนาคม ซึง่ จะขออธบิ าย แต่ละองคป์ ระกอบ ดงั น้ี 3.1 เทคโนโลยคี อมพิวเตอร์ เป็นเทคโนโลยีเพื่อจัดการสารสนเทศ ได้แก่ การเก็บข้อมูล การประมวลผล การเผยแพร่ต่าง ๆ รวมไปถึงการดูแลรักษาข้อมูล ดังนั้นจาเป็นต้องมีการจดั การสารสนเทศโดยอาศยั เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ ได้แก่ ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ในการรับข้อมูล การประมวลผล การแสดงผล และการจดั เก็บข้อมูล 3.1.1 ฮาร์ดแวร์ (Hardware) คือ อุปกรณ์ ช้ินส่วนต่าง ๆ ของคอมพิวเตอร์ รวมถึง ส่ือทใ่ี ช้ในการบนั ทึกขอ้ มูล ไดแ้ ก่ อุปกรณร์ บั ข้อมูล (Input Device) หนว่ ยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit) หน่วยความจาหลัก (Main Memory Unit) หน่วยเก็บข้อมูลสารอง (Secondary Storage) และอปุ กรณ์ทีแ่ สดงผล (Output Device) ก) อุปกรณ์รับข้อมูล (Input) ได้แก่ คีย์บอร์ด (keyboard) เมาส์ (mouse) จอภาพ (monitor) เคร่ืองสแกน (Scanner) เป็นต้น รวมทั้งอุปกรณ์สื่อสารสาหรับเชื่อมโยง คอมพวิ เตอร์เข้าเป็นเครือขา่ ย เช่น โมเดม็ (modem) และ สายสญั ญาณ
16 ภาพที่ 1.4 คยี ์บอรด์ (keyboard) ภาพที่ 1.5 เมาส์ (mouse) ข) หนว่ ยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit) หนว่ ยประมวลผลกลาง หรอื ซีพยี ูเรียกอกี ช่อื หน่ึงว่าโปรเซสเซอร์ (Processor) หรอื ชิป (chip) นับเปน็ อุปกรณท์ ่ีมคี วามสาคัญ มากที่สุดของฮาร์ดแวร์ เพราะมีหน้าที่ในการประมวลผลข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อนเข้ามาทางอุปกรณ์นาเข้า ข้อมลู ตามชดุ คาสั่งหรอื โปรแกรมทผ่ี ูใ้ ชต้ อ้ งการใช้งานหนว่ ยประมวลผลกลาง ภาพที่ 1.6 หนว่ ยประมวลผลกลาง (Central Processing Unit) ที่มา :มาณี คสุ ติ า, [ออนไลน์], เข้าถึงได้จาก http://www.wangchan.ac.th/teacher_issue/krumanee/pages/plan07.html
17 3.1.2 หนว่ ยความจาหลกั (Main Memory Unit) หรือเรยี กวา่ หนว่ ยความจา ภายใน (Internal Memory) สามารถแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ ก) รอม (Read Only Memory - ROM) เป็นหน่วยความจาทม่ี โี ปรแกรมหรือ ข้อมูลอยู่แล้วสามารถเรียกออกมาใช้งานได้แต่จะไม่สามารถเขียนเพิ่มเติมได้ และแม้ว่าจะไม่มี กระแสไฟฟ้าไปเลยี้ งให้แกร่ ะบบข้อมลู ก็ไมส่ ญู หายไป ภาพท่ี 1.7 รอม (Read Only Memory - ROM) ทม่ี า :โรงเรียนเลาขวัญราษฎรบ์ ารุง พ.ศ.2560 [ออนไลน์], เข้าถึงได้จาก https://sites.google.com/site/mintra1016il/neux-hab/hnwy-khwam-ca ข) แรม (Random Access Memory) เปน็ หนว่ ยความจาทส่ี ามารถเก็บข้อมลู ได้ เมอื่ มีกระแสไฟฟา้ หล่อเลี้ยงเท่านัน้ เมือ่ ใดไมม่ ีกระแสไฟฟ้ามาเลยี้ งข้อมูลที่อยู่ในหนว่ ยความจาชนิดนี้ จะหายไปทันที ภาพท่ี 1.8 แรม (Random Access Memory) ที่มา : โรงเรยี นเลาขวญั ราษฎรบ์ ารุง พ.ศ.2560 [ออนไลน์], เขา้ ถึงไดจ้ าก https://sites.google.com/site/mintra1016il/neux-hab/hnwy-khwam-ca
18 3.1.3 หนว่ ยเกบ็ ข้อมูลสารอง (Secondary Storage) หรอื หน่วยความจาภายนอก (External Memory) เป็นหน่วยความจาที่ต้องอาศัยสื่อบันทึกข้อมูลและอุปกรณ์รับ-ส่งข้อมูลชนิด ตา่ ง ๆ ไดแ้ ก่ ก) ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk) เป็นฮาร์ดแวร์ที่ทาหน้าท่ีเก็บข้อมูลในเครื่อง คอมพิวเตอร์ท้ังโปรแกรมใช้งานต่าง ๆ ไฟล์เอกสารรวมท้ังเป็นท่ีเก็บระบบปฏิบัติการท่ีเป็น โปรแกรมควบคมุ การทางานของเครอื่ งคอมพิวเตอร์ด้วย ภาพที่ 1.9 ฮารด์ ดสิ ก์ (Hard Disk) ที่มา :Embedded Computer, [ออนไลน]์ , เข้าถึงไดจ้ าก http://www.riverplus- ipc.com/storage.html ข) ฟล็อบปี้ดิสก์ (Floppy Disk) เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลท่ีมีขนาด 3.5 น้ิว มลี กั ษณะเป็นแผน่ กลมบางทาจากไมลาร์ (Mylar) สามารถบรรจุข้อมูลไดเ้ พยี ง 1.44 เมกะไบต์ เทา่ นั้น ภาพท่ี 1.10 ฟลอ็ บป้ีดสิ ก์ (Floppy Disk) ทม่ี า :foam 2540,พ.ศ.2556 [ออนไลน์],เขา้ ถึงได้จากhttps://foam2540.wordpress.com/ 2013/06/01/
19 ค) ซีดี (Compact Disk - CD) เป็นอุปกรณ์บันทึกข้อมูลแบบดิจิทัลเป็นส่ือที่มี ขนาดความจุสูงเหมาะสาหรับบันทึกข้อมูลแบบมัลติมีเดีย ซีดีรอมทามาจากแผ่นพลาสติกกลม บางท่ี เคลอื บด้วยสารโพลีคารบ์ อเนต (Poly Carbonate) ทาใหผ้ วิ หน้าเปน็ มันสะท้อนแสง โดยมกี ารบันทึก ข้อมูลเป็นสายเดียว (Single Track) มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 120 มิลลิเมตร ปัจจุบันมีซีดี อยูห่ ลายประเภท ไดแ้ ก่ ซดี เี พลง (Audio CD) วีซดี ี (Video CD - VCD) ซีด-ี อาร์ (CD Recordable - CD-R) ซีด-ี อารด์ บั บลวิ (CD-Rewritable - CD-RW) และ ดีวดี ี (Digital Video Disk - DVD) ภาพท่ี 1.11 ซีดี (Compact Disk - CD) ท่มี า :วรพชิ ชา ใจวงั พ.ศ.2557 [ออนไลน]์ , เขา้ ถึงไดจ้ าก http://beambnbn.blogspot.com/2014/09/cd-cd-dvd-2-cd-cd-compact-disk- phillips.html ง) การ์ดเมมโมรี (Memory Card) เปน็ อปุ กรณบ์ ันทึกข้อมูลทม่ี ีขนาดเลก็ พัฒนาขนึ้ เพ่อื นาไปใช้กบั อุปกรณเ์ ทคโนโลยแี บบต่าง ๆ เช่น กล้องดิจทิ ัล คอมพิวเตอร์มือถือ (Personal Data Assistant - PDA) โทรศัพท์มอื ถอื เปน็ ต้น ภาพที่ 1.12 การด์ เมมโมรี (Memory Card) ที่มา :Notebook SPEC, [ออนไลน]์ , เข้าถงึ ไดจ้ าก https://notebookspec.com/topics/ memory-card/
20 3.1.4 อุปกรณท์ แี่ สดงผล (Output Device) อปุ กรณท์ ่ีแสดงผลลพั ธโ์ ดยรบั ข้อมูล มาจากหน่วยประมวลแล้วนามาแสดงผลในอุปกรณ์ต่าง ๆ เมื่อได้ผลลัพธ์จากหน่วยประมวลผล จะแปลงผลลัพธ์จากสัญญาณไฟฟ้าของเครื่องคอมพิวเตอร์ให้กลายเป็นรูปแบบที่มนุษย์เข้าใจ เช่น รปู ภาพ ตวั อกั ษร ก) จอภาพ (Monitor) มีความสาคญั สาหรับการแสดงผลข้อมูลให้กบั ทางดา้ น สายตาไม่ว่าจะเป็นข้อมูลอะไรก็ตามที่เราสามารถที่จะดูได้ทางจอภาพไม่ว่าจะเป็นภาพ แสง สี ตวั หนังสือถอื ไดว้ า่ เปน็ อปุ กรณ์ในการแสดงผลหลัก ภาพที่ 1.13 จอภาพ (Monitor) ท่มี า : นพิ นธ์ บริเวธานันท์ ข) อปุ กรณฉ์ ายภาพ (Projector) เปน็ อุปกรณท์ ี่นยิ มใชใ้ นการเรียนการสอนหรือ การประชุมเน่ืองจากสามารถนาเสนอข้อมูลให้ผู้ชมจานวนมากเห็นพร้อม ๆ กันอุปกรณ์ฉายภาพ ในปัจจุบันจะมีอยู่หลายแบบท้ังท่ีสามารถต่อสัญญาณจากคอมพิวเตอร์โดยตรงหรือใช้อุปกรณ์พิเศษ ในการวางลงบนเครื่องฉายภาพข้ามศีรษะ (Overhead Projector) ธรรมดาเหมือนกับอุปกรณ์น้ัน เปน็ แผน่ ใสแผน่ หน่ึง ภาพท่ี 1.14 อุปกรณ์ฉายภาพ (Projector) ทม่ี า :EPSON [ออนไลน์], เขา้ ถงึ ได้จาก https://www.epson.co.th/
21 ค) อุปกรณ์เสียง (Audio Output) ข้อมูลที่เป็นแบบเสียงจะไม่สามารถแสดง ผลลัพธ์ไปยังจอภาพของคอมพิวเตอร์ได้แต่จะอาศัยอุปกรณ์แสดงผลเฉพาะที่เรียกว่าลาโพง (speaker) เพ่ือช่วยขับเสียงออก ปัจจุบันมีราคาถูกมากตั้งแต่ร้อยกว่าบาทจนถึงหลักพันนิยมใช้ สาหรับการแสดงผลในรูปของเสียงเพลงหรือเสียงประกอบในภาพยนตร์รวมถึงเสียงท่ีได้จากการพูด ผา่ นไมโครโฟน ภาพที่ 1.15 อุปกรณเ์ สยี ง (Audio Output) ท่มี า :CREATIVE [ออนไลน์], เข้าถงึ ไดจ้ าก https://us.creative.com/p/speakers/creative-t15- wireless 3.1.5 ซอฟตแ์ วร์ (Software) คอื โปรแกรมหรือชดุ ของคาสง่ั ทถ่ี ูกเขียนขึ้นเพ่ือส่ังให้ คอมพิวเตอร์ทางาน ซอฟต์แวร์น้ีจึงได้เหมือนตัวเชื่อมระหว่างผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์และเครื่อง คอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มีซอฟต์แวร์เราก็ไม่อาจใช้คอมพิวเตอร์ทาอะไรได้เลย ซอฟต์แวร์สาหรับเครื่อง คอมพิวเตอร์สามารถแบ่งออกได้ ดังนี้ ก) ซอฟต์แวร์ระบบ (system software) หมายถึงชดุ คาสั่งท่ีทาหน้าท่คี วบคุม การทางานของเคร่ืองคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ และทาหน้าท่ีเป็นตัวกลางระหว่างผู้ใช้ กบั คอมพวิ เตอร์ ซอฟตแ์ วร์ระบบแบง่ ออกเปน็ ระบบปฏิบัติการ (Operating System: OS) เป็นซอฟต์แวร์ท่ีทาหน้าท่ีควบคุม การทางานของอุปกรณ์และซอฟต์แวร์ทั้งหมดภายในคอมพิวเตอร์ ตัวอย่างระบบปฏิบัติการ เช่น วนิ โดวส์ (Windowns) ลนิ ุกซ์ (Linux) และแมคโอเอส (Mac OS)
22 ภาพท่ี 1.16 ระบบปฏบิ ตั ิการวินโดวส์ (Windows) ลนิ กุ ซ์ (Linux) และแมคโอเอส (Mac OS) ท่ีมา : Irada Dapan [ออนไลน]์ , เข้าถึงได้จาก http://irada2903.blogspot.com/2013_12_01_archive.html โปรแกรมอรรถประโยชน์ (Utilities Program) เป็นโปรแกรมทีช่ ่วยเสริมการ ทางานของคอมพิวเตอร์ หรือช่วยเสริมการทางานอ่นื ๆ ให้มีความสามารถใชง้ านไดส้ ะดวกและ รวดเรว็ ยงิ่ ขน้ึ ภาพท่ี 1.17 โปรแกรมอรรถประโยชน์ (Utilities Program) ท่มี า :กานตธ์ ดิ า รวมพล [ออนไลน]์ , เขา้ ถงึ ไดจ้ าก http://thn2470111unit2.blogspot.com/2016/07/blog-post_6.html โปรแกรมขับอุปกรณ์ หรือดีไวซ์ไดร์ฟเวอร์ (Device driver) เป็นโปรแกรมท่ีช่วยในการ ติดตง้ั ระบบเพ่ือใหค้ อมพวิ เตอร์สามารถติดต่อหรอื ใช่งานอปุ กรณต์ า่ ง ๆ
23 ภาพที่ 1.18 ดีไวซ์ไดร์ฟเวอร์ (Device driver) ท่มี า :Global Driver Support [ออนไลน]์ , เขา้ ถึงได้จาก http://cdn.ttgtmedia.com/rms/misc/TittelFAQ1.JPG โปรแกรมแปลภาษา เป็นโปรแกรมที่ทาหน้าที่แปลโปรแกรมท่ีเขียนขึ้นด้วยภาษา คอมพิวเตอร์ระดบั สูงให้เปน็ รหัสทอ่ี ยู่ในรปู แบบทเ่ี ครื่องคอมพวิ เตอรส์ ามารถทางานได้ ข) ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (application software) หมายถงึ ชดุ คาสัง่ ทเ่ี ขยี นขนึ้ เพ่ือให้เคร่อื งคอมพิวเตอร์ทางานตามวัตถปุ ระสงค์เฉพาะอยา่ ง ซอฟต์แวร์ประยุกต์อาจเขียนข้ึนโดยใช้ โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ เช่น เบสิก (Basic) ปาสคาล (Pascal) โคบอล (Cobol) ซี (C) ซีพลัส พลัส (C++) และจาวา (Java) ภาพท่ี 1.19 ตัวอย่างซอฟตแ์ วรป์ ระยกุ ต์ (application software) ท่ีมา : [ออนไลน์], เข้าถึงได้จาก https://3.imimg.com/data3/KT/RO/MY- 9678530/application-sofware-250x250.jpg ความร้เู บื้องต้นเก่ียวกับเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา ปัจจุบันเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีความเก่ียวข้องในชีวิตประจาวันเป็นจานวนมาก ซ่ึงไม่ว่าจะเป็นการใช้เทคโนโลยีข้อมูล เทคโนโลยีมัลติมีเดีย ประกอบด้วยภาพ เสียง เทคโนโลยี โทรคมนาคม และอ่ืน ๆ รวมไปถึงด้านการจัดการศึกษา เทคโนโลยีสารสนเทศก็เข้ามามีบทบาท
24 ในด้านการจัดการศึกษาโดยเฉพาะการประยุกต์เทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์และการส่ือสาร โทรคมนาคมทาให้มีบทบาทสาคญั ต่อการพฒั นาการศกึ ษา อาทิ 1. เทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีสว่ นชว่ ยในเรอื่ งการเรยี นรู้ ปัจจุบันมเี ครื่องมืออปุ กรณ์ ที่ช่วยสนับสนุนการเรียนรู้หลายอย่างมีระบบคอมพิวเตอร์ช่วยสอน ( CAI) ระบบมัลติมีเดีย (Multimedia) ระบบการประชมุ ทางไกล (Video Conference) อินเทอรเ์ นต็ (Internet) นอกจากน้ัน ยังมีระบบให้บริการด้านต่าง ๆ เช่น การสืบค้นหนังสือในห้องสมุดการยืม - คืนหนังสือ เป็นต้น ซงึ่ ระบบเหลา่ นีเ้ ปน็ ระบบสนับสนุนการรับรขู้ ่าวสาร และการคน้ หาข้อมลู ข่าวสารเพอ่ื การเรยี นรู้ ภาพท่ี 1.20 อินเทอรเ์ นต็ (Internet) ที่มา : [ออนไลน]์ , เข้าถึงไดจ้ าก https://oranit003.files.wordpress.com/2013/01/internetmean.jpg 2. เทคโนโลยสี ารสนเทศท่เี ข้ามาสนบั สนุนการจดั การศึกษา ในการจัดการศกึ ษา สมัยใหม่จาเป็นต้องอาศัยข้อมูลข่าวสารเพ่ือการวางแผน ดาเนินการ การติดตาม และประเมินผล ที่สาคัญได้แก่ การบริหารงานบัญชี งานพัสดุ ฯลฯ บทบาทสาคัญในการสนับสนุนการจัดการศึกษา เช่น ระบบสารสนเทศทะเบียนนักศึกษา ระบบสารสนเทศทรัพยากรบุคคล ระบบสารสนเทศการสอน เปน็ ตน้
25 ภาพที่ 1.21 ระบบสารสนเทศการสอน ที่มา : [ออนไลน]์ , เขา้ ถงึ ได้จาก https://earng17.files.wordpress.com/2015/03/4.jpg 3. เทคโนโลยีสารสนเทศเขา้ มาชว่ ยในการสือ่ สารระหวา่ งบคุ คล ในลกั ษณะเป็น เทคโนโลยีระบบเครือข่าย การใช้งานคอมพิวเตอร์ในองค์กรปัจจุบันมีแนวโน้มไปสู่ระบบเครือข่าย คือ จัดให้ผู้ใช้สามารถติดต่อ และแลกเปล่ียนข้อมูลระหว่างกันได้ ระบบเครือข่ายเป็นเครื่องมือ ที่จาเป็นสาหรับช่วยให้หน่วยงานติดต่อกันได้สะดวก ช่วยให้อาจารย์สามารถค้นคว้าหาข้อมูลได้อย่าง รวดเร็ว ในด้านการเรียนการสอนจาเป็นต้องอาศัยการสื่อสารระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน ผู้เรียน กับผู้เรียน ซ่ึงสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการเรียนการสอนและในการดาเนินงานในหลาย ดา้ นโดยอาศัยเทคโนโลยีการส่ือสารระหวา่ งบคุ คล เช่น การใชโ้ ทรศัพท์ การประชมุ ทางไกล ไปรษณีย์ อิเลก็ ทรอนิกส์ เปน็ ตน้ ภาพที่ 1.22 ไปรษณียอ์ เิ ล็กทรอนกิ ส์ ที่มา : [ออนไลน]์ , เขา้ ถึงไดจ้ าก https://sites.google.com/site/somchaythongyaem/kar- suksa-thang-kil-doy-rabb-pirsniy
26 4. เทคโนโลยีสารสนเทศเขา้ มาชว่ ยจัดการสานกั งานอตั โนมัติ (Office Automation : OA) ในหน่วยงานต่าง ๆ ล้วนใช้คอมพิวเตอร์ในการทางานซ่ึงเป็นจุดหนึ่งท่ีสามารถประยุกต์ใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดการสานักงานอัตโนมัติได้ เช่น การจัดแฟ้มระบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic File) การประชุมทางไกล (Teleconference) การนัดหมาย (Appointment and Scheduling) ภาพที่ 1.23 สานักงานอตั โนมัติ (Office Automation : OA) ท่ีมา : [ออนไลน์], เขา้ ถงึ ไดจ้ าก ทีม่ า : http://blog.vzmart.com/ระบบสานกั งานอัตโนมตั ิ-office- automation-system-oas/ ในส่วนของการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้กับการศึกษาปัจจยั สาคัญคือ การนาอุปกรณ์ ส่ือสารท่ีทันสมัยเข้ามาใช้ในการอานวยความสะดวกหรือจัดสภาพแวดล้อมทางการศึกษาให้มีความ คล่องตวั ในการทางานมากขึ้น สรุป นวัตกรรม หมายถึง ส่ิงใหม่ การกระทาใหม่ หรือการนาสิ่งเก่ามากระทาใหม่โดยผ่าน กระบวนการวิจัยแล้วว่าสามารถนามาใช้ในการทางานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเมื่อนวัตกรรมถูก นาไปใช้อย่างแพร่หลาย นวัตกรรมนั้น ๆ ก็จะกลายเป็นเทคโนโลยีจนกว่าเทคโนโลยีจะได้รับการ พฒั นา ปรบั ปรงุ เพือ่ ใหเ้ กดิ ประสทิ ธิภาพมากขึ้น เทคโนโลยนี ัน้ กจ็ ะกลับกลายมาเป็นนวัตกรรมอีกครัง้ นวตั กรรมการศกึ ษาหมายถึง การกระทา สิง่ ประดิษฐ์ หรือส่งิ ใหมๆ่ ต่าง ๆ ท่นี ามาใชใ้ นการ จัดการศึกษาเพื่อให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพดีย่ิงขึ้น ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิผลสูงกว่าเดิม โดยมีแนวคิดพ้ืนฐาน 4 ประการประกอบด้วย แนวความคิดพื้นฐานในเรื่อง ความแตกต่างระหว่างบุคคล (Individual different) แนวความคิดพ้ืนฐานในเรื่องความพร้อม (Readiness) แนวความคดิ พ้ืนฐานในเร่ืองการใช้เวลาเพ่ือการศึกษา และแนวความคดิ พื้นฐานในเรื่อง
27 การขยายตัวทางวิชาการและอัตราการเพิ่มประชากร นอกจากนี้ยังสามารถแบ่งประเภท ของนวัตกรรมการศึกษาออกได้เป็น 5 ประเภท ได้แก่ นวัตกรรมด้านสื่อการสอน นวัตกรรมด้าน วิธีการจัดการเรียนการสอน นวัตกรรมทางด้านหลักสูตร นวัตกรรมด้านการวัดและการประเมินผล และนวตั กรรมด้านการบริหารจัดการ เทคโนโลยสี ารสนเทศ หมายถงึ การนาเอาเทคโนโลยีมาใชส้ ร้างมูลค่าเพิ่มให้กบั สารสนเทศ ทาให้สารสนเทศมีประโยชน์ และใช้งานได้กว้างขวางมากขึ้น เทคโนโลยีสารสนเทศเก่ียวข้องโดยตรง กับเคร่ืองมือเคร่ืองใช้ในการจัดการ สารสนเทศ ซ่ึงได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ และอุปกรณ์รอบข้าง ขั้นตอนวิธีการดาเนินการซ่ึงเก่ียวข้องกับซอฟต์แวร์ เก่ียวข้องกับตัวข้อมูล เก่ียวข้องกับบุคลากร เก่ียวข้องกับกรรมวิธีการดาเนินงานเพื่อให้ข้อมูลเกิดประโยชน์สูงสุด นอกจากนี้แล้วยังรวมไปถึง โทรทัศน์ วทิ ยุ โทรศพั ท์ โทรสาร หนังสอื พมิ พ์ นิตยสารต่าง ๆ เป็นต้น เทคโนโลยสี ารสนเทศแบ่งออก ได้เปน็ 2 องค์ประกอบ ได้แก่ เทคโนโลยคี อมพิวเตอร์ และเทคโนโลยสี ่ือสารโทรคมนาคม แบบฝึกหดั ท้ายบท 1. ให้นักศึกษาอธบิ ายแนวคิดของนวตั กรรมมาพอสงั เขป 2. กระบวนการเกิดนวตั กรรมแบ่งออกไดเ้ ป็นก่ีระยะ อะไรบา้ ง 3. องคป์ ระกอบท่ีสาคัญต่อการเกดิ นวัตกรรมการศึกษามีอะไรบ้าง จงอธิบาย 4. ใหน้ ักศึกษาอธิบายถึงปัจจยั ท่ีสง่ ผลตอ่ การยอมรบั นวตั กรรมว่ามีอะไรบ้าง 5. นวตั กรรมการศึกษาแบ่งได้เป็นกป่ี ระเภท อะไรบ้าง 6. จงอธิบายความหมายของ เทคโนโลยี 7. จงอธบิ ายความหมายของ เทคโนโลยีสารสนเทศ 8. โปรแกรมหรือชุดของคาสั่งทถี่ ูกเขยี นข้นึ เพื่อสงั่ ให้คอมพวิ เตอร์ทางานแบง่ ออกได้ กีร่ ะบบ อะไรบ้าง 9. เทคโนโลยสี ารสนเทศก็เข้ามามีบทบาทในด้านการจดั การศึกษามากมาย ใหน้ ักศึกษา ยกตัวอย่างเทคโนโลยสี ารสนเทศที่เขา้ มามีบทบาทดา้ นการจัดการศกึ ษา 2 หวั ข้อ พรอ้ มอธบิ าย 10. ใหน้ กั ศึกษายกตวั อย่างเทคโนโลยคี อมพิวเตอร์ ด้านฮารด์ แวรแ์ ละซอฟต์แวร์มาดา้ นละ 3 ตัวอย่างพร้อมอธิบายรายละเอยี ด
28 เอกสารอ้างอิง กิดานันท์ มลิทอง. (2540). เทคโนโลยีการศึกษาและนวัตกรรม. พิมพ์ครง้ั ที่ 2. กรงุ เทพฯ: ชวนพิมพ์. ครรชิต มาลัยวงศ์. (2540). ทัศนะไอท.ี กรงุ เทพฯ: บรษิ ัท ซเี อ็ดยูเคชัน่ จากัด. ความหมาย ความสาคญั องค์ประกอบและประเภทของนวัตกรรมการศึกษา. (2559) [ออนไลน]์ เขา้ ถงึ ไดจ้ าก: https://thanetsupong.wordpress.com/ความหมาย-ความสาคญั - องคป์ ระกอบ/ (2559, 3 พฤศจกิ ายน) ฉตั รชยั บุษบงคแ์ ละคณะ. (2557). เอกสารประกอบการเรียนรายวชิ านวัตกรรมและเทคโนโลยี สารสนเทศทางการศกึ ษา. หลักสตู รศึกษาศาสตร์บัณฑิต คณะครุศาสตร์ มหาวทิ ยาลัย ราชภัฏสวนดสุ ติ ชยั ยงค์ พรหมวงศ์. (2523). กระบวนสนั นเิ วทนาการและระบบส่ือการสอน. เอกสารการสอน ชุดวชิ าเทคโนโลยีและสอ่ื สารการศึกษา หน้า 1-125. กรงุ เทพฯ: โรงพิมพส์ หมติ ร ไชยยศ เรอื งสุวรรณ. (2521). หลกั การทฤษฎีเทคโนโลยแี ละนวกรรมทางการศึกษา.กาฬสนิ ธ:์ุ ประสานการพมิ พ. จมุ พจน์ วนชิ กุล และ สาโรจน์ เผา่ วงศากุล. (2560). เอกสารการสอนการจัดการนวัตกรรมและ สารสนเทศ [ออนไลน์], เข้าถึงไดจ้ าก: http://www.wachum.org/eBook/811201/ doc3-2.html (2560, 1 เมษายน) เทคโนโลยีทางการศึกษา (2559) [ออนไลน]์ , เข้าถึงไดจ้ าก http://sites.google.com/site/wimaik 103/263601/thekhnoloyi-kar-suksa (2559, 3 พฤศจกิ ายน) นวตั กรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา (2559) [ออนไลน]์ , เข้าถงึ ได้จาก http://eduandtechno.blogspot.com/ (2559, 3 พฤศจิกายน) นวัตกรรมทางการศึกษาที่สาคัญของไทย (2559). [ออนไลน]์ , เขา้ ถึงไดจ้ าก http://oknation.nationtv.tv/blog/Apinya0936/2013/12/24/entry-3 (2559, 3 พฤศจิกายน) นวตั กรรมและเทคโนโลยที างการศึกษา (2559). [ออนไลน]์ , เขา้ ถึงได้จาก http://eduandtechno.blogspot.com/ (2559, 3 พฤศจิกายน) เปรือ่ ง กุมุท. (2519). การวิจยั สอ่ื และนวกรรมการสอน. กรุงเทพฯ: มหาวทิ ยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ ประสานมิตร พิเชษฐ เพียรเจรญิ . (2538). เทคโนโลยีสารสนเทศ. วทิ ยบรกิ าร 6(3): กนั ยายน – ธนั วาคม 54-58.
29 มนสชิ สิทธิสมบรู ณ.์ (2557). การพัฒนานวตั กรรมการศกึ ษา. วิทยาจารย์ 113(12): ตลุ าคม 2557 หนา้ 26 - 29 วสนั ต์ อติศพั ท.์ (2523). ประวตั ินวกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษาในประเทศไทย. กรงุ เทพฯ: จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั สมนึก เอ้ือจิระพงษ์พันธแ์ ละคณะ. (2553). นวัตกรรม: ความหมาย ประเภท ความสาคัญตอ่ การ เปน็ ผปู้ ระกอบการ: วารสารบรหิ ารธุรกจิ มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร.์ ปีท่ี 33 ฉบบั ที่ 128 ตุลาคม-ธนั วาคม 2553, 52 สมบรู ณ์ สงวนญาต.ิ (2534). เทคโนโลยที างการเรยี นการสอน. กรุงเทพฯ: ภาคพฒั นาตารา และเอกสารทางวชิ าการ หน่วยศกึ ษานเิ ทศ กรมการฝึกหัดครู สานกั งานนวตั กรรมแหง่ ชาติ. (2549). สุดยอดนวัตกรรมไทย สานักงานนวัตกรรม แหง่ ชาติ กรุงเทพฯ: กระทรวงวทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี สคุ นธ์ สนิ ธพานนท.์ (2553). นวตั กรรมการเรยี นการสอนเพือ่ พัฒนาคุณภาพของเยาวชน. กรุงเทพฯ: ศูนย์หนงั สือจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย เอกวทิ ย์ แก้วประดิษฐ.์ (2545). เทคโนโลยกี ารศึกษา: หลกั การและแนวคิดสูป่ ฏบิ ตั .ิ การผลติ เอกสารและตารา กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลยั ทกั ษิณ Good, Carter V. (1973) Dictionary of Education 3rd ed. New York: McGraw-Hill, Heinich, Robert and others. (1996:443). Instructional Media and Technologies for Learning. 5th ed. New Jersey : Prentice Hakk.
30 แผนบรหิ ารการสอนประจาบทที่ 2 เรอ่ื ง แหลง่ เรยี นรู้และเครือข่ายการเรยี นรู้ เนื้อหา 1. แหลง่ เรียนรู้ (Resources) 2. ความสาคัญและความจาเป็นของแหล่งการเรียนรู้ 3. เครือข่ายการเรียนรู้ (Learning Network) 4. ความหมาย แนวทางการสรา้ งเครือขา่ ยการเรยี นรู้ 5. สรุป วตั ถปุ ระสงคเ์ ชงิ พฤติกรรม เมื่อศึกษาบทเรยี นนี้แลว้ นกั ศึกษาสามารถ 1. อธบิ ายความหมายของแหล่งการเรียนรู้ได้ 2. อธบิ ายความสาคัญและความจาเปน็ ของแหล่งการเรยี นรู้ได้ 3. อธบิ ายถงึ ประเภทของแหล่งการเรยี นรู้ได้ 4. อธิบายความหมายของเครือขา่ ยการเรยี นรไู้ ด้ 5. อธบิ ายแนวทางการสร้างเครอื ข่ายการเรียนรู้ได้ วิธีสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนประจาบท 1. นกั ศกึ ษาศึกษาเอกสารประกอบการสอนเรื่อง แหลง่ เรยี นรแู้ ละเครือขา่ ยการเรยี นรู้ 2. อาจารย์ใช้เทคนิคการสอนแบบบรรยายเนอ้ื หาประกอบการปฏบิ ตั กิ าร 3. นกั ศึกษารว่ มอภปิ รายและซักถาม 4. นักศึกษาทาแบบฝกึ หดั ท้ายบท สอ่ื การเรยี นการสอน 1. เอกสารประกอบการสอนวิชานวตั กรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษาบทท่ี 2 เร่อื ง แหลง่ เรยี นร้แู ละเครือขา่ ยการเรียนรู้ 2. เว็บไซต์ทเ่ี กีย่ วข้องกบั แหล่งเรยี นรู้และเครือข่ายการเรียนรู้ 3. PowerPoint ประกอบการบรรยายเร่อื ง แหลง่ เรยี นรูแ้ ละเครอื ข่ายการเรยี นรู้
31 การวดั ผลและประเมนิ ผล 1. สังเกตการมีสว่ นรว่ มของผู้เรยี น การอภิปราย และการตอบคาถาม 2. ตรวจสอบความถกู ต้องของแบบฝกึ หดั ทา้ ยบท 3. การเข้าชัน้ เรียน
32 บทที่ 2 แหลง่ เรียนรู้และเครือข่ายการเรยี นรู้ การจัดการเรียนการสอนนอกจากผู้สอนจะจัดกิจกรรมการเรียนการสอนในชั้นเรียน และ ผู้เรียนเกิดการเรียนรูใ้ นช้นั เรียนแล้ว การเรียนรู้นอกชั้นเรยี นถือเปน็ การเรียนการสอนอีกรปู แบบหนงึ่ ท่ีเรียกได้ว่าเป็นการเรียนรู้ตลอดชีวิต พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 25 กล่าวถึงแหล่งการเรียนรู้ไว้ว่า รัฐต้องส่งเสริมการดาเนินงานและจัดตั้งแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต ทุกรูปแบบ ได้แก่ หอ้ งสมุดประชาชน พพิ ธิ ภณั ฑ์ หอศลิ ป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์การกีฬาและนันทนาการ แหล่งข้อมูลและแหล่งการเรียนรู้ อ่ืนอย่างพอเพียง และมีประสิทธิภาพ นอกจากการจัดการเรียนการสอนภาในชั้นเรียนแล้ว ผู้สอน จาเป็นต้องสอนให้ผู้เรียนเกิดการแสวงหาความรู้จากแหล่งต่าง ๆ ซึ่งน่ันคือ “แหล่งเรียนรู้และ เครอื ข่ายการเรียนรู้” ในการเรียนการสอน แหลง่ เรียนรู้ 1. ความหมายของแหลง่ เรยี นรู้ กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2544: 144) ได้ให้ความหมายของแหล่งเรียนรู้ หมายถึง แหล่งข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศ และประสบการณ์ท่ีสนับสนุนให้ผู้เรียนใฝ่เรียนรู้ แสวงหา ความรู้ และเรยี นรูไ้ ดด้ ว้ ยตนเองตามอัธยาศัยอยา่ งกวา้ งขวางและต่อเน่ือง เพ่อื เสริมสรา้ งใหผ้ ู้เรยี นเกิด กระบวนการเรยี นรู้ และเป็นบคุ คลแห่งการเรียนรู้ สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2547: ) ให้ความหมายของแหล่งเรียนรู้หรือ แหล่งวิทยาการว่า หมายถึง บุคคล สถานท่ี ธรรมชาติ หน่วยงานองค์การ สถานประกอบการ ชุมชน และอ่ืน ๆ ที่มีท้ังในห้องเรียน นอกห้องเรียน ท้ังที่เป็นธรรมชาติและมนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งจะเป็น แหลง่ เรียนรใู้ หแ้ ก่ผเู้ รียน ผู้สอน ผสู้ นใจสามารถศกึ ษาค้นควา้ หาความรูไ้ ด้ สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2548: ) ได้สรุปความหมายของแหล่งเรียนรู้ หมายถึง ส่ิงท่ีมีอยู่ในสังคมรอบตัวเราท้ังส่ิงมีชีวิตและส่ิงไม่มีชีวิต เป็นส่ิงท่ีมีอยู่ในธรรมชาติและมนุษย์สร้างขึ้น เป็นแหล่งความรทู้ ่ีทาให้คนในสังคมเกดิ การเรยี นรู้ และเกิดประสบการณใ์ นการเรยี นรู้อย่างตอ่ เน่ือง ดาริ บุญชู (2548: 27) กล่าวว่า แหล่งเรียนรู้หมายถึง แหล่งข้อมูลข่าวสาร ความรู้และ ประสบการณ์ท้ังหลายท่สี ามารถทาให้ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้ไดด้ ว้ ยตนเอง จากการไดค้ ิดเอง ปฏบิ ัติเอง และสร้างความรู้ด้วยตนเองตามอัธยาศัยและต่อเนื่อง จนเกิดกระบวนการเรียนรู้และสุดท้ายก็จะเป็น บุคคลแห่งการเรยี นรู้
33 แจ่มจันทร์ นิลพันธ์ุ (2550: 99) กล่าวว่า แหล่งเรียนรู้ หมายถึง แหล่งท่ีเป็นที่รวมของ ข้อมูลข่าวสาร ความรู้ ประสบการณ์ เทคโนโลยีและสารสนเทศ สาหรับผู้เรียน และผู้สนใจใช้ใน การแสวงหาความรอู้ าจจะมอี ยูต่ ามธรรมชาติหรอื มนษุ ย์สรา้ งขึ้นกไ็ ด้ จากความหมายต่าง ๆ สรุปได้ว่าแหล่งเรียนรู้ หมายถึง แหล่งต่าง ๆ ท่ีมีข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ ประสบการณ์ รวมถึงบุคคล สิ่งของ สถานท่ี สารสนเทศและเทคโนโลยีสาหรับใช้ใน การแสวงหาความรู้ และส่ิงประดิษฐ์ต่าง ๆ ที่สามารถให้ความรู้ได้ทุกท่ี ทุกเวลาและเช่ือมโยงความรู้ เปน็ องค์ความรู้และประสบการณใ์ หมใ่ หแ้ ก่บุคคลทุกระดบั ทกุ เพศและทุกวยั ที่สนใจจะเรยี นรู้ 2. ความสาคญั และความจาเปน็ ของแหลง่ การเรียนรู้ ดิเรก พรสีมา (2543: 76) กล่าวถึงความสาคัญของแหล่งเรียนรู้ว่า เป็นแหล่งความรู้ท่ี นักเรียนสามารถไปค้นคว้าหาความรู้ได้ท้ังในเวลาก่อนและหลังเลิกเรียนและในวันหยุดราชการ และ ยงั เน้นแหลง่ เรยี นร้ทู น่ี กั เรยี นจากหลายชุมชนมาใช้ร่วมกันได้ สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2547: 199) กล่าวถึงความสาคัญของแหล่งเรียนรู้ ว่าเป็นแหล่งวิทยาการสาหรับนักเรียนได้ฝึกสืบค้นข้อมูล ฝึกทักษะการสังเกต ฝึกคิด ฝึกพัฒนาการ ช่วยให้ผู้เรียนเห็นคุณค่าของความงาม ความสุนทรียและก่อให้เกิดความสามารถทางการเรียนรู้แบบ องค์รวมท้ังด้านความรู้ ความคิด ทักษะ กระบวนการ และคุณลักษณะนิสัยซึมซับส่ิงท่ีดีงามจากภูมิ ปญั ญาหล่อหลอมจติ ใจเกดิ ความรกั ความศรัทธา และหวงแหนทรัพยากรของประเทศชาติ ครรชิต พทุ ธโกษา (2554: 2) กล่าวถึงความสาคญั ของแหล่งเรียนรู้ในชุมชนว่าไมไ่ ด้มี เฉพาะตอ่ สมาชกิ ในชุมชนเท่านน้ั แต่ยงั รวมถงึ บุคคลทวั่ ไป และผู้ท่ศี กึ ษาอยู่ในสถาบันการศกึ ษาได้ใช้ ประโยชน์จากแหลง่ เรียนรเู้ พื่อดาเนินกิจกรรมต่าง ๆ ทก่ี ่อให้เกิดการเรียนรูร่ ว่ มกนั และก่อให้เกิด การจารึกข้อมลู ชุมชนท่เี ปน็ ระบบด้วย เช่น 1. ใชเ้ ป็นแหล่งคน้ คว้าหาความรูเ้ พม่ิ เตมิ ท้ังท่ีมีในตาราเรยี นและท่ีไม่มใี นตาราเรยี น 2. ใช้เปน็ สถานทีใ่ นการจัดการเรยี นการสอน การฝกึ อบรม 3. ใชเ้ ป็นสถานที่พบปะ แลกเปลย่ี นความรู้ ประสบการณ์ ความคิดเห็น 4. ใชเ้ ป็นแหลง่ สถานทีศ่ กึ ษาดูงาน ฝึกฝนอาชีพ 5. ใช้เป็นส่ือเรียนรู้ สื่อประกอบการเรียนการสอนที่มีมิติ มีชีวิต เช่น จิตรกรรมฝาผนัง ร่องรอยประวตั ิศาสตร์ นิเวศวทิ ยา สัตว์ต่าง ๆ ที่มีอยูใ่ นชุมชน (แมลง นก ปลา ฯลฯ) เป็นตน้ 6. ใช้เป็นสถานท่ีถ่ายทอดความรู้ ข้อมูล ข่าวสารท่ัวไป รวมท้ังเป็นสถานท่ีประชาสัมพันธ์ เผยแพร่หรอื แจง้ ข้อมูลท่ตี ้องการสือ่ ไปถึงคนในชมุ ชน 7. ใช้เป็นศูนย์กลางในการรวบรวมหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม โบราณสถาน โบราณวตั ถุ ฯลฯ ไมใ่ หล้ บเลือนสาหรับสืบต่อไปยงั ชนรุน่ หลัง
34 8. ใชเ้ ป็นศนู ย์กลางในการดาเนินกจิ กรรมอ่นื ๆ อาทิ เป็นศูนยจ์ ัดจาหน่ายผลิตภัณฑ์ชุมชน เป็นจุดรวบรวมผลผลิต พื้นท่ีรวมกล่มุ ทากจิ กรรมของแมบ่ ้าน ฯลฯ สุรศักดิ์ ปาเฮ (2557: ออนไลน์) ได้กล่าวถึงความสาคัญของแหล่งการเรียนรู้ว่ามีความ สาคัญในกระบวนการจัดการเรียนรู้สาหรับผู้เรียน เพราะผู้เรียนสามารถเรียนรู้จากสภาพจริง การจัด การเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้จะเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานท่ี ธรรมชาติ หน่วยงาน องค์กร สถาน ประกอบการ ชุมชนและส่ิงแวดลอ้ มอ่ืน ๆ ซ่ึงผู้เรียน ผู้สอน สามารถศึกษาค้นคว้าหาความรู้หรอื เร่ือง ที่สนใจศึกษาได้จากแหล่งเรียนรู้ท้ังที่เป็นธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างข้ึน ชุมชนและธรรมชาติเป็น ขมุ ทรัพยม์ หาศาลที่เราสามารถคน้ พบความรู้ได้ไมร่ ูจ้ บทาใหผ้ ูเ้ รยี นเกิดการเรยี นร้แู ละสรา้ งองค์ความรู้ ได้ด้วยตนเอง และสรุปความสาคัญของการใช้แหล่งการเรียนรู้ในการจัดการเรียนการสอนไว้ ดงั ตอ่ ไปนี้ 1. เปน็ แหลง่ ท่ีรวมขององคค์ วามรูอ้ นั หลากหลายพรอ้ มทจี่ ะให้ผ้เู รยี นเขา้ ไปศกึ ษาคน้ คว้า ด้วยกระบวน การจดั การเรียนรู้ทีแ่ ตกต่างกันของแต่ละบุคคล และเปน็ การสง่ เสริมการเรยี นรู้ตลอด ชีวติ 2. เป็นแหล่งเชื่อมโยงให้สถานศึกษา และชุมชนมีความสัมพันธ์และใกล้ชิดกัน ทาให้คน ในชุมชนมสี ว่ นร่วมในการจดั การศึกษาแกบ่ ุตรหลานของตน 3. เป็นแหล่งเรียนรู้ท่ีทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุข เกิดความสนุกสนาน และ มีความสนใจทจี่ ะเรยี นไม่เกดิ ความเบ่ือหน่าย 4. ทาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการท่ีได้คิดได้ปฏิบัติเอง และสร้างความรู้ด้วยตนเอง ขณะเดียวกนั ก็สามารถเขา้ รว่ มกจิ กรรมและทางานร่วมกบั ผู้อืน่ ได้ 5. ทาให้ผู้เรียนได้รับการปลูกฝังให้รู้ และรักท้องถ่ินของตนเอง มองเห็นคุณค่า และ ตระหนักถงึ ปัญหาในชุมชนของตน พร้อมทจี่ ะเปน็ สมาชกิ ทดี่ ีของชมุ ชนท้ังในปจั จบุ นั และอนาคต จากความสาคัญของแหล่งเรียนรู้ดังกล่าว ทาให้สรุปความสาคัญของแหล่งเรียนรู้ได้ว่าเป็น แหล่งให้ความรู้ที่แต่ละบุคคลต้องการแสวงหา สามารถหาความรู้ได้ด้วยตนเองจากแหล่งเรียนรู้ ต้นกาเนดิ เฉพาะดา้ น และสามารถเชื่อมโยงความรู้ไปสู่ความรู้อื่นได้อย่างหลากหลาย เปน็ การส่งเสริม ใหเ้ กิดเรียนร้ทู ้ังในระบบ และนอกระบบตลอดชีวิต 3. ประเภทของของแหลง่ เรียนรู้ จากความหมายของคาว่าแหล่งเรียนรู้ที่มีความหมายครอบคลุมกว้างขวางมาก มีตั้งแต่ ส่ิงใกล้ตัว สิ่งไกลตัว ส่ิงท่ีเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ และส่ิงท่ีมนุษย์สร้างขึ้นรวมถึงตัวบุคคล ดังนั้นจึง มีผู้รู้ และหน่วยงานทางการศึกษาได้ให้แนวคิดต่าง ๆ ไว้มากมาย เพ่ือวัตถุประสงค์ของการจาแนก ประเภทของแหล่งเรียนรูใ้ หเ้ ป็นกลมุ่ เป็นระเบยี บ เพ่อื สะดวกต่อการเรยี กชื่อและใช้ประโยชน์ ดงั น้ี
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187