Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore คำอธิบายการบริหารงานกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

คำอธิบายการบริหารงานกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

Published by mrnok, 2019-09-07 05:22:51

Description: คำอธิบายการบริหารงานกำลังพล สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

Search

Read the Text Version

140  อนชุ ัย ณ วชั รเจริญ ๒๒. ในการสอบปากคาผู้ถกู กล่าวหาและพยาน ห้ามมิให้กรรมการสอบสวนผู้ใดกระทา การลอ่ ลวง ขูเ่ ขญ็ ให้สัญญา หรือกระทาการใดเพือ่ จูงใจใหบ้ คุ คลน้นั ใหถ้ ้อยคาอยา่ งใดๆ ๒๓. ในการสอบปากคาผ้ถู ูกกล่าวหาและพยาน ให้คณะกรรมการสอบสวนเรียกผู้ซ่ึงจะ ถกู สอบปากคาเข้ามาในทส่ี อบสวนคราวละหนึง่ คน ห้ามมิให้บุคคลอ่ืนอยู่ในท่ีสอบสวน เว้นแต่ทนายความ หรือท่ีปรึกษาของผู้ถูกกล่าวหา หรือบุคคลซึ่งคณะกรรมการสอบสวนอนุญาตให้อยู่ในที่สอบสวน เพือ่ ประโยชนแ์ หง่ การสอบสวน การสอบปากคาผถู้ ูกกล่าวหาและพยาน ให้บันทึกถ้อยคามีสาระสาคัญตามแบบ สว.๔ หรือแบบ สว.๕ ท่ี ก.ตร. กาหนด แล้วแต่กรณี เมื่อได้บันทึกถ้อยคาเสร็จแล้ว ให้อ่านให้ผู้ให้ถ้อยคาฟัง หรือจะให้ผู้ให้ถ้อยคาอ่านเองก็ได้ เม่ือผู้ให้ถ้อยคารับว่าถูกต้องแล้ว ให้ผู้ให้ถ้อยคา ผู้เข้าร่วมฟังตาม วรรคหน่งึ ท่อี ยู่ในทสี่ บื สวน และผบู้ นั ทึกถ้อยคาลงลายมือชือ่ ไว้เป็นหลักฐาน และให้คณะกรรมการสอบสวน ทุกคนที่ร่วมสอบสวนลงลายมือชื่อรับรองไว้ในบันทึกถ้อยคาน้ันด้วย ถ้าบันทึกถ้อยคามีหลายหน้า ให้กรรมการสอบสวนอย่างน้อยหนึ่งคนกับผใู้ ห้ถอ้ ยคาลงลายมือชื่อกากับไว้ทุกหนา้ ในการบันทึกถ้อยคา ห้ามมิให้ขูดลบหรือบันทึกข้อความทับ ถ้าจะต้องแก้ไขข้อความ ท่ีได้บันทึกไว้แล้วให้ใช้วิธีขีดฆ่าหรือตกเติม และให้กรรมการสอบสวนผู้ร่วมสอบสวนอย่างน้อยหน่ึงคน กับผใู้ ห้ถ้อยคาลงลายมอื ชอ่ื กากับไว้ทกุ แหง่ ทข่ี ีดฆ่าหรือตกเติม ในกรณีที่ผู้ให้ถ้อยคาหรือผู้เข้าร่วมฟังตามวรรคหนึ่งที่อยู่ในที่สืบสวนไม่ยอม ลงลายมอื ช่ือให้บันทึกเหตุน้ันไว้ในบันทึกถ้อยคาน้ัน และให้กรรมการสอบสวนทุกคนที่ร่วมสอบสวน ลงลายมอื ชอ่ื รับรองไวด้ ้วย ในกรณีทผี่ ูใ้ หถ้ อ้ ยคาไม่สามารถลงลายมือช่ือได้ให้นามาตรา ๙ แห่งประมวลกฎหมาย แพง่ และพาณชิ ย์มาใช้บงั คบั โดยอนโุ ลม ๒๔. ในกรณีทีค่ ณะกรรมการสอบสวนเรียกบุคคลใดมาเปน็ พยาน ใหบ้ คุ คลน้ันมาช้ีแจง หรอื ใหถ้ ้อยคาตามวัน เวลา และสถานท่ีที่คณะกรรมการสอบสวนกาหนด ในกรณีที่พยานมาแต่ไม่ให้ถ้อยคาหรือไม่มา หรือคณะกรรมการสอบสวนเรียกพยาน ไม่ได้ภายในเวลาอันควร คณะกรรมการสอบสวนจะไม่สอบสวนพยานนั้นก็ได้ แต่ต้องบันทึกเหตุนั้นไว้ ในบันทกึ ประจาวนั ทม่ี ีการสอบสวนตามข้อ ๑๐ และรายงานการสอบสวนตามข้อ ๓๒ ๒๕. ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนเห็นว่าการสอบสวนพยานหลักฐานใดจะทาให้ การสอบสวนล่าช้าโดยไม่จาเป็น หรือมิใช่พยานหลักฐานในประเด็นสาคัญจะงดการสอบสวน พยานหลักฐานน้ันก็ได้ แต่ต้องบันทึกเหตุน้ันไว้ในบันทึกประจาวันท่ีมีการสอบสวนตามข้อ ๑๐ และ รายงานการสอบสวนตามข้อ ๓๒ ๒๖. ในกรณจี ะตอ้ งสอบสวนหรือรวบรวมพยานหลักฐานซึ่งอยู่ต่างท้องที่ประธานกรรมการ จะรายงานต่อผู้ส่ังแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อดาเนินการมอบหมายให้หัวหน้าส่วนราชการ หรือหัวหนา้ หนว่ ยงานในท้องทีน่ ั้นสอบสวนหรือรวบรวมพยานหลกั ฐานแทนกไ็ ด้ โดยกาหนดประเด็น ที่จะต้องสอบสวนไปให้ ในกรณีเช่นนี้ให้หวั หน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าหน่วยงานเลือกข้าราชการตารวจ ที่เห็นสมควรอยา่ งนอ้ ยอีกสองคนมารว่ มเปน็ คณะทาการสอบสวน ในการปฏิบัติหน้าที่ตามวรรคหนึ่ง ให้คณะทาการสอบสวนมีฐานะเป็นคณะกรรมการ สอบสวนตามกฎ ก.ตร. นี้ และให้นาข้อ ๑๑ ข้อ ๑๓ วรรคหนึ่ง ข้อ ๒๐ ข้อ ๒๑ ข้อ ๒๒ ข้อ ๒๓ และข้อ ๒๔ มาใชบ้ ังคับโดยอนุโลม

คาอธิบายการบรหิ ารงานกาลงั พล สานกั งานตารวจแห่งชาติ  141 ๒๗. ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนเห็นว่ากรณีมีมูลว่าผู้ถูกกล่าวหากระทาผิดวินัย อย่างร้ายแรง หรือหย่อนความสามารถในอันท่ีจะปฏิบัติหน้าที่ราชการ บกพร่องในหน้าที่ราชการ หรือประพฤตติ นไมเ่ หมาะสมกับตาแหนง่ ในอนั ท่จี ะปฏิบัติหนา้ ท่รี าชการ ในเร่ืองอ่ืนนอกจากท่ีระบุไว้ ในคาสัง่ แต่งตง้ั คณะกรรมการสอบสวน ให้ประธานกรรมการรายงานไปยังผู้สั่งแต่งต้ังคณะกรรมการ สอบสวนโดยเรว็ ถ้าผ้สู ง่ั แตง่ ตง้ั คณะกรรมการสอบสวนเห็นว่า กรณีมีมูลที่ควรกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัย อย่างร้ายแรง หรือหย่อนความสามารถในอันที่จะปฏิบัติหน้าท่ีราชการ บกพร่องในหน้าที่ราชการ หรือประพฤติตนไม่เหมาะสมกับตาแหน่งในอันท่ีจะปฏิบัติหน้าท่ีราชการ ก็ให้ส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการ สอบสวน โดยจะแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนคณะเดิมเป็นผู้ทาการสอบสวนหรือจะแต่งตั้ง คณะกรรมการสอบสวนใหมก่ ็ได้ ท้ังน้ี ใหด้ าเนินการตามหลกั เกณฑ์และวธิ กี ารท่กี าหนดในกฎ ก.ตร. นี้ ๒๘. ในกรณีที่การสอบสวนพาดพิงไปถึงข้าราชการตารวจผู้อื่นว่ามีส่วนร่วมในการ กระทาการในเรื่องท่ีทาการสอบสวนนั้นด้วย ให้คณะกรรมการสอบสวนพิจารณาในเบ้ืองต้นว่า ข้าราชการตารวจผู้น้ันมีส่วนร่วมกระทาการในเรื่องท่ีสอบสวนน้ันด้วยหรือไม่ ถ้าเห็นว่าผู้น้ันมีส่วนร่วม กระทาการในเร่ืองทีส่ อบสวนน้นั อยูด่ ้วย ให้ประธานกรรมการรายงานไปยังผู้สั่งแต่งต้ังคณะกรรมการ สอบสวนเพือ่ พจิ ารณาดาเนินการตามควรแกก่ รณีโดยเร็ว ในกรณีที่ผู้มีอานาจสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเห็นว่ากรณีมีมูลท่ีควรกล่าวหา ว่ากระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง หรือหย่อนความสามารถในอันท่ีจะปฏิบัติหน้าท่ีราชการ บกพร่อง ในหน้าที่ราชการหรือประพฤติตนไม่เหมาะสมกับตาแหน่งในอันที่จะปฏิบัติหน้าท่ีราชการ ก็ให้สั่งแต่งต้ัง คณะกรรมการสอบสวน โดยจะแตง่ ต้งั คณะกรรมการสอบสวนคณะเดิมเป็นผู้สอบสวนหรือจะแต่งตั้ง คณะกรรมการสอบสวนใหมก่ ็ได้ ท้ังน้ี ให้ดาเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีกาหนดในกฎ ก.ตร. นี้ กรณเี ช่นนี้ให้ใช้พยานหลักฐานท่ไี ด้สอบสวนมาแล้วประกอบการพิจารณาได้ ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนดาเนินการสอบสวนโดยแยกเป็นสานวน การสอบสวนใหม่ให้นาสาเนาพยานหลักฐานที่เห็นว่าเกี่ยวข้องในสานวนการสอบสวนเดิมมารวม ในสานวนการสอบสวนใหม่และให้บันทึกให้ปรากฏด้วยว่านาพยานหลักฐานนั้นมาจากสานวน การสอบสวนเดมิ ๒๙. ในกรณีท่ีมีคาพิพากษาถึงที่สุดว่าผู้ถูกกล่าวหากระทาผิดหรือต้องรับผิดในคดีท่ี เกี่ยวกับเรื่องที่กล่าวหา ถ้าคณะกรรมการสอบสวนเห็นว่าข้อเท็จจริงท่ีปรากฏตามคาพิพากษาได้ ความประจักษ์ชัดอยู่แล้ว ให้ถือเอาคาพิพากษานั้นเป็นพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหา โดยไม่ต้องสอบสวนพยานหลักฐานอื่นที่เกี่ยวข้องกับข้อกล่าวหา แต่ต้องแจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ และให้แจ้งข้อกล่าวหาพร้อมทั้งสรุปพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนข้อกล่าวหาตามท่ีปรากฏในคาพิพากษา ให้ผูถ้ กู กลา่ วหาทราบ ท้งั น้ี ให้นาขอ้ ๑๘ มาใชบ้ ังคับโดยอนุโลม ๓๐. ในระหว่างการสอบสวน แมจ้ ะมกี ารสงั่ ให้ผู้ถูกกล่าวหาไปอยู่นอกบังคับบัญชาของ ผสู้ ั่งแตง่ ตัง้ คณะกรรมการสอบสวน ใหค้ ณะกรรมการสอบสวนทาการสอบสวนต่อไปจนเสร็จ แล้วทารายงาน การสอบสวนและเสนอสานวนการสอบสวนต่อผู้ส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนเพื่อตรวจสอบ ความถกู ตอ้ งตามขอ้ ๓๙ ขอ้ ๔๐ ขอ้ ๔๑ และข้อ ๔๒ และให้ผู้สั่งแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนส่งเรื่อง ใหผ้ บู้ งั คับบัญชาคนใหม่ของผู้ถูกกลา่ วหาเพื่อดาเนนิ การตามข้อ ๓๓ ต่อไป ท้งั นี้ ใหผ้ ู้บงั คบั บัญชาคนใหม่ มีอานาจตรวจสอบความถูกต้องตามขอ้ ๓๙ ขอ้ ๔๐ ข้อ ๔๑ และขอ้ ๔๒ ด้วย

142  อนุชัย ณ วัชรเจริญ ในกรณีมีผู้ถูกกล่าวหาบางคนหรือท้ังหมดไปอยู่นอกบังคับบัญชาของผู้ส่ังแต่งต้ัง คณะกรรมการสอบสวน ในกรณีเช่นนี้ เม่ือผู้ส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนได้รับสานวนการสอบสวน จากคณะกรรมการสอบสวนและตรวจสอบความถูกต้องตามข้อ ๓๙ ข้อ ๔๐ ข้อ ๔๑ และข้อ ๔๒ แล้วให้ผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนส่งเร่ืองให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาส่ังการสาหรับ ผ้ถู กู กลา่ วหาทกุ คนดาเนินการตามขอ้ ๓๓ ต่อไป ๓๑. เม่ือคณะกรรมการสอบสวนได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ เสร็จแล้วให้ประชุม พิจารณาลงมตดิ งั น้ี (๑) ผู้ถูกกล่าวหากระทาผิดวินัยหรือไม่ ถ้าผิดเป็นความผิดวินัยกรณีใด ตามมาตราใด และควรได้รบั โทษสถานใด (๒) กรณีกระทาผิดวินัยอันมิใช่ความผิดวินัยอย่างร้ายแรง หรือหย่อนความสามารถ ในอันที่จะปฏิบัติหน้าท่ีราชการ บกพร่องในหน้าที่ราชการหรือประพฤติตนไม่เหมาะสมกับตาแหน่ง ในอนั ทจ่ี ะปฏิบตั หิ นา้ ทรี่ าชการ หรือไม่ อยา่ งไร (๓) กรณไี ม่ได้ความแน่ชัดว่าผู้ถูกกล่าวหากระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงที่จะถูกลงโทษ ปลดออก หรือไล่ออก แต่มีมลทินหรือมัวหมองในกรณีท่ีถูกสอบสวนน้ัน หากจะให้รับราชการต่อไป จะเป็นการเสยี หายแก่ราชการและควรใหอ้ อกจากราชการตามมาตรา ๑๐๒ หรอื ไม่ อย่างไร ๓๒. เม่ือได้ประชุมพิจารณาลงมติตามข้อ ๓๑ แล้ว ให้คณะกรรมการสอบสวนทารายงาน การสอบสวนโดยมสี าระสาคญั ตามแบบ สว. ๖ ท่ี ก.ตร.กาหนด เสนอต่อผสู้ ั่งแตง่ ต้งั คณะกรรมการสอบสวน กรรมการสอบสวนผใู้ ดมีความเห็นแย้งให้ทาความเหน็ แย้งแนบไว้กับรายงานการสอบสวนโดยถือเป็น สว่ นหนึง่ ของรายงานการสอบสวนดว้ ย รายงานการสอบสวนอยา่ งนอ้ ยตอ้ งมสี าระสาคัญดังนี้ (๑) สรุปข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานว่ามีอย่างใดบ้าง ในกรณีท่ีไม่ได้สอบสวน พยานหลักฐานตามข้อ ๒๔ และข้อ ๒๕ ให้รายงานเหตุที่ไม่ได้สอบสวนนั้นให้ปรากฏไว้ ในกรณีที่ ผู้ถกู กลา่ วหาให้ถ้อยคารับสารภาพ ใหบ้ นั ทกึ เหตุผลในการรับสารภาพ (ถ้ามี) ไวด้ ว้ ย (๒) วินิจฉัยเปรียบเทียบพยานหลักฐานท่ีสนับสนุนข้อกล่าวหากับพยานหลักฐาน ทหี่ ักลา้ งขอ้ กลา่ วหา (๓) ความเหน็ ของคณะกรรมการสอบสวนว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทาผิดวินัยหรือไม่ อย่างไร ถ้าไม่ผิดให้เสนอความเห็นยุติเรื่อง ถ้าผิดให้ระบุว่าเป็นความผิดวินัยกรณีใด ตามมาตราใด และควรได้รับโทษสถานใด หรือหย่อนความสามารถในอันที่จะปฏิบัติหน้าที่ราชการ บกพร่องในหน้าท่ี ราชการหรือประพฤติตนไม่เหมาะสมกับตาแหน่งในอันท่ีจะปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือไม่ อย่างไร หรอื ไม่ได้ความแน่ชดั ว่าผู้ถูกกล่าวหากระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงที่จะถูกลงโทษปลดออกหรือไล่ออก แต่มีมลทินหรือมัวหมองในกรณีที่ถูกสอบสวนน้ัน หากให้รับราชการต่อไปจะเป็นการเสียหายแก่ราชการ และควรให้ออกจากราชการตามมาตรา ๑๐๒ หรอื ไม่ อยา่ งไร เมื่อคณะกรรมการสอบสวนได้ทารายงานการสอบสวนแล้ว ให้เสนอสานวน การสอบสวนพร้อมทั้งสารบาญต่อผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อพิจารณาสั่งการต่อไป และใหถ้ อื วา่ การสอบสวนแล้วเสร็จ

คาอธิบายการบรหิ ารงานกาลงั พล สานกั งานตารวจแห่งชาติ  143 ๓๓. เมื่อคณะกรรมการสอบสวนได้เสนอสานวนการสอบสวนมาแล้ว ให้ผู้สั่งแต่งตั้ง คณะกรรมการสอบสวนตรวจสอบความถูกต้องของสานวนการสอบสวนตามข้อ ๓๙ ข้อ ๔๐ ข้อ ๔๑ และข้อ ๔๒ ๓๔. ในกรณีทีผ่ สู้ ่ังแตง่ ตงั้ คณะกรรมการสอบสวน หรอื ผมู้ ีอานาจตามมาตรา ๙๐ มาตรา ๙๑ วรรคสอง หรอื มาตรา ๑๐๑ แลว้ แตก่ รณี เห็นสมควรใหส้ อบสวนเพม่ิ เตมิ ประการใดให้กาหนดประเด็น พร้อมทั้งส่งเอกสารที่เกี่ยวข้องไปให้คณะกรรมการสอบสวนคณะเดิมเพื่อดาเนินการสอบสวนเพิ่มเติมได้ ตามความจาเป็น ในกรณีท่คี ณะกรรมการสอบสวนคณะเดิมไม่อาจทาการสอบสวนได้หรือผู้ส่ังสอบสวน เพ่ิมเติมเห็นเป็นการสมควรจะแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนคณะใหม่ขึ้นทาการสอบสวนเพิ่มเติมก็ได้ ในกรณเี ชน่ น้ใี ห้นาขอ้ ๓ ข้อ ๔ และข้อ ๕ มาใช้บงั คบั โดยอนโุ ลม ใหค้ ณะกรรมการสอบสวนทาการสอบสวนเพิ่มเติมให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เม่ือสอบสวน เสร็จแล้วให้ส่งพยานหลักฐานท่ีได้จากการสอบสวนเพิ่มเติมไปให้ผู้สั่งสอบสวนเพ่ิมเติมโดยทาความเห็น ทีไ่ ดจ้ ากการสอบสวนเพิ่มเตมิ ประกอบไปด้วย ๓๕. ในกรณีท่ีผู้บังคับบัญชาได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนเพื่อทาการสอบสวน ข้าราชการตารวจผู้ใดตามมาตรา ๑๐๑ และผลการสอบสวนปรากฏว่าผู้ถูกกล่าวหากระทาผิดวินัย อย่างร้ายแรงให้ผู้มีอานาจตามมาตรา ๗๒ ดาเนินการสั่งการตามผลการสอบสวนโดยไม่ต้องแต่งต้ัง คณะกรรมการสอบสวนหรือดาเนินการสอบสวนใหม่ แต่ท้ังน้ีต้องแจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐาน ท่ีสนบั สนุนขอ้ กลา่ วหาตามขอ้ ๑๘ ให้ผูถ้ กู กลา่ วหาทราบดว้ ย ๓๖. การพจิ ารณาดาเนนิ การตามขอ้ ๓๓ ข้อ ๓๔ ขอ้ ๓๕ และการพิจารณาสั่งการตาม ผลการสอบสวนท่ีดาเนินการเสร็จสิ้นแล้วให้ผู้มีอานาจพิจารณาส่ังการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว ทั้งนี้ต้อง ไม่เกินสองร้อยสี่สิบวันนับแต่วันได้รับสานวน เว้นแต่มีเหตุจาเป็นตามท่ีกาหนดไว้ในระเบียบ ก.ตร. ซ่ึงทาใหก้ ารพิจารณาไม่แล้วเสร็จภายในกาหนดระยะเวลาดังกล่าว ก็ให้ขยายระยะเวลาได้อีกไม่เกิน สองครั้ง โดยแต่ละครั้งจะต้องไม่เกินหกสิบวัน ในการน้ีหากยังพิจารณาไม่แล้วเสร็จให้ข้าราชการตารวจ ผถู้ กู กลา่ วหากลับคืนสู่ฐานะเดิมและให้ถือว่าไม่เป็นผู้ที่อยู่ระหว่างถูกสอบสวนนับแต่วันครบกาหนดเวลา ดังกล่าวจนกวา่ การพิจารณาสัง่ การในเรอ่ื งนนั้ จะเสรจ็ ส้ินและมีคาสง่ั กรณีผู้มีอานาจตามมาตรา ๗๒ (๒) (๓) และ (๔) จะส่ังลงโทษปลดออกหรือไล่ออก จากราชการแกผ่ ้ถู กู กล่าวหาให้ผู้มีอานาจดงั กลา่ วสง่ เร่อื งใหค้ ณะกรรมการพิจารณากล่นั กรองการพิจารณา ส่ังลงโทษที่ได้แต่งตั้งขึ้นตามมาตรา ๙๐ วรรคสอง เพื่อพิจารณากล่ันกรองเสนอ ทั้งนี้ ผู้มีอานาจจะต้อง สั่งการใหแ้ ล้วเสร็จภายในระยะเวลาตามวรรคแรก การพิจารณาพยานหลักฐานว่าผู้ถูกกล่าวหากระทาผิดวินัยอย่างไร หรือไม่ นั้น ใหผ้ ูม้ ีอานาจพจิ ารณาจากพยานหลักฐานในสานวนการสอบสวนและตอ้ งเป็นพยานหลักฐานที่ได้สรุป แจ้งใหผ้ ถู้ กู กลา่ วหาทราบและใหโ้ อกาสผู้ถูกกล่าวหาทจ่ี ะชแ้ี จงแก้ข้อกล่าวหาตามขอ้ ๑๘ แล้วเท่าน้ัน หากผู้มีอานาจเห็นว่าพยานหลักฐานที่ปรากฏในสานวนการสอบสวนนอกเหนือจากที่ได้มีการสรุป ใหผ้ ้ถู ูกกล่าวหาทราบไวแ้ ลว้ สามารถรบั ฟังลงโทษผ้ถู ูกกลา่ วหาได้ จะต้องดาเนินการให้มีการแจ้งสรุป พยานหลักฐานในส่วนที่เพิ่มเติมดังกล่าวให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบและใ ห้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาชี้แจง แก้ข้อกล่าวหาดว้ ย

144  อนชุ ัย ณ วัชรเจริญ ๓๗. ผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิคัดค้านผู้ส่ังแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนและกรรมการสอบสวน ถ้าผนู้ ัน้ มเี หตุอย่างใดอยา่ งหน่ึงตามข้อ ๓ การคัดค้านให้ทาเป็นหนังสือแสดงข้อเท็จจริงที่เป็นเหตุแห่งการคัดค้านไว้ในหนังสือ คดั คา้ นด้วยว่าจะทาใหก้ ารสอบสวนไมไ่ ด้ความจริงและความยุติธรรมอย่างไร การคัดค้านผู้ส่ังแต่งต้ัง คณะกรรมการสอบสวน ให้ยื่นต่อผู้บังคับบัญชาเหนือผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนขึ้นไปหน่ึงช้ัน ถ้านายกรัฐมนตรีเป็นผู้สั่งแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนให้ย่ืนต่อ ก.ตร. การคัดค้านกรรมการสอบสวน ให้ย่ืนต่อผู้ส่ังแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน ทั้งน้ี ภายในเจ็ดวันนับแต่วันรับทราบคาสั่งแต่งต้ัง คณะกรรมการสอบสวนหรือทราบเหตุแห่งการคัดค้าน ในการน้ีให้ผู้ท่ีได้รับหนังสือคัดค้านส่งสาเนา หนังสือคัดค้านและแจ้งวันที่ได้รับหนังสือคัดค้านให้ประธานกรรมการสอบสวน ทราบและรวมไว้ ในสานวนการสอบสวนดว้ ย การพจิ ารณาการคัดค้าน ผ้ทู ่ีไดร้ ับหนังสือคัดค้านอาจตรวจสอบข้อเท็จจริงได้ตาม ความเหมาะสมและใหพ้ จิ ารณาส่ังการโดยไม่ชกั ชา้ ทงั้ น้ี ไมเ่ กนิ สามสบิ วันนับแต่วนั ท่ไี ด้รบั หนังสือคดั คา้ น หากเห็นวา่ การคดั ค้านมเี หตุผลรับฟงั ได้ กรณีคดั ค้านผู้สั่งแตง่ ตง้ั คณะกรรมการสอบสวนให้ส่ังให้ผู้นั้น พ้นจากผมู้ ีอานาจพจิ ารณาตามขอ้ ๓๓ ข้อ ๓๔ ข้อ ๓๕ และการพิจารณาสั่งการตามผลการสอบสวน ท่ดี าเนินการเสร็จส้ินแลว้ และสัง่ ให้ผู้บังคับบัญชาของผู้ถูกกล่าวหาท่ีมีอานาจในการแต่งตั้งคณะกรรมการ สอบสวนเป็นผู้พิจารณาแทนหรือจะเป็นผู้พิจารณาเองก็ได้ กรณีนายกรัฐมนตรีเป็นผู้สั่งแต่งต้ัง คณะกรรมการสอบสวน ให้ ก.ตร. พจิ ารณา เมื่อ ก.ตร. มีมติเป็นประการใดแล้ว ให้นายกรัฐมนตรีส่ังตามนั้น กรณีคัดค้านกรรมการสอบสวน ให้สั่งให้ผู้ถูกคัดค้าน พ้นจากการเป็นกรรมการสอบสวน ถ้าเห็นว่า การคัดคา้ นไม่มเี หตผุ ลทจี่ ะรบั ฟงั ได้ ใหส้ ่งั ยกคาคัดค้านนัน้ การสั่งยกคาคดั ค้านให้เป็นที่สดุ ในการพิจารณา การคัดค้านให้แสดงเหตุผลในการพิจารณาส่ังการไว้ด้วย พร้อมท้ังแจ้งให้ผู้คัดค้านทราบแล้วส่งเร่ืองให้ คณะกรรมการสอบสวนรวมไว้ในสานวนการสอบสวน ในกรณที ผี่ ู้พิจารณาการคัดค้านไม่พิจารณาสั่งการอย่างหนึ่งอย่างใดภายในสามสิบวัน ตามวรรคสาม ใหถ้ ือว่าผู้ทีถ่ กู คดั คา้ นพน้ จากการเป็นผู้มีอานาจพิจารณาตามข้อ ๓๓ ข้อ ๓๔ ข้อ ๓๕ และการพิจารณาสั่งการตามผลการสอบสวนท่ีดาเนินการเสร็จสิ้นแล้วหรือพ้นจากการเป็นกรรมการ สอบสวน แล้วแต่กรณี การพน้ จากการเปน็ กรรมการสอบสวนให้ประธานกรรมการรายงานไปยังผสู้ ่ังแต่งต้ัง คณะกรรมการสอบสวนเพอ่ื ดาเนินการตามข้อ ๗ ต่อไป การพน้ จากการเป็นกรรมการสอบสวนไม่กระทบถึงการสอบสวนที่ได้ดาเนนิ การไปแล้ว ๓๘. การนาสืบแก้ข้อกล่าวหา ผู้ถูกกล่าวหาจะนาพยานหลักฐานมาเอง หรือจะอ้าง พยานหลักฐานแล้วขอใหค้ ณะกรรมการสอบสวนเรียกพยานหลักฐานนั้นมาก็ได้ ผถู้ กู กล่าวหาซึ่งได้ยน่ื คาชี้แจงหรอื ใหถ้ อ้ ยคาแก้ขอ้ กลา่ วหาไวแ้ ล้ว อาจย่ืนคาชี้แจง หรือขอให้ถอ้ ยคา หรอื นาสบื แก้ขอ้ กลา่ วหาเพิ่มเติมต่อคณะกรรมการสอบสวนก่อนการสอบสวนแล้วเสร็จ หากคณะกรรมการเหน็ วา่ มีเหตอุ นั สมควรกใ็ หร้ บั ไว้พิจารณาดาเนนิ การต่อไป เมื่อการสอบสวนแล้วเสร็จและยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของผู้สั่งแต่งตั้ง คณะกรรมการสอบสวนหรือผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจ ผู้ถูกกล่าวหาจะยื่นคาชี้แจงต่อบุคคลดังกล่าวก็ได้ ในกรณเี ชน่ น้ีใหผ้ สู้ ั่งแตง่ ต้ังคณะกรรมการสอบสวนหรือผูบ้ ังคับบัญชาผู้มีอานาจรับคาชี้แจงน้ันรวมไว้ ในสานวนการสอบสวนเพ่ือประกอบการพิจารณาด้วย

คาอธบิ ายการบริหารงานกาลงั พล สานักงานตารวจแห่งชาติ  145 ในการสอบสวนผู้ถกู กล่าวหา ผู้ถูกกล่าวหาจะนาทนายความหรือที่ปรึกษาของตน จานวนไม่เกินหน่ึงคนเข้าร่วมฟังการสอบสวนก็ได้ ทนายความหรือท่ีปรึกษาที่เข้าร่วมฟังการสอบสวนน้ัน จะให้ถ้อยคาแทนผ้ถู กู กล่าวหาไม่ได้ ๓๙. ในกรณีปรากฏว่าการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนไม่ถูกต้องตามข้อ ๔ เว้นแต่ กรณีไม่มีเลขานุการให้การสอบสวนทั้งหมดเสียไป ในกรณีเช่นนี้ให้ผู้มีอานาจตามมาตรา ๘๖ วรรคสอง มาตรา ๙๑ วรรคสาม หรือมาตรา ๑๐๑ วรรคหนึ่ง แล้วแต่กรณี แต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนใหม่ ให้ถูกต้อง ๔๐. ในกรณีท่ีปรากฏว่าการสอบสวนตอนใดทาไม่ถูกต้อง ให้การสอบสวนตอนนั้นเสียไป เฉพาะในกรณดี งั ต่อไปน้ี (๑) การประชมุ ของคณะกรรมการสอบสวนมีกรรมการสอบสวนมาประชุมไม่ครบ ตามที่กาหนดไว้ในขอ้ ๑๓ วรรคหน่งึ (๒) การสอบปากคาบคุ คลดาเนนิ การไมถ่ ูกตอ้ งตามท่ีกาหนดไว้ในข้อ ๑๑ ข้อ ๒๐ ขอ้ ๒๒ ข้อ ๒๓ วรรคหน่ึง ข้อ ๒๖ หรอื ขอ้ ๓๘ วรรคสี่ ในกรณีเช่นน้ีให้ผู้มีอานาจตามมาตรา ๘๖ วรรคสอง มาตรา ๙๑ วรรคสาม หรือ มาตรา ๑๐๑ วรรคหนึ่ง แลว้ แตก่ รณี สัง่ ใหค้ ณะกรรมการสอบสวนดาเนนิ การใหมใ่ ห้ถูกตอ้ งโดยเร็ว ๔๑. ในกรณีที่ปรากฏว่าคณะกรรมการสอบสวนไม่เรียกผู้ถูกกล่าวหามารับทราบ ข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานที่สนับสนุนข้อกล่าวหา หรือไม่ส่งบันทึกการแจ้งข้อกล่าวหาและ สรุปพยานหลกั ฐานทส่ี นบั สนนุ ข้อกลา่ วหาทางไปรษณียล์ งทะเบยี นตอบรบั ไปให้ผถู้ ูกกล่าวหา หรือไม่ มหี นงั สือขอให้ผู้ถูกกลา่ วหาชแ้ี จง หรอื นัดมาให้ถ้อยคาหรอื นาสบื แก้ขอ้ กล่าวหาตามข้อ ๑๘ ให้ผู้มีอานาจ ตามมาตรา ๘๖ วรรคสอง มาตรา ๙๑ วรรคสาม หรือมาตรา ๑๐๑ วรรคหนึ่ง แล้วแต่กรณี ส่ังให้ คณะกรรมการสอบสวนดาเนินการให้ถูกต้องโดยเร็ว และต้องให้โอกาสผู้ถูกกล่าวหาที่จะชี้แจงให้ถ้อยคา และนาสืบแกข้ ้อกลา่ วหาตามทก่ี าหนดไว้ในข้อ ๑๘ ด้วย ในกรณีที่ผ้มู ีอานาจ ส่ังลงโทษผูถ้ กู กลา่ วหาไปตามบทมาตราหรือฐานความผิดทแ่ี ตกต่าง จากที่คณะกรรมการสอบสวนได้แจ้งให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบ แต่การสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวน ผถู้ ูกกลา่ วหาไม่ไดห้ ลงข้อตอ่ สู้ หรือไม่ทาใหเ้ สียความเป็นธรรมให้ถือว่าการสอบสวนและพิจารณาน้ัน ใช้ได้ ๔๒. ในกรณีท่ีปรากฏว่าการสอบสวนตอนใดทาไม่ถูกต้องตามกฎ ก.ตร. นี้ นอกจากที่ กาหนดไว้ในข้อ ๓๙ ข้อ ๔๐ และข้อ ๔๑ ถ้าการสอบสวนตอนนั้นเป็นสาระสาคัญอันจะทาให้เสีย ความเป็นธรรม ใหผ้ ้มู อี านาจตามมาตรา ๘๖ วรรคสอง มาตรา ๙๑ วรรคสาม หรือมาตรา ๑๐๑ วรรคหน่ึง แล้วแต่กรณี สั่งให้คณะกรรมการสอบสวนแก้ไขหรือดาเนินการตอนนั้นให้ถูกต้องโดยเร็วแต่ถ้า การสอบสวนตอนนั้นมิใช่สาระสาคัญอันจะทาให้เสยี ความเป็นธรรม ผู้มีอานาจดังกล่าวจะสั่งให้แก้ไข หรือดาเนนิ การให้ถูกตอ้ งหรอื ไม่ก็ได้ ๔๓. การนับระยะเวลาตามกฎ ก.ตร. น้ี สาหรับเวลาเร่ิมต้นให้นับวันถัดจากวันแรก แห่งเวลานั้นเป็นวันเริ่มนับระยะเวลา แต่ถ้าเป็นกรณีขยายเวลาให้นับวันต่อจากวันสุดท้าย แห่งระยะเวลาเดิมเป็นวันเริ่มระยะเวลาที่ขยายออกไป ส่วนเวลาสิ้นสุดถ้าวันสุดท้ายแห่งระยะเวลา ตรงกับวันหยุดราชการให้นบั วนั เริ่มเปิดทาการใหมเ่ ปน็ วันสุดทา้ ยแห่งระยะเวลา

146  อนุชยั ณ วัชรเจริญ ๔๔. ในกรณีที่มีการแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนก่อนที่กฎ ก.ตร. นี้ ใช้บังคับให้ คณะกรรมการสอบสวนดาเนินการตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีใช้อยู่ในขณะนั้น จนกว่าจะแล้วเสร็จ ส่วนการพจิ ารณาส่ังการของผู้มีอานาจตามมาตรา ๘๖ วรรคสอง มาตรา ๙๐ มาตรา ๙๑ วรรคสาม หรอื มาตรา ๑๐๑ วรรคหน่งึ แลว้ แต่กรณี ใหด้ าเนินการตามกฎ ก.ตร. น้ี การสง่ั พักราชการและการสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน พระราชบัญญตั ิตารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ มาตรา ๘๕ บัญญัติว่าเม่ือข้าราชการตารวจ ถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงให้ผู้บังคับบัญชานาสานวน การสืบสวนข้อเท็จจริง ตามมาตรา ๘๔ มาพิจารณาสั่งการตามมาตรา ๘๙ ซึ่ง ก.ตร. ได้ออก กฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสั่งพักราชการ และการส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อน พ.ศ. ๒๕๔๗ (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๑ ตอนที่ ๗๕ ก วนั ท่ี ๑๔ ธันวาคม ๒๕๔๗) เพ่ือเปน็ แนวทางในการปฏบิ ัติ ซึ่งมีสาระสาคญั ดงั นี้ ๑. กฎ ก.ตร. นี้ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (๑๔ ธันวาคม ๒๕๔๗) ๒. การสั่งให้ข้าราชการตารวจพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อนเพ่ือรอฟังผล การสอบสวนพจิ ารณาทางวินัย ระยะเวลาให้พักราชการและให้ออกจากราชการไว้กอ่ น และการดาเนินการ เพื่อให้เป็นไปตามผลการสอบสวนพิจารณา ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการท่ีกาหนดในกฎ ก.ตร. น้ี ๓. เมือ่ ข้าราชการตารวจผู้ใดมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกต้ัง กรรมการสอบสวน หรือต้องหาว่ากระทาความผิดอาญาหรือถูกฟูองคดีอาญา เว้นแต่เป็นความผิด ท่ไี ด้กระทาโดยประมาทหรือความผดิ ลหุโทษ ผู้มีอานาจตามมาตรา ๗๒ หรือผู้บังคับบัญชาอ่ืนตามที่ กาหนดไวใ้ นระเบียบ ก.ตร. แล้วแต่กรณี จะส่ังให้ผู้น้ันพักราชการได้ก็ต่อเม่ือมีเหตุอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปน้ี (๑) ผนู้ ้นั ถกู ต้ังกรรมการสอบสวน หรือต้องหาว่ากระทาความผิดอาญาหรือถูกฟูอง คดีอาญาในเร่ืองเก่ียวกับการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ หรือเกี่ยวกับความประพฤติหรือพฤติการณ์ อันไม่น่าไว้วางใจและผู้ที่ถูกฟูองน้ันพนักงานอัยการมิได้รับเป็นทนายแก้ต่างให้ และผู้มีอานาจดังกล่าว พจิ ารณาเหน็ ว่าถา้ ใหผ้ นู้ นั้ คงอยู่ในหน้าทีร่ าชการอาจเกดิ การเสียหายแกร่ าชการ (๒) ผู้นั้นมีพฤติการณ์ที่แสดงว่าถ้าคงอยู่ในหน้าที่ราชการจะเป็นอุปสรรคต่อการ สอบสวนพิจารณา หรอื จะก่อให้เกิดความไมส่ งบเรียบร้อยข้ึน (๓) ผนู้ น้ั อยู่ในระหว่างถูกควบคุมหรือขังโดยเป็นผู้ถูกจับในคดีอาญาหรือต้องจาคุก โดยคาพพิ ากษาและไดถ้ กู ควบคุม ขัง หรือต้องจาคกุ เปน็ เวลาตดิ ต่อกนั เกินกว่าสิบหา้ วันแลว้ (๔) ผู้น้ันถูกต้ังกรรมการสอบสวนและต่อมามีคาพิพากษาถึงที่สุดว่าเป็นผู้กระทา ความผดิ อาญาในเรือ่ งทสี่ อบสวนน้นั หรอื ผนู้ นั้ ถกู ตั้งกรรมการสอบสวนภายหลังที่มีคาพิพากษาถึงที่สุด ว่าเป็นผู้กระทาความผิดอาญาในเร่ืองท่ีสอบสวนน้ัน และผู้มีอานาจดังกล่าวพิจารณาเห็นว่าข้อเท็จจริง ท่ีปรากฏตามคาพิพากษาถึงที่สุดน้ันได้ความประจักษ์ชัดอยู่แล้วว่าการกระทาความผิดอาญาของผู้น้ัน เป็นความผดิ วนิ ัยอย่างรา้ ยแรง

คาอธบิ ายการบริหารงานกาลังพล สานกั งานตารวจแห่งชาติ  147 ๔. การสั่งพักราชการให้สั่งพักตลอดเวลาที่สอบสวนพิจารณา เว้นแต่กรณีผู้ถูกสั่งพัก ได้ร้องทุกข์และผู้มีอานาจพิจารณาเห็นว่าคาร้องทุกข์ฟังขึ้นและไม่สมควรท่ีจะส่ังพักราชการ ก็ให้สั่ง ใหผ้ ้นู ัน้ กลบั เขา้ ปฏบิ ัติหนา้ ที่ราชการกอ่ นการสอบสวนพิจารณาเสรจ็ ส้ินได้ ๕. ในกรณีที่ข้าราชการตารวจผู้ใดมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง จนถูกต้ังกรรมการสอบสวนหลายสานวน หรือต้องหาว่ากระทาความผิดอาญาหรือถูกฟูองคดีอาญา หลายคดี เว้นแต่เป็นความผิดท่ีได้กระทาโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ หรือผู้ที่ถูกฟูองนั้น พนกั งานอยั การรับเปน็ ทนายแก้ตา่ งให้ ถ้าจะสัง่ พกั ราชการให้ส่งั พกั ทุกสานวนและทุกคดี ในกรณีที่ได้สั่งพักราชการในสานวนใดหรือคดีใดไว้แล้ว ภายหลังปรากฏว่าผู้ถูกส่ัง พักราชการน้ันมีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกต้ังกรรมการสอบสวนในสานวนอื่น หรือต้องหาว่ากระทาความผิดอาญาหรือถูกฟูองคดีอาญาในคดีอื่นเพิ่มขึ้นอีก เว้นแต่เป็นความผิด ที่ได้กระทาโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ หรือผู้ท่ีถูกฟูองนั้น พนักงานอัยการรับเป็นทนายแก้ต่างให้ กใ็ ห้สง่ั พกั ราชการในสานวนหรอื คดีอนื่ ที่เพม่ิ ขึน้ นนั้ ดว้ ย ๖. การสงั่ พกั ราชการ หา้ มมใิ หส้ ่ังพกั ยอ้ นหลงั ไปก่อนวันออกคาสง่ั เว้นแต่ (๑) ผู้ซึ่งจะถูกสง่ั พกั ราชการอย่ใู นระหว่างถูกควบคุมหรือขัง โดยเป็นผู้ถูกจับในคดีอาญา หรือต้องจาคุกโดยคาพิพากษา การสั่งพักราชการในเรื่องน้ัน ให้ส่ังพักย้อนหลังไปถึงวันท่ีถูกควบคุมขัง หรอื ตอ้ งจาคุก (๒) ในกรณที ่ีได้มกี ารสั่งพกั ราชการไว้แล้ว ถ้าจะต้องส่ังใหม่เพราะคาสั่งเดิมไม่ชอบ หรือไม่ถูกต้อง ให้สั่งพักต้ังแต่วันให้พักราชการตามคาสั่งเดิม หรือตามวันท่ีควรต้องพักราชการในขณะที่ ออกคาส่งั เดิม ๗. เม่ือได้มีคาสั่งให้ข้าราชการตารวจผู้ใดพักราชการแล้ว ให้แจ้งคาส่ังให้ผู้นั้นทราบ พร้อมทั้งส่งสาเนาคาส่ังให้ด้วยโดยพลัน ในกรณีท่ีไม่อาจแจ้งให้ผู้น้ันทราบได้ หรือผู้นั้นไม่ยอมรับทราบ คาสง่ั ใหป้ ิดสาเนาคาส่งั ไว้ ณ ที่ทาการที่ผู้น้ันรับราชการอยู่และมีหนังสือแจ้งพร้อมกับส่งสาเนาคาส่ัง ทางไปรษณียล์ งทะเบยี นตอบรบั ไปให้ผนู้ ้นั ณ ท่อี ย่ขู องผนู้ ้ันซ่ึงปรากฏตามหลักฐานของทางราชการ ในกรณีเช่นนี้ เมื่อล่วงพ้นสิบวันนับแต่วันท่ีได้ดาเนินการดังกล่าว ให้ถือว่าผู้น้ันได้ทราบคาส่ังพักราชการ แล้ว ๘. เมื่อข้าราชตารวจผู้ใดมีเหตุที่อาจถูกส่ังพักราชการตามข้อ ๓ และผู้มีอานาจตาม มาตรา ๗๒ หรือผู้บังคับบัญชาอ่ืนตามท่ีกาหนดไว้ในระเบียบ ก.ตร. แล้วแต่กรณี พิจารณาเห็นว่า การสอบสวนพิจารณา หรือการพิจารณาคดีท่ีเป็นเหตุที่อาจถูกส่ังพักราชการน้ัน จะไม่แล้วเสร็จโดยเร็ว ผู้มอี านาจดงั กลา่ วจะส่ังใหผ้ ้นู น้ั ออกจากราชการไวก้ ่อนก็ได้ การส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อน ให้สั่งให้ออกตลอดเวลาท่ีสอบสวนพิจารณา เว้นแต่ กรณีผู้ถูกส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนได้อุทธรณ์คาสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนต่อ ก.ตร. และ ก.ตร. ได้พิจารณาเห็นว่าคาอุทธรณ์ฟังขึ้นและไม่สมควรท่ีจะส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อน ก็ให้แจ้งผู้มีอานาจ ตามมาตรา ๗๒ หรือผู้บังคับบัญชาอ่ืนตามท่ีกาหนดไว้ในระเบียบ ก.ตร. แล้วแต่กรณี ส่ังให้ผู้นั้นกลับเข้า ปฏบิ ตั หิ น้าท่รี าชการกอ่ นการสอบสวนพิจารณาเสรจ็ ส้นิ ได้ ใหน้ าขอ้ ๕ และข้อ ๗ มาใช้บังคบั แกก่ ารสง่ั ให้ออกจากราชการไว้ก่อนโดยอนุโลม

148  อนุชัย ณ วัชรเจรญิ ๙. เมื่อได้ส่ังใหข้ า้ ราชการตารวจผูใ้ ดพกั ราชการไว้แล้ว ผู้มีอานาจตามมาตรา ๗๒ หรือ ผู้บังคับบัญชาอ่ืนตามที่กาหนดไว้ในระเบียบ ก.ตร. แล้วแต่กรณี จะพิจารณาตามข้อ ๘ และส่ังให้ผู้น้ัน ออกจากราชการไวก้ ่อนอีกช้นั หนง่ึ ก็ได้ ๑๐. การสั่งให้ออกจากราชการไวก้ ่อน จะสง่ั ใหอ้ อกต้งั แตว่ นั ใด ให้นาขอ้ ๖ มาใชบ้ ังคบั โดยอนโุ ลม แต่สาหรบั การสั่งให้ออกจากราชการไวก้ ่อนในกรณตี ามข้อ ๙ ให้สั่งใหอ้ อกต้ังแต่วันพักราชการ เป็นต้นไป ๑๑. การสั่งให้ข้าราชการตารวจตาแหน่งต้ังแต่ผู้บังคับการ พนักงานสอบสวนผู้เชี่ยวชาญ พเิ ศษหรือตาแหน่งเทียบเท่าข้ึนไป ออกจากราชการไว้ก่อน ให้นาความกราบบังคมทูลเพื่อทรงทราบ ส่วนการสั่งให้ข้าราชการตารวจตาแหน่งผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติ จเรตารวจแห่งชาติ และ รองผบู้ ญั ชาการตารวจแห่งชาติหรือตาแหน่งเทียบเท่าออกจากราชการไว้ก่อน ให้นาความกราบบังคมทูล เพ่อื ทรงมีพระบรมราชโองการใหพ้ ้นจากตาแหน่งตั้งแตว่ นั ออกจากราชการไว้กอ่ น ๑๒. เม่ือไดส้ ั่งใหข้ า้ ราชการตารวจผู้ใดพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อนเพ่ือรอฟัง ผลการสอบสวนพิจารณาทางวินัย ถ้าภายหลังปรากฏผลการสอบสวนพิจารณาเป็นประการใดแล้ว ใหด้ าเนินการดงั ตอ่ ไปนี้ (๑) ในกรณีที่ปรากฏว่าผู้น้ันกระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง ก็ให้สั่งลงโทษให้เป็นไป ตามมาตรา ๙๐ หรอื มาตรา ๑๒๓ แล้วแตก่ รณี (๒) ในกรณีท่ีปรากฏว่าผู้ถูกสั่งพักราชการน้ันกระทาผิดวันัยอย่างไม่ร้ายแรงและ ไม่มีกรณีท่ีจะต้องถูกส่ังให้ออกจากราชการ ก็ให้ส่ังให้ผู้นั้นกลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการในตาแหน่งเดิม หรือตาแหน่งในระดับเดียวกันที่ผู้นั้นมีคุณสมบัติตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสาหรับตาแหน่งนั้ น แลว้ ดาเนินการตามมาตรา ๘๙ หรอื มาตรา ๑๒๓ แล้วแต่กรณี (๓) ในกรณีท่ีปรากฏว่าผู้ถูกส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนน้ันกระทาผิดวินัยอย่าง ไม่ร้ายแรงและไม่มีกรณีที่จะต้องถูกสั่งให้ออกจากราชการ ก็ให้สั่งให้ผู้นั้นกลับเข้ารับราชการ ในตาแหน่งเดิมหรือตาแหน่งในระดับเดียวกันที่ผู้นั้นมีคุณสมบัติตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสาหรับ ตาแหนง่ น้ัน ท้ังน้ี สาหรับการสงั่ ให้ผถู้ ูกส่ังใหอ้ อกจากราชการไวก้ ่อนกลับเขา้ รบั ราชการในตาแหน่งต้ังแต่ ผู้บังคับการพนักงานสอบสวน ผู้เชี่ยวชาญพิเศษ หรือตาแหน่งเทียบเท่าข้ึนไป ให้นาความกราบบังคมทูล เพอ่ื ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตงั้ แลว้ ดาเนินการตามมาตรา ๘๙ หรือมาตรา ๑๒๓ แล้วแต่กรณี (๔) ในกรณีท่ีปรากฏว่าผู้ถูกสั่งพักราชการน้ันกระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงและ ไมม่ กี รณที จ่ี ะต้องถกู สงั่ ให้ออกจากราชการด้วยเหตุอ่ืน แต่ไม่อาจสง่ั ใหผ้ นู้ ั้นกลบั เข้าปฏิบัติหน้าท่ีราชการได้ เน่ืองจากมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์และได้พ้นจากราชการตามกฎหมายว่าด้วยบาเหน็จบานาญ ข้าราชการแล้วก็ให้ดาเนินการตามมาตรา ๘๙ หรือมาตรา ๑๒๓ แล้วแต่กรณี โดยไม่ต้องสั่งให้กลับเข้า ปฏบิ ัตหิ นา้ ทร่ี าชการ การดาเนินการตามมาตรา ๘๙ หรือมาตรา ๑๒๓ ในกรณีที่จะสั่งลงโทษ ตัดเงินเดือน การสั่งลงโทษดังกล่าวให้ส่ังย้อนหลังไปถึงวันสุดท้ายก่อนวันพ้นจากราชการตามกฎหมาย วา่ ด้วยบาเหน็จบานาญข้าราชการ

คาอธบิ ายการบริหารงานกาลังพล สานกั งานตารวจแหง่ ชาติ  149 (๕) ในกรณีท่ีปรากฏว่าผู้ถูกส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนนั้นกระทาผิดวินัยอย่าง ไม่ร้ายแรงและไมม่ ีกรณที ่จี ะต้องถกู สั่งใหอ้ อกจากราชการด้วยเหตุอ่ืน แต่ไม่อาจส่ังให้กลับเข้ารับราชการได้ เน่ืองจากมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์และส้ินปีงบประมาณที่มีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์น้ันแล้ว ก็ให้ ดาเนินการตามมาตรา ๘๙ หรือมาตรา ๑๒๓ แล้วแต่กรณี และมีคาสั่งยกเลิกคาสั่งให้ออกจากราชการ ไว้ก่อนเพ่ือให้ผู้นั้นเป็นผู้พ้นจากราชการตามกฎหมายว่าด้วยบาเหน็จบานาญข้าราชการ และให้นา (๔) วรรคสอง มาใชบ้ ังคบั โดยอนุโลม (๖) ในกรณีท่ีปรากฏว่าผู้น้ันกระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง แต่มีกรณีที่จะต้องถูกส่ัง ให้ออกจากราชการด้วยเหตุอ่ืน ก็ให้ดาเนินการตามมาตรา ๘๙ หรือมาตรา ๑๒๓ แล้วแต่กรณี แล้วสั่งให้ ผู้นั้นออกจากราชการตามเหตุนั้นโดยไม่ต้องสั่งให้กลับเข้าปฏิบัติหน้าท่ีราชการหรือกลับเข้ารับราชการ และใหน้ า (๔) วรรคสอง มาใชบ้ ังคับโดยอนโุ ลม (๗) ในกรณที ป่ี รากฏวา่ ผนู้ ้ันมิไดก้ ระทาผิดวินัยและไม่มีกรณีที่จะต้องออกจากราชการ ก็ให้สั่งยตุ ิเร่อื งและให้ผู้นน้ั กลับเข้าปฏิบัตหิ น้าที่ราชการหรือกลบั เข้ารับราชการตาม (๒)หรือ (๓) แลว้ แต่กรณี (๘) ในกรณที ี่ปรากฏว่าผ้ถู กู ส่ังพักราชการน้ันมไิ ดก้ ระทาผิดวนิ ัยและไม่มีกรณีท่ีจะต้อง ถูกสงั่ ใหอ้ อกจากราชการด้วยเหตอุ นื่ แต่ไมอ่ าจสง่ั ให้ผนู้ ้ันกลบั เข้าปฏิบตั ิหน้าท่ีราชการได้เน่ืองจากมีอายุครบ หกสิบปบี รบิ รู ณ์และได้พ้นจากราชการตามกฎหมายว่าด้วยบาเหนจ็ บานาญข้าราชการแล้วกใ็ หส้ ่งั ยตุ เิ ร่ือง (๙) ในกรณีท่ีปรากฏว่าผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนน้ันมิได้กระทาผิดวินัย และไม่มีกรณีที่จะต้องถูกส่ังให้ออกจากราชการด้วยเหตุอื่น แต่ไม่อาจส่ังให้ผู้นั้นกลับเข้ารับราชการได้ เนอ่ื งจากมอี ายคุ รบหกสบิ ปบี ริบูรณแ์ ละสนิ้ ปงี บประมาณท่ีมีอายุครบหกสิบปีบริบูรณ์น้ันแล้ว ก็ให้ส่ัง ยตุ เิ ร่ืองและมีคาสั่งยกเลิกคาส่ังให้ออกจากราชการไว้ก่อนเพ่ือให้ผู้น้ันเป็นผู้พ้นจากราชการตามกฎหมาย ว่าดว้ ยบาเหน็จบานาญขา้ ราชการ (๑๐) ในกรณีท่ีปรากฏว่าผู้น้ันมิได้กระทาผิดวินัย แต่มีกรณีท่ีจะต้องถูกสั่งให้ออก จากราชการด้วยเหตุอ่ืน ก็ให้ส่ังให้ออกจากราชการตามเหตุน้ันโดยไม่ต้องส่ังให้กลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ ราชการหรือกลบั เข้ารับราชการ ๑๓. คาสั่งพักราชการ คาสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน หรือคาสั่งให้กลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ ราชการหรือกลบั เขา้ รบั ราชการ ต้องมีสาระสาคญั ตามแบบคาสงั่ ที่ ก.ตร.กาหนดแล้วแต่กรณี หลักเกณฑ์และวิธีการดาเนินการให้ผู้ถูกลงโทษตามคาสั่งเดิมรับโทษ ทเี่ พม่ิ ขึน้ หรอื กลบั คืนสฐู่ านะเดิม พระราชบัญญัติตารวจแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๗ มาตรา ๙๑ วรรคสี่ บัญญัติว่าเมื่อมีกรณีเพ่ิมโทษ ลดโทษ งดโทษ หรือยกโทษ ให้ผู้สั่งมีคาส่ังใหม่ และในคาส่ังดังกล่าวให้สั่งยกเลิกคาส่ังลงโทษเดิมด้วย พร้อมท้ังระบุวิธีการดาเนินการให้ผู้ถูกลงโทษตามคาสั่งเดิมรับโทษที่เพิ่มข้ึนหรือกลับคืนสู่ฐานะเดิม แล้วแต่กรณี ตามหลกั เกณฑ์และวธิ กี ารทก่ี าหนดในกฎ ก.ตร. ซ่งึ ก.ตร. ได้ออก กฎ ก.ตร. ว่าด้วยหลักเกณฑ์ และวิธีการดาเนินการให้ผู้ถูกลงโทษตามคาสั่งเดิมรับโทษที่เพ่ิมขึ้นหรือกลับคืนสู่ฐานะเดิม พ.ศ.๒๕๔๗ (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๑ ตอนที่ ๖๖ ก วันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๔๗) เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ซงึ่ มสี าระสาคญั ดงั น้ี ๑. กฎ ก.ตร. นี้ให้ใช้บังคับต้ังแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๗)

150  อนชุ ัย ณ วัชรเจริญ ๒. เม่อื ผู้บังคับบัญชาส่ังลงโทษข้าราชการตารวจผู้ใดไปแล้ว ภายหลังได้มีคาส่ังให้เพ่ิมโทษ ลดโทษ งดโทษ หรือยกโทษ ในคาส่ังดงั กลา่ วใหส้ ั่งยกเลกิ คาสง่ั เดมิ ดว้ ย ๓. การเพิม่ โทษเป็นสถานโทษที่หนักข้ึน หรือการลดโทษเป็นสถานโทษท่ีเบาลง หรืองดโทษ หรือยกโทษ คาสั่งลงโทษเดิมใหเ้ ป็นอนั พับไป ทั้งนี้ ให้ผถู้ กู สง่ั ลงโทษกลบั คนื สฐู่ านะเดิมตามข้อ ๕ ๔. การเพิ่มโทษในสถานโทษเดิมเป็นอัตราโทษที่หนักข้ึน หรือการลดโทษในสถานโทษเดิม เป็นอัตราโทษที่เบาลง ให้อัตราโทษส่วนท่ีเกินเป็นอันพับไป ทั้งน้ีสาหรับการลดอัตราโทษให้ผู้ถูกส่ัง ลงโทษกลบั คืนสู่ฐานะเดิมตามข้อ ๕ ๕. กรณีมีคาสั่งใหม่ให้เพิ่มโทษ ลดโทษ งดโทษ หรือยกโทษ ให้ผู้ถูกสั่งลงโทษกลับคืน สู่ฐานะเดมิ ดงั น้ี (๑) กรณีคาส่ังลงโทษเดิมเป็นสาเหตุให้ต้องงดจ่ายเงินเดือน หรือไม่ได้รับการพิจารณา เล่ือนขั้นและอัตราเงินเดือน หรือไม่ได้รับเงินอื่นอันพึงได้ตามกฎหมายหรือระเบียบ เมื่อมีคาสั่งใหม่ ใหล้ ดโทษ หรอื งดโทษ หรือยกโทษ ให้คนื เงินเทา่ ท่จี ะไดร้ บั ตามกฎหมายหรือระเบียบหากไม่มีคาสั่งลงโทษ เช่นว่านั้น (๒) กรณีคาส่ังลงโทษใหม่ให้ลดโทษจากคาสั่งเดิมซ่ึงลงโทษกักขังหรือกักยามซึ่งผู้ถูก สั่งลงโทษได้รับโทษไปแล้วทั้งหมดหรือบางส่วน เป็นลงโทษกักยามหรือทัณฑกรรม แล้วแต่กรณี ซง่ึ เปน็ สถานโทษท่เี บาลง ผู้ถกู ส่ังลงโทษไม่ตอ้ งรบั โทษตามคาส่งั ลงโทษใหม่อีก (๓) กรณีคาสั่งเดิมเปน็ คาสง่ั ลงโทษตดั เงนิ เดอื น (ก) ถ้าคาสั่งใหม่ให้งดโทษ หรือยกโทษ หรือลดโทษ เป็นสถานโทษที่เบาลง ได้แก่ การลดโทษเป็นลงโทษกักขัง กักยาม ทัณฑกรรม หรือภาคทัณฑ์ ให้คืนเงินเดือนส่วนที่ได้ตัดไปแล้วให้แก่ ผู้ถกู สัง่ ลงโทษ (ข) ถ้าคาส่งั ลงโทษใหมใ่ หล้ ดโทษเปน็ อตั ราโทษท่เี บาลงในสถานโทษเดิม ให้คืน เงินเดือนตามอัตราโทษส่วนทเี่ กนิ ซ่ึงได้ตดั ไปแลว้ ใหแ้ ก่ผถู้ กู สั่งลงโทษ (ค) ถ้าคาส่ังลงโทษใหม่ใหเ้ พิ่มโทษเป็นสถานโทษทหี่ นักขึ้น ได้แก่ การเพิ่มโทษ เปน็ ลงโทษปลดออกหรอื ไลอ่ อก ให้คืนเงินเดอื นส่วนทไ่ี ดต้ ดั ไปแล้วใหแ้ ก่ผถู้ กู สั่งลงโทษ คณะกรรมการพิจารณากล่นั กรองการพจิ ารณาส่งั ลงโทษ อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๓๑ (๒) และมาตรา ๙๐ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ ตารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการปกครอง พ.ศ. ๒๕๓๙ มาตรา ๗๙ วรรคหน่ึง และมติ ก.ตร. ในการประชุมคร้ังที่ ๓/๒๕๔๗ เม่ือวันท่ี ๒๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๔๗ ก.ตร. จึงออกกฎ ก.ตร. ได้แก่ กฎ ก.ตร. ว่าด้วยคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการพิจารณา สั่งลงโทษ พ.ศ. ๒๕๔๗ (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๑ ตอนพิเศษ ๙ ก วันท่ี ๙ มีนาคม ๒๕๔๗) กฎ ก.ตร. ว่าด้วยการแก้ไขเพิ่มเติมคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการพิจารณาส่ังลงโทษ (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ.๒๕๔๗ (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๑ ตอนพิเศษ ๘๕ ก วันที่ ๓๐ ธันวาคม ๒๕๔๗) และ กฎ ก.ตร. ว่าด้วยคณะกรรมการพิจารณากลั่นกรองการพิจารณาสั่งลงโทษ (ฉบับท่ี ๔) พ.ศ. ๒๕๕๑ (ราชกิจจานุเบกษา เลม่ ๑๒๕ ตอนพิเศษ ๙๙ ก วันท่ี ๑๖ กันยายน ๒๕๕๑) เพอื่ เป็นแนวทางในการปฏิบัติ ซ่ึงมสี าระสาคัญดงั น้ี

คาอธิบายการบรหิ ารงานกาลังพล สานักงานตารวจแห่งชาติ  151 ๑. กฎ ก.ตร. น้ี ให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (๙ มีนาคม ๒๕๔๗) ๒. การพิจารณาสั่งลงโทษข้าราชการตารวจผู้กระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง ซึ่งตาม มาตรา ๙๐ วรรคสอง ให้ผู้มีอานาจตั้งคณะกรรมการเพ่ือพิจารณากลั่นกรองเสนอน้ัน หลักเกณฑ์ เก่ยี วกบั คณะกรรมการใหเ้ ป็นไปตามกฎ ก.ตร. นี้ ๓. เม่ือผู้มีอานาจตามมาตรา ๗๒ (๒) (๓) และ (๔) จะสั่งลงโทษปลดออกหรือไล่ออก จากราชการแกข่ า้ ราชการตารวจ ให้ผูม้ ีอานาจดังกล่าวต้ังคณะกรรมการเพ่ือพิจารณากลั่นกรองก่อน ดังตอ่ ไปน้ี (๑) ให้ผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติ ตั้งคณะกรรมการคณะหนึ่ง ประกอบด้วย จเรตารวจแห่งชาติ รองผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติทุกคน และผู้ช่วยผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติ ท่ีรับผิดชอบงานด้านวินัยเป็นกรรมการ โดยให้จเรตารวจแห่งชาติ หรือรองผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติ ซึ่งมีอาวุโสสูงสุดเป็นประธานกรรมการ ข้าราชการตารวจยศพลตารวจตรีข้ึนไปคนหนึ่งเป็นเลขานุการ และข้าราชการตารวจยศพันตารวจตรีขึ้นไปจานวนไม่เกินสามคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ ท้ังนี้ การประชุม ของคณะกรรมการตอ้ งมีกรรมการมาประชุมอย่างน้อยสามคน จงึ จะเปน็ องค์ประชมุ (๒) ใหผ้ ูบ้ ัญชาการหรอื ตาแหน่งเทียบเท่าตั้งคณะกรรมการคณะหน่ึง ประกอบด้วย รองผู้บัญชาการหรือตาแหน่งเทียบเท่าทุกคน และผู้บังคับการผู้รับผิดชอบงานอานวยการ เป็นกรรมการ โดยให้รองผู้บัญชาการหรือตาแหน่งเทียบเท่าซึ่งมีอาวุโสสูงสุดเป็นประธานกรรมการ ข้าราชการตารวจ ยศพันตารวจเอกข้นึ ไปคนหนงึ่ เป็นเลขานกุ าร และขา้ ราชการตารวจยศร้อยตารวจเอกข้ึนไปจานวนไม่เกิน สามคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ ทั้งน้ี การประชุมของคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุมอย่างน้อย สามคนจึงจะเปน็ องคป์ ระชุม (๓) ใหผ้ ้บู งั คบั การหรือตาแหน่งเทียบเท่าตั้งคณะกรรมการคณะหน่ึง ประกอบด้วย รองผู้บังคับการ พนักงานสอบสวนผเู้ ชยี่ วชาญ หรือตาแหนง่ เทียบเท่า เปน็ กรรมการ โดยให้รองผบู้ ังคบั การ พนักงานสอบสวนผู้เชี่ยวชาญ หรือตาแหน่งเทียบเท่า ซึ่งมีอาวุโสสูงสุดเป็นประธานกรรมการ ข้าราชการตารวจยศพันตารวจตรีข้นึ ไปคนหน่ึงเป็นเลขานุการ และข้าราชการตารวจยศร้อยตารวจตรีขึ้นไป จานวนไม่เกินสามคนเป็นผู้ช่วยเลขานุการ ทั้งนี้ การประชุมของคณะกรรมการต้องมีกรรมการมาประชุม อยา่ งน้อยสามคนจึงจะเป็นองค์ประชุม ๔. คณะกรรมการตามข้อ ๓ (๒) และ (๓) จะต้องมีจานวนไม่น้อยกว่าห้าคน ในกรณีมี ผดู้ ารงตาแหน่งตามขอ้ ๓ (๒) และ (๓) ไม่ครบจานวนห้าคน ใหแ้ ตง่ ตง้ั ผดู้ ารงตาแหน่งถัดลงไปเป็นกรรมการ ให้ครบจานวนห้าคน ๕. ในการพิจารณาของคณะกรรมการตามข้อ ๓ (๑) (๒) และ (๓) ให้พิจารณาให้แล้วเสร็จ ภายในสามสิบวนั นับแต่วันไดร้ บั สานวน เว้นแต่มีเหตุจาเป็นซึ่งทาให้การพิจารณาไม่แล้วเสร็จภายใน กาหนดระยะเวลาดังกล่าว ก็ให้ขยายระยะเวลาไดอ้ กี ไมเ่ กินสบิ ห้าวนั ในการนี้ หากยงั พจิ ารณาไมแ่ ล้วเสร็จ ใหถ้ อื ว่าคณะกรรมการเหน็ ชอบตามที่คณะกรรมการสอบสวนเสนอ ในกรณที ่ีคณะกรรมการตามวรรคหนึง่ สงั่ สอบสวนเพิม่ เติม มิให้นบั ระยะเวลาในการ ดาเนินการสอบสวนเพิ่มเติมเป็นระยะเวลาตามวรรคหนึ่ง

152  อนชุ ยั ณ วชั รเจริญ อานาจการลงโทษ อัตราโทษ และการลงโทษภาคทัณฑ์ ทัณฑกรรม กักยาม กกั ขัง หรอื ตดั เงินเดือน อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๓๑ วรรคหนึ่ง (๒) และมาตรา ๘๙ วรรคส่ี แห่งพระราชบัญญัติ ตารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และ มติ ก.ตร. ในการประชุมคร้ังท่ี ๕/๒๕๔๗ เม่ือวันที่ ๒๒ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๗ และมติอนุกรรมการ ก.ตร. เก่ียวกับการดาเนินการทางวินัย ในการประชุมคร้ังที่ ๙/๒๕๔๗ เมื่อวันท่ี ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ จึงออกกฎ ก.ตร. ไว้ ได้แก่ กฎ ก.ตร. ว่าด้วยอานาจการลงโทษ อัตราโทษ และการลงโทษภาคทัณฑ์ ทัณฑกรรม กักยาม กักขัง หรือตัดเงินเดือน พ.ศ. ๒๕๔๗ (ราชกิจจานเุ บกษา เลม่ ๑๒๑ ตอนพิเศษ ๗๕ ก วนั ที่ ๑๔ ธนั วาคม ๒๕๔๗) เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ ซ่งึ มสี าระสาคัญดงั น้ี ๑. กฎ ก.ตร. น้ีให้ใช้บังคับตั้งแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (วันท่ี ๑๔ ธนั วาคม ๒๕๔๗) ๒. การลงโทษข้าราชการตารวจผู้กระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงผู้บังคับบัญชาจะลงโทษ ภาคทัณฑ์ หรือในสถานโทษและอัตราโทษใด ได้เพียงใด ให้เป็นไปตามตารางกาหนดอานาจและ อตั ราการลงโทษขา้ ราชการตารวจท่ี ก.ตร. กาหนด ผู้ส่ังลงโทษจะสั่งลงโทษเกินกว่าอัตราโทษที่ตารางกาหนดอานาจและอัตราการลงโทษ ข้าราชการตารวจท่ี ก.ตร. กาหนดไม่ได้ แต่ลงโทษตา่ กวา่ น้ีได้ ผู้บงั คบั บัญชาผู้สั่งลงโทษและผูใ้ ตบ้ งั คบั บัญชาผกู้ ระทาผดิ วินัยซึ่งตามตารางกาหนด อานาจและอัตราการลงโทษข้าราชการตารวจท่ี ก.ตร.กาหนด มิได้กาหนดไว้ให้ถือเกณฑ์เทียบตาแหน่ง ตามที่กาหนดในกฎ ก.ตร. ๓. การคานวณระยะเวลาการลงโทษกักยามและกกั ขัง ให้นับวันเวลาเร่ิมลงโทษกักยาม หรือกักขงั เป็นหนึง่ วนั เตม็ โดยไมต่ ้องคานึงถึงจานวนช่ัวโมงและให้นับติดต่อกันไม่เว้นวันหยุดราชการ จนครบกาหนด และใหป้ ลอ่ ยตัวไปในวนั ถดั จากวันท่ีครบกาหนด ๔. เมื่อมีคาสั่งลงโทษ ให้ผู้บังคับบัญชาจัดการให้ผู้ถูกลงโทษได้รับโทษโดยเร็ว และ การอทุ ธรณค์ าส่งั ลงโทษของผไู้ ดร้ ับโทษในความผดิ วินยั อย่างไม่ร้ายแรงมิให้นามาเป็นเหตทุ ุเลาการรับโทษ ๕. โทษทัณฑกรรมทีก่ าหนดไว้เป็นวันๆ ให้หมายความว่าทาทัณฑกรรมทุกๆ วันจนกว่า จะครบกาหนด ในวันหน่ึงกาหนดทัณฑกรรมได้ไม่เกินวันละหกช่ัวโมง แต่ถ้าให้อยู่เวรยามในวันหน่ึง ต้องไม่เกนิ กาหนดเวลาอยู่เวรยามตามปกติ การส่ังลงโทษทณั ฑกรรมใหก้ าหนดจานวนวนั และจานวนชวั่ โมงในแตล่ ะวันใหช้ ัดเจน ๖. โทษกกั ยามให้ใช้ได้แต่เฉพาะข้าราชการตารวจตาแหน่งต้ังแต่ผู้กากับการหรือเทียบเท่า ลงมาและสาหรบั โทษกกั ขงั ใหใ้ ชไ้ ดแ้ ตเ่ ฉพาะขา้ ราชการตารวจตาแหน่งตัง้ แต่รองสารวัตรลงมา ๗. การลงโทษกักยามให้นาตวั ผูถ้ กู ลงโทษไปกักไวใ้ นบรเิ วณใดบรเิ วณหน่งึ ตามทเ่ี ห็นสมควร ๘. การลงโทษกักขัง ให้นาตัวผู้ถูกลงโทษไปรับโทษที่สถานีหรือหน่วยงานอ่ืนท่ีผู้ถูกลงโทษ มไิ ดป้ ระจาอยู่ การลงโทษกกั ขงั ขา้ ราชการตารวจหญิง ห้ามมิให้กกั ขังรวมกับข้าราชการตารวจชาย หากไม่มีสถานท่ีพอจะแยกกักขัง หัวหน้าหน่วยงานที่รับตัวผู้ถูกลงโทษไว้เพ่ือลงโทษจะกาหนด สถานท่ใี ดสถานที่หน่ึงท่ีเหน็ เหมาะสมเป็นสถานท่ีกกั ขังก็ได้

คาอธิบายการบริหารงานกาลังพล สานกั งานตารวจแหง่ ชาติ  153 ๙. การลงโทษกักขัง ให้ลงโทษกกั ขงั ไว้ในสถานท่จี ัดไว้โดยเฉพาะ หา้ มมใิ ห้กกั ขังรวมกบั ผู้ต้องหา เว้นแต่มีเหตุจาเป็นเพราะไม่มีที่กักขัง และห้ามนาส่ิงของไม่จาเป็นหรืออาวุธเข้าไปในสถานที่ กักขัง วธิ ีการออกคาส่ังเก่ยี วกบั การลงโทษ อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๓๑ (๒) และมาตรา ๘๓ แห่งพระราชบัญญัติตารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และ มติ ก.ตร. ในการประชุมคร้ังท่ี ๕/๒๕๔๗ เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๗ และมตอิ นกุ รรมการ ก.ตร. เกย่ี วกับการดาเนินการทางวินัย ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๔๗ เม่ือวันที่ ๒๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๗ จึงออกกฎ ก.ตร. ไว้ ได้แก่ กฎ ก.ตร. ว่าด้วยวิธีการออกคาสั่งเก่ียวกับการลงโทษ พ.ศ.๒๕๔๗ (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๑ ตอนที่ ๗๕ ก วันท่ี ๑๔ ธันวาคม ๒๕๔๗) เพื่อเป็นแนวทาง ในการปฏบิ ตั ิ ซ่ึงมีสาระสาคญั ดังนี้ ๑. กฎ ก.ตร. น้ีให้ใช้บังคับต้ังแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (วนั ที่ ๑๕ ธนั วาคม ๒๕๔๗) ๒. การลงโทษขา้ ราชการตารวจผูก้ ระทาผดิ วนิ ยั ซึ่งตามมาตรา ๘๓ ให้ทาเป็นคาสั่งและ ในคาส่ังลงโทษให้แสดงว่าผู้ถูกลงโทษกระทาผิดวินัยในกรณีใด ตามมาตราใด จึงกาหนดวิธีการออกคาสั่ง เกี่ยวกับการลงโทษใหเ้ ป็นไปตาม กฎ ก.ตร. น้ี ๓. การสั่งลงโทษภาคทัณฑ์ ทัณฑกรรม กกั ยาม กกั ขัง หรอื ตัดเงินเดอื น ตามมาตรา ๘๙ ห้ามมิให้สั่งลงโทษย้อนหลังไปก่อนวันออกคาสั่ง เว้นแต่การสั่งลงโทษภาคทัณฑ์หรือตัด เงินเดือน ผู้ถูกส่ังพักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อนให้ส่ังลงโทษย้อนหลังไปถึงวันพักราชการหรือ วันให้ออกจากราชการไว้ก่อนตามท่ี กฎ ก.ตร. ว่าด้วยการส่ังพักราชการและการสั่งให้ออกจากราชการ ไวก้ ่อนได้กาหนดให้ส่งั พักราชการหรอื ให้ออกจากราชการไวก้ อ่ นย้อนหลงั ก็ให้สง่ั ลงโทษย้อนหลังได้ การทาคาสงั่ ลงโทษตามวรรคหนึง่ ให้ทาตามแบบคาส่งั ที่ ก.ตร.กาหนด ๔. การสัง่ ลงโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการตามมาตรา ๙๐ จะส่ังให้ออกจากราชการ ตัง้ แต่วนั ใดให้เป็นไปตามทีก่ าหนดในระเบยี บ ก.ตร. วา่ ดว้ ยวนั ออกจากราชการของข้าราชการตารวจ การทาคาสัง่ ลงโทษตามขอ้ นี้ ให้ทาตามแบบคาสง่ั ที่ ก.ตร. กาหนด ๕. การแก้ไขหรอื เพิกถอนคาสั่งเก่ียวกับการลงโทษให้ทาเป็นคาสั่ง โดยให้ปรากฏเลขที่ วัน เดอื น ปี ที่ออกคาส่ังเดมิ ข้อความเดมิ ท่ตี อ้ งการแก้ไขหรือเพิกถอน และขอ้ ความท่ีแก้ไขใหม่ เหตจุ าเป็นในการขยายระยะเวลาการพิจารณาส่งั การทางวินัย อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๓๑ (๒) และมาตรา ๘๗ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ ตารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และมติ ก.ตร. ในการประชุมคร้ังที่ ๕/๒๕๔๗ เม่ือวันท่ี ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๗ และมติอนุกรรมการ ก.ตร. เกี่ยวกับการดาเนินการทางวินัย ในการประชุมคร้ังที่ ๙/๒๕๔๗ เมื่อวันท่ี ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๔๗ จึงออกระเบียบ ก.ตร. ไว้ ได้แก่ ระเบียบ ก.ตร. ว่าด้วยเหตุจาเป็น ในการขยายระยะเวลาการพิจารณาสั่งการทางวินัย พ.ศ. ๒๕๔๗ ลงวนั ที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เพ่อื เป็นแนวทางในการปฏบิ ัติ ซ่ึงมสี าระสาคัญดังน้ี

154  อนุชัย ณ วชั รเจริญ ในการพิจารณาของผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจตามมาตรา ๘๕ มาตรา ๘๖ มาตรา ๘๙ หรือมาตรา ๙๐ ให้พิจารณาสั่งยุติเรื่อง งดโทษ หรือลงโทษ ไปภายในอานาจให้แล้วเสร็จภายใน สองร้อยสี่สบิ วนั นับแตว่ นั ท่ไี ดร้ บั สานวน เว้นแตม่ ีเหตุจาเปน็ ดงั ต่อไปน้ี (๑) ใหท้ าการสบื สวนสอบสวนใหมห่ รือสืบสวนสอบสวนเพม่ิ เตมิ (๒) ขอเอกสารและหลักฐานท่เี กย่ี วข้อง (๓) ขอคาชีแ้ จงจากบุคคล หนว่ ยงาน หรอื องคก์ ร (๔) รอฟังผลการพิจารณาของศาล หรือการพิจารณาวินิจฉัยสั่งการของหน่วยงาน หรอื องค์กร การดาเนินการตามวรรคหนึ่งให้อยู่ภายใต้บังคับ กฎ ก.ตร. ว่าด้วยการสืบสวนข้อเท็จจริง และ กฎ ก.ตร. ว่าดว้ ยการสอบสวนพิจารณา กรณีมีเหตุจาเป็นให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจขยายระยะเวลาได้ไม่เกินสองครั้ง โดยแต่ละครั้งจะต้องไม่เกินหกสิบวัน และให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจบันทึกแสดงเหตุผลท่ีขยาย ระยะเวลานน้ั ให้ปรากฏไวเ้ ปน็ หลกั ฐาน ในกรณีท่ีผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาสั่งการไม่แล้วเสร็จภายในสองร้อยส่ีสิบวัน โดยไม่มีเหตุจาเป็นตามกาหนด หรือมีเหตุจาเป็นตามกาหนดในระเบียบน้ี และได้ขยายระยะเวลาแล้ว แตย่ ังพิจารณาส่งั การไมแ่ ล้วเสร็จ ให้ข้าราชการตารวจผู้ถูกกล่าวหากลับคืนสู่ฐานะเดิมก่อน และให้ถือว่า ไมเ่ ป็นผทู้ อ่ี ยูร่ ะหวา่ งถูกสืบสวนหรอื สอบสวนแล้วแต่กรณี นับแต่วันครบกาหนดเวลาดังกล่าวจนกว่า การพจิ ารณาสั่งการในเร่ืองน้นั จะเสร็จสนิ้ และมคี าส่ัง วันออกจากราชการของข้าราชการตารวจ อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๓๑ (๒) และมาตรา ๙๗ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ ตารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และมติ ก.ตร. ในการประชุมคร้ังท่ี ๕/๒๕๔๗ เม่ือวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๗ และมติอนุกรรมการ ก.ตร. เก่ียวกับการดาเนินการทางวินัย ในการประชุมคร้ังท่ี ๕/๒๕๔๗ เม่ือวันท่ี ๒๙ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๗ จึงออกระเบียบ ก.ตร. ไว้ ได้แก่ ระเบียบ ก.ตร. ว่าด้วยวันออกจาก ราชการของข้าราชการตารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ ลงวันท่ี ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เพ่ือเป็นแนวทาง ในการปฏิบัติ ซงึ่ มสี าระสาคัญดงั นี้ ๑. ระเบียบนเ้ี รียกว่า “ระเบียบ ก.ตร. ว่าด้วยวันออกจากราชการของขา้ ราชการตารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗” ๒. ระเบียบ ก.ตร. นี้ให้ใชบ้ งั คบั ต้ังแต่บดั น้เี ป็นตน้ ไป (วนั ที่ ๒๒ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๔๗) ๓. การออกจากราชการของข้าราชการตารวจตามมาตรา ๙๗ (๔) และ (๕) จะออกจาก ราชการตงั้ แตว่ ันใดใหเ้ ป็นไปตามระเบยี บน้ี ๔. การสั่งให้ออกจากราชการตามมาตรา ๖๐ มาตรา ๙๘ มาตรา ๑๐๐ มาตรา ๑๐๑ มาตรา ๑๐๒ หรือมาตรา ๑๐๓ หา้ มมิให้สง่ั ให้ออกยอ้ นหลงั ไปกอ่ นวนั ออกคาสั่ง เวน้ แต่ (๑) การสัง่ ให้ออกจากราชการตามมาตรา ๑๐๓ โดยปกติให้สั่งให้ออกตั้งแต่วันต้อง รบั โทษจาคกุ โดยคาพิพากษาถึงทีส่ ุดใหจ้ าคุก

คาอธิบายการบริหารงานกาลงั พล สานักงานตารวจแหง่ ชาติ  155 (๒) ในกรณีท่ีได้มีการสั่งลงโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการไปแล้ว ถ้าจะต้อง ส่ังใหม่หรือเปลี่ยนแปลงคาส่ังเป็นให้ออกจากราชการตามมาตรา ๖๐ มาตรา ๙๘ มาตรา ๑๐๐ มาตรา ๑๐๑ หรือมาตรา ๑๐๒ ก็ให้สั่งให้ออกย้อนหลังไปถึงวันที่ควรต้องออกจากราชการตามกรณีน้ัน ในขณะท่ีออกคาส่งั เดิม (๓) กรณีใดมีเหตุสมควรส่ังให้ออกจากราชการย้อนหลัง ก็ให้สั่งให้ออกย้อนหลังไปถึง วันที่ควรจะต้องออกจากราชการตามกรณีนน้ั ได้ ๕. การส่งั ให้ออกจากราชการไวก้ อ่ นตามมาตรา ๙๕ จะส่ังให้ออกตั้งแต่วันใด ให้เป็นไป ตามทกี่ าหนดในกฎ ก.ตร. ออกตามความในมาตรา ๙๕ ๖. การสั่งลงโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการ ห้ามมิให้ส่ังปลดออกหรือไล่ออก ยอ้ นหลงั ไปก่อนวันออกคาส่งั เว้นแต่ (๑) ในกรณีท่ีได้มีคาส่ังให้พักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน เม่ือจะสั่งลงโทษ ปลดออกหรอื ไล่ออกจากราชการ ใหส้ ง่ั ปลดออกหรอื ไล่ออกต้งั แตว่ ันพักราชการหรอื วนั ใหอ้ อกจากราชการ ไว้ก่อน แลว้ แต่กรณี (๒) การส่ังลงโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการ ในกรณีกระทาผิดวินัยโดยละท้ิง หน้าที่ราชการติดต่อกันในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่าสิบห้าวัน และไม่กลับมาปฏิบัติหน้าที่อีก ให้สง่ั ปลดออกหรอื ไลอ่ อกตัง้ แต่วันละท้ิงหน้าทีร่ าชการนน้ั (๓) การส่ังลงโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการ ในกรณีกระทาความผิดอาญา จนได้รับโทษจาคุกหรือโทษท่ีหนักกว่าจาคุก โดยคาพิพากษาถึงท่ีสุดให้จาคุกหรือให้รับโทษที่หนักกว่า จาคุก โดยปกติให้สั่งปลดออกหรือไล่ออกตั้งแต่วันต้องรับโทษจาคุกโดยคาพิพากษาถึงที่สุดหรือ วนั ตอ้ งคาพิพากษาถงึ ที่สุด หรือวนั ถูกคุมขังตดิ ต่อกนั จนถึงวันต้องคาพิพากษาถึงทีส่ ดุ แล้วแต่กรณี (๔) ในกรณีที่ได้มีการสั่งลงโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการไปแล้ว ถ้าจะต้อง สง่ั ใหมห่ รอื เปลี่ยนแปลงคาส่ังการลงโทษปลดออกหรือไล่ออก ในกรณีเช่นน้ี ให้ย้อนหลังไปถึงวันออกจาก ราชการตามคาสัง่ เดมิ แต่ถา้ วันออกจากราชการตามคาส่ังเดิมไม่ถูกต้อง ก็ให้ส่ังลงโทษปลดออกหรือ ไลอ่ อกจากราชการยอ้ นหลงั ไปถึงวนั ท่คี วรตอ้ งออกจากราชการตามกรณนี น้ั ในขณะท่ีออกคาสงั่ เดมิ (๕) ในกรณีท่ีได้มีการสั่งให้ออกจากราชการตามมาตรา ๖๐ มาตรา ๙๘ มาตรา ๑๐๐ มาตรา ๑๐๑ มาตรา ๑๐๒ หรือมาตรา ๑๐๓ ไปแล้ว ถ้าจะต้องส่ังใหม่หรือเปลี่ยนแปลงคาส่ังเป็นลงโทษ ปลดออกหรือไล่ออกจากราชการ ให้ส่ังปลดออกหรือไล่ออกย้อนหลังไปถึงวันท่ีควรต้องลงโทษปลดออก หรอื ไลอ่ อก ตามกรณีนัน้ ในขณะทอ่ี อกคาส่งั เดมิ (๖) การส่ังลงโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการ ในกรณีที่ผู้ซึ่งจะต้องถูกสั่งน้ัน ได้ออกจากราชการโดยถูกสั่งลงโทษปลดออกหรือไล่ออก หรือถูกสั่งให้ออกจากราชการในกรณีอื่น หรอื ได้รับอนุญาตให้ลาออกจากราชการไปก่อนแล้ว ให้ส่ังปลดออกหรือไล่ออกย้อนหลังไปถึงวันออกจาก ราชการนั้น แต่ห้ามมิใหส้ ง่ั ปลดออกหรือไล่ออกย้อนหลงั ไปถงึ วันก่อนเกิดเหตใุ นกรณีน้นั (๗) การสั่งลงโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการ ในกรณีที่ผู้ซึ่งจะต้องถูกส่ังน้ัน ได้พ้นจากราชการตามกฎหมายว่าด้วยบาเหน็จบานาญข้าราชการไปก่อนแล้ว ให้สั่งปลดออกหรือไล่ออก ย้อนหลงั ไปถึงวนั สิ้นปงี บประมาณท่ผี ู้น้ันมีอายุครบหกสบิ ปบี ริบรู ณ์ (๘) กรณีใดมีเหตสุ มควรส่ังลงโทษปลดออกหรือไลอ่ อกจากราชการย้อนหลัง ก็ให้สั่ง ปลดออกหรือไลอ่ อกย้อนหลังไปถงึ วันทคี่ วรจะต้องออกจากราชการตามกรณนี ้นั ได้

156  อนชุ ยั ณ วัชรเจริญ ๗. การสง่ั ให้ออกจากราชการตามข้อ ๔ และการส่ังลงโทษปลดออกหรือไล่ออกจากราชการ ตามข้อ ๖ ต้องไม่เป็นการทาให้เสียประโยชน์ตามสิทธิโดยชอบธรรมของผู้ถูกสั่งให้ออกหรือผู้ถูกส่ัง ลงโทษ แลว้ แต่กรณี ๘. การส่ังให้ออกจากราชการหรือส่ังลงโทษถึงออกจากราชการตามกฎหมายว่าด้วย ระเบียบข้าราชการตารวจที่ใช้อยู่ก่อนวันท่ีพระราชบัญญัติตารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ใช้บังคับ ประกอบกบั มาตรา ๑๒๓ ให้นาข้อ ๔ หรือขอ้ ๖ แลว้ แตก่ รณี และข้อ ๗ มาใช้บังคับโดยอนุโลม การรายงานการดาเนินการทางวินัยและการออกจากราชการของ ข้าราชการตารวจ อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๓๑ (๒) และ (๓) แห่งพระราชบัญญัติตารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และมติ ก.ตร. ในการประชุมครั้งท่ี ๕/๒๕๔๗ เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๗ และมตอิ นกุ รรมการ ก.ตร. เก่ียวกบั การดาเนินการทางวินยั ในการประชมุ คร้ังท่ี ๙/๒๕๔๗ เมื่อวันที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ ก.ตร. จึงออกระเบียบ ก.ตร. ไว้ ได้แก่ ระเบียบ ก.ตร. ว่าด้วยการรายงาน การดาเนินการทางวินัยและการออกจากราชการของข้าราชการตารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗ ลงวันที่ ๒๘ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๔๗ เพ่อื เปน็ แนวทางในการปฏิบัติ ซ่งึ มสี าระสาคัญดังนี้ ๑. ระเบียบน้เี รยี กว่า “ระเบียบ ก.ตร. ว่าด้วยการรายงานการดาเนินการทางวินัยและ การออกจากราชการของขา้ ราชการตารวจ พ.ศ. ๒๕๔๗” ๒. ระเบียบน้ใี ห้ใชบ้ งั คบั ต้งั แต่บดั นเี้ ปน็ ตน้ ไป (วันที่ ๒๘ ตลุ าคม พ.ศ. ๒๕๔๗) ๓. ในการดาเนินการทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรง เม่ือผู้บังคับบัญชาได้ดาเนินการทางวินัย แก่ข้าราชการตารวจผู้ใดโดยสั่งยุติเรื่อง งดโทษ หรือลงโทษไปภายในอานาจแล้ว ให้รายงานผล การดาเนินการทางวินัยดังกล่าวต่อผู้บังคับบัญชาซ่ึงเป็นหัวหน้าหน่วยงานที่มีตาแหน่งเหนือผู้ดาเนินการ ทางวนิ ยั หน่ึงชั้น และผู้บญั ชาการตารวจแหง่ ชาติเพอ่ื พจิ ารณาส่ังการตามมาตรา ๙๑ การรายงานตามวรรคหน่ึง สาหรบั ผบู้ ังคบั บัญชาท่มี ีตาแหน่งเหนือผู้ดาเนินการทางวินัย ให้รายงานพร้อมสานวนและหรือเอกสารเกี่ยวกับการพิจารณาในเบ้ืองต้น ส่วนการรายงานผู้บัญชาการ ตารวจแห่งชาติให้รายงานเฉพาะสาเนาคาสั่งที่เกี่ยวข้องจานวนสามฉบับ ท้ังน้ี ให้รายงานภายในสิบวัน นับตงั้ แต่วนั สง่ั ๔. ในการดาเนินการทางวินัยอย่างร้ายแรง เมื่อผู้บังคับบัญชาอื่นยกเว้นผู้บัญชาการ ตารวจแห่งชาติได้ดาเนินการทางวินัยแก่ข้าราชการตารวจผู้ใดโดยสั่งยุติเร่ือง งดโทษ หรือลงโทษไป ภายในอานาจ ให้รายงานผลการดาเนินการทางวินัยดังกล่าวต่อผู้บังคับบัญชาซึ่งเป็นหัวหน้าหน่วยงาน ท่ีมีตาแหน่งเหนือผู้ดาเนินการทางวินัยหนึ่งชั้นและผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติเพื่อพิจารณาสั่งการ ตามอานาจหนา้ ท่ตี ่อไป การรายงานสาหรับผู้บังคบั บัญชาท่ีมีตาแหน่งเหนือผู้ดาเนินการทางวินัยให้รายงาน พร้อมสานวนการสอบสวนและหรือเอกสารเก่ียวกับการพิจารณาภายในสบิ วนั นับตง้ั แต่วันส่ัง ๕. เม่ือผู้บังคบั บญั ชาชั้นเหนือซึ่งได้รับรายงานตามข้อ ๓ เห็นว่ากรณีเป็นความผิดวินัย อย่างร้ายแรงให้รายงานความเห็นพร้อมสานวนและหรือเอกสารเ กี่ยวกับการพิจารณาในเบื้องต้น ไปยงั ผูบ้ ญั ชาการตารวจแห่งชาติภายในสิบวนั ต้งั แต่วันพจิ ารณามคี วามเห็น

คาอธบิ ายการบรหิ ารงานกาลงั พล สานกั งานตารวจแหง่ ชาติ  157 ๖. เม่ือผู้บญั ชาการตารวจแหง่ ชาติหรือผู้ได้รับมอบอานาจได้รับรายงานตามข้อ ๓ เห็นว่า เป็นความผิดวนิ ัยอย่างร้ายแรงให้พจิ ารณาดาเนนิ การไปภายในอานาจ ๗. เมื่อผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติหรือผู้ได้รับมอบอานาจได้ดาเนินการทางวินัย อยา่ งร้ายแรงหรือได้รับรายงานตามขอ้ ๔ ให้รายงานผลการดาเนนิ การให้ ก.ตร.ทราบ การรายงานให้รายงานความเห็นพร้อมสานวนการสอบสวนและหรือเอกสารเกี่ยวกับ การพจิ ารณา พร้อมคาสง่ั ทเ่ี ก่ียวข้องไปยงั ก.ตร. ภายในสิบวนั นับตั้งแตว่ นั พิจารณามคี วามเหน็ ๘. เมือ่ ผมู้ อี านาจตามมาตรา ๗๒ หรอื ผ้บู ังคับบัญชาอ่ืนตามที่กาหนดในระเบียบ ก.ตร. ไดส้ ง่ั ให้ข้าราชการตารวจผู้ใดออกจากราชการ ใหร้ ายงานการส่งั ใหอ้ อกจากราชการให้ ก.ตร.ทราบ การรายงานให้รายงานคาสั่งพร้อมสานวนการสอบสวนและหรือเอกสารเก่ียวกั บ การพิจารณา ไปยัง ก.ตร. ภายในสบิ วนั นบั ตงั้ แต่วันพิจารณามีความเหน็ ๙. การดาเนินการทางวนิ ัยถงึ ทส่ี ุดในกรณดี ังต่อไปนี้ (๑) การดาเนนิ การทางวนิ ัยในกรณีกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยอยา่ งไม่ร้ายแรง (ก) เม่ือผู้บังคับบัญชาซ่ึงเป็นหัวหน้าหน่วยงานท่ีมีตาแหน่งเหนือผู้ดาเนินการ ทางวินัยหน่ึงช้ันได้พิจารณาดาเนินการตามมาตรา ๙๑ วรรคสองแล้ว เว้นแต่ผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติ เหน็ วา่ เป็นกรณีกระทาผิดวนิ ัยอยา่ งร้ายแรง (ข) กรณีผบู้ ัญชาการตารวจแห่งชาติเป็นผู้ดาเนินการทางวินัย เม่ือได้ส่ังการทางวินัย ไปแล้วไม่ว่าจะเปน็ การสง่ั ยตุ เิ รื่อง สั่งลงโทษ งดโทษ หรอื ยกโทษ กรณีตาม (ก) หรือ (ข) หากมีการอุทธรณ์คาสั่งลงโทษต่อผู้บังคับบัญชา หรือ ก.ตร. ว่าด้วยการอุทธรณ์และการพิจารณาอุทธรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๗ ให้ผู้บังคับบัญชาหรือ ก.ตร. ท่มี อี านาจพิจารณาอุทธรณ์ดังกล่าวพิจารณารายงานการดาเนินการทางวินัยของผู้อุทธรณ์ หรือของผู้อื่น ในเรื่องเดียวกนั ไปด้วยและให้ถือวา่ การดาเนนิ การทางวนิ ัยถงึ ทสี่ ุดตามผลการพิจารณาในชน้ั อุทธรณ์ (๒) การดาเนินการทางวินัยในกรณีกล่าวหาว่ากระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงและ การส่งั ให้ขา้ ราชการตารวจออกจากราชการใหถ้ งึ ทส่ี ุดท่ี ก.ตร. วิธีการเสริมสร้างและพัฒนาให้ข้าราชการตารวจมีวินัยและป้องกัน มใิ ห้ขา้ ราชการตารวจกระทาผดิ วนิ ยั อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๓๑ วรรคหนึ่ง (๒) และมาตรา ๘๐ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติ ตารวจแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๗ มติ ก.ตร. ในการประชุมคร้ังท่ี ๕/๒๕๔๗ เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๗ และมติอนุกรรมการ ก.ตร. เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลในการประชุมครั้งท่ี ๙/๒๕๔๘ เมื่อวันท่ี ๑๔ กนั ยายน พ.ศ.๒๕๔๘ ก.ตร. จึงให้ออกระเบียบ ก.ตร. ได้แก่ ระเบียบ ก.ตร. ว่าด้วยวิธีการเสริมสร้าง และพัฒนาให้ข้าราชการตารวจมีวินัยและปูองกันมิให้ข้าราชการตารวจกระทาผิดวินัย พ.ศ. ๒๕๔๙ ลงวนั ที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙ เพอ่ื เป็นแนวทางในการปฏบิ ัติ ซง่ึ มีสาระสาคัญดังนี้ ๑. ระเบยี บนเี้ รียกวา่ “ระเบียบ ก.ตร.ว่าด้วยวิธกี ารเสรมิ สร้างและพัฒนาใหข้ ้าราชการตารวจ มีวินยั และปอู งกนั มิใหข้ า้ ราชการตารวจกระทาผดิ วินยั พ.ศ. ๒๕๔๙” ๒. ระเบียบ ก.ตร. นใ้ี หใ้ ชบ้ งั คบั ตง้ั แตบ่ ัดนีเ้ ปน็ ต้นไป (วันที่ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๕๔๙) ๓. ใหผ้ ้บู งั คับบญั ชาข้าราชการตารวจทุกระดับช้ันมีหน้าท่ีเสริมสร้างและพัฒนาให้ผู้อยู่ ใต้บงั คับบญั ชามีวินัย และปอู งกนั มิใหผ้ ้อู ยใู่ ตบ้ ังคับบัญชากระทาผดิ วนิ ยั

158  อนชุ ยั ณ วชั รเจรญิ ๔. วธิ กี ารเสริมสรา้ งและพัฒนาให้ข้าราชการตารวจมีวินัย ให้ผู้บังคับบัญชาดาเนินการ ดังต่อไปนี้ (๑) ปฏิบตั ิตนเปน็ แบบอย่างท่ดี ี (๒) จดั ฝึกอบรมอย่างสม่าเสมอ (๓) สร้างขวัญและกาลังใจอย่างพอเพยี งและเหมาะสม (๔) ปกครองและดูแลผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความเที่ยงธรรมและเสมอหน้ากัน โดยมงุ่ เนน้ สง่ เสรมิ คนดแี ละงดเว้นการช่วยเหลือผปู้ ระพฤติผดิ วนิ ยั (๕) จูงใจหรือกระทาการอื่นใดในอันท่ีจะเสริมสร้างและพัฒนาทัศนคติ จิตสานึก และพฤตกิ รรมให้เป็นผมู้ วี ินัย ๕. วิธีการปูองกันมิให้ข้าราชการตารวจกระทาผิดวินัย ให้ผู้บังคับบัญชาดาเนินการ ดังตอ่ ไปน้ี (๑) เอาใจใส่ สังเกตการณ์ รายงานเหตุ และขจัดเหตุท่อี าจก่อให้เกิดการกระทาผิดวินัย ในเรื่องทอี่ ยู่ในวิสัยทจ่ี ะดาเนินการปอู งกนั ตามควรแก่กรณไี ด้ (๒) กวดขัน ควบคุม กากับดูแล การปฏิบัติหน้าท่ีของผู้ใต้บังคับบัญชา ให้เป็นไป ตามกฎหมายและระเบยี บของทางราชการอยา่ งถกู ตอ้ ง มีประสิทธิภาพและเป็นผลดีต่อทางราชการ (๓) ดาเนินการทางวินัยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กาหนด และด้วยความรวดเร็ว เป็นธรรม ในการดาเนินการทางวินัย ให้คานึงถึงข้อเท็จจริงท่ีเกิดขึ้น ความประพฤติและ การปฏิบัติที่ผ่านมาของผู้กระทาผิด มูลเหตุจูงใจ สภาพแวดล้อม ความรู้สานึกในการกระทาและ แก้ไขเยียวยาผลร้ายหรือผลกระทบหรือความเสียหายท่ีเกิดข้ึนจากการกระทาประกอบกันและ มุ่งเนน้ การแก้ไขปัญหามากกว่าการลงโทษ ๖. เพอ่ื เปน็ การสง่ เสริมใหเ้ ป็นไปตามวัตถุประสงค์ของระเบียบ ก.ตร. น้ี จึงให้สานักงาน ตารวจแห่งชาติ ดาเนนิ การดังนี้ (๑) ศึกษาและรวบรวมข้อมูลเพื่อประโยชน์ในการเสริมสร้างและพัฒนาให้ ขา้ ราชการตารวจมวี ินัย และการปูองกันมิให้ข้าราชการตารวจกระทาผิดวินัย และในการดาเนินการ ทางวินัยของสานักงานตารวจแห่งชาติ โดยให้แยกวิธีการดาเนินการทางวินัยเป็นเร่ืองที่สามารถ ดาเนินการให้เสร็จสิ้นได้โดยไม่ต้องดาเนินการสืบสวนข้อเท็จจริง เรื่องที่ต้องสืบสวนข้อเท็จจริง แต่ไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัย และเรื่องที่ต้องสืบสวนข้อเท็จจริงและต้องแต่งตั้ง คณะกรรมการสอบสวนทางวินยั รายละเอียดและวิธีการดาเนินการตามวรรคหน่ึงให้เป็นไปตามท่ีสานักงาน ตารวจแหง่ ชาตกิ าหนด (๒) ศกึ ษา รวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์เหตุแห่งการกระทาผิดวินัยเพื่อนามาปรับปรุง เปน็ แนวทางการเสริมสร้างและพัฒนาให้ข้าราชการตารวจมีวินัย และการปูองกันมิให้ข้าราชการตารวจ กระทาผดิ วนิ ัย

คาอธบิ ายการบริหารงานกาลังพล สานักงานตารวจแหง่ ชาติ  159 (๓) จัดทาและเผยแพร่คู่มือ วิดีทัศน์ ตลอดจนส่ือต่างๆ ในเรื่องการเสริมสร้าง และพัฒนาให้ข้าราชการตารวจมีวินัย และการปูองกันมิให้ข้าราชการตารวจกระทาผิดวินัย เพื่อใช้เป็น แนวทางการปฏิบตั ิ (๔) จัดพิมพ์และเผยแพร่คาส่ังสานักงานตารวจแห่งชาติในเร่ืองท่ีเกี่ยวกับการส่ังการ ทางวนิ ัยหรอื แนวทางการลงโทษ (๕) ให้บรรจุวิชาการเสริมสร้างและพัฒนาให้ข้าราชการตารวจมีวินัยและการปูองกัน มใิ หข้ ้าราชการตารวจกระทาผิดวินัยไว้ในทกุ หลกั สูตรของสถานศึกษาของสานกั งานตารวจแห่งชาติ (๖) จัดให้มีการศึกษาอบรมและพัฒนาความรู้ข้าราชการตารวจผู้รับผิดชอบงาน ด้านวินัย อยา่ งสม่าเสมอและต่อเนอ่ื ง ความประพฤตแิ ละระเบยี บวนิ ัย กฎหมายว่าด้วยตารวจแห่งชาติได้บัญญัติเรื่องเกี่ยวกับวินัยและการรักษาวินัย การดาเนินการ ทางวินัยการออกจากราชการการอุทธรณ์และการองทุกไว้ตลอดจน ก.ตร. ได้ออกกฎ ก.ตร. และ ระเบียบ ก.ตร. เพ่ือให้การปฏิบัติเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยตารวจแห่งชาติครอบคลุมชัดเจนแล้ว แต่มีบางกรณีสาคัญท่ีสมควรวงระเบียบไว้เป็นการเฉพาะเรื่องเพ่ือให้ข้าราชการตารวจปฏิบัติ จึงได้ ออกระเบียบสานกั งานตารวจแหง่ ชาติ ว่าด้วยประมวลระเบียบการตารวจไม่เกี่ยวกับคดีลักษณะท่ี ๑ ความประพฤตแิ ละระเบยี บวนิ ัย พ.ศ. ๒๕๕๕ ลงวันที่ ๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๕ มสี าระสาคัญดังนี้ การสอบสวนกรณีข้าราชการตารวจกระทาผิดวนิ ัยรว่ มกบั ขา้ ราชการอ่นื กรณีข้าราชการตารวจกระทาความผิดวินัยร่วมกับข้าราชการสังกัดกระทรวง กรมอื่น ใหถ้ อื ปฏิบัติตามระเบยี บท่ี ก.พ. ไดว้ างไว้ โดยความเห็นชอบของคณะรฐั มนตรีดงั นี้ ๑. ในกรณีท่ขี า้ ราชการตารวจกระทาผดิ วินยั รว่ มกับข้าราชการสังกัดกระทรวง กรมอื่น ให้ผู้บงั คบั บัญชาของขา้ ราชการตารวจหารอื กับผู้บังคับบัญชาของข้าราชการอ่ืนในการตั้งคณะกรรมการ สอบสวน เพ่ือให้ผู้มีอานาจแต่งต้ังคณะกรรมการสอบสวนของแต่ละฝูาย ส่ังตั้งคณะกรรมการสอบสวน ประกอบด้วยตัวบุคคลชุดเดียวกันเท่าท่ีจะทาได้ เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงจากการสอบสวนไปในทางเดียวกัน และถา้ คณะกรรมการมคี วามเหน็ ควรใหล้ งโทษ ควรลงโทษในระดับเดยี วกนั ๒. ในกรณีที่คณะกรรมการสอบสวนข้าราชการตารวจกระทาผิดวินัยในเรื่องใด ผลการสอบสวนมีมูลกรณีพาดพิงไปถึงข้าราชการสังกัดกระทรวง กรมอื่น ให้คณะกรรมการรายงาน ผู้ส่ังต้ังคณะกรรมการสอบสวน เพ่ือดาเนินการตามข้อ ๑ ซ่ึงอาจใช้คณะกรรมการสอบสวนชุดเดิม หรือตงั้ กรรมการสอบสวนสมทบ แลว้ แต่เห็นสมควร ๓. เมื่อการสอบสวนของคณะกรรมการสอบสวนตามข้อ ๑ และข้อ ๒ เสร็จสิ้น ใหผ้ ู้บงั คบั บญั ชาของข้าราชการตารวจที่ส่ังต้ังคณะกรรมการตามข้อ ๑ และข้อ ๒ หารือกับผู้บังคับบัญชา ของข้าราชการอืน่ ในการพิจารณาขอ้ เท้จจริงจากสานวนการสอบสวน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงไปในทางเดียวกัน และถา้ จะลงโทษ ควรใหล้ งโทษในระดบั เดียวกัน

160  อนชุ ัย ณ วชั รเจริญ วธิ ีปฏบิ ตั เิ มอื่ ข้าราชการตารวจกระทาผิดอาญา ๑. ข้าราชการตารวจผู้ใดต้องหาหรือถูกฟูองคดีอาญา ให้ผู้บังคับบัญชาดาเนินการให้เป็นไป ตามกฎหมาย หากการต้องหาหรือถูกฟูองคดีอาญานั้น เป็นกรณีที่ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต หรือถูกแกล้งกล่าวหา ให้ผู้บังคับบัญชาพิจารณาหาทางช่วยเหลือให้ได้รับความเป็นธรรมจนเต็ม ความสามารถเทา่ ท่ีจะทาได้ โดยไม่ต้องดาเนินการสืบสวนข้อเท็จจริงหรือสอบสวนเพ่ือพิจารณาโทษ ทางวินัยแต่อย่างใด เว้นแต่เม่ือคดีถึงท่ีสุดแล้วได้รับโทษจาคุกหรือโทษที่หนักกว่าจาคุกอันจะต้อง ออกจากราชการตามกฎหมาย ก็ใหเ้ ปน็ ไปตามนนั้ ๒. กรณถี ูกฟอู งคดอี าญาตามขอ้ ๑ วรรคสอง ให้ผ้บู ังคับบญั ชาดาเนินการดงั น้ี ๒.๑ ในเขตกรุงเทพมหานคร ใหผ้ ู้บงั คบั บญั ชาตง้ั แต่ผบู้ งั คับการหรือตาแหน่งเทียบเท่าขึ้นไป รายงานถึงสานักงานตารวจแห่งชาติผ่านกองคดีอาญา ขอความร่วมมืออัยการสูงสุดจัดพนักงานอัยการ เปน็ ทนายแก้ตา่ งให้ และรายงานผ้บู ังคับบัญชาตามลาดบั ชนั้ เพื่อทราบ ๒.๒ นอกเขตกรุงเทพมหานคร ให้ผู้บังคับบัญชาต้ังแต่ผู้บังคับการหรือตาแหน่งเทียบเท่า ข้นึ ไป ขอความรว่ มมืออัยการจงั หวัดท่ีผู้น้ันต้องถูกฟูองร้องดาเนินคดีจัดพนักงานอัยการเป็นทนายแก้ต่างให้ และรายงานผู้บังคับบัญชาตามลาดับชั้นถึงสานักงานตารวจแห่งชาติผ่านกองคดีอาญาเพื่อทราบ เว้นแต่ ผู้ถูกฟอู งร้องมคี วามประสงค์ใหส้ านักงานตารวจแห่งชาติขอให้พนักงานอัยการจากส่วนกลาง เปน็ ทนายแก้ต่างให้กใ็ หร้ ายงานถึงสานักงานตารวจแห่งชาติผา่ นกองคดีอาญาเพ่ือพิจารณาดาเนินการ ๓. การช่วยเหลือขอปล่อยชั่วคราวผู้ที่ถูกกล่าวหาหรือถูกฟูองคดีอาญาเนื่องจากการ ปฏบิ ัติราชการตามหน้าท่ี ให้ถอื ปฏบิ ตั ิตามระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการช่วยเหลือทาราชการหรือ ลกู จา้ งของทางราชการทีต่ อ้ งหาคดอี าญา โดยใหแ้ สดงความจานงขอรับความช่วยเหลือต่อหัวหน้าหน่วยงาน ต้นสังกัดหรือหน่วยงานที่รับราชการครั้งสุดท้ายก่อนที่จะออกจากราชการหรือหน่วยงานท่ีมอบหมายให้ ปฏิบัติหน้าท่ีราชการ แล้วแต่กรณี เพื่อขอให้ออกหนังสือรับรองตามแบบที่กระทรวงการคลังกาหนด ทา้ ยระเบยี บนี้ เพอ่ื นาไปมอบให้พนักงานสอบสวน พนกั งานอยั การหรือศาล แล้วแตก่ รณี ๔. ให้ผูบ้ ังคับบัญชาตั้งแต่ผบู้ งั คบั การหรือตาแหน่งเทยี บเท่าขึน้ ไปเป็นผอู้ อกหนังสือรบั รอง ตามข้อ ๓ คา่ ใชจ้ ่ายอน่ื ๆ ทเี่ กีย่ วข้องกับการดาเนนิ คดีอาญา ให้หน่วยงานต้นสังกัดหรือหน่วยงาน ท่ีรบั ราชการคร้ังสดุ ทา้ ยกอ่ นทีจ่ ะออกจากราชการหรือหนว่ ยงานท่ีมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าท่ีราชการ แลว้ แตก่ รณี เบกิ จา่ ยจากงบประมาณรายจ่ายประจาปีของหน่วยงาน กรณีหน่วยมีงบประมาณไม่เพียงพอ ใหข้ อรับการสนบั สนนุ จากสานกั งานตารวจแหง่ ชาติ การรายงานเม่อื ขา้ ราชการตารวจต้องคดี ๑. ข้าราชการตารวจต้องรายงานตนเม่ือต้องหาคดีอาญา หรือถูกฟูองในคดีอาญาหรือคดีแพ่ง หรอื คดลี ม้ ละลายหรือถกู ยึดทรัพยต์ ามคาพพิ ากษาของศาล ครั้งแรกให้รายงาน โดยช้ีแจงพฤติการณ์ ท่ีเกิดขึ้นโดยละเอียดภายใน 7 วัน นับต้ังแต่ถูกจับกุมหรือแจ้งข้อกล่าวหา หรือศาลประทับรับฟูอง กรณีราษฎรเป็นโจทก์ฟูองคดีอาญา หรือรับหมายศาลในคดีแพ่ง คดีล้มละลาย หรือถูกยึดทรัพย์ หวั ข้อทจ่ี ะรายงานให้รายงานโดยละเอียดพอท่ีผู้รับรายงานจะทราบเร่ืองได้ดี โดยรายงานตามลาดับ ชั้นถงึ สานกั งานตารวจแห่งชาตผิ ่านกองคดีอาญาหรอื กองคดีปกครองและคดีแพ่งแลว้ แตก่ รณี ครง้ั ต่อๆ ไป ใหร้ ายงานเมอ่ื คดคี บื หน้าจนกว่าคดจี ะถึงท่ีสดุ

คาอธบิ ายการบริหารงานกาลังพล สานักงานตารวจแหง่ ชาติ  161 ๒. การรายงานเหตกุ ารณเ์ มอื่ ข้าราชการตารวจต้องคดี ๒.๑ กรณีข้าราชการตารวจต้องหาคดีอาญา ให้พนักงานสอบสวนแจ้งผู้บังคับบัญชา ของข้าราชการตารวจผู้นั้นทราบ หรือกรณีถูกฟูองคดีอาญา ทั้งสองกรณีให้ผู้บังคับบัญชารายงาน เหตกุ ารณต์ ามลาดบั ชนั้ จนถึงสานกั งานตารวจแหง่ ชาติ ผา่ นกองคดีอาญา โดยให้ปรากฏรายละเอียด ดงั น้ี ๒.๑.๑ ยศ ชื่อตัว ช่อื สกุล ตาแหน่ง สงั กดั ๒.๑.๒ วัน เดอื น ปี สถานท่ี ทเี่ กิดเหตุ ๒.๑.๓ พฤติการณ์แห่งคดี ถา้ เป็นกรณีเกีย่ วกบั ทรพั ย์ก็ใหป้ รากฏจานวนทรัพย์เสียหาย มากน้อยเพียงใด ถ้าเป็นกรณีเก่ียวกับประทุษร้ายต่อชีวิตหรือร่างกาย ก็ให้ปรากฏชัดเจนว่าถึงตาย เพราะถูกทาร้ายหรือเหตุอ่ืนใด ในกรณีบาดเจ็บให้ปรากฏชัดเจนว่าบาดเจ็บอย่างไร แพทย์ลงความเห็น วา่ รกั ษากีว่ นั หาย และถึงสาหสั เพยี งใดหรือไม่ ๒.๑.๔ ถกู จับเม่ือใด ถูกควบคมุ ตวั อย่หู รือให้ปลอ่ ยชวั่ คราวแตเ่ ม่อื ใด ๒.๑.๕ พยานหลักฐานทางคดีมีอย่างไร เพื่อประกอบการพิจารณาว่า หากยังคง อยู่ในหน้าที่จะเกิดความเสียหายแก่ราชการหรือไม่ สมควรส่ังหักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน หรือไม่ หรือไดด้ าเนนิ การไปแล้วอยา่ งไร ๒.๒ กรณขี า้ ราชการตารวจถูกฟูองคดีแพ่งคดีล้มละลาย หรือถูกยึดทรัพย์ตามคาพิพากษา ของศาล ใหผ้ บู้ งั คบั บัญชารายงานรายละเอยี ดแหง่ คดีตามลาดับถึงสานักงานตารวจแห่งชาติผ่านกองคดี ปกครองและคดีแพ่ง ๒.๓ การรายงานตาม ๒.๑ และ ๒.๒ ให้ผู้บังคับบัญชารายงานผลคดีความคืบหน้าทุกระยะ พร้อมด้วยหลักฐานคาพิพากษาหรือคาสั่งของพนักงานอัยการจนกว่าคดีจะถึงที่สุด และความเห็น ควรจะให้กลับเข้าปฏิบัติหน้าที่หรือกลับเข้ารับราชการหรือให้ออกจากราชการหรือไม่อย่างไร หรือไดด้ าเนนิ การไปแล้วอย่างไร ๓. กรณขี ้าราชการสังกัดกระทรวง กรมอ่นื พนกั งานองค์การหรอื หนว่ ยงานของรฐั ตามกฎหมาย ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐถูกจับกุม หรือถูกแจ้งข้อกล่าวหาคดีอาญา ให้พนักงานสอบสวนแจง้ ผบู้ งั คบั บญั ชาของผนู้ ้ันทราบ การใชแ้ บบพมิ พแ์ ละการเรียงลาดับเอกสารในสานวน เม่ือการสืบสวนหรือสอบสวนเสร็จส้ินแล้วให้รวบรวมบันทึกและเอกสารต่างๆ ในการสืบสวน หรอื สอบสวน รวมสานวนเขา้ ไว้โดยใหเ้ รียงลาดบั เอกสารดงั นี้ ๑. ปกสานวนการสืบสวนหรอื สอบสวน ๒. บัญชีสานวนการสืบสวนหรือสอบสวน ๓. รายงานการสืบสวนหรอื สอบสวน ๔. บันทึกคาใหก้ ารของผู้กล่าวหา ๕. บันทกึ คาให้การของผ้ถู กู กลา่ วหา ๖. บันทึกคาให้การพยานฝาุ ยผกู้ ลา่ วหา (เรยี งตามลาดับความสาคญั ของพยาน) ๗. บนั ทกึ คาให้การพยานฝุายผู้ถูกกล่าวหา(เรยี งตามลาดบั ความสาคญั ของพยาน)

162  อนุชัย ณ วชั รเจริญ ๘. พยานหลกั ฐานอืน่ ที่สนับสนุนฝุายผกู้ ลา่ วหา ๙. พยานหลักฐานอ่นื ทส่ี นบั สนนุ ฝุายผถู้ กู กล่าวหา ๑๐. พยานเอกสาร ๑๑. บัญชีพยานวัตถุ ๑๒. บันทึกการแจง้ สรปุ พยานหลักฐานท่สี นับสนนุ ขอ้ กล่าวหา ๑๓. บนั ทึกการแจง้ และรบั ทราบข้อกล่าวหา ๑๔. หลักฐานการขึน้ ทะเบียนกองประจาการของผู้ถกู กล่าวหา (ถา้ อยู่ในระหว่างรับราชการ ตามกฎหมายวา่ ด้วยการรบั ราชการทหาร) ๑๕. สาเนาประวตั ผิ ถู้ ูกกลา่ วหา ๑๖. เอกสารการติดต่อระหว่างคณะกรรมการสืบสวนหรือสอบสวนกับหน่วยงาน หรือ บคุ คลทีเ่ ก่ียวขอ้ ง ๑๗. หลักฐานการแจ้งคาสง่ั แต่งตัง้ คณะกรรมการสืบสวนหรือสอบสวนใหผ้ ถู้ กู กล่าวหาทราบ ๑๘. หลักฐานการรบั ทราบคาส่งั แตง่ ต้ังคณะกรรมการสืบสวนหรอื สอบสวนของผู้ถูกกล่าวหา ๑๙. คาส่งั แต่งต้งั ผสู้ ืบสวนหรือคณะกรรมการสบื สวนหรอื สอบสวน ๒๐. เอกสารเร่ืองเดมิ ๒๑. บนั ทึกผสู้ ืบสวนหรือคณะกรรมการสืบสวนหรอื สอบสวน เอกสารนอกเหนอื จากท่กี ล่าวแล้วให้ผู้สืบสวนหรือคณะกรรมการสืบสวนหรือสอบสวน พิจารณาเทียบเคียงว่าควรจะจดั อยใู่ นเรอื่ งใดลาดบั ใด แลว้ ให้จดั เรียงเข้าอยู่ในเร่ืองและลาดับน้ันๆ เอกสารลาดับ ๑ - ๒, ๑๑ ให้เป็นไปตามแบบท้ายระเบียบนี้เอกสารอ่ืนให้เป็นไปตาม กฎ ก.ตร. การให้หมายเลขในเอกสารสานวนการสืบสวนหรือสอบสวน ให้เรียงลาดับจากแผ่นล่างสุด เป็นลาดับแรกขึ้นมา และหากมีการสืบสวนหรือสอบสวนเพิ่มเติม ไม่ว่าในชั้นใด ให้เรียงเอกสารเพ่ิมเติม ต่อจากบัญชีสานวนการสืบสวนหรือสอบสวนเดิม และให้หมายเลขลาดับเอกสารท่ีเพ่ิมเติมใหม่ เรียงลาดับเช่นเดียวกันโดยอนุโลม สาหรับกรณีท่ีการสืบสวนหรือสอบสวนมีคาให้การคนเดียวกัน หลายแผ่น หรือเอกสารเรื่องเดียวกันมีหลายแผ่นให้ใช้เลขลาดับบัญชีสานวนการสืบสวนหรือสอบสวน เพยี งเลขเดียวแลว้ ใชท้ บั ( / ) ตามจานวนแผ่นโดยใหแ้ ผน่ ท้าย เป็น /๑ ขนึ้ มากอ่ น

คาอธบิ ายการบริหารงานกาลังพล สานกั งานตารวจแห่งชาติ  163 บทที่ ๖ การอทุ ธรณ์ การอุทธรณ์ การอทุ ธรณ์และการพจิ ารณาการอุทธรณ์ อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๓๑ (๒) (๓) และ (๘) และมาตรา ๑๐๕ แห่งพระราชบัญญัติ ตารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และมติ ก.ตร. ในการประชุมคร้ังที่ ๕/๒๕๔๗ เม่ือวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๗ และมติอนุกรรมการ ก.ตร. เกี่ยวกับอุทธรณ์ ในการประชุมคร้ังที่ ๑๒/๒๕๔๗ เม่ือวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๗ จึงออกกฎ ก.ตร. ไว้ ได้แก่ กฎ ก.ตร. ว่าด้วยการอุทธรณ์และการพิจารณาอุทธรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๗ (ราชกิจจานุเบกษา เล่ม ๑๒๑ ตอนที่ ๕๙ ก วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๔๗) ซึ่งมีสาระสาคัญ ดังนี้ ๑. วันใช้บังคับ ได้แก่ วันท่ี ๑๔ กันยายน ๒๕๔๗ (กฎ ก.ตร. นี้ให้ใช้บังคับต้ังแต่วันถัดจาก วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเปน็ ตน้ ไป) ๒. การอทุ ธรณแ์ ละการพจิ ารณาอุทธรณค์ าส่ังลงโทษทางวินัยและคาสั่งให้ออกจากราชการ ตามพระราชบัญญัติตารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กาหนดใน กฎ ก.ตร. น้ี ในกรณีท่ีเป็นการลงโทษทางวินัยหรือส่ังให้ออกจากราชการตามกฎหมายอ่ืนซ่ึงกาหนด เร่ืองการอุทธรณ์ไว้เป็นการเฉพาะก็ให้เป็นไปตามกฎหมายน้ัน หากกฎหมายนั้นไม่ได้กาหนดหลักเกณฑ์ และวธิ ีการพิจารณาอทุ ธรณ์ไวเ้ ป็นการเฉพาะกใ็ หน้ าหลักเกณฑ์และวิธีการพิจารณาอุทธรณ์ตามกฎ ก.ตร. ฉบับน้มี าใชบ้ งั คับโดยอนุโลม ๓. ขา้ ราชการตารวจผ้ถู ูกสงั่ ลงโทษทางวินัยหรอื ถูกสง่ั ให้ออกจากราชการมีสิทธิอุทธรณ์ คาสงั่ ได้ภายในสามสิบวันนบั แต่วนั ทราบคาสัง่ ในกรณีท่ีผู้ถูกส่ังลงโทษทางวินัยหรือผู้ถูกส่ังให้ออกจากราชการถึงแก่ความตายไปก่อน ที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์ ทายาทผู้มีสิทธิรับบาเหน็จตกทอดของผู้น้ันมีสิทธิที่จะอุทธรณ์คาส่ังแทนได้ ภายใต้กาหนดเวลาตามวรรคหนง่ึ ระยะเวลาการพิจารณาอุทธรณ์ ให้พิจารณาให้แล้วเสร็จและแจ้งผู้อุทธรณ์ทราบ ภายในสองร้อยสส่ี บิ วนั นับแต่วันท่ีไดร้ ับอทุ ธรณ์ เว้นแตม่ ีเหตุจาเปน็ ตามทีก่ าหนดไว้ในระเบียบ ก.ตร. ท่ีทาให้การพิจารณาไม่แล้วเสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว ก็ให้ขยายระยะเวลาได้อีกไม่เกินสองครั้ง โดยแตล่ ะครง้ั จะต้องไม่เกนิ หกสบิ วนั

164  อนุชยั ณ วชั รเจริญ ๔. การใชส้ ทิ ธอิ ทุ ธรณก์ รณีถูกสง่ั ลงโทษภาคทณั ฑ์ ทัณฑกรรม กักยาม กักขงั หรือตดั เงินเดอื นใหอ้ ุทธรณค์ าสัง่ ต่อผบู้ ังคบั บัญชาของผบู้ งั คับบญั ชาทสี่ ัง่ ลงโทษ หรอื ก.ตร. แล้วแตก่ รณีดังน้ี (๑) กรณที ี่ผ้ดู ารงตาแหนง่ ตั้งแต่รองผู้บังคับการหรือเทียบเท่าลงมาเป็นผู้ส่ังลงโทษ ให้อทุ ธรณค์ าส่ังต่อผดู้ ารงตาแหน่งผบู้ งั คับการหรอื เทียบเทา่ ทเ่ี ปน็ ผบู้ ังคับบญั ชาของผู้สั่งลงโทษ (๒) กรณีที่ผู้ดารงตาแหน่งต้ังแต่รองผู้บัญชาการหรือเทียบเท่าลงมาถึงผู้บังคับการ หรือเทียบเท่าเป็นผู้สั่งลงโทษ ให้อุทธรณ์คาส่ังต่อผู้ดารงตาแหน่งผู้บัญชาการหรือเทียบเท่าท่ีเป็น ผู้บงั คับบญั ชาของผู้สงั่ ลงโทษ (๓) กรณีท่ีผู้ดารงตาแหน่งตั้งแต่รองผู้บังคับการหรือเทียบเท่าของกองบังคับการ ท่ีข้ึนตรงต่อสานักงานผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติเป็นผู้ส่ังลงโทษ ให้อุทธรณ์คาสั่งต่อผู้บัญชาการ ตารวจแห่งชาติ (๔) กรณีท่ีผู้ดารงตาแหน่งตั้งแต่จเรตารวจแห่งชาติ หรือรองผู้บัญชาการตารวจ แห่งชาตหิ รือเทียบเทา่ ลงมาถงึ ผู้บัญชาการหรือเทียบเท่าเป็นผู้ส่ังลงโทษ ให้อุทธรณ์คาสั่งต่อผู้บัญชาการ ตารวจแห่งชาติ (๕) กรณีท่ีผู้บญั ชาการตารวจแห่งชาตเิ ปน็ ผู้สั่งลงโทษ ใหอ้ ทุ ธรณ์คาส่ังต่อ ก.ตร. (๖) กรณที ี่ผู้บังคับบัญชาอ่ืนนอกเหนือจาก (๑) ถึง (๕) เป็นผู้ส่ังลงโทษ ให้อุทธรณ์ ตอ่ ผูบ้ ังคับบัญชาทเ่ี ป็นหัวหน้าสูงสุดของหนว่ ยงานหรอื กลุ่มตาแหน่ง ทีผ่ ูอ้ ุทธรณน์ น้ั สังกดั อยู่ กรณีที่ผู้ส่ังลงโทษใช้อานาจส่ังลงโทษในฐานะเป็นผู้รักษาราชการแทนหรือ ปฏิบัตริ าชการแทนในตาแหนง่ ใด ให้ถือว่าเป็นการสั่งลงโทษของผู้ดารงตาแหน่งท่ีรักษาราชการแทน หรือปฏิบตั ริ าชการแทนน้ัน ๕. การใชส้ ิทธิอุทธรณ์กรณถี ูกสงั่ ลงโทษปลดออก หรอื ไลอ่ อก หรือถกู สั่งใหอ้ อกจากราชการ ให้อุทธรณค์ าสงั่ ต่อ ก.ตร. ในการใชส้ ิทธิตามวรรคหน่ึง ผู้อุทธรณ์จะขอแถลงการณ์ด้วยวาจาเพ่ือประกอบการ พจิ ารณาของ ก.ตร. ก็ได้ โดยแสดงความประสงคไ์ ว้ในหนังสอื อุทธรณ์ หรือจะทาเป็นหนังสือต่างหาก แต่ต้องยื่นหนังสือนั้นต่อ ก.ตร. โดยตรงภายในสามสิบวันนับแต่วันท่ีย่ืนหนังสืออุทธรณ์ หาก ก.ตร. พิจารณาเห็นว่าการแถลงการณ์ด้วยวาจาไม่จาเป็นแก่การพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์จะไม่อนุญาตให้ ผอู้ ทุ ธรณเ์ ขา้ แถลงการณ์ด้วยวาจาก็ได้ ๖. ใหผ้ ู้บังคับบัญชาหรอื ก.ตร. ตามข้อ ๔ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) และขอ้ ๕ เป็นผู้มีอานาจ พิจารณาอุทธรณ์ทร่ี บั ไว้ในแตล่ ะกรณี ๗. การอุทธรณ์ต้องทาเป็นหนังสือโดยระบุข้อโต้แย้งประกอบข้อเท็จจริง หรือข้อกฎหมาย และเหตผุ ลในการอุทธรณใ์ หเ้ ห็นว่าได้ถูกลงโทษ หรือถูกสั่งให้ออกจากราชการโดยไม่ถูกต้อง ไม่เหมาะสม หรือไม่เป็นธรรมอยา่ งไร และลงลายมอื ชื่อและที่อยขู่ องผ้อู ทุ ธรณ์ ๘. เพอ่ื ประโยชนใ์ นการอุทธรณ์ ผ้จู ะอทุ ธรณม์ ีสทิ ธิขอตรวจหรอื คัดรายงานการสืบสวน สอบสวนของคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนหรือของผู้สืบสวนสอบสวนได้ ส่วนการขอตรวจหรือ คัดบันทึกถ้อยคาบุคคล พยานหลักฐานอื่น หรือเอกสารท่ีเก่ียวข้อง ให้อยู่ในดุลพินิจของผู้บังคับบัญชา ผู้ส่ังลงโทษหรือส่ังให้ออกจากราชการท่ีจะอนุญาตหรือไม่ โดยให้พิจารณาถึงประโยชน์ในการรักษาวินัย และการปกครองบงั คับบัญชาขา้ ราชการตารวจตลอดจนเหตผุ ลและความจาเปน็ เป็นเร่ือง ๆ ไป

คาอธบิ ายการบริหารงานกาลังพล สานักงานตารวจแหง่ ชาติ  165 ๙. ผู้อุทธรณ์มีสิทธิคัดค้านผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์ หรือกรรมการ ขา้ ราชการตารวจผู้พจิ ารณาอุทธรณ์ ถ้าผ้นู ้นั มเี หตอุ ย่างหนึ่งอยา่ งใดดังตอ่ ไปน้ี (๑) รเู้ หน็ เหตกุ ารณ์ในเรอ่ื งท่ผี ้อู ทุ ธรณถ์ ูกส่ังลงโทษหรอื ถูกส่งั ให้ออกจากราชการ (๒) มสี ่วนไดเ้ สียในเรอ่ื งทผี่ ู้อุทธรณ์ถูกส่งั ลงโทษหรอื ถูกส่ังให้ออกจากราชการ (๓) มสี าเหตโุ กรธเคอื งผูอ้ ทุ ธรณ์ (๔) เป็นผู้กล่าวหาหรือเป็นผู้บังคับบัญชาผู้สั่งลงโทษหรือสั่งให้ออกจากราชการ หรือเป็นคู่สมรส บุพการี ผู้สืบสันดาน หรือพ่ีน้องร่วมบิดามารดาหรือร่วมบิดาหรือมารดา กับผู้กล่าวหา หรือผู้บังคบั บญั ชาผู้ส่งั ลงโทษหรือสงั่ ให้ออกจากราชการ (๕) มเี หตุอื่นซ่ึงอาจทาให้การพิจารณาเสียความเปน็ ธรรม การคัดค้านผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์ หรือ ก.ตร. ผู้พิจารณาอุทธรณ์ ต้องแสดงข้อเท็จจริงที่เป็นเหตุแห่งการคัดค้านไว้ในหนังสืออุทธรณ์หรือแจ้งเพิ่มเติมเป็นหนังสือ ก่อนท่ีผบู้ งั คับบญั ชาผมู้ ีอานาจพจิ ารณาอทุ ธรณ์หรือ ก.ตร. แลว้ แต่กรณี เร่มิ พิจารณาอทุ ธรณ์ เมื่อมีเหตุหรือมีการคัดค้านตามวรรคหนึ่ง ผู้ถูกคัดค้านผู้นั้นจะถอนตัวไม่พิจารณา อุทธรณน์ ้นั ก็ได้ ถา้ มิไดถ้ อนตัว ใหผ้ ูน้ ้ันส่งคาคัดค้านให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์ที่อยู่ลาดับ เหนอื ข้นึ ไปของผูถ้ ูกคดั ค้าน ประธานกรรมการ หรอื ประธานอนุกรรมการ แล้วแต่กรณี พิจารณาเหตุ ท่คี ัดคา้ นถา้ เป็นการคดั คา้ นประธานก็ให้คณะกรรมการซงึ่ ประกอบด้วยกรรมการท่ีเหลืออยู่เป็นผู้พิจารณา หากเห็นว่าเหตุนนั้ น่าเช่อื ถือให้ดาเนนิ การดังนี้ (๑) กรณีอุทธรณ์ต่อผู้บังคับบัญชาให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์ ทพี่ จิ ารณาคาคดั คา้ นนนั้ เปน็ ผู้พิจารณาอทุ ธรณน์ ้ันแทนผทู้ ่ถี ูกคัดค้าน (๒) กรณีอุทธรณ์ต่อ ก.ตร. ให้ประธานกรรมการ หรือประธานอนุกรรมการ คณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยกรรมการที่เหลืออยู่ แล้วแต่กรณี แจ้งผู้ถูกคัดค้านทราบและมิให้พิจารณา อทุ ธรณน์ ้ัน ในกรณีผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติเป็นผู้ถูกคัดค้าน ก็ให้ดาเนินการตามวรรคสาม โดยอนุโลม ทั้งน้ี โดยให้อานาจหน้าท่ีของผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์ที่อยู่ในลาดับ เหนือขนึ้ ไปเป็นอานาจหน้าที่ของ ก.ตร. ๑๐. เพ่ือประโยชน์ในการนับระยะเวลาอุทธรณ์ ให้ถือวันที่ผู้ถูกส่ังลงโทษหรือถูกสั่งให้ ออกจากราชการได้รับแจ้งคาสัง่ เป็นวนั ทราบคาสงั่ การแจ้งคาสั่งลงโทษหรือคาสั่งให้ออกจากราชการให้แจ้งแก่ผู้ถูกสั่งลงโทษ หรือถกู สงั่ ให้ออกจากราชการทราบโดยเรว็ โดยใชว้ ิธกี ารใดวิธีการหนึ่งดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) ให้บุคคลเป็นผู้แจ้งแก่ผู้ถูกสั่งลงโทษหรือถูกส่ังให้ออกจากราชการท่ีที่ทางาน หรือตามที่อยู่ท่ีได้ให้ไว้กับเจ้าหน้าที่ หรือภูมิลาเนาของผู้น้ัน โดยให้ผู้ถูกสั่งลงโทษหรือถูกส่ังให้ออก จากราชการลงลายมือชอ่ื และวนั ทรี่ บั ทราบไวเ้ ป็นหลักฐานและให้มอบสาเนาคาส่ังแกผ่ ูน้ น้ั ไว้หน่ึงฉบบั ในกรณีผู้ถูกส่ังลงโทษหรือถูกสั่งให้ออกจากราชการไม่ยอมรับ หากได้วาง คาส่ังน้ันหรือปิดคาส่ังไว้ในที่ซึ่งเห็นได้ง่าย ณ สถานท่ีน้ันต่อหน้าเจ้าพนักงานตารวจ ข้าราชการอ่ืน เจ้าพนกั งานผ้มู ีหน้าท่ีรับผดิ ชอบในเขตพื้นท่ี ได้แก่ กานัน แพทย์ประจาตาบล สารวัตรกานัน ผู้ใหญ่บ้าน ผชู้ ่วยผู้ใหญ่บา้ น ข้าราชการส่วนท้องถิ่นหรือพนักงานส่วนท้องถิ่น ข้าราชการประจาอาเภอหรือจังหวัด ท่ีไปเปน็ พยานก็ใหถ้ อื วา่ ได้รับแจ้งแลว้

166  อนชุ ยั ณ วัชรเจริญ ในกรณีที่ขณะไปส่งไม่พบผู้ถูกสั่งลงโทษหรือผู้ถูกสั่งให้ออกจากราชการ จะส่งคาสั่งแก่บุคคลอื่นซึ่งบรรลุนิติภาวะท่ีอยู่หรือทางานในสถานที่นั้นก็ได้ และให้ถือว่าผู้ถูกส่ังลงโทษ หรือผู้ถูกส่ังให้ออกจากราชการได้รับแจ้งในวันท่ีได้ส่งคาส่ังให้แก่บุคคลนั้น ยกเว้นผู้นั้นเป็นผู้ถูกสั่ง พักราชการ ถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน หรือถูกส่ังลงโทษกรณีละทิ้งหน้าที่ราชการแล้วไม่กลับ แล้วแตก่ รณี ก็ใหด้ าเนินการแจง้ คาสง่ั ตาม (๒) แทน (๒) ส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปให้ผู้ถูกส่ังลงโทษหรือถูกส่ังให้ออก จากราชการ ณ ภมู ิลาเนาของผู้น้ันหรือตามที่อยู่ที่ได้ให้ไว้กับเจ้าหน้าที่แล้ว เม่ือปรากฏในใบตอบรับ ทางไปรษณยี ์ลงทะเบียนวา่ ผนู้ ัน้ ได้รบั คาสั่งดงั กลา่ วหรอื มีผู้รับแทนแล้วให้ถือว่าได้รับแจ้งเมื่อครบกาหนด เจด็ วันนบั แตว่ นั ส่งสาหรบั กรณีภายในประเทศหรือเม่ือครบกาหนดสิบห้าวันนับแต่วันส่งสาหรับกรณี ส่งไปยงั ตา่ งประเทศ เวน้ แต่จะมีการพิสูจนไ์ ด้ว่าไมม่ กี ารได้รบั หรอื ได้รบั กอ่ นหรือหลงั จากวนั น้นั (๓) กรณมี เี หตจุ าเป็นเร่งด่วนจะใช้วิธีส่งทางเครื่องโทรสารก็ได้ แต่ต้องมีหลักฐาน การไดส้ ่งจากหนว่ ยงานผู้จดั บริการโทรคมนาคมที่เป็นส่ือในการส่งโทรสารน้ัน และต้องจัดส่งคาสั่งตัวจริง โดยวิธีใดวิธีหน่ึงตามท่ีกล่าวมาแล้วในข้อน้ีให้แก่ผู้ถูกสั่งลงโทษหรือถูกส่ังให้ออกจากราชการในทันที ทอ่ี าจกระทาได้ ในกรณีน้ีให้ถือว่าผู้น้ันได้รับแจ้งคาส่ังตามวัน เวลา ท่ีปรากฏในหลักฐานของหน่วยงาน ผู้จัดบริการโทรคมนาคมดังกล่าว เว้นแต่จะมีการพิสูจน์ได้ว่าไม่มีการได้รับหรือได้รับก่อนหรือหลังจาก วนั น้ัน ๑๑. การอุทธรณ์ต่อผู้บังคับบัญชาท่ีมีตาแหน่งเหนือผู้บังคับบัญชาที่สั่งลงโทษ ให้ทา หนงั สืออุทธรณถ์ ึงผบู้ ังคบั บญั ชานน้ั พร้อมกับสาเนารับรองถูกต้องหนึ่งฉบับ และย่ืนท่ีส่วนราชการของ ผ้บู งั คับบัญชานนั้ การอุทธรณ์ตอ่ ก.ตร. ให้ทาหนงั สอื อุทธรณ์ถงึ ประธานกรรมการขา้ ราชการตารวจ หรือเลขานุการ ก.ตร. พรอ้ มกับสาเนารับรองถกู ต้องหนง่ึ ฉบับและย่นื ที่สานกั งาน ก.ตร. การย่ืนหรอื ส่งหนังสืออุทธรณ์ ผู้อุทธรณ์จะยื่นหรือส่งผ่านผู้บังคับบัญชาก็ได้ และ ใหผ้ ู้บังคับบญั ชาน้ันดาเนินการตามขอ้ ๑๕ ในกรณีท่ีมีผู้นาหนังสืออุทธรณ์มายื่นเอง ให้ผู้รับหนังสือออกใบรับหนังสือและ ลงทะเบียนรบั หนงั สือไว้เป็นหลักฐาน และให้ถือวันท่ีรับหนังสือตามหลักฐานดังกล่าวเป็นวันยื่นหนังสือ อทุ ธรณ์ ในกรณีทสี่ ่งหนงั สืออทุ ธรณท์ างไปรษณีย์ ใหถ้ ือวันท่ีที่ทาการไปรษณีย์ต้นทางออก ใบรบั ฝากเปน็ หลักฐานฝากสง่ หรือวันที่ที่ทาการไปรษณีย์ต้นทางประทับตรารับท่ีซองหนังสือ เป็นวันส่ง หนงั สอื อทุ ธรณ์ เมื่อได้ยื่นหรือส่งหนังสืออุทธรณ์ไว้แล้ว หากผู้อุทธรณ์จะยื่นอุทธรณ์เพิ่มเติม หรือส่งเอกสารหลักฐานเพิ่มเติมก่อนท่ีผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์หรือ ก.ตร. แล้วแต่กรณี พิจารณาอุทธรณ์ก็ได้ โดยยื่นหรือส่งตรงต่อผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์หรือ ก.ตร. แต่ทั้งน้ี ต้องไม่เกินระยะเวลาหกสบิ วนั นับแตว่ นั ยืน่ อทุ ธรณ์ เวน้ แต่กรณีท่ีเปน็ พยานหลักฐานที่ปรากฏขึ้นภายหลัง จากระยะเวลาดังกล่าว

คาอธบิ ายการบรหิ ารงานกาลงั พล สานกั งานตารวจแห่งชาติ  167 ๑๒. อุทธรณ์ทีจ่ ะรับไว้พจิ ารณาได้ตอ้ งเป็นอุทธรณท์ ยี่ ่นื หรือส่งภายในกาหนดเวลา หนังสืออุทธรณ์ใดท่ีมีสาระสาคัญไม่ครบถ้วน ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าท่ีรับผิดชอบ หรือสานกั งาน ก.ตร. ให้คาแนะนาแก่ผู้อุทธรณ์เพื่อดาเนินการแก้ไขเพิ่มเติมหนังสืออุทธรณ์นั้นให้ถูกต้อง และในการนี้ให้ถือวันท่ียื่นอุทธรณ์ครั้งแรกเป็นหลักในการนับระยะเวลาการย่ืนอุทธรณ์ ในกรณีท่ี ผู้อุทธรณ์ไม่แก้ไขเพิ่มเติมภายในเวลาท่ีกาหนด ให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีหน้าที่พิจารณาอุทธรณ์หรือ ก.ตร. พิจารณาต่อไปโดยไมต่ อ้ งรอการแก้ไขเพ่ิมเติมหนังสอื อทุ ธรณ์ ในกรณีที่มีปัญหาว่าอุทธรณ์รายใดเป็นอุทธรณ์ที่จะรับไว้พิจารณาได้หรือไม่ ใหผ้ บู้ งั คบั บญั ชาผู้มีอานาจพิจารณาอทุ ธรณห์ รือ ก.ตร. แล้วแต่กรณี เป็นผ้พู จิ ารณาวินจิ ฉยั ในกรณีท่ีผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์หรือ ก.ตร. มีคาส่ังหรือมติไม่รับ อุทธรณ์ไว้พิจารณา ให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์หรือสานักงาน ก.ตร. แล้วแต่กรณี แจ้งคาสั่งหรือมตินั้นให้ผู้อุทธรณ์ทราบเป็นหนังสือโดยเร็ว ในหนังสือแจ้งต้องประกอบด้วยสาระสาคัญ ดงั นี้ (๑) เหตุผลในการไม่รบั พิจารณาอทุ ธรณท์ งั้ ในขอ้ เท็จจริงและข้อกฎหมาย (๒) สิทธิในการอุทธรณ์คาส่ังต่อผู้บังคับบัญชาหรือ ก.ตร. ในกรณีที่เป็นคาสั่ง ไม่รับพิจารณาอุทธรณ์ของผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์หรือสิทธิในการฟูองคดีต่อ ศาลปกครอง ในกรณีท่ีเปน็ มตไิ ม่รบั พิจารณาอทุ ธรณ์ของ ก.ตร. ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์มีคาสั่งไม่รับพิจารณาอุทธรณ์ ตามวรรคส่ี ผู้อุทธรณ์อาจอุทธรณ์คาส่ังน้ันต่อผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์ท่ีอยู่ลาดับ เหนอื ข้นึ ไปหรอื ก.ตร. ในกรณที ผ่ี ู้บญั ชาการตารวจแหง่ ชาติเป็นผู้มีคาสั่งไม่รับพิจารณาอุทธรณ์ตามข้อ ๔ ได้อกี ชนั้ หนงึ่ ภายในสบิ ห้าวันนับแตว่ นั ทราบคาส่ังดังกลา่ ว และให้นาข้อ ๑๑ มาใช้บงั คับโดยอนโุ ลม การอุทธรณ์คาสั่งไม่รับพิจารณาอุทธรณ์ตามวรรคห้า ผู้อุทธรณ์จะยื่นหรือส่งหนังสือ อุทธรณผ์ า่ นผู้บังคบั บัญชาผู้มีอานาจพจิ ารณาอุทธรณ์ก็ได้ ในกรณีเช่นน้ี ให้ผู้บังคับบัญชา ผู้มีอานาจ พิจารณาอุทธรณส์ ่งหนังสืออุทธรณ์คาส่ังไม่รับพิจารณาอุทธรณ์พร้อมทั้งเอกสารหลักฐานท่ีเก่ียวข้อง เช่น ความเห็นและคาส่ังตลอดจนหลักฐานการรับทราบคาส่ังไม่รับพิจารณาอุทธรณ์ของผู้อุทธรณ์ หนังสืออุทธรณ์คาสั่งเดิม หลักฐานการรับทราบคาสั่งลงโทษหรือคาส่ังให้ออกจากราชการของผู้อุทธรณ์ และเอกสารหลักฐานอ่ืนที่เกี่ยวข้องกับข้อโต้แย้ง คาสั่งของผู้อุทธรณ์ไปให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจ พจิ ารณาอทุ ธรณ์ทอ่ี ยู่ลาดบั เหนอื ขนึ้ ไปหรอื สานักงาน ก.ตร. โดยเรว็ ในกรณีท่ีผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์ที่อยู่ลาดับเหนือข้ึนไปหรือ ก.ตร. มคี าส่งั หรือมติยืนตามคาส่ังของผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์ที่ไม่รับอุทธรณ์คาสั่งไว้ พิจารณาหรือกรณีท่ีผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์ท่ีอยู่ลาดับเหนือข้ึนไปหรือ ก.ตร. มีคาส่ังหรือมติให้รับอุทธรณ์คาสั่งดังกล่าวไว้พิจารณา ให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์ ท่ีอยู่ลาดับเหนือข้ึนไปหรือสานักงาน ก.ตร. แจ้งให้ผู้อุทธรณ์และผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณา อุทธรณ์ทราบเป็นหนังสือโดยเร็ว และในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์ที่อยู่ลาดับ เหนอื ขน้ึ ไปหรอื ก.ตร. มีคาสัง่ หรอื มติยืนตามคาส่ังไม่รับพิจารณาอุทธรณ์คาส่ังไว้พิจารณา ในหนังสือแจ้ง ตอ้ งประกอบดว้ ยสาระสาคญั ดงั นี้

168  อนุชยั ณ วัชรเจริญ (๑) เหตผุ ลในการมีคาสง่ั หรือมตยิ ืนตามคาสั่งไมร่ ับพิจารณาอุทธรณ์ทั้งในขอ้ เท็จจริง และข้อกฎหมาย (๒) สทิ ธิในการฟูองคดตี อ่ ศาลปกครอง ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์ที่อยู่ลาดับเหนือขึ้นไปหรือ ก.ตร. มคี าสั่งหรอื มติใหร้ ับอทุ ธรณค์ าสัง่ ไว้พิจารณา ให้ผูบ้ งั คับบญั ชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์ดาเนินการ พิจารณาวินิจฉยั อุทธรณ์เพ่ือมีมตติ ามข้อ ๑๘ ต่อไป ๑๓. ผู้อุทธรณ์จะขอถอนอทุ ธรณ์ก่อนทีผ่ ้บู ังคบั บัญชาผ้มู ีอานาจพิจารณาอุทธรณ์หรือ ก.ตร. แล้วแต่กรณี พิจารณาวนิ ิจฉัยอทุ ธรณเ์ สรจ็ สนิ้ กไ็ ด้ โดยทาเป็นหนังสือยื่นหรือส่งตรงต่อผู้บังคับบัญชา ผมู้ อี านาจพจิ ารณาอุทธรณห์ รอื ก.ตร. เมือ่ ได้ถอนอุทธรณ์แลว้ การพิจารณาอุทธรณใ์ หเ้ ป็นอันระงบั ๑๔. ในกรณีท่ีผู้ถูกสั่งลงโทษหรือถูกสั่งให้ออกจากราชการได้ย้ายหรือโอนไปสังกัดใหม่ ใหย้ ่ืนอุทธรณ์ตอ่ ผ้บู ังคบั บญั ชาผู้มอี านาจพจิ ารณาอุทธรณ์หรือองค์กรบริหารงานบุคคลท่ีมีอานาจพิจารณา อุทธรณ์ของหนว่ ยงานท่ีผู้อุทธรณ์ไดย้ า้ ยหรอื โอนไปสังกดั น้ัน ในกรณีที่ผู้อุทธรณ์ได้ย้ายหรือโอนไปสังกัดใหม่หลังจากที่ได้ยื่นอุทธรณ์ไว้แล้ว และผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์สังกัดเดิมหรือ ก.ตร. ยังมิได้ส่ังการหรือมีมติตามข้อ ๑๘ ให้ส่งเรื่องอุทธรณ์และเอกสารหลักฐานตามข้อ ๑๖ ไปให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์ หรือองค์กรบริหารงานบุคคลที่มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์ตามวรรคหนึ่ง เป็นผู้พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ ต่อไป ๑๕. ในกรณที ่ีผบู้ ังคบั บัญชาได้รับหนังสืออุทธรณ์ที่ได้ยื่นหรือส่งตามข้อ ๑๑ วรรคสาม ให้ผู้บังคับบัญชานั้นส่งหนังสืออุทธรณ์ต่อไปยังผู้บังคับบัญชาผู้ส่ังลงโทษหรือสั่งให้ออกจากราชการ ภายในสามวันทาการนับแต่วันได้รับหนังสืออุทธรณ์ และให้ผู้บังคับบัญชาผู้ส่ังลงโทษหรือส่ังให้ออก จากราชการจัดส่งหนังสืออุทธรณ์ดังกล่าวพร้อมท้ังสาเนาหลักฐานการรับทราบคาส่ังลงโทษหรือ คาสงั่ ใหอ้ อกจากราชการของผู้อุทธรณ์ สานวนการสืบสวน หรือการพิจารณาในเบื้องต้นตามมาตรา ๘๔ และสานวนการสอบสวนตามมาตรา ๘๖ และมาตรา ๑๐๑ พรอ้ มทั้งคาช้ีแจงของผู้บังคับบัญชาผู้ส่ังลงโทษ หรือสั่งให้ออกจากราชการ (ถ้ามี) ไปยังผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์หรือสานักงาน ก.ตร. แล้วแต่กรณี ภายในสบิ ห้าวันทาการนับแต่วันท่ีได้รับหนังสืออุทธรณ์พร้อมทั้งรายงานการดาเนินการ ทางวินัยหรือรายงานการดาเนินการเกี่ยวกับการให้ออกจากราชการของผู้อุทธรณ์และของผู้อื่นท่ีเป็นกรณี เก่ยี วเน่ืองกนั ไปดว้ ย ๑๖. การพจิ ารณาอุทธรณ์ให้ผูบ้ ังคบั บญั ชาผ้มู ีอานาจพิจารณาอุทธรณพ์ จิ ารณาจากสานวน การสืบสวนหรือการพิจารณาในเบื้องต้นตามมาตรา ๘๔ และสานวนการสอบสวนตามมาตรา ๘๖ และมาตรา ๑๐๑ และในกรณีจาเป็นและสมควรอาจขอเอกสารและหลักฐานท่ีเกี่ยวข้องเพิ่มเติม รวมทั้งคาช้ีแจงจากหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอื่นของรัฐ ห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือบุคคลใดๆ หรือขอให้ผู้อุทธรณ์ ผู้แทนหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอ่ืนของรัฐ ห้างหุ้นส่วน บริษัท ขา้ ราชการ หรือบุคคลใดๆ มาใหถ้ ้อยคาหรือช้ีแจงขอ้ เทจ็ จริงเพอ่ื ประกอบการพิจารณาได้

คาอธบิ ายการบริหารงานกาลงั พล สานกั งานตารวจแห่งชาติ  169 ในการพิจารณาอุทธรณ์ ถ้าผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์เห็นสมควร ท่ีจะต้องสืบสวนสอบสวนใหม่หรือสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติมเพื่อประโยชน์แห่งความถูกต้องและ เหมาะสมตามความเป็นธรรมให้มีอานาจสืบสวนสอบสวนใหม่หรือสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติมในเรื่องน้ัน ได้ตามความจาเป็น โดยจะสืบสวนสอบสวนเองหรือมอบหมายให้ผู้ใดหรือแต่งต้ังคณะกรรมการ ให้สืบสวนสอบสวนใหม่ หรือสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติมแทนก็ได้ หรือกาหนดประเด็นที่ต้องการทราบ สง่ ไปใหผ้ ู้สบื สวนสอบสวนเดิมทาการสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติมได้ ในการสืบสวนสอบสวนใหม่หรือสืบสวนสอบสวนเพ่ิมเติม ถ้าผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจ พจิ ารณาอุทธรณ์ หรือผสู้ ืบสวนสอบสวน หรือคณะกรรมการทไ่ี ด้รับแตง่ ตง้ั ตามวรรคสอง เห็นสมควร ส่งประเดน็ ใดท่ตี ้องการทราบสืบสวนสอบสวนพยานหลักฐานซึ่งอยู่ต่างท้องที่ ให้มีอานาจกาหนดประเด็น ส่งไปให้หวั หน้าหน่วยงานที่เหน็ ว่าเก่ียวขอ้ งดาเนนิ การสืบสวนสอบสวนแทนได้ การสืบสวนสอบสวนใหม่หรือสืบสวนสอบสวนเพิ่มเติม หรือส่งประเด็นไปเพื่อให้ ผสู้ บื สวนสอบสวนเดมิ หรอื หัวหนา้ หน่วยงานซึ่งอยู่ต่างท้องที่ดาเนินการตามวรรคสองและวรรคสาม ให้นาหลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการสืบสวนสอบสวนพิจารณาตามมาตรา ๘๔ หรือมาตรา ๘๖ หรอื มาตรา ๑๐๑ แลว้ แต่กรณี มาใช้บงั คับโดยอนุโลม ๑๗. ในการพจิ ารณาอุทธรณ์ ให้ผูบ้ งั คับบัญชาผูม้ ีอานาจพิจารณาอุทธรณ์พิจารณาอุทธรณ์ พร้อมกับพิจารณารายงานการดาเนินการทางวินัย หรือรายงานการดาเนินการเกี่ยวกับการให้ออก จากราชการของผู้อุทธรณห์ รอื ของผู้อื่นทเ่ี ป็นกรณเี กย่ี วเน่อื งกนั ไปดว้ ย ๑๘. เมื่อผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์ได้พิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์แล้ว ใหด้ าเนนิ การดงั ตอ่ ไปน้ี (๑) ถ้าเหน็ วา่ การส่งั ลงโทษถูกตอ้ งและเหมาะสมกบั ความผดิ แล้วให้สั่งยกอุทธรณ์ (๒) ถ้าเห็นว่าการสั่งลงโทษไม่ถูกต้องหรือไม่เหมาะสมกับความผิดให้ดาเนินการ ตามกรณีดังต่อไปน้ี (ก) กรณีเห็นว่าผู้อุทธรณ์ได้กระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงแต่ควรได้รับโทษ หนกั ขึน้ ให้สั่งเพิ่มโทษเป็นสถานโทษหรืออัตราโทษที่หนักขึ้นแต่การเพิ่มโทษเป็นสถานโทษที่หนักขึ้น ตอ้ งไมเ่ กินอานาจของตนตามมาตรา ๘๙ และการเพ่ิมอัตราโทษเม่ือรวมกับอัตราโทษเดิมต้องไม่เกิน อานาจนั้นด้วย ถ้าเกินอานาจของตน ก็ให้รายงานต่อผู้บังคับบัญชาของผู้น้ันตามลาดับเพื่อให้พิจารณา ดาเนนิ การตามควรแก่กรณี (ข) กรณีเห็นว่าผู้อุทธรณ์ได้กระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงควรได้รับโทษเบาลง ให้ส่งั ลดโทษเปน็ สถานโทษหรอื อัตราโทษท่ีเบาลง (ค) กรณีเห็นว่าผู้อุทธรณ์ได้กระทาผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรงซึ่งเป็นการกระทา ผิดวินัยเล็กน้อยและมีเหตุอันควรงดโทษ ให้สั่งงดโทษโดยทาทัณฑ์บนเป็นหนังสือหรือว่ากล่าวตักเตือน ก็ได้ (ง) กรณีเห็นว่าการกระทาของผู้อุทธรณ์ไม่เป็นความผิดวินัยหรือพยานหลักฐาน ยังฟังไม่ไดว้ า่ ผอู้ ุทธรณ์กระทาผิดวนิ ัย ใหส้ ัง่ ยกโทษ

170  อนชุ ยั ณ วชั รเจริญ (จ) กรณีเห็นว่ากรณีมีมูลท่ีควรกล่าวหาว่าผู้อุทธรณ์กระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรง ให้รายงานต่อผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติหรือผู้รับมอบอานาจ เพ่ือให้พิจารณาดาเนินการแต่งต้ัง คณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา ๘๖ ในกรณที ีเ่ ห็นว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงกรณีความผิด ที่ปรากฏชัดแจ้งตามท่ีกาหนดในกฎ ก.ตร. หรือเห็นว่าผู้อุทธรณ์กระทาผิดวินัยอย่างร้ายแรงและ ได้มีการดาเนินการทางวินัยตามมาตรา ๘๖ และกฎ ก.ตร.ว่าด้วยการสอบสวนพิจารณาแล้ว ให้รายงาน ตอ่ ผบู้ ัญชาการตารวจแหง่ ชาติหรอื ผู้รับมอบอานาจ เพอ่ื ใหพ้ จิ ารณาดาเนินการเพ่ิมโทษเป็นปลดออก หรือไล่ออกจากราชการตามมาตรา ๙๐ หรือให้ออก ปลดออก หรือไล่ออกจากราชการ ตามกฎหมาย ว่าด้วยระเบยี บขา้ ราชการพลเรือนท่ใี ช้บงั คับอยู่กอ่ นวนั ทพ่ี ระราชบญั ญัตติ ารวจแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ ใชบ้ งั คับ แล้วแตก่ รณี (ฉ) กรณีเห็นว่าผู้อุทธรณ์มีกรณีท่ีสมควรแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนหรือ ให้ออกจากราชการตามมาตรา ๑๐๐ (๑) (๓) หรือ (๔) มาตรา ๑๐๑ หรือมาตรา ๑๐๒ ให้นา (จ) มาใช้บังคับ โดยอนุโลม (ช) กรณเี ห็นว่าข้อความในคาสัง่ ลงโทษไมถ่ ูกต้องหรือไม่เหมาะสม ให้สั่งแก้ไข เปลี่ยนแปลงขอ้ ความในคาสง่ั เดมิ ให้ถกู ตอ้ งเหมาะสม (๓) กรณีเหน็ ว่าสมควรดาเนนิ การโดยประการอื่นใดเพื่อให้มีความถูกต้องตามกฎหมาย และมคี วามเปน็ ธรรม ใหส้ ง่ั การได้ตามควรแกก่ รณี การออกจากราชการของผู้อุทธรณ์ไม่เป็นเหตุที่จะยุติการพิจารณาอุทธรณ์ แต่จะดาเนินการตาม (๒) (ก) หรือ (๒) (ฉ) มิได้ และถ้าเป็นการออกจากราชการเพราะตายจะดาเนินการ ตาม (๒) (จ) มิไดด้ ้วย ในกรณีท่ีมีผู้ถูกส่ังลงโทษทางวินัยในความผิดหรือกรณีท่ีได้กระทาร่วมกัน และเป็นความผดิ หรอื กรณีในเรือ่ งเดยี วกัน โดยมีพฤติการณ์แห่งการกระทาอย่างเดียวกัน เม่ือผู้ถูกส่ัง ลงโทษคนใดคนหน่ึงใช้สิทธิอุทธรณ์ คาส่ังลงโทษดังกล่าวและผลการพิจารณาเป็นคุณแก่ผู้อุทธรณ์ แม้ผู้ถูกลงโทษคนอื่นจะไม่ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ หากพฤติการณ์ของผู้ไม่ได้ใช้สิทธิอุทธรณ์เป็นเหตุ ในลกั ษณะคดีอนั เป็นเหตุเดียวกับกรณีของผู้อุทธรณ์แล้วให้ส่ังให้ผู้ท่ีไม่ได้สิทธิอุทธรณ์ได้รับการพิจารณา ใหม้ ีผลในทางทเ่ี ป็นคณุ เช่นเดยี วกบั ผู้อทุ ธรณด์ ว้ ย ๑๙. ในกรณีทีผ่ บู้ ังคับบญั ชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์หรือผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติ แลว้ แตส่ ั่งยกอทุ ธรณ์ สงั่ ลดโทษ หรือส่ังงดโทษ ผู้อุทธรณ์จะอุทธรณ์ต่อไปมิได้ แต่ถ้าส่ังเพิ่มโทษหรือ สงั่ ใหอ้ อกจากราชการในทางท่เี ปน็ โทษแกผ่ อู้ ุทธรณ์ ผู้อทุ ธรณม์ สี ิทธอิ ุทธรณไ์ ดอ้ ีกชนั้ หนึง่ ๒๐. เม่ือผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์หรือผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติ แล้วแต่กรณี ได้ดาเนินการตามข้อ ๑๘ แล้ว ให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาอุทธรณ์แจ้งให้ ผู้อุทธรณท์ ราบเป็นหนังสอื โดยเรว็ ในหนังสือแจ้งต้องประกอบด้วยสาระสาคัญดงั น้ี (๑) เหตผุ ลในการพจิ ารณาวินิจฉยั อทุ ธรณ์ทั้งในขอ้ เทจ็ จรงิ และข้อกฎหมาย (๒) สิทธิในการอุทธรณ์คาสั่งในกรณีที่อุทธรณ์ต่อไปได้หรือสิทธิในการฟูองคดี ตอ่ ศาลปกครองในกรณที ่ีอุทธรณ์ต่อไปไม่ได้ ๒๑. การพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ในกรณีท่ีอุทธรณ์ต่อ ก.ตร. ให้นาข้อ ๑๖ ข้อ ๑๗ และขอ้ ๑๘ มาใชบ้ งั คับโดยอนุโลม ในกรณีที่สง่ั ใหผ้ อู้ ทุ ธรณก์ ลบั เขา้ รบั ราชการ ใหน้ ามาตรา ๙๕ มาใชบ้ งั คบั โดยอนุโลม

คาอธบิ ายการบรหิ ารงานกาลงั พล สานกั งานตารวจแห่งชาติ  171 ๒๒. เมอื่ ก.ตร. พจิ ารณาวินิจฉัยอุทธรณ์และมีมติเป็นประการใดแล้วจะอุทธรณ์ต่อไปอีก มไิ ด้ ในกรณีท่ี ก.ตร. มีมติให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามนัยข้อ ๑๘ (๒) (จ) หรือ (๒) (ฉ) เม่ือคณะกรรมการสอบสวนได้สอบสวนพิจารณาเสร็จแล้วให้พิจารณาดาเนินการ ตามขอ้ ๑๘ (๒) (จ) ต่อไปโดยอนุโลม ๒๓. เม่อื ก.ตร. ไดพ้ ิจารณาวนิ ิจฉัยอุทธรณ์และมีมติเปน็ ประการใดแล้ว ให้สานกั งาน ก.ตร. แจง้ ให้หน่วยงานทเ่ี กย่ี วขอ้ งทราบหรือดาเนินการให้เป็นไปตามมติ ก.ตร. และแจ้งให้ผู้อุทธรณ์ทราบ เปน็ หนงั สอื โดยเร็ว ในหนงั สือแจง้ ผู้อุทธรณต์ ้องประกอบดว้ ยสาระสาคญั ดังน้ี (๑) เหตุผลในการพจิ ารณาวนิ ิจฉัยอุทธรณท์ ้งั ในขอ้ เท็จจรงิ และข้อกฎหมาย (๒) สทิ ธใิ นการฟูองคดตี อ่ ศาลปกครอง ๒๔. การแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้อุทธรณ์ทราบตามข้อ ๒๐ และข้อ ๒๓ ให้นาหลักเกณฑ์ และวธิ ีการในขอ้ ๑๐ มาใช้บังคับโดยอนุโลม ๒๕. กรณที ่ีอุทธรณ์ต่อไปไม่ไดต้ ามข้อ ๑๙ และขอ้ ๒๒ ผ้อู ุทธรณอ์ าจใชส้ ิทธทิ างศาลได้ ๒๖. การนับระยะเวลาตามกฎ ก.ตร. น้ี สาหรับเวลาเร่ิมต้น ให้นับวันถัดจากวันแรก แห่งเวลานัน้ เป็นวนั เริ่มนบั ระยะเวลา ส่วนเวลาสิ้นสุด ถ้าวันสุดท้ายแห่งระยะเวลาตรงกับวันหยุดราชการ ใหน้ บั วันเร่ิมเปิดทาการใหม่เปน็ วันสุดท้ายแห่งระยะเวลา เหตจุ าเปน็ ในการขยายระยะเวลาการพิจารณาอทุ ธรณ์ อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๓๑ (๒) และมาตรา ๑๐๕ แหง่ พระราชบัญญตั ิตารวจแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และมติ ก.ตร. ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๔๗ เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๔๗ และ มติอนุกรรมการ ก.ตร. เก่ียวกบั อุทธรณ์ ในการประชมุ ครั้งท่ี ๑๒/๒๕๔๗ เม่ือวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๗ จึงออกระเบียบ ก.ตร. ไว้ ได้แก่ ระเบียบ ก.ตร. ว่าด้วยเหตุจาเป็นในการขยายระยะเวลาการพิจารณา อทุ ธรณ์ พ.ศ. ๒๕๔๗ ลงวันที่ ๓ สงิ หาคม ๒๕๔๗ เพือ่ เปน็ แนวทางในการปฏบิ ัติ ซ่งึ มสี าระสาคัญดังนี้ ๑. ระเบยี บนเี้ รียกว่า “ระเบยี บ ก.ตร. วา่ ดว้ ยเหตุจาเป็นในการขยายระยะเวลาการพิจารณา อทุ ธรณ์ พ.ศ.๒๕๔๗” ๒. ระเบียบน้ใี หใ้ ชบ้ งั คับต้ังแต่ วันที่ ๑ กนั ยายน ๒๕๔๗ เปน็ ต้นไป ๓. ในการพจิ ารณาอุทธรณ์ ให้ผ้พู ิจารณาอุทธรณ์พิจารณาให้แล้วเสร็จภายในสองร้อยสี่สิบวัน นบั แต่วนั ท่ีไดร้ บั อทุ ธรณ์ เวน้ แตม่ เี หตุจาเปน็ ดังตอ่ ไปนี้ (๑) เลื่อนการพจิ ารณาอทุ ธรณ์ออกไปตามที่ผู้อทุ ธรณ์ร้องขอ (๒) ผู้สั่งลงโทษ ผู้สั่งให้ออกจากราชการ หรือผู้บังคับบัญชาอ่ืน ไม่ส่งเอกสารสานวน และหรอื เอกสารหลกั ฐานสาคัญที่เก่ียวข้องกับการพิจารณาให้ตามท่ีผู้พิจารณาขอ ภายในระยะเวลา ทกี่ าหนด (๓) ผู้พิจารณาอทุ ธรณ์ได้สั่งหรือมีมติให้ดาเนินการเพิ่มเติมเพ่ือประโยชน์แห่งความ เป็นธรรม เชน่ (ก) ใหท้ าการสบื สวนสอบสวนใหม่หรือสืบสวนสอบสวนเพ่ิมเติม (ข) ขอเอกสารและหลกั ฐานทเี่ กย่ี วขอ้ ง

172  อนุชัย ณ วชั รเจริญ (ค) ขอคาชแ้ี จงจากบุคคล หน่วยงาน หรือองค์กร (ง) เชิญให้ผอู้ ุทธรณ์ บคุ คล หรอื ผแู้ ทนจากหนว่ ยงานหรอื องค์กร มาชี้แจง (จ) รอฟังผลการพิจารณาของศาล หรือการพิจารณาวินิจฉัยสั่งการของหน่วยงาน หรือองค์กร ๔. กรณมี ีเหตจุ าเปน็ ตามขอ้ ๓ ให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจหรือ ก.ตร. ขยายระยะเวลาได้ ไมเ่ กนิ สองคร้ัง โดยแต่ละครั้งจะตอ้ งไม่เกนิ หกสิบวัน และให้บันทึกแสดงเหตุผลที่ขยายระยะเวลานั้น ให้ปรากฏไวเ้ ป็นหลกั ฐาน

คาอธบิ ายการบริหารงานกาลงั พล สานกั งานตารวจแห่งชาติ  173 บทที่ ๗ การรอ้ งทุกข์ การร้องทุกข์ การร้องทกุ ข์ อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๓๑ (๒) และมาตรา ๑๐๖ แห่งพระราชบัญญัติตารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ มติ ก.ตร. ในการประชุมครั้งที่ ๕/๒๕๔๗ เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๔๗ และ มติอนุกรรมการ ก.ตร. เกี่ยวกับการร้องทุกข์ ในการประชุมครั้งท่ี ๑/๒๕๔๗ เม่ือวันท่ี ๒๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ ครั้งท่ี ๒/๒๕๔๗ เมื่อวันท่ี ๑ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๗ ครั้งที่ ๓/๒๕๔๗ เมื่อวันที่ ๒๒ มถิ นุ ายน พ.ศ. ๒๕๔๗ ก.ตร. จึงออกกฎ ก.ตร. ไว้ ได้แก่ กฎ ก.ตร. ว่าด้วยการร้องทุกข์ พ.ศ. ๒๕๔๗ (ราชกิจจานเุ บกษา เลม่ ๑๒๑ ตอนท่ี ๖๘ ก วันที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๔๗) ซึ่งมสี าระสาคัญดงั นี้ ๑. กฎ ก.ตร. น้ีให้ใช้บังคับต้ังแต่วันถัดจากวันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป (วนั ที่ ๒๙ ตลุ าคม ๒๕๔๗) บรรดาการร้องทุกข์ และการพิจารณาเร่ืองร้องทุกข์ที่ได้ร้องทุกข์ และอยู่ระหว่าง การพจิ ารณาก่อนวนั ท่ี กฎ ก.ตร. ฉบับนี้ใชบ้ ังคับ ให้ถือวา่ เป็นการดาเนินการโดยชอบด้วย กฎ ก.ตร. น้ี ๒. การร้องทุกข์และการพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ ในกรณีที่ข้าราชการตารวจเห็นว่า ผู้บังคับบัญชาใช้อานาจหน้าท่ีปฏิบัติต่อตนโดยไม่ถูกต้องหรือไม่ปฏิบัติต่อตนให้ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมาย หรือเกดิ จากการปฏิบัติโดยมิชอบของผู้บังคับบัญชาต่อตน ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการ ที่กาหนดในกฎ ก.ตร. นี้ ๓. เพือ่ ให้เกดิ ความเขา้ ใจและความสัมพนั ธ์อนั ดีระหวา่ งผู้บังคับบัญชากับผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา เม่อื มกี รณีเปน็ ปัญหาขึ้นระหว่างกันควรจะไดป้ รกึ ษาหารือทาความเข้าใจกัน ฉะน้ันเมื่อผู้อยู่ใต้บังคับบัญชา มีปัญหาเกี่ยวกับการท่ีผู้บังคับบัญชาใช้อานาจหน้าที่ปฏิบัติต่อตนโดยไม่ถูกต้องหรือไม่ปฏิบัติต่อตน ให้ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมาย หรือเกิดจากการปฏิบัติโดยมิชอบของผู้บังคับบัญชาต่อตน และแสดง ความประสงค์ท่ีจะปรึกษาหารือกับผู้บังคับบัญชา ให้ผู้บังคับบัญชาน้ันให้โอกาสและรับฟังหรือสอบถาม เกย่ี วกับปัญหาดังกล่าวเพ่ือเปน็ ทางแหง่ การทาความเข้าใจและแก้ปัญหาทเ่ี กิดข้ึนในชัน้ ต้น ถ้าผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาไม่ประสงค์ที่จะปรึกษาหารือ หรือปรึกษาหารือแล้วไม่ได้รับ คาชแ้ี จงหรือได้รบั คาช้แี จงไมเ่ ป็นท่พี อใจ กใ็ หร้ ้องทุกข์ตามข้อ ๔ และข้อ ๕ ๔. ข้าราชการตารวจผู้ถูกผู้บังคบั บัญชาใชอ้ านาจหน้าท่ีปฏิบัติต่อตนโดยไม่ถูกต้องหรือไม่ ปฏบิ ัตติ อ่ ตนใหถ้ ูกต้องตามระเบยี บ กฎหมาย หรอื ปฏบิ ตั โิ ดยมชิ อบต่อตน มีสทิ ธริ ้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชา หรอื ก.ตร. ได้ภายในสามสิบวันนบั แต่วนั ท่ีทราบเรื่องอันเปน็ เหตุให้ร้องทุกข์

174  อนุชัย ณ วัชรเจริญ ๕. การใช้สทิ ธริ อ้ งทกุ ข์ ให้ดาเนินการดงั น้ี (๑) กรณีท่ีเหตุร้องทุกข์เกิดจากผู้ดารงตาแหน่งต้ังแต่รองผู้กากับการหรือเทียบเท่า ลงมาให้ร้องทุกข์ต่อผู้ดารงตาแหน่งผู้กากับการหรือเทียบเท่าที่เป็นผู้บังคับบัญชาของผู้ที่ทาให้เกิด เหตรุ ้องทุกข์เวน้ แต่กรณีเป็นหน่วยขึ้นตรงต่อกองบังคับการ ให้ร้องทุกข์ต่อผู้บังคับการหรือเทียบเท่า ที่เป็นผ้บู ังคบั บญั ชาของผูท้ ท่ี าใหเ้ กดิ เหตรุ อ้ งทกุ ข์ (๒) กรณีท่ีเหตุร้องทุกข์เกิดจากผู้ดารงตาแหน่งตั้งแต่รองผู้บังคับการหรือเทียบเท่า ลงมาถึงผู้กากับการหรือเทียบเท่า ให้ร้องทุกข์ต่อผู้ดารงตาแหน่งผู้บังคับการหรือเทียบเท่าท่ีเป็น ผู้บังคบั บญั ชาของผูท้ ีท่ าใหเ้ กดิ เหตรุ อ้ งทกุ ข์ (๓) กรณีท่ีเหตุร้องทุกข์เกิดจากผู้ดารงตาแหน่งตั้งแต่รองผู้บัญชาหรือเทียบเท่า ลงถึงผู้บังคับการหรือเทียบเท่า ให้ร้องทุกข์ต่อผู้ดารงตาแหน่งผู้บัญชาการหรือเทียบเท่าที่เป็น ผู้บงั คับบัญชาของผทู้ ีท่ าใหเ้ กดิ เหตรุ อ้ งทุกข์ หรอื ก.ตร. (๔) กรณีท่ีเหตุร้องทุกข์เกิดจากผู้ดารงตาแหน่งผู้บังคับการหรือเทียบเท่าของ กองบังคบั การที่ข้ึนตรงต่อสานกั งานผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติ ใหร้ ้องทุกขต์ อ่ ผ้บู ัญชาการตารวจแหง่ ชาติ หรอื ก.ตร. (๕) กรณีที่เหตุร้องทุกข์เกิดจากผู้ดารงตาแหน่งตั้งแต่จเรตารวจแห่งชาติ หรือ รองผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติหรือเทียบเท่า ลงมาถึงผู้บัญชาการหรือเทียบเท่าให้ร้องทุกข์ ตอ่ ผู้บญั ชาการตารวจแหง่ ชาติ หรอื ก.ตร. (๖) กรณีท่ีเหตุร้องทุกข์เกิดจากนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีเจ้าสังกัด หรือผู้บัญชาการ ตารวจแหง่ ชาติ ใหร้ ้องทุกข์ต่อ ก.ตร. (๗) กรณที ี่เหตุร้องทกุ ข์เกิดจากผู้บงั คับบญั ชาอื่นนอกเหนอื จาก (๑) ถงึ (๖) ให้ร้องทุกข์ ต่อผู้บังคบั บัญชาท่เี ป็นหัวหน้าสงู สุดของหนว่ ยงานหรือกลุ่มตาแหนง่ ทผี่ รู้ อ้ งทุกขน์ ัน้ สงั กัดอยู่ กรณีที่เหตุร้องทุกข์เกิดจากผู้บังคับบัญชาที่อยู่ในฐานะเป็นผู้รักษาการแทนหรือ ปฏิบัติราชการแทนในตาแหน่งใด ให้ถือว่าเหตุร้องทุกข์เกิดจากผู้ดารงตาแหน่งที่รักษาราชการแทน หรอื ปฏิบัติราชการแทนนัน้ การใช้สิทธิร้องทกุ ข์ตาม (๓) (๔) และ (๕) ให้ใชส้ ทิ ธริ อ้ งทุกข์ต่อผู้บงั คบั บญั ชา หรือ ก.ตร. ไดเ้ ฉพาะทางใดทางหน่ึงเท่าน้นั ๖. ให้ผ้บู ังคบั บัญชาหรือ ก.ตร. ตามข้อ ๕ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) และ (๗) เป็นผู้มีอานาจ พิจารณาเรื่องรอ้ งทกุ ขท์ ีร่ บั ไว้ในแตล่ ะกรณี ระยะเวลาการพจิ ารณาเรอื่ งรอ้ งทุกข์ ใหพ้ จิ ารณาและดาเนินการตามข้อ ๑๖ ให้แล้วเสร็จ โดยเร็วอย่างช้าไม่เกินเก้าสิบวันนับแต่วันท่ีได้รับหนังสือร้องทุกข์และเอกสารหลักฐานตามข้อ ๑๔ เวน้ แต่มีเหตุจาเปน็ ท่ที าให้การพจิ ารณาไม่แลว้ เสร็จภายในระยะเวลาดังกล่าว ก็ให้ขยายระยะเวลาได้อีก ไมเ่ กินสองครัง้ โดยแต่ละครัง้ จะตอ้ งไมเ่ กินสามสบิ วนั ๗. การร้องทุกข์ต้องทาเป็นหนังสือลงลายมือชื่อและที่อยู่ของผู้ร้องทุกข์พร้อมท้ังแสดง ข้อเท็จจริงและเหตุผลในการร้องทุกข์ให้เห็นว่าผู้บังคับบัญชาใช้อานาจหน้าท่ีปฏิบัติต่อตนโดยไม่ถูกต้อง หรอื ไมป่ ฏิบัตติ ่อตนใหถ้ ูกต้องตามระเบียบ กฎหมาย หรือปฏิบัติโดยมิชอบต่อตนอย่างใด และความประสงค์ ของการรอ้ งทุกข์

คาอธิบายการบรหิ ารงานกาลังพล สานกั งานตารวจแหง่ ชาติ  175 ๘. ผู้ร้องทกุ ข์มสี ทิ ธคิ ัดคา้ นผู้บงั คบั บัญชาผ้มู อี านาจพิจารณาเรื่องร้องทุกข์หรือกรรมการ ข้าราชการตารวจผู้พจิ ารณาเร่ืองร้องทกุ ข์ ถา้ ผู้น้นั มเี หตอุ ย่างหน่งึ อยา่ งใดดงั ต่อไปน้ี (๑) เป็นผู้ทีท่ าใหเ้ กดิ เหตแุ หง่ การร้องทกุ ข์ (๒) มีสว่ นได้เสียในเร่ืองท่รี ้องทุกข์ (๓) มีสาเหตุโกรธเคืองผูร้ ้องทกุ ข์ (๔) เป็นคสู่ มรส บพุ การี ผสู้ ืบสนั ดาน หรอื พี่น้องรว่ มบิดามารดาหรอื ร่วมบิดาหรือมารดา กับผู้บงั คบั บัญชาผู้ซง่ึ เปน็ เหตแุ ห่งการรอ้ งทกุ ข์ (๕) มเี หตอุ ื่นซ่ึงอาจทาให้การพิจารณาเสียความเปน็ ธรรม การคัดค้านต้องแสดงข้อเท็จจริงท่ีเป็นเหตุแห่งการคัดค้านไว้ในหนังสือร้องทุกข์ หรือแจ้งเพิ่มเติมเป็นหนังสือก่อนท่ีผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ หรือกรรมการ ขา้ ราชการตารวจ แล้วแต่กรณี เรม่ิ พจิ ารณาเรอื่ งร้องทกุ ข์ เมื่อผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาเร่ืองร้องทุกข์หรือกรรมการข้าราชการตารวจ ซึ่งจะต้องพิจารณาเรื่องร้องทุกข์เห็นว่าตนเองมีเหตุคัดค้านหรือถูกคัดค้านจะถอนตั วไม่พิจารณา เร่ืองร้องทุกขน์ ั้นก็ได้ถา้ มิไดถ้ อนตวั ใหผ้ ู้นนั้ ส่งคาคดั คา้ นให้ผ้บู ังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ ท่ีอยู่ลาดับเหนือขึ้นไปของผู้ถูกคัดค้าน ประธานกรรมการ หรือประธานอนุกรรมการ แล้วแต่กรณี พิจารณาเหตุท่ีคัดค้านถ้าเป็นการคัดค้านประธานก็ให้คณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยกรรมการที่เหลืออยู่ เป็นผู้พิจารณา หากเหน็ วา่ เหตนุ ัน้ น่าเชอ่ื ถอื ใหด้ าเนินการดงั น้ี (๑) กรณีร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชาให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาเรื่อง ร้องทุกข์ที่พจิ ารณาคาคดั ค้านนน้ั เปน็ ผู้พจิ ารณาเรื่องรอ้ งทกุ ข์น้ันแทนผู้ท่ีถูกคดั ค้าน (๒) กรณีร้องทุกข์ต่อ ก.ตร. ให้ประธานกรรมการ หรือประธานอนุกรรมการ คณะกรรมการ ซ่ึงประกอบด้วยกรรมการท่ีเหลืออยู่ แล้วแต่กรณี แจ้งผู้ถูกคัดค้านน้ันทราบและมิให้ พจิ ารณาเรื่องรอ้ งทกุ ข์นนั้ ในกรณีผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติเป็นผู้ถูกคัดค้าน ก็ให้ดาเนินการตามวรรคสาม โดยอนุโลม ทั้งน้ี โดยให้อานาจหน้าท่ีของผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาเร่ืองร้องทุกข์ที่อยู่ในลาดับ เหนอื ข้นึ ไปเปน็ อานาจหนา้ ทีข่ อง ก.ตร. ๙. เพอ่ื ประโยชน์ในการนับระยะเวลาร้องทุกข์ (๑) ในกรณีที่เหตุร้องทุกข์เกิดจากการที่ผู้บังคับบัญชามีคาสั่งเป็นหนังสือต่อผู้ร้อง ทุกข์ให้ถือวันท่ีผู้ถูกส่ังได้รับแจ้งคาส่ังเป็นวันทราบคาสั่งการแจ้งคาสั่งให้แจ้งโดยเร็วโดยใช้วิธีการใด วธิ ีการหน่ึงดังต่อไปน้ี (ก) ให้บุคคลเป็นผู้แจ้งแก่ผู้ถูกสั่งท่ีที่ทางาน หรือตามที่อยู่ท่ีได้ให้ไว้กับเจ้าหน้าที่ หรือภูมิลาเนาของผู้ถูกสั่ง โดยให้ผู้ถูกสั่งลงลายมือช่ือและวันท่ีรับทราบไว้เป็นหลักฐาน และให้มอบ สาเนาคาสงั่ แกผ่ ถู้ ูกสัง่ ไว้หนง่ึ ฉบบั ในกรณีผู้ถูกสั่งไมย่ อมรบั หากไดว้ างคาส่ังนั้นหรือปิดคาส่ังนั้นไว้ในท่ีซ่ึงเห็น ไดง้ ่าย ณ สถานท่นี ั้นตอ่ หน้าเจา้ พนกั งานตารวจ ขา้ ราชการอ่ืน เจ้าพนักงาน ผู้มีหน้าท่ีรับผิดชอบในเขตพื้นท่ี ไดแ้ ก่ กานนั แพทยป์ ระจาตาบล สารวตั รกานัน ผูใ้ หญบ่ ้าน ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน ข้าราชการส่วนท้องถิ่น หรือพนักงานสว่ นทอ้ งถน่ิ ขา้ ราชการประจาอาเภอหรือจงั หวดั ที่ไปเป็นพยาน กใ็ ห้ถอื ว่าได้รับแจง้ แล้ว

176  อนุชัย ณ วชั รเจริญ ในกรณที ีข่ ณะไปสง่ ไมพ่ บผถู้ ูกสงั่ จะส่งคาส่ังแก่บุคคลอื่นซึ่งบรรลุนิติภาวะที่อยู่ หรือทางานในสถานท่ีนนั้ กไ็ ด้ และใหถ้ อื ว่าผ้ถู กู สง่ั ได้รับแจ้งในวนั ท่ีได้ส่งคาสั่งให้แก่บุคคลนั้น ยกเว้นกรณี ผู้ถูกส่ังเป็นผู้ถูกส่ังพักราชการ หรือถูกสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน หรือเป็นผู้ถูกสั่งลงโทษกรณีละท้ิง หนา้ ท่รี าชการไปแล้วไม่กลับมาปฏบิ ตั หิ น้าทอี่ กี เลย ให้ดาเนินการแจ้งคาสัง่ ตาม (ข) แทน (ข) ส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนตอบรับไปให้ผู้ถูกส่ัง ณ ภูมิลาเนาของผู้นั้นหรือ ตามที่อยู่ท่ีได้ให้ไว้กับเจ้าหน้าท่ีแล้ว เมื่อปรากฏในใบตอบรับทางไปรษณีย์ลงทะเบียนว่าผู้น้ันได้รับคาส่ัง ดังกล่าวหรือมีผู้รับแทนแล้วให้ถือว่าได้รับแจ้งเมื่อครบกาหนดเจ็ดวันนับแต่วันส่งสาหรับกรณี ภายในประเทศหรือเมื่อครบกาหนดสิบห้าวันนับแต่วันส่งสาหรับกรณีส่งไปยังต่างประเทศ เว้นแต่ จะมีการพิสจู น์ไดว้ ่าไมม่ ีการไดร้ บั หรอื ไดร้ ับก่อนหรอื หลงั จากวันนั้น (ค) กรณีมีเหตุจาเป็นเร่งด่วนจะใช้วิธีส่งทางเครื่องโทรสารก็ได้ แต่ต้องมีหลักฐาน การได้สง่ จากหนว่ ยงานผจู้ ดั บริการโทรคมนาคมที่เป็นส่ือในการส่งโทรสารน้ัน และต้องจัดส่งคาส่ังตัวจริง โดยวธิ ีใดวิธีหน่ึงตามท่ีกล่าวมาแล้วในข้อนี้ให้แก่ผู้ถูกส่ังในทันทีท่ีอาจกระทาได้ ในกรณีน้ีให้ถือว่าผู้ถูกสั่ง ได้รับแจ้งคาสั่งตามวัน เวลา ท่ีปรากฏในหลักฐานของหน่วยงานผู้จัดบริการโทรคมนาคมดังกล่าว เว้นแตจ่ ะมกี ารพิสูจน์ได้ว่าไมม่ กี ารได้รบั หรอื ได้รับก่อนหรือหลังจากวันน้ัน (๒) ในกรณีท่ีผู้บังคับบัญชาไม่มีคาส่ังเป็นหนังสือต่อผู้ร้องทุกข์โดยตรงให้ถือวันท่ี มีหลักฐานยืนยนั วา่ ผู้ร้องทุกข์รับทราบหรือควรได้ทราบคาสัง่ นั้นเปน็ วนั ทราบเรื่องอนั เปน็ เหตุใหร้ ้องทุกข์ (๓) ในกรณีทผ่ี ู้บังคบั บญั ชาใช้อานาจหน้าทป่ี ฏิบัติโดยไม่ถูกต้องหรือไม่ปฏิบัติให้ถูกต้อง ตามระเบยี บ กฎหมาย หรอื ปฏบิ ัตโิ ดยมชิ อบต่อผรู้ ้องทุกข์ โดยไมม่ ีคาสั่งอย่างใดให้ถือวันที่ผู้ร้องทุกข์ ควรได้ทราบถงึ การใชอ้ านาจหนา้ ที่ของผบู้ งั คบั บัญชาดังกลา่ วเปน็ วนั ทราบเรื่องอันเป็นเหตุใหร้ อ้ งทุกข์ ๑๐. การร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชาท่ีมีตาแหน่งเหนือผู้บังคับบัญชาผู้เป็นเหตุแห่งการ ร้องทุกข์ให้ทาหนังสือร้องทุกข์ถึงผู้บังคับบัญชานั้นพร้อมกับสาเนารับรองถูกต้องหนึ่งฉบับและ ยืน่ ที่ส่วนราชการของผูบ้ งั คบั บญั ชาน้ัน การร้องทุกข์ต่อ ก.ตร. ให้ทาหนังสือร้องทุกข์ถึงประธานกรรมการข้าราชการตารวจ หรือเลขานกุ าร ก.ตร. พรอ้ มกบั สาเนารบั รองถูกตอ้ งหนง่ึ ฉบบั และยืน่ ทส่ี านักงาน ก.ตร. การย่ืนหรือส่งหนังสือร้องทุกข์ ผู้ร้องทุกข์จะย่ืนหรือส่งผ่านผู้บังคับบัญชาหรือ ผูบ้ ังคบั บญั ชาผ้เู ป็นเหตุแห่งการรอ้ งทกุ ข์ก็ได้ และให้ผ้บู ังคับบัญชานัน้ ดาเนินการตามข้อ ๑๔ ในกรณีท่ีมีผู้นาหนังสือร้องทุกข์มาย่ืนเอง ให้ผู้รับหนังสือออกใบรับหนังสือและ ลงทะเบียนรับหนังสือไว้เป็นหลักฐานในวันที่รับหนังสือ และให้ถือวันท่ีรับหนังสือตามหลักฐานดังกล่าว เปน็ วันยนื่ หนงั สือร้องทุกข์ ในกรณีท่ีส่งหนังสือร้องทุกข์ทางไปรษณีย์ ให้ถือวันท่ีที่ทาการไปรษณีย์ต้นทาง ออกใบรบั ฝากเป็นหลกั ฐานฝากสง่ หรือวนั ทที่ ่ที าการไปรษณีย์ต้นทางประทับตรารับที่ซองหนังสือเป็นวันส่ง หนังสอื ร้องทุกข์ เมื่อได้ยืน่ หรือส่งหนงั สอื ร้องทุกข์ไว้แล้ว หากผ้รู ้องทุกข์จะยื่นหนงั สือร้องทุกข์เพ่ิมเติม หรือส่งเอกสารหลักฐานเพ่ิมเติมก่อนที่ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ หรือ ก.ตร. แลว้ แตก่ รณี พจิ ารณาเร่ืองร้องทุกข์ก็ได้ โดยย่ืนหรือส่งตรงต่อผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาเร่ือง ร้องทกุ ขห์ รือ ก.ตร. แต่ท้งั นตี้ ้องไม่เกินระยะเวลาสามสบิ วันนบั แต่วนั ย่ืนหนังสือร้องทุกข์ เว้นแต่กรณี ที่เปน็ พยานหลกั ฐานทีป่ รากฏข้ึนภายหลงั จากระยะเวลาดังกล่าว

คาอธิบายการบริหารงานกาลังพล สานกั งานตารวจแหง่ ชาติ  177 ๑๑. เรื่องร้องทุกข์ท่ีจะรับไว้พิจารณาได้ต้องเป็นเรื่องร้องทุกข์ที่ยื่นหรือส่งภายใน กาหนดเวลา เรื่องร้องทุกข์ที่ยื่นหรือส่งเมื่อพ้นกาหนดเวลาแล้ว ถ้าผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจ พิจารณาเรื่องร้องทุกข์ หรือ ก.ตร. แล้วแต่กรณี เห็นว่าการรับพิจารณาจะเป็นประโยชน์แก่การบริหาร ราชการหรอื การคมุ้ ครองและใหค้ วามเปน็ ธรรมแก่ขา้ ราชการตารวจจะรบั ไว้พจิ ารณาก็ได้ หนังสือร้องทุกข์ใดที่มีสาระสาคัญไม่ครบถ้วน ให้เจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ หรือสานักงาน ก.ตร. ให้คาแนะนาแก่ผู้ร้องทุกข์เพื่อดาเนินการแก้ไขเพิ่มเติมหนังสือร้องทุกข์น้ัน ให้ถูกต้องภายในระยะเวลาท่ีกาหนด และในการน้ีให้ถือวันที่ย่ืนหนังสือร้องทุกข์ครั้งแรกเป็นหลัก ในการนับระยะเวลาการยื่นเร่ืองร้องทุกข์ ในกรณีที่ผู้ร้องทุกข์ไม่แก้ไขเพ่ิมเติมภายในระยะเวลา ทีก่ าหนดให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาเร่ืองร้องทุกข์ หรือ ก.ตร. พิจารณาเรื่องร้องทุกข์ต่อไป โดยไม่ตอ้ งรอการแกไ้ ขเพ่ิมเตมิ หนงั สอื ร้องทุกข์ ในกรณที ี่มีปัญหาว่าเรือ่ งรอ้ งทกุ ขร์ ายใดเปน็ เรอื่ งร้องทุกขท์ จ่ี ะรบั ไว้พิจารณาได้หรือไม่ ใหผ้ ู้บังคบั บัญชาผู้มีอานาจพจิ ารณาเรอื่ งร้องทกุ ข์หรอื ก.ตร. แลว้ แตก่ รณี เปน็ ผู้พิจารณาวินจิ ฉัย ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาเร่ืองร้องทุกข์หรือ ก.ตร. มีคาสั่งหรือ มตไิ ม่รบั เร่ืองรอ้ งทกุ ขไ์ วพ้ จิ ารณา ให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาเรื่องร้องทุกข์หรือสานักงาน ก.ตร. แล้วแต่กรณีแจ้งคาสั่งหรือมตินั้นให้ผู้ร้องทุกข์ทราบเป็นหนังสือโดยเร็ว ในหนังสือแจ้งต้องประกอบด้วย สาระสาคญั ดงั นี้ (๑) เหตผุ ลในการไมร่ บั พจิ ารณาเรอ่ื งรอ้ งทกุ ข์ทง้ั ในขอ้ เท็จจรงิ และขอ้ กฎหมาย (๒) สิทธิในการร้องทุกข์คาสั่งต่อผู้บังคับบัญชาหรือ ก.ตร. ในกรณีท่ีเป็นคาสั่ง ไม่รับพิจารณาเร่ืองร้องทุกข์ของผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาเร่ืองร้องทุกข์หรือสิทธิในการฟูองคดี ต่อศาลปกครองในกรณที ี่เป็นมติไม่รบั พจิ ารณาเร่อื งร้องทุกข์ของ ก.ตร. ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาเร่ืองร้องทุกข์ มีคาส่ังไม่รับพิจารณาเร่ือง ร้องทกุ ข์ตามวรรคห้า ผู้ร้องทุกข์อาจร้องทุกข์คาส่ังน้ันต่อผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาเร่ืองร้องทุกข์ ทอี่ ยูล่ าดับเหนอื ข้นึ ไปหรอื ร้องทุกขต์ อ่ ก.ตร. ในกรณีที่ผู้บัญชาการตารวจแห่งชาติเป็นผู้มีคาส่ังไม่รับ พิจารณาเร่ืองร้องทุกข์ได้อีกชั้นหนึ่งภายในสิบห้าวันนับแต่วันทราบคาสั่งดังกล่าวและให้นาข้อ ๑๐ มาใชบ้ ังคับโดยอนโุ ลม การร้องทุกข์คาสั่งไม่รับพิจารณาเร่ืองร้องทุกข์ตามวรรคหก ผู้ร้องทุกข์จะย่ืนหรือ สง่ หนงั สือร้องทกุ ข์ผ่านผบู้ งั คบั บัญชาผมู้ ีอานาจพิจารณาเรอ่ื งรอ้ งทกุ ขก์ ไ็ ด้ ในกรณีเช่นนี้ให้ผู้บังคับบัญชา ผู้มีอานาจพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ส่งหนังสือร้องทุกข์คาสั่งไม่รับพิจารณาเรื่องร้องทุกข์พร้อมท้ังเอกสาร หลักฐานที่เกี่ยวข้อง เช่น ความเห็นและคาสั่งตลอดจนหลักฐานการรับทราบคาสั่งไม่รับพิจารณา เร่ืองรอ้ งทุกข์ของผูร้ อ้ งทุกข์หนังสือร้องทุกข์เดิม หลักฐานการรับทราบคาส่ังหรือหลักฐานที่ยืนยันว่า ผู้รอ้ งทกุ ขร์ ับทราบหรือควรได้ทราบคาส่ังหรือการกระทาของผู้บังคับบัญชา อันเป็นเหตุแห่งการร้องทุกข์ และเอกสารหลักฐานอ่ืนท่ีเก่ียวข้องกับข้อโต้แย้งคาส่ังของผู้ร้องทุกข์ไปให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจ พิจารณาเรอ่ื งรอ้ งทกุ ขท์ ่อี ย่ลู าดับเหนือข้นึ ไปหรือสานกั งาน ก.ตร. โดยเร็ว

178  อนชุ ยั ณ วัชรเจรญิ ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ท่ีอยู่ลาดับเหนือขึ้นไป หรือ ก.ตร. มีคาส่ังหรือมติยืนตามคาส่ังของผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาเร่ืองร้องทุกข์ที่ไม่รับ เรอื่ งร้องทกุ ขไ์ ว้พิจารณาหรือกรณีทผี่ ้บู ังคบั บัญชาผู้มอี านาจพิจารณาเร่ืองร้องทุกข์ท่ีอยู่ลาดับเหนือขึ้นไป หรือ ก.ตร. มีคาส่ังหรือมติให้รับเร่ืองร้องทุกข์คาสั่งดังกล่าวไว้พิจารณา ให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจ พิจารณาเร่ืองร้องทุกข์ท่ีอยู่ลาดับเหนือขึ้นไปหรือสานักงาน ก.ตร. แจ้งให้ผู้ร้องทุกข์และผู้บังคับบัญชา ผู้มีอานาจพิจารณาเร่ืองร้องทุกข์ทราบเป็นหนังสือโดยเร็ว และในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจ พิจารณาเรื่องร้องทุกข์ที่อยู่ลาดับเหนือข้ึนไปหรือ ก.ตร. มีคาส่ังหรือมติยืนตามคาส่ังไม่รับเรื่องร้องทุกข์ ไว้พิจารณา ในหนงั สอื แจง้ ตอ้ งประกอบด้วยสาระสาคัญดงั น้ี (๑) เหตุผลในการมีคาสั่งหรือมติยืนตามคาสั่งไม่รับพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ ทั้งในข้อเทจ็ จรงิ และขอ้ กฎหมาย (๒) สิทธิในการฟอู งคดตี ่อศาลปกครอง ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ท่ีอยู่ลาดับเหนือข้ึนไป หรือ ก.ตร. มีคาส่ังหรือมตใิ หร้ บั เร่ืองร้องทกุ ข์ไว้พิจารณา ให้ผู้บงั คับบัญชาผมู้ ีอานาจพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ ดาเนินการพจิ ารณาวนิ ิจฉยั เร่ืองร้องทกุ ข์เพ่ือมีมติตามขอ้ ๑๖ ต่อไป ๑๒. ผรู้ อ้ งทกุ ขจ์ ะขอถอนเรอ่ื งร้องทกุ ข์ก่อนท่ีผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาเร่ืองร้องทุกข์ หรือ ก.ตร. แลว้ แตก่ รณี พจิ ารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทกุ ขเ์ สร็จสิน้ ก็ได้ โดยทาเป็นหนังสือยื่นหรือส่งตรง ต่อผู้บังคับบญั ชาผู้มีอานาจพิจารณาเรื่องร้องทุกข์หรือ ก.ตร. เมื่อได้ถอนเรื่องร้องทุกข์แล้ว การพิจารณา เรื่องร้องทกุ ข์ให้เป็นอนั ระงบั ในกรณีตามวรรคหนง่ึ หากผูบ้ งั คับบญั ชาผ้มู ีอานาจพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ หรือ ก.ตร. เห็นว่าเรื่องร้องทกุ ข์ดังกล่าวจะเป็นประโยชน์แก่การบริหารราชการหรือเกิดความเสียหายแก่ทางราชการ จะดาเนินการต่อไป หรอื สง่ ให้ผู้บงั คับบญั ชาผูม้ ีอานาจหน้าที่ดาเนนิ การตอ่ ไปได้ ๑๓. ในกรณีที่ผู้ร้องทุกข์ได้ย้ายหรือโอนไปสังกัดใหม่ ให้ยื่นร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชา ผู้มีอานาจพิจารณาเรื่องร้องทุกข์หรือองค์กรบริหารงานบุคคลท่ีมีอานาจพิจารณาเร่ืองร้องทุกข์ของ หน่วยงานทีผ่ ู้ร้องทุกขไ์ ด้ยา้ ยหรอื โอนไปสังกัดนนั้ ในกรณีท่ีผู้ร้องทุกข์ได้ย้ายหรือโอนไปสังกัดใหม่หลังจากท่ีได้ย่ืนเร่ืองร้องทุกข์ไว้แล้ว และผบู้ งั คับบญั ชาผ้มู อี านาจพจิ ารณาเร่ืองร้องทุกขส์ งั กัดเดิมหรือ ก.ตร. ยังมิได้สั่งการหรือมีมติตามข้อ ๑๖ ใหส้ ง่ เร่อื งร้องทุกขแ์ ละเอกสารหลักฐานตามข้อ ๑๕ ไปให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาเร่ืองร้องทุกข์ หรือองค์กรบริหารงานบุคคลท่ีมีอานาจพิจารณาเร่ืองร้องทุกข์ตามวรรคหนึ่งเป็นผู้พิจารณาวินิจฉัย เรอ่ื งร้องทุกขต์ ่อไป ๑๔. เมื่อได้รับหนังสือร้องทุกข์ตามข้อ ๑๐ วรรคหนึ่งหรือวรรคสอง ให้ผู้บังคับบัญชา ผู้มีอานาจพิจารณาเร่ืองร้องทุกข์หรือสานักงาน ก.ตร. แล้วแต่กรณี มีหนังสือแจ้งพร้อมทั้งส่งสาเนา หนังสือร้องทุกขใ์ ห้ผูบ้ งั คับบัญชาผเู้ ปน็ เหตุแหง่ การร้องทุกข์ทราบโดยเร็ว และให้ผู้บังคับบัญชาผู้เป็นเหตุ แห่งการรอ้ งทุกขน์ ั้นส่งเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องและคาชี้แจงของตน (ถ้ามี) ไปเพ่ือประกอบการพิจารณา ภายในเจ็ดวันทาการนบั แตว่ นั ไดร้ บั หนงั สือ ในกรณที ผ่ี บู้ ังคับบญั ชาได้รบั หนังสอื ร้องทุกข์ทีไ่ ดย้ ืน่ หรอื สง่ ตามข้อ ๑๐ วรรคสาม ให้ผบู้ งั คับบัญชาน้ันส่งหนังสือร้องทุกข์พร้อมท้ังสาเนาต่อไปยังผู้บังคับบัญชาผู้เป็นเหตุแห่งการร้องทุกข์ ภายในสามวนั ทาการนบั แต่วันท่ีได้รบั หนังสือรอ้ งทุกข์

คาอธบิ ายการบรหิ ารงานกาลงั พล สานกั งานตารวจแหง่ ชาติ  179 เมอื่ ผูบ้ ังคับบัญชาผู้เป็นเหตุแห่งการร้องทุกข์ได้รับหนังสือร้องทุกข์ท่ีได้ย่ืนหรือส่ง ตามวรรคสองหรือข้อ ๑๐ วรรคสาม ใหผ้ ู้บงั คบั บัญชาผู้เปน็ เหตแุ ห่งการร้องทกุ ข์น้นั จัดส่งหนังสือร้องทุกข์ พรอ้ มทง้ั สาเนาและเอกสารหลักฐานท่ีเกี่ยวข้องและคาช้ีแจงของตน (ถ้ามี) ไปยังผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจ พิจารณาเรื่องร้องทุกข์หรือสานักงาน ก.ตร. แล้วแต่กรณี ภายในเจ็ดวันทาการนับแต่วันที่ได้รับหนังสือ รอ้ งทุกข์ ๑๕. การพิจารณาเร่ืองร้องทุกข์ ให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ พจิ ารณาจากเรอื่ งราวการปฏิบัตหิ รือไม่ปฏิบัติต่อผู้ร้องทุกข์ของผู้บังคับบัญชาผู้เป็นเหตุแห่งการร้องทุกข์ และในกรณีจาเป็นและสมควรอาจขอเอกสารและหลักฐานที่เกี่ยวข้องเพิ่มเติม รวมท้ังคาชี้แจงจาก หนว่ ยราชการ รัฐวิสาหกิจ หน่วยงานอ่ืนของรัฐ ห้างหุ้นส่วน บริษัท หรือบุคคลใดๆ หรือขอให้ผู้ร้องทุกข์ ผแู้ ทนหนว่ ยราชการ รฐั วิสาหกิจ หน่วยงานอน่ื ของรัฐ ห้างหุน้ ส่วน บริษทั ข้าราชการ หรือบุคคลใดๆ มาใหถ้ อ้ ยคาหรอื ช้แี จงขอ้ เท็จจรงิ เพ่อื ประกอบการพจิ ารณาได้ ๑๖. เมื่อผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาเร่ืองร้องทุกข์ได้พิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ ตามข้อ ๕ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) หรือ (๗) แล้ว ให้ดาเนนิ การดงั ต่อไปนี้ (๑) ถ้าเห็นว่าการท่ีผู้บังคบั บญั ชาใช้อานาจหนา้ ทปี่ ฏิบตั หิ รือไม่ปฏิบัตติ ่อผู้ร้องทุกข์นั้น ถกู ตอ้ งตามระเบียบ กฎหมาย และเปน็ ไปโดยชอบแล้วใหส้ ่งั ยกคารอ้ งทกุ ข์ (๒) ถ้าเห็นว่าการทผี่ ูบ้ งั คับบัญชาใช้อานาจหน้าทีป่ ฏบิ ัติหรอื ไม่ปฏบิ ัตติ อ่ ผู้ร้องทุกข์น้ัน ไม่ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมาย หรือมิชอบด้วยประการอ่ืน ให้สั่งให้แก้ไขโดยเพิกถอนหรือยกเลิก การปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมาย หรือมิชอบนั้น หรือให้ปฏิบัติต่อผู้ร้องทุกข์ให้ถูกต้อง ตามระเบยี บกฎหมาย หรือเปน็ ไปโดยชอบ (๓) ถ้าเหน็ ว่าการท่ีผบู้ งั คบั บญั ชาใช้อานาจหน้าท่ีปฏิบัติหรอื ไม่ปฏิบัตติ อ่ ผู้ร้องทุกข์นั้น ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมาย หรือเป็นไปโดยชอบแต่บางส่วน และไม่ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมาย หรอื มิชอบบางส่วน ใหส้ ั่งให้แกไ้ ขหรือใหป้ ฏิบัติให้ถูกต้องตามระเบียบ กฎหมาย หรอื เปน็ ไปโดยชอบ (๔) ถา้ เหน็ ว่าสมควรดาเนินการโดยประการอื่นใดเพ่ือให้มีความถูกต้องตามกฎหมาย และมคี วามเป็นธรรม ให้สั่งการไดต้ ามควรแกก่ รณี การดาเนินการตามวรรคหน่ึง ให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาเร่ืองร้องทุกข์ เป็นผสู้ งั่ การเวน้ แตใ่ นกรณีทรี่ ะเบยี บ กฎหมาย กาหนดใหเ้ ปน็ อานาจการสัง่ การของผูบ้ ังคบั บัญชาผู้เป็นเหตุ แห่งการร้องทุกข์โดยเฉพาะ หรือเป็นกรณีที่ผู้บังคับบัญชาผู้เป็นเหตุแห่งการร้องทุกข์ จะต้องสั่งหรือ ดาเนินการด้วยตนเองเป็นการเฉพาะตัว ก็ให้ผู้บังคับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ส่ังการให้ ผู้บังคับบญั ชาผ้เู ป็นเหตแุ ห่งการร้องทุกขด์ าเนินการให้เป็นไปตามผลการพจิ ารณาภายในระยะเวลาที่กาหนด ๑๗. ในกรณีทผี่ บู้ งั คับบัญชาผู้มีอานาจพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ได้สั่งการเป็นประการใดแล้ว ใหเ้ ป็นทส่ี ุดจะร้องทุกขต์ อ่ ไปอีกมิได้ ๑๘. เม่อื ผู้บงั คับบญั ชาผมู้ อี านาจพิจารณาเรื่องร้องทุกข์ได้ดาเนินการตามข้อ ๑๖ แล้ว ใหผ้ บู้ งั คบั บัญชาผู้มอี านาจพิจารณาเรอ่ื งร้องทกุ ขแ์ จง้ ใหผ้ ู้ร้องทุกข์ทราบเป็นหนังสือโดยเร็ว ในหนังสือแจ้ง ตอ้ งประกอบด้วยสาระสาคญั ดงั น้ี (๑) เหตผุ ลในการพจิ ารณาวนิ ิจฉัยเรื่องร้องทกุ ขท์ ั้งในขอ้ เท็จจรงิ และข้อกฎหมาย (๒) สทิ ธใิ นการฟูองคดตี อ่ ศาลปกครอง

180  อนุชัย ณ วชั รเจรญิ ๑๙. การพิจารณาวินิจฉัยเร่ืองร้องทุกข์ในกรณีท่ีร้องทุกข์ต่อ ก.ตร. ให้นาข้อ ๑๕ และ ขอ้ ๑๖ มาใชบ้ ังคบั โดยอนโุ ลม ๒๐. เมื่อ ก.ตร. พิจารณาวินิจฉัยเร่ืองร้องทุกข์และมีมติเป็นประการใดแล้ว ให้หน่วยงาน ท่ีเกีย่ วขอ้ งดาเนนิ การใหเ้ ป็นไปตามมติ ก.ตร. และจะรอ้ งทกุ ข์ต่อไปอกี มิได้ ๒๑. เมอื่ ก.ตร. ได้พจิ ารณาวินิจฉยั เรื่องรอ้ งทกุ ขแ์ ละมีมติเป็นประการใดแล้ว ให้สานักงาน ก.ตร. แจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทราบหรอื ดาเนินการให้เปน็ ไปตามมติ ก.ตร. และแจ้งให้ผู้ร้องทกุ ข์ทราบ เป็นหนงั สือโดยเรว็ ในหนังสือแจง้ ผรู้ ้องทุกข์ตอ้ งประกอบดว้ ยสาระสาคัญดังน้ี (๑) เหตุผลในการพจิ ารณาวินิจฉยั เรื่องร้องทุกข์ทั้งในข้อเทจ็ จรงิ และข้อกฎหมาย (๒) สิทธใิ นการฟูองคดตี อ่ ศาลปกครอง ๒๒. การแจ้งผลการพิจารณาให้ผู้ร้องทุกข์ทราบตามข้อ ๑๘ และข้อ ๒๑ ให้นาหลักเกณฑ์ และวธิ กี ารในขอ้ ๙ มาใช้บงั คบั โดยอนโุ ลม ๒๓. กรณีรอ้ งทกุ ขต์ ่อไปมิไดต้ ามข้อ ๑๗ และขอ้ ๒๐ ผู้ร้องทกุ ข์อาจใชส้ ทิ ธิทางศาลได้ ๒๔. การนับระยะเวลาตามกฎ ก.ตร. น้ี สาหรับเวลาเริ่มต้นให้นับวันถัดจากวันแรก แหง่ เวลานนั้ เป็นวนั เรมิ่ นบั ระยะเวลา ส่วนเวลาสิ้นสุด ถ้าวันสุดท้ายแห่งระยะเวลาตรงกับวันหยุดราชการ ให้นับวันเรมิ่ เปิดทาการใหม่เปน็ วันสดุ ท้ายแห่งระยะเวลา แนวทางการพิจารณาของ อ.ก.ตร. ร้องทุกข์ ตามหนังสือรวมกฎหมาย กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ ข้อกาหนด ก.ตร. และ ก.ต.ช. ที่เกี่ยวข้องกับ การบรหิ ารงานบุคคลและการพจิ ารณาทางปกครองของขา้ ราชการตารวจ จัดทาโดยสานักงานคณะกรรมการ ข้าราชการตารวจ สานักงานตารวจแห่งชาติ ได้อธิบายแนวทางการพิจารณาของ อ.ก.ตร. ร้องทุกข์ ทาการแทน ก.ตร. ในเร่อื งเกี่ยวกับการร้องทกุ ข์อาศัยอานาจตามความในมาตรา ๓๑(๙) แห่ง พ.ร.บ. ตารวจแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และมาตรา ๑๐๖ ประกอบ กฎ ก.ตร. ว่าด้วยการร้องทุกข์ พ.ศ. ๒๕๔๗ ได้บัญญัติให้ข้าราชการตารวจร้องทุกข์ต่อผู้บังคับบัญชา หรือ ก.ตร. แล้วแต่กรณี เพื่อขอให้แก้ไข ได้สอดคลอ้ งกบั พ.ร.บ. วิธีปฏบิ ตั ริ าชการทางปกครอง พ.ศ.๒๕๓๙ มาตรา ๔๔ เพียงแต่การใช้สิทธิร้องทุกข์ ของข้าราชการตารวจ ตามมาตรา ๑๐๖ แห่ง พ.ร.บ. ตารวจแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๗ น้ัน มีขอบเขตในเรื่อง การโตแ้ ยง้ โดยอ้างเหตใุ นการร้องทกุ ข์ได้กว้างกว่า ตาม พ.รบ. วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.๒๕๓๙ ท่ีบัญญัติให้โต้แย้งได้เฉพาะกรณีที่เป็นคาส่ังทางปกครองเท่าน้ัน ซ่ึงในเร่ืองคาสั่งทางปกครองมีหลัก ปฏิบัติราชการวา่ แม้กฎหมายจะเปิดโอกาสให้ผู้มีอานาจมีคาสั่งทางปกครองได้ใช้ดุลพินิจอย่างกว้างขวาง แต่เม่ือคาส่ังทางปกครองเป็นการใช้อานาจตามกฎหมายที่มีผลกระทบต่อสถานภาพของสิทธิหน้าท่ี ของบุคคลและมีลักษณะเป็นคาสั่งทางปกครองตาม มาตรา ๕ แห่ง พ.ร.บ.วิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ.๒๕๓๙ การมีคาส่งั ทางปกครองจึงอยู่ภายใต้หลักความชอบด้วยกฎหมายของการกระทาทางปกครอง ตามหลักนิติรัฐ กล่าวคือ การใช้ดุลพินิจในการออกคาส่ังทางปกครอง ฝุายปกครองจะมีอานาจ ใช้ดุลพินิจเท่าที่ไม่มีกฎหมายผูกพันไว้ ซึ่งกฎหมายที่ผูกพันการใช้ดุลพินิจดังกล่าวน้ันอาจอยู่ในรูปของ กฎหมายลายลักษณ์อักษร เช่น หลักกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติราชการทางปกครองหรือกฎหมาย ท่ีไม่เป็นลายลักษณ์อักษร เช่น กฎหมายปกครองท่ัวไปไม่ว่าจะเป็นหลักความเสมอภาค หลักการ ใช้อานาจพอสมควรแกเ่ หตุ หลกั ความแน่นอนม่นั คงในกฎหมายหรือหลกั คณุ ธรรมทีไ่ มอ่ าจละเลยได้

คาอธบิ ายการบรหิ ารงานกาลังพล สานักงานตารวจแหง่ ชาติ  181 บทท่ี ๘ ทะเบียนประวตั ิ และการควบคมุ เกษียณอายุ ทะเบียนประวัตแิ ละการควบคุมเกษยี ณอายุ ตามความในมาตรา ๓๑ (๒) และ(๗) แห่งพระราชบัญญัติตารวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ และมติ ก.ตร. ในการประชุมคร้ังท่ี ๕/๒๕๔๗ เม่ือวันท่ี ๒๑ เมษายน พ.ศ.๒๕๔๗ มติอนุกรรมการ ก.ตร. เกี่ยวกับกฎหมายและระเบียบ ในการประชุม ครั้งที่ ๓/๒๕๔๗ เม่ือวันที่ ๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๔๗ และครั้งที่ ๔/๒๕๔๗ เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๗ จึงออกระเบียบ ก.ตร. ว่าด้วยทะเบียนประวัติ และการควบคุมเกษียณอายุของข้าราชการตารวจ ลงวันที่ ๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๗ และระเบียบ ก.ตร. ว่าด้วยทะเบียนประวัติและการควบคุมเกษียณอายุของข้าราชการตารวจ (ฉบับ ที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๕๓ ลงวันท่ี ๒๘ มนี าคม พ.ศ. ๒๕๕๓ ซ่งึ มสี าระสาคัญดังนี้ ๑. ระเบียบน้เี รียกว่า “ระเบยี บ ก.ตร. ว่าด้วยทะเบียนประวัติและการควบคุมเกษียณอายุ ของขา้ ราชการตารวา พ.ศ.๒๕๔๗” ๒. ระเบียบ ก.ตร. นีใ้ หใ้ ชบ้ งั คบั ต้ังแต่บัดน้เี ปน็ ตน้ ไป (วันท่ี ๘ ธนั วาคม พ.ศ.๒๕๔๗) ๓. ใหป้ ระธาน ก.ตร. รกั ษาการตามระเบยี บน้ี ๔. ใหส้ านักงานตารวจแหง่ ชาตจิ ดั ทาต้นฉบับ ก.พ.๗ จานวน ๓ ฉบับ และแฟูมประวัติ ข้าราชการ ๒ แฟูม ตามแบบท่ีคณะรฐั มนตรกี าหนดและให้ถือปฏบิ ตั ิดังนี้ (๑) ก.พ.๗ ฉบับที่ ๑ ใชเ้ ป็นหลักฐานแสดงวัน เดอื น ปีเกิดเพื่อการควบคุมเกษียณอายุ ของขา้ ราชการตารวจใหเ้ ก็บรักษาไวท้ ีส่ านักงานคณะกรรมการข้าราชการตารวจ (๒) ก.พ.7 ฉบับท่ี ๒ ใช้ควบคู่กับแฟูมประวัติข้าราชการ ๑ แฟูม เพื่อการบริหารงาน บคุ คลของสานกั งานตารวจแห่งชาตใิ ห้เกบ็ รักษาไวท้ ีห่ นว่ ยงานตามทีส่ านักงานตารวจแหง่ ชาตกิ าหนด (๓) ก.พ.๗ ฉบับที่ ๓ ใช้ควบคู่กับแฟูมประวัติข้าราชการ ๑ แฟูม เพ่ือการบริหารงาน บคุ คลของหน่วยงานต้นสังกัดให้เกบ็ รกั ษาไว้ท่หี น่วยงานต้นสงั กัด ในกรณีที่ไม่มี ก.พ.๗ หรือชารุดหรือสูญหายให้สานักงานตารวจแห่งชาติจัดทา ข้ึนใหม่ และการลงรายการใน ก.พ.๗ ให้เป็นไปตามคู่มือการจัดทา ก.พ ๗ ของข้าราชการตารวจ ท้ายระเบยี บน้ี

182  อนชุ ยั ณ วัชรเจรญิ (๔) ให้ข้าราชการตารวจทุกคนตรวจสอบประวัติรับราชการของตนเองใน ก.พ.๗ (ฉบับที่ ๓) อย่างน้อยปีละ ๑ คร้ัง โดยกาหนดให้ตรวจสอบความถูกต้องในวัน เดือนเกิดของตนเอง หากวันใดตรงกบั วันเสาร์ อาทติ ย์ หรอื วนั หยดุ ราชการประจาปที ท่ี างราชการกาหนด ให้เล่ือนไปตรวจสอบ ในวันแรกที่เปิดทาการ ถ้าพบว่ามีความคลาดเคล่ือน ให้รายงานผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดทราบ พร้อม เอกสารและหลักฐานท่ีเกี่ยวข้อง เพื่อขอแก้ไขหรือเพิ่มเติมข้อมูลให้ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง และเมื่อผู้บังคับบัญชาต้นสังกัดได้รับรายงานกรณีดังกล่าวแล้วให้ตรวจสอบและดาเ นินการต่อไป พร้อมทงั้ แจง้ ไปยงั สานักงานตารวจแห่งชาติเพือ่ ตรวจสอบและแก้ไขให้ถูกต้องตรงกัน ๕. ในกรณีทม่ี ขี ้อขัดแยง้ ระหว่าง ก.พ.๗ ของขา้ ราชการตารวจแต่ละฉบบั ใหถ้ อื วา่ วนั เดือน ปเี กิดใน ก.พ.๗ ฉบับที่ ๑ ถูกตอ้ งและใช้เป็นหลักฐานในการควบคมุ เกษียณอายุของข้าราชการ ตารวจ ๖. ให้สานักงานตารวจแห่งชาติรวบรวมรายชื่อข้าราชการตารวจทุกนายท่ีครบเกษียณอายุ ในปีงบประมาณถัดไป โดยระบุช้ัน ยศ และตาแหน่งปัจจุบัน พร้อมทั้ง วัน เดือน ปีเกิด เสนอต่อ ก.ตร. ภายในเดือนพฤษภาคมของทุกปี เม่ือ ก.ตร. ตรวจสอบแล้วให้ดาเนินการตามกฎหมายว่าด้วย บาเหน็จบานาญข้าราชการ ๗. ให้สานกั งานตารวจแหง่ ชาตปิ ระกาศรายชื่อขา้ ราชการตารวจที่ ก.ตร. ตรวจสอบแล้ว ตามขอ้ ๖ และจะต้องพน้ จากราชการเม่อื สน้ิ ปีงบประมาณนนั้ ภายในเดือนมีนาคมของทกุ ปี ๘. ห้ามนา ก.พ.๗ ออกนอกสถานที่จัดเก็บโดยเด็ดขาด เว้นแต่ได้รับอนุญาตจาก เลขานุการ ก.ตร. ให้สานักงานคณะกรรมการข้าราชการตารวจจัดทาสมุดควบคุมการอนุญาตของ เลขานุการ ก.ตร. ไวเ้ ป็นหลกั ฐาน ๙. การขอตรวจสอบหรอื ขอสาเนา ก.พ.๗ จะตอ้ งได้รับอนญุ าตจากเลขานกุ าร ก.ตร. ให้สานักงานคณะกรรมการข้าราชการตารวจจัดทาสมุดควบคุมการขอตรวจสอบ หรือขอสาเนาไว้เป็นหลกั ฐาน ๑๐. การแกไ้ ขวัน เดือน ปเี กิดใน ก.พ.๗ ให้ถือปฏิบัติตามระเบียบสานักนายกรัฐมนตรี วา่ ดว้ ยการแก้ไขวัน เดอื น ปเี กิดในทะเบียนประวตั ขิ า้ ราชการ ๑๑. วนั เดอื น ปเี กิดทีล่ งไว้ใน ก.พ.๗ จะแกไ้ ขไม่ได้ เวน้ แตจ่ ะไดร้ บั อนมุ ัติจาก ก.ตร. ๑๒. ให้หน่วยงานต้นสังกัดรายงานการเปล่ียนแปลงชื่อ ชื่อสกุล การพ้นจากราชการ การเสียชีวิตของข้าราชการตารวจไปยังสานักงานคณะกรรมการข้าราชการตารวจภายใน ๕ วันทาการ นบั แตว่ นั ท่ไี ด้รบั อนญุ าตหรอื วันทีไ่ ด้รบั แจ้ง แล้วแต่กรณี ๑๓. การแก้ไขวัน เดือน ปีเกิดตามข้อ ๑๑ ให้ผู้รับผิดชอบระดับสารวัตรขึ้นไปบันทึก เอกสารอ้างอิงพร้อมท้ังลงลายมือชื่อกากับการแก้ไข และการแก้ไขรายการตามข้อ ๑๒ ให้ผู้รับผิดชอบ ระดบั รองสารวัตรบนั ทึกเอกสารอา้ งอิงพร้อมทั้งลงลายมือชื่อกากับการแก้ไข ๑๔. การทาลาย ก.พ.๗ ฉบบั ที่ ๑ ของข้าราชการตารวจที่พน้ จากราชการไปแล้ว ใหถ้ ือปฏิบัติ ตามระเบียบสานักนายกรฐั มนตรีวา่ ด้วยงานสารบรรณ ๑๕. เมื่อมีข้าราชการตารวจโอนไปรับราชการสังกัดอื่นให้สานักงานคณะกรรมการ ข้าราชการตารวจส่ง ก.พ.๗ ไปยังสงั กดั ใหมโ่ ดยทางราชการ

คาอธบิ ายการบรหิ ารงานกาลงั พล สานักงานตารวจแหง่ ชาติ  183 ๑๖. การเก็บรักษาการขอตรวจสอบหรือขอสาเนาการแก้ไขหรือเพิ่มเติมรายการ และแนวทางการปฏิบัติอ่ืนๆ เก่ียวกับ ก.พ.๗ ให้เป็นไปตามระเบียบท่ีสานักงานตารวจแห่งชาติ กาหนดทัง้ น้ี ให้ถือปฏบิ ตั ิตามหมวด ๓ โดยอนโุ ลม สาหรับการทาลาย ก.พ.๗ ฉบับท่ี ๒ และฉบบั ที่ ๓ ใหถ้ ือปฏบิ ตั ิตามระเบียบสานัก นายกรัฐมนตรวี า่ ดว้ ยงานสารบรรณ ๑๗. ใหั ก.พ.๗ ที่ใช้อยู่ก่อนระเบียบน้ีใช้บังคับเป็น ก.พ.๗ ตามระเบียบน้ี โดยฉบับที่ เก็บรักษาไว้ที่สานักงานคณะกรรมการข้าราชการตารวจเป็น ก.พ.๗ ฉบับที่ ๑ ฉบับที่เก็บรักษาไว้ที่ หน่วยงานท่ีสานักงานตารวจแห่งชาติกาหนดเป็น ก.พ.๗ ฉบับที่ ๒ และฉบับที่เก็บรักษาไว้ที่ หน่วยงานต้นสังกัดเป็น ก.พ.๗ ฉบับท่ี ๓ ประวัติ ตามระเบียบสานักงานตารวจแห่งชาติ ว่าด้วยประมวลระเบียบการตารวจไม่เก่ียวกับคดี ลักษณะท่ี ๑๓ ประวตั ิ พ.ศ. ๒๕๕๖ ลงวนั ท่ี ๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๕๖ สรุปสาระสาคัญดงั นี้ การจัดทาการเก็บรักษาเอกสารหลักฐานทางทะเบียนประวัติและการควบคุมเกษียณอายุ ของขา้ ราชการตารวจ ๑. ก.พ.๗ แฟูมประวัติข้าราชการตารวจและสมุดประวัติประจาตัวข้าราชการ เป็นเอกสาร ใช้บันทึกและจัดเก็บรวบรวมข้อมูลที่สาคัญเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวและประวัติการรับราชการของ ข้าราชการตารวจตั้งแต่เร่ิมเข้ารับราชการวมท้ังผลการปฏิบัติงานสาคัญจนออกจากราชการ ก.พ.๗ แฟมู ประวัตขิ ้าราชการตารวจและสมดุ ประวัตปิ ระจาตวั ข้าราชการ ใชอ้ า้ งอิงประกอบการบรหิ ารงานบุคคล ของสานักงานตารวจแห่งชาติ ประกอบการขอรับบาเหน็จบานาญ รวมถึงสิทธิประโยชน์ต่างๆ ของ เจา้ ของประวัตแิ ละทายาท โดยสานักงานตารวจแห่งชาติมีหน้าที่กาหนดแนวทางการปฏิบัติเก่ียวกับ ก.พ.๗ ฉบับท่ี ๒ และ ฉบับท่ี ๓ เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบ ก.ตร.ว่าด้วยทะเบียนประวัติและการควบคุม เกษียณอายขุ องข้าราชการตารวจ ๒. เอกสารหลกั ฐานทางทะเบียนประวัติ ไดแ้ ก่ ๒.๑ สมุดประวัติประจาตัวข้าราชการใช้บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับประวัติส่วนตัว และประวัติ การรับราชการของข้าราชการตารวจที่บรรจุเข้ารบั ราชการกอ่ นวนั ที่ ๙ กนั ยายน ๒๕๑๘ ๒.๒ ก.พ.๗ ใช้บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับประวัติส่วนตัวและประวัติการรับราชการของ ข้าราชการตารวจทีบ่ รรจุเขา้ รับราชการตง้ั แต่วันที่ ๙ กันยายน ๒๕๑๘ จัดทาคนละ ๓ ฉบบั ๒.๓ แพ้มประวัติข้าราชการตารวจใช้บันทึกข้อมูลและเก็บเอกสารทางประวัติ การปฏิบัติราชการที่สาคัญของข้าราชการตารวจใช้ควบคู่กับ ก.พ.๗ และสมุดประวัติประจาตัว ข้าราชการ จัดทาคนละ ๒ แฟูมโดยกาหนดให้ใช้ตง้ั แตว่ ันท่ี ๙ กันยายน ๒๕๑๘ ๒.๔ ข้อมลู จากระบบอเิ ลก็ ทรอนิกส์ ท่สี านกั งานตารวจแหง่ ชาตจิ ดั ทาขนึ้ ๓. สมุดประวัติประจาตัวข้าราชการ มีลักษณะเป็นสมุดแบบพิมพ์ปกผ้าสีน้าเงินขนาด ๕๕ x ๘ นิ้ว ส่วนแรกของสมุดจะมีข้อบังคับ คาอธิบายวิธีการบันทึกข้อมูลประวัติ ส่วนท่ีสองปิดรูปถ่าย ส่วนที่สามเป็นสารบรรณทต่ี ้องบนั ทกึ ข้อมูลเกยี่ วกับประวตั ิรวม ๑๓ รายการ

184  อนุชัย ณ วชั รเจรญิ ๔. ก.พ.๗ มีลกั ษณะเป็นแบบพมิ พท์ าดว้ ยกระดาษสีขาว ชนดิ ๓๐๐ แกรม ขนาด๙x ๑๒ น้ิวประกอบดว้ ยขอ้ มูลของเจา้ ของประวตั ิ ๓ สว่ นดงั น้ี ๔.๑ ส่วนที่ ๑ เป็นข้อมูลเก่ียวกับประวัติส่วนตัว ได้แก่ ชื่อตัว ชื่อสกุล เลขประจาตัว ประชาชน วันเดือนปเี กดิ ชอ่ื คูส่ มรส ชือ่ บดิ ามารดา ประวัตกิ ารศึกษา ฝกึ อบรมและดูงาน ๔.๒ ส่วนที่ ๒ เป็นข้อมูลเก่ียวกับประวัติการรับราชการ ได้แก่ วันครบเกษียณอายุ วันสั่งบรรจุเป็นข้าราชการ วันเริ่มปฏิบัติราชการ ประเภทข้าราชการการได้รับโทษทางวินัย วันที่ไม่ได้ รับเงินเดือนหรือได้รับเงินเดือนไม่เต็มหรือวันท่ีมิได้ประจาปฏิบัติหน้าท่ีอยู่ในเขตที่ได้มีประกาศใช้ กฏอัยการศึก การลงชื่อตรวจสอบรบั รองความถูกตอ้ งของเจ้าของประวตั ผิ จู้ ดั ทาและผ้บู งั คบั บัญชา ๔.๓ ส่วนที่ ๓ เป็นข้อมูลเก่ียวกับตาแหน่งสังกัด อัตราเงินเดือน เงินเพิ่มพิเศษ ความดี ความชอบ และราชการพิเศษต่างๆ ๕. แฟมู ประวัติขา้ ราชการตารวจ มีลักษณะเป็นแฟมู เอกสารขนาด ๙.๕ x ๑๔ นิ้ว ปกด้านหน้า และหลังทาด้วยกระดาษ สันปกด้านในมีอุปกรณ์สาหรับเก็บเอกสารท่ีปกใช้บันทึกข้อมูลเจ้าของประวัติ ดังนี้ ๕.๑ ปกหน้า ด้านหนา้ ปกมีขอ้ ความ “แฟมู ประวัติข้าราชการตารวจ” และ “ชื่อ” ด้านใน ปิดรูปถ่าย บันทึกประวัติ ประกอบด้วย ยศ ชื่อตัว ชื่อสกุล วันเดือนบีเกิด สถานท่ีเกิด หมู่โลหิต ศาสนา ภมู ลิ าเนาปัจจบุ ัน เครอ่ื งราชอิสริยาภรณ์ จานวนวนั ลาในรอบปี ๕.๒ ปกหลังด้านในบันทึกความสามารถพิเศษ คุณงามความดี ผลงานดีเด่น ข้อมูลสาคัญ ของเจา้ ของประวตั แิ ละทายาท ๖. ข้อมูลจากระบบอิเล็กทรอนิกส์ หมายถึง ข้อมูลหรือเอกสารท่ีได้พิมพ์ บันทึก จัดเก็บ รับ ส่งจากฐานข้อมูลกาลังพลระบบอิเล็กทรอนิกส์กลางของสานักงานตารวจแห่งชาติที่เจ้าหน้าท่ี ได้จัดทาข้นึ และรับรองตามระเบียบท่ีกาหนด ๗. การจัดทา ก.พ.๗ และแฟูมประวัติข้าราชการตารวจ ให้ข้าราชการตารวจตาแหน่งสารวัตร ขึ้นไปที่รับผิดชอบงานด้านกาลังพล เป็นผู้จัดทาให้แก่ข้าราชการตารวจตั้งแต่วันเริ่มปฏิบัติราชการ โดยใหจ้ ดั ทา ก.พ.๗ จานวน ๓ ฉบับ และจัดทาแพ้มประวัติข้าราชการตารวจ จานวน ๒ แฟูม การบันทึก ข้อมูลตามรายการใน ก.พ.๗ และแฟูมประวัติข้าราชการตารวจ ต้องบันทึกและจัดเก็บเอกสาร ให้ถูกต้องครบถ้วนตามหลักฐานท่ีเก่ียวข้อง และตรงกันทุกฉบับตามแบบ ปว.๑ และแบบ ปว.๒ ท่ีกาหนดท้ายบทนี้ พร้อมบันทึกข้อมูลลงในฐานข้อมูลกาลังพล ระบบอิเล็กทรอนิกส์กลางของ สานักงานตารวจแห่งชาติ โดยดาเนินการให้เสร็จส้ินภายใน ๑๕ วันนับแต่วันที่เร่ิมปฏิบัติราชการ ตามรายละเอียดดงั น้ี ๗.๑ เจา้ ของประวตั จิ ะต้องเปน็ ผบู้ ันทึกข้อมลู ใน ก.พ.๗ ดว้ ยตนเองตามรายการทสี่ าคญั ดังนี้ ๗.๑.๑ รายการท่ี ๑ ช่ือ ให้บันทึกช่ือตัว ช่ือสกุล และเลขประจาตัวประชาชน กรณเี ปน็ หญงิ ให้เพิม่ คาว่า “หญิง” ท้ายยศหรอื มฐี านนั ดรศกั ด์กิ ็ให้บนั ทกึ ลงไปดว้ ย ดงั ตวั อยา่ ง ยศ ช่อื ตัว ชื่อสกลุ หรอื ยศฐานนั ดรศกั ดิ์ ช่ือตวั ชอ่ื สกลุ ร.ต.ต.ชอบ อยูด่ ี หรือ ร.ต.ต.หญิง ม.ล.กรรณกิ าร์ อยชู่ อบ เลขประจาตวั ประชาชน

คาอธบิ ายการบรหิ ารงานกาลังพล สานกั งานตารวจแห่งชาติ  185 ๗.๑.๒ รายการท่ี ๒ วัน เดือน ปีเกิด ให้บันทึกวัน เดือน ปีเกิด ทั้งเป็นตัวเลข และตวั อกั ษร ดงั ตวั อยา่ ง วนั เดือน ปเี กดิ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๒ (หน่ึง ตลุ าคม สองพนั หา้ รอ้ ยหา้ สบิ สอง) ๗.๑.๓ รายการท่ี ๔ ชื่อคู่สมรส ให้บันทึก ชื่อตัว ชื่อสกุลของสามีหรือภรรยา โดยชอบดว้ ยกฎหมาย และช่ือสกลุ เดิมของภรรยา ๗.๑.๔ รายการที่ ๕ ช่ือบดิ า ใหบ้ นั ทกึ ช่อื ตวั ชือ่ สกลุ บิดา ๗.๑.๕ รายการท่ี ๖ ช่ือมารดา ใหบ้ ันทึกชอ่ื ตวั ชอื่ สกุล มารดาและชื่อสกุลเดิม ๗.๑.๖ รายการท่ี ๑๐ ประวัติการศึกษาฝึกอบรมและดูงานตั้งแต่เริ่มเข้าศึกษา จนสาเร็จการศึกษาก่อนเข้ารับราชการถ้าได้เข้าศึกษาในสถานศึกษหลายแห่งให้ลงทุกแห่ง “สถานศึกษา ฝึกอบรมและดูงาน” ให้บันทึกชื่อสถานศึกษาหรือสถานที่ฝึกอบรมดูงาน และบันทึกช่วงเวลาการศึกษา ฝึกอบรม ดูงานในรายการ “ตั้งแต่ - ถึง (วันเดือนปี)” ส่วนในรายการ “คุณวุฒิท่ีได้รับ” ให้บันทึกช่ือเต็ม และบันทึกช่ือย่อของปริญญาหรือประกาศนียบัตรท่ีได้รับ ถ้าปริญญานั้นมีวิชาเอกด้วยก็ให้ระบุ วชิ าเอกในวงเล็บหลังชื่อปริญญาสาหรับการไปฝึกอบรมและดูงานกใ็ หบ้ นั ทกึ ลงไปดว้ ย ดงั ตัวอย่าง สถานศึกษา อบรม ดงู าน ตงั้ แต่ - ถึง (วัน เดือน ป)ี คณุ วุฒิทีไ่ ด้รับ ระบุสาขา วิชาเอก (ถ้ามี) มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง ๑ เม.ย. ๒๕๔๘ - ๑๕ ม.ี ค.๒๕๕๑ - นิตศิ าสตรบัณฑิต (น.บ.) ๗.๒ เจ้าหน้าที่ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการจัดทาต้องเป็นผู้บันทึกข้อมูลใน ก.พ.๗ ตามรายการดังน้ี ๗.๒.๑ รายการที่ ๓ วันท่ีครบเกษียณอายุ วันที่ ๓๐ กันยายน ให้บันทึกปี พ.ศ. ลงในช่องท่ีกาหนดตามแบบ ปวด.1 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายที่ผู้น้ันต้องปฏิบัติราชการและเป็นวันสิ้นสุด ปงี บประมาณในแตล่ ะปี ส่วนปี พ.ศ. ทตี่ ้องบันทึก คือ ปีงบประมาณที่ผู้น้ันมีอายุครบ ๖๐ ปีบริบูรณ์ โดยคานวณไดจ้ าก พ.ศ. เกิดดงั นี้ ผู้ที่เกิดระหว่างวันที่ ๑ มกราคม-๑ ตุลาคม ใหน้ า พ.ศ.เกิด บวกด้วย ๖๐ ส่วนผู้ท่ีเกิดระหว่างวันที่ ๒ ตุลาคม - ๓๑ ธันวาคม ให้นาพ.ศ. เกิดบวกด้วย ๖๑ จะได้ปี พ.ศ. ท่ีเป็น ปีงบประมาณท่ีผู้นั้นต้องพ้นจากราชการเพราะเกษียณอายุเม่ือสิ้นปีงบประมาณน้ัน เช่น ผู้ที่เกิด ต้ังแต่วันที่ ๑ มกราคม ๒๔๙๑ - ๑ ตุลาคม ๒๔๙๑ ครบเกษียณอายุคือ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๑ (วันสิ้นปึงบประมาณ ๒๕๕๑) ส่วนผู้ที่เกิดตั้งแต่วันที่ ๒ ตุลาคม ๒๔๙๑ - ๓๑ ธันวาคม ๒๔๙๑ วันครบเกษียณอายุในวันท่ี ๓๐ กนั ยายน ๒๕๕๒ (วนั ส้ินปงี บประมาณ ๒๕๕๒) ๗.๒.๒ รายการท่ี ๗ วันส่ังบรรจุ ให้บันทึกวันเดือนปีท่ีคาสั่งมีผลการบรรจุ เช่น “วนั สง่ั บรรจุ ๑ มนี าคม ๒๕๕๒” เปน็ ตน้ ๗.๒.๓ รายการท่ี ๘ วันเริ่มปฏิบัติราชการ หมายถึง วันเริ่มปฏิบัติราชการจริง อาจเป็นวันเดียวกับวันสั่งบรรจุ ตาม ๗.๒.๒ หรือหลังจากน้ันก็ได้ ดังตัวอย่าง ทางราชการมีคาส่ังบรรจุ เข้ารบั ราชการในวันท่ี ๑ มีนาคม ๒๕๕๒ แต่มารายงานตัวเร่ิมปฏิบัติราชการในวันที่ ๑๐ มีนาคม ๒๕๕๒ ใหเ้ จา้ หน้าทีบ่ นั ทึกในขอ้ นว้ี า่ “๑๐ มนี าคม ๒๕๕๒” เปน็ ตน้ ๗.๒.๔ รายการท่ี ๙ ประเภทข้าราชการตารวจ ให้บันทึกว่า ข้าราชการตารวจ ลกู จา้ งประจา พนักงานราชการ แลว้ แต่กรณี

186  อนชุ ัย ณ วัชรเจรญิ ๗.๒.๕ รายการท่ี ๑๑ การได้รับโทษทางวินัย ให้เจ้าหน้าที่ผู้บันทึกระบุโทษทางวินัย ทไ่ี ด้รับพรอ้ มขอ้ กล่าวหาท่ีไดก้ ระทาผิดวนิ ยั (โดยย่อ) และอ้างองิ คาส่งั การถกู ลงโทษ ดงั ตวั อยา่ ง วนั เดอื น ปี รายการ คาส่ัง / เอกสารอ้างอิง ๑ ก.พ. ๒๕๕๒ ภาคทณั ฑ์ กรณเี กยี จคร้านทาสานวนคดอี าญา คาส่ัง บช.น. ท่ี ๑๗๑๒/๒๕๕๒ ลา่ ชา้ ลงวันที่ ๑ ก.พ. ๒๕๕๒ ๗.๒.๖ รายการที่ ๑๒ วันท่ีไม่ได้รับเงินเดือน หรือรับเงินเดือนไม่เต็ม หรือวันท่ี มิไดป้ ระจาปฏบิ ัตหิ นา้ ที่อย่ใู นเขตท่ีได้มีประกาศกฎอยั การศกึ ให้บันทึกช่วงเวลาในรายการ “ตั้งแต่ - ถึง (วัน เดือน ปี)” และบันทึก รายละเอยี ดไวใ้ นช่อง “รายการ” โดยระบจุ านวนวนั ลงไปดว้ ย ดงั ตัวอยา่ ง ตงั้ แต่-ถงึ (วนั เดือน ปี) รายการ คาส่ัง / เอกสารอ้างอิง ๑ ม.ค. ๒๕๕๒ ลาโดยไม่ได้รับเงินเดือนเพ่ือติดตามคู่สมรส คาสงั ตร. ที่ ๔๓๑/๒๕๕๑ ไปปฏิบตั ิราชการ ณ ตา่ งประเทศ รวม ๓๖๕ วนั ลงวันท่ี ๒๐ ธ.ค. ๒๕๕๑ ๗.๒.๗ รายการท่ี ๑๓ ยศ ตาแหนง่ สังกัด อัตราเงินเดือน เงินเพิ่มพิเศษ ราชการพิเศษ ความดคี วามชอบพิเศษตา่ งๆ การเปลี่ยนแปลง เพม่ิ เติมข้อมูลสถานภาพบุคคล เช่น ยศ ตาแหน่ง สังกัด อัตราเงินเดือน เงินเพ่ิมพิเศษ ฯลฯ ให้บันทึก วัน เดือน ปี ท่ีได้รับโดยย่อ คาสั่งอ้างอิง เอกสารหรือ สาเนาเอกสารที่เก่ียวข้องซ่ึงได้รับรองความถูกต้องแล้ว ให้จัดเก็บในแฟูมประวัติข้าราชการตารวจ เพอื่ ใช้เป็นหลักฐานตอ่ ไป ดังตอ่ อยา่ ง วัน เดือน ปี ตาแหนง่ /สงั กัด/ เลขท่ี ยศ / ระดับ อัตราเงนิ เดือน/ คาส่งั / เอกสารอ้างอิง คาส่ังมผี ล รายละเอยี ด ตาแหน่ง เงินเพ่มิ พิเศษ ใชบ้ ังคับ ขอ้ มูลอน่ื ๆ ๑ ส.ค. พงส.(สบ๒) ๑๔๓ สว. - คาสงั่ ตร. ท่ี ๑๘๑/๒๕๕๒ ๒๕๕๒ สน.ลมุ พินี ลงวันท่ี ๑๐ ส.ค. ๒๕๕๒ ๑ ส.ค. แต่งตั้งว่าที่ยศเป็น - วา่ ที่ พ.ต.ท. - คาสง่ั บช.น. ที่ ๓๙/๒๕๕๓ ๒๕๕๒ “วา่ ท่ี พ.ต.ท.” ลงวนั ท่ี ๓๐ ก.ค. ๒๕๕๓ ๑ ส.ค. เล่ือนเงินเดือน ๑ ขั้น - ส.๒ ขนั้ ๑๑ ๒๒,๕๙๐ บาท คาสงั่ บช.น. ที่ ๙๓/๒๕๕๓ ๒๕๕๒ จาก ส.๒ ขน้ั ๑๐ ลงวนั ที่ ๓๐ ก.ย. ๒๕๕๒ (๒๑,๔๖๐บาท) ข้นึ รบั ส.๒ ขั้น ๑๑ (๒๒,๕๙๐บาท) ๑ ส.ค. พระราชทาน - พ.ต.ท. - ประกาศ สร. ๒๕๕๒ ยศเปน็ “พ.ต.ท.” ลงวันที่ ๒๕ เม.ย. ๒๕๕๔

คาอธบิ ายการบริหารงานกาลงั พล สานักงานตารวจแหง่ ชาติ  187 การบันทึกขอ้ มลู ราชการพิเศษต่างๆ ความดีความชอบพิเศษ ลงใน ก.พ.๗ ต้องเปน็ เร่ืองการปฏิบัตหิ น้าที่ราชการสาคัญโดยได้รับสิทธิประโยชน์จากทางราชการ เช่น การได้นับ เวลาราชการทวคี ณู ไดร้ บั เงิน พ.ส.ร. พ.ป.ผ. เปน็ ตน้ ๗.๒.๘ รายการที่ ๑๔ ช่ือและสังกัด ให้บันทึกยศ ชื่อตัว ซ่ือสกุล สังกัดปัจจุบัน ทกุ แผ่น ๘. การบันทึกข้อมูล การจัดเก็บรูปถ่ายและเอกสารในแฟูมประวัติข้าราชการตารวจ ให้ดาเนินการดงั นี้ ๘.๑ ให้บันทึกช่ือและชื่อสกุลของเจ้าของประวัติที่หน้าปกแฟูมประวัติ ส่วนปกแฟูมประวัติ ด้านในท้ัง ๒ ดา้ น เจา้ หนา้ ทผ่ี จู้ ดั ทาหรือเกบ็ รกั ษาแฟูมประวัติข้าราชการตารวจ บันทึกรายการสาคัญ โดยย่อที่จาเป็นต้องใช้อ้างอิงอยู่เสมอพร้อมปิดรูปถ่ายขนาด ๑ x ๑๑/๒ นิ้ว ของเจ้าของประวัติ โดยแต่งเครื่องแบบตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องแบบตารวจและบันทึกปี พ.ศ. ที่ถ่ายไว้ใต้รูปถ่าย ให้มีการปิดรปู ถ่ายทกุ ครั้งท่มี ีการเล่ือนยศดังน้ี ๘.๑.๑ รายการที่ ๑ “ชื่อ” ใหบ้ นั ทกึ ยศ ชือ่ ตวั ชื่อสกลุ วนั เดือน ปีเกิด สถานที่เกิด หมโู่ ลหิต การนบั ถือศาสนา ใหช้ ัดเจน ครบถ้วน ถกู ตอ้ งตรงกนั กับ ก.พ.๗ ๘.๑.๒ รายการท่ี ๒ “ภมู ิลาเนาปจั จบุ ัน” ให้บันทึกปรับแก้ไขให้เป็นปัจจุบันอยู่เสมอ (เน่ืองจากภูมิลาเนาปัจจุบันอาจมีกรณีการเปล่ียนแปลง ดังน้ัน ควรบันทึกด้วยดินสอเพื่อสะดวกต่อ การแกไ้ ข) ๘.๑.๓ รายการท่ี ๓ “เครอ่ื งราชอสิ รยิ าภรณ”์ ให้บนั ทกึ วา่ ไดร้ ับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ ชั้นตราใด ตามราชกิจจานุเบกษา เล่มท่ี ตอนท่ี หน้าท่ี วัน เดือน ปีที่ได้รับ และวัน เดือน ปีที่ส่งคืน เครอื่ งราชอิสริยาภรณเ์ ดิม (ถา้ มี) ๘.๑.๔ รายการที่ ๔ “จานวนวันลาหยุดราชการในรอบปี” ลาปุวย ลากิจ ลาพักผ่อน มาสาย ขาดราชการ ลาศึกษาต่อ ลาประกอบพิธีฮัจย์ หรือ ลาบวช อย่างละก่ีวัน ให้บันทึกยอดรวมวันลา ในรอบปีงบประมาณ ๘.๑.๕ รายการท่ี ๕ “ความสามารถพิเศษ” ให้บันทึกความสามารถพิเศษนอกเหนือ ความรู้ความสามารถท่ีต้องใช้ปฏิบัติราชการในตาแหน่งหน้าท่ี ความสามารถพิเศษน้ันใช้เป็นประโยชน์ ต่อทางราชการ เช่น เป็นนักกีฬา ความรู้ทางคอมพิวเตอร์ ความสามารถทางช่างประเภทต่างๆ พร้อมเอกสารรับรอง (ถ้ามี) ๘.๑.๖ รายการที่ ๖ การทาคุณงามความดี ประพฤติปฏิบตั ติ น ผลงานดีเด่น ซ่ึงได้รับ รางวลั การยกยอ่ ง ชมเชย จากหน่วยงานตา่ งๆ ๘.๒ สาหรับเอกสารหลักฐานเก่ียวกับประวัติส่วนตัวและประวัติการรับราชการที่มี ความสาคัญ และจาเป็นต้องเก็บไว้ในแฟูมประวัติข้าราชการตารวจและสมุดประวัติประจาตัวข้าราชการ เพื่อเป็นหลักฐานประกอบในเร่ืองสิทธิประโยชน์ของเจ้าของประวัติและทายาท เจ้าของประวัติ หรือหน่วยงานต้นสังกัดต้องเอาใจใส่ในการจัดเก็บและจัดส่งเอกสารให้หน่วยงานท่ีเก่ียวข้อง ตามจานวน ทกี่ าหนดไว้โดยทาตามแบบตารางจดั ส่งเอกสารแบบ ปว.๑๖ ที่กาหนดท้ายบทน้ีและเอกสารที่ต้องจัดเก็บ ในแพ้มประวัตขิ า้ ราชการตารวจ มดี ังน้ี ๘.๒.๑ แบบใบรับรองประวัติข้าราชการตารวจซึ่งได้รับการบรรจุเข้าเป็นข้าราชการ ตารวจ ตามแบบ ปว.๓ ทกี่ าหนดท้ายบทน้ี

188  อนุชยั ณ วชั รเจรญิ ๘.๒.๒ แบบใบรายงานตัวเข้ารับราชการ ตามแบบ ปว.๔ ท่กี าหนดท้ายบทน้ี ๘.๒.๓ แบบรายงานเพ่ิมเติมคณุ วุฒิ ตามแบบ ปว.๕ ทก่ี าหนดท้ายบทน้ี ๘.๒.๔ แบบใบรบั รองทายาทตามแบบ ปว.๖ ท่กี าหนดท้ายบทนี้ ๘.๒.๕ แบบหนังสือแสดงเจตนาระบุตัวผู้รับเงินช่วยพิเศษ กรณีข้าราชการถึงแก่ ความตายและขา้ ราชการบานาญถึงแก่ความตาย ตามแบบ ปว.๗ และแบบ ปว.๗/๑ ทก่ี าหนดทา้ ยบทน้ี ๘.๒.๖ แบบหนังสือแสดงเจตนาระบุตัวผู้รับบาเหน็จตกทอด ตามแบบ ปว.๘ ที่กาหนดท้ายบทนี้ ๘.๒.๗ แบบรายงานการเปล่ียนชือ่ ตัว-ชอื่ สกลุ ตามแบบ ปว.๙ ทกี่ าหนดท้ายบทน้ี ๘.๒.๘ แบบรายงานการสมรส - การหย่าร้าง ตามแบบ ปว.๑๐ ท่ีกาหนดท้ายบทนี้ ๘.๒.๙ แบบรายงานแจ้งการปลดกองหนุน ตามแบบ ปว.๑๑ ทีก่ าหนดทา้ ยบทน้ี ๘.๒.๑๐ แบบรายงานความผิดทางวินัยของข้าราชการตารวจ ตามแบบ ปว.๑๒ ท่กี าหนดทา้ ยบทนี้ ๘.๒.๑๑ แบบใบรับรองเวลาราชการทวีคูณ ตามแบบ ปว.๑๓ ท่กี าหนดท้ายบทน้ี ๘.๒.๑๒ แบบใบขอเปลี่ยนแปลงผู้มสี ิทธิ์รับเงนิ สงเคราะหก์ ารฌาปนกิจสงเคราะห์ ของสานกั งานตารวจแหง่ ชาติ ตามแบบ ปว.๑๔ ทก่ี าหนดท้ายบทน้ี ๘.๒.๑๓ แบบรายงานแจ้งข่าวข้าราชการตารวจถึงแก่กรรม ตามแบบ ปว.๑๕ ทก่ี าหนดท้ายบทนี้ ๘.๒.๑๔ คาส่งั บรรจุและแต่งต้งั เข้ารบั ราชการครงั้ แรก ๘.๒.๑๕ หนงั สอื และหลกั ฐานการตรวจสอบประวตั ิทางคดี (ลายพมิ พน์ ิ้วมอื ) ๘.๒.๑๖ เอกสารแบบประเมินผลการปฏิบัติราชการของผู้บังคับบัญชาประจาปี สาเนาเอกสารการได้รับเครือ่ งราชอิสรยิ าภรณ์ ๘.๒.๑๗ หนงั สอื หรอื คาส่งั การออกจากราชการทุกประเภท การโอนไปรับราชการ สว่ นราชการอืน่ ๘.๒.๑๘ เอกสารการสมัครเข้าเป็นข้าราชการตารวจ เช่น บัตรประจาตัวประชาชน สาเนาทะเบยี นบา้ น หนังสอื สาคญั หลกั ฐานทางทหาร และอ่ืนๆ ๘.๒.๑๙ สาเนาบตั รประจาตวั สมาชกิ กบข. ๘.๒.๒๐ คาสั่งแตง่ ตง้ั เลอื่ นยศ อตั ราเงนิ เดอื น ๘.๒.๒๑ หนังสือหรือคาส่ังการได้รับความดีความชอบพิเศษต่างๆ การปฏิบัติ ราชการพิเศษ รวมทั้งการได้รับการยกย่องชมเชยรางวัลผลงานดีเด่น ในการทาคุณงามความดี ประพฤตปิ ฏบิ ตั ิตนดจี ากเจา้ ของประวตั ิ หรือหนว่ ยงานท่ีเกยี่ วข้องแจง้ ให้ทราบ ๘.๒.๒๒ หนังสือสาคญั แสดงการจดทะเบียนรบั รองบุตร หรือการรบั บตุ รบุญธรรม ๘.๒.๒๓ ใบสตู บิ ตั รของบุตรบัตรประจาตัวประชาชนของบคุ คลในครอบครวั ๘.๒.๒๔ ใบมรณบตั รของ บดิ า มารดา สามี ภรรยา บตุ ร ๘.๒.๒๕ หนังสือใบแจ้งสิทธิบุคคลในครอบครัวที่มีสิทธิการเบิกจ่ายเงินสวัสดิการ ค่ารกั ษาพยาบาล หรอื อนื่ ๆ ๘.๒.๒๖ เอกสารสทิ ธเิ ฉพาะตัวเจา้ ของประวัติ เช่น สาเนาบตั รประจาตัวผเู้ สียภาษี ใบอนญุ าตใหม้ แี ละใชอ้ าวธุ ปืน ใบอนญุ าตขับรถ เป็นต้น

คาอธิบายการบริหารงานกาลงั พล สานกั งานตารวจแหง่ ชาติ  189 ส่วนเอกสารตาม ๘.๒.๒๑ - ๘.๒.๒๖ หากเจ้าของประวัติส่งมาให้จัดเก็บให้ผู้มีหน้าที่ จัดเก็บของหน่วยงานต้นสังกัดและ กองทะเบียนพล สานักงานกาลังพล จัดเก็บไว้เพ่ือประโยชน์แก่ เจา้ ของประวัตติ อ่ ไป ๙. ในการจัดทาแฟูมประวัติข้าราชการตารวจจะต้องบันทึก และจัดเก็บข้อมูลเอกสาร หลกั ฐานทางทะเบียนประวตั ใิ หถ้ กู ตอ้ งตรงกันทัง้ ๒ แฟมู สว่ นเอกสารทีจ่ ะต้องจัดเก็บมีเพียงต้นฉบับ หรือสาเนาคฉู่ บับเพียงชุดเดียว ให้จัดเก็บเอกสารดังกล่าวไว้กับแฟูมประวัติข้าราชการตารวจที่หน่วยงาน ตน้ สังกดั สว่ นฉบบั ทีจ่ ะต้องส่งไปจัดเก็บท่กี องทะเบียนพล สานักงานกาลงั พลให้ใช้เพียงสาเนาที่เจ้าหน้าท่ี ผจู้ ัดทารบั รองสาเนาถูกต้องตามระเบียบ ในการจัดเก็บเอกสารหรือคาส่งั ที่เก่ยี วข้องกับข้าราชการตารวจหลายคน และมีเอกสาร หลายแผน่ ใหเ้ กบ็ เฉพาะแผน่ แรกแผ่นทมี่ ชี อื่ เจ้าของประวตั ิและแผ่นสุดท้ายที่ผู้มีอานาจลงช่ือสั่งการ ส่วนเอกสารการเปล่ียนแปลงข้อมูลสถานภาพที่ต้องบันทึกเป็นปกติประจา เช่น คาส่ัง เลื่อนขั้นเงินเดือน เล่ือนยศ แต่งต้ังย้ายสังกัด หรือ เอกสารลักษณะเดียวกันที่หน่วยงานต้นสังกัดต่างๆ จัดส่งให้กองทะเบียนพล สานักงานกาลังพล เม่ือบันทึกข้อมูลแล้วไม่ต้องจัดเก็บเอกสารเข้าแฟูมประวัติ แตอ่ ย่างใด ๑๐. การจัดทาหลกั ฐานทางทะเบียนประวัติของลกู จ้างประจาและพนักงานราชการให้ถือปฏิบัติ เช่นเดียวกบั ข้าราชการตารวจ ๑๑. ในกรณีท่ีเอกสารหลักฐานทางทะเบียนประวัติของข้าราชการตารวจ ลูกจ้างประจา หรือพนักงานราชการท่ีจัดเก็บชารุด สูญหาย ให้ผู้มีอานาจลงช่ือรับรองความถูกต้องของข้อมูลใน ก.พ.๗ ตามขอ้ ๑๗ เปน็ ผูจ้ ัดทาขึน้ ใหม่โดยดาเนินการตามระเบียบนี้ ๑๒. การเก็บรกั ษา ก.พ.๗ แฟมู ประวัติข้าราชการตารวจ และสมุดประวัติประจาตัวข้าราชการ ดาเนนิ การดงั นี้ ๑๒.๑ ก.พ.๗ ฉบับท่ี ๑ เก็บไว้ท่ีสานักงานคณะกรรมการข้าราชการตารวจเพ่ือการควบคุม เกษยี ณอายุของข้าราชการตารวจ ๑๒.๒ ก.พ.๗ ฉบับที่ ๒ หรอื สมุดประวัตปิ ระจาตวั ข้าราชการ ฉบบั สานกั งานตารวจแหง่ ชาติ ใชค้ วบคกู่ บั แฟมู ประวัติข้าราชการตารวจเกบ็ ไว้ที่กองทะเบียนพล สานักงานกาลังพล เพ่ือการบริหารงาน บุคคลของสานักงานตารวจแหง่ ชาติ ๑๒.๓ ก.พ.๗ ฉบับท่ี ๓ หรือ สมุดประวัติประจาตัวข้าราชการฉบับหน่วยงานต้นสังกัด ใช้ควบคู่กับแฟูมประวตั ขิ ้าราชการตารวจ เกบ็ ไว้ทหี่ น่วยงานตน้ สงั กัดของผมู้ ีอานาจลงชื่อตามข้อ ๑๗ เพอ่ื การบรหิ ารงานบคุ คล รวมถงึ การขอรบั บาเหน็จบานาญและสิทธปิ ระโยชน์ตา่ งๆ ๑๓. ข้อมูลเอกสารหลักฐานทางทะเบียนประวัติข้ราชการตารวจ เป็นเอกสารส่วนบุคคล และเป็นเอกสารทางราชการท่ีไม่พึงเปิดเผยท่ีจัดทาขึ้นเพื่อใช้สาหรับการบริห ารงานของหน่วยงาน ในสงั กัดสานักงานตารวจแห่งชาติ การขอตรวจสอบข้อมูลหรือขอสาเนาเอกสารทางทะเบียนประวัติ จากหน่วยงานต่างๆ ในสังกัดสานักงานตารวจแห่งชาติ ผู้ขอต้องระบุว่าจะนาไปใช้เพ่ือการใดในหน้าท่ี ที่รับผิดชอบและผู้พิจารณาอนุญาต ต้องมีตาแหน่งตั้งแต่สารวัตรหรือตาแหน่งเทียบเท่าขึ้นไป ทร่ี ับผิดชอบในการจัดเกบ็ ควบคมุ ดูแล รกั ษาขอ้ มูลเอกสารดังกล่าว ส่วนบุคคลท่ัวไปหรือหน่วยงานอื่นๆ ท่ีขอตรวจสอบตอ้ งเปน็ ไปตามกฎหมายว่าด้วยข้อมูลข่าวสารของราชการ


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook