ระเบียงคต      ท่รี ะเบียงคตด้านทิศตะวันตกฝัง่ เหนือ (ด้านหลังพระอโุ บสถ  มุ่งหน้าไปวิหารพระนอน) อย่าลมื ลองแวะไปชมช่อฟา้ พระ  อโุ บสถท่อี ยูบ่ นแทน่ จัดแสดง ช่อฟ้านี้ คาดวา่ เปน็ ของดง้ั เดิม  ตงั้ แตแ่ รกสรา้ งในสมยั รัชกาลท่ี ๓ ท่ีโกลนจากท่อนไมข้ นาดใหญ่  มคี วามยาวกวา่ ๕ เมตร ลงรกั ประดับกระจก      และหากสงั เกตใหด้ ีจะเห็นว่าชอ่ ฟา้ สดุ อลงั น้ี ต้งั อยทู่ ี่ด้าน  หน้าพระพุทธรูปตรงฐานบรรจอุ ฐั ิของพระยาอนุมานราชธน  นกั เขียนนกั ปราชญ์ผู้ใช้นามปากกาวา่ “เสฐยี รโกเศศ” น่เี อง       The cloister around the ordination hall features a row of  Buddha statues. On the northwestern wing, the original gable apex  of the hall is showcased, which is larger than one would expect  it to be.                            D                                                                     ชอ่ ฟ้า และเคร่อื งไมห้ ลงั คาท่จี ดั แสดงอย่ใู น                C ระเบยี งคต      เดนิ เลยขึ้นไปทางเหนอื ทมี่ ุมระเบยี งคต จะมชี ้ินสว่ นเครอื่ ง                       C  ไมจ้ ากหลงั คาพระอโุ บสถ อย่างเช่น นาคสะดงุ้ ใบระกา และ  หางหงส์ จดั แสดงอยูบ่ นผนงั สนั นษิ ฐานวา่ เปน็ ของดงั้ เดมิ            D  ต้งั แตส่ มยั รชั กาลที่ ๓ เชน่ กนั                                                                                                        49    ไมน่ ึกเลยวา่ ...เคร่อื งไมท้ เ่ี ราเห็นลิบๆ อยูไ่ กลๆ บนหลงั คา  นน้ั เอาเขา้ จริงดใู กลๆ้ จะมีขนาดใหญเ่ บ้อเริม่ เทิ่มไดถ้ ึงเพยี งน้ี
หนา้ บันวหิ ารทศิ เหนอื และใต้ เป็นรูปนารายณท์ รงครุฑ     วหิ ารทิศ                                                             วิหารทศิ ท้งั สีห่ ลัง สรา้ งขน้ึ ตัง้ แต่สมัย                                                         รัชกาลที่ ๑ หนา้ บันวิหารทศิ เหนือและ                                                         ใต้ เปน็ รูปนารายณ์ทรงครุฑ (วังหลวง)                                                         ส่วนหนา้ บนั วิหารทิศตะวนั ออกและ                                                         ตะวนั ตก เป็นรปู พระลักษณท์ รงหนุมาน                                                         (วงั หน้า)                                                             พระลกั ษณ์เหยียบบนบา่ ของหนมุ าน                                                         เพ่ือสกู้ บั อนิ ทรชิต ใช้เป็นลญั จกรหรอื                                                         โลโกส้ �ำ หรบั วังหนา้                                                             พระลกั ษณ์ กค็ อื นอ้ งพระราม                                                         เปรยี บได้กบั วงั หน้าพระอนชุ าวังหลวง                                                         เครื่องหมายน้จี ึงแสดงว่าวหิ ารทศิ สร้าง                                                         โดยฝีมอื ชา่ งวงั หนา้ นัน่ เอง (แต่ดว้ ยเหตุ                                                         ใดไม่ทราบแนช่ ัด รูปสลกั พระลักษณ์                                                         ทรงหนมุ านทีค่ วรจะตอ้ งมีกายสีทองนน้ั                                                         ปัจจบุ ันกลับประดบั ด้วยกระจกสเี ขยี ว                                                         เป็นพระรามไปเสียแลว้ ทำ�ให้ความ                                                         หมายของหนา้ บันคลาดเคลือ่ นไป)      หนา้ บันวหิ ารทิศตะวนั ออกและตะวนั ตก เปน็ รูปพระลกั ษณ์ทรงหนุมาน                                                    The four Vihara Pavilions were constructed in King Rama I’s                                               era. The gable features sculptures of Narai on Garuda (sym-                                               bolizing the Royal Palace status) and Lakshmana on Monkey                                               (symbolizing the Front Palace status, as it was built by craftsmen                                               of the Front Palace).    50
ภาพลบั          ข้างหลังบานหนา้ ต่างภายในวิหารทศิ มภี าพลบั ซอ่ นอยู่....  หลังบานหนา้ ต่าง     ภาพเขยี นของชนชาวต่างชาตติ า่ งภาษานานาประเทศ ท่คี นสยามในสมยั น้ันได้เร่ิม                    คบคา้ สมาคมกนั ในยคุ เฟือ่ งฟู ภาพไหนเปน็ ชนชาติอะไรบา้ งยังไมอ่ าจฟันธงใหแ้ น่ชดั จดั เจน       วหิ ารทิศ    ได้ แต่ชาวสยามสมัยนน้ั กร็ ูจ้ กั ชาวดอดชิ (ชาวดตั ช์) กันแล้ว อกี ท้ังยงั มีชาวหร่มุ โต้ระก่ี                    (ชาวตุรก)ี ชาวหรูชปีตะสบาก (ชาวเซ้นต์ปเี ตอรส์ เบิรก์ หรอื รัสเซีย) หรือแมแ้ ต่ชาวห้ยุ หุย                    (ชาวอุยกรู )์ อันหา่ งไกล ก็น่าจะเคยเดินทางมาค้าขายกบั สยามมาเป็นเวลาช้านานแล้ว                                                                                                                      51
เจดยี ส์ ่รี ชั กาล                                                             รชั กาลที่                                                                                             ๒        เจดยี ใ์ หญ่ ๔ องค์ ที่เรยี งแถวกนั ด้านหลงั พระอุโบสถ ด้าน      หน้าวหิ ารพระนอน นน้ั ถอื เปน็ ภาพจ�ำ ของวัดโพธิก์ ็ว่าได้              รัชกาลท่ี  รัชกาลท่ี                                                                                  ๔          ๑        แต่ใครเลยจะรวู้ า่ ...เจดยี ์ทง้ั ส่ี มที ี่มาท่ไี ปและได้มีการสร้าง      ขึ้นเปน็ ลำ�ดับ ดงั น้ี                                                            รชั กาลท่ี                                                                                             ๓        พระเจดยี อ์ งคก์ ลาง ประดับดว้ ยกระเบือ้ งเคลือบสีเขียว      คือ พระมหาเจดียป์ ระจำ�รชั กาลที่ ๑ สรา้ งขน้ึ องคแ์ รก เป็น               Four-Reign Pagodas are a popular      เจดยี ์เหลย่ี มยอ่ มุมไมส้ ิบสองเพมิ่ มุมเป็นยี่สบิ มมุ (ซึ่งเปน็ ทรง   photography spot among tourists. There      เจดีย์ท่ีนยิ มในสมยั อยุธยาตอนปลาย ปจั จบุ นั ด้านหน้าวัด               are four large pagodas. At the center is      ชนะสงคราม ก็ยังมเี จดียท์ รงนอี้ ย)ู่                                   a pagoda of King Rama I, decorated with                                                                              green mosaic tiles. To the right is a pagoda        เล่ากันวา่ ...ดา้ นในพระเจดยี บ์ รรจซุ ากของพระศรีสรรเพชดา            built for King Rama II, decorated with white      ญาณ อันเป็นพระพทุ ธรูปยืนขนาดใหญ่องค์ส�ำ คญั อยา่ งยง่ิ ของ             mosaic tiles. To the left is a pagoda with      ราชอาณาจกั รอยุธยา ด้วยแตเ่ ดิมประดษิ ฐานภายในวิหารหลวง                 yellow mosaic tiles built for King Rama III,      วัดพระศรสี รรเพชญ วัดประจ�ำ วังหลวงกรงุ ศรอี ยธุ ยา (แบบ                and the last one is decorated with blue      เดยี วกบั วดั พระแกว้ ) ซงึ่ เสยี หายอย่างหนกั คราวเสียกรงุ             mosaic tiles, built in the reign of King                                                                              Rama IV.        พระเจดียอ์ ีกสององค์ท่ีขนาบขา้ งองค์กลาง สรา้ งเปน็ ล�ำ ดบั      ตอ่ มาในสมัยรัชกาลที่ ๓          องคข์ วาประดบั กระเบือ้ งเคลือบสขี าว ถวายแดร่ ชั กาลที่ ๒        องคซ์ ้ายประดับกระเบ้ืองเคลือบสีส้ม เป็นเจดยี ์ประจ�ำ      รชั กาลท่ี ๓        ล�ำ ดับสดุ ทา้ ย คอื เจดยี ป์ ระดับกระเบื้องเคลอื บสีขาบ      (สีน้�ำ เงนิ เขม้ ) ท่อี ยดู่ า้ นหลงั เจดยี ์องค์กลาง        สรา้ งในสมยั รัชกาลท่ี ๔ มีลักษณะแตกตา่ งจากหมู่พระเจดยี ์      ก่อนหนา้ นี้ คอื เป็นเจดีย์เหลี่ยมย่อมุมไม้สิบสองมีฐานสงู มีซมุ้      ทิศประดับท้งั สดี่ า้ น        รชั กาลท่ี ๔ ไดม้ ีพระราชด�ำ รัสเกี่ยวกับหม่พู ระมหาเจดยี ์      ทั้งส่ีน้ีวา่ “พระเจ้าแผน่ ดินท้งั สีพ่ ระองค์น้นั ทา่ นได้เคยเห็นกนั      ทงั้ สพ่ี ระองค์ จงึ ควรมเี จดยี ์อยู่ด้วยกัน ตอ่ ไปอย่าให้ตอ้ งสร้าง      ทุกแผ่นดนิ เลย” จงึ เป็นอนั ส้ินสุดธรรมเนียมการกอ่ สร้างเจดยี ์      ประจ�ำ รชั กาลภายในวัดโพธแิ์ ตเ่ พียงเทา่ นี้        หากลองเดินเข้าไปทีล่ านขา้ งใน จะไดช้ มการประดบั กระเบื้อง      เคลือบของพระเจดีย์อย่างใกลช้ ิด บรเิ วณนถี้ อื เปน็ จุดถ่ายรูป      ยอดนิยมอีกแห่งหนึ่ง และท่สี �ำ คญั อยา่ ลมื ชมนทิ รรศการน่าสนใจ      ท่ีแสดงประวัตคิ วามเปน็ มาของวดั โพธิอ์ ยา่ งละเอยี ด พรอ้ มกับ      รปู ภาพเก่าและของจัดแสดง ทพี่ ระระเบยี งดา้ นทศิ ตะวนั ตกดว้ ยนะ    52
เรื่องเล่าชาวเกาะ     เจดีย์วัดโพธิ์   วดั โพธถิ์ ือได้วา่ เปน็ วดั ท่มี เี จดีย์มากทส่ี ดุ  ในประเทศ นอกจากพระมหาเจดยี ์  สร่ี ชั กาลทเี่ ป็นจุดหมายตาของพระอาราม  แลว้ ยงั มีเจดีย์รายขนาดเลก็ ๗๑ องค์  ทด่ี า้ นนอกระเบยี งคต เป็นเจดีย์รูปทรง  เหลยี่ มย่อมมุ ไมส้ ิบสอง   เจดยี ห์ มหู่ ้าฐานเดยี ว ๒๐ องค์ รูปทรง  เหลย่ี มย่อมมุ ไม้สิบสองเชน่ กัน   นอกจากนยี้ ังมพี ระปรางค์ที่ลานรอบ  พระอุโบสถอกี ๔ องค์   นับรวมกนั ได้ท้งั ส้นิ ๙๙ องค์ เลย  ทีเดียว!!!                                                                     53
วิหารพระพุ ทธไสยาส                                         วหิ ารพระนอน วดั โพธิ์ สร้างขึ้นในปี ๒๓๗๕ ในสมยั รชั กาลที่ ๓ ตัง้                                         อยู่ทีม่ ุมก�ำ แพงวดั ฝัง่ เหนอื ทา้ ยพระบรมมหาราชวงั ถา้ มาจากทางทา่                                         เตียน จะเห็นวหิ ารตระหง่านมาแต่ไกล (พระอโุ บสถวัดโพธ์ิท่วี ่ามีขนาด                                         ใหญม่ ากแล้ว ยังตอ้ งพา่ ยใหก้ ับวหิ ารพระนอน ด้วยมขี นาดใหญ่กวา่                                         กันมาก) ถือได้วา่ เปน็ เมกะโปรเจกตใ์ นสมยั นนั้ เลยกว็ า่ ได้ ดว้ ยเปน็ การ                                         สรา้ งพระพุทธรปู ปางไสยาสขนาดใหญม่ หมึ า เพ่ือเป็นแลนดม์ าร์คให้                                         กบั พระนครใหม่แหง่ น้ี                                         ด้วยเปน็ อาคารขนาดมหึมา มีผนื หลังคาท่มี พี ้ืนที่                                         กว้างมาก การหาท่อนซงุ ขนาดใหญแ่ ละยาวเพื่อนำ�                                         มาก่อสรา้ งโครงหลงั คาจงึ เปน็ เรอ่ื งยาก                                         แตช่ า่ งไทยมเี ทคนิค โดยท�ำ หลงั คาลดช้ันแทน                                         ลด ๓ ชั้น                                         แตล่ ะช้ันยงั แบ่งยอ่ ยออกเปน็ อกี ๔ ตบั                                         ซ่งึ นอกจากจะทำ�ใหห้ าไม้ท่มี ีขนาดพอดเี พอ่ื นำ�                                         มาใชก้ อ่ สร้างได้แล้ว ยงั ช่วยทอนระนาบของหลังคา                                         อนั กวา้ งใหญใ่ หเ้ ลก็ ลง หลงั คาจึงดเู บา ไม่รสู้ ึกวา่                                         หัวโต                                         การลดช้ันของหลังคาน้ียงั ช่วยน�ำ สายตาท�ำ ให้                                         ความยาวของวิหารดสู ั้นลงด้วย                                         The Chapel of the Reclining Buddha was                                         constructed in the reign of King Rama III in 1832.                                         It was one of the largest buildings in the city, built                                         to house one of the largest brick and mortar                                         Buddha statues, the fifth largest in the country.                                         The feet of the statue are decorated with mother-                                         of-pearl inlay. At the center of each foot is a                                         pattern of Indra’s heaven, which represents                ซุ้มประตหู นา้ ตา่ งน้ัน                                         Bangkok, a city believed to be home to the god.            มีการประดับด้วย                                                                                                    ลวดลายปนู ปนั้                                                                                                    ดอกไมอ้ ย่างเทศ    พระนอนทไ่ี หน                          53 ๒ 50ย า ว สมเด็จพระศากยมุณศี รสี ุเมธบพิตร              ย า ว พระศรีเมืองทอง  นอนยาวท่สี ดุ ?!!                                                                                 เมตร วดั ขนุ อนิ ทประมูล อา่ งทอง                                         เมตร วัดบางพลีใหญ่กลาง สมุทรปราการ  แมพ้ ระนอนวดั โพธ์ิจะองคโ์ ตใหญ่  กห็ าใชจ่ ะยาวสดุ ในประเทศไม่  แตถ่ ึงกระน้นั กย็ งั ติด Top 5 นะจ๊ะ  ...วา่ แตว่ ่า...คณุ เคยไปนมัสการ    ๑พระนอนครบท้งั หา้ อันดับน้ี    แลว้ หรอื ยงั ?
พระบาทประดับมุกลายมงคล                                                                                           ๑๐๘ ประการ ท่กี ลางพระบาท                                                                                           ประดับลวดลายเปน็ วิมานพระอินทร์                                                                                           ดว้ ยยงั คงยึดคตกิ รุงรตั นโกสินทร์                                                                                           เปน็ เมอื งแหง่ พระอินทรอ์ ยู่ ในการ                                                                                           กอ่ สร้างไดส้ ร้างองค์พระข้นึ มาก่อน                                                                                           แล้วจึงคอ่ ยสรา้ งพระวิหารมาครอบ                                                                                           ทับองคพ์ ระในภายหลัง โดยองค์                                                                                           พระพทุ ธไสยาสจะประดษิ ฐานอยู่                                                                                           ระหวา่ งเสารว่ มใน ซึ่งใช้รับน�้ำ หนกั                                                                                           ของหน้าจัว่ หลงั คา มีทางเดนิ ประ                                                                                           ทักษิณโดยรอบ         เสาพาไลรอบวิหาร เปน็ เสา                    เ1ม5ต ร  พระพุทธไสยาสเป็นพระพุทธรูปก่ออฐิ ถือปนู      เหล่ยี มเกล้ยี ง ไมม่ ีบวั หวั เสา                        แลว้ ลงรกั ปิดทอง ยาว ๔๒ เมตร                                                                 สูงถึงยอดเกตุมาลา ๑๕ เมตร        เปน็ เอกลกั ษณ์เฉพาะของ         วดั รชั กาลที่ ๓ ทรงสรา้ ง                          42.5 เมตร      สว่ นตวั เสาลอยท่ตี งั้ ข้ึนไปรับ  ชายคาโดยตรงเหล่านี้ ยงั ช่วยดึง  อาคารให้ยืดสงู ดูทรงเพรยี วขึน้ ได้      แรกเริ่มเดมิ ทีเสน้ ทางการนมสั การ คอื เขา้ ทางประตดู ้านซา้ ย ซ่ึงเป็นดา้ นหลงั ของ  พระเศียร แล้วสาธุชนจะเริ่มตน้ เดนิ จากทดี่ ้านหลงั องคพ์ ระ เวียนขวาเมือ่ ถึงพระบาท  แลว้ จึงเดนิ ย้อนกลบั มาส่พู ระพักตร์ นบั เป็นอุบายอนั แยบยลในการสร้างเส้นทางทว่ี าง  ไฮไลท์ไวท้ ต่ี ำ�แหนง่ ทา้ ยสุด      แตใ่ นปัจจบุ นั ทางวดั กำ�หนดใหเ้ ข้าทางประตขู วา ซงึ่ ยอ้ นเส้นทางในอดุ มคติ  เมื่อเขา้ ไปปบุ๊ ก็เจอกบั พระพักตรป์ ๊ับ แชะภาพไหว้ขอพรกนั ได้ทนั ทเี ลย      หากได้เดินชมจิตรกรรมฝาผนงั โดยรอบ จะพบว่า ท่ีบริเวณดา้ นหลงั พระเศียรเปน็  เรอ่ื งพระสาวิกาเอตทคั คะ ท่ีเป็นภิกษุณี ๑๓ องค์    ๓ 47ย า ว พระนอนจกั รสหี ์                       ๔ 43ย า ว พระพทุ ธไสยาสน์               ๕ 42.5ย า ว พระพทุ ธไสยาส                     วดั พระนอนจกั รสหี ์วรวหิ าร                     วดั พระพทุ ธไสยาสน์                       วดั พระเชตพุ นฯ          เมตร สงิ หบ์ ุรี                                 เมตร เพชรบุร	ี                            เมตร กรงุ เทพฯ
ลั่นถนั                           พระมณฑป                 พระมณฑป                 เขาศิวลงึ ค์                     สร้างข้นึ ใหมใ่ นสมัยรชั กาลที่ ๓ ดูจาก                                                การตกแตง่ ด้วยกระเบือ้ งเครอ่ื งถ้วย         ลั่นถัน                                กน็ ่าจะรไู้ ดว้ า่ สรา้ งในสมัยใด ปัจจบุ ันเพงิ่                                                บูรณะแล้วเสรจ็ สวยกริบ๊ เลยทีเดียว        ทวารบาลทเี่ ฝ้าประตวู ัดโพธ์ิมา      กนั เป็นคู่ เช่นเดยี วกับทวารบาล             The Scripture Hall was built in the      ยักษข์ องวัดพระแก้ว แต่ที่นเ่ี ป็น        reign of King Rama III, decorated with      รปู สลักหินชายชาวจนี หรอื ไมก่ ฝ็ รั่ง    Chinese ceramics which were popular      รา่ งใหญ่ มีหนวดเครายาว บา้ งถือ          during his era.      งา้ ว บ้างถอื กระบอง ยนื จังกา้ เฝา้      อยูข่ า้ งประตู                                   เรื่องเล่าชาวเกาะ          น่ไี ม่ใชย่ ักษว์ ัดโพธ์ิตนทไ่ี ปไฝว้        ยักษ์วัดโพธิ์อยู่ท่ีไหน?      กับยกั ษ์วดั แจ้ง เพราะมันคอื ลนั่ ถัน         จากกรณีพิพาทระหว่างยกั ษว์ ัดโพธ์ิ กับ      หรอื ทหารนักรบจนี รปู สลักหินท่ี             ยกั ษว์ ดั แจง้ กลายเป็นตำ�นานสดุ คลาสสิก      ส่ังน�ำ เข้ามาจากเมอื งจีนเป็นการ            ของยา่ นท่าเตียน      เฉพาะ เพือ่ ให้มาเฝ้าประตูวดั โพธิน์ ้ี        ว่ากนั ว่ายกั ษ์ทง้ั สองยกพวกตะลุมบอน      ไม่ใช่อับเฉาท่ใี ช้ถว่ งท้องเรอื ส�ำ เภา     กันบานปลายจนถึงขั้นข้ามแม่นำ้�มาตีกัน      กันเรือโคลง อยา่ งทหี่ ลายๆ คน               ท่ีทา่ เตยี น ร้อนถึงพระอิศวร พระอนิ ทร์      เขา้ ใจกนั                                   รวมถึงยักษ์วดั พระแก้ว ตอ้ งออกมาไกล่                                                   เกล่ยี เจรจาหยา่ ศึก แม้ว่าจะทำ�ไปดว้ ย         Gate Guardians are large stone            อารมณช์ ั่ววูบกเ็ ถอะ แตผ่ ดิ กต็ ้องว่ากนั ไป      statues of Chinese and Western               ตามผิด ยกั ษว์ ัดโพธิ์จงึ ถกู ลหุโทษโดยการ      warriors imported from China. These          ย่อใหต้ ัวเลก็ แล้วขงั ไวใ้ นซมุ้ ประตูหนา้      are different from the gate guard-           พระมณฑปน่นั เอง      ians at Wat Phra Kaeo which are                ไหนลองไปหาดสู ิ... ยกั ษใ์ หญ่ กลายเป็น      yaksa (giant).                               ยักษเ์ ลก็ อย่างที่คดิ ไว้ม้ยั ?    56
เขามอ      เขามอ หรอื สวนหยอ่ มกระจกุ๊ กระจ๊ิกโดยรอบบรเิ วณวดั นน้ั  มมี าต้งั แตค่ รง้ั ปฏสิ ังขรณ์ใหญใ่ นสมัยรัชกาลที่ ๓ แล้ว      โดยการนำ�หินทีเ่ ดมิ กอ่ เป็นภูเขาในสวนขวาของพระบรม  มหาราชวงั มาจัดแต่งเปน็ สวนเขามอประดับทนี่ ่ี บา้ งก็มเี จดีย์  หรอื เสาโคมแบบจนี ประดับ บา้ งกต็ กแตง่ ด้วยรูปสลักหนิ เป็นคน  หรือสตั วต์ ่างๆ ท่ีใช้เป็นอับเฉาถ่วงนำ้�หนักเรอื ส�ำ เภาให้กินน�ำ้      ในวัดโพธม์ิ ีเขามออยู่ท้ังสน้ิ ๒๔ ลูก แต่ที่เปน็ จดุ เชค็ อินมาก  ทส่ี ุดในปัจจบุ นั กค็ อื เขาศวิ ลงึ ค์ ซงึ่ ตั้งอยู่บรเิ วณดา้ นหนา้ วหิ าร  ทิศตะวนั ตก (วหิ ารท่ีมีหนา้ บันเปน็ พระลกั ษณท์ รงหนุมาน)  ดว้ ยเพราะมีลึงค์ใหญป่ ระดิษฐานอยบู่ นยอดเขา จงึ เปน็ ทนี่ ิยม  ของผู้คนท่มี ากราบไหวบ้ นบานขอลูกกันเป็นจำ�นวนมาก       Miniature Mountains are small gardens which simulate Chinese  landscape. They are decorated with Chinese lanterns and stone  statues. One of the most famous mountains is the one with Siva  Linga on the top.       เขาฤาษีดดั ดน                                                         เร่ืองเล่าชาวเกาะ      เขามอวัดโพธ์มิ กั มรี ปู หลอ่ ของฤาษีดดั ตนแทรกอยู่ ซง่ึ ถือ           เขามอ  เปน็ ส่วนหนึ่งในนโยบายเผยแพรต่ ำ�ราแพทยแ์ ผนโบราณสู่                     เขามอ คือ สวนหนิ แบบจีนทจี่ �ำ ลองภูมิ  สาธารณะ แตล่ ะกระบวนท่าล้วนใช้ในการแกป้ วดเม่อื ยตามหลกั                ประเทศตามธรรมชาตใิ หเ้ ป็นสวนขนาด  โยคะของโยคีอินเดยี                                                      ย่อม ก่อดว้ ยหนิ ท�ำ เป็นภเู ขา ประดบั ด้วย                                                                          พนั ธุไ์ ม้ สายน�ำ้ และมักมีสถปู เจดียห์ รือ    แรกสรา้ งในสมยั รัชกาลท่ี ๑ ยังเปน็ ดินป้นั ตอ่ มาได้ทำ�เปน็          ศาลจ�ำ ลองหรอื สงิ่ ศักดสิ์ ิทธิ์ ประดษิ ฐาน  รูปหลอ่ โลหะเน้อื ชนิ (ดบี กุ ผสมตะกวั่ ) ในสมยั รัชกาลท่ี ๓            อยบู่ นยอดเขา  ปจั จุบันมกี ารหล่อเพิ่มเตมิ ขนึ้ มาอีกหลายตน                                                                             หากมองตามคตพิ ุทธ-ฮินดู เขามอ     Yogi Poses adorn the miniature mountains. They are sculptures        ยังเป็นการจ�ำ ลองจกั รวาลตามโลกทศั น์  cast from tin and lead alloy, depicting traditional medicine knowledge  ของคนสยามในสมยั โบราณดว้ ย โดย  for the public to learn. These poses are based on Indian yoga           เปรยี บเปน็ ทอ่ี ยู่ของพระอินทรบ์ นยอด  practice and can help relieve muscle pain.                              เขาพระสเุ มรุ พระสถปู เจดยี ์จ�ำ ลอง คือ                                                                          พระเจดีย์จฬุ ามณี บนสวรรค์ช้นั ดาวดงึ ส์                                                                          ตน้ ไมท้ ี่ปลูกประดบั เปรียบได้กบั ปา่                                                                          หิมพานต์ เชงิ เขาพระสเุ มรุ ส่วนสระน�้ำ ใน                                                                          เขามอ กค็ อื ทะเลสที นั ดร ท่ีล้อมรอบเขา                                                                          พระสุเมรุนน่ั เอง เก่งเช่ือมโยงจริงนะ                                                                                                                                       57
วดั พระแก้ววงั หนา้ B05                                             ScorpianPK          วดั บวรสุทธาวาส เปน็ วัดประจ�ำ พระราชวงั บวรสถานมงคล      หรือวงั หน้า เช่นเดียวกับวัดพระแก้วทีเ่ ป็นวดั ประจ�ำ วังหลวง      ถึงแมว้ า่ จะไม่ไดป้ ระดิษฐานพระแกว้ มรกตดังชอื่ แตก่ ย็ งั คง      เรียกอย่างล�ำ ลองวา่ “วัดพระแกว้ วงั หนา้ ”          ตวั วัดสร้างข้นึ ในสมัยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพล      เสพ (วงั หนา้ ในสมยั รัชกาลท่ี ๓) ปจั จบุ นั ตงั้ อยูภ่ ายในพืน้ ท่ี      สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป (วิทยาลัยนาฏศิลป์เดิม) ใช้เปน็ ท่ี      ส�ำ หรับประกอบพธิ ไี หว้ครู ครอบครู ของบรรดานักศึกษาและ      ศลิ ปินของกรมศิลปากร          ยงั ไม่มกี ารเปดิ ใหบ้ ุคคลภายนอกเขา้ ชมแตอ่ ย่างใด        แลว้ อะไรละ่ ?..ทบ่ี ง่ บอกวา่ สร้างข้ึนในสมยั รัชกาลท่ี ๓        เสาพาไลขนาดใหญ่ ทรงเหลีย่ มเรียบๆ ทรี่ องรับชายคาโดย      รอบ ถอื เป็นความนิยมในยคุ นั้น เช่นเดยี วกับคอสอง (ผนังซ่ึง      อยรู่ ะหว่างหลงั คากับชายคา) ท่ปี ระดบั ด้วยปูนป้นั รปู พวงอุบะ      รูปแบบเหมอื นกบั พระทน่ี ่งั พุทไธสวรรย์ในวังหน้า A06 และวัด      บวรนเิ วศ B07 กถ็ ือเปน็ พระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ ๓ เชน่ กัน                                                                              กสิณธร ราชโอรส           Wat Phra Kaeo at the Front                    เรื่องเล่าชาวเกาะ      Palace was constructed in the reign      of King Rama III. It features large        ข้อยกเว้นของวัดวังหน้า      rectangular columns which support          องคป์ ระกอบทางสถาปตั ยกรรมหลายอยา่ งทปี่ กตไิ ม่อาจท�ำ ไดใ้ นพระทน่ี ง่ั      the eaves surrounding the ordination      ของวังหนา้ ทง้ั หลาย      hall, following the popular design of      อย่างพระทีน่ ่ังอิศราวินจิ ฉยั และพระที่นัง่ ศวิ โมกขพิมาน ท่ไี มอ่ าจทำ�      that era. As it belonged to the Front     หลงั คาลดชนั้ ได้ หรือพระทนี่ ่งั ตา่ งๆ ซึ่งมรี วยระกาตรงๆ แอน่ โคง้ ไปตามโครง      Palace, the temple is not allowed to      หลงั คาตามฐานานศุ ักดข์ิ องวงั หน้า แตเ่ ม่ือเปน็ “วดั ” กลับมขี ้ออนุโลมให้      have a spire on the roof. Currently, it   สรา้ งใหท้ ำ�ได้ กล่าวคือ วัดของวงั หน้าสามารถท�ำ หลังคาลดชนั้ และมีเครื่อง      is located on the premise of College      ล�ำ ยองทห่ี นา้ บันท�ำ เป็นนาคสะดุ้งได้      of Dramatic Arts and is not open to        อยา่ งไรกต็ าม วัดพระแกว้ วังหนา้ ก็ยังไม่อาจเทียบช้นั กับวังหลวงได้ ดว้ ย      the public.                               ยงั ไม่อาจท�ำ เครือ่ งยอดปราสาทบนหลงั คานัน่ เอง                                                 จะสงั เกตได้วา่ ผงั อาคารจตุรมขุ และหลังคาลดชั้น เช่นน้ี หากมเี ครอื่ ง  D B 05 Wat Phra Kaeo at the Front Palace	     ยอดทรงปราสาทจะได้สดั ส่วนสวยงามเปน็ อยา่ งยง่ิ ดงั เช่นพระท่ีนั่งดสุ ติ ฯ  A   Bunditpatanasilpa Institute, Rachini Rd.  หรอื พระทนี่ ั่งสทุ ไธศวรรย์ ในพระบรมมหาราชวงั  T   Not Open to the Public                     แต่เนอื่ งจากธรรมเนียมทไี่ มอ่ าจท�ำ ยอดปราสาทอยา่ งเช่นวังหลวงได้  A   02 224 1370                               จงึ ได้งดท�ำ เสีย จะเหน็ ว่าล�ำ ดบั ชัน้ ของฐานานุศกั ดถิ์ อื เปน็ เรอ่ื งสำ�คัญ                                                อย่างยิ่งในงานสถาปตั ยกรรมไทย    58
วดั ราชนดั ดา B06                                                             ภาพร่างสันนิษฐาน โลหะปราสาทสรา้ งค้าง                                                                                  โลหะปราสาททศ่ี รลี ังกา ไว้ตงั้ แตส่ มยั รัชกาลที่ ๕    เปน็ วดั กษตั รยิ ส์ รา้ งในสมยั รชั กาลท่ี ๓ บรเิ วณชานพระนคร  ดา้ นทศิ ตะวนั ออก หลงั ปอ้ มมหากาฬ เคยี งกนั กบั วดั เทพธดิ าราม               B 06 Wat Ratcha Natda / Loha Prasat  D  ท่สี ร้างมาแล้วกอ่ นหนา้ เป็นการสรา้ งขน้ึ เพ่อื เฉลมิ พระเกียรติ                  Maha Chai Rd.                     A  แก่พระเจ้าหลานเธอ พระองคเ์ จ้าหญงิ โสมนัสวฒั นาวดี (หลาน                           9.00am-5.00pm                     T  ปขู่ องรชั กาลที่ ๓) ซง่ึ กำ�พรา้ พระบิดาต้งั แต่ทรงพระเยาว์ ท�ำ ให้               02 224 8807 / 089 683 5953        A  รัชกาลที่ ๓ ทรงนำ�มาเลยี้ งดอู ยา่ งพระราชธดิ าของพระองค์เอง                       watratchanadda  ด้วยเหตนุ ี้จึงตง้ั ชือ่ วัดใหม่แหง่ น้ีวา่ ราชนดั ดาราม อันหมายถึง                                                  59  หลานของกษตั ริย์ นน่ั เอง       Wat Ratcha Natda was built in King Rama III’s era, located  behind Mahakan Fort, to honor the King’s granddaughter whom he  had raised.       โลหะปราสาท      โลหะปราสาทของวัดราชนดั ดานี้ ถือเป็นหนึ่งเดยี วใน  ประเทศไทย ทส่ี รา้ งข้ึนในสมัยรัชกาลท่ี ๓ ตามคติโลหะ  ปราสาทของลงั กาเพือ่ เปน็ สถานปฏบิ ตั ธิ รรมของพระสงฆ์  ผิดแผกจากขนบทว่ั ไปดว้ ยเรานิยมสรา้ งสถปู อย่างเชน่ เจดีย์  หรือพระปรางค์ เพอ่ื ประดษิ ฐานพระสารรี ิกธาตุ มากกวา่ ท่จี ะ  สร้างสถานปฏิบัตธิ รรมเพ่อื เปน็ ประธานของวัด       Loha Prasat, or Iron Stupa, was built in the reign of King  Rama III, following Sri Lankan traditions. It was meant to be a  place for monks to stay and meditate, but instead was used as  a stupa housing Buddha’s relics on the top floor. Even though its  name suggests, all 37 spires are made from copper, rather than  iron. There is a spiral staircase at the center of Loha Prasat,  connecting the six floors.       เร่ืองเล่าชาวเกาะ     วัดโสมนัส   เม่ือผลดั แผ่นดิน พระองคเ์ จา้ หญิงโสมนัส “ราชนัดดา” ของรัชกาลท่ี ๓  ไดท้ รงอภเิ ษกกับพระมหากษัตรยิ ์องค์ต่อไปคือรชั กาลที่ ๔ และไดส้ นิ้  พระชนม์หลงั ให้ก�ำ เนดิ พระโอรส ทำ�ให้รชั กาลท่ี ๔ ทรงโทมนัส จนใหส้ รา้ ง  วดั “โสมนสั ” ขนึ้ ทีน่ อกเมือง เลยี บคลองผดุงกรงุ เกษม เพ่อื เปน็ อนสุ รณ์  สมเดจ็ พระนางเจ้าโสมนสั วฒั นาวดี จงึ เป็นทม่ี าให้มกี ารสรา้ งวัดถึง ๒ วดั  คอื วัดราชนดั ดา (หลานรัก) ในสมยั รชั กาลท่ี ๓ และวดั โสมนัส (เมยี รกั )  ในสมยั รชั กาลท่ี ๔   อีกท้ังเน่อื งจากทรงก�ำ พรา้ พระบิดาแต่เดก็ ผู้ท่ีเลีย้ งดูพระองค์เจา้ โสมนสั  มาตอนทรงพระเยาว์ก็คือพระปติ จุ ฉา (ปา้ ) หรอื พระองค์เจ้าวลิ าส กรม  หมืน่ อปั สรสดุ าเทพ ซ่ึงเปน็ พระธดิ าองค์โตของรชั กาลที่ ๓ ผู้ซึง่ เปน็ ต้น  ก�ำ เนดิ ของวัด “เทพธิดาราม” ท่ีตัง้ อยู่เคียงกันนัน่ เอง
ยอดทงั้ หมดมี ๓๗ ยอด      ชัน้ ล่างมีด้านละ ๗ ยอด รวมเป็น ๒๔      ชั้นสองมีดา้ นละ ๔ รวมเป็น ๑๒      ชัน้ บนสดุ เป็นหลงั คาทรงจตรุ มุขยอดปราสาท มขี นาดใหญ่สดุ      รวมทัง้ หมดเป็น ๓๗ ยอด อันหมายถึงโพธิปกั ขิยธรรม ๓๗ ประการ      อันเป็นหลกั ธรรมน�ำ ทางสู่นพิ พาน มบี ันไดเวียนอย่ดู ้านใน      เป็นแกนกลางของอาคาร เพ่ือน�ำ ขึน้ ไปยังช้นั บน          ว่ากนั วา่ ตน้ เคา้ ของโลหะปราสาทมาจากศรีลงั กา โดยช่าง                     ถงึ แมจ้ ะสรา้ งเสร็จสมบรู ณแ์ ลว้ กต็ าม      ไดเ้ ดนิ ทางไปถึงกรุงอนุราธปุระเพ่อื ไปถอดแบบจากซากแล้วมา                   แต่โลหะปราสาท วดั ราชนดั ดา หนึ่งเดยี ว      ดดั แปลงให้มีลักษณะสถาปตั ยกรรมแบบไทยไมผ่ สมจนี เลย                         ในโลกน้ี กไ็ มเ่ คยใชเ้ ปน็ ที่ปฏิบัตขิ องภกิ ษุ      ถึงแม้จะเป็นพระราชนิยมในสมยั รัชกาลท่ี ๓ ก็ตาม โลหะ                         เลยสักคร้งั แถมยังเปลยี่ นสถานะไปเปน็      ปราสาทจงึ ไดก้ ่อสร้างขนึ้ พรอ้ มกับการสถาปนาวดั ใหม่ โดย                   สถานที่สกั การะบชู า เชน่ เดยี วกบั เจดยี ์      มีสมเดจ็ เจา้ พระยาบรมมหาพไิ ชยญาติเป็นแม่กองก�ำ กบั การ                    ตามคตินิยมของชาวไทยอีกดว้ ย เม่อื      สรา้ ง                                                                      มีการบรรจพุ ระบรมสารรี ิกธาตขุ ึ้นที่                                                                                  ปราสาทดา้ นบนสดุ ในปี ๒๕๓๘        แตเ่ น่ืองจากเปน็ โปรเจกต์ในชว่ งปลายรชั กาล จึงท�ำ ได้เพียง      แค่กอ่ ศลิ าแลงสลบั กับอิฐเทา่ น้นั ยงั ไมท่ นั ได้ฉาบปนู ด้วยซ�้ำ กส็ นิ้    พรอ้ มกันนี้ ในอีกปีตอ่ มา นาวาอากาศ      รชั กาลเสียแลว้ การก่อสรา้ งทั้งหมดจึงหยดุ ชะงกั ลง จนในสมัย                เอก อาวุธ เงนิ ชูกลน่ิ สถาปนิกจากกรม      รชั กาลท่ี ๕ จึงไดด้ �ำ เนนิ การต่อโดยก่อคหู าสรา้ งยอดเป็นปูน              ศลิ ปากร ยงั ได้ออกแบบยอดใหมใ่ หเ้ ปน็      แตก่ ย็ ังไมแ่ ล้วเสร็จสมบูรณ์ กระทัง่ มกี ารกอ่ สร้างขนานใหญข่ ึน้         โลหะอกี ดว้ ย เพ่ือให้สมกบั เป็นปราสาท      มาใหมใ่ นยุคปัจจบุ ัน คอื ตง้ั แตป่ ี ๒๕๐๖ จนถงึ ๒๕๒๕ เพอ่ื ให้             ยอดโลหะตามช่ือทเี่ รียก โดยยอดใหม่น้ี      แลว้ เสรจ็ ทันคราวสมโภชกรงุ รตั นโกสนิ ทร์ครบ ๒๐๐ ปี นี้เอง                 ทำ�จากโลหะและทองแดงรมดำ�ดเู ข้มขลัง                                                                                  ทรงพลังยิ่ง และเพ่งิ มาปิดทองวาววับ                                                                                  ในยคุ หลงั เมอื่ ราวปี ๒๕๕๕-๖๐ ทำ�ใหไ้ ด้                                                                                  ความรสู้ ึกทแ่ี ตกตา่ งออกไป                                                                                      หากลองเดนิ วนขน้ึ ไปยังช้นั บนสดุ                                                                                  บริหารบ้นั ทา้ ยกนั สกั นดิ อาจหน้ามดื                                                                                  สักหนอ่ ย แต่ได้เบริ ์นแคลอรห่ี ลกั รอ้ ย                                                                                  ไดช้ มววิ หลักลา้ นเลยนะจะบอกให้           เร่ืองเล่าชาวเกาะ        โลหะปราสาทในท�ำเนียบโลก      ตามรูปศัพท์ หมายถงึ ตึกท่มี ีเคร่ืองยอดเป็นโลหะ      มมี าตงั้ แต่ครัง้ พทุ ธกาลแลว้ ท่ีอินเดียกเ็ รียกว่า “โลหะปราสาท” เช่นกนั โดยสรา้ งขึ้นเพ่อื ใช้เปน็ สถานทป่ี ฏิบัติธรรมของสงฆ์      โลหะปราสาทหลงั แรกสร้างโดยนางวิสาขาแหง่ เมอื งสาวัตถี เป็นปราสาท ๒ ชั้น มพี นั หอ้ ง ยอดเปน็ ทองคำ�      หลงั ที่สองอย่ทู ่กี รุงอนรุ าธปุระ ในลังกา เปน็ ปราสาท ๙ ชั้น พันหอ้ ง หลังคาเปน็ แผ่นทองแดง ปจั จบุ นั เหลอื แต่ซากเสา      หลังท่ีสามลา่ สุด อย่ทู ว่ี ดั ราชนัดดา ยนื ตระหงา่ นสวยสงา่ เป็นฉากหลังให้กับลานมหาเจษฎาบดินทร์นัน่ เอง    60
ศิลปะลูกผสม      พระราชนิยม ในรัชกาลที่ ๓                        Hybrid Architecture       สถาปตั ยกรรมลูกผสมคร่ึงไทยครึง่ จนี อนั เป็นรปู แบบใหม่ทนี่ ิยมใน  สมัยรชั กาลที่ ๓ นัน้ ไดป้ ระยุกต์เอาเทคนคิ การก่อสรา้ งของจนี มาผสาน  เขา้ กับสถาปัตยกรรมแบบจารีตของไทย มีการนำ�งานก่ออิฐถือปนู มาใช้  กบั หน้าบนั แทนงานเครือ่ งไม้ (ช่างไทยถนัดงานไม้ ชา่ งจีนถนัดงานปนู )  แลว้ ปั้นลวดลายปนู หรอื ตกแตง่ ดว้ ยกระเบือ้ งถ้วยชามจีน แทนการแกะไม้  ปดิ ทองประดบั กระจก ทำ�ใหเ้ ครือ่ งไมอ้ ย่าง ชอ่ ฟา้ ใบระกา หางหงส์  ทีป่ ระดบั อยู่บนหลังคา จงึ แทนทด่ี ว้ ยงานปนู ซึ่งคงทนมากกวา่ ขณะท่ี  ผัง รูปทรง ขนาด และสดั ส่วน ยังคงเป็นแบบไทยอยู่ แตเ่ คร่ืองประดับ  เปน็ อยา่ งจีน เรยี กได้วา่ เบ้าหน้าเปน็ ไทย แต่ใส่เส้อื ผา้ แบบคนจนี นั่นเอง  ดงั จะเหน็ ไดช้ ดั ทวี่ ดั บวรนิเวศ B07 วัดเทพธิดาราม B08 และวดั มหรรณ-  พาราม ซึง่ แสดงอัตลักษณท์ ่ีบง่ บอกได้วา่ เปน็ งานทส่ี ร้างข้ึนมาในสมัย  รัชกาลที่ ๓       Thai architecture with Chinese style was popular in King  Rama III’s era. Such architecture used Chinese-style brick  and mortar construction, which was more durable, to replace  wooden gables. The gables were then decorated with Chinese  porcelain tiles. In summary, while the shape was Thai, the  decoration was Chinese.                                                                                                                                                                61
Cut & Paste                                             รกั แท้แพ้ปูนสอ          วธิ ีการประดับตกแต่งด้วยเครือ่ งถว้ ยหรอื                 ทำ�ลงไปเพราะขาดรกั ! ...นั่นคือทีม่ าของเทรนด์      กระเบื้องเคลอื บของจนี เรยี กวา่ “เจียงเหนยี ง”           ใหมใ่ นสมัยรชั กาลที่ ๓ 	      (剪粘 ziang niang) เป็นเทคนคิ ทีม่ าจากทางตอน      ใต้ของจนี แถบฮกเกยี้ นและแตจ้ ิ๋ว อันเป็นถ่นิ ทีอ่ ยู่      รัก...ในทนี ้คี อื ยางไมช้ นดิ หนึง่ ทนี่ �ำ มาใช้ทา      ของชาวจีนส่วนใหญ่ในประเทศไทย                              ถนอมผิวไม้ เพื่อเคลอื บใหไ้ ม้มคี วามคงทน สู้แดดสู้                                                                ฝน ไมผ่ กุ ร่อนพงั ไปโดยง่าย        คำ�วา่ “เจยี ง” หมายถึง การตัดกระเบอื้ งออก      เปน็ ชิ้นๆ และนำ�มา “เหนยี ง” คอื แปะบนปูน เพือ่            และรกั ยงั ทำ�หนา้ ทเ่ี ปน็ เสมอื นกาวในการยดึ วสั ดุ      ประกอบร่างเปน็ ลวดลายตา่ งๆ ตามต้องการ                    ตกแต่งอยา่ งทองคำ�เปลว หรือกระจกอีกดว้ ย          พูดงา่ ยๆ กค็ ือเทคนิค “ตัดแปะ” หรอื Cut &                เมอื่ หน้าบนั และเครอ่ื งลำ�ยองของพระอุโบสถและ      Paste นนั่ เอง                                            วหิ ารทงั้ หลายนัน้ ลว้ นท�ำ จากไม้ แกะสลักลวดลาย                                                                ลงรักปดิ ทอง ประดบั กระจก ดว้ ยกันท้ังสนิ้ ทำ�ให้        ในสถาปัตยกรรมจนี นิยมท�ำ การตดั แปะแบบน้ี               ยางรักเปน็ วตั ถุดิบทม่ี ีความต้องการสูงจากกรมช่าง      ในสว่ นของสนั หลงั คา และซมุ้ ประตูหน้าต่าง โดยมกั        ในราชส�ำ นักกรุงเทพฯ โดยเฉพาะในสมัยรัชกาลที่ ๓      ตัดแปะให้เป็นรูปเทพเจา้ หรอื เซยี นตา่ งๆ บา้ งเป็นรูป      ดอกไมม้ งคลกม็ ี                                            แตล่ ุ่มน้ำ�เจ้าพระยาไม่มตี น้ รัก ทำ�ให้ตอ้ งสง่ั ยาง                                                                รักน�ำ เข้า ร้อนถึงเมอื งเชยี งใหมท่ ต่ี ้องสง่ บรรณาการ         Porcelain tile decoration was a technique from         เปน็ ยางรักมาใหจ้ ำ�นวนมาก เนอื่ งจากราชส�ำ นัก      the South of China, known as Ziang Niang. The word        สยามตอ้ งการใชใ้ นปริมาณมหาศาลสำ�หรบั โครงการ      “zaing” means to cut the tiles into little pieces, while  ก่อสร้างวัดวาอารามและวังต่างๆ ทัว่ พระนคร      “niang” means to paste something on plaster. The      technique is to cut and paste shard work to form            การกอ่ หน้าบนั ดว้ ยอิฐและตกแต่งด้วยกระเบ้ือง      various patterns, and it was a popular method in King     เคลอื บ ปราศจากช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ จงึ เป็น      Rama III’s era.                                           เทคนิคทางการก่อสรา้ งท่ีชา่ งสมัยนนั้ คิดขน้ึ มา                                                                ใหม่ เพ่ือใชแ้ กป้ ญั หารกั ขาดแคลน และช่วยใหก้ าร                                                                ก่อสร้างสะดวกรวดเร็วมากย่งิ ขน้ึ                                                                     Lacquer is varnish resin derived from a tree,                                                                used to coat wood and as adhesive for gold leaves                                                                or mirror tiles, which were crucial to architecture in                                                                the era of King Rama III since many temples were                                                                constructed. Chinese-style brick and mortar construction                                                                was a solution to the shortage of lacquer at the time.    62
วดั บวรนิเวศวหิ าร B07                                              Wat Bowon Niwet was built by the                                                                     Front Palace of King Rama III. The King    เดิมชือ่ “วัดใหม่” หรือ “วัดวังหนา้ ” เพราะสรา้ งโดยสมเดจ็       invited his brother Prince Mongkut, who  พระบวรราชเจ้ามหาศกั ดิพลเสพ (วงั หนา้ ในสมยั รชั กาลที่ ๓)         was a monk at the time, to reside in this                                                                     temple, where he remained for 14 years    ตง้ั อยู่บริเวณชานพระนคร รมิ กำ�แพงเมอื งดา้ นเหนอื ดว้ ย        until he later became King Rama IV.  อาณาบริเวณทางด้านเหนือของพระนครน้ีถือวา่ อยูใ่ นเขต  ปกครองของกรมพระราชวังบวร                                           B 07 Wat Bowon Niwet                       D                                                                        248 Phra Sumen Rd.                      A    ครน้ั เม่อื พระบวรราชเจา้ มหาศักดิพลเสพสิ้นพระชนมล์ ง               8.00am-5.00pm                           T  ต�ำ แหนง่ วังหน้าจงึ วา่ ง รชั กาลท่ี ๓ ก็ทรงมไิ ด้สถาปนาใครขึ้น      02 629 4854 / 02 281 5052               A  มาแทน                                                                 www.watbowon.org                                                                        WatBovoranivesVihara                    63    แต่กลับอาราธนาพระอนชุ า คอื เจ้าฟา้ มงกุฏ ซ่ึงขณะนั้น  ทรงผนวชอยทู่ ว่ี ดั สมอราย (วดั ราชาธิวาส) ใหย้ า้ ยมาครองวัด  ใหมแ่ ห่งน้แี ทน พร้อมกับเปล่ียนชือ่ วัดเปน็ “วัดบวรนเิ วศวหิ าร”  ประกาศเปน็ นยั ให้รวู้ า่ อารามแห่งนเ้ี ปน็ วัดของบวรสถานวงั  หน้า คือ เจ้าฟ้ามงกุฏ และสงวนตำ�แหนง่ วงั หน้าไวใ้ ห้กับเจ้าฟ้า  มงกุฏทท่ี รงผนวชเปน็ พระภิกษอุ ยู่ จวบจนกระท่ังได้ขึ้นครอง  ราชยเ์ ปน็ กษตั รยิ ์องคต์ อ่ ไป คอื รัชกาลที่ ๔ นนั่ เอง
พระอโุ บสถ                                              หนา้ บันกอ่ อิฐถือปูน ประดับดว้ ยลายพานรองรบั                                                                 พระขรรค์ มมี หามงกุฎครอบ        พระอุโบสถวัดบวรนิเวศถือวา่ เป็นตัวอยา่ งของ      งานสถาปตั ยกรรมลกู ผสมในสมัยรัชกาลที่ ๓ ท่ี                   The Ordination Hall features a roof decorated      ตา่ งจากวดั อนื่ อยา่ งเดน่ ชดั กลา่ วคอื                  with Chinese tiles, while the gable was constructed                                                                 with brick and mortar, decorated with Chinese porce-        หลงั คาหน้าจัว่ ไม่มลี ดช้นั แต่แทนทจ่ี ะมงุ ด้วย        lain. Inside, there are two main Buddha statues, and      กระเบอ้ื งเคลือบตามอย่างวดั ไทยอนื่ ๆ กลับมงุ ดว้ ย        the walls feature famous mural paintings with Western      กระเบอื้ งรางแบบจนี                                        influence.          สว่ นหน้าบนั แทนท่ีจะเป็นเครือ่ งไม้ กเ็ ปน็ อยา่ ง                เร่ืองเล่าชาวเกาะ      จีน คอื กอ่ อฐิ ถอื ปูน ประดับดว้ ยลายพานรองรบั      พระขรรค์ มีมหามงกุฎครอบ (พระราชลัญจกรของ                                           เกง๋ จนี ในพระราชวังเดิมของ      เจา้ ฟา้ มงกฏุ ซง่ึ มาครองวดั นีก้ อ่ นขนึ้ ครองราชย์เป็น                         พระเจา้ ตาก ปัจจบุ นั อยภู่ ายใน      รัชกาลท่ี ๔)                                                                      กองบญั ชาการกองทัพเรือ ฝัง่                                                                                        ธนบุรี        จะสังเกตได้ว่าไมม่ ีเคร่ืองไมป้ ระดบั หลังคาอย่าง      ช่อฟา้ ใบระกา นาคสะดงุ้ หรอื หางหงส์ ปรากฏอยู่                                     มาดูกันสิว่า...หนา้ บนั ของเกง๋      เลย                                                                               จนี น้ี กบั หน้าบนั ของอโุ บสถวดั                                                                                        บวรนิเวศ คล้ายคลึงกันหรือไม่?        ส่วนคอสองระหว่างหลงั คาหน้าจั่วกับชายคา      ประดับดว้ ยกระเบ้ืองเคลอื บอยา่ งจนี เชน่ เดยี วกับ      วดั บวรสุทธาวาส B05 และพระทนี่ ่งั พทุ ไธสวรรย์      A06 ซ่งึ ล้วนต้ังอยใู่ นวังหนา้ และสรา้ งในสมยั รัชกาล      ท่ี ๓ ทงั้ สิน้    64
ดา้ นในมพี ระประธาน ๒ องคด์ ้วยกัน                                                               องค์ใหญท่ อี่ ยู่ด้านหลัง คือ หลวงพ่อโต (หรือ                                                             หลวงพอ่ เพชร) เปน็ พระสมัยอยธุ ยาทอ่ี ญั เชิญมา                                                             จากเพชรบรุ ี                                                               องค์นอ้ ยท่ีอยูด่ ้านหน้า คือ พระพุทธชินสหี ์ เปน็                                                             พระสมยั สโุ ขทัยจากวดั มหาธาตุ พิษณุโลก                                                               เคยสงสยั กนั บ้างม้ยั ว่า...เราเอาพระพทุ ธรปู                                                             ใหญ่ขนาดน้ีเข้ามาในพระอโุ บสถไดอ้ ย่างไร?                                                               อันที่จรงิ แลว้ ในการสร้างอโุ บสถ จะเร่ิมทกี่ าร                                                             สร้างฐานอาคารข้นึ มาก่อน จากนัน้ จงึ อัญเชิญ                                                             พระพทุ ธรปู ข้นึ ไปประดิษฐาน แล้วจึงก่อผนงั และ                                                             สรา้ งหลังคาคลมุ ในภายหลงั                                                               ตอนบนเหนอื หน้าต่างภายใน มภี าพจิตรกรรม                                                             ฝาผนังอนั เปน็ ปรศิ นาธรรมทมี่ ชี ื่อเสยี งมาก ด้วย                                                             เป็นฝมี อื ของขรวั อินโข่ง จติ รกรหวั ก้าวหนา้ ในสมัย                                                             นนั้ ท่ีได้นำ�เอาเทคนิคการวาดภาพแบบฝร่ังมาใช้                                                             โดยเฉพาะทัศนวทิ ยา หรือ Perspective กบั อาคาร                                                             ในภาพ ซ่งึ แสดงใหเ้ ห็นบา้ นเรือนแบบฝรั่งทคี่ าดว่า                                                             มกี ารก่อสรา้ งกนั มาบา้ งแลว้ ในสมัยนน้ั ด้วย    เสารบั มขุ ด้านหน้าเป็นเสาหิน  บานประตูไม้แกะสลัก  ออ่ นทรงเหลี่ยมเซาะร่อง        อยา่ งวจิ ติ รงดงาม  สลักเป็นลายหัวเสาอย่างฝรง่ั    ดว้ ยลายแกว้ ๗ ประการ                                 อนั ไดแ้ ก่ บัวแก้ว                                 วงั แก้ว นางแก้ว ขุนพลแกว้                                 ขนุ คลงั แกว้ จักรแกว้                                 และแก้วมณี คู่ควรแก่                                 พระจักรพรรดย์ิ ่ิงนัก                                                                                                                      65
พระเจดีย์                                                 The Pagoda is bell-shaped and decorated with gold                                                                mosaic tiles, which used to be a popular style in King        ท่ดี า้ นหลังของพระอโุ บสถ มเี จดยี ท์ รงระฆงั ต้งั     Rama IV’s era. The layout, which saw the ordination      อยู่ องค์พระเจดยี ์บุดว้ ยกระเบ้ืองโมเสกสที อง เช่น       hall placed at the front and the pagoda at the back,      เดียวกับพระศรีรตั นเจดยี ์ภายในวดั พระแกว้                was also a popular style in that era.          จะเหน็ ได้วา่ ตำ�แหน่งของพระเจดียแ์ ละพระ      อโุ บสถเป็นรูปแบบการวางผงั ในสมัยรัชกาลที่ ๔      ทมี่ ักมเี จดยี ์เปน็ ประธานของวัด และมีพระอุโบสถ      อย่ดู า้ นหนา้ ซ่ึงจะพบได้ทว่ี ัดราชประดิษฐ์ B09 อกี      แหง่ เนอื่ งจากเปน็ สถาปตั ยกรรมท่กี อ่ สรา้ งขน้ึ ในยคุ      เดยี วกนั          หากได้เดินขน้ึ ไปบนลานประทักษิณรอบพระเจดยี ์      ลอดซุ้มเข้าไปสู่คูหาภายในเพ่ือนมสั การพระบรม      สารรี ิกธาตุ แล้วละ่ ก็ ลองสังเกตดทู เ่ี หนือซ้มุ ประจำ�      ทศิ จะมรี ูปสัตว์ยืนอยู่ ๔ ตัว เป็นสัญลักษณ์แทนดิน      แดนท่ีรายรอบราชอาณาจักรสยามในขณะนัน้ ไดแ้ ก่          ม้า แทน ฝร่ังเศส        นก แทน อเมริกา        ชา้ ง แทน ลา้ นช้าง (หรอื ลาว)        สิงห์ แทน สหราชอาณาจักร    66
วัดเทพธดิ าราม B08                                                    Wat Thepthidaram was constructed                                                                       using King Rama III’s favorite style at the    วดั น่ารักทีค่ นมกั มองข้าม...ดว้ ยวา่ วัดเทพธิดาราม เป็นวดั       time. It was built in honor of the King’s  เล็กๆ ตงั้ เคียงกบั วัดราชนัดดาที่มโี ลหะปราสาทเป็นจุดหมายตา         first daughter, so the temple was decorated  ส�ำ คญั ท�ำ ใหน้ ักท่องเท่ียวมกั ขา้ มคลองไปชมวัดขา้ งๆ กนั เสยี     with feminine elements, such as swans  มากกว่า                                                              on the roof gable of the ordination hall,                                                                       sculptures of Buddhist nuns inside the    ทวา่ วดั เล็กๆ แหง่ น้ี อนั ทีจ่ รงิ แล้วไม่อาจพลาดชมได้เลย        vihara, and stone statues of women.  แม้แตน่ ้อย      ดว้ ยท่ีมาของช่อื วัดว่า “เทพธิดาราม” นน้ั มาจากรชั กาลที่ ๓  ไดส้ ร้างวัดนีเ้ พอ่ื ประทานใหก้ ับพระเจ้าลูกเธอ พระองคเ์ จา้ วิลาส  กรมหมนื่ อัปสรสุดาเทพ พระราชธดิ าองคโ์ ตองคโ์ ปรดนัน่ เอง      รายละเอยี ดขององค์ประกอบตา่ งๆ จึงมีความงดงามในรูป  แบบเฉพาะตวั       อุโบสถ      อุโบสถวดั เทพธิดาเป็นอกี แหง่ หนง่ึ ที่แสดงศลิ ปะพระราช  นิยมในสมัยรชั กาลที่ ๓ ได้อย่างชัดเจน      หน้าบันก่ออฐิ ถือปนู แบบจนี ไม่มชี ่อฟ้า ใบระกา หางหงส์  แตป่ ระดับดว้ ยกระเบอื้ งเคลอื บรูปหงสค์ ู่      หลังคามงุ กระเบอื้ งสแี บบไทย มีเสาพาไลเหลีย่ มรบั ชายคา  และมรี ะเบยี งโดยรอบ      แตไ่ มม่ คี อสองประดบั กระเบ้ืองเคลือบ อยา่ งเช่นวัด  บวรนิเวศ B07 และวัดบวรสทุ ธาวาส B05                                                                         B 08 Wat Thepthidaram                        D                                                                          70 Maha Chai Rd.                          A                                                                          8.00am-5.00pm                             T                                                                          02 621 1178                               A                                                                          www.watthepthidaramqr.com/web/index.php                                                                                                                    67
เร่ืองเล่าชาวเกาะ        บ้านแต้จว๋ิ โบราณ ทางตอนใต้                                     วัดสายหวาน      ของจีน เปน็ หมู่ตึกลอ้ มรอบ                                  ดว้ ยเปน็ วดั ทสี่ รา้ งข้นึ เพ่อื ลูกสาว ทำ�ให้มีองค์      คอรต์ เล็กๆ ภายใน                                           ประกอบทแ่ี สดงความเป็นหญงิ ให้เราไดช้ มกัน                                                                   หน้าบนั ประดับกระเบื้องเคลอื บรูปหงสค์ ู่                                                                  ซึง่ หงสใ์ นคติความเชอ่ื แบบจีนนนั้ ถอื เปน็                                                                  สญั ลักษณแ์ ทนฮองเฮา หรือสตรีผสู้ ูงศกั ด์ิ จงึ                                                                  หมายถงึ พระองค์เจา้ วิลาส กรมหมน่ื อปั สรสดุ า                                                                  เทพ นน่ั เอง                                                                   ภายในพระวิหาร มีรูปหล่อภิกษณุ ีจำ�นวน                                                                  ๕๒ องค์ แต่ละองค์มีกรยิ าทา่ ทางแตกต่างกนั                                                                  ประดิษฐานอยู่เบ้อื งหนา้ พระประธาน           กฏุ ติ กึ แบบจนี                                                     มมุ ตา่ งๆ ภายในวัดประดับตกแตง่ ดว้ ยตกุ๊ ตา                                                                            อับเฉา แกะสลกั จากหิน ซง่ึ ในนั้นจำ�นวนหนงึ่ จะ        แต่เดมิ วดั ในสยามจะสรา้ งกุฏิแบบไทยกัน คอื                         เป็นตุ๊กตาอาหมวยในชดุ คอสตมู แบบจนี และไทย      เป็นหมู่เรือนไทยเครอ่ื งไม้ ใตถ้ นุ สงู                               รวมอยูด่ ว้ ย                                                                   หงษ์คู่มังกร        แต่หมกู่ ุฏิดา้ นหลงั ของวดั เทพธิดารามนี้ เป็น            หน้าบนั พระอุโบสถวัดเทพธดิ ารามประดับดว้ ยกระเบื้อง      สถาปตั ยกรรมท่ีไดร้ บั อิทธพิ ลจากจีนในสมัยรชั กาล          เคลอื บรปู “หงส์” คู่ อนั เป็นสญั ลกั ษณ์แทนเจ้านายสตรี      ท่ี ๓ จงึ ได้เปลย่ี นจากกฏุ ไิ ม้มาเป็นกุฏิตึก เราจึง        ขณะเดียวกนั ท่อี ีกวดั หนึ่ง ก็มหี นา้ บนั เปน็ ลกู ผสมไทยจีน      ได้เห็นหมู่กฏุ เิ ปน็ อาคารกอ่ อฐิ ถือปูน ยกพ้นื สงู มี     ตามสไตล์รชั กาลท่ี ๓ ดว้ ยเช่นกัน แตห่ น้าบนั เป็นรปู “มังกร”      หลังคาเครื่องไม้แบบไทย และมี “คอร์ต” หรือลาน                อนั หมายถงึ บุรุษ ซึ่งกค็ อื พระองค์เจา้ อรรณพ ผ้สู รา้ งวดั      โลง่ เล็กๆ ที่ดา้ นใน                                       “มหรรณพาราม” ขึน้ มาน่ันเอง                                                                   หากไดช้ มหนา้ บนั รปู หงสท์ ี่วดั เทพธดิ าแล้ว ก็อย่าลมื ไปดู        รปู แบบกุฏิตึกดังกลา่ วจะพบเห็นได้ตามหมกู่ ฎุ ิ           หนา้ บนั รูปมังกรและนมัสการหลวงพ่อพระร่วงทองค�ำ อนั      ของวัดโพธ์ิ วัดสุทศั น์ วดั มหาธาตุ และวดั เทพธิดา          เปน็ ท่ีนับถอื ของผู้คนในยา่ นเสาชงิ ช้า ที่วัดมหรรณพ บนถนน      รามแหง่ น้ี ทง้ั หมดลว้ นเปน็ หมตู่ กึ ทไ่ี ดร้ ับอทิ ธิพล  ตะนาว เย้ืองศาลเจ้าพ่อเสอื กันด้วยนะ      การก่อสร้างแบบจนี และสร้างข้นึ ในสมัยรชั กาลที่      ๓ ทง้ั สิน้          ที่ส�ำ คัญสนุ ทรภู่ กวเี อกแห่งกรุงรตั นโกสินทร์      เคยจ�ำ พรรษาอยทู่ ่ีวดั เทพธดิ านี้ดว้ ย ปัจจบุ นั ทาง      วัดไดอ้ นุรักษก์ ฏุ สิ ุนทรภู่ (คณะ ๗) ไวเ้ ปน็ อยา่ งดี      พรอ้ มกบั จดั ทำ�เปน็ พพิ ิธภัณฑ์ขนาดย่อมเรียกว่า      “วรรณศลิ ป์สโมสร” อกี ด้วย           Chinese-style brick and mortar monas-                    หนา้ บนั รูปหงส์                     หน้าบันรูปมงั กร      teries. Traditionally, monks’ living quarters      were wooden structures on stilts, but      here, due to the Chinese influence, they      were made of brick and mortar, with Thai-      style wooden roofing and a small inner      courtyard.    68
วัดโฉมใหม่ ในรัชกาลที่ ๔       New Style of Temples in King Rama IV’s Era       ในสมัยรชั กาลที่ ๔ พระราชนิยมในการก่อสร้างวัดไดแ้ ปรเปลย่ี นไป  ด้วยโปรดใหส้ ร้างเจดยี ์ทรงระฆงั อยู่ตรงกลางเปน็ ประธานของวดั มพี ระ  วิหารหรอื พระอุโบสถอย่ดู ้านหน้า ท�ำ ให้วดั ท่สี รา้ งข้นึ ในรัชสมัยนี้ ล้วน  มแี บบแผนตามขนบใหม่เช่นเดยี วกนั ท้ังหมด อยา่ งวัดราชประดิษฐ์ B09  วัดโสมนสั หรือวัดมกุฏกษตั ริยาราม       The royal traditions for temple architecture changed in the  reign of King Rama IV. He preferred a bell-shaped pagoda at  the center of the temple, and the ordination hall was placed at  the front.    เจดีย์วัดราชประดษิ ฐ	์ 	  เจดยี ว์ ดั โสมนสั  เจดียว์ ัดมกฏุ กษัตรยิ าราม         เร่ืองเล่าชาวเกาะ     วัดในรัชกาลที่ ๔ เจดีย์เป็นใหญ่   วัดในสมยั รัชกาลท่ี ๔ มักใหค้ วามส�ำ คญั กบั เจดีย์ โดยมีวหิ ารอย่ดู ้านหน้า (วิหารมกั สรา้ งให้  มีขนาดใหญ่กว่าพระอโุ บสถ) ซ่ึงเป็นการวางผงั ท่คี ล้ายกบั สมัยอยธุ ยาตอนตน้ ทีม่ ปี รางคเ์ ป็น  ประธานของวดั ล้อมรอบดว้ ยระเบยี งคต ด้านหน้าเปน็ พระวิหาร ส่วนดา้ นหลังเปน็ พระอโุ บสถ  อนั เปน็ คติทร่ี ับมาจากแผนผังของปราสาทหนิ แบบขอมทจ่ี �ำ ลองสัณฐานจักรวาลมาอีกที   แต่ดว้ ยรัชกาลท่ี ๔ ทรงโปรดเจดีย์มากกว่าปรางค์ จึงใหส้ ร้างเจดยี ์เปน็ ประธานของวดั แทน  อยา่ งวดั มกฏุ กษตั รยิ าราม และวัดโสมนสั กม็ ีเจดยี เ์ ป็นใหญ่เชน่ กนั                                                                                                       69
Supanut Arunoprayote                                                                เสมาของวัดราชประดษิ ฐเ์ ป็นเสา                                                                                  สมี าหิน เรียกกันว่า มหาสมี า ฝังไว้        วัดราชประดษิ ฐ์ B09                                                       ล้อมรอบทั้งบรเิ วณวดั ท�ำ ใหส้ ามารถทำ�                                                                                  สงั ฆกรรมทจี่ ดุ ใดกไ็ ดใ้ นเขตวดั โดยไม่        เปน็ วดั ไซสม์ ินิที่มรี ายละเอยี ดน่าค้นหา แต่ไฉน                        จำ�เปน็ ตอ้ งประกอบพธิ ีเฉพาะแตใ่ นพระ      เลยคนทวั่ ไปกลับไมน่ ิยม ซำ้�รา้ ยบางคนยังไม่รจู้ กั อกี                    อุโบสถเท่านัน้ ถอื วา่ เปน็ ปรากฏการณ์      ตา่ งหาก                                                                    ใหมใ่ นเวลานั้นเลยทีเดยี ว                                                                   วิหารหลวง        น่ันอาจเปน็ เพราะวัดราชประดษิ ฐ์น้นั แทรกตัวอยู่      อย่างสงบ ทดี่ า้ นหลังสวนสราญรมย์ และท�ำ เนยี บ             วิหารหลวงหนั หนา้ ไปทางทิศเหนอื และใช้เปน็      องคมนตรี                                                  พระอุโบสถของวัดไปด้วย          มาดูกนั สิวา่ ...วดั ที่วา่ จวิ๋ น้ี จะแจ่มขนาดไหน        ทีห่ น้าบนั เป็นปูนป้นั ปิดทองประดบั กระจกรูป        วัดราชประดิษฐเ์ ป็นวัดสรา้ งใหม่ในปลายรชั กาล           พระมหาพิชัยมงกุฎบนพานแว่นฟา้ อนั เป็นพระบรม      ท่ี ๔ เพอ่ื เป็นวัดประจ�ำ รชั กาล และท�ำ ใหร้ าชธานี      ราชอิสริยยศของพระมหากษัตรยิ ์      มวี ดั ส�ำ คญั ครบทั้ง ๓ วดั ตามราชประเพณีโบราณ      ดงั เชน่ กรุงศรีอยุธยา คอื วดั มหาธาตุ วัดราชบูรณะ          หลังคามงุ ดว้ ยกระเบอ้ื งกาบอู ยา่ งในสมยั อยุธยา      และวดั ราชประดษิ ฐ์                                         จะเหน็ ไดว้ า่ ทด่ี า้ นสกดั (ด้านหน้า และด้านหลงั )        และท่ีดินท่ีใชส้ ร้างวัดน้นั ก็คอื สวนกาแฟหลวง          ของพระวหิ าร ไมม่ ีชายคาโดยรอบอยา่ งพระอุโบสถ      นนั่ เอง                                                  ในสมยั รชั กาลท่ี ๓ แลว้                                                                  ส่วนเสาพาไลดา้ นขา้ งกเ็ ปน็ เสากลม ประดบั         Wat Ratcha Pradit is a tiny temple situated behind     หวั เสาอย่างสวยงาม ต่างจากพระราชนิยมในสมยั      Saranrom Park. It was built in King Rama IV’s era as      รัชกาลที่ ๓ อกี เช่นกัน      the symbolic temple of his reign. Originally, the area       นอกจากนีแ้ ล้วไมน่ า่ เชอื่ วา่ วัดเลก็ ๆ แหง่ น้จี ะมี      used to be a royal coffee farm.                           ความพิเศษที่เรียกไดว้ ่า Unseen อยา่ งยงิ่ ในสมยั นนั้                                                                คอื ผนังวหิ ารปูด้วยหนิ อ่อนสลบั สี ซ่งึ เป็นวสั ดุชนิด         The Vihara serves as the ordination hall. Its roof     ใหมจ่ ากอิตาลี      gable is decorated with gold and the Great Crown      of Victory, which was King Rama IV’s emblem. It was             เรื่องเล่าชาวเกาะ      built of Italian marble, which was a novel material at      the time.                                                     สวนกาแฟหลวง                                                                  กาแฟ หรอื ทีช่ าวสยามสมยั ก่อนเรยี กกันวา่ “ขา้ วแฝ่” น้นั  D B 09 Wat Ratcha Pradit                                      เปน็ ทน่ี ยิ มในบ้านเรามาช้านานแลว้  A 2 Saranrom Rd.                                                สมยั รชั กาลท่ี ๓ ทรงโปรดปรานกาแฟมาก ถงึ ขนาดใหม้ กี าร  T                     9.00am-6.00pm                           ปลูกสวนกาแฟหลวง ในทีแ่ ปลงเล็กๆ ข้างกับตกึ ดนิ (อาคารท่ี  A                     02 622 2076                             ไว้เก็บดินปืน เดิมตง้ั อยู่ริมถนนสนามไชย บรเิ วณด้านหนา้ พระ                        Watrajapradit                           ทนี่ ่ังสุทไธศวรรยป์ ราสาท ปจั จุบนั คือบรเิ วณพระราชวังสราญ  70                                                            รมย์นั่นเอง) เพอ่ื เกบ็ ผลผลติ มาใชใ้ นราชสำ�นกั                                                                  ดว้ ยวา่ ของมนั ต้องมี! กาแฟถือเป็นเคร่อื งดมื่ ทเี่ กไ๋ ก๋                                                                ไฮโซอย่ใู นสมัยนัน้ แถวฝ่ังธนบุรีเลยไม่ยอมนอ้ ยหน้า                                                                สมเดจ็ เจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์ (ดิศ บนุ นาค) จงึ มี                                                                สวนกาแฟด้วยเชน่ กัน กอ่ นทจี่ ะยกสวนน้นั สร้างเป็นวัดประยรู                                                                วงศาวาสในเวลาต่อมา
ภาพเสดจ็ ฯ ทอดพระเนตร                                           สรุ ยิ ุปราคาทีต่ �ำ บลหวา้ กอ                                                                               ภายในวิหารบริเวณด้านหลงั บาน                                                                           ประตูหน้าตา่ ง ยงั เปน็ งานประดับมกุ                                                                           เขยี นสแี บบญ่ปี นุ่ ท่เี รียกวา่ งาน                                                                           “กำ�มะลอ” ของนอกที่ผลิตจากเมอื ง                                                                           นางาซากิ เพื่อการสง่ ออกโดยเฉพาะ                                                                               ท่สี ำ�คญั ยังมีจติ รกรรมฝาผนังภายใน                                                                           เป็นภาพเสด็จทอดพระเนตรสุรยิ ุปราคา                                                                           ที่ตำ�บลหว้ากอ เมื่อปี ๒๔๑๑ ด้วย แต่                                                                           วาดใหเ้ ปน็ บรเิ วณด้านหน้าของพระท่ีนั่ง                                                                           อมรนิ ทรวินิจฉยั แทน                                                                               หาเจอกันมยั้ ?                                                                                Inside the vihara, the door panels are                                                                           decorated with Japanese-style mother-of-                                                                           pearl inlays crafted in Nagasaki. On one                                                                           of the walls, there is a mural depicting                                                                           King Rama IV watching the solar eclipse                                                                           in 1868.    การวางผงั วดั ในสมัยรชั กาลที่ ๔                                           ปาสาณเจดีย์  วหิ ารจะสร้างอยดู่ ้านหน้าพระเจดียท์ รง  ระฆงั คือเปน็ เอกลกั ษณ์ประจ�ำ รัชกาล                                      สำ�หรับพระเจดียว์ ดั ราชประดษิ ฐ์                                                                           น้ี บดุ ว้ ยหนิ ออ่ นเชน่ เดยี วกบั พระวหิ าร                                                                           หลวงทอ่ี ยู่ทางดา้ นหน้า เป็นเจดยี ท์ รง                                                                           ระฆัง อนั เป็นพระราชนยิ มในสมยั รชั กาล                                                                           ที่ ๔ ดงั จะเหน็ ไดจ้ าก พระศรรี ัตนเจดยี ์                                                                           (เจดีย์โมเสกทอง) ในวดั พระแกว้ หน่ึง                                                                           และพระเจดียป์ ระธานหลังพระอุโบสถ                                                                           วดั บวรนเิ วศ อีกหนึ่ง ...กเ็ ปน็ ทรงระฆงั                                                                           แบบน้ีเชน่ กัน น่นั กเ็ พราะล้วนสร้างขึ้นใน                                                                           สมัยคิงมงกฎุ ด้วยกันทงั้ สนิ้                                                                                A bell-shaped pagoda decorated with                                                                           marble, built behind the main vihara,                                                                           following King Rama IV’s favorite style.                                                                                                                                                 71
วัดไทยสไตล์ฝร่ัง                             Western-style Thai Temples           ล่วงถงึ รัชกาลที่ ๕ พืน้ ทภ่ี ายในเกาะเมืองพระนครคับคงั่ ไปด้วยวดั นอ้ ยใหญท่ ี่ปลกู      สรา้ งกันเรือ่ ยมาต้ังแตต่ ้นกรุงรตั นโกสนิ ทร์           ท�ำ ให้ในรชั สมยั พระพุทธเจา้ หลวง จงึ มีวดั ท่ีทรงสร้างอยูเ่ พียง ๒ แห่งเท่านั้น คือ      วัดราชบพิธ เมอื่ แรกขนึ้ ครองราชย์ เพื่อใหเ้ ป็นวัดประจำ�รัชกาล และวดั เบญจมบพธิ      ในช่วงปลายรัชกาล ที่ตงั้ อยู่บริเวณชานเมอื งแถบพระราชวงั ดุสิต           ดว้ ยเปน็ ยคุ ทีว่ ัฒนธรรมจากโลกตะวนั ตกไดแ้ พรห่ ลายเขา้ มาสสู่ ยาม จงึ ไมแ่ ปลกใจ      เลย หากวัดไทยจะได้รับอิทธพิ ลจากสถาปตั ยกรรมแบบฝรงั่ กบั เขาดว้ ย           Western-style Thai Temples began in the reign of King Rama V during      which period Western influences started to arrive in Siam. It is not a surprise      that Thai temples were also influenced by Western architecture.           Wat Ratcha Bophit was constructed in the early years of King      วดั ราชบพิธ B10      Rama V’s reign as the symbolic temple of his reign. The temple      has a perfect layout, with a pagoda at the center, enclosed in a     เพชรเมด็ งามของวัดหลวงในเกาะ      circular cloister, similar to that in the temple of King Rama IV.  รัตนโกสินทร์ ทสี่ ร้างขนึ้ สมัยตน้ รัชกาลท่ี                                                                         ๕ เพ่อื สถาปนาให้เปน็ พระอารามหลวง  D B 10 Wat Ratchabophit                                                ประจำ�รชั กาล ในยคุ ทีส่ ถาปัตยกรรม  A Fueang Nakhon Rd.                                                    แบบตะวนั ตกเรม่ิ รุกคืบเขา้ มายงั แผ่นดิน  T   6.00am-6.00pm                                                      สยาม  A   02 222 3930      WatRajabopit2412                                                     แผนผงั ของวดั ราชบพธิ ถอื วา่ มีความ  72                                                                     นา่ สนใจ เนื่องจากส่ิงกอ่ สรา้ งส�ำ คญั ลว้ น                                                                         ตงั้ อยู่บนฐานไพทเี ดียวกนั ท้งั หมด                                                                             โดยมีเจดยี ์ทรงระฆังเปน็ ประธาน                                                                         ของวัด ล้อมรอบดว้ ยพระระเบยี งกลม                                                                         มลี านประทักษิณวนรอบเจดยี ์ และมี                                                                         อาคารประจำ�ท้ังสท่ี ศิ ด้านหนา้ เป็นพระ                                                                         อุโบสถ ดา้ นหลงั เป็นพระวิหาร และดา้ น                                                                         ขา้ งเป็นพระวหิ ารทศิ                                                                             ซงึ่ เป็นแบบแผนเดยี วกันกับวดั ที่                                                                         สรา้ งในสมัยรัชกาลที่ ๔ อันมเี จดียเ์ ปน็                                                                         ประธาน และมอี โุ บสถอยเู่ บอื้ งหนา้
พระอโุ บสถ                                               พระเจดยี ์      ส�ำ หรบั พระอุโบสถน้นั เป็นรูปแบบมาตรฐาน                 พระเจดยี ์เปน็ ทรงระฆัง เชน่ เดยี วกับเจดยี ท์ ่ี  สำ�หรบั วดั กษัตริย์สร้าง กลา่ วคือ หลังคาซอ้ นชนั้ ๒    สร้างในสมัยรชั กาลที่ ๔ อยา่ งพระศรรี ัตนเจดยี ์ ใน  ช้ัน มเี ครอื่ งลำ�ยองประดับ หนา้ บนั เคร่ืองไม้แกะสลัก  วัดพระแก้ว, เจดียว์ ัดบวรนเิ วศ, หรือปาสาณเจดยี ์  ลงรกั ปดิ ทองประดบั กระจก เป็นรูปสลักพระนารายณ์          ของวัดราชประดิษฐ์ แต่เจดยี ข์ องวัดราชบพธิ ปดู ว้ ย  ทรงครฑุ และพระราชลัญจกรของรชั กาลท่ี ๕                   กระเบอื้ งเบญจรงค์ แทนท่ีจะเป็นกระเบ้ืองโมเสกสี                                                           ทองหรอื หนิ อ่อนอย่างวดั อื่นๆ    บานประตปู ระดับมุกที่ด้านหน้าพระอโุ บสถ ลวด  ลายเครื่องราชอสิ รยิ าภรณ์ ไดร้ บั การยกย่องใหเ้ ป็น       สว่ นระเบยี งคตทล่ี ้อมรอบเจดยี ก์ ไ็ มไ่ ด้มผี ังเปน็  หน่งึ ในงานประดบั มกุ ช้ินเย่ยี ม                        รปู สเี่ หลยี่ มหรือคดดงั ช่ือ เพราะเปน็ ระเบียงกลม                                                           ลอ้ ไปกบั ฐานพระเจดยี ์ ชว่ ยในการรน่ ระยะทางและ    เดิมทเี ปน็ ประตหู นา้ ตา่ งของปราสาทพระเทพ            เวลาในการเดินประทักษณิ รอบเจดยี ไ์ ด้  บิดรในวดั พระแก้วมากอ่ น แตเ่ กิดเหตุเพลงิ ไหม้ จึง  ชะลอมาตดิ ต้ังท่ีวดั ราชบพิธแทน                             The Bell-shaped Pagoda is decked with painted                                                           porcelain tiles custom-made from China, depicting    หากสังเกตดใู หด้ จี ะเหน็ ความปราณีตในการฉลุ           Chinese-looking divine gods.  เปลือกหอยมุกออกมาเป็นลวดลายอนั สดุ แสนจะ  ละเอียดบอบบาง สมกับเปน็ งานฝมี ือของสำ�นกั กรม  หมนื่ ทวิ ากรวงศ์ประวัติ เจา้ กรมชา่ งมกุ ในสมัยนน้ั      นอกจากนแี้ ลว้ ความโดดเดน่ อกี อย่างหน่งึ ของ  วัดราชบพิธ ทที่ ำ�ใหม้ งลงต�ำ แหนง่ ขวัญใจช่างภาพ  ก็คอื กระเบือ้ งเบญจรงคล์ ายเทพนมทป่ี ระดับผนัง  และเสาโดยรอบพระอุโบสถและพระระเบยี ง      กระเบ้ืองเบญจรงคเ์ หลา่ น้ีสั่งผลติ เปน็ การเฉพาะ  จากเมืองจนี ด้วยการสง่ ลวดลายไปใหช้ า่ งชาวจนี  วาด ฉะน้นั หากมองดดู ีๆ จะเหน็ เทพนมตี๋น้อยตาต่ี  มุง้ มิง้ ไปอกี แบบ      และเชน่ เดยี วกับวดั ราชประดิษฐ์ ท่ีก�ำ แพงวัดราช  บพธิ กม็ ีการประดบั มหาสมี า เพ่ือใชบ้ อกอาณาเขต  ของพระอาราม (ปกติจะตั้งสมี าท่รี อบพระอโุ บสถ  เทา่ นัน้ ) การทำ�สงั ฆกรรมจงึ ไมจ่ ำ�เป็นตอ้ งกระทำ�  ภายในพระอโุ บสถเพียงแห่งเดยี ว หากแตส่ ามารถ  ทำ� ณ จุดใดก็ไดภ้ ายในบรเิ วณวัด       The Ordination Hall’s gable decoration shows Narai  on Garuda and King Rama V’s royal emblem. The door  panels are exquisitely decorated, formerly located in  Wat Phra Kaeo in the Grand Palace. After a fire, they  were relocated to this temple.                                                                                                                       73
เหน็ เป็นวดั ทีม่ สี ถาปัตยกรรมแบบไทยจารตี ท้ังใบระกาและ             สว่ นผนังดา้ นบนเหนือหน้าตา่ ง   ชอ่ ฟ้าชะเอิงเอยขนาดน้ี แต่ภายในกลับตกแต่งอยา่ งฝร่ังจ๋าเลย           ประดับดว้ ยลวดลายดอกไมร้ ่วงอยา่ ง   นะจ๊ะจะบอกให้ อนั นี้ถือเปน็ ไฮไลท์ของวัดราชบพิธอกี อยา่ งเลย         ฝร่ังบนพื้นสีเขยี ว แตเ่ ดมิ บริเวณนี้เคย   ก็ว่าได้                                                              เป็นภาพจติ รกรรมพทุ ธประวตั ิ แตล่ บ                                                                         ออกไปเมอื่ คราวปฏิสังขรณใ์ หญ่ในสมัย      ดูเผินๆ อาจลืมตัวนึกว่าอย่ใู นโบสถ์ครสิ ต์แบบฝรัง่ ท่มี ี          รัชกาลท่ี ๗   หลังคาทรงสงู ฝ้าเพดานโค้งอยา่ งศลิ ปะโกธคิ ปดิ ทองเขม้ ขลัง   สุดอลงั การ                                                             ส�ำ หรับพระวิหารนน้ั ใช้เป็นหอไตร                                                                         เกบ็ พระไตรปิฎก มขี นาดและลกั ษณะ      ท่ีผนังระหว่างชอ่ งหนา้ ต่างลองสงั เกตดู จะเหน็ การตกแต่ง          สถาปัตยกรรมเชน่ เดียวกับพระอุโบสถ   ในชอ่ งตรงกลางดว้ ยรปู อณุ าโลม (ลกั ษณะคลา้ ยเลข ๙) สลับ             ภายในกต็ กแต่งแบบฝร่ังเชน่ กัน แต่เปน็   กับอักษร “จ” (จฬุ าลงกรณ)์ ทชี่ อ่ งถัดไป เป็นเช่นน้วี นโดยรอบ        สีชมพู เนื่องจากเปน็ สปี ระจำ�วนั พระราช   พระอุโบสถ                                                             สมภพของรชั กาลท่ี ๕ น่ันเอง        นัน่ คือลวดลายทอี่ อกแบบโดยกรมพระยานรศิ รานวุ ดั ติวงศ์   นายชา่ งหลวงชา่ งใหญแ่ หง่ รัชสมยั พระพทุ ธเจ้าหลวง        ทับหลงั เหนอื ช่องหน้าตา่ ง ก็เป็นลวดลายอยา่ งฝรง่ั หาก   สังเกตให้ดจี ะมลี ายเทพนมคั่นอย่ทู ่ีปลายของแตล่ ะช่อง และ   ทต่ี รงกลางของบางช่องจะประดับพระปรมาภไิ ธยย่อ “จปร”   เอาไวด้ ้วย        เหนอื ข้นึ ไปเป็นบวั ตกแตง่ รองรับฐานเสา ประดบั ลวดลาย   เครอื เถาอยา่ งฝรั่ง และมีหัวชา้ งอยูใ่ ต้ฐานของเสาทุกตน้        ทั้งหมดนลี้ ว้ นเป็นรายละเอยี ดการตกแต่งแบบไทยที่   สอดแทรกไวใ้ นสถาปตั ยกรรมแบบตะวันตกไดอ้ ย่างกลมกลืน         The interior of the ordination hall features a Gothic style with    Thai elements, such as gilded elephants’ heads on its friezes.    74
B01 ศาลาการเปรยี ญวดั โพธิ์  B02 วัดพระแก้ววังหลวง  B03 วัดสทุ ศั นเทพวราราม  B04 วัดพระเชตพุ น  B05 วัดพระแก้ววังหน้า  B06 วดั ราชนดั ดา  B07 วดั บวรนิเวศวหิ าร  B08 วดั เทพธดิ าราม  B09 วัดราชประดษิ ฐ์  B10 วัดราชบพิธ
สยามใหม่่ ศิิวิิไลซ์์สายฝรั่่�ง                                 Siam under Westernization              ครนั้ ถงึ รัชกาลท่ี ๔ แหง่ กรุงรัตนโกสนิ ทร์ มหาอำ�นาจจากดินแดนฝ่ังตะวันตกทยอย        ตบเท้าเขา้ มาเจรญิ สมั พันธไมตรีกบั ราชอาณาจักรทางฝ่งั ตะวนั ออกไกลเชน่ เรา              สยามท่ชี าวพระนครเหน็ และเปน็ อยกู่ ็พบกับความเปล่ียนแปลงครั้งใหญ่            การเปดิ การค้าเสรกี บั ฝรง่ั ทำ�ใหเ้ ราได้เรยี นรวู้ ทิ ยาการแปลกใหมข่ องอกี ซีกโลกหนง่ึ        เราเร่ิมสนใจในวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยีท่นี �ำ มาซงึ่ ความเจริญกา้ วหนา้            ทุกอย่างเป็นของใหมส่ ำ�หรบั ชาวสยาม อยา่ งเช่นนาฬิกา ไปจนถงึ การทหารแบบใหม่        การแพทย์แบบใหม่ การผลติ สนิ คา้ แบบใหม่ การทำ�แผนท่แี บบใหม่ การดดู าวแบบใหม่        และการศกึ ษาแบบใหม.่ ..ไมเ่ ว้นแมแ้ ต่ตึกรามบ้านช่องก็เช่นกัน            ภูมิทศั น์ของเมืองบางกอกได้มีการเปลีย่ นแปลงอยา่ งค่อยๆ เป็น คอ่ ยๆ ไป            ระเบยี บโลกอยา่ งใหม่น้ีเอง ทไี่ ด้เข้ามาทดแทนความเชือ่ เร่อื งสณั ฐานจักรวาลแบบจารีต        ด้ังเดมิ ซงึ่ เราก็ไมห่ ยุดท่จี ะท�ำ ความคนุ้ เคยและเรยี นรูว้ ัฒนธรรมต่างถ่ินเหล่าน้มี ากยิง่ ขน้ึ            จนลว่ งเข้าสูร่ ชั สมยั พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้ อยู่หัว การปฏริ ปู อย่างก้าว        กระโดดจึงเกิดข้ึน สยามประเทศเหอ่ ฝร่งั อย่างจริงจงั !            เจา้ นายโปรดประทบั ในวงั แบบใหม่            อาคารสถานทรี่ าชการกส็ รา้ งกันแบบใหม่ มีการใชส้ อยในกิจกรรมที่เราไม่ค้นุ เคย            มีโรงคะเด็ต โรงสกลู โรงกษาปณ์ โรงพิมพ์            เป็นกระทรวง เป็นมิวเซยี ม เปน็ สถานตี �ำ รวจ            โลกใหม่ของสยามจงึ ศิวิไลซ์สวยงามตระการตา... น่าตื่นตาตื่นใจเปน็ ยง่ิ นกั            In the reign of King Rama IV in the mid 19th century, Western countries        began to arrive in Siam to establish a relationship, resulting in significant        changes. Siam was exposed to new knowledge from another side of the world,        and began to take an interest in modern science and technology to bring        advancement to the kingdom, from modern clocks to modern military, as        well as modern medicine, manufacturing, mapping, astronomy, education, and        architecture. The cityscape of Bangkok gradually changed, and in the reign        of King Rama V, the transformation was rapid as Siamese people were more        into all things Western.    76
หอนาฬิิกา I Clock Tower      หอนาฬิกาพระทีน่ ั่งภวู ดลทัศไนย C01                                C 01 Clock Tower	                       D                                                                          In front of Wat Pho, Sanam Chai Rd.  A    ถือวา่ เป็นหอนาฬิกาหลงั แรกของสยามท่ีสรา้ งขึน้ ในสมยั                                                     T  รชั กาลท่ี ๔ ออกแบบและกอ่ สรา้ งโดยพระองค์เจ้าชมุ สาย                                                        A  กรมขนุ ราชสีหวิกรม (พระราชโอรสในรัชกาลท่ี ๓) เจ้ากรม  ช่างสบิ หม่ใู นขณะนนั้ อนั เป็นชว่ งเวลาท่ีสยามเริ่มเปิดประตู                                                77  รับศิลปะวิทยาการและอปุ กรณเ์ ครอื่ งมอื เคร่ืองใชไ้ ฮเทคตา่ งๆ  เขา้ มา      หอนาฬิกาพระที่น่ังภูวดลทศั ไนย เปน็ อาคารก่ออฐิ ถอื ปูน  สงู ๕ ชน้ั รูปทรงเดยี วกับหอกลอง ดา้ นบนสุดตดิ ตั้งนาฬกิ า  ทั้งสี่ด้าน เพ่อื ใชบ้ อกเวลาเช่นเดียวกบั การตกี ลองบอกทมุ่ โมง  ซ่ึงเป็นเครือ่ งมอื บอกเวลาในสมัยนนั้ และดว้ ยความที่นาฬกิ า  เป็นของลำ้�สมัย การทำ�หอนาฬิกาใหเ้ ปน็ รปู แบบเดียวกบั หอ  กลอง จงึ แสดงนัยยะถงึ ความก้าวหนา้ ทางเทคโนโลยีของชาว  สยามนน่ั เอง      ทสี่ �ำ คัญด้วยความสงู ของหอนาฬกิ าภวู ดลทัศไนยนี้ ท�ำ ให้  หอนาฬกิ ากลายเปน็ จุดหมายตาท่ีส�ำ คญั ของพระนครในสมัย  ทเี่ ราเรมิ่ คลง่ั เทคโนโลยีเลยทเี ดียว      จวบจนปลายรชั กาลที่ ๕ หอนาฬิกาภวู ดลทศั ไนยไดร้ ือ้  ลงพรอ้ มกบั หมูพ่ ระทีน่ ั่งอภเิ นาวนเิ วศน์ สว่ นหอนาฬิกาท่เี รา  เห็นอยู่ในปัจจบุ ันบรเิ วณริมถนนสนามไชย ตรงขา้ มกับวดั โพธิ์  น้นั ไดส้ ร้างข้ึนมาใหม่ในยคุ น้ี โดยยังคงรปู แบบเดิมไว้ แต่ย้าย  ตำ�แหนง่ มาตัง้ เคียงอย่กู บั หอกลองทส่ี รา้ งขึน้ ใหม่ด้วยเชน่ กนั  เพ่อื เป็นอนสุ รณ์ ทง้ั หมดน้ีออกแบบโดย ดร.สเุ มธ ชุมสาย ณ  อยุธยา สถาปนกิ ระดับต�ำ นานท่ีฝากผลงานไวห้ ลายชนิ้ บน  เกาะรตั นโกสินทรแ์ ห่งน้ี ซึ่ง ดร. สุเมธ เอง ก็เป็นโหลนของ  กรมขนุ ราชสหี วกิ รมผสู้ ร้างหอนาฬกิ าเดิมนใ้ี นครั้งแรกเร่มิ       Clock Tower: This was Siam’s first clock tower, located  inside the Grand Palace. It was built in the 1850s in King Rama  IV’s era when Siam started receiving Western knowledge. It  was shaped similar to a drum tower, as both were intended for  telling the time. Later, it was dismantled in the reign of King  Rama V. The Clock Tower that you see now was rebuilt following  the old design, and relocated to Sanam Chai Road near the  Drum Tower.
สวนพฤกษศาสตร์ I Botanical Garden      สวนสราญรมย์ C02                                                                                         K05                                                                                                                               1    พืน้ ท่สี เี ขียวผนื น้อยทแ่ี ทรกตัวอยทู่ า่ มกลาง  อาคารโบราณสถานในยา่ นเมอื งเก่า เป็นสวน                                                                      2  สาธารณะท่ีดึงให้เราชาวเกาะออกมาเดนิ ทอดนอ่ ง                                                                                            G10  กันในทุกวนั น้ี เดิมคือพระราชอทุ ยานของพระราชวงั  สราญรมย์ท่ีอยใู่ กล้กัน สร้างขึ้นในสมยั รชั กาลที่ ๕                                                         3  โดยมีผรู้ อบรดู้ า้ นพฤกษศาสตร์อยา่ งนายเฮนร่ี อาลา  บาศเตอร์ (ต้นตระกูลเศวตศลิ า) เปน็ ผู้ดูแลตกแตง่          Saranrom Park: Formerly a botanical garden part of  ราชอทุ ยานใหร้ ่มรนื่ สวยงาม                           Saranrom Palace, it was designed by Henry Alabaster,                                                         King Rama V’s British consultant and a botanical    แรกเรม่ิ น้ันพระราชอุทยานมีแนวคิดของสวน              expert. Alabaster was appointed by King Rama V to  พฤกษศาสตรแ์ ละสวนสัตวแ์ บบฝร่งั ในสมัยวิคตอ-           oversee this project, a Victorian-style botanical garden  เรยี น ซ่ึงเป็นที่รวบรวมพันธ์ไุ ม้นานาชาติ และเปน็     and zoo with various types of plants, designed for  สถานท่หี ย่อนพระทัยของเจา้ นายในสมัยทก่ี าร            leisure. In the reign of King Rama VI, it was used to  ใชช้ ีวิตแบบฝร่ังเป็นเรอื่ งชคิ ๆ เกร๋ๆ การตกแตง่      host winter banquets.  ประกอบไปดว้ ย สระน�้ำ มีนำ้�พุ มีกรงเลีย้ งสัตว์  อยา่ งกรงนก สระจระเข้ และตน้ ไม้นอ้ ยใหญ่ ตลอด  จนสวนดอกไม้ กลว้ ยไม้ โดยเฉพาะกุหลาบแดงท่ี  โปรดปรานเปน็ พิเศษ นอกจากนแ้ี ล้วในสมัยรัชกาล  ท่ี ๖ สวนสราญรมยย์ งั เปน็ ที่สำ�หรับจดั งานฤดูหนาว  อกี ดว้ ย      แนวคดิ เร่อื งสวนสาธารณะหรอื แหลง่ หย่อนใจ  ของคนเมอื ง สำ�หรบั ใชท้ �ำ กจิ กรรมกลางแจ้งน้นั  เป็นเร่ืองใหม่ทเ่ี มอื งใหญ่ๆ ในชาติตะวนั ตกลว้ นให้  ความสำ�คัญ อนั จะเห็นไดจ้ ากการเกิดขนึ้ ของสวน  สาธารณะและสวนพฤกษศาสตรอ์ ย่างมากมายใน  สมัยน้ัน ซง่ึ ราชสำ�นักสยามเองกไ็ ด้รับแนวความคดิ  นม้ี าด้วยเช่นกนั แตก่ ย็ ังไม่เปิดเปน็ ที่สาธารณะให้  ชาวประชาทั่วไปไดใ้ ชก้ ัน    D C 02 Saranrom Park	  A Charoen Krung Rd.  T 4.30am-9.00pm  A    78
1 อาคารทวปี ัญญาสโมสร                                           3 ประตูเหล็กหล่อ     หรืออาคารเรอื นกระจก                                                                     ประตูเหลก็ หลอ่ เปน็ ของนอกนำ�เขา้ จากยโุ รป ที่    เปน็ ตกึ แบบฝร่งั ชัน้ เดยี ว กรุกระจกประดับลวด                ในยุคน้ันสวนสาธารณะตามยโุ รปและอเมรกิ า ต่างก็  ลายไมฉ้ ลุ สร้างขึน้ ในสมยั ปลายรัชกาลที่ ๕ เลยี น               มีประตูเหลก็ หลอ่ แบบน้กี นั แทบทกุ ท่ี แต่ท่ไี ม่เหมอื น  แบบเรอื นกระจกสไตลว์ คิ ตอเรยี นทใี่ ชร้ วบรวมพนั ธไ์ุ ม้        ใครคอื นอกจากจะมีลวดลายพันธ์ุพฤกษาสวยงาม  เมอื งรอ้ น ซง่ึ มักสร้างกันตามสวนพฤกษศาสตร์ของ                  ตามเทรนดใ์ นสมยั วิคตอเรียนแล้ว ทบ่ี รเิ วณก่ึงกลาง  เมอื งฝรงั่ ผิดแตไ่ มไ่ ด้มีวตั ถปุ ระสงค์เพอ่ื ใชเ้ ปน็ เรอื น  ประตูจะมีตราแผ่นดนิ ในสมยั รัชกาลที่ ๕ ดว้ ยน่ันเอง  กระจกอย่างของเมอื งนอก แต่กลบั ใช้เป็นสโมสร  แบบตะวนั ตกของเจา้ นายและขา้ ราชการชั้นสงู เป็น                     Cast Iron Gate: Imported from Europe, the gate  แหล่งพบปะสมาคมของเหลา่ ผดู้ ีปัญญาชนคนรนุ่                       featured Siamese coat of arms at the center.  ใหมใ่ นสมัยน้นั เพือ่ แลกเปล่ยี นทศั นะและแนวคดิ กนั  ทงั้ ยงั เป็นสถานท่เี ล่นกีฬาในรม่ มีโรงละคร และห้อง  อ่านหนังสอื อีกด้วย       The Greenhouse: Built following the concept of  Victorian-style greenhouses, this one was not used for  keeping plants, but as a Western-style club for the  elite to mix and mingle, play cards, read books, and  act in plays.     2 ศาลากระโจมแตร      สรา้ งข้ึนในสมัยรชั กาลท่ี ๖ ใชเ้ ปน็ ทีบ่ รรเลง  แตรวงของทหาร ยามมงี านในพระราชอทุ ยาน       Bandstand                                                                                                                                79
ทอ้ งพระโรงแบบฝรัง่ I Throne Hall         พระทีน่ ัง่ จักรีมหาปราสาท C03                                                  รชั กาลท่ี ๕ จงึ โปรดเกลา้ ฯ ให้                                                                                     สรา้ งพระทน่ี ่ังจกั รีมหาปราสาท        ถือเปน็ การแหกขนบในการกอ่ สร้างอาคารพระที่นงั่ ภายในพระบรม                   เป็นแบบผสมผสานระหวา่ งตวั      มหาราชวงั อย่างแท้ทรู ดว้ ยวา่ พระที่นัง่ ใหม่องคน์ มี้ ีรา่ งเป็นฝรง่ั แต่มี  ตึกอย่างตะวันตก และหลงั คา      หวั อยา่ งไทย สรา้ งอยูบ่ นพนื้ ที่ระหว่างพระท่ีนง่ั อมรนิ ทรวนิ ิจฉยั ด้าน    เคร่ืองยอดทรงมณฑปตามจารตี      ตะวนั ออก และพระท่ีนั่งดสุ ิตมหาปราสาท ด้านตะวนั ตก ตรงจุดท่ีเคย               เดมิ ถงึ แมว้ ่าไดส้ ั่งซ้อื เหลก็ เพ่อื      เป็นเก๋งจนี และกรงนกเดิม                                                       มาใช้ในการก่อสรา้ งโครงหลังคา                                                                                     แลว้ กต็ าม        นายจอห์น คลูนิส (John Clunis) สถาปนกิ ชาวองั กฤษจาก      สิงคโปร์ ไดร้ บั การว่าจ้างให้มาออกแบบพระที่น่งั ท้องพระโรงองค์ใหม่               Chakri Maha Prasat Throne      องคส์ ำ�คญั นี้ในสมัยต้นรชั กาลท่ี ๕ อันเป็นช่วงเวลาแรกเร่มิ ท่ีตกึ แบบ        Hall: Designed by a British architect      ฝร่งั ได้รับการออกแบบและก่อสรา้ งโดยนายช่างฝรง่ั ตัวจรงิ เสยี งจรงิ            John Clunis from Singapore, who                                                                                     was commissioned to design this         ฝรง่ั สวมชฎา                                                                significant throne hall in 1875                                                                                     in King Rama V’s era, the throne        พระที่นัง่ จักรีมหาปราสาท เปน็ ตกึ แบบฝร่งั ขนาดใหญ่ ๓ ชัน้ ใช้              hall took seven years to complete.      ระยะเวลาในการก่อสร้างกินเวลายาวนานถึง ๗ ปิ เดมิ ทอี อกแบบให้                   Despite being a Western-style      เปน็ หลังคาโดมกลม แตส่ มเด็จเจา้ พระยาบรมมหาศรสี รุ ิยวงศ์ (ชว่ ง              building, it features a Thai-style      บนุ นาค) ผ้สู �ำ เร็จราชการ ไดก้ ราบบังคมทลู เรื่องธรรมเนยี มการสร้าง          roof and the iconic three spires,      พระมหาปราสาท ทล่ี ว้ นสรา้ งเปน็ เรือนยอดท้งั สน้ิ ซึ่งถือเปน็ เอกสทิ ธ์ิ      a signature of the Royal Palace.      เฉพาะพระมหามณเฑียรภายในพระบรมมหาราชวังเท่านนั้                                 Currently, the roof gable features                                                                                     the coat of arms of King Rama V,  D C 03 Chakri Maha Prasat Throne Hall                                              which is a Western-style design.  A   The Grand Palace, Na Phra Lan Rd.  T   8.30am-3.30pm  A   02 623 5500 / 02 623 5499      www.royalgrandpalace.th  80
มีพื้นทใ่ี ชส้ อยหลักอยู่ที่ช้นั ๒                     ส่วนที่หนา้ บันประดษิ ฐานตราแผน่ ดนิ ในสมยั รชั กาลท่ี ๕ ซงึ่    มุขกลางเปน็ สว่ นทอ้ งพระโรงใหญ่                       เป็นตราแบบฝรงั่ แสดงถึงพระราชอ�ำ นาจเหนือประเทศราชย์    มขุ ทางดา้ นซ้าย หรือมขุ ทางทิศตะวันออก เปน็           ทงั้ สาม อันไดแ้ ก่ ลา้ นนา (ช้างสามเศียร) ลา้ นช้าง  ห้องรับแขก                                               (ชา้ งเผอื ก) และมลายู (กรชิ )    มขุ ทางด้านขวา หรอื มุขทางทศิ ตะวันตก เปน็  หอ้ งทรงงาน หรือออฟฟิศหลวง    มขุ กลาง มีลักษณะแบบประตชู ัย คือ ช่องประตู  ตรงกลางกว้างประมาณสองเทา่ ของประตดู ้านขา้ ง  ท้งั สอง และมีโคง้ รูปครง่ึ วงกลมที่ด้านบนประตู    ส่วนปีกทีเ่ ช่ือมมุขท้งั สองด้าน (มขุ กระสนั )  เป็นห้องโถงใหญ่สำ�หรับรับรองแขก ออกแบบให้มี  ระเบียงทางเดนิ เป็นตัวเชอ่ื มห้องตา่ งๆ เขา้ ดว้ ยกัน  ตา่ งจากการวางผังในหมู่พระมหามณเฑียรที่สร้าง  ข้ึนมาในสมยั รชั กาลท่ี ๑ ท่แี ตล่ ะหอ้ งจะเรยี งต่อกนั  ไปโดยไมม่ ีทางเดินเชอ่ื ม    ซ้มุ ประตหู นา้ ตา่ งชน้ั สองประดับลายปนู ป้นั ตรา  แผ่นดิน และพระราชลญั จกรจลุ มงกฎุ                                                             ผนงั ช้ันลา่ งปัน้ ปนู เดนิ เส้นเป็น                           81                                                           ชอ่ งสี่เหลย่ี มเลยี นแบบการก่อหนิ
มิวเซียม I Museum          หอคองคาเดีย C04                                       โดยเปิดให้ประชาชนเข้าชมไดเ้ ปน็ คร้งั คราว เรียก                                                              งานเอกซฮิบิเชน (Exhibition) ถอื เปน็ อาคารตน้        ตั้งอยบู่ ริเวณพื้นท่ีสว่ นหนา้ ของพระบรมมหาราช       กำ�เนดิ พิพธิ ภัณฑข์ องไทยเลยก็ว่าได้      วัง หนา้ ประตพู ิมานไชยศรี N07 ก่อสรา้ งขึน้ ในสมัย      ตน้ รชั กาลที่ ๕ ถือไดว้ า่ เป็นตึกฝร่งั หลงั แรกๆ ใน     กระท่ังปี ๒๔๓๐ หลังจากมกี ารยุบตำ�แหนง่ วัง      สยามเลยกว็ ่าได้                                        หนา้ ลงแลว้ จึงไดย้ า้ ยของออกจากหอคองคาเดียไป                                                              ไวท้ พ่ี ระราชวังบวรสถานมงคลแทน        หอคองคาเดยี เปน็ ตึกแบบฝรัง่ ชัน้ เดียว ประดบั      ด้วยเสาลอยตวั หวั เสาเปน็ แบบดอริค มซี มุ้ โคง้           จวบจนปจั จุบนั นีห้ อคองคาเดียได้เปลย่ี นหนา้ ที่      ครง่ึ วงกลมตอ่ เนือ่ งกันไปโดยรอบ ภายในเป็นพน้ื ท่ี     การใชง้ านไปอยา่ งหลากหลาย เคยเปน็ ท่ตี ง้ั ของหอ      ระเบียงลอ้ มรอบห้องตรงกลาง                              พระสมดุ วชริ ญาณ (ตอ่ มาพฒั นาเป็นหอสมุดแหง่                                                              ชาติ) และตอ่ มาได้เปล่ียนชื่อเปน็ “ศาลาสหทยั        แรกเร่ิมเดมิ ทีใช้เป็นสโมสรและท่ปี ระชมุ ของ          สมาคม” ซ่งึ หลายคนคงคนุ้ หชู ่ือนี้อยู่บ่อยๆ เพราะ      ทหารมหาดเล็ก ตามทที่ รงทอดพระเนตรมาจาก                  มักไดย้ ินตามข่าวในพระราชสำ�นกั วา่ ใช้เป็นทจ่ี ัด      เมอื งปัตตาเวยี (เมอื งจาการ์ตา ประเทศอินโดนเิ ซีย      เลยี้ งพระราชอาคันตุกะ หรอื ลงนามถวายพระพร      ในปัจจุบัน ซ่ึงขณะน้ันเปน็ เมอื งทา่ อาณานิคมของ        เนอ่ื งในวโรกาสตา่ งๆ      ดทั ช์) และเรยี กอาคารสโมสรนี้ว่า “หอคองคาเดยี ”      ตามชอ่ื ทใ่ี ชเ้ รียกในปตั ตาเวยี ด้วย                     Concordia Pavilion: The Concordia Pavilion in the                                                              Grand Palace was built in 1870 in King Rama V’s era,        ตอ่ มาไดเ้ ปลยี่ นเป็นห้องเก็บรวบรวมและจดั            following the design of a building in Batavia (then a      แสดงเครอ่ื งราชบรรณาการตา่ งๆ รวมทง้ั ส่ิงของ           Dutch port city, currently Jakarta, Indonesia). It used      โบราณและศลิ ปวตั ถุ เพอ่ื แสดงความศวิ ิไลซ์ของ          to be a clubhouse for royal cadets, and was later      ราชสำ�นกั สยาม ตามแนวคดิ ของชาติอาณานิคม                turned into a museum housing royal tributes. Today, it      ตะวนั ตก จึงต่อเตมิ ใส่ประตหู นา้ ต่างขึ้นทรี่ ะเบยี ง  is used to welcome royal guests.      ให้เปน็ ห้องหับปดิ มดิ ชดิ เรยี กกนั วา่ “หอมวิ เซียม”    D C 04 Concordia Pavilion	  A   The Grand Palace, Na Phra Lan Rd.  T   8.30am-3.30pm  A   02 623 5500 / 02 623 5499      www.royalgrandpalace.th  82
สุุสาน I Cemetery      สุสานหลวง วัดราชบพิธ C05                                     เรื่องเล่าชาวเกาะ      ตงั้ อยู่รมิ คลองคูเมอื งเดมิ ทางด้านทิศตะวนั ตก         สุสานไทย สไตล์ฝร่ัง  ของวัดราชบพธิ สร้างขึน้ เพือ่ เปน็ สถานท่บี รรจุ             การน�ำ พระสรีรธาตุมาประดษิ ฐานในสุสานหลวง  พระสรรี ธาตุของพระบรมวงศานวุ งศแ์ ละราชสกุลใน  สายรัชกาลที่ ๕ โดยก่อสร้างเปน็ อนสุ าวรียเ์ พ่อื ระลกึ    วัดราชบพิธเช่นน้ี ถอื เปน็ ของใหมต่ ามแนวความคิด  ถึงพระมเหสีและเจ้าจอมมารดาแตล่ ะท่าน                      แบบตะวันตก เลียนแบบการท�ำ แทน่ หนิ ประดบั หลมุ                                                            ฝงั ศพอยา่ งสุสานฝร่ัง ซง่ึ ตามธรรมเนยี มแล้วคนไทย     Royal Cemetery at Wat Ratcha Bophit: Built to          มกั นยิ มบชู าอัฐขิ องบรรพบุรษุ ด้วยการบรรจลุ งในโกฐ  keep relics of royal family members in King Rama V’s      ขนาดเล็กแล้วตง้ั บูชาไวบ้ นหง้ิ ทบี่ ้าน ไม่กบ็ รรจุไวท้ ี่  bloodline, as well as monuments for his royal consorts    ฐานเจดีย์ หรือฐานพระพทุ ธรปู ตามระเบยี งคต  and concubines, the cemetery features four pagodas        ของวัด  decorate with gold mosaic tiles to represent four  of his main royal consorts. Other monuments have             ขณะทหี่ ากเปน็ เจา้ นายจะบรรจอุ ฐั ิในพระโกฐ  different architectural designs, both Thai and Western.   ทองคำ�ขนาดเลก็ ประดิษฐานไวใ้ นหอพระนาก  The earlier ones feature gothic elements and sharp        วัดพระแกว้ ส่วนเจ้านายเชอ้ื พระวงศช์ นั้ สูงจะ  spires like Christian churches, while later ones feature  ประดิษฐานไวท้ ช่ี ้นั บนของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท  Neo-Byzantine elements, also with an obelisk made  of carved marble, as popularly used for European          C 05 Royal Cemetery at Wat Ratcha Bophit                     D  tombstones. The tradition of keeping relics inside these     2 Fueang Nakhon Rd.                                       A  monuments followed a Western cemetery concept.               6.00am-6.00pm                                             T                                                               02 222 3930                                               A                                                               WatRajabopit2412                                                                                                                         83
5 10                      ภายในสุสานหลวงประกอบดว้ ยอนุสาวรียม์ ากมาย แตห่ ลกั ๆ ก็                1        คอื พระเจดีย์สีทอง ๔ องค์ เรียงต่อกนั ที่สร้างขน้ึ ส�ำ หรบั พระภรรยา                         เจา้ ทง้ั สี่ อนั มีช่อื เรยี กอย่างคล้องจองกนั วา่ “สนุ นั ทานุสาวรีย์” “รงั ษี                   11 วฒั นา” “เสาวภาประดิษฐาน” และ “สุขมุ าลนฤมิตร์”    2                     83                3    61                                2                4                                      1 “สนุ นั ทานสุ าวรีย์” องค์ทางซา้ ยสุด สร้างพระราช  7                                                  ทานแด่สมเดจ็ พระนางเจ้าสุนนั ทากมุ ารรี ัตนพ์ ระบรม                   9 ราชเทวี (พระนางเรอื ล่ม) ทท่ี ิวงคตไปแล้ว                                                     2 “รงั ษีวฒั นา” ส�ำ หรับ สมเด็จพระนางเจา้ สวา่ งวฒั นา                        13                           พระบรมราชเทวี                   13                                3 “เสาวภาประดิษฐาน” ส�ำ หรับ สมเดจ็ พระนางเจา้                                                       เสาวภาผ่องศรี พระวรราชเทวี                                                     4 และทางขวาสุดองคส์ ดุ ทา้ ย “สขุ มุ าลนฤมิตร”์                                                     เพอ่ื รำ�ลกึ ถงึ พระนางเจา้ สขุ มุ าลมารศรี พระราชเทวี 4                 12                                      โดยเจดียท์ ั้งส่อี งค์มีลักษณะทค่ี ล้ายคลึงกนั คือ เปน็ อาคารทม่ี ี                                                     หลังคาเปน็ เจดยี ์ทรงระฆงั ประดับดว้ ยกระเบ้ืองโมเสกสีทอง อันเปน็      1 เจดีย์ สุนนั ทานุสาวรยี ์                    พระราชนิยมในสมัยรัชกาลที่ ๔-๕ ก็ว่าได้ ด้วยเจดยี ์ทส่ี รา้ งในสอง      2 เจดีย์ รงั ษวี ฒั นา                         รัชกาลน้ี เชน่ พระศรรี ัตนเจดยี ์ ในวัดพระแก้ว พระเจดียว์ ัดบวรนเิ วศ      3 เจดยี ์ เสาวภาประดิษฐาน                      และแมแ้ ตพ่ ระเจดียว์ ดั ราชบพธิ นเ้ี อง ลว้ นแล้วแต่มีรูปแบบเดียวกัน      4 เจดีย์ สขุ มุ าลนฤมิตร์                      ทัง้ หมด กล่าวคือ เปน็ เจดียท์ รงระฆงั ปูกระเบ้ืองโมเสกสีทอง      5 โบสถโ์ กธิค เจ้าจอมมารดาแส (๑)      6 โบสถ์โกธิค เจ้าจอมมารดาพรอ้ ม (๑๗)             หากลองสังเกตท่ซี ุม้ ทางเขา้ พระเจดีย์แตล่ ะองค์ จะเหน็ ช่อฟ้ารูปนก      7 โบสถ์โกธคิ เจ้าจอมมารดาเน่ือง (๒๔)           เจ่า สว่ นหางหงสก์ ท็ �ำ เป็นหวั นกเจ่าเช่นกัน แตเ่ ปน็ นกเจา่ เบือน คือ      8 อนสุ าวรีย์ พระองคเ์ จา้ อศิ รยิ าภรณ์ (๑๒)  หนั หนา้ เบอื นมาหาเราอย่างเชน่ นาคเบอื น (ซง่ึ เปน็ ลักษณะของหาง      9 อนุสาวรีย์ เจา้ ดารารัศมี (๒๑)               หงสแ์ บบพิเศษ มอี ยเู่ ฉพาะที่หน้าบนั พระทนี่ ง่ั ดสุ ิตมหาปราสาท A03      10 เจา้ คุณพระประยรู วงศ์                      และพระที่นงั่ อาภรณพ์ โิ มกขป์ ราสาท A04 ในพระบรมมหาราชวงั )      11 พระองค์เจ้าสายสวลภี ริ มย์      12 เจ้าจอมมารดาอ่วม  84 13 พระองค์เจ้าโกมลเสาวมาล
ส่วนอนสุ าวรยี ์อื่นๆ ภายใน        อนุสาวรยี ์นายเฮนรี                                       สสุ านหลวง ตา่ งก็มีรปู แบบ           อาลาบาศเตอร์                                       สถาปัตยกรรมทห่ี ลากหลายกนั ไป                                       ไม่ซ้ำ�แบบทง้ั ไทยและเทศ              อนสุ าวรียน์ ายเฮนรี                                                                             อาลาบาศเตอร์ ตน้ ตระกลู                                          โดยยุคแรกทีส่ รา้ งนนั้ จะเน้น     เศวตศลิ า ตั้งอยภู่ ายใน                                       ไปทแี่ บบโกธคิ คือ มียอดสงู แหลม      สุสานโปรเตสแตนท์                                       อยา่ งโบสถ์ฝร่ัง (เจา้ จอมมารดาแส     ถนนเจรญิ กรงุ มรี ปู แบบ                                       ๑, เจ้าจอมมารดาพรอ้ ม ๑๗, เจ้า        เปน็ สถาปตั ยกรรมแบบ                                       จอมมารดาเนือ่ ง ๒๔) สนั นษิ ฐาน       โกธิค ซง่ึ รัชกาลที่ ๕                                       ว่า นายโจอาคมิ แกรซี ช่างฝรัง่ คน     โปรดเกล้าให้สรา้ งในชว่ ง                                       ดงั ในตน้ รัชกาลท่ี ๕ เป็นผอู้ อกแบบ  เวลาทไ่ี ล่เล่ียกบั อนสุ าวรยี ์                                                                             เจ้าจอมมารดาทัง้ สาม                                           ส่วนอนสุ าวรียร์ ุ่นถดั มา                                        ทส่ี ร้างในช่วงกลางรัชสมยั จะเป็น                                        ศลิ ปะฝรัง่ รูปแบบนีโอไบแซนไทน์                                        พระองคเ์ จ้าอิศรยิ าภรณ์ ๑๒                                        (ภาพซ้าย)                                        เจา้ ดารารัศมี ๒๑                                        (ภาพขวา)       วิหารนอ้ ย เป็นตึกฝร่งั  ช้นั เดยี ว ตั้งอยูร่ ิมรั้วด้าน  เหนอื ส�ำ หรบั ระลึกถึงเจ้าคุณ  พระประยูรวงศ์ พระสนมเอก  ภายในประดษิ ฐานพระพุทธรปู  ยนื ปางห้ามญาตขิ นาดเทา่ ตวั  เจ้าคณุ พระประยรู วงศ์       ขณะเดยี วกนั ยงั มอี นสุ าวรยี ์     สว่ นที่อยูด่ ้านใน            ส่วนพระอนสุ าวรีย์พระองค์  ทไ่ี มเ่ ขา้ พวกกบั คนอน่ื ในสสุ าน  สดุ ของสสุ านหลวง คือ          เจา้ โกมลเสาวมาล พระธดิ า  หลวงแห่งนี้ นน่ั ก็คืออนสุ าวรยี ์   อนุสาวรยี ห์ มายเลข ๓๔         ในรัชกาลท่ี ๕ (หมายเลข  พระภรรยาเจา้ อีกพระองค์              เปน็ อนสุ าวรียข์ องเจ้า       ๒๒) มีลกั ษณะพิเศษ คอื เป็น  หน่งึ คือ พระอรรคชายาเธอ             จอมมารดาอว่ ม และราช           ประติมากรรมหินอ่อนรูปเสา  พระองค์เจา้ สายสวลีภริ มย์ ซง่ึ      สกุลกิติยากร ทมี่ รี ปู รา่ ง  โอเบลิสก์ (Obelisk: เสาแบบ  เป็นพระมารดาของกรมหลวง               แปลกตาน่าสนใจ ดว้ ย            อยี ิปต์ ทีเ่ ป็นเสาสเ่ี หลี่ยมยอด  ลพบุรรี าเมศวร์ ทสี่ ร้างเป็น        กอ่ สรา้ งเปน็ เขาหินและ       เปน็ ทรงพรี ะมดิ ซึ่งในยุโรปสมยั  ปรางค์เขมรแบบพระปรางค์               มีเจดยี ต์ ั้งอยูบ่ นยอด ซ่ึง  นั้น นยิ มน�ำ มาประดบั หลุมศพ)  สามยอด จงั หวดั ลพบรุ ี              อัฐิของคณุ พุ่ม เจนเซ่น ก็     โดยแกะสลกั ใหม้ ผี ้าคลุมคาอยู่                                       บรรจุอยทู่ ่ีนี่               ที่ยอดเสา คาดว่าเป็นของนอก                                                                      น�ำ เข้าจากต่างประเทศ                                                                                                                    85
โรงทหาร I Barrack                                                                                        โรงทหารหน้าเม่อื แรกสรา้ ง                                                                                           สังเกตว่าท่ีมุขกลาง                                                                                          ยงั ไมม่ รี ะเบียงด้านหนา้                                                                                      ด้วยตอ่ เตมิ ขนึ้ มาภายหลงั           โรงทหารหน้า C06                                                                 มุขตรงกลางเป็นหน้าจว่ั แบบวหิ ารกรีก                                                                                      ประดบั ตราราชวัลลภ        สร้างขนึ้ ในสมยั ตน้ รชั กาลท่ี ๕ ปัจจุบนั คอื อาคารทที่ �ำ การกระทรวง      กลาโหม นับเปน็ ตึกฝรัง่ ยคุ แรกๆ ของสยามทีเ่ รม่ิ มสี ถาปนกิ ฝร่ังตวั จรงิ         มปี ระตเู ขา้ -ออก ขนาบข้างซา้ ย-ขวา      เสยี งจริงเขา้ มาเปน็ ผอู้ อกแบบกอ่ สรา้ งอาคาร                                 ของมุขกลาง          ดว้ ยจ�ำ นวนของเหล่าทหารหนา้ ทีม่ มี ากถึง ๒๐,๐๐๐ คน มหี นา้ ท่ี                 ชายคากดุ แบบอาคารฝรง่ั ท�ำ ใหก้ ันแดด      รกั ษาพระนคร และออกไปประจ�ำ การตามหัวเมืองต่างๆ ตลอดจนเป็น                      กนั ฝนไม่ได้      กำ�ลงั พลในยามศึก ทำ�ให้ทหารทงั้ หมดนต้ี ่างอย่อู ย่างกระจดั กระจาย      การสรา้ งกรมทหารท่ีเปน็ กิจลักษณะขึน้ น้ี จึงได้ใชเ้ ป็นอาคารบัญชาการ              เสาดา้ นหน้ามขุ กลาง ใชห้ ัวเสาแบบเรยี บ      และทีพ่ ักของทหาร ตลอดจนใช้เกบ็ เสบียง พาหนะ และอาวุธตา่ งๆ                     ที่เรยี กกนั วา่ ดอริก ซง่ึ เป็นระเบียบท่ีมักใช้กับ      รวมถึงเพอ่ื ให้สะดวกตอ่ การรวมพลเพ่อื ฝกึ หัดอกี ดว้ ย                          อาคารทางทหารโดยเฉพาะ          โรงคะเดต็ ทหารหนา้ เป็นตึกสามชน้ั มีลกั ษณะทางสถาปตั ยกรรม                       หากลองสงั เกตดูเสาตดิ ผนัง จะพบวา่ เสา      แบบพาลลาเดยี น (Palladian) คอื ผงั เปน็ รปู สเี่ หลี่ยมจตุรัส มรี ะเบยี ง       ที่ช้ันล่างจะมขี นาดใหญส่ ุด ไล่ไปจนถงึ ชัน้ สาม      เดนิ ไดโ้ ดยรอบ โอบล้อมลานโล่งภายในส�ำ หรับใช้เปน็ ท่ฝี กึ ทหาร รปู แบบ         จะมขี นาดเล็กสดุ      สไตลน์ ้ีถอื เปน็ ต้นฉบับของคา่ ยทหารในยุคนน้ั แมก้ ระท่งั คา่ ยทหารทาเก      บาชิ ทโ่ี ตเกียว ซง่ึ สรา้ งขึน้ ร่วมสมยั กันน้นั ก็มีรปู แบบนเี้ ชน่ เดียวกนั     แต่เดมิ มุขตรงกลางยงั ไมม่ รี ะเบียงดา้ น                                                                                      หน้า ตอ่ มาภายหลงั มกี ารต่อเติม และมีปูน         The Royal Barrack: Built in 1884 in the beginning of King Rama V’s           ปัน้ ทำ�เปน็ ผ้าหอ้ ยท่ีพนกั เฉลียง      era, this building served as a command center and residence for soldiers.      It featured a square plan surrounding an inner court. It was used for      military training and was designed by Joachim Grassi, an Italian architect      of Austrian nationality, who had designed many buildings in King Rama V’s      era. Currently, this building is the Ministry of Defense Headquarters.    D C 06 Ministry of Defense	  A   7 Sanam Chai Rd.  T   8.30am-4.30pm Mon-Fri, By Appointment only  A   02 224 0717      www.mod.go.th  86
เร่ืองเล่าชาวเกาะ                                                                รศ.ดร. กุณฑล ิทพย์ พา ินช ัภกด์ิ   นายโจอาคิม แกรซี                                                                                                 โรงทหารหนา้ เปน็ อาคารรนุ่ ราว                                                                                                คราวเดียวกับศุลกสถาน โรงภาษรี ิม                                                                                                แม่น�้ำ เจา้ พระยา จะเหน็ ว่ามีลกั ษณะ                                                                                                คล้ายคลึงกัน คอื เป็นอาคารสมมาตร                                                                                                มุขตรงกลางมหี นา้ จวั่                                                                                                 นัน่ เพราะออกแบบโดยสถาปนิกคน                                                                                                เดียวกนั คอื นายโจอาคิม แกรซี                                                                                                (Joachim Grassi) ชาวออสเตรยี เชื้อ                                                                                                สายอิตาลี นายชา่ งใหญ่มอื ทองในสมยั                                                                                                ต้นรชั กาลท่ี ๕ ผสู้ รา้ งวังเจ้านายและ                                                                                                อาคารสาธารณะตา่ งๆ อีกหลายแหง่                                                                                                เช่น วังบูรพาภริ มย์ วังวรวรรณ คุก                                                                                                มหนั ตโทษ และศุลกสถาน                                              สถาปััตยกรรมแบบพาลลาเดีียนเป็็นอย่่างไร?                                            สถาปัตยกรรมแบบพาลลาเดยี นเปน็ รูปแบบท่ไี ด้ต้นเคา้ มาจากสถาปตั ยกรรม                                           ของกรกี -โรมนั ทีส่ ถาปนกิ สมยั เรอเนสซองส์ อย่าง แอนเดรยี พาลลาดโิ อ (Andrea                                           Palladio) ใช้ในการออกแบบคฤหาสนใ์ นอติ าลี                                            การวางผงั อาคารใชร้ ปู สเ่ี หลยี่ มจตั รุ ัสลอ้ มรอบสนามตรงกลางแบบสมมาตร ช่วยให้                                           รับแสงสวา่ งไดม้ ากขึ้น                                            สว่ นการประดบั ตกแตง่ ใช้ลวดลายแบบกรกี และโรมัน    ภาพถ่ายทางอากาศโรงทหารหน้า                                                                    โรงทหารหนา้ ท่มี ีแผนผังเปน็  ผงั เป็นรูปส่เี หลย่ี มจัตุรสั โอบลอ้ ม                                                       แบบพาลลาเดยี น  ลานโลง่ ภายใน                                                                                 ผงั อาคารโอบล้อมลานโล่ง                                                                                                ภายใน ออกแบบโดย โจอาคมิ                                                                                                แกรซี ในสมัยต้นรชั กาลท่ี ๕                                                                                                  โรงกษาปณ์สิทธิการ C11 กม็ ีแผนผัง                                                                                                เปน็ แบบพาลลาเดียนเช่นกนั                                                                                                ออกแบบโดย นายคาร์โล อัลเลอกรี                                                                                                ในสมยั ปลายรชั กาลท่ี ๕                                                                                                                                                        87
โรงเรียนนายรอ้ ย I Cadet School          โรงเรยี นนายทหารสราญรมย์ C07                                                  Saranrom Military School: Built                                                                                   in 1892 in King Rama V’s era in        หรอื อาคารสำ�นกั งานเดมิ ของกรมแผนที่ทหาร ตั้งอยูด่ ้านข้างของ             the precinct of Saranrom Palace,      โรงคะเด็ตทหารหนา้ หรอื กระทรวงกลาโหมในปจั จุบัน สร้างขน้ึ ในสมัย             the school was used to train cadets.      กลางรชั กาลท่ี ๕ บนพนื้ ที่ส่วนหนง่ึ ของพระราชวงั สราญรมย์ เพ่อื ใช้         The school was later moved to      เป็น “คะเด็ดสกลู ” หรอื โรงเรียนนายทหาร                                      another area later in King Rama                                                                                   V’s reign. Classrooms were on the        ตอ่ มาในปลายรชั สมัย เม่อื โรงเรยี นคบั แคบ จงึ ได้ย้ายไปตัง้ นอก          ground floor and dorm rooms were      เมืองที่ถนนราชดำ�เนินนอก ในชือ่ “โรงเรียนนายรอ้ ยทหารบก” แลว้ ใช้            on the upper floor. It was designed      เปน็ กรมเสนาธิการทหารบก จนราว ๒๔๗๔ กรมแผนทไ่ี ด้ยา้ ยเขา้ มาใช้              by an Italian architect named Stefano      อาคารหลงั นี้แทน จนไดร้ วมกจิ การเข้ากบั กรมแผนทท่ี หารบก และเพงิ่           Cardu, one of the first foreign      ยา้ ยออกไปเม่อื ปี ๒๕๖๒ นเี่ อง                                              architects to work in Siam. The                                                                                   distinctive feature of this building        สมัยเปน็ คะเดด็ สกูลน้นั ช้นั ล่างเปน็ ห้องเรยี นส�ำ หรับนักเรยี นนาย      is the pediments on the roof, a      รอ้ ย สว่ นชัน้ บนใช้เป็นหอพกั                                               signature of Cardu.          มีมขุ อยดู่ ว้ ยกนั ถึง ๕ มขุ (ปกติจะมเี พียง ๓ มุข คอื มขุ กลาง และ          The Royal Thai Survey Depart-      มุขหวั -ท้าย เท่านนั้ ) โดยส่วนท่ีเพิ่มเขา้ มาคอื มขุ ท้ังสองขา้ งประตทู ี่  ment recently moved out of this      ขนาบขา้ งมุขกลาง                                                             building in 2019.          ที่มขุ กลางและมุขหวั ท้าย ประดับกระบังท่หี นา้ มขุ ด้วยตราแผน่ ดิน      ในสมยั รชั กาลท่ี ๕          สว่ นมขุ ประตู หนา้ บนั ประดับตราลญั จกรรชั กาลที่ ๕ รปู พระเกยี้ ว      และชา้ งสามเศยี ร    D C 07 Saranrom Military School	  A   Kalayana Maitri Rd.  T   Not Open to the Public    A  88
อาคารหลังนอ้ี อกแบบโดยสถาปนกิ ชาวอติ าลี                     ช่ือนายสเตฟาโน คาร์ดู (Stefano Cardu) โดยการ                     ใชก้ ระบงั หนา้ ตกแต่งอาคารนี้ มลี กั ษณะคล้ายคลึง                     กบั ตกึ สนุ ันทาลัย (ภายในโรงเรยี นราชนิ )ี C08 จึงมี                     ความเป็นไปไดว้ ่าคารด์ อู าจจะเป็นผู้ออกแบบด้วย                     ก็เปน็ ได้          เร่ืองเล่าชาวเกาะ                              รูปด้านแบบพระราชวัง                                                       คือ สถาปตั ยกรรมแบบคลาสสกิ ท่ีมีผังอาคาร   แมนเนอริสม์ (Mannerism)                            เป็นรปู ตวั E   คอื ลักษณะของมุขทเ่ี น้นสว่ นตวั อาคารหรอื          มมี ขุ กลาง และมุขหัว-ท้าย ซา้ ย-ขวา เชอ่ื มดว้ ย  หลังคา ดว้ ยแผงหนา้ บันประดบั ลวดลาย ซง่ึ เปน็      อาคารไปตลอดแนวยาว  ทน่ี ิยมในยุโรปชว่ งคริสตศตวรรษที่ ๑๗ (หรือใน        โดยมขุ ทย่ี ืน่ ออกมาจะเนน้ ใหเ้ ปน็ จุดเดน่ ด้วย  ราวสมัยอยธุ ยาตอนปลาย ช่วงรชั สมยั พระเจ้า          หลงั คาหนา้ จั่วแบบวิหารกรกี  ทรงธรรม และพระเจา้ ปราสาททอง) ดังตวั อยา่ ง          บ้างกม็ ีเสาลอยข้ึนไปรับหลงั คา สว่ นผนงั ด้าน  กระบงั หนา้ ทีโ่ รงเรียนทหารสราญรมย์แห่งนี้ และท่ี  ล่างของอาคารมักฉาบปูนเดินเสน้ เลยี นแบบการ  ตึกสนุ ันทาลยั อกี แห่ง                             เรียงหินโชวแ์ นว    โรงแรมโอเรียนเต็ล   นายสเตฟาโน คาร์ดู                      ชา่ งฝรัง่ ชาวอิตาลี ทีค่ นไทยสมัยนัน้ ขนานนามว่า                     นายกาดู หรือนายกาโด                      เป็นสถาปนิกชาวต่างชาตยิ ุคบุกเบิก ท่เี ขา้ มาท�ำ งานใน                     สยามตงั้ แตต่ น้ รัชกาลท่ี ๕ มีผลงานเป็นตกึ ฝร่งั รนุ่ แรกๆ                     ในสยาม เช่น พระราชวังสราญรมย์ หอนาฬิกาตกึ ไปรษณ-ี                     ยาคาร โรงแรมโอเรียนเต็ล โรงเรียนทหารสราญรมย์                       โดยซิกเนเจอร์ของนายคารด์ ู คอื การออกแบบอาคารให้                     มหี นา้ บันหรอื กระบงั หน้า ประดับลวดลายปนู ปน้ั เปน็ ตรา                     แผน่ ดิน หรอื พระราชลญั จกร (ในท�ำ นองเดยี วกันกบั หน้า                     จวั่ พระที่นงั่ ในวังทป่ี ระดบั ด้วยรูปแกะสลักนารายณ์ทรง                     ครุฑ) ซึง่ เรียกกนั วา่ แบบแมนเนอรสิ ม์นน่ั เอง                                                                                                        89
โรงเรียนสตรี I Seminary          โรงสกูลสนุ นั ทาลัย C08                                                            The Royal Seminary: Built in                                                                                        1882 in the early years of King        สร้างขนึ้ ในสมัยตน้ รชั กาลท่ี ๕ บนพื้นท่รี ิมแมน่ �ำ้ นอกก�ำ แพงเมือง          Rama V’s era, located by the river,      ด้านหนา้ ปอ้ มมหาฤกษ์ บริเวณที่เรยี กกันว่าปากคลองตลาด                            the Royal Seminary was dedicated                                                                                        to King Rama V’s royal consort        ช่อื อาคารกบ็ อกอยูว่ ่า สุนนั ทาอาลัย กม็ คี วามหมายตรงตวั ดังช่อื             Queen Sunanda who passed away      คอื สรา้ งข้นึ เพ่อื เป็นอนุสรณใ์ หก้ บั สมเด็จพระนางเจา้ สนุ ันทากมุ ารรี ตั น์  in an accident. Initially, it was a      พระบรมราชเทวี ทท่ี วิ งคตไปดว้ ยอบุ ัตเิ หตเุ รอื พระทีน่ ่ังลม่ ขณะเสด็จฯ        school for daughters of the elite      ประพาสบางปะอิน                                                                    and also housed the Ministry of                                                                                        Education. In 1906, towards the        แรกดำ�เนินการใช้เปน็ สถานศกึ ษาสำ�หรับกุลธดิ า เป็นที่ฝกึ หดั ครู               end of King Rama V’s era, Queen      และที่ตงั้ ของกระทรวงธรรมการ (กระทรวงศกึ ษาธกิ ารในปัจจุบนั )                     Saovabha asked His Majesty to set                                                                                        up a girls’ school in this building,        จนกระทง่ั ในปลายรัชสมัย สมเดจ็ พระศรพี ัชรินทราบรมราชินี ได้                    titled Rajini School (Queen’s      กราบบงั คมทูลขอพระราชทานพน้ื ที่ตึกสนุ นั ทาลัยเพือ่ ต้ังเป็นโรงเรยี น            school), which is still operating      ราชินี และไดเ้ ปิดให้มีการเรียนการสอนมาอย่างตอ่ เนอื่ งจนถงึ ทกุ วนั นี้          today. It is assumed that the                                                                                        architecture was designed by        ตึกสนุ นั ทาลัยเปน็ อาคาร ๒ ช้นั                                                Stefano Cardu because of the        ชน้ั บนเปน็ ห้องโถงกว้าง มีระเบียงยาวตลอดขนานไปกบั แมน่ �้ำ                     pediment on the top of the front        มีหอ้ งมุขตรงกลางย่นื ออกมาทดี่ า้ นหนา้ และยงั มีห้องที่มขุ หลังอกี            facade, which is considered Cardu’s      ดว้ ย                                                                             signature.        ชั้นล่างใชเ้ ป็นหอ้ งเรียน ส่วนชน้ั บนใชเ้ ปน็ หอ้ งประชุม        จะเห็นได้วา่ ความสูงของเพดานท่ชี ้นั บนนั้น สูงกว่าชน้ั ลา่ งมาก ซ่ึง               The large dome on the roof      เป็นลกั ษณะของอาคารแบบคลาสสกิ น่ันเอง                                             was rebuilt following the original                                                                                        design after it had been removed  D C 08 The Royal Seminary	                                                            since the weight was causing the  A   444 Maha Rat Rd.                                                                  building to crumble.  T   Not Open to the Public  A   02 221 1501      www.rajini.ac.th/  90
สนุ นั ทาลยั              อนสุ าวรียน์ �ำ้ พุ ฟอนตานา เพาลา                                                 เม่ือรื้อหลังคาโดมลงแลว้  ทก่ี รุงโรม ออกแบบโดยสถาปนกิ                                                                           ฟลามโิ น พอนซิโอ ในปี ๒๑๕๕    มุขกลางด้านหน้า มขี นาดสดั ส่วนอยา่ งประตชู ยั                         มีรปู แบบเป็นสถาปตั ยกรรมประตูชยั    ชอ่ งประตูโคง้ ตรงกลางมคี วามกวา้ งประมาณสองเท่าของดา้ นขา้ ง          ทีม่ กี ระบังหน้าลกั ษณะคลา้ ยคลึงกบั มุข  ซงึ่ เป็นระเบยี บแบบแผนเดยี วกบั มุขกลางดา้ นหนา้ ของพระทนี่ ง่ั จกั รี  หนา้ ของอาคารสุนันทาลยั  มหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง    หน้าบันทำ�เปน็ กระบังหนา้ ทฐ่ี านเขียนว่า Royal Seminary               เร่ืองเล่าชาวเกาะ  ประดบั ลายปูนปั้นตราแผ่นดนิ ท่ีกลางหน้าบัน    ด้วยการออกแบบทม่ี ีกระบงั หนา้ ท�ำ ให้สนั นษิ ฐานวา่ นายสเตฟาโน         ดีดตึกยกอาคารปูน  คารด์ ู อาจเป็นผู้ออกแบบอาคาร ดว้ ยเป็นเอกลักษณอ์ ันโดดเดน่ ของ           ร้หู รอื ไม?่ ในปี ๒๕๔๙ คราวบูรณะ  นายชา่ งฝร่งั ผนู้ ้ี ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมแบบแมนเนอรสิ ม์ ลกั ษณะแบบ      อาคารคร้ังใหญ่ เม่อื โรงเรยี นมอี ายุ  เดยี วกบั มขุ หนา้ ของโรงเรยี นทหารสราญรมย์ (ตกึ กรมแผนทท่ี หาร          ครบหน่งึ ศตวรรษนั้น ไดม้ ีการดดี ตึก  เดมิ ) C07                                                               สนุ ันทาลยั ขน้ึ ให้สงู กว่าระดบั ถนน    ท่บี ริเวณมุขหนา้ ผนังชนั้ ล่างมคี วามหนามากถงึ ๑ เมตร เพือ่ ใช้รับ    นบั เปน็ ปรากฏการณ์ยกอาคารกอ่  น�้ำ หนักหลงั คากระโจมด้านบน ท่ตี ง้ั อย่ดู ้านหลังกระบงั หน้า           อิฐถอื ปูนแหง่ แรกของประเทศไทย    หลังคากระโจมน้มี ารื้อออกในสมยั ต่อมา (คาดว่ารือ้ ในชว่ งระหว่าง       เลยก็วา่ ได้  รัชกาลท่ี ๖ และ ๗) เพ่อื ลดน�้ำ หนกั ของหลังคาท่ที ำ�ให้อาคารทรุดตัว  ดังจะเหน็ ไดใ้ นภาพถ่ายเก่าวา่ เป็นหลงั คาทรงป้นั หยาธรรมดา เมอ่ื  ปราศจากโดมแลว้    ตอ่ มาหลงั คาโดมได้รบั การก่อสร้างตอ่ เตมิ ใหก้ ลบั คนื มาดงั เดิมใน  ช่วงปี ๒๕๔๗-๕๐ นีเ้ อง เม่ือคราวฉลองครบรอบ ๑๐๐ ปีโรงเรียน  ราชนิ ี                                                                                                                        91
โรงเรียนรัฐ I Public School          ตึกยาว โรงเรยี นสวนกุหลาบวิทยาลัย C09                                          เรื่องเล่าชาวเกาะ          ชอื่ ของโรงเรียนสวนกุหลาบวทิ ยาลัยนนั้ มที ่มี าจากทีต่ ้ังของ              ตึกยาวริมร้ัว      โรงเรยี น เดมิ อยู่ท่ีพระต�ำ หนกั “สวนกหุ ลาบ” ดา้ นทา้ ยพระบรม               แรกสร้าง ตึกเรียนมีระเบียงทางเดิน      มหาราชวงั อันเปน็ ตำ�หนกั ทเ่ี จา้ ฟา้ จุฬาลงกรณ์ประทบั ก่อนจะขน้ึ           ยาวไปตลอดอาคาร ทงั้ ดา้ นนอกทต่ี ดิ      ครองราชยเ์ ปน็ รชั กาลที่ ๕ โดยโรงเรียนแห่งใหม่นี้สอนหนังสือให้กบั           ถนนตรีเพชรและดา้ นใน      บุตรหลานเจ้านายและข้าราชการ ตามหลกั สูตรการศกึ ษาแบบใหม่ คือ                  แต่ในปี ๒๔๗๕ เม่อื มีงานฉลอง ๑๕๐ ปี      มกี ารสอบวดั ผล ที่เรียกกันวา่ การไล่หนงั สือ ข้ึนเป็นครัง้ แรกในสยาม        กรุงรัตนโกสินทร์นนั้ รชั กาลที่ ๗ ทรง                                                                                   โปรดให้สรา้ งพระบรมราชานุสาวรยี ์        ตอ่ มาโรงเรยี นได้ขยายตัวและระหกระเหินย้ายสถานท่ไี ปอีกหลาย                ของรชั กาลท่ี ๑ และสะพานพทุ ธสำ�หรับ      แหง่ จนทา้ ยทส่ี ุดในปีแรกของรัชสมยั รัชกาลที่ ๖ จงึ ได้มาลงหลักปัก          ขา้ มแม่นำ้�เจ้าพระยาไปยงั ฝ่ังธนบรุ ี ซ่งึ      ฐานท่ีตึกสร้างใหม่ ตรงข้ามพระอโุ บสถวัดราชบรู ณะ ซึ่งอยูท่ างดา้ นใต้        เปน็ แนวแกนทต่ี อ่ มาจากถนนตรีเพชร      ของพระนคร                                                                    พอดี ท�ำ ใหต้ อ้ งขยายถนนตรเี พชรที่เดมิ                                                                                   เปน็ เพยี งถนนสายยอ่ ยแคบๆ ให้กลาย        การกอ่ สรา้ งตกึ โรงเรยี นแห่งใหมน่ ี้มีมาตงั้ แต่สมยั ปลายสมัยรชั กาล     เปน็ ถนนใหญท่ ่มี ขี นาดกว้างขวางขึ้น      ที่ ๕ แล้ว ในพ้ืนทีฝ่ ัง่ ตะวนั ตกของวดั ราชบรู ณะ ซง่ึ มถี นนตรเี พชรคน่ั    การขยายถนนจงึ ท�ำ ใหต้ อ้ งรน่ พื้นที่      กลาง โดยกรมโยธาธิการเป็นผู้ออกแบบตกึ สว่ นกระทรวงธรรมการ                     เขา้ ไปในร้วั โรงเรียนสวนกุหลาบ กิน      (กระทรวงศึกษาธกิ ารในปจั จบุ นั ) เปน็ ผเู้ ชา่ ทีว่ ดั และออกเงินกอ่ สร้าง  บริเวณท่ีเปน็ บันไดและระเบียงดา้ นท่ตี ิด      อาคารเอง                                                                     กับถนน จึงเหลือแตต่ ัวอาคารซง่ึ กลาย                                                                                   มาเปน็ กำ�แพงของโรงเรยี นด้านถนน         Long Building, Suankularb School: Suankularb School was a Western-        ตรีเพชรแทน      style school which used modern curricula, with final exams at the end of      ส่วนระเบยี งด้านหลงั ทีห่ นั หน้าเขา้      each academic year. The school had been moved from location to location,     สนาม ไดป้ รับให้เป็นด้านหน้าของตึก      before settling down here. The new school building was built in 1910,        แทน โดยมกี ารต่อเติมบนั ไดกลางขน้ึ      designed by the Department of Public Works. The 2-story building is 216      ใหม่ทีด่ ้านน้ี      yards long, and is therefore known as the Long Building. The building is      slightly curved, if you look at it through the long corridor.    D C 09 Long Building, Suankularb School	  A   88 Tri Phet Rd.  T   Not Open to the Public  A   02 221 6701      www.sk.ac.th  92
ตึกเรยี นเป็นแบบฝรั่ง ๒ ชน้ั สรา้ งขนานไปกบั                                                                        ถนนตรเี พชร มคี วามยาวมากถงึ ๑๙๘ เมตร แต่ละ                                                                        ช้ันมีห้องเรียนเรียงตอ่ กันไปถงึ ๑๙ ห้อง                                                                            ทช่ี นั้ สองจะเห็นช่องหน้าตา่ งเรยี งต่อกนั ๕ ชอ่ ง	                                                                        ตรงน้จี ะเป็นหอ้ งเรียนใหญ่ สลับกบั ระเบียงทางเดนิ                                                                        ๖ ชอ่ งของหอ้ งเรยี นเลก็ (๒ ห้อง) สลบั กนั ไปเช่นน้ี                                                                        ตลอดความยาวของอาคาร                                                                            ดา้ นในเปน็ ระเบียงทางเดินยาวไปตามแนวซุม้                                                                        โค้ง เชอ่ื มหอ้ งเรยี นแตล่ ะห้องไปตลอดอาคารทงั้ สอง                                                                        ชั้น ตัวระเบียงหนั หน้าเข้าสสู่ นามฟุตบอล ภายใน                                                                        โรงเรยี น จงึ เหมาะสำ�หรับใชเ้ ปน็ อฒั จรรย์ดูกฬี าจาก                                                                        หน้าห้องเรียนได้                                                                            ช่องทางเข้าโรงเรียนทำ�เปน็ หลังคาจัว่ มีหนา้ บัน                                                                        ประดบั ตราสญั ลักษณ์โรงเรยี น ซงึ่ เปน็ สว่ นท่ตี อ่ เติม                                                                        ขึ้นมาภายหลัง ทำ�ให้รปู ด้านของตกึ ยาวไม่สมมาตร                                                                        ผิดแผกไปจากขนบการสร้างอาคารแบบคลาสสกิ     ตึกยาว...โค้งน้อยๆ แต่โค้งนะ                                          กีีฬาฮ่่าไฮ้้   จุดเด่นของตกึ ยาวใชว่ ่าอยู่ที่ความยาวของอาคารเท่านนั้ แต่            ...กฬี า กีฬา เป็นยาวเิ ศษ ฮา่ ไฮ.้ ..ฮ่าไฮ.้ ..  ตวั ตกึ ทีเ่ ห็นยงั มีความโค้งนอ้ ยๆ ไมไ่ ด้สรา้ งขึน้ มาแบบเสน้ ตรง   รหู้ รอื ไม่? เพลงกราวกีฬาทมี่ ที อ่ นฮคุ  อยา่ งอาคารท่ัวไป...เพราะอะไรกันนะ?!!                                 ตดิ หูนี้   น่นั กเ็ พราะอาคารสร้างขน้ึ ขนานไปกบั ถนนตรเี พชร ซงึ่ เปน็           มีตน้ กำ�เนิดมาจากกฬี าสีของโรงเรียน  ถนนท่ีโค้งออ่ นๆ ดว้ ยถนนตรีเพชรช่วงน้ี เป็นส่วนต่อขยาย               สวนกุหลาบ  ท่ีตัดใหม่ลงมาจากถนนพาหรุ ดั เช่ือมต่อไปยงั ถนนจักรเพชร                แตง่ โดยเจ้าพระยาธรรมศักด์มิ นตรี  หากตัดถนนเป็นเส้นตรง แนวถนนจะไปทับก�ำ แพงแกว้ ของ                     (สนั่น เทพหสั ดิน ณ อยธุ ยา) หรอื ‘ครู  พระอุโบสถวดั ราชบูรณะ ทำ�ให้ต้องตัดถนนให้ค่อยๆ โคง้ เขา้ ไป           เทพ’ อดตี เสนาบดีกระทรวงธรรมการ  เลียบกบั กำ�แพงวัด                                                    และเป็นผู้น�ำ กฬี าฟตุ บอลเข้ามาเผยแพร่   เราจะเห็นความโคง้ นไ้ี ดช้ ดั ๆ กต็ ่อเม่อื มองลอดระเบยี งดา้ น      ในสยามโดยใหเ้ ลน่ กันตามโรงเรียนด้วย  ในของตึกยาวออกไปนน่ั เอง                                                                                                                                     93
เรอื นจำ� I Prison      คกุ มหนั ตโทษ C10      ในอดตี การลงโทษผกู้ ระทำ�ผดิ จะแบง่ ทคี่ ุมขัง  ออกเปน็ ๒ ประเภท คือ    “คกุ ”                   “ตะราง”    ตง้ั แต่ ๖ เดือนขึ้นไป       นอ้ ยกว่า ๖ เดอื น   ต้ังอยหู่ น้าวดั โพธิ์  หรอื ขังนกั โทษที่มิใชโ่ จรผรู้ า้ ย      “คุก” สำ�หรับผตู้ อ้ งโทษต้ังแต่ ๖ เดือนขึ้นไป ตงั้            “คกุ ใหม”่ หรือคุกมหันตโทษนี้ ตง้ั อยบู่ นถนน  อยูบ่ ริเวณหนา้ วัดพระเชตพุ นฯ                                 มหาไชย ภายในก�ำ แพงพระนครดา้ นทิศตะวนั ออก                                                                 ดา้ นข้างตดิ คลองหลอด และอยดู่ ้านหลังวดั สทุ ศั น์    ส่วน “ตะราง” ใช้คุมขงั ผทู้ ีม่ ีโทษน้อยกว่า ๖  เดอื น หรอื ขงั นักโทษท่ีมใิ ช่โจรผ้รู า้ ย                      เม่อื แรกเปิด มีนักโทษยา้ ยไปคมุ ขังมากถงึ                                                                 ๑,๐๐๐ คน    เมอ่ื สยามเรยี นร้วู ิทยาการอย่างตะวนั ตก รัชกาล  ท่ี ๕ จงึ ทรงให้มกี ารปรับปรุงรูปแบบการจองจ�ำ ใหม่               นบั ไดว้ ่าคกุ แหง่ ใหมน่ ีม้ บี ริเวณกว้างขวางและทนั  ด้วย โดยให้สร้างคกุ ใหมท่ ่ีแขง็ แรงแนน่ หนา และจัด            สมัยกว่าเรือนจ�ำ เกา่ หนา้ วัดโพธเ์ิ ปน็ อย่างมาก  ระเบียบใหถ้ ูกตอ้ งตามมาตรฐานตะวันตก                                                                   อาคารส�ำ คญั ของคกุ มหนั ตโทษ ประกอบด้วย    แรกเรมิ่ มกี ารไปศกึ ษารูปแบบคุกจากสิงคโปร์                  ตกึ ฝรั่ง ๓ หลงั อยู่ในพน้ื ทีด่ ้านนอกของเรอื นจ�ำ ตดิ  (ในสมยั นั้นอย่ภู ายใตอ้ าณานคิ มของอังกฤษ) และ                ถนนมหาไชย ใชส้ �ำ หรบั เปน็ ทีท่ ำ�การเรือนจ�ำ โดย  ได้เลือกรปู แบบของเรอื นจ�ำ บริกซ์ตนั (Brixton)                มอี าคารแฝดคู่หน่ึง สร้างขนาบขา้ งทีป่ ระตทู างเขา้  ทปี่ ระเทศองั กฤษ ซ่งึ เปน็ เรือนจ�ำ ทีม่ คี วามมนั่ คง        หลัก  ในระดับสูงสดุ มาใช้ เรียกว่า “คุกกองมหนั ตโทษ”  พร้อมกบั ใหส้ ร้างตะรางขน้ึ มาใหมด่ ว้ ย (ตรงบรเิ วณ  อาคารศาลฎีกา ขา้ งสนามหลวงในปัจจุบัน) เรยี กวา่  “กองลหโุ ทษ” โดยคกุ เป็นสถานท่ีคุมขังนักโทษท่ี  ได้รบั การพิจารณาคดแี ลว้ สว่ นตะราง คือ ท่ีคมุ ขงั  จำ�เลยท่ีอยูใ่ นระหวา่ งการรอพจิ ารณาคดขี องศาล                                                              เรือนจำ�บริกซ์ตนั (Brixton) ท่ปี ระเทศองั กฤษ                                                            ข้นึ ชอ่ื ในฐานะคุกทม่ี ีความม่นั คงในระดบั สูงสุด                                                            (Maximum Security)    94
แต่ละหลังเปน็ ตกึ ๒ ชั้น มหี ลังคาปนั้ หยา ประดับประดาเพียงเล็ก                      The New Prison: Built in 1891  น้อย เนน้ ความเรยี บงา่ ยเพื่อให้สอดคลอ้ งกับการใชง้ านเปน็ หลกั โดย                in King Rama V’s era, the New  อาคารแฝดเป็นตึกทส่ี รา้ งขึ้นมาก่อน ออกแบบโดย นายโจอาคิม แกร                        Prison followed the concept of a  ซี (Joachim Grassi) สถาปนิกชาวออสเตรียเชอ้ื สายอติ าลี ซึ่งเข้ามา                   prison in Singapore which at the  ทำ�งานรบั เหมาก่อสร้างในสยาม และได้รับความนยิ มอยา่ งสูงในสมยั                      time was a British colony. Located  ตน้ รัชกาลท่ี ๕ ซง่ึ โรงทหารหนา้ หรอื กระทรวงกลาโหมในปจั จบุ ัน C06                 on the eastern side of the capital,  กเ็ ปน็ ผลงานอันโดดเด่นของนายช่างฝรงั่ ผ้นู ี้เช่นกัน                               the New Prison was designed by                                                                                      one of the most sought after West-    คุกกองมหนั ตโทษ ภายหลังได้เปล่ียนช่ือเปน็ เรือนจำ�พิเศษกรงุ เทพ                   ern architects of the time, Joachim  และทา้ ยทีส่ ดุ ไดย้ ้ายผู้ตอ้ งขังออกไปในปี ๒๕๓๔ ก่อนจะปรับปรุงพน้ื ท่ี            Grassi. The three buildings are  ใหเ้ ปน็ “สวนรมณีนาถ” สวนสาธารณะซึง่ เปดิ ใหใ้ ชง้ านในปี ๒๕๔๒                      located outside the fence served                                                                                      as the prison’s offices, and today    ตกึ เกา่ ทง้ั สามไดร้ บั การอนรุ กั ษแ์ ละพฒั นาใหเ้ ปน็ พพิ ธิ ภณั ฑร์ าชทณั ฑ์  the area inside the prison has  แสดงประวตั คิ วามเป็นมาของกรมราชทัณฑ์ และการลงโทษแบบต่างๆ                           been renovated into a public park.  ปจั จุบนั อยู่ในขั้นตอนการพัฒนาเป็นศนู ยก์ ารเรียนรู้ระหวา่ งประเทศ                 The buildings are now restored  ด้านกระบวนการยตุ ธิ รรม พรอ้ มเปิดใหเ้ ขา้ ชมได้ในอีกไม่นานนี้                      and developed as the Justice and                                                                                      Criminal Discovery Museum.                                                                                                                             95
โรงกษาปณ์ I Coin Mint        โรงกษาปณ์สทิ ธิการ C11                                                        ตรงกลางดา้ นหนา้ เป็นอาคาร                                                                                  หลกั สูง ๒ ชั้น ใช้เปน็ สำ�นักงาน        อาคารสวยคลาสสิกเชน่ นี้ ใครเลยจะคดิ วา่ แท้จริงแลว้ ...      มันคือ โรงงาน!                                                                มีหลังคาจว่ั แบบวหิ ารกรีก                                                                                  และประดบั ตราแผน่ ดินในสมยั        ใชแ่ ล้ว...ทีน่ ่เี ป็นโรงงานจริงๆ แตเ่ ป็นโรงงานผลติ เหรียญ              รัชกาลที่ ๕      เงนิ สำ�หรับใช้จา่ ยภายในประเทศ ตง้ั อยรู่ มิ คลองคเู มอื งเดิม      ดา้ นเหนือของพระนคร สร้างข้นึ ในสมัยรัชกาลที่ ๕ แทน                           อาคารปกี โดยรอบเปน็ อาคาร      โรงกษาปณ์เดมิ ท่ตี ง้ั อยู่ภายในพระบรมมหาราชวัง                             ชนั้ เดยี ว ใชเ้ ป็นสว่ นของโรงงาน          โดยโรงงานแหง่ ใหม่น้ไี ด้ติดตัง้ เครอ่ื งจักรใหม่ส�ำ หรับผลิตเงินเหรยี ญ    มหี ลังคาจว่ั ซอ้ น ๒ ช้นั เพื่อ      น�ำ เข้าจากเมอื งเบอร์มิงแฮม (Birmingham) ประเทศอังกฤษ ท�ำ ให้              ให้มชี อ่ งสำ�หรับระบายอากาศ      มกี �ำ ลังผลติ ได้ถงึ วันละ ๑๐๐,๐๐๐ เหรยี ญ นบั ได้วา่ เป็นโรงงานขนาด       ระหว่างชัน้ หลังคา      ใหญใ่ จกลางพระนครเลยทีเดยี ว                                                                                    จุดเดน่ ของโรงกษาปณแ์ ห่งนี้        ตวั อาคารออกแบบโดย นายคารโ์ ล อัลเลอกรี (Carlo Allegri)                   คอื โครงหลงั คาของส่วนโรงงานที่      วศิ วกรชาวอิตาลแี หง่ กระทรวงโยธาธิการ                                      เปน็ เหลก็ ยึดแนวทแยง (Truss)                                                                                  มดี ั้งหลงั คากลาง และคำ้�ยนั แนว        แผนผงั อาคารเปน็ รูปสี่เหลยี่ ม มลี านโล่งตรงกลางส�ำ หรับไวห้ อ           ทแยง นับวา่ เป็นความกา้ วหน้า      เหล็กเก็บน�้ำ โดยมอี าคารลอ้ มรอบ (เป็นแผนผงั แบบท่เี รยี กกนั วา่ “        อย่างหนึ่งในการกอ่ สรา้ งสมัยนั้น      พาลลาเดียน” คลา้ ยกบั โรงทหารหนา้ หรือกระทรวงกลาโหม C06 ที่                 ซ่ึงช่วยทำ�ให้มีช่วงหลังคาท่ีกวา้ ง      สรา้ งขึ้นก่อนหน้านน้ั เปน็ ระยะเวลาหลายปี)                                 ขึ้นถึง ๙.๖๕ เมตร โดยไมจ่ ำ�เปน็                                                                                  ตอ้ งมเี สามารองรับ         The Royal Mint: Constructed in 1902 towards the end of King Rama      V’s era, it was designed by Italian engineer Carlo Allegri under the          ถงึ แมจ้ ะเปน็ โรงงาน แตก่ ็ไม่      Department of Public Works, to serve as a new mint responsible for the      วายทีจ่ ะตกแตง่ ประดบั ประดา      production of Thai coins, replacing the old one inside the Grand Palace.    ดว้ ยรายละเอียดฟรงุ้ ฟร้งิ ทัง้ สัน      Its roof span is 11 yards wide and does not require supporting columns.     หลงั คาและเชงิ ชาย ตกแตง่ ดว้ ย      Currently, the building is home to the National Gallery.                    เหลก็ แผน่ ฉลลุ าย เลียนแบบเชงิ                                                                                  ชายไมข้ นมขงิ  D C 11 National Gallery	  A 4 Chao Fa Rd.                                                                   ปจั จุบันเปน็ ท่ีตง้ั ของพพิ ิธ  T   9.00am-4.00pm Wed-Sun                                                       ภัณฑสถานแหง่ ชาติ หอศลิ ป์  A   02 281 2224                                                                 ท่เี รามกั เรยี กกันตดิ ปากว่า                                                                                  “หอศิลป์เจ้าฟา้ ”  96
กอ่ นจะสรา้ งสะพาน                              พระปนิ่ เกลา้ ในปี ๒๕๑๔                              ดา้ นหน้าโรงกษาปณเ์ ป็น                              คลองคเู มอื งช้นั ในมาก่อน                              ทเี่ รียกว่า คลองโรงไหม    เรื่องเล่าชาวเกาะ    บน: สะพานผา่ นภิภพลลี า      นายคาร์์โล อััลเลอกรีี  ลา่ ง: สะพานผา่ นฟ้าลลี าศ   นัับเป็น็ นายช่า่ งฝรั่�งอีีกคนหนึ่�ง ที่�เข้า้ มาทำำ�งานในสยามช่ว่ งจังั หวะเวลาอััน                              เหมาะสมเป็็นอย่่างยิ่�ง ด้้วยเป็็นยุคุ หัวั เลี้�ยวหััวต่อ่ ของงานก่่อสร้า้ ง อัันเกิดิ จาก                              การก่่อตั้�ง “กรมโยธาธิกิ าร” ขึ้�น เพื่�อเป็็นหน่่วยงานที่่�ดููแลรัับผิิดชอบในการ                              ออกแบบก่่อสร้้างอาคารต่่างๆ ของรัฐั แทนการจัดั จ้้างบริิษััทรับั เหมาเอกชนของ                              สถาปนิกิ และวิิศวกรอิสิ ระจากตะวันั ตก                               นายคาร์โล อลั เลอกรี (Carlo Allergri) วิศวกรหนุ่มจากอิตาลีเดินทางมา                              แสวงโชคในสยามช่วงกลางรชั กาลท่ี ๕ โดยท�ำ งานใหก้ ับบรษิ ทั รับเหมากอ่ สร้าง                              ของนายโจอาคมิ แกรซี (Joachim Grassi) ท่มี ีเช้อื สายอติ าลีเช่นกนั ซึง่ ขณะ                              น้นั บริษทั ของนายแกรซีเป็นทนี่ ยิ มอย่างมาก ดงั จะเห็นไดจ้ ากผลงานออกแบบ                              กอ่ สร้างวงั เจ้านายและอาคารของรฐั ทั้งหลายทีม่ อี ยใู่ หเ้ ห็นเปน็ ประจกั ษ์พยาน                              จ�ำ นวนมาก                               กระทงั่ กรมโยธาธกิ ารก่อตงั้ ข้ึนมาพอดี ในปี ๒๔๓๒ นายอัลเลอกรีจงึ ไดเ้ ปล่ียน                              มารับราชการทน่ี แี่ ทน ในต�ำ แหน่งวศิ วกร ผ้รู ับผิดชอบตรวจและควบคมุ งาน                              ออกแบบกอ่ สรา้ งในทกุ ๆ โปรเจกต์ของกรมโยธาธกิ าร และนายชา่ งฝร่งั ผู้น้เี อง                              กเ็ ปน็ ผอู้ อกแบบสะพานตา่ งๆ ในพระนคร โดยน�ำ โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก                              ช่วงยาว เขา้ มาใชใ้ นการสร้างสะพานขึน้ เปน็ ครัง้ แรกในสยาม อาทิ สะพานผ่าน                              ภิภพลลี า ผ่านฟ้าลลี าศ กล็ ้วนเป็นผลงานของเขาท้งั สน้ิ                               นอกจากนี้แล้วเขายงั เปน็ วศิ วกรค�ำ นวณโครงสร้างอาคารแทบทกุ หลงั ของ                              กรมโยธา รวมไปจนถึงพระที่นัง่ อนนั ตสมาคมหลงั ใหม่ดว้ ย                                                                                                                             97
โรงพิิมพ์์ I Print Shop          โรงพิมพ์บำ� รุงนุกลู กิจ C12                                                   ตวั อาคารกอ่ อฐิ ถือปูน สงู ๒ ช้ัน ผัง                                                                                       อาคารเป็นส่เี หลี่ยม ยาว ๑๒ ชว่ งเสา        โรงพมิ พ์บ�ำ รุงนุกูลกิจตง้ั อยู่ในยา่ นส่กี กั๊ เสาชิงช้า บนถนนบ�ำ รงุ เมือง  มีประตูเข้า ๒ ทาง      ถนนการค้าสายสำ�คัญสายหนงึ่ ของพระนครในยคุ นัน้ เหน็ เป็นอาคาร                    รปู ด้านสมมาตรแบบอาคารคลาสสิก      เกา่ แบบน้ี ใครจะคิดวา่ เคยเป็นโรงพมิ พ์มากอ่ น แถมยังเป็นโรงพิมพ์               การตกแตง่ แบบเรยี บงา่ ย เนน้ การใชง้ าน      เอกชนท่ีเปดิ ด�ำ เนินงานมาตัง้ แต่สมยั กลางรชั กาลที่ ๕ อีกตา่ งหาก              เปน็ สำ�คัญ แตก่ ระนัน้ กย็ ังมกี ารประดบั                                                                                       ลกู ไม้เชิงชายอยูบ่ า้ ง        ทว่ี ่าเปน็ โรงพมิ พเ์ อกชนนน้ั ด้วยเปน็ กจิ การของหลวงด�ำ รงธรรม              หลงั คาทรงป้ันหยาซ่ึงเป็นแบบมาตรฐาน      สาร (มี ธรรมาชวี ะ) ปลดั กรมอัยการ ซึง่ ภายหลังไดอ้ อกจากราชการ                  ของตึกฝรงั่ ในยุคนั้น ส่วนวสั ดมุ ุงหลงั คา      เพ่ือมาด�ำ เนนิ ธรุ กิจโรงพิมพอ์ ย่างเตม็ ตวั                                    ใชก้ ระเบอื้ งซเี มนต์ อันเป็นวัสดอุ ย่างใหม่                                                                                       ด้วยเชน่ กัน        การพมิ พ์ถอื เป็นเรอ่ื งใหมใ่ นสมัยนนั้ ถงึ แม้หมอบลดั เลย์ มิชชัน-      นารีชาวอเมริกา จะนำ�แท่นพมิ พเ์ ข้ามาในสยามตงั้ แตส่ มยั รัชกาลที่ ๔                 Bamrung Nukunkit Print Shop:      แลว้ กต็ าม งานพมิ พจ์ ัดว่าเป็นเครอ่ื งมอื ให้ชาวสยามได้เรยี นรู้สง่ิ ใหมๆ่     Opened in 1895 in King Rama V’s      กว้างขวางขนึ้ ซ่งึ พวกเราก็ต่ืนตวั กบั หนังสือและสิ่งพมิ พ์เปน็ อยา่ งมาก        era, it was a leading printing house                                                                                       located on Bamrung Mueang Road,        โรงพมิ พแ์ หง่ นร้ี ับบรกิ ารพมิ พ์หนังสอื หลากหลายประเภท ทง้ั                 a business district at the time. The      หนังสอื ของหลวง หนงั สืองานศพ หนงั สือธรรมะ หนังสอื เรียน รวมไป                  business continued into the family’s      จนถงึ หนงั สือราชกจิ จานุเบกษาต่างๆ ด้วย                                         fourth generation, and was later                                                                                       closed down around 30 years ago.        โดยเรมิ่ แรกทต่ี งั้ แทน่ พมิ พแ์ ละเปดิ กิจการนนั้ มีออเดอร์เข้ามามาก      ยง่ิ กวา่ โรงพิมพ์อื่นๆ แตต่ ่อมาเมือ่ เข้าสู่รัชกาลหลงั ๆ ก็มโี รงพิมพ์เปิด      ใหม่ข้นึ เป็นจำ�นวนมาก งานท่นี ่ีจึงค่อยๆ ลดลงไปในทสี่ ดุ          โรงพิมพบ์ ำ�รงุ นุกูลกิจไดเ้ ปดิ ดำ�เนินงานมาอย่างยาวนานจนกระทงั่      ถึงรนุ่ ท่ี ๔ ซึง่ เปน็ เหลนของหลวงด�ำ รงธรรมสาร และได้ปดิ ตัวลง      อย่างเงยี บๆ เมื่อราว ๓๐ ปที ีแ่ ลว้ จบต�ำ นานโรงพมิ พท์ ่ีเกา่ แกท่ ส่ี ดุ ใน      ประเทศไทยไป	          ปจั จุบันตึกเกา่ หลงั นี้ได้รับการดแู ลรักษาไว้ และมโี ครงการอนุรักษ์ท่ี      จะฟ้นื คืนอดตี อนั รุ่งโรจนข์ องอาคารแห่งนี้ใหก้ ลบั มามชี ีวติ ชีวาขน้ึ มาอกี      คร้ัง...โปรดติดตามกันตอ่ ไป...    98
                                
                                
                                Search
                            
                            Read the Text Version
- 1
 - 2
 - 3
 - 4
 - 5
 - 6
 - 7
 - 8
 - 9
 - 10
 - 11
 - 12
 - 13
 - 14
 - 15
 - 16
 - 17
 - 18
 - 19
 - 20
 - 21
 - 22
 - 23
 - 24
 - 25
 - 26
 - 27
 - 28
 - 29
 - 30
 - 31
 - 32
 - 33
 - 34
 - 35
 - 36
 - 37
 - 38
 - 39
 - 40
 - 41
 - 42
 - 43
 - 44
 - 45
 - 46
 - 47
 - 48
 - 49
 - 50
 - 51
 - 52
 - 53
 - 54
 - 55
 - 56
 - 57
 - 58
 - 59
 - 60
 - 61
 - 62
 - 63
 - 64
 - 65
 - 66
 - 67
 - 68
 - 69
 - 70
 - 71
 - 72
 - 73
 - 74
 - 75
 - 76
 - 77
 - 78
 - 79
 - 80
 - 81
 - 82
 - 83
 - 84
 - 85
 - 86
 - 87
 - 88
 - 89
 - 90
 - 91
 - 92
 - 93
 - 94
 - 95
 - 96
 - 97
 - 98
 - 99
 - 100
 - 101
 - 102
 - 103
 - 104
 - 105
 - 106
 - 107
 - 108
 - 109
 - 110
 - 111
 - 112
 - 113
 - 114
 - 115
 - 116
 - 117
 - 118
 - 119
 - 120
 - 121
 - 122
 - 123
 - 124
 - 125
 - 126
 - 127
 - 128
 - 129
 - 130
 - 131
 - 132
 - 133
 - 134
 - 135
 - 136
 - 137
 - 138
 - 139
 - 140
 - 141
 - 142
 - 143
 - 144
 - 145
 - 146
 - 147
 - 148
 - 149
 - 150
 - 151
 - 152
 - 153
 - 154
 - 155
 - 156
 - 157
 - 158
 - 159
 - 160
 - 161
 - 162
 - 163
 - 164
 - 165
 - 166
 - 167
 - 168
 - 169
 - 170
 - 171
 - 172
 - 173
 - 174
 - 175
 - 176
 - 177
 - 178
 - 179
 - 180
 - 181
 - 182
 - 183
 - 184
 - 185
 - 186
 - 187
 - 188
 - 189
 - 190
 - 191
 - 192
 - 193
 - 194
 - 195
 - 196
 - 197
 - 198
 - 199
 - 200
 - 201
 - 202
 - 203
 - 204
 - 205
 - 206
 - 207
 - 208
 - 209
 - 210
 - 211
 - 212
 - 213
 - 214
 - 215
 - 216
 - 217
 - 218
 - 219