Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 0010101 ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร

0010101 ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร

Published by General Education PNRU, 2020-07-13 03:26:34

Description: 0010101 ภาษาไทยเพื่อการสื่อสาร

Search

Read the Text Version

เอกสารประกอบการสอนหมวดวิชาศกึ ษาทว่ั ไป รหสวิชา 0010101 ภาษาไทยเพื่อการสอื่ สาร มหาวทิ ยาลยราชภัฏพระนคร

ค่มู ือแนวการสอน ภาษาไทยเพอื่ การสอ่ื สาร รหัสวิชา 0010101 คณะผจู้ ัดทารายวิชา รองศาสตราจารย์ อรอนงค์ ตั้งก่อเกียรติ ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ มุกดา ลบิ ลบั ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.กมลพัทธ์ โพธิ์ทอง ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.ศวิ รนิ แสงอาวธุ อาจารย์ ดร.ภาวิณี พนมวนั ณ อยธุ ยา อาจารย์ จนญั ญา งามเนตร อาจารย์ เกศนี คุ้มสุวรรณ อาจารย์ อาทิตย์ ศรีจนั ทร์ ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร เป็นเอกสารประกอบการสอนของ มหาวทิ ยาลัยราชภัฏพระนคร ทุกส่วน ทุกตอน ไม่ว่า จะเป็นเน้ือเร่ือง ภาพประกอบ และอ่ืนๆ มหาวิทยาลัยขอสงวนลิขสิทธิ์ห้ามผู้ใดนาส่วนหน่ึงส่วนใด หรือตอนหนึ่ง ตอนใดของเน้ือเร่อื ง ภาพประกอบ และอ่นื ๆ ทปี่ รากฏอยใู่ นเอกสารประกอบการสอนเลม่ น้ีไปทาการคดั ลอก โดยวิธี พิมพ์ดีด เรียงตัว อดั สาเนา ถ่ายฟิล์ม พิมพ์โดยเคร่ืองจักรหรอื วิธีการอ่ืนใด เพ่ือนาไปแจกจาหน่าย หรอื ประโยชน์ ในเชิงพาณิชย์

ก 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร คำนำ คมู่ ือแนวการสอนวชิ าภาษาไทยเพื่อการสื่อสารเล่มน้ี คณาจารย์วิชาภาษาไทย คณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร ได้ร่วมกันจัดทาข้ึนตามนโยบายของมหาวิทยาลัย เพื่อให้ เปน็ ตาราหลกั ในการเรียนการสอนรายวิชาภาษาไทยเพอ่ื การสือ่ สารในหมวดวชิ าศกึ ษาทั่วไป เน้ือหาของคู่มือแบ่งออกเปน็ 8 บท ประกอบด้วยเร่ือง ภาษาและการส่อื สาร การใช้ภาษาไทยเพ่ือ สื่อความหมายอย่างถูกต้องและเหมาะสม การนาเสนอผลการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการ การใช้ทักษะทาง ภาษาท่ีสัมพันธ์กัน การพัฒนาทักษะการฟัง การพัฒนาทักษะการอ่าน การพัฒนาทักษะการพูด และการ พฒั นาทักษะการเขียน ทงั้ น้ีเพ่ือให้ผเู้ รียนมีความรู้และสามารถใช้ทกั ษะทางภาษาไทยในการสร้างสรรค์องค์ ความรู้ใหมท่ ่ีมคี ุณค่าตลอดจนสามารถนาเสนอได้อยา่ งน่าสนใจ คณะผู้จัดทาหวังว่าคู่มือเล่มนี้จะมีส่วนเอ้ือให้การเรียนการสอนวิชาภาษาไทยเพื่อการสื่อสารมี พัฒนาการไปในทิศทางทพี่ งึ ประสงค์และมปี ระสิทธภิ าพมากยง่ิ ขน้ึ ขอขอบพระคุณคณาจารย์วิชาภาษาไทย และเจ้าของเอกสารข้อมูลทุกท่านที่ได้กล่าวนามใน เอกสารน้ี ตลอดจนขอขอบคณุ ทกุ ท่านท่ีมีส่วนชว่ ยในการจดั ทาเอกสารน้ีเสรจ็ สมบรู ณ์ คณะผูจ้ ดั ทา มหาวิทยาลยั ราชภัฏพระนคร

ข 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร สำรบญั หนำ้ ก เรอื่ ง ข คำนำ 1 สำรบญั 1 บทท่ี 1 ภำษำและกำรสอื่ สำร 2 4 ความหมายของภาษา 8 ประเภทของภาษา 10 ระดบั ของภาษาในการสื่อสาร 11 ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งภาษากับการสื่อสาร 12 วตั ถปุ ระสงค์ของการสอ่ื สาร 15 การใช้ภาษาเพ่ือสัมฤทธผิ ลทางการสื่อสาร 15 อปุ สรรคของการสอื่ สารและวิธีแก้ไข 21 บทที่ 2 กำรใช้ภำษำไทยเพื่อสื่อควำมหมำยอย่ำงถกู ต้องและเหมำะสม 25 การใชค้ า 28 การใชป้ ระโยค 30 การใช้สานวน 32 การใชโ้ วหาร 34 การใช้ภาพพจน์ 36 การใช้สัญลกั ษณ์ 50 การอา่ นออกเสียงคาให้ถูกต้อง 50 การเขียนสะกดคาใหถ้ ูกตอ้ ง 67 บทที่ 3 กำรนำเสนอผลกำรศกึ ษำค้นคว้ำทำงวิชำกำร 73 การนาเสนอผลการศกึ ษาค้นคว้าทางวิชาการด้วยลายลักษณอ์ กั ษร 75 การนาเสนอผลการศกึ ษาคน้ คว้าทางวิชาการดว้ ยวาจา 75 การนาเสนอผลการศึกษาค้นคว้าทางวิชาการดว้ ยส่อื ประสม 78 บทท่ี 4 กำรใชท้ กั ษะทำงภำษำท่สี ัมพันธก์ นั 81 การจบั ใจความสาคญั 84 การย่อความและสรปุ ความ 87 การวิเคราะห์ 90 กรวจิ ารณ์ 93 การตีความ การขยายความ การสังเคราะห์

ค 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร สำรบญั (ตอ่ ) หน้ำ 96 เรือ่ ง 96 บทที่ 5 กำรพัฒนำทกั ษะกำรฟัง 97 97 ความหมายของการฟัง และการฟงั เพื่อสมั ฤทธิผล 98 ข้นั ตอนและกระบวนการของการฟัง 99 ความสาคัญของการฟัง 100 จดุ มงุ่ หมายของการฟัง 101 ปจั จยั ที่ให้การฟงั เกิดสัมฤทธิผล 102 แนวทางการฟังสารเพื่อสัมฤทธิผล 104 มารยาทในการฟัง 106 ประเภทของสารที่ฟัง 107 ระดับความเขา้ ใจในการรับสาร 109 ปัญหาและอุปสรรคในการฟงั 109 แนวทางการแกป้ ัญหาในการฟัง 110 บทท่ี 6 กำรพัฒนำทักษะกำรอ่ำน 111 ความหมายของการอา่ น 112 จุดมุ่งหมายของการอ่าน 112 ความสาคัญของการอ่าน 113 กระบวนการอา่ น 114 องคป์ ระกอบท่ีมีผลตอ่ การอ่าน 121 ประเภทของสาร 128 ประเภทของการอ่าน 130 ระดบั ของการอ่าน 132 หลักการอา่ นอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ 132 ปัญหาในการอา่ นและแนวทางแก้ไข 132 บทท่ี 7 กำรพฒั นำทักษะกำรพูด 133 ความหมายของการพดู 133 จุดมงุ่ หมายของการพูด 134 ความสาคญั ของการพูด 134 กระบวนการในการพูด 135 ประเภทของการพูด 136 การพูดในทส่ี าธารณะ 147 การสรา้ งความม่ันใจการพูดในที่สาธารณะ ระดบั การพูดในทสี่ าธารณะตามโอกาสตา่ ง ๆ การพดู เปน็ พิธกี รและโฆษก

ง 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร สำรบญั (ตอ่ ) หน้ำ 148 เร่อื ง 148 ปัญหาและอปุ สรรคในการพดู 150 แนวทางแก้ไขปัญหาในการพูด 150 150 บทท่ี 8 กำรพฒั นำทักษะกำรเขยี น 151 ความหมายของการเขียน 152 ความสาคัญของการเขียน 153 จุดมงุ่ หมายของการเขยี น 155 ประเภทของการเขยี น 157 โวหารในการเขยี น 158 ข้นั ตอนในการเขียน 159 หลกั การการเขียน 161 หลักการพฒั นาทักษะการเขยี น 166 ปัญหาในการเขยี น 179 หลกั เกณฑท์ างภาษาเกยี่ วกบั การเขียนท่ีควรทราบ การเขยี นภาคปฏิบัติ บรรณำนกุ รม

1 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร บทท่ี 1 ภาษาและการสอื่ สาร การส่ือสารของมนุษย์เป็นส่ิงจาเป็นในสังคม เพ่ือให้คนในสังคมได้ติดต่อส่ือสารระหว่างกัน เพ่ือการ ดาเนนิ ชีวิตและการประกอบอาชีพต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธผิ ล สามารถอย่รู ่วมกันได้อย่าง เข้าใจกันมีความสุขและสันติ การสื่อสารดังกล่าวมนุษย์จะต้องใช้ภาษาเป็นเครื่องมือในการส่งสารไปยังผู้รับ สาร ภาษาจงึ เป็นหวั ใจสาคญั ของกระบวนการสือ่ สาร ความหมายของภาษา คาว่า “ภาษา” มาจากรากศัพท์ภาษาสันสกฤตในคาว่า “ภาษฺ” แปลว่า ถ้อยคาหรือคาพูด โดยมีผู้ รวบรวมความหมายของคาวา่ ภาษา ไว้ดงั นี้ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (2556: 868-869) ได้ให้ความหมายของภาษาไว้ว่า ภาษา หมายถึง ถ้อยคาท่ีใช้พูดหรือเขียนเพื่อส่ือความของชนกลุ่มใดกลุ่มหน่ึง เช่น ภาษาไทย ภาษาจีน หรือ เพ่ือสื่อความเฉพาะการ เช่น ภาษาราชการ ภาษากฎหมาย ภาษาธรรม; เสียง ตัวหนังสือ หรือกิริยาอาการที่ สื่อความได้ เช่น ภาษาพูด ภาษาเขียน ภาษาท่าทาง ภาษามือ; โดยปริยายหมายถึงสาระ, เรื่องราว, เนื้อความที่ เข้าใจกนั เช่น ตกใจจนพดู ไมเ่ ป็นภาษา เขยี นไม่เปน็ ภาษา ทางานไมเ่ ป็นภาษา ภาษาตามความหมายในนิรุกติศาสตร์ คือ วิธีท่ีมนุษย์แสดงความในใจเพื่อให้ผู้อื่นรู้ จะเป็นเร่ืองท่ี ต้องการบอกความในใจท่ีนึกไว้หรือเป็นเรื่องท่ีอัดอ้ันอยู่ให้ไปปรากฏออกมาภายนอก โดยใช้เสียงพูดที่มี ความหมายที่ได้ตกลงใช้และรบั รรู้ ว่ มกัน นววรรณ พันธุเมธา (ม.ป.ป. : บทนา) ภาษาเป็นเครื่องมือใช้สื่อสารถ่ายทอดความคิดจากบุคคลหนึ่ง ไปยังอีกบุคคลหนึ่ง ความคิดจะถ่ายทอดกันได้ ก็โดยท่ีผู้ส่งสารและผู้รับสารรู้ระบบของภาษาที่เรียกว่า ไวยากรณ์ ไวยากรณ์ไม่ว่าภาษาใดควรจะทาให้ผู้ส่งสารใช้ถ้อยคาได้เหมาะสมกับจุดมุ่งหมายของผู้ส่งสาร เร่ืองราวที่ส่งสาร และความรู้ของผู้รับสาร เราจึงต้องใช้ภาษาให้ถูกระบบ เพื่อจะสื่อความคิดให้ได้ผลตาม จุดมุ่งหมายของผู้ส่งสาร จากนิยามจะเห็นได้ว่า ภาษาคือ เคร่ืองมือท่ีใช้ในการสื่อสารทาความเข้าใจกันระหว่างมนุษย์ เพ่ือให้ เกิดการรับรู้และความเข้าใจร่วมกันโดยการสร้างระบบสัญลักษณ์ ข้อตกลงของกลุ่มสังคมในการกาหนด ความหมายของสิ่งตา่ ง ๆ

2 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร ประเภทของภาษาทีใ่ ชใ้ นการสอ่ื สาร นกั วิชาการทางภาษาหลายทา่ นไดแ้ บ่งประเภทของภาษาไว้ ดงั นี้ เอมอร ชิตตะโสภณ (2549: 6-11) กล่าวว่า ภาษาแบ่งประเภทตามลักษณะการใช้และตามโครงสร้าง ดังน้ี 1. แบ่งตามลักษณะการใช้ภาษา ได้แก่ ลักษณะท่ัวไปและลักษณะท่ีใช้ส่ือสารในชีวิตประจาวัน มี รายละเอยี ดดังน้ี 1.1 ลกั ษณะทั่วไป ไดแ้ ก่ วจั นภาษาและอวจั นภาษา 1.1.1 วจั นภาษา (วัด-จะ-นะ-ภา-ษา) หมายถึง ภาษาพูดหรือภาษาที่ออกเสียงเปน็ ถ้อยคา หรือประโยคท่มี ีความหมายสามารถเข้าใจได้ เชน่ คาพูด คาสนทนา คาทกั ทาย เปน็ ตน้ 1.1.2 อวัจนภาษา (อะ-วัด-จะ-นะ-ภา-ษา) หมายถึง กิริยาอาการต่าง ๆ ที่ปรากฏออกมา ทางร่างกายของมนุษย์เป็นส่วนใหญ่ และสามารถส่ือความหมายได้ จึงมีผู้เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กายภาษา (Body Language) สารที่ปรากฏออกมาทางอวัจนภาษา ส่วนใหญ่บ่งบอกถึงความรู้สึก และบุคลิกลักษณะ ของผู้นั้น อวัจนภาษาแบ่งออกเป็น 7 ประเภท สรุปได้ดังนี้ (สวนิต ยมาภัย. 2552: 32-37 ; สิริชัย วงษ์สาธิต ศาสตร์และคณะ. 2552: 63-64) 1) เทศภาษา (Proxemics) (เท-สะ-ภา-ษา) หมายถึง ภาษาที่ปรากฏขึ้นจาก ลักษณะของสถานท่ีท่ีบคุ คลทาการสื่อสารกันอยู่ รวมท้ังจากชว่ งระยะท่ีบุคคลทาการส่ือสารอยู่ห่างจากกัน ทั้ง สถานที่และช่วงระยะ จะแสดงให้เห็นความหมายบางประการที่อยู่ในจิตสานึกของบุคคลผู้กาลังสื่อสารกันน้ัน ได้ชัดเจนพอสมควรทีเดียว เช่น เม่ือบุคคลสองคน ต่างเพศกัน น่ังอยู่บนม้านั่งตัวเดียวกัน (สถานที่) ชิดกัน ประมาณหนึ่งคืบ หรือน้อยกว่าน้ัน (ช่วงระยะ) ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ว่า บุคคลท้ังสองมีความสัมพันธ์เป็นพิเศษ มิใช่ ผู้ที่รู้จักกันธรรมดา หรือการจัดลาดับท่ีน่ังของพระพิธีกรรมของพระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ การยืน การน่ัง พูดคุยกันระหว่างเพ่ือน ญาติพี่น้องซึ่งมีระยะใกล้หรือห่างกัน ในบางคร้ังก็แสดงให้เห็นความใกล้ชิดสนิทสนม กันไดเ้ ช่นกนั 2) กาลภาษา (Chronemics) (กา-ละ-ภา-ษา) หมายถงึ การใช้เวลา เป็นอีกวิธีหนึ่ง ของการส่ือสารเชิงอวัจนะ เพ่ือแสดงเจตนาของผู้ส่งสารท่ีจะก่อให้เกิดความหมายเป็นพิเศษอย่างใดอย่างหนึ่ง แกผ่ ู้รับสารในภาษาไทย จะมีวลีว่า “ผิดเวลา” หรอื “ไม่รู้จกั เวล่าเวลา” หรือ “ไดเ้ วลาแล้ว” เหล่านี้ แสดงให้ เห็นว่า เวลาหรอื กาล เปน็ อวัจนสารทีม่ คี วามสาคญั อย่างหนง่ึ เช่น การยืนเคารพธงชาติในเวลา 8.00 น. และ 18.00 น. การเข้าชั้นเรียน การ ตอกบัตรเข้าทางาน การเขา้ ควิ ซื้อตวั๋ การให้ของขวัญในวนั ข้นึ ปีใหม่ เปน็ ตน้ 3) เนตรภาษา (Oculesics) (เนต-ตระ-ภา-ษา) หมายถึง ภาษาท่ีเกิดจากการใช้ ดวงตา หรอื สายตา เพ่ือสื่อสารอารมณ์ความรู้สกึ นึกคิด ความประสงค์ และทัศนคตบิ างประการในตัวผู้ส่งสาร

3 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร เช่น การมอง การจ้อง การชาเลือง และการใช้รหัสทางสายตา เพ่ือให้ทราบความหมายอะไรบางอย่าง ซ่ึงใชไ้ ด้ ทัง้ อารมณร์ ัก ดใี จ โกรธ เกลยี ด เศร้าหมอง เปน็ ตน้ 4) สัมผัสภาษา (Haptics) หมายถึง ภาษาท่ีเกิดจากการใช้อาการสัมผัสแสดงการ สัมผัสทางกาย เพื่อส่ือสารความรู้สึกและอารมณ์ ตลอดจนความปรารถนาที่ฝังลึกอยู่ในใจของผู้ส่งสาร ไปยัง ผรู้ ับสาร เป็นต้นว่า การโอบกอด, การจับมือกัน, การคล้องแขน หรือเดินจงู มือกนั ในสวนสาธารณะ ซึ่งสื่อสาร ว่าเปน็ การผูกไมตรีจิตกัน การแสดงความรักตอ่ กนั เป็นต้น 5) อาการภาษา (Kinesics) หมายถึง ภาษาท่ีอยู่ในรูปของการเคลื่อนไหวร่างกาย เพ่ือส่ือสาร ได้แก่ การเคลื่อนไหวศีรษะ แขน ขา ลาตัว การช้ีนิ้ว เป็นต้น อาการภาษามักเก่ียวข้องกับสังคม วฒั นธรรม เชน่ การไหว้ การโค้งคานบั เป็นตน้ 6) วตั ถุภาษา (Objectics) หมายถงึ ภาษาท่ีเกิดจากการใช้และการเลือกวัตถุมาใช้ เพ่ือแสดงความหมายบางประการให้ปรากฏ วัตถุในที่น้ี หมายถึง ส่ิงของทุกขนาด ทุกลักษณะท่ีสามารถใช้ส่ง สารบางประการได้ รวมท้ังเครื่องแต่งกาย ได้แก่ เส้ือผ้า เครื่องประดับ และของใช้ติดตัว หรือการประดับธง ชาติในวนั ชาติ เป็นต้น 7) ปริภาษา (Vocalie หรือ Paralanguage) คาว่า “ปริ” แปลว่า อยู่โดยรอบ ปริ ภาษา หมายถึง อวัจนภาษาท่ีเกิดจากการใช้น้าเสียงประกอบถ้อยคาที่บุคคลกล่าวออกไป แต่น้าเสียงนั้นไม่ใช่ ถ้อยคา น้าเสียงที่เปล่งออกไปจะแนบสนิทอยู่โดยถ้อยคาจนยากที่จะแยกออกจากถ้อยคาได้ ตามปกติในการ สื่อสารระหว่างบุคคลน้าเสียงจะมีความสาคัญมากในการสื่อความหมาย เช่น น้าเสียงเชื้อเชิญเข้าร่วมงาน นา้ เสยี งออกคาสัง่ ให้เข้าห้องเรยี น เปน็ ตน้ 1.2 แบ่งภาษาตามลักษณะที่ใช้สื่อสารในชีวิตประจาวัน ได้แก่ ภาษาถ่ิน ภาษามาตรฐาน ภาษาเฉพาะวงการ และภาษาเฉพาะกลุ่ม (วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์ 2521: 33-34) สรปุ ได้ดังน้ี 1.2.1 ภาษาถ่ิน หมายถึง ภาษาเฉพาะของท้องถิ่นใดท้องถ่ินหน่ึง ท่ีมีรูปลักษณะเฉพาะตัว ทัง้ ถ้อยคาและสาเนียง เป็นตน้ (พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554. 2556: 869) อาจกลา่ วได้ว่า ภาษาถ่ิน ทน่ี ามาใชก้ นั แพรห่ ลาย เช่น แซบอีหลี ม่วนแต๊ ฮกั หลาย โลด เป็นตน้ 1.2.2 ภาษามาตรฐาน หมายถึง ภาษาที่ใช้ในราชการ โรงเรียน หรืออาจกล่าวว่าสาเนียง สานวนภาษาที่คนซึ่งได้รับการศึกษาจากโรงเรียนจานวนมากใช้คล้ายคลึงกันและไม่รังเกียจว่าผิด หรือแปลกหู ภาษามาตรฐานน้ีใช้เป็นภาษากลางสาหรบั ติดต่อสื่อสารกันระหว่างคนในชาติ (ส่วนภาษาท่ไี ม่เป็นมาตรฐาน ก็ คอื สาเนยี งสานวนภาษาทค่ี นจานวนมากรงั เกยี จ ไมย่ กย่อง) 1.2.3 ภาษาเฉพาะวงการ หมายถึง ภาษาเฉพาะในวงการ แต่คนภายนอกสามารถเข้าใจ ได้ อาจกล่าวได้ว่า ภาษาเฉพาะวงการ เป็นภาษาย่อยที่เกิดจากการใช้ภาษาตามตาแหน่งหน้าที่การงานของ กลุ่มชนผู้ใช้ภาษา เช่น ภาษาราชการ ภาษาวิชาการ ภาษาโฆษณา ภาษาธุรกิจ ภาษาหนังสือพิมพ์ และภาษา การเมือง เป็นต้น

4 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร 1.2.4 ภาษาเฉพาะกลมุ่ เป็นภาษาย่อยท่เี กิดจากการใช้ภาษาในสังคม กลา่ วคือ เปน็ ภาษา ท่ีใช้ในกลุ่มจริง ๆ โดยมิได้หวังที่ขยายไปสู่วงนอก เช่น ภาษาสแลง ภาษาวัยรุ่น หรือบุคคลบางกลุ่ม เช่น ลูก ประดู่ หมายถึง ทหารเรือ ตลาดโต้รุ่ง ฟิน (เป็นท่ีพอใจมาก) เป็นต้น 2. แบง่ ตามโครงสรา้ ง การแบ่งภาษาตามโครงสร้าง แบง่ ได้เปน็ 2 ชนิด ดงั นี้ 2.1 ภาษาพูด หมายถึง ภาษาที่ใช้ติดต่อสื่อสารด้วยการพูดในชีวิตประจาวัน เป็นภาษาท่ีไม่ เคร่งครัด ท้ังในเร่ืองของการใช้คา หรือการเรียงคาเป็นประโยค ท้ังน้ีเพราะมิได้เน้นถึงความถูกต้องตาม ความหมายของคาหรอื หลกั ไวยากรณ์ หากแต่จะเน้นเพยี งเพื่อส่ือให้เกิดความเขา้ ใจในสารเทา่ นน้ั 2.2 ภาษาเขียน หมายถึง ภาษาที่มีลักษณะเป็นเคร่ืองหมายให้ผู้ส่งและผู้รับทราบความหมาย หรือความมุ่งหมายของกันและกันได้ (กาชัย ทองหล่อ, 2555: 10) ในสายตาของนักภาษาศาสตร์ ภาษาเขียน ไม่ใช่ตัวภาษาท่ีแท้จริง แต่เป็นเพียงสัญลักษณ์ที่มนุษย์ได้ประดิษฐ์ข้ึนมาเพ่ือเป็นตัวแทนของภาษาพูดเท่านั้น ถงึ แม้ภาษาเขียนจะเป็นเพียงตวั แทนของภาษาพูด แต่เน่ืองจากภาษาเขียนจะต้องทาหน้าที่แทนตัวผู้พูด ซ่ึงไม่ ปรากฏตัวอยู่ในที่นั้นด้วย ภาษาเขียนจาเป็นต้องกระชับและชัดเจน ดังนั้นผู้ใช้ภาษาเขียนจึงต้องมีความ ระมัดระวัง และพิถีพิถันในการเขียนมากกว่าการพูด ภาษาเขียนจึงมีลักษณะเป็นทางการมากว่าภาษาพูด (วิไลวรรณ ขนษิ ฐนันท์, 2521: 39) จะเห็นว่าการส่ือสารของมนุษย์น้ัน จะต้องใช้ท้ังภาษาถ้อยคา (วัจนภาษา) และภาษาท่ีไม่ใช้ถ้อยคา (อวจั นภาษา) ควบคู่กันไปให้เกิดประสทิ ธิภาพ แต่ผูส้ ่งสารจะต้องคานึงถึงระดบั ของภาษาท่ีใช้ในการสื่อสารให้ เหมาะสมด้วย ภาษามรี ะดับการใชใ้ หเ้ หมาะสมกบั บคุ คล โอกาสและสถานท่ี ดังตอ่ ไปน้ี ระดบั ของภาษาในการส่อื สาร การใช้ภาษาในการส่ือสารจะต้องคานึงถึงวัฒนธรรมในการใช้ภาษาของแต่ละชาติ สาหรับภาษาไทย มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษาให้เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคล เมื่อใช้ภาษาต่างฐานะบุคคล ต่างโอกาส ตา่ งสถานท่ี ตอ้ งเลือกสรรใชถ้ ้อยคาต่างกัน ทัง้ ท่ีต้องการใหม้ คี วามหมายอย่างเดียวกัน นักวิชาการไดแ้ บ่งภาษา เป็นระดับต่าง ๆ ได้หลายวิธี ในเอกสารเล่มน้ีจะแบ่งเป็น 3 ระดับ คือ ภาษาปาก ภาษาก่ึงแบบแผน และ ภาษาแบบแผน พอสรปุ ได้ดงั น้ี 1. ภาษาปาก หรือภาษาไม่เป็นทางการ (vulgarism) หมายถึง ภาษาที่ส่วนใหญ่ใช้ในการพูด ชีวติ ประจาวนั กับบุคคลที่สนิทสนมค้นุ เคย มไิ ด้คานงึ ถึงแบบแผนของภาษา เน้นท่ีสอื่ ความหมายให้เขา้ ใจกันได้ และเน้นการแสดงความรู้สึกเท่านั้น ภาษาปากมีภาษาย่อยหลายลักษณะ หากจาแนกโดยพิจารณาพื้นท่ีเป็น เกณฑ์ คือ จาแนกเป็นภาษาถิ่นต่าง ๆ ภาษาเหล่าน้ีมีลักษณะแตกต่างเฉพาะด้านเสียงของคาและวงศัพท์ เท่าน้ัน ระบบไวยากรณ์คงเป็นแนวเดียวกันนอกจากน้ีถ้าจาแนกโดยพิจารณาสภาพทางเศรษฐกิจ การศึกษา เพศ วัย และองค์ประกอบอื่น ๆ ได้ดังน้ี ภาษาชาวบ้านทั่วไป ภาษาชาวกรุง หรือภาษาชาวเมืองใหญ่ ภาษา

5 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร ผู้หญิง ภาษาผู้ชาย ภาษาผู้มีการศึกษา ภาษาผู้ไร้การศึกษา ภาษาเด็ก ภาษาผู้ใหญ่ ภาษาคนม่ังมี ภาษาผู้ ยากไร้ และภาษาบคุ คลแตล่ ะอาชพี นอกจากนี้ภาษาปาก ยังหมายถึง การใช้ภาษาในกรณีสนทนากันระหว่างผู้คุ้นเคยสนิทสนมกันมาก ภาษาที่ใช้เขียนบทสนทนาในนวนิยาย เรื่องส้ัน บทล้อเล่นเสียดสี ประชดประชัน บันทึกอนุทิน จดหมาย ส่วนตัว การโฆษณา ประชาสัมพนั ธ์ และการหาเสยี ง เปน็ ตน้ หลกั ควรสังเกตภาษาปาก 1) ผสู้ ่งสารและผรู้ ับสารมคี วามใกล้ชดิ และเป็นกันเองมาก 2) สารท่สี ่งไมม่ ีขอบเขตจากดั อาจเป็นคาทีใ่ ชก้ นั เฉพาะกลมุ่ หรืออาจเป็นภาษาถิ่น 3) การส่งสารเป็นคาพดู มากกวา่ การเขียน 4) ไม่นยิ มบันทึกเปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษร เพราะถือวา่ เป็นภาษาท่ไี มเ่ ป็นทางการ ตัวอยา่ งขอ้ เขยี นทใ่ี ช้ภาษาปาก : - หร่อยจังฮู้ (ภาษาอีสาน หมายถึง อร่อยมาก) : - แซบหลายเดอ้ (ภาษาอสี าน หมายถึง อรอ่ ย) : - ราแต้ ๆ (ภาษาเหนอื หมายถึง อร่อย) : - ฉนั ไปตลาดอากาศรอ้ นมาก เหงื่อท่วมตวั เลย : - บา้ นลุงมน่ั วิดบ่อได้ปลาเยอะแยะเลย : - วันน้แี ม่พาพวกเราไปไหว้พระวัดโพธ์ิ วดั แจง้ และวดั พระแกว้ สนุกมาก ๆ : - สวัสดีครับ พ่อแม่พี่น้องท่ีเคารพรักทุกคน เสียงท่ีได้ยินได้ฟังอยู่นี้เป็นเสียงของหน่วยโฆษก งานปิดทองฝังลูกนิมิตของวัดสามง่าม ขอเชิญญาติโยมท่ีใจบุญใจกุศลร่วมปิดทองหลวงพ่อกัน ในเทศกาล ตรษุ จีนปนี โ้ี ดยถว้ นหนา้ เฮง เฮงกันทุกคน : - ทางการให้งบมาตัดถนนเข้าหมู่บ้าน แหมดีแท้ ๆ และถนนท่ีตัดจากสายใหญ่ก็ปรับพ้ืนที่ตัด ตรงมายงั วดั ท้องไร่กว้างไกลสุดลุกหูลกู ตา ซ่ึงลงขา้ วโพดไว้เกือบหมดทุกแปลง ดูเหมือนกับจะต้อนรับเทศกาล ทาบุญสุนทานสร้างโบสถ์ สรา้ งบุญกศุ ลกนั ทั่วทั้งหมูบ่ ้าน 2. ภาษากึ่งแบบแผน หรือภาษากึ่งทางการ หมายถึง ภาษาท่ีมีลักษณะก้ากึ่งกนั ระหว่างภาษาปาก กับภาษาแบบแผน คือ มีความประณีต สละสลวยมากกว่าภาษาปาก ภาษาก่ึงแบบแผนเหมาะสาหรับการใช้ ภาษาในกรณกี ารสนทนาระหว่างผูท้ ไี่ ม่ค้นุ เคยกนั หรือสุภาพบุรษุ สนทนากบั สุภาพสตรี การพูดในทป่ี ระชุม การ ใช้ภาษาในส่ือมวลชนประเภทต่าง ๆ โดยเฉพาะในการรายงานข่าวการโฆษณา การประชาสัมพันธ์ การเขียน จดหมายธรุ กิจ จดหมายสว่ นตวั การบรรยายหรือการพรรณนาความในหนงั สือบนั เทิงสารคดีทัว่ ไป หลักสังเกตภาษากงึ่ แบบแผน 1) ผ้สู ่งสารและผู้รบั สารมีการโตต้ อบ หรือแลกเปล่ียนความคดิ เหน็ กนั ได้เปน็ ระยะ ๆ

6 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร 2) เน้ือหาของสารเป็นเร่ืองเก่ียวกับความรู้ท่ัวไป การแสดงความคิดเห็นเชิงวิชาการหรือการ ดาเนนิ ชวี ิต หรือเป็นเร่ืองเกย่ี วกับธรุ กิจ 3) การใชส้ านวนภาษาในสาร ทาให้ผรู้ บั สารรู้สกึ ค้นุ เคยมากขึน้ 4) การส่งสารประเภทนี้ มุ่งให้ผู้รับสารสามารถรับสารได้ถูกต้องตรงตามจุดประสงค์ของการ สง่ สาร จงึ ใช้ศัพทว์ ชิ าการเทา่ ท่ีจาเป็นเท่านน้ั ตวั อยา่ งข้อเขยี นท่ใี ช้ภาษากง่ึ แบบแผน : - คุณศุภมิตร น้อยคาสิน วิศวกรชลประทาน ปฏิบัติการโครงการประตูระบายน้าคลองลัดโพธ์ิ เล่าถึงความเป็นมาของโครงการว่าเนื่องจากแม่น้าเจ้าพระยาบริเวณตาบลบางกระเจ้า อาเภอพระประแดง จ. สมุทรปราการ มีลักษณะคดเค้ียวคล้ายกระเพาะหมู และมีความยาวถึง 18 กิโลเมตร ทาให้การระบายน้าใน พืน้ ที่กรุงเทพฯ ชัน้ ใน ทาได้ชา้ เม่ือบวกกับน้าทะเลหนุน จงึ เกิดนา้ ทว่ มเปน็ วงกว้าง (ชีวจิต, 2557: 30) : - ยามาชติ ะ เคนิ ผู้จดั การร้านโอชากา โอโซ ประจาประเทศไทย ร้านเก๊ียวซา่ ต้นตารับมานาน กวา่ 40 ปี จากประเทศญ่ีปุ่นร่วมกับบตั รเครดิตเจซีบี โดยมาซาโกะ ทาเคดะ มอบสทิ ธพิ ิเศษสาหรับลูกค้าที่ ชาระด้วยบัตรเครดติ เจซีบี รบั ทนั ทเี กี๊ยวซ่า 1 จานฟรี (สกลุ ไทยฉบบั ที่ 3082, 2556: 120) : - “การกินหมากเป็นเอกลักษณ์อย่างหน่ึงของชาวพม่า ซ่งึ แน่นอนว่าสมุนไพรชนิดสาคญั ท่ีตอ้ ง มีอยู่คู่การกินหมาก คือ “ใบพลู” พลูในภาษาพม่าเรียกว่า “Kuu” พลูเป็นไม้เลื้อยเน้ือแข็ง มีกลิ่นหอม รสชาติเผ็ด เจือขมและหวานเล็กน้อย มีสรรพคุณแก้อาการเจ็บคอ ไอ เสียงแหบ และโรคหืดผสมน้าคั้นใบสด กับน้าตาล จบิ แกอ้ าการทอ้ งเสยี ” 3. ภาษาแบบแผน หรือภาษาทางการ (Formal Language) หมายถึง ภาษาที่ใช้อย่างเป็นทางการ ถูกต้องตามระเบียบแบบแผนของภาษาทั้งด้านการใช้คาประโยค สานวน ภาษาแบบแผนเหมาะสาหรับการใช้ ภาษาในกรณีการกล่าวสุนทรพจน์โอกาสต่าง ๆ เช่น กลา่ วรายงาน กล่าวเปิด-ปิดงาน กล่าวให้โอวาท การเขียน บทความวชิ าการ การเขียนตาราทางวิชาการ การเขียนวิทยานิพนธ์ การเขียนเอกสารทางราชการ การเขียนตอบ ข้อสอบอัตนัย การเขียนบทบรรณาธิการในหนังสือพิมพ์ บทความสารคดีทางราชการ และการเขียนประกาศ เกยี รติคุณ เปน็ ต้น หลักควรสังเกตภาษาแบบแผน 1. ผู้สง่ สารและผู้รับสารเป็นบุคคลในสถาบันพระมหากษตั ริยแ์ ละสถาบนั ศาสนา 2. ผู้ส่งสารและผู้รับสารจะเป็นบุคคลสาคัญหรือมีตาแหน่งสูงในวงการนั้น หรือมีหน้าท่ีและ ภารกจิ โดยตรงเกี่ยวกับธรุ กิจ 3. ผู้สง่ สารและผ้รู ับสารมสี ัมพันธภาพกันอยา่ งเป็นทางการ 4. ลักษณะของสารจะเป็นพิธีรีตอง เป็นทางการ มีความจริงใจ ถ้อยคาที่ใช้มีลักษณะ ตรงไปตรงมา เลอื กสรรมาอยา่ งถูกต้องเหมาะสมและไพเราะสละสลวยกอ่ ให้เกิดความรู้ ความจรรโลงใจ

7 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร ตัวอยา่ งข้อเขยี นภาษาแบบแผน : - บทความ คือ ความเรียงประเภทหนึ่ง ซึ่งมีจุดประสงค์หลายลักษณะ เช่น เพื่อแสดงความรู้ เสนอข้อเท็จจริง ความคิดเห็น ตั้งข้อสังเกต วิเคราะห์ วิจารณ์ ประเมินค่าในเรื่องใดเรื่องหน่ึง การเขียน บทความตอ้ งเขียนอย่างมีหลกั ฐาน มเี หตผุ ลนา่ เช่อื ถือหากมขี อ้ เสนอแนะใด ๆ ตอ้ งเป็นไปในทางสรา้ งสรรค์ : - งานประเพณีลอยกระทง เผาเทียนเล่นไฟ เป็นเทศกาลที่มีความสาคัญเป็นอย่างมากต่อ จังหวดั สุโขทัย นอกจากจะเป็นโอกาสดีที่ชาวสุโขทัยจะได้แสดงถึงศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณเี ก่าแก่ทีส่ ืบทอด มาจากอดีตถึงปัจจุบันอย่างน่าภาคภูมิใจแล้วยังนับเป็นอีกงานหนึ่งที่คนไทยทุกคนจะได้ทาพิธีขอขมาต่อพระ แม่คงคา” (สกุลไทย ฉบบั ที่ 3082, 2556: 8) : - “ประเทศไทยนอกจากจะมีพระสยามเทวาธิราชผู้อภิบาลเมืองไทยให้อุดมสมบูรณ์ดว้ ยทรัพย์ ในดินสินในน้า และมีพระมหากษัตริย์ท่ีทรงบุญญาธิการปกเกล้าปกกระหม่อมอาณาประชาราษฏร์ให้อยู่เย็น เป็นสุขแล้ว ประเทศไทยยังมีพระบรมราชินีนาถถึงสองพระองค์คือ สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์ิ พระบรมราชนิ นี าถในพระบาทสมเดจ็ พระเจ้าอยู่หัวภมู พิ ลอดลุ ยเดชรัชกาลที่ 9” ความแตกตา่ งของภาษาแต่ละระดบั ระดับภาษา บุคคลและโอกาสที่ใช้ (กาลเทศะ) สัมพันธภาพ ลักษณะของสาร ระหว่างผพู้ ดู ภาษาแบบ - ใช้ ใน งาน พิ ธีก ารข อ งส ถ าบั น - เป็นทางการ - มีลักษณะเปน็ พิธรี ีตอง แผนหรอื พระมหากษัตรยิ ์และสถาบนั ศาสนา - เป็นผู้อยู่ในวงการ - ถ้อยคาเลือกเฟ้นอย่างไพเราะ ภาษา สมเด็จพระสังฆราชและพระภิกษุ หรืออาชีพเดียวกัน มักเตรียมบทหรือวาทนิพนธ์ ทางการ สงฆ์ เช่น พิธีฉัตรมงคล พิธีจรด ติดต่อกันทางด้าน มาล่วงหน้า พระนังคัล พิธีถวายพระพรชัย ธรุ กิจและการทางาน - เจาะจงทางด้านธุรกจิ มงคล ฯลฯ - ใช้ถ้อยคาตรงไปตรงมามุ่งสู่ - ใช้ในที่ประชุมท่ีจัดขึ้นอย่างเป็น จุดประสงค์อย่างรวดเร็วมักมี ทางการ เช่น การเปิดประชุม การ ศั พ ท์ ท า ง เท ค นิ ค ห รื อ ศั พ ท์ กล่าวอวยพร การกล่าวคาปราศรัย วชิ าการ การปาฐกถา การใหโ้ อวาท ฯลฯ - ใช้ในการบรรยายหรืออภิปราย อย่างเป็นทางการ เช่น หนังสือ ราชการ หนงั สอื วงการธุรกจิ ฯลฯ

8 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร ระดับภาษา บุคคลและโอกาสทใ่ี ช้ (กาลเทศะ) สัมพนั ธภาพ ลกั ษณะของสาร ระหว่างผ้พู ดู ภ า ษ า ก่ึ ง ใ ช้ ใ น ก า ร ป ร ะ ชุ ม ก ลุ่ ม เ ล็ ก ผู้ พุ ด คุ้ น เ ค ย กั น เน้ือหาเกี่ยวกับความรู้ทั่วไป แ บ บ แ ผ น การบรรยายในห้องเรียน การรายงาน มากกวา่ ระดับทางการ การแ ส ด งค วาม คิ ด เห็ น เชิ ง หรือ ข่าวและบทความในหนงั สอื พิมพ์ วิชาการเรือ่ งเก่ียวกับธุรกิจ กง่ึ ทางการ ภาษาปาก - ใช้ในการสนทนาไม่เกิน 4-5 คน - คุ้นเคยแต่ไม่ถึงกับ - เ ป็ น เ รื่ อ ง ทั่ ว ๆ ไ ป ใ น หรอื ภาษา ในกาลเทศะท่ีไม่เป็นการส่วนตัว เป็นเพือ่ นสนิท ชีวิตประจาวันไม่จากัดอยู่ใน ไม่เป็น การเขียนจดหมายระหว่างเพ่ือน - คุ้นเคยสนิทสนมกัน เรือ่ งวิชาการ ทางการ การรายงานข่าวและการเสนอ มาก - อาจมีถ้อยคาท่ีใช้กันเฉพาะ บทความในหนงั สอื พมิ พ์ กลุม่ - ใช้กันภายในครอบครัว ระหว่าง - ไมม่ ขี อบเขตจากดั เพื่อนสนิท สถานท่ีใช้มักเป็นท่ี - ไม่นิยมบันทึกเป็นลายลักษณ์ สว่ นตวั อักษร อาจมีคาคะนอง ความสมั พันธร์ ะหว่างภาษากับการสอื่ สาร ภาคภูมิ หรรนภา (2554: 18) ได้กล่าวไว้ว่าในการสื่อสารนั้นภาษาคือ พาหนะให้เนื้อหาของสารเกาะ เกยี่ วกับผูส้ ่งสารไปสู่ผูร้ ับสาร ผู้ผลติ ภาษาคือ ผู้ส่งสาร ภาษาท่ีออกมาจะดีหรือไม่อยู่ท่ีทักษะในการสื่อสารของ ผู้ส่งสาร แต่ท้ังน้ีต้องข้ึนอยู่กับผู้รับสารด้วย เพราะผู้ส่งสารเลือกใช้ภาษาในการนาเสนอท่ีเหมาะกับผู้รับสาร เหมาะสมกบั ความรู้และทกั ษะการใช้ภาษาของผู้รับสาร สวนติ ยมาภัย (2526: 66) อธิบายภาษาเพอ่ื การส่ือสาร คอื การท่ีผู้สง่ มเี จตนาที่จะถ่ายทอดความคิด และวัตถุประสงค์ภายในใจไปยังผู้รับ เป้าหมายที่แน่นอนแล้วต้องการให้ผู้รับสารเกิดปฏิกิริยาตอบสนอง เกิด ความเข้าใจใกลเ้ คยี งกบั ความตั้งใจของผ้สู ง่ สาร แบบจาลองการส่ือสาร ผูส้ ง่ สาร สาร สอ่ื /ช่องทาง ผู้รับ ผลตอบ สาร กลับกลับ ภาษา

9 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร แบบจาลองการสอื่ สารของ ฮาโรลด์ ลาสเวลล์ (Harold D.Laswell, 1948: 37-51) นักวชิ าการด้าน สงั คมศาสตร์ ผู้สนใจการสื่อสารจากโฆษณาชวนเช่อื (propaganda) และการแสดงใหเ้ ห็นวา่ ภาษาอยตู่ รงไหน ในแบบจาลอง (สวนติ ยมาภัยและระวีวรรณ ประกอบผล, 2537: 19) จากแนวคิดของลาสเวลล์ สรุปได้ว่า องค์ประกอบของการส่ือสาร ได้แก่ ใครคือ ผู้ส่งสาร กล่าวอะไรคือ สาร ในช่องทางใดคือ ส่ือหรือช่องทางการติดต่อ, แก่ใครคือ ผู้รับสาร และด้วยผลอะไรคือ ผลท่ีเกิดข้ึนจากการสื่อสาร ใน กระบวนการสื่อสารดังกล่าว จะเกิดประสิทธิภาพประสิทธิผล ก็ต่อเม่ือองค์ประกอบทุกองค์ประกอบมี ประสิทธภิ าพสูงสุดหรือ มีคุณลักษณะดังต่อไปนี้ (คณะกรรมการวิชาภาษาไทยเพื่อการสอ่ื สาร ศนู ย์วชิ าบูรณา การ หมวดวิชาการศึกษาทัว่ ไป, 2556: 10-22) 1. ผู้ส่งสาร (sender) หมายถึง บุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่มีจุดประสงค์เพื่อถ่ายทอดข้อมูล ข่าวสาร ความรู้สึกนึกคิดความเชื่อ ประสบการณ์ ฯลฯ ไปยังผู้รับสารเพื่อก่อให้เกิดผลอย่างใดอย่างหนึ่งต่อผู้รับสาร ผูส้ ่งสารที่สามารถทาให้การสื่อสารสัมฤทธิผลควรมีความน่าเช่ือถือ (แมครอสกี Me Craskey J.C., 1987: 28 อ้าง ถึงใน) 5 ประการดังนี้ 1.1 มคี วามรู้ความเขา้ ใจอยา่ งถูกต้องในสารและความสามารถในการส่ือสาร (Competence) 1.2 ลักษณะหรือรูปลักษณ์ (Character or appearance) มีบุคลิกภาพที่ดีทั้งภายนอกและ ภายใน มคี วามเฉลียวฉลาดไหวพรบิ ทีด่ ใี นการตดั สินใจทาสิ่งต่าง ๆ อยา่ งถกู ต้องเหมาะสม 1.3 ความสุขุมและความคล่องแคล่วในการสื่อสาร (Composure) หมายถึง ความสามารถใน การควบคมุ อารมณไ์ มใ่ หม้ คี วามประหม่า ตน่ื เตน้ หรอื หวาดกลวั 1.4 การเป็นที่ยอมรับของสังคม (sociability) หมายถึง การที่ผู้ส่งสารเป็นที่นิยม ชื่นชอบ มีช่ือเสยี ง หรือเปน็ ทยี่ อมรับของสังคมโดยทว่ั ไป ยอ่ มทาใหผ้ รู้ บั สารสนใจและรู้สึกดตี อ่ ผู้สง่ สาร 1.5 การเป็นคนเปิดเผย (extroversion) หมายถึง การที่ผู้ส่งสารให้ข้อมูลที่เพียงพอ ไม่ปิดบังข้อมูล แก่ผู้ส่งสาร รวมท้ังผู้ส่งสารและผู้รับสารมีความเหมือนกันด้านคุณลักษณะทางกายภาพ ได้แก่ เพศ อายุ ระดับ การศกึ ษา ความเช่อื คา่ นิยม และมาจากภูมลิ าเนาเดียวกันกจ็ ะทาใหเ้ กดิ ความรู้สึกสนิทสนมไวว้ างใจมากข้นึ 1.6 คณะกรรมการวิชาภาษาไทยเพ่ือการสื่อสาร (2556: 11) ได้เพิ่มเติมว่าผู้ส่งสารที่ดีควรมี ความรู้เก่ียวกบั จติ วิทยา และตอ้ งตระหนักดว้ ยว่ามนษุ ย์มีความแตกต่างกนั ท้ังในด้านสตปิ ัญญา ความคิด ความ สนใจ แนวคิด ระดับการศึกษา อาชีพ ฯลฯ ต้องปรับวิธีการส่งสารและการยกตัวอย่างท่ีสอดคล้องกับผู้รับ สารโดยรวมดว้ ย 2. ผู้รับสาร (receiver) ผู้รับสารมีบทบาทในการกาหนดรู้ความหมายของเรื่องราวที่ผู้ส่งสารผ่าน สอื่ อย่างใดอยา่ งหนึ่งมาถงึ ตน และมปี ฏิกริ ิยาสนองตอบต่อผสู้ ่งสาร ผู้รับสารควรมีคณุ สมบัตดิ ังน้ี พยายามรับรู้ เรื่องราวข่าวสารต่าง ๆ อยู่เป็นนิจจากการฟังและการอ่านด้วยความต้ังใจ สนใจ และจับใจความได้อย่าง ถกู ตอ้ ง ครบถ้วน นาไปใชป้ ระโยชน์ได้ 3. สาร (message) สารจะประกอบด้วยส่วนสาคัญ 2 ส่วน คือ เนื้อหา และภาษาท่ีใช้ในการ สือ่ สาร เนอื้ หาของสารมี 2 ประเภท คอื ขอ้ เทจ็ จริง และข้อคิดเหน็ มลี ักษณะดงั นี้

10 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร 1) ข้อเท็จจริง คือ สารที่รายงานให้ทราบถึงความเป็นจริงต่าง ๆ ของส่ิงที่มีอยู่ในโลก เกี่ยวข้อง กบั บคุ คล สตั ว์ วัตถุ สิง่ ของ เหตุการณ์ สถานท่ี ทรพั ยากรธรรมชาติ ฯลฯ 2) ขอ้ คิดเห็น เป็นสิ่งที่เกดิ ข้ึนในจิตใจของผ้สู ่งสาร อาทิ ความคิดแนวคิด ความรู้สึก ความเชื่อท่ี ผู้ส่งสารมีต่อส่ิงใดส่ิงหนึ่ง เช่น ข้อคิดเห็นเชิงประเมินค่า เชิงตั้งข้อสังเกต เชิงโน้มน้าว เชิงตัดสินใจ เชิงแสดง อารมณ์ นอกจากน้ีเรายังสามารถแบง่ สารตามวตั ถุประสงค์ของการสื่อสารได้ 3 ประเภท ได้แก่ สารประเภทให้ ความรู้ สารประเภทโน้มน้าวใจ และสารประเภทจรรโลงใจ ผู้ส่งสารควรผลิตสารที่มีความถูกต้องชัดเจน เข้าใจง่าย มีตัวอย่างประกอบ และมีการใช้ภาษา ถา่ ยทอดไดอ้ ยา่ งเหมาะสมกับบคุ คล โอกาส สถานทด่ี ว้ ย 4. ส่ือ (medium) หรือ ช่องทางติดต่อ (channels) ส่ือทาหน้าท่ีเป็นตัวกลางท่ีเช่ือมโยงรับผู้ส่งสาร กับผู้รับสารให้ติดต่อกันได้ สารที่ถ่ายทอดไปยังผู้รับโดยส่ือจะเข้าไปสู่ระบบรับรู้ของผู้รับสาร หรือเป็นทาง ติดต่อท่ีทาให้สารเคล่ือนผ่านประสาทสัมผัสทางใดทางหน่ึง ได้แก่ ประสาทหู ตา จมูก ล้ิน กาย ส่ือท่ีมนุษย์ใช้ ในการสอื่ สาร มีหลายประเภทได้แก่ 1) ส่ือธรรมชาติ ได้แก่ บรรยากาศทอ่ี ยูร่ อบตวั มนษุ ย์ เกิดขึน้ เองหรอื มีอยโู่ ดยธรรมชาติ 2) ส่ือมนุษย์ เชน่ คนนาสาร นักเล่านทิ าน โฆษก ผูด้ าเนินรายการ ฯลฯ 3) สื่อสิ่งพิมพ์ เช่น หนังสือ วารสาร นิตยสาร หนังสือพิมพ์ จดหมาย แผ่นปลิว แผ่นพับ ข่าวแจก ฯลฯ 4) สื่ออิเลก็ ทรอนิกส์ เช่น วทิ ยุ โทรทัศน์ โทรศพั ท์ เครื่องบนั ทกึ เสียง วดี ทิ ศั น์ มัลตมิ เี ดีย ฯลฯ 5) สอ่ื ระคน ไดแ้ ก่ ปา้ ยโฆษณาตามสถานท่ตี า่ ง ๆ ศิลาจารึกสือ่ พ้นื บ้าน ฯลฯ 5. ผลท่ีเกิดขนึ้ จากการส่ือสารหรอื ปฏิกริ ิยาตอบสนอง (Effect หรือ Feedback) คือ การตอบสนอง จากผู้รับสารในลักษณะใดลักษณะหน่ึง เช่น การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามท่ีผู้ส่งสารต้องการหรือการยอม กระทาตามข้อเสนอแนะ เกดิ ความพอใจและเห็นประโยชน์แล้วนาไปปฏิบัติตามวัตถปุ ระสงค์ที่ตั้งไว้ ซ่ึงจะเป็น สิ่งท่ีประเมินวา่ การส่ือสารสัมฤทธิผลหรือไม่ เพ่ือเป็นข้อมูลการวิเคราะห์ปัญหา อุปสรรคท่ีทาให้การส่ือสารไม่ สัมฤทธิผล เพ่อื ปรบั ปรุงแกไ้ ขพฒั นาให้ดขี นึ้ วัตถปุ ระสงค์ของการสื่อสาร 1. วัตถุประสงค์ของการส่งสาร ได้แก่ เพ่ือแจ้งให้ทราบบอกให้รู้ สอนหรือให้ความรู้ ชักจูงหรือโน้ม น้าวใจ สร้างความพอใจหรอื ให้ความบันเทิง สอบถาม ขอร้องขอความช่วยเหลือรักษาสัมพันธไมตรีทางสังคม หรือมารยาททางสังคมอันดีงาม 2. วัตถุประสงค์ของการรับสาร ได้แก่ เพ่ือรับทราบศึกษาเรียนรู้หรือทาความเข้าใจ การตอบ คาถาม การกระทาหรอื ตดั สนิ ใจ เพอื่ ความพอใจหรอื ความร่นื เริง

11 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร การใช้ภาษาเพอื่ สัมฤทธิผลทางการส่อื สาร การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพนั้น จาเป็นต้องอาศัยหลักการส่ือสาร การเลือกใช้ภาษาและรูปแบบของ การส่ือสารได้อย่างถูกต้อง สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ท่ีตั้งไว้ หลักการดังกล่าวเรยี กว่า “หลัก 7 ประการเพ่ือ การส่ือสารท่ีสัมฤทธิผล” (สิริชัย วงษ์สาธิตศาสตร์และคณะ. 2552: 109-114) ประกอบด้วยข้อควรปฏิบัติ เบื้องต้น ที่ผู้ส่ือสารควรยึดถือเป็นหลักประจาใจในการส่ือสาร ซึ่งสามารถนาไปประยุกต์ใช้ในการส่ือสารทุก รูปแบบไม่ว่าจะเป็นการส่ือสารแบบเผชิญหน้า หรือการส่ือสารผ่านส่ือต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการส่ือสารที่เป็น ทางการหรือไม่เป็นทางการ ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารด้วยภาษาพูดหรือภาษาเขียน หรือไม่ว่าจะเป็นการสื่อสาร ในวงวิชาชพี ใด ๆ ก็ตาม ลว้ นแล้วแตจ่ าเปน็ ต้องอาศัยแนวทางพน้ื ฐานของการสือ่ สารท่ีสัมฤทธิผลดงั กลา่ วทั้งสิ้น หลัก 7 ประการในการใช้ภาษาเพอื่ สัมฤทธิผลทางการส่อื สารในประเด็นตา่ ง ๆ มดี ังนี้ 1. ความสมบูรณ์ครบถ้วน ข่าวสารจะมีความสมบูรณ์ต่อเม่ือได้ครอบคลุมถึงเนื้อหาและข้อเท็จจริง อย่างครบถ้วน เพียงพอที่จะทาให้ผู้รับรับสารตอบสนองต่อข่าวสารท่ีถูกส่งไป การคานึงถึงความสมบูรณ์ ครบถ้วนของข่าวสาร ย่อมก่อให้เกดิ ประโยชน์ในการสือ่ สาร เช่น ทาใหไ้ ด้รบั ผลตอบสนองตามที่ต้องการ ทาให้ เกิดความรู้สึกท่ีดีขึ้นภายหลังสิ้นสุดการส่ือสาร เป็นต้น แนวทางสาคัญในการสร้างความสมบูรณ์ครบถ้วนน้ัน ประกอบด้วยเทคนคิ ต่าง ๆ ได้แก่ ด้วยการใหข้ ้อมูลทจ่ี าเป็นอยา่ งครบถ้วน ตอบทุก ๆ คาถาม ให้ข้อมูลพิเศษ เมอื่ เป็นท่ตี ้องการ 2. ความกะทัดรัด หมายถึง การส่ือสารโดยส่ือเฉพาะเน้ือหาสารในส่วนที่จาเป็นรวมถึงการใช้ ถ้อยคา ทั้งภาษาพูดหรือภาษาเขียนอย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวคือ ใช้ในปริมาณท่ีน้อยท่ีสุด ตราบเท่าท่ี ข่าวสารยังคงความสมบูรณ์ของคุณภาพในการสื่อสาร และเนื้อหาใจความครบถ้วน ความกะทัดรัดในการใช้ ถ้อยคา ทาให้การสื่อสารนั้นประหยัดทั้งเวลาและค่าใช้จ่าย โดยอาศัยเทคนิค 3 ประการ คือ ขจัดคาท่ีไม่ จาเป็น เน้ือหาต้องครอบคลุมเฉพาะเร่ืองที่เก่ียวข้อง และหลีกเลี่ยงการย้าข้อมูลที่ไม่จาเป็น เพราะจะทาให้ เนอื้ หาเย่ินเยอ้ ขาดความกะทดั รดั 3. การพิจารณาไตร่ตรอง เป็นการพิจารณาถึงความรู้สึกของคู่สือ่ สารในฐานะผู้รับสาร วา่ เนื้อหาที่ ส่งไปนั้นจะเกิดผลกระทบอย่างไรกับผู้รับ กล่าวคือ เป็นการใช้เทคนิคของ “การเอาใจเขามาใส่ใจเรา” โดยให้ ลองว่า ผู้รับสารนั้น เม่ือได้รับข่าวสารแล้วมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร เช่น มีอารมณ์หรือไม่ เข้าใจอย่าง เเจ่มแจ้งหรือไม่ ภาษาที่ใช้เป็นท่ีเข้าใจหรือไม่ ซ่ึงจะช่วยให้ผู้ส่งสารสามารถแก้ไขปรับปรุงการส่ือสารของตน ได้โดยอาศัยเทคนิค 3 ประการ คือ เน้น “คุณ” มากกว่า “ฉัน” หรือ “เรา” คือ การทาให้เนื้อหารข่าวสาร เน้นหรือมุ่งความสนใจไปที่ตัวผู้รบั โดยตรง อาจแสดงให้เห็นถึงผลประโยชน์ท่ีผู้รับสารจะได้รับ และเน้นในเชิง บวกเสมอ (เน้นสารที่สร้างความพึงพอใจและความรสู้ ึกท่ีดี หลกี เล่ียงถ้อยคาในเชงิ ลบต่าง ๆ) 4. ความเป็นรูปธรรม การส่ือสารควรจะมีความชัดเจน เฉพาะเจาะจง ไม่มีลกั ษณะท่ัวไปแบบกว้าง ๆ หรือมีลักษณะคลุมเครือ ไม่แน่นอน เน้ือหาต้องไม่สามารถตีความไปในทิศทางอื่น เทคนิคที่ช่วยให้การสื่อสาร น้ันมีความชัดเจนเป็นรูปธรรม 3 วิธี ได้แก่ พยายามใช้ตัวเลข และข้อเท็จจริงท่ีจาเพาะเจาะจง (เช่น นักศึกษา คนน้ีเคยได้เกรดเฉล่ียถงึ 4.00 ในระดับปริญญาตรี) พยายามสื่อสารด้วยขอ้ ความท่ีมปี ระธานเป็นผู้แสดงกิริยา

12 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร (เช่น อาจารย์ตรวจรายงานของนักศึกษา) และพยายามเลือกใช้คาที่มีความหมายชัดเจน เห็นจริง อาจใช้ ถ้อยคาเปรยี บเทยี บเพอื่ ให้เห็นภาพพจน์ (เชน่ เขาใจกลา้ ประดุจแม่นา้ เจ้าพระยา) 5. ความชัดแจ้ง การส่ือสารที่มักพบเห็นในชีวิตประจาวัน มีวัตถุประสงค์หลักประการหนึ่ง คือ สร้างความเข้าใจในข่าวสาร ความหมายของข้อมูลจากผู้ส่งที่ส่งไปให้ผู้รับ จะต้องเป็นท่ีเข้าใจอย่างถูกต้อง ความไมร่ อบคอบ หรือระวังจะทาให้การสื่อสารล้มเหลวได้ อาจใชเ้ ทคนคิ 2 ประการดังต่อไปน้ี เพื่อช่วยให้เกิด ความชัดแจ้งข้ึนด้วยการ 1) เลือกใช้ถ้อยคาที่ถูกต้องชัดเจน เป็นรูปธรรม และมีความคุ้นเคย การใช้คาท่ี ง่าย ส้นั เป็นท่ีคุ้นเคยจะทาใหผ้ ู้รบั ขา่ วสารสามารถรับและเขา้ ใจอยา่ งรวดเรว็ และ 2) สร้างประโยคขอ้ ความ ที่มีประสิทธิภาพ โดยคานึงถึงความกะทัดรัด ไม่เย่ินเย้อมีเน้ือหาที่แสดงความคิดหลักเด่นชัด ไม่ว่าประโยค จะมคี วามซบั ซ้อนอย่างไร ก็มีการเนน้ ย้าส่วนทีส่ าคญั ๆ รวมถึงการใช้อวัจนภาษาในการเน้น เช่น น้าเสียง (ใน กรณีที่สื่อสารด้วยวาจา) หรือในกรณีส่ือสารด้วยลายลักษณ์อักษร ควรคานึงการจัดเรียงถ้อยคาที่ถูกต้อง ชดั เจน 6. ความสุภาพอ่อนน้อม หลักการนี้มิได้หมายเพียงการพิจารณาความเหมาะสมและความสภุ าพต่อ ผ้รู ับข่าวสารด้วยการใชถ้ ้อยคาท่ัวไป เช่น “ขอบคณุ ” หรือ “กรณุ า” เท่านั้น แต่หมายความรวมถึงทัศนคติ ในทางบวก วิธีการปฏบิ ัติอย่างมีมารยาททางสังคมและการให้ความเคารพ ตลอดจนการคานงึ ถงึ บุคคลอ่ืนดว้ ย อาจอาศัยเทคนิคโดยการใช้ความแนบเนียน ไตร่ตรอง และคาช่ืนชม (บางกรณีอาจใช้ภาษาท่าทาง ซ่ึงต้อง พจิ ารณาถึงวัฒนธรรมประเพณีของคู่สื่อสารด้วย และควรเลือกใช้ถอ้ ยคาที่แสดงถึงความเคารพแสดงถึงการให้ เกยี รติและเคารพต่อผอู้ ื่นเสมอ หลีกเล่ียงถ้อยคาทก่ี ้าวร้าว เช่น ขอให้คุณตอบความเป็นจริงเท่านั้น คุณทางาน แย่มาก ฯลฯ 7. ความถูกต้อง สิ่งสาคัญของความถูกต้อง คือ การใช้ไวยากรณ์ หลักภาษาท่ีมีคาสะกด หรือ สานวนทถ่ี กู ต้องเหมาะสม อยา่ งไรกด็ ีบางครั้งข้อความที่ถกู ตอ้ งตามหลกั ไวยากรณก์ ม็ ิได้หมายถึงว่า การสอื่ สาร จะมีประสิทธิภาพ ข้อความท่ีใช้น้ันต้องเป็นเชิงธุรกิจท่ีคานึงถึงหลักที่ควรคานึง คือ ใช้ระดับภาษาที่ถูกต้อง เหมาะสมกับสถานการณ์ และต้องตรวจสอบความถูกต้องของตัวเลขและข้อเท็จจริง หลีกเล่ียงการคาดเดา หากขาดความรอบคอบในการตรวจสอบความถูกต้อง จะทาให้ผู้รับข่าวสารไม่เช่ือถือตัวผู้ส่งข่าวหรือข่าวสาร อน่ื ๆ อกี ด้วย อปุ สรรคของการส่อื สารและวิธแี กไ้ ข การสื่อสารในแต่ละครัง้ ใช่ว่าจะประสบความสาเร็จเสมอไป บางครงั้ อาจไม่บรรลุความประสงคก์ ็ได้ เราทุกคนย่อมต้องการส่ือสารเพื่อให้เกิดการเข้าใจกันอย่างแท้จริงเราจาต้องพยายามลดอุปสรรคให้น้อยลง ทสี่ ดุ เท่าทจ่ี ะเปน็ ไปได้ วิธีหน่ึงท่ีจะลดอปุ สรรคของการส่ือสารใหน้ ้อยลงก็คอื จะต้องพิจารณาดทู อี่ งค์ประกอบ แต่ละส่วนของกระบวนการส่ือสารดังที่กล่าวมาแล้ว รวมทั้งเง่ือนไขอ่ืน ๆ ด้วยว่าในแต่ละส่วนน้ัน อาจเกิด อุปสรรคข้ึนได้อยา่ งไรบ้าง ซง่ึ สามารถสรุปได้ดงั นี้

13 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร องคป์ ระกอบ ลกั ษณะทเี่ ปน็ อุปสรรค ผสู้ ง่ สาร 1. เกดิ ความไมพ่ รอ้ มทงั้ ร่างกายและจิตใจ 2. ขาดความรู้ ความเข้าใจในเนือ้ หาท่ีถกู ต้อง 3. ขาดความสนใจและความรูส้ ึกที่ดีตอ่ ประเด็นทีจ่ ะส่ือสารและตัวผู้รับสาร 4. ขาดความสันทัดในการใชภ้ าษา 5. ขาดประสบการณท์ าใหไ้ มม่ ีความเชื่อม่นั ในตนเอง 6. ไมม่ ีการอ้างองิ แหลง่ ท่ีมาของข้อมลู ตวั สาร 1. มีการสะกดคาไม่ถูกต้องตามหลกั การเขียนการอา่ น 2. เน้ือหาของสารยากเกินไป มคี วามซับซอ้ นลึกซึง้ เกินสติปญั ญาของผูร้ ับสาร 3. เนื้อหาวกวน ไมเ่ ป็นลาดบั ข้นั ตอน 4. การใชค้ ามีความหมายไมถ่ กู ต้องตามท่ตี ้องการสื่อสาร ภาษา 1. ใช้ภาษาไมถ่ กู ตอ้ ง 2. ใชภ้ าษาไมเ่ หมาะสมกับประเภทของสารและวตั ถปุ ระสงค์ 3. ใช้สานวนภาษาท่ีไม่ตรงตามเนือ้ หา เรยี งลาดับคาสับสน 4. การใช้ภาษาพูดปะปนกบั ภาษาเขยี น 5. ใช้ภาษาผิดหลกั ไวยากรณ์ภาษาไทย 6. ใชภ้ าษาไมเ่ หมาะสมกับวัฒนธรรมไทย ผรู้ บั สาร 1. ไม่มคี วามพรอ้ มในการรบั สาร 2. ไม่สามารถรับรแู้ ละจับใจความได้ 3. ไม่สามารถแปลความ ตคี วาม วิเคราะห์ความได้ 4. ไมม่ ผี ลการรบั สารทเี่ หมาะสมและมีประสิทธภิ าพ 5. มีอคติและทศั นคตทิ ีไ่ ม่พงึ ประสงค์ตอ่ ผู้ส่งสาร 6. การจดจาไมค่ งทน ส่อื 1. อย่ใู นสภาพที่ไมเ่ หมาะสม 2. สอ่ื ไม่ครบถว้ นตามความตอ้ งการของผู้สง่ สาร ไม่ชัดเจนและไม่สอดคล้องกับเนื้อหา 3. สื่อไม่มปี ระสทิ ธิภาพและลา้ สมัย กาลเทศะและ 1. อยู่ในกาลเทศะท่ีไม่เหมาะสม เช่น ชักชวนเพ่ือให้เล่นกับเราในขณะท่ีเขากาลังดูหนังสือ สภาพแวดล้อม เตรียมสอบ 2. อยูใ่ นสภาพท่ไี มเ่ หมาะสม เชน่ สนทนากันในบรเิ วณทีม่ เี สียงดังมาก ๆ ทาใหส้ ือ่ สารกนั ไมร่ เู้ รอ่ื ง 3. รายงานหน้าช้ันเรียนด้วยการแต่งกายท่ีไม่เหมาะสมและพูดเสียงดังไม่ท่ัวถึงท้ังห้อง เพราะ ไม่มีไมโครโฟน

14 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร วิธีแกไ้ ขอุปสรรค การเข้าใจถงึ อุปสรรคของการสอ่ื สาร จะช่วยให้เหน็ วิถีทางแก้ไขอปุ สรรคไดเ้ ปน็ อยา่ งดี แนวทางในการ แก้ไขอุปสรรคของการสอื่ สารอยา่ งกว้าง ๆ ซ่งึ เกดิ จากองค์ประกอบของการสอ่ื สารมีดังน้ี 1. ผู้รับสาร – ผู้ส่งสาร เมื่อการส่ือสารเกิดอุปสรรค ผู้รับสารและผู้ส่งสาร ควรสงบจิตใจ ทาใจเป็น กลาง พิจารณาสาเหตุที่แท้จริงโดยไม่ด่วนสรุปเข้าข้างตนเอง ในกรณีการส่ือสารทางเดียว การอ่าน หรือการดู ผูร้ บั สารควรพจิ ารณาตนเอง เม่อื เหน็ ว่าตนเป็นต้นเหตแุ ห่งอปุ สรรค กค็ วรพิจารณาปรบั ปรงุ แก้ไข 2. สาร ควรเลือกวิธีนาเสนอสารท่ไี ม่ทาให้เกิดอุปสรรคหรือเกดิ น้อยทส่ี ุด สารบางอยา่ งเหมาะสมแก่ การเสนอดว้ ยวาจา บางอยา่ งเหมาะแกก่ ารเสนอเปน็ ลายลักษณห์ รอื ทง้ั สองวธิ ี 3. ภาษาท่ีใช้ในการสื่อสาร ควรพิถีพิถันเลือกใช้ถ้อยคาและประโยคท่ีสื่อความหมายชัดเจน การใช้ ภาษาเขียน ควรระมัดระวงั มากกว่าภาษาพดู 4. สื่อ แม้สื่อบางอย่างที่เป็นอุปสรรคต่อการส่ือสาร ไม่อยู่ในวิสัยที่จะหลีกเล่ียงได้ เช่น โทรศัพท์ เครื่องรับวิทยุหรือโทรทัศน์ แต่ก็มีสื่อหลายชนิดที่อาจพิจารณาแก้ไขได้เอง เช่น การเลือกสถานที่ประชุม การเลอื กใช้แผน่ ใส หรอื เอกสารประกอบตามความเหมาะสม 5. กาลเทศะและสภาพแวดล้อม ในการสื่อสารควรคานึงถึงการใช้เวลามากน้อยหรือโอกาสควรไม่ ควร ตลอดจนความเหมาะสมของสถานที่ และสถานการณ์ เร่ืองบางเรื่องควรใช้เวลาน้อย บางเรื่องควรใช้ เวลามากในโอกาสหรอื สถานท่ีหนงึ่ ๆ ควรพูดและไมค่ วรพดู บางเรือ่ ง นอกจากวิธแี ก้ไขอปุ สรรคดังกลา่ วแลว้ การแกไ้ ขอุปสรรคทีค่ วรแกด้ ว้ ยการพูดควรมีลกั ษณะดังตอ่ ไปน้ี 1. การพูดด้วยความจรงิ ใจและเช่ือม่ันทั้ง 2 ฝา่ ย เพราะการจรงิ ใจจะช่วยให้แก้ปญั หาต่าง ๆ ได้เป็น อยา่ งดี สามารถสร้างความรว่ มมอื ไดอ้ ย่างรวดเรว็ 2. การพูดในลักษณะธุรกิจ คือ พดู ให้ผู้ฟังได้ทราบวา่ ตนจะไดป้ ระโยชน์จากการให้ความร่วมมือน้ัน ๆ บ้าง และจะเสียประโยชนอ์ ะไรบ้าง หากไมใ่ ห้ความร่วมมือ 3. การพูดให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่ามีความประสงค์อย่างไร มีความต้องการให้ปฏิบัติตนไปในทางไหน จะตอ้ งมีการติดตามผลอยา่ งไร หากพูดให้ไดเ้ ปน็ ข้อ ๆ ได้ ก็จะเปน็ การดี 4. การพดู ติดตอ่ สอ่ื สารระหว่างหนว่ ยงาน ควรใหด้ าเนนิ ไปดว้ ยความรวดเรว็ ทนั ต่อเหตุการณ์ กล่าวโดยสรุป แม้ว่าการติดต่อสื่อสารจะมีอุปสรรคมากมาย ทั้งที่เกิดจากด้านตัวบุคคล คือ ผู้ส่งสาร และผู้รับสาร หากคู่ส่ือสารมีความพร้อมในการรับสาร มีการวิเคราะห์ผู้ฟังผู้อ่านว่าเป็นใคร เพศใด วัยใด มี ความรู้ระดับใด เพ่ือจะเลือกสารได้เหมาะสมกับผู้รับตลอดจนถ้าผู้ส่งสารรู้จักเลือกใช้ถ้อยคาตรงความหมาย เรียงลาดับคาไม่สับสน ผู้รับก็จะเข้าใจชัดเจน และสภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมมีส่วนช่วยให้การส่ือสารเป็นไป อย่างราบร่นื มปี ระสิทธภิ าพและสาเร็จด้วยดี

15 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร บทที่ 2 การใชภ้ าษาไทยเพอื่ สอ่ื ความหมายอย่างถูกตอ้ งและเหมาะสม ภาษาไทยมีความสาคัญยิ่งต่อคนไทยเน่ืองจากเป็นภาษาประจาชาติและเป็นภาษาที่ใช้สื่อสารกันใน สังคม โดยภาษาเป็นเคร่ืองมือในการสื่อความหมายที่ใช้ถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก ความต้องการของตนให้ ผู้อื่นทราบ การใช้ภาษาไทยเพ่ือส่ือความหมายอย่างถูกต้องและเหมาะสมจึงมีความสาคัญอย่างยิ่งต่อผู้ใช้ ภาษาไทย เนื่องจากทาให้การส่ือสารบรรลุเปา้ หมาย มีความเขา้ ใจตรงกนั ทง้ั ผ้สู ่งสารและผู้รับสาร นอกจากน้ีผู้ ทใี่ ชภ้ าษาไทยไดอ้ ย่างถกู ต้องและเหมาะสม จงึ นับเปน็ ผทู้ ่ดี ารงความมมี าตรฐานในการใชภ้ าษาไทย การใชค้ า การพูดและการเขียนภาษาไทย ถือวา่ การใช้คามีความสาคัญมาก เนือ่ งจากผู้ใช้ภาษาไทยต้องนาคาไป ใช้ในการส่อื สารจงึ ควรเข้าใจถึงความรูเ้ ก่ียวกบั คาและหลกั การใชค้ าให้ถูกต้อง ดงั น้ี 1. ลักษณะของคา คาถือเป็นหนว่ ยทางภาษาที่เลก็ ทีส่ ุดมคี วามหมาย โดยมนี กั วิชาการให้ความหมายของคาไวด้ ังนี้ พจนานกุ รมฉบับราชบณั ฑติ ยสถาน พ.ศ. 2554 (2556: 258) ได้ให้ความหมายของคาไวว้ า่ “เสียงพดู , เสยี งท่ีเปล่งออกมาครั้งหนึ่ง ๆ, เสียงพูดหรอื ลายลักษณ์อักษรที่เขยี นหรือพมิ พ์ขึ้นเพ่ือแสดงความคดิ โดยปรกติ ถอื ว่าเปน็ หนว่ ยเลก็ ท่ีสุดซง่ึ มคี วามหมายในตวั ” ปราณี กุลละวณิชย์ (2537: 92) ได้กล่าวถึงลักษณะของคาว่า “เมื่อเราพูดว่าภาษาประกอบข้ึนด้วย เสียงและความหมาย หน่วยท่ีผู้พูดภาษาโดยท่ัวไปถือว่าเป็นหน่วยเล็กท่ีสุดที่ประกอบข้ึน ด้วยเสียงและ ความหมายคอื คา” ลกั ษณะของคาสามารถสรปุ ไดว้ ่า คาคอื เสยี งพดู เข้าใจกันด้วยการเปล่งเสียงพูดจาเรียกวา่ การส่ือสาร ด้วยภาษาพูดหรือการใช้อักษรเป็นสัญลักษณ์เรียกว่า การสื่อสารด้วยภาษาเขียนเป็นหน่วยเล็กท่ีสุดใน ภาษาไทยคาประกอบด้วยพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ คาไม่จากัดพยางค์ มีอย่างน้อยตั้งแต่หน่ึงพยางค์ข้ึน ไปสาคัญอยู่ท่ีคาแต่ละคาต้องมีความหมายและส่ือสารเข้าใจกันได้ชัดเจน คาทุกคาจึงมีความหมายท้ังส้ิน ซึ่ง อาจจะมคี วามหมายตรงและมคี วามหมายโดยนยั ดงั น้ี 1.1 คาที่มีความหมายตรง หมายถึง คาที่มีความหมายอันเป็นคุณสมบัติประจาของคา ไม่ เก่ียวข้องกับปัจจัยว่าผู้พูดเป็นใคร และผู้ฟังเป็นใคร คาประเภทนี้บางคนเรียกว่า คาที่มีความหมายประจารูป หรอื คาท่ีมคี วามหมายตรงตัว 1.2 คาที่มีความหมายโดยนัย หมายถึง คาที่มีความหมายไม่ตรงตามความหมายโดยตรงหรือ ความหมายประจารูป แต่มคี วามหมายอีกอย่างหนงึ่ ซึง่ ผสู้ ่งสารมีเจตนาส่งไปยังผู้รับเพ่ือตคี วามหมายเปรยี บเทียบ เอง

16 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร คาทมี่ ีความหมายตรงกบั ความหมายโดยนยั สามารถแสดงตวั อยา่ งได้ดังน้ี ความหมายโดยนยั คา ความหมายตรง ง่ายมาก กล้วย ผลไม้ชนดิ หน่ึง ผลสกุ เน้อื น่มุ รับประทานได้ ยากมาก หนิ ของแขง็ ทป่ี ระกอบดว้ ยแร่รวมตวั กันอย่ตู ามธรรมชาติ ตาแหน่ง เก้าอ้ี ทส่ี าหรบั นัง่ มีขา ยกย้ายไปมาได้ มีหลายรูปแบบ เกง่ มาก เทพ เทวดา 2. ประเภทของคา การจาแนกประเภทของคา พระยาอุปกิตศลิ ปสาร ได้แบ่งคาออกเป็น 7 ประเภท ได้แก่ คานาม คาสรรพ นาม คากริยา คาวิเศษณ์ คาบุพบท คาสนั ธาน และคาอุทาน ดังนี้ 2.1 คานาม หมายถึง คาบอกช่ือ คน สัตว์ ส่ิงของ เป็นคาท่ใี ช้เรียกคาพวกหนง่ึ ที่บอกชื่อของส่ิง ท่ีมรี ูป เช่น คน สัตว์ บา้ นเมือง เป็นตน้ หรอื ของสิ่งที่ไมม่ ีรปู เช่น เวลา อายุ อานาจ เปน็ ต้น และได้แบง่ คานาม ออกเป็น 5 ชนดิ ไดแ้ ก่ (1) สามานยนาม หมายถึง คานามทั่วไป เชน่ คน บา้ น เมือง ใจ ลม เวลา เป็นตน้ (2) วิสามานยนาม หมายถึง คานามทเ่ี ป็นชื่อเฉพาะ เชน่ ประเทศไทย อุดรธานี เป็นต้น (3) สมุหนาม หมายถึง คานามท่ีเป็นช่ือคน สัตว์ และส่ิงของท่ีมีจานวนมากรวมอยู่ด้วยกัน เชน่ ฝูงปลา คณะกรรมการ สมาคมสตรไี ทย ชมรมรกั การอ่าน เปน็ ตน้ (4) ลกั ษณนาม หมายถึง คานามทีบ่ อกลักษณะของบคุ คล สัตว์ สิ่งของ เชน่ คน ตัว รูป ใบ เล่ม เลา เครื่อง คานามบอกลักษณะนี้มีชนิดที่ซ้ารูปคานามเรียกว่า ลักษณนามซ้าชื่อด้วย เช่น ประเทศสอง ประเทศ เมืองสองเมอื ง คนสามคน เปน็ ตน้ (5) อาการนาม หมายถึง คานามที่เกิดจากการเติมคา การ ความ หน้าคากริยา “การ” จะนาหน้าคากริยาท่ีเป็นรูปธรรม เช่น การกิน การเดิน การออกกาลังกาย ฯลฯ ส่วน “ความ” จะใช้นาหน้า คากริยาที่เป็นนามธรรม เช่น ความดี ความงาม ความสขุ ความรู้ ฯลฯ 2.2 คาสรรพนาม หมายถึง คาใช้แทนนาม แทนช่ือคน สัตว์ ส่ิงของ เช่น ผม ฉัน เธอ มัน เป็น ต้นคาสรรพนามแบ่งออกเป็น 6 ชนิด ดงั น้ี (1) บรุ ุษสรรพนาม คือ คาสรรพนามที่ใช้แทนผู้พูด แบ่งเป็นชนิดย่อยได้ 3 ชนิด คือ สรรพ นามบุรุษท่ี 1 ใช้แทนตัวผู้พูด เช่น ผม ฉัน ดิฉัน กระผม ข้าพเจ้า กู เรา ข้าพระพุทธเจ้า อาตมา หม่อมฉัน เกลา้ กระหม่อม สรรพนามบุรุษที่ 2 ใช้แทนผู้ฟังหรือผ้ทู ่ีเราพูดด้วย เช่น คุณ เธอ ใต้เท้า ท่าน ใต้ฝ่าละอองธุลี พระบาท ฝา่ พระบาท พระคณุ เจา้ สรรพนามบรุ ษุ ที่ 3 ใช้แทนผูท้ ่ีกลา่ วถึง เช่น เขา มนั ท่าน พระองค์ (2) ประพันธสรรพนาม คือ คาสรรพนามท่ีใช้แทนคานามและใช้เชื่อมประโยคทาหน้าท่ี เชอ่ื มประโยคใหม้ คี วามสมั พันธ์กนั ได้แก่คาว่า ท่ี ซึ่ง อนั ผู้

17 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร (3) นิยมสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนนามชี้เฉพาะเจาะจงหรือบอกกาหนดความให้ ผู้พูดกับผฟู้ ังเข้าใจกนั ไดแ้ ก่คาวา่ นี่ นนั่ โน่น (4) อนิยมสรรพนาม คือ สรรพนามใชแ้ ทนนามบอกความไม่ชี้เฉพาะเจาะจงท่ีแน่นอนลงไป ได้แกค่ าวา่ อะไร ใคร ไหน ใด บางคร้ังก็เปน็ คาซา้ ๆ เช่น ใคร ๆ อะไร ๆ ไหน ๆ (5) วิภาคสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนคานาม ซ่ึงแสดงให้เห็นว่านามน้ันจาแนก ออกเป็นหลายสว่ น ได้แก่คาวา่ ตา่ ง บา้ ง กัน (6) ปฤจฉาสรรพนาม คือ สรรพนามที่ใช้แทนนามที่เป็นคาถาม ได้แกค่ าว่า อะไร ใคร ไหน ผ้ใู ด ส่งิ ใด ฯลฯ 2.3 คากริยา หมายถึง คาแสดงอาการของคานาม หรือคาสรรพนาม คากริยาแบ่งออกเป็น 4 ชนดิ ได้แก่ (1) อกรรมกรยิ า เป็นคากรยิ าที่มใี จความครบบริบรู ณ์ไม่ตอ้ งมคี าที่เป็นกรรมตามหลัง เช่น นอน บนิ ร้องไห้ เป็นตน้ (2) สกรรมกริยา เป็นคากริยาท่ีแสดงเนื้อความไม่บริบูรณ์ในตัว ต้องมีคาท่ีเป็นกรรม ตามหลงั เพอ่ื ให้ได้เนอื้ ความครบสมบรู ณ์ เชน่ กิน ด่ืม ขับ ชอบ เป็นตน้ (3) วิกตรรถกริยา เป็นคากริยาท่ีไม่มีเนื้อความในตัว ต้องอาศัยเน้ือความของคาอ่ืนท่ีอยู่ ขา้ งทา้ ยเข้าช่วย จึงจะได้ใจความครบบริบรู ณ์ ได้แกค่ าว่า เช่น เหมือน คลา้ ย เทา่ เป็นต้น (4) กริยานุเคราะห์ เป็นคากริยาท่ีช่วยกริยาหลักให้ได้ความครบถ้วนในเร่ืองของ กาล มาลา วาจก อาจใช้ประกอบข้างหนา้ หรือขา้ งหลงั คากรยิ าหลกั เช่น กาลงั เคย แลว้ อาจ เปน็ ตน้ 2.4 คาวิเศษณ์ เป็นคาที่ใช้ขยายคานาม คาสรรพนาม คากริยา หรือคาวิเศษณ์ เช่น แดง เร็ว หวาน สวย เปน็ ตน้ 2.5 คาบุพบท คาเช่ือมที่ใช้วางหน้าคานาม เพื่อแสดงให้เห็นว่าคานามท่ีตามมาสัมพันธ์กับ คานามหรอื คากริยาข้างหน้าในลกั ษณะใดลักษณะหน่งึ เชน่ ของ ใน นอก บน ใต้ เปน็ ตน้ 2.6 คาสันธาน เปน็ คาทใี่ ช้สาหรับเชื่อมประโยค หรอื เชือ่ มขอ้ ความ แบ่งเปน็ 4 ชนดิ ได้แก่ (1) เชื่อมความคลอ้ ยตามกัน เช่น ครน้ั ก็ พอ… ก็ เป็นตน้ (2) เช่ือมความท่ีแยง้ กนั เชน่ แต่ ทว่า แม้วา่ เปน็ ต้น (3) เชอื่ มความที่เป็นเหตเุ ปน็ ผลกนั เชน่ เพราะ เพราะ…จงึ เน่ืองจาก… จงึ เป็นตน้ (4) เช่อื มความให้เลอื กเอาอย่างใดอยา่ งหนึ่ง เช่น หรอื หรอื ไม่ก็ เปน็ ตน้ 2.7 คาอุทาน เป็นคาที่แสดงความรู้สึก ดีใจ ตื่นเต้น เสียใจ หรือเป็นคาที่เสริมคาพูด คาอุทาน ในภาษาไทยแบ่งเปน็ 2 ลักษณะ คือ (1) คาอุทานบอกอาการ เช่น โอโ้ ฮ! ออ้ ! โอย๊ ! เปน็ ต้น (2) คาอุทานเสริมบท เป็นคาอุทานท่ีใช้เพ่ิมเติมถ้อยคาหรือเสริมคาไม่ให้ฟังแล้วห้วน เช่น ไม่องไม่เอาแลว้ กินข้าวกนิ ปลา หนงั สอื หนังหา เป็นต้น

18 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร 3. การใชค้ าในภาษาไทยไดอ้ ย่างถูกตอ้ งและเหมาะสม การเลือกใช้คาให้ถูกต้องตามความหมายและถูกต้องตามบริบทในการพูดและการเขียน เพ่ือจะให้การ พูดและการเขียนนัน้ ดาเนินไปสู่จุดมุง่ หมาย ถ้าหากไมร่ ู้จกั เลือกใช้ถอ้ ยคาให้ถูกตอ้ งตามความหมายและถกู ต้อง ตามบริบท ขาดความรู้ ความรอบคอบในเรอ่ื งเอกลักษณ์ของภาษาแล้วจะนาไปสปู่ ัญหาท้ังตัวผพู้ ูด ผู้เขียน และ ส่งผลไปยัง ผู้ฟังและผู้อ่านด้วย การใช้คาในภาษาไทยได้อย่างถูกต้องและเหมาะสมจึงต้องเข้าใจหลักการใช้ ดังต่อไปนี้ 3.1 ใชค้ าให้ตรงความหมาย ค าบ างค ามี ค ว า ม ห ม าย ค ล้ าย ค ลึ งห รือ ใก ล้ เคี ย งกั น ผู้ ใช้ ภ าษ าจ าเป็ น ต้ อ งเลื อ ก ใ ช้ ค าให้ ต ร ง ความหมายเฉพาะคาน้ัน ๆ จึงจะทาให้สามารถส่ือความหมายได้ถูกต้องชัดเจน เช่น คาว่า “มาก ” มีหลายคา ท่ีมีความหมายใกล้เคียงกัน เช่น ชุก ชุม ชุกชุม คลาคล่า สลอน และย้ัวเยี้ย เป็นต้น แต่ละคามีความหมาย โดยตรงและใช้เฉพาะความหมายคาน้นั ได้แก่ (1) ชุกใช้กับฝนและผลไม้ เชน่ ปีนฝ้ี นชกุ หนา้ นมี้ ะม่วงชุก เป็นตน้ (2) ชุม, ชุกชมุ ใช้กับโจร ยงุ และเสอื เช่น พอใกลค้ ่ายุงเรม่ิ ชมุ หมบู่ ้านนี้มโี จรชกุ ชุม เป็นตน้ (3) คลาคล่าใช้กับปลาและฝูงชน เช่น ในน้าคลาคล่าไปด้วยฝูงปลา มีผู้ชุมนุมคลาคล่าอยู่ บนถนน เป็นต้น (4) สลอนใชก้ ับหนา้ ตาและจานวนท่มี า เช่น เด็ก ๆ ยืนรออยู่หนา้ สลอน เป็นต้น 3.2 ใช้คาใหค้ งทแี่ ละมีระดบั เดยี วกนั คาบางคาถึงแม้มีความหมายตรงกันแต่ระดับต่างกัน บางคาใช้คาบาลีสันสกฤตซ่ึงถูกยกย่องให้ เป็นคาระดับสูงเพราะเดิมใช้เกี่ยวกับศาสนา ดังน้ันถ้าจะใช้คาบาลี สันสกฤตก็ควรใช้ให้คงที่เพราะมีระดับ เดยี วกันหรือถา้ ใช้คาไทยก็ควรใชค้ าไทยด้วยกัน เชน่ (1) สตรีกล้าหาญไม่แพ้ผู้ชาย แก้เป็น สตรีกล้าหาญไม่แพ้บุรุษ หรือ ผู้หญิงกล้าหาญไม่ แพผ้ ู้ชาย (2) เกษตรกรนิยมเล้ียงสุกร ควาย เป็นอาชีพเสริม แก้เป็น เกษตรกรนิยมเลี้ยงหมู ควาย เป็นอาชพี เสรมิ หรือ เกษตรกรนยิ มเลยี้ งสุกร กระบือ เปน็ อาชีพเสรมิ (3) ครอบครวั นมี้ ีบิดา มารดา ลูก แก้เปน็ ครอบครัวนีม้ ีบิดา มารดา บุตร หรือ ครอบครัว นี้มพี ่อ แม่ ลกู 3.3 ใช้คาลกั ษณนามให้ถูกต้อง คาลกั ษณนามเปน็ คานามที่บอกลักษณะและปรากฏหลังจานวนนับของบุคคล สัตว์ สิง่ ของ แสดง รูปลักษณนามนั้นให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น ดินสอ ใช้ลักษณนามว่า ด้าม เล่ือย ใช้ลักษณนามว่า ปื้น เทวดาใช้ ลักษณนามวา่ ตน ตารวจ ใชล้ กั ษณนามว่า นาย ช้างป่า ใช้ลกั ษณนามว่า ตัว ช้างบ้าน ใช้ลักษณนามว่า เชือก เป็นต้น

19 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร 3.4 ใชค้ าอาการนามให้ถกู ตอ้ ง คาอาการนามเป็นคานามท่ีเกิดจากการเติมคา “การ” และ “ความ” หน้าคากริยา “การ” ใช้ นาหน้าคากริยาท่ีเป็นรูปธรรม ส่วน “ความ” จะใช้นาหน้าคากริยาท่ีเป็นนามธรรม เม่ือนามาใช้ต้องใช้ให้ ถูกต้อง เช่น การกิน ไม่ใช่ ความกนิ ความดี ไม่ใช่ การดี เปน็ ต้น 3.5 ใช้คาบพุ บทให้ถูกต้อง คาบุพบทเป็นคาเช่ือมที่ใช้วางหน้าคานาม เพ่ือแสดงให้เห็นว่าคานามท่ีตามมาสัมพันธ์กับคานาม หรอื คากริยาขา้ งหน้าในลักษณะใดลกั ษณะหนง่ึ ได้แก่ (1) แสดงความเป็นเจ้าของ เช่น ของ แห่ง เป็นต้น ดังตัวอย่าง หนังสือเล่มนี้ของฉัน การรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นต้น (2) แสดงที่อยู่ เช่น ใน นอก บน ใต้ ที่ เป็นต้น ดังตัวอย่าง ปากกาบนโต๊ะ อาจารย์กั๊กนั่ง นอกห้อง แม่นง่ั ใต้ต้นไม้ เปน็ ตน้ (3) แสดงความเปน็ ผรู้ ับ เชน่ กบั แก่ แด่ ต่อ - กับ ใชเ้ ม่อื สองฝ่ายกระทากรยิ าร่วมกนั เช่น อาจารยว์ ิไปกินขา้ วกบั อาจารยน์ ิว - แก่ ใชก้ ับผู้รับโดยทัว่ ไป เชน่ ครูมอบทนุ แก่นักเรยี น - แด่ ใช้กับผู้รับที่มีฐานะสูงกว่าหรือเป็นที่เคารพ เช่น ชาวบ้านถวายภัตตาหารแด่ พระสงฆ์ - ต่อ ใช้เมื่อผู้ให้และผู้รับต้องติดต่อกันหรือเกี่ยวข้องกัน เช่น ชัยยื่นใบสมัครต่อ เจา้ หน้าที่ (4) แสดงสิ่งที่ใช้ทากริยา เช่น ด้วย กับ ดังตัวอย่าง อาจารย์อ้อนตรวจงานด้วยปากกาแดง เป็นต้น 3.6 ใช้คาให้เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคล การเลือกใช้คาให้เหมาะสมกับกาลเทศะและเหมาะสมกับบุคคล ได้แก่ โอกาสที่เป็นทางการ โอกาสที่เป็นกันเอง หรือโอกาสที่เป็นภาษาเขียน หากใช้ไม่ถูกต้องย่อมทาให้การสื่อความหมายไม่เหมาะสม เชน่ ถา้ ในโอกาสที่เป็นภาษาเขียน “ข้าพเจ้าไม่ทราบว่าท่านจะคิดยังไง” คาว่า “ยังไง” เป็นภาษาพูด ถ้าเป็น ภาษาเขียนควรใช้ “อย่างไร” หรือ ถ้าใช้กับผู้ชาย “เม่ือสันติเห็นรูปก็โกรธกระฟัดกระเฟียดมาก” ควรใช้ “โกรธปึงปงั ” เพราะกระฟัดกระเฟียดใชก้ บั ผหู้ ญิง 3.7 ใชค้ าไทยหลกี เลี่ยงคาตา่ งประเทศ เนื่องจากปัจจุบันภาษาไทยรับวัฒนธรรมและเทคโนโลยีมาจากต่างประเทศส่งผลให้มีการรับเอา ภาษาตา่ งประเทศมาใช้ในภาษาไทยเปน็ จานวนมากโดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ซึ่งในกรณีท่ีใช้ภาษาอังกฤษเม่ือมี คาแปลหรอื ไดบ้ ัญญตั ศิ พั ท์เป็นภาษาไทยแลว้ ก็ควรใช้ภาษาไทย เช่น

20 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร เท่าท่ีเธอคอมเมนต์ฟังแล้วซีเรียสขาดไอเดียและวิชั่นเมื่อพิจารณาแบ็คกราวด์เธอยังบกพร่อง เร่ืองระบบซเิ นียรร์ ติ ี้ไมร่ จู้ ักเสริ ฟ์ และเทคแคร์ผคู้ นเธอควรรจู้ ักลอ็ บบเี้ พ่ือสร้างอิมเมจให้ดีข้ึน ควรแกเ้ ปน็ เท่าท่ีเธอตั้งข้อสังเกตฟังแล้วเคร่งเครียดขาดความคิดและวิสัยทัศน์เมื่อพิจารณาภูมิหลังเธอยัง บกพรอ่ งเรือ่ งระบบอาวุโสไม่รจู้ กั บรกิ ารและเอาใจใส่ผ้คู นเธอควรรจู้ กั สนบั สนุนเพื่อสรา้ งภาพลักษณ์ให้ดขี น้ึ 3.8 ใช้คาราชาศัพท์ให้ถูกต้อง คาราชาศัพท์เป็นคาที่ใช้กบั พระมหากษัตรยิ ์และเชื้อพระวงศ์เม่อื นามาใช้ในการสอ่ื ความต้องใช้ให้ ถูกต้องและเหมาะสมกบั ศกั ด์ิ นิตยา กาญจนะวรรณ (2547: 109-115) ได้แนะนาวธิ กี ารใช้ราชาศพั ท์ ไวด้ งั นี้ (1) คากริยาที่เป็นคาราชาศัพท์อยู่แล้ว ไม่ต้องใช้คาว่า “ทรง” นาหน้า เช่น เสวย (กิน) โปรด (พอใจ ชอบ) บรรทม (นอน) เสดจ็ ไป) เปน็ ตน้ (2) คากริยาธรรมดาใช้ “ทรง” นาหน้าได้ เชน่ ทรงฟัง ทรงวิ่ง ทรงชบุ เลีย้ ง เปน็ ต้น (3) คานามที่ใช้เป็นชื่อของส่ิงสามัญท่ัวไปที่ไม่ถือว่าสาคัญและไม่ประสงค์จะแยกให้เห็นว่า เปน็ นามใช้เฉพาะกับพระมหากษตั ริย์ ให้ใชค้ าวา่ “พระ” นาหน้า เช่น พระกร พระเก้าอ้ี พระโรค เป็นต้น (4) ใช้ “ทรง” นาหน้านามราชาศัพท์ให้เป็นกริยาได้ เช่น ทรงพระกรุณา ทรงพระ ประชวร แต่คาที่ตามหลังคาว่า “มี” กับ “เป็น” ถ้ามีคาว่า “พระ” แสดงราชาศัพท์อยู่แล้วก็ไม่ต้องใช้ “ทรง” อีก เชน่ ใช้ว่า ทรงพระมหากรณุ า หรอื มีพระมหากรณุ า เป็นต้น คาราชาศพั ท์ท่ีมกั ใช้ผดิ - ถวายการต้อนรับ ควรใชว้ า่ เฝา้ ทลู ละอองธลุ พี ระบาท - ถวายเล้ียง ควรใช้ว่า ถวายพระกระยาหาร - แสดงหน้าพระพักตร์ ควรใชว้ า่ แสดงหนา้ ที่นัง่ แสดงเฉพาะพระพกั ตร์ - กาหนดการ ควรใช้วา่ หมายกาหนดการ - อาคนั ตกุ ะ ควรใช้ว่า พระราชอาคันตุกะ (กรณีท่ีผู้มาเยือนเป็นพระมหากษัตริย์ หรือพระบรมราชินี และกรณีท่พี ระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เด็จพระราชดาเนินไปเยือนประเทศท่ีมีพระมหากษัตริย์หรือ พระบรมราชนิ ีเปน็ ประมขุ ) ราชคนั ตุกะ (กรณที ีผ่ ู้มาเยอื นเป็นสามัญชน) อาคันตุกะ (กรณีที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระ ราชดาเนนิ ไปเยอื นประเทศทีม่ ปี ระธานาธบิ ดีเปน็ สามญั ชน)

21 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร การใชป้ ระโยค การใช้ประโยคในภาษาไทยมีความจาเป็นอย่างย่ิง หากผู้ใช้ภาษาไทยใช้ประโยคไม่ถูกต้องย่อมส่งผล ให้การส่ือสารไม่บรรลุเป้าหมายตามท่ีต้องการได้ การใช้ประโยคเพ่ือส่ือความหมายอย่างถูกต้องและเหมาะสม จึงเปน็ สิ่งทผี่ ู้ใชภ้ าษาไทยควรตระหนกั ไว้ 1. ลักษณะของประโยค พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (2556: 711) ได้ให้ความหมายของประโยคไว้ว่า “คาพดู หรอื ข้อความที่ได้ความบรบิ รู ณต์ อนหนงึ่ ๆ” ปราณี กุลละวณิชย์ (2537: 98) ได้กล่าวถึงลักษณะของประโยคว่า “ภาษาทุกภาษามีหลักเกณฑ์ ควบคุมการปรากฏของคาประเภทต่าง ๆ อยา่ งชัดเจน ประโยคแต่ละประโยคมีคากริยาเป็นแกนกลาง คานาม ทปี่ รากฏ ในประโยคอาจทาหน้าทต่ี ่าง ๆ กัน เป็นประธานของประโยคก็ได้ หรอื เป็นกรรมก็ได้” ลักษณะของประโยคสามารถสรุปได้ว่า ประโยค หมายถึง คาหรือกลุ่มคาทส่ี ามารถส่ือสารให้เข้าใจได้ ประโยคพ้ืนฐานในภาษาไทยประกอบด้วย ประธาน และกริยาเรยี งกนั ตามลาดับ เช่น พ่อเดิน นอ้ งทางาน เป็น ต้น และบางประโยคอาจมีส่วนกรรมของประโยคด้วยเช่น นอ้ งกนิ ข้าว พี่ขบั รถยนต์ เป็นตน้ นอกจากนีป้ ระโยค ยังประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ มากข้ึนส่วนประกอบของประโยคหน่ึง ๆ จะต้องมีภาคประธานและภาคแสดงเป็น หลัก และอาจมีคาขยายส่วนตา่ ง ๆ ได้ ภาคประธาน คือ คาหรือกลุ่มคาท่ีทาหน้าท่ีเป็นผู้กระทา ผู้แสดงซ่งึ เป็น ส่วนสาคัญของประโยค ภาคประธานน้ี อาจมีบทขยายซ่ึงเป็นคาหรือกลุ่มคามาประกอบ เพื่อทาให้มีใจความ ชัดเจนย่ิงข้ึน ส่วนภาคแสดงในประโยค คือ คาหรือกลุ่มคาท่ีประกอบไปด้วยบทกริยา บทกรรมและส่วนเติม เต็ม บทกรรมทาหน้าท่ีเป็นตัวกระทาหรือตัวแสดงของประธาน ส่วนบทกรรมทาหน้าที่เป็นผู้ถูกกระทา และ ส่วนเติมเต็มทาหน้าท่ีเสริมใจความของประโยคให้สมบูรณ์ คือทาหน้าท่ีคล้ายบทกรรม แต่ไม่ใช้กรรม เพราะ มไิ ด้ถกู กระทา เช่น ประโยค บท บทขยาย บทกริยา บทขยาย บท บทขยาย ประธาน ประธาน กรยิ า กรรม กรรม ฝนตก ฝน - ตก - - - ฝนหลวงตก ฝน หลวง ตก - - - ฝนหลวงกาลังตกหนัก ฝน หลวง ตก กาลัง/หนัก - - หมากัดแมว หมา - กัด - แมว - หมาใหญก่ ดั แมวสีขาว หมา ใหญ่ กัด - แมว สขี าว หมาใหญต่ ้องกัดแมวสีขาวรุนแรงมาก หมา ใหญ่ ตอ้ งกัด รนุ แรงมาก แมว สีขาว

22 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร 2. ประเภทของประโยค ประโยคในภาษาไทยแบ่งเปน็ 3 ชนิด ตามโครงสรา้ งการสอ่ื สารดังน้ี 2.1 ประโยคความเดียว คือ ประโยคที่มีข้อความหรือใจความเดียว ซึ่งเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า เอกรรถประโยค เป็นประโยคท่ีมีภาคประธานเพียงบทเดียว และมีภาคแสดงหรือกริยาสาคัญเพียงบทเดียว หากภาคประธานและภาคแสดงเพ่ิมบทขยายเข้าไป ประโยคความเดียวน้ันก็จะเป็นประโยคความเดียวที่ ซับซ้อนย่ิงขน้ึ 2.2 ประโยคความรวม คอื ประโยคที่รวมเอาโครงสร้างประโยคความเดียวต้ังแต่ 2 ประโยคข้ึน ไปเข้าไว้ในประโยคเดียวกัน โดยมีคาเชื่อมหรือสันธานทาหน้าที่เชื่อมประโยคเหล่าน้ันเข้าด้วยกัน ประโยค ความรวมเรยี กอีกอยา่ งหน่ึงวา่ อเนกรรถประโยค ประโยคความรวมแบ่งใจความออกเปน็ 4 ประเภท ดังนี้ (1) ประโยคท่ีมีความคล้อยตามกัน ประโยคความรวมชนิดนี้ประกอบด้วย ประโยคเล็ก ตัง้ แต่ 2 ประโยคขน้ึ ไป มีเน้ือความคลอ้ ยตามกนั ในแงข่ องความเป็นอยู่ เวลา และการกระทา ตัวอย่าง • ทรพั ย์ และ สนิ เป็นลกู ชายของพ่อคา้ ร้านสรรพพาณชิ ย์ • ทั้ง ทรัพย์ และ สินเปน็ นักเรียนโรงเรียนอาทรพทิ ยาคม • ทรพั ย์เรยี นจบโรงเรยี นมัธยม แล้ว กไ็ ปเรียนตอ่ ท่วี ิทยาลัยอาชีวศกึ ษา • พอ สนิ เรียนจบโรงเรียนมธั ยม แล้ว ก็ มาชว่ ยพอ่ ค้าขาย (2) ประโยคที่มีความขัดแย้งกัน ประโยคความรวมชนิดนี้ ประกอบด้วยประโยคเล็ก 2 ประโยค มเี นอ้ื ความท่แี ยง้ กันหรือแตกตา่ งกนั ในการกระทา หรอื ผลท่เี กิดข้ึน ตัวอยา่ ง • พี่ตฆี อ้ ง แต่ น้องตีตะโพน • ฉันเตอื นเขาแล้ว แต่ เขาไมเ่ ชือ่ (3) ประโยคที่มีความให้เลือก ประโยคความรวมชนิดนี้ ประกอบด้วยประโยคเล็ก 2 ประโยคและกาหนดใหเ้ ลือกอยา่ งใดอย่างหนงึ่ ตวั อยา่ ง • ไปบอกนายกิจ หรือ นายก้องใหม้ าทนี่ ค่ี นหนงึ่ • คุณชอบดนตรไี ทย หรือ ดนตรสี ากล (4) ประโยคที่มีความเป็นเหตุเป็นผลแก่กัน ประโยคความรวมชนิดนี้ประกอบด้วยประโยค เลก็ 2 ประโยค ประโยคแรกเปน็ เหตุประโยคหลงั เป็นผล ตวั อย่าง • เขามีความเพียรมาก เพราะฉะน้นั เขา จงึ ประสบความสาเรจ็ • คณุ สดุ าไม่อิจฉาใคร เธอ จึง มคี วามสขุ เสมอ 2.3 ประโยคความซ้อน คือ ประโยคทม่ี ีใจความสาคัญเพียงใจความเดียว ประกอบด้วยประโยค ความเดียวท่ีมีใจความสาคัญ เป็นประโยคหลัก (มุขยประโยค) และมีประโยคความเดียวที่มีใจความเป็นส่วน ขยายส่วนใดส่วนหน่ึงของประโยคหลัก เป็นประโยคย่อยซ้อนอยู่ในประโยคหลัก (อนุประโยค) โดยทาหน้าที่ แต่งหรอื ประกอบประโยคหลัก ประโยคความซอ้ นนี้เดมิ เรียกว่า สังกรประโยค อนุประโยคหรือประโยคยอ่ ยมี 3 ชนิด ทาหน้าทีต่ ่างกัน ดังต่อไปน้ี

23 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร (1) ประโยคย่อยท่ีทาหน้าที่แทนนาม (นามานุประโยค) อาจใช้เป็นบทประธานหรือบท กรรม หรอื ส่วนเติมเต็มก็ได้ ประโยคย่อยน้เี ปน็ ประโยคความเดยี วซ้อนอยูใ่ นประโยคหลกั ไม่ตอ้ งอาศัยบทเชื่อม หรือคาเชอ่ื ม ตัวอย่างประโยคความซ้อนทเ่ี ป็นประโยคยอ่ ยทาหนา้ ทีแ่ ทนนาม • คนทาดยี ่อมได้รับผลดี คน...ย่อมไดร้ ับผลดี : ประโยคหลกั คนทาดี : ประโยคย่อยทาหนา้ ท่ีเปน็ บทประธาน • ครูดนุ ักเรยี นไมท่ าการบา้ น ดุนกั เรยี น : ประโยคหลัก นักเรียนไมท่ าการบา้ น : ประโยคยอ่ ยทาหนา้ ทเี่ ปน็ บทกรรม (2) ประโยคย่อยที่ทาหนา้ ที่เป็นบทขยายประธานหรือบทขยายกรรมหรือบทขยายส่วนเติม เต็ม (คุณานุประโยค) แล้วแต่กรณี มีประพันธสรรพนาม (ที่ ซ่ึง อัน ผู้) เชื่อมระหว่างประโยคหลักกับประโยค ย่อย ตวั อย่างประโยคความซอ้ นทปี่ ระโยคย่อยทาหนา้ ที่เป็นบทขยาย • คนทป่ี ระพฤติดียอ่ ยมีความเจรญิ ในชีวติ ทีป่ ระพฤติ ขยายประธาน คน คน...ย่อมมีความเจริญในชีวติ : ประโยคหลัก (คน) ประพฤตดิ ี : ประโยคยอ่ ย (3) ประโยคย่อยที่ทาหน้าที่เป็นบทขยายคากริยา หรือบทขยายคาวิเศษณ์ในประโยคหลัก (วิเศษณานุประโยค) มีคาเช่ือม (เช่น เม่ือ จน เพราะ ตาม ให้ ฯลฯ) ซึ่งเช่ือมระหว่างประโยคหลักกับประโยค ยอ่ ย ตวั อย่างประโยคความซ้อนที่ประโยคยอ่ ยทาหน้าท่ีเปน็ บทกรยิ าหรือบทขยายวเิ ศษณ์ • เขาเรียนเกง่ เพราะเขาต้งั ใจเรียน เขาเรยี นเกง่ : ประโยคหลกั (เขา) ต้ังใจเรยี น : ประโยคยอ่ ยขยายกริยา 3. การใชป้ ระโยคในภาษาไทยได้อย่างถูกตอ้ งและเหมาะสม 3.1 ไมใ่ ชค้ ากากวมในประโยค คือ การใช้คาทีม่ ีหลายความหมายคิดได้หลายทาง เชน่ ครูเมตตาให้อาหารกลางวันเด็กยากจน ประโยคนี้กากวมเนื่องจากสามารถคิดได้ว่า ครูช่ือเมตตา หรอื ครมู คี วามเมตตา ควรแก้เปน็ ครมู คี วามเมตตาใหอ้ าหารกลางวนั แกเ่ ด็กยากจน 3.2 ไมใ่ ช้คาฟุ่มเฟือย ทาให้ประโยคยาวแต่เย่นิ เยอ้ เช่น เม่อื เชา้ ตารวจพบศพคนถูกยงิ ตายข้างถนน ควรแกเ้ ปน็ เม่อื เชา้ ตารวจพบศพคนถกู ยิงข้างถนน 3.3 ไม่ใช้สานวนภาษาตา่ งประเทศ ทาให้การเรยี งลาดับคาของภาษาไทยผิดแปลกไป เช่น มันเป็นอะไรท่ดี มี าก ๆ เลยหนงั สอื เล่มน้ี

24 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร ควรแก้เป็น หนังสอื เล่มนี้ดมี าก ๆ วนั น้พี เ่ี บริ ด์ จะมาในเพลงอยู่คนเดียว ควรแกเ้ ปน็ วันนีพ้ เี่ บริ ์ดจะรอ้ งเพลงชื่ออยู่คนเดยี ว 3.4 การใช้จานวนนับนาหน้าประโยคไม่ใช้ลักษณนาม การสร้างประโยคแบบนี้พบเห็นมากใน ภาษาสือ่ มวลชน ไม่ควรนามาใช้ในภาษาเขียนท่ัว ๆ ไป เช่น สามโจรบุกธนาคารฉกเงนิ กว่า 3 ลา้ น ควรแก้เปน็ โจร 3 คนปลน้ ธนาคารไดเ้ งินไป 3 ลา้ นบาท 3.5 การใช้คาผดิ ความหมายหรอื ใช้คาไมเ่ หมาะสม ทาใหป้ ระโยคน้นั สื่อความหมายผดิ ไป เชน่ วิทยาลัยมีหมายกาหนดการวันไหว้ครูเรียบร้อยแล้ว หมายกาหนดการ สา นัก พระราชวังจะเปน็ ผูใ้ ชเ้ ท่าน้นั คนทว่ั ไปควรใช้ กาหนดการ ควรแกเ้ ป็น วทิ ยาลัยมีกาหนดการวันไหว้ครูเรียบร้อยแล้ว 3.6 การใช้คาทม่ี ีความหมายขดั แยง้ กัน ทาให้ส่ือความหมายได้ไมช่ ัดเจน เชน่ ผรู้ า้ ยรัวกระสนุ ใส่เจ้าของรา้ นทองหนึ่งนัด ควรแกเ้ ปน็ ผรู้ ้ายยิงเจา้ ของร้านทองหน่ึงนัด 3.7 การใช้ประโยคผิดไวยากรณ์ คือ อาจมีภาคประธานภาคแสดงไม่ครบถ้วนหรือเรียงคาผิด ตาแหน่ง เช่น บณั ฑติ ทุกคนล้วนใบหนา้ สดชน่ื แจม่ ใส (ขาดกริยา) ควรแกเ้ ปน็ บณั ฑิตทุกคนล้วนมีใบหนา้ สดชน่ื แจม่ ใส เรือ่ งของฉนั งานหนัก ๆ ชอบทา (เรียงคาผดิ ตาแหนง่ ) ควรแก้เป็น เรื่องของฉนั ชอบทางานหนัก ๆ 3.8 การใช้ประโยคไม่ครบใจความ ในประโยคความซ้อนอาจมีส่วนขยายท่ียาวมากเพื่อให้ ใจความครบสมบูรณ์ ถ้าขาดสว่ นหนง่ึ สว่ นใดก็จะไม่ไดค้ วามตามที่ควรจะเป็น เช่น ถ้าทุกคนช่วยกันรกั ษาความสะอาดหน้าบา้ นของตน ควรแกเ้ ปน็ ถ้าทุกคนช่วยกนั รักษาความสะอาดหน้าบา้ นของตนบ้านเมอื งกจ็ ะสะอาด 3.9 การใชป้ ระโยคไมส่ ละลวย ทาใหอ้ า่ นติดขดั ไมร่ าบรืน่ เชน่ เมอ่ื กอ่ นผมไมพ่ ูด ควรแกเ้ ปน็ เมอ่ื กอ่ นผมเป็นคนไมค่ ่อยพดู 3.10 ประโยคที่ใช้เนือ้ หาไมส่ มั พนั ธก์ นั ทาให้ข้อความขาดหายหรือไม่สมเหตุสมผล เชน่ คนไมม่ ีความรู้และความสามารถทาประโยชน์แกบ่ ้านเมอื งได้มาก ควรแก้เป็น คนมคี วามรแู้ ละความสามารถทาคณุ ประโยชนแ์ ก่บ้านเมืองได้มาก

25 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร การใชส้ านวน ภาษาไทยมีความสาคัญยิ่งต่อคนไทยเน่ืองจากเป็นภาษาประจาชาติและเป็นภาษาท่ีใช้สื่ อสารกันใน สังคม ซึ่งภาษาเป็นเครื่องมือในการส่ือความหมายท่ีใช้ถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก ความต้องการของตนให้ ผูอ้ ่ืนทราบ การใช้ภาษาไทยจึงมีวิธีการใช้ภาษาหลายวิธีท้ังการใช้สานวน การใช้โวหาร ภาพพจน์ และการใช้ คาตอ้ งห้ามเพื่อวัตถุประสงคต์ า่ ง ๆ และเพือ่ ให้เกดิ ความน่าสนใจ 1. ลักษณะของสานวน สานวนเป็นปรากฏการณ์ทางภาษาอย่างหนึ่งท่ีใช้ในภาษาไทย เน่ืองจากคนไทยนิยมใช้ถ้อยคามาใช้ เปรียบเทียบ ไม่กล่าวออกมาตรง ๆ ซ่ึงมักจะเป็นคาที่คมคาย ลึกซ้ึง การนาสานวนมาใช้ในภาษาไทยจึงเป็น การแสดงถ้อยคาที่ไม่ได้บอกความหมายให้ผู้ฟังทราบโดยตรง แต่จะบอกความเป็นนัยให้ผู้ฟังต้องคิดเพื่อทราบ จุดประสงค์ของผู้พูดว่าต้องการส่ืออะไร แสดงให้เห็นถึงภูมิปัญญาในการใช้ภาษา ได้มีผู้ให้ความหมายของ สานวนไว้ดังน้ี พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (2556: 1227) ได้ให้ความหมายของสานวนไว้ว่า “ถ้อยคาท่ีเรียบเรียง, โวหาร, บางทีใช้คาว่า สานวนโวหาร ถ้อยคาหรือข้อความที่กล่าวสืบต่อกันมานานแล้ว มคี วามหมายไมต่ รงตามตวั หรือมีความหมายอ่ืนแฝงอยู่” ไขสิริ ปราโมช ณ อยุธยา (2537: 4) ได้กล่าวถึงสานวนว่า “เป็นถ้อยคาท่ีมิได้มีความหมาย ตรงไปตรงมาตามตัวอักษร หรือแปลตามรากศัพท์ แต่มีถ้อยคาที่มีความหมายเป็นอย่างอื่นเป็นช้ันเชิงชวนให้ คิด ซึง่ อาจเป็นในเชิงเปรยี บเทยี บ หรืออปุ มาอุปไมย” จากความหมายข้างต้นสรุปได้ว่า สานวน หมายถึงคาพูดท่ีไม่ได้มีความหมายตรงตามที่พูด เป็นคาพูด ทีม่ คี วามหมายแฝง ไมบ่ อกออกมาตรง ๆ ตอ้ งอาศัยการตคี วาม และสามารถเกดิ ขึ้นใหมไ่ ด้ 2. ประเภทของสานวน สานวนเป็นวธิ คี ิดค้นคาข้นึ มาใช้ในการส่อื สารเพอ่ื แสดงภูมิปัญญา ความคมคาย ลึกซึง้ ซอ่ นความหมาย ท่ีแท้จริงตามเจตนาของผู้ส่งสารเอาไว้ และเรียบเรียงถ้อยคานั้นขึ้นมาใหม่โดยไม่คานึงถึงกฎเกณฑ์ทาง ไวยากรณ์ ลกั ษณะของสานวนจงึ มีความพเิ ศษสามารถแบง่ ไดต้ ามโครงสร้างของคา 4 ลกั ษณะดงั นี้ (1) สานวนที่เป็นคามูลพยางค์เดียว เป็นคาพยางค์เดียวท่ีมีความหมายโดยนัย เช่น ดาว หิน กล้วย กิ๊ก เป็นต้น (2) สานวนที่เป็นคาประสม ประกอบด้วยคาเด่ียว 2 คามารวมกัน เกิดเป็นสานวน เช่น คอแข็ง ตาขาว แพแตก ออ่ นขอ้ เป็นต้น (3) สานวนท่เี ปน็ กลมุ่ คา ประกอบด้วยส่วนประกอบที่เป็นคาหลักและคาท่ีเป็นส่วนขยาย ท้ังท่ี เป็นคาใหม่หรือคาซ้า โดยแบ่งย่อยเปน็ 2 ลักษณะ คือ กล่มุ คาทมี่ ีเสียงสัมผัสสระ และกลมุ่ คาที่ไม่มีเสยี งสัมผัส สระ ดังตัวอยา่ ง กลุม่ คาที่มเี สียงสัมผสั สระ เช่น ไก่แก่แม่ปลาช่อน คดในข้องอในกระดูก เปน็ ต้น กลุ่มคาที่ไม่มี เสยี งสัมผัสสระ เช่น คลุมถงุ ชน คงเสน้ คงวา เป็นต้น

26 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร (4) สานวนที่เป็นประโยค เป็นสานวนที่มีลักษณะเป็นประโยคทั้งที่เป็นประโยคสมบูรณ์และ ประโยคไม่สมบูรณ์ เช่น คบคนใหด้ หู น้าซือ้ ผ้าใหด้ เู นือ้ รกั ยาวให้บน่ั รกั สนั้ ให้ตอ่ เปน็ ตน้ สานวนที่ใช้ในภาษาไทยมีอยู่มากทั้งที่มีมาแต่เดิมและเกิดขึ้นมาใหม่ สานวนจึงแบ่งได้ตามลักษณะท่ีมา ของสานวนได้อีกเปน็ 2 ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ สานวนเดิม หมายถึง สานวนทมี่ ีมาแต่เดิมคนท่ัวไปรจู้ ักและรู้ความหมาย กันดีอยู่แล้ว และสานวนใหมห่ มายถึง สานวนที่เกิดข้ึนใหม่ (ดวงใจ ไทยอุบญุ , 2543: 241-242) สานวนทเี่ กิดขึ้น ใหม่จะเกิดข้ึนมาตามยุคสมัยบางสานวนเป็นท่ีนิยมเฉพาะกลุ่ม บางสานวนเป็นที่นิยมทั่วไป บางสานวนใช้เพ่ือ เปรยี บเทียบในดา้ นบวก บางสานวนใชเ้ พ่ือเปรยี บเทียบในด้านลบขนึ้ อย่กู ับวัตถปุ ระสงค์ที่นาไปใช้ นอกจากนส้ี านวนยังแบ่งไดต้ ามมลู เหตุการณ์เกดิ แบง่ ได้ 6 ประเภท 1. หมวดท่เี กิดจากธรรมชาติ เช่น ตื่นแต่ไกโ่ ห่ ปลากระดี่ได้น้า แมวไม่อยู่หนรู ่าเริง ไก่แก่แมป่ ลา ชอ่ น 2. หมวดท่ีเกิดจากการกระทา เช่น ไกลปืนเที่ยง สาวไส้ให้กากิน ชักใบให้เรือเสีย ปิดทองหลังพระ สีเ่ ทา้ ยงั รู้พลาด นกั ปราชญ์ยงั ร้พู ล้ัง 3. หมวดท่ีเกิดจากสภาพแวดแวดล้อม เช่น ตีวัวกระทบคราด ใกล้เกลือกินด่าง ฆ่าควายอย่า เสียดายพรกิ 4. หมวดท่ีเกิดจากอบุ ตั เิ หตุ เชน่ ตกน้าไมไ่ หล ตกไฟไมไ่ หม้ นา้ เช่ยี วอย่าขวางเรือ 5. หมวดท่ีเกิดจากระเบียบแบบแผนประเพณีความเช่ือ เชน่ กงเกวียนกาเกวยี น คู่แล้วไม่แคล้ว กนั ปลูกเรือนตามใจผ้อู ยู่ 6. หมวดที่เกิดจากความประพฤติ เช่น หงิมหงิมหยิบชิ้นปลามัน ตักน้าใส่กะโหลกชะโงกดูเงา คบคนดหู นา้ ซ้อื ผ้าดเู น้อื ข้เี กยี จสันหลงั ยาว ตัวอย่างสานวนเดิม กบในกะลาครอบ - ผมู้ ปี ระสบการณแ์ ละความรูน้ ้อย แต่สาคญั ตนวา่ มีความรมู้ าก ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ - ต่างฝา่ ยตา่ งรูค้ วามลับของกันและกนั จบั ปลาสองมือ – ทาสง่ิ ใดทีย่ ากพร้อม ๆ กนั ทาใหล้ ม้ เหลวทง้ั สองส่ิง เขยี นเสอื ให้ววั กลัว - ทาอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ เพอ่ื ใหอ้ ีกฝ่ายหนง่ึ เสียขวัญหรือเกรงขาม ก้งิ ก่าไดท้ อง - อวดดี หยิง่ ผยอง ลมื ฐานะของตนเอง ราไมด่ ี โทษปโ่ี ทษกลอง - ทาไม่ดหี รอื ทาผดิ แล้วไม่รบั ผิด กลบั โทษผู้อืน่ ทานาบนหลังคน - หาผลประโยชนใ์ สต่ นโดยขูดรดี ผ้อู นื่ ไก่งามเพราะขน คนงามเพราะแตง่ - คนเราจะสวยไดด้ ้วยการรูจ้ กั แตง่ ตวั ขว้างงไู ม่พน้ คอ - ทาอะไรแล้วผลรา้ ยกลับมาสตู่ วั เอง คางคกขึน้ วอ - คนที่มีฐานะต่าตอ้ ย พอไดด้ บิ ไดด้ ีกม็ กั แสดงกิริยาอวดดลี ืมตวั งมเข็มในมหาสมุทร - ทาในสิ่งท่ีเปน็ ไปได้ยาก จบั เสอื มือเปล่า – การทาประโยชน์ใด ๆ โดยไม่ต้องลงทุน

27 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร กินบนเรือน ข้ีบนหลงั คา - เนรคุณ ไม่รู้จกั บุญคณุ ของผูอ้ ่ืน ตวั อยา่ งสานวนที่เกิดขึน้ ใหม่ กินเกาเหลา - ขัดแยง้ ทะเลาะกัน ไม่ถกู กัน ดานา้ - เดาสมุ่ ชอบเบ้ยี ว - คดโกง ไมซ่ อื่ สตั ย์ ดองงาน - ไมร่ ับผดิ ชอบงานทไี่ ดร้ ับมอบหมาย ไปไม่ถงึ ดวงดาว - ไมส่ าเร็จ ไมบ่ รรลวุ ตั ถุประสงค์ตามท่ีคดิ ไว้ ภาษาดอกไม้ - คาพูดท่ไี พเราะ รน่ื หู พดู ไปทางทด่ี ี แจง้ เกดิ - เริ่มมีช่อื เสยี งเป็นทรี่ ้จู กั หรอื เปน็ ท่ยี อมรับในวงการน้ัน ๆ น็อตหลุด - ยัง้ ไม่อยู่ พดู โพลง่ ออกมาหรอื แสดงอารมณ์อยา่ งไมส่ มควร 3. การใชส้ านวนใหถ้ กู ตอ้ ง สานวนที่ใช้ในภาษาไทย ปัจจุบันน้ันมีอยู่มากมายท้ังที่มีมาแต่เดิมและเกิดข้ึนมาใหม่ บางสานวนก็ไม่ นิยมใช้แล้ว บางสานวนผู้ใช้อาจเข้าใจความหมายผิด เขียนผิด หรือเกิดความบกพร่องเมื่อนามาใช้ในบริบท ของถ้อยคาหรือประโยค ดังน้ัน จึงควรทาความรู้จักหลักการใช้สานวนให้ถูกต้อง ซ่ึง ดวงใจ ไทยอุบุญ (2543: 241-252) ไดก้ ลา่ วไว้ 3 ข้อ สรปุ ได้ดังน้ี 3.1 ใชค้ าให้ถกู ความหมาย เช่น “เขาเป็นคนหน้าตาดี แต่งตัวเรียบร้อย ท่าทางเป็นสุภาพบุรุษ แต่ดุร้าย ใจดาอามหิต สามารถฆ่าคนได้ คนประเภทนเ้ี รยี กว่า คนหนา้ ซือ่ ใจคด” สานวนในข้อความน้ี ควรใชค้ าว่า หน้าเนื้อใจเสอื “ข้อความวิชาภาษาไทยง่ายเหมือนเส้นผมบงั ภเู ขา” สานวนในขอ้ ความนค้ี วรใชค้ าว่า ปอกกล้วยเข้าปาก 3.2 ควรใช้ให้เข้ากับเรื่องสานวนท่ีนามาใช้ควรเข้ากับเนื้อหาซ่ึงจะทาให้ข้อความน้ันเข้าใจง่าย และผูร้ บั สารตคี วามหมายได้ถกู ต้อง เชน่ “สองคนน้ันเขา้ กันไดด้ ีทุกเร่อื งก่ิงทองใบหยก” ควรใชค้ าว่า “สองคนนัน้ เขา้ กันไดด้ ที กุ เร่ืองเหมือนเป็นป่เี ปน็ ขลยุ่ ” 3.3 ควรใช้สานวนให้ถูกต้อง สานวนท่ีเขียนในปัจจุบัน ปรากฏว่ามีการเขียนผิดอยู่เสมอ โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ท่ีไม่คุ้นเคยกับสานวนนั้น ๆ มีการจดจาเสียงหรือศัพท์สานวนมาผิด ๆ ดังน้ันจึงควร ตรวจสอบใหถ้ กู ต้องก่อนนาไปใช้ เช่น ทานาบนหัวคน ที่ถูกคอื ทานาบนหลงั คน สลกั หกั พงั ที่ถกู คือ ปรักหกั พงั คาหลงั คาเขา ท่ถี ูกคอื คาหนังคาเขา คนล้มอยา่ ทับ ทถ่ี ูกคือ คนลม้ อยา่ ขา้ ม

28 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร 3.4 อย่าใช้สานวนในข้อเขียนมากเกินไป ควรใช้ให้พอเหมาะ ถูกกาลเทศะ การใช้ซ้าบ่อย ๆ จะทาให้ผรู้ บั สารเกิดความราคาญได้ เชน่ “คนเราเกิดมาต้องรู้จักพ่ึงพาตนเอง ไม่ใช่ยืมจมูกของคนอื่นมาหายใจ อีกท้ังการวางตัวก็ เป็นส่ิงสาคัญ อย่าทาตัวหยิ่งผยอง ให้รู้จักความอ่อนน้อมถ่อมตนจึงจะดี พยายามอย่าไปยุ่งกับเรื่องของผู้อื่น เหมือนเอามือไปซกุ หีบ จะทาให้ตนเองเดือดร้อน ควรเร่งหาทางทามาหากินดว้ ยความบากบ่ันอดทน อย่าคอย แต่หวังน้าบ่อหนา้ จะกลายเป็นหนเี สอื ปะจระเข้” การใช้โวหาร ในการใช้ภาษาเพื่อการส่ือสารนั้น ผู้พูดหรือผเู้ ขียนจะต้องคิดค้นหาวิธีการเพื่อท่ีจะส่ือความคดิ ให้ผู้ฟัง หรือผูอ้ ่านเข้าใจเจตนาหรอื จุดประสงค์ของตัวเองให้ได้ผลดที ี่สุด หมายถึง มีความรับผิดชอบ แจ่มแจ้ง มคี วาม ลกึ ซึง้ สามารถถา่ ยทอดอารมณ์ ความรสู้ กึ ได้เปน็ อยา่ งดี 1. ความหมายของโวหาร พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (2556: 1134) ให้ความหมายของโวหาร ไว้ว่า ชั้น เชิงหรือสานวนแตง่ หนังสือหรือพูด, ถอ้ ยคาทเ่ี ล่นเป็นสาบดั สานวน ชานาญ รอดเหตุภัย (2519: 85) กล่าวว่า โวหาร หมายถึง กลวิธีในการใช้ภาษาเพ่ือให้บรรลุเป้าหมายที่ วางไว้ วาสนา เกตุภาค (ม.ป.ป.: 20) กล่าวว่า โวหาร หมายถึง ศิลปะอย่างหนึ่งของการใช้ภาษาสื่อสาร เพื่อให้กระทบอารมณข์ องผู้อ่าน ผูฟ้ ัง ชว่ ยให้เกิดจนิ ตภาพไดช้ ดั เจนกว่าการใชถ้ อ้ ยคาอย่างตรงไปตรงมา กล่าวโดยสรุป โวหาร หมายถึง กลวิธีการใช้ภาษาเพ่ือการสื่อสารให้บรรลุวัตถุประสงค์ของผู้พูดหรือ ผเู้ ขียนมากที่สุด เพ่อื ใหผ้ อู้ ่านหรือผูฟ้ ังเกิดความเข้าใจแจ่มแจ้ง ทัง้ ทางดา้ น รปู เสยี ง และอารมณ์ ความรู้สึก 2. ประเภทของโวหาร โวหารท่ีใช้ในการพูดหรือเขียน จัดแบ่งได้ 5 ประเภท คือ บรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร อุปมา โวหาร เทศนาโวหาร และสาธกโวหาร 2.1 บรรยายโวหาร หมายถึง การอธิบายหรือบรรยายเหตุการณ์ที่เป็นข้อเท็จจริง ความสาคัญ ชัดเจน ตรงไปตรงมา ไม่อ้อมค้อม หรือใช้คาฟุ่มเฟือย มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้รับสารเกิดความรู้ ความเข้าใจ ดังนน้ั จึงควรใช้ภาษาให้กระชบั รัดกมุ ตรงเป้าหมาย และเขา้ ใจงา่ ย 2.2 พรรณนาโวหาร หมายถึง การสื่อสารที่สอดแทรกอารมณ์ความรู้สึกของผู้ส่งสาร เพ่ือให้ ผู้รับสารเกิดความซาบซ้ึง เพลิดเพลิน ประทับใจ มีความรู้สึกคล้อยตามไปกับสารที่ได้รับ ซึ่งผู้ส่งสารควรเลือก สารถ้อยคาใหเ้ หมาะสม มุง่ ให้เกิดอารมณ์ ภาพพจน์ จินตนาการ

29 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร 2.3 อุปมาโวหาร หมายถึง วิธีการใช้สานวนเปรียบเทียบ เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจลึกซึ้ง ย่ิงขึ้น โดยการเปรียบเทียบของที่เหมือนกนั โยงความคิดจากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งหน่ึงหรือบางทีอาจเปรียบเทียบ ของสองสิง่ ที่มีความหมายตรงกนั ข้ามหรอื ขดั แย้งกนั ก็ได้ 2.4 เทศนาโวหาร หมายถึง การนาเสนอเน้ือหาเพ่ือชี้แจงให้ผู้รับสารเข้าใจ ช้ีให้เห็นประโยชน์ หรอื โทษของสิ่งทีก่ ล่าวถงึ แนะนา ส่งั สอน ชกั จูง ปลกุ ใจ ใหผ้ อู้ ่านเห็นตาม คล้อยตาม 2.5 สาธกโวหาร หมายถึง การนาเสนอเนื้อหาสาระท่ีมีการหยิบยกเอาตัวอย่าง เหตุการณ์มา อ้างอิงเพอ่ื เปน็ เหตผุ ล สนับสนนุ ขอ้ ความหรือเน้ือหาใหผ้ ้รู ับสารเกิดความเข้าใจ ตัวอย่างโวหาร บรรยายโวหาร การท่ีเมืองเพชร ยุคทวารวดี สามารถสร้างหรือหล่อพระพุทธรูปขนาดใหญ่และงดงามได้เช่นน้ี ยอ่ มสะท้อนถงึ อานาจราชศักดิ์ ความเปน็ ปกึ แผ่นทางเศรษฐกจิ ความเจรญิ ทางการช่าง และเทคโนโลยีทางการ หลอ่ โลหะอย่างดีย่งิ (ลอ้ ม เพง็ แก้ว, 2548: 74) พรรณนาโวหาร ทิดทรงขับเรือช้า ๆ ไม่เร่งร้อน เหล้าเราขวดที่สามกาลังจะหมด ส่วนเน้ือย่างไม่ต้องพูดถึง มัน อันตรธานไปต้ังแต่ยังไม่หมดขาดสอง จากเพลงช้า ๆ ทานองคลาสสิกค่อย ๆ เพิ่มจังหวะท่ีเร็วข้ึน จากเพลงเพ่ือ ชวี ิตมาเป็นเพลงความรักเน้ือความมัน และเพื่อความเมา นักร้องร่วมสามสิบท่ีเราชวนข้ึนมาบนเรอื ด้วยต่างผลัด กันแข่งตะเบ็งเสียง แซงหน้า แซงหลังคิดไม่ออกบอกไม่ทัน ก็รับเอาเพลงเดิม จนบ้างไม่จนบ้างคร้ังแล้วคร้ังเล่า คล่นื ลมรกึ ช็ า่ งเปน็ ใจเหลือเกิน มันสงบราบเรียบเหมือนกับเรือลอยอย่ใู นสุญญากาศ (ทศั นาวล.ี 2545: 76) อปุ มาโวหาร การตัดรากเหง้าของความทุกข์ให้ขาด และกระทาให้เป็นเหมือนต้นตาล ยอดด้วนน่ีแหละคือ กรณีย กิจของพุทธศาสนา และการประพฤติปฏิบัติเพื่อบรรลุเป้าหมายอันนี้แหละคือ ศิลปะอันยิ่งใหญ่ในพุทธศาสนา (กหุ ลาบ ลายประดษิ ฐ.์ 2543: 92) เทศนาโวหาร ใจเป็นสิ่งสาคัญท่ีสุด มีฤทธ์ิมีอานาจท่ีสุด ความสุข ความทุกข์ ความดี ความช่ัว ความขยัน ความ ร้อน ความสงบ ความวุ่นวาย เกิดจากใจทั้งสิ้น ผู้มุ่งบริหารจิตควรคานึงถึงความจริงน้ีไว้อย่างย่ิง ควรให้ความ สนใจและดูแลรักษาใจของตนให้อย่างยิ่ง เพ่ือจะได้สามารถพาตนให้พ้นความทุกข์ ได้มีความสุข พ้นความชั่ว ได้มคี วามดี พ้นความร้อน ได้มีแต่ความเยน็ พ้นความวนุ่ วาย ได้มีความสงบ (สมเดจ็ พระญาณสงั วร. 2530: 22) สาธกโวหาร ลักษณะเสื่อมที่เห็นได้ชัด และที่เกิดขึ้นท้ังในโรงเรียนและนอกโรงเรียนก็คือ การพูดไม่ชัด โดยเฉพาะเสียง ร และเสียง ล เรื่องน้ีเป็นทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ถ้าเราพูดให้แคบเข้าก็ว่าเป็นทั้งนักเรียนและครู

30 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร อีกประการหนึ่งก็คือการออกเสียงอักษรกล้าและควบ เช่น คว ขว กว ออกเสียง ฟาม ขวนหวาย เป็นฝนฝาย กวา่ เป็น กา่ การออกเสยี งไมถ่ ูกต้องตามอกั ษรนแี้ สดงความเลินเล่อ และทาให้ผนั แปรได้ (ทศั นาวด.ี 2545: 76) 3. การใชโ้ วหารใหถ้ กู ต้อง ในการส่งสาร โวหารถือเป็นองค์ประกอบท่ีทาให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจสารได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง รวมทั้งเกิดความประทับใจในการใช้ภาษาของผู้ส่ือสาร ท้ังนี้ต้องข้ึนอยู่กับว่าในการยกโวหารแต่ละชนิดมา แทรกข้ึนในเน้ือหาน้ัน มคี วามเหมาะสมมากนอ้ ยเพียงใด ซง่ึ พอสรปุ ได้ดังนี้ 3.1 โวหารแต่ละชนิดมักมีความเหมาะสมกับขอ้ เขียนแต่ละประเภท เช่น ถ้าต้องการอธิบายสิ่ง ใดสิ่งหนึ่ง มักใช้บรรยายโวหาร ถ้าต้องการมุ่งให้กระทบอารมณค์ วามรูส้ ึกของผู้อ่านมักใช้พรรณนาโวหาร หรือ ถา้ ตอ้ งการโนม้ น้าวจติ ใจมักใช้เทศนาโวหาร เปน็ ต้น 3.2 ในการใช้โวหารนั้น เน้ือหาแต่ละเร่ืองราวอาจมีโวหารชนิดเดียวหรือหลายชนิดผสมผสาน กนั ก็ได้ 3.3 โวหารที่ใช้เป็นหลักมักเป็น บรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร และเทศนาโวหาร ส่วนอุปมา โวหารและสาธกโวหารมกั ใช้เปน็ โวหารประกอบ หรอื โวหารเสรมิ การใชภ้ าพพจน์ ภาพพจน์ เป็นกลวิธีในการใช้ภาษาอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งมีการเลือกใช้ถ้อยคาเพื่อให้ผู้รับสารนึกเห็นภาพ ของสง่ิ ทผี่ ู้สง่ สารนาเสนอ กลา่ วใหเ้ ข้าใจง่าย ๆ คือ เปน็ การใช้ถอ้ ยคาแทนภาพนน่ั เอง 1. ความหมายของภาพพจน์ พจนานุกรม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (2556: 867) ได้กลา่ วถึงความหมายของภาพพจน์ไว้ วา่ “ถ้อยคาทีเ่ ปน็ สานวนโวหารทาใหน้ ึกเห็นเป็นภาพ ถ้อยคาท่เี รียบเรยี งอย่างมีชั้นเชิงเป็นโวหาร มีเจตนาให้มี ประสิทธิผลต่อความคิด ความเข้าใจ ให้จินตนาการและถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างกว้างขวางลึกซ้ึงกว่าการบอก เล่าท่ีตรงไปตรงมา” เปล้ือง ณ นคร (2512 : 75) กล่าวว่า ภาพพจน์ คือ โวหารลักษณะ หมายถึง การพูดหรือเขียนอย่าง เทียบเคยี ง โดยมงุ่ หมายให้การกลา่ วดังนน้ั มรี สน่าฟงั หรอื สะดุดใจย่งิ ข้นึ โดยความหมายน้ี ภาพพจน์ จึงเป็นถ้อยคาท่ีทาให้เกิดภาพ ถ้าผู้ส่งสารมีวิธีการใช้คาที่ให้ความหมาย หรือภาพแกผ่ รู้ บั สารชัดเจนเพียงใดก็จะทาให้การสอื่ สารประสบผลสาเร็จยง่ิ ขน้ึ ภาพพจน์ถอื เป็นคาพิเศษอีกลักษณะหนึ่ง ทใ่ี ช้ในการสอ่ื ความหมายเป็นทเี่ ข้าใจตรงกนั ท้ังผู้ส่งสารและ ผรู้ ับสาร ซ่ึงโดยท่ัวไปแล้วภาพพจน์นั้นไม่ได้เพ่งเล็งถึงภาพหรือรูปเป็นหลัก แต่หมายถึงความรู้สึกนึกคิดต่าง ๆ ที่จะเกิดเป็นรูปร่างขึ้นในใจ ในการท่ีจะพูด เขียนหรือแสดงความอย่างมีภาพพจน์นั้นมีลักษณะสาคัญที่สรุปได้ คอื การสรา้ งภาพด้วยถ้อยคานนั่ เอง

31 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร จากลักษณะดังกล่าวจะเห็นได้ว่า ภาพพจน์นั้นเกิดขึ้นจากการใช้คาแตกต่างจากการอธิบายความ โดยท่ัวไป ซ่งึ อาจจะมีลักษณะเปรียบเทียบ การใส่อารมณ์ ความรู้สกึ การกล่าวเกินความจริง หรืออาจเกิดจาก การเลยี นเสียงหรือลักษณะอาการตา่ ง ๆ เป็นตน้ 2. ประเภทของภาพพจน์ นักวิชาการได้แบ่งประเภทของภาพพจน์ออกตามทัศนะแต่ละคนที่ต่างกัน ภาพพจน์ที่ปรากฏใน วรรณคดีน้ันมีผู้แยกย่อยออกได้กว่า 250 แบบ แต่ภาพพจน์ท่ีนิยมใช้กันบ่อย ๆ และจะกล่าวถึงในที่น้ีคือ อปุ มา (simile) อุปลักษณ์ (metaphor) บุคลาธิษฐาน (personification) อธิพจน์ (hyperbole) และสัทพจน์ (onomatopoeia) 2.1 อุปมา หมายถึง การเปรียบเทียบว่าสิ่งหน่ึงเหมือนหรือคล้ายกับอีกสิ่งหน่ึง เช่น รวดเร็ว ปานกามนติ หน่มุ สวยราวกับนางฟา้ เนตรประหน่ึงตากวาง ความรักเหมือนโคถกึ หรือบทกวีทวี่ ่า เปรียบน้าใจของหญิงทีก่ ลงิ้ กลอก ดังน้าหมอก น้าค้าง กลางพฤกษา อาทติ ยส์ ่อง ต้องจับ กล็ บั ลา อนิจจาแล้วเราก็จากกนั 2.2 อุปลักษณ์ หมายถึง การเปรียบเทียบโดยใช้คาที่มีลักษณะ หรือความหมายคล้ายคลึงกัน แทนคาอีกคาหนึ่งโดยไม่มคี าแสดงการเปรียบเทียบปรากฏอยู่ เช่น หนา้ บานเป็นจานเชิง ปากเล็กเท่ารูเข็ม ครู คอื เรอื จา้ ง หรือบทกวีทีว่ า่ โอเ้ จา้ สาวใบตองใบร่องสวน ยุคฉะน้เี ขียวนวลคงด่วนหมอง ยนิ แต่เพลงพลาสติกระลกึ รอ้ ง หรือส้ินเพลงใบตองเสียแล้วเอย (ไพวรนิ ทร์ ขาวงาม. 2538: 43) 2.3 บคุ ลาธษิ ฐาน หมายถึง การเปรียบเทยี บท่นี าเอาพฤตกิ รรม และอาการบางอย่างของมนุษย์ ไปใส่ในสัตว์ ส่ิงของ ความคิดหรือธรรมชาติ ประดุจหนึ่งว่าแสดงอาการได้เหมือนคน เช่น ทะเลไม่เคยหลับ คลืน่ จบู หิน ลมถีบประตู ฟา้ หัวเราะข้า หรือบทกวที ่วี ่า หวดมวยและหม้อนง่ึ ต่างบูดบ้งึ เหมอื นอ้ึงอา กระเบียนฮา้ งวางประจา ก็ด่างดาอยู่เดียวดาย เคยี วแหว่งก็วา้ เหว่ หน็บฝาเพเหมอื นแพ้พา่ ย งอบขาดกราดกระจาย แพรลายเรม่ิ รายโรย คราดหกั สะอื้นไห้ ละคันไถกไ็ หโ้ หย หนังต่องแอกอกระอกั โอย เหมอื นถูกโบยดว้ ยบาปกรรม (คาผา เพลงพณิ . 2532:22)

32 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร หรอื อกี บทหน่ึงว่า ภกู ระดงึ ดงึ ใจให้ไหวหวนั่ ดึงใจเธอใจฉันให้หวน่ั ไหว ดงึ ความรกั เราสองคลอ้ งสายใย ก่อนจะดงึ เธอไปไม่กลับมา 2.4 อธิพจน์ หมายถึง การกล่าวเกินจริงเป็นการบรรยายท่ีขยายให้เห็นเด่นชัดในสิ่งใดส่ิงหน่ึง มากกว่าความเป็นจริงโดยมุ่งไปท่ีอารมณ์ความร้สู กึ ที่มีมากกวา่ ถ้อยคา เช่น รักคุณเทา่ ฟ้า คอแห้งเป็นผง ถ้าฉัน มสี ิบหน้าอยา่ งทศกณั ฐ์ สบิ หนา้ น้นั ฉันจะหันมายมิ้ ให้เธอ คิดถงึ เธอใจจะขาดแลว้ หรอื บทกวีท่ีวา่ ตราบขุนคิรขิ ้น ขาดสลาย แลแม่ รกั บห่ ายตราบหาย หกฟา้ สรุ ิยจนั ทรขจาย จากโลกไปฤา ไฟแล่นค้างสห่ี ลา้ หอ่ นล้างอาลัยฯ (นรนิ ทรธเิ บศ (อิน). 2516: 36) 2.5 สัทพจน์ หมายถึง การเปรียบเทียบด้วยการเลียนเสียงหรือแสดงลักษณะอาการต่าง ๆ ทา ให้รสู้ กึ เหมอื นไดย้ นิ เสียงของสิ่งนั้น ๆ เช่น เปรีย้ งๆๆ..เสียงปนื ดังขึน้ สามนัดซ้อน งเู หา่ ชคู อขู่ฟ่อ ๆ หรอื บทกวที ่ีวา่ นา้ ฝนหยดเผาะลงเปาะแปะ ลูกเดินเตาะแตะ แลว้ ลม้ กลงิ้ แมอ่ ุ้มซบอก แอบอิง ลูกยงั ไม่น่งิ ยังโยเย... การใช้สญั ลกั ษณ์ สัญ ลักษณ์ เป็ น วิธีการใช้ภ าษาท่ีซ่อน ความห มาย แท้จ ริงไว้ใน คาซึ่งเป็ น ตัวแท น ท้ังรูป ธรรมแล ะ นามธรรมที่ผู้รับสารต้องอาศัยพ้ืนฐานความรู้และทาความเข้าใจกับบริบทของคาท่ีใช้เป็นสัญลักษณ์น้ันปรากฏ อย่จู งึ จะสามารถเขา้ ใจเจตนาของผู้รับสารไดอ้ ย่างชดั เจน 1. ลักษณะของสญั ลักษณ์ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 (2556: 1203) ให้ความหมายว่า สัญลักษณ์ หมายถึง สิ่งท่ีกาหนดนิยมกันขึ้นเพื่อให้ใช้ความหมายแทนอีกส่ิงหนึ่ง เช่น ตัวหนังสือเป็นสัญลักษณ์แทน เสียงพดู

33 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร วิภา กงกะนันทน์ (2520:57) กลา่ ววา่ สัญลักษณ์ หมายถึง สรรพส่ิงใด ๆ ที่มคี วามหมายถึงส่ิงอ่ืน ที่มีคุณสมบัติร่วมกันหรือเกี่ยวข้องกัน เช่น พระพุทธรูปเป็นสัญลักษณ์ของพุทธศาสนา ไม้กางเขนเป็น สัญลกั ษณข์ องคริสต์ศาสนา เปน็ ตน้ กล่าวโดยสรุป สัญลักษณ์ หมายถึง การใช้สิ่งหนึ่งแทนอีกส่ิงหนึ่งเพ่ือทาให้เกิดภาพ และเข้าใจ ชัดเจน นัน่ เอง สัญลักษณ์เป็นการบรรยายท่ีไม่ตรงความหมายของถ้อยคา เป็นการหลีกเลี่ยงการใช้ถ้อยคา ตรงไปตรงมา ผู้รับสารจะต้องคิดพิจารณาสิ่งดังกล่าวน้ันว่ามีความเช่ือมโยงกับส่ิงใด ลักษณะของสัญลักษณ์ สรปุ ได้ 3 ประการคอื 1.1 ใชส้ ่งิ หน่ึงแทนอีกสิง่ หนง่ึ เช่น แมลงแทนผู้ชาย ดอกไม้แทนผู้หญิง ความมืดแทนกิเลส และ อวชิ ชา เปน็ ตน้ 1.2 ความหมายของสัญลักษณ์มักขึ้นกับบริบทหรือคาแวดล้อม เช่น เขาคือลูกประดู่คนหนึ่ง (ทหารเรือ) พระเวสสนั ดรอยา่ งพ่อไม่มวี ันขาดเพ่ือน (คนใจกวา้ ง) 1.3 สญั ลักษณ์สามารถเกิดข้ึนใหม่ไดเ้ สมอ ตามความนิยมและความเข้าใจของคนแตล่ ะยุคสมัย เช่น จามจุรี หมายถงึ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย โดม หมายถงึ มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์ เป็นตน้ 2. ประเภทของสัญลักษณ์ สัญลักษณ์เป็นคา ๆ เดียว หลายคา เป็นข้อความหรืออาจเป็นเรื่องราวทั้งเรื่องก็ได้ ซึ่ง ธัญญา สังขพันธานนท์ (2539: 245-246) ได้แบ่งสัญลักษณ์ออกเป็น 3 ประเภท คือ สัญลักษณ์ขนบนิยม สญั ลกั ษณท์ ่ีเป็นสากล และสญั ลักษณเ์ ฉพาะตน สัญลักษณ์แบบขนบนิยม (conventional symbols) หมายถึง สัญลักษณ์ท่ีรับรู้กันทั่วไปของคน ที่อยใู่ นสงั คมและวฒั นธรรมเดียวกันกระท่งั ยดึ ถือเปน็ ขนบ เชน่ สขี องธงชาติ สัญลักษณ์ที่เป็นสากล (universal symbols) หมายถึง สญั ลักษณ์ท่ีรบั รู้และเป็นท่ีเข้าใจกันอย่าง กว้างขวางและตรงกันทุกกลุ่มชน ซ่ึงสามารถยึดถือเป็นแบบฉบับได้ เช่น สีขาว หมายถึง ความบริสุทธิ์ นกพริ าบ หมายถงึ สนั ตภิ าพ เป็นตน้ สัญลักษณ์เฉพาะตน (private symbols) หมายถึง สัญลักษณ์เฉพาะตัวของคนใดคนหน่ึงท่ีคิดใช้ เองเปน็ การเฉพาะ ผ้อู ่านจะเข้าใจไดก้ ต็ อ่ เมือ่ พิจารณาข้อความแวดลอ้ ม เชน่ บทกวีขององั คาร กลั ป์ยาณพงศ์ โลกนี้มิอยดู่ ว้ ย มณี เดียวนา ทรายและสงิ่ อ่ืนมี ส่วนสร้าง ปางธาตดุ า่ กลางดี ดุลยภาพ ภาคจักรพาลมิรา้ ง เพราะน้าแรงไหน

34 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร โลกนม้ี ิใช่หลา้ หงสท์ อง เดยี วเลย กาก็เจ้าของครอง ชีพด้วย เมาสมมติจองหอง หินชาติ นา้ มติ รแล้งโลกมว้ ย หมดสนิ้ สุขศานต์ (องั คาร กัลยาณพงศ์. 2533: 44) 3. การใชส้ ญั ลกั ษณ์ 3.1 ควรใช้แทนส่ิงที่สามารถส่ือสารและทาความเข้าใจกับผู้รับสารได้เป็นอย่างดี สัญลักษณ์น้ัน ต้องเป็นท่ีรู้จักกันดีและแพร่หลายในวงกว้าง เช่น ฝน แทน ความสดชื่น น้าค้าง แทน ความบริสุทธ์ิ รุ้งแทน ความหวงั แสงสวา่ งแทนปญั ญา เปน็ ตน้ 3.2 ควรคานึงถึงกาลเทศะ เพศ วัย และพื้นฐานความรู้ของผู้รับสารด้วย เช่น ผู้รับสารท่ีเป็น เด็ก บางครั้งอาจไม่จาเป็นต้องใช้สัญลักษณ์ หรือควรใช้สัญลักษณ์ง่าย ๆ ไม่ซับซ้อน บางคร้ังการเขียนถึงสิ่ง ต้องห้าม ส่ิงที่หยาบคาย หรือเรื่องทางเพศ ก็ควรใช้สัญลักษณ์มาช่วยในการสอ่ื สาร ซึ่งแสดงถึงความสามารถ ของผู้สง่ สารด้วย 3.3 ควรใช้ให้เหมาะสมและถูกต้องกับข้อความหรือประโยค หมายถึง ผู้ส่งสารต้องคานึงถึง บริบทหรอื คาแวดลอ้ มว่ามีความหมายเหมาะสมกัน เขา้ กันไดห้ รอื ไม่ เชน่ “สนุ ขั จ้ิงจอกอย่างเขามีความซือ่ สัตยเ์ ป็นเลศิ ” (ใชไ้ ม่ได้) “สุนขั จง้ิ จอกอย่างเขาพรอ้ มทจี่ ะทรยศเพ่ือนได้ตลอดเวลา (ใช้ได)้ “เจา้ นายของเรามีเพือ่ นมากเพราะทาตัวเหมือนชูชก” (ใช้ไมไ่ ด)้ “เจา้ นายของเรามีเพื่อนมากเพราะทาตวั เป็นพระเวสสนั ดร” (ใช้ได)้ การอา่ นออกเสียงคาใหถ้ ูกต้อง ภาษาย่อมมีการเปลี่ยนแปลงและต้องเป็นไปอย่างเหมาะสมถูกต้อง ไม่ทาให้สูญเสียความเป็นไทย ปจั จุบันพบว่า การไม่รู้หลกั เกณฑ์ทางภาษา เป็นเหตุให้อ่านหรือออกเสียงคาผิดเพ้ียนไป หรอื การได้ประสบพบ เห็นข้อผิดพลาดบ่อยครั้งจนพลอยทาให้เข้าใจว่าเป็นความถูกต้อง การอ่านหรือออกเสียงผิดพอจะประมวลได้ ดงั นี้ 1. การอา่ นผิดอักขรวธิ ีไทย 1.1 เสยี งพยญั ชนะ 1.1.1 เสียงพยัญชนะเดี่ยว ทีพ่ บว่าออกเสียงผดิ ไปจากอักขรวิธไี ทย ได้แก่ จ ออกเสยี งเป็น ช (ตามนักร้องทางโทรทัศน์ ท่ีออกเสียง “หัวใจ” เป็น “หัวใช” ซ ออกเสียงเป็น ด (ตามโฆษณา มือถือที่ว่า “วางกอ่ นซี” ออกเป็น “วางกอ่ นดิ”

35 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร 1.1.2 เสียงพยัญชนะควบกล้า รวมถึงการออกเสียง ไม่ชัดเจนด้วย ทาให้ความหมาย เปลี่ยนไป เช่น ออกเสียง “ร้าน” เป็น “ล้าน” เครียด ออกเสียง เคียด ข่าวคราว ออกเป็น ข่าวคาว เหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งทท่ี าให้ผ้ฟู งั ขาดความศรทั ธาในตัวผู้พดู หรือผ้อู อกเสยี ง ลดความมีบุคลกิ ภาพทีด่ ี ทาให้ไมน่ ่าเชื่อถอื 1.2 การออกเสียงวรรณยุกต์ เสยี งวรรณยุกต์ท่ีพบว่า ออกเสยี งไม่ถูกตอ้ ง คอื เสียงวรรณยกุ ตโ์ ท ซ่ึงพิธีกรที่จาเป็นต้องทาหน้าท่ีพูดทางโทรทัศน์ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี ไม่ออกเสียง คาว่า “มาก” เป็น “ม้าก” คาวา่ “ชอบ” เปน็ “ช้อบ” ฯลฯ 2. การออกเสยี งคาท่ีมาจากภาษาบาลีสนั สกฤต คาทมี่ าจากภาษาบาลีสันสกฤต บางคาไทยรับมาใช้แลว้ ดัดแปลงออกเสยี งให้เหมาะกับล้ินของคน ไทย บางคาอาศัยการออกเสียงตามภาษาเดมิ โดยท่ัวไปมหี ลัก ดงั นี้ 2.1 คาสมาสต้องออกเสยี งเน่ืองกนั แมค้ าน้ันจะไม่ประวิสรรชนีย์ เช่น รสนิยม อ่านวา่ รด-สะ-น-ิ ยม คุณวุฒิ อ่านวา่ คนุ -นะ-วดุ -ทิ บคุ ลิกภาพ อ่านวา่ บุก-คะ-ลกิ -กะ-พาบ มนุษยศาสตร์ อ่านวา่ มะ-นุด-สะ-ยะ-สาด คาอน่ื ๆ นอกเหนอื จากคายกตวั อย่างจะใช้แนวการอ่านเช่นเดียวกัน หากไม่ใชค่ าสมาสจะไมอ่ ่าน ออกเสียงเนอ่ื งกัน เช่น ภูมลิ าเนา ควรอา่ นวา่ พูม-ลา-เนา ไมอ่ ่านวา่ “พ-ู ม-ิ ลา-เนา อนึ่ง คาบางคาสามารถอ่านตามจังหวะแบบไทย เพื่อให้เหมาะกับลิ้นของคนไทยได้จึงมีทั้งการ ออกเสียงแบบไทยและแบบคาสมาส เช่น รสนิยม อ่านว่า “รด-นิ-ยม” ก็ได้ตามท่ีระบุไว้ในพจนานุกรม ฉบับ ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 2.2 คาบางคาออกเสียงเรียงพยางค์ เช่น โภชนาการ (อ่านว่า โพ-ชะ-นา-กาน) แต่บางคาออก เสียง ตัวสะกดด้วย เช่น โฆษณา (โคด-สะ-นา) ทั้งนี้ จุดประสงค์หลัก คือ ต้องการให้สะดวกกับลิ้นของคนไทย ผ้ทู ่ีเป็นพิธีกร หรือผู้ท่ีจาเปน็ ต้องพูดต่อหนา้ สาธารณชนควรตรวจสอบการออกเสียงให้ถูกต้องจากพจนานุกรม ฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 2.3 การออกเสยี งตัวสะกดในคาทมี่ าจากภาษาบาลีสนั สกฤต พอจะสรปุ ไดด้ ังน้ี 2.3.1 คาท่ีมีตัวสะกดหรือตวั ตามตัวใดตัวหนึ่งเป็นเสียงอุสมุ หรือ นาสิก หรือ อฒั สระ คา น้ัน สามารถออกเสยี งสะกดได้ เชน่ พัสดุ (พัด-สะ-ด)ุ กัลบก (กนั -ละ-บก) เจตนา (เจด-ตะ-นา) 2.3.2 คาทม่ี ตี ัวสะกดและตัวตามอยใู่ นพยัญชนะ วรรคจะไม่ออกเสยี งตัวสะกด เช่น สัปดาห์ อา่ นวา่ สบั -ดา วิตถาร อา่ นวา่ วิด-ถาน ปรากฏการณ์ อ่านว่า ปรา-กด-กาน ภาคทัณฑ์ อ่านวา่ พาก-ทนั

36 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร อนึ่ง คาว่า สัปดาห์ พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2554 (2556: 1208) ให้อ่านได้ ท้ัง สับ-ดา และ สบั -ปะ-ดา เพ่ือใหเ้ หมาะกบั การออกเสยี งของคนไทย 2.3.3 คาภาษาบาลีท่ีตัดตัวสะกดทิ้งไป เมื่อตกอยู่ในภาษาไทย ให้อ่านออกเสียงตัวสะกด ด้วย เช่น ทฐิ ิ (ทดิ -ถิ) อฐั (อัด-ถิ) 3. การออกเสียงคาทีม่ าจากภาษาตา่ งประเทศ คาภาษาต่างประเทศ โดยเฉพาะคาภาษาอังกฤษที่เข้ามาใช้ปะปนกับคาไทยควรออกเสียงตาม อกั ขรวิธีไทย ทัง้ ในเร่ืองของพยญั ชนะตน้ และพยญั ชนะสะกด เชน่ ฟตุ บอล (อา่ นว่า ฟดุ -บอน) ส่วนวรรณยุกต์ แม้ไม่ปรากฏรปู วรรณยุกต์ ก็ออกเสยี งตามสาเนียงใดสาเนียงหนึ่งของภาษาเดิมได้ เช่น กีตาร์ (อ่านวา่ กี-ตา้ ) เทคโนโลยี (อ่านวา่ เท็ค-โน-โล-ย่)ี โควตา (อา่ นวา่ โคว-ตา้ ) นอกจากต้องคานึงถึงหลักเกณฑใ์ นการอ่านออกเสียงแล้วควรคานึงถึงการอ่านแยกคาและพยางค์ ให้ถูกต้องด้วย คาที่มักอ่านผิด เช่น คุกรุ่น (คุ-กรุ่น) มักอ่านผิดเป็น คุก-รุ่น ขนมอบ (ขะ-หนม-อบ) มักอ่านผิด เป็น ขน-มอบ ลูกรงั มักอา่ นผิดเป็น ลู-กรงั การเขียนสะกดคาใหถ้ ูกต้อง การเขียนสะกดคาให้ถูกต้องเป็นทักษะท่ีต้องอาศัยการสังเกต เม่ือพบข้อความใดไม่ว่าทางสื่อส่ิงพิมพ์ หรือป้ายโฆษณา ต้องหมั่นสังเกตว่า คาท่ีพบเห็นน้ันเขียนถูกต้องอย่างไร และหมั่นตรวจสอบกับพจนานุกรม อย่างสม่าเสมอ จะทาให้เขียนไม่ผิดพลาด ทาให้ผู้ท่ีอ่านงานเขียนของเราศรัทธาให้ความน่าเชื่อถือ และเป็นท่ี ไวว้ างใจแก่หวั หน้างาน คาในภาษาไทยมีทั้งคาท่ีเป็นคาไทยด้ังเดิมและคาท่ียืมมาจากภาษาอ่ืน จึงพบว่ามีปัญหาในการเขียน สะกดคาผดิ บ่อยคร้งั คาทเี่ ขยี นผดิ มกั เป็นคาที่มีลกั ษณะดงั ตอ่ ไปน้ี 1. คาที่คล้ายคลึงกันในด้านการออกเสียง เช่น ญาติ-อนุญาต เหตุ-สังเกต สาป-ทะเลสาบ ผูกพัน- กรรมพันธุ์-สุขภัณฑ์- ลายเซ็น-เปอร์เซ็นต์ น้าไหล-หลงใหล ลองใย-ลาไย ฯลฯ ดังน้ัน ผู้ที่จะเขียนคาให้ถูกต้อง จึงควรตอ้ งเข้าใจความหมายของคาที่คล้ายคลงึ กันเหลา่ นี้ จะทาใหเ้ ขียนใหผ้ ดิ 2. คาท่ีใช้แนวเทียบผิด โดยเฉพาะคาทใ่ี ช้และไม่ใช้เคร่ืองหมายทัณฑฆาต คาท่ีมักเขยี นผิดประเภทน้ี ได้แก่ คาว่า เครอื่ งสาอาง ดารง จานง อินทรี (ชอื่ นก ปลา) คอลมั น์ สมโภช ฯลฯ 3. คาสมาส เป็นคาที่นาภาษาบาลีและสันสกฤตมารวมกัน เมือ่ เป็นคาสมาสแล้วจะไม่ประวิสรรชนีย์ คาที่มักเขยี นผิด ได้แก่ อปุ การคณุ ภารกิจ ศิลปวัฒนธรรม ลักษณนาม วารดถิ ี ธรุ กิจ ฯลฯ อน่ึง คาว่า “อเนกประสงค์” เป็นคาสมาส แต่ท่ีมักเขียนผิดเป็นเอนกประสงค์ มิใช่เพราะหลัก คาสมาส แตเ่ ปน็ เพราะพบเหน็ เปน็ ประจา จึงทาให้เขยี นตาม

37 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร 4. คาทับศัพท์ ในการถ่ายทอดคาภาษาต่างประเทศมาใช้ปะปนกับคาในภาษาไทยน้ันจาเป็นต้องรู้ คาศัพท์เดิม จึงจะถ่ายทอดออกมาและเขียนถูกต้องตามอักขรวิธีท่ีกาหนดไว้ โดยทั่วไปการเขียนคาทับศัพท์ ตอ้ งคานงึ ถึงหลักดงั นี้ (ราชบัณฑิตยสถาน. 2535: 3-11) 4.1 การใช้เครื่องหมายทัณฑฆาต ควรต้องรู้คาเดิมว่าในภาษาเดิมของเขาเขียนอย่างไร แล้วจึง ถ่ายทอดโดยใช้ตัวอักษรไทยได้ถูกต้อง เช่น คลัตช์ มาจากคาว่า clutch เคาน์เตอร์ มาจากคาว่า counter คอร์รัปช่ัน มาจากคาว่า corruption หนังอาร์ มาจากหนัง (ภาพยนตร์ประเภท) R (มีผู้เขียนป้ายเชิญชวนชื่อ หนังอารว์ ่า “หนงั อา” ทาให้สอื่ ความผดิ ความหมายไป) 4.2 การใช้และไม่ใช้ไม้ไต่คู้ โดยทั่วไปมีหลักว่าคาใดที่ไม่สับสนกับคาไทยไม่ต้องใส่ไม้ไต่คู้ แต่ถ้า คาใดทคี่ ิดว่าสบั สนกับคาไทยกค็ วรใส่ไม้ไต่คู้ เชน่ ล็อก (lock) ถา้ ไมใ่ สจ่ ะสับสนกบั คาว่า “ลอก” ในภาษาไทย 4.3 การใช้และไม่ใช้วรรณยุกต์ มีหลักเช่นเดียวกับไม้ไต่คู้ ตัวอย่างคาที่ใช้วรรณยุกต์ เช่น โคม่า โคก้ ปล๊ัก เพราะถ้าไมใ่ ช้จะสับสนกับคาว่า โคมา โคก และปลัก (ควาย) ส่วนคาท่ีไม่สบั สนกับคาไทย ไม่ต้องใส่ วรรณยกุ ต์ เช่น โควตา เทคโนโลยี ดอลลาร์ วอลเลยบ์ อล 4.4 พยัญชนะที่สมัยหน่ึงเคยใช้ เม่ือมาถึงสมัยหลังเปล่ียนแปลงไป ทาให้เขียนผิดพลาดไป เช่น อักษร ค เปล่ยี นเป็น ก อกั ษร ท เปลีย่ นเป็น ต เช่น คลินกิ ไนตค์ ลบั เบรก น็อก แบคทีเรีย 5. ศัพท์บัญญัติ เกิดจากการแปลคาภาษาต่างประเทศ แล้วบัญญัติศัพท์ขึ้นใหม่จากคาแปลน้ัน คาท่ี มักเขียนผิด ได้แก่ โทรศัพท์ มักเขียนผิดเป็นโทรศัพย์ คาศัพท์ มักเขียนผิดเป็น คาศัพย์ โลกาภิวัตน์ มักเขียน ผดิ เป็น โลกาภิวัฒน์ 6. คาที่ได้รับประสบการณ์มาผิด มีหลายคา เช่น ศีรษะ มักเขียนผิดเป็น ศรีษะ เมตตาปรานี มัก เขียนผิดเปน็ เมตตาปราณี อะไหล่ มกั เขยี นผิดเปน็ อะหลั่ย สัมมนา มกั เขยี นเป็น สัมนา ฯลฯ ประมวลคาทมี่ กั เขยี นผดิ การเขียนสะกดคามีความสาคัญอย่างยิ่งในการใช้ภาษา เป็นรากฐานของการเขียน ถ้าเขียนสะกด คาผิด ความหมายก็จะแปรเปล่ียนไปหรืออาจจะไม่มีความหมายเลยก็ได้ ด้วยเหตุนี้การเขียนสะกดคาให้ ถูกต้องจึงมคี วามสาคัญในการติดตอ่ สื่อสารได้อยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ ดังนี้ คาทเี่ ขยี นถูกต้อง มกั เขยี นผิดเป็น หมายเหตุ หมวด ก กงเกวียนกาเกวียน กงกากงเกวียน กง และ กา เป็นส่วนประกอบของล้อ เกวียน กงสุล กงศุล กฎ กฏ กฎ ทุกอย่างใช้ ฎ ชฎา ยกเว้น ปรากฏ ใช้ ฏ ปฏกั กระตือรือรน้ กระตือลอื ล้น รีบร้อน, เรง่ รีบ

38 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร คาทีเ่ ขยี นถกู ตอ้ ง มกั เขยี นผดิ เปน็ หมายเหตุ หมวด ก กระชาย กะชาย ชื่อไม้ล้มลุกชนิดหน่ึง มีรากสะสม กระทะ อาหาร ใช้เป็นผักและเป็นเคร่ืองปรุง กระเพาะ ประกอบอาหาร กริยา กะทะ กรฑี า กะเพ าะ , ก ะเพ ราะ, กอ๊ บปี้ กระดากระด่าง กระเพราะ กะทัดรัด กะทันหัน กิรยิ า \"กริยา\" (กฺริ-) คือ คาชนิดหนึ่ง บอก กะทิ กะพง อาการ การกระทา เช่น เดิน ว่ิง เขียน กะเพรา กะโหลก เหล่านี้ คอื คากรยิ า กาลเทศะ กังวาน กรีธา, กรีทา กีฬาอย่างหน่ึง แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ เกม ประเภทลู่ และประเภทลาน เกรด็ ความรู้ เกล็ดปลา ก๊อปปี้ แกส๊ กะดากะด่าง ดาๆ ดา่ งๆ, สีไม่เสมอกัน กระทัดรดั กระทนั หนั กระทิ กระพง กระเพรา กระโหลก จาไวว้ า่ กะโหลก กะลา กาละเทศะ กงั วาล เกมส์ ในภาษาไทยสาหรับกรณีท่ัวไปจะไม่มี การเปล่ียนรูปแบบคาใดๆ ทั้งส้ิน ไม่ว่า สื่อความหมายถึงเอกพจน์หรือพหูพจน์ เว้นแต่เป็นการทับศัพท์วิสามานยนาม เชน่ \"SEA Games\" วา่ ซีเกมส์ เกล็ดความรู้ เก็ดปลา, เกรด็ ปลา แกซ๊

39 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร คาทีเ่ ขียนถูกต้อง มักเขียนผิดเปน็ หมายเหตุ หมวด ข ขบถ ขบฏ ขะมักเขมน้ ขมกั เขมน้ ไขม่ ุก ไขม่ ุข คาทเี่ ขยี นถูกต้อง มักเขียนผดิ เป็น หมายเหตุ หมวด ค คทา คฑา, คธา มาจากคาวา่ คฤห + อาสน คริสตม์ าส คริสตมาส ออกเสยี ง คุก โดยไม่ต้องใส่วรรณยุกต์ ครภุ ัณฑ์ คุรุภัณฑ์ คฤหาสน์ คฤหาสถ์ คลนิ กิ คลินคิ , คลีนิค, คลีนิก ค็อกเทล ค้อกเทล คอนเสิรต์ คอนเสริต์ คานวณ คานวน คกุ ก้ี คุก้ ก,้ี คกุ๊ กี้ เค้ก เคก๊ เคานเ์ ตอร์ เคาวน์เตอร์ แค็ตตาล็อก แคตตาลอ็ ก โควตา โควต้า คาทเี่ ขยี นถกู ตอ้ ง มกั เขยี นผดิ เปน็ หมายเหตุ หมวด ง งบดุล งบดุลย์ คาทีเ่ ขยี นถูกตอ้ ง มักเขียนผิดเปน็ หมายเหตุ หมวด จ จงกรม จงกลม การฝึกสมาธิ จระเข้ จรเข้ เครือ่ งดนตรีไทย เรยี ก “จะเข”้ จลาจล จราจล มาจากคาว่า จล + อจล จะงอย จงอย จะละเมด็ จาละเม็ด, จาระเมด็ , จรเม็ด, อา่ นว่า \"จกั -กฺระ-พดั \" จระเม็ด จกั จ่ัน จกั๊ จ่นั จักรพรรดิ จกั รพรรดิ์

40 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร คาทีเ่ ขียนถูกต้อง มักเขียนผิดเป็น หมายเหตุ หมวด จ อ่านวา่ \"จกั -กฺระ-หวัด\" จักรวรรดิ จักรวรรดิ์ เครอื่ งใชท้ ่ที าดว้ ยมอื จักสาน จกั รสาน จาระไน จารไน แผลงจาก \"จง\" จาระบี จารบี แผลงจาก \"จง\" จานง จานงค์ เจตจานง เจตจานงค์ โจท ก์ ห มายถึง ผู้ฟ้ องร้องใน ศาล เจตนารมณ์ เจตนารมย์ กล่าวหาจาเลย โจทย์ หมายถึง ปัญหา เจยี ระไน เจยี รไน เชน่ โจทย์เลข โจทก์ โจทย์ หมายเหตุ โจษจัน โจดจัน หมายเหตุ คาที่เขยี นถกู ต้อง มักเขยี นผดิ เป็น หมวด ฉ เกิดจากสมาสแลว้ ลบวิสรรชนยี ์ ฉะน้ัน ฉน้นั หมายเหตุ คาทเ่ี ขียนถกู ตอ้ ง มกั เขียนผดิ เป็น หมวด ช จากคาองั กฤษ sign, ไม่มี ต การันต์ ชะลอ ชลอ ชัชวาล ชชั วาลย์ ชีพิตกั ษัย ชพี ตกั ษัย ชีวประวตั ิ ชวี ะประวัติ ชอ็ กโกเลต, ช็อกโกแลต ช็อคโกแลต, ชอ็ กโกแลต็ คาที่เขียนถูกต้อง มกั เขียนผดิ เป็น หมวด ซ ซเี มนต์ ซีเมน เซน็ ช่ือ เซ็นตช์ ื่อ

41 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร คาทเ่ี ขียนถกู ต้อง มกั เขยี นผดิ เปน็ หมายเหตุ หมวด ด ดอกจนั ด อ ก จั น ท์ , ด อ ก จั น ท น์ , เคร่อื งหมาย *, ดอกของต้นจัน ดอกจนั ทร์ ดอกจันทน์ ด อ ก จั น , ด อ ก จั น ท์ , ด อ ก รกหุ้มเมล็ดจันทนเ์ ทศ ดอกไมจ้ ันทน์ จนั ทร์ คาทเี่ ขยี นถกู ตอ้ ง ด อ ก ไม้ จัน , ด อ ก ไม้ จั น ท์ , ดอกไมป้ ระดษิ ฐส์ าหรบั งานเผาศพ หมวด ต ดอกไมจ้ ันทร์ ตานขโมย ตารบั มักเขยี นผิดเป็น หมายเหตุ เต็นท์ ไตฝ้ ุ่น ตาลขโมย ทบั ศพั ท์มาจาก typhoon ไตรยางศ์ ตาหรบั เต้นท์ คาท่เี ขยี นถูกตอ้ ง ใตฝ้ ุ่น หมวด ท ไตรยางค์ ทยอย ทแยง มกั เขยี นผิดเปน็ หมายเหตุ ทลาย ทะเลสาบ ทะยอย พังทลาย ทูลกระหมอ่ ม ทะแยง, แทยง เท้าความ ทะลาย แทก็ ซี่ ทะเลสาป ทูนกระหมอ่ ม คาท่ีเขยี นถูกต้อง ท้าวความ หมวด ธ แท๊กซี่ ธามรงค์ ธารง มักเขยี นผดิ เปน็ หมายเหตุ ธามรง, ทามะรงค์ หมายถึง แหวน ธารงค์

42 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร คาทเี่ ขียนถกู ตอ้ ง มักเขียนผิดเปน็ หมายเหตุ หมวด น นะคะ นะคะ่ , นะค๊ะ คะ เป็นเสียงตรีไมต่ ้องใช้ไม้ตรีในขณะที่ ค่ะ เป็นเสียงโท นัยน์ตา นยั ตา นานัปการ นานัปประการ หมายถึง การนาน้าแข็งไปไสบนกบ จน นานา นา ๆ ได้เกลด็ นา้ แข็ง เปน็ วธิ ีทาแบบด้งั เดิม นา้ แขง็ ไส นา้ แขง็ ใส อกั ษรตา่ ไม่ใสไ่ มต้ รี นเิ ทศ นิเทศน์ โน้ต โนต๊ , โน้ท, โนท๊ คาที่เขยี นถกู ตอ้ ง มกั เขียนผดิ เป็น หมายเหตุ หมวด บ บรรเลง บนั เลง บว่ งบาศ บงั สกุ ุล บ่วงบาศก์, บว่ งบาต, บว่ งบาท บนั เทิง บาตรพระ บังสกลุ บิณฑบาต บิดพล้ิว บรรเทิง บุคลากร บคุ ลกิ ภาพ บาตพระ เครอ่ื งใชอ้ ย่างหนึ่งของพระสงฆ์ เบญจเพส บณิ ฑบาตร เบนซนิ เบรก บดิ พร้ิว แบงก์ แบตเตอรี่ บุคคลากร คาทเี่ ขยี นถูกต้อง บุคคลิกภาพ หมวด ป ปฏกิ ิรยิ า เบญจเพศ เพส มาจากคาว่า วสี ะ = 20, ปฏิสังขรณ์ ปฐมนิเทศ เบญจ = 5, เบญจเพส = 25 ประณีต เบ็นซิน, เบนซิล เบรค เครือ่ งห้ามลอ้ แบงค์ แบดเตอร์ร่ี มักเขียนผดิ เป็น หมายเหตุ ปฏกิ รยิ า ปฏสิ ังขร ปฐมนเิ ทศก,์ ปฐมนิเทศน์ ปราณตี

คาที่เขยี นถูกตอ้ ง 43 0010101 ภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร หมวด ป ประดิดประดอย มกั เขียนผดิ เปน็ หมายเหตุ ประนีประนอม ใช้ ฏ ปฏัก ปรากฏ ประดษิ ฐป์ ระดอย ปรานี ประณีประณอม หมายเหตุ ปรารถนา ปรากฎ ปาฏหิ าริย์ ปราณี หมายเหตุ เปอรเ์ ซ็นต์ ปราถนา อ่านว่า พัน-นะ-นา ปาฏหิ าร ลกู ผสมตา่ งสายพนั ธ์ุ คาทเ่ี ขยี นถูกต้อง เปอรเ์ ซนต์ นกชนดิ หนง่ึ หมวด ผ ผลัดเวร มักเขยี นผิดเป็น หมายเหตุ ผัดวนั ประกันพรงุ่ ผกู พนั ผดั เวร เผอเรอ ผลดั วนั ประกนั พรุ่ง ไผท ผูกพนั ธ์ เผลอเรอ คาทีเ่ ขยี นถูกต้อง ผไท, ผะไท หมวด พ พรรณนา มกั เขียนผิดเป็น พลศึกษา พะแนง พรรณา พันทาง พละศึกษา พาณชิ ย์ พแนง, แพนง พิราบ พันธท์ุ าง พิศวาส พานิชย์ พสิ ดาร พริ าป พิสมยั พสิ วาส พศิ ดาร คาท่ีเขยี นถูกต้อง พิศมยั หมวด ภ ภาพยนตร์ มักเขียนผิดเปน็ ภาวการณ์ ภาพยนต์ ภาวะการณ์, ภาวะการ

44 0010101 ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร คาทเ่ี ขยี นถูกต้อง มักเขียนผิดเปน็ หมายเหตุ หมวด ม มงกฎุ มงกฏุ มหรสพ มหรศพ มกั กะโรนี มักโรนี มัคคเุ ทศก์ มคั คุเทศ, มคั คเุ ทศน์ มาตรฐาน มาตราฐาน มุกตลก มุขตลก แมงมมุ แมลงมมุ แมลงวัน แมงวนั แมลงสาบ แมลงสาป, แมงสาบ คาท่เี ขียนถกู ตอ้ ง มักเขียนผดิ เปน็ หมายเหตุ หมวด ย ย่อมเยา ย่อมเยาว์ ราคายอ่ มเยา เย่ือใย เยื่อไย ใยแมงมุม ไยแมงมุม คาทเี่ ขยี นถูกตอ้ ง มักเขยี นผดิ เปน็ หมายเหตุ หมวด ร รกั ษาการ รกั ษาการณ์ ปฏิบตั หิ นา้ ทแ่ี ทน เช่น รักษาการในตาแหนง่ ... รศั มี รัสมี ราชภฏั ราชภฎั ราดหนา้ ลาดหน้า คาท่ีเขียนถกู ต้อง มกั เขยี นผดิ เป็น หมายเหตุ หมวด ล ลมปราณ ลมปราน ล็อก ลอ็ ค ลอตเตอร่ี ลอ็ ตเตอร่ี ละเอยี ดลออ ลเอียดลออ, ละเอยี ดละออ ลายเซน็ ลายเซ็นต์ ลาไย ลาใย ลฟิ ต์ ลิฟท์ ลูกบาศก์ ลูกบาศ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook