Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ติดเกาะกับตึกเก่า: หนังสือคู่มือท่องเที่ยวเกาะรัตนโกสินทร์

ติดเกาะกับตึกเก่า: หนังสือคู่มือท่องเที่ยวเกาะรัตนโกสินทร์

Published by Thalanglibrary, 2021-10-27 03:00:37

Description: หนังสือ "ติดเก่ากับตึกเก่า" เป็นคู่มือท่องเที่ยวแหล่งเรียนรู้ทางด้านสถาปัตยกรรมในเขตเกาะรัตนโกสินทร์ ทั้งสถาปัตยกรรมแนวไทยประเพณี (วัดและวัง) สถาปัตยกรรมแบบฝรั่งมากมายที่เป็นทั้งโรงเรียน กระทรวงต่างๆ ไปรษณีย์ สุสาน ฯลฯ สถาปัตยกรรมแนวโมเดิร์น สถาปัตยกรรมยุคสงครามเย็น และสถาปัตยกรรมยุคร่วมสมัย มากกว่า 150 อาคารที่มีประวัติความเป็นมาและเรื่องราวที่แสดงถึงความเปลี่ยนแปลงในสังคมไทย

Search

Read the Text Version

กรมทหารมหาดเลก็ รกั ษาพระองค์ C13 เร่ืองเล่าชาวเกาะ ดเู หมือนหลกั กโิ ลเมตรที่ศูนย์ของถนนเจรญิ กรุง จะนับจากกรม ชม แชะ ชิม ทหารมหาดเลก็ รกั ษาพระองคแ์ หง่ น้ี เปน็ ตึกฝรั่งแสนโก้ ตรงวงเวยี น ที่พิพิธภัณฑ์รัชกาลที่ ๖ หน้าวดั โพธ์ิ ทีส่ รา้ งข้นึ ในปลายสมัยรชั กาลที่ ๖ บนที่ดนิ อันเคยเป็นคกุ น้อยคนนักจะร้วู า่ ทต่ี กึ กรมการรักษา เก่าหน้าวดั โพธิ์ ก่อนทจี่ ะกลายมาเปน็ สวนเจ้าเชตุ และใชเ้ ป็นท่ีทำ�การ ดนิ แดนแห่งนม้ี พี พิ ิธภณั ฑซ์ ่อนอยดู่ ว้ ย ของทหารราชวัลลภรกั ษาพระองค์ในเวลาต่อมา ภายหลังจงึ เปลี่ยน นัน่ คือ พิพิธภัณฑร์ ัชกาลที่ ๖ เป็นทีต่ ้ังของหนว่ ยบัญชาการรักษาดินแดนอย่างในทุกวนั น้ี หากมาถึงให้แจง้ ท่ีป้อมทหารดา้ นหนา้ ว่าจะมาดูพิพธิ ภัณฑ์ แล้วสาวเทา้ ลอด ตึกสองช้ันสร้างขนานไปกับถนนเจรญิ กรุง มีจดุ เดน่ ท่ีทางเข้าตรง อุโมงค์ทางเขา้ ไปดา้ นในไดเ้ ลย มมุ ถนนทำ�เป็นมขุ สงู ๓ ชนั้ ยื่นออกมา โดยโถงทางเข้ามเี สาขนาดใหญ่ ทช่ี ้นั สองจดั แสดงเปน็ เรือ่ งราวพระ รองรบั หน้าบนั จั่วแบบวหิ ารกรีก ประดับด้วยตราแผ่นดนิ พร้อมกบั ระบุ ราชกจิ ในพระมงกุฎเกล้าเจา้ อยู่หัว มี ปที สี่ ร้าง คอื ปี ๒๔๖๖ รองพระบาทสีแดงที่ทรงตอนประกาศ สงครามเขา้ รว่ มรบกับฝา่ ยสมั พนั ธมติ ร หวั เสาระเบยี บไอโอนคิ (ลวดลายมว้ นกน้ หอย หรือเขาแกะ) ตวั เสา ในสงครามโลกคร้ังท่ี ๑ เมอ่ื ปี ๒๔๖๐ เซาะร่องตามแนวด่งิ ช้ันสามเป็นไฮไลท์ ดว้ ยรวบรวมฉลอง พระองคเ์ ครอ่ื งแบบตา่ งๆ อกี ทง้ั พระ หากลองสังเกตทอ่ี าคารดา้ นถนนเจรญิ กรงุ จะเห็นหวั เสาทชี่ นั้ สอง มาลา ฉลองพระบาท ทีอ่ นุรกั ษแ์ ละจัด มหี ูช้างทำ�เปน็ ลวดลายรูปก้นหอยขน้ึ ไปยนั รับกนั สาด ถอื เปน็ ราย แสดงไว้เป็นอยา่ งดเี ยยี่ ม พลาดไม่ได้ คอื ละเอียดการออกแบบทเ่ี ปน็ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะของอาคารแหง่ นี้ พระสนับเพลาทค่ี ว้านตรงขอบเอวเพ่ือ เลย่ี งแผลจากการผา่ ตดั พระอนั ตะติง่ The Royal Guard Regiment: Constructed in 1923 in King Rama VI’s (ไสต้ ่งิ ) และหลายคนคงอดอมยม้ิ ไม่ได้ era on the area that used to be an old prison in front of Wat Pho. It is a เมื่อได้เหน็ รองพระบาทหนังแกะผกู โบว์ Western-style building with a portico at the corner of the roads, featuring สีชมพูโอลด์โรส นอกจากน้ยี งั มหี ้องทรง the Siamese seal on the pediment. Currently, it is the Territorial Defense งานจริงของพระองคอ์ ีกด้วย Command Center. Inside, there is King Rama VI’s Museum which displays a ที่ส�ำ คญั ถือเป็น The Must ส�ำ หรับ collection of King Rama VI’s wardrobes in a perfect condition. You can step โปรแกรมนเ้ี ลยกว็ า่ ได้ อยา่ ลืมเปดิ ออก out on the balcony to enjoy the spectacular view of the Grand Palace. ไปที่ระเบียงดา้ นนอก คณุ จะได้เหน็ ววิ มมุ สูงของทา้ ยพระบรมมหาราชวงั ได้ อยา่ งเตม็ ตา ชมววิ กนั เสร็จ อยา่ ลมื แชะ รูปเก็บไว้ แลว้ ลงไปชมิ กาแฟกอ่ นกลบั กันที่ “อรรถรสคาเฟ่” บริเวณช้ันล่าง จะ มีน้องๆ พลทหารหวั เกรยี นคอยชงลาเต้ ให้ทุกคนได้จิบกันด้วยจ้า แตท่ ั้งนท้ี ง้ั น้ันพิพธิ ภณั ฑ์รชั กาลท่ี ๖ เปดิ แค่วนั จันทร์ถงึ ศกุ รเ์ ท่าน้นั เดอ้ C 12 Bamrung Nukunkit Print Shop C 13 The Royal Guard Regiment D 79-83 Bamrung Mueang Rd. Charoen Krung Rd. A 8.30am-4.30pm Mon-Fri T 02 221 1733-4 A www.tdc.mi.th/index.html 99

สถานีตำ� รวจ I Police Station สถานตี ำ� รวจนครบาลพระราชวัง C14 Phra Ratchawang Metro Police Station: Formerly a palace ground, บริเวณพนื้ ทส่ี ามเหลี่ยมชายธง หัวมมุ ล่างสุดของเกาะรตั นโกสินทร์ the original construction was ช้ันในน้ัน เปน็ ท่ีตั้งของสถานีตำ�รวจนครบาลพระราชวงั ซ่งึ เป็นพน้ื ที่ demolished in King Rama VI’s era เดิมของวังกรมหมืน่ มาตยาพิทักษ์ พระโอรสในรชั กาลที่ ๓ ตอ่ มา and rebuilt as a police station มีเจ้านายองคอ์ ่ืนๆ สบั เปลี่ยนมาครองวงั นีจ้ นถึงรชั กาลที่ ๖ จึงได้ in 1915, designed by Italian รอ้ื วงั ลง และสร้างเปน็ สถานตี ำ�รวจถนนสนามไชยขึ้นมาแทน architect Mario Tamagno under the Department of Public Works. หากกลา่ วถงึ กิจการตำ�รวจสมัยใหมแ่ บบฝรง่ั จะวา่ ไปก็เรม่ิ มมี าใน It is a one-story building with a สยามต้งั แตส่ มัยรัชกาลท่ี ๔ แล้ว เรียกกันวา่ พลตระเวน สว่ นสถานี load-bearing wall system and ตำ�รวจนครบาลแหง่ น้ี ยา้ ยมาจากบริเวณทา่ เตียน ตัวอาคารสร้าง reinforced concrete structures, ในสมยั เดยี วกบั อาคารกระทรวงพาณชิ ย์ท่ีอยู่ด้านหลงั C15 และยงั a new construction technique at ออกแบบโดยสถาปนกิ คนเดยี วกัน นัน่ คือ นายมาริโอ ตามานโญ the time. นายชา่ งชาวอิตาลแี ห่งกรมโยธาธกิ าร แตส่ ถานีต�ำ รวจแห่งนี้ได้ ออกแบบไวก้ อ่ นอาคารกระทรวงพาณชิ ย์ราว ๗ ปี รปู แบบของอาคารเปน็ ชน้ั เดยี ว มีโถงกลาง ที่ปลายปีกทัง้ สองด้าน มีระเบยี งรูปคร่ึงวงกลม เน่อื งจากเป็นยุคที่เทคโนโลยีการก่อสรา้ งสมยั ใหมอ่ ยา่ งคอนกรีต เสรมิ เหลก็ เริ่มเขา้ มาแล้ว อาคารนจ้ี งึ มกี ารใช้ ค.ส.ล. ร่วมกับระบบ โครงสรา้ งแบบก�ำ แพงรับน�ำ้ หนกั ซงึ่ เป็นเทคนคิ ฝรัง่ แต่ดั้งเดิม ซุ้มเหนอื หนา้ ตา่ งเปน็ ปนู ป้ันรปู เทพธิดาแบบฝร่งั ดังจะเหน็ ไดท้ ่ซี มุ้ ระเบยี งของอาคารกระทรวงพาณชิ ยเ์ ช่นกัน (มวิ เซยี มสยามในปัจจุบนั ) D C 14 Phra Ratchawang Metro Police Station A 79 Maha Rat Rd. T 24 hrs. A 02 224 5050 policepk.siam2web.com 100

อาคารสำ� นักงาน I Office Building อาคารกระทรวงพาณิชย์ C15 C 15 Museum of Siam D 4 Sanam Chai Rd. A เดมิ พ้นื ท่ีตรงน้ีเป็นวงั เก่า ๔ วัง ทเี่ รยี กรวมกันวา่ กลมุ่ วังท้ายวัด 10.00am-6.00pm Tue-Sun T พระเชตพุ นฯ เป็นทป่ี ระทบั ของพระเจา้ ลกู ยาเธอในรัชกาลที่ ๓ ร่นุ แรก 02 225 2777 A ทอี่ อกมาครองวัง หลังจากนนั้ กม็ ีพระองคเ์ จ้าอกี หลายองค์สับเปลีย่ น www.museumsiam.org หมนุ เวยี นกันมาครองวงั ท้ังส่นี ้ี museumsiamfan 101 จวบจนรัชกาลท่ี ๖ ทรงโปรดเกลา้ ฯ ใหก้ อ่ ตัง้ กระทรวงพาณชิ ยข์ ้ึน เม่ือปี ๒๔๖๓ เพื่อแกไ้ ขภาวะเศรษฐกิจตกตำ่� และยา้ ยมาอยู่ท่ีตึกฝรัง่ สร้างใหมห่ ลังนีใ้ นปี ๒๔๖๕ ตวั อาคารออกแบบโดยนายมารโิ อ ตามานโญ สถาปนกิ ชาวอิตาลี จากกรมโยธาธกิ าร ผูอ้ อกแบบสถานตี ำ�รวจนครบาลพระราชวงั C14 ท่ี อยถู่ ดั ไปดว้ ย อาคารหลังน้นี ับไดว้ ่ารบั ใช้กระทรวงพาณชิ ยม์ าเปน็ เวลานาน จน กระทัง่ ย้ายไปทีแ่ หง่ ใหมท่ ่สี นามบินน้ำ�ในปี ๒๕๓๒ ก่อนจะอนุรกั ษแ์ ละ พัฒนาใหเ้ ปน็ อาคารจัดแสดงนทิ รรศการของมวิ เซียมสยามอย่างเชน่ ในปัจจบุ ัน The Ministry of Commerce Building: Formerly a cluster of four palaces behind Wat Pho, in the reign of King Rama VI, the Ministry of Commerce was established in 1920 and moved here in 1922. It was designed by Italian architect Mario Tamagno. The 3-story building featured a load-bearing wall system with reinforced concrete structures, so the walls were only a foot thick. The building has been restored and developed into Museum of Siam today. The distinctive feature is the stairwells at the center, which use the walls to hold the weight of each step, so they do not require any supporting columns.

ลกั ษณะเดน่ ของอาคารรว่ มร่นุ ในยุคนก้ี ค็ อื กนั สาดคอนกรตี เสรมิ เหล็กทย่ี ืน่ ออกมาจาก ตัวอาคารเพื่อใช้บังแดด จะเหน็ ไดว้ า่ อาคารกระทรวงพาณชิ ย์นนั้ ตงั้ หนั ท่ีสำ�คัญการใช้คอนกรตี เสรมิ เหลก็ ยังช่วยท�ำ ให้ หน้าเขา้ หามุมถนน ซ่ึงเปน็ แนวนยิ มของการวางผงั ผนงั อาคารบางลงด้วย คือมีความหนาแคเ่ พียง อาคารในสมัยน้นั ๓๐-๔๐ ซม. เท่าน้ัน ซ่ึงหากเปน็ โครงสร้างกำ�แพง รบั น�้ำ หนกั แลว้ ผนังอิฐจะหนาถึง ๗๐-๘๐ ซม. เลย ผังอาคารเป็นรปู ตัว E เน้นทีม่ ขุ กลางและมขุ หัว ทีเดียว ท้าย ตามขนบของอาคารคลาสสิกแบบฝร่งั การเข้ามาของคอนกรตี เสริมเหล็กนี้ จงึ เป็นการ ดว้ ยเปน็ อาคารที่ทำ�การของหน่วยงานราชการ สง่ สัญญาณใหร้ ู้ว่า ...ในไมช่ า้ อาคารท่ีกอ่ สร้างตอ่ อันเน้นประโยชน์ใชส้ อยเป็นหลกั จงึ ไม่มกี ารประดับ จากนีไ้ ปจะมีลักษณะทเี่ รียบง่ายขึ้น และไมม่ ีการ ประดาตกแตง่ อะไรเป็นพเิ ศษ ประดับลวดลายมากมายอยา่ งท่ีเคยเป็นมา โครงสรา้ งอาคารเป็นผนงั รบั น�้ำ หนัก ซง่ึ ฐานรากของอาคารเปน็ คอนกรีตเสริมเหลก็ เปน็ เทคนคิ แบบโบราณของตกึ ฝรง่ั ผสมกบั รองรบั ผนัง คอนกรีตเสริมเหล็ก เทคนคิ ล�้ำ สมัยในยคุ น้นั ใตพ้ ้นื อาคารชั้นลา่ งปูด้วยแผน่ คอนกรตี ขนาด และเน่อื งจากโครงสร้างคอนกรตี เสรมิ เหลก็ ไม่ ใหญร่ ูปโคง้ ทว่ั ทงั้ พ้ืนท่ี เพื่อป้องกนั ความช้ืนจากดนิ อาจประดับลวดลายปูนปนั้ ลงบนพื้นผวิ เพราะอาจ ซมึ เข้าสพู่ ื้นไม้ชน้ั ลา่ งได้ ถือเปน็ เทคนิคการกอ่ สร้าง หลุดรอ่ นได้ จึงทำ�ให้อาคารดเู รยี บง่ายกวา่ ตกึ ฝรั่งใน ทนี่ �ำ มาประยุกต์ใชก้ ับอาคารในภมู อิ ากาศร้อนช้ืน สมัยรัชกาลท่ี ๕ ท่ีสรา้ งขึ้นมาก่อนหน้าน้ี อย่างประเทศไทย 102

โถงบันไดกลางภายในตกึ เปน็ ไฮไลท์ ส�ำ คญั ของอาคารแหง่ นี้ ด้วยใช้ก้านคอนกรตี เสริมเหล็กย่นื ออกมาจากผนงั อาคารเปน็ โครงสร้างรบั บันไดแต่ละขั้น นำ้�หนกั เวลา ขึ้นลงบันไดจึงถา่ ยไปลงท่ผี นัง โดยไม่จำ�เป็น ต้องทำ�เสาข้ึนมารบั โครงสร้างบันไดใหร้ ก หูรกตาเลยแม้แตน่ อ้ ย โถงบันไดกลางจงึ ดู โปร่งโลง่ สามารถมองทะลถุ งึ กันไดต้ ลอด บริเวณนจ้ี ึงนับวา่ เป็นอกี จุดหนงึ่ ทท่ี กุ คนต้องมาเช็คอนิ และแชะภาพลงโซเชยี ล มีเดยี กัน...ฉะนั้นหากใครไมม่ ภี าพตรงนี้ ถอื ว่ามาไม่ถงึ นะ จะบอกให้ ! เร่ืองเล่าชาวเกาะ ค.ส.ล. ส.บ.ม. การใช้ “คอนกรีตเสริมเหล็ก” เปน็ นายมารโิ อ ตามานโญ Mario Tamagno โครงสร้างของอาคาร เรม่ิ แพรห่ ลาย สถาปนิกชาวอติ าลอี กี ผหู้ นึ่งท่เี ปน็ ก�ำ ลงั ส�ำ คัญในการปรับภูมิ อยา่ งยง่ิ ในสมัยรชั กาลท่ี ๖ ถอื เปน็ เทคโนโลยีการกอ่ สรา้ งแบบใหม่ ที่มา ทศั น์เมอื งบางกอกใหด้ ศู วิ ิไลซข์ นึ้ ทดแทนโครงสร้างแบบผนังรับน�้ำ หนัก นายมารโิ อ ตามานโญ (Mario Tamangno) เดินทางเขา้ มา ส่งผลใหอ้ าคารเปลี่ยนโฉมหนา้ ไปจาก เดิม กลา่ วคอื ค.ส.ล. ท�ำ ให้มีผนังท่บี าง รบั ราชการที่กรมโยธาธกิ าร ในสยาม เม่ือปี ๒๔๔๓ สมยั ปลาย ลง และชว่ ยให้สรา้ งอาคารท่มี โี ถงหรือ รชั กาลท่ี ๕ ภายใต้สญั ญาทีย่ าวนานถงึ ๒๕ ปี ขณะนั้นเองเขา พ้นื ท่ภี ายในที่โล่งกว้างกว่าเดมิ ได้ เปน็ เพียงเดก็ หนุ่มจบใหม่ในวัย ๒๓ ปเี ท่านน้ั แตก่ ็ไดส้ รา้ ง นอกจากน้ี สยามเรายังสามารถ ผลงานมากมายจนเป็นที่ประจกั ษ์ ในช่วงเวลาที่สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกเฟอ่ื งฟู ผลติ พอร์ตแลนด์ซเี มนต์ ไดต้ ัง้ แต่ อยา่ งเตม็ ที่ ณ พระนครแหง่ น้ี ปี ๒๔๕๖ แลว้ (ตน้ รชั กาลที่ ๖) ซ่งึ ผลงานทโ่ี ดดเดน่ ของเขา มกั ปรากฏในเขตเมืองใหม่ คือ นอกเกาะเมอื งออกไป ก็คือ ปูนซีเมนต์ทั่วไปท่เี ราเห็นกนั และในบรเิ วณชานเมอื งอย่างพระทนี่ ง่ั ดสุ ติ (ลานพระบรมรปู ทรงมา้ ) ตวั อย่างเชน่ อยู่บอ่ ยๆ ตามงานกอ่ สรา้ งอาคาร พระที่น่ังอมั พรสถาน พระทีน่ ง่ั อภิเษกดุสติ วังปารุสกวนั วังบางขนุ พรหม และ คอนกรตี เสรมิ เหล็กต่างๆ ท่ีมีลกั ษณะ พระทน่ี ่งั อนันตสมาคม เป็นตน้ เป็นผงปูนสีเทา กอ่ นน�ำ ไปใชต้ อ้ งผสม ตอ่ มาในสมยั รัชกาลที่ ๖ กย็ ังมีผลงานการออกแบบ ได้แก่ วงั มะลวิ ลั ย์ D06 บา้ น กบั หินหรือทรายกอ่ นนน่ั เอง พษิ ณุโลก บ้านนรสิงห์ กระทรวงพาณิชย์ (มิวเซียมสยามในปจั จุบนั ) สถานีต�ำ รวจ พระบรมมหาราชวัง และหอ้ งสมดุ เนลสนั เฮย์ส เป็นตน้ 103 สว่ นตกึ ที่ให้เช่าส�ำ หรับทำ�การค้า ซง่ึ ต้งั อยูใ่ นบรเิ วณเกาะเมือง ทีเ่ ขารบั ผดิ ชอบ ก็มี “อาคารบกี รมิ ” ทีแ่ ยกสามยอด L04 เมอื่ สมัยปลายรัชกาลท่ี ๕ และ “ตลาดม่ิงเมอื ง” ท่ถี นนพาหุรดั L06 ในปลายรัชกาลท่ี ๖ ซ่งึ อาคารขนาดใหญ่ทง้ั สองแหง่ นไ้ี ดร้ ้อื ลงไป แลว้ กระทัง่ ในสมยั ต้นรชั กาลท่ี ๗ นายมาริโอ ได้จากแผน่ ดนิ สยามกลบั ไปยังบ้านเกิด เหลอื ไวแ้ ตเ่ พียงผลงานท่ที งิ้ ไว้ให้ดูต่างหนา้ อยา่ งมากมายจรงิ ๆ

ตึกฝรั่ง วังเจ้านาย Western-style Palaces ข้ึนชื่อวา่ เป็นผนู้ ำ�เทรนด์...ยอ่ มไม่ตามใครอยแู่ ล้ว เพราะฉะน้ันจงึ ไมน่ ่าแปลกใจเลยว่า คนกล่มุ แรกๆ ทเี่ ริ่มเรยี นร้แู ละรู้จกั ปรับตวั เขา้ หา วัฒนธรรมตะวันตก จะเป็นชนชน้ั นำ�ของสยาม โดยเฉพาะเจา้ นายหนุม่ หวั กา้ วหนา้ ทัง้ หลาย ต่างพากนั ตบเท้าเกบ็ กระเป๋าเข้ามาประทบั ในตึกฝร่งั กนั ให้คึกคกั ท่ามกลางกระแสวฒั นธรรมตะวันตกทรี่ ุกคืบเข้ามาอย่างช้าๆ วังเจา้ นายสไตล์ฝร่งั ในสมัยนนั้ จึงผุดขึ้นกนั ราวกับดอกเหด็ แตท่ ่หี ลง เหลอื ใหเ้ หน็ ในเกาะรัตนโกสินทรส์ ว่ นใหญม่ กั เป็นตำ�หนกั ของเจา้ นายใน สายรชั กาลท่ี ๔ (พระเจา้ น้องยาเธอของรชั กาลที่ ๕) อยา่ งเชน่ วงั บูรพา ภิรมย์ L02 วังวรวรรณ D03 วงั สมมตอมรพนั ธุ์ D04 และวงั มะลวิ ลั ย์ D06 ครั้นเจา้ นายรุ่นต่อมา (เหล่าพระโอรสของรชั กาลที่ ๕) เสด็จกลบั จากการศึกษาต่อต่างประเทศ พ้ืนท่เี กาะเมืองก็แออดั ไปดว้ ยวงั เจ้านาย ร่นุ เก่าเสียแลว้ ทำ�ใหต้ ้องออกไปปลกู สร้างวงั กันในพืน้ ที่เมืองใหม่นอก เขตพระนครกัน อย่างเชน่ วงั ปารสุ กวนั วงั บางขนุ พรหม วงั ลดาวลั ย์ และ วงั เทเวศน์ The first group of people who became acquainted and adapted to Western influences was the Siamese elite, especially the progressive gentlemen. They were interested in Western-style architecture and had their new residences built accordingly. As Western influences crept in little by little, many Western- style palaces emerged. Some of the remaining ones include Burapha Palace, Narathip Palace, Palace of Prince Svasti Pravat, and Palace of Prince Kritakara. 104

พระท่นี ั่งอศิ เรศราชานสุ รณ์ D01 Itsaret Mansion: The mansion was a private residence of King พระท่ีนง่ั สไตล์ยุโรปน้ีสรา้ งขึ้นใหม่ เมอ่ื คราวพระบาทสมเด็จพระปิ่น Pinklao, King Rama IV’s viceroy เกล้าเจา้ อยู่หัวได้บวรราชาภิเษกเปน็ กษัตรยิ ์ท่ีวงั หน้า แล้วเสดจ็ ฯ มา and also the second king. It was ประทับทพ่ี ระราชวังบวรสถานมงคลแหง่ นเ้ี ปน็ การถาวร หลงั จากท่ีวงั one of the first Western-style หนา้ ไดร้ ้างผู้ครองมานานร่วม ๒๐ ปี buildings in Siam. At the time, the buildings were designed and พระปน่ิ เกล้าฯ ทรงเรยี กพระที่นัง่ องค์นี้วา่ “พระที่น่งั วงจันทร”์ constructed by Thai and Chinese ตามพระนามของพระธดิ า พระองคเ์ จา้ วงจันทร์ ต่อมาเม่อื พระปนิ่ craftsmen. Despite being a West- เกลา้ ฯ สวรรคต จงึ ได้เปล่ยี นชื่อเป็น “อศิ เรศราชานุสรณ์” เพื่อเปน็ ern-style, two-story bungalow, the อนสุ รณแ์ ด่ “กรมขุนอิศเรศรงั สรรค์” ตามพระนามเดิมของพระองค์ use of space was not different from a traditional Thai house, where the พระที่นง่ั อิศเรศราชานุสรณ์ ถอื วา่ เป็นพระทนี่ ่งั แบบฝร่งั องคแ์ รกๆ dwellers would reside only on the ท่ีสรา้ งข้ึนในสยามกว็ า่ ได้ ดว้ ยเป็นยุคบุกเบกิ ทเี่ รม่ิ รับอารยธรรมจาก upper floor. ยโุ รป ตลอดจนพระปิ่นเกลา้ ฯ เองก็เป็นเจา้ นายหัวกา้ วหน้าท่ีทรง โปรดปรานการใช้ชีวติ สมยั ใหมอ่ ยา่ งชาวตะวนั ตก นอกจากนี้แลว้ D01 Itsaret Mansion D พระทน่ี ั่งองค์นี้ยงั เคยใชเ้ ปน็ ทีต่ ้อนรบั แขกบา้ นแขกเมืองอยา่ ง เซอร์ National Museum Bangkok, A จอห์น เบาวร์ ิง ราชทูตองั กฤษ ครั้งมาเยอื นสยามในปี ๒๓๙๘ อีกดว้ ย Na Phra That Rd. T 9.00am-4.00pm A ในยุคแรกของการกอ่ สร้างอาคารแบบตะวันตกในสยามน้นั ใชฝ้ ีมือ Wed-Sun except public holidays ของช่างไทยและชา่ งจนี เป็นหลัก ด้วยยงั ไม่มกี ารว่าจ้างนายช่างฝรัง่ ให้ 02 224 1370 105 เข้ามาทำ�หน้าท่ี การกอ่ สรา้ งตึกฝรงั่ ในสมยั น้ีจึงเป็นงานก๊อปทท่ี ำ�ให้ www.virtualmuseum.finearts.go.th/ ออกมาคลา้ ยกับอาคารต้นฉบบั แบบตะวันตก โดยจ�ำ องค์ประกอบเพยี ง bangkoknationalmuseums แค่รูปรา่ ง และการประดบั ประดามาใชเ้ ท่าน้นั ไม่ไดท้ �ำ หน้าท่โี ครงสรา้ ง nationalmuseumbangkok จรงิ อยา่ งสถาปัตยกรรมตน้ แบบ นอกเหนือจากนี้แลว้ ยังมีตึกฝรั่งร่วมรุ่นที่แผ้วถางทางมาด้วยกนั ได้แก่ หมู่พระท่ีนั่งอภิเนาวน์ เิ วศ ในวงั หลวง (ปัจจบุ ันรือ้ ลงหมดแลว้ ) วังสราญรมย์ (หลังเกา่ ) และเขาวงั หรือพระนครคีรี ที่เพชรบุรี ซ่ึงสรา้ ง ขึ้นมาไล่เลี่ยกันในสมยั รัชกาลที่ ๔ นเี้ อง

แนวคดิ การใชพ้ นื้ ทีเ่ ป็นแบบฝรั่ง มกี ารแบง่ หอ้ งตามประโยชนใ์ ช้สอย รับแขก เสวย บรรทม แนวคดิ การใช้พืน้ ทแ่ี บบไทย มพี ื้นท่ีสว่ นกลางใชส้ อยอเนกประสงค์ พระทนี่ งั่ อศิ เรศราชานสุ รณ์มีลกั ษณะเปน็ เรอื น ชั้นบนมีระเบียงทางเดินหนา้ หอ้ ง โดยแต่ละหอ้ ง อย่างบงั กะโล หรือบา้ นท่ีพวกฝรั่งเจ้าอาณานิคม จะเปดิ เขา้ ส่รู ะเบียงนี้ สร้างอยอู่ าศยั กันในเขตร้อน มลี ักษณะเป็นตกึ ๒ ชัน้ ชั้นล่างเปน็ ท่ีพกั ของเหลา่ มหาดเล็ก ส่วนช้ันบนจะ แนวคิดการใช้พน้ื ที่เป็นแบบฝรั่ง มกี ารแยกห้อง เปน็ ทีป่ ระทบั เปน็ สัดสว่ นชัดเจนตามประโยชน์ใช้สอย เชน่ หอ้ ง เสวย หอ้ งรับแขก หอ้ งพระบรรทม ห้องแต่งพระองค์ การแบง่ พนื้ ทีใ่ ชส้ อยดงั กลา่ วสะทอ้ นให้เหน็ วา่ พรอ้ มหอ้ งสรง ตลอดจนหอ้ งหนังสอื และทรงพระ ถงึ แม้จะทรงปรับมาประทับเรือนฝรั่ง ๒ ชั้นแลว้ อกั ษร ตา่ งไปจากเรอื นไทยท่ีมีการใชส้ อยอเนก ก็ตาม แตร่ ปู แบบการใชพ้ ้นื ท่ีกย็ งั คงเป็นเชน่ จารีต ประสงคภ์ ายในพนื้ ท่ีเดยี วกัน โดยไมใ่ คร่จะแบง่ หอ้ ง เดิม ไมต่ ่างจากการประทับต�ำ หนักแบบเรือนไทยยก ไปตามหน้าทใี่ ชง้ าน ใตถ้ ุนสงู ท่ใี ชช้ ีวติ อยบู่ นเรือนชั้นบนแต่เพยี งอย่าง เดยี ว ระหวา่ งห้องไมม่ ีธรณปี ระตู ซ่ึงขัดกับประเพณี การสร้างเรือนอยา่ งไทย ทนี่ ่าสังเกต คอื ทางขน้ึ อาคารเปน็ บันไดก่ออฐิ ถอื ปูนอยภู่ ายนอกพระทน่ี ่ัง ด้วยคตไิ ทยแตโ่ บราณ การตกแตง่ ใชเ้ ครอ่ื งเรือนแบบฝรัง่ ท้ังโคมไฟ ถอื วา่ การขึ้นทางใต้ถนุ เรือนเป็นเรอ่ื งอัปมงคล ระย้า และพระแทน่ บรรทมสเี่ สาสไตลว์ คิ ตอเรยี น ที่แน่นอนคือต้องสง่ั มาจากเมอื งนอกเท่านนั้ หลงั คาเปน็ ทรงจวั่ ลาดชันนอ้ ยกวา่ หลงั คาจ่วั แบบไทย และถงึ แม้จะเปน็ ตึกแบบฝร่งั แตก่ ย็ งั คง ที่ผนังดา้ นบนท�ำ เป็นลกู กรงโปร่งเพือ่ ระบาย ขนบการใช้หนา้ บนั เปน็ พื้นทีแ่ สดงสญั ลักษณ์ของ อากาศ นับได้วา่ เปน็ การประยุกตใ์ ห้เขา้ กับสภาพ ผู้ครอบครองอยู่ อย่างท่หี นา้ จั่วของพระทนี่ ั่งอศิ เรศฯ ภมู อิ ากาศแบบร้อนช้นื ได้เป็นอย่างดี น้ีกป็ ระดับด้วยปนู ป้ันรูปปน่ิ ประดิษฐานบนพานแว่น ฟา้ ซง่ึ เป็นพระลัญจกรประจ�ำ พระองคข์ องเจา้ ฟา้ จุฑามณี หรอื พระป่ินเกล้า (จฑุ ามณี คอื ปิ่นปักจุก หรือมวยผม ซึ่งกค็ ือความหมายของคำ�วา่ ปน่ิ เกล้า นน่ั เอง) 106

พระราชวงั สราญรมย์ D02 เร่ืองเล่าชาวเกาะ พระราชวังสราญรมย์ เร่ิมก่อสร้างเม่ือปี ๒๔๐๙ ในปลายสมยั ดเู หมอื นเจ้านายสยามจะรูจ้ กั WFH รัชกาลท่ี ๔ เพ่อื ใชเ้ ป็นท่ปี ระทบั หลังทรงสละราชสมบัตใิ หพ้ ระโอรส หรือ Work from Home กันมาช้านาน แลว้ ออกแบบโดย เฮนรี อาลาบาศเตอร์ (ต้นตระกลู เศวตศลิ า) โดยมี แล้ว เพราะตา่ งใชว้ ังที่ประทบั เปน็ ท่ีทรง เจ้าพระยาบุรษุ รัตนราชพัลลภ (เพ็ง) เป็นผคู้ วบคุมการก่อสรา้ ง แต่ยัง งานไปดว้ ยในตวั หรอื มที อ้ งพระโรงเป็น มทิ นั แล้วเสรจ็ กส็ ้ินรัชกาลเสียกอ่ น ด่งั ออฟฟศิ หลวงนั่นเอง พอข้ึนรชั กาลท่ี ๕ โปรดเกลา้ ฯ ให้เปน็ วังทปี่ ระทบั ช่วั คราวของ แต่ “วังสราญรมย”์ ถือได้ว่าเปน็ ตกึ พระเจ้าน้องยาเธอหลายพระองค์ ทโ่ี ตพอจะออกจากวงั หลวง แตว่ งั ส�ำ นกั งานของกระทรวงแหง่ แรกๆ ของ ส่วนพระองค์ยงั กอ่ สรา้ งไม่แล้วเสร็จ อยา่ งเจา้ ฟ้าภาณุรงั ษสี วา่ งวงศ์ สยามเลยก็วา่ ได้ ท่มี กี ารแยกสถานที่ กเ็ คยประทบั อยทู่ ่ีวงั สราญรมย์น้หี ลายปี ระหวา่ งที่รอให้วงั บูรพาภิรมย์ ทำ�งานกบั บ้านออกจากกนั ซึ่งเป็นทปี่ ระทับสว่ นพระองคแ์ ล้วเสรจ็ โดยพระองค์เจา้ เทวญั อุไทยวงศ์ นอกจากนแี้ ลว้ ยงั ใชเ้ ป็นสถานทีร่ ับรองราชอาคันตุกะจากตา่ งแดน กรมหลวงเทวะวงศว์ โรปการ เสนาบดี และเปน็ ส�ำ นักงานกระทรวงตา่ งประเทศดว้ ย ทีส่ �ำ คญั คอื พระบรม กระทรวงการตา่ งประเทศขณะนั้น จะไป โอรสาธริ าช เจา้ ฟา้ มหาวชิราวธุ สยามมกุฎราชกมุ าร ก็เคยมาประทบั ทรงงานทก่ี ระทรวงซงึ่ ต้งั อยทู่ ีว่ งั สราญ- ทนี่ ่ใี นช่วงเวลาหนึ่งก่อนขึน้ ครองราชย์ จนทา้ ยท่ีสุดไดเ้ ปลี่ยนมาเป็น รมย์ แลว้ จึงกลบั มาประทับทีว่ ังสว่ น อาคารสำ�นักงานของกระทรวงการตา่ งประเทศอยา่ งเต็มตวั ในสมัย พระองค์ ณ วังสะพานถา่ น รัชกาลท่ี ๖ ถอื ว่าเปน็ ธรรมเนียมปฏิบัติคร้ังแรกที่ อาคารวงั สราญรมยจ์ ึงถือได้วา่ รบั ใช้กระทรวงบวั แก้วมาเปน็ เวลา มีการแยก “บา้ น” กับ “ทที่ ำ�งาน” ออก ยาวนาน ก่อนทจี่ ะไดย้ า้ ยออกไปต้งั อย่ทู ่ีใหม่ตรงหวั มมุ สแ่ี ยกศรีอยธุ ยา จากกนั ในปี ๒๔๓๕ Saranrom Palace: Built in นับเปน็ พระราชวงั ยุคแรกๆ ในสยาม ที่สร้างแบบตะวันตกช่วง 1866 in King Rama IV’s era, the รัชกาลที่ ๔ ที่ยงั ไมไ่ ด้มกี ารว่าจ้างนายช่างฝร่งั ท่ีเป็นสถาปนิกจรงิ ๆ one that we see today has been เขา้ มาออกแบบก่อสรา้ งแต่อย่างใด ต่อมามีการปรับปรงุ ใหญ่ในสมัย renovated several times in the รัชกาลที่ ๕ อกี หลายหน คราวนี้เองทไี่ ดม้ สี ถาปนกิ ฝรง่ั ตัวจริงเสยี งจริง reign of King Rama V. It was เขา้ มาฝากผลงานอยู่ด้วยกันหลายคน ดังน้ันพระราชวังสราญรมยท์ ่ี designed by foreign architects to เราเห็นกันอยใู่ นปัจจุบนั จงึ ลว้ นเป็นผลงานการกอ่ สรา้ งยคุ หลังในสมยั be used as a temporary residence รชั กาลที่ ๕ ทั้งส้ิน for young princes whose actual palaces were not yet completed. It was also used to welcome royal guests and as an office for the Ministry of Foreign Affairs. D02 Saranrom Palace D Sanam Chai Rd. A Not Open to the Public T 02 221 015 / 02 222 1035 A 107

ตกึ ทีย่ าวไปตลอดแนวถนนสนาม มุขกลาง มหี นา้ บนั เปน็ โค้งเสยี้ ว ไชยน้ี แทจ้ รงิ แลว้ คือ ดา้ นข้างของ วงกลม ประดับตราอาร์มแผ่นดิน อาคาร ในสมยั รัชกาลที่ ๕ (พระมหาพชิ ยั มงกฎุ ประดษิ ฐานเหนอื ชา้ งสามเศยี ร สว่ นด้านหน้าของพระราชวังจรงิ ๆ ขนาบข้างดว้ ยคชสีห์และราชสหี ์) นน้ั คือ ด้านสกดั หรอื ด้านแคบของ อาคาร ทีห่ ันหน้าเขา้ สทู่ ำ�เนยี บองค- มขุ หวั -ทา้ ย มีหน้าบันเป็นจว่ั มนตรใี นปัจจุบนั สามเหลีย่ มแบบวิหารกรกี ประดับ ตราพระเกย้ี ว ซ่งึ ก็คือตราลัญจกร สว่ นดา้ นยาวของอาคารทห่ี ันหน้า ของรัชกาลที่ ๕ นน่ั เอง เข้าสถู่ นนสนามไชยน้ัน เปน็ อาคาร ด้ังเดิมท่ีสร้างขึ้นมาตั้งแตแ่ รก จะเห็น อาคารสร้างเป็นรปู สีเ่ หลยี่ มลอ้ ม ได้ว่าผังอาคารเป็นรูปตัว E (เรยี กวา่ รูป รอบลานโล่งตรงกลาง มีระเบียงโดย ด้านแบบพระราชวงั ) มีมุขย่ืนออกมา รอบและกั้นหอ้ งไปตามแนวระเบียง ตรงกลาง และมีมุขหัว-ทา้ ย ทปี่ ลาย นี้ ชว่ ยใหม้ ีการถา่ ยเทอากาศ และรับ ทง้ั สองขา้ งของอาคาร แสงสว่างได้ดี เรื่องเล่าชาวเกาะ สว่ นดา้ นอนื่ ๆ ทีโ่ อบล้อมลานโล่ง ตรงกลางนัน้ ไดถ้ กู รอ้ื ถอนออกไปจน พระบรมราชานุสาวรีย์ หมด แลว้ จงึ มกี ารก่อสรา้ งต่อเติม รัชกาลที่ ๔ ขนึ้ มาภายหลังในคราวซ่อมแซมใหญ่ สร้างขึ้นเนอื่ งในโอกาสครบ ๒ ศตวรรษแห่ง สมยั ปัจจุบันนเี้ อง ปพี ระราชสมภพในพระจอมเกลา้ เจา้ อย่หู ัว เมอื่ ปี ๒๕๔๗ และก่อสร้างแล้วเสรจ็ ปี ๒๕๕๒ ประดษิ ฐานอยู่ตรงน้ีเนอื่ งจากวังสราญรมย์ สรา้ งข้นึ ในสมัยพระองค์ 108

แนวถนนแพร่งนรา แผนทปี่ ี ๒๔๓๐ ก่อนตดั ถนน วงั วรวรรณ D03 แผนทปี่ ี ๒๔๕๐ แสดงต�ำ แหน่ง เป็นวงั ทป่ี ระทบั ของพระองคเ์ จ้าวรวรรณากร วังวรวรรณที่ กรมพระนราธปิ ประพนั ธพ์ งศ์ พระโอรสในรัชกาลที่ ๔ พระต�ำ หนัก สร้างขึ้นในสมยั ตน้ รัชกาลท่ี ๕ อันเปน็ ชว่ งเวลาท่ี โดนเฉือนปกี ขวา เจา้ นายสยามหัวสมัยใหมใ่ นยุคนน้ั นิยมสร้างวงั แบบ เมื่อมกี ารตดั ฝร่ังกัน ถนนแพรง่ นรา ออกแบบโดยนายช่างฝรั่งเซเลปคนดงั ทมี่ งี านชุก การตัดถนนนี้ผ่าเข้าไปยังตวั พระตำ�หนัก ท�ำ ให้ สดุ ในยคุ นน้ั น่นั คอื นายโจอาคมิ แกรซี ผู้ออกแบบ ตอ้ งรือ้ อาคารบางส่วนลง ได้แก่ ปีกขวาท้ังหมด วงั บรู พาภริ มย์ โรงทหารหน้า (กระทรวงกลาโหม) คงเหลอื ไวแ้ ตส่ ่วนมขุ กลางทเ่ี ปน็ พ้ืนท่ที ้องพระโรง ศลุ กสถาน (โรงภาษี) และคกุ มหันตโทษ เปน็ ตน้ กับปกี ซา้ ย ดว้ ยเปน็ เจ้านายนักพฒั นาอสังหาริมทรพั ยห์ ัว ภายหลงั ถนนตดั ใหม่นี้จงึ เรียกกนั วา่ ถนน “แพรง่ ก้าวหนา้ กรมพระนราธิปประพนั ธ์พงศไ์ ด้ทรงให้ นรา” ซ่ึงมาจาก “นรา” ธิปประพันธ์พงศ์ นัน่ เอง ตดั ถนนสาธารณะตรงเขา้ มาในพืน้ ที่วงั เพือ่ เชื่อม ระหว่างถนนตะนาวทีด่ ้านหนา้ วัง กบั คลองคเู มอื ง กรมพระนราธปิ ประพนั ธ์พงศป์ ระทับอยู่ทีว่ งั วร ด้านหลงั อกี ทั้งต้องการใชพ้ นื้ ที่เพ่อื สรา้ งตึกแถวรมิ วรรณนจี้ นสนิ้ พระชนม์ ต่อมาภายหลังเปลยี่ นแปลง สองฝง่ั ถนนไวส้ ร้างรายได้เกบ็ ค่าเชา่ อกี ดว้ ย F07 การปกครองได้ใช้เปน็ หน่วยงานของรฐั จนถงึ ราวปี ๒๕๐๐ โรงเรยี นตะละภัฏศึกษาได้ย้ายมาเช่าตกึ น้ี Narathip Palace: Built in early King Rama V’s era และเปิดการเรยี นการสอนจนกระทั่งปิดตัวลงในปี as a residence for Prince Narathip, it was designed by ๒๕๓๖ Joachim Grassi. Later, a road was constructed within the palace premise, with shophouses for rent, so the D03 Narathip Palace D right wing was demolished, leaving only the left wing 63 Phraeng Nara Rd. A and the central hall. The new road was named Phraeng Not Open to the Public T Nara to honor the Prince. The gingerbread-style wood- A en balcony overlooking the road was constructed later. 109

Wheaton College Archives, the University of Illinois at Urbana-Champaign ตำ�หนกั เดมิ เปน็ ตกึ ฝรง่ั กอ่ อฐิ ถือปูน หนั หนา้ ไปยงั ถนนตะนาว โดย ตวั อาคารสมมาตรกันท้ังซา้ ย-ขวา มมี ขุ กลางและบันไดทางข้ึนท่ดี า้ น นอกของอาคาร บรเิ วณมุขกลางด้านหนา้ มีกระบังรปู ครง่ึ วงกลมทส่ี ่วนหลังคา เมื่อมีการร้อื ปีกขวาของวังเพอื่ ตัดถนน ไดม้ ีการตอ่ เติมใหมข่ นึ้ อีกหลายคร้ัง จะสังเกตเห็นว่าเปน็ ยคุ ใดไดง้ า่ ย ดว้ ยมรี ปู แบบทาง สถาปัตยกรรมที่ตา่ งกนั ไปตามแต่ละยคุ สมัย กล่าวคือ ระเบยี งทางเดินไมภ้ ายนอกที่มีหลงั คาคลุมบริเวณช้นั สอง ที่หัน ออกส่ถู นนแพร่งนรา ประดับดว้ ยไม้ฉลุสวยงาม ตามความนิยมในสมยั ปลายรัชกาลท่ี ๕ ส่วนท่อี าคารดา้ นหน้ามีหน้าบันโคง้ เป็นอาคารเครือ่ งไม้ ต่อเตมิ ขึน้ มาในสมัยรัชกาลที่ ๖ พิ ิพธภัณฑ์การแพท ์ยศิ ิรราช เรื่องเล่าชาวเกาะ ตึึกเสาวภาคย์์ ดร.ยุว ัรต ์น เหมะ ิศล ิปน ศิิริิราชพยาบาล 110 ตึกเสาวภาคย์ ภายในศิริราชพยาบาล สร้างข้นึ ในช่วงเวลาที่ไล่เลี่ยกบั วงั วรวรรณ โดยสถาปนิกคนเดียวกัน และมีรปู แบบท่ี คลา้ ยคลงึ กนั เปน็ อยา่ งมาก นน่ั คอื มี หน้าบนั และซมุ้ ระเบยี งโค้ง ตลอดจน มีบนั ไดทางข้นึ ภายนอกอาคารเชน่ กัน ปจั จบุ ันอาคารได้รอ้ื ถอนลงแลว้

แผนทีป่ ี ๒๔๕๐ แสดงต�ำ หนกั ใหญ่ ต�ำ หนกั บรวิ ารของหม่อมเจา้ มงคลประวัติ และสะพานสมมตอมรมารค วัังกรมพระสมมตอมรพัันธุ์์� D04 เร่ืองเล่าชาวเกาะ เหน็ ช่องทางเข้าแลว้ อยา่ เพง่ิ ตกใจ เพราะหากค่อยๆ ย่างเทา้ ผา่ น สะพานสมมตอมรมารค ซอกหลืบเล็กๆ นเ้ี ขา้ ไป จะพบวา่ มีของดซี อ่ นอยู่ นัน่ คือต�ำ หนักเก่าที่ สะพานสมมตอมรมารค อา่ นวา่ สม- แทรกตวั อย่อู ย่างลึกลบั ใจกลางชมุ ชนโบราณโดยรอบ มต-อ-มร-มารค เป็นสะพานขา้ มคลอง รอบกรุง ตรงประตผู ี วังแห่งน้ีเป็นของพระองคเ์ จ้าสวสั ดปิ ระวัติ กรมพระสมมตอมรพนั ธ์ุ เดิมทเี ปน็ สะพานไม้ โครงสรา้ งเป็น ซึง่ เปน็ “ไปรเวตสเิ กรตารี” (Private Secretary หรอื ราชเลขาสว่ น เหล็ก มีรางสำ�หรับเลอื่ นพืน้ สะพานให้ พระองค์) ของรัชกาลท่ี ๕ แยกออกจากกันไดเ้ พอื่ ให้เรือผ่านเรียก กันว่า “สะพานเหลก็ ประตูผ”ี ตงั้ อยบู่ นถนนบ�ำ รุงเมืองฝัง่ เหนือ บริเวณประตเู มืองฝ่งั ตะวันออก ต่อมาในสมัยปลายรชั กาลท่ี ๕ ทใ่ี ช้ขนศพออกไปเผายงั วัดสระเกศ เรียกกันวา่ “ประตูผี” ไดก้ อ่ สรา้ งใหมเ่ ปน็ สะพานคอนกรตี ประดับลูกกรงปูนปัน้ และต้งั ช่อื ตาม ตวั วังตง้ั อยดู่ า้ นหลังตกึ แถวซง่ึ สรา้ งยาวตลอดแนวถนนบำ�รุงเมือง เจา้ นายทีต่ ัง้ วังอยลู่ ะแวกน้ัน ซึง่ ก็คอื มาตั้งแตส่ มัยแรกแลว้ โดยเว้นช่องไวส้ ำ�หรับเป็นทางเข้าวัง กรมพระสมมตอมรพนั ธ์ุ นนั่ เอง ต�ำ หนักใหญ่ (ปัจจุบันรื้อลงแล้ว) เดิมนัน้ ตัง้ อยูก่ ลางพ้ืนที่ หันหน้า D04 Residence of Prince Svasti Pravat D ไปทางทศิ ใตเ้ ขา้ สู่ถนนบำ�รงุ เมอื ง Bamrung Mueang Rd. A Not Open to the Public T ปจั จุบนั คงเหลอื แต่ต�ำ หนกั บรวิ ารของหม่อมเจา้ มงคลประวตั ิ สวัส- A ดกิ ลุ พระโอรส ซง่ึ เปน็ ตกึ แบบฝรัง่ ตง้ั อยู่ด้านข้างของตำ�หนกั ใหญ่ 111 ตำ�หนกั หลงั นี้มรี ปู แบบสถาปตั ยกรรมทเ่ี รียบงา่ ย ตามมาตรฐานตกึ ฝร่ังในสมยั น้นั กลา่ วคอื เป็นอาคารก่ออฐิ ถือปูน ๒ ชั้น หลังคาป้นั หยา มคี วามสมมาตรซา้ ย-ขวา หนา้ ต่างเปน็ บานเกลด็ ไม้โดยรอบ และมีช่อง แสงเป็นไมฉ้ ลุอยเู่ หนือชอ่ งหนา้ ต่าง ครั้งตอ่ ไป หากจะต้องไปประกันตัวใครที่ สน.สำ�ราญราษฎร์ แลว้ ละ่ ก็...อย่าลืมลองเขา้ ไปสำ�รวจตำ�หนักเก่าแห่งนดี้ ว้ ยนะ Residence of Prince Svasti Pravat: King Rama V’s Private Secretary. The Palace was tucked away behind shophouses. The main building has been torn down, leaving only a secondary building which belonged to his son.

ต�ำหนกั หมอ่ มเจ้าจรูญศักด์ิ D05 ส่วนดา้ นริมถนนซึ่งเปน็ ด้าน หน้าอาคารมเี สาสูงขึ้นไปรบั หนา้ ตกึ ฝร่งั หลังยอ่ มอีกหลังบนถนนพระอาทติ ย์ สร้างบนท่ีดินมรดก จัว่ หลงั คาทกี่ ลางอาคารตาม ของเจ้าพระยามหาโยธา (ทอเรียะ) ขนุ นางมอญตน้ ตระกูลคชเสนี ประเพณีนิยมของสถาปตั ยกรรม ดว้ ยบรเิ วณนี้เปน็ ยา่ นชุมชนมอญท่ีต้งั บา้ นอยู่โดยรอบวดั ตองปุ แบบคลาสสกิ (วัดชนะสงคราม) ซง่ึ เป็นวดั รามญั มาตงั้ แตต่ ้นกรุงแล้ว ทิศเหนือมีมุขครงึ่ แปดเหล่ียม จนท่ีดนิ ตกทอดมาถึง พระองค์เจา้ กฤดาภนิ หิ าร กรมหมื่นนเรศวร ปัจจุบนั เปน็ ทท่ี ำ�การองคก์ าร ฤทธิ์ พระโอรสในรชั กาลท่ี ๔ กับเจา้ จอมมารดากล่นิ อันเปน็ หลานปู่ ทนุ เพือ่ เดก็ แห่งสหประชาชาติ ของทอเรยี ะ (UNICEF) ถนนพระอาทิตย์ พระต�ำ หนกั ๒ ชน้ั สรา้ งขนึ้ ในสมัยปลายรชั กาลที่ ๕ เพอ่ื เปน็ Charunsakdi Kritakara’s ต�ำ หนักที่ประทับของหม่อมเจ้าจรูญศกั ดิ์ และหมอ่ มเจา้ บวรเดช Mansion: The first son of Prince กฤดากร พระโอรสสององค์โต Kritakara, his mansion was built in King Rama V’s era by local or กระทั่งในสมัยรชั กาลที่ ๗ เป็นตำ�หนกั ท่ปี ระทบั ของพระองคเ์ จ้า Chinese craftsmen. It was a small สวสั ดิโสภณ กรมพระสวัสดิวัดนวิศษิ ฎ์ อยรู่ ะยะหน่ึง ท่านเรยี กท่นี ว่ี า่ mansion by the Chao Phraya River, บ้านท่แี ม่น�ำ้ facing Phra Athit Road. The north- ern side of the mansion features ตวั อาคารเป็นตึกก่ออิฐถอื ปนู แบบฝรัง่ ท่ีนิยมสรา้ งกนั ในสมยั รชั กาล a semi-octagonal bay window. In ที่ ๕ คาดว่าออกแบบก่อสรา้ งโดยช่างไทยหรอื ช่างจีน หลงั คาทรงปน้ั King Rama VII’s era, it was used as หยา มงุ กระเบ้อื งว่าว หากมองจากทางน�ำ้ จะเหน็ จ่ัวคู่ และมีระเบียงท่ี a temporary residence for Prince ชั้นสองยาวขนานไปตามริมแม่น้ำ� Svasti Vatana. Currently, it serves as the UNICEF office. D D05 UNICEF A 19 Phra Athit Rd. T Not Open to the Public A 112

วังมะลิวัลย์ D06 ตัวอาคารเปน็ วงั ขนาดใหญ่ มีการแบ่งพน้ื ที่ใช้สอยชัดเจน โดยด้านเหนือเปน็ สว่ นของทอ้ งพระโรง เปน็ โครงสรา้ ง ค.ส.ล. ตำ�หนักอกี หลังท่สี รา้ งในสมยั รัชกาลท่ี ๖ บนถนน ลกั ษณะเปน็ ห้องโถงสงู มีระเบียงทางเดนิ โดยรอบ ส่วนด้านใต้ พระอาทิตย์ นนั้ เปน็ สว่ นของท่ปี ระทับ มโี ครงสร้างผนังรับน้ำ�หนัก แตเ่ ดมิ บรเิ วณน้ีเคยเป็นทต่ี ั้งของป้อมอิสนิ ธร ภายในมกี ารประดบั ตกแต่งด้วยภาพจติ รกรรม ส่วนของ แต่ไดร้ ้ือถอนลง แล้วสร้างเป็นต�ำ หนักใหม่เนือ่ งใน เพดานหอ้ งโถงและหัวเสาเปน็ ศลิ ปะขอมประยกุ ต์ โอกาสเจริญพระชนั ษาครบ ๕ รอบของพระองค์ เจ้ากฤดาภนิ ิหาร กรมพระนเรศวรฤทธิ์ องคมนตรี โครงสร้างบันไดไมม่ ีเสาข้นึ มารับ แตใ่ ช้เหลก็ แผน่ ยืน่ ออก (พระโอรสรชั กาลที่ ๔) ซึง่ เดิมประทบั อยทู่ ต่ี �ำ หนกั มาจากผนัง เพื่อเป็นโครงสร้างรับบันไดแตล่ ะขน้ั แลว้ กรทุ บั เกา่ ที่อยู่ถัดไปดา้ นทศิ เหนอื ของวังมะลวิ ลั ย์นั่นเอง ด้วยไม้ น�ำ้ หนักท้ังหมดจึงถา่ ยไปลงท่ีผนงั ทำ�ใหเ้ มือ่ เวลาเดิน ข้ึนลงกจ็ ะปราศจากเสียงดังอกี ด้วย ซ่ึงเปน็ เทคนคิ การสร้าง ตึกฝรัง่ ใหญโ่ ตหลงั น้ี ออกแบบโดยสถาปนิกชาว บนั ไดเช่นเดยี วกบั ทอ่ี าคารกระทรวงพาณชิ ย์ C15 ท่ีสร้างชว่ ง อติ าลีจากกรมโยธาธิการ คอื นายมารโิ อ ตามานโญ เวลาไลเ่ ล่ยี กนั ในยุคทค่ี อนกรีตเสรมิ เหล็กเร่ิมเขา้ มามีบทบาท (Mario Tamagno) และนายแอรโ์ กเล มนั เฟรดี ในการกอ่ สรา้ งอาคารตา่ งๆ ทั้งยงั ออกแบบโดยสถาปนิกคน (Ercole Pietro Manfredi ต่อมาใชช้ อื่ ไทยวา่ เอกฤทธ์ิ เดียวกนั อกี ดว้ ย หมนั่ เฟน้ ด)ี Prince Kritakara’s Palace: Formerly, this area กระทง่ั หลังเปลีย่ นแปลงการปกครอง ไดใ้ ช้เปน็ ท่ี used to be a city fort, before it was torn down and พำ�นักของผู้ส�ำ เร็จราชการแทนพระองคห์ ลายท่าน a palace was built in its place on the occasion of the 5th cycle birthday anniversary of Prince Kritakara. จนในชว่ งสงครามโลกครง้ั ที่ ๒ นายปรดี ี พนมยงค์ The Palace was designed by Italian architect Mario ไดใ้ ช้เป็นศูนย์บญั ชาการของฝา่ ยสมั พนั ธมิตรและ Tamagno from the Department of Public Works. Later, ขบวนการเสรไี ทย ร่วมกับหนว่ ยสืบราชการลบั during World War II, it served as the command center ของอเมรกิ า (OSS) ปัจจุบันเป็นทที่ �ำ การองคก์ าร of the Allies and the Free Thai Movement. Today, it is อาหารและเกษตรกรรมแหง่ สหประชาชาติ (FAO) the FAO office. วงั มะลวิ ลั ย์มกี ารใช้โครงสรา้ งคอนกรีต ผสมกบั D06 FAO D โครงสร้างแบบผนังรับนำ้�หนัก เช่นเดยี วกบั อาคาร 39 Phra Athit Rd. A อื่นๆ ในยคุ เดยี วกันท่ีสรา้ งในสมยั รัชกาลท่ี ๖ Not Open to the Public T A 113

วังจกั รพงษ์ D07 ตัง้ อยูร่ มิ แม่นำ้�เจา้ พระยา ทางตอนใต้ของเกาะ ศาลาท่าน้ำ�ก็เปน็ สงิ่ กอ่ สรา้ งดัง้ เดมิ ตงั้ แตค่ ร้ังแรก รตั นโกสินทร์ช้ันใน ท�ำ ให้เห็นวังจกั รพงษไ์ ด้ชัดจาก สรา้ งวงั ซ่ึงสมเดจ็ พระศรพี ชั รนิ ทราบรมราชนิ ีก็ทรง ทางน�้ำ เป็นหลกั หากมองจากถนนมหาราช ซ่ึงเป็น ใช้เป็นทา่ เสดจ็ พระราชดำ�เนินมาลงเรอื พระท่ีนง่ั ท่ีน่ี ดา้ นหลังของวังแล้ว แทบจะไมส่ ังเกตเห็นเลยวา่ มวี ัง โบราณต้ังอยู่แถบนี้ สว่ นหมู่เรอื นไทยเครื่องไม้ มุงหลังคาด้วย กระเบือ้ งดินเผา อีกหลายหลังที่ตัง้ เบยี ดเสยี ดกนั เน่อื งจากวงั ตงั้ อยู่ท้ายวดั โพธิ์ ในละแวกตลาดท่า อยรู่ ิมแม่น�้ำ น้นั ทงั้ หมดเปน็ สิง่ ก่อสรา้ งในยุคหลงั เตยี น จึงเรยี กกันอย่างล�ำ ลองว่า “วังท่าเตียน” ตาม ที่ทางวงั ไดป้ รบั เปลยี่ นพนื้ ที่โดยรอบบางสว่ น ให้เปน็ ท�ำ เลทีต่ ัง้ บูตกิ โฮเต็ลต้อนรับนักทอ่ งเทย่ี วต่างชาติทอี่ ยากเปดิ ประสบการณใ์ หม่ดๆี ท่นี ี่ วงั จักรพงษ์ เปน็ วังเก่าทส่ี รา้ งข้นึ ในช่วงปลาย รชั กาลท่ี ๕ ตอ่ รชั กาลท่ี ๖ เพอ่ื เปน็ บา้ นพกั ผอ่ น หากมองจากถนนมหาราช บรเิ วณหนา้ ร้านริเวอร์ รมิ น�ำ้ ของเจา้ ฟ้าจกั รพงษภ์ วู นาถ และหม่อมคัทรนิ บคุ๊ (กิจการหน่ึงของคณุ หญงิ นรศิ รา) เขา้ ไปทาง ชาวรัสเซยี ซงึ่ โดยปกตพิ ระองคจ์ ะทรงประทบั ทวี่ งั ประตูวัง จะเห็นหลังคาของศาลาไมแ้ ปดเหล่ยี มอยู่ ปารสุ กวันเปน็ หลกั ไมไ่ กลนัก ต่อมาเปน็ ทปี่ ระทบั ของพระองคเ์ จา้ จลุ จกั รพงษ์ ศาลานเ้ี ดิมเคยตัง้ อยูท่ ีว่ งั ของพระองคเ์ จา้ จุล พระโอรส สบื ต่อมาจนถึง ม.ร.ว. นรศิ รา จักรพงษ์ จกั รพงษ์ ที่รมิ ทะเลหัวหนิ ซ่งึ ในสมัยรัชกาลที่ ๖-๗ พระธิดา และ “ฮิวโก”้ จุลจกั ร ดารานกั รอ้ งนกั แสดง นนั้ หัวหินเปน็ สถานตากอากาศสดุ ชคิ ที่เหล่าคนเก๋ ช่ือดงั กอ็ าศัยอย่ทู ่นี ่ี จนปัจจบุ นั มกั เรียกวังน้ีกนั ไก๋ไฮโซเมืองพระนครจะต้องไปพักผ่อนกนั และศาลา อย่างข�ำ ๆ วา่ “วงั ฮวิ โก้” แปดเหล่ียมรมิ ชายหาดหลงั นี้น่ีเอง กค็ อื ภาพจำ� หัวหนิ ของผคู้ นในสมัยนน้ั ตวั วังหันหนา้ เข้าสู่แม่นำ้�เจา้ พระยา มีรูปแบบ สถาปัตยกรรมสไตล์ชนบทของอังกฤษ ไมใ่ หญโ่ ต Chakrabongse Villa: Constructed as a recreational โออา่ เป็นทางการอย่างเชน่ วงั ปารุสก์ เพราะสร้าง home for Prince Chakrabongse, it features English เพอื่ ใหเ้ ป็นบ้านสำ�หรับพกั ผ่อน ออกแบบโดย นาย domestic architecture. The family’s descendants still แอร์โกเล มันเฟรดี (Ercole Pietro Manfredi live here today, and part of the palace premise is ต่อมาใชช้ ื่อไทยวา่ เอกฤทธิ์ หมน่ั เฟ้นด)ี และ converted into a boutique hotel. นายเอด็ วารด์ ฮีลี (Edward Healey) ชน้ั สองมีเฉลียงส�ำ หรับรับลมจากแม่น�้ำ ชั้นทสี่ ี่ทำ�เปน็ หอสูงไวป้ ระดิษฐานอฐั ิรชั กาลที่ ๕ และเจา้ นายสายราชสกลุ จักรพงษ์ จะเหน็ ได้ว่า ถึงแม้จะเป็นวงั แบบฝร่ัง แตก่ ็ยงั ยึด คติการใช้พ้นื ที่แบบจารีตบางอย่างอยู่ เชน่ การน�ำ อฐั ิของบรรพบุรษุ ต้งั บชู าไว้ทห่ี อ้ งส่วนทสี่ งู ทีส่ ดุ ของ เรอื น เชน่ เดยี วกับพระท่ีนง่ั จกั รีมหาปราสาทก็ยดึ คติ นีด้ ว้ ยเชน่ กนั D D07 Chakrabongse Villa A 396 Maha Rat Rd. T Not Open to the Public A 02 222 1290 www.chakrabongsevillas.com 114

ต�ำหนักเพ็ชร วัดบวรนเิ วศวหิ าร D08 Tamnak Phet, Wat Bowon Niwet: Built in the reign of King Rama VI ไม่ตอ้ งทำ�หนา้ งง...วา่ หนงั สือนำ�ชมเลม่ น้ี คงจะหลงเสียแลว้ เพราะ for Supreme Patriarch Prince Vajira ดนั นำ�เสนอต�ำ หนกั เพ็ชรเอาไว้ในหมวดวงั เจ้านาย แทนท่ีจะเอาไปใสไ่ ว้ nana, the building was used as a ในหมวดวัด! meeting hall for Buddhist monks. It is a Western-style one-story นั่นกเ็ พราะตำ�หนักเพ็ชร แทจ้ รงิ แล้ว ก็คือวงั ของพระสงั ฆราช building, decorated with stucco นั่นเอง ซงึ่ มที อ้ งพระโรงเฉกเชน่ ตำ�หนกั ของเจ้านายอ่ืนๆ ดว้ ยเชน่ กนั works featuring Thai patterns. ต�ำ หนักเพ็ชร วดั บวรนิเวศวิหาร สร้างขึ้นในสมัยตน้ รัชกาลที่ ๖ D08 Tamnak Phet, Wat Bowon Niwet D เพื่อถวายแดส่ มเด็จพระมหาสมณเจา้ กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส 248 Phra Sumen Rd. A (พระองค์เจ้ามนุษยนาคมานพ พระโอรสรชั กาลท่ี ๔) ซงึ่ ดำ�รงตำ�แหน่ง 02 629 5854 T สงั ฆราชในขณะนนั้ เพอื่ ใชเ้ ป็นท้องพระโรง ท่ปี ระชุมของมหาเถระ www.watbowon.org A สมาคม และเป็นท่ตี ง้ั พระศพ Not Open to the Public 115 ตัวอาคารเป็นตกึ ฝรั่งชน้ั เดียว ต้ังอย่ใู นเขตสงั ฆาวาส มีระเบยี งยาว ตลอดด้านหน้าของอาคาร และมีลกู เลน่ ท่มี ขุ ยน่ื ตรงมมุ อาคารดา้ น หนา้ เพอื่ ใช้เป็นบันไดทางขึ้น ทำ�ใหต้ �ำ หนกั มผี งั เปน็ รูปตวั แอล (L) หากลองแหงนข้ึนไปดหู น้าจั่วของมขุ ทางเขา้ นี้ จะเหน็ วา่ หนา้ บันทำ� เป็นลวดลายพระมหามงกุฎและวชิราวุธ นอกจากนี้แลว้ ยงั ออกแบบใหม้ ีการยกคอสองหลงั คาขึน้ โดยรอบ เพ่ือใช้เป็นชอ่ งแสง และมีคำ้�ยันไม้ฉลรุ องรับชายคา ลกั ษณะอีกอยา่ งท่ีนา่ สนใจคอื ลวดลายท่ปี ระดบั ระหว่างเสาที่ ระเบียงด้านหน้านนั้ เรยี กกันว่า ซุม้ สาหรา่ ยรวงผ้งึ เป็นการผสมผสาน ลายประดบั แบบตะวันตกและลายไทยประยุกต์ ซงึ่ เปน็ รูปแบบอนั เป็นท่ี นยิ มในสมัยรชั กาลที่ ๖

C01 หอนาฬิกาพระท่ีนง่ั ภูวดลทศั ไนย D01 พระทนี่ ง่ั อศิ เรศราชานุสรณ์ C02 สวนสราญรมย์ D02 พระราชวงั สราญรมย์ C03 พระทีน่ ั่งจักรมี หาปราสาท D03 วังวรวรรณ C04 หอคองคาเดีย D04 วงั กรมพระสมมตอมรพนั ธ์ุ C05 สสุ านหลวง วดั ราชบพิธ D05 ต�ำ หนกั หม่อมเจ้าจรูญศกั ด์ิ C06 โรงทหารหน้า D06 วงั มะลิวลั ย์ C07 โรงเรียนนายทหารสราญรมย์ D07 วังจักรพงษ์ C08 โรงสกูลสุนนั ทาลัย D08 ตำ�หนักเพช็ ร วดั บวรนิเวศวหิ าร C09 ตกึ ยาว โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลยั C10 คกุ มหนั ตโทษ C11 โรงกษาปณ์สทิ ธิการ C12 โรงพมิ พ์บ�ำ รุงนกุ ลู กจิ C13 กรมทหารมหาดเลก็ รกั ษาพระองค์ C14 สถานีตำ�รวจนครบาลพระราชวงั C15 อาคารกระทรวงพาณชิ ย์

ผู้ดีเดินตรอก Alleys for the Elite หากถามว่าพวกขนุ นางในสมยั กอ่ นเค้าอยเู่ ย่ียงไรในยคุ ท่สี ยามตอ้ ง ปรบั ตวั เข้าหาตะวันตก เคา้ ก็อยูเ่ รอื นไม้อย่างฝรง่ั กนั สิ โดยสรา้ งบา้ นกนั ตามตรอกแคบๆ ท่ีใช้เป็นทางเดนิ เท้าได้เท่านัน้ ด้วยในสมัยน้ันยงั ไม่จ�ำ เปน็ ต้องมีรถกนั บา้ นคุณหลวงคณุ พระเหล่าน้มี กั ปลูกเรือนใกล้ๆ กันเปน็ ชมุ ชน ลอ้ มรอบ ด้วยตึกแถวทอี่ ยูต่ ดิ ถนน เรอื นท่สี รา้ งในชว่ งรัชกาลที่ ๕-๖ มกั เป็นเรือนมะนิลาอยา่ งฝรง่ั หลังคาเป็นป้ันหยาผสมหน้าจว่ั มีหนา้ ต่างบานเกร็ดไม้ มรี าวระเบียง ช่องแสง เชิงชายเป็นไม้ฉลุอย่างขนมขงิ ในยคุ ตอ่ มาจึงเรม่ิ พฒั นาเป็นหลงั คาจัว่ ตัด และมมี ุขหลายเหล่ยี ม ที่มมุ ด้านหน้า When Siam first tried to adapt to Western culture, the Siamese elite had Western-style bungalows built alEo0n1g small alleys which could only be accessed on foot, since cars were not necessary at the time. They usually built a cluster of bungalows, surrounded by roadside shophouses. The homes built in the late 19th century to early 20th century (King Rama V’s and King Rama VI’s eras) were typically called “manila” homes with hip and gable roofs, wooden louver windows, and gingerbread-style veranda railings, ventilating grills, and trims at the eaves. Later, the style shifted to a jerkinhead roof with bay windows.

E01 บา้ นพระศรสี าคร E02 บา้ นลับ หลังร้านนม E03 บ้านรอ้ ยปี ตรอกตึกดนิ E04 บ้านละครไทยศิริ E05 บ้านจงเกษม E06 บา้ นเขียว ตรอกตกึ ดิน E07 บา้ นพระยาวิเศษสงคราม E08 บ้านนพวงศ์ E09 บ้านหลวงสุนทรนุรักษ์ (บ้านวรรณโกวิท) E10 บา้ นพระวิทยานุวตั ิการ (บา้ นมะเฟอื ง) E11 บ้านหลวงบรรสบวิชาฉาน E12 บา้ นขนุ ประเสรฐิ ทะเบยี น E13 บ้านหมอหวาน E14 บ้านหมอฟืน้ บุณยะรตั เวช E15 บา้ นขุนทรงสขุ ภาพ E16 บา้ นเทพทบั E17 บ้านพระยาพิทักษเ์ ทพมณเฑยี ร E18 บ้านหลวงสวสั ดวิ์ รฤทธิ์ E19 บา้ นขนุ วิสุทธสิ มบัติ E20 บา้ นพระยาอรรถวริ ัชวาทเศรณี E21 บา้ นผา่ นฟา้ E22 บา้ นบุระเกษตร E23 บา้ นพระยามหาวินิจฉยั มนตรี E24 บา้ นพระยาอาทรธรุ ศิลป์ E25 ร้านอาหารนมั เบอร์วัน

บ้านพระศรสี าคร E01 Bandhumasuta House: Located inside a community behind Loha นบั เปน็ เรือนไม้ขนาดใหญ่ในละแวกชมุ ชนหลัง Prasat (Iron Stupa), the house วดั ราชนดั ดา ที่มบี า้ นเก่าเหลือให้เชยชมอยเู่ พยี งไม่ formerly belonged to German กี่หลงั missionaries. When World War I erupted in 1917, King Rama VI เล่ากันมาวา่ แต่เดิมเปน็ บ้านทมี่ ชิ ชนั นารีชาว declared war with Germany, and เยอรมนั ปลกู อยูอ่ าศยั กนั แต่เมอื่ เกดิ สงครามโลก the house was confiscated. It was คร้ังที่ ๑ ในปี ๒๔๖๐ รัชกาลท่ี ๖ ประกาศสงคราม later given to the first generation กับเยอรมนั บา้ นจึงโดนยึดเป็นของหลวง พระศรี of the Bandhumasuta family, who สาคร (ชอ้ ย พนั ธมุ สตุ ) สงั กดั กรมสรรพากร worked in the Revenue Department. กระทรวงพระคลงั จึงได้รบั พระราชทานเรอื นหลงั น้ี ตามบรรดาศกั ดทิ์ ไี่ ด้ The layout was an L shape, which was popular at the time. The เรือนไมห้ ลังนีค้ าดว่าสร้างข้นึ ในสมัยรัชกาลที่ ๖ ground floor had a front veranda ดว้ ยมีผงั เปน็ รูปตัวแอล (L) ซง่ึ เปน็ รูปแบบการสร้าง and a hip roof with a jerkinhead เรือนในสมัยน้ัน ทช่ี ั้นลา่ งด้านหน้าเป็นระเบยี ง roof on the side. The protruding portico at the front featured a หลังคาทรงป้ันหยา หลงั คาด้านหน่ึงทำ�เปน็ จัว่ gable roof and wooden louver ตดั อันเปน็ ลูกเล่นการทำ�หลงั คาในสมัยรชั กาลท่ี ๖ windows with gingerbread trims at สว่ นมุขด้านหน้าทำ�หลงั คาเปน็ หน้าจว่ั the awnings. หนา้ ต่างบานเกร็ดไม้ ตามขอบชายคาประดับ ไม้ฉลุ E01 Bandhumasuta House D Community behind Loha Prasat A Not Open to the Public T A 119

เรื่องเล่าชาวเกาะ บ้านลบั หลังรา้ นนม E02 ตึกดิน คือ? ตกึ ดินหาใช่ตึกท่สี ร้างด้วยดนิ อย่างพวก หลายคนคงเคยดน้ั ด้นมากนิ นมที่รา้ นมนตก์ นั บอ่ ยๆ บ้านจนี ไม่ แต่นอ้ ยนักทจ่ี ะรู้ว่า ทีถ่ นนดนิ สอ บรเิ วณหนา้ ศาลาวา่ การกรุงเทพฯ แตค่ อื ตึกท่ีใชเ้ ก็บดินปนื ตวั อาคารก่ออิฐ แห่งนี้ จะมีบา้ นเก่าสุดเก๋าแฝงตวั อยดู่ า้ นหลังรา้ นนม ถือปนู มผี นงั หนา มหี น้าต่างบานเล็กๆ เขา้ ตรอกท่ขี า้ งรา้ นไป จะพบกับบา้ นเลขที่ ๑๖๐ ถนนดินสอ คอื เนื่องดว้ ยใช้เก็บวัตถุอันตราย ตกึ ดนิ จงึ บ้านลบั ทเ่ี รากลา่ วถึง สรา้ งใหอ้ ยูอ่ ย่างโดดเด่ยี ว แวดล้อมด้วยที่ เรอื นไมป้ ระดับลวดลายฉลุหลงั นี้ถือวา่ มีอายุเก่าแก่ คาดว่าสร้างขึ้น ว่างโลง่ เว้ิงว้างโดยรอบ ต้งั แตก่ ลางรัชกาลท่ี ๕ เลยทีเดยี ว เพราะหากเกดิ อุบตั ิเหตรุ ะเบดิ ข้นึ มาแลว้ ทำ�ไมเราจงึ รู้ เพราะเป็นบ้านไมท้ ี่สรา้ งเลียนแบบตกึ ปูน ๒ ช้นั แบบ ชมุ ชนโดยรอบจะได้ปลอดภยั บา้ นเรอื นไม่ ฝร่งั หนะ่ สิ ติดไฟวอดวายไปดว้ ย ในสมัยรัชกาลท่ี ๕ ตึกฝรั่งแบบน้มี ใี ห้เหน็ กนั อยู่พอสมควรแลว้ ใน แรกสรา้ งกรงุ เทพฯ นน้ั ตึกดนิ ตัง้ อยู่หน้า พระนคร แตส่ ว่ นใหญ่กม็ กั เปน็ ต�ำ หนักเจ้านาย พวกขนุ นางถา้ จะสร้าง พระบรมมหาราชวงั แถวถนนสนามไชย เรือนอยา่ งฝรัง่ แลว้ หละ่ ก็ มกั จะสรา้ งดว้ ยไมก้ ัน ด้วยยังไม่กลา้ ท�ำ เปน็ (ตรงทีเ่ ป็นวงั สราญรมย์ในปจั จบุ ัน) ตึกเทียบช้นั เจา้ นายได้ ต่อมาราวรชั กาลท่ี ๔ ได้ย้ายใหไ้ กลจากวัง ลองสงั เกตท่เี หนือชอ่ งหนา้ ตา่ งชัน้ บน ประดบั ด้วยจ่วั ไมส้ ามเหลี่ยม หลวงออกไปหน่อย ปา้ นๆ เลยี นแบบหน้าจั่วปูนปนั้ เหนือหนา้ ตา่ งในงานของฝรงั่ หลังคาเปน็ ทที่ ่งุ ว่างดา้ นเหนือของพระนคร ติดคลอง ทรงปนั้ หยาแบบเรือนฝรง่ั แต่เปน็ แบบท่มี ีหนา้ จัว่ เล็กๆ อยู่ท่หี ัว-ท้าย หลอดวัดราชนัดดา เหนือวดั มหรรรณพาราม ที่ส�ำ คญั เป็นเรอื นเพียงไมก่ ห่ี ลงั ในเกาะรัตนโกสินทร์ทีย่ ังคงมุง มีการยกร่องท�ำ สวนโดยรอบ เพอื่ ใชเ้ ป็น หลังคาด้วยกระเบ้อื งดนิ เผาอยู่ แสดงให้รวู้ า่ สร้างในยคุ กอ่ นทีก่ ระเบอื้ ง พน้ื ทฉี่ นวนกันไฟ ว่าว (กระเบ้อื งซีเมนต์) จะมาถงึ สว่ นตรอกตกึ ดิน เปน็ ตรอกชายขอบ ลองมองขา้ มรั้วไปทางดา้ นขวามือ เรอื นไม้เกา่ ๆ ของเพอ่ื นบ้านก็ใช่ ปริมณฑลของตกึ ดิน ขนานไปกบั คลอง ย่อย มีหน้าจวั่ ฉลลุ าย หลอดทางดา้ นใต้ คนละฝั่งกันกบั ตึกดนิ ถอื เป็นชมุ ชนเก่าหลังวดั มหรรณพ Hidden House behind Mont Milk: This wooden gingerbread house was เมื่อมีการตัดถนนราชดำ�เนนิ ในช่วงปลาย built a long time ago, perhaps in the late 19th century. The style of the รชั กาลท่ี ๕ ซ่ึงผ่าทะลุอาณาบริเวณของ house mimicked that of a Western-style 2-story brick and mortar building. ตึกดินนนั้ It has a hip roof like a Western home, but with two tiny gables at the ตวั อาคารท่ีใช้เกบ็ ดินปืน ซ่งึ ขณะนน้ั ต้งั อยู่ front and back. Interestingly, it is one of the few remaining homes in the ริมถนนราชด�ำ เนนิ ดา้ นใต้ ไดเ้ ปลย่ี นมาเป็น Old Town with terracotta roof tiles today. ตึกเรียนของโรงเรยี นสตรวี ิทย์ในยุคตัง้ ไข่ กอ่ นท่จี ะย้ายขา้ มฟากถนนราชดำ�เนนิ ไป 120 ฝังรากอยู่ท่ฝี ัง่ เหนอื ณ ทีท่ ่เี ป็นทีต่ งั้ ของ โรงเรยี นในปัจจุบัน

บ้านร้อยปี ตรอกตกึ ดนิ E03 ระเบยี งไม้ชน้ั สอง เจาะเป็นชอ่ งประตูโดยรอบ เพ่อื เปิดเข้าไปยงั หอ้ งภายในเรอื นได้อกี ด้วย ถอื เป็นไฮไลท์ของตรอกตกึ ดินแหง่ น้ี ดว้ ยเปน็ เรือนของหลวงสมรภมู พิ ชิ ติ (สกลุ ไชยา ค�ำ ) ทสี่ ร้างมาต้ังแตร่ าวปลายรชั กาลท่ี ๕ หรอื ตน้ รชั กาลท่ี ๖ ปัจจุบันทายาทรุน่ ที่ ๔ ยังคงอาศัยอยทู่ ่ีเรือน หลงั น้ี ซง่ึ ได้รับการดแู ลให้อยใู่ นสภาพดเี ยย่ี ม ลักษณะเรือนมีผงั เปน็ รปู ตัวแอล (L) อันเป็น แบบฉบับของเรือนไมใ้ นสมัยปลายรัชกาลที่ ๕ ถงึ รชั กาลที่ ๗ คอื มมี ขุ ยน่ื ออกมาด้านหน้าท่ปี ลายดา้ นใดด้าน หนึ่งของเรือน ไมไ่ ด้อยตู่ รงกลางอย่างตกึ ใหญ่ทีเ่ ปน็ อาคารราชการ พน้ื ท่บี รเิ วณมมุ ตัวแอลน้ีมักท�ำ เปน็ เฉลยี งหนา้ บ้าน เพอื่ ใชเ้ ป็นทางเข้าหลกั ทีเ่ ป็นลกั ษณะเฉพาะของเรือนรอ้ ยปีน้ีก็คือระเบียง ไม้ชนั้ สองของบา้ น ทีย่ ่ืนออกมาโดยรอบ คลา้ ยกบั ระเบียงไม้รอบตำ�หนักวังวรวรรณทีแ่ พรง่ นรา D03 ซง่ึ ต่อเตมิ ขึ้นในสมยั เดยี วกัน Jayagam House: Built in the early 20th century (towards the end of King Rama V’s era or early in King Rama VI’s era), the house is now occupied by the fourth generation of the Jayagam family. The layout forms an L shape, as typical in homes in King Rama V’s era through King Rama VII’s era, with a protruding portico on one side, a front veranda, and cantilevered corridors on all sides of the upper floor. หากอยากเยีย่ มยลบ้านรอ้ ยปี ตรอกตึกดิน อยา่ งใกล้ชิด ให้ E02 Hidden House behind Mont Milk E03 Jayagam House D ลองแวะมากนิ กลางวันทนี่ ่ี 160 Off Dinso Rd. 72-74 Tuek Din Alley A Not Open to the Public 10.30am-1.00pm Mon-Fri T คุณย่าคุณยายในบา้ นนีพ้ ร้อมตอ้ นรบั ทุกท่านด้วยเมนไู ม่ซ�้ำ 02 224 1093 A กันในแตล่ ะวนั 121 เปิดบรกิ ารเฉพาะม้อื เทยี่ ง วนั จันทร์ ถึงศุกร์ ตง้ั แต่เวลา ๑๐:๓๐ น. ถึง ๑๓:๐๐ น. เท่านนั้ รสชาติดี ราคายอ่ มเยาว์ เพราะไมไ่ ดห้ วังก�ำ ไร หากเปน็ ความ สขุ ใจของผูส้ ูงวัยทอ่ี าศยั ในบ้านโบราณแหง่ นี้ ไปไมถ่ ูก ถามไดท้ ่ี ๐๒-๒๒๔-๑๐๙๓

เรื่องเล่าชาวเกาะ บา้ นละครไทยศริ ิ E04 บ้านน้ีมีมุขเยอะ บ้านที่มีมขุ หลายเหลยี่ มบรเิ วณด้านหนา้ หรอื ด้านข้างของ ไทยศริ เิ ปน็ คณะละครร�ำ เกา่ แก่ ทส่ี บื ทอดมา อาคาร มปี รากฏอยู่หลายทใ่ี นเกาะรตั นโกสนิ ทร์ หลายชวั่ อายุคนแล้ว อยา่ งเชน่ ตำ�หนักหม่อมเจ้าจรูญศกั ด์ิ กฤดากร (ส�ำ นกั งาน UNICEF ถนนพระอาทติ ย์ ในปัจจบุ ัน) เปน็ ตึกแบบฝรงั่ ซึ่งสร้าง เปน็ คณะโขนราษฎร์ ที่เรยี กกนั วา่ โขนโรงวัด ตัง้ แต่ปลายรัชกาลที่ ๕ แล้ว มหรรณพ์ แสดงละครแกบ้ นทศ่ี าลหลกั เมือง สว่ นบา้ นขุนนางและสามัญชน ก็มบี ้านพระยาพิทักษเ์ ทพ มณเฑียร (ตรอกเสถยี ร), บา้ นขนุ ประเสริฐทะเบียน (บ้าน ตัวบ้านต้ังอยูร่ มิ คลองหลอด เป็นบา้ นไม้ ๒ ช้ัน ขนมปงั ขงิ หลงั โบสถ์พราหมณ)์ , บา้ นขุนพิสิษฐสารากร ถนน มมี ขุ คร่ึงแปดเหล่ียมที่ดา้ นหน้า อนั เป็นเทรนดใ์ น พระอาทติ ย์ (ซ่อนตวั อยใู่ นตรอกข้างรา้ น Hemlock), บ้านบุระ สมัยรัชกาลที่ ๖-๗ เกษตร (เชงิ สะพานเฉลมิ วันชาติ ริมคลองบางลำ�พู), บ้านหมอ เหรยี ญ ชตุ ิชูเดช ตรอกมะยม (รา้ นต้มยำ�กุง้ ถนนขา้ วสาร ใน ปัจจุบนั เปิดใหบ้ ริการเปน็ เกสตเ์ ฮา้ ส์ ปจั จบุ นั ) และท่บี ้านละครไทยศริ ิ ตรอกตึกดนิ แหง่ นี้ Thai Siri House: Thai Siri is a traditional Thai dance troupe which has been around for a long time. In the past, this private-owned dance troupe did performances at the City Pillar Shrine. Their house is located on Tuek Din Alley and is a 2-story wooden house with a semi-octagonal bay window, which was a popular trend in the 1910s-20s in the eras of King Rama VI and King Rama VII. Today, the troupe is no longer in business, and this house is now a guesthouse. D E04 Thai Siri House E05 Chong Kasem House E06 Green House on Tuek Din Alley A 155 Tuek Din Alley 34 Tuek Din Alley 58 Tuek Din Alley T Not Open to the Public Not Open to the Public Not Open to the Public A 122

บา้ นจงเกษม E05 แตด่ ัง้ เดิมเป็นเรอื นของรองอำ�มาตย์ตรี สุนทร จงเกษม ทเ่ี ข้ารบั ราชการกรมป่าไม้มาต้งั แต่สมัย ปลายรัชกาลที่ ๕ แล้ว บ้านเขยี วตรอกตึกดิน E06 ตัวบ้านเป็นเรอื นมะนิลา หลังคาป้ันหยา มหี น้า เป็นบา้ นไม้โบราณอกี หลังในตรอกตึกดนิ คาดวา่ จว่ั ทมี่ ขุ หนา้ เดิมคงเป็นของขนุ นางในสมัยรชั กาลท่ี ๖-๗ ผงั เปน็ รูปตวั แอล ซ่งึ เปน็ เอกลักษณเ์ ฉพาะของ ผงั อาคารมีลกั ษณะเช่นเรือนหลังอนื่ ๆ ในซอย บา้ นในสมยั ปลายรัชกาลท่ี ๕ ถึงรัชกาลที่ ๗ น้ี คอื เป็นรปู ตัวแอล (L) อันเป็นประเพณีนยิ มของ ผงั บา้ นไม้ทส่ี ร้างในสมัยปลายรัชกาลท่ี ๕ ถงึ รัชกาล มจี ุดนา่ สนใจคือการเซาะรอ่ งเปน็ ริ้วๆ ทเ่ี สา ท่ี ๗ กล่าวคอื มีมุขยนื่ ออกมาท่ปี ลายด้านหนง่ึ มี เลียนแบบงานกอ่ ด้วยหิน (Rustication) ซ่ึงนยิ มทำ� บันไดจากภายนอกขนึ้ ไปยังระเบียงที่ช้นั บนซงึ่ ยาว กนั ในตกึ ฝรั่งทงั้ หลายในขณะน้นั ไปตลอดด้านหน้าบา้ น เพอ่ื แจกเข้าไปยงั หอ้ งตา่ งๆ ภายในเรือนอีกที ปัจจุบันทายาทไดข้ ายให้กับเจ้าของใหม่ ซึ่งได้ ปรบั เปล่ยี นพืน้ ที่บางสว่ น เชน่ ปรับหอ้ งชน้ั สองด้าน ลกู กรงระเบยี งเปน็ เหล็กหลอ่ ชอ่ งระบายอากาศ หนา้ ใหเ้ ป็นระเบียง เหนือประตูหนา้ ตา่ งเป็นไม้ฉลุลวดลายสวยงาม Chong Kasem House: Originally, it was occupied by มขุ หนา้ มหี ลังคาทรงจ่ัวตัด ซึง่ เป็นทนี่ ิยมกนั มาก the Department of Forest officer. The house forms an ในสมัยรัชกาลท่ี ๖-๗ L shape and is a “manila” style with a hip roof and a gable at the front. An interesting feature is the wooden ปจั จุบนั เจา้ ของแบง่ พนื้ ท่เี ป็นห้องเช่าเพื่ออยูอ่ าศยั pilasters with grooves to imitate stone masonry which was popular in Western buildings at the time. Today, Green House on Tuek Din Alley: It is assumed to parts of the house have been renovated and it looks have belonged to a nobleman in King Rama VI’s or different from its original design. King Rama VII’s era. The house has the same layout as those on the same alley, with an L shape design. It has เร่ืองเล่าชาวเกาะ external steps leading to the corridor of the upper level. The house features cast iron balustrades and ดับกระหายท่ีท้ายซอย perforated wooden ventilation grills. Today, the home เดิมชมบ้านเกา่ ตรอกตกึ ดนิ มาจนถงึ is rented out. ทา้ ยซอย จะพบกับ “บา้ น ลลิณ” คาเฟ่ เลก็ แต่ไมล่ ับ บ้านไมเ้ ก่าๆ หลังน้ี ถึงแมค้ วามงามและ คุณคา่ ทางสถาปัตยกรรมอาจจะไมโ่ ดดเด่น แตส่ ำ�หรับเรื่องรสชาตอิ าหารและเครื่องด่มื ของทน่ี ีแ่ ลว้ ตอ้ งบอกวา่ ไม่เป็นรองใคร เพราะคอื ร้านของ เชฟพลอย แห่งรายการมาสเตอร์เชฟไทยแลนด์ เมนูแนะนำ�คือ เคก้ แตงไทยราดซอ้ สกะทิ และส้มฉนุ เยน็ ฉ�ำ่ หอมกลิม่ ส้มซา่ ส่วนเครือ่ งดมื่ กม็ ี น�ำ้ สบั ปะรดพริกเกลอื และน�้ำ ฝรัง่ บว๊ ย ดับรอ้ นผ่อนกระหายยามบ่ายๆ ไดด้ ี ตกเยน็ เป็นเชฟเทเบ้ิล ตอ้ งจองลว่ งหน้าเท่านัน้ จร้า 123

บา้ นพระยาวิเศษสงคราม E07 บ้านนพวงศ์ E08 เรอื นไมส้ กั สองช้ันสีครมี หลังนี้ แตเ่ ดมิ เป็นบา้ น บ้านไมห้ ลังยอ่ มหลังน้ีเดมิ เป็นของหมอ่ มหลวง ของพลตรี พระยาวิเศษสงคราม (ช้อย จนั ทรสนธ)ิ ดิศพงศ์ นพวงศ์ สรา้ งขนึ้ ในปี ๒๔๘๘ อนั เปน็ ชว่ งที่ สงครามมหาเอเชียบรู พา หรอื สงครามโลกคร้งั ท่ี ๒ สนั นิษฐานวา่ สรา้ งขน้ึ ในสมยั ปลายรชั กาลท่ี ๖ ใกล้จะสงบลงแล้ว วัสดทุ ี่ใช้ในการกอ่ สร้าง อย่างเช่น เนื่องจากมีองคป์ ระกอบทางสถาปตั ยกรรมท่ีเปน็ ที่ ไม้ สงั กะสี และเหล็ก จงึ ไดม้ าจากค่ายทหารญป่ี ุ่นท่ี นิยมในยุคนนั้ คอื เขา้ มาตั้งฐานปฏิบัติการในเมืองไทย ผงั เรือนเปน็ รูปตวั แอล (L) มมี ขุ ด้านหน้า หลังคา ผงั เรอื นเป็นรปู ตวั ที (T) สมมาตรซา้ ย-ขวา ท่ี จัว่ ตดั อนั เปน็ ลูกเล่นในการดีไซนห์ ลังคาท่ีรบั มาจาก มขุ กลาง หลังคาเป็นจ่วั ย่ืนมาดา้ นหน้า และเนื่องจาก ตะวนั ตก (บา้ นที่สร้างก่อนหน้านี้ มกั มที รงหลงั คา ก่อสรา้ งในยุค 1940s ทซี่ ่งึ รปู แบบสถาปัตยกรรม เป็นแบบมะนิลากนั คอื เป็นปัน้ หยา ผสมกบั หน้าจั่ว แบบโมเดริ น์ เปน็ ท่นี ยิ ม บา้ นนพวงศ์จงึ แผงด้วย ยงั ไม่พัฒนาเปน็ ทรงจว่ั ตัด) กลิ่นอายของบ้านแบบโมเดิร์นที่เรียบงา่ ย ไมป่ ระดบั ประดา ออกแบบโดย หลวงบุรกรรมโกวทิ อีกทง้ั เป็นเรอื นยกพ้นื มีใต้ถนุ เต้ียๆ เพ่ือใช้เก็บ ของและช่วยในการระบายอากาศ ระบายความชนื้ บ้านนพวงศ์ตกเป็นของลูกสาว และตอ่ มาหลาน ตาไดป้ รบั ปรุงเรือนไมท้ ี่เก่าแกท่ รุดโทรมใหก้ ลายเปน็ ปัจจบุ ันเรอื นหลังนี้ไดเ้ ปล่ยี นมือไป เจา้ ของใหม่ บูติกโฮเต็ลขนาดเลก็ ซง่ึ ต้งั อยเู่ งียบๆ เนย้ี บๆ ดา้ น ซง่ึ เปน็ สถาปนกิ ได้ปรบั ปรงุ อยา่ งดเี ยย่ี มเพ่อื เป็น หลังโชว์รูมเบนซ์ ถนนราชด�ำ เนิน ไม้ฉลลุ ายทป่ี น้ั ลม เรือนแรมสำ�หรับนกั ทอ่ งเท่ยี ว ในช่ือว่า “บ้านดินสอ ซึง่ นิยมในบ้านสมยั รัชกาลที่ ๕-๖ ได้ตอ่ เตมิ เขา้ มา บูตคิ โฮสเทล” ในภายหลงั Chandrasandhi House: The house originally be- Navavongs House: Built in 1945 during the end of longed to a major general in the Chandrasandhi family. World War II, it is a 2-story house with a symmetrical It might have been built in the 1910s towards the end T-shaped layout and the protruding portico. It is a of King Rama VI’s era. The house forms an L shape Western-style bungalow, but adapted to suit Thailand’s with a front portico and a jerkinhead roof, which was hot and humid weather. The house features Modern a Western roof design. The house is slightly elevated architecture with a simple design. Today, it has been and the space is used for both storage and ventilation. restored and converted into a boutique hotel. The gin- Its current owners, an architect couple, have restored gerbread gable trims at the front were later added. the house into a hostel named Baan Dinso Boutique Hostel at Trok Sin. D E07 Baan Dinso Boutique Hostel E08 Baan Noppawong A 113 Trok Sin Alley 112-114 T 096-565-9795 Soi Damnoen Klang Tai A www.baandinso.com 02 224 1047 Baandinso.hostel Baannoppawong 124

หลังคาทรงปนั้ หยา ทีม่ ุขหน้า และมขุ ขา้ ง ทำ�เปน็ จว่ั ป้นั ลมประดบั ไม้ฉลุตามสมัยนยิ มสมยั นนั้ บา้ นหลวงสนุ ทรนุรกั ษ์ (บา้ นวรรณโกวทิ ) E09 บา้ นปูนหลงั ใหญ่ ที่ต้งั ตระหงา่ นดา้ นหลังอนุสรณส์ ถาน ๑๔ ตลุ า Varnakovida House: The first ๑๖ บริเวณสแี่ ยกคอกววั ถนนราชดำ�เนินกลาง น้ี พระยานรราชจำ�นง generation of the Varnakovida fam- (มา วรรณโกวทิ ) ผ้ชู ว่ ยกองบญั ชาการ กรมราชเลขานุการ ในสมยั ily worked in King Rama V’s Office รัชกาลที่ ๕ ผเู้ ปน็ พ่อ ได้สรา้ งขึ้นเพื่อเป็นเรือนหอของลกู ชาย หลวง of Secretary. He built this home สนุ ทรนรุ กั ษ์ (กระจ่าง วรรณโกวทิ ) ซึ่งรับราชการเป็นเลขานกุ ารใหก้ บั for his son’s wedding, possibly in กรมพระสมมตอมรพนั ธ์ the 1900s - 1910s, or around the end of King Rama V’s era or แตเ่ ดมิ อาณาบริเวณบ้านกว้างขวาง อย่ชู ดิ ถนนราชดำ�เนนิ ตวั เรือน early in King Rama VI’s era. This ปลกู อย่ดู า้ นทา้ ยของทดี่ ิน เมือ่ มีการสร้างอาคารรมิ ถนนราชดำ�เนนิ ข้ึน brick and mortar building forms an ในช่วงปี ๒๔๘๔ ทีด่ นิ ส่วนหน้าบ้านจึงโดนเวนคืนไป เหลือพ้นื ท่ีเชน่ ใน L shape, with a veranda at the cor- ปัจจุบนั ner on the ground floor, used as the entrance. There is a hip roof, คาดวา่ สร้างขน้ึ ในสมยั ปลายรัชกาลท่ี ๕ - รชั กาลที่ ๖ ด้วยในสมัย with gables at the front and the นีข้ นุ นางระดับสูงเริ่มทจี่ ะสรา้ งบ้านกอ่ อิฐถือปนู กนั ไดบ้ า้ งแลว้ (ในยุค side, decorated with gingerbread สมยั ก่อนหนา้ นจ้ี ะมีแต่ตำ�หนักของเจา้ นายเท่าน้นั ที่สรา้ งเปน็ อาคาร gable trims, which used to be ปนู ) popular at the time. หากดเู ผนิ ๆ เรือนหลังนีจ้ ะมีผังเป็นรปู ส่ีเหลย่ี มผนื ผา้ แตห่ าก ปัจจบุ ัน คนจะรู้จักบา้ นวรรณโกวทิ พจิ ารณาดๆี จะเห็นวา่ ส่วนอาคารทเ่ี ป็นปูนนนั้ มผี ังเป็นรูปตวั อกั ษรแอล จากต�ำ รับขา้ วแช่ ทีม่ ีขายตลอดท้งั ปี (L) ส่วนที่มมุ ตัวแอลนนั้ ชน้ั ลา่ งทำ�เปน็ ระเบยี งหน้าบ้าน ใชเ้ ปน็ ทางเขา้ เปน็ สตู รของคุณชืน้ วรรณโกวทิ ภรรยา เรือน มีเสารบั โครงสรา้ งไม้ท่ตี ่อเป็นระเบียงที่ชน้ั บน กรดุ ว้ ยหน้าต่าง ของหลวงสนุ ทรนุรักษ์ บานเกรด็ ไม้ท้ังผนังเพ่อื ชว่ ยอากาศถ่ายเท เปดิ ๑๑:๐๐ - ๑๕:๐๐ น. (ปิดวัน จันทร์) ไปไม่ถกู โทรฯ ถามได้ท่ี ๐๘๑- ๙๒๒-๖๖๑๑ E09 Varnakovida House D 64 Soi Damnoen Klang Tai A 11.00am-3.00pm Tue-Sun T 081 922 6611 A ขา้ วแช่ “บ้านวรรณโกวทิ ” 125

บา้ นพระวิทยานุวตั กิ าร บ้านหลวงบรรสบวชิ าฉาน E11 (บ้านมะเฟอื ง) E10 เปน็ บ้านเก่าอีกหลังทซ่ี อ่ นตวั อยู่ด้านหลังตกึ แถว เปน็ บา้ นเกา่ อีกหลงั ทเ่ี ปน็ ทีร่ ู้จักกันดใี นย่านศาล เขา้ ซอยมหรรณพ ๑ มานดิ ก็เจอแลว้ เจ้าพอ่ เสือ รมิ ถนนมหรรณพ ด้วยยังคงรักษาใหอ้ ยู่ ในสภาพดี เดมิ เป็นเรอื นของคณุ หลวงบรรสบวิชาฉาน (เจน นิยมวภิ าต) ข้าราชการครกู ระทรวงธรรมการ นา่ จะ แรกเร่ิมเดิมทีเปน็ บา้ นของคณุ พระวิทยานุวัตกิ าร สรา้ งในสมัยรัชกาลที่ ๖ (วาศ วาศวทิ ) ประจำ�กองหอพระสมดุ หลวง กรมราชเลขานกุ าร ในสมยั รชั กาลท่ี ๖ ปจั จบุ ันทายาทปลอ่ ยเชา่ จึงผ่านการใช้งานมา แลว้ อย่างโชกโชน ท้งั เป็นทที่ �ำ การพรรค ร้านเหล้า ปัจจุบันตกทอดมาถงึ ทายาทรุน่ ท่ี ๔ คือพน่ี อ้ ง ร้านสกั และร้านอาหารเวยี ดนาม จนกระทง่ั เม่ือปี ตระกลู ประกอบสนั ตสิ ุข สิวิกา และณฐั ช่างภาพ ทแ่ี ลว้ คณุ สวิ ิกา และคุณณฐั ประกอบสนั ติสขุ แห่ง แฟชัน่ ชือ่ ดัง (คุณพระวิทยานวุ ัตกิ าร เปน็ คุณทวด บ้านมะเฟอื งเพ่อื นบา้ นกัน ไดข้ อเชา่ เพ่ือเปดิ เปน็ ร้าน ทางฝงั่ แม)่ หนังสือเท่ๆ นามว่า World at the Corner เนน้ ท่ี หนงั สือท่องเที่ยวและงานหตั ถกรรมพ้ืนเมืองจากท่ัว บ้านนอ้ ยหลงั นสี้ นั นิษฐานว่าสร้างข้ึนในรชั กาลที่ ทกุ มมุ โลก เปดิ เฉพาะวันศกุ ร์ เสาร์ อาทิตย์ เทา่ น้ัน ๖ อยตู่ ดิ ริมถนนมหรรณพ ซง่ึ ตัดขน้ึ ใหมใ่ นปี ๒๔๖๐ ๑๐:๐๐ - ๑๙:๐๐ น. มีผังเป็นรูปตวั อักษรแอล (L) เช่นบ้านเกา่ อืน่ ๆ ลกั ษณะบา้ นกเ็ ชน่ เดยี วกบั บา้ นไมใ้ นยุคนี้ คือมี ในย่านน้ี หลงั คาเป็นทรงจ่ัวตัด ผงั เปน็ รปู ตวั แอล มรี ะเบยี งเลก็ ๆ หนา้ บ้าน มี ๒ ช้ัน ตัวเรอื นยกพ้ืนข้ึนมาเล็กน้อย พอให้มีลมโกรกใตถ้ ุน เปน็ เรอื นไม้ใต้ถนุ เตยี้ ๆ มบี นั ไดเพียง ๓-๔ ข้ัน เรือน เพ่ือขน้ึ เรอื น คณุ ณัฐเล่าวา่ พืน้ เรอื นช้ันลา่ งปูแผ่น กระดานเว้นรอ่ ง ลมจะพดั จากใต้ถนุ เรือนเขา้ มาใน แถมยังมหี น้าต่างโดยรอบ เปน็ บานเกร็ดไมบ้ าน บา้ น ตอนเดก็ ชอบมานอนเลน่ บนพน้ื เพอ่ื รับลมที่ กระทุง้ เพอ่ื ชว่ ยเพ่มิ การไหลเวียนของลมภายใน พัดเขา้ มาจากใต้ถนุ ลมตงึ เยน็ สบาย เรือน ผูอ้ าศัยจึงรู้สึกเย็นใจสบายกาย Vasavid House: Formerly, the house belonged to ประดบั ลกู ไม้ฉลุแลดูบอบบางฟรุ้งฟรง้ิ นัก the first generation of the Vasavid family, who worked in the Royal Library Division under King Rama VI’s Niyamavibhata House: The house belonged to a Secretary Office. It was built on a newly constructed nobleman who was the first generation of the Niyam- road in 1917. The layout forms an L shape with a avibhata family, a teacher in the Education Ministry. It jerkinhead roof. It is elevated on stilts, with 3-4 steps might have been built in the 1910s in King Rama VI’s leading up to the house. Currently, the house is occu- era. It is a 2-story house with an L-shaped layout and pied by the family’s fourth generation, one of whom is a small veranda at the front. The current generation a famous fashion photographer. has rented out the house to a political party, a bar, a tattoo parlor, a Vietnamese restaurant, and now a 126 cool bookstore named World at the Corner.

บา้ นขนุ ประเสรฐิ ทะเบยี น E12 ใครทีค่ นุ้ เคยกบั ย่านเสาชิงชา้ คงจะคนุ้ ตากบั บ้านไม้หลังน้ดี ี ด้วย ต้งั อยู่ปากตรอกข้างๆ โบสถพ์ ราหมณ์ ปิดประตเู งียบเชยี บ สภาพทรุด โทรม มปี า้ ยติดอย่ทู ีซ่ มุ้ ประตูหนา้ บา้ นวา่ “บ้านขนมปังขิง” ย้อนไปเมือ่ ราวตน้ รัชกาลท่ี ๖ รองอำ�มาตย์โท ขนุ ประเสริฐทะเบยี น (ขัน) ได้ซือ้ ทด่ี นิ เปลา่ แปลงน้ีมา แล้วบรรจงปลูกเรอื นไมอ้ ยา่ งฝรงั่ ๒ ชนั้ ข้นึ ตามรูปแบบทนี่ ยิ มในสมัยนนั้ คือมผี งั เป็นรปู ตวั แอล (L) ที่มมุ ขวาของเรอื นท�ำ เปน็ มุขคร่ึงแปดเหลี่ยมย่นื ออกมา ท่ีช้ันสองดา้ นหนา้ เรื่องเล่าชาวเกาะ เป็นระเบียงกว้างเพอื่ เปิดรบั ลม “ขนมปังขิง” ใหล้ องสังเกตช่องลมเหนอื ประตหู น้าต่าง พนกั ระเบยี ง เชิงชาย ล้วนประดับด้วยไมฉ้ ลทุ งั้ สิ้น โดยเฉพาะชอ่ งลมน้นั ฉลอุ กั ษรประดิษฐ์ หรือ “ขนมขิง” กันแน่? ภายในวงกลมเปน็ คำ�วา่ “ขนั ” บอกใหร้ วู้ า่ ใครเปน็ เจ้าของบา้ นนนั่ เอง เรอื นไม้บังกะโลอย่างฝรงั่ ที่ประดบั ดว้ ยไมฉ้ ลุตามเชิงชาย หรอื ชอ่ งลมนัน้ เช่นครอบครัวไทยอ่ืนๆ ท่บี ้านมกั ตกเป็นของลกู สาว เพราะเมื่อ ฝรง่ั เรยี กกนั วา่ บา้ นแบบ “Ginger- แต่งงาน ลกู เขยจะเป็นฝ่ายแต่งเข้า บ้านขนุ ประเสริฐฯ หลงั น้ีก็เชน่ กัน bread” ดว้ ยลวดลายไม้ฉลุเหล่าน้ี มี ปจั จบุ นั ตกเป็นของทา่ นผ้หู ญิง เพช็ รา เตชะกมั พุช ทนั ตแพทยป์ ระจำ� ลกั ษณะที่คล้ายกับขนม “Gingerbread” พระองคร์ ชั กาลที่ ๙ ซึ่งเปน็ หลานตาของขุนประเสริฐฯ ซง่ึ เมอื่ ไม่นาน ของฝรงั่ ซ่งึ เปน็ ขนมอบชนิดหนึ่งคล้าย มานี้ ลูกสาวของคณุ หมอเพ็ชรา และลกู สาว (ทายาทรุน่ ที่ ๔ และ ๕) คุกก้ี มากกวา่ จะเป็นขนมปงั ตามชื่อที่ ได้ปรบั ปรุงเรือนหลังนี้ให้เป็นร้านกาแฟเกไ๋ กต๋ ามสมัยนยิ ม ใช้ชอ่ื ว่า เรียกกนั โดยมักจะท�ำ กนั ในช่วงเทศกาล “บ้านขนมปงั ขิง” ตามป้ายชอื่ หน้าบ้าน ลูกค้าหนาตา แตง่ ตวั สวยมา คริสตม์ าส จึงมผี ้เู สนอให้เรยี ก “Gingerbread” ถ่ายรปู ลง IG กนั วา่ “ขนมขิง” ดว้ ยเป็นขนมอบใส่ขงิ และ เคร่อื งเทศอืน่ ๆ ไม่ใช่ขนมปัง Gingerbread House: This house which belonged to an officer from a Brahmin family was built in 1913. It has two stories and an L-shaped เพราะถา้ เราเรียก “Gingerbread” layout. The right wing of the house has a protruding semi-octagonal bay ว่า “ขนมปังขงิ ” แลว้ เราก็ควรจะ window, and there is a wide veranda on the second floor to bring in fresh เรยี ก “เคก้ กลว้ ยหอม” หรือ “Banana air. The perforated wooden vent features calligraphy within small circles, Bread” ว่า “ขนมปงั กลว้ ยหอม” ดว้ ย bearing the name of a man who was the owner of this house. Currently, เชน่ กนั the present generation of the family has converted the house into a cafe cum museum known as Gingerbread House. E12 Gingerbread House D E11 World at the Corner 47 Soi Lang Bot Phram A 1 Soi Mahannop 1 11am-8pm Mon-Fri T E10 Vasavid House 10.00am-7.00pm Fri-Sun 9am-8pm Sat-Sun 108 Mahannop Rd. 089 699 7074 097 229 7021 A Not Open to the Public worldatthecorner house2456 127

บ้านหมอหวาน E13 จรงิ ๆ แลว้ เรือนตกึ หลงั นีไ้ มใ่ ช่บา้ น แต่เป็นร้านขายยาแผนโบราณท่ี ช่ือวา่ “บ�ำ รุงชาติสาสนายาไทย” สร้างขน้ึ มาตัง้ แตป่ ี ๒๔๖๗ สมยั ปลาย รชั กาลท่ี ๖ แลว้ เพ่อื เป็นหน้ารา้ นและคลีนคิ ของหมอหวาน รอดมว่ ง หมอยาแผนไทยท่เี ปิดร้านมาตง้ั แต่รชั กาลที่ ๕ แลว้ โดยก่อนหนา้ ท่ีจะ ยา้ ยมาเปิดรา้ นในตรอกริมถนนบ�ำ รงุ เมอื งน้ี ได้อยแู่ ถวแยกอณุ ากรรณ มาก่อน สถานปรุงยาแห่งนี้เปน็ ตึกแบบฝรง่ั คาดวา่ ออกแบบโดยสถาปนกิ ตะวนั ตกที่ท�ำ งานในสยาม เปน็ อาคารคอนกรตี เสรมิ เหล็ก ซ่งึ เปน็ เทคโนโลยีนำ�สมยั ในยคุ นนั้ สังเกตไดจ้ ากชายคาทย่ี ืน่ ออกมาตรงๆ และ หลงั คาทเี่ ป็นดาดฟ้าไวส้ ำ�หรบั ตากยา ลองสงั เกตทีป่ ระตรู ้วั เหลก็ ประดบั สิงห์คาบดาบ ส่วนประตรู ้านเป็น ประตูไมป้ ระดับกระจกสสี ไตล์ตะวนั ตก แกะสลกั เปน็ รปู หมอ้ ยา และเฉลว ส่วนเรอื นไมด้ า้ นหลงั เป็นบา้ นพกั ของครอบครวั สรา้ งเปน็ เรือน มะนลิ า หลงั คาป้ันหยา ปนจ่ัวตดั ซ่ึงเป็นท่ีนิยมในสมยั รัชกาลท่ี ๖ ปัจจุบันทายาทรนุ่ ที่ ๔ ยงั คงสานตอ่ กิจการ ผลิตภณั ฑย์ งั คง คณุ ภาพเชน่ เดิม แตป่ รับแพคเกจจงิ้ ให้ดรู ่วมสมยั ขึ้น พร้อมเปดิ รา้ น เป็นพพิ ิธภณั ฑ์เลก็ ๆ อีกด้วย Dr. Waan’s House: Built in 1924 as a clinic of Dr. Waan, a traditional Thai medicine doctor whose business had been around since King Rama V’s era, before relocating to this house. The apothecary is a reinforced concrete building with reinforced concrete awnings. The rooftop was used to drying herbs. Currently, the fourth generation of the family still contin- ues the business, and opens this place as a small museum. D E13 Dr. Waan’s House A 9 Off Bamrung Mueang Rd. T 9.00am-5.00pm A 02 221 8070 www.mowaan.com 128 mowaan.bumrungchat.sassana.yathai

หนา้ จัว่ หลังคามุขหน้ามีลายฉลุละเอยี ด งดงามมาก แสดงให้เหน็ อทิ ธิพลของ ศลิ ปะมสุ ลมิ ชอ่ งแสงเหนอื ประตู ฉลุเปน็ ค�ำ ว่า “เจรญิ ” ส่วนท่ีหน้าต่างเป็นไมฉ้ ลุ รปู ดาวเดอื น (มี รปู กระตา่ ยคูเ่ ป็นสัญลักษณ์แทนพระจันทร์) สนั นิษฐานว่าชา่ งฝีมือท่ีสร้างบ้านในสมัยนัน้ เปน็ ช่างจากมลายู จงึ ฉลุลวดลายของศาสนา อิสลามตามที่ตนคนุ้ เคย บ้านหมอฟ้ นื บณุ ยะรัตเวช E14 Dr. Fuen Punyarataveja’s House: This house formerly belonged to a บ้านหลงั นจี้ ะเรยี กวา่ เปน็ บา้ นลับกว็ ่าได้ เพราะขนาดเจ้าหนา้ ที่ retired major under the Ministry ศาลาว่าการกรงุ เทพฯ จ�ำ นวนมากยงั ไมร่ ู้ดว้ ยซำ้�ว่ามเี รือนสวยหลังน้ี of Defence. After he passed away, อยู่ ดว้ ยซอ่ นตวั อย่างมิดชดิ ในยา่ นของกินอันคึกคกั หน้าศาลาว่าการ Dr. Fuen Punyarataveja bought it in กทม. แห่งนี้ 1926 in King Rama VII’s era. It is a half-wooden, half-brick-and-mortar แรกเรม่ิ เดิมที บา้ นหลังน้เี ป็นของพนั ตรี หลวงทวยหารรกั ษา (เพมิ่ house, forming a symmetrical T อุปลาคม) นายทหารเบี้ยบ�ำ นาญ กระทรวงกลาโหม เปน็ เรือนหลงั shape with a central portico and ใหญห่ นั หนา้ เขา้ สู่ถนนดนิ สอ ขณะนน้ั สมัยรชั กาลท่ี ๖ ยงั ไมไ่ ดม้ ีการ terraces on both sides. Above สรา้ งห้องแถวไวด้ า้ นหน้าเพื่อเกบ็ ค่าเช่า และยงั ไมม่ ศี าลาว่าการ กทม. windows, there are perforated wooden panels with star, crescent เม่ือหลวงทวยหารรกั ษาถงึ แกก่ รรมในปี ๒๔๖๙ (ต้นรัชกาลที่ ๗) moon, and a pair of rabbits, which หมอฟ้ืน บณุ ยะรตั เวช ไดซ้ ้อื ต่อมา are motifs in islamic culture. It is assumed that these motifs were ในช่วงสงครามโลกคร้งั ท่ี ๒ หมอฟื้นได้เปดิ บา้ นเป็นคลนิ ิกรักษาโรค made by Malay artisans. สว่ นใต้ถนุ เรอื นท�ำ เป็นหลุมหลบภยั บา้ นถนนดนิ สอนนี้ ่ีเองที่ลกู ๆ ได้ เกดิ และเตบิ โตกนั ก่อนที่จะยา้ ยไปอยู่บา้ นใหมท่ ่ีราชวตั รในปี ๒๔๙๕ ร้านอาหารสวที ต้ี รา้ นอาหารสไตล์ โฮมคกุ ก้งิ เหมือนอยูก่ บั บ้านที่มแี มท่ ำ� หลังจากน้ัน ครอบครัวบณุ ยะรตั เวชได้ใหเ้ ช่าเปดิ เป็นหอพกั สตรี กบั ขา้ วให้กนิ เปน็ เวลายาวนานร่วม ๕๐ ปี มกี ารก้ันแบ่งห้องขน้ึ มาอย่างงา่ ยๆ สภาพทรดุ โทรมตามกาลเวลา รายการอาหารอาจมจี �ำ กัด แตล่ ะ อยา่ งกล็ ้วนเป็นเมนูมาตรฐาน อย่าง ต่อมาเม่อื ปี ๒๕๕๓ ผ้เู ช่าตกึ แถวดา้ นหน้า ซ่ึงดำ�เนนิ กจิ การรา้ น ขา้ วหน้าไก่ ข้าวหมูอบ ข้าวผัดอเมรกิ ัน ถา่ ยเอกสารวกิ รได้ดำ�เนินการซ่อมแซมเพ่ือเปิดเปน็ เกสตเ์ ฮ้าส์ต้อนรับ ผัดมักกะโรนี หรือแม้แต่ต้มย�ำ กุ้ง แต่ นักท่องเทีย่ วตา่ งชาติ พร้อมกับปนั พื้นท่ีของรา้ นถา่ ยเอกสารไปเป็น ขอบอกว่ารสชาตดิ ีงามทุกรายการ รา้ นอาหาร แถมมเี คก้ และไอศกรมี โฮมเมดทำ� ลักษณะบา้ นเป็นบา้ นครึง่ ตึกครึ่งไม้ ๒ ช้นั ผงั สมมาตรรูปตัวที (T) เองหลากหลายรส ใหเ้ ลือกชมิ เลือกอ่มิ มีมขุ กลาง และมีเฉลยี งด้านหน้าซา้ ย-ขวา อกี ด้วย E14 Baan Pranakorn Antique Guesthouse D 194 Dinso Rd. A 084 611 2115 T baanpranakorn.blogspot.com A baanpranakorn.hostel 129

บา้ นขนุ ทรงสุขภาพ E15 บ้านเขยี ว เรอื นไม้หลังใหญ่ทไ่ี ดร้ บั การดูแลรักษาอยา่ งดี โรงงานผลิตยาอกี ดว้ ย มโี รงโมย่ า มเี รอื นบรรจุยา เย่ียมแห่งน้ี แตเ่ ดมิ คือเรือนหอของนายแพทย์ ทรง สว่ นหนา้ บา้ นมีโรงพิมพ์ฉลาก บณุ ยะรัตเวช หรอื ขุนทรงสขุ ภาพ กับภรรยา คือนาง เจือ สร้างขน้ึ ในสมัยรชั กาลที่ ๖ โดยมพี ่อตาเป็นผู้ ตึกแถวหนา้ บา้ น ริมถนนตะนาว กเ็ ปิดเปน็ หนา้ สมทบทุนใหส้ ร้างข้นึ บนทด่ี ินดัง้ เดิมของครอบครวั รา้ น ขายยาแผนโบราณ (ปจั จบุ นั คอื รา้ นอาหารกมิ เลง้ ) จะว่าไปแลว้ ตระกลู บุณยะรัตเวชถือวา่ เป็นผ้ทู รง อทิ ธิพลในวงการยาแผนโบราณของไทยเลยก็ว่าได้ ภายในบริเวณบา้ นประกอบด้วยเรือนสำ�คญั ๆ ๒ ด้วยต้นตระกลู เป็นพ่อค้าสมุนไพรชาวจนี ขายยาจนี หลงั ด้วยกัน คอื “บ้านเขียว” ดา้ นหนา้ และ “ตกึ ยาไทย อย่ทู ่ีคลองโอง่ อ่าง มลี กู ชายคอื หมอบญุ รอด เหลอื ง” ด้านหลัง เป็นหมอแผนโบราณ สบื ทอดกจิ การร้านตอ่ มาใน สมยั รัชกาลที่ ๕ มีตำ�รบั สร้างชอ่ื คือ “ยาหอมนาย บา้ นเขียว เปน็ เรือนไม้ ๒ ชัน้ ท่หี มอทรงอยู่ บุญรอด” อาศัย และตอ่ มาเปิดเปน็ คลินกิ ทาสเี ขียวออ่ นตาม ความนยิ มในสมัยน้ัน หมอทรง ถึงจะจบแพทยแ์ ผนปจั จบุ นั แต่กร็ บั ด�ำ เนนิ กจิ การร้านขายยาของพอ่ (คือหมอบุญรอด) ส่วนด้านหลงั บ้าน ซื้อทด่ี ินมาเพมิ่ แลว้ ปลูกเรอื น ตอ่ เป็นรุ่นท่ีสาม ช่วยขยายอาณาจกั รร้านขายยาบณุ ขนึ้ มาอีกหลงั เปน็ ตกึ เรยี กกันว่า ตกึ เหลือง ตามสี ยะรัตเวช ใหก้ วา้ งไกลออกไป พรอ้ มกับสรา้ งแบรนด์ ของเรือน ไว้เปน็ ทีพ่ ำ�นักของนางเทศ (ภรรยาหมอ “ยาหอมสุคนธโอสถ” ตรามา้ (เนอ่ื งจากหมอ บุญรอด หรือแมข่ องหมอทรง) และพ่ีสาว บุญรอดเกดิ ปมี ะเมยี ) ให้กลายเป็นชอ่ื ติดหขู องชาว พระนคร ควบค่ไู ปกับเปิดรกั ษาโรคตามแผนสมัยใหม่ ลักษณะทางสถาปตั ยกรรมของบา้ นเขยี วคอื เป็น เรือนไมส้ องช้นั ผงั เป็นรูปตวั แอล (L) ซ่ึงเปน็ รปู เม่อื แรกครอบครวั หมอทรงอาศัยท่เี รือนนี้ หลัง แบบมาตรฐานส�ำ หรับบ้านทส่ี รา้ งในสมัยรัชกาลที่ ๖ สงคราม เมอ่ื ยา้ ยบ้านไปอยทู่ ีร่ าชวัตร จงึ เปิดชนั้ ลา่ ง เป็นคลีนิครักษาโรค ส่วนรอบๆ บรเิ วณบา้ นยงั ใช้เปน็ มรี ะเบยี งรับลมดา้ นหน้า หน้าต่างบานเกรด็ ไม้ รอบบ้านสำ�หรบั ให้ลมพัดผา่ นได้ หลงั คาด้านหน่ึงเป็นจวั่ สว่ นที่มุขหนา้ เปน็ จ่ัวตัด นยิ มท�ำ กันในสมยั รชั กาลที่ ๖ อกี เชน่ กนั D E15 Baan Ya Hom A 156 Soi Damnoen Klang Tai T 9.00am-9.00pm Tue-Sun A 095 764 2768 BAANYAHOMZANTIIS 130

ตึกเหลอื ง บ้านยาหอม ปัจจุบนั คณุ ดลชยั บณุ ยะรัตเวช นกั โฆษณาและ สว่ นตึกเหลอื งนัน้ มผี ังเป็นรปู ตัวที (T) สมมาตร นกั สรา้ งสรรค์แบรนดอ์ ันดบั ตน้ ๆ ของวงการ ซ่งึ เป็น ซา้ ย-ขวา มีมขุ ยนื่ มาตรงกลางดา้ นหนา้ หลังคาเป็น หลานปู่ของขุนทรงสุขภาพ ได้ฟื้นฟกู จิ การเครื่อง จัว่ ตัด หอมขึน้ มาใหม่ ภายใตแ้ บรนด์ “ยาหอมสุคนธะ” และมีเวชภณั ฑ์อน่ื ๆ อีกหลายแบรนด์ เพื่อตอบรบั นอกจากนี้ยงั มีการสรา้ งหอ้ งใต้ดินส�ำ หรับเปน็ การใชช้ ีวิตของคนกรุงผรู้ กั สุขภาพในยุคปจั จุบัน หลุมหลบภัยในช่วงสงครามโลกอกี ดว้ ย คุณดลชัยไดป้ รับปรุงบ้านเกา่ หลังนเี้ พื่อเป็นสปา ในชอ่ื วา่ “บ้านยาหอม” และด้วยความท่เี รียนจบมา การวางผงั ของตกึ เหลอื งน้ี หันหน้าออกสู่ตรอก ทางดา้ นสถาปัตยกรรม จงึ ออกแบบปรับปรงุ บ้าน ด้านขา้ งของบา้ น มซี ุ้มประตูเขา้ ออกแยกโดยเฉพาะ โดยท่ยี ังคงเคารพคณุ ค่าดั้งเดมิ ของตวั เรอื นอยู่ เช่น ไมม่ กี ารซอยห้องเพมิ่ รวมทงั้ สร้างอาคารส่วนต่อ ปจั จุบันตึกเหลอื งเป็นของน้องชายคนเล็กของ เติมข้นึ ใหม่ เพอ่ื ใช้พน้ื ทีเ่ ปน็ ครัว และหอ้ งน�ำ้ เพ่อื ที่ หมอทรง มกี ารลอ้ มร้ัวแยก ลูกหลานให้เช่าเปน็ เกสต์ จะไดไ้ ม่ตอ้ งรบกวนงานโครงสร้างไม้ของเรือนเกา่ ไม่ เฮ้าสช์ ่อื บา้ นยินดี ไมไ่ ดม้ สี ีเหลอื งแลว้ ต้องท�ำ ระบบประปา ระบบทอ่ น�้ำ ทง้ิ ในตัวเรือน สว่ น อาคารสว่ นตอ่ เติมไดม้ กี ารลดทอนรูปแบบใหด้ ูร่วม หมอทรง มนี อ้ งชายอกี คน ชอ่ื หมอฟน้ื บณุ ยะรตั เวช สมยั แต่กด็ กู ลมกลนื เป็นแพทย์แผนปจั จุบนั เช่นกนั หมอฟน้ื มีบ้านสวย อีกท้ังอาคารสว่ นท่ตี อ่ เติมขน้ึ ใหม่น้ี กจ็ ะไมท่ �ำ ให้ ทห่ี นา้ ศาลาว่าการกรุงเทพฯ ตรงเสาชงิ ช้า E14 ตาม ยดึ ติดไปกับโครงสร้างบา้ นเดมิ เพ่อื ไมใ่ ห้เกดิ ปัญหา ไปสอ่ งกนั ได้ ทรดุ ตวั ในภายหลงั ครัวยาหอม Dr. Song Punyarataveja’s House: Formerly a มานวดตัวทบี่ ้านยาหอมแล้ว อย่าลมื แวะชมิ marital home of Dr. Song Punyarataveja, with his อาหารไทยรสเขม้ กันที่นด่ี ว้ ย ด้วยเนน้ เมนตู �ำ รบั บา้ น father-in-law contributing to the budget, this home บุณยะรตั เวช และกบั ข้าวหลากหลายท่อี ดุ มด้วย was built in the 1910s in King Rama VI’s era. It is a เคร่ืองเทศ อย่างพะโล้ หรอื แกงเหลอื งแกงใต้ พรอ้ ม 2-story house forming an L shape, with a veranda at เครอื่ งดมื่ สมนุ ไพรเกรๆ๋ เรยี กว่ากินอยา่ งมคี อนเซป็ ต์ the front and a gable roof on the side with a cut gable ลองสงั เกตดู จะเหน็ วา่ ส่วนทีเ่ ป็นคาเฟน่ ้นั ก็ทำ�แยก roof at the front. After relocating to a new house, ออกมาจากตวั เรือนเชน่ กัน เพ่ือจะไดไ้ มต่ ้องรบกวน Dr. Song opened this house as a clinic for modern โครงสรา้ งไมข้ องเรือนเก่า ถา้ จะต้องเดินทอ่ ประปา medicine, while the area around the house was used สว่ นตวั เลอื กอีกแห่ง ก็ที่ปากทางเขา้ บา้ นยาหอม for producing traditional medicine, which was the น่นั เอง คือรา้ นกมิ เลง้ ริมถนนตะนาว ตกึ แถว ๒ family’s business. Today, it is a spa and restaurant คูหาน้ี เดมิ เคยเป็นรา้ นขายยาบณุ ยะรัตเวชมาก่อน known as Baan Ya Hom, run by the 3rd generation of อาหารที่นขี่ ึน้ ช่อื ลือชามาก เปน็ อาหารไทยผสมจีนรส this family. นวลลิ้น อยา่ งหมก่ี รอบโบราณหอมเตะจมูกด้วยกล่นิ เปลือกส้มซา่ และหมูทอดปลาเค็ม เป็นเมนแู นะน�ำ 131

บ้านเทพทับ E16 แต่เดิมบา้ นเทพทับหลังนไี้ ม่ได้ เข้าออกทางด้านตรอกสาเกอยา่ ง บา้ นตกึ หลงั ใหญ่ ดเู รยี บโก้ ซ่งึ ซอ่ นตวั น่งิ ๆ อยู่ริมตรอกสาเก ถนน เช่นในปจั จบุ นั แต่เข้าออกจากทาง ตะนาว แหง่ นี้ สันนษิ ฐานว่าสรา้ งขึน้ ในราวปลายรชั กาลที่ ๖ - ตน้ ด้านถนนตะนาวเปน็ หลัก โดยบา้ น รัชกาลที่ ๗ เดมิ เปน็ คฤหาสนข์ องขนุ ประสิทธหิ ัตถการ ข้าราชการ ปลูกอยูด่ ้านหลงั ตกึ แถวรมิ ถนน กระทรวงธรรมการ (ศึกษาธิการ) ซึ่งมอี าชพี เป็นชา่ งทำ�ทองด้วย ตะนาว เว้นชอ่ งเผื่อไวเ้ ป็นทางรถ เข้าออก ตวั เรอื นปลูกขนึ้ ที่ดา้ น ตอ่ มาน�ำ ออกขายทอดตลาด โดยมรี าชบุรุษ จิตร เวียงเกตุ ท้ายของที่ดิน หนั หน้าออกถนน ข้าราชการกระทรวงธรรมการเชน่ กัน มาซอ้ื ตอ่ โดยค�ำ แนะนำ�ของ ตะนาว หน้าตึกมีวงเวยี นสนาม เจา้ พระยาธรรมศักดิม์ นตรี หรือ ‘ครูเทพ’ เสนาบดีกระทรวงธรรมการ หญา้ สำ�หรับวนรถ ตามเทรนดใ์ น ซ�ำ้ ท่านยังตั้งชอื่ เรือนหลงั น้ใี หด้ ้วยวา่ บา้ น “เทพทับ” เพื่อจะไดม้ ีเทวดา สมัยปลายรชั กาลท่ี ๖ มาชว่ ยปกปกั รกั ษาบ้านไว้ และยังส่อื ถึงชอื่ ของตวั ท่านเองดว้ ย ทีด่ ้านซ้ายของวงเวยี นหน้าบา้ น ตอ่ มาธรุ กิจยาแผนโบราณของนายจิตรเฟ่ืองฟู จงึ ลาออกจาก ติดริมรั้ว สรา้ งเปน็ เรือนไมบ้ รวิ าร ราชการ มาผลติ แบรนด์ของตัวเองอย่างจรงิ จัง มียาหอมเวยี งเกตุ อกี หลัง ขนาดยอ่ มลงมาหนอ่ ย ยาหม่องตราหมขี าว ยาระบายปู่โสม เปน็ อาทิ ขายดีเป็นอยา่ งย่งิ สว่ นทข่ี า้ งตกึ ใหญ่ด้านขวาท่ตี ิด ตอ่ มาลูกชายคอื นายจำ�นงค์ เวยี งเกตุ สบื ทอดกจิ การตอ่ กบั ตรอกสาเกนั้น ปลกู เปน็ ห้อง ปจั จุบันธุรกจิ ยาแผนโบราณไดป้ ดิ ตวั ลงตามกาลเวลา แถวไม้ยาวไปตลอดแนวส�ำ หรับ ผูส้ บื ทอดบา้ นคอื ทายาทรุ่นที่ ๓ นายภสั สร เวียงเกตุ หลานปขู่ อง เก็บค่าเชา่ นายจิตร อย่างไรก็ดี ในยคุ หลังมาแล้ว Wiangket Mansion: The house is assumed to be built in the 1920s นั้น เมอื่ มกี ารจดั สรรทรัพย์สนิ ใน around the end of King Rama VI’s era or King Rama VII’s era. It was หมู่ลกู หลาน ไดต้ ดั แบ่งพื้นทีอ่ อก formerly a Ministry of Education officer’s mansion. Later, Chit Wiangket, เป็นสองสว่ นในแนวขวาง กล่าวคอื another Ministry of Education officer, bought it from the original owner. Chit later left the Ministry and pursued on his own traditional Thai พ้ืนทวี่ งเวยี น และเรอื นไม้ที่ medicine business. The building is among the first to be made of reinforced ดา้ นหน้าบ้านน้ัน เป็นของเจา้ ของ concrete with Western-style, half-timber design. It has a jerkinhead roof, หนงึ่ ยงั คงเขา้ ออกจากทางถนน as common in country houses in England. ตะนาวอยู่ D E16 Wiangket Mansion แต่ตกึ เทพทับซงึ่ ปลกู อยูท่ า้ ย A 203 Trok Sake Rd. ทด่ี นิ ตอ้ งหันมาเข้าออกจากทาง T Not Open to the Public ด้านขา้ งคือตรอกสาเกแทน โดย รอื้ หอ้ งแถวไม้ลงเพือ่ เปิดใช้เป็น ทางเขา้ บา้ นทรงจว่ั ตดั ทเี่ ราเห็นจาก ตรอกสาเกในปจั จบุ นั ที่แท้คอื ดา้ น ข้างของเรอื นนั่นเอง A 132

ลกั ษณะทางสถาปัตยกรรม บา้ นพระยาพิทักษ์เทพมณเฑยี ร E17 เปน็ อาคารตึก คาดว่าคงมกี าร ใช้คอนกรีตเสริมเหล็กเปน็ วัสดุ บ้านไมห้ ลงั นอ้ ย ทซ่ี ่อนตัวอยู่ในซอกของตรอกเสถียร ถนนตะนาว ท�ำ ผนงั ดว้ ย เน่ืองจากความหนา หลงั น้ี เปน็ เรือนของมหาเสวกตรี พระยาพทิ ักษ์เทพมณเฑียร (กระจ่าง ของผนงั ไม่ไดม้ ากแบบผนังกอ่ อฐิ หงสกลุ ) ซึ่งรบั ราชการเป็นมหาดเลก็ มาต้งั แต่รชั กาลที่ ๕ และถวายรบั ถือปูนทใ่ี ชผ้ นังเป็นตัวรับน�้ำ หนัก ใช้รชั กาลที่ ๖ มาต้ังแตย่ ังเป็นมกุฏราชกมุ าร จึงเป็นท่ีโปรดปรานเม่ือ ทรงขน้ึ ครองราชย์แลว้ โดยทำ�งานในกรมคลังวรภาชนแ์ ละคลงั ลักษณะเป็นเช่นอาคาร พระเคร่อื งต้น ซ่ึงมีหน้าทีเ่ กยี่ วกบั การครัวและงานจัดเลีย้ งในพระราช กระทรวงพาณิชย์ C15 ซึ่งเป็นยคุ พธิ ตี ่างๆ ตอ่ มาไดย้ ้ายมารับราชการในกรมชาวทจ่ี นเปน็ ปลดั บัญชาการ ทีเ่ ทคโนโลยี ค.ส.ล. เริม่ เขา้ มามี กรมชาวท่ี และเปน็ องคมนตรีในท่ีสุด บทบาทในงานกอ่ สรา้ งของสยาม เรอื นหลงั น้คี าดว่าคงสร้างข้นึ ในสมยั รัชกาลที่ ๖ สบื ทอดมายัง ระเบียงช้ันสอง และชายคา หลานปู่ คือนายจินตน์ หงสกลุ ปัจจบุ ันภรรยาและบตุ รสาวยังคงพำ�นัก ย่ืนยาวออกมาไดด้ ้วยใช้ ค.ส.ล. อยู่ที่นี่ เชน่ กนั ลกั ษณะบา้ นเปน็ เรือนมะนลิ าสองชน้ั ขนาดกะทดั รดั ผังเปน็ รูป รูปแบบอาคารประดบั ด้วยเส้น ตวั แอล (L) ซึ่งเป็นเอกลกั ษณข์ องเรอื นทีส่ ร้างในสมยั รัชกาลท่ี ๖ สายแบบอาคารฮาลฟ์ ทิมเบอร์ หลังคาเปน็ ทรงปั้นหยา แตต่ รงมุขหลายเหลย่ี มทดี่ ้านหน้าทำ�เปน็ ทรง (Half-Timber) แบบฝร่งั หลังคา จวั่ ประดบั ไม้ฉลุที่เชิงชายพองามตามสมัยนยิ ม เปน็ ทรงจว่ั ตดั ทพี่ บไดใ้ นบา้ น ชนบทขององั กฤษ Hansakul House: The owner is the Hansakul family. The original owner worked in Royal Office Bureau’s food & beverage department responsible การตกแต่งภายในเรยี กวา่ โก้ for banquets and caterings in royal ceremonies. This house is estimated หรมู ากสำ�หรับบ้านขนุ นาง/พอ่ คา้ to be built in King Rama VI’s era. It is a compact two-story manila house คหบดี มฝี า้ เพดานไม้ทำ�เปน็ with an L-shaped layout and a hip roof. The bay window at the front has a ลายตารางเชน่ เดียวกันฝ้าเพดาน gable roof. Currently, the third and fourth generations of the family still ของอาคารกระทรวงพาณชิ ย์ reside in this house. ตอกย้ำ�ว่าสรา้ งขนึ้ รว่ มสมัยกนั E17 Hansakul House D 80 Trok Sathien Rd. A Not Open to the Public T A 133

บ้านหลวงสวัสดิว์ รฤทธิ์ E18 บา้ นขนุ วสิ ทุ ธิสมบตั ิ E19 บา้ นตรอกเสถยี รหลังน้สี ันนษิ ฐานว่าสร้างขนึ้ ใน บา้ นไมส้ ฟี า้ ท่ามกลางป่ากลางกรงุ หลังน้ี ซ่อนตวั ราวรัชกาลที่ ๗ เพื่อเปน็ เรือนหอของหลวงสวัสด์ิวร อยู่เงยี บๆ ริมตรอกเสถยี ร มองจากภายนอกแทบไม่ ฤทธิ์ (สวัสด์ิ วรทรพั ย)์ กบั นางฉววี รรณ วรทรัพย์ เหน็ ตวั บา้ นเลย สนั นิษฐานวา่ น่าจะสร้างขึน้ ในสมยั ต่อมาไดใ้ ชเ้ ป็นเรือนหออกี เมือ่ ลกู สาวแตง่ งานกบั ต้นรชั กาลที่ ๖ โดยหลวงสรรพสรุ พล เรียกบ้านรมิ ศ. นพ. อุกฤษต์ เปล่งวาณิช อาจารย์หมอที่ศริ ิราช คลองหลอด และไดเ้ ปดิ บ้านเปน็ คลนิ ิกด้วย คนรนุ่ เกา่ แถวน้ันจะ ค้นุ เคยกันดี ตอ่ มามกี ารซอื้ ขายเปลี่ยนมือกนั อกี หลายทอด จนตกมาถงึ หลวงอภบิ าลศขุ ภณั ฑ์ (ทองดี สุนทร ลักษณะบา้ นเปน็ เรอื นไม้ ๒ ชน้ั อย่างเรือน ครุฑ) กรมศุขาภิบาล กระทรวงนครบาล เรียกบ้าน มะนิลา ผังเปน็ รูปตัวแอล (L) หลงั คาปั้นหยา มจี ่วั น้วี า่ บ้านตรอกวดั ศิริ (คือวัดศริ ิอ�ำ มาตย์ หรอื วัด ด้านหน้า ลกั ษณะเรียบง่าย ไม่มไี ม้ฉลปุ ระดับประดา บญุ ศริ ิ หรอื ท่ปี จั จุบันเรียกว่าวดั บรู ณศิริ) Varadrapya House: This house might have been ตอ่ มาในปี ๒๔๘๒ กอ่ นเกิดสงครามโลกเพียงเล็ก built in the 1920s in King Rama VII’s era as a marital นอ้ ย รองอ�ำ มาตยเ์ อก ขนุ วสิ ทุ ธสิ มบตั ิ (ตุ๊ กาญจนโหต)ิ home for an admiral in the Varadrapya family. Later, ไดซ้ ื้อบา้ นหลังนี้ตอ่ และยา้ ยครอบครวั มาอาศัยทน่ี ี่ it was used as his daughter’s marital home when กัน ขนุ วิสทุ ธิสมบัตินน้ั แต่เดมิ ทำ�งานท่ีกรมยาฝน่ิ she married a Siriraj Hospital doctor. The house was กอ่ นจะย้ายมาท�ำ ท่กี รมพระคลงั มหาสมบัติ also used as his clinic. It is a 2-story house with an จนกระทั่งเกษยี ณ L-shaped layout, and a hip roof with a gable at the front. Since it was built later in that era, it does not ปัจจบุ นั บา้ นหลงั น้ีตกเปน็ ของนางวันเพ็ญ อมร- feature either gingerbread gable trims or perforated สิทธิ์ บตุ รสาวคนเลก็ ของขุนวิสทุ ธสิ มบตั ิ ยังอาศยั wooden panels. อยู่กบั ครอบครวั D E18 Varadrapya House E19 Kanchanahoti House ลักษณะทางสถาปัตยกรรมเป็นเรอื นไมส้ องชัน้ A 48 Trok Sathien Rd. 22 Trok Sathien Rd. มรี ะเบียงยืน่ ออกมาทีช่ ั้นสองโดยรอบบ้าน ประดบั T Not Open to the Public Not Open to the Public ด้วยไม้ฉลุ คลา้ ยกับท่ีวงั วรวรรณ ตรงถนนแพรง่ นรา D03 และบ้านหลวงสมรภูมิพชิ ติ ตรอกตึกดิน E03 ต่างอยู่ในละแวกใกลเ้ คียงกนั ทง้ั หมดลว้ นสร้างและ A 134

Korn Limsakul บ้านพระยาอรรถวิรัชวาทเศรณี E20 ตอ่ เตมิ ระเบยี งในชว่ งปลายรชั กาล บา้ นไมป้ ริศนาหลงั น้ี ซ่งึ ตง้ั อยตู่ รงข้ามโรงเรยี นสตรีวทิ ย์ ด้าน ท่ี ๕ ถงึ ตน้ รชั กาลที่ ๖ ทั้งสิ้น หลงั แผนที่หลกั กิโลเมตรทศ่ี นู ย์ ตรงอนสุ าวรยี ์ประชาธปิ ไตยนน้ั ปดิ ประตเู งียบเชยี บมานาน ดว้ ยสภาพท่เี กา่ และทรดุ โทรมตามกาลเวลา ผงั อาคารเป็นรูปตัวแอล (L) สนั นษิ ฐานวา่ สร้างขึ้นในราวปลายรัชกาลท่ี ๕ - รัชกาลท่ี ๖ เพื่อเปน็ ซ่งึ เปน็ รปู แบบท่ีเปน็ ทนี่ ิยมใน เรือนอาศัยของพระยาอรรถวิรชั วาทเศรณี (ปล่ัง จินตกานนท)์ ต่อมา รชั กาลท่ี ๖ ตกเปน็ ของลกู ชายคือ พลโท อมั พร จนิ ตกานนท์ และเปน็ บา้ นท่ซี ง่ึ คณุ หญงิ รจุ ี จินตกานนท์ ไดพ้ ำ�นักอาศยั จนวาระสุดทา้ ยของชีวติ หลังคาเปน็ ทรงปน้ั หยา แต่ ตรงมขุ หนา้ เปน็ ทรงจั่วตัด ซ่งึ เป็น ลักษณะบา้ นเป็นแบบฉบบั เรอื นมะนลิ าในสมยั นนั้ คอื มี ๒ ชน้ั ผงั ลกู เล่นการท�ำ ทรงหลังคาทน่ี ยิ ม เป็นรปู ตวั แอล (L) มีระเบียงทางเขา้ ทีห่ น้าบ้าน หลงั คาทรงป้ันหยา มากในสมัยรชั กาลที่ ๖ อนั มา มขุ หน้ามหี ลังคาเปดิ เป็นจัว่ หน้าจ่วั ฉลลุ าย พร้อมประดบั ไม้ฉลขุ นมขิง จากบ้านบังกะโลของอังกฤษ ท่ีราวระเบยี ง ปัน้ ลม และเชงิ ชาย Kanchanahoti House: This ขณะนีบ้ ริษทั ผู้ผลติ อาหารทะเลกระปอ๋ งชอ่ื ดงั อยา่ ง ซีเล็ค ไดซ้ ้อื ไป house might have been built in ด้วยมใี จรักในของเก่า และกำ�ลังอนรุ กั ษแ์ ละปรับปรุงอยา่ งปราณตี เพื่อ the 1910s early in King Rama ให้เป็นโรงแรมและพพิ ิธภณั ฑ์ VI’s era by a nobleman. Later, it passed through many owners, Chintakananda House: This house might have been built in the 1900s- and in 1939, an officer in the 1910s late in King Rama V’s era or early in King Rama VI’s era as a Royal Treasury Division from the residence for a nobleman from the Chintakananda family who worked as Kanchanahoti family bought it and a prosecutor. It later belonged to his son, an influential politician and gen- moved his family to this house. It is eral in the 1960s. It is a 2-story manila house with an L-shaped layout a 2-story house with an L-shaped and a terraced entrance. It has a hip roof with an open gable at the front, layout, with cantilevered balconies decorated with carvings. The house also has gingerbread-style wooden on three sides, decorated with balusters, gable trims, and trims at the eaves. Currently, it is under gingerbread-style wooden railings. restoration and will be converted to become a hotel. It has a hip roof with a jerkinhead roof at the front portico. E20 Chintakananda House D 149 Dinso Rd. A Not Open to the Public T A 135

Phan Fa Masion: Located by บ้านผ่านฟา้ E21 a canal in the Phanfa Lilat Bridge area, this house might have been ตึกหลังใหญ่ ริมถนนพระสุเมรุ ในละแวกผา่ นฟา้ หลงั สวยหลังน้ี มี built in 1914 as a permanent ประวตั ทิ ี่น่าสนใจ home of a Thai widow whose late husband was an influential สันนิษฐานวา่ สร้างขน้ึ ในราวปี ๒๔๕๗ ชว่ งต้นรัชกาลที่ ๖ เพือ่ เป็น Singaporean businessman, Tan Kim ทีอ่ ย่อู าศยั ของครอบครัวอนุกลู สยามกจิ คราวอพยพกลบั มาอยสู่ ยาม Cheng. The brick and mortar home อย่างถาวร ก็ด้วยกอ่ นหนา้ นี้คุณหญงิ เผื่อน อนุกูลสยามกจิ ได้พ�ำ นกั has a U-shaped layout, decorated อยู่ท่ีสงิ คโปร์เปน็ เวลานานมากอ่ น ในฐานะคณุ นายท่ีสองของ “ตนั กมิ with perforated wooden trims at เจ๋ง” นักธุรกจิ ช่อื ดงั แห่งเมอื งอาณานคิ มชอ่ งแคบแห่งน้ี (ตนั กมิ เจ๋ง the eaves, ventilating grills, and มเี ช้อื สายเปอรานากัน หรือชาวจนี ท่เี กิดและเตบิ โตในแถบมาเลเซยี signature corbels which have สิงคโปร)์ ตันกมิ เจง๋ ได้รบั ความไว้วางใจจากราชส�ำ นักสยาม แต่งตั้งให้ become the house’s most prominent เปน็ กงสลุ สยามประจำ�สงิ คโปร์ มรี าชทนิ นามวา่ “พระยาอนกุ ูลสยามกิจ” feature. หลงั ตนั กิมเจ๋งเสียชีวติ ลงรว่ ม ๒๐ ปี คณุ หญงิ เผอ่ื น ภรรยาหม่าย D E21 Siam House จงึ ไดก้ ลับมาสร้างคฤหาสนห์ ลงั งามทีน่ ่ี บนทดี่ ินริมคลองบางลำ�พู ใกล้ A 591 Phra Sumen Rd. กับสะพานผ่านฟ้าลลี าศ โดยกลบั มาพร้อมกับบุตรชาย (ตันเซยี วคอง หรือนายคง อนุกูลสยามกิจ) บุตรสาว และหลานเล็กๆ อย่อู าศัยกันท่ี T บา้ นผ่านฟา้ น้ี A โดยปกติแล้ว ขุนนางมักจะไม่กลา้ สรา้ งเรอื นตึกแบบฝรั่งกนั ด้วย เกรงจะไปเทียบชั้นเจ้านายซ่ึงมักสร้างตำ�หนักกอ่ อฐิ ถอื ปนู แตเ่ ม่ือยา่ ง เข้าสรู่ ัชกาลที่ ๖ แลว้ ธรรมเนียมเหล่านี้ไดค้ ลายลง ครอบครัวคหบดี เช้ือสายจีนตระกูลนี้ จึงมคี ฤหาสนเ์ ป็นตึกใหญ่โตได้ เปน็ สถาปตั ยกรรม คลาสสกิ ทเ่ี ปน็ ที่นิยมในสมัยนนั้ มีแผนผงั เปน็ รปู ตวั ยู (U) หนั ปลาย สองขา้ งเขา้ หาคลอง ประดับด้วยไม้ฉลทุ ่ีเชิงชาย ช่องลม และโดย เฉพาะทคี่ ำ้�ยันชายคา ซึง่ เปน็ เอกลักษณ์ของบา้ นหลงั น้ี ปจั จุบันบ้านผ่านฟา้ ตกเปน็ ของคณุ หญิงพรพรรณ ธารานุมาศ ทายาทรนุ่ ท่ี ๔ ของคณุ หญงิ เผอ่ื น โดยให้เอกชนเช่าเปน็ สถานทจ่ี ัดงาน แต่งงาน ในนามว่า สยามเฮ้าส์ 136

บ้านบรุ ะเกษตร E22 ใครจะไปเชื่อว่า แถวสะพานเฉลิมวันชาตจิ ะมบี ้านไม้หลังงามซอ่ น ตัวอย่างมดิ ชดิ อยดู่ ้านหลงั ตกึ แถวบนถนนพระสุเมรุ เรอื นหลังนี้ คาดวา่ สรา้ งขึ้นในสมยั รชั กาลที่ ๖ เจ้าของเดิมเป็นใคร ไม่อาจทราบได้ เดาว่าคงเปน็ ขุนนาง ต่อมาในช่วงสงครามโลกคร้งั ทส่ี อง จงึ ประกาศขายบ้าน ซ่งึ นายสรุ -ิ ยาวธุ บรุ ะเกษตร อดตี ขา้ ราชการในสมยั รชั กาลที่ ๖ ไดม้ าซอ้ื บ้านต่อ และย้ายครอบครวั มาอาศัยกันท่นี ี่ ขณะนั้นนายสุรยิ าวุธทำ�งานอย่ทู ี่ ห้างบาโรเบราน์ หา้ งฝรงั่ ขายรถอยทู่ ีบ่ า้ นหมอ้ เชิงสะพานอุบลรัตน์ เรอื นไมส้ ีเขยี วออ่ นหลงั นห้ี ันหนา้ ออกคลองบางลำ�พู และหันหลงั ให้ ถนนพระสเุ มรุ แตอ่ อกแบบใหเ้ ป็นหน้าเรือนไดท้ ้งั สองดา้ น คือมีมุขยื่น Purakshetra House: It might ออกมาเป็นรปู ตัวแอล (L) ท้ังด้านคลองและด้านถนน ด้านถนนพเิ ศษ have been built in the 1910s in หน่อยเพราะทำ�เป็นมุขครึง่ แปดเหลย่ี ม ผงั รูปตัวแอล (L) นถี้ อื เป็น King Rama VI’s era. Later, during ประเพณีนิยมของบา้ นที่ปลูกสร้างในสมัยรัชกาลท่ี ๖ เลยทเี ดยี ว World War II, a former govern- ด้านรมิ คลองมรี ะเบยี งอย่หู นา้ บา้ น สว่ นด้านถนนก็ทำ�ซุม้ ไม้ฉลทุ ี่ ment officer from the Purakshetra บันไดทางเข้าบ้านด้วย family, who worked for a foreign ปจั จุบันอาจารยช์ ลยั ย์ บรุ ะเกษตร ในวยั ๙๑ ปี บุตรสาว ยังคง company, bought this house from อาศยั ในบา้ นหลงั นี้ the original owner. The house has อาจารยช์ ลัยยเ์ ลา่ วา่ สมคั รเปน็ ครูทโ่ี รงเรยี นสตรวี ิทยก์ ็เพราะอยู่ two front sides. On the canal side, ใกลบ้ า้ น สอนภาษาองั กฤษทีน่ จี่ นเกษียณ เป็นทีร่ ักใคร่ของศษิ ย์ ส.ว. there is an L-shaped portico and a ปจั จุบนั ยังคงแขง็ แรงมากและมชี วี ติ ท่เี ตม็ ไปด้วยความทรงจำ�ท่ดี ีใน veranda. On the road side, there is เรือนหลงั น้ี a semi-octagonal bay window and an entrance arch. E22 Purakshetra House D 459/3 Phra Sumen Rd. A Not Open to the Public T A 137

บา้ นพระยามหาวินจิ ฉยั มนตรี E23 ตรงบรเิ วณแยกสะพานเฉลิมวันชาตนิ ้ี โดดเดน่ ดว้ ยอาคารโก้หรา่ น หลังหนึ่งทีต่ ้งั ตระหงา่ นอยรู่ ิมถนนพระสุเมรุ เป็นตึกอยา่ งฝรั่งประดับ ประดาอย่างกับวัง แตส่ ิ่งท่นี า่ สนใจนัน้ กลบั เป็นเรอื นไมท้ ่ีปลูกอยู่ดา้ น หลงั อนั เป็นเรือนของพระยามหาวินจิ ฉยั มนตรี (เภา ภวมยั ) เนติ บญั ฑิตไทยรุ่นแรก และข้าหลวงพิเศษจดั การศาลหัวเมอื ง กระทรวง Bhavamaya House: The house ยุตธิ รรม คาดวา่ สรา้ งขึน้ ในราวปลายรัชกาลที่ ๕ ถงึ ตน้ รชั กาลที่ ๖ might have been built towards the end of King Rama V’s era or early ต่อมาลูกสาวคนโตแตง่ งานกบั หลวงพชิ ัยบณั ฑติ (บณั ฑิต วิริยะพา in King Rama VI’s era. It belonged นชิ ) จึงใชเ้ ป็นเรอื นหอ หลวงพชิ ัยฯ นกี้ ท็ ำ�งานดา้ นกฎหมายเชน่ เดยี ว to a nobleman who worked for the กับพ่อตา เคยเป็นถงึ ผู้พพิ ากษาศาลฎีกา และเปน็ พ่ชี ายของนางประไพ court under the Ministry of Justice. วริ ยิ ะพนั ธุ์ ภรรยาคณุ เล็ก แห่งอาณาจกั รเบนซ์ธนบุรี เมืองโบราณ และ He was the first generation of the มูลนิธิเลก็ -ประไพ น่นั เอง Bhavamaya family. The house has two buildings - the bigger one has สว่ นเชิด วริ ิยะพานิช ทม่ี ีช่อื เขียนไวท้ ต่ี กึ หลังหนา้ น้นั เป็นลกู ชาย a hip roof, while the smaller one, ของหลวงพชิ ัยฯ แต่กอ่ นตกึ น้ีเคยเปิดเปน็ คลินิกของ นพ. เลศิ วิรยิ ะพานิช in pale blue color, has a gable roof พ่ีชายคุณเชิดดว้ ย and carved pediments. It is deco- rated with gingerbread gable trims, เรอื นไม้ดา้ นในท่ีเรากลา่ วถงึ มี ๒ หลงั เรอื นใหญห่ ลงั คาป้นั หยา กบั trims at the eaves, and perforated เรอื นเลก็ สีฟา้ ออ่ น หลงั คาจัว่ หน้าบนั ฉลลุ าย ประดบั ไมฉ้ ลอุ ยา่ งขนม wooden ventilating grills. ขงิ ท่ีป้ันลม เชงิ ชาย และชอ่ งลมเหนือหน้าต่าง สวยหยด ลองส่องดูได้ D E23 Bhavamaya House เกสตเ์ ฮา้ สศ์ รินทิพย์ และร้านอาหารนัมเบอรว์ ัน E25 A 320 Phra Sumen Rd. T Not Open to the Public บ้านไม้โทรมๆ หลังนี้ ตงั้ อยู่ในตรอกดา้ นหลงั ตึกแถวถนนตะนาว (ฝง่ั เหนือราชด�ำ เนิน ยา่ นชุมชนบวรรังษี หลงั วดั บวร) ท่ีจะมุ่งไปยังบาง A E24 Kraichitti Mansion ลำ�พู หากดเู ผินๆ ก็เปน็ เพียงบา้ นเก่าหลังหนึ่ง ไมไ่ ดพ้ เิ ศษอะไร 199 Khaosan Rd. มลี กั ษณะสถาปตั ยกรรมทเี่ ป็นที่นยิ มในรัชกาลท่ี ๖-๗ คือเปน็ เรือน มะนิลา ๒ ชั้น ผังเป็นรูปตวั แอล (L) หลงั คาปั้นหยา ที่มขุ หน้าเปน็ จ่วั ตัด แตห่ ากลองเพ่งิ พนิ ิจไปท่ไี ม้ฉลทุ ีใ่ ต้จว่ั นั้น จะเหน็ ความพเิ ศษเฉพาะ ทห่ี าไมไ่ ด้ทไี่ หนในเกาะเมอื งเก่าแห่งนี้ นน่ั คือ “พานรัฐธรรมนูญ” เปน็ อย่างพานทเ่ี ราเหน็ ทอ่ี นุสาวรีย์ประชาธปิ ไตย G08 และสโมสรราษฎร์ สราญรมย์ G10 คอื เป็นสมุดไทยวางอยูบ่ นพาน ๒ ชั้น แตท่ น่ี ่ไี มเ่ หมอื น ใคร เพราะแกะเป็นช้าง ๒ เชอื ก หนั หนา้ เข้าหากนั อย่ทู ี่สมุดรฐั ธรรมนญู ดว้ ย Number One Restaurant: This restaurant is located off Tanao Road, which is in Khaosan area, a popular tourist spot. It is a manila-style wooden house built in the 1920s with a cut gable decorated with perforated wooden panels in the shape of constitution atop two offering bowls. E25 No.1 Restaurant 138 119 Off Tanao Rd.

Kraichitti Mansion: Built in บ้านพระยาอาทรธรุ ศิลป์ E24 1909 towards the end of King Rama V’s era as a new mansion บ้านตกึ หลงั นี้ถือได้ว่าเป็นเพชรเม็ดงามแห่งถนนข้าวสารเลยกว็ า่ ได้ for a high-rank officer of the สร้างข้นึ ในช่วงปลายรัชกาลที่ ๕ เพอื่ เป็นคฤหาสน์หลังใหม่ของพระยา Department of Fine Arts, the house อาทรธรุ ศิลป์ (มล. ช่วง กุญชร) ขา้ ราชการกรมศิลปากร สบื เนอื่ งจาก was later used as a marital home บา้ นหลังเกา่ โดนเวนคืนทด่ี ินไป ญาติทางภรรยาจงึ เปน็ ผู้จดั การสรา้ งให้ for his daughter and her husband, และเม่ือแล้วเสร็จจงึ ย้ายครอบครวั มาอาศัยกัน a judge from the Kraichitti family. It is a Western-style, 2-story ตอ่ มาในราวปลายรชั กาลท่ี ๖ ลูกสาวคนโต (เชย) แตง่ งานกับ house, with a central portico used พระยากฤตราชทรงสวัสด์ิ (สดุ ใจ ไกรจติ ติ) ผู้พพิ ากษาศาลอุทธรณ์ as a drop-off area. The manila กรงุ เทพ พระยาอาทรฯ จงึ ยกเรอื นหลงั น้ใี ห้เปน็ เรอื นหอ ต่อมาพระยา style house has a hip roof with กฤตราชทรงสวสั ดิ์ ได้เลอ่ื นยศขนึ้ เป็นอธิบดีผ้พู ิพากษาศาลอุทธรณ์ an open gable decorated with และอดีตองคมนตรีในสมยั รชั กาลท่ี ๗ เรอื นหลังนี้จึงเรยี กกันว่า “บ้าน gingerbread-style gable trims. The ไกรจิตต”ิ ตามสกุลของเขย interior is exquisitely decorated in Thai, Chinese, and Victorian styles, เปน็ บา้ นตึกแบบฝรั่ง ๒ ช้ัน ออกแบบโดยสถาปนกิ อติ าลที ี่รบั ราชการ with a hint of Egyptian influence ในสยาม เรอื นนี้มีความพเิ ศษตรงท่ใี นสมยั นน้ั เรอื นขุนนางทว่ั ไปยังไม่ seen in the bay window. นิยมสรา้ งเปน็ ตกึ กนั ด้วยไม่กลา้ เทยี บชั้นกบั เรือนเจ้านาย ดา้ นหนา้ บา้ นแตเ่ ดิมมวี งเวยี นสนามหญ้าส�ำ หรบั วนรถ มขุ กลาง ด้านหนา้ ชั้นลา่ งจึงเป็นโถงสำ�หรบั เทียบรถ ชน้ั บนเป็นห้องพักผ่อน มหี น้าตา่ งเปดิ ถึงพืน้ อยู่โดยรอบ หลังคาปนั้ หยา เปิดจัว่ ทม่ี ขุ หนา้ อยา่ งที่เรียกวา่ เรือนมะนลิ า ประดบั ดว้ ยไม้ฉลุอยา่ งเรือนขนมขงิ สว่ นการตกแตง่ ภายในบา้ นถือวา่ เป็นไฮไลท์ของเรือนหลงั น้เี ลยที เดียว หอ้ งรับแขกใหญ่ ตกแตง่ แบบไทย, โถงบันไดเปน็ หอ้ งจนี , ตรงมุข แปดเหลย่ี มขา้ งเรือนเปน็ ห้องนัง่ เล่น แต่งแบบอียิปต์ เรียกห้องเมมฟิส (เลา่ กนั วา่ มจี ติ รกรรมฝาผนังท่วี าดโดยศลิ ป์ พรี ะศรี ดว้ ย), ส่วนหอ้ ง รบั ประทานอาหาร แต่งสไตลว์ ิคตอเรียน วา่ กนั ว่าภาพวาดเถาดอกไม้ บนฝ้าเพดานน้นั คณุ หญงิ เชยลงมือสะพัดพ่กู นั เองเชียวนา คณุ หญงิ เชยพำ�นักอยู่ทเี่ รือนหลงั งามนจี้ นส้ิน ต่อมาทายาทให้เชา่ เปน็ รา้ นเรอื ธงของกาแฟสตารบ์ ัคส์ ในช่วงปี ๒๕๔๗-๕๕ ซึง่ กลายเป็น ทอลค์ ออฟเดอะทาวนช์ นิดท่สี าวกกาแฟเงือกเขยี วตอ้ งมาเช็คอินทน่ี ่ีกนั ในชว่ งนนั้ เลยทีเดียว ปัจจบุ นั เรือนนี้เป็นสมบัติของ ศ. สรรเสริญ ไกรจติ ติ (ลูกชายคนโต ของพระยากฤตราชฯ กับคุณหญิงเชย) อดีตสมาชกิ สภานิติบัญญัตแิ ห่ง ชาติและวุฒสิ ภา โดยคณุ กฤต ไกรจติ ติ (ลกู ชาย ศ. สรรเสริญ) อดตี เอกอัคราชทูต เปน็ ผู้ดูแล 139



ตึกึ แถวชั้้น� เดีียวแบบจีนี ตึกึ แถวแนวปีนี ััง คนนอกเดินถนน F01 ตึกแถวถนนดนิ สอ F05 ตึกแถวถนนบำ�รุงเมือง Streets for Commoners F02 ตึกแถวตรอกสะเตะ๊ F06 ตกึ แถวประตูผี F03 ซากตกึ แถวชั้นเดยี ว ตึกแถวก�ำ เนิดข้ึนอยา่ งมากมายรมิ ถนนสาย F04 ตึกแถวซอยสุขา เชิงสะพานสมมตอมรมารค สำ�คญั ๆ ท่ัวพระนคร โดยเฉพาะในช่วงปลาย F07 ตกึ แถวถนนแพรง่ นารา รชั กาลที่ ๕ ตึกึ แถวรุ่่�นพิิมพ์์นิยิ ม F08 ตกึ แถวตรงขา้ มแพรง่ นารา แสดงใหเ้ ห็นถงึ เศรษฐกจิ ท่ีรุ่งเรือง อนั เป็น F09 ตกึ แถวยา่ นแพร่งภูธร ตึกึ แถวแนวฝรั่่ง� ผลพวงมาจากการเปิดตลาดการคา้ เสรกี บั ตา่ ง F10 ตกึ แถวซอยสระสรง ประเทศ F13 ตกึ แถวถนนเจริญกรงุ ลงท่า F14 ตึกแถวเชิงสะพานมอญ ตึกแถวยงั แสดงให้เห็นถงึ การเคลื่อนยา้ ย F11 ตกึ แถวถนนตะนาว F15 ตึกแถวซอยพระยาศรี จากการค้าขายทางนำ�้ มาเปน็ ทางบก อันมา F12 ตึกแถวถนนจักรพงษ์ F16 ตึกแถวสก่ี ๊ักพระยาศรี พร้อมกับการตัดถนน F17 ตกึ แถวบา้ นหม้อ ตึึกแถวกัันสาด ค.ส.ล. ตกึ แถวในยุคแสนศิวิไลซ์น้ี จึงเป็นตกึ อยา่ ง “บุคคลภั ย์” ฝรง่ั รูปแบบลดทอนจากสถาปัตยกรรมคลาสสิก F22 ตึกแถวถนนพระสุเมรุ F18 ตึกแถวบา้ นหม้อ ของทางตะวนั ตก ส่วนใหญ่มักสงู ๒ ชน้ั ชนั้ ลา่ ง หนา้ วัดบวร F19 ตกึ แถวหน้าพระลาน ใชค้ า้ ขาย ส่วนชน้ั บนเก็บสนิ คา้ และพกั อาศัย F20 ตึกแถวทา่ ชา้ ง F23 ตึกแถวถนนพระสเุ มรุ F21 ตึกแถวท่าเตียน Many shophouses popped up along ย่านผา่ นฟ้า major roads throughout Bangkok, especially ตึึกแถวหลัังคาดาดฟ้า้ towards the end of the 19th century (in King F24 ตกึ แถวถนนตะนาว Rama V’s era). This meant the economy was แยกคอกววั F26 ตึกกมลสโุ กศล prosperous due to free trade with foreign F27 ตึกวรพรต countries. These shophouses also indicated a F25 ตกึ แถวโค้ง F28 ตกึ คคั ณางค์ shift from floating markets to roadside ถนนพระอาทติ ย์ F29 ตึกฟาซาล markets, as a result of road construction. Buildings in this era adopted a Western look, (หา้ ง อี. แอม. กาติบ๊ ) with simplified classic designs. They were F30 ตกึ แถวโค้งเสาชิงช้า mostly 2-story buildings, and the ground F31 ตึกแถวถนนจักรเพชร floor was used for business while the upper floor was used for either storage or residence. ปากทางเข้าสะพานหนั 141

ตกึ แถวชั้นเดยี วแบบจีน ตกึ แถวดง้ั เดิมของเราน้นั เปน็ หอ้ งแถวไม้ ต่อมาพฒั นาเป็นตกึ ปนู แบบจีน มชี ัน้ เดยี ว หลังคาจ่วั มุงกระเบอื้ งดินเผา สร้างกนั ต้งั แตร่ ัชกาลที่ ๔ แตไ่ ม่หลงเหลือให้เหน็ อกี แล้ว ตกึ แถวชน้ั เดียวทพ่ี อให้เห็นในปัจจุบนั น้นั สรา้ งขึน้ ราวรัชกาลท่ี ๖ คงมรี ูปแบบไมต่ า่ งกับแบบจีน ด้งั เดมิ มากนกั Chinese-style One-story Shophouses: Shophouses were typically made of wood, but later changed to bricks and mortar like buildings in China. Such buildings have actually existed since the mid 19th century in King Rama IV’s era, but are no longer around today. The ones that we still see now are from the 1910s in King Rama VI’s era. Howard Sochurek, Life Magazine, 1954 ตึกแถวชัน้ เดยี ว ตึกแถวช้นั เดยี ว ถนนดินสอ F01 ตรอกสะเต๊ะ F02 หอ้ งแถวถนนดนิ สอในปี ๒๔๙๗ แถบหนา้ โรงเรียนสตรวี ทิ ยาจนถงึ อย่าลมื มองหาประกาศเร่อื ง สะพานเฉลมิ วนั ชาติ แหล่งร้านขายธง ใบเสรจ็ คา่ เช่า ประทบั อยู่ที่ มีขนมหวานแม่อุดม ถั่วทอดลงุ แจว๋ เสาต้นหน่ึง แขกขายถั่วที่ยังเหลืออยู่ และโบก๊ เกี้ย เยน็ ๆ ยามบา่ ย เช่อื มระหวา่ งถนนรามบตุ รี กับถนนตานี ย่านบางล�ำ พู ดหู ้องหมายเลข ๒๘ ยังคงสภาพ ดงั้ เดิมอยู่ เดิมเปน็ แหลง่ ท่ีอยู่ของชาว ยะหวา หรือชวา จากอินโดนเี ซยี One-story Shophouses along Dinso มาทำ�งานในสมัยรชั กาลที่ ๕-๖ Road: Unit number 28 still looks the สามเี ปน็ คนสวน ภรรยาท�ำ สะเต๊ะ same as it did when it was first built. ขาย ตึกแถวชน้ั เดียวในตรอกที่เช่อื มระหวา่ ง รแู้ ลว้ ใชม่ ัย้ ว่าทำ�ไมร้าน “อา ซอยสุขา ๑ กับสขุ า ๒ อซี ะห”์ ขายขา้ วหมก เน้ือสะเต๊ะ หลงั กระทรวงมหาดไทย F04 ต�ำ รับอนิ โด จงึ ตั้งอยู่แถวน้ี F03 ตึกแถว Unseen One-story Shophouses along Satay Alley: Located in Bang D Chinese-style ถดั ไปอกี ซอย เหน็ ซากผนงั กนั Lamphu area, it used to be a A One-story Shophouses ไฟ ของตึกแถวช้นั เดียวมัย้ มสี อง community of Javanese people T F01 ซาก หวั -ท้าย บอกใหร้ ู้วา่ ตึกแถว from Indonesia who had migrated A F02 Dinso Rd. ชุดน้ีมหี ลงั คาจัว่ มีชนั้ ลอย และ to Thailand to work as gardeners F03 Satay Alley ก่อสร้างโดยชา่ งจนี ดว้ ยเทคนิค in King Rama V’s and King Rama off Rambuttri Rd. การก่ออิฐเปน็ ซ้มุ โค้ง เพือ่ รบั น้�ำ VI’s eras. They used to sell satay Sukha Lanes หนกั เชน่ นี้เปน็ เทคนคิ จนี (skewered beef) in this area. On a wall in front of one of the 142 F04 shophouses, there is a notice about rent receipts stamped on it.

ตึกแถวแนวปีนัง มมี าตงั้ แต่รชั กาลท่ี ๔ แลว้ ดว้ ยทรงส่งสมหุ กลาโหมไปดงู านที่สงิ คโปรใ์ นปี ๒๔๐๔ เพอื่ สรา้ งตึกแถว เกบ็ ค่าเช่าหน้าวัด เป็นตกึ ปนู ๒ ชน้ั หนา้ แคบ แต่ลกึ ชน้ั บนมีหน้าต่างแคบ ยังไม่มีการก่อสรา้ งผนังกนั ไฟ และมงุ หลงั คา ด้วยกระเบื้องดินเผา Shophouses in Straits Settlements Style: These shophouses have existed since the mid 19th century in King Rama IV’s era. The King sent a team to observe the architecture in Singapore so that they could come build the same buildings here for rent. F06 ตกึ แถวทเี่ ชิงสะพานสมมตอมรมารคหลังน้ี คาดว่า สรา้ งขึน้ ในช่วงกลางรชั กาลที่ ๕ โดยชา่ งพน้ื เมืองหรือ ชา่ งจนี อันเป็นยุคท่ียงั สรา้ งเลียนแบบตึกแถวฝรั่งจาก สิงคโปร์-ปีนังอยู่ ตึกแถว Unseen แตล่ ะคูหาเจาะชอ่ งหน้าต่างแคบๆ เพียงชอ่ งเดยี ว แบบหอ้ งแถวจีน ติดกันสาดมงุ สังกะสีประดับไม้ฉลุ สว่ นที่เสาและเหนอื หน้าต่าง ฉาบปนู เซาะร่องเลยี นแบบหนิ ก่ออยา่ งตกึ ฝรง่ั แตย่ ังประดักประเดิด ไมถ่ กู ตอ้ งตามระเบยี บแบบแผนของงานคลาสสกิ นกั ทน่ี ่าสนใจคือ หลังคายงั คงมุงด้วยกระเบอื้ งดนิ เผาอยู่ ซ่งึ เหลอื อยูน่ ้อยหลงั ตึกแถวถนนบำ� รงุ เมือง มากในเกาะเมืองเกา่ แหง่ นี้ ตอนสำ� ราญราษฎร์ F05 ตกึ แถวถนนแพรง่ นารา F07 สร้างในช่วงกลางรัชกาลท่ี ๕ มีลักษณะพเิ ศษคือพื้นทีส่ ่วนหนา้ ตัดขึน้ ในราวปี ๒๔๔๐ รชั กาลที่ ๕ ของแต่ละคหู า จะกันไวเ้ ป็นทาง เป็นโครงการพฒั นาอสงั หารมิ ทรัพยส์ ่วน เดินหน้าร้าน (ใต้พน้ื ช้ันบน) ต่อ พระองค์ของกรมพระนราธปิ ประพนั ธ์พงศ์ เน่อื งไปทุกคหู า กลายเปน็ ทาง เพ่ือใหเ้ ช่าเป็นรายได้ เดินหลงั คาคลมุ แบบทฝี่ รงั่ เรียก เป็นห้องแถวในยุคแรกทยี่ งั สรา้ งตอ่ เปน็ พืดติดกันโดยไมเ่ วน้ ชอ่ ง ว่า อาเขต หรอื “หง่อคาก่”ี ใน ว่างระหว่างตกึ และไม่ท�ำ ผนังกันไฟ ภาษาจีน อันเป็นทน่ี ิยมสรา้ งกันใน ในถนนสน้ั ๆ เพยี งเส้นเดยี วนี้ อัดจำ�นวนเขา้ ไปมากกวา่ ๑๒๐ สงิ คโปร์ ปีนัง และภเู กต็ ปัจจบุ ัน ห้อง หนึง่ ในนั้นคือขนมหวานลงุ แดง (เลขท่ี ๑๑๒) แวะมาเพิ่ม แตล่ ะคหู าล�้ำ พนื้ ทอ่ี อกมาจนไม่ นำ้�ตาลในเลอื ดกนั ได้ เหลือส�ำ หรับเป็นทางเดนิ แลว้ Shophouses along Phraeng Nara Road: Built in 1897 in King Rama V’s Shophouses along Bamrung era, there are 120 units forming a single row with no space in between. Mueang Road: Built in King Rama V’s era, the uniqueness of these F08 ตกึ แถวบนถนนตะนาว ตรงขา้ มแพรง่ นารา ชดุ นี้ buildings was the roofed continuous มี ๙ คูหาเทา่ นน้ั รปู แบบเป็นเชน่ เดยี วกับตึกแถว walkway in front of shophouses ตึกแถว Unseen ในแพร่งนาราทกุ ประการ คาดวา่ สร้างขึ้นในคราว (five-foot way or Ngo-ka-ki), which เดียวกัน ท่ีส�ำ คญั ยังคงมุงด้วยกระเบือ้ งดนิ เผาเชน่ was popular in Singapore, Penang, เมอ่ื คร้งั แรกสรา้ งในราวปี ๒๔๔๐ and Phuket. Today, the units have D extended to cover the walkway. A T Shophouses in Straits Settlements Style A F05 Bamrung Mueang Rd. F07 Phraeng Nara Rd. F06 Bamrung Mueang Rd. F08 Tanao Rd. 143

ตึกแถวรุ่นพิมพ์นยิ ม เป็นตกึ แถวแบบมาตรฐานท่กี รมพระคลงั ขา้ งท่ี (ส�ำ นกั งานทรพั ยส์ นิ พระมหากษตั รยิ ใ์ นปจั จบุ นั ) สรา้ ง ขึ้นในราวปลายรชั กาลท่ี ๕ ตามย่านการคา้ ส�ำ คญั ท่ัวพระนคร โดยทำ�เปน็ ชดุ ใหญ่ มีจำ�นวนหลายหอ้ ง สรา้ งต่อเป็นชว่ งๆ และเว้นชอ่ งวา่ งเป็นทางเดินระหว่างตกึ โดยมักมีผนังก่ออฐิ กันไฟทุก ๒-๓ ห้อง (เหน็ ได้ชัดทีส่ นั หลังคา) ระหวา่ งห้องเป็นผนังไม้ เหนือหนา้ ตา่ งทำ�ช่องแสงไมฉ้ ลุ ซ่ึงได้รับอทิ ธิพลจากมลายู มีกันสาดเปน็ ไม้มุงสงั กะสี ตดิ ลูกไม้ฉลุทช่ี ายกนั สาด และ มีรรู ะบายอากาศกลมๆ เหนอื หน้าตา่ ง Popular Style of Shophouses: The standard style of shophouses came about in the 1900s late in King Rama V’s era in major commercial districts in Bangkok. They were usually a large compound with many units built in separated blocks, decorated with Malay-style perforated wooden panels and trims. ตกึ แถวยา่ น ตกึ แถวซอยสระสรง ตึกแถวถนนตะนาว F11 แพร่งภูธร F09 ลงท่า F10 ฝงั่ เหนอื ถนนราชด�ำ เนนิ มีจำ�นวนมากถึงราว ๑๒๐ หอ้ ง (ด้านทา้ ยวัดสทุ ัศน์) เลอื้ ยต่อ เป็นชุดใหญอ่ กี ชุดร่วม ๑๐๐ แหลง่ ของกินข้นึ ช่ือ ไปถนนตีทอง และอณุ ากรรณ ห้อง คับคงั่ ขนาบสองขา้ งทาง ถอื เปน็ ชุดใหญ่ไฟกระพริบเพราะ ช่วงเชา้ แวะซื้อขนมปังไส้ อยา่ ลมื แวะกนิ ตม้ ยำ�สมองหมู มมี ากร่วม ๑๕๐ หอ้ งเลยเทยี ว ทะลักของดยี า่ นบางลำ�พูได้ มี ข้าวสตูวห์ มูอดุ มโภชนา บะหมี่ รา้ นขายยาเก่าโฉมใหม่อยา่ ง ลกู ชน้ิ เนื้อววั นัฐพรไอศรีมกะทิ ลองเข้าไปท่ซี อยสระสรง ชว่ ง วริ ิยมัยโอสถ ตกเยน็ มีครวั สม้ หอม แดงโภชนา กลางซอยฝั่งเหนือ (ดา้ นทต่ี ดิ กบั ขนมปังป้ิงนมป่ัน สวรรค์ของนัก กุฏิวดั ) หนา้ ตาหอ้ งแถวจะตา่ ง Shophouses on Tanao Road: ชมิ จรงิ ๆ กบั เพอ่ื นๆ ดว้ ยสรา้ งขึ้นมาภาย Located on the northern side หลัง เนื่องจากแตเ่ ดมิ เวน้ ไว้เปน็ of Ratchadamnoen Road, it has Shophouses in Phraeng บ่อน้ำ�ให้พระมาสรงมาซกั ลา้ งกัน about 100 units on both sides. It Phuthon: There are about 120 จึงเปน็ ทม่ี าของชื่อซอยนั่นเอง is home to the old traditional Thai units circling a big square at the apothecary. center. This area, located next to Shophouses on Sa Song / Long Phraeng Nara, was a food hub. Tha Roads: Located behind Wat ตกึ แถวถนนจกั รพงษ์ Suthat, there are about 150 units. ย่านบางลำ� พู F12 Popular Style of Shophouses The ones along the northern part of Sa Song Road look different สรา้ งลอ้ มกนั เป็นรปู ส่เี หลีย่ ม D F09 Phraeng Phuthon Rd. because they were newly built. ระหว่างรอรถเมล์ อุดหนุนของกนิ A F10 Sa Song, Long Tha Lanes Formerly, it was a well where สรรพส่ิงที่รา้ นน้ำ�พริกนิตยาได้ T F11 Tanao Rd. monks would come take a shower. A F12 Chakrabongse Rd. Shophouses on Chakrabongse Road: Located in Bang Lamphu, 144 forming a rectangle.

ตกึ แถวแนวฝรง่ั ในช่วงปลายรชั กาลที่ ๕ ถงึ รัชกาลท่ี ๖ ตึกแถวทไ่ี ด้รบั อทิ ธิพลจากตะวนั ตกเปน็ ทีน่ ิยมอยา่ งมาก โดย มกั สร้างขึน้ เป็นชุดใหญ่ ในย่านการค้าสำ�คญั ๆ ของพระนคร มจี ำ�นวนหลายห้อง กอ่ เปน็ ช่วงๆ และเวน้ ช่องว่างระหวา่ งตึกเป็นทางเดิน แถมยังมีการตกแต่งท่ีสวยงาม มีลวดลายปูนปัน้ ประดับ บา้ งก่อเป็นแผงหน้าจว่ั ข้นึ ไปที่มุขหนา้ ของ อาคาร มุขหน้ามักอยตู่ รงกลาง หรือทค่ี ูหาสุดท้ายหรอื เปน็ มุขที่หัวมุมถนน มีเสาลอยขึ้นไปรับเฉลยี ง ด้านบน หรอื หน้าบันหลงั คา โครงสรา้ งตกึ แถวเปน็ งานกอ่ อิฐถอื ปูน เสาเปน็ ไม้ แต่ก่ออิฐหมุ้ เสาอีกช้นั ส่วนหลงั คาเปน็ ทรงป้นั หยา มงุ หลังคาดว้ ยกระเบื้องซเี มนต์ หรอื กระเบ้อื งว่าว มีสนั หลงั คายกสูง เลยระดบั กระเบอ้ื ง จากการก่อผนังกันไฟระหวา่ งคหู า ซมุ้ หน้าต่างทำ�แบบฝรง่ั บา้ งเปน็ เสีย้ ววงกลม หรอื เปน็ จ่ัวสามเหลย่ี ม บา้ งประดับลายปนู ปน้ั หรือไม้ ฉลุสำ�หรบั ระบายอากาศ Western-style Shophouses: Built in the 1900s-10s in King Rama V’s and King Rama VI’s eras, these shophouses were much influenced by Western trends, as seen in stucco decorations, pediments on front porticos, Western-style window frames, and cement tiles. ตกึ แถวถนนเจริญกรุง F13 ตน้ ถนนเจริญกรงุ ตกึ แถวริมถนนอัษฎางค์ ท่ีเชิงสะพานมอญ F14 เชงิ สะพานมอญ มีหนา้ กวา้ ง มาก ๑ ห้อง มีซุม้ หน้าต่างเลียน สรา้ งตอ่ ออกมาจากตกึ แถว แบบคานโค้งหินกอ่ ถงึ ๓ ซุ้ม ชุดถนนเจรญิ กรุง ๑ ห้องมซี มุ้ ชว่ งสะพานถ่านถงึ สามยอด หน้าต่างโคง้ เพยี ง ๑ ซ้มุ เท่านัน้ โรงเรียนสอนขับรถ ส. รูปแบบเหมือนกับท่ีเชงิ สะพาน Shophouses on Atsadang Road: สะพานมอญอันโด่งดังก็ต้ังอยู่ใน มอญ แต่ ๑ หอ้ ง มีซุ้มหน้าตา่ ง Located by the canal on the oppo- ห้องแถวแถบน้ี ๒ ซมุ้ site side of Saranrom Park, these units continue from the ones on Shophouses on Charoen Krung หาดไู ด้ท่ีรา้ นออนลอ็ กหยุ่น และ Charoen Krung Road. Each unit has Road: Located by the bridge, สถานรี ถไฟฟ้าสามยอด only one window arch. each unit is extra wide, with three window arches in the style of stone masonry. In Sam Yot area, each unit has two window arches. 145

ตึกแถวซอยพระยาศรี F15 ตกึ แถวถนนเฟ่ อื งนคร บริเวณส่กี ๊ักพระยาศรี F16 (ตรงขา้ มสะพานหก สวน สราญรมย์) มีซมุ้ หนา้ ตา่ งเปน็ จั่ว เปน็ ชุดท่ีสร้างในยคุ หลัง ราวรชั กาลที่ ๗ ตอ่ มา สามเหลี่ยมแบบฝร่ัง จากตกึ แถวในซอยพระยาศรี ห้องหวั มมุ ท�ำ พเิ ศษประดับ รปู แบบเรียบง่ายมากขนึ้ แต่ยงั คงใสจ่ ่ัวกระบงั กระบังหนา้ เป็นจั่วโค้ง ท�ำ ปูนปัน้ หนา้ ท่ีห้องหัวมมุ เพอ่ื ให้ลอ้ กับตกึ แถวชุดซอย เปน็ ลายงูพันไมค้ ทา สญั ลักษณ์ พระยาศรที ่อี ย่ฝู ่งั ตรงขา้ ม ช่วยได้ดกู ลมกลนื เปน็ ชดุ ของเมอร์คิวรี่ เทพแหง่ การคา้ เดยี วกัน Shophouses on Phraya Si Lane: Shophouses on Fueng Nakhon Road: Located near Located on the opposite side of the intersection that cuts across Charoen- the Dutch drawbridge, its window krung Road, these shophouses were built features Western-style triangle in the 1920s in King Rama VII’s era. The pediments, and the corner unit has design is simple, and the corner unit has three curved pediments on the roof three curved pediments on the roof, simi- decorated with the Caduceus, or lar to the shophouses on Phraya Si Road two snakes winding around a staff, on the other side. On a wall in front of which is the symbol of Mercury, one of the units, there is a notice about the god of trade. rent receipt stamped on it. The corner unit used to be a Butler & Webster showroom. D Western-style ตกึ แถวที่ส่กี กั๊ พระยาศรนี ี้ยังเคย Shophouses เปน็ ท่ีต้ังของหา้ งบตั เล่อรแ์ อนด์ Charoen Krung Rd. เว็บสเตอร์ ขายรถ Atsadang Rd. และหา้ งสิทธพิ นั ธุ์ ดว้ ย Phraya Si Lane A F13 Fueang Nakhon Rd. อยา่ ลมื มองหาประกาศเรอื่ งใบเสร็จคา่ เชา่ T F14 ประทบั ไวท้ เี่ สาหน้าร้านหอ้ งใด ห้องหนึ่งดว้ ย A F15 146 F16

ตึกแถวบา้ นหม้อ ยา่ นปากคลองตลาด F17 ห้องปลายสดุ ของชุดนเ้ี คยเปน็ ท่ตี ้งั ของ “บุคคลัภย”์ (Book Club) เมอื่ แรกกอ่ ตง้ั ในปี ๒๔๔๙ เปน็ ธนาคารแหง่ แรกของไทย ทีก่ ลายมาเป็น ธนาคารไทยพาณิชยใ์ นปจั จุบัน Shophouses on Ban Mo Road near Flower Market: The last unit of these shophouses used to be the location of Book Club, established in 1906, which was the first bank of Thailand. It is now Siam Commercial Bank. โคง้ ถนนอัษฎางค์รมิ คลองคูเมืองเดมิ F18 เป็นตกึ แถวชดุ ใหญ่อกี ชดุ ท่ยี งั คงหลงเหลือใหเ้ ห็น สร้างติดถนนโดย รอบ ห้องริมสร้างเป็นมุขประดบั กระบงั หน้าที่หลงั คา ซุ้มหน้าตา่ งทมี่ ขุ ช้นั สองประดบั ปูนป้ันรปู หม้อ ตามชื่อของยา่ น Ban Mo Shophouses: This is another set of shophouses which still remains today. It wraps around an entire block, surrounded by roads. The window pediment on the second floor of the end unit is decorated with pot-shaped stucco statues in line with the name of the area (“ban mo” means “village of pot” in Thai). รมิ ถนนบ้านหมอ้ ห้องหัว-ท้าย เปน็ มขุ มหี น้าจวั่ แบบฝรง่ั เชน่ กนั หน้าตา่ งของหอ้ ง Wally Higgins แถวบา้ นหม้อมเี อกลกั ษณเ์ ฉพาะ กรอบเป็นปนู ปนั้ เลียนแบบงาน ก่อหนิ ซมุ้ หน้าต่างเปน็ จ่วั โคง้ มีรู เชงิ สะพานอุบลรัตน์ ระบายอากาศดา้ นบน ห้องหัวมุม ถือเป็นท�ำ เลทอง หัวมมุ ถนนจกั รเพชร-อัษฎางค์ แตท่ ีพ่ ิเศษสดุ ส�ำ หรับตกึ ริมถนน สร้างตามลักษณะการวางผัง บา้ นหม้อช่วงนี้ ก็คือช่องระบาย อาคารมมุ ถนนที่นิยมท�ำ ในยโุ รป ถา่ ยในปี ๒๕๐๒ แตร่ ้ือไปแลว้ อากาศไมฉ้ ลทุ เ่ี หนือประตดู ้านหน้า หอ้ งตรงนเี้ คยเปน็ ทตี่ ัง้ ห้างบา ปัจจุบนั กลายเป็นธนาคารกรุงไทย ห้องตรงขา้ มวทิ ยาลัยเสาวภา ยงั มี โรเบราน์ ขายรถ มากอ่ น สาขาปากคลองตลาด หลงเหลืออยหู่ ลายห้อง Ban Mo Shophouses near the Corner unit of Ban Mo shophouses: Moat Bridge: The corner unit used This photo was taken in 1959. The Ban Mo Shophouses on Ban Mo to be Barrow Brown & Co store. building has been torn down and Road: Its window frames feature Krung Thai Bank has replaced it. stucco works in rustication style. F17 Ban Mo Shophouses D The shophouses are unique for the F18 Ban Mo Rd. A perforated wooden ventilating grills Ban Mo Block T above the doors. A 147

ตกึ แถวหน้าพระลาน F19 Shophouses on Na Phra Lan Road: Built in 1909 towards the end of King เปน็ หอ้ งแถวเกรดพรีเมยี ม ท�ำ ปราณตี เปน็ พเิ ศษ ดว้ ยอยหู่ น้า Rama V’s era, these shophouses used วังหลวง เลยต้องสวยเนยี้ บ อวดแขกบา้ นแขกเมืองได้ สร้างข้ึนในปี to be luxurious as they were located in ๒๔๕๒ ปลายรัชกาลท่ี ๕ โดยเด่นด้วย ๓ หอ้ งชว่ งกลางที่ทำ�เปน็ มขุ หนา้ มีกระบงั หน้าขนาด front of the Royal Palace. The highlight is ใหญป่ ระดบั บนหลังคา the central portico with a large pediment. ชอ่ งระบายอากาศเหนือหนา้ ต่างเปน็ ไม้ฉลุโค้งครง่ึ วงกลม Its ventilating grills over the windows are semi-circular perforated wooden panels. ตกึ แถวท่าช้าง F20 เป็นชุดเดยี วกนั กบั ตกึ แถวหน้าพระลาน ผังเป็นรปู ตวั แอล (L) โดดเด่นทม่ี ุขกลางตรงหวั มุม มี กระบงั หน้าท่ีหลงั คาเช่นเดียวกับชุดหนา้ พระลาน ซมุ้ หนา้ ต่างกม็ รี ปู แบบเช่นเดียวกัน แวะไปชิมข้าวหมแู ดงหมูกรอบสตูว์หมูได้ ท่ีร้านเลขที่ ๑๘๔ Shophouses at Tha Chang Pier: It is the same set as the shophouses on Na Phra Lan Road. It also features the same style of central portico with a large pediment on the roof. ตกึ แถวทา่ เตียน F21 สรา้ งหลังตึกแถวทา่ ช้างเล็กน้อย มรี ูปแบบใกลเ้ คียงกัน ผงั เปน็ รปู ตัวยู (U) ลอ้ มรอบตลาดข้างใน อนั เป็นอทิ ธพิ ล จากตะวันตก มีมุขกลางทัง้ สามด้าน ใช้เปน็ ทางเดินเขา้ ตลาด Shophouses at Tha Tian: These shophouses were built slightly after the ones near Tha Chang Pier, but the style is similar. They form a U shape, with a market at the center. D F19 A F20 Na Phra Lan Rd. T F21 Maha Rat Rd. A Maha Rat Rd. 148