Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore เอกสารประกอบการสอนเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับครู

เอกสารประกอบการสอนเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับครู

Published by suwannasab8, 2016-08-27 11:54:35

Description: เอกสารประกอบการสอนเทคโนโลยีสารสนเทศสำหรับครู

Search

Read the Text Version

แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 1 แนวคดิ เก่ียวกับเทคโนโลยสี ารสนสนเทศและการส่ือสารหวั ข้อเนือ้ หา 1.1 ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 1.2 คณุ ลกั ษณะของสารสนเทศ 1.3 ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 1.4 ความสาคญั ของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 1.5 ปัจจยั ท่ีทาให้เกิดความล้มเหลวในการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ 1.6 ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารตอ่ การศกึ ษา 1.7 เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารกบั การพฒั นาทกั ษะที่จาเป็นในศตวรรษที่ 21 1.8 นโยบายด้านการศกึ ษาของไทยที่เก่ียวข้องกบั เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารวัตถุประสงค์ 1. อธิบายความหมาย ความสาคญั และคณุ ลกั ษณะของเทคโนโลยีสารสนเทศและการ สื่อสาร 2. อธิบายประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 3. วเิ คราะห์ปัจจยั และผลกระทบของการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการศกึ ษา 4. วิเคราะห์แนวทางในการนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในการพัฒนา ทกั ษะที่จาเป็นในศตวรรษที่ 21 5. วิเคราะห์นโยบายด้านการศึกษาของไทยท่ีเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการ ส่ือสารวิธีสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอน 1. วธิ ีสอน 1.1 สอนแบบบรรยาย 1.2 สอนแบบอภิปราย 1.3 สอนแบบ Collaborative learning

2 2. กจิ กรรมการเรียนการสอน 2.1 ผู้เรียนศึกษาเก่ียวกับความหมาย ความสาคัญ ประโยชน์ และคุณลักษณะของเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร 2.2 ผ้สู อนแบง่ กล่มุ ผ้เู รียน เพื่อให้ผ้เู รียนศกึ ษาข้อมลู เพ่ิมเตมิ ในประเด็นนโยบายการศกึ ษาของไทยที่สอดคล้องกบั การพฒั นาทกั ษะท่ีจาเป็นของคนในศตวรรษท่ี 21 2.3 ผู้เรียนแต่ละกลุ่มศึกษาความรู้เพิ่มเติมจากเอกสารประกอบการสอนและค้นคว้าเพ่ิมเตมิ จากแหลง่ เรียนรู้ทางสื่อเทคโนโลยี 2.4 ผ้เู รียนแตล่ ะกลมุ่ สรุปความรู้และนาเสนอผลการศกึ ษาค้นคว้า 2.5 ผ้สู อนสรุปประเดน็ ในการเรียนการสอน 3. ส่ือการเรียนการสอน 3.1 เอกสารประกอบการสอน 3.2 เอกสารประกอบการบรรยาย โดยใช้โปรแกรม Power pointการวัดผลและการประเมิน 1. สงั เกตความสนใจของผ้เู รียนในการศกึ ษาและร่วมกนั อภิปรายแสดงความรู้และความคดิ เห็น 2. สงั เกตจากการร่วมมือและการมีสว่ นร่วมในการทางาน 3. การนาเสนองาน 4. คาถามท้ายบทเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

3 บทท่ี 1 แนวคดิ เก่ียวกับเทคโนโลยีสารสนสนเทศและการส่ือสาร 1.1 บทนา 1.2 ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร 1.3 คณุ ลกั ษณะของสารสนเทศ 1.4 ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร 1.5 ความสาคญั ของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 1.6 ผลกระทบของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารตอ่ การศกึ ษา 1.7 เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารกบั การพฒั นาทกั ษะที่จาเป็นในศตวรรษที่ 21 1.8 นโยบายด้านการศกึ ษาของไทยท่ีเกี่ยวข้องกบั เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 1.9 ปัจจยั ที่ทาให้เกิดความล้มเหลวในการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ 1.10 สรุป 1.11 คาถามท้ายบท 1.12 เอกสารอ้างองิ1.1 บทนา การเปล่ียนแปลงและการพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีท่ีเป็ นไปอย่างรวดเร็วในยุคสังคมอตุ สาหกรรมส่งผลให้สภาพสงั คมก้าวเข้าสยู่ คุ สงั คมสารสนเทศ (Information Society) ซ่ึงเป็ นสงั คมท่ีเต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสาร และโดยเฉพาะอย่างย่ิงผลจากการพฒั นาทางด้านเทคโนโลยีโทรคมนาคมและการสื่อสาร ทาให้สารสนเทศถูกส่งผ่านไปสู่บุคคลในสังคมได้อย่างรวดเร็วในลักษณะของการส่ือสารท่ีไร้พรมแดน การเข้าถึงข้อมลู ดงั กล่าวจงึ กลายเป็ นวิถีชีวิตประจาวนั ของมนษุ ย์ในปัจจบุ นั เพ่ือเป็นการเข้าถึงเป็นฐานความรู้ขนาดใหญ่ในการพฒั นาศกั ยภาพของแตล่ ะบคุ คลในสงั คม เมื่อองค์ความรู้ที่เพ่ิมมากขึน้ บนโลกเครือข่าย ตลอดจนประสิทธิภาพของเทคโนโลยีในปัจจบุ นั ท่ีทาให้ผ้คู นสามารถเข้าถึงความรู้นนั้ อย่างงา่ ยดาย ทาให้เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารจึงถกู นามาใช้ในการจดั การศกึ ษา ดงั นนั้ จึงมีความจาเป็ นอยา่ งยิ่งท่ีผ้ทู ี่ทาหน้าท่ีให้การศกึ ษาอย่างครูจะต้องเป็ นผ้ทู ่ีมีความรู้และทักษะในการนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารนนั้ มาใช้สนับสนุนและส่งเสริมการจดั การศกึ ษาให้มากที่สดุ ทงั้ ในด้านการจดั การเรียนการสอนและการดาเนินงานทางการศกึ ษาเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

41.2 ความหมายของเทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร เทคโนโลยี (Technology) หมายถึง การประยกุ ต์เอาความรู้ทางด้านวทิ ยาศาสตร์มาใช้ให้เกิดประโยชน์ การศกึ ษาพฒั นาองคค์ วามรู้ตา่ งๆ เพ่ือให้เข้าใจธรรมชาติ กฎเกณฑ์ของสิ่งตา่ งๆ และหาทางนามาประยกุ ต์ให้เกิดประโยชน์ (ยืน ภ่วู รวรรณ และ สมชาย นาประเสริฐชยั . 2546:20) ข้อมูลและสารสนเทศ (Data and Information) ข้อมลู (Data) หมายถึงข้อเท็จจริงเกี่ยวกบั เหตกุ ารณ์ หรือข้อมลู ดบิ ท่ียงั ไมผ่ า่ นการประมวลผล ยงัไม่มีความหมายนาไปใช้งาน ข้อมลู อาจเป็ นได้ทงั้ ตวั เลข ตวั อกั ษร รูปภาพ เสียง หรือภาพเคล่ือนไหว(ทพิ วรรณ หลอ่ สวุ รรณรัตน์. 2545:9) สารสนเทศ(Information) หมายถึง ข้อมลู ข่าวสาร ความรู้ตา่ ง ๆท่ีได้รับการสรุป คานวณ จดั เรียงหรือประมวลแล้วจากข้อมลู ตา่ ง ๆท่ีเก่ียวข้องอยา่ งเป็ นระบบตามหลกั วิชาการ จนได้เป็ นข้อความรู้เพ่ือนามาเผยแพร่และใช้ประโยชน์ในงานด้านตา่ งๆ สรุปได้ว่า สารสนเทศเป็ นการสรุปและประมวลผลข้อมูลข่าวสาร ให้อยู่ในลักษณะที่พร้อมนาไปใช้ประโยชน์เพื่อการตดั สินใจ หรือนาไปใช้งานในด้านตา่ งๆ ได้การนาเข้าข้อมูล การประมวลผลข้อมูล การแสดงผลข้อมูล รูปท่ี 1.1 กระบวนการการประมวลผลข้อมูลให้เป็ นสารสนเทศ เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology:IT) จงึ หมายถึงการนาเอาเทคโนโลยีมาใช้ช่วยในการจดั เก็บ วิเคราะห์ ประมวลผล ข้อมลู เพ่ือให้ได้สารสนเทศที่ถกู ต้อง และสามารถนามาใช้ ให้เกิดประโยชน์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร(Information and Communication Technology:ICT)แตเ่ ดมิ นนั้ คาวา่ เทคโนโลยีสารสนเทศ มีความหมายแค่ การนาเทคโนโลยีทางด้านคอมพิวเตอร์มาใช้ในด้านการประมวลผลข้อมูลเพียงอยา่ งเดียว แต่ในปัจจบุ นั ได้มีการใช้คาให้มีความหมายกว้างขึน้เป็ น เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร (Information and Communication Technology: ICT) ซึ่งได้รวมเทคโนโลยีสองด้านหลกั ๆ ประกอบด้วยเทคโนโลยีระบบคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยีสื่อสารโทรคมนาคมที่ผนวกเข้าด้วยกนั เพื่อใช้ในกระบวนการจดั หา จดั เก็บสร้าง และเผยแพร่สารสนเทศในรูปต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็ นเสียง ภาพ ภาพเคลื่อนไหวข้ อความหรือตัวอักษร และตัวเลข เพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพ ความถกู ต้อง ความแมน่ ยาและความรวดเร็วให้ทนั ตอ่ การนาไปใช้ประโยชน์เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

5 ดังนัน้ สรุปได้ ว่า เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารจึงหมายถึงการนาเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีโทรคมนาคมมาใช้ในการสร้าง จดั เก็บ ประมวลผลตลอดจนการเผยแพร่สารสนเทศในรูปแบบต่างๆ เพื่อให้เกิดการนาไปใช้ประโยชน์ได้อย่างถูกต้อง แม่นยา รวดเร็วทนั ต่อความต้องการในการใช้ประโยชน์1.3 คุณลักษณะของสารสนเทศ สารสนเทศที่มีคณุ ภาพจะชว่ ยให้ผ้บู ริหารหรือผ้ใู ช้สารสนเทศนนั้ ใช้ในการตดั สินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ คุณลักษณะของสารสนเทศที่มีคุณภาพควรมีลักษณะดังนี ้ (Shelly, et al.,2002:อ้างถงึ ศรีไพร ศกั ดร์ิ ุ่งพงศากลุ และเจษฎาพร ยทุ ธนวิบลู ย์ชยั . 2549:153-155) 1. ถกู ต้องแม่นยา (Accurate) สารสนเทศที่มีความถูกต้องจะต้องปราศจากข้อผิดพลาด ใดๆอย่างไรก็ตามถ้าข้อมูลท่ีป้ อนเข้าส่กู ระบวนการประมวลผลไม่ถูกต้อง ก็อาจก่อให้เกิดสารสนเทศท่ีไม่ถกู ต้องได้ 2. สมบรู ณ์ครบถ้วน (Complete) สารสนเทศท่ีมีความสมบรู ณ์จะต้องประกอบด้วยข้อเท็จจริงท่ีสาคญั อยา่ งครบถ้วน เช่น ใบรายงานผลการเรียนของนกั เรียนแตล่ ะภาคการศกึ ษาต้องประกอบด้วยผลการเรียนแตล่ ะรายวิชาท่ีครบถ้วน 3. เข้าใจง่าย (Simple) สารสนเทศที่ดจี ะต้องเข้าใจง่าย ไมซ่ า้ ซ้อนตอ่ การทาความเข้าใจ 4. ทนั ตอ่ เวลา (Timely) สารสนเทศท่ีดีนอกจากจะมีความถกู ต้องต้องมีความทนั สมยั รวดเร็วทนั ตอ่ เวลาและความต้องการของผ้ใู ช้ 5. เช่ือถือได้ (Reliable) สารสนเทศที่เชื่อถือขนึ ้ อยกู่ บั ความน่าเชื่อถือของวิธีการรวบรวมข้อมลูที่นาเข้าสรู่ ะบบ 6. ค้มุ ราคา (Economical) สารสนเทศท่ีผลิตต้องมีความประหยดั เหมาะสมค้มุ คา่ กบั ราคา 7. ตรวจสอบ (Verifiable) สารสนเทศต้องตรวจสอบความถูกต้องได้ กล่าวคือผู้ใช้สามารถตรวจสอบข้อมูลเพ่ือความมั่นใจว่ามีความถูกต้องต่อการนาไปตัดสินใจได้ ซ่ึงอาจมีการตรวจสอบข้อมลู โดยการเปรียบเทียบกบั ข้อมลู ลกั ษณะเดียวกนั จากแหลง่ ข้อมลู หลายๆ แหง่ 8. ยืดหยุ่น (Flexible) สารสนเทศที่มีคุณภาพนัน้ ควรจะสามารถนาไปใช้ในวัตถุประสงค์ท่ีแตกตา่ งกนั หลายๆ ด้าน 9. สอดคล้องกับความต้องการ (Relevant) สารสนเทศท่ีมีคณุ ภาพจะต้องมีความสอดคล้องตามวตั ถปุ ระสงค์และสนองความต้องการของผ้ใู ช้เพ่ือใช้ในการตดั สนิ ใจ 10.สะดวกในการเข้าถึง (Accessible) สารสนเทศจะต้องง่ายและสะดวกตอ่ การเข้าถึงข้อมูลตามระดบั สิทธิของผ้ใู ช้ เพ่ือจะได้ข้อมลู หรือสารสนเทศท่ีถกู ต้องตามรูปแบบและทนั ต่อความต้องการของผ้ใู ช้เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

6 11. ปลอดภัย (Secure) สารสนเทศจะต้องถกู ออกแบบและจดั การให้มีความปลอดภยั จากผู้ไมม่ ีสิทธิในการเข้าถงึ ข้อมลู หรือสารสนเทศนนั้1.4 ประโยชน์ของเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร 1. ความเร็ว การนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้โดยเฉพาะเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ จะช่วยให้การทางานมีความรวดเร็วมากยิ่งขึน้ ไม่ว่าจะเป็ นการประมวลผล การค้นหาข้อมูลจะทาได้สะดวก รวดเร็ว ประหยดั เวลาในการค้นหาข้อมลู เชน่ การใช้งานระบบห้องสมดุ อตั โนมตั ิ 2. ความถูกต้อง คอมพิวเตอร์เป็ นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ที่มีการประมวลผลข้อมูลที่ถกู ต้องแม่นยา ทาให้ข้อมูลที่ได้จากการประมวลผลนัน้ มีความผิดพลาดน้อยกว่าการประมวลผลด้วยมือมนษุ ย์ 3. การเก็บบนั ทึกข้อมลู ข้อมลู ที่เก็บบนั ทกึ ในระบบคอมพิวเตอร์จะเป็ นข้อมลู อิเล็กทรอนกิ ส์ซ่ึงมีสื่อท่ีใช้ในการจดั เก็บข้อมูล ทาให้มีความสามารถในการจัดเก็บข้อมูลได้จานวนมากและมีความคงทนมากกวา่ การจดั เก็บข้อมลู ในรูปของกระดาษ 4. การเผยแพร่ข้อมลู การรับส่งข้อมูลในปัจจบุ นั โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจะทาให้การเผยแพร่ข้อมูลทาได้อย่างกว้างขวาง และสามารถแพร่กระจายไปได้ท่ัวโลกอย่างไร้พรมแดน1.5 ความสาคัญของเทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมีประโยชน์ต่อการพฒั นาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าเพราะเป็ นเรื่องท่ีเก่ียวข้ องโดยตรงกับวิถีความเป็ นอยู่ของผู้คนในสังคมสมัยหรือท่ีเรียกว่าสงั คมสารสนเทศ (Information Society) ซ่ึงสังคมท่ีมีการพฒั นา เผยแพร่ กระจาย ใช้ประโยชน์ และปรับเปล่ียนสารสนเทศเป็ นกิจกรรมหลกั ในการตดั สินใจ การให้ความรู้และข่าวสาร เพ่ือสร้างความเข้าใจอนั ดีในการดาเนินงานทางการศกึ ษา เศรษฐกิจ การเมือง และวฒั นธรรมโดยใช้เทคโนโลยีเป็ นองค์ประกอบ ความสาคญั ของเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารกบั การดาเนินชีวิตด้านตา่ งๆ ของคนในสงั คมสารสนเทศครอบคลมุ วถิ ีชีวิตในด้านตา่ งๆ ดงั ตอ่ ไปนี ้ 1) การดาเนินชีวิตในด้านการทางาน มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการดาเนินชีวิตของประชาชนที่บ้านและที่ทางาน โดยใช้เทคโนโลยีท่ีมีลักษณะร่วมกันหรือเข้ากันได้ สาหรับดาเนินกิจกรรมส่วนตน สงั คม การศกึ ษา ธุรกิจและอตุ สาหกรรม การนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาชว่ ยในการสื่อสาร แลกเปล่ียนข้อมลู ดจิ ทิ ลั ได้อยา่ งรวดเร็วโดยไมม่ ีข้อจากดั ทางด้านระยะทางเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

7 2) ด้านธรุ กิจและอตุ สาหกรรม สงั คมสารสนเทศ อาศยั เทคโนโลยีสารสนเทศในการผลิตสนิ ค้าและการบริการ เพ่ือช่วยในการกระจาย เผยแพร่ และให้บริการสารสนเทศที่จาเป็ นจากผู้ผลิตถึงผ้บู ริโภคได้อยา่ งรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ 3) ด้านสังคม ผลจากการพัฒนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศทาให้เกิดผลกับสังคมท่ีสาคัญประการหนึ่งในด้านการแบ่งแยกชนชนั้ ในเร่ืองการเข้าถึงเทคโนโลยี สังคมที่ถูกแบง่ เป็ นสองกลุ่มคือกล่มุ ท่ีร่ารวยเทคโนโลยี(IT –Rich) และกลมุ่ ที่ยากจนเทคโนโลยี (IT-Poor) ซึ่งทาให้เกิดความแตกแยกด้านการสื่อสารในสงั คมที่เรียกวา่ ความเหล่ือมลา้ ทางดจิ ิทลั (Digital Divide) 4) ด้านการศกึ ษา สงั คมสารสนเทศจะใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเป็นเคร่ืองมือหลกั ในการบริหารจดั การและให้บริการทางการศึกษาทงั้ ในระบบ นอกระบบ และการศึกษาตามอธั ยาศยั โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทคโนโลยีสารสนเทศจะเป็นปัจจยั หลกั ในการให้การศกึ ษาในระบบการจดั การศกึ ษาทางไกลหรือเรียกว่า การเรียนการสอนทางไกล ดงั นนั้ เทคโนโลยีสารสนเทศจึงเป็ นช่องทางและส่ือท่ีใช้ในการจดั การเรียนการสอน 5) ด้านความมน่ั คงและการรักษากฎหมาย เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารส่งผลให้เกิดชอ่ งวา่ งของอานาจในการบริหารราชการแผน่ ดิน โดยภาครัฐจะไมส่ ามารถควบคมุ ให้ประชาชน ปฏิบตั ิตามกฎหมาย มีปริมาณการเพิ่มอาชญากรท่ีกระทาความผิดโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศเพิ่มขนึ ้ เช่นการปลอมแปลงเอกสารเพ่ือกระทาผิดทางด้านการลกั ทรัพย์ ผ่านทางเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยที่ทางรัฐยงั ไมส่ ามารถนาตวั มาลงโทษได้ 6) ด้านศิลปวฒั นธรรม สงั คมสารสนเทศจะนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ช่วยในการผลิตผลงาน ออกแบบ เผยแพร่ การจดั แสดง ตลอดจนการอนรุ ักษ์ผลงานทางศิลปวฒั นธรรมในรูปของสื่อดิจิทัลในรูปแบบต่างๆ อย่างไรก็ดี สังคมสารสนเทศนัน้ ก็จะส่งผลให้เกิดความหลากหลายทางวฒั นธรรมขนึ ้ ในสงั คมโลก ทาให้ผ้คู นในสงั คมจะมีการเรียนรู้วฒั นธรรมท่ีตา่ งจากของสงั คมตนเอง 7) ด้านวิทยาศาสตร์และและเทคโนโลยี สังคมสารสนเทศใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการประดิษฐ์ คิดค้น ทดลองนวตั กรรมใหม่จนได้ทฤษฎี หลักการ เป็ นความรู้ทางวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมและเทคโนโลยีที่มีจานวนมหาศาลในปัจจบุ นั 8) ด้านการบริหาร สงั คมสารสนเทศจะนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารมาใช้ในการบริหารจัดการ เพ่ือเป็ นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพ่ือการตดั สินใจ การวางแผนจัดองค์กรกากับควบคมุ การสื่อสารประสานงาน ร่วมมือ การจดั หาและจดั สรรทรัพยากร การรายงานและการประเมินกิจกรรมการบริหารองคก์ รตา่ งๆ 9) ด้านวิชาการ สงั คมสารสนเทศ มีการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการสร้างองค์ความรู้ ศกึ ษาค้นคว้า วิจยั ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ จดั เก็บรูปแบบตาราและส่ือตา่ งๆ ด้วยกระบวนการทางเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

8เทคโนโลยีสารสนเทศ ทาการประเมนิ และตดิ ตามผลสมั ฤทธ์ิและความสาเร็จของกิจกรรมวิชาการผ่านทางเทคโนโลยีสารสนเทศ 10) ด้านการบริการ สังคมสารสนเทศใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการให้บริการสาหรับการเผยแพร่ความรู้ประสบการณ์ในบ้าน ในองค์กร ในชมุ ชน ด้วยการจดั ศนู ย์ความรู้ในรูปแบบตา่ งๆ อาทิห้องสมุดอิเล็กทรอนิกส์เพ่ือการจดั เก็บ สืบค้น และให้บริการองค์ความรู้เพ่ืองานวิชาการและการวิจยัพิพิธภัณฑ์เพื่อการจัดเก็บและแสดงภาพ ของจริง หุ่นจาลองของประวัติศาสตร์ ศิลปะ วฒั นธรรมวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเพ่ือการสืบสานมรดกให้ตกทอดถงึ เยาวชนแหง่ อนาคต1.6 ผลกระทบของเทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสารต่อการศึกษา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารส่งผลกระทบต่อการศึกษา โดยทาให้ เกิดการเปล่ียนแปลงทางการศกึ ษาดงั นี(้ ประพนั ธ์ ภกั ดกี ลุ .2549:183-185) 1. การเปล่ียนแปลงด้านรูปแบบการศกึ ษา ได้แก่ 1.1 เน้นผ้เู รียนเรียนรู้ด้วยตนเอง เป็นการศกึ ษาตลอดชีวิต โดยสอนให้ผ้เู รียนสืบค้นเรียนรู้วธิ ีการสืบค้นสารสนเทศ เพื่อการเรียนรู้ด้วยตนเอง มีการสอนการใช้คอมพิวเตอร์ ตงั้ แตโ่ รงเรียนระดบั ชนั้ ประถมศกึ ษา ทาให้เดก็ รุ่นใหมใ่ ช่คอมพิวเตอร์ได้อยา่ งดี 1.2 ใช้รูปแบบการสอนแบบยืดหยุ่น หรือให้อิสระผู้เรียนมากขึน้ เน่ืองจากการเรียนการสอนในปัจจบุ นั สามารถใช้สื่อการสอนในลกั ษณะส่ืออเิ ล็กทรอนิกส์ หรือมลั ตมิ ีเดยี ได้ 1.3 เกิดการเรียนการสอนในระบบทางไกล ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลก ก็สามารถเรียนและสาเร็จการศกึ ษาได้ 2. การเปล่ียนแปลงด้านสภาพแวดล้อมทางการศึกษาอิทธิพลของเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารสง่ ผลตอ่ ระบบโครงสร้างสิ่งแวดล้อม ทางการศกึ ษาหลายๆด้าน อาทิ ระบบสงั คมเข้ามามีสว่ นร่วมในการจดั การการศกึ ษามากขนึ ้ หลกั สูตรเป็ นแบบยืดหย่นุ และมีการกระจารหลายๆด้าน ใช้เครือขา่ ยการเรียนรู้ มีการร่วมมือกนั ระหวา่ งโรงเรียน ชมุ ชน สมาชิกของสงั คม ครู และนกั เรียน 3. อินเตอร์เน็ตกบั การศกึ ษา 3.1 กิจกรรมการเรียนการสอนบนเครือข่าย มีผลให้ผู้เรียนมีการรับรู้เกี่ยวกับสังคมวฒั นธรรมมากขนึ ้ 3.2 เครือข่ายอินเตอร์เน็ตเป็ นแหล่งข้อมูลข่าวสารมากมายท่ัวโลก ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็สามารถใช้เครือขา่ ยอินเตอร์เน็ตในการหา และนาข้อมลู ท่ีต้องการมาได้อยา่ งงา่ ยเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

9 3.3 ผลกระทบจากกิจกรรมของการเรียนการสอนบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต มีผลตอ่ การคดิ อยา่ งมีระบบ โดยเฉพาะทกั ษะการคดิ วิเคราะห์ การแก้ปัญหาอยา่ งมีระบบ 3.4 กิจกรรมการเรียนการสอนบนเครือข่ายสนับสนุนการส่ือสารและการร่วมมือของผู้เรียน ไม่ว่าจะลกั ษณะผ้เู รียนร่วม ไม่ว่าจะลกั ษณะผ้เู รียนร่วมห้อง หรือผ้เู รียนบนเครือข่ายเดียวกันนอกจารนีย้ งั กอ่ ให้เกิดปฏิสมั พนั ธ์ระหวา่ งผ้เู รียนและผ้สู อนอีกด้วย 3.5 กอ่ ให้เกิดการขยายห้องเรียนออกไป โดยสามมารถ เรียนรู้ตามความสนใจ และความถนดั ของตนเอง นอกจากนนั้ ยงั ให้โอกาสผ้เู รียนได้มองปัญหาเดียวกนั ในหลายๆแงม่ มุ ได้อีก 4. เกิดระบบการแขง่ ขนั ทางการศกึ ษา เน่ืองจากเป็นการศกึ ษาเสรี สง่ ผลให้สถาบนั การศกึ ษาต้องปรับปรุงพฒั นาการเรียนการสอน เพื่อนเพม่ิ ขีดความสามารถในการแขง่ ขนั ทงั้ ในประเทศและตา่ งประเทศ1.7 เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารกับการพัฒนาทักษะท่จี าเป็ นในศตวรรษท่ี 21 ภายใต้กรอบแนวคิดสงั คมเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่เตม็ ไปด้วยการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารที่เป็ นไปอยา่ งรวดเร็วนนั้ ทาให้ครูผ้สู อนต้องปรับเปลี่ยนวิธีการสอนที่ม่งุ เน้นสาระวิชาไปส่กู ารจดั การเรียนรู้ท่ีม่งุ ส่งเสริมให้ผ้เู รียนเกิดทกั ษะท่ีจาเป็ นในการดารงชีวิตในศตวรรษที่21 ( 21stCentury Skills) ซงึ่ ประกอบด้วย สาระวชิ าหลกั - ภาษาแม่ และภาษาโลก - ศลิ ปะ - คณิตศาสตร์ - เศรษฐศาสตร์ - วิทยาศาสตร์ - ภมู ศิ าสตร์ - ประวตั ศิ าสตร์ - รัฐ และความเป็นพลเมืองดี หวั ข้อสาหรับศตวรรษท่ี 21 - ความรู้เกี่ยวกบั โลก - ความรู้ด้านการเงิน เศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ และการเป็นผ้ปู ระกอบการ - ความรู้ด้านการเป็นพลเมืองดี - ความรู้ด้านสขุ ภาพ - ความรู้ด้านสง่ิ แวดล้อมเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

10 ทกั ษะด้านการเรียนรู้และนวตั กรรม - ความริเร่ิมสร้างสรรค์และนวตั กรรม - การคดิ อยา่ งมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา - การสื่อสารและการร่วมมือ ทกั ษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร - ความรู้ด้านสารสนเทศ - ความรู้เก่ียวกบั สื่อ - ความรู้ด้านเทคโนโลยี ทกั ษะชีวติ และอาชีพ - ความยืดหยนุ่ และปรับตวั - การริเริ่มสร้างสรรคแ์ ละเป็นตวั ของตวั เอง - ทกั ษะสงั คมและทกั ษะข้ามวฒั นธรรม - การเป็ น ผู้ส ร้ างห รื อผู้ผลิ ต (productivity) แล ะค วาม รับ ผิ ดชอบ เชื่ อถื อได้(accountability) - ภาวะผ้นู าและความรับผิดชอบ (responsibility) โดยโรงเรียนและครูต้องมีการระบบสนบั สนนุ การเรียนรู้ตอ่ ไปนี ้ - มาตรฐานการประเมินในยคุ ศตวรรษท่ี 21 - หลกั สตู รและการเรียนการสอนสาหรับศตวรรษท่ี 21 - การพฒั นาครูในศตวรรษท่ี 21 - สภาพแวดล้อมท่ีเหมาะสมตอ่ การเรียนในศตวรรษท่ี 21 รูปท่ี 1.1 คณุ ลกั ษณะของผ้เู รียนในศตวรรษท่ี 21 และระบบการสนบั สนนุ ท่มี า ทกั ษะแห่งอนาคตใหม่การศึกษาเพือ่ ศตวรรษที่ 21 (วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง และอธิป จิตตฤกษ์)เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

11 จากภาพจะเหน็ ได้วา่ ทกั ษะท่ีสาคญั ประการหนึ่งสาหรับผ้เู รียนในศตวรรษท่ี 21 คอื ทกั ษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Information, Media, Technology Skill) ซึ่งมีการแบ่งรายละเอียดของทกั ษะดงั กลา่ วได้ดงั ตอ่ ไปนี ้ ทักษะด้านสารสนเทศ (Information Literacy) โดยมีความม่งุ หวงั ให้ผ้เู รียนมีทกั ษะในด้านตอ่ ไปนี ้ - ทกั ษะในการเข้าถึงสารสนเทศอย่างรวดเร็วและเข้าถึงรู้แหล่งการเรียนรู้ท่ีถูกต้องสอดคล้องกบั สง่ิ ท่ีต้องการเรียนรู้ - ทกั ษะในการประเมินความนา่ เช่ือเถือของสารสนเทศท่ีทาการศกึ ษาค้นคว้า - ทกั ษะในการใช้สารสนเทศอยา่ งสร้างสรรค์ ดังนัน้ ครูผู้สอนจึงต้องออกแบบการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนทีทักษะดังกล่าว เพ่ือให้ตรงตามเป้ าหมายของการพัฒนาทักษะ เช่น เป้ าหมายด้านการเข้าถึงและการประเมินสารสนเทศ ผู้เรียนจะต้องเข้าถึงสารสนเทศอย่างมีประสิทธิภาพ คือใช้เวลาน้อย มีประสิทธิผลคือ เข้าถึงแหล่งข้อมูลท่ีถูกต้องเหมาะสม และประเมินสารสนเทศได้อย่างครบถ้วน รอบด้าน และรู้เท่าทัน เพราะปัจจุบนั มีสารสนเทศปลอมและไม่ถูกต้องอย่เู ป็ นจานวนมาก หรือเป้ าหมายทางการใช้และจดั การสารสนเทศผ้เู รียนจาเป็ นต้องใช้สารสนเทศได้อยา่ งแมน่ ยาและสร้างสรรค์ สามารถจดั การเชื่อมตอ่ สารสนเทศ จากแหลง่ ข้อมลู ท่ีหลากหลาย และเข้าถงึ และใช้สารสนเทศอยา่ งถกู ต้องตามหลกั จริยธรรมและกฎหมายซ่งึมีความหมายครอบคลมุ ความรับผิดชอบเมื่อผ้เู รียนอยใู่ นฐานะผ้ผู ลิตสารสนเทศ ทักษะด้านส่ือ (Media Literacy Skills) เป็ นทกั ษะที่ผ้เู รียนจะต้องมีในสองด้านคือ ทกั ษะในฐานะท่ีผ้เู รียนเป็ นผ้สู ร้างส่ือ และในฐานะท่ีผ้เู รียนเป็ นผ้รู ับสื่อ ผ้เู รียนจึงต้องมีความสามารถในการใช้เครื่องมือสร้างสื่อ และสื่อสารออกไปได้หลากหลายทางเชน่ วิดโี อ (video) ส่ือเสียง (audio) ทักษะด้านสื่อท่ีจาเป็ นสาหรับคนในศตวรรษที่ 21 ประกอบด้วย ด้านความสามารถในการเข้าถึง วิเคราะห์ ประเมินและสร้ างสาร (massage)ในรูปแบบต่างๆ อันได้แก่ สารในรูปสิ่งพิมพ์กราฟิก แอนิเมชน่ั ออดโิ อ วิดีโอ เกม มลั ตมิ ีเดยี เวบ็ ไซต์ และอื่นๆ ครูผู้สอนต้องมีการออกแบบการเรียนรู้ให้ศิษย์มีทักษะด้านสื่อโดยในเป้ าหมายด้านการวิเคราะห์สื่อได้ ต้องทาให้ผ้เู รียนมีความเข้าใจว่าทาไมจึงมีการสร้างส่ือนนั้ และสร้างได้อย่างไร ต้องมีการส่งเสริมให้ผ้เู รียนวิเคราะห์ได้ว่าแตล่ ะคนมีการตีความส่ือตา่ งๆ อยา่ งไร สื่อนนั้ มีการนาเสนอความจริงและข้อคดิ เหน็ อยา่ งไร มีผลกบั ความเชื่อและพฤตกิ รรมอยา่ งไร และสง่ เสริมความเข้าใจประเดน็ เชิงจริยธรรมและกฎหมายที่เก่ียวข้องกบั การเข้าถงึ สื่อและการส่ือสารเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

12 นอกจากนนั้ แล้วยงั ควรมีการกาหนดเป้ าหมายทางด้านการสร้างผลิตภณั ฑ์ส่ือได้ โดยผ้เู รียนต้องมีความสามารถในการใช้เครื่องมือที่เหมาะสมกับการนาเสนอในหลากหลายวตั ถุประสงค์ และสามารถนาเสนอในสภาพแวดล้อมท่ีแตกตา่ งหลากหลายและตา่ งวฒั นธรรม ทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร (ICT Literacy) แม้วา่ ทกั ษะด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของเดก็ ในยคุ ปัจจบุ นั จะมีความสามารถท่ีดกี วา่ ครูและพอ่ แม่ แต่เป็นส่งิ ท่ีจาเป็ นอย่างยิ่งที่ครูต้องคอยแนะนาการการใช้เคร่ืองมือทางด้านเทคโนโลยีให้เกิดประโยชน์ตอ่การเรียนรู้และสร้างสรรค์ ประเด็นท่ีสาคญั อีกประการคือทงั้ สารสนเทศ ส่ือ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารนนั้ มีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว ซง่ึ ครูตามเทคโนโลยีให้ทนั ได้ยาก และยากที่ครูจะตามเทคโนโลยีทนั จงึ ต้องมีกลไกในการชว่ ยเหลือครูอยา่ งเป็นระบบ และครูต้องเรียนรู้ให้ทนั เทคโนโลยีดงั กลา่ ว การออกแบบการเรียนรู้ให้ศษิ ย์มีทกั ษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศครูต้องมีเป้ าหมายให้ผ้เู รียนสามารถประยุกต์ใช้เทคโนโลยีได้อย่างมีประสิทธิผล คือผู้เรียนสามารถใช้เทคโนโลยี เพื่อการวิจัยจัดระบบ ประเมิน และส่ือสารสารสนเทศ ผู้เรียนต้องใช้เคร่ืองมือสื่อสาร เช่ือมโยงเครือข่ายของคอมพิวเตอร์ เคร่ืองมีเดีย และเครือข่ายสังคมออนไลน์ ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม สามารถเข้าถึงจัดการ ผสมผสาน ประเมินและสร้ างสารสนเทศ ตลอดจนกระทั่งการปฏิบัติตามคุณธรรมและกฎหมายท่ีเก่ียวข้องกบั การเข้าถงึ และใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ (วจิ ารณ์ พานชิ . 2555: 40-44)1.8 นโยบายด้านการศึกษาของไทยท่เี ก่ียวข้องกับเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร ประเทศไทยให้ความสาคญั กบั การนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารมาใช้ในการศกึ ษามีการกาหนดไว้ในพระราชบญั ญตั กิ ารศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 หมวดท่ี 9 เทคโนโลยีเพ่ือการศกึ ษาในมาตราท่ี 63 – 69 โดยมีรายละเอียดดงั ตอ่ ไปนี ้ มาตรา 63 รัฐต้องจัดสรรคล่ืนความถ่ี สื่อตวั นาและโครงสร้างพืน้ ฐานอ่ืนที่จาเป็ นต่อการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ วิทยุโทรคมนาคมและการส่ือสารในรูปอ่ืน เพื่อใช้ประโยชน์สาหรับการศึกษาในระบบการศึกษานอกระบบ การศึกษาตามอัธยาศัย การทะนุบารุงศาสนาศิลปะและวฒั นธรรมตามความจาเป็น มาตรา 64 รัฐต้องส่งเสริมและสนบั สนนุ ให้มีการผลิต และพฒั นาแบบเรียน ตาราหนงั สือทางวิชาการ ส่ือส่ิงพิมพ์อื่น วัสดุอุปกรณ์ และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาอื่น โดยเร่งรัดพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตจัดให้มีเงินสนบั สนุนการผลิตและมีการให้แรงจูงใจแก่ผู้ผลิตและพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศกึ ษา ทงั้ นี ้โดยเปิดให้มีการแขง่ ขนั โดยเสรีอยา่ งเป็นธรรมเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

13 มาตรา 65 ให้มีการพฒั นาบุคลากรทงั้ ด้านผ้ผู ลิต และผ้ใู ช้เทคโนโลยีเพื่อการศกึ ษา เพื่อให้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะในการผลิตรวมทัง้ การใช้ เทคโนโลยีท่ีเหมาะสม มีคุณภาพ และประสิทธิภาพ มาตรา 66 ผ้เู รียนมีสิทธิได้รับการพฒั นาขีดความสามารถในการใช้เทคโนโลยีเพ่ือการศกึ ษาในโอกาสแรกท่ีทาได้เพ่ือให้มีความรู้และทกั ษะเพียงพอท่ีจะใช้เทคโนโลยีเพื่อการศกึ ษาในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเองได้อยา่ งตอ่ เนื่องตลอดชีวติ มาตรา 67 รัฐต้องส่งเสริมให้มีการวิจยั และพัฒนา การผลิตและการพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการศกึ ษา รวมทงั้ การติดตาม ตรวจสอบและประเมินผลการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศกึ ษาเพ่ือให้เกิดการใช้ท่ีค้มุ คา่ และเหมาะสมกบั กระบวนการเรียนรู้ของคนไทย มาตรา 68 ให้มีการระดมทนุ เพ่ือจดั ตงั้ กองทนุ พฒั นาเทคโนโลยีเพ่ือการศกึ ษา จากเงินอดุ หนนุของรัฐค่าสมั ปทาน และผลกาไรที่ได้จากการดาเนินกิจการด้านสื่อสารมวลชนเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคมจากทกุ ฝ่ ายที่เกี่ยวข้องทงั้ ภาครัฐ ภาคเอกชนและองค์กรประชาชนรวมทงั้ ให้มีการลดอัต ราค่าบ ริ ก ารเป็ น พิ เศ ษ ใน ก ารใช้ เท ค โน โล ยี ดังก ล่าวเพื่ อ ก ารพัฒ น าค น แล ะสังค มหลกั เกณฑ์และวิธีการจดั สรรเงินกองทนุ เพื่อการผลติ การวิจยั และการพฒั นา เทคโนโลยีเพ่ือการศกึ ษาให้ เป็ นไปตามท่ีกาหนดในกฎกระทรวง มาตรา 69 รัฐต้องจดั ให้มีหน่วยงานกลางทาหน้าท่ีพิจารณาเสนอนโยบาย แผนส่งเสริม และประสานการวิจยั การพฒั นาและการใช้ รวมทงั้ การประเมนิ คณุ ภาพและประสิทธิภาพของการผลิตและการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศกึ ษา จากพระราชบญั ญัตกิ ารศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ที่เก่ียวข้องกบั การนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร มาใช้เพื่อการศึกษาทาให้มีการเกิดการผลกั ดนั ของหน่วยงานภาครัฐบาลในการผลิตและใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา รวมทงั้ การพัฒนาครูให้เป็ นผ้ทู ี่มีความรู้และสมรรถนะในด้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศโดยได้กาหนดเป็นมาตรฐานวชิ าชีพครูเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

14ตารางท่ี 1.1 มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วชิ าชีพ มาตรฐานความรู้ มาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพมีคณุ วฒุ ิไม่ต่ากว่าปริญญาตรีทางการศึกษา หรือ ผา่ นการปฏิบตั ิการสอนในสถานศึกษาตามหลกั สตู รเทียบเท่า หรือคุณวุฒิอื่นที่คุรุสภารับรอง โดยมี ปริญญาทางการศึกษาเป็ นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี และความรู้ ดงั ตอ่ ไปนี ้ ผ่านเกณฑ์การประเมินปฏิบตั ิการสอนตามหลกั เกณฑ์1. ภาษาและเทคโนโลยีสาหรับครู วิ ธี ก า ร แ ล ะ เ ง่ื อ น ไ ข ท่ี ค ณ ะ ก ร ร ม ก า ร2. การพฒั นาหลกั สตู ร ครุ ุสภากาหนด ดงั ตอ่ ไปนี ้3. การจดั การเรียนรู้ 1. การฝึกปฏิบตั วิ ชิ าชีพระหวา่ งเรียน4. จิตวทิ ยาสาหรับครู 2. การปฏบิ ตั กิ ารสอนในสถานศกึ ษาในสาขาวชิ า5. การวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา เฉพาะ6. การบริหารจดั การในห้องเรียน7. การวิจยั ทางการศกึ ษา8. นวตั กรรมและเทคโนโลยสี ารสนเทศทางการศกึ ษา9. ความเป็ นครู ท่มี า http://www.ksp.or.th ในส่วนของมาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ ซ่ึงมีรายละเอียดที่เกี่ยวข้ องใน2 มาตรฐานความรู้ ได้แก่มาตรฐานความรู้ที่ 1 ภาษาและเทคโนโลยีสาหรับครู และมาตรฐานความรู้ท่ี8 นวตั กรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศกึ ษา ซงึ่ มีสาระความรู้และสมรรถนะท่ีพงึ ประสงค์ดงั นี ้เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

15 ตารางท่ี 1.2 สาระความรู้และสมรรถนะสาหรับมาตรฐานวิชาชีพครูด้านภาพภาษาและเทคโนโลยี และมาตรฐานวชิ าชีพครูด้านนวตั กรรมและเทคโนโลยสี ารสนเทศทางการศกึ ษามาตรฐานความรู้ สาระความรู้ สมรรถนะ1. ภาษาและเทคโนโลยี 1. ภาษาไทยสาหรับครู 1. สามารถใช้ทกั ษะในการฟัง การพูดสาหรับครู 2. ภาษาองั กฤษหรือภาษาตา่ งประเทศ การอ่าน การเขียนภาษาไทย เพื่อการ สอ่ื ความหมายได้อยา่ งถกู ต้อง อน่ื ๆ สาหรับครู 2. สามารถใช้ทักษะในการฟัง การพูด 3. เทคโนโลยสี ารสนเทศสาหรับครู การอ่าน การเขียนภาษาอังกฤษ หรือ ภาษาต่างประเทศอ่ืน ๆ เพ่ือการสื่อ ความหมายได้อยา่ งถกู ต้อง 3. สามารถใช้คอมพวิ เตอร์ขนั้ พนื ้ ฐาน2. น วั ต ก ร ร ม แ ล ะ 1. แ น ว คิ ด ท ฤ ษ ฎี เท ค โน โล ยี แ ล ะ 1. สามารถเลือกใช้ ออกแบบ สร้ างเทคโนโลยีสารสนเทศ นวตั กรรมการศึกษาท่ีสง่ เสริมการพฒั นา และปรับปรุงนวัตกรรมเพื่อให้ผู้เรียนทางการศกึ ษา คณุ ภาพการเรียนรู้ เกิดการเรียนรู้ทดี่ ี 2. เ ท ค โ น โ ล ยี แ ล ะ ส า ร ส น เ ท ศ 2. สามารถพัฒนาเทคโนโลยีและ 3. การวิเคราะห์ปัญหาที่เกิดจากการใช้ สารสนเทศเพ่ือให้ผ้เู รียนเกิดการเรียนรู้ นวัตกรรมเทคโนโลยีและสารสนเทศ ท่ีดี 4. แหลง่ การเรียนรู้และเครือขา่ ยการเรียนรู้ 3. สามารถแสวงหาแหล่งเรียนรู้ท่ี 5. การออกแบบ การสร้ าง การนาไปใช้ หลากหลายเพ่ือสง่ เสริมการเรียนรู้ ของ การประเมินและการปรับปรุงนวตั กรรม ผ้เู รียน ท่มี า www.ksp.or.th1.9 ปัจจัยท่ที าให้เกดิ ความล้มเหลวในการนาเทคโนโลยสี ารสนเทศมาใช้ จากงานวิจยั ของ Whittaker (1999: 23) พบวา่ ปัจจยั ของความล้มเหลวหรือความผิดพลาดที่เกิดจากการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในองค์การมีสาเหตหุ ลกั 3 ประการ ได้แก่ 1. การขาดการวางแผนที่ดีพอโดยเฉพาะอย่างย่ิงการวางแผนจัดการความเส่ียงไม่ดีพอย่ิงองค์การมีขนาดใหญ่มากขึน้ เทา่ ใดการจดั การความเส่ียงยอ่ มจะมีความสาคญั มากขนึ ้ เป็ นเงาตามตวั ทาให้คา่ ใช้จา่ ยด้านนีเ้พมิ่ สงู ขนึ ้เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

16 2. การนาเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมมาใช้งานการนาเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในองค์การจาเป็ นต้องพิจารณาให้สอดคล้องกับลักษณะของธุรกิจหรืองานที่องค์การดาเนินอยู่หากเลือกใช้เทคโนโลยีที่ไม่สอดรับกบั ความต้องการขององค์การแล้วจะทาให้เกิดปัญหาตา่ งๆ ตามมา และเป็ นการสนิ ้ เปลืองงบประมาณโดยใชเ่ หตุ 3. การขาดการจดั การหรือสนบั สนนุ จากผ้บู ริหารระดบั สงู การท่ีจะนาเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้งานในองค์กรหากขาดซงึ่ ความสนบั สนนุ จากผ้บู ริหารระดบั สงู แล้วก็ถือวา่ ล้มเหลวตงั้ แตย่ งั ไม่ได้เร่ิมต้นการได้รับความมั่นใจจากผู้บริหารระดบั สูงเป็ นก้าวย่างที่สาคญั และจาเป็ นที่จะทาให้การนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในองคก์ ารประสบความสาเร็จ สาหรับสาเหตุของความล้มเหลวอื่น ๆที่พบจากการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ เช่นใช้เวลาในการดาเนินการมากเกินไป (Schedule overruns), นาเทคโนโลยีท่ีลา้ สมยั หรือยงั ไม่ผ่านการพิสูจน์มาใช้ งาน (New or unproven technology), ประเมินแผนความต้ องการใช้ เทคโนโลยีสารสนเทศไม่ถูกต้อง, ผู้จัดจาหน่ายเทคโนโลยีสารสนเทศ (Vendor) ท่ีองค์การซือ้ มาใช้งานไม่มีประสิทธิภาพและขาดความรับผดิ ชอบและระยะเวลาของการพฒั นาหรือนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้จนเสร็จสมบรู ณ์ใช้เวลาน้อยกวา่ หนงึ่ ปี นอกจากนี ้ปัจจยั อื่น ๆท่ีทาให้การนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ไมป่ ระสบความสาเร็จในด้านผ้ใู ช้งานนนั้ อาจสรุปได้ดงั นี ้คือ 1. ความกลวั การเปลี่ยนแปลงกลา่ วคอื ผ้คู นกลวั ที่จะเรียนรู้การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศรวมทงั้กลวั วา่ เทคโนโลยีสารสนเทศจะเข้ามาลดบทบาทและความสาคญั ในหน้าที่การงานที่รับผิดชอบของตนให้ลดน้อยลงจนทาให้ตอ่ ต้านการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ 2. การไมต่ ดิ ตามขา่ วสารความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศอยา่ งสม่าเสมอเน่ืองจากเทคโนโลยีสารสนเทศเปลี่ยนแปลงรวดเร็วมากหากไมม่ นั่ ตดิ ตามอย่างสม่าเสมอแล้วจะทาให้กลายเป็นคนล้าหลงัและตกขอบจนเกิดสภาวะชะงกั งนั ในการเรียนรู้และใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ 3. โครงสร้างพืน้ ฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของประเทศกระจายไม่ทัว่ ถึงทาให้ขาดความเสมอภาคในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศหรือเกิดการใช้กระจกุ ตวั เพียงบางพืน้ ท่ี ทาให้เป็ นอปุ สรรคในการใช้งานด้านตา่ งๆตามมา เชน่ ระบบโทรศพั ท์ อินเทอร์เน็ตความเร็วสงู ฯลฯ1.10 สรุป เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็ นปั จจัยสาคัญของสังคมในยุคปั จจุบันท่ีเป็ นสงั คมสารสนเทศ มีบทบาทและเกี่ยวข้องกับวิถีการดาเนินชีวิตของทกุ บคุ คลในสงั คม เพื่อช่วยในการจดั เก็บ วิเคราะห์ ประมวลผล เผยแพร่ สารสนเทศโดยอาศยั เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีโทรคมนาคมมาชว่ ยอนั จะสง่ ผลให้เกิดการดาเนินงานในด้านตา่ งๆ ได้อยา่ งมีประสิทธิภาพเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

17 ในระบบการศึกษาเพื่อเตรียมคนในศตวรรษท่ี 21 ทกั ษะทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารเป็ นทกั ษะที่จาเป็ นอยา่ งย่ิง ประกอบด้วยทกั ษะด้านสาระสนเทศ ทกั ษะด้านสื่อ และทกั ษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซ่ึงครูจาเป็ นอย่างยิ่งที่จะต้องออกแบบและจดั การเรียนรู้เพ่ือให้ผู้เรียนมีทักษะทัง้ 3 ด้านท่ีเกี่ยวข้องกับทักษะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อให้ผู้เรียนเข้าถึงสารสนเทศได้อย่างถูกต้องและหลากหลาย วิเคราะห์การใช้สารสนเทศให้เกิดประโยชน์สูงสดุ ตอ่ การเรียนรู้ ตลอดจนการเป็นผ้สู ร้างและผ้ใู ช้ส่ือได้อยา่ งถกู ต้องและเหมาะสม นโยบายด้ านการศึกษาของประเทศไท ยในปั จจุบันมีการมุ่งส่งเสริ มให้ มี การนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการจัดการศึกษา โดยได้ให้ความสาคัญกับการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการศกึ ษาไว้ในพระราชบญั ญัติการศกึ ษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 หมวดท่ี 9 เทคโนโลยีการศกึ ษา มาตราท่ี63 -69 นอกจากนนั้ แล้วในการผลิตบณั ฑิตครูยงั มีการกาหนดมาตรฐานความรู้ของผ้ทู ่ีจะประกอบวิชาชีพครูว่าต้องมีความรู้ในมาตรฐานความรู้ด้านภาษาและเทคโนโลยีสารสนเทศ และมาตรฐานความรู้ด้านนวตั กรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศกึ ษา เพ่ือให้ได้บุคลากรครูท่ีมีทกั ษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพสอดคล้องกบั การผ้เู รียนสศู่ ตวรรษที่ 21เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

18คาถามท้ายบท 1. ให้นกั ศึกษาอธิบายความหมายของคาวา่ ข้อมลู , สารสนเทศ และเทคโนโลยีสารสนเทศมาพอเข้าใจ 2. ให้ นักศึกษาอธิบายถึงลักษณ ะของสังคมสารสนเทศ (Information Society) และความสาคญั ของเทคโนโลยีสารสนเทศท่ีมีตอ่ การดารงชีวติ ในสงั คมสารสนเทศอยา่ งน้อย 3 ด้าน 3. นกั ศกึ ษาคดิ ว่าปัจจยั ใดบ้างที่สง่ ผลให้เกิดความล้มเหลวในการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในหนว่ ยงาน จงอธิบาย 4. ให้นักศึกษาอธิบายว่าทักษะทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารของคนในศตวรรษท่ี 21 ประกอบด้วยอะไรบ้าง 5. ให้นกั ศึกษาอธิบายว่าพระราชบญั ญัติการศึกษาแห่งชาติได้ให้ความสาคญั กับเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารไว้อยา่ งไรบ้าง 6. ให้นักศึกษาอธิบายว่าผู้ที่จะประกอบวิชาชีพครูต้องมีมาตรฐานความรู้และสมรรถนะท่ีเกี่ยวข้องกบั เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสารในเรื่องใดบ้างเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

19เอกสารอ้างองิกระทรวงศกึ ษาธิการ. (2542). พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติพ.ศ.2542. กรุงเทพฯ: สานกั นโยบายและแผนการศกึ ษาศาสนาและวฒั นธรรม.ชัย ย งค์ พ รห ม วงศ์ .(2553).ป ระม วล ส าระ ชุด วิ ช าสื่ อ อิ เล็ ก ท รอ นิ ก ส์ แ ล ะ โท รค ม น าค ม เพื่อการศึกษาหน่วยที่ 1-8.นนทบุรี: บัณฑิตศึกษา สาขาวิชาศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัย สโุ ขทยั ธรรมาธิราช.ประพันธ์ ภักดีกุล. (2549). เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต. กรุงเทพฯ: คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั จนั ทรเกษม.วชิราพร พ่มุ บานเย็น.(2545). เทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์. กรุงเทพฯ: บริษัท ซีเอ็ดยเู คชน่ั จากดั (มหาชน)วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง และอธิป จติ ตฤกษ์.(2554). ทกั ษะแห่งอนาคตใหม่การศึกษาเพือ่ ศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: โอเพนเวิอร์.วิจารณ์ พานิช. (2555). วิถีสร้างการเรียนรู้เพื่อศิษย์ในศตวรรษที่ 21. กรุงเทพฯ: มูลนิธิสดศรี- สฤษดว์ิ งศ์วิโรจน์ ชัยมูลและสุพรรษา ยวงทอง.(2552).ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี สารสนเทศ. กรุงเทพฯ:บริษัท โปรวิชนั่ จากดัวิเศษศกั ดิ์ โคตรอาษา และคณะ.(2542).เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้.กรุงเทพฯ: เธิร์ดเวฟ- เอด็ ดเู คชนั่ .ยืน ภู่วรวรรณ และสมชาย นาประเสริฐชยั .(2546).ไอซีทีเพื่อการศึกษาไทย.กรุงเทพฯ: บริษัทซีเอ็ด- ยเู คชน่ั จากดั (มหาชน).สถาบันราชภัฏสวนดุสิต. (2544). เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้.กรุงเทพฯ: ศูนย์หนังสือ สถาบนั ราชภฏั สวนดสุ ิตสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา.(2556). มาตรฐานการประกอบวิชาชีพครู. สืบค้นเมื่อ 15 กันยายน 2556, จาก http://www.ksp.or.th/ksp2013/content/view.php?mid=136&did =254&tid=3&pid=6ศรีไพร ศกั ดริ์ ุ่งพงศากลุ . (2548).เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ.กรุงเทพฯ:บริษทั ซีเอด็ ยเู คชนั่ จากดั (มหาชน).เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

20 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 2 เทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์หวั ข้อเนือ้ หา 1. ความหมายและววิ ฒั นาการของคอมพวิ เตอร์ 2. ลกั ษณะเดน่ ของคอมพิวเตอร์ 3. ประเภทของคอมพวิ เตอร์ 4. องค์ประกอบของระบบคอมพวิ เตอร์ 5. ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์กบั การศกึ ษาวัตถปุ ระสงค์ 1. อธิบายความหมาย ความเป็นมาและววิ ฒั นาการของคอมพิวเตอร์ได้ 2. อธิบายประเภทของคอมพิวเตอร์ได้ 3. วเิ คราะห์และเลือกใช้คอมพิวเตอร์ได้เหมาะสมสอดคล้องกบั ลกั ษณะงาน 4. อธิบายองคป์ ระกอบ และหลกั การทางานของคอมพิวเตอร์ 5. อธิบายประโยชน์ของคอมพวิ เตอร์กบั การจดั การศกึ ษาได้วิธีสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอน 1. วธิ ีสอน 1.1 สอนแบบบรรยาย 1.2 สอนแบบอภิปราย 1.3 สอนแบบ Collaborative learning 2. กิจกรรมการเรียนการสอน 2.1 ผู้เรียนศึกษาเกี่ยวกับความหมาย ความเป็ นมาและองค์ประกอบและหลักการทางานของคอมพวิ เตอร์ 2.2 ผู้สอนแบ่งกลุ่มผู้เรียน เพื่อให้ ผู้เรียนศึกษาข้ อมูลในประเด็นประเภทของคอมพิวเตอร์ในปัจจบุ นั 2.3 ผ้เู รียนแต่ละกล่มุ ศกึ ษาความรู้เพ่ิมเตมิ เพ่ือวิเคราะห์ประโยชน์การใช้คอมพิวเตอร์แตล่ ะประเภท 2.4 ผ้เู รียนแตล่ ะกลมุ่ สรุปความรู้และนาเสนอผลการศกึ ษาค้นคว้า 2.5 ผ้สู อนและผ้เู รียนอภิปรายและสรุปประเดน็ ในการเรียนการสอนเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

21 3. ส่ือการเรียนการสอน 3.1 เอกสารประกอบการสอน 3.2 เอกสารประกอบการบรรยาย โดยใช้โปรแกรม Power pointการวัดผลและการประเมิน 1. สงั เกตความสนใจของผ้เู รียนในการศกึ ษาและร่วมกนั อภิปรายแสดงความรู้และความคดิ เห็น 2. สงั เกตจากการร่วมมือและการมีสว่ นร่วมในการทางาน 3. การนาเสนองาน 4. คาถามท้ายบทเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

22 บทท่ี 2 เทคโนโลยีคอมพวิ เตอร์ 2.1 บทนา 2.2 ความหมายและววิ ฒั นาการของคอมพวิ เตอร์ 2.3 ลกั ษณะเดน่ ของคอมพิวเตอร์ 2.4 ประเภทของคอมพวิ เตอร์ 2.5 องคป์ ระกอบของระบบคอมพิวเตอร์ 2.6 ประโยชน์ของคอมพิวเตอร์กบั การศกึ ษา 2.8 สรุป 2.9 คาถามท้ายบท 2.10 เอกสารอ้างอิง2.1 บทนา เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์เป็ นองค์ประกอบหน่ึงที่สาคญั ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการสื่อสาร และมีเข้ามามีบทบาทอยา่ งมากในวิถีชีวติ ประจาวนั โดยเฉพาะการนาคอมพิวเตอร์เข้ามาใช้ในการทางานด้านต่างๆ ดงั นนั้ การทาความเข้าใจในองค์ประกอบและแนวทางการใช้คอมพิวเตอร์จึงมีความสาคญั อยา่ งมากสาหรับครูและบุคลากรทางการศกึ ษาที่จะสามารถเลือกใช้คอมพิวเตอร์ให้เกิดประโยชน์อยา่ งสงู สดุ ในการทางานด้านการศกึ ษา2.2 ความหมายและวิวัฒนาการของคอมพวิ เตอร์ 2.2.1 ความหมายของคอมพวิ เตอร์ พจนานุกรมฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน ได้ให้ความหมายของเคร่ืองคอมพิวเตอร์ไว้ หมายถึงเครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมตั ิ ทาหน้าท่ีเสมือนสมองกลใช้สาหรับแก้ปัญหาตา่ งๆ ทงั้ ท่ีง่ายและซบั ซ้อน โดยวธิ ีทางคณิตศาสตร์ ดงั นนั้ คอมพิวเตอร์จงึ เป็นอปุ กรณ์ที่มนษุ ย์สามารถนามาใช้เป็นเครื่องมือในการทางานได้อยา่ งหลากหลายรูปแบบและมีประสทิ ธิภาพ สาหรับในระบบสารสนเทศและการส่ือสารนัน้ อาจสรุปความหมายคอมพิวเตอร์ว่าเป็ นอปุ กรณ์อิเลก็ ทรอนิกส์อยา่ งหนึง่ ท่ีสามารถรับโปรแกรมและข้อมลู ประมวลผล สื่อสารเคลื่อนย้ายข้อมลูและแสดงผลลพั ธ์ได้วงจรการทางานของคอมพิวเตอร์เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

23 2.2.2 ววิ ัฒนาการของคอมพวิ เตอร์ ตัง้ แต่อดีตมาจนถึงปั จจุบันจะพบว่าคอมพิวเตอร์มีวิวัฒนาการเปล่ียนแปลงไปมากทงั้ ทางด้านฮาร์ดแวร์และทางด้านซอฟต์แวร์ เพื่อให้ทนั สมยั และรวดเร็วทันต่อเหตกุ ารณ์สาหรับการเปล่ียนแปลงทางด้านฮาร์ดแวร์นนั้ ได้มีวิวฒั นาการหรือการเปลี่ยนแปลงดงั นี ้ ปี ค.ศ. 1981 ได้ผลติ เคร่ืองไมโครคอมพิวเตอร์รุ่นไอบีเอ็มพีซีโดยบริษัทอินเทล ในรุ่นนีใ้ ช้ CPUเบอร์ 8088 ซง่ึ ถือวา่ เป็นต้นกาเนิดของเครื่องพีซีปัจจบุ นั ปี ค.ศ. 1982 ได้พัฒนาเป็ นรุ่นไอบีเอ็มพีซีเอ็กซ์ที (IBM PC/XT) มีการออกแบบวงจรภายในใหม่ ให้มีขนาดเล็กลงและทางานรวดเร็วขึน้ แต่ยังคงใช้ CPU เบอร์ 8088 ของอินเทลเคร่ืองรุ่นนี ้สามารถติดตงั้ ฮาร์ดดิสก์ได้มีการเปล่ียนไปจากเดิม คือ 8 เซกเตอร์ต่อแทรก เป็ น 9 เซกเตอร์ตอ่ แทรกทาให้สามารถเก็บข้อมลู ได้มากขนึ ้ เป็น 360 กิโลไบต์ ปี ค.ศ. 1985 ได้พัฒนาเป็ นรุ่นไอบีเอ็มพีซีเอที (IBM PC/AT) ในรุ่นนีไ้ ด้เปล่ียนไปใช้ CPUเบอร์ 80286 ซง่ึ เป็ นตวั ใหมข่ องบริษัทอินเทลในการเก็บข้อมลู ก็มีการเพ่ิมฮาร์ดดิสก์ให้มีความจเุ พิ่มขนึ ้เป็ น 20 เมกะไบต์ฟลอปปี ด้ ิสก์ก็สามารถเก็บข้อมูลได้ถึง 1.2 เมกะไบต์ทาให้มีประสิทธิภาพสงู และทางานเร็วกวา่ รุ่นไอบเี อม็ เอ็กซ์ที ปี ค.ศ. 1987 บริษัทไอบีเอ็มได้สร้างคอมพิวเตอร์รุ่น PS/2 ขึน้ มาในรุ่นนีฮ้ าร์ดดสิ ก์จะมีความจุมากขนึ ้ ฟลอปปี ด้ สิ ก์ก็เพิ่มความจจุ ากเดิม 720 กิโลไบต์ เป็ น 1.44 เมกะไบต์ และเปลี่ยนเป็ นแผน่ ดสิ ก์ขนาด 3.5 นวิ ้ ปี ตอ่ มาได้พฒั นาเป็ นเครื่องมือท่ีใช้ไมโครโพรเซสเซอร์เบอร์ 80386 ของอินเทล ซง่ึ มีขนาด 32บติ และมีประสิทธิภาพสงู กว่าเคร่ืองเอทีมากแตก่ ็มีปัญหาหนึ่งของเคร่ือง 386 คอื ระบบปฏิบตั ิการและแอพพลิเคชน่ั ท่ีผ่านมาถกู พฒั นาขนึ ้ มาบนเคร่ืองพีซีธรรมดาเทา่ นนั้ โปรแกรมเหลา่ นนั้ จึงไมส่ ามารถใช้ความสามารถของ ซีพียู 80386 ได้เตม็ ท่ีนกั จะมีก็แตค่ วามเร็วที่สงู ขนึ ้ เทา่ นนั้ รูปท่ี 2.1 IBM PC รุ่นแรก ท่มี า www.siamintelligence.com/ibm-pc-creator-post-pc-eraเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

242.3 ลักษณะเด่นของคอมพวิ เตอร์ 2.3.1ความเป็ นอัตโนมัติ (Self Acting)คอมพิ วเตอร์ ประดิษฐ์ ขึน้ ด้ วยอุปกรณ์ ทางอิเล็กทรอนิกส์มีการจดั เก็บหรือเปลี่ยนข้อมลู ให้อย่ใู นรูปแบบของสญั ญาณไฟฟ้ า เพ่ือให้คอมพิวเตอร์เข้าใจการประมวลผลทางคอมพิวเตอร์จะทางานแบบอตั โนมตั ิภายใต้คาสงั่ ท่ีถกู กาหนดไว้การทางานดงั กล่าวจะเร่ิมตงั้ แต่การนาข้อมูลเข้าสู่ระบบการประมวลผลและแปลงผลลัพธ์ออกมาในรูปแบบท่ีมนษุ ย์สามารถเข้าใจได้ 2.3.2 ความเร็ว (Speed) คอมพิวเตอร์จะประมวลผลงานด้วยความเร็วสูงต่างจากการประมวลงานในอดีตที่อาศยั แรงงานของมนษุ ย์ซง่ึ ให้ผลที่ช้ากวา่ มาก งานๆหนง่ึ หากใช้แรงงานคนอาจเสียเวลาหลายวนั หรือหลายสปั ดาห์ ในการคดิ และประมวลผลแตห่ ากนาเอาคอมพิวเตอร์มาใช้อาจลดเวลาและให้ผลลพั ธ์ได้เพียงไม่ก่ีนาทีความรวดเร็วในการประมวลผลดงั กลา่ วมีความจาเป็ นอย่างมากตอ่ การดาเนินงานธุรกรรมในปัจจุบนั ผลลพั ธ์ท่ีได้จากการคานวณด้วยคอมพิวเตอร์ช่วยให้ผ้บู ริหารนาเอาไปใช้ประโยชน์ในการตดั สนิ ใจหรือดาเนินงานได้อยา่ งรวดเร็ว 2.3.3 ความถูกต้อง แม่นยา(Accuracy) คอมพิวเตอร์จะให้ผลลัพธ์ท่ีถูกต้อง แม่นยาและมีความผิดพลาดน้อยท่ีสุด การใช้แรงงานคนเพื่อประมวลผลเป็ นเวลานาน อาจเกิดการผิดพลาดได้เนื่องมาจากความอ่อนล้า เช่นการลงรายการผิด หรือบันทึกข้อมูลผิดประเภ ท ตรงกันข้ ามกับคอมพิวเตอร์ที่สามารถทางานได้อย่างต่อเนื่อง และซา้ ๆอย่างเดิมได้อย่างดี ทัง้ นีข้ ีน้ อยู่กับการป้ อนข้อมูลเข้าท่ีถูกต้องด้วย เน่ืองจากคอมพิวเตอร์ไม่สามารถทราบได้ว่าข้อมูลท่ีผู้ใช้ป้ อนเข้ามานนั้ เป็ นอยา่ งไร ผิดหรือถกู หากมีการป้ อนข้อมลู ท่ีผิด โปรแกรมหรือชดุ คาสงั่ อาจประมวลตามท่ีได้รับข้อมลู มาเช่นนนั้ ซึ่งความไม่ถกู ต้องดงั กลา่ วไม่ใช่ความผิดพลาดของคอมพิวเตอร์ หากเป้ นความผิดพลาดของฝั่งผ้ใู ช้เอง เป็นต้น 2.3.4 ความนา่ เช่ือถือ (Reliability) ข้อมลู ที่ได้จากการประมวลผลของคอมพิวเตอร์จะมีความนา่ เช่ือถือและสามารถนาไปใช้ประโยชน์อ่ืนๆตอ่ ไปได้ โดยเฉพาะในปัจจบุ นั ซงึ่ มีฮาร์ดแวร์ท่ีผลิตขนึ ้ ด้วยอปุ กรณ์อเิ ล็กทรอนิกส์สมยั ใหม่ มีการคดิ ค้นและพฒั นาให้ดกี วา่ ยคุ สมยั ก่อน ท่ีมีการใช้เพียงแคห่ ลอกสญุ ญากาศ การประมวลผลด้วยคอมพิวเตอร์ในปัจจบุ นั มีความผดิ พลาดต่ามากหรือแทบไมเ่ กิดขนึ ้ เลยนน่ั คือการมีความนา่ เชื่อถือสงู นนั่ เอง 2.3.5 การจดั เก็บข้อมลู (Storage Capability) คอมพิวเตอร์สามารถจดั เก็บข้อมลู ได้หลากหลายรูปแบบทงั้ ข้อมลู ท่ีเป็นข้อมลู ธรรมดาหลายๆล้านตวั อกั ษร เพลง ภาพถา่ ย วดิ ีโอ หรือไฟล์ข้อมลู ขนาดใหญ่จานวนมาก โดยมีหนว่ ยเก็บข้อมลู เฉพาะเป็ นของตนเอง ชว่ ยให้การจดั เก็บและถา่ ยเทข้อมลู ได้มากขนึ ้ และมีราคาท่ีถกู ลงกวา่ แตก่ อ่ นมากเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

25 2.3.6 ทางานซา้ ๆได้ (Repeatability) คอมพวิ เตอร์สามารถทางานซา้ ๆ กนั ได้หลายรอบชว่ ยลดปัญหาเรื่องการออ่ นล้าจากการทางานของแรงงานคน นอกจากนนั้ ยงั ลดความผิดพลาดตา่ งๆได้ดีกวา่ ด้วย ข้อมลู ท่ีประมวลผลแม้จะยงุ่ ยาก หรือซบั ซ้อนเพียงใดก็ตามจะสามารถคานวณและสามารถหาผลลพั ธ์ได้อยา่ งรวดเร็ว การคิดหาผลลพั ธ์ของงานที่มีลกั ษณะซา้ ๆ แบบเดมิ เชน่ การบนั ทกึ รายการบญั ชีประจาวนั การลงรายการสนิ ค้าเข้า-ออก ในระบบสินค้าคงคลงั ที่เกิดขนึ ้ เป็นประจา จงึ เหมาะอยา่ งย่งิ ตอ่ การนาเอาคอมพิวเตอร์ไปใช้งาน 2.3.7 การติดตอ่ ส่ือสาร (Communication) คอมพิวเตอร์ในปัจจบุ นั สามารถเชื่อมโยงเข้าหากนั เป็นเครือขา่ ยภายในองค์กรเล็กๆหรือระดบั เครือขา่ ยใหญ่ๆ เชน่ อินเตอร์เน็ต ทาให้การประมวลผลงานมีประสทิ ธิภาพมากยิ่งขนึ ้ และไมจ่ ากดั อยแู่ คพ่ ืน้ ท่ีใดพืน้ ท่ีหนง่ึ อีกตอ่ ไป คณุ สมบตั เิ หลา่ นีอ้ าจพบเหน็ ได้ในคอมพิวเตอร์แบบใหมๆ่ ทว่ั ไป2.4 ประเภทของคอมพวิ เตอร์ คอมพิวเตอร์สามารถจาแนกได้หลายประเภท ขึน้ อยู่กับความแตกต่างของขนาดเคร่ืองความเร็วในการประมวลผล และราคาเป็ นข้อพิจารณา หลกั โดยทวั่ ไปนิยมจาแนกประเภทคอมพิวเตอร์เป็น 6 ประเภท การจาแนกประเภทของคอมพิวเตอร์สามารถทาได้หลายรูปแบบทัง้ นีข้ ึน้ อยู่กับเกณฑ์ที่ใช้แบง่ เป็นหลกั ซงึ่ คอมพิวเตอร์ท่ีพบเห็นทวั่ ไป อาจจาแนกออกได้ตามตารางด้านลา่ งนี ้ตารางท่ี 2.1 การจาแนกประเภทของคอมพวิ เตอร์ เกณฑ์ท่ใี ช้จาแนก ประเภทคอมพวิ เตอร์ตามลกั ษณะการใช้งาน  แบบใช้งานทวั่ ไป (General Purpose computer)  แบบใช้งานเฉพาะ (Special Purpose computer)ตามขนาดและความสามารถ  ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (supercomputer)  เมนเฟรมคอมพวิ เตอร์ (mainframe computer)  มินิคอมพิวเตอร์ (minicomputer)  ไมโครคอมพิวเตอร์ (microcomputer)  คอมพิวเตอร์มือถือ(Handheld computer)เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

26 2.4.1 จาแนกตามลักษณะการใช้งาน คอมพวิ เตอร์ท่ีแบง่ ตามกลมุ่ การใช้งานนี ้สามารถแบง่ ออกได้เป็น 2 ประเภท (1) แบบใช้งานทว่ั ไปเป็ นคอมพิวเตอร์กล่มุ ท่ีพบเห็นได้ในการทางานทว่ั ไป เช่น ตามบ้าน ตามสานกั งาน ฯลฯ ผ้ใู ช้สามานาไปประยกุ ต์ใช้กบั งานท่ีคอ่ นข้างหลากหลาย คอมพิวเตอร์กล่มุ นี ้เป็ นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายมักมีราคาถูกหาซือ้ ได้ทั่วไป อีกทัง้ ค่าบารุงจะมีราคาท่ีต่าและไม่จาเป็นต้องใช้ผ้เู ชี่ยวชาญเฉพาะมาดแู ลโดยตรง (2) แบบใช้งานเฉพาะเป็ นคอมพิวเตอร์กลมุ่ ที่ใช้งานแบบเฉพาะอยา่ งหรือเป็ นกรณีไปไม่สามารถนาไปใช้อย่างอื่นได้ ความยืดหยนุ่ ในการใช้งานจงึ มีน้อยกว่าแบบใช้งานทวั่ ไป โดยมากมกัเป็ นอปุ กรณ์หรือเคร่ืองมืออิเล็กทรอนิกส์ที่ทางานทางด้านอตุ สาหกรรมหรือโรงงานเป็ นหลกั เช่นระบบควบคมุ อตั โนมตั ิในโรงงาน เคร่ืองจกั กลอตั โนมัติ ห่นุ ยนต์ขนถ่ายสินค้า เคร่ืองตรวจวดั สภาพอากาศมกั มีราคาแพงและใช้งานเฉพาะบริษัทหรือหน่วยงานที่เก่ียวข้องเท่านนั้ อาจมีค่าบารุงรักษาเครื่องมือเหลา่ นีท้ ี่แพงมาก เพราะต้องใช้ผ้เู ชี่ยวชาญโดยเฉพาะ 2.4.2 จาแนกตามขนาดและความสามารถ คอมพิวเตอร์ท่ีแบง่ ตามขนาดและความสามารถของเคร่ืองนนั้ สามารถแบง่ ออกได้ดงั นี ้ (1) ซุป เป อร์ คอมพิ วเตอร์ (Supercomputer)เป็ นเคร่ื องคอมพิ วเตอร์ ท่ี มี ขีดความสามารถสูงสุดในบรรดาคอมพิวเตอร์ที่มีการสร้ างขึน้ มา ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์ใช้สาหรับประมวลผลข้อมูลที่มีปริมาณมาก ๆ และต้องการการคานวณจานวนมาก เช่น การสร้างแบบจาลองทางวิทยาศาสตร์ ปฏิกิริยานิวเคลียร์ ให้สามารถรู้ถึงความเป็ นไปที่เกิดขึน้ ทุก ๆ เวลาในปฏิกิริยานิวเคลียร์ ปฏิกิริยาลูกโซ่ หรือการใช้ซุปเปอร์คอมพิวเตอร์เพ่ือการตรวจสอบมลภาวะ กลุ่มซุปเปอร์คอมพิวเตอร์จะมีราคาอยู่ในช่วง 20 ล้านเหรียญขึน้ ไปโดยมากจะใช้ในวงการวิจยั และวิทยาศาสตร์หลกั ๆซุปเปอร์คอมพิวเตอร์จะมีหนว่ ยประมวลผลจานวนมาก เชน่ เครื่อง Cray XT3 สามารถตงั้ เคร่ืองให้มี CPU จาก 548 – 30,508 ตวั ทางานร่วมกัน ซึ่งทาให้สามารถคานวณได้ 2.6 – 147 TFLOPS,1012 floating point operations per second รูปท่ี 2.2 เครื่องซเุ ปอร์คอมพวิ เตอร์(Supercomputer) ท่มี า writer.dek-d.com/kikkuga/story/viewlongc.php?id=655180&chapter=1เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

27 (2) เมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer)เมนเฟรมคอมพิวเตอร์เป็ นเคร่ืองคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีการพัฒนามาตงั้ แต่เร่ิมแรก เหตทุ ี่เรียกว่า เมนเฟรมคอมพิวเตอร์เพราะตวั เครื่องประกอบด้วยตู้ขนาดใหญ่ที่ภายในตู้มีชิน้ ส่วนและอุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่เป็ นจานวนมาก แต่อยา่ งไรก็ตามในปัจจบุ นั เมนเฟรมคอมพิวเตอร์มีขนาดลดลงมาก เมนเฟรมเป็ นเครื่องคอมพิวเตอร์ท่ีมีราคาสูงมาก มักอยู่ที่ศนู ย์คอมพิวเตอร์หลกั ขององค์การ และต้องอย่ใู นห้องที่มีการควบคมุ อณุ หภูมิและมีการดแู ลรักษาเป็ นอย่างดี บริษัทผ้ผู ลิตเมนเฟรมได้พฒั นาขีดความสามารถของเครื่องให้สูงขึน้ข้อเด่นของการใช้เมนเฟรมอยู่ที่งานท่ีต้องการให้มีระบบศูนย์กลาง และกระจายการใช้งานไปเป็ นจานวนมาก เช่น ระบบเอทีเอ็มซ่ึงเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลที่จดั การโดยเครื่องเมนเฟรม อย่างไรก็ตามขนาดของเมนเฟรมและมินิคอมพิวเตอร์ก็ยากที่จะจาแนกจากกันให้เห็นชดั ปัจจุบนั เมนเฟรมได้รับความนิยมน้อยลง ทงั้ นีเ้พราะคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กมีประสทิ ธิภาพและความสามารถดีขนึ ้ ราคาถกู ลงขณะเดยี วกนั ระบบเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ก็ดีขนึ ้ จนทาให้การใช้งานบนเครือขา่ ยกระทาได้เหมือนการใช้งานบนเมนเฟรม รูปท่ี 2.3 เมนเฟรมคอมพวิ เตอร์ (mainframe computer) ท่มี า www4.csc.ku.ac.th/~b5240200866/Computersystem.html (3) มินิคอมพิวเตอร์ (minicomputer)มินิคอมพิวเตอร์เป็ นเคร่ืองคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะรองลงมาจากเคร่ืองเมนเฟรมส่วนใหญ่นาไปใช้กับบริษัทหรือหนว่ ยงานขนาดกลางสาหรับให้บริการแก่เคร่ืองลูกข่าย (Client) เพ่ือให้ บริการแฟ้ มข้อมูล(file server) เป็ นต้น อย่างไรก็ตามมินิคอมพิวเตอร์ในปัจจุบนั จาแนกได้ไม่ชดั เจน เพราะมีตงั้ แต่รุ่นใหญ่ที่มีความเร็วเทียบเท่า เมนเฟรมสามารถทางานให้กบั องค์กรขนาดใหญ่ ลงมาจนถึงไฟล์เซิร์ฟเวอร์ขนาดเล็กท่ีมีความรวดเร็วเทียบเท่าเคร่ือง PCเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

28 (4) ไมโครคอมพิวเตอร์ (microcomputer)เป็ นคอมพิวเตอร์ที่มีคนนิยมใช้มากที่สุดเนื่องจากมีราคาถูกและหาซือ้ มาได้ท่ัวไป มีช่ือเรียกอีกอย่างหน่ึงว่าเคร่ืองคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล(PC หรือ Personal Computer) ปัจจบุ นั ปัจจบุ นั ได้รับการพฒั นาขีดความสามารถให้สงู ขนึ ้ มาก มกั พบเห็นในสานกั งานหรือบ้านพกั อาศยั ท่ัวไปเคร่ืองคอมพิวเตอร์ประเภทนีอ้ าจรวมถึงคอมพิวเตอร์ประเภทเคล่ือนย้าย สะดวก ไมโครคอมพิวเตอร์นนั้ สามารถแบง่ ได้ดงั ตอ่ ไปนี ้ - เครื่องไมโครคอมพิวเตอร์แบบตัง้ โต๊ ะ (Desktop Models)เป็ นเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์แบบแรกท่ีได้รับการสร้างขนึ ้ โดยปกตจิ ะมีขนาดเล็กพอท่ีจะตงั้ บนโต๊ะทางานได้จึงเรียกวา่ เป็นเคร่ืองไมโครคอมพวิ เตอร์แบบตงั้ โต๊ะ รูปท่ี 2.4ไมโครคอมพวิ เตอร์แบบตงั้ โต๊ะ (Desktop Models) ท่มี า http://renoir.en.kku.ac.th/cpp/c12.html - เค ร่ื อ ง ไม โค รค อ ม พิ ว เต อ ร์ แ บ บ โน้ ต บุ๊ ก (Notebook)เป็ น เค ร่ื อ งไมโครคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กโดยท่ัวไปมีขนาด 8.5 x 11 นิว้ (เท่ากับกระดาษ A4) บางครัง้ เรียกว่าLaptop สามารถทางานได้ด้วยแบตเตอร์รี่ภายในเคร่ืองในช่วงระยะเวลาหนง่ึ มีนา้ หนกั เบา มีจอภาพพร้อมด้วย แป้ นพมิ พ์ในตวั เคลื่อนย้ายได้สะดวก รูปท่ี 2.5ไมโครคอมพวิ เตอร์แบบโน้ตบ๊กุ (Notebook) ท่มี า http://renoir.en.kku.ac.th/cpp/c12.htmlเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

29 - เคร่ือง Workstation เป็ นเคร่ืองไมโครคอมพิวเตอร์ท่ีมีขีดความสามารถคอ่ นข้างสงู ออกแบบสาหรับงานบางประเภท เชน่ งานทางวิศวกรรม หรือ งานทางวิทยาศาสตร์ ที่มีการคานวณมาก ๆ โดยมากแล้ว ใช้ CPU ที่มีประสิทธิภาพสูง และ มีการแสดงผล ท่ีมีความระเอียดสูงกวา่ PC ทว่ั ไป รูปท่ี 2.6เครื่อง Workstationเป็น ท่มี า http://renoir.en.kku.ac.th/cpp/c12.html - เครื่องอัลตร้ าบุ๊ค (Ultrabook) เป็ นอุปกรณ์ท่ีถูกคิดค้นและพัฒนาโดยบริษัท อินเทล คอร์เปอเรชน่ั ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยพฒั นามาจากคอมพิวเตอร์แบบโน้ตบ๊คุ แตม่ ีความบาง เบา พกพาสะดวก ระยะเวลาการใช้งานบนแบตเตอรี่ท่ียาวนาน และประสิทธิภาพท่ีดีซึ่งได้ดงึ เอาจดุ เดน่ ของโน้ตบ๊คุ ท่ีทางานได้สะดวกและง่ายดายด้วยการมีคีย์บอร์ด และความรวดเร็วในการเปิดเคร่ืองพร้อมใช้งานของแท็บเล็ต จงึ ทาให้อลั ตร้าบ๊คุ ใช้งานได้สะดวกและงา่ ยดาย มีประสทิ ธิภาพสงูเปิดเคร่ืองและใช้งานได้อยา่ งรวดเร็ว โดยไมเ่ สียเวลาในการเข้าสรู่ ะบบปฏิบตั กิ ารอีกด้วย รูปท่ี 2.7อลั ตร้าบ๊คุ ( Ultrabook) ท่มี า www.jthai.com/computer-10182/เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

30 2.4.3 คอมพวิ เตอร์มือถอื (Handheld Computer) เป็ นคอมพิวเตอร์ท่ีมีขนาดเล็กที่สดุ เมื่อเทียบกับคอมพิวเตอร์ประเภทอ่ืนๆ อีกทงั้ ยังพกพาไปยงั ที่ตา่ งๆ ได้ง่ายกว่า ประโยชน์ของการใช้คอมพิวเตอร์ ประเภทนีอ้ าจนาไปใช้กบั การข้อมลูประจาวนั การสร้างปฏิทินนดั หมาย การดหู นงั ฟังเพลง รวมถึงการรับส่งจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ บางรุ่นอาจมีความสามารถเทียบเคียงได้กบั ไมโครคอมพิวเตอร์ทีเดียว คอมพิวเตอร์แบบมือถือที่รู้จกั กนั ในปัจจบุ นั มีดงั ตอ่ ไปนี ้ - เครื่อง Personal Digital Assistant (PDAs)เป็ นเคร่ืองคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่มีขนาดเล็กที่สดุ บางครัง้ เรียกวา่ เคร่ือง Palmtops แตก่ ็เป็ นเครื่องท่ีมีขีดความสามารถน้อยกว่าเคร่ืองแบบตงั้ โต๊ะ และ โน้ตบ๊กุ ปกตจิ ะใช้เคร่ือง PDA สาหรับตารางคานวณขนาดเล็ก, แสดงหมายเลขโทรศพั ท์และที่อยขู่ องผ้ทู ่ีต้องการตดิ ตอ่ บอ่ ยๆ หรือบนั ทกึ ข้อความเตอื นสนั้ ๆ รูปท่ี 2.8Personal Digital Assistant (PDAs) ท่มี า http://renoir.en.kku.ac.th/cpp/c12.html - เ ค ร่ื อ ง Tablet PC แ ท็ บ เ ล็ ต พี ซี - Tablet PC (Tablet personalcomputer)\" คือ \"เครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบคุ คลที่สามารถพกพาได้และใช้หน้าจอสมั ผสั ในการทางานเป็ นอนั ดบั แรก ออกแบบให้สามารถทางานได้ด้วยตวั มนั เอง Tablet PC\" ไม่เหมือนกับคอมพิวเตอร์ตงั้โต๊ะหรือ Laptops ตรงที่อาจจะไม่มีแป้ นพิมพ์ในการใช้งาน แตอ่ าจจะใช้แป้ นพิมพ์เสมือนจริงในการใช้งานแทน (มีแป้ นพิมพ์ปรากฏบนหน้าจอใช้การสมั ผสั ในการพิมพ์) Tablet PC ทกุ เคร่ืองจะมีอปุ กรณ์ไร้สายสาหรับการเชื่อมตอ่ อนิ เตอร์เนต็ และระบบเครือขา่ ย รูปท่ี 2.9Tablet PC ท่มี า http://renoir.en.kku.ac.th/cpp/c12.htmlเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

31 - สมาร์ทโฟน(Smart Phone)สมาร์ทโฟนต่างจากโทรศัพท์เคลื่อนที่ทั่วๆไป ก็คือสมาร์ทโฟนต้องประกอบด้วยองค์ประกอบเหล่านี ้ระบบปฏิบัติการซอฟแวร์ การเช่ือมต่อเครือข่ายอินเตอร์เน็ต แป้ นพิมพ์ การรับสง่ ขา่ วสาร และขนาดของหน้าจอระบบปฏิบตั ิการ (Operating System)เนื่องจากสมาร์ทโฟนต้ องมีการใช้ โปรแกรมต่างๆ สนับสนุนการใช้ งาน ดังนัน้ จึงต้ องอาศัยระบบปฏิบัติการในการทางาน ซึ่งระบบปฏิบัติการเหล่านีก้ ็มีอยู่หลากหลายเช่นเดียวกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ระบบปฏิบัติการของสมาร์ทโฟนที่นิยมใช้กันมาก ได้แก่ ระบบปฏิบัติการซิมเบียนระบบปฏิบตั กิ ารแบล็คเบอร่ี ระบบปฏิบตั กิ ารวนิ โดว์โมบาย และระบบปฏิบตั กิ ารไอโฟน ซอฟต์แวร์ (Software) สมาร์ทโฟนจะมีซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมตา่ งๆ หลายโปรแกรมท่ีชว่ ยในการใช้ในการใช้งานการเช่ือมตอ่ เครือขา่ ยอินเทอร์เนต็ (Web Access) สมาร์ทโฟนสามารถเชื่อมตอ่ เข้ากับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เพื่อสืบค้นหรือรับส่งข้อมูลข่าวสารได้ ผ่านช่องทางการสื่อสารต่างๆ เช่นWi-Fi EDGE เป็ นต้นแป้ นพิมพ์ (Keyboard) สมาร์ทโฟนประกอบไปด้วยแป้ นพิมพ์ประกอบด้วยแป้ นพมิ พ์เพ่ือใช้ในการนาข้อมลู การรับสง่ ข้อมลู ขา่ วสาร(Messaging) สมาร์ทโฟน สามารถรับสงข้อมลู ขา่ วสาร ผา่ นทาง E-Mai หรือระบบให้บริการขา่ วสารอ่ืนๆ เชน่ AOL’s หรือ Yahoo! Massanger ได้อีกด้วย ขนาดของหน้าจอ (Display sceen size) จุดสงั เกตที่จะเห็นได้อย่างชดั เจนถึงความแตกต่างระหว่างโทรศพั ท์เคล่ือนท่ีกับสมาร์ทโฟน คือ ขนาดของหน้าเจอ เน่ืองจากสมาร์ทโฟนต้องแสดงผลข้อมลู ท่ีมีรายละเอียดมากมาย ตา่ งจากโทรศพั ท์เคลื่อนท่ีธรรมดาท่ีใช้หน้าจอเพียงเพื่อแสดงหมายเลขโทรศพั ท์หรือข้อมลู อื่น เพียงเลก็ น้อยเทา่ นนั้ หน้าจอจงึ มีขนากเล็กกวา่ กนั มาก รูปท่ี 2.10 Smart Phone ท่มี า http://renoir.en.kku.ac.th/cpp/c12.htmlเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

322.5 องค์ประกอบของคอมพวิ เตอร์ เคร่ืองคอมพวิ เตอร์ถ้าจะทางานได้นนั้ จะต้องประกอบไปด้วย 3 องค์ประกอบ ด้วยกนั คอื (1) ฮาร์ดแวร์ (Hardware) ซึ่งประกอบไปด้วย จอภาพ ชดุ ซีพียู คีย์บอร์ด เครื่องพิมพ์และแผน่ ดสิ ก์ (2) ซอฟตแ์ วร์ (Software) ซง่ึ หมายถงึ โปรแกรมตา่ ง ๆท่ีไว้ใช้สงั่ ให้คอมพิวเตอร์ทางานตามที่เราต้องการ (3) พีเพิลแวร์ (People ware) ซึ่งส่วนนีจ้ ะหมายถึงบุคคลท่ีมีหน้าท่ีเก่ียวข้องกับคอมพิวเตอร์ไม่ว่าจะเป็ นพนกั งานป้ อนข้อมูลนกั เขียนโปรแกรม หรือนักวิเคราะห์ออกแบบระบบงานตา่ ง ๆ บนคอมพวิ เตอร์ ทงั้ 3 องค์ประกอบนีเ้ ป็ นส่วนที่สาคญั ของ Computer ถ้าขาดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนง่ึ ไปแล้ว Computer ก็ไมส่ ามารถใช้งานได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ 1.5.1 อปุ กรณ์คอมพวิ เตอร์(Hardware) รายละเอียดของฮาร์ดแวร์หรืออปุ กรณ์คอมพิวเตอร์นนั้ มีส่วนประกอบตามวงจรการทางานของคอมพวิ เตอร์ ที่เรียกวา่ IPOS cycle (Input Process Output Storage Cycle) ดงั นี ้ รูปท่ี 2.11 วงจรการทางาน IPOS cycle ของคอมพวิ เตอร์ ท่มี าhttp://nitikornjunhuathon.blogspot.com/2010_07_01_archive.html 2.5.1.1 อปุ กรณ์รับข้อมูล (Input Device) หน่วยรับข้อมูลเป็ นส่วนที่ทาหน้าท่ีนาข้อมลู จากภายนอกเข้าสเู่ ครื่องคอมพวิ เตอร์เป็นตวั กลางเชื่อมโยงจากมนษุ ย์สเู่ คร่ืองคอมพวิ เตอร์เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

33 เคร่ืองมือหรืออปุ กรณ์ในหน่วยรับข้อมลู นีม้ ีหน้าที่แปลงข้อมลู ท่ีมนษุ ย์สง่ เข้าไปให้อยู่ในรูปของสัญ ญ าณ อิเล็กทรอนิกส์ที่ คอม พิวเตอร์ เข้ าใจและนาเข้ าสู่เครื่ องคอมพิ วเตอร์ เพื่ อการประมวลผล เคร่ืองมือในส่วนนีเ้ รียกว่าอุปกรณ์นาเข้าข้อมูล (Input Device) ซึ่งมีทงั้ ประเภทที่มนุษย์ต้องทาการป้ อนข้อมลู ด้วยตนเองในลกั ษณะการพิมพ์ การชีห้ รือกระทง่ั การวาดรูปด้วยตนเอง ตวั อยา่ งของอปุ กรณ์นาเข้าข้อมลู ได้แก่ - แป้ นพิมพ์ (Keyboard) เป็ นอปุ กรณ์สาหรับนาเข้าข้อมูลขนั้ พืน้ ฐานทาหน้าที่เชื่อมความ สัม พัน ธ์ ระ ห ว่างม นุษ ย์ กับ ระบ บ คอ ม พิ วเตอ ร์ โดย ส่งค าสั่งห รื อ ข้ อ มูล จาก ผ้ ูใช้ ไป สู่ห น่ วยประมวลผลในระบบคอมพิวเตอร์ภายในแป้ นพิมพ์จะมีแผงวงจรหลักท่ีจะประกอบด้วยชิน้ ส่วนอิเล็กทรอนิกส์จานวนมากซึ่งมีลกั ษณะเป็ นแผ่นบางๆ ที่ถกู ฉาบด้วยหมึกท่ีเป็ นตวั นาไฟฟ้ าเมื่อถูกกดจนตดิ กนั ก็จะมีกระแสไฟฟ้ าไหลในตวั วงจร เม่ือผ้ใู ช้กดแป้ นใดแป้ นหนงึ่ ข้อมลู ในรูปของสญั ญาณไฟฟ้ าจากแป้ นกดแตล่ ะแป้ นจะถกู เปรียบเทียบรหสั (Scan Code) กบั รหสั มาตรฐานของแตล่ ะแป้ นท่ีกด เพื่อเปล่ียนให้เป็นตวั อกั ษร ตวั เลขหรือสญั ลกั ษณ์ไปแสดงบนจอภาพ ในส่วนของแป้ นพิมพ์ภาษาไทยก็แบ่งออกได้ 2 แบบ เช่นกัน คือแป้ นพิมพ์ปัตตโชติ ซ่ึงเป็ นแป้ นพิมพ์รุ่นเดมิ และแป้ นพิมพ์เกษมณีซงึ่ เป็นแป้ นพมิ พ์ที่นยิ มใช้ในปัจจบุ นั - เมาส์ (Mouse)คือ อปุ กรณ์นาเข้าข้อมลู ท่ีนิยมใช้กนั โดยทวั่ ไปอีกชนิดหน่ึงซง่ึ ใช้งานงา่ ยและสะดวกกวา่ แป้ นพิมพ์มากเนื่องจากไมต่ ้องจดจาคาสงั่ สาหรับป้ อนเข้าส่คู อมพวิ เตอร์ เมาส์สามารถแบ่งออกตามโครงสร้ างและรูปแบบการใช้งานได้ 3 แบบ คือ (1) เมาส์แบบลกู กลิง้ ชนิดตวั เมาส์เคล่ือนที่ (Ball Mouse) อาศยั กาหนดจดุ X และ Y โดยกลิง้ ลกู ยางทรงกลมไปบนพืน้ เรียบ (นิยมใช้ แผ่นยางรอง เพ่ือป้ องกันการล่ืน)(2)เมาส์แบบลูกกลิง้ ชนิดตัวเมาส์อยู่กับที่(Track Ball) อาศยั ลกู ยางทรงกลมท่ีถกู กลิง้ โดยนิว้ มือผ้ใู ช้ เพื่อกาหนดจดุ ตดั X และ Y (3) เมาส์แบบแสง (Optical Mouse) มีลกั ษณะการใช้งานเชน่ เดียวกบั Ball Mouse แตอ่ าศยั แสงแทนลกู กลิง้ ในการกาหนดจดุ ตดั X และ Y โดยแสงจากตวั เมาส์พงุ่ ลงสพู่ ืน้ แล้วสะท้อนกลบั ขนึ ้ ส่ตู วั รับแสงบนตวั เมาส์อีกครัง้ (แผน่ รองเป็นแบบสะท้อนแสง) - สแกนเนอร์ (Scanner)เป็ นอุปกรณ์นาเข้าข้อมูลประเภทที่ไม่สะดวกในการป้ อนเข้าเคร่ืองคอมพิวเตอร์ทางคีย์บอร์ดได้เช่น ภาพโลโก้ วิวทิวทัศน์ ภาพถ่ายรูปคน สัตว์ ฯลฯเราสามารถใช้สแกนเนอร์สแกนภาพเพ่ือแปลงเป็ นข้อมูลเข้าไปสเู่ คร่ืองได้โดยตรงหนว่ ยประมวลผลจะนาข้อมลู ท่ีได้รับมานนั้ แสดงเป็นภาพให้ปรากฏอยบู่ นจอภาพเพื่อนามาแก้ไขสี รูปร่าง ตดั แตง่ และนาภาพไปประกอบงานพิมพ์อ่ืนๆ ได้ 2.5.1.2 อปุ กรณ์ในสว่ นประมวลผลข้อมลู (Processing Device) ประกอบไปด้วย - อปุ กรณ์ซีพียู (CPU) หรือหน่วยประมวลผลกลางประกอบด้วยส่วนประกอบหลกั 2 ส่วน คือ (1)Control Unit หรือ ส่วนควบคมุ คือ ส่วนที่ทาหน้าท่ีสร้างสญั ญาณและสง่ สญั ญาณเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

34ไปควบคมุ การทางานของส่วนประกอบตา่ งๆในระบบคอมพิวเตอร์ คล้ายการส่งสญั ญาณควบคมุ จากสมองไปสสู่ ว่ นตา่ งๆ ของร่างกายสว่ นควบคมุ นีไ้ มไ่ ด้ทาหน้าที่ประมวลผลข้อมลู แตม่ ีหน้าที่ประสานงานให้สว่ นประกอบต่างๆ สามารถทางานร่วมกนั ได้อย่างเป็ นระบบและ (2) Arithmetic and Logic Unit :ALU หรือ ส่วนคานวณและเปรียบเทียบข้อมูลทาหน้าท่ีคานวณและเปรียบเทียบข้อมูล โดยอาศยัหลกั การทางคณิตศาสตร์ (Arithmetic) และตรรกศาสตร์ (Logic) ตามลาดบั ซึ่งการประมวลผลด้วยหลกั การทางคณิตศาสตร์คือการคานวณท่ีต้องกระทากับข้อมูลประเภทตวั เลข (Numeric) เช่น การบวก ลบ คูณ หารฯลฯ ให้ผลลัพธ์ที่หลากหลาย แต่การประมวลผลด้วยหลักตรรกศาสตร์คือการเปรียบเทียบข้อมลู ที่กระทากบั ข้อมลู ตวั อกั ษร สญั ลกั ษณ์ หรือตวั เลข (Character) ให้ผลลพั ธ์เพียงสองสภาวะ เชน่ 0-1, ถกู -ผดิ หรือ จริง-เท็จ เป็นต้น - หน่วยความจาหลกั (Main Memory)หนว่ ยความจาหลกั เป็ นหนว่ ยความจาพืน้ ฐานในคอมพวิ เตอร์ทกุ เครื่องเป็นหวั ใจของการทางานในรูปแบบอตั โนมตั ิ มีหน้าท่ีเก็บข้อมลู ตา่ งๆท่ีป้ อนเข้ามาเพื่อให้หน่วยประมวลผลนาไปใช้และเก็บข้อมลู ท่ีเกี่ยวกับคณุ สมบตั ิและระบบการทางานของเคร่ืองคอมพวิ เตอร์ด้วย หนว่ ยของข้อมลู ท่ีจดั เก็บในหนว่ ยความจา หนว่ ยความจาหลกั ของคอมพวิ เตอร์แบง่ ออกเป็ น 2 ประเภทหลกั ๆ ดงั นี ้ - หน่วยความจาแบบถาวร (Read Only Memory - ROM)คือหน่วยความจาที่นาข้อมลู ออกมาใช้งานเพียงอยา่ งเดียว (Read Only) โดยมีการบนั ทกึ ข้อมลู ไว้ลว่ งหน้าแล้ว สามารถเก็บรักษาข้อมูลไว้ได้โดยไม่ต้องอาศยั พลังงานไฟฟ้ าในการรักษาข้อมูล แม้เราจะปิ ดเคร่ืองหรือไม่มีไฟฟ้ าไปหลอ่ เลีย้ ง ข้อมลู ท่ีอยใู่ นรอมก็จะยงั คงอยู่ ไมส่ ญู หายไป ในปัจจุบัน หน่วยความจาถาวรนี ้ เปิ ดโอกาสให้สามารถลบหรือแก้ ไขข้อมูลได้ เช่นการปรับปรุง/แก้ไขข้อมลู เก่ียวกบั ระบบคอมพิวเตอร์ (System Configuration) เป็นต้น - ห น่ ว ย ค ว า ม จ า ช่ั ว ค ร า ว ( Random Access Memory - RAM)คื อหนว่ ยความจาท่ีสามารถบนั ทกึ ข้อมลู หรืออ่านข้อมลู ณ เวลาใดๆ ได้ตามต้องการ (Random Access)ต้องอาศยั สญั ญาณไฟฟ้ าในการเก็บรักษาข้อมลู และอา่ นข้อมลู ฉะนนั้ ข้อมลู ท่ีอย่ใู นแรมจะสญู หายไปทนั ทีท่ีปิดเคร่ือง หรือไมม่ ีไฟฟ้ าไปหลอ่ เลีย้ ง แรมเป็ นหน่วยความจาท่ีใกล้ชิดและเกี่ยวข้องกับผู้ใช้เคร่ืองคอมพิวเตอร์โดยตรงเน่ืองจากการรับข้อมูล การประมวลผล และการแสดงผลข้อมูลต่างต้องอาศัยพืน้ ท่ีในหน่วยความจานีท้ ัง้ สิน้ กล่าวได้ว่าแรมเป็ นหน่วยความจาที่เป็ นตัวบ่งชีป้ ระสิทธิภาพของเคร่ืองคอมพิวเตอร์ที่สาคญั ขนาดของแรมหรือความจขุ องแรมเปรียบเสมือนขนาดของโต๊ะทางานหากแรมมีความจมุ ากก็เหมือนโต๊ะทางานท่ีมีพืน้ ท่ีในการทางานได้มากนน่ั เอง หน่วยความจาแรม มีหน่วยวัดเป็ นไบต์ ซ่ึงถ้าเป็ นเคร่ืองรุ่นเก่าจะนิยมใช้หน่วยความจาแรม 32 หรือ 64 เมกะไบต์ (MB) แตถ่ ้าเป็ นเคร่ืองรุ่นใหมๆ่ จะนิยมใช้แรมขนาด 4-8 GBเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

35ขึน้ ไปซึ่งจะทาให้สามารถทางานที่มีขนาดใหญ่ๆ เช่น งานมลั ติมิเดียหรืองานกราฟิ กได้โดยหากใช้หนว่ ยความจาแรมน้อย เคร่ืองอาจทางานช้ามากหรืออาจหยดุ ชะงกั ได้งา่ ย รูปท่ี 2.12หนว่ ยความจาแรม (RAM) ของคอมพวิ เตอร์ ท่มี า http://srb1.go.th/kowjumpa/computer/lesson5_4.html - อุปกรณ์เมนบอร์ด (Mainboard) เมนบอร์ด (Mainboard) หรือมาเธอร์บอร์ด (Motherboard) เป็ นแผงวงจรขนาดใหญ่ ซึ่งมีการเชื่อมต่อวงจรต่างๆ สาหรับเช่ือมอุปกรณ์หลายๆตวั เข้าด้วยกนั เมนบอร์ดมีความแตกต่างกันของรูปแบบหรือที่เรียกว่า “ฟอร์มแฟคเตอร์”(FormFactor) ซง่ึ ก็คือขนาดของตวั เมนบอร์ด, ตาแหน่งการจดั วางชิน้ สว่ นอปุ กรณ์และขวั้ ตอ่ (Port) ตา่ งๆ บนเมนบอร์ด ซง่ึ จะมีผลตอ่ รูปแบบของตวั เครื่องหรือเคส (Case) รูปท่ี 2.13เมนบอร์ด (Mainboard) และช่องใสอ่ ปุ กรณ์ตา่ ง ท่มี า https://sites.google.com/site/watcharintr/เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

36 2.5.1.3 อปุ กรณ์แสดงผล (Output Device)เป็ นหน่วยแสดงผลเป็ นส่วนที่แสดงข้อมลูจากคอมพวิ เตอร์ไปสมู่ นษุ ย์เป็นตวั กลางการสื่อสารระหวา่ งคอมพิวเตอร์กบั มนษุ ย์ อปุ กรณ์แสดงผลสามารถแบ่งออกได้เป็ น 2 ประเภทตามลักษณะของข้อมูลท่ีแสดงออกมาได้แก่ - อุปกรณ์ แสดงผลท่ีมนุษย์จับต้ องไม่ได้ (Softcopy Output Device) หมายถึงอุปกรณ์แสดงข้อมูลที่มนุษย์ไม่สามารถจับต้องข้อมูลที่แสดงนนั้ ได้ เช่นข้อมูลตวั อักษรหรือภาพบนจอภาพ หรือข้อมูลเสียงจากลาโพง เรียกข้อมูลประเภทนีว้ ่า Softcopy เช่น จอภาพ (Monitor)เป็ นอุปกรณ์ท่ีใช้ในการแสดงข้อมูลท่ีมนุษย์จับต้องไม่ได้(Softcopy Output Device) แสดงออกมาในลกั ษณะของข้อความและรูปภาพ รูปท่ี 2.14จอภาพ (Monitor) ท่มี า www.thaigoodview.com/library/contest2553/type2/tech04/38/4_1.html - อปุ กรณ์แสดงผลที่มนุษย์จบั ต้องได้ (Hardcopy Output Device) หมายถึงอปุ กรณ์แสดงข้อมลู ที่มนษุ ย์สามารถจบั ต้องข้อมลู ที่แสดงนนั้ ได้ เชน่ ตวั อกั ษรหรือภาพบนกระดาษ เป็นต้น เราเรียกข้อมูลประเภทนีว้ ่า Hardcopy ตัวอย่างอุปกรณ์ได้แก่ เครื่องพิมพ์ (Printer)คือ อุปกรณ์แสดงผลลพั ธ์ที่ใช้พิมพ์ข้อมูลที่เป็ นเอกสาร ข้อความ และรูปภาพให้ไปปรากฏบนกระดาษ เพ่ือสามารถนาไปใช้ในงานอื่นๆ ได้เครื่องพิมพ์โดยทว่ั ไปแบง่ ออกได้เป็น 3 ประเภท คอื เครื่องพิมพ์แบบจุด (Dot Matrix Printer)คือเคร่ืองพิมพ์ที่อาศัยการใช้หัวเข็มไปกระแทกกระดาษ โดยผ่านผ้าหมึกทาให้เป็ นจุดขึน้ ซ่ึงมีลักษณะการทางานคล้ายเคร่ืองพิมพ์ดีดคณุ ลกั ษณะเดน่ ของเคร่ืองพิมพ์แบบนี ้คือ สามารถพิมพ์ลงบนกระดาษที่มีหลายสาเนาหลายชดุ ได้ทาให้ไมต่ ้องเสียเวลาพมิ พ์เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

37 เครื่องพิมพ์แบบพ่นหมึก (Ink Jet Printer)คือเครื่องพิมพ์ท่ีใช้วิธีพ่นนา้ หมึกลงไปบนวตั ถงุ านโดยหมึกจะถกู ฉีดออกจากรูขนาดเล็กบนหวั พิมพ์คณุ ลกั ษณะเดน่ ของเคร่ืองพิมพ์แบบนี ้คือสามารถพิมพ์ภาพสีได้ โดยมีตลบั หมกึ สีแยกอสิ ระ สามารถถอดเปลี่ยนใหมไ่ ด้ เครื่องพิมพ์แบบเลเซอร์ (Laser Printer)มีหลักการทางานเหมือนกับเคร่ืองถ่ายเอกสารเป็ นเคร่ืองพิมพ์ที่พัฒนามาจากเครื่องพิมพ์แบบจุดและแบบพ่นหมึกสามารถพิมพ์ได้เร็วกว่าแบบอ่ืนและมีความคมชดั 2.5.1.4 อุปกรณ์ เก็บข้ อมูลสารอง(Storage)ใช้ สาหรับจัดเก็บข้ อมูลเพื่ อการประมวลผลโดยสามารถจดั เก็บไว้ได้แม้ไมม่ ีกระแสไฟฟ้ ามาหล่อเลีย้ งก็ตาม ตวั อย่างของอปุ กรณ์แบบนีไ้ ด้แก่ - ฮาร์ดดสิ ก์ (Hard Disk)เป็นหนว่ ยเก็บข้อมลู สารองที่เป็ นอปุ กรณ์เก็บข้อมลูความเร็วสงู ทาจากจานแมเ่ หล็กซง่ึ หมนุ ด้วยความเร็วหลายพนั รอบตอ่ นาที และมีหวั อา่ นคอยว่งิ ไปอา่ นหรือบนั ทกึ ข้อมลู ตามคาสงั่ จากซีพียู ฮาร์ดดสิ ก์เป็ นอปุ กรณ์หลกั ซง่ึ ในปัจจบุ นั ไม่เพียงแตใ่ ช้เก็บข้อมลู เวลาท่ีปิดเคร่ืองเทา่ นนั้ แตย่ งั เป็ นที่พกั ข้อมลู ระหวา่ งการทางานในขนั้ ตอนตา่ งๆ ของโปรแกรมหรือระบบปฏิบตั กิ ารด้วยหนว่ ยวดั ความจขุ องข้อมลู ในฮาร์ดดสิ ก์ นยิ มใช้เป็น กิกะไบท์(GB) แตใ่ นปัจจบุ นั มีขนาดความจถุ ึง 1 เทเลไบท์ (TB) รูปท่ี 2.15ฮาร์ดดิสก์ (Hard Disk) ท่มี า www.thaigoodview.com/library/contest2553/type2/tech04/38/4_1.html - ซีดรี อม (CD-ROM : Compact Disk Read Only Memory) มีลกั ษณะเป็นแผน่ วงกลม มีขนาดเส้นผา่ นศนู ย์กลาง 12 เซนตเิ มตร (4 3/4 นวิ ้ ) ทามาจากแผน่ โพลีคาร์บอเนตเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

38(Polycarbonate) ซีดีรอมนีใ้ ช้หลกั ของแสงในการอ่าน/บนั ทกึ ข้อมลู เหมาะสาหรับข้อมลู ท่ีไมต่ ้องการเปล่ียนแปลง เพราะเมื่อทาการบนั ทกึ ข้อมลู ลงไปแล้วจะไมส่ ามารถนากลบั มาแก้ไขเปลี่ยนแปลงข้อมลูใหมไ่ ด้อีกยกเว้นแตจ่ ะใช้แผ่นลกั ษณะพิเศษที่สามารถลบและบนั ทกึ ใหมไ่ ด้ ซีดรี อมสามารถเก็บข้อมลู ได้ถึง 700 MB หรือเก็บข้อมลู ที่เป็ นภาพและเสียงเชน่ ภาพยนตร์หรือเพลงได้นานถึง 74 นาที - ดีวีดี (Digital Video Disk)เป็ นหน่วยความจาสารองอีกชนิดหน่ึงที่มีลกั ษณะคล้ายกบั แผน่ ซีดีรอม แตส่ ามารถเก็บข้อมลู ได้มากกวา่ ซีดีรอม 7 เทา่ ตวั (4.7 GB)2.5.2 โปรแกรม(Software) คอมพวิ เตอร์ ซอฟต์แวร์(Software) หมายถึง ส่วนที่ทาหน้าท่ีเป็ นคาสงั่ ที่ใช้ควบคุมการทางานของเครื่องคอมพิวเตอร์ หรืออาจเรียกว่า “โปรแกรม” ก็ได้ ซ่ึงหมายถึงคาส่งั หรือชุดคาส่งั สามารถใช้เพื่อสงั่ ให้คอมพวิ เตอร์ทางาน ซอฟต์แวร์จะแบ่งออกเป็ นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภท คือ ซอฟต์แวร์ระบบ(SystemSoftware) และซอฟตแ์ วร์ประยกุ ต์ (Application Software) ซงึ่ มีรายละเอียด ดงั นี ้ 2.5.2.1ซอฟต์แวร์ระบบปฏิบตั ิการ (OS: Operating System)หมายถึง โปรแกรมท่ีมีหน้าที่ควบคมุ การทางานของฮาร์ดแวร์ทกุ อย่างและอานวยความสะดวกให้กบั ผ้ใู ช้เคร่ืองคอมพิวเตอร์โปรแกรมระบบท่ีทาหน้ าที่ควบคุมการใช้ งานส่วนต่างๆ ของเคร่ืองคอมพิวเตอร์ เช่น ควบคุมหน่วยความจา ควบคุมหน่วยประมวลผล ควบคุมหน่วยรับและควบคุมหน่วยแสดงผล ตลอดจนแฟ้ มข้อมูลต่างๆ ให้ มีประสิทธิภาพในการทางานสูงท่ีสุด และสามารถใช้อุปกรณ์ทุกส่วนของคอมพิวเตอร์และช่วยจดั การกระบวนการพืน้ ฐานที่สาคญั ๆ ภายในเครื่อง ปัจจุบนั นีม้ ีโปรแกรมระบบอยหู่ ลายตวั ด้วยกนั ซ่ึงแตล่ ะตวั นนั้ ก็เป็ นโปรแกรมระบบปฏิบตั ิการเหมือนกนั แตต่ า่ งกันท่ีลกั ษณะการทางานจะไมเ่ หมือนกนั เช่น DOS (Disk operating System) เป็นระบบปฏิบตั กิ ารท่ีนิยมใช้กนั มาตงั้ แต่ในอดีตออกมาพร้ อมกับเครื่องพีซีของไอบีเอ็มรุ่นแรก UNIX หรือ Linux และระบบปฏิบัติการWINDOWS เช่น Windows 98, Windows XP, Windows Vista สาหรับระบบปฏิบัติการในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบพกพาที่ใช้ ในปั จจุบัน เช่น ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android OS) และระบบปฏิบตั กิ ารไอโอเอส (iOS)เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

39 รูปท่ี 2.14ตวั อยา่ งสญั ลกั ษณ์โปรแกรมระบบปฏิบตั ิการทใ่ี ช้ในปัจจบุ นั ท่มี า www.tsu.ac.th/cst/course/basic_computer/learning_xp.html 2.5.2.2 ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software)หมายถึง โปรแกรมที่ผู้ใช้คอมพิวเตอร์เป็นผ้เู ขียนมาใช้งานเอง เพ่ือสง่ั ให้คอมพิวเตอร์ทางานอยา่ งใดอย่างหนง่ึ ตามท่ีต้องการ ซ่งึแบง่ ได้ดงั นี ้ 1) User Program คือ โปรแกรมท่ีผ้ใู ช้เขียนมาใช้เอง โดยใช้ภาษาระดบั ตา่ งๆทางคอมพิวเตอร์ เช่น ภาษา BSDIC, COBOL, PSDCSL, C, ASSEMBLY FORTRAN ฯลฯ ซึ่งการท่ีจะเลือกใช้ภาษาใดนนั้ ก็ขนึ ้ อยกู่ บั ความเหมาะสมของงานเหลา่ นนั้ ด้วย 2) Package Program คือโปรแกรมสาเร็จรูปซึ่งเป็ นโปรแกรมท่ีถูกสร้างหรือเขียนขึน้ มาโดยบริษัทต่างๆ เสร็จเรียบร้ อยแล้วพร้อมที่จะนาไปใช้งานต่างๆตวั อย่างของ PackageProgram ที่นยิ มใช้งานกนั ในปัจจบุ นั ได้แก่ - โปรแกรมทางด้าน Word Processor โปรแกรมทางด้าน Word Processorนัน้ เป็ นโปรแกรมที่ทางานเกี่ยวกับทางด้านการประมวลผลคา สามารถจัดทาเอกสาร รายงานจดหมาย หนงั สือต่าง ๆ ได้ ทาให้ได้งานท่ีมีประสิทธิภาพ สวยงาม เนื่องจากสามารถจดั รูปแบบงานตามต้องการได้รวมทัง้ ยังแก้ไขงานที่ทาได้ด้วย อีกทัง้ ยังช่วยประหยัดเวลาในการแก้ไขงาน และสามารถค้นหาข้อความตา่ ง ๆ ได้อยา่ งสะดวก โปรแกรมท่ีจัดอยู่ในกลุ่ม Word Processor มีดังนี ้ คือ WordStar, ราชวิถีเวิร์ด เวิร์ดจุฬาโปรแกรมเหล่านีจ้ ะเป็ นโปรแกรมท่ีทางานบน Dos นอกจากนนั้ ยงั มีโปรแกรมท่ีทางานบนวินโดวส์อีกด้วย คือ Word Perfect, Microsoft Word และAmiPro โปรแกรมเหล่านีจ้ ะใช้งานงา่ ย สะดวก สามารถจดั รูปแบบตา่ ง ๆ ได้ตามต้องการ รวมทงั้ สามารถนาภาพมาประกอบกบั งานเอกสาร หรือนาเอกสารจากโปรแกรมอ่ืนมาจดั รูปแบบในโปรแกรมเหลา่ นีก้ ็ได้เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

40 - โป รแกรม ท างด้ าน การค าน วณ (Spreadsheet)โป รแกรม ท างด้ านSpreadsheet เป็ นโปรแกรมที่มีลักษณะเป็ นกระดาษทาการขนาดใหญ่ หรือ เรียกว่า Worksheetประกอบด้วยสว่ นท่ีเป็น Row หรือแถวตามแนวนอนและสว่ นท่ีเป็ น Column หรือแถวตามแนวตงั่ ซง่ึ ใช้ในด้านการคานวณเป็ นส่วนมาก นอกจากนนั้ ยงั มีการนาเสนอข้อมลู ออกมาในรูปของกราฟโดยสร้างเป็ นกราฟ 2 มิติและ 3 มิติได้อีกด้วย โปรแกรม Spreadsheet เหมาะกับการทางานในด้านการบญั ชีการเงิน การวิเคราะห์ข้อมลู หรืองานการคดิ คะแนนและเกรดของนกั ศกึ ษา เป็นต้น สาหรับโปรแกรมที่อยู่ในกลุ่มนี ้ได้แก่ โปรแกรม Lotus ซ่ึงมีทัง้ ที่ทางานบนDos และบน Windows, โปรแกรม Microsoft Excel โปรแกรมเหล่านีส้ ามารถจดั รูปแบบตวั อกั ษรและกาหนดขนาดตวั อกั ษร รวมทงั้ สามารถตกี รอบ สร้างตารางระบายสีลงในเซลล์ตา่ ง ๆ ได้ - โปรแกรมทางด้าน Graphicส่วนมากแล้วจะเกี่ยวกบั ทางด้านงานออกแบบเขียนแบบวาดภาพ จดั ทาสิ่งพิมพ์และจะเป็ นทางด้านการนาเสนองาน สามารถนาไปประยกุ ต์ใช้ในงานโฆษณา ทา Slide Show หรือนาไปใช้กบั ระบบ Multimedia ได้ ปัจจบุ นั โปรแกรมกลมุ่ นีเ้ป็ นที่นิยมมากสาหรับโปรแกรมท่ีทางานทางด้าน Graphic นนั้ มีอย่หู ลายโปรแกรมและแตล่ ะโปรแกรมนนั้ ส่วนใหญ่จะทางานคล้ายกัน แต่มีบางคาส่ังท่ีแตกต่างกันไปเช่น CorelDraw และ Photoshop จะทาเก่ียวกบั งานออกแบบ วาดภาพ จดั ทา สิง่ พมิ พ์ ตกแตง่ ภาพให้สวยงาม เหมาะกบั งานทางด้านโฆษณานอกจากนัน้ ยังมีโปรแกรม PageMakerเหมาะกับงานประเภทสิ่งพิมพ์ ใช้สร้ างโบรชัวร์ แผ่นพับใบปลิว นามบตั ร และการทาหนงั สือ โปรแกรมที่นยิ มใช้กบั โรงพมิ พ์มาก -โปรแกรมทางด้านการนาเสนองาน(Presentation) โดยท่ัวไปโปรแกรมประเภทนีจ้ ะถกู นามาใช้งานที่เก่ียวข้องกบั การนาเสนอข้อมลู เชน่ การนาเสนอในท่ีี่ประชมุ การนาเสนอข้อมูลสินค้าเพ่ือโฆษณาในงานแสดงสินค้า เป็ นต้นโปรแกรมประเภทนีจ้ ะมีความสามรถในการนาเสนอทงั้ ท่ีเป็ นภาพนิ่งภาพเคล่ือนไหวและเสียงด้วยกนั ตวั อยา่ งเช่น โปรแกรมไมโครซอฟต์เพาเวอร์พอยต์ - โปรแกรมทางด้าน Databaseโปรแกรมประเภทนีเ้ ป็ นโปรแกรมท่ีทางานทางด้านการจดั การฐานข้อมลู ชว่ ยจดั เก็บข้อมลู แก้ไข ค้นหา เพิ่มเตมิ รวมทงั้ การจดั เรียงข้อมลู ทาให้ผ้ใู ช้สะดวกรวดเร็วสามารถทางานได้เป็ นระบบ โปรแกรม Database เหมาะกับการทางานท่ีมีข้อมูลมาก ๆ เชน่ การเก็บสต็อกสินค้าคงคลงั การเก็บประวตั ิพนกั งาน การเก็บรายชื่อนกั ศกึ ษาในโรงเรียนการเก็บรายชื่อหนงั สือในห้องสมดุ เป็นต้น - โปรแกรมอรรถประโยชน์ (Utility)เป็ นโปรแกรมที่ใช้แก้ปัญหาทางข้อมูลโปรแกรมในเคร่ืองคอมพิวเตอร์เพ่ือบารุงรักษาคอมพิวเตอร์ให้ใช้งานได้ดีตลอดไป เช่น โปรแกรมตรวจสอบและกาจดั ไวรัสคอมพิวเตอร์ (Norton Antivirus , Scan , Mcafee) โปรแกรมตรวจสอบและจดั รูปแบบการจดั เก็บข้อมลู ในแหลง่ เก็บข้อมลู เชน่ Scandisk , Defrag ใน Windows เป็นต้นเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

41 สาหรับอปุ กรณ์คอมพิวเตอร์แบบพกพาเชน่ สมาร์ทโฟน หรือ Tablet PC ในปัจจบุ บนัจะมีโปรแกรมประยกุ ต์ท่ีใช้มากมายและหลากหลายโดยสามารถดาว์นโหลดได้จากผ้ใู ห้บริการในการของระบบปฏิบัติการแต่ละแบบ เช่นในระบบปฏิบตั ิการ Android จะสามารถดาว์นโหลดโปรแกรมประยุกต์ได้ผ่านผู้ให้บริการ Play Store ของบริษัทกเู กิล (google) และสาหรับระบบปฏิบตั ิการ iOSจะสามารถดาว์นโหลดโปรแกรมได้จากผ้ใู ห้บริการApp Store รูปท่ี 2.15 สญั ลกั ษณ์ของผ้ใู ห้บริการในการดาว์นโหลด โปรแกรมประยกุ ต์ของ App Storeและ Play Store2.5.3 พเี พลิ แวร์ (Peopleware) บคุ ลากรทางคอมพิวเตอร์เป็นองค์ประกอบที่สาคญั สว่ นหนงึ่ ของระบบสารสนเทศคอมพิวเตอร์ทงั้ นีเ้ นื่องมาจากการทางานของคอมพิวเตอร์จาเป็ นอย่างย่ิงที่จะต้องมีบคุ ลากรทางด้านคอมพิวเตอร์เป็ นผู้ออกแบบและพัฒนาระบบรวมทัง้ การสั่งให้คอมพิวเตอร์ทางานตามวัตถุประสงค์ที่ต้องการบคุ ลากรทีมีความเกี่ยวข้องกบั ระบบคอมพิวเตอร์ มีบทบาทและหน้าท่ีแตกต่างกันขึน้ อย่กู ับลกั ษณะของงานท่ีรับผดิ ชอบ ซงึ่ สามารถสรุปเป็นประเภทใหญ่ ๆได้ดงั นี ้ 2.5.3.1ผู้ออกแบบฐานข้อมูล คือผู้ที่ทาหน้าท่ีในการวิเคราะห์ และออกแบบโครงสร้ างของฐานข้ อมูลให้ เหมาะกับการบริหาร บริการ และวิชาการในด้ านการจัดการเรียนการสอนของสถาบนั การศกึ ษา 2.5.3.2 ผ้บู ริหารฐานข้อมลู ทาหน้าท่ีกาหนดนโยบายของฐานข้อมลู การดแู ลฐานข้อมลูกาหนดผ้มู ีสทิ ธ์ิในการเข้าถงึ ฐานข้อมลู ในระดบั ตา่ งๆ เพ่ือความปลอดภยั และความถกู ต้องตามวตั ถปุ ระสงค์ของการใช้ ฐานข้อมลู เชน่ ผ้เู รียนอาจมีสิทธิ์แคใ่ นการอ่านบทเรียนเทา่ นนั้ แตไ่ มม่ ีสิทธิ์ในการแก้ไขหรือเข้าไปในฐานข้อมลู ระดบั ลกึ ที่ผ้สู อนไมต่ ้องการได้ นอกจากนีผ้ ้บู ริหารฐานข้อมลู ยงั มีหน้าที่ในการตรวจสอบตดิ ตามการทางานของฐานข้อมลู การบารุงรักษา เพื่อให้ฐานข้อมลู ให้บริการแก่กลมุ่ เป้ าหมายได้อยา่ งมีประสทิ ธิภาพเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

42 2.5.3.3 ผ้บู ริหารระบบ คือบคุ คลที่ทาหน้าที่ดแู ลระบบเพื่อให้ระบบคอมพวิ เตอร์ทางานได้อยา่ งตอ่ เน่ืองและมีประสิทธิภาพ 2.5.3.4 นกั วิชาการด้านเนือ้ หาและผู้เขียนโปรแกรมนกั วิชาการด้านเนือ้ หาหรือผ้สู อนทาหน้าที่ในการ ออกแบบเนือ้ หาและวิธีการสอน โดยทางานร่วมกับผู้เขียนโปรแกรมเพ่ือให้ได้บทเรียนและวธิ ีการเรียนตามท่ีผ้สู อนต้องการ 2.5.3.5 ผู้เรียนหรือผู้ใช้คอมพิวเตอร์ คือ ผู้ท่ีเข้ามาใช้ฐานข้อมูล หรือเข้าถึงบทเรียนตามที่ผ้สู อนได้เตรียมไว้2.6 ประโยชน์ของคอมพวิ เตอร์กับการศกึ ษา ปัจจบุ นั สถาบนั การศึกษาหรือหน่วยงานที่เก่ียวข้องกับการอบรม ได้เน้นความสาคญั กบั การนาคอมพิวเตอร์มาช่วยในการสอน หรือที่เรียกกันว่า “E-Education” ไม่ว่าจะเป็ นการนาเอารูปแบบสื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI : Computer Assisted Instruction ) เข้ามาใช้กับระบบการเรียนการสอนสมยั ใหม่ ทาให้การเรียนการสอนแบบเดิมๆ เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิน้ เชิง สื่อดงั กล่าวจะอย่ใู นรูปของมัลติมีเดีย ที่ประกอบด้วยรูปภาพ บทบรรยายเสียงพูด และเทคนิคการนาเสนอท่ีต่ืนตาและนา่ สนใจ นอกจากนนั้ อาจมีแบบฝึ กหดั เพื่อให้ผ้เู รียนสามารถฝึ กทบทวนได้ด้วยตวั เอง หรือกระทง่ั การประยุกต์ใช้ E- Learning เพื่อสร้ างบทเรียนออนไลน์ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ให้กับผู้เรียนที่อยู่หา่ งไกลหรือไมส่ ะดวกในการเข้าเรียนสามารถศกึ ษาระบบดงั กล่าวได้ เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ท่ีพัฒนาก้าวหน้าขึน้ ทาให้ วงการศึกษามีการพฒั นาไปในทางที่ดีขึน้ตามไปด้วย ผู้เรียนสามารถทาความเข้าใจกับบทเรียนและสามารถโต้ตอบ การเรียนการสอนด้วยตวั เอง ซงึ่ หลายๆสถาบนั การศึกษาทงั้ ในประเทศไทยและตา่ งประเทศได้พยายามพฒั นาและปรับปรุงระบบตา่ งๆ เหลา่ นีใ้ ห้มีความทนั สมยั และได้รับการยอมรับมากขนึ ้เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

43คาถามท้ายบท 1. จงอธิบายองค์ประกอบของอปุ กรณ์คอมพวิ เตอร์ตามวงจร IPOS อยา่ งละเอียด 2. ซอฟท์แวร์คอมพวิ เตอร์แบง่ เป็นกี่ประเภท จงอธิบาย 3. บคุ ลากรทางคอมพิวเตอร์มีก่ีระดบั แบง่ เป็นอะไรบ้างจงอธิบาย 4.หากท่านได้รับมอบหมายให้ซือ้ เครื่องคอมพิวเตอร์ประเภท สมาร์ทโฟน ท่านจะมีเกณฑ์ในการพิจารณาอยา่ งไรบ้าง เพราะเหตใุ ด 5. นกั ศกึ ษาคดิ ว่าแนวโน้มการใช้คอมพิวเตอร์เพ่ือการศกึ ษาในอนาคตจะเป็ นอย่างไรบ้าง จงอธิบายเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

44 เอกสารอ้างองิกล่มุ ภารกิจบริการและพฒั นาส่ือการเรียนการสอน สานกั คอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลยั ทกั ษิณวิทยาเขต สงขลา.(กัน ย ายน 2556).ระบ บ ป ฏิ บัติ การ. http://www.tsu.ac.th /cst/course/basic_ computer/learning_xp.htmlคอมพิวเตอร์เพ่ือการงานพืน้ ฐานอาชีพ.(กนั ยายน 2556).คอมพิวเตอร์เบื้องต้น.http://www.thaigood view.com/library/contest2552/type2/tech03/32/p7-1.htmlประพันธ์ ภักดีกุล. (2549). เอกสารประกอบการสอนรายวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อชีวิต. กรุงเทพฯ: คณะวทิ ยาศาสตร์ มหาวิทยาลยั ราชภฏั จนั ทรเกษม.วชิราพร พมุ่ บานเย็น. (2545). เทคโนโลยีสารสนเทศและคอมพิวเตอร์. กรุงเทพฯ: บริษัท ซีเอ็ดยเู คชนั่ จากดั (มหาชน)วิโรจน์ ชัยมูล และสุพรรษา ยวงทอง.(2552).ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี สารสนเทศ. กรุงเทพฯ:บริษัท โปรวชิ น่ั จากดัสถาบันราชภัฏสวนดุสิต. (2544).เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการเรียนรู้.กรุงเทพฯ: ศูนย์หนังสือ สถาบนั ราชภฏั สวนดสุ ิตส ม พ งษ์ แ ต ง ต า ด (2553).ป ระ ม ว ล ส า ระ ชุ ด วิ ช า สื่ อ อิ เล็ ก ท รอ นิ ก ส์ แ ล ะ โท รค ม น า ค ม เพื่อการศึกษาหน่วยที่ 1-8.นนทบุรี: บัณฑิตศึกษา สาขาวิชาศึกษาศาสตร์มหาวิทยาลัย สโุ ขทยั ธรรมาธิราช.ศรีไพร ศกั ดิ์รุ่งพงศากุล. (2548).เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ.กรุงเทพฯ:บริษัทซีเอ็ดยูเคชัน่ จากดั (มหาชน).รอบรู้เก่ียวกับเรื่องคอมพิวเตอร์ .( มีนาคม 2556). https://sites.google.com/site/watcharintr/% E0% B9% 80% E0% B8% A1% E0% B8% 99% E0% B8% 9A%E0% B8% AD%E0% B8 %A3%E0%B9%8C%E0%B8%94mainboardเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

45 แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี 3เทคโนโลยีโทรคมนาคมและการส่อื สารกับการศกึ ษาหวั ข้อเนือ้ หา 1. ความหมายของโทรคมนาคม 2. ประเภทของโทรคมนาคมเพื่อการศกึ ษา 3. องคป์ ระกอบของการส่ือสารในระบบโทรคมนาคม 4. องค์ประกอบของการส่ือสารคอมพวิ เตอร์ 5. รูปแบบของสญั ญาณในการสื่อสารข้อมลู 6. ประเภทของตวั กลางในการสื่อสารของคอมพวิ เตอร์ 7. อปุ กรณ์ท่ีสาคญั ในการส่ือสารของคอมพิวเตอร์ 8. ประเภทของเครือขา่ ยคอมพิวเตอร์ 9. การออกแบบโครงสร้างเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์วัตถปุ ระสงค์ 1. อธิบายความหมาย ประเภท และองค์ประกอบของเทคโนโลยีโทรคมนาคมและการสื่อสาร 2. อธิบายประเภทองค์ประกอบ รูปแบบการสื่อสาร ประเภทของตวั กลางในการส่ือสารของคอมพวิ เตอร์ 3. วเิ คราะห์และเลือกใช้อปุ กรณ์สาหรับการส่ือสารของคอมพวิ เตอร์ได้เหมาะสม 4. อธิบายประเภท และโครงสร้างเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ได้วิธีสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอน 1. วิธีสอน 1.1 สอนแบบบรรยาย 1.2 สอนแบบอภิปราย 1.3 สอนแบบ Collaborative learningเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

46 2. กิจกรรมการเรียนการสอน 2.1 ผู้สอนบรรยาย เก่ียวกับความหมาย ประเภท องค์ประกอบของเทคโนโลยี โทรคมนาคมและการสื่อสาร โครงสร้างเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ 2.2 ผ้สู อนแบง่ กล่มุ ผ้เู รียน เพื่อให้ผ้เู รียนศึกษาข้อมูลในประเดน็ รูปแบบการส่ือสารของคอมพิวเตอร์ ประเภทของตวั กลางในการส่ือสารของคอมพิวเตอร์ 2.3 ผ้เู รียนแตล่ ะกลมุ่ สรุปความรู้และนาเสนอผลการศกึ ษาค้นคว้า 2.4 ผู้สอนและผู้เรียนอภิปราย วิเคราะห์การเลือกใช้อุปกรณ์สาหรับการสื่อสารของคอมพวิ เตอร์และสรุปประเดน็ ในการเรียนการสอน 3. ส่ือการเรียนการสอน 3.1 เอกสารประกอบการสอน 3.2 เอกสารประกอบการบรรยาย โดยใช้โปรแกรม Power pointการวัดผลและการประเมิน 1. สงั เกตความสนใจของผ้เู รียนในการศกึ ษาและร่วมกนั อภิปรายแสดงความรู้และความคดิ เห็น 2. สงั เกตจากการร่วมมือและการมีสว่ นร่วมในการทางาน 3. การนาเสนองาน 4. คาถามท้ายบทเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

47 บทท่ี 3เทคโนโลยโี ทรคมนาคมและการส่อื สารกับการศกึ ษา 3.1 บทนา 3.2 ความหมายของโทรคมนาคม 3.3 ประเภทของโทรคมนาคมเพื่อการศกึ ษา 3.4 องค์ประกอบของการสื่อสารในระบบโทรคมนาคม 3.5 องค์ประกอบของการส่ือสารคอมพิวเตอร์ 3.7 รูปแบบของสญั ญาณในการสื่อสารข้อมลู 3.8 ประเภทของตวั กลางในการสื่อสารของคอมพิวเตอร์ 3.9 อปุ กรณ์ท่ีสาคญั ในการส่ือสารของคอมพิวเตอร์ 3.10 ประเภทของเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ 3.11 การออกแบบโครงสร้างเครือขา่ ยคอมพวิ เตอร์ 3.12. สรุป 3.13 คาถามท้ายบท 3.14 เอกสารอ้างองิ3.1 บทนา เทคโนโลยีโทรคมนาคมและการส่ือสารเป็ นอีกองค์ประกอบที่สาคญั ของระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการท่ีจะสนบั สนนุ ให้บุคคลในสงั คมเข้าถึงสารสนเทศได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ครูและบคุ ลากรการศกึ ษาจงึ จาเป็ นที่ต้องทราบถงึ ระบบเทคโนโลยีด้านโทรคมนาคมเพื่อนาไปใช้ในการจดั การศกึ ษาในรูปแบบตา่ งๆ ทงั้ การศกึ ษาในระบบ การศกึ ษานอกระบบ และการศกึ ษาตามอธั ยาศยั3.2 ความหมายของโทรคมนาคม โทรคมนาคม(Telecommunication) เป็ นการสง่ สารสนเทศในรูปแบบของตวั อกั ษร ภาพและเสียง โดยเป็ นการตดิ ตอ่ สื่อสารจากอีกที่หนง่ึ ไปยงั อีกท่ีหน่ึงโดยใช้พลงั งานไฟฟ้ าไปตามสายสญั ญาณเช่นสายทองแดง สายใยแก้วนาแสง หรือการอาศยั คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้ าในการส่งสัญญาณไปในชัน้บรรยากาศเชน่ การสง่ วิทยุ โทรทศั น์ การสง่ คล่ืนไมโครเวฟ และการสง่ สญั ญาณดาวเทียมเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

48 สาหรับโทรคมนาคมเพ่ือการศกึ ษา หมายถงึ การส่ือสารทางโทรคมนาคมเพื่อถา่ ยทอดความรู้สู่ผู้รับฟั ง รับชมทัง้ ท่ีเป็ นความรู้ท่ัวไป และเป็ นส่วนหนึ่งของหลักสูตรในสถาบันการศึกษา(ชยั ยงค์ พรหมวงศ์. 2541:41)3.3 ประเภทของโทรคมนาคมเพ่ือการศึกษา การจาแนกประเภ ทของโทรคม นาคม เพ่ื อการการศึกษามี นักการศึกษ าจาแนกได้ หล ายลักษณะ ซึ่งในเอกสารประกอบการสอนนีข้ อสรุปเป็ น 2 ลักษณะได้แก่ ประเภทแรก จาแนกตามลกั ษณะการใช้งาน ประเภทที่สอง จาแนกตามลกั ษณะของสญั ญาณข้อมลู และชอ่ งทางการส่ือสาร 3.3.1 จาแนกตามลกั ษณะการใช้งาน บญุ เลิศ สอ่ งสวา่ ง (2549) ได้จาแนกประเภทของโทรคมนาคมเพื่อการศกึ ษาตามลกั ษณะการใช้งานโดยแบง่ เป็น 3 ลกั ษณะได้แก่ 3.3.1.1 โทรคมนาคมเพื่อการศึกษาประเภทใช้ แบบเอกเทศ (Stand Alone) เป็ นเทคโนโลยีโทรคมนาคมที่สามารถนามาใช้ได้ตามลาพงั โดยไม่ต้องเชื่อมกับเครือข่ายอื่นๆ เช่น แผ่นบนั ทกึ เสียง แผน่ ซีดี แผน่ ดวี ีดี บทเรียนคอมพวิ เตอร์ชว่ ยสอนบนแผน่ ซีดีเป็นต้น 3.3.1.2 โทรคมนาคมเพ่ือการศกึ ษาผา่ นระบบเครือขา่ ย เป็นลกั ษณะการสื่อสารเพื่อสง่ข้อมลู ทางการศกึ ษาผา่ นระบบเครือขา่ ยอินเทอร์เน็ต ทงั้ ในระดบั LAN และ WAN 3.3.1.3 โทรคมนาคมเพ่ือการศกึ ษาผา่ นระบบกระจายสญั ญาณ มีทงั้ การสง่ สญั ญาณที่สง่ ไปปลายทางในลกั ษณะส่วนตวั หรือเฉพาะพืน้ ท่ี หรือเฉพาะกลมุ่ ไมเ่ น้นท่ีจะสง่ แบบมวลชน ได้แก่การสง่ สญั ญาณจากดาวเทียม เป็นตวั กระจายสญั ญาณลงมาบนพืน้ ดนิ โทรคมนาคมเพ่ือการศกึ ษาผา่ นระบบกระจายสญั ญาณได้แก่ วิทยกุ ระจายเสียง วิทยโุ ทรทศั น์ และดาวทียม 3.3.2 จาแนกตามลกั ษณะของสญั ญาณและช่องทางในการสง่ สญั ญาณ ประเภทของข้อมลูที่สง่ ผลให้เกิดสญั ญาณสามารถจาแนกได้เป็ น 3 ประเภท คือ ข้อมลู ประเภทเสียง ข้อมลู ประเภทภาพและข้อมูลประเภทตัวอักษร (กิดานันท์ มะลิทอง.2540:131) ดังนัน้ หากจาแนกโทรคมนาคมตามลกั ษณะของสญั ญาณจงึ สามารถจาแนกได้ดงั นี ้ 3.3.2.1โทรคมนาคมเพ่ือการศึกษาตามสัญ ญ าณ เสียง เป็ นการใช้ เทคโนโลยีโทรคมนาคมในการแพร่สัญญ าณ เสียงทัง้ แบบมีสายและแบบไร้ สาย เช่น โทรศัพท์ ระบบวทิ ยกุ ระจายเสียง นอกจากนนั้ ยงั สามารถเผยแพร่ผา่ นวสั ดบุ นั ทกึ เสียงได้แก่ ซีดแี ละเทปเสียง 3.3.2.2 โทรคมนาคมเพื่อการศกึ ษาตามสญั ญาณภาพ เป็นการแพร่สญั ญาณภาพผา่ นวสั ดบุ นั ทกึ การแพร่สญั ญาณภาพผา่ นสาย และการแพร่สญั ญาณภาพแบบไร้สาย มีรายละเอียดดงั นี ้ 1) การแพร่สญั ญาณภาพผา่ นวสั ดบุ นั ทึกภาพ เป็ นการนาวสั ดบุ นั ทึกภาพไปใช้เล่นกบั เคร่ืองเลน่ เพ่ือนาเสนอสญั ญาณภาพ เชน่ เคร่ืองฉายภาพนิ่ง (สไลด์) ปัจจุบนั เคร่ืองบนั ทกึ สญั ญาณภาพจะบนั ทกึ ในลกั ษณะไฟล์ดจิ ิทลั ซงึ่ สามารถใช้เลน่ กบั เคร่ืองคอมพิวเตอร์ได้เป็ นอยา่ งดี และสะดวกในการเผยแพร่สญั ญาณผา่ นระบบเครือข่ายอินเทอร์เนต็เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

49 2) การแพร่สญั ญาณภาพแบบสาย เป็นการใช้สายสญั ญาณในการสง่ สญั ญาณภาพอาจเป็นลกั ษณะของโทรทศั น์วงจรปิด หรือ CCTV หรือเป็นลกั ษณะสายเคเบลิ (cable) ท่ีใช้ในการเผยแพร่ภาพจากสถานีส่งไปยงั สมาชิก นอกจากนนั้ แล้วการสง่ สญั ญาณภาพแบบมีสายยงั รวมไปถึงการสง่ ข้อความ หรือภาพลายเส้นตา่ งๆ ผา่ นสายสญั ญาณในลกั ษณะ โทรสารด้วย 3) การแพร่สญั ญาณภาพแบบไร้สาย เป็นการแพร่สญั ญาณภาพผา่ นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้ าในชนั้ บรรยากาศ หรือการแพร่สญั ญาณผา่ นดาวเทียม 3.3.2.3 โทรคมนาคมเพ่ือการศกึ ษาตามสญั ญาณภาพและเสียง ประกอบด้วย 1) การแพร่สญั ญาณภาพและเสียงผา่ นวสั ดบุ นั ทกึ ทงั้ แบบแอนะล็อกและดจิ ิทลั 2) การแพร่สญั ญาณภาพและเสียงผ่านสายสญั ญาณทงั้ การส่งสญั ญาณโทรทศั น์วงจรปิ ด การส่งสัญญาณผ่านสายสัญญาณ และการแพร่สัญญาณผ่านสายสัญญาณในระบบอนิ เทอร์เน็ต 3) การแพร่สญั ญาณภาพและเสียงแบบไร้สาย เป็นการแพร่สญั ญาณผา่ นอากาศหรือผา่ นดาวเทียมเพื่อให้ผ้ชู มในระยะไกลได้อยา่ งทว่ั ถึงและครอบคลมุ3.4 องค์ประกอบของการส่ือสารในระบบโทรคมนาคม องคป์ ระกอบของการสื่อสารในระบบโทรคมนาคม แบง่ เป็ น 2 สว่ นใหญ่ๆ ดงั นี ้ 3.4.1 เครื่องส่งและเครื่องรับ (Terminals) จุดส่งและจุดรับแต่ละจุดจะต้องมีเครื่องมือในการสื่อสาร ซ่ึงในเครื่องส่งต้ องมีการเข้ ารหัส(encoder) เพื่อเปล่ียนสารสนเทศนัน้ ให้ เป็ นสญั ญาณไฟฟ้ าเสียก่อนและจะส่งสัญญาณส่งไปตามส่ือกลาง เม่ือถึงเครื่องรับสัญญาณจะมีการถอดรหัสสัญญาณ (decoder) ซ่ึงอุปกรณ์ที่ใช้ในการส่งและรับสัญญาณจะมีเครื่องมือที่ใช้ในการเข้ารหสั และถอดรหสั อยใู่ นเคร่ืองเดียวกนั จงึ มีการเรียกเคร่ืองมือในลกั ษณะดงั กลา่ ววา่ “codec”ซงึ่ มาจาก coder+ decoder 3.4.2 สื่อกลาง (Transmission) หรือพาหะ (Cattier) เป็นตวั กลางเพ่ือท่ีจะนาสารสนเทศจากเคร่ืองสง่ ไปสเู่ ครื่องรับเคร่ืองส่งสัญญาณ สื่อกลาง หรือพาหะ เคร่ืองรับสัญญาณรูปท่ี 3.1 องค์ประกอบเบอื้ งต้นของเทคโนโลยโี ทรคมนาคมเอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู

503.5องค์ประกอบของการส่ือสารของคอมพวิ เตอร์ การส่ือสารข้ อมูลของคอมพิวเตอร์ เป็ นการโอนถ่าย (Transmission) ข้ อมูลหรือการแลกเปลี่ยนข้อมลู ระหวา่ งผ้สู ่งต้นทางกบั ผ้รู ับปลายทาง ทงั้ ข้อมลู ประเภท ข้อความ รูปภาพ เสียง หรือข้อมูลสื่อผสม โดยผ้สู ่งต้นทางส่งข้อมลู ผา่ นอปุ กรณ์อิเล็กทรอนิกส์หรือคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีหน้าที่แปลงข้อมูลเหล่านัน้ ให้อยู่ในรูปสัญญาณทางไฟฟ้ า (Electronic data) จากนัน้ ถึงส่งไปยังอุปกรณ์หรือคอมพิวเตอร์ปลายทาง โดยมีองคป์ ระกอบดงั ตอ่ ไปนี ้ 3.5.1 เคร่ืองสง่ (Sender) เป็ นส่ิงท่ีทาหน้าที่ส่งข้อมลู ข่าวสารออกไปยงั จดุ หมายปลายทางที่ต้องการ ซงึ่ อาจเป็นบคุ คลหรืออปุ กรณ์ เชน่ เคร่ืองคอมพิวเตอร์ โทรศพั ท์ เป็นต้น 3.5.2 ข้อมูลข่าวสาร (Massage) เป็ นส่ิงท่ีผู้ส่งต้องการส่งไปให้ผ้รู ับที่อย่ปู ลายทางซ่ึงอาจเป็นเสียง ข้อความหรือภาพ เพื่อส่ือสารให้เกิดความเข้าใจตรงกนั 3.5.3 ส่ือกลาง (Medium) หรือช่องทางการสื่อสาร เป็ นสิ่งที่ช่วยให้ข้อมูลข่าวสารเดินทางจ า ก ผู้ ส่ ง ไ ป ยั ง ผู้ รั บ ไ ด้ โด ย ส ะ ด ว ก ซึ่ ง มี ห ล า ย รู ป แ บ บ เช่ น ส า ย สั ญ ญ า ณ ช นิ ดตา่ งๆ เช่น สายโทรศพั ท์ สายเคเบลิ เส้นใยแก้วนาแสง คลื่นสญั ญาณชนิดตา่ งๆ เช่น คล่ืนวิทยุ คลื่นไมโครเวฟ คลื่นแสง คล่ืนอินฟราเรด หรืออาจส่งผ่านอุปกรณ์เสริมชนิดต่างๆ เช่น เสาอากาศวทิ ยุ เสาอากาศโทรศพั ท์ ดาวเทียม โมเดม็ 3.5.4 โปรโตคอล (Protocol) เป็ นข้อกาหนดหรือข้อตกลงถึงกฎระเบียบและวิธีการที่ใช้ในการส่ือสารเพ่ือให้เครื่องสง่ และเครื่องรับมีความเข้าใจตรงกนั 3.5.5 เคร่ืองรับ (Receiver) เป็ นสิ่งที่ทาหน้าที่รับข้อมูลข่าวสารจากเคร่ืองส่ง ซึ่งส่งผ่านส่ือกลางชนิดตา่ งๆ เชน่ เคร่ืองคอมพวิ เตอร์ โทรศพั ท์ โทรทศั น์ วิทยุ เป็นต้น การส่งข้อมูลของเครื่องคอมพิวเตอร์นนั้ จาเป็ นจะต้องมีองค์ประกอบดงั กล่าวข้างต้น ซึ่งครูและบุคลากรทางการศึกษา จะต้องศึกษาข้อมูลเพื่อท่ีเลือกใช้อุปกรณ์และวิธีการได้เหมาะสมและกอ่ ให้เกิดประสทิ ธิภาพมากที่สดุโปรโต.………SSS….ค.ttt.eee….…..อ..ppp..ล.…….231..(:::.……..P..r.otocol) ข้อมลู ขา่ วสาร ( Message) โปรโตค…S……SS.…..tttอ.eee….…...ล.ppp...…….231.(.:::.……P...r.o. tocol) ตวั กลางในการสอื่ สาร ( Medium)เครื่องสง่ (Sender) เครื่องรับ (Receiver) รูปท่ี 3.2 องค์ประกอบการส่อื สารของคอมพิวเตอร์เอกสารประกอบการสอนวิชา เทคโนโลยีสารสนเทศและการสือ่ สารสาหรบั ครู


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook