Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore รักแท้และคู่บารมีของพระพุทธเจ้า

รักแท้และคู่บารมีของพระพุทธเจ้า

Published by Thalanglibrary, 2020-12-20 03:13:46

Description: คนจำนวนมากฝันถึงรักแท้ คนจำนวนมากพูดถึงรักแท้ อ้างอิงว่าฉันมีรักแท้ แต่ถ้าให้คนเหล่านั้นมานิยามรักแท้ว่าคืออะไร คงไม่มีนิยามไหนเหมือนกันเลย
ลองมาดูนิยามรักแท้จากพระไตรปิฎกที่เขียนถึงตำนานรักที่ยาวนานที่สุดเท่าที่มนุษย์จะสามารถเข้าถึงและรับรู้ได้ และศึกษาว่ารักแท้ของเราแต่ละคน กับรักแท้แบบพระพุทธเจ้าและคู่บารมีของท่านเหมือนหรือต่างกันตรงไหน อย่างไร เราอาจพบว่า ความรักมีค่ามากกว่าที่เราเคยคิดได้อีกหลายเท่า

เรียบเรียงและเขียน: ณัฎฐ์ณัณญา จิณณนันท์ธัมมา, พัฒน์ สดาวงศ์วิวัฒน์
อำนวยการผลิตและออกแบบ: กวิน ฉัตรานนท์
พิสูจน์อักษร: บุณฑริกา สุวรรณวิบูลย์,ดุจฤดี อภิวงศ์

Search

Read the Text Version

รกั แท้และคู่บารมีของพระพุทธเจ้า คุณคา่ ของรักแทอ้ ยู่ทไ่ี หน จดุ หมายปลายทางของความรกั อยูท่ ่ใี ด

รักแท้และค่บู ารมีของพระพุทธเจ้า ISBN 978-616-335-958-2 พมิ พค์ ร้ังท ่ี ๑ ตลุ าคม ๒๕๕๖ จ�ำ นวนพมิ พ์ ๔๕,๐๐๐ เล่ม พิมพ์ท่ี บรษิ ทั ยไู นเต็ดโปรดักชนั่ เพรส จ�ำ กดั ๒๘๕ หมู่ ๑๓ ซอยเพชรเกษม ๙๓ ถนนแพชรเกษม อ้อมนอ้ ย กระทมุ่ แบน สมุทรสาคร ๗๔๑๓๐ เรยี บเรยี งและเขยี น: ณัฎฐณ์ ัณญา จณิ ณนันทธ์ ัมมา พฒั น์ สดาวงศ์วิวฒั น์ อำ�นวยการผลติ และออกแบบ: กวนิ ฉัตรานนท์ พิสจู น์อักษร: บุณฑริกา สุวรรณวิบลู ย์ ดจุ ฤดี อภิวงศ์ สงวนลิขสิทธิ์ จดั พมิ พเ์ พ่อื เผยแผเ่ ป็นธรรมทาน หา้ มจำ�หน่าย http://www.sangtean.com http://bit.ly.sangtean Dhammaintrend รว่ มเผยแพรแ่ ละแบง่ ปันเป็ นธรรมทาน

ค�ำ ถามทม่ี กั จะไดย้ นิ คนสงสยั กนั คอื พระพทุ ธเจา้ เมอ่ื ครง้ั เปน็ พระเวสสนั ดรบรจิ าคลกู บรจิ าคบรวิ ารไม่ บ่ าปหรอื จะบาปไดอ้ ยา่ งไรในเมอ่ื จติ ทา่ นตอนปรารถนาจะบรจิ าคไมเ่ จอื ดว้ ยอกศุ ล หรอื อตั ตาเอาเขา้ ตวั แตเ่ ปน็ ไปเพอ่ื สละ เมตตาแผอ่ อกกวา้ ง ไมม่ ปี ระมาณเพอ่ื บ�ำ เพญ็ บารมใี หเ้ กดิ ประโยชนส์ งู สดุ ตอ่ สตั วโ์ ลก เทียบแล้ว ถ้าเราพยายามปกป้องลูกของเรา คนรักของเรา เชน่ มคี นมาดา่ กด็ า่ ตอบ ดว้ ยเจตนาปกปอ้ งคน “ของฉนั ” ดว้ ยกเิ ลส ความโกรธ อตั ตา ลกั ษณะใจเชน่ นน้ั ยงั แคบกวา่ ยงั จะบาปกวา่ เสยี อกี คนจ�ำ นวนมากฝนั ถงึ รกั แท้ คนจ�ำ นวนมากพดู ถงึ รกั แท้ อา้ งองิ วา่ ฉนั มรี กั แท้ แตถ่ า้ ใหค้ นเหลา่ นน้ั มานยิ ามรกั แทว้ า่ คอื อะไร คงไมม่ ี นยิ ามไหนเหมอื นกนั เลย ลองมาดูนิยามรักแท้จากพระไตรปิฎกท่ีเขียนถึงตำ�นานรักท่ี ยาวนานท่ีสุดเท่าท่ีมนุษย์จะสามารถเข้าถึงและรับรู้ได้ และศึกษาว่า รกั แทข้ องเราแตล่ ะคน กบั รกั แทแ้ บบพระพทุ ธเจา้ และคบู่ ารมขี องทา่ น เหมอื น หรอื ตา่ งกนั ตรงไหน อยา่ งไร เราอาจพบวา่ ความรกั มคี า่ มากกวา่ ทเ่ี ราเคยคดิ ไดอ้ กี หลายเทา่

สารบญั คำ�นำ� ๖ ๑ เรอื่ งราวความรกั ของพระพุทธเจ้า ๙ ๑๐ จดุ เรม่ิ ต้นของความรกั แท ้ ๑๑ สเุ มธดาบสและสุมิตตาพราหมณี ๑๙ (ปฐมจติ อธิษฐาน ปฐมเหตรุ กั แทจ้ ากศรทั ธาที่หวั ใจ) ๒๑ ๓๖ การเก้ือกูลกนั ด้วยรัก ๔๐ พระเจา้ กสุ ราชและเจา้ หญิงประภาวดี ๔๔ (อปุ สรรคความรกั เม่ือครงั้ จติ ไม่เทีย่ งแท้แน่นอน) ๔๘ โพธิดาบสและโพธปิ ริพาชิกา ๕๑ (ปัญญาชนะความโกรธ) ๕๕ อุทยั ภทั รและอทุ ัยภัทรา ๖๘ (สัญญาจะเก้ือกูล) บุตรพราหมณ์และสัมมิลลหาสนิ กี มุ ารี (รักแท้ไม่ทอดทง้ิ แต่ไมอ่ าลัย) พระเจ้าสตุ โสมและจนั ทาเทวี (รกั แท้ รักธรรม) จันทกินนรและจันทกินรี (รกั แทไ้ ม่ตายตามตวั ) พระเวสสันดรและพระนางมทั รี (รักแทผ้ ู้ยอมเสียสละทุกสิง่ ) เจา้ ชายสิทธตั ถะและพระนางยโสธรา (นางแกว้ คบู่ ารมี)

การจากลาครงั้ สดุ ท้ายตลอดกาล ๘๑ พระโคตมพทุ ธเจา้ และพระภัททากจั จานา ๘๒ (ปดิ ตำ�นานรักแทท้ ีส่ มบูรณ์ท่ีสุด) ๙๔ ๙๖ ธรรมเทศนาพระธรรมวสิ ุทธิมงคล ๙๙ (หลวงตามหาบวั ญาณสมั ปันโน) ๑๑๘ ธรรมเทศนาพระวรงคต วริ ิยธโร ๑๒๘ (หลวงตามา้ ) ๑๒๙ การสั่งสมบารมี ๑๐ ๑๓๑ ส่งิ ทีเ่ ราไดเ้ รยี นร้จู ากรักแทข้ องพระพทุ ธเจ้าและคู่บารมี ๑๓๒ ๒. พระสตู รว่าด้วยความรกั และการอยูร่ ว่ มกันจากพระไตรปิฎก ๑๓๕ ทำ�อยา่ งไรจึงจะอยู่ดว้ ยกันท้งั ในชาตนิ ี้และชาตหิ น้า ๑๓๘ อยา่ งมคี วามสขุ ๑๕๒ หนา้ ท่ีของสามีภรรยา ๑๕๔ การอยรู่ ว่ มกนั ของชายหญิง ๔ แบบ ๑๖๔ เราเปน็ ภรรยาแบบไหน ๑๗๒ ธรรมะเกื้อกลู ความรกั ใหม้ ีความสขุ อย่างไร ๑๗๕ ๓. วบิ ากรกั ๑๘๒ เร่ืองของหลวงปู่มน่ั ภรู ิทตั โต “คบู่ ารมหี ลวงปูม่ ั่น” ๑๘๖ เรือ่ งของหลวงปู่หลุย จนั ทสาโร “เหตุท่ีไมพ่ น้ ทุกข”์ ๑๘๗ เรอื่ งของหลวงปู่ฝน้ั อาจาโร “บุพเพอาละวาด” เร่ืองของหลวงปแู่ หวน สุจิณโณ “กวา่ จะตัดได้” ความรักกับกาม และ ความรักแบบพรหมวหิ าร อา่ นเพมิ่ เติมเก่ียวกบั ธรรมะและความรกั บทสวดมนต ์

6 ค�ำ น�ำ ถ้าจะเปรียบชีวิตเหมือนการเดินทาง มีคนเคยบอกว่า คู่ชีวิต ก็ หมายถึงคนที่จะเดินร่วมกับเราไปตลอดชีวิต แต่แล้วปัจจุบันทำ�ไมอัตรา การหย่าร้างจึงสูงขึ้นเรื่อยๆ เหตุใดคนส่วนใหญ่จึงไม่สามารถมีความรักที่ มีความสุข เป็นเร่ืองที่เราควรกลับมาย้อนต้ังคำ�ถามตนเองหรือไม่ว่าเรามี ความเขา้ ใจเกย่ี วกับความรกั และค�ำ วา่ คู่ชวี ิตดีพอหรอื ยัง? ทีมงานในฐานะพุทธศาสนิกชนกลุ่มหน่ึงผู้เดินตามทางของพระ- พทุ ธองค์ และยกพระองคเ์ ป็นแบบอย่างในการด�ำ เนินชวี ิตท้งั ทางโลกและ ทางธรรม จึงมีความต้ังใจอยากนำ�เรื่องราวพุทธประวัติและคำ�สอนของ พระพุทธเจ้าเกี่ยวกับเรื่องความรักมาเผยแพร่เพื่อเป็นธรรมทานและแสง สวา่ งให้กบั ชาวพทุ ธด้วยกัน หากจะกล่าวถึงความรักของพระพุทธเจ้าก่อนที่จะทรงตรัสรู้ พระสมั มาสัมโพธญิ าณนั้น ในขณะทยี่ ังตอ้ งเวียนว่ายตายเกดิ ในวัฏสงสาร พระองคก์ เ็ คยมคี ู่ และคู่ของพระองคน์ ้นั เรียกไดว้ ่าเป็นค่บู ารมี คือเป็นคูท่ ่ี อยู่กันอย่างมีความสขุ ตราบส้ินอายุขยั ในทุกภพชาตทิ ่เี จอกนั ภยั อนั ตราย และทกุ ขใ์ นชวี ติ ของคบู่ ารมที งั้ สองเกดิ แตภ่ ายนอก แตไ่ มอ่ าจเกดิ แกค่ วาม รักและความปรารถนาดีต่อกันของท่านทั้งสองเลย ส่ิงน้ีจึงเป็นกำ�ลังให้ พระองคท์ งั้ คเู่ จรญิ รงุ่ เรอื งกนั ยง่ิ ๆขนึ้ ทกุ ครง้ั ทพี่ บกนั เรอ่ื งราวความรกั ของ พระองค์ท่านทั้งสองในห้วงเวลา ๔ อสงไขยแสนมหากัปนั้นยาวนานมาก ไม่อาจแสดงได้หมด จึงขอยกมาถ่ายทอดได้เพยี งเศษเสีย้ วสว่ นหนึง่ ซึง่ แม้ จะยกมาเปดิ เผยไดไ้ มก่ ช่ี าติ แตเ่ รอื่ งราวนนั้ กง็ ดงาม แสดงถงึ ความเสยี สละ

7 ต่อกัน และความรกั ของทั้งสองพระองคไ์ ม่เพียงยงั ตนและคู่ของตนให้พบ ความสขุ ในทสี่ ดุ แตค่ วามรกั ของทงั้ สองยงั แผไ่ ปถงึ ผคู้ นอน่ื ๆ อกี เปน็ จ�ำ นวน มากมายมหาศาลตราบจนถงึ ทกุ วนั นี้ หากใครมคี วามสงสยั วา่ ท�ำ ไมจงึ มรี กั แลว้ จงึ เปน็ ทกุ ข์ กข็ อใหพ้ จิ ารณาความรกั ของพระโพธสิ ตั วแ์ ละคบู่ ารมเี ปน็ แบบอย่าง เนอ้ื หาเรอื่ งราวต�ำ นานความรกั ทนี่ �ำ มาเผยแพรใ่ นหนงั สอื เลม่ น้ี น�ำ โครงเรอ่ื งหลักมาจากการไดร้ ับความอนุเคราะห์เมตตา ของคุณศิริวรรตน์ สุวรรณฉวี นามปากกาคือ อังคาร ผู้เรียบเรียงเน้ือหาพุทธประวัติจาก อรรถกถาและพระไตรปิฎกมาร้อยเป็นภาษาทีส่ วยงาม อ่านงา่ ยขน้ึ ลงใน บทความ นางแก้วคบู่ ารมี (saradham.siamtapco.com) ทมี งานไดข้ อ อนญุ าตปรบั ปรงุ เนอื้ หาบางสว่ นใหส้ อดคลอ้ งกบั เนอ้ื หาโดยรวมของหนงั สอื เลม่ น้ี ทง้ั น้หี ากทา่ นใดสนใจศึกษาเร่ืองราวพุทธประวตั ิอน่ื ๆ เพิ่มเตมิ ตอ่ สามารถคน้ อา่ นไดจ้ ากอรรถกถาเตม็ ของพระไตรปฎิ กที่ www.84000.org ทมี งานขอขอบพระคณุ และอนโุ มทนาบญุ กบั ผสู้ รา้ งเวป www.84000.org มา ณ ทน่ี ดี้ ้วย ทีมงานขอขอบพระคุณ และอนุโมทนาสาธุบุญกับ คุณศิริวรรตน์ สวุ รรณฉวี ทเ่ี อ้อื เฟอื้ ขอ้ มูล ทีมงานขอขอบพระคุณ และอนุโมทนาสาธุบุญกับ รศ.ดร. ปฐม นคิ มานนท์ ผู้เขยี นหนังสือโครงการหนังสือ บูรพาจารย์ ทีเ่ อือ้ เฟอื้ อนุญาต ใหน้ �ำ เนอื้ หาขอ้ มลู ของครบู าอาจารยใ์ นหนงั สอื ทท่ี า่ นรวบรวมมาใหเ้ ราแบง่ ปนั ตอ่ ในภาควบิ ากรกั เปน็ การเปดิ โอกาสใหผ้ อู้ า่ นไดเ้ หน็ ความรกั ในอกี มมุ หน่งึ

8 ขอบคุณพ่ีโจ้ ที่เป็นท้ังครูบาอาจารย์และกัลยาณมิตรที่คอยท้ัง อบรมและสนบั สนนุ ทง้ั ชว่ ยเขยี นและชว่ ยใหค้ วามรเู้ พม่ิ เตมิ ในการสรปุ ขอ้ ธรรมทจ่ี �ำ เป็นให้กบั ผู้ท่ีปรารถนาจะมีความรกั แท้ที่มคี วามสขุ ไดศ้ กึ ษาตอ่ ขอบคุณพี่เต้ยที่เป็นยอดกัลยาณมิตร คอยเกื้อกูลความก้าวหน้า ทางธรรมในทุกด้าน อีกทั้งยังเป็นท่ีปรึกษาในการรวบรวมข้อมูล และ ออกแบบรปู เลม่ ท�ำ รปู เลม่ แกแ้ ลว้ แกอ้ กี เพอื่ ใหอ้ อกมาสมบรู ณโ์ ดยไมย่ อ่ ทอ้ บุญใด ๆ ที่จะบังเกิดจากความศรัทธาในพระมหากรุณาธิคุณของ พระพุทธเจ้าและคู่บารมีจนมาปรากฏเป็นหนังสือเล่มนี้เพ่ือให้ท่านผู้อ่าน ได้เข้าใจความรักอย่างถ่องแท้ ก็ขอน้อมถวายแด่พระองค์ท่านท้ังสอง พระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์ พอ่ แม่ ครบู าอาจารย์ ผมู้ พี ระคุณ ทุก ภพชาติ เจ้ากรรมนายเวร รวมถงึ เจา้ กรรมนายเวรในเรอื่ งความรกั คคู่ รอง ทกุ ภพทกุ ชาติ เทวดาอารกั ษแ์ ละสงิ่ ศกั ดสิ์ ทิ ธทิ์ ง้ั ปวง สรรพสตั วท์ ง้ั หลาย ผู้ ทม่ี สี ว่ นเกยี่ วขอ้ งในหนงั สอื เลม่ น้ี รวมถงึ ทา่ นผอู้ า่ นทไ่ี ดม้ โี อกาสอา่ นหนงั สอื เล่มนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายมีความเห็นถูกเป็นท่ีพ่ึงเพื่อมีความรักท่ีเจริญ เตบิ โต เก้อื กูลไปจนตราบถึงพระนิพพานเทอญ ทมี งานผจู้ ัดทำ� ๒๑ สงิ หาคม ๒๕๕๖ www.sangtean.com

9 เรอ่ื งราวความรกั ของพระพทุ ธเจา้

10 “จดุ เร่มิ ตน้ ของความรกั แท”้

11 จดุ เริ่มต้นของรกั แท้ของพระพทุ ธเจ้าและคู่บารมี ไม่ไดเ้ รม่ิ ตน้ ดว้ ย ความพึงใจในรูปกาย ฐานะลาภยศ ช่อื เสียง ความน่ารกั ความเปน็ ทีพ่ ึง่ พา แตเ่ รม่ิ ดว้ ยศรัทธาจากหวั ใจของมนษุ ย์ท่ยี ง่ิ ใหญ่เหนือคนธรรมดา พระพุทธเจ้าเม่ือทรงครั้งเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์บำ�เพ็ญ บารมเี พอื่ สงั่ สมปจั จยั บรรลพุ ระอนตุ รสมั มาสมั โพธญิ าณนนั้ ไดท้ รงบ�ำ เพญ็ บารมีร่วมกับพระนางพิมพามานับอเนกชาติ จุดเริ่มต้นตามพุทธประวัติท่ี บนั ทกึ ไวใ้ นพระไตรปฎิ กกลา่ วถงึ ชาตแิ รกทม่ี กี ารตงั้ อธษิ ฐานจติ รว่ มบ�ำ เพญ็ บารมกี ัน สมยั พระทีปังกรพุทธเจา้ สเุ มธดาบสและสมุ ิตตาพราหมณี ปฐมจติ อธษิ ฐาน ปฐมเหตุรักแทจ้ ากศรัทธาทห่ี วั ใจ จาก ยโสธราเถรยิ าปทาน http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/r.php?B=33&A=5882 “ข้าแต่พระมหามุนีผู้เจริญ หม่อมฉันได้ต้ังปฐมจิตอธิษฐาน ขอเปน็ ผตู้ ดิ ตามชว่ ยพระองคส์ รา้ งสมพทุ ธบารมเี ปน็ ครง้ั แรกเมอื่ ๔ อสงไขย เศษแสนมหากปั ลว่ งมาแลว้ ครง้ั นนั้ หมอ่ มฉนั เปน็ เพยี งดรณุ แี รกรนุ่ ทเี่ ปยี่ ม ศรทั ธาในพระองค”์ ๔ อสงไขยแสนกปั ลว่ งมาแลว้ ในพทุ ธกาลของพระทปี งั กรพทุ ธเจา้ อันเป็นพระพุทธเจ้าลำ�ดับท่ี ๔ ในมหากัปนั้น และทรงเป็นพระพุทธเจ้า ล�ำ ดบั ท่ี ๔ ในจำ�นวน ๒๘ พระองค์เมอ่ื นบั ถงึ องค์ปัจจุบัน ครั้งหน่ึง ชาวอมรวดีนครได้ทูลเชิญเสด็จพระทีปังกรทศพล ซ่ึง เผยแผ่พุทธศาสนาอยู่ที่รัมมกนคร พร้อมพระสาวกขีณาสพสี่แสนรูปให้

12 มารับมหาทานในอมรวดีนคร เช้าวันที่พระทีปังกรพุทธเจ้าจะเสด็จพุทธ ด�ำเนนิ มานนั้ มหาชนผมู้ ศี รทั ธาจ�ำนวนมากพากนั มารอรบั เสดจ็ ทน่ี อกนคร ระหว่างรอได้ช่วยกันถากถางทางที่รกและปรับพ้ืนที่ขรุขระมีน้�ำขังให้ราบ เรยี บ เพอ่ื ให้พระทปี ังกรทศพลเสด็จด�ำเนนิ ไดโ้ ดยสะดวก ครงั้ นน้ั ดรณุ นี อ้ ยนามวา่ สมุ ติ ตาพราหมณี กไ็ ดม้ ารอรบั เสดจ็ พระที ปงั กรรว่ มกบั มหาชนดว้ ย เธอเกบ็ ดอกบวั มาแปดก�ำเพอื่ ถวายเปน็ พทุ ธบชู า ขณะเม่อื พระทปี ังกรพทุ ธเจา้ ยังเสด็จมาไม่ถงึ สมุ ติ ตาพราหมณีได้ แลเหน็ ดาบสหนมุ่ ผทู้ รงอภญิ ญาตนหนงึ่ เหาะมาในนภากาศ แวะลงมาถาม มหาชนทอี่ ยใู่ กลเ้ ธอวา่ “พวกทา่ นมาชมุ นมุ กนั จำ� นวนมากเพราะกจิ ธรุ ะใด พระราชาจะเสดจ็ มาทางนี้หรือ” มหาชนตอบวา่ “พวกเราไม่ไดม้ ารอรับ เสด็จพระราชา แต่มารอรับเสด็จพระทีปังกรพุทธองค”์ สุเมธดาบสปีติยินดีเป็นอย่างย่ิงที่ได้ยินว่าพระพุทธเจ้าจะเสด็จมา เพราะตวั ทา่ นเองกอ่ นนเ้ี คยเปน็ พราหมณม์ หาศาลอยใู่ นนครมนี ามวา่ สเุ มธ พราหมณ์ แต่ทา่ นเบ่ือหนา่ ยการครองเรือน เม่อื บดิ ามารดาท่านสน้ิ ไปแล้ว จงึ น�ำทรัพย์ ๘๐ โกฏิ แจกจา่ ยเป็นทานไม่มีเหลอื แลว้ ออกบวชเป็นดาบส บ�ำเพญ็ พรตอยโู่ คนไม้ในปา่ เพอื่ ค้นหาความสงบสุขทางธรรม เพยี ง ๗ วัน เท่าน้นั ทา่ นก็ส�ำเร็จอภิญญา ๕ สมาบตั ิ ๘ เปน็ ผู้ทรงอภญิ ญา ใชเ้ วลาส่วน ใหญ่ในฌานสมาบัติ จนแม้เม่ือโลกธาตุส่ันไหวในวันท่ีพระทีปังกรทศพล ตรัสรู้ หรือเมื่อมีบุรพนิมิต ๓๒ ประการปรากฏในวันท่ีพระพุทธองค์ทรง เคลอ่ื นธรรมจักร ท่านสเุ มธดาบสก็ไมไ่ ด้รบั รเู้ ลย เม่ือไดย้ ินว่าพระพุทธเจา้ ผู้ทรงเป็นโลกนาถอุบัติแล้ว และก�ำลังจะเสด็จด�ำเนินมาจึงเกิดศรัทธา ยง่ิ ใหญ่ ปรารถนารว่ มบญุ ชว่ ยปรบั ทางเสดจ็ ด�ำเนนิ ชาวเมอื งเหน็ ทา่ นดาบส เปน็ ผมู้ ฤี ทธจ์ิ งึ แบง่ งานยากกวา่ คนทวั่ ไป ใหช้ ว่ ยดแู ลบรเิ วณทเ่ี ปน็ หลมุ เปน็ แอง่ และมีน�ำ้ ทว่ มขังมาก

13 สุเมธดาบสด�ำริว่าพระพุทธเจ้าน้ันเป็นบุคคลผู้เลิศ พบได้ยาก หาได้ยาก หากตนใช้อภิญญาฤทธิ์ปรับถนน งานจะส�ำเร็จง่ายดายและ รวดเรว็ แตไ่ มส่ มกบั ศรทั ธาที่ตนมี ควรทต่ี นจะบูชาพระพุทธองคด์ ว้ ยสิง่ ท่ี ท�ำได้ยาก ด�ำริแล้วจึงได้อดทนขนดินทรายมาถมหลุมบ่อด้วยแรงกายเฉก เช่นสามัญชนทวั่ ไป การกระท�ำของสุเมธดาบสน้ี สรา้ งความชน่ื ชมโสมนสั ใหเ้ กดิ แก่ดรุณนี อ้ ยสมุ ิตตาพราหมณีทีเ่ ฝา้ มองดูอย่ยู ง่ิ นัก เมื่อสุเมธดาบสปรับพื้นที่ยังไม่ส�ำเร็จเสร็จดี พระทีปังกรพุทธเจ้า ก็เสด็จด�ำเนินมาถึงพร้อมพระสาวกส่ีแสนรูป สุเมธดาบสเห็นไม่ทันการณ์ เพราะยังมีแอ่งท่ีน้�ำท่วมขังอยู่ช่วงตัวหนึ่ง จึงตัดสินใจทอดตัวลงนอนปิด ทบั แอ่งน้ำ� นนั้ ไว้ ตั้งใจถวายชีวติ ใหพ้ ระทปี ังกรและพระสาวกด�ำเนินไปบน แผ่นหลังของตน ไม่ปรารถนาให้พระบาทของพระพุทธองค์ผู้อุดมมงคล ประเสริฐแปดเป้อื นโคลน สเุ มธดาบสนอนทอดกายรอใหพ้ ระทปี งั กรเสดจ็ ไปบนแผน่ หลงั ใน ใจคดิ ถงึ พระโพธิญาณวา่ “เราปรารถนาจะเป็นดงั พระทปี งั กรทศพล บรรลุพระโพธิญาณ แลว้ พามหาชนข้ามสงสารสาครไปดว้ ยกัน” พระทีปังกรพุทธเจ้า เสด็จมาหยุดยืนอยู่ท่ีเบ้ืองศีรษะของสุเมธ ดาบส ทรงตรวจดูด้วยสัพพัญญุตาญาณ ทรงเห็นอดีตกาลยาวไกล เมื่อ ๑๖ อสงไขยก่อนว่าพระองค์เคยพบกับดาบสผู้นี้มาแล้วคร้ังหนึ่ง ในครั้งนั้นพระพุทธองค์ยังเป็นพระโพธิสัตว์บวชเป็นภิกษุในศาสนา พระปุราณทปี ังกรทศพล ทรงไดร้ ับพุทธพยากรณว์ า่ พระองคจ์ ะตรสั รเู้ ปน็ พระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในอนาคตกาล และในครัง้ นน้ั สเุ มธดาบสผนู้ ี้เกิด เป็นเจา้ หญงิ วิสุทธาเทวีกนิษฐภคิณีของพระปุราณทปี งั กร เธอไดน้ �ำน้ำ� มัน

14 เมล็ดผักกาดมาใส่บาตรเพ่ือใช้ตามประทีปบูชาองค์พระศาสดา พร้อมกับ ต้ังความปรารถนาขอเกิดเปน็ ชาย และขอใหไ้ ดส้ �ำเร็จโพธญิ าณ ด้วยความ ปรารถนานนั้ เจา้ หญงิ วสิ ทุ ธาจงึ เกดิ มาเปน็ ชายในชาตถิ ดั ไป และไมไ่ ดก้ ลบั ไปเกิดเป็นหญิงอีกเลย พระทีปังกรทรงพิจารณารู้ว่า ตลอดกาลนานนี้ สุเมธดาบสได้ สร้างสมพุทธบารมีมาโดยตลอด บัดนี้เป็นผู้มีเสบียงบารมี สามารถบรรลุ ธรรมได้ด้วยการฟังธรรมเพียงแค่ ๔ บาทเท่าน้ัน แต่เพราะสุเมธดาบส เป็นพระโพธิสัตว์หน่อเนื้อพุทธางกูร สมบูรณ์ด้วยอภิญญา ๕ สมาบัติ ๘ เป็นผู้แน่วแน่ไม่เปล่ียนใจเท่ียงตรงต่อโพธิญาณ พระองค์จึงไม่แสดงธรรม แตท่ รงบรรลอื สหี นาทประกาศพทุ ธพยากรณเ์ ปน็ ลทั ธยาเทศสเุ มธดาบสตอ่ พระอรหันตข์ ีณาสพและพทุ ธบรษิ ัทว่า “ท่านทั้งหลายจงดูดาบสผู้มีตบะอันรุ่งเรืองนี้ ดาบสน้ีกระท�ำ ความปรารถนาย่ิงใหญ่เพ่ือความเป็นพระพุทธเจ้า เขาสร้างสมพุทธ การกธรรมคือธรรมท่ีจะท�ำให้เป็นพระพุทธเจ้ามาแล้วถึง ๑๖ อสงไขย ด้วยความอุตสาหะ สละชีวิตและเลือดเน้ือเพื่อโพธิญาณมาแล้วนับ จ�ำนวนครง้ั ไมไ่ ด้ ความปรารถนาของเขาน้ันจกั ส�ำเรจ็ ในที่สดุ นบั จาก ๔ อสงไขยกบั เศษแสนกปั นไ้ี ป เขาจกั ตรสั รเู้ ปน็ พระพทุ ธเจา้ นามวา่ โคตมะ ในอัตภาพนั้นของเขา จักมีนครนามว่า กบิลพัสดุ์ เป็นท่ีอยู่ อาศยั พระมารดานามวา่ มายา พระบดิ านามวา่ สทุ โธทนะ พระอปุ ตสิ สะ เปน็ อคั รสาวก พระโกลติ ะเปน็ อคั รสาวกทสี่ อง พระเขมาเปน็ อคั รสาวกิ า พระอุบลวัณณาเป็นอัครสาวิกาที่สอง พระอานนท์เป็นพุทธอุปัฏฐาก เขามีญาณแก่กล้าแล้วออกมหาภิเนษกรมณ์ ต้ังความเพียรอย่างใหญ่ รบั ข้าวปายาสท่ีโคนตน้ ไทร เสวยที่ฝั่งเเมน่ �้ำเนรัญชรา ขึน้ สู่โพธิมณฑล และจักตรสั รทู้ โี่ คนต้นอัสสัตถพฤกษ์”

15 ชาวเมืองและเทพเทวดาท้ังหลายในที่นั้น เม่อื ได้ฟงั พทุ ธพยากรณ์ แล้ว ก็พากันเปล่งวาจาสาธุการสน่ันดังไปท่ัวท้ังไตรภูมิ จนแม้ผืนปฐพีก็ ส่นั ไหว ขณะนั้น สุมิตตาพราหมณีผู้เห็นเหตุการณ์มาตั้งแต่ต้นก็บังเกิด ปีติศรัทธาท่วมท้นกับท่านดาบสจนโลมาชาติชูชัน เธอเดินเข้าไปหา แบ่ง ดอกบัวห้าก�ำย่ืนให้สุเมธดาบสด้วยไมตรีเพ่ือใช้บูชาพระพุทธองค์ พลาง กล่าวว่า “ข้าแต่ท่านดาบส ดอกบัวห้าก�ำน้ี ดิฉันขอมอบแก่ท่าน ดอกบัว สามกำ� นี้สำ� หรับดฉิ ัน ขอดอกบวั เหล่านจ้ี งมีผลเสมอกัน เพอ่ื ประโยชน์แก่ โพธญิ าณของท่านเถิด” สุมิตตาพราหมณีรอให้สุเมธดาบสน�ำดอกบัวเข้าไปถวายพระ ทีปงั กรก่อน แลว้ เธอจงึ น�ำดอกบัวสามก�ำของตนไปถวายพระพุทธเจ้าบ้าง พลางกล่าววาจาวา่ “พระศาสดาผู้เจริญ ด้วยอานิสงส์แห่งบุญถวายดอกบัวสามก�ำ บูชาพระองค์ผู้เป็นนายกของโลกในคร้ังนี้ ขอจงเป็นปัจจัยให้ข้าพระบาท ได้เป็นคู่บุญบารมี ชว่ ยพระดาบสสร้างสมพทุ ธการกธรรมจนกวา่ จะตรัสรู้ พระโพธญิ าณอันอดุ ม สมดังพทุ ธพยากรณ์ด้วยเถดิ ” สุเมธดาบสเมือ่ ได้ยินเชน่ นั้น จงึ หันมามองดรณุ ีนอ้ ยพลางกลา่ ววา่ “แมน่ างผเู้ จรญิ เธออยา่ อธษิ ฐานเชน่ นน้ั เลย ๔ อสงไขยแสนกปั นบั เปน็ เวลาทย่ี าวไกล มที กุ ขภ์ ยั อกี มากมายรอเธออยู่ เธอจะเปน็ เหมอื น ลูกเนอ้ื ตัวน้อยพลดั ฝงู ทีถ่ ูกพยัคฆ์จอ้ งตะปบอยรู่ ่ำ� ไป เธอจะเป็นเหมือน ทอ่ นไมท้ ถ่ี กู คลน่ื ซดั สงู ตำ่� และลอ่ งลอยเควง้ ควา้ งไปซา้ ยไปขวาอยกู่ ลาง มหาสาครหาฝงั่ ไม่พบ

16 ดรณุ นี อ้ ย เธอตอ้ งเกดิ ตอ้ งพลดั พรากจากสง่ิ ทรี่ กั ตอ้ งเสยี นำ้� ตา เมื่อประจวบกับส่ิงที่เป็นทุกข์ซ้�ำแล้วซ�้ำเล่า ชาติแล้วชาติเล่า ซากศพ ของเธอนำ� มากองสมุ รวมกนั จนสงู ถงึ ยอดบรรพตนนั่ ยงั ไมถ่ งึ กปั หนงึ่ เลย เธอควรคดิ ใหด้ ีว่า ๔ อสงไขยแสนกปั น้นั จะนานขนาดไหน แมน่ างนอ้ ยเอย เธอควรปรารถนาบรรลธุ รรมทพ่ี ระพทุ ธองค์ทรง บรรลแุ ล้วเสียในชาตนิ ้ี เร่งกา้ วข้ามโอฆะใหถ้ ึงฝงั่ โน้นจึงประเสรฐิ กว่า” แต่สุมิตตาพราหมณกี ล่าวกบั สุเมธดาบสดว้ ยความมุ่งม่นั ว่า “ท่านดาบสอย่าห้ามดิฉันเลย ท่านดาบสเป็นผู้มีบุญบารมี หากแม้นท่านติดตามพระทศพลไปบวช ท่านก็คงสามารถก้าวข้าม สงสารได้ในเร็วพลัน แต่ท่านกลับละทิ้งโอกาสน้ีเพราะมีจิตเป็นกุศล จะช่วยเหลือสรรพสัตว์ ส่วนดิฉันแม้เป็นหญิงก็มีจิตเป็นกุศลฉันน้ัน เหมอื นกัน ความปรารถนาของดิฉันน้มี ไิ ด้มีใครบงั คับหรือขอร้อง ดฉิ ัน ปรารถนาด้วยตัวของดิฉันเอง ท่านจงรับความปรารถนาอันเป็นกุศล ของดฉิ ันดว้ ยเถดิ ” กล่าวแล้ว สุมิตตาพราหมณีก็หันไปประคองอัญชลี กราบทูล พระทปี งั กรพทุ ธเจา้ เป็นค�ำรบสองวา่ “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระบาทได้แลเห็นท่านดาบสเหาะ ลงมาจากนภากาศ ช่วยมหาชนขนดินทรายมาปรับผิวทางด้วยแรง กาย ข้าพระบาทเร่ิมมีความเลื่อมใสในท่านดาบส เมื่อเห็นท่านดาบส ทอดกายเป็นสะพาน ข้าพระบาทย่ิงมีปีติและศรัทธาเพิ่มพูนขึ้นนับทวี บัดน้ี พระองค์ทรงพยากรณ์ว่าท่านดาบสจักได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า พระองค์หนึ่งในอนาคตกาล ข้าพระบาทยิ่งเปี่ยมปีติและศรัทธาไป กับท่านดาบสย่ิงนัก ปีติและศรัทธาของข้าพระบาทนี้สูงยิ่งนัก จน

17 ปดิ บังความกลวั ในภยั ของสงั สารวฏั ไดห้ มดส้นิ พร้อมทเี่ วียนวา่ ยไปใน โอฆะอกี ๔ อสงไขยแสนกปั ร่วมกับท่านดาบส พระศาสดาผู้เจริญ ข้าพระบาทขอตง้ั ความปรารถนา ณ บดั น้ี ต่อเบ้ืองพระพักตร์ของพระองค์ว่า ข้าพระบาทจะขอเป็นคู่สุข คู่ทุกข์ คยู่ าก เปน็ คบู่ ญุ บารมี ชว่ ยทา่ นดาบสสรา้ งสมพทุ ธบารมใี หส้ มบรู ณโ์ ดย ไมย่ อ่ ทอ้ หรอื เปล่ยี นใจ” พระทีปังกรพุทธเจ้าจึงทรงตรวจดู สุมิตตาพราหมณี ด้วยพระ สพั พญั ญุตาญาณ แลว้ ตรสั วาจาพยากรณ์วา่ “ดูกรฤๅษีผู้ใหญ่ ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่ มีใจเป็นหัวหน้า สำ� เรจ็ แลว้ ดว้ ยใจ ความปรารถนาโพธญิ าณของทา่ นจกั สำ� เรจ็ ดว้ ยใจอนั เปน็ มหากศุ ลฉนั ใด ความปรารถนาของอบุ าสกิ าผนู้ กี้ จ็ กั สำ� เรจ็ เพราะใจ อันเป็นมหากุศลฉันนัน้ ดูกรมหาฤๅษี อุบาสิกาผู้น้ีจักเป็นผู้มีจิตเสมอกัน มีกุศลกรรม เสมอกนั ท�ำกุศลร่วมกนั เป็นท่รี ักของบญุ กรรม เพื่อประโยชน์แกท่ ่าน น่าดู น่าชม น่ารกั ยิ่ง มีวาจาอ่อนหวาน เป็นธรรมทายาทผมู้ ฤี ทธข์ิ อง ท่าน ความปรารถนาของอบุ าสิกานจี้ ะส�ำเรจ็ ความปรารถนา” เมอ่ื ไดย้ ินพทุ ธพยากรณด์ ังน้นั ทงั้ มนุษย์และเทพยดาตา่ งสาธุการ ดังก้องขึ้นอีกครั้ง แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงน�ำดอกไม้ ๘ ก�ำ โปรยบูชา สุเมธดาบส ตรสั กบั พทุ ธบรษิ ัทอกี คร้ังวา่ “ท่านท้ังหลาย กาลนีเ้ ป็นกาลมงคล หากพวกทา่ นปรารถนาสิง่ ใด ณ ชว่ั เวลาน้ี ความปรารถนาของพวกท่านจะสำ�เรจ็ สมความปรารถนา” ตรสั แลว้ ทรงท�ำ ประทกั ษณิ แลว้ ด�ำ เนนิ หลกี ไป เหลา่ พระขณี าสพส่ี แสนก็บูชาพระดาบสด้วยของหอมและดอกไม้ แล้วดำ�เนินไปเบื้องหลัง

18 พระพุทธองค์เข้าสู่อมรวดีนคร เหล่าอุบาสกอุบาสิกาเม่ือได้ยินพระดำ�รัส ของพระศาสดาแลว้ กพ็ ากนั พนมมอื อญั ชลตี ง้ั ความปรารถนาวา่ “หากแมน้ ข้าพเจ้ายังมีวาสนาไม่พอจะได้เห็นอมตธรรมอันลึกซึ้งในศาสนาของ พระพทุ ธเจา้ พระองคน์ ้ี หรอื ในศาสนาของพระพทุ ธเจา้ พระองคใ์ ด กข็ อให้ ข้าพเจา้ ไดร้ ูอ้ มตธรรมในศาสนาของท่านดาบสผนู้ ี้ด้วยเถดิ ” ขณะนน้ั มหี ญงิ พราหมณอี กี ๑๘,๐๐๐ นาง ไดต้ ง้ั ความปรารถนา ตามดรุณสี ุมติ ตา ขอติดตามเปน็ บริจาริกาพระดาบสไปดว้ ยเชน่ กัน เม่ือภิกษุสงฆ์ดำ�เนินหลีกไปหมดแล้ว สุเมธดาบสผู้ซ่ึงได้รับพุทธ- พยากรณ์แล้ว เป็นพระนิยตโพธิสัตว์ผู้มีคติเที่ยงแท้ว่าจะได้ตรัสรู้เป็น พระพุทธเจา้ กล็ กุ ขึ้นน่ังบนกองดอกไม้ พิจารณาตนเองด้วยอภิญญาญาณ ทบทวนว่าธรรมใดหนอที่ทำ�ให้ความปรารถนาในโพธิญาณของตนสำ�เร็จ ก็รู้ว่าบารมีท้ัง ๓๐ ทัศ ที่ตนได้บำ�เพ็ญเพียรมาแต่ปางบรรพ์ ตลอดจนท่ี จะตอ้ งบ�ำ เพ็ญเพยี รต่อไปในอนาคตกาล ธรรมนีเ้ องเป็นพุทธการกธรรมท่ี ทำ�ให้บรรลุโพธิญาณได้ จึงมีปณิธานมุ่งม่ันว่าท่านจะต้องบำ�เพ็ญ พุทธการกธรรมนี้ให้ยิ่งยวดขึ้นไปอีก เมื่อพิจารณาใคร่ครวญครบถ้วน สมบรู ณ์แลว้ แผน่ ดินก็สัน่ ไหวราวบรรลอื ลัน่ อนุโมทนาสาธุการขน้ึ อีกครั้ง แลว้ สเุ มธดาบสกเ็ หาะกลบั ไปยงั ปา่ หมิ พานต์ เจรญิ อภญิ ญาสมาบตั ิ มใิ หเ้ สือ่ ม เมื่อสนิ้ อายขุ ยั จึงได้ไปอบุ ัตใิ นพรหมโลก ส่วนสุมิตตาพราหมณี สง่ ทา่ นดาบสไปจนสุดสายตา จากนั้นเธอก็ด�ำ รงชีวิตไปตามบุญกรรม

19 “การเกอ้ื กลู กนั ดว้ ยรัก”

20 พระโพธสิ ตั วผ์ ปู้ รารถนาพทุ ธภมู ติ อ้ งมคี วามสามารถอาจหาญ มใี จ มน่ั คงเดด็ เดยี่ ว ท่ีจะส่ังสมบารมีโดยล�ำ พงั ไมห่ วน่ั กลัวต่ออุปสรรค ไมค่ รัน่ ครา้ มตอ่ ภยั ไมไ่ หวตอ่ แรงดงึ ดดู ใหห้ ลง แมม้ เี พอื่ นรว่ มทกุ ขเ์ กดิ แกเ่ จบ็ ตาย ตลอดระยะเวลายาวนาน แต่ก็พลัดพรากจากกันไปในโอฆะสาครแห่ง สังสารวัฏ ชว่ งแรกจงึ เหมือนนายจอมทพั จอมพล ผู้บกุ สงครามใหญแ่ หง่ สงั สารวฏั แบบปราศจากกำ�ลังบริวารทหาร แต่ก็ไม่ยอ่ ท้อ จนเมือ่ สร้างสม บารมีเพ่ิมพูนมากขึ้น เข้าเขตปรมัตถบารมี คือในช่วง ๔ อสงไขยกับเศษ แสนมหากัปสดุ ท้าย จึงเริ่มมผี ูอ้ าจหาญ กลา้ ศรทั ธา ขอรว่ มอธษิ ฐานและ บำ�เพ็ญบารมีติดตามขอพึ่งกำ�ลังและสนับสนุนพระโพธิสัตว์ ขอเป็น พระอัครสาวก อัครสาวิกา พุทธบิดา พุทธมารดา พุทธอุปัฏฐาก และ พระสาวกผเู้ ป็นเอตทัคคะด้านตา่ งๆ คู่บารมีคอื ผูร้ ่วมเกดิ รว่ มชาติ ร่วมลำ�บาก มิไดป้ รารถนาร่วมสุข ผู้ ตั้งจิตอธิษฐานเป็นคู่บารมีพระโพธิสัตว์จะต้องยังอัตภาพเกิดมาทุกภพทุก ชาตเิ ปน็ หญงิ อยเู่ สมอ ความทกุ ขเ์ พราะก�ำ ลงั กาย สรรี ะ บอบบางกป็ ระการ หน่ึง ไม่สาหัสเท่ากับทุกข์จากอุปสรรคที่ถาโทมเข้ามาแผดเผาให้ยินยอม ออ่ นลา้ ลา่ ถอย แตค่ บู่ ารมกี ค็ อื ผมู้ บี ญุ เสมอพระโพธสิ ตั วผ์ มู้ กี �ำ ลงั ใจยง่ิ ใหญ่ ต่างพากนั ประคองส่งเสริม เกอื้ กูลกนั ทุกภพชาติ พระชาตใิ ดพระโพธสิ ัตว์ เจริญบารมีใด คู่บารมีจักขอเจริญบารมีธรรมข้อนั้น ๆ ตาม งดงามดุจดัง ดอกบวั ทเ่ี บง่ บานรบั แสงตามกนั ความรกั และพระคณุ ของพระองคท์ า่ นทง้ั สองมีเกินนบั เอนกอนนั ต์ ไม่อาจน�ำ มาแสดงได้หมด คงแสดงไว้ในเนือ้ หา เลม่ น้ีไดเ้ พียงเศษเสย้ี วดว้ ยความนอบนอ้ มบูชา

21 พระเจ้ากุสราชและเจ้าหญงิ ประภาวดี อปุ สรรคความรกั เมอ่ื คร้ังจิตไมเ่ ทยี่ งแทแ้ นน่ อน จาก กสุ ชาดก http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=28&i=94 สุมติ ตาพราหมณมี ีศรัทธา ตง้ั จติ ปรารถนาจะเปน็ คู่ครองช่วยสุเมธ ดาบสสรา้ งสมบญุ บารมี แตส่ งั สารวฏั นก้ี วา้ งใหญ่ ยาวไกล หาความแนน่ อน ไมไ่ ด้ คนสองคนเพยี งอธษิ ฐานแลว้ หวงั วา่ จะไดเ้ กดิ มาพบกนั งา่ ย ๆ นน้ั อยา่ พึงหวัง คนสองคนหากจะได้เกดิ มาพบกนั อยา่ งนอ้ ยตอ้ งเคยได้ท�ำบุญหรือ ท�ำกรรมร่วมกนั มศี ลี หรือไรศ้ ลี เสมอกนั มปี ญั ญาหรือความศรทั ธาไปทาง เดยี วกนั แตใ่ นระยะแรกนน้ั สมุ ติ ตาพราหมณกี บั สเุ มธดาบสยงั มศี ลี มปี ญั ญา ไมเ่ สมอกนั ตา่ งฝา่ ยจงึ ตา่ งเวยี นเกดิ เวยี นตายไปตามบญุ กรรมของแตล่ ะคน ไมไ่ ดเ้ กดิ มาพบกนั อกี เลยนานแสนนาน จนเมอ่ื มศี ลี และปญั ญาใกลเ้ คยี งกนั แรงอธษิ ฐานจงึ หนนุ น�ำให้ทัง้ สองไดเ้ กดิ มาพบกนั อีกคร้งั สมัยน้ันสุมิตตาพราหมณีเกิดเป็นหญิงในปัจจันตประเทศ เมื่อ เจริญวัยข้ึนได้ออกเรือนไปอยู่กับสามีท่ีเป็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงกัน ใน เรือนนั้นมีพ่อแม่และน้องสามีอีกคนหนึ่ง หญิงผู้เป็นพ่ีสะใภ้ให้ความเอ็นดู นอ้ งสามีเหมอื นนอ้ งชายตน เหตุเพราะเห็นและเป็นเพอ่ื นเล่นกันมาตัง้ แต่ เด็ก และน้องสามผี นู้ ี้คอื สุเมธดาบสท่ตี นเองมศี รทั ธาใหใ้ นอดตี ชาตนิ นั่ เอง วันหน่ึงน้องสามีไปป่า พี่สะใภ้อยู่ทางบ้านได้ทอดขนมอร่อยชนิด หน่ึง แล้วแบ่งปันบริโภคกันจนครบทุกคน และไม่ลืมแบ่งเก็บไว้ให้น้อง สามีดว้ ย ขณะนั้น มีพระปจั เจกพทุ ธเจ้ามาบณิ ฑบาตทห่ี นา้ เรอื น พส่ี ะใภจ้ ึง น�ำขนมท่ีเก็บไว้ให้น้องสามีมาใส่บาตร คิดว่าเดี๋ยวค่อยท�ำให้ใหม่ แต่พอ พระปัจเจกพุทธเจ้าปิดบาตรเดินจากไปไม่ทันพ้นสายตาน้องสามีก็กลับมา

22 จากปา่ พอดี พส่ี ะใภ้จึงบอกกับน้องสามดี ้วยใบหน้าย้ิมแยม้ วา่ “น้องชายเอ๋ย จงท�ำจิตใจให้ผ่องใสเถิด พ่ีท�ำขนมอร่อยไว้เผื่อเธอ แตม่ พี ระสมณะรปู หนง่ึ มาบณิ ฑบาต พจ่ี งึ นำ� ขนมของเธอใสบ่ าตรพระสมณะ รปู นัน้ ไปหมดแล้ว เธอจงอนุโมทนาบุญเถิด เดยี๋ วพ่จี ะทำ� ขนมให้เธอใหม่” น้องสามกี �ำลังหวิ จงึ ตอ่ ว่าพี่สะใภ้ดว้ ยความโกรธ “ชิชะนางตัวดี เจ้ากินขนมส่วนของเจ้าอ่ิมหน�ำส�ำราญแล้วน่ีจึงไม่ เปน็ ห่วงใคร เจา้ ไม่ร้หู รอื ว่าข้าไปป่ากลับมาจะตอ้ งหิว แตเ่ จ้ากลบั เอาขนม สว่ นของข้าไปใส่บาตรจนหมด ข้าจะไปทวงขนมของข้าคนื ” แล้วน้องสามีก็ผลนุ ผลนั ว่ิงตามพระปัจเจกพุทธเจา้ ไป บอกให้พระ ปัจเจกพทุ ธเจ้าหยุดแลว้ ทวงขนมทอดในบาตรกลบั คืนมา พีส่ ะใภเ้ หน็ การกระท�ำนา่ รงั เกยี จของน้องสามี จงึ รีบกลบั ไปเรอื น มารดาท่ีอยู่ติดกัน เอาเนยใสสดใหม่สีเหลืองคล้ายดอกจ�ำปามาใส่บาตร พระปัจเจกพุทธเจ้าแทนขนมทอดจนเต็มบาตร เม่ือเธอเห็นเนยใสแผ่รัศมี อยใู่ นบาตร จงึ ได้ต้ังความปรารถนาว่า “ขา้ แต่ท่านผเู้ จรญิ ด้วยอานิสงส์แหง่ บิณฑบาตน้ี เมื่อดิฉนั ไดเ้ กิด ในท่ีใดในกาลเบอื้ งหน้า ขอให้ดิฉันมรี า่ งกายงดงาม ขอใหผ้ ิวกายของดิฉนั มีรัศมีเปล่งปลง่ั ดังรศั มขี องเนยใสนี้ด้วยเถดิ ” ครน้ั หนั กลบั มามองนอ้ งสามที ย่ี งั ยนื อยใู่ กล้ๆ เธอกอ็ ธษิ ฐานตอ่ ดว้ ย ความขดั เคืองวา่ “อนึ่ง น้องสามีของดิฉันผู้น้ีเป็นอสัตบุรุษ ขออย่าให้ดิฉันต้องอยู่ รว่ มกบั เขาในท่ีแหง่ เดยี วกันอีกเลย” ฝา่ ยนอ้ งสามที บี่ ดั นมี้ ใี จสงบเยอื กเยน็ ลงแลว้ พจิ ารณาดพู ระปจั เจก- พุทธเจ้าก็มีความศรัทธาอยากจะท�ำบุญด้วย เมื่อได้ยินพ่ีสะใภ้ตั้งความ ปรารถนาดงั นน้ั จงึ เอาขนมทอดของตนใสล่ งในบาตรทเี่ ตม็ ดว้ ยเนยใส แลว้ ตัง้ ความปรารถนาว่า

23 “ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ด้วยอานิสงส์ของบิณฑบาตน้ี พ่ีสะใภ้ของ ข้าพเจ้าผู้นี้ แม้จะอยู่ในท่ีไกลแสนไกลร้อยโยชน์พันโยชน์ก็ตาม ขอให้ ขา้ พเจา้ มคี วามสามารถไปนำ� เธอมาเปน็ บาทบรจิ ารกิ าของขา้ พเจา้ ใหจ้ งได้ และขอให้เธอหายขัดเคอื งใจขา้ พเจ้าดว้ ยเถดิ ” น้องสามีใส่บาตรเสร็จแล้วก็หยอกล้อพี่สะใภ้ให้หายโกรธ กลับมา คืนดีกันดังเดิม ท�ำบุญกรรมร่วมกันในชาติน้ันแล้วต่างก็ไปตามกรรมของ ตนเมอื่ ถึงกาล กาลเวลาล่วงมาถึงสมัยหน่ึง สุมิตตาพราหมณีหรือหญิงพ่ีสะใภ้ มาเกดิ เป็น เจา้ หญิงประภาวดี ราชธิดาองคโ์ ตของพระเจ้ามัททราช เมอื ง สาคละ แควน้ มัททะ มกี นิษฐาอีก ๗ องค์ พระธดิ าทกุ องค์ลว้ นเป็นเจา้ หญิง สวยโสภา แตเ่ จา้ หญงิ ประภาวดมี สี ริ โิ ฉมงดงามเปน็ เลศิ กวา่ กนษิ ฐาทง้ั หมด เพราะกุศลกรรมจากการใส่บาตรพระปัจเจกพุทธเจ้าด้วยเนยใส ท�ำให้ พระธดิ ามพี ระฉวเี ปน็ นวลสวยสคี ลา้ ยแสงอาทติ ยอ์ อ่ น เปลง่ ปลงั่ คลา้ ยมรี ศั มี แผซ่ า่ นออกจากกาย ความงามของเจา้ หญงิ ประภาวดรี ำ่� ลอื ไปทง้ั ชมพทู วปี เปน็ ทีต่ ้องใจของบรุ ุษเพศทกุ คน โดยเฉพาะเจ้าชาย ๗ นคร ชมพทู วปี ในครง้ั นน้ั มนี ครใหญน่ ครหนงึ่ นามวา่ กสุ าวดี มพี ระราชา พระนามวา่ พระเจา้ โอกกากราช อคั รมเหสพี ระนามวา่ สลี วดี มสี นมนางใน แวดล้อมอีกหมนื่ หกพนั นาง แตพ่ ระเจา้ โอกกากราชไมม่ โี อรสหรือธดิ าเลย ชาวเมอื งเกรงว่ากสุ าวดีจะขาดรัชทายาทสบื ทอดราชบลั ลงั ก์ จึงถวายฎีกา ขอใหพ้ ระเจา้ โอกกากราชทรงปลอ่ ยพระสนมไปเปน็ นางฟอ้ นโดยธรรมเจด็ วนั ใหพ้ ระสนมไปอยู่กับชายอนื่ จะได้มโี อรส ซึ่งพระเจ้าโอกกากราชก็ทรง ยนิ ยอมตามฎกี าของชาวเมอื ง แตก่ ไ็ มม่ พี ระสนมองค์ใดให้โอรส ชาวเมอื งกราบทลู วา่ พระสนมเหลา่ นนั้ ไมม่ บี ญุ จงึ ไมม่ โี อรส แตพ่ ระ มเหสีสลี วดนี นั้ ทรงรกั ษาศีล เปน็ ผมู้ ีบุญ ขอใหพ้ ระราชาปลอ่ ยพระนางไป เปน็ นางฟ้อนโดยธรรม คงจะไดพ้ ระโอรสเปน็ แน่แท้ พระเจ้าโอกกากราชทรงยินยอมตามค�ำขอของชาวเมือง รับสั่งให้

24 ตกี ลองประกาศวา่ พระองคจ์ ะปลอ่ ยพระนางเจา้ สลี วดใี หเ้ ปน็ นางฟอ้ นโดย ธรรม ๗ วัน เพื่อให้ได้โอรส ให้ผู้ชายทั้งแก่และหนุ่มมาประชุมกันที่หน้า ประตพู ระนครเพ่อื ใหพ้ ระนางสลี วดีทรงเลอื ก ชาวเมอื งจ�ำนวนมากทเี่ ปน็ ชาย ทั้งแก่และหนุม่ เมอ่ื ไดย้ นิ ประกาศ จึงมาชุมนุมกันท่ีหน้าประตูพระนคร เม่ือพระมเหสีเสด็จออกมาเพ่ือทรง เลือก ก็มพี ราหมณแ์ ก่คนหนึ่งเดินงกเงน่ิ ออกมายนื ด้านหน้า ชายหนมุ่ คน อื่นพยายามจะฉดุ พราหมณแ์ กใ่ หก้ ลบั มาอยู่ด้านหลังก็ไม่เป็นผล พยายาม จะเบยี ดแทรกมายนื บงั ขา้ งหนา้ กท็ �ำไมไ่ ด้ กลบั เปน็ พราหมณแ์ กค่ นนนั้ ทยี่ นื บังบุรุษอื่นจนหมดสิ้น แล้วจูงหัตถ์พระนางสีลวดีไป พระเจ้าโอกกากราช และชาวเมอื งเหน็ พระนางสลี วดไี ปกบั พราหมณแ์ ก่ พากนั เสยี ใจวา่ พระนาง สีลวดีได้พราหมณท์ ไี่ มค่ คู่ วร แตก่ ไ็ มอ่ าจจะแก้ไขประการใดได้ พราหมณ์แก่คนน้ันแท้จริงคือท้าวสักกเทวราชจ�ำแลงองค์มา พระองคท์ รงพาพระนางสลี วดไี ปยงั วมิ านในเทวโลก แลว้ ตรสั ใหพ้ รพระนาง ขอ้ หน่ึงตามแต่จะขอ พระนางสลี วดจี ึงทลู ขอพระโอรส ๑ องค์ ทา้ วสกั กะตรัสวา่ จะให้ ๒ องค์ โดยองค์หน่งึ มีปัญญามากแต่รูปไม่ งาม กบั อกี องคห์ นงึ่ รปู งามแตป่ ญั ญานอ้ ยกวา่ พระนางจะเลอื กองคไ์ หนให้ ไปประสูติกอ่ น พระนางสีลวดที รงเลอื กโอรสทมี่ ปี ัญญาก่อน ท้าวสักกะตรัสให้พรตามที่ขอแล้วประทานสิ่งของ ๕ อย่างแก่ พระนางสีลวดี คอื หญ้าคา ผ้าทิพย์ จันทน์ทิพย์ ดอกปาริฉตั ต์ทิพย์ และ พิณ แล้วพาพระนางกลับไปส่งคืนในห้องบรรทม ทรงลูบอุทรพระมเหสี กอ่ นเสด็จกลับเพอ่ื ให้ก�ำเนิดโอรส เม่ือพระเจา้ โอกกากราชต่ืนบรรทมทอด พระเนตรเห็นพระนางสีลวดีจึงตรัสถาม พระมเหสีเล่าเร่ืองที่ได้รับพรจาก ทา้ วสกั กะใหฟ้ งั และน�ำสง่ิ ของ ๕ อยา่ งใหพ้ ระราชาทอดพระเนตรดู พระเจา้ โอกกากราชจงึ ทรงเช่อื วา่ พระมเหสไี ด้รบั พรจากท้าวสักกเทวราชจรงิ กาลตอ่ มาพระนางสลี วดกี ป็ ระสตู ิราชโอรส ๒ องค์ พระโพธสิ ตั ว์ เกดิ เปน็ พระโอรสองค์โตมีนามว่า กสุ ตณิ สว่ นองคเ์ ลก็ มีนามวา่ ชยัมบดี

25 กุสติณราชกุมารน้ัน เมื่อเจริญวัยข้ึนเป็นผู้มีปัญญามาก พระองค์ เช่ียวชาญในศิลปศาสตรท์ ุกอยา่ งโดยไมต่ อ้ งมอี าจารย์ แต่ด้วยอกศุ ลกรรม จากชาติท่ีไปทวงขนมคืนจากบาตรพระปัจเจกพุทธเจ้า พระองค์จึงมีรูป อปั ลักษณ์ ตา่ งจากชยัมบดีพระอนชุ าทีม่ รี ูปงามย่งิ นัก เมอ่ื กสุ ตณิ กมุ ารอายไุ ด้ ๑๖ ชนั ษา พระเจา้ โอกกากราชจะใหอ้ ภเิ ษก สมรส แต่กสุ ตณิ กุมารด�ำริว่าตนเองมรี ูปอัปลกั ษณ์ แม้ได้พระธิดาที่รูปสวย มาเป็นชายา นางก็คงจะหนีไป พระองค์จึงปฏิเสธกราบทูลว่าวันหน้าเมื่อ พระราชบิดาสวรรคตแล้วพระองค์จะบวช กสุ ติณกุมารปฏเิ สธท�ำนองน้ีไป ๓ ครงั้ ต่อมาครั้งที่ ๔ ด�ำริว่าตนเองเป็นโอรสการปฏิเสธบิดามารดาเชน่ น้ี เป็นการไมส่ มควร พระองคจ์ งึ คดิ อุบายข้นึ อย่างหนงึ่ กสุ ตณิ กมุ ารน�ำทองค�ำมาปน้ั เปน็ รปู หญงิ สาว ดว้ ยอ�ำนาจบารมแี หง่ พระโพธิสัตว์ ทองค�ำน้ันก็เป็นรูปหญิงสาวสวยงามปานเทพอัปสรในสรวง สวรรค์ มีผิวพรรณเปล่งปลั่งด่ังมีชีวิตจริง จนแม้แต่ช่างทองฝีมือดีท่ีสุดได้ เห็นยังเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเทพธิดาจริง ๆ เม่ือตบแต่งรูปทองด้วยอาภรณ์ และเครื่องประดับแล้วจึงให้ช่างทองน�ำไปถวายพระราชบิดา กราบทูลว่า พระองค์จะครองเรือนและรับราชสมบัติหากได้อภิเษกกับหญิงงามเหมือน รูปป้นั ทองน้ี พระเจ้าโอกกากราชจึงรับส่ังให้อ�ำมาตย์แห่รูปทองไปตามเมือง ต่าง ๆ เพ่อื เสาะหาหญิงสาวทง่ี ามเหมือนรูปทองนน้ั อ�ำมาตยพ์ รอ้ มขบวน บรวิ ารจงึ น�ำรปู ปน้ั ทองขน้ึ ตง้ั บนยาน เทยี่ วเสาะหาหญงิ งามไปทว่ั ชมพทู วปี เมอื่ ขบวนไปถึงทชี่ มุ นุมชนใด อ�ำมาตย์กจ็ ะปลอ่ ยยานทิง้ ไว้ และคอยสดบั ฟงั มหาชนวา่ เขาจะพดู อย่างไรเกีย่ วกับรูปทองบ้าง มหาชนทั้งหลายเม่ือเห็นรูปทองก็เข้าใจว่าเป็นหญิงสาวจริง ๆ พา กันมามุงดูและพูดกันว่าเธอผู้น้ีเป็นใครมาจากเมืองไหนกันหนอ ช่างงาม ดจุ เทพธิดา หญงิ งามปานนางฟา้ นเ้ี มอื งเราไมม่ เี ลย เมอื่ ไดย้ นิ วา่ เมอื งนไ้ี มม่ หี ญงิ ใดงามเทา่ รปู ทอง อ�ำมาตยก์ จ็ ะเคลอื่ น

26 ขบวนไปเมอื งอน่ื เรือ่ ยไป จนกระทงั่ ไปถึงเมืองสาคละ จอดยานทมี่ ีรูปทอง ไวท้ ่ีท่าน้�ำแลว้ คอยสังเกตการณอ์ ยู่ วันนั้นนางทาสี ๘ คน ไปตักน�้ำท่ีท่าน้�ำเพ่ือให้พระธิดาประภาวดี ใชส้ รงสนาน แต่นางทาสีหายไปนานกว่าปกติ พระธดิ าจึงรับสง่ั ให้นางค่อม หญงิ พเ่ี ลยี้ งออกไปดู นางคอ่ มออกไปตามหานางทาสที ที่ า่ นำ้� เหน็ รปู ทองค�ำ ตง้ั อยบู่ นยานริมทางเขา้ ใจว่าเปน็ เจา้ หญงิ ประภาวดจี งึ เข้าไปหาทลู วา่ พระ ธิดารบั สั่งใหห้ มอ่ มฉันออกมาตามนางทาสี แล้วเหตุใดพระธิดาจงึ เสดจ็ มา เองเพคะ ถา้ พระราชาทรงทราบ หมอ่ มฉันและนางทาสจี ะเดือดรอ้ น ทลู แลว้ กเ็ อามอื แตะหตั ถจ์ ะพาพระธดิ ากลบั เขา้ วงั พอสมั ผสั จงึ รวู้ า่ เปน็ รปู ทอง ไมใ่ ชเ่ จ้าหญงิ ประภาวดี นางคอ่ มจึงยืนพิศดูด้วยความสงสยั อ�ำมาตย์ท่ียืนสังเกตการณ์อยู่เข้ามาสอบถามนางค่อม พอรู้ว่ารูป ทองน้ีงามคล้ายเจ้าหญิงประภาวดี จึงพากันเข้าไปเฝ้าพระเจ้ามัททราช ถวายรปู ทองค�ำและเครอ่ื งราชบรรณาการ กราบทลู วา่ พระเจา้ โอกกากราช แห่งกุสาวดีประสงค์จะสู่ขอพระธิดาประภาวดีให้อภิเษกสมรสกับเจ้าชาย กุสติณพระโอรสองคโ์ ต พระเจ้ามทั ทราชกท็ รงรบั ดว้ ยความยินดี พระเจา้ โอกกากราชและพระนางสลี วดเี สดจ็ ไปรบั เจา้ หญงิ ประภา- วดี ทรงยนิ ดที ไ่ี ดพ้ ระสณุ สิ าทง่ี ามเลศิ เปน็ ศรศี กั ดใ์ิ หก้ สุ าวดี แตพ่ ระนางสลี วดี ด�ำริว่าพระสุณิสาของตนนั้นงามปานเทพธิดา หากเธอได้เห็นพักตร์พระ โอรสกุสติณเต็มตาก็คงรังเกียจและหนีไป ระหว่างท่ีประทับมาในขบวน เสดจ็ กลบั กสุ าวดี พระนางจงึ ออกอบุ ายลวงเจา้ หญิงประภาวดวี ่า “ลกู หญงิ แมไ่ มเ่ คยเหน็ หญงิ ใดเลยในชมพทู วปี นท้ี จ่ี ะมคี วามงดงาม ปานเทพธิดาเหมือนอย่างเธอ หากกุสติณได้เห็นหน้าเธอคงลุ่มหลงจนท้ิง งานราชการเปน็ ผลเสียแก่กสุ าวดี แมจ่ ึงขอวา่ เมอ่ื อภเิ ษกสมรสกนั แล้วเธอ ทง้ั สองอย่าเพ่งิ เหน็ หนา้ กันในเวลากลางวนั เลย ให้รอจนกวา่ เธอจะมคี รรภ์ เสยี กอ่ น” เจา้ หญงิ ประภาวดีไมร่ วู้ า่ เปน็ อุบายจึงทรงรับปฏบิ ตั ิตาม

27 พระเจา้ โอกกากราชอภเิ ษกเจา้ ชายกสุ ตณิ เปน็ พระเจา้ กสุ ราช และ อภิเษกเจ้าหญิงประภาวดีเปน็ มเหสี ท้ังสองอยรู่ ่วมกนั เฉพาะในเวลากลาง คนื แตไ่ ม่เคยเห็นหน้ากันเลยในเวลากลางวัน พระนางประภาวดจี ึงไมร่ วู้ ่า พระสวามอี ัปลกั ษณ์ พิธีสยุมพรผ่านไปได้เพียง ๒-๓ วัน พระเจ้ากุสราชก็อ้อนวอน พระมารดาว่าอยากเหน็ หน้าพระชายา พระมารดาตรสั ให้รอก่อน แตเ่ ม่ือ อ้อนวอนหนักเข้าพระมารดาก็พระทัยอ่อนออกอุบายให้พระเจ้ากุสราช ท�ำตัวเปน็ คนเลีย้ งช้างไปรออยู่ทโี่ รงช้าง พระมารดาพาพระนางประภาวดีประพาสโรงช้าง พระเจ้ากุสราช อยากจะเหน็ หนา้ ชายาจงึ หยบิ มลู ชา้ งกอ้ นหนง่ึ ขวา้ งไปทหี่ ลงั เพอ่ื ใหพ้ ระนาง หนั มา พระนางประภาวดกี รว้ิ คนเลยี้ งชา้ งเปน็ อยา่ งมากทลู ขอใหพ้ ระมารดา ลงโทษ แตพ่ ระมารดาทรงปลอบประโลมใหห้ ายกรว้ิ วา่ อยา่ ไปเอาความคน เล้ียงชา้ งเลย ต่อมาพระเจ้ากุสราชอยากเห็นหน้าพระชายาอีก พระมารดาจึง ออกอุบายพาพระนางประภาวดีเสด็จไปโรงม้า คร้ังน้ีพระเจ้ากุสราชทรง ขว้างด้วยมูลม้า พระนางประภาวดีกร้ิวคนเล้ียงม้ามาก แต่พระมารดาก็ ทรงปลอบประโลมใหห้ ายกรว้ิ เหมอื นเดมิ วนั ตอ่ มา พระชายาประภาวดที รงใครจ่ ะไดเ้ หน็ หนา้ พระสวามบี า้ ง จึงทูลขอพระมารดา พระนางสีลวดีตรัสให้พระสุณิสารอไปก่อน แต่เมื่อ ถูกรบเร้าหนักเข้าพระมารดาจึงบอกว่าพรุ่งน้ีพระเจ้ากุสราชจะเสด็จเลียบ พระนคร ใหพ้ ระชายาประภาวดีไปแอบดูเอาเอง วันรุ่งข้ึน พระมารดารับส่ังให้ ชยัมบดีอนุชา ทรงเคร่ืองต้นอย่าง กษตั ริย์ ประทบั น่ังบนหลงั ชา้ ง ใหพ้ ระเจา้ กุสราชประทบั นง่ั บนอาสนะข้าง หลงั แลว้ พระมารดากพ็ าพระชายาประภาวดไี ปประทบั ทอดพระเนตรจาก สหี บญั ชร พระชายาประภาวดสี �ำคญั ผดิ วา่ ชยมั บดอี นชุ าคอื พระเจา้ กสุ ราช ก็มีพระทัยโสมนสั ว่าเราได้พระสวามที ่ีมีความงามคู่ควรกัน

28 ฝา่ ยพระเจา้ กสุ ราช เมอ่ื ทอดพระเนตรขน้ึ มาเหน็ พระชายา พระองค์ กแ็ สดงอาการยวั่ เยา้ พระชายาประภาวดไี มพ่ อพระทยั ทลู ขอพระมารดาให้ ลงโทษ แตพ่ ระมารดาก็ตรัสแกต้ า่ งใหอ้ ีก พระชายาประภาวดจี งึ เริ่มสงสัย วา่ ชะรอยนายควาญชา้ งคนนอ้ี าจจะเปน็ พระเจา้ กสุ ราช แตเ่ พราะพระองค์ มหี น้าตาน่าเกลียดอัปลักษณ์จึงไมย่ อมแสดงองค์ พระชายาประภาวดจี งึ กระซบิ สงั่ นางคอ่ มพเี่ ลยี้ ง ใหต้ ามไปดวู า่ องค์ ไหนคือพระเจ้ากุสราช โดยหากเป็นพระเจ้ากุสราช พระองค์จะต้องเสด็จ ลงจากหลงั ชา้ งกอ่ น นางค่อมตามไปดูรูว้ ่าพระเจ้ากสุ ราชคอื องค์ทปี่ ระทับด้านหลัง แต่ พระเจ้ากุสราชทอดพระเนตรเห็นนางค่อมเสียก่อน รู้ว่านางมาแอบดูจึง รบั สงั่ ใหเ้ รยี กนางคอ่ มมาเฝา้ ตรสั ก�ำชบั วา่ หา้ มนางบอกเรอื่ งนแ้ี กพ่ ระชายา ประภาวดเี ดด็ ขาด นางคอ่ มจงึ กลบั ไปทลู พระชายาประภาวดวี า่ ผปู้ ระทบั อยู่ ขา้ งหนา้ เสดจ็ ลงกอ่ น พระชายาประภาวดกี ท็ รงหลงเชอ่ื ถอ้ ยค�ำของนางคอ่ ม วนั ตอ่ มา พระเจา้ กสุ ราช ประสงคจ์ ะทอดพระเนตรพกั ตรพ์ ระชายา อีก จึงทูลอ้อนวอนพระราชมารดา พระมารดาจึงพาพระชายาประภาวดี เสดจ็ ประพาสอทุ ยาน สว่ นพระเจา้ กสุ ราชลงไปอยใู่ นสระบวั เอาใบบวั ก�ำบงั ไวแ้ อบดพู ระชายา พระชายาประภาวดเี หน็ สระโบกขรณดี ารดาษไปดว้ ยดอกบวั สสี วย จงึ เสด็จลงสรงน้�ำพรอ้ มดว้ ยเหลา่ นางบริจาริกา ทรงแหวกว่ายธาราเขา้ ไป ชมดอกบัว ครั้นทอดพระเนตรเหน็ บัวดอกใหญท่ ่พี ระเจา้ กสุ ราชทรงถอื อยู่ ก็นึกอยากได้ จึงเออ้ื มพระหตั ถอ์ อกไป ทันใดนั้น พระเจ้ากุสราช ก็เผยพระองค์ออกจากใบบัว แล้วคว้า พระชายาดว้ ยพระหตั ถ์พลางรอ้ งวา่ เราคอื พระเจ้ากุสราช เมื่อพระชายาประภาวดีเห็นพระพักตร์ของพระสวามีเต็มตาก็ ตกใจ เข้าใจว่าเป็นยักษ์ ทรงกรีดร้องและถึงวิสัญญีภาพไปทันที พระเจ้า กุสราชทรงอุม้ พระชายาขึ้นจากสระบวั ใหส้ นมก�ำนัลดูแล แล้วพระองค์ก็

29 เสด็จหลกี ไป เมอ่ื พระชายาประภาวดรี สู้ กึ พระองค์ กท็ รงเสยี พระทยั ครำ�่ ครวญวา่ “คนอปั ลักษณ์ท่เี อามลู ช้างขว้างเราทโ่ี รงช้าง คือ พระเจ้ากสุ ราช… คนอปั ลักษณท์ ่ีเอามลู มา้ ขว้างเราทีโ่ รงมา้ คือ พระเจ้ากุสราช… คนอัปลักษณท์ ่หี ยอกลอ้ เราบนหลงั ช้าง คือ พระเจ้ากุสราช… คนอัปลักษณ์ทีจ่ บั มอื เราในกอบวั คือ พระเจา้ กุสราช… เราไม่ต้องการพระสวามีทอ่ี ปั ลกั ษณเ์ ช่นน้ี เราจะท้งิ พระองคไ์ ป” พระชายาประภาวดีตัดสินพระทัยเสด็จกลับสาคละ รับส่ังให้ อ�ำมาตย์ท่ีตามเสด็จมาจากสาคละจัดเตรียมพาหนะ อ�ำมาตย์เหล่าน้ันจึง ไปกราบทลู ให้พระเจ้ากุสราชทรงทราบ พระเจา้ กสุ ราชด�ำรวิ า่ เวลานพ้ี ระชายาก�ำลงั เสยี พระทยั หากเธอไม่ ได้เสดจ็ กลบั สาคละวันนี้ ดวงหทัยของเธอคงจะแตกเป็นแน่ จงึ ควรปล่อย ให้พระชายาเสด็จกลับไปก่อน แล้วพระองค์จึงค่อยไปรับเธอกลับมาใน ภายหลัง ด�ำริแล้วจึงทรงอนุญาตให้อ�ำมาตย์พาพระชายาประภาวดีเสด็จ กลับไปได้ เม่ือพระชายาประภาวดีเสด็จไปจากกุสาวดีแล้ว พระเจ้ากุสราชก็ ทรงเศร้าโศกเสียพระทัย เฝ้าร�ำพึงคิดถึงพระชายาด้วยความรัก ไม่ทรงมี พระทยั ใหพ้ ระสนมอนื่ เลยแมแ้ ตน่ างเดยี ว ความเงยี บเหงาหดหขู่ องพระองค์ นัน้ พลอยท�ำใหพ้ ระราชนิเวศนท์ เ่ี คยรงุ่ เรอื งเกลื่อนกลน่ ดว้ ยเสนาะส�ำเนียง บัดน้ีกลับเงียบเหงาวงั เวงคลา้ ยดังไม่มีใครอยู่ หลายวันผ่านไป พระเจ้ากุสราชคะเนว่าพระชายาประภาวดีคง กลับถึงสาคละแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระมารดากราบทูลว่าพระองค์จะไปรับ พระนางประภาวดีอันเป็นท่ีรักกลับคืนมา กราบทูลลาแล้วพระเจ้ากุสราช กเ็ หนบ็ พระแสงอาวธุ หา้ อยา่ ง กหาปณะพนั หนงึ่ พรอ้ มทง้ั ถอื พณิ เสดจ็ ออก จากพระนคร ดว้ ยพละก�ำลงั ของพระองค์ เพยี งสองวนั กเ็ สดจ็ ถงึ สาคลนคร

30 พระเจ้ากุสราชถือพิณเสด็จไปใกล้โรงช้างต้นใกล้ต�ำหนัก ทรง บรรเลงเพลงพิณให้พระชายาได้ยิน พระนางประภาวดีพอสดับเสียงเพลง พิณล่องลอยมาก็รู้ว่าพระเจ้ากุสราชเสด็จตามมา พระนางจึงเก็บองค์ไม่ ยอมออกมาพบหน้า อีกทั้งไม่บอกใครให้รู้ด้วยว่าพระเจ้ากุสราชเสด็จมา พระเจ้ากุสราชบรรเลงเพลงพิณจบเห็นพระชายาปิดต�ำหนักด�ำริว่าวิธีนี้คง ไมไ่ ดผ้ ลจงึ น�ำพณิ ไปเกบ็ วนั รงุ่ ขน้ึ พระเจ้ากุสราชเสด็จไปบ้านนายชา่ งหม้อ ขอฝากตวั เปน็ ศิษย์ วันน้ันพระองค์ไปขนดินมาเต็มเรือน ปั้นภาชนะเล็กบ้างใหญ่บ้าง มากมายหลายชนิด และทรงปั้นภาชนะใบเล็กท่ีมีรูปลายละเอียดประณีต สวยงาม ทรงหมายพระทัยให้พระชายาทอดพระเนตรเห็นพักตร์ของ พระองคท์ ซ่ี อ่ นอยใู่ นลวดลายนนั้ เมอ่ื เผาภาชนะนน้ั แลว้ นายชา่ งหมอ้ ไดน้ �ำ ไปถวายพระราชา พระเจา้ มทั ทราชทอดพระเนตรแลว้ ตรสั ถามวา่ เปน็ ฝมี อื ของใคร นายช่างหม้อกราบทูลว่าเป็นฝีมือของลูกศิษย์คนใหม่ พระราชา ตรัสว่าฝีมือประณีตปานนี้ควรที่เจ้าจะสมัครเป็นศิษย์เขามากกว่า แล้ว พระเจา้ มทั ทราชกร็ บั ส่งั ให้ชา่ งหมอ้ น�ำภาชนะใบเล็กไปถวายพระธดิ า เมอื่ พระนางประภาวดที รงรบั ภาชนะทพ่ี ระเจา้ กสุ ราชท�ำขน้ึ ใหโ้ ดย เฉพาะ กเ็ หน็ รปู พระเจา้ กสุ ราชบนภาชนะ พระนางจงึ ขวา้ งภาชนะนน้ั ทง้ิ ลง บนพน้ื จนแตกกระจายไมใ่ ยดี พระเจา้ กสุ ราชด�ำรวิ า่ หากพระองคย์ งั อยเู่ รอื นชา่ งปน้ั หมอ้ กค็ งไมม่ ี โอกาสไดพ้ บหนา้ พระชายา พระองคจ์ งึ เสดจ็ ไปขอเปน็ ศษิ ยน์ ายชา่ งสาน น�ำ ใบตาลมาประดิษฐ์เปน็ ของใช้ให้พระนางประภาวดี พระนางประภาวดไี ดเ้ ห็นรูปพระเจ้ากุสราชอีก ทรงกริ้วและขวา้ ง เคร่ืองสานลงบนพ้ืน ตรัสว่า “ใครอยากได้ก็เอาไปเถิด เราไม่ปรารถนา ของแบบนี”้ พระเจา้ กสุ ราชจงึ ไปยงั ส�ำนกั ของนายชา่ งรอ้ ยดอกไม้ ทรงรอ้ ยพวง

31 มาลาท่ีสวยงามถวายพระนางประภาวดี ก็ถูกพระนางประภาวดีจับขว้าง ทงิ้ ลงพื้นอีก พระเจา้ กสุ ราชจงึ ไปขอท�ำงานในหอ้ งตน้ เครอ่ื งพระราชา พระราชา ทรงพอพระทัยฝมี ือการปรงุ อาหาร รับส่ังให้พระเจ้ากุสราชเปน็ พอ่ ครัวท�ำ เครอื่ งเสวยประจ�ำพระองค์ วันรุ่งข้ึน หลังจากจัดแจงเครื่องเสวยถวายพระราชาเสร็จแล้ว พระเจ้ากุสราชก็จัดเครื่องเสวยอีกชุดหน่ึงใส่หาบ เสด็จไปยังต�ำหนักของ พระนางประภาวดี พระนางประภาวดไี มย่ อมเปดิ พระทวารรบั ตรสั วา่ นางไมป่ รารถนา ผมู้ ผี วิ พรรณช่ัวเช่นพระเจ้ากสุ ราช ขอให้พระองค์เสด็จกลับกสุ าวดี ไปหา นางยักษ์ทม่ี ีรปู ชัว่ เสมอกันมาเป็นมเหสีเถิด พระนางประภาวดีไม่ยอมแตะต้องอาหารที่พระเจ้ากุสราชปรุง ถวายเลยแม้แต่น้อย ทรงแลกกับอาหารผักต้มของนางค่อมด้วยความชัง และก�ำชบั นางคอ่ มไมใ่ หป้ รปิ ากบอกใครดว้ ยวา่ พระเจา้ กสุ ราชเสดจ็ ตามมา หลายวันผ่านไป พระเจ้ากุสราชอยากรู้ว่าพระชายาประภาวดีมี ความเสน่หาอาลัยในพระองค์บ้างหรือไม่ เม่ือหาบเครื่องเสวยผ่านหน้า ต�ำหนกั พระชายา พระองคจ์ งึ แกล้งกระทบื บาทเสยี งดัง แลว้ ท�ำทีเปน็ สลบ ลม้ ลงอยู่หนา้ ทวาร พระนางประภาวดเี ปดิ ทวารออกมาดู เหน็ พระเจา้ กสุ ราชสนิ้ สตอิ ยู่ จึงเข้าไปช้อนพระเศียรตรวจดูลมหายใจ พระเจ้ากุสราชได้ทีถ่มน�้ำลายถูก ตวั นาง ท�ำใหพ้ ระนางประภาวดกี รว้ิ ทรงบรภิ าษพระสวามอี ยา่ งรนุ แรงแลว้ เสดจ็ หนกี ลบั เขา้ ต�ำหนกั แมพ้ ระเจา้ กสุ ราชจะพดู งอ้ งอนอยา่ งไรพระนางก็ ไมห่ ายโกรธ ฝ่ายนางค่อมเห็นพระเจ้ากุสราชพยายามง้อขอคืนดีพระชายา จึงได้ช่วยพูดเกล้ียกล่อมอีกแรงหน่ึง กราบทูลว่า “พระธิดาไม่ควรมอง

32 พระเจา้ กสุ ราชเพยี งแคร่ ปู กาย แตค่ วรมองทคี่ วามดแี ละพระปรชี าสามารถ ของพระองค์ ทวั่ ทงั้ ชมพทู วปี นจี้ ะหาใครมพี ระปรชี าสามารถเสมอพระสวามี ของพระธิดาไม่มอี กี แล้ว” แต่พระนางประภาวดไี มฟ่ งั เวลาผ่านไป ๗ เดือน พระเจ้ากุสราชทรงท้อพระทัยท่ีไม่ได้เห็น หน้าพระชายาของพระองค์เลย และทรงเป็นห่วงบ้านเมืองจึงคิดจะเสด็จ กลบั กุสาวดี ขณะนนั้ ทา้ วสกั กเทวราชทรงทราบวา่ พระเจา้ กสุ ราชทรงเบอื่ ระอา ด�ำริว่าจะต้องช่วยให้พระองคส์ มประสงค์ จงึ เนรมิตทูต ๗ คน สง่ สาสน์ ไป ยงั กษตั รยิ ์ ๗ นคร บอกขา่ ววา่ พระนางประภาวดที รงทง้ิ พระเจา้ กสุ ราชกลบั สาคลนครแล้ว ถา้ พระราชาองค์ใดมีพระประสงคใ์ นพระนาง ก็เสดจ็ มารบั พระนางประภาวดีไปเถดิ พระราชาทงั้ ๗ นคร ตา่ งองคต์ า่ งน�ำขบวนมารบั พระนางประภาวดี เมอ่ื มาถงึ สาคละ ขบวนของพระราชาทง้ั ๗ นครกไ็ ดม้ าพบกนั ตา่ งองคต์ า่ ง พิโรธว่าพระเจ้ามัททราชดูถูกที่ยกธิดาองค์เดียวให้กับกษัตริย์ถึง ๗ องค์ พระราชาทั้ง ๗ จึงพร้อมใจกันยกพลล้อมสาคละไว้ แล้วส่งสาส์นไปหา พระเจ้ามทั ทราชให้ออกมารบ หรอื ไม่กส็ ่งพระนางประภาวดอี อกมา พระเจา้ มทั ทราชเมอ่ื ไดร้ บั สาสน์ กก็ รวิ้ พระธดิ าทเี่ ปน็ เหตใุ หม้ ศี กึ มา ประชิดพระนคร ทรงบริภาษพระธิดาว่ามีพระสวามีเลิศท่ีสุดในชมพูทวีป แลว้ ยงั ทง้ิ มาไดเ้ พยี งเพราะรงั เกยี จรปู โฉมภายนอกของพระสวามี บดั นบ้ี า้ น เมอื งถงึ คราวคบั ขนั หาใครมาชว่ ยเหลอื การศกึ ไมไ่ ด้ พระองคจ์ �ำเปน็ ตอ้ งตดั รา่ งพระธดิ าเปน็ ๗ ท่อน ส่งไปใหพ้ ระราชา ๗ นครเพ่ือสงบศกึ พระนางประภาวดสี ดบั แลว้ ตกพระทยั กลวั รบี เสดจ็ ไปหาพระมารดา กรรแสงไห้คร่�ำครวญทูลขอให้พระมารดาช่วย พระมารดาสงสารพระ ธิดาจึงเสด็จไปเฝ้าพระเจ้ามัททราชขอให้ทรงปรานี แต่พระเจ้ามัททราช ตรัสว่า “ธิดาของเราไม่ท�ำตามค�ำของบิดามารดาละท้ิงพระสวามีมาจน

33 ท�ำให้มีศึกมาติดพระนคร เม่ือเธอเป็นต้นเหตุท�ำให้บ้านเมืองเดือดร้อนก็ ต้องลงโทษเธอ” พระมารดาหมดทางช่วยจึงกลับมาหาพระธิดาประภาวดี ตรัส ว่า “พระเจ้ากุสราชสวามีของลูกเป็นกษัตริย์นครใหญ่และทรงพระปรีชา สามารถ กษตั รยิ เ์ มอื งอน่ื ทวั่ ชมพทู วปี ไมม่ ใี ครหาญกลา้ สพู้ ระองคไ์ ด้ หากลกู ไมห่ ลงมวั เมาในรปู โฉมละทงิ้ พระองค์มา วันน้พี ระเจ้ากุสราชคงจะประทับ อยทู่ ่ีน่ีและช่วยขับไลก่ องทพั ของกษตั รยิ ์ ๗ นครนไี้ ปได้” พระนางประภาวดีหมดหนทางจึงกราบทูลความจริงว่า พระเจ้า กุสราชน้ันประทับอยู่ในนครน้ีแล้วถึง ๗ เดือน แต่พระมารดาไม่เช่ือ ถ้า พระเจา้ กสุ ราชเสดจ็ มาจรงิ แลว้ พระองคป์ ระทบั อยทู่ ไ่ี หน พระนางประภาวดี จึงเปิดบานพระแกลชี้ให้พระมารดาทอดพระเนตรดูพนักงานต้นเครื่องท่ี ก�ำลังกม้ ท�ำงานลา้ งหมอ้ อยู่ ทูลวา่ ชายคนน้ันคอื พระเจา้ กสุ ราช พระมารดาทอดพระเนตรดู พิเคราะห์แล้วว่าเป็นพระเจ้ากุสราช จริง ๆ จึงตรัสเตือนสติพระธิดาว่า “พระเจ้ากุสราชเป็นถึงพระราชานคร ใหญ่ พระเกยี รตยิ ศรำ�่ ลอื ไปทงั้ ชมพทู วปี พระราชาองคไ์ หน ๆ ลว้ นตอ้ งยอม ศโิ รราบแกพ่ ระองค์ แตล่ กู หญงิ จงมองดวู า่ เหตใุ ดพระองคจ์ งึ ยอมทนทำ� งาน เปน็ ตน้ เครอ่ื งอยนู่ ถ่ี งึ ๗ เดอื น ลกู หญงิ มชี ายทรี่ กั และอดทนเพอื่ ความรกั ได้ มากถึงเพียงน้ีจะยังปรารถนาอะไรอกี เลา่ ” พระนางประภาวดีทอดพระเนตรดูพระเจ้ากุสราช ทรงได้สติรู้สึก องค์ว่าตลอดเวลาท่ีผ่านมาน้ันพระนางมองแต่ว่าพระสวามีอัปลักษณ์ ไม่ เคยมองเลยวา่ พระเจา้ กสุ ราชนน้ั ทรงปรชี าสามารถและยอมท�ำทกุ อยา่ งเพอ่ื พระนาง แมแ้ ต่ศักดิศ์ รีความเป็นชายและเกียรติยศของพระราชาผูย้ ิง่ ใหญ่ พระเจ้ากสุ ราชก็น�ำมาทิง้ ไวท้ น่ี ี่เพื่องอนง้อพระนาง ด�ำริแล้วก็เศรา้ พระทยั ทรุดน่ังอยู่ใกล้พระแกล พระมารดาเม่ือรู้ว่าพระเจ้ากุสราชประทับอยู่ท่ีนี่ แล้ว จึงรีบไปกราบทูลให้พระเจ้ามัททราชทรงทราบ พระเจ้ามัททราชรีบ เสด็จไปหาพระเจา้ กสุ ราชและรบั ส่ังให้ตามพระธดิ ามาขอขมา

34 พระเจ้ากุสราชต้องการจะขจัดมานะของพระชายา จึงตักน�้ำราด พ้นื รอบองค์จนพ้ืนเละเป็นโคลน พระชายาประภาวดีเสดจ็ มาถึงดว้ ยความ ส�ำนกึ ผดิ ทรงทงิ้ มานะธดิ ากษตั รยิ ผ์ สู้ งู ศกั ดเิ์ สยี สน้ิ หมอบกราบขอขมาโทษ บนพ้ืนโคลนท่ีแทบพระบาทพระเจ้ากุสราช กราบทูลว่า “เสด็จพ่ีกุสราช หม่อมฉันหลงมัวเมามองความงามของคนเพียงแค่รูปกาย ไม่ได้มองความ งามแท้จริงที่อยู่ภายใน จึงทอดทิ้งพระองค์มา ขอเสด็จพ่ีประทานอภัยให้ หม่อมฉนั ด้วยเถดิ บดั นห้ี ม่อมฉนั เปน็ ต้นเหตุให้เกิดศึกแกส่ าคละ หากแม้น พระองค์ยังทรงมีไมตรีให้หม่อมฉันผู้ส�ำนึกผิด ก็ขอได้โปรดช่วยหม่อมฉัน ด้วย แต่หากแม้นพระองค์ยังคงถือโทษโกรธหม่อมฉันอยู่ หม่อมฉันก็ขอ ยอมตายถวายชีวติ ให้ ขอเพยี งพระองคท์ รงช่วยสาคละใหพ้ น้ ภยั ด้วยเถดิ ” พระเจา้ กสุ ราชทรงเห็นวา่ พระชายาทรงละมานะแลว้ จงึ ทรุดกาย ลงตรสั วา่ “นอ้ งหญิงอยา่ กังวลไปเลย ที่พท่ี งิ้ กุสาวดตี ิดตามนอ้ งหญงิ มาถงึ สาคลนครเพยี งผเู้ ดยี วกด็ ว้ ยความรกั พท่ี นทำ� งานหนกั ไรเ้ กยี รตแิ ละยศศกั ด์ิ อยทู่ นี่ ่ี ไม่ใช้กำ� ลังหาญหักทำ� ลายสาคลนครใหร้ าบคาบแล้วฉุดคร่าพาน้อง หญงิ กลบั คนื ไป กเ็ พราะความรัก ดวงหทยั ของพเี่ ต็มเปีย่ มไปดว้ ยความรัก ท่ีมีให้น้องหญิงต้ังแต่แรกเห็นจนไม่มีส่วนเหลือไว้โกรธเคืองหรือเกลียดชัง เลยแม้เพียงนิด ศึกของสาคละครั้งนี้ อย่าว่าแต่กองทัพเพียง ๗ นครเท่า น้ีเลย ต่อให้มากันเป็นร้อยนครพ่ีก็จะไม่ยอมให้ใครมาย่�ำยีน้องหญิงของพ่ี เป็นอนั ขาด” พระเจ้ากุสราชโอบประคองพระชายาประภาวดีให้ลุกข้ึน ท้ัง สองพระองคท์ รงช�ำระล้างและทรงฉลองพระองค์ใหม่ แล้วพระเจ้ากสุ ราช กก็ ราบทลู ใหพ้ ระเจา้ มทั ทราชพาพระมเหสแี ละพระนางประภาวดเี สดจ็ ขนึ้ ไปประทับดกู ารศึกบนพระต�ำหนกั สว่ นพระองคจ์ ะน�ำทัพเสดจ็ ออกไปจับ กษตั ริยท์ ้งั ๗ นคร พระเจา้ กสุ ราชยกทพั ออกจากประตเู มอื งสาคลนคร ทรงเปลง่ พระ

35 สรุ เสยี งดจุ ราชสหี ์ กมั ปนาทกกึ กอ้ งไปทง้ั ชมพทู วปี ประกาศวา่ “เราคอื พระ เจา้ กสุ ราช ใครรกั ชวี ติ กจ็ งออ่ นนอ้ มกับเราเสียเถิด” กองทัพกษัตริย์ ๗ นคร พอได้ยินสีหนาทของพระเจ้ากุสราชก็ ตกใจกลัวจนขวัญหาย เมื่อเห็นพระเจ้ากุสราชประทับราชรถออกมาก็ย่ิง กลัวพระบารมีพากันว่ิงหนี กองทัพแตกกระจายสภาพไม่ต่างจากฝูงเน้ือ แตกหนรี าชสีห์ พระเจา้ กสุ ราชจบั กษตั รยิ ท์ ง้ั ๗ นครไวไ้ ดโ้ ดยงา่ ย ทา้ วสกั กเทวราช เสดจ็ มาอวยชยั และประทานแกว้ มณใี หด้ วงหนง่ึ จากนน้ั พระเจา้ กสุ ราชกน็ �ำ กษตั รยิ ์ ๗ นครมาถวายพระเจา้ มทั ทราชเพอื่ ลงพระอาญา พระเจา้ มทั ทราช ตรสั วา่ กษตั รยิ ์ ๗ นครนไ้ี มไ่ ดเ้ ปน็ ศตั รขู องพระองค์ แตเ่ ปน็ ศตั รขู องพระเจา้ กสุ ราชโดยตรง ขอให้พระเจ้ากุสราชเป็นผตู้ ดั สนิ พระทัยเอง พระเจ้ากสุ ราชจึงกราบทลู วา่ กษัตริย์ ๗ นครนเ้ี ป็นขัตตยิ ชาติ มี ความองอาจห้าวหาญไม่แพ้ใครในชมพูทวีป หากพระองค์ประทานพระ ธดิ าอกี ๗ องค์ใหแ้ กก่ ษัตรยิ ์เหล่าน้ีก็จะเป็นการผูกสัมพันธไมตรที ่ีดตี อ่ กัน ซง่ึ พระเจา้ มัททราชก็ตกลงและจดั พธิ ีอภิเษกสมรสให้ หลังพิธีอภิเษกสมรสกษัตริย์ ๗ นครกับพระธิดาท้ังหลายแล้ว พระเจ้ากุสราชจึงพาพระนางประภาวดีเสด็จกลับกุสาวดี ท้ังสองพระองค์ ประทับน่ังเคียงข้างกันบนราชรถ และด้วยอานุภาพของแก้วมณีขององค์ อัมรินทร์ พระรูปโฉมของพระเจ้ากุสราชก็หายอัปลักษณ์ แต่กลับงดงาม ดังเทพบุตร เหมาะสมกับพระสิริโฉมอันงดงามของพระนางประภาวดีผู้ เปน็ พระชายาย่ิงนกั เมื่อพระเจ้ากุสราชและพระนางประภาวดีเสด็จกลับถึงกุสาวดี นครแล้ว ก็ได้จัดงานเฉลิมฉลองตลอด ๗ วัน แล้วทั้งสองพระองค์ก็ร่วม กนั ปกครองกุสาวดีให้เจรญิ รุง่ เรอื งยิ่งขึน้ ไปอกี ทรงใหท้ าน รักษาศลี บ�ำรุง สมณะชพี ราหมณ์ ชว่ ยกนั สร้างสมกองกุศลดว้ ยความศรัทธาเสมอกัน

36 โพธดิ าบสและโพธิปรพิ าชกิ า ปญั ญาชนะความโกรธ จาก จลุ ลโพธิชาดก http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=1367 ในอดตี กาล พระโพธิสตั ว์จุตจิ ากพรหมโลก เกดิ เปน็ บตุ รพราหมณ์ ตระกูลมัง่ คง่ั ในแคว้นกาสี บิดามารดาให้ช่อื ว่า โพธกิ ุมาร คร้งั น้ันพระนาง ยโสธราก็จตุ ิมาจากพรหมโลกเชน่ เดยี วกัน มาเกิดเป็นกมุ ารีรปู งามตระกลู ม่งั คงั่ อกี ตระกูลหนึ่งในแควน้ กาสี คร้ันเจริญวัยขึ้น โพธิกุมารได้ไปร�่ำเรียนสรรพวิชาท่ีเมืองตักศิลา ส�ำเร็จการศึกษาแล้วบิดามารดาได้จัดการน�ำกุมารีมาให้เป็นภรรยา เนอ่ื งจากจุตมิ าจากพรหมท้ังคู่ แมร้ ูปโฉมจะงามราวเทพบตุ ร เทพธิดา แต่ กไ็ มม่ ใี จฟงุ้ ซา่ นดว้ ยกเิ ลส ทงั้ สองไมม่ ใี จในการครองเรอื นเลย แมจ้ ะอยรู่ ว่ ม ห้องกัน แตท่ ้ังสองกไ็ มเ่ คยแลดูกนั ด้วยอ�ำนาจแห่งราคะ ท้ังสองเปน็ ผูท้ รง ศลี บรสิ ทุ ธิ์ ข้นึ ชอ่ื วา่ เมถนุ ธรรมต่างไมเ่ คยข้องเกี่ยวด้วยแมใ้ นความฝนั ตอ่ มาเมอ่ื บดิ ามารดาถงึ แกก่ รรมแลว้ โพธกิ มุ ารจงึ บอกกมุ ารภี รยิ า ว่า “เธอจงรบั ทรัพย์ ๘๐ โกฏนิ ีไ้ วเ้ ถดิ เราจกั ออกบวชในป่าหมิ พานต์เพื่อ ทำ� ที่พง่ึ แก่ตน” นางกุมารีภริยาถามวา่ “การบวชน้นั ทำ� ได้แตบ่ ุรุษเทา่ นน้ั หรือ” โพธกิ มุ ารตอบว่า “สตรีก็บวชได”้ กมุ ารภี รยิ าจงึ กลา่ ววา่ “ถา้ เชน่ นน้ั ดฉิ นั กไ็ มข่ อรบั เขฬะ (นำ�้ ลาย) ที่ ทา่ นถม่ ทงิ้ ไว้ (หมายถงึ ขยะเหลอื ทง้ิ เนอ่ื งจากทา่ นเหน็ วา่ ทรพั ยท์ างโลกไม่ ก่อให้เกดิ ประโยชน)์ ดิฉันจะออกบวชดว้ ย” ตกลงกนั ดงั นน้ั แลว้ ทงั้ สองกเ็ อาทรพั ยม์ าบรจิ าคทานเปน็ การใหญ่ แลว้ ออกบวชไปสรา้ งอาศรมเลก็ ๆ เลยี้ งชวี ติ ดว้ ยผลาผลอยใู่ นปา่ กาลเวลา

37 ผา่ นไป ๑๐ ปี ฌานสมาบตั ยิ งั ไมบ่ งั เกดิ แกด่ าบสและปรพิ าชกิ าเลย ทงั้ สอง จงึ ออกจากปา่ จารกิ เรอื่ ยไปในชนบท จนกระทง่ั มาถงึ นครพาราณสจี งึ เขา้ ไป พกั อาศยั อย่ใู นพระราชอทุ ยาน วนั หนงึ่ พระเจา้ พาราณสเี สดจ็ ประพาสอทุ ยาน ทอดพระเนตรเหน็ โพธิดาบสและโพธปิ ริพาชิกา โพธปิ รพิ าชกิ านนั้ แม้อยู่ในเพศนักบวชก็ยงั ดู งามเลศิ กวา่ สนมในวงั นับหมื่น มีเสนห่ เ์ ป็นที่ต้องตา ท�ำใหพ้ ระเจา้ พาราณ สมี ดี วงหฤทยั ปฏิพัทธด์ ้วยอ�ำนาจของกิเลส พระเจา้ พาราณสตี รสั ถามโพธดิ าบสวา่ “ปรพิ าชกิ าผนู้ เ้ี ปน็ อะไรกบั ท่าน เป็นภริยา หรือเป็นนอ้ งสาว หรอื เปน็ ใครอืน่ ” โพธิดาบสตอบว่า “เมื่อคร้ังเป็นคฤหัสถ์ นางเป็นภรรยาของ ข้าพเจา้ แต่บดั นข้ี า้ พเจา้ ท้ังสองเปน็ นกั บวช ประพฤตธิ รรมเดยี วกัน เป็น ผถู้ ือพรหมจรรยเ์ สมอกนั ” พระเจา้ พาราณสที รงลองหยงั่ เชงิ ดวู า่ วา่ ถา้ พระองคน์ �ำนางไป พระ ดาบสจะท�ำอยา่ งไร ตรสั ถามวา่ “ดกู อ่ นทา่ นดาบส ถา้ มใี ครใชก้ ำ� ลงั ฉดุ ครา่ พานางปรพิ าชกิ าผู้น้ีไป ท่านจะท�ำอยา่ งไร” โพธิดาบสตอบว่า “หากใครมาฉุดรั้งนางไปข้าพเจ้าย่อมต้องโกรธ แน่ แต่ข้าพเจ้าจะระงับความโกรธนั้นให้เสื่อมไป แต่หากความโกรธของ ข้าพเจ้าไม่เสื่อม ข้าพเจ้าก็จะข่มห้ามความโกรธนั้นเสียด้วยเมตตาภาวนา โดยพลนั ” พระราชาผู้ก�ำลังมีก�ำหนัดหนักในนางปริพาชิกา มีพระหทัยบอด แลว้ ดว้ ยอ�ำนาจของกามราคะ เมอื่ ไดฟ้ งั พระดาบสดงั นน้ั จงึ รบั สง่ั ใหบ้ รวิ าร ฉดุ บังคบั พานางปริพาชิกาไปที่พระราชวัง ฝ่ายพระดาบสเม่ือเห็นนางปริพาชิกาถูกบังคับพรากไปต่อหน้า ความโกรธก็ปรากฏขนึ้ ดจุ อสรพิษถูกฉุดดงึ ออกจากรูบนจอมปลวก คดิ ว่า นางนน้ั ไมเ่ ปน็ ทรี่ กั ของเรากห็ ามไิ ด้ ดว้ ยชาติ ตระกลู มารยาท และบรรพชา

38 ไม่มอี ะไรท่ีท�ำใหเ้ ราไม่รกั นาง แม้ก�ำลงั ของเราก็มีมากดงั ช้างสาร อยากจะ ลกุ ขน้ึ บดขยี้ราชบุรษุ ทกี่ �ำลงั ฉุดลากนางนนั้ แตเ่ ม่ือหวนคดิ ว่าตนออกบวช ก็เพราะปรารถนาพระโพธิญาณ การบรรลุโพธิญาณได้นั้นต้องรักษาศีล มิให้ขาดในท่ีทั้งปวง พระสัพพัญญุตาญาณน้ีเป็นที่รักของเรายิ่งกว่านาง ปรพิ าชกิ ารอ้ ยเทา่ พนั เทา่ แสนเทา่ เราจะอดทนอดกลน้ั ความโกรธไว้ แมใ้ คร จะแทงหรอื ฟนั รา่ งนางใหข้ าดเปน็ ชน้ิ ๆ เรากจ็ ะไมเ่ ผลอท�ำลายศลี บารมขี อง เรา ด�ำริแลว้ โพธดิ าบสกข็ ม่ ใจไว้ไมย่ อมแลดูนางอีก เม่ือราชบุรุษน�ำนางปริพาชิกาไปสู่พระราชนิเวศน์แล้ว พระเจ้า พาราณสีก็เสด็จตามไป เกล้ียกล่อมนางด้วยลาภยศเป็นอันมาก นาง ปริพาชิกาไม่สนใจพรรณนาโทษของยศและคุณของการบวชให้พระราชา ฟัง พระราชาสดับธรรมแล้วด�ำริว่า “ปริพาชิกาผู้น้ีเป็นผู้มีศีล มีกัลยาณ ธรรม แม้พระดาบสนั้นเม่ือปริพาชิกาถูกฉุดคร่ามาก็มิได้แสดงอาการผิด ปกติแต่อย่างใดเลย การท�ำผิดล่วงเกินผู้มีคุณธรรมเหมือนนักบวชสอง ท่านนี้ไม่สมควร” ด�ำริแลว้ พระองค์จงึ รับสัง่ ให้บรวิ ารพานางปริพาชกิ าไป ส่งคืนท่รี าชอุทยาน ขณะเมื่อบริวารเตรียมตัวไปส่งปริพาชากา พระราชาก็เสด็จล่วง หน้าไปหาโพธิดาบสก่อน ทอดพระเนตรเห็นโพธิดาบสน่ังเย็บจีวรไม่รู้ตัว แมพ้ ระองคจ์ ะเสดจ็ เขา้ ไปใกลแ้ ลว้ กย็ งั ไมร่ ตู้ วั พระราชาเขา้ ใจวา่ พระดาบส โกรธ ไมย่ อมเจรจาด้วย ตรสั ถามว่า “ทา่ นบรรพชติ ผู้เจริญ เม่ือข้าพเจ้าพา นางปริพาชิกานั้นไป ทา่ นรู้สึกโกรธข้าพเจ้าบ้างหรือไม่” โพธดิ าบสไดฟ้ งั จึงกราบทูลว่า “ขา้ แต่มหาบพติ ร เมอ่ื ทา่ นพานาง ไปขา้ พเจา้ ยอ่ มโกรธ แตข่ า้ พเจา้ หา้ มความโกรธนนั้ ไวไ้ ด้ ประดจุ หา่ ฝนชำ� ระ ผืนแผน่ ดนิ ” พระราชาทรงขอให้ทรงอธิบายว่า ห้ามความโกรธ ประดุจห่าฝน ช�ำระผืนแผ่นดิน เป็นอย่างไร โพธิดาบสจึงอธิบายว่า สามารถห้ามความ โกรธด้วยปญั ญาคือ

39 “เมื่อความโกรธเกิดขึ้นแล้ว บุคคลย่อมไม่เห็นประโยชน์ตน ประโยชนผ์ อู้ ื่น เมื่อความโกรธไม่เกิดขึ้น บุคคลย่อมเห็นได้ดี ความโกรธเป็น อารมณข์ องคนไร้ปัญญา ชนทง้ั หลายยอ่ มยนิ ดดี ว้ ยความโกรธทเ่ี กดิ ขนึ้ แลว้ ชอื่ วา่ เปน็ ศตั รู แกต่ ัวเอง หาความทกุ ขใ์ ส่ตวั ความโกรธเปน็ อารมณข์ องคนไร้ปญั ญา. อนง่ึ เมอ่ื ความโกรธเกดิ ขน้ึ บคุ คลยอ่ มไมร่ จู้ กั ประโยชนต์ น ความ โกรธเป็นอารมณ์ของคนไรป้ ญั ญา. ผทู้ ถี่ กู ความโกรธครอบงำ� แลว้ ยอ่ มละทงิ้ กศุ ลเสยี แลจะซดั สา่ ย ประโยชนแ์ มม้ ากมายได้ เขาประกอบดว้ ยเสนาคอื กเิ ลสหมใู่ หญท่ น่ี า่ กลวั มกี ำ� ลงั สามารถปราบผูอ้ น่ื ให้อย่ใู นอำ� นาจได้ ธรรมดา ไฟย่อมเกิดข้ึนท่ีไม้สีไฟอันบุคคลสีอยู่ ไฟเกิดขึ้นแต่ ไม้ใด ยอ่ มเผาไม้นั้นเองให้ไหม้ ความโกรธย่อมเกิดขึ้นแก่คนพาล ผู้โฉดเขลาไม่รู้จริง เพราะ ความแข่งดี แมเ้ ขากถ็ กู ความโกรธนัน้ แหละเผาลน ความโกรธยอ่ มเจรญิ ขนึ้ แกผ่ ใู้ ด ดจุ ไฟเจรญิ ขน้ึ ในกองหญา้ แลไม้ ฉะน้ัน ยศของบุคคลนนั้ ย่อมเสือ่ มไป เหมือนพระจนั ทรข์ า้ งแรม ฉะนั้น ความโกรธของผ้ใู ดสงบลงได้ประดจุ ไฟทไี่ ม่มเี ชอื้ ฉะน้ัน ยศของ ผูน้ ้นั ยอ่ มเต็มเปี่ยมเหมือนพระจันทรข์ ้างข้นึ ฉะนัน้ ” พระราชาฟังธรรมจากโพธิดาบสแลว้ เล่อื มใส เมือ่ ราชบรุ ุษพานาง ปรพิ าชกิ ามาถงึ พระราชาจงึ ได้ขอขมาโทษทา่ นท้ังสอง โพธดิ าบสและนางปริพาชกิ าอาศยั อยู่ในราชอุทยานน้นั ตอ่ มา จน เมอ่ื นางปรพิ าชกิ าสิ้นชวี ิตลง โพธดิ าบสจงึ เดินทางออกจากราชอุทยานไป สู่ปา่ หมิ พานต์ ยงั ฌาณและสมาบตั ิให้เกดิ เม่ือสนิ้ ชวี ิตแลว้ กไ็ ปส่พู รหมโลก

40 อุทยั ภัทรและอุทัยภทั รา สัญญาจะเกื้อกลู จาก อุทยชาดก http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=1526 พระโพธิสัตว์และพระนางยโสธราบ�ำเพ็ญฌานสมาบัติ ส้ินชีวิต แล้วไปอุบัติในพรหมโลกอยู่นานแสนนาน คร้ันจุติจากพรหมโลกแล้วท้ัง สองมาเกดิ เป็นโอรสและธดิ าของพระเจ้ากาสี กรงุ พาราณสี พระโพธสิ ตั ว์ เกดิ เปน็ ราชโอรสอคั รมเหสพี ระนามวา่ อทุ ยั ภทั ร สว่ นพระนางยโสธราเกดิ เปน็ พระกนิษฐาต่างมารดามีนามว่า อทุ ยั ภัทรา เม่ืออุทัยภัทรกุมารเจริญวัยข้ึนเรียนจบศิลปศาสตร์ ทรงเป็นพระ กมุ ารผ้มู พี ระปรีชาสามารถ พระเจา้ กาสีจึงด�ำริจะมอบราชสมบตั ใิ ห้พรอ้ ม กบั หากลุ ธิดามาอภเิ ษกให้เปน็ อัครมเหสี แต่อุทยั ภทั รกุมารไม่ประสงค์จะ ครองเรอื นเพราะทรงประสงคจ์ ะประพฤตพิ รหมจรรย์ มไิ ดม้ คี วามตอ้ งการ ด้วยราชสมบตั ิ จติ ของพระองคม์ ิไดพ้ วั พนั ในกองกิเลสเลย พระองค์จึงหา ทางบ่ายเบี่ยงโดยให้ช่างทองสร้างสตรีรูปงามด้วยทองค�ำสุกปล่ัง ตกแต่ง ดว้ ยอาภรณเ์ ป็นนารงี ามเลิศ น�ำไปถวายพระราชบดิ า กราบทลู ว่า “หาก เมอื งมนษุ ย์มหี ญิงใดงามเท่ารปู ทองค�ำนจ้ี งึ จะอภเิ ษกสมรสด้วย” พระเจ้ากาสีรับสั่งให้อ�ำมาตย์น�ำรูปทองค�ำนั้นไปเท่ียวตระเวนหา หญิงงามตามหัวเมืองต่างๆ ทั่วชมพูทวีป แต่ไม่พบหญิงใดงามเสมอรูป ทองค�ำนน้ั เลย มเี พยี งพระธดิ าอทุ ยั ภทั ราผเู้ ดยี วเทา่ นน้ั ทง่ี ามจนขม่ รปู ทอง ให้หมองไป พระเจ้ากาสีจึงมอบราชสมบัติให้อุทัยภัทรกุมาร และอภิเษก สมรสพระธดิ าอทุ ยั ภัทราเป็นอัครมเหสี พระเจ้าอุทัยภัทรและพระนางอุทัยภัทราประทับร่วมห้องบรรทม เดยี วกัน แตด่ ้วยอปุ นิสัยทีต่ ิดมาจากพรหมโลกทง้ั คู่ ทง้ั สองพระองคจ์ ึงให้ ความเคารพกันในฐานะท่ีเป็นคู่ครอง แต่ไม่มีใจปรารถนาในกามสุขเลย

41 ทรงประพฤติพรหมจรรย์ และให้ปฏิญญาต่อกันว่าหากใครส้ินพระชนม์ ก่อน เมื่อไปอุบตั ิในที่ใดตอ้ งกลับมาบอกอกี ฝ่ายหนง่ึ ด้วย กาลเวลาล่วงมาได้ ๗๐๐ ปี พระเจ้าอุทัยภัทรก็สวรรคตไปก่อน พระนางอุทัยภัทราทรงเป็นผู้ส�ำเร็จราชการ โดยมีหมู่อ�ำมาตย์ช่วยกัน บรหิ ารบา้ นเมอื งสบื ตอ่ มา พระเจา้ อทุ ยั ภทั รเมอื่ สวรรคตแลว้ ไดไ้ ปอบุ ตั เิ ปน็ ท้าวสักกเทวราชจอมเทพแหง่ สวรรคช์ น้ั ดาวดึงส์ แตเ่ พราะทรงเปน็ เทวดา ยศใหญ่ พระองคจ์ งึ ไมส่ ามารถจ�ำความหลังในโลกมนุษย์ได้เลยตลอดเวลา หน่ึงสัปดาห์สวรรค์ หรือเท่ากับ ๗๐๐ ปีในโลกมนุษย์ เม่ือพระองค์ทรง ระลึกได้ถึงปฏิญญาท่ีเคยให้ไว้แก่พระมเหสีจึงรีบเสด็จมาหาพระนางอุทัย ภัทราทนั ที คนื นนั้ ทา้ วสกั กเทวราชทรงถอื ถาดทองบรรจเุ หรยี ญมาสกทองค�ำ เตม็ ถาด เสดจ็ เขา้ ไปหาพระนางอทุ ยั ภทั ราในหอ้ งบรรทมบนปราสาทชนั้ เจด็ ตรสั กบั พระนางวา่ “ดกู อ่ นพระนอ้ งนางผู้มีสรีระงาม มีดวงเนตรคมขำ� ดัง กินรี ราตรนี ้ีเราสองพึงร่วมอภิรมยส์ มรกั กนั ในหอ้ งบรรทมอลงกตนเี้ ถิด” พระนางอทุ ยั ภทั ราแปลกพระทยั ถามวา่ “ทา่ นเปน็ ใครกนั เหตไุ ฉน จึงสามารถผา่ นก�ำแพงเมอื ง และฝา่ กองทหารนับหมนื่ เข้ามาถึงทีน่ ีไ่ ด”้ ทา้ วสกั กเทวราชตรสั ตอบว่า “เราคือเทวดาประจ�ำตำ� หนกั น้ี หาก น้องนางยินดอี ภิรมย์ดว้ ย เราจะมอบถาดพรอ้ มมาสกทองคำ� นใ้ี ห้” พระนางอทุ ยั ภทั ราสดบั แลว้ ตรสั ตอบวา่ “อยา่ เลยเทวดา นอกจาก พระเจา้ อทุ ยั ภทั รแลว้ มนษุ ยห์ รอื เทวดาองคใ์ ดขา้ พเจา้ ไมเ่ คยคดิ ปรารถนา ดูกอ่ นเทพบุตรผู้มอี านุภาพ ท่านกลับไปเสยี เถิด อยา่ มาหาข้าพเจา้ อีก” ทา้ วสักกเทวราชจึงหายวบั ไปจากทน่ี น้ั คืนต่อมาเวลาเดิม ท้าวสักกเทวราชกลับมาอีกครั้งพร้อมถาดเงิน เตม็ เปย่ี มดว้ ยเหรยี ญมาสกทองค�ำ ตรสั กบั พระนางอทุ ยั ภทั ราวา่ “พระธดิ า ผู้เจรญิ เมถุนกามนัน้ เปน็ ความสขุ สงู สุดทีม่ นุษยท์ กุ คนปรารถนา พระธิดา

42 อย่าพลาดจากความสุขอย่างน้ันเลย วันน้ีเราจะมอบถาดเงินเต็มไปด้วย เหรียญทองนแ้ี กพ่ ระธิดา” พระนางอทุ ยั ภทั ราด�ำรวิ า่ ถา้ สนทนาปราศรยั ดว้ ยเทพบตุ รนคี้ งมา บ่อย ๆ พระนางจึงเงียบเสยี ท้าวสกั กเทวราชเห็นพระนางไม่ตรสั จงึ หาย วับไปจากทนี่ ั้น คืนต่อมา ท้าวสักกเทวราชทรงถือถาดโลหะเต็มไปด้วยเหรียญ กษาปณเ์ สดจ็ มาหาอกี ตรสั วา่ “พระเทวผี เู้ จรญิ เรามาปรนเปรอกามดว้ ยกนั เถิด ค�ำ่ คนื นเ้ี ราจะมอบถาดโลหะเตม็ ไปด้วยเหรียญกษาปณ์น้ใี หน้ ้องนาง” พระนางอทุ ยั ภทั ราตรสั ตอบวา่ “ดกู อ่ นเทพบตุ รผมู้ รี ปู งาม ธรรมดา ชายใดหมายจะใหห้ ญงิ เอออวยดว้ ยทรพั ย์ เขายอ่ มใหร้ าคาสงู ขนึ้ จนกวา่ จะ ถงึ ความพอใจของหญิง แตท่ ่านกลับทำ� ตรงกนั ข้าม ท่านให้ราคาลดลง” ทา้ วสกั กเทวราชจงึ ตรสั วา่ “ดูกอ่ นพระธดิ าผเู้ ลอโฉม วรรณะของ มนุษยโ์ ลกนน้ั เสือ่ มทรามลงทุกวันตามวัยทลี่ ่วงเลย ทรพั ยส์ �ำหรบั พระธดิ า จึงจ�ำตอ้ งลดลงดว้ ย เพราะวนั นพ้ี ระธดิ าชราลงกว่าวันก่อน ดกู อ่ นราชบตุ รผี ทู้ รงยศ ขณะทเี่ รากำ� ลงั เพง่ มองอยนู่ ี้ ฉววี รรณของ เธอกก็ �ำลงั เสอื่ มลงตามวันคืนท่ลี ว่ งไป ดูก่อนราชบตุ รีผู้ปรชี า เพราะเหตุน้นั เธอพึงประพฤตพิ รหมจรรย์ เสียแต่วนั นท้ี เี ดียว จะไดม้ ฉี วีวรรณงดงามยง่ิ ขึ้นไปอกี ” พระนางอุทัยภทั ราจึงตรัสถามวา่ “ดกู อ่ นเทพบตุ ร พวกเทวดาไม่ แก่ชราเหมือนมนุษย์หรืออย่างไร? เทวดาไม่มีเส้นเอ็นเหมือนอย่างมนุษย์ หรือ? ดูก่อนเทพบุตร ข้าพเจ้าอยากรู้ว่าร่างกายของเทวดาเป็นอย่างไร หนอ?” ท้าวสักกเทวราช ตรัสบอกพระนางว่า “เทวดาไม่แก่ชราเหมือน

43 มนุษย์ ร่างกายของเทวดาไม่มีเส้นเอ็น ฉวีวรรณของเทวดาเป็นทิพย์มีแต่ ผดุ ผอ่ งย่ิงขน้ึ ทกุ วันๆ และโภคสมบตั กิ ไ็ พบูลย์ข้นึ ในหมมู่ นษุ ย์ ความเสอื่ มถอยของรปู กายเปน็ ประจกั ษพ์ ยานวา่ เกดิ มานาน แต่ในหมู่เทวดา รูปสมบัตทิ ล่ี ะเอยี ดงดงามข้นึ และบรวิ ารสมบตั ทิ ่ี เพม่ิ พูนข้นึ เปน็ ประจักษ์พยานวา่ เกดิ มานานแลว้ เพราะเหตนุ น้ั พระนอ้ งนางจงออกผนวชเสยี เถดิ พน้ จากมนษุ ยโ์ ลก อนั มแี ตค่ วามเส่อื มถอยนี้แล้วจะได้ไปสเู่ ทวโลก” พระนางอุทัยภัทราตรสั วา่ “หมู่ชนเป็นอนั มากในโลกน้ี กลัวอะไร เลา่ จงึ ไมไ่ ปเทวโลกกนั เมอื่ ผรู้ ู้ ผมู้ ปี ญั ญาบอกถงึ ทางไปเทวโลกไวห้ ลายทาง ขา้ พเจ้าขอถามท่าน ท�ำเชน่ ไรเราจงึ ไมก่ ลวั การตาย” ทา้ วสกั กเทวราชตรสั บอกวา่ “บุคคลใดต้งั ใจไวช้ อบ มีวาจาชอบ รกั ษากายใหเ้ วน้ จากการทำ� บาปตา่ งๆ ประพฤตมิ นั่ ในกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ประการ เช่ือมั่นในผลของทาน ยินดีในการให้ทาน สุภาพอ่อนโยน มี วาจาน่าคบหาเปน็ สหาย บุคคลนั้นยอ่ มไม่กลวั การตาย” พระนางอทุ ยั ภทั ราชน่ื ชมในค�ำสอนนน้ั จงึ ตรสั ถามวา่ “ขา้ แตท่ า่ นผู้ มผี วิ พรรณงาม ทา่ นสอนขา้ พเจา้ ดงั บดิ าสอนบตุ ร ขา้ พเจา้ ขอถามทา่ นตาม ความเปน็ จรงิ ว่าท่านเปน็ ใครกันหนอจงึ มรี า่ งกายสง่างามนัก” ท้าวสักกเทวราชจึงตรัสตอบว่า “ดูก่อนพระน้องนางอุทัยภัทรา เราคือพระเจา้ อุทยั ภัทร มาท่นี ี่ตามท่เี คยสัญญากนั ไว้ บดั นีเ้ รามาบอกเธอ แล้วก็จะขอลาไป” พระนางอุทัยภัทราทรงดีพระทัยจนน�้ำพระเนตรไหล เปล่งวาจา วา่ “ทลู กระหม่อม พระองคค์ ือพระเจา้ อทุ ยั ภัทร หมอ่ มฉนั ไมอ่ าจอยู่ห่าง จากพระองค์ได้ โปรดสอนวธิ ีที่หมอ่ มฉนั จะได้พบพระองค์อกี เถดิ เพคะ” ท้าวสักกเทวราชจึงตรัสสอนพระนางว่า “อายุล่วงไปรวดเร็วยิ่ง

44 นัก เวลากเ็ ช่นกัน การดำ� รงของสง่ิ ตา่ งๆ ไม่ย่ังยนื สัตวท์ งั้ หลายจะต้อง ตายในวันหน่ึง ร่างกายและพละก�ำลังก็มีแต่เส่ือมถอยลง ขอเธออย่า ประมาท จงประพฤตธิ รรมเถิด ถงึ จะไดค้ รอบครองทรพั ยท์ ้ังโลก ไมป่ รารถนาจะท้งิ ไปกต็ ้องท้งิ ไปเมื่อตาย ขอเธอจงอย่าประมาท จงประพฤตธิ รรมเถิด ทุกคนต่างต้องทิ้ง มารดา บิดา พ่ีชาย น้องชาย พี่สาว น้อง สาว ภริยาและสามีไปในวันหน่ึง พร้อมท้ังทรัพย์ ขอเธออย่าประมาท จงประพฤติธรรมเถิด พึงระลึกไว้ว่า สุดท้ายร่างกายท่ีเป็นซากศพก็จะต้องตกเป็น อาหารของสัตวอ์ ่ืนๆ ทัง้ ภพภมู ิท่ีดีและไม่ดใี นวฏั สงสารนล้ี ว้ นเป็นท่ีพกั พงิ ชวั่ คราว ขอเธอจงอยา่ ประมาท จงประพฤตธิ รรมเถดิ ” ท้าวสักกเทวราชประทานโอวาทจบแล้ว ก็เสด็จกลับสู่ดาวดึงส์ หลงั จากไดร้ บั โอวาทจากทา้ วสกั กเทวราชแลว้ วนั รงุ่ ขนึ้ พระนางอทุ ยั ภทั รา ก็จัดการมอบราชสมบัติให้พวกอ�ำมาตย์ แล้วออกบวชประพฤติพรตอยู่ ในราชอุทยาน เม่ือสิ้นอายุขัยแล้วก็ไปบังเกิดเป็นบาทบริจาริกาของท้าว สักกเทวราชในเทวโลก บตุ รพราหมณแ์ ละสมั มลิ ลหาสนิ กี มุ ารี รักแทไ้ มท่ อดทิ้ง แต่ไมอ่ าลยั จาก อนนุโสจยิ ชาดก http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=610 ในอดีตกาล พระนางยโสธราส�ำเร็จฌานสมาบัติไปอุบัติในพรหม โลกเสวยพรหมสมบัติอยู่นานแสนนาน ครั้นจุติแล้วได้ไปเกิดในตระกูล เศรษฐีมีทรัพย์ ๘๐ โกฏิ อยู่ในแคว้นกาสี มนี ามวา่ สัมมลิ ลหาสินีกุมารี

45 สัมมิลลหาสินีเป็นกุมารีรูปงาม ความงามของเธอเปรียบได้กับ เทพอัปสร มกี ิรยิ าเรียบรอ้ ย น่ารกั น่าดนู า่ ชม และเน่อื งจากเปน็ ผู้มาจาก พรหมโลก เธอจงึ เปน็ หญงิ พรหมจารนิ ี ไมม่ ีอ�ำนาจกิเลสตัณหาแมเ้ พียงนิด เจือปนในจิตใจ ในครั้งน้ัน พระโพธิสัตว์ก็ได้จุติจากพรหมโลก มาอุบัติในตระกูล พราหมณ์เศรษฐี ๘๐ โกฏิ แห่งนครพาราณสี เมื่อเจริญวัยข้ึนเล่าเรียน ศิลปะในส�ำนักตักศิลาจนเจนจบแล้วบิดามารดาด�ำริจะหาคู่ครองให้ แต่ บตุ รพราหมณ์ไมป่ รารถนาการครองเรือน จึงบ่ายเบี่ยงบิดามารดาเรอ่ื ยมา เมอื่ ถกู บิดามารดารบเรา้ บอ่ ยเขา้ บุตรพราหมณจ์ ึงออกอุบายหลกี เล่ียงการครองเรือนโดยให้ช่างปั้นทองค�ำเป็นรูปหญิงงาม บอกว่าตนเอง ยนิ ดจี ะครองเรือนหากบดิ ามารดาหาหญิงงามเช่นรูปทองนไี้ ด้ บดิ ามารดา จงึ ใหบ้ ริวารแหร่ ปู ทองไปค้นหาหญิงงามท่วั ท้งั ชมพทู วปี ขบวนแห่รูปทอง ผา่ นมาใกลห้ นา้ เรอื นของสมั มลิ ลหาสนิ กี มุ ารี ตงั้ รปู ทองไวร้ มิ ทางคอยสงั เกต อาการของคนทเี่ ดนิ ผา่ นไปมา บรวิ ารในเรอื นนนั้ ออกมาเหน็ รปู ทองตง้ั อยกู่ ็ เขา้ มาถามว่า “สมั มลิ ลหาสินี ทำ� ไมแมจ่ ึงมายนื อยูท่ น่ี ่ีคนเดียว” พอเหลา่ บรวิ ารขบวนแหไ่ ดย้ นิ กร็ วู้ า่ ลกู สาวบา้ นนรี้ ปู งามเหมอื นรปู ทอง จงึ น�ำความ กลบั ไปบอกเศรษฐี เศรษฐจี ึงมาสู่ขอสัมมลิ ลหาสนิ ีไปเปน็ สะใภ้ เม่ือพระโพธิสัตว์บุตรพราหมณ์และสัมมิลลหาสินีกุมารีวิวาห์กัน แล้ว แม้จะนอนร่วมเตียงเคยี งหมอนกัน แตท่ ง้ั สองไม่เคยเกิดกเิ ลสตัณหา เลย ไม่เคยแลดกู นั ดว้ ยอ�ำนาจราคะ ทงั้ สองอยูร่ ว่ มกนั เหมอื นภกิ ษุ ๒ รูป อยู่รว่ มห้อง เหมือนพรหม ๒ องค์อยูใ่ นท่เี ดียวกนั กาลเวลาผ่านไป บิดามารดาของพระโพธิสัตว์บุตรพราหมณ์ก็ถึง กาลกริ ยิ า เมอ่ื ท�ำฌาปนกจิ สรรี ะบดิ ามารดาแลว้ พราหมณโ์ พธสิ ตั วจ์ งึ บอก นางสมั มลิ ลหาสนิ ภี รยิ าวา่ “บดิ าและมารดาพตี่ ายแลว้ ทงิ้ ทรพั ยข์ องตระกลู ไว้ ๘๐ โกฏิ สว่ นบดิ ามารดาของเธอกท็ ิง้ ทรัพยไ์ ว้ ๘๐ โกฏเิ หมอื นกนั พีไ่ ม่

46 ปรารถนาทรัพย์ท้ังหลายเหล่าน้ี ขอยกให้เธอท้ังหมด ส่วนพี่จะออกบวช แสวงหาความสุขในธรรม” สมั มลิ ลหาสนิ กี ลา่ ววา่ “ขา้ แตพ่ ท่ี า่ น ดฉิ นั ออกเรอื นเปน็ ภรรยาทา่ น แลว้ ภรรยามหี นา้ ทป่ี รนนบิ ตั สิ ามี ดฉิ นั ไมอ่ าจละทงิ้ หนา้ ทป่ี ลอ่ ยใหท้ า่ นอยู่ ลำ� พงั คนเดยี วได้ เม่อื ท่านพคี่ ิดจะออกบวชดฉิ ันก็จะบวชดว้ ย” เมื่อต่างคนต่างไม่ห่วงสมบัติประสงค์จะบวชด้วยกันท้ังคู่ ท้ังสอง จึงช่วยกันน�ำทรัพย์มาบริจาคเป็นทานจนหมด แล้วออกบวชเป็นดาบส และดาบสินี เข้าไปบ�ำเพญ็ พรตอยู่ในปา่ อาศยั ผลหมากรากไมเ้ ปน็ อาหาร ดาบสและดาบสินีอาศัยอยู่ในป่าเป็นเวลานาน อาศัยผลไม้และรากไม้ใน ป่าเป็นอาหารเลี้ยงชวี ิต นานวนั เกดิ มีความอยากอาหารรสเค็ม รสเปรยี้ ว บา้ ง จงึ ออกจากป่าเขา้ ไปอาศัยอยู่ในสวนในเมือง แต่เมือ่ ไดบ้ รโิ ภคอาหาร แปลกรสทไี่ มค่ นุ้ เคย ดาบสนิ จี ึงลม้ ป่วย และอาการก�ำเริบหนกั ข้นึ ทกุ วนั เพราะไม่มยี ารักษา เมือ่ ถงึ เวลาบณิ ฑบาต ดาบสจึงออกบณิ ฑบาตเพียงล�ำพงั วนั หนง่ึ อาการป่วยของดาบสสินีก�ำเริบหนัก แม้ดาบสและดาบสินีท้ังสองจะไม่มี ราคะตณั หาตอ่ กนั แตค่ วามรกั ความหว่ งใยกนั ระหวา่ งสามภี รรยายงั คงมอี ยู่ ดาบสนิ สี ง่ สายตาเฝา้ แลมองวา่ เมอื่ ไรหนอพระดาบสจะกลบั มา แตย่ งั ไมท่ นั ทที่ ่านดาบสจะกลับ ดาบสนิ ีกข็ าดใจเสยี ชีวิตไปเสยี ก่อน คนท่เี ดนิ ผา่ นไป มา เหน็ ดาบสนิ นี อนตายอยรู่ มิ ทางจงึ เขา้ มามงุ ดู บางคนเหน็ แลว้ นำ�้ ตาไหล รอ้ งไหส้ งสารทด่ี าบสนิ รี ปู งามตอ้ งมานอนตายอยรู่ มิ ทางทงั้ ทยี่ งั อยใู่ นวยั สาว ฝา่ ยพระดาบสกลบั มาเหน็ ดาบสนิ นี อนนง่ิ ตวั แขง็ ซดี รวู้ า่ ภรยิ าของ ตนตายแลว้ ท่านดาบสยืนพจิ ารณาสังขารดาบสสนิ เี พียงชัว่ ครูด่ ้วยอาการ ปกติ แล้วน่ังลงฉันอาหารตามปกติ เหล่าพวกคนท่ียืนมุงดูอยู่เห็นอาการ สงบของทา่ นดาบสจงึ ถามวา่ “ทา่ นผเู้ จรญิ ปรพิ าชกิ าผนู้ เ้ี ปน็ อะไรกบั ทา่ น”

47 ท่านดาบสตอบวา่ “เมื่อตอนเป็นคฤหสั ถ์ เธอเปน็ ภรยิ าของเรา” “ทา่ นดาบสผเู้ จรญิ พวกเราเหน็ ภรยิ าของทา่ นตอ้ งมาตายเสยี ในวยั สาวยงั อดรำ�่ ไหด้ ว้ ยความเสยี ใจและเสยี ดายรปู งามของนางไมไ่ ด้ แตเ่ หตใุ ด ท่านจึงสงบนิง่ อย่ไู ด้ ไมร่ ้องไห้ ไมเ่ ศรา้ โศก ไม่ครำ่� ครวญรำ� พัน หรือทา่ นไม่ ได้รกั ภรยิ าของทา่ นเลย” ทา่ นดาบสตอบวา่ “ดกู อ่ นท่านทงั้ หลาย ปริพาชกิ าน้เี ม่ือยงั มชี วี ติ อยเู่ ธอเปน็ ภริยา ของเรา เปน็ ทร่ี กั ของเรา เราตา่ งเออ้ื อาทรกนั เมตตากนั เปน็ ผสู้ นทิ สนม กลมเกลยี ว เม่ือเราทั้งสองออกบวชแลว้ กย็ ังคงเอือ้ อาทรกัน ดูแลกนั แต่เมอื่ นางตายแล้ว นางก็เป็นเชน่ เดียวกับสัตว์ทง้ั หลายในโลก เมอื่ นางไปอยใู่ นภพอนื่ เปน็ เชน่ ดงั สตั วอ์ นื่ จกั ชอื่ วา่ เปน็ อะไรกบั เราเพราะ อยู่ต่างภพกัน เพราะฉะน้ัน เราจึงมิได้เศร้าโศกถึงนางสัมมิลลหาสินี ผูเ้ ปน็ ทีร่ ักน้ี ถา้ บคุ คลใดจะโศกเศรา้ ถงึ สตั วอ์ น่ื ๆ กค็ วรโศกเศรา้ สงสารตนเอง ด้วย ที่ต่อไปก็ต้องตายตามไป ตกอยู่ในอ�ำนาจของมัจจุราชเฉกเช่น เดยี วกนั อายุสังขารใช่ว่าจะติดตามเฉพาะสัตว์ผู้ยืน นั่ง นอน หรือเดิน อยู่เท่านนั้ กห็ าไม่ แม้ในเวลาชั่วลมื ตา หลับตา วยั กเ็ ส่อื มลงเสมอ ทกุ คนจะตอ้ งมคี วามพลัดพรากจากกันแน่นอน ดงั นน้ั เมือ่ ยังมีชวี ติ อย่กู พ็ งึ เอน็ ดหู มสู่ ตั วท์ งั้ หลายเสมอกัน เมื่อตายจากกนั แลว้ ก็ไม่จำ� เปน็ ตอ้ งโศก เศร้าเพราะเป็นธรรมดา” จากนน้ั ดาบสและคนเหลา่ นน้ั ไดช้ ว่ ยกนั ฌาปนกจิ สรรี ะนางดาบสนิ ี เสรจ็ แลว้ พระดาบสกก็ ลบั เขา้ ปา่ ดงั เดมิ บ�ำเพญ็ ฌานและอภญิ ญา เมอื่ ตาย แล้วก็ไปเกิดในพรหมโลก

48 พระเจ้าสตุ โสมและจันทาเทวี รักแท้ รกั ธรรม จาก จลุ ลสตุ โสมชาดก http://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=27&i=2519 ในอดตี กาล พระโพธสิ ตั วเ์ กดิ เปน็ สตุ โสมกมุ าร โอรสพระเจา้ พรหม- ทัต แห่งสุทัสนนคร เมื่อสุตโสมกุมารเจริญวัยขึ้นพระเจ้าพรหมทัตทรง แตง่ ตั้งให้เปน็ มหาอุปราช ต่อมาได้ครองราชสมบตั ิสุทสั สนนครสืบต่อจาก พระราชบดิ าทรงพระนามว่า พระเจ้าสุตโสม พระเจา้ สตุ โสมมพี ระชายา ๗๐๐ องค์ และมสี นมนารอี กี ๑๖,๐๐๐ นาง ในครง้ั นนั้ พระนางยโสธราเกดิ เปน็ พระอคั รมเหสพี ระนามวา่ จนั ทาเทวี ทรงมพี ระโอรสแล้ว ๒ องค์ และก�ำลงั ทรงพระครรภ์แก่ วนั หนึ่ง พระเจา้ สุตโสมพบผมหงอกบนศีรษะเสน้ หนงึ่ ทรงเห็นภัย ของชราและมรณะทใ่ี กลเ้ ขา้ มา จงึ ตรสั เรยี กเสนาอ�ำมาตยม์ าประชมุ กนั และ ประกาศสละราชสมบัติเพ่ือออกผนวชเสนาอ�ำมาตย์คัดค้าน ทูลว่าพระ ชายาและสนมนารที ้ังหลายจะขาดทีพ่ งึ่ พระเจ้าสตุ โสมตรัสตอบวา่ “สนม นารีเหล่าน้ียงั สาวยังสวยอยู่ เธอสามารถหาพระราชาอื่นเป็นที่พึ่งได้ ส่วน เราจะปฏิบัตธิ รรมสร้างหนทางไปสวรรค์” อ�ำมาตย์จึงไปกราบทูลพระราชบิดาและพระราชมารดาให้ทรง ทราบ พระราชบิดาและพระราชมารดาช่วยกันทัดทานว่า โอรสและธิดา นนั้ ยงั เลก็ อยู่ อยา่ ท�ำใหพ้ วกเขาตอ้ งทกุ ขก์ ายทกุ ขใ์ จทขี่ าดบดิ าเลย รอเวลา ให้โอรสธิดาเจริญวัยอกี หน่อยจึงคอ่ ยบวช พระเจ้าสุตโสมยืนยันจะออกบวช กราบทูลว่า “สรรพสังขารไม่ ว่าจะด�ำรงอยู่ส้ันหรือยืนยาวสิ้นกาลนาน ในท่ีสุดก็ต้องพลัดพรากจาก กัน เพราะในโลกสันนิวาสน้ี สังขารข้ึนชื่อว่าเป็นของเท่ียงน้ันไม่มีเลย

49 ดงั น้นั จะบวชวนั น้ีหรอื รอบวชวันหนา้ ก็ต้องพลัดพรากจากกันอยดู่ ”ี อ�ำมาตย์จงึ ไปแจ้งพระชายาท้ังเจ็ดร้อย พระชายาเหลา่ นน้ั ลงจาก ปราสาทมายึดข้อพระบาทพระเจ้าสุตโสมร้องไห้คร�่ำครวญขอร้องไม่ให้ บวช พระเจา้ สตุ โสมกต็ รสั ยนื ยนั จะออกบวชดงั เดมิ ตรสั วา่ “เรานมี้ ใี จกรณุ า พวกเธอทงั้ หลาย แตเ่ ราปรารถนาสวรรค์ เพราะฉะนน้ั เราจงึ จะออกบวช” อ�ำมาตยไ์ ปทลู พระนางจนั ทาเทวอี คั รมเหสี พระนางเสดจ็ มาเฝา้ ทงั้ ทท่ี รงครรภแ์ ก่ ทลู ถามพระภสั ดาวา่ พระองค์ไม่ทรงมเี ยอ่ื ใยหม่อมฉนั และ ทารกน้อยในครรภ์แล้วหรือจึงจะเสด็จไป ขอให้พระองค์ทรงรอจนหม่อม ฉันประสตู ิก่อนแล้วค่อยออกบวชเถิด พระเจ้าสุตโสมตรัสให้พรพระมเหสวี า่ “ครรภ์ของเธอแก่แล้ว ขอ ให้เธอจงประสูติโอรสหรือธิดาด้วยความสวัสดีเถิด แต่เวลานั้นไม่เคยคอย ใคร เราจงึ ขอลาเธอเพ่อื ไปบวช” พระมเหสีเสยี พระทัยที่ไมอ่ าจทัดทานได้ จึงเสด็จกลบั ขน้ึ ปราสาท กรรแสงไห้น่าเวทนา พระโอรสองค์โตไม่อาจท�ำอะไรได้จึงร้องไห้อยู่กับ พระมารดา สว่ นพระโอรสองคร์ องชนั ษา ๗ ขวบ เสด็จไปหาพระบดิ าทลู ทัดทานประสาเดก็ พระเจา้ สตุ โสมจงึ มอบแก้วมณีใหพ้ ี่เลยี้ ง แล้วใหพ้ ่เี ลยี้ ง พาโอรสไปเล่นแก้วมณที ีอ่ ืน่ ฝ่ายอ�ำมาตย์ เข้าใจว่าพระเจ้าสุตโสมคิดว่าราชทรัพย์มีน้อยจึงจะ ออกบวช จึงเปิดพระคลังให้ทอดพระเนตรราชทรัพย์ แต่พระเจ้าสุตโสม ยังยืนยนั การออกบวชตรสั ว่า “คลงั น้อยของเรากไ็ พบลู ย์ คลงั ใหญ่ของเรา ก็บรบิ รู ณ์ ปฐพีมณฑลเรากช็ นะแล้ว แตเ่ ราจกั ละส่งิ นั้นออกบวช” ฝา่ ย กลุ พนั ธนเศรษฐี กเ็ ขา้ มากราบทลู คดั คา้ นบา้ ง พรอ้ มทลู ถวาย ทรพั ยข์ องตระกลู ตนใหท้ ง้ั หมด พระเจา้ สตุ โสมจงึ ตรสั วา่ “ดกู อ่ นเศรษฐี เรา รวู้ า่ ทรพั ยข์ องทา่ นมมี าก และทา่ นกบ็ ชู าเรา แตเ่ ราปรารถนาสวรรค์ เพราะ ฉะนั้น เราจงึ ตอ้ งบวช”


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook