Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore แผนวิชาทักษะการเรียนรู้ ม.ต้น

แผนวิชาทักษะการเรียนรู้ ม.ต้น

Published by kittiwanthongaram, 2020-12-24 03:46:09

Description: แผนวิชาทักษะการเรียนรู้ ม.ต้น

Search

Read the Text Version

แผนการจัดการเรียนรู้ หลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2551 สาระทักษะการเรียนรู้ วชิ า ทักษะการเรยี นรู้ (ทร๒1001) 5 หนว่ ยกิต จานวน 200 ชั่วโมง ระดับมธั ยมศกึ ษาตอนตน้ โดย นางสุวพร วรรณทอง ครู กศน.ตาบลสระแจง ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอบางระจัน สานกั งานสง่ เสรมิ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอธั ยาศัยจังหวัดสงิ ห์บุรี สานักงานสง่ เสรมิ การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั สานักงานปลดั กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศกึ ษาธิการ

คานา แผนการจัดการเรยี นรู้ เป็นเครอื่ งมือสาคัญสาหรบั ครทู ่จี ะทาให้การจัดการเรียนรู้ บรรลเุ ป้าหมายตามตวั ชี้วดั แผนการจัดการเรยี นรู้ รายวชิ า ทกั ษะการเรยี นรู้ รหัส ทร๒1001 ระดับ มัธยมศกึ ษาตอนต้น เล่มน้ี จดั ทาข้ึนเพือ่ เป็นแนวทางในการเรยี นการสอน สาหรบั ครูผสู้ อน และบคุ คล ที่เกี่ยวข้อง สามารถนาไปใช้ไดอ้ ย่างมปี ระสิทธิภาพ โดยมเี นือ้ หา จานวน ๖ บท ๒๒ เร่อื ง ประกอบดว้ ย บทที่ 1 การเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง เรอ่ื งที่ 1 ความหมายและความสาคัญของการเรียนรู้ด้วยตนเอง เรอ่ื งที่ 2 กระบวนการในการเรียนรู้ด้วยตนเอง เรื่องที่ 3 ทักษะในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง บทท่ี 2 การใช้แหลง่ เรยี นรู้ เรื่องท่ี 1 ความหมายและความสาคญั ของแหลง่ เรยี นรู้ เรอ่ื งท่ี 2 หอ้ งสมุดแหล่งเรยี นรสู้ าคญั ของชมุ ชน เรอ่ื งท่ี 3 การใช้แหล่งเรียนรู้ผา่ นเครือข่ายอินเทอร์เน็ต บทที่ 3 การจัดการความรู้ เรอ่ื งท่ี 1 ความหมาย ความสาคญั และหลักการในการจัดการความรู้ เรื่องท่ี 2 รปู แบบและกระบวนการในการจดั การความรู้ เรอ่ื งที่ 3 การรวมกลมุ่ เพ่ือต่อยอดความรู้ เรื่องที่ 4 การฝกึ ทักษะกระบวนการจัดการความรู้ บทท่ี 4 การคิดเปน็ เรอ่ื งที่ 1 ทบทวนความเช่ือพื้นฐานทางการศึกษาผใู้ หญ/่ การศกึ ษานอกโรงเรยี นและ การเชือ่ มโยงสู่ปรชั ญาคดิ เปน็ เรื่องท่ี 2 ลักษณะของข้อมลู และการเปรยี บเทียบข้อมูลด้านวชิ าการ ตนเอง และ สังคมส่งิ แวดลอ้ มและทักษะเบอื้ งตน้ การวเิ คราะห์ สงั เคราะหข์ ้อมูลท้งั 3 ดา้ นเพ่ือประกอบการตดั สินใจ แกป้ ัญหาแบบคนคดิ เป็น บทท่ี 5 การวจิ ยั อยา่ งงา่ ย เรื่องท่ี 1 ความหมายของการวิจัย และความหมายของการวิจัยอยา่ งงา่ ย เร่ืองท่ี 2 ขั้นตอนการทาวจิ ัยอย่างง่าย เรอ่ื งท่ี 3 การเขียนโครงการวิจัยอยา่ งง่าย เรื่องท่ี 4 สถติ งิ ่ายๆ เพ่ือการวิจัย เรื่องที่5การสร้างเคร่ืองมือการวิจัย เรือ่ งที่6การเขียนรายงานการวจิ ัยอยา่ งงา่ ยและการเผยแพร่ผลงานการวจิ ัย บทท๖ี่ ทักษะการเรยี นรแู้ ละศกั ยภาพหลักของพน้ื ทใ่ี นการพัฒนาอาชีพ เร่ืองที่ ๑ อธบิ ายความหมาย ความสาคญั ทักษะการเรยี นรู้และศักยภาพหลกั ของ พืน้ ท่ใี นการพัฒนาอาชพี เรอ่ื งที่ ๒ ยกตวั อยา่ งศักยภาพหลักของพน้ื ทท่ี ี่แตกต่างกัน เรอ่ื งท่ี ๓ สมารถบอกศักยภาพหลักของพ้ืนที่ของตนเอง

เร่ืองที่ ๔ ยกตวั อยา่ งอาชพี ทใ่ี ช้หลกั การพืน้ ฐานของศักยภาพหลกั ในการประกอบ อาชพี ในกลมุ อาชพี ใหม่ได้ ผูจ้ ดั ทาขอขอบคุณผู้ทเ่ี ก่ยี วข้องทกุ คนทม่ี ีสว่ นในการจดั ทาแผนการเรียนรูเ้ ล่มน้ี หากมี ข้อพกพร่องประการใดขอความกรณุ าใหข้ ้อคิดเหน็ และข้อเสนอแนะ เพ่อื จะนาไปสกู่ ารปรับปรุง ในการจดั ทา แผนการเรียนรู้ รายวชิ า ทักษะการเรียนรู้ รหัส ทร๒1001 ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น ใหด้ ียง่ิ ขนึ้ ตอ่ ไป และ หวงั เป็นอย่างยิง่ ว่าแผนการจดั การเรียนร้เู ลม่ น้ีจะเปน็ ประโยชน์ต่อครูผูส้ อน นกั ศกึ ษา ตลอดจนบคุ คลที่ เกย่ี วขอ้ งตอ่ ไป (นางสุวพร วรรณทอง) ครู กศน.ตาบลสระแจง วันท่ี 22 เดอื น ธันวาคม พ.ศ. 256๓

สารบญั หน้า เรื่อง 1 คาอธบิ ายรายวชิ า ๒ รายละเอยี ดคาอธบิ ายรายวิชา 5 ตารางวเิ คราะหห์ ลักสตู รรายวชิ า 8 แผนการจัดการเรยี นรู้ครง้ั ที่ 1 ๑๐ การปฐมนเิ ทศนักศึกษา แผนการจดั การเรียนรู้ครง้ั ที่ 2 2๑ ความหมายและความสาคัญของการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง 34 แผนการจดั การเรียนรู้ครง้ั ท่ี 3 55 กระบวนการในการเรียนรดู้ ้วยตนเอง แผนการจัดการเรียนรู้คร้ังที่ 4 6๒ ความหมายและความสาคัญของแหลง่ เรยี นรู้ 69 แผนการจัดการเรียนรู้คร้งั ที่ 5 7๔ การใช้แหลง่ เรยี นรู้ผา่ นเครอื ค่ายอนิ เทอร์เน็ต แผนการจัดการเรยี นรู้ครั้งท่ี 6 7๙ ความหมาย ความสาคัญและหลักการในการจัดการความรู้ 8๖ แผนการจดั การเรียนรู้ครง้ั ที่ 7 9๙ รปู แบบและกระบวนการในการจดั การความรู้ แผนการจดั การเรียนรู้ครัง้ ท่ี 8 10๖ การรวมกลมุ่ เพือ่ ต่อยอดความรู้ 11๖ แผนการจดั การเรียนรู้ครงั้ ท่ี 9 การฝกึ ทักษะกระบวนการจัดการความรู้ แผนการจัดการเรียนรู้ครั้งที่ 10 ทบทวนความเชือ่ พื้นฐานทางการศกึ ษาผใู้ หญ่ แผนการจดั การเรยี นรู้ครง้ั ที่ 11 ลกั ษณะของข้อมลู และการเปรียบเทียบข้อมลู ด้านวิชาการ แผนการจัดการเรียนรู้ครั้งที่ 12 ความหมายของงานวจิ ัย แผนการจดั การเรียนรู้ครั้งท่ี 13 ขน้ั ตอนทาวิจยั อยา่ งง่าย

สารบัญ(ต่อ) หน้า 1๒๑ เรอ่ื ง 12๖ 1๓๑ แผนการจดั การเรียนรู้ครง้ั ท่ี 14 13๖ การเขียนโครงการวจิ ัยอย่างง่าย 1๔๓ 1๕๒ แผนการจดั การเรียนรู้ครั้งที่ 15 1๕๖ สถติ งิ ่ายเพ่อื การวิจยั 1๕๘ แผนการจัดการเรียนรู้ครง้ั ที่ 16 การสร้างเครื่องมือการวิจัย แผนการจัดการเรยี นรู้คร้ังที่ 17 การวิจยั อยา่ งงา่ ย แผนการจดั การเรียนรู้ครง้ั ท่ี 18 ทักษะการเรยี นรู้และศักยภาพหลักของพนื้ ที่ในการพฒั นาอาชีพ แผนการจดั การเรยี นรู้ครั้งท่ี 19 ตัวอย่างอาชีพท่ีสอดคล้องกบั ศกั ยภาพหลักของพน้ื ที่ แผนการจดั การเรยี นรู้ครง้ั ที่ 20 ปัจฉิมนเิ ทศ คณะผจู้ ดั ทา

บันทึกขอ้ ความ ส่วนราชการ ศูนย์การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอบางระจนั ที่ ศธ.0210.๗๔๐๙/๑๕๓๔ วนั ท่ี ๒๒ ธันวาคม 256๓ เรอ่ื ง การตรวจคณุ ภาพแผนการจดั การเรียนรู้ เรียน ผ้อู านวยการศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอบางระจัน ดว้ ย งานการศกึ ษาขัน้ พนื้ ฐาน ศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม อัธยาศยั อาเภอบางระจนั ไดจ้ ัดทาแผนการจดั การเรยี นรู้ รายวิชา ทักษะการเรียนรู้รหสั ทร๒ 1001 ระดบั มธั ยมศกึ ษาตอนตน้ เพ่ือใชใ้ นการจัดการเรยี นรู้ ภาคเรยี นท่ี ๒ ปีการศึกษา 256๓ เรียบร้อยแล้ว จงึ ขอเสนอแผนการจัดการเรยี นรมู้ าเพื่อตรวจสอบคณุ ภาพก่อนนาไปจัดการเรียนรู้ รายละเอยี ดดังแนบมาพร้อมนี้ จึงเรยี นมาเพ่ือโปรดพจิ ารณา (นางสาววจิ ิตรา กองแกว้ ) หวั หนา้ งานการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผลการตรวจสอบ  องคป์ ระกอบของแผนครบถ้วน  การจดั การเรียนรู้เป็นไปตามเป้าหมายของสถานศึกษา  เน้อื หาสาระตรงตามโครงสรา้ ง  ใชก้ ระบวนการจัดการเรียนรูท้ ี่เนน้ ผู้เรียนเป็นสาคญั  ส่ือท่ีใช้เรยี นรเู้ หมาะสม  อนมุ ัตใิ หด้ าเนินการได้  ไมอ่ นมุ ัติ ขอ้ เสนอแนะ ............................................................................................................................. ............................... .................................................................................................... ........................................................ (นางสาวปรารถนา ชีโพธ์ิ) ผอู้ านวยการศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั อาเภอบางระจัน วันท่ี เดือน ธันวาคม พ.ศ. 256๓

คาอธิบายรายวชิ า ทร๒1001 ทักษะการเรยี นรูจ้ านวน 5 หนว่ ยกิต สาระทักษะการเรยี นรู้ ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต้น มาตรฐานการเรียนรรู้ ะดบั มคี วามรู้ความเข้าใจ เกยี่ วกบั การพัฒนาทกั ษะการเรียนรขู้ องนกั เรียนในด้านการเรยี นรู้ด้วยตนเองการ ใช้แหล่งเรียนรู้ การจัดการความรู้ การคดิ เป็นและการวจิ ยั อย่างง่าย โดยมีวัตถุประสงคเ์ พ่ือให้ผเู้ รียนสามารถ กาหนดเป้าหมาย วางแผนการเรียนร้ดู ว้ ยตนเอง เข้าถึงและเลอื กใชแ้ หลง่ เรยี นรจู้ ัดการความรู้ กระบวนการ แก้ปญั หาและตัดสินใจอยา่ งมีเหตผุ ล ทีจ่ ะสามารถเลือกใชเ้ ครอื่ งมือชี้นาตนเองในการเรยี นรู้ และการป ประกอบอาชีพให้สอดคลอ้ งกับหลกั การพน้ื ฐาน และการพัฒนา ๕ ศกั ยภาพหลกั ของพนื้ ที่ ใน ๕ กลุ่มอาชีพ ดา้ นเกษตรกรรม อุตสาหกรรม พณิชกรรม ความคิดสรา้ งสรรค์ การบรหิ ารจัดการ ตามยุทธศาสตร์ ๒๕๕๕ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร ได้อย่างต่อเน่อื งตลอดชวี ิต การจดั ประสบการณก์ ารเรียนรู้ เนน้ มคี วามรูค้ วามเขา้ ใจ มีคุณธรรม จรยิ ธรรม เก่ียวกับการพฒั นาทกั ษะการเรยี นรู้ของนกั เรยี นในดา้ น การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองการใช้แหล่งเรยี นรู้ การจัดการความรู้ การคดิ เปน็ และการวจิ ยั อย่างง่าย โดยมี วัตถปุ ระสงคเ์ พอ่ื ให้ผู้เรียนสามารถกาหนดเปา้ หมาย วางแผนการเรยี นรู้ด้วยตนเอง เข้าถงึ และเลือกใช้แหลง่ เรยี นรู้จัดการความรู้ กระบวนการแกป้ ัญหาและตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ทจ่ี ะสามารถเลือกใชเ้ คร่อื งมือชีน้ า ตนเองในการเรยี นรู้ และการปประกอบอาชีพใหส้ อดคล้องกับหลกั การพนื้ ฐาน และการพฒั นา ๕ ศกั ยภาพ หลกั ของพื้นท่ี ใน ๕ กลุ่มอาชีพด้านเ้ กษตรกรรม อุตสาหกรรม พณชิ กรรม ความคิดสรา้ งสรรค์ การบริหาร จดั การ ตามยุทธศาสตร์ ๒๕๕๕ กระทรวงศึกษาธกิ าร ได้อย่างเมาะสม การวัดและประเมินผล การเรียนรูด้ ว้ ยตนเองใชก้ ารประเมินจากผลงานของผเู้ รยี นท่ีแสดงออกเก่ียวกบั การกาหนดเป้าหมาย และวางแผนการเรียนรู้ รวมทักษะพื้นฐานและเทคนิคในการเรียนรู้ต่าง ๆ ตลอดจนปัจจัยท่ีทาให้การเรียนรู้ ประสบความสาเรจ็

รายละเอยี ดคาอธบิ ายรายวชิ า ทร๒1001 ทกั ษะการเรียนรู้จานวน 5 หน่วยกติ ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น มาตรฐานการเรยี นรูร้ ะดับ 1. สามารถวเิ คราะห์ เห็นความสาคญั และปฏิบัติการแสวงหาความรู้จากการอ่าน ฟงั และสรปุ ได้ ถกู ต้องตามหลักวิชาการ 2. สามารถจาแนก จัดลาดบั ความสาคัญ และเลอื กใชแ้ หลง่ เรยี นรู้ได้อย่างเหมาะสม 3. สามารถจาแนกผลท่ีเกดิ ข้ึนจากขอบเขตความรู้ ตัดสินคุณค่า กาหนดแนวทางพฒั นา 4. ความสามารถในการศึกษา เลือกสรร จัดเก็บ และการวิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูลท้ังสามประการ และการใช้เทคนคิ ในการฝึกทักษะ การคดิ เป็น เพ่อื ใชป้ ระกอบการตัดสนิ ใจแกป้ ัญหา 5. สามารถวเิ คราะห์ปัญหา ความจาเปน็ เห็นความสัมพันธ์ของกระบวนการวิจยั กบั การนาไปใช้ใน ชีวติ และดาเนนิ การวจิ ัยทดลองตามขัน้ ตอน ๖. มีความรู้ความเขา้ ใจทักษะการเรยี นรแู้ ละการวิเคราะหศ์ ักยภาพหลกั ของพืน้ ท่ีในการพัฒนาอาชพี ท่ี หวั เรื่อง ตัวชว้ี ัด เนือ้ หา จานวน 1 การเรียนร้ดู ว้ ยตนเอง (ชัว่ โมง) 1.สามารถวิเคราะหค์ วามรู้จา 1.ความหมายและความสาคัญ 2 การใช้แหลง่ เรียนรู้ ๖ กาการอ่าน การฟัง การสังเกต ของการเรียนรดู้ ้วยตนเอง ๑๕ และสรุปได้ถกู ต้อง 2.กระบวนการในการเรยี นรู้ ๖ 2.สามารถจดั ระบบการแสวงหา ดว้ ยตนเอง 15 ความรู้ใหก้ ับตนเอง 3.ทกั ษะในการแสวงหาความรู้ 3.ปฏบิ ัติตามข้ันตอนในการ ด้วยตนเอง แสวงหาความรู้เกยี่ วกับทักษะ การอ่าน ทักษะการฟงั และ ทักษะการจดบันทึก 1.จาแนกความแตกต่างของ 1.ความหมายและความสาคัญ แหลง่ เรยี นรู้ และตดั สินใจ ของแหล่งเรยี นรู้ เลือกใช้แหลง่ เรยี นรู้ 2.หอ้ งสมดุ แหลง่ เรียนรสู้ าคญั 2.เรียงลาดับความสาคญั ของ ของชุมชน แหลง่ เรียนรู้ และจดั ทาระบบใน 3.การใชแ้ หล่งเรยี นรผู้ า่ น การใชแ้ หลง่ เรียนรู้ของตนเอง เครอื ข่ายอินเทอรเ์ นต็ 3.สามารถปฏบิ ตั กิ ารใชแ้ หลง่ เรียนรู้ ตามขั้นตอนได้อย่าง ถกู ต้อง

ที่ หัวเรอ่ื ง ตวั ชี้วัด จานวน 3 การจัดการความรู้ เนอื้ หา 4 การ (ช่ัวโมง) คิดเป็น 1.วเิ คราะหผ์ ลท่เี กดิ ขนึ้ ขอบเขต 1.ความหมาย ความสาคญั และ 9 5 การวิจยั 15 อย่างง่าย ความรู้ ตัดสนิ คุณคา่ กาหนด หลักการในการจัดการความรู้ 15 15 แนวทางพฒั นา 2.รปู แบบและกระบวนการใน ๙ 2.เหน็ ความสาพนั ธ์ของ การจัดการความรู้ 15 กระบวนการจัดการความรู้ กับ 3.การรวมกลุ่มเพื่อต่อยอด 6 การนาไปใช้ในการพัฒนาชุมชน ความรู้ 6 12 3.ปฏิบัตติ ามกระบวนการการ 4.การฝึกทักษะกระบวนการ 6 15 จัดการความรู้ไดอ้ ย่างเป็นระบบ จดั การความรู้ 15 1.อธิบายหรอื ทบทวนปรัชญา 1.ทบทวนความเชอ่ื พ้นื ฐานทาง คิดเป็นและลักษณะของข้อมูล การศึกษาผู้ใหญ/่ การศึกษานอก ดา้ นวิชาการ ตนเอง สังคม โรงเรยี นและการเชื่อมโยงสู่ ส่ิงแวดล้อมท่นี ามาวิเคราะห์ ปรัชญาคดิ เปน็ เพือ่ ประกอบการจดั การ 2.ลักษณะของข้อมลู และการ ตดั สนิ ใจแกป้ ญั หา เปรียบเทยี บข้อมูลดา้ นวชิ าการ 2.จาแนกเปรยี บเทยี บ ตนเอง และสงั คมสง่ิ แวดล้อม ตรวจสอบ ข้อมลู ดา้ นวชิ าการ และทกั ษะเบ้อื งตน้ การ ตนเอง สังคม วิเคราะห์ สงั เคราะหข์ ้อมูลทงั้ 3 ดา้ นเพ่ือประกอบการตดั สินใจ แก้ปัญหาแบบคนคิดเปน็ 1.ระบุปัญหา ความจาเป็น 1.ความหมายของการวจิ ัย และ วตั ถุประสงค์และประโยชน์ที่ ความหมายของการวิจยั อยา่ ง คาดวา่ จะไดร้ ับจากการวจิ ัยและ งา่ ย สืบค้นขอ้ มูลเพ่ือทาความ 2.ข้นั ตอนการทาวจิ ัยอยา่ งง่าย กระจ่างในปญั หาวิจยั รวมท้ัง 3.การเขยี นโครงการวจิ ัยอย่าง กาหนดวิธีการหาความรู้ความ งา่ ย จรงิ 4.สถติ ิงา่ ยๆ เพอ่ื การวิจัย 2.เห็นความสาพันธ์ของ 5.การสร้างเครอื่ งมอื การวิจัย กระบวนการวิจัยกับการ 6.การเขียนรายงานการวิจยั นาไปใชใ้ นชวี ติ อย่างง่ายและการเผยแพร่ 3.ปฏิบัติการศึกษา ทดลอง ผลงานการวจิ ัย รวบรวม วิเคราะหข์ ้อมูล และ สรปุ ความรู้ ความจรงิ ตาม ขน้ั ตอนได้อย่างถูกต้อง ชดั เจน

ที่ หวั เร่ือง ตวั ชี้วดั จานวน เนือ้ หา (ชัว่ โมง) ๖ ทักษะการเรยี นรู้และ 1 อธบิ ายความหมาย ๑ ความหมายความสาคัญของ 14 6 ศักยภาพหลักของพื้นที่ ความสาคัญของทกั ษะการ ศกั ยภาพหลกั ในการพัฒนา ในการพัฒนาอาชีพ เรยี นรู้ และศกั ยภาพกลักของ อาชพี พ้นื ทีท่ ่ีแตกต่างกันได ๒ การวเิ คราะหศ์ ักยภาพหลกั ๒ ยกตวั อยา่ งศักยภาพหลักของ ของพนื้ ที่ในการพฒั นาอาชีพ พนื้ ทท่ี ี่แตกตา่ งกันได้ ๓ ตวั อย่างอาชพี ท่ีสอดคลอ้ งกับ ๓ สามารถบอกหรอื ยกตวั อย่าง ศกั ยภาพหลักของพ้ืนที่ ศกั ยภาพหลักของพ้ืนที่ท่ี แตกต่างกันได้ ๔ ยกตัวอยา่ งอาชพี ที่ใช้ หลกั การพ้นื ฐานของศักยภาพ หลักในการประกอบอาชพี ใน กลุ่มอาชีพใหม่ได้

การวเิ คราะห์ตารางการจดั การเรยี นรู้รายวชิ า ทัก ระดับมัธย เรอ่ื ง ตัวชวี้ ัด เนอื้ หา 1.การ 1.สามารถวิเคราะหค์ วามรจู้ ากาการอ่าน การ 1.ความหมายและความสาคัญของก เรยี นรู้ดว้ ย ฟัง การสังเกต และสรปุ ได้ถูกต้อง ด้วยตนเอง ตนเอง 2.สามารถจัดระบบการแสวงหาความรูใ้ หก้ ับ 2.กระบวนการในการเรียนรู้ด้วยตน ตนเอง 3.ทกั ษะในการแสวงหาความรดู้ ว้ ยต 3.ปฏิบตั ิตามขั้นตอนในการแสวงหาความรู้ เกี่ยวกบั ทักษะการอา่ น ทักษะการฟัง และ ทักษะการจดบันทึก 2.การใช้ 1.จาแนกความแตกตา่ งของแหล่งเรยี นรู้ และ 1.ความหมายและความสาคัญของแ แหล่ง ตัดสินใจเลอื กใชแ้ หล่งเรียนรู้ เรยี นรู้ เรียนรู้ 2.เรยี งลาดับความสาคญั ของแหล่งเรียนรู้ และ 2.ห้องสมุดแหล่งเรียนรู้สาคญั ของช จัดทาระบบในการใชแ้ หล่งเรียนร้ขู องตนเอง 3.การใช้แหล่งเรียนรผู้ ่านเครอื ขา่ ย 3.สามารถปฏบิ ตั ิการใช้แหลง่ เรียนรู้ ตาม อินเทอรเ์ น็ต ขั้นตอนไดอ้ ย่างถูกต้อง 3.การ 1.วิเคราะห์ผลทเ่ี กดิ ขน้ึ ขอบเขตความรู้ ตัดสนิ 1.ความหมาย ความสาคญั และหลกั จดั การ คุณคา่ กาหนดแนวทางพัฒนา การจดั การความรู้ ความรู้ 2.เหน็ ความสาพนั ธ์ของกระบวนการจดั การ 2.รูปแบบและกระบวนการในการจดั ความรู้ กบั การนาไปใชใ้ นการพัฒนาชมุ ชน ความรู้ 3.ปฏิบัติตามกระบวนการการจดั การความรู้ได้ 3.การรวมกลุ่มเพื่อต่อยอดความรู้ อย่างเปน็ ระบบ 4.การฝกึ ทักษะกระบวนการจัดการ

กษะการเรียนรู้ รหัส ทร๒1001 จานวน 5 หนว่ ยกติ ยมศึกษาตอนต้น วิเคราะหเ์ น้ือหา จานวน รปู แบบการจดั การเรยี นรู้ งา่ ย ปานกลาง ยาก ชว่ั โมง ตนเอง รายงาน พบกลุ่ม เข้าคา่ ย อบรม การเรยี นรู้  ๖  นเอง 15  ตนเอง  แหลง่  ๖  ชุมชน 15   9 กการใน  15  ดการ  15 15   รความรู้  

เร่ือง ตวั ชี้วดั เนื้อหา 4. การ 1.อธิบายหรือทบทวนปรชั ญาคิดเปน็ และ 1.ทบทวนความเช่อื พน้ื ฐานทางการ คิดเป็น ลกั ษณะของข้อมลู ดา้ นวิชาการ ตนเอง สังคม ผใู้ หญ/่ การศึกษานอกโรงเรียนและก สิ่งแวดลอ้ มทน่ี ามาวิเคราะหเ์ พอื่ ประกอบการ เชื่อมโยงสปู่ รัชญาคดิ เป็น จดั การตดั สนิ ใจแก้ปัญหา 2.ลกั ษณะของขอ้ มูลและการเปรียบ 2.จาแนกเปรยี บเทยี บ ตรวจสอบ ข้อมูลดา้ น ข้อมลู ด้านวิชาการ ตนเอง และสงั คม วชิ าการ ตนเอง สังคม สง่ิ แวดลอ้ มและทกั ษะเบื้องต้น การว สังเคราะหข์ ้อมูลท้งั 3 ดา้ นเพ่ือประ ตัดสินใจแกป้ ญั หาแบบคนคิดเป็น 5.การวิจัย 1.ระบุปัญหา ความจาเป็น วัตถุประสงคแ์ ละ 1.ความหมายของการวจิ ยั และควา อยา่ งง่าย ประโยชน์ท่คี าดวา่ จะได้รับจากการวจิ ยั และ ของการวิจัยอย่างงา่ ย สืบค้นข้อมลู เพ่ือทาความกระจา่ งในปญั หาวิจยั 2.ข้ันตอนการทาวจิ ัยอย่างง่าย รวมทงั้ กาหนดวิธีการหาความรู้ความจรงิ 3.การเขยี นโครงการวิจยั อย่างงา่ ย 2.เห็นความสาพันธข์ องกระบวนการวจิ ัยกับ 4.สถิตงิ ่ายๆ เพ่อื การวิจยั การนาไปใชใ้ นชวี ิต 5.การสรา้ งเครื่องมือการวิจัย 3.ปฏิบตั กิ ารศกึ ษา ทดลอง รวบรวม วิเคราะห์ 6.การเขียนรายงานการวจิ ัยอยา่ งงา่ ข้อมลู และสรุปความรู้ ความจริงตามขน้ั ตอน การเผยแพรผ่ ลงานการวจิ ยั ได้อย่างถูกตอ้ ง ชดั เจน ๖.ทักษะ ๑. อธิบายความหมายความสาคญั ของ ๑. ความหมายความสาคัญของศกั ย การเรยี นรู้ ศักยภาพหลักในการพฒั นาอาชีพหลกั ในการพัฒนาอาชีพหลัก และ ศักยภาพ ๒. สามารถวเิ คราะหศ์ ักยภาพหลักของพน้ื ท่ีใน ๒. การวเิ คราะห์ศกั ยภาพหลักของพ

วิเคราะหเ์ นอื้ หา จานวน รูปแบบการจดั การเรียนรู้ งา่ ย ปานกลาง ยาก ชว่ั โมง ตนเอง รายงาน พบกลุ่ม เข้าคา่ ย อบรม รศึกษา  ๙   การ  15  บเทียบ ม วเิ คราะห์ ะกอบการ ามหมาย  6     6  12  ายและ  6 15  15  ยภาพหลัก  14  พืน้ ท่ีใน

เร่อื ง ตวั ช้ีวดั เนือ้ หา หลักใน การพฒั นาอาชพี การพฒั นาอาชีพ พน้ื ทก่ี าร พัฒนา ๓. สามารถบอกหรือยกตัวอย่างเก่ียวกบั ๓. สามารถบอกหรือยกตวั อย่างเกีย่ อาชีพ ศกั ยภาพหลกั ของพน้ื ที่ของตนได้ ศกั ยภาพหลักของพนื้ ท่ีของตนได้ ๔. ยกตวั อย่างอาชีพทสี่ อดคล้องกับศกั ยภาพ ๔. ตัวอยา่ งอาชพี ทส่ี อดคล้องกับศัก หลักของพ้นื ที่ของตนได้ หลักของพ้ืนที่

วิเคราะห์เน้ือหา จานวน รปู แบบการจดั การเรียนรู้ งา่ ย ปานกลาง ยาก ช่วั โมง ตนเอง รายงาน พบกลุ่ม เข้าค่าย อบรม ยวกับ กยภาพ  6 

แผนการจัดการเรียนรคู้ รั้งที่ 1 (ปฐมนเิ ทศ) กลุ่มสาระทกั ษะการเรยี นรู้ รายวชิ า ทักษะการเรียนรู้ ทร๒1001 ระดบั มัธยมศึกษาตอนต้น แผนการจดั การเรยี นรู้ เรอื่ ง ปฐมนเิ ทศนักศึกษา เวลาสอน 3 ชั่วโมง สอนวันที.่ .........เดอื น...................................พ.ศ. ...................ภาคเรยี นที.่ ............ปกี ารศกึ ษา.................... มาตรฐานการเรียนรู้ ความรู้เกีย่ วกับการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพื้นฐาน ตวั ช้ีวัด 1.มคี วามรู้และเข้าใจในการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 2.มคี วามรคู้ วามเข้าใจเกยี่ วกับวิธีเรยี น กศน. รปู แบบการเรียนรู้ ตลอดจนภารกจิ กจิ กรรม กศน. 3.นักศึกษาสามารถปฏบิ ตั ติ น ในการเรยี น กศน. เน้อื หา 1.โครงสร้างหลกั สตู ร 2.กจิ กรรมพฒั นาคุณภาพชวี ิต (กพช.) 3.เกณฑ์การจบหลักสตู ร 4.การจัดการเรียนการสอน คุณธรรม 1.เข้าใจหลกั การศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้นั พนื้ ฐาน พทุ ธศักราช 2551 2.มเี จตคติท่ีดีและเหน็ ความสาคญั ของการศึกษา กระบวนการจัดการเรียนรู้ - ครใู หค้ วามรู้ความเข้าใจการปฏิบัติตนในการเป็นนักศึกษา กศน. สอื่ การเรียนการสอน - คู่มือนกั ศึกษา - ตารางพบกลุม่ การวัดผลประเมนิ - การร่วมกิจกรรมกลุ่ม ความคดิ เหน็ และขอ้ เสนอแนะของผบู้ ริหารสถานศกึ ษา พิจารณาแลว้ .......................................................................................................................................... ......................................................................................................... ...................................................... ลงชอื่ (นางสาวปรารถนา ชีโพธ์ิ) ผู้อานวยการศูนย์การศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั อาเภอบางระจัน วันท่ี ........... เดือน ................. พ.ศ. ...........

บนั ทกึ หลังการสอน ความสาเร็จในการจดั การเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................................................................ .. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................................................................................................. ............ ปัญหา / อปุ สรรค ในการจดั การเรียนการสอน .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. แนวทางการแก้ปญั หา ............................................................................................................................. ................................................. ..................................................................................................................................................................... ......... .......................................................................................................................... .................................................... ............................................................................................................................. ................................................. ........................................................................................................................................................... ................... ลงชื่อ.............................................ครูผ้สู อน (..............................................) คร.ู ........................................... วนั ท่.ี .........เดอื น...........................พ.ศ. ........................ ขอ้ เสนอแนะของผู้บรหิ ารสถานศกึ ษา ............................................................................................................................................................ .................. ................................................................................................................. ............................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................................................................................. ............................ ....................................................................................................... ....................................................................... ลงช่ือ ผู้บงั คบั บญั ชา (นางสาวปรารถนา ชโี พธิ์) ผ้อู านวยการศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอบางระจัน

แผนการจัดการเรยี นรคู้ ร้ังที่ 2 (พบกลมุ่ ) กล่มุ สาระทักษะการเรยี นรู้ รายวชิ า ทักษะการเรียนรู้ ทร๒1001 ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 เร่ือง การเรียนรูด้ ว้ ยตนเอง แผนการจดั การเรยี นรู้ เรอ่ื ง ความหมายและความสาคญั ของการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง เวลาสอน 6 ช่ัวโมง สอนวนั ที.่ ........... เดือน..............................พ.ศ. .....................ภาคเรียนที่.............ปีการศกึ ษา..................... มาตรฐานการเรยี นรู้ มีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะและเจตคติที่ดีต่อการเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง ตวั ชวี้ ดั 1.สามารถวิเคราะห์ความรู้จากาการอ่าน การฟงั การสังเกต และสรุปได้ถูกต้อง 2.สามารถจัดระบบการแสวงหาความร้ใู หก้ บั ตนเอง 3.ปฏบิ ัติตามข้นั ตอนในการแสวงหาความรู้เกีย่ วกบั ทักษะการอา่ น ทักษะการฟงั และทักษะการจดบนั ทกึ สาระสาคญั การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองเป็นกระบวนการเรยี นรู้ที่ผเู้ รียนริเร่มิ การเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง ตามความสนใจ ความต้องการ และความถนัดมีเปา้ หมาย รู้จกั แสวงหาแหล่งทรัพยากรของการเรียนรู้ เลอื กวธิ กี ารเรยี นรู้ จนถึงการประเมินความ ก้าวหน้าของการเรียนรดู้ ้วยตนเอง โดยจะดาเนนิ การดว้ ยตนเองหรอื ร่วมมอื ชว่ ยเหลอื กับผูอ้ น่ื หรอื ไม่ก็ได้ ซง่ึ การแสวงหาการศกึ ษาระดบั ทส่ี ูงขึ้น จาเปน็ ต้องรวู้ ธิ วี นิ ิจฉยั ความตอ้ งการในการเรยี น ของตนเอง สามารถกาหนดเป้าหมายในการเรยี นรู้ของตนเอง สามารถระบุความรู้ทตี่ ้องการ และวางแผน การใช้ยุทธวิธี สอ่ื การเรียน และแหลง่ เรียนรู้เหลา่ น้ัน หรอื แม้แตป่ ระเมนิ และตรวจสอบความถกู ต้องของผล การเรยี นรู้ของตนเอง มาตรฐานการเรยี นรสู้ ามารถวิเคราะห์เหน็ ความสาคัญ และปฏบิ ัติการแสวงหาความรู้ จากการอ่าน ฟัง และสรุปได้ถูกต้องตามหลกั วิชาการ เนือ้ หา ความหมายและความสาคัญของการเรียนรดู้ ้วยตนเอง คุณธรรม 1. เพื่อการพัฒนาตน 2. เพอ่ื การพฒั นาการทางาน 3. เพือ่ การพฒั นาการอยูร่ ว่ มกันในสังคม 4. เพ่อื การพฒั นาประเทศชาติ

กระบวนการจัดการเรียนรู้ ข้นั นา - การนาเข้าสบู่ ทเรียนดว้ ยวิธกี าร ทักทายผู้เรียน และชี้แจงบอกวัตถปุ ระสงค์การเรียนรู้เร่ือง ความหมายและความสาคญั ของการเรียนรู้ด้วยตนเอง - ครใู ห้ผู้เรียนทาแบบทดสอบก่อนเรยี น คร้งั ท่ี 1 ขั้นสอน - ครอู ธิบายความหมายและความสาคัญของการเรียนรูด้ ว้ ยตนเองและเปิดโอกาสให้ผูเ้ รยี นซกั ถาม - ผเู้ รียนใชแ้ บบเรยี นวิชาทักษะการเรียนรู้ เปิดเน้ือหา บทที่ 1 การเรียนรดู้ ้วยตนเอง เรอ่ื งความหมาย และความสาคญั ของการเรียนร้ดู ้วยตนเอง - ครใู ห้ผเู้ รียนสแกน QR Code ใบความร้เู รอื่ งการเรยี นรูด้ ้วยตนเอง(เพ่ิมเติม) -ใหผ้ ูเ้ รียนแบ่งกลมุ่ 2-3 คน เพอ่ื ทากจิ กรรม “บัณฑิตสูงวัย” ซ่ึงมวี ตั ถุประสงค์เพอื่ ให้ผู้เรียนทราบ และเข้าใจในแนวคิดการเรียนรดู้ ้วยตนเอง และความพร้อมในการ เรยี นรู้ด้วยตนเองและเพอื่ นาไปสู่ลกั ษณะ การเรยี นรูด้ ้วยตนเองที่ใฝเ่ รียนรู้ เหน็ คณุ คา่ ของการเรยี นรู้ ความสามารถทจี่ ะเรียนรู้ดว้ ยตนเองมีความ รับผดิ ชอบในการเรยี นรู้ การมองอนาคตในแงด่ ี รวมท้ังเห็นความสาคญั และตระหนักในความพร้อมในการ เรียนรูด้ ้วยตนเอง - ครูสุม่ ผเู้ รยี นใหน้ าเสนอผลจาการทากิจกรรม “บณั ฑิตสงู วยั ” หนา้ ชนั้ เรยี น และฟังการนาเสนอ ผลงานของทุกกลุ่มพร้อมทาการสรปุ เน้อื หาสาระที่ไดน้ าเสนอ - ครใู หผ้ ูเ้ รยี นทาใบงาน เร่ืองความหมายและความสาคัญของการเรียนรดู้ ้วยตนเอง - ครูให้ผเู้ รียนทาแบบทดสอบหลงั เรียน ครั้งท่ี 1 - ครูและผ้เู รยี นรว่ มกันเฉลยแบบทดสอบกอ่ นเรียน-หลังเรียน ครัง้ ท่ี 1 ขน้ั สรปุ - ครแู ละผ้เู รียนร่วมกนั สรปุ หลงั จากทุกกล่มุ นาเสนอผลงานหนา้ ชั้นเรยี น - ครูใหค้ วามรู้เพ่ิมเติมในส่วนท่ยี งั ไม่สมบูรณ์ - ครเู ช่อื มโยงกจิ กรรมทีผ่ ู้เรยี นไดป้ ฏิบัติกบั เน้ือหาในเร่ืองของปจั จยั ทที่ าใหก้ ารเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง ประสบความสาเรจ็ ส่ือและแหล่งเรยี นรู้ 1. หนงั สอื แบบเรียน 2. ใบความรู้ 3. ใบงาน

การวดั และประเมนิ ผล 1. สังเกตพฤติกรรมระหว่างการเรียนรู้ 2. วดั ความรู้จากการทากจิ กรรมในใบงาน 3. การนาเสนอผลการเรียนรู้ 4. แบบทดสอแหลง่ การเรยี นรู้/สืบค้นข้อมลู เพ่ิมเติม 1. ห้องสมดุ ประชาชน 2. กศน.ตาบล 3. แหล่งข้อมลู สารสนเทศ 4. Internet 5. ภมู ิปญั ญา / แหลง่ เรยี นรู้ ความคิดเหน็ และขอ้ เสนอแนะของผู้บริหารสถานศกึ ษา พิจารณาแล้ว.................................................................................................................. ........................ ............................................................................................................................. .................................. ลงช่อื (นางสาวปรารถนา ชโี พธ์ิ) ผอู้ านวยการศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอาเภอบางระจนั วันที่ ........... เดอื น ................. พ.ศ. ...........

บนั ทึกหลังการสอน ความสาเร็จในการจัดการเรียนการสอน ..................................................................................................... ......................................................................... ............................................................................................................................. ................................................. ...................................................................................................................................... ........................................ ........................................................................................... ................................................................................... ............................................................................................................................. ................................................. ปญั หา / อปุ สรรค ในการจัดการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................................. ...................................................................................................................................................................... ........ ........................................................................................................................... ................................................... ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................................................ .................. แนวทางการแกป้ ญั หา .............................................................................................. ................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................... ............................................... .................................................................................... .......................................................................................... ............................................................................................................................. ................................................. ลงชื่อ.............................................ครผู สู้ อน (..............................................) ครู............................................ วนั ท่ี..........เดือน...........................พ.ศ. ........................ ข้อเสนอแนะของผบู้ รหิ ารสถานศึกษา ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................................................................................ .............................. ..................................................................................................... ......................................................................... ............................................................................................................................. ................................................. ...................................................................................................................................... ........................................ ลงชอื่ ผบู้ ังคบั บญั ชา (นางสาวปรารถนา ชโี พธิ์) ผู้อานวยการศูนยก์ ารศึกษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั อาเภอบางระจัน

แบบทดสอบกอ่ นเรียน-หลังเรียน ครงั้ ที่ 1 1. ข้อใดไม่ใช่ความสาคัญของการเรียนรูด้ ้วยตนเอง ก. ทาให้ผเู้ รียนมีความต้ังใจและมแี รงใจสงู ข. ทาให้เปน็ คนมีความคิดรเิ ริ่มสร้างสรรค์ ค. มีเหตุผลและทางานรว่ มกับผ้อู ่ืนได้ ง. มรี ะเบยี บวนิ ัยในตนเองสงู 2. การเรียนรูด้ ว้ ยตนเองมกี ี่ลักษณะ ก.2 ข.3 ค.4 ง. 5 3. ส่ิงท่เี ปน็ ตวั ควบคมุ ทีส่ าคัญทีส่ ดุ ต่อการเรียนรดู้ ว้ ยตนเองคืออะไร ก. ความเช่ือมนั่ ในตวั เอง ข. ความซื่อสัตย์ต่อตนเอง ค. ความอยากรู้อยากเหน็ ง. ความรับผิดชอบตอ่ ตนเอง 4. ขอ้ ใดคือการเรียนรู้ด้วยตนเอง ก.น้อยชอบลอกการบ้านเพ่ือน ข. นิดทานา้ ส้มปนั่ ตามทีค่ รแู นะนา ค.หนอ่ ยชอบดสู าระคดีชีวิตสัตวโ์ ลกทางอินเตอร์เน็ต ง. นุชสอนนอ้ งใหร้ จู้ ักวธิ ีสบื ค้นข้อมลู จากอนิ เตอรเ์ นต็ 5. การเรยี นรูด้ ว้ ยตนเองแบบ กศน.คือการเรยี นในขอ้ ใด ก. มแี รงจงู ใจอยากเรียนก็เรยี น ข. แสวงหาความรู้ดว้ ยตนเองทงั้ หมด ค. มีการวางแผนและใช้สญั ญาการเรียนรู้ ง. ผเู้ รียนต้องบรหิ ารเวลารับผิดชอบตนเองท้งั หมด 6.ข้อใดไมใ่ ชอ่ งค์ประกอบของการเรยี นรู้ ก.วางแผนการเรยี น ข.วิเคราะห์ความต้องการ ค.ตรวจสอบและติดตามผล ง.กาหนดจุดมุ่งหมายในการเรียน 7. เหตุใดจงึ ต้องมีการทาสัญญาการเรียนรู้ ก.เพื่อใหผ้ ู้เรยี นควบคุมตนเองได้ ข.เพือ่ ควบคมุ ความประพฤติของผเู้ รยี น ค.เพือ่ กาหนดให้ผู้เรียนมีแนวทางในการเรียน ง.เพ่ือควบคมุ คุณภาพของผ้เู รียนใหม้ มี าตรฐานตามทส่ี งั คมยอมรับ 8. ส่ิงหนึ่งท่ีนามาใช้ในการประเมินผลการเรียนแบบการเรียนรดู้ ้วยตนเอง คือข้อใด ก.การสงั เกต ข.การมสี ว่ นรว่ ม ค.แฟม้ สะสมงาน ง.พฤติกรรมกลมุ่ 9.ขอ้ ใดคือ“ การเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง ” ก. ลนิ ดาโทรศัพท์สอบถามอาจารย์ ข. กนกจา้ งครูมาสอน ค. อุษาสบื ค้นขอ้ มูลทางอินเทอร์เนต็ ง. โสพายืมหนงั สอื เพื่อนมาอา่ น 10. การเรยี นรู้ด้วยตนเองขน้ั ตอนแรกคอื ข้อใด ก. การออกแบบการเรียน ข. การกาหนดจดุ มุ่งหมาย ค. จัดหาแหลง่ เรียนรู้ ง. การวิเคราะห์ความตอ้ งการในการเรยี น

ใบความรู้ เรอ่ื งการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง ในปัจจุบันโลกมีความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีความรู้ต่างๆได้เพิ่มข้ึนเป็นอันมาก การเรียนรู้จากสถาบนั การศึกษาไมอ่ าจทาใหบ้ คุ คลศึกษาความรู้ได้ครบทง้ั หมดการไขวค่ ว้าหาความรู้ด้วยตนเอง จงึ เป็นอีกวิธีหน่ึงที่จะสนองความต้องการของบุคคลได้เพราะเม่ือใดก็ตามท่ีบุคคลมีใจรักท่ีจะศึกษาค้นคว้าสิ่งที่ ตนต้องการจะรู้บุคคลนั้นก็จะดาเนินการศึกษาเรียนรู้อย่างต่อเน่ืองโดยไม่มีใครต้องบอกประกอบกับระบบ การศึกษาและปรัชญาการศึกษาเพื่อเตรียมคนให้สามารถเรียนรู้ได้ตลอดชีวิตแสวงหาความรู้ด้วยตนเองใฝ่หา ความรู้รูแ้ หลง่ ทรัพยากรการเรียนรู้วิธีการหาความรู้มีความสามารถในการคิดเป็นทาเป็นแก้ปัญหาเป็นมีนิสัยใน การทางานและการดารงชีวิตและมีสว่ นร่วมในการปกครองประเทศ การเรยี นรดู้ ้วยตนเองสามารถช่วยใหผ้ เู้ รียนพฒั นาและเพ่ิมศักยภาพของตนเองโดยการค้นพบความสามารถ และสิ่งท่มี ีคุณคา่ ในตนเองท่เี คยมองข้ามไป (“...it is possible to help learners expand their potential by discovered thatwhich is yet untapped…”) (Brockett &Hiemstra, 1991) ความหมายและความสาคญั ของการเรยี นรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้เป็นเรื่องของทุกคนศักดิ์ศรีของผู้เรียนจะมีได้เมื่อมีโอกาสในการเลือกเรียนในเรื่องที่ หลากหลายและมีความหมายแก่ตนเองการเรียนรู้มีองค์ประกอบ 2 ด้านคือองค์ประกอบภายนอกได้แก่ สภ าพ แวดล้ อมโรงเรียนสถานศึกษ าสิ่งอานวยความสะดวกแ ละครูองค์ป ระกอบภ ายในได้แก่การคิดเป็ น พ่ึงตนเองได้มีอิสรภาพใฝ่รู้ ใฝ่สร้างสรรค์มีความคิดเชิงเหตุผลมีจิตสานึกในการเรียนรู้มีเจตคติเชิงบวกต่อการ เรียนรู้การเรียนรู้ที่เกิดข้ึนมิได้เกิดขึ้นจากการฟังคาบรรยายหรือทาตามท่ีครูผู้สอนบอกแต่อาจเกิดขึ้นได้ใน สถานการณ์ตา่ ง ๆ ตอ่ ไปนี้ 1. การเรยี นร้โู ดยบงั เอญิ การเรียนรู้แบบนีเ้ กิดข้ึนโดยบังเอิญมไิ ดเ้ กดิ จากความตั้งใจ 2. การเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นการเรียนรู้ด้วยความต้ังใจของผู้เรียนซึ่งมีความปรารถนาจะรู้ในเร่ืองน้ัน ผู้เรียนจึงคิดหาวิธีการเรียนด้วยวิธีการต่าง ๆ หลังจากนั้นจะมีการประเมินผลการเรียนรู้ด้วยตนเองจะเป็น รปู แบบการเรียนรู้ท่ีทวีความสาคัญในโลกยุคโลกาภิวัฒน์บุคคลซึ่งสามารถปรับตนเองให้ตามทันความก้าวหน้า ของโลกโดยใช้สอ่ื อปุ กรณย์ ุคใหมไ่ ดจ้ ะทาให้เปน็ คนที่มีคุณคา่ และประสบความสาเร็จได้อยา่ งดี ความพรอ้ มในการเรยี นรดู้ ้วยตนเอง ในการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นบุคลิกลักษณะส่วนบุคคลของผู้เรียนที่ต้องการให้เกิดข้ึนในตัวผู้เรียนตาม เป้าหมายของการศึกษาผู้เรียนท่ีมีความพร้อมในการเรียนด้วยตนเองจะมีความรับผิดชอบส่วนบุคคลความ รับผิดชอบต่อความคดิ และการกระทาของตนเองสามารถควบคมุ และโตต้ อบสถานการณส์ ามารถควบคุมตนเอง ให้เปน็ ไปในทศิ ทางที่ตนเลอื กโดยยอมรับผลท่ีเกิดข้ึนจากการกระทาที่มาจากความคิดตัดสินใจของตนเอง 3. การเรียนรู้โดยกลุ่มการเรียนรู้แบบนี้เกิดจากการที่ผู้เรียนรวมกลุ่มกันแล้วเชิญผู้ทรงคุณวุฒิมา บรรยายใหก้ ับสมาชกิ ทาให้สมาชกิ มคี วามรู้เรือ่ งท่วี ิทยากรพดู 4. การเรียนรู้จากสถาบันการศึกษาเป็นการเรียนแบบเป็นทางการมีหลักสูตรการประเมินผลมี ระเบียบการเข้าศึกษาทีชัดเจนผู้เรียนต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบทีกาหนดเม่ือปฏิบัติครบถ้วนตามเกณฑ์ที่ กาหนดก็จะได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรจากสถานการณ์การเรียนรู้ดังกล่าวจะเห็นได้ว่าการเ รียนรู้อาจ เกิดได้หลายวิธีและการเรียนรนู้ ั้นไม่จาเป็นต้องเกิดข้ึนในสถาบันการศึกษาเสมอไปการเรยี นรู้อาจเกิดข้ึนได้จาก

การเรียนรู้ด้วยตนเองหรือจากการเรยี นโดยกลุ่มก็ได้และการท่ีบุคคลมีความตระหนักเรียนรู้อยู่ภายในจิตสานึก ของบุคคลนั้นการเรียนรู้ด้วยตนเองจึงเป็นตัวอย่างของการเรียนรู้ในลักษณะท่ีเป็นการเรียนรู้ท่ีทาให้เกิดการ เรียนรตู้ ลอดชวี ิตซงึ่ มีความสาคญั สอดคล้องกับกาเปล่ียนแปลงของโลกปัจจบุ ันและสนับสนนุ สภาพ “สังคมแห่ง การเรยี นรู้” ได้เป็นอยา่ งดี การเรียนรู้ด้วยตนเองคอื อะไร เม่ือกลา่ วถึงการเรียนดว้ ยตนเองแล้วบุคคลโดยท่วั ไปมักจะเข้าใจว่าเป็นการเรียนท่ีผ้เู รียนทาการศึกษา ค้นคว้าด้วยตนเองตามลาพังโดยไม่ต้องพึ่งพาผู้สอนแต่แท้ที่จริงแล้วการเรียนด้วยตนเองที่ต้องการให้เกิดขึ้นใน ตวั ผู้เรียนน้ันเป็นกระบวนการเรียนร้ทู ี่ผู้เรียนริเร่ิมการเรียนรูด้ ้วยตนเองตามความสนใจความตอ้ งการและความ ถนัดมีเป้าหมายรู้จักแสวงหาแหล่งทรัพยากรของการเรียนรู้เลือกวิธีการเรียนรู้จนถงึ การประเมินความก้าวหน้า ของการเรยี นรขู้ องตนเองโดยจะดาเนนิ การดว้ ยตนเองหรือรว่ มมือชว่ ยเหลือกับผู้อ่นื หรอื ไม่ก็ไดซ้ ึ่งผู้เรียนจะต้อง มีความรับผิดชอบและเป็นผู้ควบคุมการเรียนของตนเองทั้งน้ีการเรียนด้วยตนเองนั้นมีแนวคิดพ้ืนฐานมาจาก แนวคิดทฤษฎีกลุ่มมนุษย์นิยมท่ีมีความเชื่อในเร่ืองความเป็นอิสระและความเป็นตัวของตัวเองของมนุษย์ว่า มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความดีมีความเป็นอิสระเป็นตัวของตัวเองสามารถหาท างเลือกของตนเองมี ศักยภาพและสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเองได้อย่างไม่มีขีดจากัดรวมทั้งมีความรับผิดชอบต่อตนเองและ ผู้อ่ืนซึ่งการเรียนด้วยตนเองกอ่ ให้เกิดผลในทางบวกต่อการเรียนโดยจะส่งผลให้ผู้เรียนมีความเช่ือม่ันในตนเองมี แรงจงู ใจในการเรยี นมากขึน้ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสงู ข้ึนและมกี ารใช้วธิ ีการเรียนที่หลากหลายการเรียนดว้ ย ตนเองจงึ เป็นมาตรฐานการศึกษาที่ควรสง่ เสริมให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนทุกคนเพราะเมื่อใดก็ตามที่ผู้เรียนมีใจรักที่ จะศึกษาค้นคว้าจากความต้องการของตนเองผู้เรียนกจ็ ะมีการศึกษาค้นควา้ อยา่ งตอ่ เนื่องตอ่ ไปโดยไม่ต้องมใี คร บอกหรือ“การเรียนรู้เป็นเพื่อนที่ดีท่ีสุดของมนุษย์”(LEARNING makes a man fit company for himself) ... (Young)... การเรียนด้วยตนเองมีอยู่ 2 ลักษณะคือลักษณะที่เป็นการจัดการเรียนรู้ที่มี่จุดเน้นให้ผู้เรียนเป็น ศูนย์กลางในการเรียนโดยเป็นผู้รับผิดชอบและควบคุมการเรียนของตนเองโดยการวางแผนปฏิบัติการเรียนรู้ และประเมินการเรียนรู้ด้วยตนเองซึ่งไม่จาเป็นจะต้องเรียนด้วยตนเองเพียงคนเดียวตามลาพังและผู้เรียน สามารถถ่ายโอนการเรียนรู้และทักษะที่ได้จากสถานการณ์หนึ่งไปยังอีกสถานการณ์หน่ึงได้ในอีกลักษณะหนึ่ง เป็นลักษณะทางบุคลิกภาพที่มีอยู่ในตัวผู้ท่ีเรียนด้วยตนเองทุกคนซ่ึงมีอยู่ในระดับที่ไม่เท่ากันในแต่ละ สถานการณ์การเรียนโดยเป็นลักษณะที่สามารถพัฒนาให้สูงข้ึนได้และจะพัฒนาได้สูงสุดเมื่อมีการจัดสภาพการ จดั การเรียนร้ทู ่ีเอ้ือกนั การเรยี นรู้ด้วยตนเองมคี วามสาคัญอย่างไร การเรียนรู้ด้วยตนเอง (Self-Directed Learning) เป็นแนวทางการเรียนรู้หน่ึงที่สอดคล้องกับการ เปลี่ยนแปลงของสภาพปัจจุบันและเป็นแนวคิดที่สนับสนุนการเรียนรู้ตลอดชีวิตของสมาชิกในสังคมสู่การเป็น สังคมแห่งการเรียนรู้โดยการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นการเรียนรู้ท่ีทาให้บุคคลมีการริเริ่ มการเรียนรู้ด้วยตนเองมี เป้าหมายในการเรียนรู้ท่ีแน่นอนมีความรับผิดชอบในชีวิตของตนเองไม่พึ่งคนอื่นมีแรงจูงใจทาให้ผู้เรียนเป็น บคุ คลท่ีใฝร่ ู้ใฝ่เรียนที่มีการเรียนรู้ตลอดชีวิตเรียนรู้วิธีเรียนสามารถเรียนรู้เรื่องราวต่าง ๆ ได้มากกว่าการเรียนท่ี มคี รูป้อนความรู้ให้เพียงอย่างเดยี วการเรียนรูด้ ้วยตนเองไดน้ ับวา่ เป็นคุณลักษณะท่ีดีท่ีสดุ ซึง่ มอี ยใู่ นตัวบคุ คลทุก คนผู้เรียนควรจะมคี ุณลักษณะของการเรยี นรู้ดว้ ยตนเองการเรียนรู้ด้วยตนเองจัดเป็นกระบวนการเรียนรู้ตลอด ชีวิตยอมรับในศักยภาพของผู้เรียนว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถท่ีจะเรียนรู้ส่ิงต่าง ๆ ได้ด้วยตนเองเพ่ือที่

ตนเองสามารถที่ดารงชวี ิตอยใู่ นสังคมท่มี ีการเปล่ียนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้อย่างมีความสุขดังน้ันการเรียนรู้ดว้ ย ตนเองมคี วามสาคัญดงั น้ี 1. บุคคลที่เรียนรู้ด้วยการริเร่ิมของตนเองจะเรียนได้มากกว่าดีกว่ามีความต้ังใจมีจุดมุ่งหมายและมี แรงจูงใจสูงกว่าสามารถนาประโยชน์จากการเรียนรู้ไปใช้ได้ดีกว่าและยาวนานกวา่ คนท่ีเรียนโดยเป็นเพียงผู้รับ หรือรอการถ่ายทอดจากครูการเรียนด้วยตนเอง(Self-Directed Learning) เป็นกระบวนการเรียนรู้ท่ีผู้เรียน ริเริ่มการเรียนรดู้ ้วยตนเองตามความสนใจความต้องการและความถนัดมเี ปา้ หมายรู้จักแสวงหาแหล่งทรพั ยากร ของการเรียนรู้เลือกวิธีการเรียนรู้จนถึงการประเมินความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของตนเองโดยจะดาเนินการ ด้วยตนเองหรือร่วมมือช่วยเหลือกับผู้อ่ืนหรือไม่ก็ได้ซ่ึงผู้เรียนจะต้องมีความรับผิดชอบและเป็นผู้ควบคุมการ เรยี นของตนเอง 2. การเรียนรู้ด้วยตนเองสอดคล้องกับพัฒนาการทางจิตวิทยาและกระบวนการทางธรรมชาติทาให้ บุคคลมีทิศทางของการบรรลุวุฒิภาวะจากลักษณะหนึ่งไปสู่อีกลักษณะหน่ึงคือเมื่อตอนเด็ก ๆ เป็นธรรมชาติท่ี จะต้องพงึ่ พิงผู้อ่ืนต้องการผปู้ กครองปกปอ้ งเลยี้ งดแู ละตัดสินใจแทนให้เมอื่ เติบโตมพี ัฒนาการขึ้นเรือ่ ย ๆ พฒั นา ตนเองไปสู่ความเป็นอิสระไม่ตอ้ งพึ่งพิงผู้ปกครองครูและผู้อ่ืนการพัฒนาเป็นไปในสภาพที่เพ่ิมความเป็นตัวของ ตัวเอง 3. การเรียนรดู้ ้วยตนเองทาให้ผ้เู รียนมคี วามรบั ผดิ ชอบซ่ึงเป็นลักษณะทสี่ อดคล้องกับพัฒนาการใหม่ๆ ทางการศกึ ษาเชน่ หลกั สูตรหอ้ งเรียนแบบเปิดศูนยบ์ ริการวชิ าการการศึกษาอยา่ งอสิ ระมหาวทิ ยาลัยเปิดลว้ น เนน้ ใหผ้ ู้เรียนรบั ผิดชอบการเรยี นรู้เอง 4. การเรียนรู้ด้วยตนเองทาให้มนุษย์อยู่รอดการมีความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆเกิดข้ึนเสมอทาให้มีความ จาเปน็ ที่จะตอ้ งศึกษาเรียนรู้การเรยี นรูด้ ว้ ยตนเองจึงเปน็ กระบวนการต่อเนอ่ื งตลอดชวี ติ การเรยี นรดู้ ว้ ยตนเองมลี กั ษณะอยา่ งไร การเรียนรูด้ ว้ ยตนเองสามารถจาแนกออกเปน็ 2 ลกั ษณะสาคญั ดงั น้ี 1. ลักษณะที่เป็นบุคลิกคุณลักษณะส่วนบุคคลของผู้เรียนในการเรียนด้วยตนเองจัดเป็นองค์ประกอบ ภายในที่จะทาให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจอยากเรียนต่อไปโดยผู้เรยี นท่ีมีคุณลักษณะในการเรียนด้วยตนเองจะมีความ รับผิดชอบต่อความคิดและการกระทาเก่ียวกับการเรียนรวมท้ังรับผิดชอบในการบริหา รจัดการตนเองซึ่งมี โอกาสเกิดขนึ้ ได้สูงสุดเมือ่ มกี ารจัดสภาพการเรียนรู้ที่ส่งเสรมิ กนั 2. ลักษณะที่เป็นการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้เรียนด้วยตนเองประกอบด้วยข้ันตอนการวางแผนการ เรียนการปฏิบัติตามแผนและการประเมินผลการเรียนจัดเป็นองค์ประกอบภายนอกท่ีส่งผลต่อการเ รียนด้วย ตนเองของผู้เรียนซ่ึงการจัดการเรียนรู้แบบน้ีผู้เรียนจะได้ประโยชน์จากการเรียนมากที่สุด Knowles (1975) เสนอให้ใช้สัญญาการเรียน (Learning contracts) เป็นการมอบหมายภาระงานให้แก่ผู้เรียนว่าจะต้องทา อะไรบ้างเพ่อื ให้ได้รับความรู้ตามเป้าประสงค์และผูเ้ รยี นจะปฏบิ ัตติ ามเง่ือนไขน้ัน องค์ประกอบของการเรยี นรู้ดว้ ยตนเองมีอะไรบา้ ง การเรียนรู้ดว้ ยตนเองเป็นคุณลักษณะที่สาคัญต่อการดาเนนิ ชีวิตท่ีมปี ระสิทธิภาพช่วยให้ผ้เู รยี นมีความ ตง้ั ใจและมีแรงจูงใจสูงมีความคิดรเิ ร่ิมสร้างสรรค์มีความยืดหยุ่นมากข้ึนมีการปรับพฤติกรรมการทางานร่วมกับ ผู้อืน่ ได้ร้จู ักเหตุผลร้จู ักคิดวเิ คราะห์ปรับและประยุกต์ใช้วิธีการแก้ปัญหาของตนเองจดั การกับปญั หาไดด้ ีข้ึนและ สามารถนาประโยชนข์ องการเรียนรูไ้ ปใช้ได้ดแี ละยาวนานขึ้นทาใหผ้ เู้ รียนประสบความสาเรจ็ ในการเรยี น

องคป์ ระกอบของการเรยี นร้ดู ้วยตนเองมดี งั น้ี 1. การวิเคราะห์ความต้องการของตนเองจะเร่ิมจากให้ผู้เรียนแต่ละคนบอกความต้องการและความ สนใจของตนในการเรียนกับเพื่อนอีกคนทาหน้าท่ีเป็นท่ีปรึกษาแนะนาและเพ่ือนอีกคนทาหน้าท่ีจดบันทึกและ ให้กระทาเช่นนี้หมุนเวียนท้ัง 3 คนแสดงบทบาทครบทั้ง 3 ด้านคือผู้เสนอความต้องการผู้ให้คาปรึกษาและผู้ คอยจดบนั ทกึ การสังเกตการณ์เพ่ือประโยชน์ในการเรียนร่วมกนั และช่วยเหลือซง่ึ กนั และกันในทุกๆดา้ น 2. การกาหนดจุดมุ่งหมายในการเรียนโดยเร่ิมจากบทบาทของผู้เรียนเป็นสาคัญผู้เรียนควรศึกษา จุดมุ่งหมายของวิชาแล้วเขียนจุดมุ่งหมายในการเรียนของตนให้ชัดเจนเน้นพฤติ กรรมท่ีคาดหวังวัดได้มีความ แตกตา่ งของจดุ มุง่ หมายในแต่ละระดบั 3. การวางแผนการเรียนให้ผู้เรียนกาหนดแนวทางการเรียนตามวัตถุประสงค์ที่ระบุไว้จัดเนื้อหาให้ เหมาะสมกับสภาพความต้องการและความสนใจของตนระบกุ ารจดั การเรยี นรใู้ ห้เหมาะสมกับตนเองมากท่สี ุด 4. การแสวงหาแหล่งวทิ ยาการท้ังทเ่ี ป็นวสั ดแุ ละบุคคล 4.1 แหลง่ วิทยาการทเี่ ปน็ ประโยชน์ในการศึกษาคน้ ควา้ เช่นห้องสมุดพิพิธภณั ฑเ์ ป็นต้น 4.2 ทกั ษะต่าง ๆ ที่มีส่วนช่วยในการแสวงแหลง่ วทิ ยาการได้อยา่ งสะดวกรวดเรว็ เช่น ทักษะการต้ัง คาถามทกั ษะการอ่านเป็นต้น 5. การประเมนิ ผลควรประเมินผลการเรียนดว้ ยตนเองตามท่กี าหนดจุดม่งุ หมายของการเรียนไว้และให้ สอดคลอ้ งกบั วตั ถปุ ระสงคเ์ กีย่ วกบั ความรคู้ วามเข้าใจทักษะทศั นคติคา่ นยิ มมขี นั้ ตอนในการประเมินคือ 5.1 กาหนดเป้าหมายวตั ถุประสงคใ์ หช้ ดั เจน 5.2 ดาเนนิ การให้บรรลุวัตถุประสงค์ซ่ึงเปน็ ส่งิ สาคัญ 5.3 รวบรวมหลกั ฐานจากผลการประเมินเพอ่ื ตัดสนิ ใจซึ่งตอ้ งตั้งอยู่บนพ้นื ฐานของข้อมลู ทีส่ มบูรณ์ และเชื่อถือได้ 5.4 เปรยี บเทียบขอ้ มูลก่อนเรยี นกับหลังเรียนเพื่อดวู า่ ผู้เรยี นมีความก้าวหนา้ เพียงใด 5.5 ใช้แหลง่ ขอ้ มลู จากครูและผ้เู รียนเปน็ หลกั ในการประเมิน องค์ประกอบของการเรียนรู้ด้วยตนเองผู้เรียนควรมีการวิเคราะห์ความต้องการวิเคราะห์เนื้อหากาหนด จุดมุ่งหมายและการวางแผนในการเรียนมีความสามารถในการแสวงหาแหล่งวิทยาการและมีวิธีในการ ประเมินผลการเรียนรู้ด้วยตนเองโดยมีเพื่อนเป็นผู้ร่วมเรียนรู้ไปพร้อมกันและมีครูเป็นผู้ชี้แนะอานวยความ สะดวกและให้คาปรึกษาทั้งนี้ครูอาจต้องมีการวิเคราะห์ความพร้อมหรือทักษะท่ีจาเป็นของผู้เรียนในการก้าวสู่ การเปน็ ผ้เู รยี นรดู้ ว้ ยตนเองได้ กระบวนการของการเรียนร้ดู ้วยตนเอง กระบวนการของการเรียนรู้ด้วยตนเองความรับผิดชอบในการเรียนรู้ด้วยตนเองของผู้เรียนเป็นสิ่ง สาคัญที่จะนาผู้เรียนไปสู่การเรยี นรู้ด้วยตนเองเพราะความรบั ผิดชอบในการเรียนรดู้ ้วยตนเองนั้นหมายถึงการท่ี ผู้เรียนควบคุมเนื้อหากระบวนการองค์ประกอบของสภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ของตนเองได้แก่การวาง แผนการเรียนของตนเองโดยอาศัยแหล่งทรัพยากรทางความรู้ต่าง ๆ ที่จะช่วยนาแผนสู่การปฏิบัติแต่ภายใต้ ความรับผิดชอบของผู้เรียนผู้เรียนรู้ด้วยตนเองต้องเตรียมการวางแผนการเรียนรู้ของตนและเลือกสิ่งที่จะเรียน จากทางเลือกที่กาหนดไว้รวมทั้งวางโครงสร้างของแผนการเรียนรู้ของตนอีก ด้วยในการวางแผนการเรียนรู้ ผู้เรยี นตอ้ งสามารถปฏบิ ตั ิงานทก่ี าหนดวนิ จิ ฉยั ความชว่ ยเหลอื ท่ีต้องการและทาใหไ้ ดค้ วามช่วยเหลือน้นั สามารถ เลือกแหล่งความร้วู ิเคราะห์และวางแผนการการเรียนทั้งหมดรวมท้ังประเมินความก้าวหน้าในการเรียนของตน

กระบวนการในการเรียนรู้ด้วยตนเองเป็นวิธีการที่ผู้เรียนต้องจัดกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเองโดยดาเนินการ ดังนี้ 1. การวินจิ ฉยั ความต้องการในการเรยี น 2. การกาหนดจุดมุ่งหมายในการเรยี น 3. การออกแบบแผนการเรยี น 4. การดาเนินการเรียนรู้จากแหลง่ วิทยาการ 5. การประเมินผล

ใบงาน เร่อื ง ความหมายและความสาคญั ของการเรยี นร้ดู ้วยตนเอง 1ให้อธบิ ายความหมายของคาวา่ “การเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง” ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ 2ใหอ้ ธบิ าย “ความสาคญั ของการเรียนรู้ด้วยตนเอง” ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ 3ใหส้ รุปสาระสาคญั “ลกั ษณะการเรยี นร้ดู ้วยตนเอง” ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ 4. “องคป์ ระกอบของการเรียนร้ดู ้วยตนเอง” มอี ะไรบ้าง ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ช่ือ นามสกุ ล รหสั นกั ศึกษา

แผนการจัดการเรยี นรู้ครั้งที่ 3 (การเรียนร้ดู ้วยตนเอง) กลุ่มสาระทักษะการเรยี นรู้ รายวิชา ทักษะการเรียนรู้ ทร๒1001 ระดบั มัธยมศกึ ษาตอนตน้ หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 1 เรือ่ ง การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง แผนการจัดการเรยี นรู้ เร่ือง กระบวนการในการเรียนรดู้ ้วยตนเอง เวลาสอน ๑๕ ช่ัวโมง สอนวนั ที่.........เดอื น...............................พ.ศ. .....................ภาคเรยี นที่.............ปีการศึกษา........................ มาตรฐานการเรียนรู้ มคี วามรู้ ความเข้าใจ ทักษะและเจตคติที่ดตี ่อการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ตัวชว้ี ดั 1.สามารถวิเคราะหค์ วามรจู้ ากาการอ่าน การฟัง การสังเกต และสรปุ ไดถ้ ูกต้อง 2.สามารถจัดระบบการแสวงหาความรใู้ หก้ ับตนเอง 3.ปฏิบัติตามขน้ั ตอนในการแสวงหาความรเู้ กยี่ วกบั ทักษะการอ่าน ทักษะการฟัง และทักษะการจดบันทกึ สาระสาคญั การเรียนรู้ด้วยตนเองเปน็ กระบวนการเรยี นรู้ทผี่ ู้เรียนริเริ่มการเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง ตามความสนใจ ความ ต้องการ และความถนดั มเี ปา้ หมาย รจู้ ักแสวงหาแหล่งทรัพยากรของการเรียนรู้ เลือกวิธีการเรยี นรู้ จนถึงการ ประเมนิ ความกา้ วหน้าของการเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยจะดาเนนิ การดว้ ยตนเองหรือร่วมมือช่วยเหลอื กบั ผู้อ่ืนหรือไม่ ก็ได้ ซึ่งการแสวงหาการศึกษาระดับทีส่ งู ขน้ึ จาเป็นต้องรวู้ ิธีวนิ ิจฉัยความต้องการในการเรียนของตนเอง สามารถ กาหนดเปา้ หมายในการเรยี นรู้ของตนเอง สามารถระบุความรูท้ ีต่ อ้ งการ และวางแผนการใชย้ ทุ ธวิธี ส่อื การเรียน และแหล่งเรยี นร้เู หลา่ นน้ั หรือแมแ้ ตป่ ระเมนิ และตรวจสอบความถูกต้องของผลการเรียนรขู้ องตนเอง มาตรฐาน การเรียนร้สู ามารถวิเคราะหเ์ ห็นความสาคัญ และปฏบิ ัติการแสวงหาความรูจ้ ากการอ่าน ฟงั และสรุปไดถ้ กู ต้อง ตามหลกั วชิ าการ เนื้อหา กระบวนการในการเรียนรู้ดว้ ยตนเอง คุณธรรม 1. เพ่ือการพฒั นาตน 2. เพื่อการพัฒนาการทางาน 3. เพอื่ การพฒั นาการอยรู่ ่วมกันในสงั คม 4.เพ่ือการพัฒนาประเทศชาติ

กระบวนการจดั การเรยี นรู้ ข้นั นา - การนาเข้าส่บู ทเรียนดว้ ยวธิ ีการ ทกั ทายผู้เรยี น และชแี้ จงบอกวตั ถปุ ระสงค์การเรียนรู้เรื่อง กระบวนการในการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง ขั้นสอน - ครอู ธิบายกระบวนการในการเรยี นรูด้ ว้ ยตนเองและเปดิ โอกาสให้ผเู้ รียนซกั ถาม - ผเู้ รียนใชแ้ บบเรยี นเปดิ เนือ้ หาบทที่ 1 การเรียนร้ดู ้วยตนเอง เรอ่ื งกระบวนการในการเรียนรู้ด้วย ตนเอง - ครใู ห้ผ้เู รยี นสแกน QR Code ใบความรู้ เร่ืองกระบวนการในการเรียนร้ดู ้วยตนเอง(เพ่ิมเตมิ ) - ครใู ห้ผ้เู รียนทาใบงาน เร่ืองกระบวนการในการเรยี นรูด้ ้วยตนเอง ข้ันสรปุ - ครแู ละผู้เรยี นร่วมกนั สรปุ หลงั จากทกุ กลมุ่ นาเสนอผลงานหนา้ ชนั้ เรยี น -ครูใหค้ วามรเู้ พ่ิมเติมในสว่ นทยี่ ังไมส่ มบูรณ์ - ครูเชอ่ื มโยงกจิ กรรมท่ีผูเ้ รยี นได้ปฏิบตั ิกับเนื้อหาในเร่ืองของปัจจัยท่ีทาให้การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง ประสบความสาเรจ็ ส่อื และแหล่งเรยี นรู้ 1. หนังสือแบบเรียน 2. ใบความรู้ 3. ใบงาน

การวดั และประเมนิ ผล 1. สังเกตพฤติกรรมระหวา่ งการเรียนรู้ 2. วดั ความรจู้ ากการทากิจกรรมในใบงาน 3. การนาเสนอผลการเรยี นรู้ แหล่งการเรียนร/ู้ สบื คน้ ขอ้ มูลเพม่ิ เตมิ 1.หอ้ งสมุดประชาชน 2.กศน.ตาบล 3. แหลง่ ขอ้ มูลสารสนเทศ 4. Internet 5. ภูมปิ ญั ญา / แหล่งเรยี นรู้ ความคิดเห็นและขอ้ เสนอแนะของผ้บู รหิ ารสถานศึกษา พิจารณาแล้ว.................................................................................................................. ........................ ............................................................................................................................................................... ลงช่ือ (นางสาวปรารถนา ชีโพธ์ิ) ผู้อานวยการศนู ย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอบางระจนั วันท่ี ........... เดอื น ................. พ.ศ. ...........

บนั ทึกหลังการสอน ความสาเร็จในการจัดการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ปัญหา / อุปสรรค ในการจดั การเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................. ............................................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. แนวทางการแกป้ ญั หา ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ........................................................................................................................................................................ ...... ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ลงชือ่ .............................................ครูผ้สู อน (..............................................) คร.ู ........................................... วนั ที.่ .........เดอื น...........................พ.ศ. ........................ ขอ้ เสนอแนะของผูบ้ ริหารสถานศึกษา ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ลงช่อื ผู้บังคบั บญั ชา (นางสาวปรารถนา ชโี พธ์ิ) ผอู้ านวยการศูนย์การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอบางระจัน

ใบความรู้ เรอ่ื งกระบวนการในการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง การทาสญั ญาการเรยี นรู้ กระบวนการเรยี นรดู้ ้วยตนเองประกอบดว้ ยข้ันตอนวนิ ิจฉัยความตอ้ งการในการเรยี นรู้ของผู้เรยี น กาหนดจดุ มุ่งหมายในการเรยี นวางแผนการเรียนโดยใชส้ ญั ญาการเรียนเขยี นโครงการเรียนรู้ดาเนนิ การเรียนรู้ และประเมนิ ผลการเรียนรู้นั้นผเู้ รยี นจะไดป้ ระโยชน์จากการเรียนมากทีส่ ดุ “สญั ญาการเรียน (Learning Contract)” เปน็ การมอบหมายภาระงานให้กับผู้เรยี นว่าจะตอ้ งทาอะไรบา้ งเพอื่ ให้ได้รบั ความรตู้ าม เป้าประสงค์และผู้เรียนจะปฏิบตั ิตามเง่ือนไขนัน้ สญั ญาการเรียน (Learning Contract) คาวา่ สญั ญาโดยท่วั ไปหมายถึงข้อตกลงระหวา่ งบุคคล 2 ฝา่ ยหรอื หลายฝา่ ยวา่ จะทาการหรืองดเว้น กระทาการอย่างใดอยา่ งหนึ่งความจรงิ นนั้ ในระบบการจดั การเรยี นรกู้ ็มกี ารทาสัญญากนั ระหว่างครกู ับผู้เรยี น แต่ส่วนมากไม่ไดเ้ ปน็ ลายลักษณ์อักษรวา่ ถ้าผู้เรยี นทาได้อย่างนัน้ แลว้ ผู้เรียนจะได้รบั อะไรบา้ งตามข้อตกลง สญั ญาการเรยี นจะเปน็ เครื่องมอื ทช่ี ว่ ยให้ผ้เู รยี นสามารถกาหนดแนวการเรียนของตวั เองไดด้ ีย่งิ ขน้ึ ทาให้ประสบผลสาเรจ็ ตามจุดม่งุ หมายและเปน็ เครื่องยืนยันทีเ่ ปน็ รูปธรรม ท่านคงแปลกใจท่ีได้ยินคาว่า “สัญญา” เพราะคานเี้ ปน็ คาที่คนุ้ หกู นั ดีอยู่แต่ไม่แน่ใจว่าท่านเคยไดย้ ินคาวา่ “สญั ญาการเรียน” หรอื ยังคาว่า สัญญาการเรยี นมีผ้เู รม่ิ ใช้เป็นคนแรกคือ Dr. M.S. Knowles ศาสตราจารย์สอนวชิ าการศึกษาผใู้ หญ่ มหาวิทยาลัย North Carolina State ในสหรฐั อเมริกา 24 คาว่าสัญญาแปลตามพจนานกุ รมฉบับ ราชบัณฑิตยสถานแปลวา่ “ข้อตกลงกนั ” ดงั นั้นสญั ญาการเรยี นก็คอื ขอ้ ตกลงทีผ่ ู้เรียนได้ทาไว้กบั ครูวา่ เขาจะ ปฏิบตั ิอย่างไรบ้างในกระบวนการเรียนร้เู พื่อให้บรรลจุ ุดมุง่ หมายของหลักสตู รสญั ญาการเรยี นเป็นรปู แบบของ การเรยี นร้ทู แี่ สดงหลกั ฐานของการเรยี นรู้โดยใช้แฟ้มสะสมผลงาน หรอื Portfolio 1. แนวคดิ การจัดการเรยี นรู้ในระบบเปน็ การเรียนรูท้ ่คี รูเป็นผู้กาหนดรูปแบบเน้ือหากจิ กรรมเป็น ส่วนใหญ่ผูเ้ รยี นเปน็ แตเ่ พียงผู้ปฏบิ ัติตามไม่ไดม้ โี อกาสในการมสี ว่ นร่วมในการวางแผนการเรียนนักการศึกษาท้ัง ในตะวันตกและแอฟริกามองเห็นวา่ ระบบการศึกษาแบบนเี้ ป็นระบบการศกึ ษาของพวกจักรพรรดนิ ยิ มหรือเป็น การศกึ ษาของพวกชนชนั้ สงู บา้ งเปน็ ระบบการศึกษาของผู้ถูกกดขี่บ้างสรปุ แลว้ กค็ ือระบบการศกึ ษาแบบนี้ไม่ได้ ฝึกคนให้เปน็ ตวั ของตัวเองไมไ่ ด้ฝึกใหค้ นรจู้ ักพึง่ ตนเองจึงมผี ู้พยายามทจี่ ะเปลยี่ นแนวคิดทางการศึกษาใหม่ อยา่ งเชน่ ระบบการศึกษาทเี่ น้นการฝึกให้คนได้ร้จู ักพ่งึ ตนเองในประเทศแทนซาเนียการศึกษาท่ีใหค้ นคิดเป็นใน ประเทศไทยเราเหล่าน้ีเปน็ ตน้ รปู แบบของการศึกษาในอนาคตควรจะมุ่งไปสูต่ วั ผูเ้ รียนมากกวา่ ตัวผสู้ อน เพราะว่าในโลกปัจจุบันวิทยาการใหมๆ่ ไดเ้ จริญก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วมีหลายสงิ่ หลายอยา่ งท่ีมนษุ ยจ์ ะตอ้ ง เรียนรู้ถ้าจะใหแ้ ต่มาคอยบอกกันคงทาไม่ไดด้ ังน้นั ในการเรียนจะต้องมีการฝึกฝนใหค้ ิดใหร้ ู้จกั การหาวธิ กี ารท่ีได้ ศึกษาสงิ่ ทีค่ นต้องการกล่าวง่ายๆกค็ ือผู้เรียนทไี่ ด้รบั การศึกษาแบบทเี่ รยี กว่าเรยี นร้เู พ่ือการเรียนในอนาคต 2. ทาไมจะตอ้ งมกี ารทาสัญญาการเรยี น ผลจากการวจิ ยั เกีย่ วกับการเรยี นรู้ของผู้ใหญพ่ บวา่ ผ้ใู หญ่ จะเรยี นไดด้ ีทสี่ ุดกต็ ่อเม่ือการเรียนรดู้ ว้ ยตนเองไม่ใช่การบอกหรือการสอนแบบทเี่ ป็นโรงเรียนและผลจากการ วจิ ัยทางด้านจติ วทิ ยายังพบอีกว่าผใู้ หญ่มีลกั ษณะท่ีเดน่ ชดั ในเรอ่ื งความต้องการท่จี ะทาอะไรดว้ ยตนเองโดยไม่ ต้องมีการสอนหรือการช้แี นะมากนักอยา่ งไรกด็ ีเม่อื พดู ถงึ ระบบการศกึ ษากย็ ่อมจะต้องมีการกลา่ วถึงคุณภาพ ของบุคคลที่เขา้ มาอย่ใู นระบบการศึกษาจึงมีความจาเปน็ ที่จะต้องกาหนดกฎเกณฑข์ ้ึนมาเพ่ือเป็นมาตรฐาน ดังนั้นถงึ แม้จะให้ผู้เรยี นเรียนรดู้ ว้ ยตนเองกต็ ามกจ็ าเปน็ จะตอ้ งสรา้ งมาตรการขึ้นมาเพ่ือการควบคุมคณุ ภาพ ของผู้เรยี นเพ่ือให้มีมาตรฐานตามที่สงั คมยอมรบั

เหตุนส้ี ัญญาการเรียนจงึ เขา้ มามีบทบาทในการเรยี นการสอนเป็นการวางแผนการเรียนที่เป็นระบบข้อดขี อง สญั ญา-การเรียนคือเป็นการประสานความคิดทว่ี า่ การเรยี นร้คู วรใหผ้ เู้ รยี นกาหนดและการศกึ ษาจะต้องมีเกณฑ์ มาตรฐานเข้าดว้ ยกันเพราะในสัญญาการเรยี นจะบง่ ระบวุ ่าผู้เรยี นต้องการเรียนเร่ืองอะไรและจะวัดวา่ ได้บรรลุ ตามความมุ่งหมายแล้วนนั้ หรือไม่อย่างไรมหี ลักฐานการเรยี นรู้อะไรบ้างท่ีบ่งบอกว่าผ้เู รยี นมีผลการเรียนรู้ อย่างไร 3. การเขียนสัญญาการเรียน การเรยี นรู้ดว้ ยตนเองซึ่งเร่ิมจากการจดั ทาสญั ญาการเรยี นจะมีลาดับ การดาเนินการดังน้ี ขน้ั ที่ 1 แจกหลกั สตู รให้กับผู้เรยี นในหลกั สูตรจะต้องระบุ จดุ ประสงคข์ องรายวิชานี้ รายช่อื หนังสอื อา้ งอิงหรือหนงั สอื สาหรับทจ่ี ะศกึ ษาค้นคว้า หนว่ ยการเรยี นย่อยพร้อมรายชือ่ หนังสืออ้างอิง ครูอธบิ ายและทาความเข้าใจกบั ผเู้ รียนในเร่ืองหลักสตู รจุดมุ่งหมายและหนว่ ยการเรียนยอ่ ย ขั้นที่ 2 แจกแบบฟอรม์ ของสญั ญาการเรียน จุดมุง่ หมาย แหล่งวิทยาการ/วธิ ีการ หลกั ฐาน การประเมินผล เป็นส่วนทร่ี ะบุวา่ ผูเ้ รียน เป็นสว่ นทรี่ ะบุว่าผู้เรียน เป็นส่วนท่มี สี ่ิงอ้างอิงหรือยนื ยันทีเ่ ป็น เปน็ ส่วนทร่ี ะบุว่าผูเ้ รยี น ตอ้ งการบรรลุผลสาเร็จ จะเรียนรไู้ ด้อยา่ งไร รปู ธรรมท่แี สดงให้เหน็ วา่ ผูเ้ รยี นได้เกิด สามารถเกดิ การเรยี นรู้ ในเรื่องอะไร อย่างไร จากแหล่งความรใู้ ด การเรยี นรูแ้ ล้วโดยเกบ็ รวบรวมเปน็ ในระดับใด แฟม้ สะสมงาน ขน้ั ที่ 3 อธบิ ายวิธกี ารเขียนข้อตกลงในแบบฟอรม์ แต่ละชอ่ งโดยเริ่มจาก จุดมุง่ หมาย วิธีการเรียนรูห้ รือแหลง่ วิทยาการ หลกั ฐาน การประเมินผล ข้ันท่ี 4 ถามปญั หาและข้อสงสยั ขั้นที่ 5 แจกตัวอยา่ งสญั ญาการเรยี นใหผ้ ้เู รียนคนละ 1 ชดุ ขน้ั ท่ี 6 อธิบายถึงการเขยี นสัญญาการเรยี น ผเู้ รยี นลงมอื เขยี นขอ้ ตกลงโดยผู้เรยี นเองโดยเขียนรายละเอยี ดทั้ง 4 ช่องในแบบฟอร์มสัญญาการเรยี น นอกจากนผ้ี ู้เรียนยังสามารถระบรุ ะดบั การเรยี นท้ังในระดับดีดเี ยี่ยมหรอื ปานกลางซึ่งผู้เรียนมคี วามต้งั ใจทีจ่ ะบรรลุ การเรยี นในระดับดเี ย่ียมหรือมีความตั้งใจท่ีจะเรียนรู้ในระดับดหี รือพอใจผเู้ รยี นก็ตอ้ งแสดงรายละเอียดผู้เรียน ต้องการแต่ระดบั ดีคือผู้เรียนต้องแสดงความสามารถตามวตั ถปุ ระสงค์ที่กลา่ วไว้ในหลักสตู รให้ครบถ้วนการทาสัญญา ระดบั ดเี ยี่ยมนอกจากผูเ้ รียนจะบรรลวุ ัตถุประสงคต์ ามหลกั สตู รแล้วผูเ้ รียนจะต้องแสดงความสามารถพิเศษเรื่องใด เรอื่ งหนึ่งโดยเฉพาะอันมีสว่ นเกีย่ วขอ้ งกบั หลักสูตร ขั้นท่ี 7 ใหผ้ เู้ รยี นและเพ่ือนพิจารณาสญั ญาการเรียนใหเ้ รยี บร้อยต่อไปให้ผ้เู รยี นเลือกเพ่ือนในกลุ่ม 1 คนเพื่อจะไดช้ ่วยกันพจิ ารณาสญั ญาการเรียนรูข้ องทั้ง 2 คน ในการพิจารณาสญั ญาการเรียนให้พจิ ารณาตาม หัวข้อต่อไปนี้

1. จุดมุง่ หมายมีความแจ่มชัดหรือไมเ่ ขา้ ใจหรือไมเ่ ป็นไปได้จรงิ หรือไมบ่ อกพฤติกรรมทีจ่ ะให้ เกิดจริง ๆ หรือไม่ 2. มจี ดุ ประสงคอ์ นื่ ท่ีพอจะนามากล่าวเพ่ิมเติมได้อีกหรือไม่ 3. แหลง่ วชิ าการและวธิ ีการหาขอ้ มูลเหมาะสมเพยี งใดมีประสิทธิภาพเพียงใด 4. มวี ธิ ีการอนื่ อีกหรือไม่ทีส่ ามารถนามาใชเ้ พื่อการเรียนรู้ 5. หลกั ฐานการเรยี นรมู้ ีความสอดคล้องกับจดุ มุ่งหมายเพียงใด 6. มีหลักฐานอื่นทพี่ อจะนามาแสดงได้อีกหรือไม่ 7. วิธีการประเมนิ ผลหรือมาตรการท่ีใชว้ ัดมีความเชื่อถือได้มากน้อยเพยี งใด 8. มีวิธีการประเมินผลหรือมาตรการอน่ื อกี บ้างหรือไม่ในการวดั ผลและประเมนิ ผลการเรียนรู้ ขน้ั ที่ 8 ให้ผูเ้ รียนนาสัญญาการเรยี นไปปรบั ปรงุ ใหเ้ หมาะสมอีกคร้งั หนึ่ง ขน้ั ที่ 9 ให้ผู้เรียนทาสัญญาการเรียนทีป่ รบั ปรงุ แลว้ ใหค้ รแู ละทป่ี รึกษาตรวจดูอีกครั้งหน่ึงฉบับที่ เรียบร้อยให้ดาเนนิ การได้ตามทเ่ี ขียนไว้ในสญั ญาการเรียน ขน้ั ที่ 10 การเรยี นก่อนทจ่ี ะจบเทอม 2 อาทิตยใ์ หผ้ ้เู รยี นนาแฟม้ สะสมงาน (แฟ้มเก็บข้อมลู Portfolio) ตามที่ระบุไวใ้ นสัญญาการเรยี นมาแสดง ขน้ั ท่ี 11 ครแู ละผูเ้ รยี นจะต้งั คณะกรรมการในการพจิ ารณาแฟม้ สะสมงานทผี่ เู้ รียนนามาสง่ และ ส่งคนื ผเู้ รียนกอ่ นสนิ้ ภาคเรยี น (ตวั อยา่ ง) การวางแผนการเรียนโดยใช้สัญญาการเรียน จดุ ม่งุ หมาย วิธีการเรยี นร/ู้ หลกั ฐาน การประเมนิ ผล แหล่งวิทยาการ 1. สามารถอธิบายความ 1. อา่ นเอกสารอ้างองิ 1. ทารายงานย่อ ให้ผู้เรยี น 2-5 คน ตอ้ งการความสนใจ ท่ีเสนอแนะในหลักสูตร ข้อคิดเหน็ จากหนงั สือ ประเมนิ แรงจงู ใจ ความสามารถ 2. อ่านเอกสารที่ ทอี่ า่ น รายงานและบันทกึ การ และความสนใจของผู้ใหญ่ เกยี่ วขอ้ งอน่ื ๆ 2. บันทึกการอภิปราย อภิปรายการประเมนิ ให้ ได้ 3. รวมกลุ่มรายงานและ 3. ทารายงานและ ประเมินตามหวั ขอ้ อภปิ รายกบั ผู้เรยี นอ่ืน เสนอแนะเกี่ยวกับทฤษฎี ตอ่ ไปน้ี หรอื กลมุ่ การเรยี นอนื่ การเรียนรเู้ พ่ือนาไป 1. รายงานครอบคลุม ใช้กับผู้เรยี นผใู้ หญ่ เนอื้ หาตามความมงุ่ หมาย (โดยจดั ทาในรปู แบบ เพียงใด แฟ้มสะสมงาน) 54321 2. รายงานมคี วามชดั เจน เพียงใด 54321 3. รายงานมีประโยชน์ ในการเรียนของผู้เรียน ผู้ใหญเ่ พยี งใด 54321

โดยขา้ พเจา้ จะเรม่ิ ปฏบิ ัตติ ัง้ แตว่ นั ที่.....เดือน.................พ.ศ. .........ถึงวันท่ี.......เดือน................พ.ศ. ....... ลงช่อื ............................................................ผู้ทาสญั ญา (.......................................................... ) ลงชอ่ื .............................................................พยาน (.......................................................... ) ลงชอื่ ............................................................พยาน (.......................................................... ) ลงชื่อ............................................................ครูผู้สอน (.......................................................) แฟ้มสะสมงาน การประเมินผลการเรยี นโดยใช้แฟ้มสะสมงาน การจัดทาแฟ้มสะสมงาน (Portfolio) เปน็ วิธีการสาคัญท่นี ามาใชใ้ นการวดั ผลและประเมินผลการ เรยี นรทู้ ี่ให้ผู้เรียนเรียนร้ดู ้วยตนเองโดยการจดั ทาแฟ้มสะสมงานทมี่ ีความเชื่อพื้นฐานท่สี าคญั มาจากการให้ ผู้เรยี นเรียนร้จู ากสภาพจรงิ (Authentic Learning) ซึง่ มีสาระสาคญั ทพี่ อสรุปไดด้ ังน้ี 1. ความเชอ่ื พื้นฐานของการเรยี นรตู้ ามสภาพจรงิ (Authentic Learning) 1.1 ความเชอ่ื เก่ียวกับการจัดการศกึ ษา - มนษุ ย์มีสัญชาตญาณท่จี ะเรียนรู้มีความสามารถและมคี วามกระหายท่ีจะเรยี นรู้ - ภายใต้บรรยากาศของสภาพแวดลอ้ มทเี่ อื้ออานวยและการสนบั สนุนจะทาใหม้ นุษย์สามารถทีจ่ ะรเิ รมิ่ และเกดิ การเรียนรูข้ องตนเองได้ - มนษุ ยส์ ามารถท่จี ะสรา้ งองคค์ วามรู้จากการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นและจากส่ือทีม่ ี ความหมายต่อชีวิต - มนษุ ยม์ พี ฒั นาการด้านร่างกายด้านอารมณด์ ้านสังคมและดา้ นสตปิ ญั ญาแตกต่างกัน 1.2 ความเช่อื เกี่ยวกับการเรียนรู้ - การเรียนรจู้ ะเรม่ิ จากสิ่งที่เป็นรปู ธรรมไปสู่นามธรรมโดยผา่ นกระบวนการการสารวจตนเองการ เสรมิ สร้างบรรยากาศของการเรยี นรแู้ ละการสรา้ งบริบทของสงั คมให้ผเู้ รียนได้ปฏสิ ัมพันธ์กับผเู้ รียนอ่นื - การเรียนรู้มอี งคป์ ระกอบทางด้านปญั ญาหลายดา้ นท้งั ในด้านภาษาคานวณพน้ื ท่ดี นตรีการ เคลอ่ื นไหวความสมั พนั ธ์ระหว่างบุคคลและอ่ืนๆ - การแสวงหาความรูจ้ ะมปี ระสิทธภิ าพมากยิ่งขึ้นถ้าอยู่ในบริบททีม่ ีความหมายต่อชีวิต - การแสวงหาความรเู้ ป็นกระบวนการที่เกิดขนึ้ ตลอดชวี ติ 1.3 ความเชื่อเกยี่ วกบั การสอน - การสอนจะต้องยดึ ผู้เรียนเปน็ ศนู ยก์ ลาง - การสอนจะเป็นท้งั รายบุคคลและรายกลมุ่ - การสอนจะยอมรับวฒั นธรรมท่ีแตกต่างกนั และวิธีการเรียนรู้ท่เี ป็นเอกลักษณข์ องผเู้ รยี นแต่ละคน - การสอนกับการประเมินเปน็ กระบวนการต่อเนื่องและเก่ียวขอ้ งซ่งึ กนั และกนั - การสอนจะต้องตอบสนองต่อการขยายความรู้ทไ่ี ม่มีทส่ี ้นิ สดุ ของหลักสูตรสาขาตา่ งๆ

1.4 ความเชือ่ เกย่ี วกบั การประเมนิ - การประเมินแบบนาคะแนนของผ้เู รยี นจานวนมากมาเปรียบเทียบกันมีคณุ ค่านอ้ ยต่อการพฒั นา ศักยภาพของผูเ้ รยี น - การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) ไม่ใช่สง่ิ สะทอ้ นความสามารถท่ีมีอย่ใู นตัว ผูเ้ รียนแตจ่ ะสะทอ้ นถงึ การปฏิสมั พนั ธ์ระหว่างบุคคลกบั สงิ่ แวดล้อมและความสามารถท่ีแสดงออกมา - การประเมนิ ตามสภาพจริงจะให้ข้อมลู และข่าวสารทเี่ ทยี่ งตรงเก่ียวกบั ผเู้ รยี นและกระบวนการ ทางการศึกษา 2. ความหมายของการประเมนิ ตามสภาพจริง (Authentic Assessment) การประเมินตามสภาพจรงิ เป็นกระบวนการของการสังเกตการณ์บันทึกการจดั ทาเอกสารท่เี กี่ยวกับ งานหรือภารกจิ ท่ีผเู้ รียนได้ทารวมท้งั แสดงวิธีการว่าได้ทาอยา่ งไรเพื่อใชเ้ ปน็ ข้อมลู พนื้ ฐานเกี่ยวกบั การตัดสินใจ ทางการศกึ ษาของผ้เู รียนน้นั การประเมินตามสภาพจริงมีความแตกต่างจากการประเมนิ โครงการตรงทกี่ าร ประเมนิ แบบนี้ได้ให้ความสาคัญกบั ผเู้ รยี นมากกวา่ การใหค้ วามสาคัญกับผลอันที่จะเกดิ ขนึ้ จากการดูคะแนน ของกลุม่ ผเู้ รียนและแตกต่างจากการทดสอบเน่ืองจากเป็นการวัดผลการปฏบิ ัตจิ รงิ (Authentic Assessment) การประเมินตามสภาพจริงจะไดข้ ้อมูลสารสนเทศเชิงคุณภาพอย่างตอ่ เนื่องที่สามารถนามาใช้ในการแนะแนว การเรยี นสาหรับผู้เรยี นแต่ละคนไดเ้ ปน็ อย่างดี 3. ลักษณะท่ีสาคัญของการประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) -ใหค้ วามสาคัญขอบการพฒั นาและการเรียนรู้ -เน้นการค้นหาศักยภาพนาเอามาเปิดเผย -ใหค้ วามสาคญั กบั จุดเดน่ ของผู้เรียน -ยืดถอื เหตุการณ์ในชีวติ จรงิ -เน้นการปฏบิ ัติจริง -จะต้องเชื่อมโยงกบั การเรียนการสอน -มุ่งเนน้ การเรยี นรู้อย่างมีเปา้ หมาย -เป็นกระบวนการเกดิ ขึ้นอย่างตอ่ เนื่องในทุกบริบท -ชว่ ยใหม้ คี วามเข้าใจในความสามารถของผเู้ รียนและวธิ กี ารเรียนรู้ -ช่วยให้เกิดความร่วมมอื ทงั้ ผู้ปกครองพ่อแม่ครูผเู้ รียนและบคุ คลอน่ื ๆ 4. การประเมนิ ผลการเรยี นโดยใชแ้ ฟม้ สะสมงาน แฟ้มสะสมงานเปน็ วธิ กี ารประเมนิ ผลการเรียนรูต้ ามสภาพจรงิ ซง่ึ เป็นวธิ ีการท่คี รูได้นาวิธีการมาจาก ศลิ ปนิ (artist) มาใชใ้ นทางการศึกษาเพ่ือการประเมนิ ความกา้ วหนา้ ในการเรียนรู้ของผูเ้ รียนโดยแฟม้ สะสมงาน มปี ระโยชนท์ สี่ าคญั คือ -ผู้เรยี นสามารถแสดงความสามารถในการทางานโดยท่ีการสอบทาไมไ่ ด้ -เป็นการวัดความสามารถในการเรียนร้ขู องผู้เรียน -ช่วยใหผ้ เู้ รียนสามารถแสดงให้เหน็ กระบวนการเรยี นรู้ (Process) และผลงาน (Product) -ช่วยให้สามารถแสดงใหเ้ ห็นการเรียนรทู้ ี่เป็นนามธรรมให้เป็นรูปธรรม แฟม้ สะสมงานไม่ใชแ่ นวคดิ ใหมเ่ ปน็ เรอื่ งท่มี ีมานานแลว้ ใช้โดยกลุม่ เขยี นภาพศลิ ปินสถาปนกิ นกั แสดงและ นักออกแบบโดยแฟ้มสะสมงานได้ถูกนามาใช้ในทางการศึกษาในการเรียนการสอนทางด้านภาษาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และวิชาอ่ืน ๆ ท้ังนี้แฟ้มสะสมงานเป็นวิธีการที่สะท้อนถึงวิธีการประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพ จริง (Authentic Assessment) ซึ่งเป็นกระบวนการของการรวบรวมหลักฐานที่แสดงให้เห็นว่าผู้เรียนสามารถ

ทาอะไรได้บ้างและเป็นกระบวนการของการแปลความจากหลักฐานท่ีได้และมีการตัดสินใจหรือให้คุณค่าการ ประเมินผลตามสภาพจริงเปน็ กระบวนการท่ีใช้เพ่ืออธบิ ายถึงภาระงานท่ีแท้จริงหรือ real task ที่ผ้เู รียนจะตอ้ ง ปฏิบัติหรือสร้างความรู้ไม่ใช่สร้างแต่เพียงข้อมูลสารสนเทศ การประเมินโดยใช้แฟ้มสะสมงานเป็นวิธีการของ การประเมนิ ท่มี อี งค์ประกอบสาคัญคือ -ใหผ้ ้เู รียนไดแ้ สดงการกระทา - ลงมอื ปฏบิ ตั ิ -สาธติ หรอื แสดงทกั ษะออกมาใหเ้ หน็ -แสดงกระบวนการเรยี นรู้ -ผลิตชน้ิ งานหรือหลกั ฐานว่าเขาได้ร้แู ละเขาทาได้ ซ่ึงการประเมินโดยใชแ้ ฟ้มสะสมงานหรือการประเมินตามสภาพจริงโดยวิธีการดังกลา่ วน้ีจะมีลกั ษณะท่สี าคัญคือ -ช้นิ งานทม่ี ีความหมาย (meaningful tasks) -มีมาตรฐานทช่ี ดั เจน (clear standard) -มกี ารใหส้ ะทอ้ นความคิดความรู้สกึ (reflections) -มีการเชื่อมโยงกับชีวติ จริง (transfer) -เปน็ การปรับปรุงและบูรณาการ (formative integrative) -เกยี่ วขอ้ งกับการคิดในลาดบั ทีส่ ูงข้ึนไป (high – order thinking) -เนน้ การปฏิบตั ิทม่ี ีคุณภาพ (quality performance) -ไดผ้ ลงานทมี่ คี ุณภาพ (quality product) 5. ลักษณะของแฟ้มสะสมงาน นักการศกึ ษาบางท่านได้กล่าวว่าแฟ้มสะสมงานมีลักษณะเหมือนกบั จานผสมสีซง่ึ จะเหน็ ได้ว่าจานผสม สีเป็นส่วนที่รวมเรื่องสีต่าง ๆ ท้ังนี้แฟ้มสะสมงานเป็นส่ิงท่ีรวมการประเมินแบบต่าง ๆ เพื่อการวาดภาพให้เห็น ว่าผู้เรียนเป็นอย่างไรแฟ้มสะสมงานไม่ใช่ถังบรรจุสิ่งของ (Container) ที่เป็นท่ีรวมของส่ิงต่าง ๆ ท่ีจะเอาอะไร มากองรวมไว้หรอื เอามาใสไ่ ว้ในท่เี ดยี วกนั แต่แฟ้มสะสมงานเป็นการรวบรวมหลักฐานที่มีระบบและมกี ารจดั การ โดยครูและผู้เรียนเพื่อการตรวจสอบความก้าวหน้าหรือการเรียนรู้ด้านความรู้ทักษะและเจตคติในเร่ืองเฉพาะ วิชาใดวิชาหนง่ึ 6. จุดมุ่งหมายของการประเมนิ โดยใช้แฟม้ สะสมงานมีดังน้ี -ช่วยให้ครไู ดร้ วบรวมงานทีส่ ะท้อนถึงความสาคัญของนักเรียนในวัตถุประสงค์ใหญ่ของการเรยี นรู้ -ช่วยกระต้นุ ให้ผเู้ รยี นสามารถจดั การเรียนรู้ของตนเอง -ชว่ ยใหค้ รไู ดเ้ กิดความเข้าใจอยา่ งแจม่ แจง้ ในความก้าวหนา้ ของผู้เรียน -ช่วยให้ผเู้ รยี นไดเ้ ขา้ ใจตนเองมากยิง่ ขึน้ -ช่วยให้ทราบการเปลี่ยนแปลงและความกา้ วหนา้ ตลอดชว่ งระหวา่ งการเรยี นรู้ -ชว่ ยให้ผู้เรียนได้ตระหนกั ถึงประวัติการเรียนรขู้ องตนเอง -ชว่ ยทาใหเ้ กดิ ความสมั พนั ธ์ระหว่างการสอนกับการประเมิน 7. กระบวนการของการจัดทาแฟม้ สะสมงาน การจัดทาแฟม้ สะสมงานมีกระบวนการหรอื ขนั้ ตอนอยหู่ ลายขนั้ ตอนแต่ทัง้ นี้กส็ ามารถปรับปรุงได้อยา่ ง เหมาะสม Kay Burke (1994) และคณะไดก้ าหนดขัน้ ตอนของการทาแฟ้มสะสมงานไว้ 10 ขั้นตอนดังน้ี -ข้ันการรวบรวมและจดั ระบบของผลงาน -ขั้นการเลือกผลงานหลกั ตามเกณฑ์ที่กาหนด

-ขน้ั การสรา้ งสรรคแ์ ฟ้มสะสมผลงาน กลา่ วโดยทว่ั ไปแฟ้มสะสมงานจะมลี กั ษณะทส่ี าคัญ 2 ประการคอื - เป็นเหมอื นสงิ่ ท่ีรวบรวมหลักฐานที่แสดงความรแู้ ละทกั ษะของผู้เรียน - เปน็ ภาพท่ีแสดงพฒั นาการของผเู้ รียนในการเรียนรู้ตลอดช่วงเวลาของการเรยี น -ขน้ั การสะท้อนความคิดหรือความรู้สกึ ตอ่ ผลงาน -ขั้นการตรวจสอบเพ่อื ประเมินตนเอง -ข้ันการประเมนิ ผลประเมินค่าของผลงาน -ข้ันการแลกเปลี่ยนประสบการณ์กบั บุคคลอื่น -ขั้นการคัดสรรค์และปรับเปล่ียนผลงานเพือ่ ให้ทันสมยั -ขน้ั การประชาสมั พนั ธ์หรือจัดนทิ รรศการแฟ้มสะสมงาน 8. รูปแบบ (Model) ของการทาแฟ้มสะสมงานสามารถดาเนนิ การได้ดงั นี้ -สาหรบั ผเู้ ร่ิมทาไม่มปี ระสบการณม์ าก่อนควรใช้ 3 ขน้ั ตอน ขนั้ ที่ 1 การรวบรวมผลงาน ขัน้ ที่ 2 การคดั เลือกผลงาน ขน้ั ท่ี 3 การสะท้อนความคดิ ความรสู้ ึกในผลงาน -สาหรับผู้ที่มปี ระสบการณใ์ หม่ๆควรใช้ 6 ขน้ั ตอน ขนั้ ท่ี 1 กาหนดจุดมุง่ หมาย ขั้นที่ 2 การรวบรวม ขั้นที่ 3 การคดั เลือกผลงาน ขน้ั ที่ 4 การสะท้อนความคดิ ในผลงาน ข้นั ท่ี 5 การประเมินผลงาน ข้นั ท่ี 6 การแลกเปลย่ี นกบั ผู้เรียน -สาหรับผทู้ ี่มีประสบการณพ์ อสมควรควรใช้ 10 ขน้ั ตอนดังท่ีกล่าวขา้ งตน้ 9. การวางแผนทาแฟ้มสะสมงาน - การวางแผนและการกาหนดจดุ มุ่งหมายคาถามหลักทีจ่ ะต้องทาใหช้ ดั เจน ทาไมจะต้องให้ผ้เู รยี น รวบรวมผลงาน ทาแฟม้ สะสมงานเพื่ออะไร จุดม่งุ หมายทแ่ี ทจ้ ริงของการทาแฟม้ สะสมงานคืออะไร การใช้แฟ้มสะสมงานในการประเมนิ มีข้อดีขอ้ เสีย อยา่ งไร - แฟม้ สะสมงานไมใ่ ชเ่ ปน็ เพียงการเรียนการสอนหรอื การประเมินผลแต่เป็นท้ังกระบวนการเรียนการ สอนและการวัดผลประเมนิ ผล - แฟม้ สะสมงานเป็นกระบวนการท่ที าใหผ้ เู้ รยี นเปน็ ผู้ที่ลงมือปฏิบตั เิ องและเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง - การใชแ้ ฟม้ สะสมงานในการประเมินจะมีหลักสาคญั 3 ประการเนอ้ื หาตอ้ งเกีย่ วกับเน้อื หาที่สาคัญใน หลักสูตรการเรียนรู้ผู้เรียนเป็นผู้ลงมือปฏิบัติเองโดยมีการบูรณาการท่ีจะต้องสะท้อนกระบวนการเรียนรู้ทั้งใน เรอื่ งการอา่ นการเขยี นการฟงั การแก้ปัญหาและการคดิ ระดับท่สี งู กว่าปกติ 10. การเก็บรวบรวมชน้ิ งานและการจัดแฟ้มสะสมงาน - ความหมายของแฟม้ สะสมงานคือการรวบรวมผลงานของผู้เรียนอยา่ งมวี ตั ถุประสงค์เพ่ือการแสดงให้ เห็นความพยายามความกา้ วหนา้ และความสาเรจ็ ของผู้เรยี นในเรื่องใดเรอ่ื งหนึง่ - วิธกี ารเก็บรวบรวมสามารถจดั ให้อยูใ่ นรูปแบบของสิง่ ต่อไปน้แี ฟ้มงานสมดุ บันทึกตู้เก็บเอกสารกล่อง อลั บม้ั แผ่นดสิ ก์

- วิธกี ารดาเนินการเพื่อการรวบรวมจัดทาได้โดยวิธีการดังนี้รวบรวมผลงานทกุ ช้นิ ที่จดั ทาเปน็ แฟม้ สะสมงานคัดเรื่องผลงานเพือ่ ใช้ในแฟม้ สะสมงานสะท้อนความคิดในผลงานที่คดั เรื่องไว้ - รปู แบบของแฟ้มสะสมงานอาจมีองคป์ ระกอบดงั นี้ สารบญั และแสดงประวัตผิ ู้ทาแฟม้ สะสมงาน สว่ นทแ่ี สดงวตั ถปุ ระสงค์/จุดมงุ่ หมาย สว่ นที่แสดงชนิ้ งานหรือผลงาน สว่ นที่สะท้อนความคิดเหน็ หรือความรสู้ ึก สว่ นทแี่ สดงการประเมินผลงานดว้ ยตนเอง สว่ นทแี่ สดงการประเมินผล สว่ นทเ่ี ปน็ ภาคผนวกข้อมูลประกอบอน่ื ๆ

ใบงาน เรื่อง กระบวนการในการเรยี นรูด้ ว้ ยตนเอง 1.ใหส้ รุปบทบาทของผู้เรียนในการเรยี นรู้ด้วยตนเอง มาพอสงั เขป ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ 2.ให้สรุปบทบาทของครใู นการเรียนรู้ด้วยตนเอง มาพอสังเขป ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ 3.ให้เปรยี บเทยี บบทบาทของผู้เรยี นและครใู นการเรียนรู้ด้วยตนเอง มาพอสังเขป ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ 4.ใหส้ รปุ สาระสาคัญของ กระบวนการเรยี นรดู้ ว้ ยตนเอง มาพอสังเขป ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ________________________________________________________________________________ ช่ือ นามสกุ ล รหสั นักศกึ ษา

แผนการจัดการเรียนร้คู รั้งท่ี ๔ (พบกลมุ่ ) กลมุ่ สาระทักษะการเรียนรู้ รายวิชา ทักษะการเรียนรู้ ทร๒1001 ระดับมธั ยมศึกษาตอนต้น หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 2 เรื่อง การใชแ้ หล่งเรยี นรู้ แผนการจดั การเรยี นรู้ เรือ่ ง ความหมายและความสาคัญของแหลง่ เรยี นรู้ เวลาสอน 6 ช่ัวโมง สอนวนั ท.่ี .......เดอื น...................................พ.ศ. .....................ภาคเรยี นท.ี่ ............ปกี ารศกึ ษา..................... มาตรฐานการเรียนรู้ มีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะและเจตคตทิ ่ีดตี อ่ การใช้แหลง่ เรยี นรู้ ตวั ชีว้ ดั 1.จาแนกความแตกต่างของแหลง่ เรยี นรู้ และตัดสนิ ใจเลือกใช้แหล่งเรียนรู้ 2.เรยี งลาดับความสาคญั ของแหลง่ เรยี นรู้ และจดั ทาระบบในการใชแ้ หล่งเรยี นร้ขู องตนเอง 3.สามารถปฏิบตั ิการใชแ้ หลง่ เรยี นรู้ ตามขั้นตอนได้อย่างถูกตอ้ ง สาระสาคัญ แหล่งเรยี นรมู้ ีความสาคัญในการพฒั นาความรู้ของมนษุ ย์ให้สมบรู ณ์มากยิ่งข้ึน นอกเหนือจากการ เรยี นรู้ ในชน้ั เรียน และเป็นแหลง่ ที่อยใู่ ห้สังคมชุมชนล้อมรอบตัวผู้เรยี น สามารถเขา้ ไปศึกษาค้นคว้าเพอ่ื การเรยี นรู้ได้ ตลอดชีวิต เนื้อหา ความหมายและความสาคญั ของแหล่งเรยี นรู้ คุณธรรม 1. เพ่ือการพฒั นาตน 2. เพือ่ การพัฒนาการทางาน 3. เพอื่ การพฒั นาการอยู่ร่วมกนั ในสังคม 4. เพื่อการพัฒนาประเทศชาติ กระบวนการจดั การเรียนรู้ ขน้ั นา - การนาเขา้ ส่บู ทเรียนด้วยวิธกี าร ทักทายผเู้ รยี น และช้แี จงบอกวตั ถุประสงค์การเรยี นรเู้ ร่ือง ความหมายและความสาคญั ของแหลง่ เรยี นรู้ - ครูให้ผู้เรยี นทาแบบทดสอบก่อนเรยี น ครัง้ ที่ 3

ขั้นสอน - ครอู ธบิ ายความหมายและความสาคญั ของแหลง่ เรียนรู้และเปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นซักถาม - ผูเ้ รียนใชแ้ บบเรยี นวชิ าทกั ษะการเรียนรู้ เปดิ เนื้อหา บทท่ี 2 การใช้แหลง่ เรยี นรู้ เร่อื งความหมาย และความสาคัญของแหลง่ เรยี นรู้ - ครูให้ผู้เรียนสแกน QR Code ใบความรูเ้ รือ่ งการใชแ้ หลง่ เรยี นรู้ (เพ่มิ เติม) - ครใู ห้ผเู้ รยี นทาใบงาน เร่ืองความหมายและความสาคัญของแหลง่ เรียนรู้ ขน้ั สรุป - ครูและผเู้ รยี นรว่ มกันสรุปหลงั จากทกุ กลมุ่ นาเสนอผลงานหนา้ ชั้นเรยี น - ครูใหค้ วามรเู้ พิ่มเตมิ ในสว่ นทยี่ ังไม่สมบูรณ์ สือ่ และแหล่งเรยี นรู้ 1. หนังสือแบบเรยี น 2. ใบความรู้ 3. ใบงาน การวัดและประเมนิ ผล 1. สงั เกตพฤติกรรมระหวา่ งการเรยี นรู้ 2. วดั ความรู้จากการทากจิ กรรมในใบงาน 3. การนาเสนอผลการเรียนรู้ 4. แบบทดสอบ แหล่งการเรยี นร/ู้ สืบค้นขอ้ มูลเพิม่ เตมิ 1. หอ้ งสมดุ ประชาชน 2. กศน.ตาบล

3. แหล่งข้อมูลสารสนเทศ 4. Internet 5. ภมู ิปญั ญา / แหลง่ เรียนรู้ ความคิดเหน็ และขอ้ เสนอแนะของผู้บริหารสถานศึกษา พิจารณาแล้ว.................................................................................................................. ........................ ......................................................................................................... ...................................................... ลงช่อื (นางสาวปรารถนา ชีโพธิ์) ผู้อานวยการศนู ยก์ ารศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศัยอาเภอบางระจัน วนั ท่ี ........... เดือน ................. พ.ศ. ...........

บันทึกหลังการสอน ความสาเรจ็ ในการจัดการเรียนการสอน ............................................................................................................................. ................................................. .................................................................................................................................................... .......................... ......................................................................................................... ..................................................................... ............................................................................................................................. ................................................. .......................................................................................................................................... .................................... ............................................................................................... ............................................................................... ปัญหา / อปุ สรรค ในการจัดการเรยี นการสอน ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .......................................................................................................................................................................... .... ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................................................................................................ .............. แนวทางการแกป้ ญั หา .................................................................................................. ............................................................................ ............................................................................................................................. ................................................. ................................................................................................................................... ........................................... .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ลงชื่อ............................................ครูผู้สอน (..............................................) ครู............................................ วนั ท.ี่ .........เดือน..........................พ.ศ. ........................ ขอ้ เสนอแนะของผบู้ ริหารสถานศกึ ษา ............................................................................................................................. ................................................. ............................................................................................................................. ................................................. .............................................................................................................................................................................. ............................................................................................................................. ................................................. ลงชอื่ ผู้บงั คบั บัญชา (นางสาวปรารถนา ชโี พธ์ิ) ผอู้ านวยการศนู ยก์ ารศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอธั ยาศยั อาเภอบางระจัน

แบบทดสอบก่อนเรียน เรือ่ งการใช้แหล่งเรยี นรู้ 1.ห้องสมุดประชานมีความสาคัญกบั นักศึกษาในขอ้ ใดมากท่ีสดุ ก. การศึกษาตามอธั ยาศัย ข. สร้างเสริมประสบการณ์ภาคปฏบิ ตั ิ ค. แหล่งส่งเสริมความรู้ ความคิด วิทยาการ ง. แหลง่ ปลกู ฝังรกั การอ่าน การศึกษาค้นควา้ แสวงหาความรู้ดว้ ยตนเอง 2. หลังจากศึกษาเลา่ เรียนแล้ว ถา้ ต้องการเข้าถึงสารสนเทศของห้องสมุดประชาชนเพ่ือคน้ ควา้ ควรใชว้ ิธใี ด ก. ถามเพ่ือน ข. ศึกษาจากผู้ปกครอง ค. ยมื หนงั สือจากเพื่อนคนอน่ื มาอา่ น ง. ศกึ ษาจากแหลง่ เรยี นรู้ ทางอินเทอรเ์ น็ต 3. ขอ้ ใดเรยี งขั้นตอนโปรแกรมค้นหา ได้ถกู ต้อง ก. เปดิ โปรแกรม – พมิ พ์ช่ือเว็ปไซต์ – เปิดหนา้ ต่างเว็ปไซต์ – พมิ พ์ส่งิ ทต่ี อ้ งการค้นหา ข. เปิดโปรแกรม – เปิดหนา้ ต่างเว็ปไซต์ – พมิ พ์ชือ่ เวป็ ไซต์ - พิมพ์สิ่งทีต่ ้องการค้นหา ค. เปดิ โปรแกรม – พมิ พ์ชอื่ เว็ปไซต์ – พิมพส์ ่ิงที่ต้องการค้นหา - เปดิ หนา้ ตา่ งเวป็ ไซต์ ง. เปดิ โปรแกรม – พิมพ์สิ่งที่ตอ้ งการค้นหา – พมิ พ์ชื่อเวป็ ไซต์ - เปดิ หนา้ ต่างเวป็ ไซต์ 4. ข้อใดเปน็ แหล่งเรยี นรทู้ จ่ี ัดอยใู่ นประเภทเดียวกัน ก. พิพธิ ภณั ฑสถานแห่งชาติ ศนู ยก์ ารเรียนรเู้ ศรษฐกจิ พอเพยี ง ข. อทุ ยานการศกึ ษา กลมุ่ ออมทรัพย์ ค. วนอุทยาน สวนพฤกษศาสตร์ ง. แพทย์แผนไทย หอศิลป์ 5. ขอ้ ใดคือการแสวงหาความร้ดู ้วยตนเองจากแหล่งเรยี นรูใ้ นทอ้ งถน่ิ ก. นิศาชล ไปอ่านหนงั สือค่มู ือฟิสิกส์ที่ศูนย์วิชาวทิ ยาศาสตร์ ข. ธนั ยา ไปเรยี นทาขนมไทยจากกลุม่ แมบ่ ้านวดั นวลจนั ทร์ ค. กมลและเพอื่ น ไปหอ้ งคอมพิวเตอร์ เพือ่ สบื ค้นข้อมูลมาทารายงาน ง. กมลา ไปศึกษาค้นควา้ เรื่องประโยชนข์ องพชื สมุนไพรท่ีสวนสมุนไพรของโรงเรียน 6. ห้องสมดุ ประเภทใดที่ให้ความร้คู น้ ควา้ วิจัยมากทีส่ ดุ ก. ห้องสมุดเฉพาะ ข. ห้องสมดุ โรงเรยี น ค. หอ้ งสมดุ ประชาชน ง. ห้องสมุดมหาวิทยาลัย 7.บุคคลใดใช้บริการแหล่งเรียนรไู้ ดถ้ ูกต้องที่สดุ ก. เอวา ใชแ้ หล่งเรียนร้เู ป็นสถานทฝ่ี ึกงานของตนโดยตรง ข. พิวา รบั ขอ้ มูล ข่าวสาร ความรู้ที่ตนเองต้องการโดยตรงจากผูร้ ู้ ค. พิกลุ ใชอ้ ินเตอรเ์ น็ตเปน็ แหล่งเรยี นรู้ท่ใี กลต้ วั ค้นคว้าหาง่าย รวดเรว็ ง. พมิ พา ศึกษาหาความรู้จากหอ้ งสมดุ ประชาชนเพอื่ ให้เกดิ ประสบการณ์จริง 8. . ขอ้ ใดคอื ความหมาย www ก. Word wide web ข. Work wide web ค.Word widk web ง.Word walk web

9.หากตอ้ งการลงทะเบียนของ E-mail ฟรีและ Hotmail ใหค้ ลกิ ไปทใ่ี ด ก. Login ข. Sing Up ค. ส่งจะหมาย ง. สมัครสมาชกิ 10. ชอ่ งทางใด ท่ีสามารถเชื่อมโยงไปแหล่งข้อมูลอ่นื ได้ในเวบ็ ไซต์ ก. Link ข. Restore ค. Connect ง. Download

ใบความรู้ เร่อื งการใช้แหลง่ เรยี นรู้ ความหมาย ความสาคัญ ประเภทของแหล่งเรียนรู้ ความร้หู รอื ข้อมลู สารสนเทศเกิดข้ึนและพัฒนาอยา่ งต่อเนื่องตลอดเวลา และมกี ารเผยแพร่ถึงกนั โดยใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศภายในไม่กว่ี นิ าที ทาให้มนุษยต์ ้องเรยี นรู้กบั สิง่ ทเี่ ปลีย่ นแปลงใหมๆ่ เพ่ือใหส้ ามารถ รู้เท่าทนั เหตกุ ารณ์ และนามาใชใ้ หเ้ กิดประโยชน์ตอ่ การดารงชีวติ ไดอ้ ย่างมคี วามสขุ ความร้หู รอื ขอ้ มูล สารสนเทศต่าง ๆ ดังกล่าวมีอย่ใู นแหล่งเรยี นรูล้ ้อมรอบตัวเรา ดังน้ันการเรียนร้ทู ่เี กิดขน้ึ ภายในหอ้ งเรียนย่อม เป็นการไม่เพยี งพอในความรู้ทไ่ี ดร้ ับ ความหมายของแหล่งเรียนรู้ แหล่งเรียนรู้ หมายถึง บริเวณ ศูนยร์ วม บอ่ เกดิ แห่ง หรอื ท่ี ทมี่ ีสาระเน้อื หาเป็นขอ้ มลู ความรู้ ความสาคญั ของแหล่งเรียนรู้ แหล่งเรยี นรู้มบี ทบาทสาคญั ในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน ดังนี้ 1. เป็นแหล่งที่มขี อ้ มูล/ ความรู้ ตามวตั ถุประสงคข์ องแหลง่ เรียนรู้น้ัน เชน่ สวนสัตว์ใหค้ วามรู้ เร่อื งสตั ว์ พิพิธภัณฑใ์ หค้ วามรู้เรื่องโบราณวตั ถสุ มัยต่าง ๆ 2. เปน็ สอ่ื การเรยี นรสู้ มัยใหมท่ คี่ วามรู้ก่อใหเ้ กิดทักษะ และชว่ ยการเรียนรู้สะดวกรวดเรว็ เช่น อนิ เทอร์เน็ต 3. เป็นแหล่งช่วยเสริมการเรยี นรู้ของการศึกษาประเภทต่าง ๆ ทั้งการศึกษาในระบบการศึกษา นอกระบบ และการศึกษาตามอธั ยาศัย 4. เป็นแหลง่ การเรียนรตู้ ลอดชีวติ ท่มี นุษย์เข้าไปหาความรู้ไดด้ ้วยตนเองตามความสนใจและ ความสามารถ 5. เปน็ แหลง่ ท่ีมนุษยส์ ามารถเข้าไปปฏบิ ัตไิ ด้จริง เชน่ การประดษิ ฐ์เครื่องใชต้ ่าง ๆ การซ่อม เครื่องยนต์ เปน็ ต้น ช่วยกระตุ้นให้เกดิ ความสนใจ ความใฝ่รู้ 6. เปน็ แหล่งท่ีมนุษย์สามารถเขา้ ไปเรยี นรูเ้ ก่ียวกบั วิทยาการใหม่ ๆ ยังไม่มีของจริงให้เห็นหรอื ไม่ สามารถเขา้ ไปดจู ากของจรงิ ไดโ้ ดยเรียนรู้ การดูภาพยนตร์ วดี ที ศั น์ หรอื สือ่ อ่นื ๆ 7. เป็นแหลง่ ส่งเสรมิ ความสัมพันธ์อนั ดีระหวา่ งคนในท้องถิ่นใหเ้ กิดความตระหนกั และเหน็ คุณค่า ของแหลง่ เรยี นรู้ 8. เปน็ สิง่ ทีช่ ่วยเปล่ยี นแปลงทศั นคติ ค่านิยมใหเ้ กดิ การยอมรับสิ่งใหม่ แนวคิดใหม่ เกดิ จนิ ตนาการ และความคดิ สรา้ งสรรค์กบั ผเู้ รยี น 9. เป็นการประหยดั คา่ ใช้จ่ายและเพ่ิมรายได้ใหแ้ หล่งเรยี นรู้ของชุมชน ความสาคญั และประโยชนข์ องแหล่งเรียนรู้ แหล่งเรียนรมู้ ีบทบาทสาคัญในการช่วยพัฒนาคุณภาพของมนุษย์ ในยุคความรู้ของมนุษย์เกดิ ขึ้นใหม่ๆ และเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนี้ 1. เป็นแหล่งที่มีสาระเนื้อหาท่ีเป็นข้อมูลความรู้ ให้มนุษย์เกิดโลกทัศน์ที่กว้างไกลกว่าเดิมช่วยให้เกิด ความสนใจในเรอื่ งสาคัญ ช่วยยกระดับความทะเยอทะยานของผูศ้ ึกษา จากการนาเสนอสาระความรู้ หรือภาพ ในอุดมคติ หรือเสนอผลสาเร็จและความก้าวหน้าของงาน หรือช้ินงาน หรือเทคโนโลยี หรือบุคคลต่างๆของ แหล่งเรียนรู้

2. เป็นสื่อการเรียนรู้ การเรียนรู้สมัยใหม่ที่ให้ทั้งสาระ ความรู้ ก่อให้เกิดทักษะและช่วยให้เกิดการ เรยี นรไู้ ด้เรว็ ขึ้นมากยิง่ ขึ้น 3. เป็นแหล่งช่วยเสริมการเรียนรู้ของการศึกษาประเภทต่าง ๆ ท้ังการศึกษาในระบบ การศึกษานอก ระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั 4. เป็นแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตท่ีมนุษย์สามารถที่จะมีปฏิสัมพันธ์ในการหาความรู้ต่าง ๆ ได้ด้วย ตนเองตลอดเวลา โดยไม่จากดั เพศ วัย ระดับความรู้ความสามารถ 5. เป็นแหล่งทีม่ นุษย์สามารถเข้าไปปฏสิ ัมพนั ธใ์ นการหาความรู้ จากแหลง่ กาเนดิ หรือแหล่งต้นตอของ ความรู้ เชน่ จากโบราณสถาน โบราณวัตถุ พันธ์ไุ ม้ พันธ์ุสตั ว์ สภาพชวี ติ ความเปน็ อยตู่ ามธรรมชาติของสตั ว์เป็นตน้ 6. เป็นแหล่งท่ีมนุษย์สามารถเข้าไปปฏิสัมพันธ์ให้เกิดประสบการณ์ตรง หรือลงมือปฏิบัติได้จริง เช่น การประดษิ ฐเ์ ครื่องใช้ตา่ ง ๆ การซ่อมแซมเคร่อื งยนต์ เป็นตน้ ชว่ ยกระตุน้ ให้เกิดความสนใจความใฝ่รู้ 7. เป็นแหลง่ ทมี่ นุษย์สามารถเข้าไปปฏสิ ัมพันธใ์ ห้เกดิ ความรู้ เกี่ยวกบั วิทยาการใหม่ๆท่ีไดร้ ับการคิดค้น ขึน้ และยังไม่มีของจริงให้เห็น เช่น การดูภาพยนตร์ วดี ิทัศน์ หรือสื่ออื่น ๆ ในเร่ืองการประดิษฐค์ ิดคน้ สิ่งตา่ ง ๆ ขนึ้ มาใหม่ 8. เป็นแหล่งส่งเสริมความสมั พันธอ์ ันดี ระหว่างคนในท้องถิ่นกับผู้เข้าศึกษาในการทากิจกรรมร่วมกัน ช่วยสร้างความรูส้ ึกของการเป็นสว่ นหนง่ึ ของการมสี ว่ นร่วม เกิดความตระหนกั และเหน็ คุณคา่ ของแหล่งเรยี นรู้ 9. เป็นส่ิงท่ีช่วยเปล่ยี นแปลงทัศนคติ ค่านิยมใหเ้ กิดการยอมรบั สิ่งใหม่ แนวคิดใหม่ เกิดจิตนาการและ ความคิดสร้างสรรคก์ ับผเู้ รยี น 10. เปน็ การประหยัดเงินของผู้เรยี นในการใชแ้ หล่งเรยี นร้ขู องชมุ ชนใหเ้ กดิ ประโยชน์สูงสุด ประเภทของแหล่งเรยี นรู้ แหล่งเรียนร้มู กี ารแบ่งแยกตามลกั ษณะได้ 6 ประเภท ดงั น้ี 1. แหล่งเรยี นรู้ประเภทบคุ คล ไดแ้ ก่ บุคคลที่มีความรู้ ความสามารถดา้ นต่าง ๆทีส่ ามารถ ถ่ายทอดความรดู้ ว้ ยรูปแบบวิธตี ่าง ๆ ทตี่ นมอี ยู่ใหผ้ ู้สนใจหรือผูต้ ้องการเรยี นรู้ เชน่ ผเู้ ช่ียวชาญในสาขาวชิ าการ ต่าง ๆ ผอู้ าวุโสท่มี ีประสบการณม์ ามาก หรืออาจจะเปน็ บคุ คลทีไ่ ดร้ ับแตง่ ตงั้ เป็นทางการ มบี ทบาทสถานะทาง สงั คม หรอื อาจเป็นบุคคลท่ีเป็นโดยการงานอาชีพหรอื บุคคลท่ีเปน็ โดยความสามารถเฉพาะตัว หรอื บุคคลท่ี ไดร้ บั แตง่ ตั้งเป็นภมู ปิ ัญญา 2. แหล่งเรยี นรปู้ ระเภทธรรมชาติ ได้แก่ ส่งิ ต่าง ๆ ที่เกดิ ข้นึ โดยธรรมชาติ และใหป้ ระโยชน์ต่อ มนุษย์ เชน่ ดนิ นา้ อากาศ พืช สัตว์ ตน้ ไม้ แร่ธาตุ ทรพั ยากรธรรมชาตเิ หล่านีอ้ าจถูกจัดให้เป็นอุทยาน วน อุทยาน เขตรักษาพันธุ์สัตวป์ า่ สวนพฤกษศาสตร์ ศนู ยศ์ ึกษาธรรมชาติ เปน็ ต้น 3. แหลง่ เรยี นร้ปู ระเภทวสั ดแุ ละสถานที่ ไดแ้ ก่ อาคาร สง่ิ ก่อสร้าง วสั ดุ อุปกรณ์และสงิ่ ตา่ ง ๆ ท่ี ประชาชนสามารถศึกษาหาความร้ใู หไ้ ดม้ าซงึ่ คาตอบ หรอื สงิ่ ทีต่ ้องการจากการเห็นได้ยิน สมั ผัส เชน่ ห้องสมดุ ศาสนสถาน ศนู ย์การเรยี น พิพิธภณั ฑ์ สถานประกอบการ ตลาดนิทรรศการ สถานท่ีทางประวตั ิศาสตร์ ชมุ ชน แหง่ การเรียนรู้ตา่ ง ๆ 4. แหลง่ เรยี นร้ปู ระเภทส่อื ได้แก่ สงิ่ ท่ีทาหน้าท่เี ป็นสื่อกลางในการถา่ ยทอดเนือ้ หาความรู้ สารสนเทศ ใหถ้ งึ กันโดยผ่านประสาทสัมผสั ได้แก่ หู ตา จมูก ล้นิ กาย และใจ แหลง่ เรียนรูป้ ระเภทน้ี ทาให้ กระบวนการเรียนรู้เป็นไปไดอ้ ย่างรวดเรว็ มปี ระสทิ ธภิ าพสงู ทั้งสอ่ื อิเล็กทรอนกิ สส์ ่ือสิ่งพิมพ์ สือ่ โสตทศั น


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook