Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หลักสูตรปฐมวัย-64

หลักสูตรปฐมวัย-64

Published by Nor Nan, 2021-12-04 12:05:37

Description: หลักสูตรปฐมวัย-64

Search

Read the Text Version

สาระการเรียนรู้ รายละเอยี ดสาระการเรียนรู้ เวลา / หมายเหตุ ( หนว่ ยการเรยี น ) สัปดาห์ ๔ ส่งิ ตํางๆ รอบตัวเด็ก หนํวยปฐมนเิ ทศ ๒๑ หนํวยโรงเรยี นของเรา ๑ หนวํ ยเศรษฐกิจพอเพียง ๑ หนํวยปลอดภยั ภยั ไวก๎ ํอน ๑ หนวํ ยอาหารดมี ีประโยชน์ ๑ หนวํ ยของเลนํ ของใช๎ ๑ หนํวยคมนาคม ๑ หนํวยรรู๎ อบปลอดภยั ๑ หนํวยลอยกระทง ๑ หนวํ ยวนั ชาติ ๑ หนวํ ยเทคโนโลยีและการสื่อสาร ๑ หนวํ ยวันขึน้ ปีใหมํ ๑ หนํวยสนกุ กับตัวเลข ๑ หนํวยขนาด รปู รํางและรูปทรง ๑ หนํวยวันครู ๑ หนํวยวันเฉลมิ ฯ ๑ หนํวยวนั แมํ ๑ หนํวยวนั เด็กวันครู ๑ หนํวยโลกสวยดว๎ ยสีสัน ๑ หนํวยแรงและพลังงานในชวี ติ ประจาวนั ๑ หนวํ ยเสยี งรอบตัว ๑ หนํวยรกั การอาํ น ๑

สาระการเรยี นรู้ ระดบั ช้นั อนุบาลปีท่ี ๒ (๔ – ๕ ปี) เวลา / หมายเหตุ สัปดาห์ รายละเอียดสาระการเรยี นรู้ ( หนว่ ยการเรียน ) ๓ ๑ ๑ หนํวยตวั เรา ๑ เรื่องราวเกี่ยวกบั ตวั เด็ก หนวํ ยหนูทาได๎ ๑ หนํวยปริมาณ น้าหนักอนุบาล ๒ หนํวยครอบครัวมีความสขุ ๒ บุคคลและสถานท่ี หนํวยชมุ ชนของเรา ๑ ๑ แวดลอ๎ มเดก็ ๓ หนํวยฝน ๘ ธรรมชาตริ อบตวั หนวํ ยขา๎ ว ๑ หนํวย ดนิ หิน ทราย ๑ หนํวยสัตวน์ าํ รัก ๑ หนํวยฤดูรอ๎ น ๑ หนวํ ยฤดูหนาว ๑ หนวํ ยกลางวนั กลางคนื ๑ หนวํ ยต๎นไม๎ทร่ี ัก ๑ ๑

สาระการเรียนรู้ รายละเอยี ดสาระการเรียนรู้ เวลา / หมายเหตุ ( หนว่ ยการเรยี น ) สัปดาห์ ๔ ส่งิ ตํางๆ รอบตัวเด็ก หนํวยปฐมนเิ ทศ ๒๑ หนํวยโรงเรยี นของเรา ๑ หนวํ ยเศรษฐกิจพอเพียง ๑ หนํวยปลอดภยั ภยั ไวก๎ ํอน ๑ หนวํ ยอาหารดมี ีประโยชน์ ๑ หนวํ ยของเลนํ ของใช๎ ๑ หนํวยคมนาคม ๑ หนํวยรรู๎ อบปลอดภยั ๑ หนํวยลอยกระทง ๑ หนวํ ยวนั ชาติ ๑ หนวํ ยเทคโนโลยีและการสื่อสาร ๑ หนวํ ยวันขึน้ ปีใหมํ ๑ หนํวยสนกุ กับตัวเลข ๑ หนํวยขนาด รปู รํางและรูปทรง ๑ หนํวยวันครู ๑ หนํวยวันเฉลมิ ฯ ๑ หนํวยวนั แมํ ๑ หนํวยวนั เด็กวันครู ๑ หนํวยโลกสวยดว๎ ยสีสัน ๑ หนํวยแรงและพลังงานในชวี ติ ประจาวนั ๑ หนวํ ยเสยี งรอบตัว ๑ หนํวยรกั การอาํ น ๑

สาระการเรยี นรู้ ระดบั ช้นั อนุบาลปีท่ี ๓ (๕ – ๖ ปี) เวลา / หมายเหตุ สัปดาห์ รายละเอียดสาระการเรยี นรู้ ( หนว่ ยการเรียน ) ๓ ๑ ๑ หนํวยตวั เรา ๑ เรื่องราวเกี่ยวกบั ตวั เด็ก หนวํ ยหนูทาได๎ ๑ หนํวยปริมาณ น้าหนักอนุบาล ๒ หนํวยครอบครัวมีความสขุ ๒ บุคคลและสถานท่ี หนํวยชมุ ชนของเรา ๑ ๑ แวดลอ๎ มเดก็ ๓ หนํวยฝน ๘ ธรรมชาตริ อบตวั หนวํ ยขา๎ ว ๑ หนํวย ดนิ หิน ทราย ๑ หนํวยสัตวน์ าํ รัก ๑ หนํวยฤดูรอ๎ น ๑ หนวํ ยฤดูหนาว ๑ หนวํ ยกลางวนั กลางคนื ๑ หนวํ ยต๎นไม๎ทร่ี ัก ๑ ๑

สาระการเรียนรู้ รายละเอยี ดสาระการเรียนรู้ เวลา / หมายเหตุ ( หนว่ ยการเรยี น ) สัปดาห์ ๔ ส่งิ ตํางๆ รอบตัวเด็ก หนํวยปฐมนเิ ทศ ๒๑ หนํวยโรงเรยี นของเรา ๑ หนวํ ยเศรษฐกิจพอเพียง ๑ หนํวยปลอดภยั ภยั ไวก๎ ํอน ๑ หนวํ ยอาหารดมี ีประโยชน์ ๑ หนวํ ยของเลนํ ของใช๎ ๑ หนํวยคมนาคม ๑ หนํวยรรู๎ อบปลอดภยั ๑ หนํวยลอยกระทง ๑ หนวํ ยวนั ชาติ ๑ หนวํ ยเทคโนโลยีและการสื่อสาร ๑ หนวํ ยวันขึน้ ปีใหมํ ๑ หนํวยสนกุ กับตัวเลข ๑ หนํวยขนาด รปู รํางและรูปทรง ๑ หนํวยวันครู ๑ หนํวยวันเฉลมิ ฯ ๑ หนํวยวนั แมํ ๑ หนํวยวนั เด็กวันครู ๑ หนํวยโลกสวยดว๎ ยสีสัน ๑ หนํวยแรงและพลังงานในชวี ติ ประจาวนั ๑ หนวํ ยเสยี งรอบตัว ๑ หนํวยรกั การอาํ น ๑

การจัดหนว่ ยการเรยี นรู้รายปี โรงเรียนชุมชนประชานิกรอานวยเวทย์ ได๎กาหนดการจัดหนํวยการเรียนรู๎รายปี โดยคานึงถึง ประสบการณ์สาคัญและสาระที่ควรเรียนรู๎ มาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตัวบํงช้ีและสภาพบํงชี้ รวมถึง สภาพแวดล๎อม และบริบทท๎องถ่ิน ให๎เหมาะสมกับเด็กแตํละชํวงอายุ ซึ่งได๎กาหนดหนํวยการจัดประสบการณ์ แตลํ ะระดบั ชน้ั ดังน้ี หนว่ ยการเรียน ภาคเรยี นท่ี ๑ สัปดาห์ อนุบาล๑ หน่วยการเรยี น อนุบาล ๓ สาระการ ๑ ปฐมนเิ ทศ อนุบาล ๒ ปฐมนิเทศ เรียนรู้ท้องถ่ิน ๒ โรงเรียนของเรา ปฐมนเิ ทศ ๓ โรงเรยี นของเรา - ๔ ตวั เรา โรงเรยี นของเรา - ๕ หนูทาได๎ - ๖ ครอบครวั มีความสุข ตัวเรา ตัวเรา ๗ อาหารดีมีประโยชน์ - หนทู าได๎ หนูทาได๎ - ๘ ฝน - ครอบครวั มีความสุข ครอบครวั มีความสขุ - ๙ ขา๎ ว - ๑๐ อาหารดีมปี ระโยชน์ อาหารดมี ีประโยชน์ - ๑๑ ปลอดภัยไว๎กํอน - ๑๒ วนั เฉลมิ ฯ ฝน ฝน ๑๓ วนั แมํ อาณาเขตของ ๑๔ รกั เมืองไทย ข๎าว ขา๎ ว โรงเรียนชุมชน และสถานที่ ของเลนํ ของใช๎ ปลอดภยั ไวก๎ ํอน ปลอดภัยไวก๎ ํอน สาคญั รอบ ชมุ ชนของเรา บริเวณโรงเรียน วันเฉลมิ ฯ วนั เฉลิมฯ วนั แมํ วันแมํ รักเมืองไทย รกั เมอื งไทย ของเลํนของใช๎ ของเลํนของใช๎ ชุมชนของเรา ชมุ ชนของเรา

๑๕ ต๎นไมท๎ รี่ ัก ต๎นไม๎ท่รี ัก ต๎นไม๎ทร่ี ัก - หิน ดนิ ทราย - ๑๖ หนิ ดิน ทราย หิน ดนิ ทราย สตั วน์ าํ รัก - - ๑๗ สัตวน์ ํารกั สัตวน์ าํ รกั คมนาคม - Project - ๑๘ คมนาคม คมนาคม Project ๑๙ Project Project ๒๐ Project Project หนว่ ยการเรียน ภาคเรียนที่ ๒ สัปดาห์ หนว่ ยการเรยี น สาระการ ๑ เรยี นรู้ทอ้ งถ่ิน อนบุ าล ๑ อนบุ าล ๒ อนบุ าล ๓ - ร๎ูรอบปลอดภัย ร๎ูรอบปลอดภัย รรู๎ อบปลอดภัย ๒ ลอยกระทง ลอยกระทง ลอยกระทง - ๓ กลางวนั กลางคืน กลางวนั กลางคนื กลางวนั กลางคนื - ๔ คาํ นยิ มไทย คาํ นยิ มไทย คํานิยมไทย - ๕ วันชาติ วันชาติ วนั ชาติ - ๖ เศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียง เศรษฐกิจพอเพียง - ๗ เทคโนโลยีและการ เทคโนโลยีและการ เทคโนโลยีและการ - - สื่อสาร สื่อสาร สื่อสาร ๘ วันขนึ้ ปีใหมํ วนั ขึ้นปีใหมํ วนั ขนึ้ ปีใหมํ ๙ สนกุ กบั ตัวเลข สนกุ กับตัวเลข สนกุ กับตวั เลข - ๑๐ ขนาด รปู รําง รปู ทรง ขนาด รปู รําง รูปทรง ขนาด รูปรําง รปู ทรง - ๑๑ วันเด็ก วนั ครู วนั เด็ก วันครู วนั เดก็ วนั ครู - ๑๒ โลกสวยด๎วยสีสัน โลกสวยดว๎ ยสีสัน โลกสวยด๎วยสสี นั - ๑๓ ฤดูหนาว ฤดูหนาว ฤดหู นาว - ๑๔ แรงและพลังงานใน แรงและพลงั งานใน แรงและพลงั งานใน -

ชีวิตประจาวัน ชีวิตประจาวัน ชวี ิตประจาวัน - ๑๕ เสียงรอบตัว เสียงรอบตวั เสียงรอบตวั - - ๑๖ รกั การอาํ น รกั การอําน รักการอาํ น - ๑๗ ปริมาณ น้าหนัก ปรมิ าณ นา้ หนกั ปริมาณ น้าหนัก - อนบุ าล อนุบาล อนบุ าล - ๑๘ ฤดูร๎อน ฤดูร๎อน ฤดูร๎อน ๑๙ โครงงานวิทยาศาสตร์ โครงงานวิทยาศาสตร์ ๒๐ โครงงานวทิ ยาศาสตร์ โครงงานวิทยาศาสตร์ การวางแผนการสอนโดยใชใ้ ยแมงมมุ หลักสูตรใยแมงมมุ หรือในบางตาราเรยี กวํา แผนท่ีความคิด (mind mapping) เป็นกระบวนการท่ีครู ใช๎ในการพฒั นาแผนผัง (diagram) โดยมีพื้นฐานมาจากหัวข๎อหรือหนํวยการเรียนรู๎เรื่องใดเรื่องหนึ่ง ใยแมงมุม สามารถเป็นเคร่ืองมอื ในการวางแผนเพอ่ื พัฒนาการเรยี นรู๎โดยบรู ณาการกิจกรรมการเรียนร๎ตู ํางๆ เขา๎ ดว๎ ยกนั นักการศกึ ษา แคทส์ และชารด์ ไดเ๎ สนอแนะขั้นตอนในการพฒั นาหลกั สูตรใยแมงมุมดังนี้ ๑. การระดมสมอง (brainstorming) เป็นการนาความรู๎เดิมท่ีมีอยูํมาใช๎ ครูอาจใช๎ความคิดของตน เพียงคนเดียว หรืออาจจะมีการระดมสมองรํวมกับเด็ก และเพ่ือนครูก็ได๎ การระดมสมองจะเกิดข้ึนหลังจากท่ี ครูทราบหนํวยการเรียนร๎ู หรือหัวข๎อการเรียนแล๎ว ครูจะระดมสมองรํวมกับเด็กโดยเปิดโอกาสให๎เด็กถาม คาถามเกี่ยวกับส่ิงที่ตนสนใจหนํวยการเรียนโดยแสดงความคิดเห็นผํานการพูดคุยและวาดรูปเด็กๆ มีคาถามท่ี แตกตาํ งกนั ไปมากมาย ๒. การจัดกลุ่ม (Grouping) เป็นการจัดกลมุํ ความคดิ หรือคาถามที่ได๎จากการระดมสมองโดยที่กลํุม ท่มี ีความคิด หรอื คาถามคล๎ายกันจะอยูํกลมุํ เดียวกนั หลงั จากนนั้ ครูจะดาเนินการใสหํ ัวข๎อยอํ ยของแตลํ ะกลํุม ๓. การแบ่งปัน (Sharing) ครูอาจนาคาถาม หรือกลุํมความคิดของเด็กมาพูดคุยในระหวํางเพ่ือนครู และมกี ารจดั หวั ข๎อยอํ ยโดยอาจมีการเพ่ิมเติมในบางหัวข๎อที่ครเู ห็นวาํ จาเปน็ สาหรบั เดก็ ๔. การสร้างใยแมงมุม คือ การนาความคิดของครูและเด็กรวมตลอดถึงหนํวยการเรียนมาสร๎าง หลักสูตรใยแมงมมุ

การจัดประสบการณ์ การจดั ประสบการณ์สาหรบั เด็กปฐมวัย จะไมจํ ัดเปน็ รายวิชา แตํจัดในรูปของกิจกรรมบูรณาการผําน การเลํน เพ่อื ใหเ๎ ด็กไดร๎ ับประสบการณ์ตรง เกิดการเรียนรู๎ ได๎พัฒนาทั้งด๎านรํางกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และ สติปัญญา กิจกรรมท่ีจัดให๎เด็กในแตํละวัน อาจใช๎ชื่อเรียกกิจกรรมแตกตํางกันไปในแตํละโรงเรียน แตํท้ังนี้ ประสบการณ์ที่จัดจะต๎องครอบคลุมประสบการณ์สาคัญที่กาหนดในหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย และควร ยืดหยนุํ ใหม๎ สี าระการเรียนรู๎ท่เี ด็กสนใจ และสาระการเรียนร๎ูท่ีผ๎ูสอนกาหนด เมื่อเด็กได๎รับประสบการณ์สาคัญ และทากจิ กรรมในแตลํ ะหัวเรือ่ งแล๎ว เด็กควรจะเกิดแนวคิดตามทไี่ ด๎เสนอแนะในหลักสตู ร สาหรับการนาแนวคดิ จากนวตั กรรมตําง ๆ มาใช๎ในการจัดประสบการณ์ ผสู๎ อนต๎องทาความเขา๎ ใจ นวตั กรรมนัน้ ๆ แตลํ ะนวตั กรรมจะมจี ุดเดนํ ของตนเอง แตํโดยภาพรวมแล๎ว นวัตกรรมสํวนใหญํจะยึดเด็กเป็น สาคัญ การลงมือปฏิบัติจริงด๎วยตัวเด็กจะเป็นหัวใจสาคัญในแตํละนวัตกรรม นวัตกรรมท่ีเข๎ามามีบทบาทใน การจดั การศกึ ษาระดบั ปฐมวัย โรงเรียนราษฎร์สงเคราะหว์ ิทยา มดี ังนี้ การเรยี นรโู้ ดยใช้โครงงานเป็นฐาน ( Project Based Learning : PBL) PBL (Project based Learning) เป็นลักษณะของการศึกษา สารวจ ค๎นคว๎า ทดลอง ประดิษฐ์คิดค๎น โดยครูเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู๎ให๎ความรู๎ เป็นผ๎ูอานวยความสะดวก หรือผ๎ูให๎คาแนะนา ทาหน๎าที่ ออกแบบกระบวนการเรียนรู๎ให๎ผ๎ูเรียนทางานเป็นทีม กระตุ๎น แนะนา และให๎คาปรึกษา เพื่อให๎โครงการสาเร็จ ลุลํวง ประโยชน์ของการเรียนรู๎ด๎วยโครงงาน ส่ิงท่ีผู๎เรียนได๎รับจากการเรียนรู๎ด๎วย PBL จึงมิใชํตัวความรู๎ (knowledge) หรือวิธีการหาความร๎ู (searching) แตํเป็นทักษะการเรียนร๎ูและนวัตกรรม (learning and innovation skills) ทักษะชีวิตและประกอบอาชีพ (Life and Career skills) ทักษะด๎านข๎อมูลขําวสาร การ สอ่ื สารและเทคโนโลยี (Information Media and Technology Skills) การออกแบบโครงงานท่ีดีจะกระตุ๎นให๎เกิดการค๎นคว๎าอยํางกระตือรือร๎นและผ๎ูเรียนจะได๎ฝึกการใช๎ ทักษะการคิดเชิงวิพากษ์และแก๎ปัญหา (critical thinking & problem solving) ทักษะการสื่อสาร (communicating) และทักษะการสร๎างความรํวมมือ (collaboration)ประโยชน์ท่ีได๎สาหรับครูท่ีนอกจากจะ เป็นการพฒั นาคณุ ภาพดา๎ นวิชาชีพแลว๎ ยังชวํ ยให๎เกิดการทางานแบบรํวมมือกับเพ่ือนครูด๎วยกัน รวมทั้งโอกาส ที่จะได๎สรา๎ งสมั พันธท์ ีด่ ีกบั นกั เรยี นดว๎ ย การเรียนรโู้ ดยใช้สมองเปน็ ฐาน ( Brain-Based Learning : BBL) BBL (Brain-based Learning) เป็นการจัดการเรียนรู๎ท่ีสอดคล๎องกับพัฒนาการของสมองแตํละชํวง วัย เป็นการนาองค์ความรู๎เรื่องสมองมาใช๎เป็นฐานในการออกแบบกระบวนการเรียนรู๎ การนาหลักการจัดการ เรียนการสอน แบบ Brain-Based Learning มาใช๎เนือ่ งจากสภาพปัญหาการจัดการเรยี นการสอนพบวํา ๑. การจดั การศกึ ษาระดับกํอนประถมได๎รบั ความสนใจน๎อยท่สี ดุ ๒. การเลี้ยงเด็กเล็ก เน๎นแตํเพียงการกินอ่มิ นอนหลบั ปลอดภยั ทางกายภาพ ๓. โรงเรยี นสวํ นใหญํ เน๎นการสอนและวัดผลเพยี ง ๒ ดา๎ น คือ ภาษา และตรรกคณิตศาสตร์ ๔. การเรียนการสอนจัดแบบเดียวกันสาหรับทุกคนในห๎องเรียน สอนแบบบรรยาย ทํองจาหลักการ จดั การเรียนการสอน แบบ Brain Based Learning Regate และ Geoffrey Caine นักวิจัยเก่ียวกับการเรียนร๎ูโดยใช๎ความรู๎เก่ียวกับสมองเป็นหลัก ได๎ เสนอทฤษฎเี กีย่ วกบั การจดั การเรยี นการสอน ๑๒ ข๎อ ดังตอํ ไปน้ี

๑) สมองเป็นกระบวนการคํูขนาน ๒) สมองกับการเรียนร๎ู ๓) การเรียนรู๎มีมาแตํกาเนิด ๔) รูปแบบ การเรียนรู๎ของบุคคล ๕) ความสนใจมีความสาคัญตํอการเรียนรู๎ ๖) สมองมีหน๎าที่สร๎างกระบวนการเรียนร๎ู ๗) การเรยี นรใู๎ นส่งิ ทีส่ นใจสามารถรบั รไ๎ู ดอ๎ ยํางมีประสิทธภิ าพ ๘) การเรียนรเู๎ กิดข้ึนได๎ท้ังแบบท่ีมีจุดมุํงหมายและ ไมํได๎ต้ังใจ ๙) การเรียนรู๎ที่เกิดจากกระบวนการสร๎างความเข๎าใจ ๑๐) การเรียนร๎ูเกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์กับ ผ๎ูอื่น ๑๑) สํงเสริมให๎ผ๎ูเรียนเผชิญกับสถานการณ์ท่ีกระต๎ุนให๎เกิดการเรียนรู๎ ๑๒) สมองของบุคคลมีความเทํา เทียมกนั การนานวัตกรรมและเทคโนโลยีการเรียนร๎ูโดยใช๎สมองเป็นฐาน( Brain Based Learning : BBL) มา ประยุกต์ใช๎ในการจดั การศกึ ษา ได๎ดงั น้ี ๑. ในการเรยี นการสอน เรยี นรจ๎ู ากงํายไปหายาก มลี าดับและเช่ือมโยงกันเสมอ ๒. วธิ กี ารเรยี นตอ๎ งสนุกสนาน ไมนํ ําเบือ่ ๓. เน๎นให๎นักเรียนได๎ใช๎ความคิด ท้ังคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ และใช๎จินตนาการพร๎อมให๎โอกาส แสดงความคดิ เห็น ๔. ในการเรียนร๎ูเพื่อพฒั นากระบวนการคดิ ควรจะฝกึ ใหเ๎ ดก็ ได๎ปฏิบัติดังนี้ ๔.๑ ฝึกสงั เกต ๔.๒ ฝึกบันทึก ๔.๓ ฝกึ การนาเสนอ ๔.๔ ฝึกการฟงั ๔.๕ ฝึกการอําน ๔.๖ ฝึกการตงั้ คาถาม ๔.๗ ฝึกการเชอื่ มโยงทางความคดิ ๔.๘ ฝกึ การเขียนและเรยี บเรียงความคิดเปน็ ตัวหนังสอื การสอนภาษาโดยรวม/ธรรมชาติ (Whole Language) นวตั กรรมนี้มีปรัชญาความเชอื่ วําการสอนภาษาให๎กับเด็กนั้น ต๎องเป็นการสอนภาษาที่สื่อความหมาย กับเด็ก ผู๎สอนต๎องเป็นแบบอยํางท่ีดีท้ังการพูด การฟัง การอําน การเขียน เด็กจึงจะเรียนร๎ูภาษาได๎ดีและเด็ก ควรอยูํในสภาพแวดล๎อมท่ีเต็มไปด๎วยภาษาท่ีส่ือความหมาย มีการจัดสื่อเพื่อให๎เด็กได๎เรียนรู๎ผํานกระบวนการ เลนํ ได๎อยาํ งเปน็ ธรรมชาตทิ ่ีสุด ไมใํ ชกํ ารทาแบบฝกึ ปฏิบัติ บ๎านนักวทิ ยาศาสตร์ สะเตม็ ศกึ ษา ๑. หลักการจดั ประสบการณ์ ๑.๑ จัดประสบการณ์การเลํนและการเรียนร๎ูหลากหลายลักษณะ เพ่ือพัฒนาเด็กโดยองค์รวมอยําง ตํอเนอื่ ง และสอดคลอ๎ งกับการทางานของสมอง ๑.๒ เน๎นเด็กเป็นสาคัญ สนองความต๎องการ ความสนใจ ความแตกตํางระหวํางบุคคลและบริบทของ สงั คมที่เดก็ อาศยั อยูํ ๑.๓ จัดให๎เด็กได๎รบั การพัฒนาโดยใหค๎ วามสาคญั ทงั้ กบั กระบวนการเรยี นร๎ูและผลผลิตการเรยี นรู๎ ๑.๔ จัดการประเมินพัฒนาการให๎เป็นกระบวนการอยํางตํอเนื่อง และเป็นสํวนหน่ึงขอการจัด ประสบการณ์ พรอ๎ มทง้ั นาผลการประเมนิ มาพฒั นาเดก็ อยาํ งตํอเน่ือง

๑.๕ ให๎ผปู๎ กครองและชุมชน มีสํวนรํวมในการพฒั นาเด็ก ๒. แนวการจดั ประสบการณ์ ๒.๑ จดั ประสบการณใ์ หส๎ อดคล๎องกับจิตวิทยาพฒั นาการและการทางานของสมองท่ีเหมาะสมกับอายุ วฒุ ิภาวะและระดับพัฒนาการ เพ่ือใหเ๎ ดก็ ทกุ คนได๎พฒั นาเต็มตามศักยภาพ ๒.๒ จัดประสบการณ์ให๎สอดคล๎องกับลักษณะการเรียนรู๎ของเด็ก โดยเด็กได๎ลงมือกระทา เรียนร๎ูผําน ประสาทสัมผัสทั้งหา๎ ไดเ๎ คลอ่ื นไหว สารวจ เลํน สงั เกต สืบคน๎ ทดลอง และคดิ แกป๎ ญั หาด๎วยตนเอง ๒.๓ จดั ประสบการณใ์ นรปู แบบบูรณาการ โดยบูรณาการท้งั กิจกรรมทักษะและสาระการเรยี นร๎ู ๒.๔ จัดประสบการณ์ให๎เด็กได๎ริเร่ิมคิด วางแผน ตัดสินใจ ลงมือกระทา และนาเสนอความคิดโดย ผส๎ู อนเป็นผู๎สนับสนุน อานวยความสะดวก และเรียนร๎รู ํวมกับเดก็ ๒.๕ จัดประสบการณ์ให๎เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอื่น กับผ๎ูใหญํภายใต๎สภาพแวดล๎อมท่ีเอ้ือตํอการ เรียนรใ๎ู นบรรยากาศท่อี บอุนํ มคี วามสุข และเรียนร๎กู ารทากจิ กรรมแบบรํวมมือในลักษณะตําง ๆ กัน ๒.๖ จัดประสบการณ์ให๎เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อและแหลํงเรียนร๎ูที่หลากหลาย และอยูํในวิถีชีวิตของ เด็ก ๒.๗ จัดประสบการณ์ที่สํงเสริมลักษะนิสัยท่ีดีและทักษะการใช๎ชีวิตประจาวัน ตลอดจนสอดแทรก คุณธรรม จรยิ ธรรม ใหเ๎ ป็นสวํ นหนึง่ ของการจัดประสบการณก์ ารเรยี นรอ๎ู ยาํ งตอํ เน่ือง ๒.๘ จัดประสบการณท์ ง้ั ในลักษณะท่มี ีการวางแผนไว๎ลํวงหนา๎ และประสบการณท์ ่ีเกดิ ข้ึนในสภาพจริง โดยไมไํ ด๎คาดการณ์ไว๎ ๒.๙ จัดสารนิทศั น์ดว๎ ยการรวบรวมขอ๎ มูลเก่ยี วกับพฒั นาการและการเรียนรู๎ของเด็กเป็นรายบุคคล นา ข๎อมูลทไ่ี ดร๎ บั มาไตรตํ รอง และใช๎เปน็ ประโยชน์ตอํ การพัฒนาการเดก็ และการวิจยั ในชนั้ เรียน ๒.๑๐ จดั ประสบการณ์โดยให๎ผู๎ปกครองและชุมชนมีสํวนรํวมในการจัดประสบการณ์ ทั้งการวางแผน การสนบั สนนุ สอ่ื การสอน การเขา๎ รวํ มกินกรรม และการประเมินผลพัฒนาการ ๓. การจัดกจิ กรรมประจาวนั ๓.๑ หลกั การจัดกิจกรรมประจาวัน กาหนดระยะเวลาในการจัดกิจกรรมแตํละกิจกรรมให๎เหมาะสมกับวัยของเด็กในแตํละวันและยืดหยุํน ได๎ตามความต๎องการและความสนใจของเด็ก เชํน เด็ก ๔ - ๕ ขวบ มีความสนใจอยํูได๎ประมาณ ๑๒ - ๑๕ นาที ๓.๑.๑ กิจกรรมท่ีต๎องใช๎ความคิด ทั้งในกลํุมเล็กและกลํุมใหญํ ไมํควรใช๎เวลาตํอเน่ืองนานเกิน กวํา ๒๐ นาที ๓.๑.๒ กิจกรรมที่มีการวางแผนโดยครู เพ่ือชํวยให๎เด็กเกิดทักษะหรือความคิดรวบยอดในเร่ือง ใดเร่ืองหน่ึงตามท่ีกาหนดไว๎ในหลักสูตร ซ่ึงครูต๎องวางแผนกิจกรรมลํวงหน๎าใน ๑ กิจกรรม เวลาท่ีใช๎ในแตํละ วันสาหรับเด็กอายุ ๓ ปี ประมาณ ๔๕ นาที และเด็ก ๔ – ๕ ปี ประมาณ ๖๐ นาที ครูต๎องพิจารณาวําเด็กมี ชวํ งสนใจส้ันจะตอ๎ งจดั แบงํ เวลาหลายชํวงให๎เหมาะกบั เดก็ ๓.๑.๓ กิจกรรมที่เด็กมีอิสระเลือกเลํนเสรี เพื่อชํวยให๎เด็กร๎ูจักเลือกตัดสินใจ คิดแก๎ปัญหา คิด สร๎างสรรค์ เชํน การเลํนตามมมุ การเลนํ กลางแจง๎ ฯลฯ ใช๎เวลาประมาณ ๔๐ - ๖๐ นาที ๓.๑.๔ กจิ กรรมควรมคี วามสมดุลระหวํางกจิ กรรมในห๎องเรียนและนอกห๎องเรียน กิจกรรมท่ีใช๎ กล๎ามเนื้อใหญํและกล๎ามเนื้อเล็ก กิจกรรมที่เป็นรายบุคคล กลุํมยํอย และกลุํมใหญํ กิจกรรมท่ีเด็กเป็นผู๎ริเร่ิม

และผ๎ูสอนเป็นผ๎ูริเร่ิม กิจกรรมท่ีใช๎กาลังและไมํใช๎กาลัง จัดให๎ครบทุกประเภท ทั้งนี้กิจกรรมท่ีต๎องออกกาลัง กาย ควรจัดสลบั กับกิจกรรมทไี่ มํตอ๎ งออกกาลงั มากนกั เพื่อเด็กจะไดไ๎ มํเหนือ่ ยเกนิ ไป ๓.๒ ขอบข่ายของกิจกรรมประจาวนั การเลอื กจัดกจิ กรรมในแตลํ ะวันตอ๎ งให๎ครอบคลมุ สิง่ ตํอไปนี้ ๓.๒.๑ การพัฒนากล๎ามเน้ือใหญํ เพื่อให๎เด็กได๎พัฒนาความแข็งแรงของกล๎ามเนื้อใหญํ การ เคลื่อนไหว และความคลํองแคลํวในการใช๎อวัยวะตํางๆ จึงควรจัดกิจกรรมโดยให๎เด็กได๎เลํนอิสระกลางแจ๎ง เลนํ เครอ่ื งเลนํ สนาม เคลือ่ นไหวราํ งกายตามจังหวะดนตรี ๓.๒.๒ การพัฒนากล๎ามเน้ือเล็ก เพื่อให๎เด็กได๎พัฒนาความแข็งแรงของกล๎ามเน้ือเล็ก การ ประสานสัมพันธ์ระหวํางมือและตา จึงควรจัดกิจกรรมโดยให๎เด็กได๎เลํนเครื่องเลํนสัมผัส เลํนเกมตํอภาพ ฝึก ชํวยเหลือตนเองในการแตงํ กาย หยิบจับช๎อนส๎อม ใช๎อปุ กรณ์ศิลปะ เชนํ สเี ทียน กรรไกร พกูํ ัน ดินเหนียว ฯลฯ ๓.๒.๓ การพัฒนาอารมณ์ จิตใจ และปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม เพื่อให๎เด็กมีความร๎ูสึกมารดี ตอํ ตนเองและผู๎อ่ืน มีความเชื่อม่ัน กล๎าแสดงออก มีวินัยในตนเอง รับผิดชอบ ซื่อสัตย์ประหยัด มีความเมตตา กรุณา เอ้อื เฟ้ือ แบํงปนั มมี ารยาทและการปฏบิ ัตติ นตามวฒั นธรรมไทยและศาสนาที่นับถือ จึงควรจัดกิจกรรม ตําง ๆ ผํานการเลํน ให๎เด็กได๎ตัดสินใจเลือก ได๎รับการตอบสนองความต๎องการ ได๎ฝึกปฏิบัติโดยสอดแทรก คณุ ธรรม จริยธรรม ตลอดเวลาท่โี อกาสเอือ้ อานวย ๓.๒.๔ การพัฒนาสังคมนิสัย เพื่อให๎เด็กมีลักษณะนิสัยที่ดี แสดงออกอยํางเหมาะสม และอยํู รํวมกับผ๎ูอื่นได๎อยํางมีความสุข ชํวยเหลือตนเองในการทากิจวัตรประจาวัน มีนิสัยรักการทางาน ร๎ูจัก ระมดั ระวังความปลอดภัยของตนเองและผ๎ูอื่น จึงควรจัดให๎เด็กได๎ปฏิบัติกิจวัตรประจาวันอยํางสม่าเสมอ เชํน รับประทานอาหาร พกั ผอํ นนอนหลบั ขบั ถาํ ย ทาความสะอาดราํ งกาย เลํนและทางานรํวมกบั ผ๎ูอ่ืน ๓.๒.๕ การพฒั นาการคิด เพอื่ ใหเ๎ ดก็ ไดพ๎ ัฒนาความคิดรวบยอด สังเกต จาแนก เปรียบเทียบ จัดหมวดหมูํ เรียงลาดับเหตุการณ์ แก๎ปัญหา จึงควรจัดกิจกรรมให๎เด็กได๎สนทนาอภิปราย แลกเปลี่ยนความ คิดเห็น เชิญวิทยากรมาพูดคุยกับเด็ก ค๎นคว๎าจากแหลํงข๎อมูลตําง ๆ ทดลอง ศึกษานอกสถานที่ ประกอบ อาหาร หรือจัดให๎เด็กได๎เลํนเกมการศึกษาที่เหมาะสมกับวัยอยํางหลากหลาย ฝึกการแก๎ปัญหาใน ชีวติ ประจาวันและในการทากิจกรรมทงั้ ท่ีเป็นรายบุคคลและรายกลํมุ ๓.๒.๖ การพัฒนาภาษา เพ่ือให๎เด็กได๎มีโอกาสใช๎ภาษาสื่อสาร ถํายทอดความร๎ู ความนึกคิด ความรู๎ความเข๎าใจในส่ิงตํางๆ ที่เด็กมีประสบการณ์ จึงควรจัดกิจกรรมทางภาษาให๎มีความหลากหลายใน สภาพแวดล๎อมท่ีเอื้อตํอการเรียนรู๎ มํุงปลูกฝังให๎เด็กรักการอํานและบุคลากรที่แวดล๎อมต๎องเป็นแบบอยํางที่ดี ในการใช๎ภาษา ท้งั น้ีต๎องคานึงถงึ หลกั การจดั กจิ กรรมทางภาษาท่ีเหมาะสมกับเดก็ เปน็ สาคัญ ๓.๒.๗ การส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เพ่ือให๎เด็กได๎พัฒนาความคิดริเริ่ม สร๎างสรรค์ ได๎ถํายทอดอารมณ์ความรู๎สึก และความเห็นความสวยงามของสิ่งตําง ๆ รอบตัว โดยใช๎กิจกรรม ศิลปะและดนตรีเป็นส่ือ ใช๎การเคลื่อนไหวและจังหวะตามจินตนาการ ให๎ประดิษฐ์ส่ิงตําง ๆ อยํางอิสระตาม ความคิดรเิ รม่ิ สร๎างสรรคข์ องเดก็ เลนํ บทบาทสมมุตใิ นมมุ เลนํ ตํางๆ เลนํ นา้ เลนํ ทราย เลนํ กอํ สรา๎ ง ๓.๓ รูปแบบการจัดกจิ กรรมประจาวนั การจัดตารางกิจกรรมประจาวัน สามารถจัดได๎หลายรูปแบบ ท้ังน้ีขึ้นอยูํกับความเหมาะสมในการนาไปใช๎ของแตํละสถานศึกษาและชุมชน ท่ีสาคัญผ๎ูสอนต๎องคานึงถึงการ จัดกิจกรรมให๎ครอบคลุมพัฒนาการทุกด๎าน ตอบสนองความต๎องการความสนใจ และความแตกตํางระหวําง บคุ คลของเด็ก สาหรับโรงเรียนราษฎรส์ งเคราะห์วทิ ยาได๎จัดทาตารางกิจกรรมประจาวนั ดังนี้

ตารางกิจกรรมประจาวัน กิจกรรมในแตํละวันของโรงเรียนชุมชนประชานิกรอานวยเวทย์กาหนดข้ึนโดยมีจุดมุํงหมายให๎เด็ก ปฐมวยั ได๎รับการพฒั นาอยาํ งรอบด๎าน ดังน้ี เวลา กจิ กรรม ๐๗.๐๐ -๐๘.๐๐น. รับเดก็ รายบุคคล ๐๘.๐๐ -๐๘.๓๐น. เข๎าแถว เคารพธงชาติ สวดมนต์ ๐๘.๓๐ -๐๙.๐๐น. ตรวจสขุ ภาพ/ไปหอ๎ งน้า ๐๙.๐๐ -๐๙.๒๐น. กจิ กรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ ๐๙.๒๐ -๐๙.๔๐น. กิจกรรมเสรมิ ประสบการณ์ ๐๙.๔๐ -๑๐.๒๐น. กิจกรรมศิลปะสร๎างสรรค์ ๑๐.๒๐ -๑๐.๔๐น. กิจกรรมการเลนํ ตามมุม ๑๐.๔๐ -๑๑.๐๐น. กจิ กรรมการเลํนกลางแจ๎ง ๑๑.๐๐ -๑๑.๓๐น. พกั /รับประทานอาหารกลางวัน ๑๑.๓๐ -๑๒.๐๐น. แปรงฟนั ๑๒.๐๐ -๑๔.๐๐น. นอนพักผอํ น ๑๔.๐๐ -๑๔.๓๐น. เก็บที่นอน ลา๎ งหน๎า ๑๔.๓๐ -๑๔.๔๕น. พกั /ดื่มนม ๑๔.๔๕-๑๕.๐๐น. เกมการศึกษา ๑๕.๐๐ -๑๕.๒๐น. สรปุ ทบทวนกิจกรรมประจาวนั ๑๕.๒๐ -๑๕.๓๐น. ผปู๎ กครองรบั นักเรียนกลบั บ๎าน หมายเหตุ : การจัดกิจกรรมในแต่ละวนั สามารถปรบั เปล่ียนได้ตามความเหมาะสม

รอยเชื่อมตอ่ ระหวา่ งกจิ กรรม เวลาในตารางกิจกรรมซ่ึงควรได๎รับการวางแผนเป็นอยํางดีจากครูคือเวลาที่เด็กเปลี่ยนจากการทา กิจกรรมอยํางหน่ึงไปทากิจกรรมตํอไป หรือ เรียกอีกอยํางหน่ึงวํา รอยเช่ือมตํอระหวํางกิจกรรม ในชํวงเวลา ดังกลําวเด็กจาเป็นต๎องมีผ๎ูใหญํคอยให๎คาแนะนาและชํวยเหลือ ทั้งน้ีเพ่ือปูองกันความสับสนวํุนวายอันอาจ เกิดขนึ้ ได๎ การวางแผนเพอื่ เตรียมเดก็ สาหรับรอยเชอ่ื มตํอระหวาํ งกิจกรรมมีดังน้ี ๑. การบอกเด็กล่วงหน้า (advance notice) ในการเปล่ียนกิจกรรมทุกครั้ง ครูจาเป็นต๎องบอกเด็ก ลํวงหน๎า ท้ังนี้เน่ืองจากการให๎เด็กเปลี่ยนกิจกรรมอยํางกะทันหัน และทันทีทันใดอาจสํงผลให๎เด็กเกิดการ ตํอต๎านได๎ ๒. การให้สัญญาณที่คุ้นเคย (familiar cues) เชํน เพลง “เก็บของเลํน” หรือเสียงสัญญาณท่ี คุ๎นเคย เป็นต๎น เพราะจะชํวยให๎เด็กทาพฤติกรรมท่ีเคยชินการปฏิบัติตามกิจวัตรประจาวันอยํางสม่าเสมอจะ ชวํ ยให๎เดก็ ทราบถึงสงิ่ ที่ต๎องทาในแตํละวนั ๓. การมอบหมายหน้าท่ีความรับผิดชอบแก่เด็ก จะชํวยให๎กิจกรรมที่เด็กต๎องทาในระหวํางการ เปล่ยี นกิจกรรมมีความหมายมากขึน้ เชนํ มอบหมายให๎เด็กดแู ลเพอื่ นในระหวํางการเก็บของเลนํ เป็นต๎น ๔. การลดความวุ่นวาย (chaos) ครูอาจใช๎เพลง หรือการกาหนดเง่ือนไขเพ่ือให๎เด็กแยกย๎ายกันไป ทากิจกรรมใหมํทีละกลํุมเล็กๆ อาทิ ครูอาจกาหนดวําให๎เด็กท่ีผูกโบไปทากิจกรรมกํอน หรือเด็กท่ีไว๎ผมส้ันไป ทากจิ กรรม เป็นตน๎ ๓.๔ แนวทางการจดั กิจกรรมประจาวนั การจดั กิจกรรมประจาวนั ครูสามารถนาไปปรับใช๎ได๎ หรอื นานวตั กรรมตํางๆมาปรับใช๎ในการจดั กิจกรรมประจาวนั ให๎เหมาะสมกบั สภาพแวดล๎อมของสถานศึกษา โดยมีแนวทางในการจัดกจิ กรรมและการใช๎ สอ่ื ดงั นี้ ๑. กจิ กรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ การเคล่ือนไหวและจังหวะ เป็นกิจกรรมท่จี ดั ใหเ๎ ด็กได๎เคล่ือนไหวสํวนตํางๆของราํ งกายอยาํ งอิสระตาม จงั หวะ โดยใช๎เสยี งเพลง คาคลอ๎ งจอง เครอ่ื งเคาะจังหวะ และอปุ กรณอ์ นื่ ๆมาประกอบการเคล่อื นไหว ซงึ่ จงั หวะและเคร่ืองดนตรีประกอบ ไดแ๎ กํ การปรบมอื การรอ๎ งเพลง การเคาะไม๎ รามะนา กลอง กรบั เพ่อื สงํ เสริมให๎เดก็ พฒั นากลา๎ มเน้ือใหญแํ ละกล๎ามเนอ้ื เลก็ อารมณ์ จติ ใจ สงั คม และสตปิ ญั ญา เกดิ จินตนาการ ความคิดสรา๎ งสรรค์ และสอดคล๎องกับจดุ ประสงค์ ดงั นี้ จดุ ประสงค์ ๑. เพ่อื พฒั นาอวยั วะทุกสํวนใหม๎ คี วามสัมพันธ์กันอยาํ งดีในการเคลื่อนไหว ๒. เพอ่ื ฝึกทักษะภาษา ฝกึ ฟังคาส่งั และข๎อตกลง ๓. เพอ่ื ฝึกใหเ๎ กดิ ทกั ษะในการฟังดนตรี หรือจงั หวะตํางๆ ๔. เพอื่ ให๎เกิดความทราบซงึ่ และสนุ ทรยี ภาพ ๕. เพอื่ ฝกึ ความจาและสร๎างเสริมประสบการณ์ ๖. เพอื่ ฝึกความเป็นผ๎นู าและผู๎ตามที่ดี ๗. เพอ่ื พฒั นาดา๎ นสังคม การปรบั ตัวและความรวํ มมือในกลมํุ ๘. เพื่อให๎โอกาสเดก็ ได๎แสดงออก มคี วามเช่ือมน่ั ในตนเอง และความคิดริเร่ิมสร๎างสรรค์

๙. เพือ่ ใหเ๎ กดิ ความสนุกสนาน ผอํ นคลายความตงึ เครียดท้ังรํางกายและจิตใจ ขอบขา่ ยของการจดั กจิ กรรมเคลอ่ื นไหวและจังหวะ ๑. การเคลอื่ นไหวราํ งกาย ๒. การฟังสญั ญาณและการปฏิบัติตามขอ๎ ตกลง ๓. การฝึกการเปน็ ผนู๎ าและผู๎ตามท่ดี ี ๔. การฝึกจนิ ตนาการและความคดิ สร๎างสรรค์ ๕. ความมีระเบยี บวนิ ยั ๖. การเรียนรจู๎ งั หวะ ๗. ความเพลิดเพลนิ สนุกสนาน ๘. การฝึกความจา ๙. การแสดงออก ๑๐. เนอ้ื หาของหนวํ ยการสอน รปู แบบการเคลอ่ื นไหว ๑. การเคลื่อนไหวพ้ืนฐาน เปน็ กิจกรรมที่ต๎องฝกึ ทุกครั้งกอํ นทจี่ ะเริ่มฝกึ กิจกรรมอน่ื ๆตํอไปลักษณะ การจัดกิจกรรมมีจดุ เน๎นในเร่อื งจงั หวะและการเคลอื่ นไหวหรือทําทางอยํางอิสระ การเคล่อื นไหวตามธรรมชาติ ของเด็ก มี ๒ ประเภท ไดแ๎ กํ ๑.๑ การเคล่ือนไหวอย่กู ับท่ี เชํน ปรบมอื ผงกศรี ษะ ขยบิ ตา ชันเขํา ขยบั มือและแขน มือและ นว้ิ มอื เท๎าและปลายเท๎า ๑.๒ การเคลอื่ นไหวเคลอ่ื นท่ี เชนํ คลาน คืบ เดิน ว่ิง กระโดด ควบมา๎ กา๎ วกระโดด เขยํง กา๎ วชดิ ๒. การเคลื่อนไหวท่ีสัมพนั ธ์กบั เนอื้ หา เปน็ กจิ กรรมทจี่ ัดให๎เด็กได๎เคลอ่ื นไหวรํางกายโดยเน๎นการ ทบทวนเรอ่ื งที่ไดร๎ ับร๎ูจากกิจกรรมอน่ื และนามาสมั พนั ธก์ บั สาระการเรียนร๎ู หรอื เรอ่ื งอืน่ ๆทเี่ ดก็ สนใจ เชนํ ๒.๑ การเคลอ่ื นไหวเลียนแบบ เปน็ การเคล่ือนไหวเลียนแบบสิ่งตํางๆรอบตัว เชํน การ เลยี นแบบทาํ ทางสตั ว์ การเลียนแบบทาํ ทางคน การเลยี นแบบเครื่องยนต์กลไกและเคร่ืองเลนํ การเลียบแบบ ปรากฏการธรรมชาติ ๒.๒ การเคลื่อนไหวตามบทเพลง เป็นการเคล่ือนไหวหรือทาทําทางประกอบเพลง เชนํ เพลงไกํ เพลงขา๎ มถนน เพลงสวัสดี ๒.๓ การทาท่าทางกายบริหารประกอบเพลงหรือคาคลอ้ งจอง เปน็ การเคล่อื นแบบกายบริหาร อาจจะมีทาํ ทางไมสํ ัมพนั ธ์กับเนอ้ื หาของเพลงหรือคาคลอ๎ งจอง เชนํ เพลงกามอื แบบมือ เพลงออกกาลงั คา คลอ๎ งจองฝนตกพราพรา ๒.๔ การเคล่อื นไหวเชิงสรา้ งสรรค์ เป็นการเคลือ่ นไหวที่ใหเ๎ ดก็ คดิ สรา๎ งสรรค์ทาํ ทางขึน้ เองหรือ อาจใช๎คาถามหรือคาส่ัง หรอื ใช๎อุปกรณ์ประกอบ เชํน หาํ งหวาย แถบผา๎ รบิ บน้ิ ถุงทราย ๒.๕ การเคล่ือนไหวหรือการแสดงท่าทางตามคาบรรยายท่ีครเู ลาํ หรือเรื่องราว หรือนทิ าน ๒.๖ การเคลอื่ นไหวหรือการแสดงท่าทางตามคาสงั่ เปน็ การเคล่ือนไหวหรือทาทาํ ทางตาม คาสัง่ ของครู เชนํ การจดั กลมํุ ตามจานวน การทาทําทางตามคาส่ัง

๒.๗ การเคล่ือนไหวหรอื การแสดงทา่ ทางตามขอ้ ตกลง เปน็ การเคลอื่ นไหวหรอื ทาทาํ ทางตาม ขอ๎ ตกลงทีไ่ ด๎ตกลงไวก๎ ํอนเรม่ิ กจิ กรรม ๒.๘ การเคลอื่ นไหวหรอื การแสดงทา่ ทางเป็นผ้นู า ผู้ตาม เปน็ การคิดทาํ ทางการเคลือ่ นไหว อยาํ งสร๎างสรรค์ของเด็กเองแล๎วให๎เพ่ือนปฏบิ ตั ติ าม จากขอบขํายของการจัดกจิ กรรมเคลือ่ นไหวและจังหวะขา๎ งต๎น ผสู๎ อนควรตระหนักถงึ ลกั ษณะของการ เคล่ือนไหวโดยการใชส๎ ํวนตํางๆของรํางกายใหป๎ ระสาทสัมพันธก์ นั อยํางสมบูรณ์ ดว๎ ยการเคลื่อนไหวลักษณะชา๎ เรว็ นมุํ นวล ทาทาํ ทางขึงขงั รําเรงิ มคี วามสขุ หรือโศกเศร๎า เสยี ใจ และการเคล่ือนไหวในทิศทางท่แี ตกตาํ งกัน เพอื่ เปน็ การฝกึ ใหเ๎ ดก็ ได๎เคลื่อนไหวทอี่ ิสระโดยใชบ๎ รเิ วณทอ่ี ยรํู อบๆตัวเด็ก ไดแ๎ กํ การเคลื่อนไหวไปข๎างหน๎า และข๎างหลงั ไปข๎างซ๎ายและข๎างขวา เคล่อื นตัวขึ้นและลง หรือหมนุ ไปรอบตวั โดยให๎มีระดับของการ เคลื่อนไหวสูง กลาง และต่า ในบรเิ วณพ้ืนท่ที ี่เด็กต๎องการเคล่อื นไหว สื่อกิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ ๑.เคร่อื งเคาะจงั หวะ เชนํ ฉิ่ง เหลก็ สามเหลยี่ ม กรบั รามะนา กลอง ๒. อปุ กรณป์ ระกอบการเคลื่อนไหว เชํน หนงั สือพมิ พ์ รบิ บ้ิน แถบผา๎ หํวงหวาย หํวงพลาสตกิ ฮลู าฮูบ ถุงทราย แนวการจดั กจิ กรรมเคลื่อนไหวและจงั หวะ ๑. เริม่ จากการทากจิ กรรมเคล่ือนไหวพน้ื ฐาน เพื่อเป็นการเตรียม โดยการแตะสัมผสั สํวนตาํ งๆ ของรํางกาย สารวจการใชส๎ วํ นตาํ งๆของราํ งกายในการเคลื่อนไหว ๒. อธบิ ายหรอื สรา๎ งข๎อตกลงรํวมกันในการกาหนดสญั ญาณ การใช๎เครอื่ งให๎จงั หวะ และการ กาหนดจังหวะ เชนํ ขอ๎ ตกลงเกีย่ วกับสัญญาณและจังหวะ จะใชเ๎ คร่ืองเคาะจังหวะเปน็ การกาหนดจงั หวะให๎ สม่าเสมอและชดั เจน อาจจะกาหนดดั้งน้ี ๒.๑ ให๎จงั หวะ ๑ ครั้ง สม่าเสมอ แสดงวํา ให๎เด็กเดินหรอื เคล่อื นไหวไปเรื่อยๆตามจงั หวะ ๒.๒ ใหจ๎ ังหวะ ๒ คร้ังติดกนั แสดงวํา ใหเ๎ ด็กหยดุ การเคลื่อนไหว โดยเด็กจะตอ๎ งหยดุ น่งิ จรงิ ๆหาก กาลงั อยใํู นทาํ ใด กต็ อ๎ งหยดุ นิ่งในทาํ น้นั จะเคลือ่ นไหวหรือเปล่ยี นทําไมํได๎ ๒.๓ ให๎จงั หวะรวั แสดงวาํ ใหเ๎ ด็กเคลื่อนไหวอยํางเรว็ หรอื เคลื่อนท่ีเรว็ ขึน้ แตไํ มํใชํการวง่ิ และสํง เสยี งดงั บางกิจกรรมอาจจะหมายถงึ การเปล่ยี นตาแหนงํ การทาตามคาสง่ั หรอื ข๎อตกลง ๓. ใหเ๎ ดก็ เคลือ่ นไหวอยาํ งอิสระตามความคิด หรอื จินตนาการของตนเอง โดยใช๎สวํ นตาํ งๆของราํ งกาย ใหม๎ ากท่สี ุด ในขณะเดียวกันต๎องคานึงถงึ องคป์ ระกอบพ้ืนฐานในการเคลื่อนไหว ได๎แกํ การใช๎รํางกายตนเอง การใช๎พื้นที่ การเคลื่อนไหวอยาํ งมีอสิ ระ มรี ะดับและทศิ ทาง ๔. ให๎เด็กทดลองปฏบิ ตั ิและปฏิบตั ิซา้ เพื่อให๎เดก็ ได๎เคลอื่ นไหวหลากหลายรูปแบบ ๕. หลังจากปฏบิ ัตกิ จิ กรรมใหเ๎ ด็กได๎พกั ผํอนตามอัธยาศยั โดยให๎เด็กนง่ั กับพนื้ ห๎อง ผ๎สู อนเปดิ เพลง เบาๆ ขอ้ เสนอแนะ ๑. ควรเรมิ่ กิจกรรมการเคลื่อนไหวท่เี ป็นอสิ ระ และมีวธิ กี ารที่ไมยํ งํุ ยากมากนัก เชนํ ให๎เดก็ ไดก๎ ระจายอยํภู ายในห๎องหรือบริเวณทฝ่ี ึก และให๎เคลือ่ นไหวไปตามธรรมชาติของเด็ก ๒. ควรให๎เด็กได๎แสดงออกดว๎ ยตนเองอยํางอสิ ระและเปน็ ไปตามความนึกคดิ ของเด็กเองครูไมคํ วร ชแี้ นะ

๓. ควรเปิดโอกาสให๎เด็กคิดหาวธิ ีเคลือ่ นไหว ท้ังทตี่ อ๎ งเคลื่อนที่และไมตํ ๎องเคลื่อนทเ่ี ปน็ รายบุคคล เปน็ คูเํ ป็นกลมํุ ตามลาดบั และกลมํุ ไมํควรเกนิ ๕-๖ คน ๔. ควรใชส๎ งิ่ ของท่หี าได๎งําย เชนํ ของเลํน กระดาษ หนงั สอื พิมพ์ เศษผา๎ เชือก ทํอนไม๎ ประกอบการเคลื่อนไหวและการใหจ๎ ังหวะ ๕. ควรกาหนดจงั หวะและสัญญาณนดั หมายในการเคล่ือนไหวตํางๆหรือเปล่ยี นทําหรอื หยุดให๎ เด็กทราบเม่ือทากจิ กรรมทุกครง้ั เชํน เมื่อให๎จังหวะ ๑ จังหวะ ใหเ๎ ดก็ ทาทํา ๑ ทํา ฯลฯ ๖. ควรสรา๎ งบรรยากาศอยาํ งอสิ ระ ชํวยใหเ๎ ดก็ รส๎ู ึกอบอุํน เพลดิ เพลนิ และรูส๎ กึ สบายและ สนุกสนาน ๗. ควรจัดใหม๎ ีรปู แบบของการเคลื่อนไหวทหี่ ลากหลาย เพือ่ ชวํ ยให๎เดก็ สนใจมากข้ึน ๘. กรณีเด็กไมํเขา๎ รวํ มกจิ กรรม ครไู มํควรใช๎วธิ บี งั คับ ควรใหเ๎ วลาและโนม๎ นา๎ วใหเ๎ ดก็ สนใจเข๎ารํวม กจิ กรรมด๎วยความสมัครใจ ๙. หลังจากเด็กไดท๎ ากิจกรรมแล๎ว ตอ๎ งใหเ๎ ด็กได๎พักและผํอนคลายอรยิ าบถ โดยเปดิ เพลงจังหวะชา๎ ๆ เบาๆ ๑๐. การจดั กิจกรรมควรจัดตามตารางกจิ วัตประจาวนั และควรจดั ใหเ๎ ป็นท่นี ําสนใจ เกดิ ความ สนกุ สนาน ๒. กจิ กรรเสริมประสบการณ์/กิจกรรมในวงกลม กิจกรรมเสริมประสบการณ/์ กิจกรรมในวงกลม เปน็ กจิ กรรมท่ีมุงํ เนน๎ ให๎เด็กได๎พัฒนาทักษะการ เรียนรู๎ มที ักษะการฟัง การพูด การอาํ น การสังเกต การคิดแกป๎ ัญหา การใชเ๎ หตุผล โดยการฝึกปฏิบัตริ วํ มกนั และการทางานเป็นกลมุํ ทง้ั กลมํุ ยอํ ยและกลํมุ ใหญํ เพ่ือใหเ๎ กิดควานคิดรวบยอดเกี่ยวเร่ืองทไ่ี ดเ๎ รียนรส๎ู อดคล๎อง กับจุดประสงค์ดงั น้ี จุดประสงค์ ๑. เพ่ือใหเ๎ ด็กเขา๎ ใจเนื้อหาและเร่ืองราวในหนํวยการจดั ประสบการณ์ ๒. เพ่ือฝกึ การใชภ๎ าษาในการฟัง พูด และการถํายทอดเรื่องราว ๓. เพอ่ื ฝึกมารยาทในการฟงั การพดู ๔. เพอ่ื ฝึกความมรี ะเบียบวนิ ยั ๕. เพอ่ื ให๎เดก็ เรียนรู๎ผํานการสังเกต เปรยี บเทยี บ ๖. เพื่อสํงเสริมความสามารถในการคิดรวบยอด การคิดแก๎ปัญหาและตัดสนิ ใจ ๗. เพ่ือสํงเสรมิ การเรียนรวู๎ ธิ ีแสวงหาความร๎ู เกดิ การเรยี นร๎ูจากการคน๎ พบด๎วยตนเอง ๘. เพ่ือฝกึ ให๎กลา๎ แสดงความคดิ เหน็ รวํ มแสดงความคดิ เห็นอยาํ งมีเหตผุ ลและยอมรบั ฟงั ความคิดเหน็ ของผ๎ูอืน่ ๙. เพอ่ื ฝกึ ให๎มีลักษณะนิสยั ใฝรุ ใ๎ู ฝเุ รยี น ๑๐. เพือ่ ฝึกลักษณะนิสัยใหม๎ ีคณุ ธรรม จริยธรรม ขอบข่ายสาระของกจิ กรรมเสริมประสบการณ์/กจิ กรรมวงกลม สาระท่ีควรเรียนรู้ สาระในสํวนน้ีกาหนดเฉพาะหัวข๎อไมํมีรายละเอียด ทั้งน้ีเพ่ือประสงค์จะ ใหผ๎ สู๎ อนสามารถกาหนดรายละเอยี ดขึ้นเองให๎สอดคลอ๎ งกับวยั ความต๎องการ ความสนใจของเด็ก อาจยืดหยํุน ไดโ๎ ดยคานึงถึงประสบการณ์ และสิ่งแวดล๎อมในชีวิตจริงของเด็ก ผ๎ูสอนสามารถนาสาระที่ควรเรียนรู๎มาบูรณา

การจัดประสบการณ์ตํางๆให๎งํายตํอการเรียนร๎ู ท้ังนี้มิได๎ประสงค์ให๎เด็กทํองจาเนื้อหา แตํต๎องการให๎เด็กเกิด แนวคิดหลังจากนาสาระการเรียนร๎ูนั้นๆมาจัดประสบการณ์ให๎เด็กเพื่อให๎บรรลุจุดมุํงหมายที่กาหนดไว๎ นอกจากน้ีสาระท่ีควรเรียนร๎ูยังใช๎เป็นแนวทางชํวยผู๎สอนกาหนดรายละเอียดและความยากงํายของเนื้อหาให๎ เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็ก สาระที่ควรเรียนร๎ูประกอบด๎วยเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเด็ก เรื่องราวเก่ียวกับ บุคคลและสถานที่แวดล๎อมเด็ก ธรรมชาติรอบตัว และส่ิงตํางๆรอบตัวเด็ก ดังนี้เรื่องราวเก่ียวกับตัวเด็ก เด็ก ควรเรียนร๎ูเก่ียวกับชื่อ นามสกุล รูปรํางหน๎าตา อวัยวะตํางๆ วิธีระวังรักษารํางกายให๎สะอาดและมีสุขภาพ อนามัยที่ดี การรับประทานอาหารท่ีมปี ระโยชน์ การรักษาความปลอดภัยของตนเอง รวมท้ังการปฏิบัติตํอผู๎อื่น อยํางปลอดภัย การร๎ูจักประวัติความเป็นมาของตนเองและครอบครัว การปฏิบัติตนเป็นสมาชิกที่ดีของ ครอบครัวและโรงเรียน การเคารพสิทธิของตนเองและผ๎ูอ่ืน การร๎ูจักแสดงความคิดเห็นของตนเองและรับฟัง ความคิดเห็นของผอ๎ู ื่น การกากบั ตนเอง การเลนํ และทาสิง่ ตาํ งๆดว๎ ยตนเองตามลาพังหรือกับอ่ืน การแสดงออก ทางอารมณแ์ ละความรูส๎ กึ อยํางเหมาะสม การแสดงมารยาททด่ี ี การมีคณุ ธรรมจรยิ ธรรม ๑. เรอื่ งราวเกีย่ วกับบคุ คลและสถานที่แวดล๎อมเดก็ เดก็ ควรเรยี นรู๎เกีย่ วกับครอบครัว สถานศึกษา ชุมชน และบุคคลตํางๆท่ีเด็กต๎องเก่ียวข๎องหรือใกล๎ชิดหรือมีปฏิสัมพันธ์ในชีวิตประจาวัน สถานท่ี สาคัญ วันสาคัญ อาชีพของคนในชุมชน ศาสนา แหลํงวัฒนธรรมในชุมชน สัญลักษณ์สาคัญของชาติไทย และ การปฏิบัตติ ามวฒั นธรรมในท๎องถน่ิ และความเปน็ ไทย หรือแหลงํ เรยี นร๎จู ากภูมปิ ญั ญาทอ๎ งถ่นิ อื่นๆ ๒. ธรรมชาตริ อบตัว เด็กควรเรยี นร๎เู ก่ียวกับชื่อ ลักษณะ สวํ นประกอบ การเปล่ยี นแปลงและ ความสัมพนั ธ์ของมนษุ ย์ สัตว์ พชื ตลอดจรการเรียนร๎ูเกี่ยวกับดิน น้า ท๎องฟูา สภาพอากาศ ภัยธรรมชาติ แรง และพลงั งานในชวี ติ ประจาวนั ที่แวดล๎อมเดก็ รวมทั้งการอนุรักษส์ งิ่ แวดลอ๎ มและการรกั ษาสาธารณสมบตั ิ ๓. สิ่งตํางๆรอบตัวเด็ก เด็กควรเรียนร๎ูเกี่ยวกับการใช๎ภาษาเพ่ือส่ือความหมายในชีวิตประจาวัน ความรู๎พ้ืนฐานเก่ียวกับการใช๎หนังสือและตัวหนังสือ รู๎จักชื่อ ลักษณะ สี ผิวสัมผัส ขนาด รูปรําง รูปทรง ปริมาตร น้าหนัก จานวน สํวนประกอบ การเปลี่ยนแปลงและความสัมพันธ์ของสิ่งตํางๆรอบตัว เวลา เงิน ประโยชน์การใช๎งาน และการเลือกใช๎สิ่งของเครื่องใช๎ ยานพาหนะ การคมนาคม เทคโนโลยีและการส่ือสาร ตํางๆ ท่ีใชอ๎ ยูํในชีวติ ประจาวนั อยาํ งประหยัด ปลอดภยั และรักษาส่ิงแวดล๎อม สอื่ กจิ กรรมเสรมิ ประสบการณ/์ กจิ กรรมในวงกลม ๑. สือ่ ของจริงทอี่ ยูํใกล๎ตวั และสอ่ื จากธรรมชาตหิ รอื วสั ดทุ ๎องถิ่น เชนํ ตน๎ ไม๎ ใบไม๎ เปลอื กหอย เส้อื ผา๎ ๒. ส่ือทีจ่ าลองข้นึ เชนํ ตน๎ ไม๎ ตก๏ุ ตาสตั ว์ ๓. สื่อประเภทภาพ เชํน ภาพพลิก ภาพโปสเตอร์ หนงั สือภาพ ๔. สอื่ เทคโนโลยี เชํน เครือ่ งบันทกึ เสียง เครื่องขยายเสยี ง โทรศัพท์ แมํเหล็ก แวนํ ขยาย เคร่ืองชง่ั กล๎องถาํ ยรูปดิจติ อล ๕. สอ่ื แหลํงเรยี นรู๎ เชํน แหลํงเรียนร๎ภู ายในและนอกสถานศกึ ษา เชํน แปลงเกษตร สวนผกั สมุนไพร ร๎านคา๎ สวนสตั ว์ แหลงํ ประกอบการในทอ๎ งถ่นิ แนวการจัดกจิ กรรมเสรมิ ประสบการณ์-กิจกรรมในวงกลม การจัดกจิ กรรมเสรมิ ประสบการณ/์ กจิ กรรมในวงกลม จัดไดห๎ ลายวิธี ได๎แกํ ๑. การสนทนาหรอื การอภปิ ราย เปน็ การพูดคุย ซักถามระหวาํ งเดก็ กับครู หรอื เด็กกบั เด็ก เปน็

การสงํ เสรมิ พฒั นาการทางงภาษาด๎านการพูดและการฟัง โดยการกาหนดประเด็นในการสนทนาหรืออภิปราย เดก็ จะได๎แสดงความคดิ เหน็ และยอมรับฟงั ความคดิ เหน็ ของผอ๎ู ืน่ ครหู รือผู๎สอนเปิดโอกาสให๎เด็กซักถาม โดยใช๎ คาถามกระต๎ุนหรือเลําประสบการณ์ท่ีแปลกใหมํ นาเสนอปัญหาท่ีท๎าทายความคิด การยกตัวอยําง การใช๎สื่อ ประกอบการสนทนาหรือการอภิปรายควรใชส๎ ่ือของจริง ของจาลอง รูปภาพ หรือสถานการณจ์ าลอง ๒. การเลา่ นิทานและการอ่านนิทาน เปน็ กจิ กรรมที่ครหู รอื ผูส๎ อนเลาํ หรืออํานเรอ่ื งราวจากนทิ าน โดยการใชน๎ า้ เสียงประกอบการเลําแตกตํางตามบุคลิกของตัวละคร ซึ่งครูหรือผ๎ูสอนควนเลือกสาระของนิทาน ให๎เหมาะสมกับวัย ส่ือท่ีใช๎อาจเป็นหนังสือนิทาน หนังสือ แผํนภาพ หุํนมือ หุํนน้ิวมือ หรือการแสดงทําทาง ประกอบการเลําเร่ือง โดยครูใช๎คาถามเพ่ือกระตุ๎นการเรียนร๎ู เชํน ในนิทานเรื่องนี้มีตัวละครอะไรบ๎าง เหตุการณ์ในนิทานเร่ืองนี้เกิดขึ้นที่ไหน เวลาใด หรือ ลาดับเหตุการณ์ที่เกิดข้ึนในนิทาน นิทานเรื่องนี้มีปัญหา อะไรบ๎าง และเดก็ ๆชอบเหตกุ ารณ์ใดในนทิ านเร่อื งนม้ี ากท่สี ดุ ๓. การสาธติ เป็นกิจกรรมทีเ่ ดก็ ได๎เรยี นรู๎จากประสบการณ์ตรง โดยแสดงหรือทาส่งิ ทีต่ อ๎ งการให๎ เด็กได๎สังเกตและเรียนรู๎ตามขั้นตอนของกิจกรรมนั้นๆ และเด็กได๎อภิปรายและรํวมกันสรุปการเรียนรู๎ การ สาธิตในบางคร้ังอาจให๎เด็กอาสาสมัครเป็นผู๎สาธิตรํวมกับครูหรือผู๎สอน เพ่ือนาไปสํูการปฏิบัติจริงด๎วยตนเอง เชนํ การเพาะเมลด็ การประกอบอาหาร การเปุาลูกโปงุ การเลํนเกมการศึกษา ๔. การทดลอง/การปฏบิ ตั ิ เป็นกิจกรรมทจี่ ัดให๎เดก็ ได๎รับประสบการณ์ตรง จากการลงมอื ปฏิบตั ิ ทดลอง การติดแก๎ปัญหา มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทักษะคณิตศาสตร์ ทักษะภาษา สํงเสริมให๎ เด็กเกิดข๎อสงสัย สืบค๎นคาตอบดว๎ ยตนเอง ผํานการวเิ คราะห์ สังเคราะหอ์ ยํางงําย สรุปผลการทดลอง อภิปราย ผลการทดลอง และสรุปการเรียนรู๎ โยกิจกรรมการทดลองวิทยาศาสตร์งํายๆ เชํน การเล้ียงหนอนผีเส้ือ การ ปลกู พชื ฝึกการสังเกตการณไ์ หลของนา้ ๕. การประกอบอาหาร เป็นกิจกรรมท่จี ัดให๎เดก็ ไดเ๎ รยี นรูผ๎ ํานการทดลองโดยเปิดโอกาสให๎เด็กได๎ ลงมือทดลองและปฏิบัติด๎วยตนเองเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของผัก เน้ือสัตว์ ผลไม๎ด๎วยวิธการตํางๆ เชํน ต๎ม นึ่ง ผัด ทอด หรือการรับประทานสด เด็กจะได๎รับประสบการณ์จากการสังเกตการเปล่ียนแปลงของอาหาร การรบั ร๎ูรสชาติและกลิ่นของอาหาร ดว๎ ยการใช๎ประสาทสัมผัสและการทางานรวํ มกนั เชนํ การทาอาหารจากไขํ ๖. การเพาะปลูก เป็นกิจกรรมทเี่ น๎นกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ์ ละคณิตศาสตร์ ซง่ึ เด็กจะได๎ เรียนร๎กู ารบูรณาการจะทาให๎เด็กได๎รีบประสบการณ์โดยทาความเข๎าใจความต๎องการของส่ิงมีชีวิตในโลก และ ชํวยให๎เด็กเข๎าใจความคิดรวบยอดเก่ียวกับส่ิงท่ีอยํูรอบตัวโดยการสังเกต เปรียบเทียบ และการคิดอยํางมี เหตผุ ล ซ่ึงเป็นการเปิดโอกาสใหเ๎ ด็กได๎คน๎ พบและเรยี นร๎ูดว๎ ยตนเอง ๗. การศึกษานอกสถานที่ เป็นการจัดกิจกรรมทัศนศึกษาท่ีให๎เด็กได๎เรียนรู๎สภาพความเป็นจริงนอก ห๎องเรยี น จากแหลงํ เรียนรใ๎ู นสถานศึกษา หรือแหลํงเรียนร๎ูในชุมชน เชํน ห๎องสมุด สวนสมุนไพร วัด ไปรษณีย์ พิพิธภัณฑ์ เพ่ือเป็นการเพ่ิมพูนประสบการณ์เรียนร๎ูแกํเด็ก โดยครูและเด็กรํวมกันวางแผนศึกษาส่ิงท่ีต๎องการ เรียนร๎ู การเดนิ ทาง และสรปุ ผลการเรียนร๎ูทีไ่ ด๎จากการไปศึกษานอกสถานที่ ๘. การเล่นบทบาทสมมติ เป็นกิจกรรมให๎เด็กสมมติตนเองเป็นตัวละคร และแสดงบทบาทตํางๆตาม เน้ือเรื่องในนิทาน เร่ืองราวหรือสถานการณ์ตํางๆโดยใช๎ความร๎ูสึกในการแสดง เพื่อให๎เด็กเข๎าใจเร่ืองราว ความร๎ูสึกและพฤติกรรมของตนเองและผู๎อื่นๆควรใช๎สื่อประกอบการเลํนสมมติ เชํน หํุนสวมศีรษะ ท่ีคาด ศรี ษะรปู คนและสัตวร์ ูปแบบตํางๆ เครอ่ื งแตํงกาย และอปุ กรณ์ของจรงิ ชนดิ ตาํ งๆ

๙. การร้องเพลงท่องคาคล้องจอง เป็นกิจกรรมที่จัดให๎เด็กได๎เรียนร๎ูเกี่ยวกับภาษา จังหวะ และการ แสดงทําทางใหส๎ มั พนั ธก์ บั เน้อื หาของเพลงหรือคาคลอ๎ งจอง ครูหรอื ผส๎ู อนควรเลือกใหเ๎ หมาะสมกับวยั ของเด็ก ๑๐. การเล่นเกม เป็นกิจกรรมที่นาเกมการเรียนร๎ูเพ่ือฝึกทักษะการคิด การแก๎ปัญหา และการทางาน เปน็ กลุํม เกมท่นี ามาเลํนไมค่ วรเน้นการแข่งขนั ๑๑. การแสดงละคร เป็นกิจกรรมที่เด็กจะได๎เรียนร๎ูเก่ียวกับการลาดับเร่ืองราว การเรียงลาดับ เหตุการณ์ หรือเร่ืองราวจากนิทาน การใช๎ภาษาในการส่ือสารของตัวละคร เพื่อให๎เด็กได๎เรียนรู๎และทาความ เข๎าใจบุคลิก ลักษณะของตัวละครที่เด็กสวมบทบาท ส่ือที่ใช๎ เชํน ชุดการแสดงท่ีสอดคล๎องกับบทบาทท่ีได๎รับ บทสนทนาที่เด็กใชฝ๎ ึกสนทนาประกอบการแสดง ๑๒. การใช้สถานการณ์จาลอง เป็นกิจกรรมที่เด็กได๎เรียนร๎ูแนวทางการปฏิบัติตนเมื่ออยํูใน สถานการณ์ที่ครูหรือผ๎ูสอนกาหนด เพอ่ื ใหเ๎ ด็กได๎ฝกึ การแกป๎ ัญหา เชนํ นา้ ทํวม โรคระบาด พบคนแปลกหนา๎ ขอ้ เสนอแนะ ๑. การจัดกิจกรรมควรให๎เด็กได๎รับประสบการณ์ตรง ใช๎ประสาทสัมผัสท้ังห๎าและมีโอกาสค๎นพบตัวเอง ให๎มากทสี่ ุด ๒. ผู๎สอนควรยอมรับความคิดเห็นท่ีหลากหลายของเด็กและให๎โอกาสเด็กได๎ฝึกคิดและแสดงความ คิดเหน็ ฝกึ ตงั้ สังเกต ๓. การจัดกิจกรรมเชิญวิทยากรมาใหค๎ วามรูเ๎ พ่มิ เติม เพ่อื ชวํ ยใหเ๎ ดก็ สนใจและสนกุ สนานย่ิงขึน้ ๔. ในท่ีเด็กทากิจกรรม หรือหลังจากทากิจกรรมเสร็จแล๎ว ผ๎ูสอนควรใช๎คาถามปลายเปิดที่ชวนให๎เด็ก คิด หลีกเล่ียงการคาถามที่มีคาตอบ “ใชํ” “ไมํใชํ” หรือมีคาถามให๎เด็กเลือกและผ๎ูสอนควรให๎เวลากับเด็กคิด คาตอบ ๕. ชํวงระยะเวลาท่ีจัดกิจกรรมสามารถยืดหยุํนได๎ตามความเหมาะสม โดยคานึงถึงความสนใจของ เด็กและความเหมาะสมของกิจกรรมน้ันๆ เชํน กิจกรรมการศึกษานอกสถานท่ี การประกอบอาหาร การปลูก พชื อาจใช๎เวลานานกวําทีก่ าหนดไว๎ ๖. ควนสรุปสง่ิ ตํางๆทไ่ี ด๎เรียนรู๎ใหเ๎ ดก็ เขา๎ ใจ ซ่งึ ครหู รอื ผส๎ู อน อาจใช๎คาถาม เพลง คาคล๎องจอง เกม การเรียนร๎ู แผนภมู ิ แผนผงั กราฟฟกิ ฯลฯ เพื่อนาไปใชใ๎ นชวี ติ ประจาวัน ๓. กิจกรรมศิลปะสรา้ งสรรค์ กจิ กรรมสร๎างสรรค์เป็นกิจกรรมทีม่ ํงุ พัฒนาการกระบวนการคิด การรับร๎ูเกี่ยวกับความงาม และสํงเสริม กระตุ๎นให๎เด็กแสดงออกทางอารมณ์ ความรู๎สึก ความคิดริเริ่มสร๎างสรรค์และจินตนาการ โยใช๎กิจกรรมศิลปะ หรอื กจิ กรรมอื่นท่เี หมาะสมกบั พัฒนาการของเด็กแตลํ ะวยั และสอดคล๎องกับจุดประสงค์ดังน้ี จุดประสงค์ ๑. เพื่อพฒั นากลา๎ มเนือ้ มอื และตาใหป๎ ระสานสัมพันธ์กัน ๒. เพอ่ื ให๎เด็กเกิดความเพลดิ เพลิน ชน่ื ชมในสงิ่ ทสี่ วยงาม ๓. เพื่อสงํ เสรมิ การปรับตวั ในการทางานรํวมกับผู๎อื่น ๔. เพอื่ สํงเสรมิ การแสดงออกและความมนั่ ใจในตนเอง ๕. เพื่อสงํ เสรมิ คุณธรรม จรยิ ธรรม และทกั ษะทางสังคม ๖. เพ่อื สงํ เสรมิ ทกั ษะทางภาษา ๗. เพ่อื ฝกึ ทกั ษะการสังเกต และการแก๎ปญั หา

๘. เพอื่ สงํ เสรมิ ความคดิ ริเริ่มสรา๎ งสรรค์ และจินตนาการ ขอบขา่ ยการจดั กิจกรรมศลิ ปะสรา้ งสรรค์ การจดั กิจกรรมสร๎างสรรค์ ประกอบด๎วย ๑. การวาดภาพและการระบายสี เชนํ การวาดภาพดว๎ ยสเี ทยี น หรือสีไม๎ การวาดภาพด๎วยสีนา้ ๒. การเลนํ กับสนี า้ เชํน การหยดสี การเทสี การเปุาสี ละเลงสีดว๎ ยน้ิวมือ ๓. การพิมพภ์ าพ เชํน การพิมพ์ภาพดว๎ ยพชื การพิมพ์ภาพดว๎ ยวัสดุตาํ งๆ ๔. การปั้น เชํน การป้นั ดนิ เหนียว การป้นั แปูงป้นั การป้ันดนิ น้ามนั การปั้นแปงู ขนมปัง ๕. การพบั ฉีก ตดั ปะ เชํน การพับใบตอง การฉกี กระดาษเสน๎ การตัดภาพตํางๆ ๖. การประติดวสั ดุ ๗. การประดษิ ฐ์ เชํน การประดษิ ฐเ์ ศษวัสดุ การรอ๎ ย การสาน ส่อื กิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ๑. การวามดภาพและระบายสี ๑.๑ สีเทียนแทํงใหญํ สไี ม๎ สีชอลก์ สนี า้ ๑.๒ พกูํ ันขนาดใหญํ (ประมาณเบอร์ ๑๒) ๑.๓ กระดาษ ๑.๔ เสอ้ื คลุม หรอื ผา๎ กนั เปื้อน ๒. การเลน่ กับสี ๒.๑ การเปาุ สี มี กระดาษ หลอดกาแฟ สีนา้ ๒.๒ การหยดสี มีกระดาษ หลอดกาแฟ พกํู ัน สีน้า ๒.๓ การพับสี มี กระดาษ สนี ้า พกูํ ัน ๒.๔ การเทสี มี กระดาษ สนี า้ ๒.๕ การละเลงสี มี กระดาษ สีนา้ แปงู เปยี ก ๓. การพิมพภ์ าพ ๓.๑ แมพํ ิมพต์ ํางๆจากของจริง เชนํ น้วิ มอื ใบไม๎ กา๎ นกลว๎ ย ๓.๒ แมพํ มิ พ์จากวัสดุอน่ื ๆ เชือก เสน๎ ด๎าย ตรายาง ๓.๓ กระดาษ ผา๎ เช็ดมอื สีโปสเตอร์ (สนี ้า สีฝนุ ) ฯลฯ) ๔. การปั้น เชํน ดนิ น้ามัน ดินเหนียว แปูงโดว์ แผนํ รองป้นั แมํพิมพ์รูปตาํ งๆ ไมน๎ วดแปงู ๕. การพับ ฉีก ตัดปะ เชํน กระดาษ หรือวัสดุอื่นๆที่จะใช๎พับ ฉีก ตัด ปะ กรรไกรขนาดเล็กปลาย มน กาวน้าหรือแปูงเปียก ผา๎ เชด็ มอื ๖. การประดิษฐ์เศษวัสดุ เชํน เศษวัสดุตํางๆ มีกลํองกระดาษ แกนกระดาษ เศษผ๎า เศษไหม กาว กรรไกร สี ผ๎าเช็ดมอื ๗. การร้อย เชํน ลกู ปดั หลอดกาแฟ หลอดดา๎ ย ๘. การสาน เชนํ กระดาษ ใบตอง ใบมะพรา๎ ว แนวการจัดกจิ กรรมศิลปะสร้างสรรค์ ๑. เตรียมจัดโต๏ะและอุปกรณ์ให๎พร๎อม และเพียงพอกํอนทากิจกรรม โดยจัดไว๎หลายๆกิจกรรมและ อยาํ งน๎อย ๓-๕ กจิ กรรม เพือ่ ให๎เดก็ มอี สิ ระในการเลือกทากจิ กรรมทสี่ นใจ

๒. ควรสรา๎ งข๎อตกลงในการทากจิ กรรม เพือ่ ฝึกให๎เด็กมีวินยั ในการอยูํรวํ มกนั ๓. การจัดให๎เด็กทากิจกรรม ควรให๎เด็กเลือกทากิจกรรมอยํางมีระเบียบ และทยอยเข๎ากิจกรรมโยจัด โต๏ะละ ๕-๖ คน ๔.การเปลยี่ นแปลงและหมนุ เวยี นทากจิ กรรม ต๎องสร๎างข๎อตกลงกบั เดก็ ใหช๎ ดั เจน เชํน หากกิจกรรมใด มีเพ่ือครบจานวนที่กาหนดแล๎ว ใหค๎ อยจนกวาํ จะมีทวี่ าํ ง หรือให๎ทากิจกรรมอ่นื กอํ น ๕. กิจกรรมใดเป็นกิจกรรมใหมํ หรือการใช๎วัสดุ อุปกรณ์ใหมํ ครูจะต๎องอธิบายวิธีการทา วิธีการใช๎ วธิ กี ารทาความสะอาด และการเกบ็ ของเขา๎ ท่ี ๖. เมื่อทางานเสร็จหรือหมดเวลา ควรเตือนให๎เด็กเก็บวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือเคร่ืองใช๎เข๎าที่และ ชํวยกันดแู ลหอ๎ งให๎สะอาด ขอ้ เสนอแนะ ๑. ควรจดั การจัดกิจกรรมศิลปะสรา๎ งสรรค์ ใหเ๎ ดก็ ทาทุกวัน วนั ละ ๓-๕ กิจกรรม และใหเ๎ ด็กเลือกทา อยํางน๎อย ๑-๒ กิจกรรมตามความสนใจ ควรเน๎นกระบวนการทางศิลปะของเด็กและไมํเน๎นให๎เด็กทา เหมือนกนั ทง้ั หอ๎ ง ๒. การจัดเตรยี มวสั ดุอปุ กรณ์ ควรพยายามหาวสั ดทุ อ๎ งถนิ่ มาใชก๎ ํอนเป็นอันดับแรก ๓. กํอนให๎เด็กทากิจกรรม ต๎องอธิบายวิธีการใช๎วัสดุท่ีถูกต๎องให๎เด็กทราบพร๎อมทั้งสาธิตให๎เด็กดูจน เข๎าใจ เชํน การใช๎พูํกันหรือกาว จะต๎องปาดพํูกันหรือกาวนั้นกับขอบพยัญชนะที่ใสํ เพ่ือไมํให๎กาวหรือสีไหล เลอะเทอะ ๔. ควรใหเ๎ ด็กทากิจกรรมอิสระ หรอื เป็นกลํมุ ยํอย เพ่อื ฝกึ การวางแผนและการทางานรวํ มกบั ผอ๎ู ื่น ๕. ควรแสดงความสนใจ และช่ืนชมผลงานของเด็กทุกคน และนาผลงานของเด็กทุกคนหมุนเวียนจัด แสดงท่ีปูายนเิ ทศ ๖. หากพบวําเด็กคนใดสนใจทากิจกรรมเดียวทุกคร้ัง ควรชักชวนให๎เปล่ียนทากิจกรรมอื่นบ๎าง เพราะกิจกรรมสรา๎ งสรรคแ์ ตลํ ะประเภทพัฒนาเด็กแตํละด๎านแตกตํางกัน และเม่ือเด็กทาตามที่แนะนาได๎ ควร ใหแ๎ รงเสรมิ ทางบวกทกุ ครง้ั ๗. เมอื่ เด็กทางานเสร็จ ควรให๎เลําเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่ทาหรือวาดภาพ โดยเขียนด๎วยตัวบรรจงและให๎ เดก็ เหน็ ลลี ามอื ในการเขียนทถ่ี ูกต๎อง ๘. เก็บผลงานช้ินที่แสดงความก๎าวหน๎าของเด็กเป็นรายบุคคลเพ่ือเป็นข๎อมูลสังเกตพัฒนาการของ เดก็ ๔. กิจกรรมการเลน่ ตามมุม กิจกรรมการเลํนตามมุม เป็นกิจกรรมท่ีเปิดโอกาสให๎เด็กเลํนอิสระตามมุมเลํน หรือมุม ประสบการณ์ หรอื กาหนดเปน็ พืน้ ทเี่ ลํนทีจ่ ัดไว๎ในห๎องเรียน ซึ่งพื้นท่ีหรือมุมตํางๆเหลําน้ี เด็กมีโอกาสเลือกเลํน ได๎อยํางเสรีตามความสนใจและความต๎องการของเด็ก ทั้งเป็นรายบุคคลและกลุํมยํอย เด็กอาจจะเลือกทา กิจกรรมทีค่ รูจดั เสรมิ ขนึ้ เชํน เกมการศึกษา เครอ่ื งเลํนสมั ผสั โยจดั ให๎สอดคล๎องกบั จดุ ประสงค์ จดุ ประสงค์ ๑. เพ่อื สํงเสรมิ พฒั นาการด๎านกล๎ามเนื้อใหญํ กล๎ามเนื้อเล็ก และการประสานสัมพันธ์ระหวําง มอื กับตา

๒. เพ่ือสํงเสริมให๎รู๎จักปรับตัวอยํูรํวมกับผู๎อื่น มีวินัยเชิงบวก รู๎จักการรอคอย เอื้อเฟ้ือเผื่อแผํ และใหอ๎ ภยั ๓. เพือ่ สํงเสรมิ ใหเ๎ ด็กมโี อกาสปฏิสัมพนั ธ์กบั เพอื่ น ครู และสง่ิ แวดลอ๎ ม ๔. เพ่อื สงํ เสริมพัฒนาการทางภาษา ๕. เพือ่ สํงเสรมิ ใหเ๎ ด็กมนี ิสัยรกั การอาํ น ๖. เพ่อื สงํ เสรมิ ให๎เด็กเกิดการเรยี นรด๎ู ว๎ ยตนเองจากการสารวจ การสงั เกต และการทดลอง ๗. เพอ่ื สํงเสริมให๎เด็กเกิดความคิดสร๎างสรรค์และจนิ ตนาการ ๘. เพื่อสํงเสรมิ การคิดแก๎ปญั หา การคดิ อยาํ งมเี หตผุ ลเหมาะสมกบั วยั ๙. เพอ่ื สงํ เสรมิ ให๎เด็กฝึกคิด วางแผน และตัดสินใจการทากิจกรรม ๑๐ เพ่ือสํงเสริมใหม๎ ที กั ษะพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ ๑๑. เพ่ือฝกึ การทางานรวํ มกัน ความรบั ผดิ ชอบ และระเบยี บวินยั ขอบขา่ ยของการจดั กจิ กรรมการเลน่ ตามมุม ๑. เปิดโอกาสให๎เด็กเลือกทาศิลปะสร๎างสรรค์และเลํนตามมุมเลํนในชํวงเวลาเดียวกันอยําง อิสระ ๒. การจัดมุมเลํนหรือมุมประสบการณ์ ควรจัดอยํางน๎อย ๓-๕ มุม ดังตัวอยํางมุมเลํนหรือมุม ประสบการณ์ ๒.๑ มมุ บลอ็ ก เปน็ มุมท่ีสํงเสริมใหเ๎ ดก็ เรยี นรูเ๎ ก่ยี วกับมิตสิ มั พันธ์เกย่ี วการสรา๎ ง ๒.๒ มุมหนังสือ เป็นมุมที่เด็กเรียนรู๎ เกี่ยวกับภาษา จากการฟัง การพูด การอําน การเลํา นทิ าน หรือการยมื -คนื หนงั สอื ๒.๓ มุมวิทยาศาสตร์หรือมุมธรรมชาติศึกษา เป็นมุมที่เด็กได๎เรียนร๎ูธรรมชาติรอบตัว ผําน การเลํนทดลองอยาํ งงําย ๒.๔ มุมเครื่องเลํนสัมผัส เป็นมุมที่เด็กได๎ฝึกประสานสัมพันธ์ระหวํางมือกับตา การ สรา๎ งสรรค์ เชํน การร๎อย การสานการตอํ เขา๎ การถอดออก ฯลฯ ๒.๕ มุมบทบาทสมมติ เป็นมุมท่ีเด็กได๎เรียนร๎ูเกี่ยวกับบทบาทของแตํละอาชีพหรือแตํละ หนา๎ ทีท่ ่ีเดก็ เลยี นแบบบทบาท ส่อื กจิ กรรมการเล่นตามมุม ๑. มุมบทบาทสมมติ อาจจัดเป็นมมุ เลนํ ตํางๆ เชํน ๑.๑ มุมบ้าน ๑) ของเลนํ เครอ่ื งใช๎ในครวั ขนาดเลก็ หรือของจาลอง เชํน เตา กระทะ ครก กาน้า เขียง มดี พลาสติก หมอ๎ จาน ชอ๎ น ถ๎วยชาม กะละมงั ๒) เคร่ืองเลนํ ตุก๏ ตา เสือ้ ผ๎าตก๏ุ ตา เปลเด็ก ตุ๏กตา ๓) เครอื่ งแตงํ บา๎ นจาลอง เชนํ ชดุ รับแขก โต๏ะเคร่ืองแปูง หมอนองิ หวี ตลับแปูง กระจก ขนาดเหน็ เตม็ ตัว ๔) เครอ่ื งแตํงกายบคุ คลอาชพี ตํางๆท่ีใชแ๎ ลว๎ เชนํ ชุดเคร่ืองแบบทหาร ตารวจ ชุดเสื้อผ๎า ผใ๎ู หญํชายและหญงิ รองเทา๎ กระเป๋าถือท่ีไมํใชแ๎ ลว๎ ๕) โทรศัพท์ เตารีดจาลอง ทรี่ ีดผา๎ จาลอง

๖) ภาพถํายและรายการอาหาร ๑.๒ มมุ หมอ ๑) เครอื่ งเลํนจาลองแบบเคร่อื งมอื แพทยแ์ ละอุปกรณ์การรักษาผ๎ูปุวย เชํน หูฟัง เส้ือคลุม หมอ ๒) อุปกรณส์ าหรบั การเรียนแบบบนั ทึกข๎อมูลผ๎ปู วุ ย เชนํ กระดาษ ดนิ สอ ๓) เคร่อื งช่งั นา้ หนกั วดั สวํ นสูง ๑.๓ มมุ ร้านค้า ๑) กลํองหรอื ขวดผลติ ภัณฑ์ตํางๆทใ่ี ช๎แล๎ว ๒) ผลไมจ๎ าลอง ผกั จาลอง ๓) อปุ กรณ์ประกอบการเลํน เชํน เครื่องคดิ เลข ลูกคดิ ธนบัตรจาลอง ๔) ปาู ยชอ่ื รา๎ น ๕) ปาู ยช่ือผลไม๎ ผักจาลอง ๒. มมุ บล็อก ๒.๑. ไมบ๎ ล็อกหรือแทงํ ไมท๎ มี่ ีขนาดและรูปทรงตาํ งๆกัน เชํน บล็อกตัว บล็อกโต๏ะ จานวนตั้งแตํ ๑๐๐ ชิ้นขึน้ ไป ๒.๒. ของเลนํ จาลอง เชํน รถยนต์ เครือ่ งบิน รถไฟ คน สตั ว์ ต๎นไม๎ ๒.๓. ภาพถาํ ยตาํ งๆ ๒.๔. ทจ่ี ดั เกบ็ ไม๎บลอ็ กหรอื แทงํ ไม๎อาจเป็นชัน้ ลงั ไมห๎ รอื พลาสตกิ แยกตามรูปทรง ขนาด ๓. มุมหนงั ส่อื ๓.๑.หนังสือภาพนิทาน หนังสอื ภาพทม่ี คี าและประโยคสั้นๆพรอ๎ มภาพ ๓.๒. ชัน้ หรอื ท่ีวางหนังสอื ๓.๓. อปุ กรณต์ าํ งๆทใี่ ชส๎ รา๎ งบรรยากาศการอาํ น เชนํ เสื่อ พรม หมอน ๓.๔. สมุดเซ็นยมื หนงั สอื กลับบา๎ น ๓.๕. อปุ กรณส์ าหรับการเขียน ๓.๖. อุปกรณ์เสริม เชนํ เคร่ืองเสยี ง แผนํ นิทานพร๎อมหนังสือนิทาน หูฟงั ๔. มุมวิทยาศาสตร์ หรอื มุมธรรมชาตศิ ึกษา ๔.๑ วสั ดุตาํ งๆจากธรรมชาติ เชนํ เมล็ดพืชตาํ งๆ เปลอื กหอย ดนิ หนิ แรํ ฯลฯ ๔.๒ เคร่ืองมอื เคร่ืองใชใ๎ นการสารวจ สังเกต ทดลอง เชนํ แวํนขยาย แมํเหล็ก เขม็ ทศิ เครอ่ื งช่ัง แนวการจัดกิจกรรมเล่นตามมมุ ๑. แนะนามมุ เลํนใหมํ เสนอแนะวธิ ีใช๎ การเลํนของเลนํ บางชนิด ๒. เด็กและครูรํวมกนั สรา๎ งข๎อตกลงเกย่ี วกับการเลนํ ๓. ครูเปิดโอกาสให๎เด็กคิด วางแผน ตัดสินใจเลือกเลํนอยํางอิสระ เลือกทากิจกรรมที่จัดข้ึน ตามความสนใจของเดก็ แตํละคน ๔. ขณะเดก็ เลํน/ทางาน ครอู าจช้แี นะ หรือมีสวํ นรํวมในการเลนํ กับเดก็ ได๎ ๕. เด็กต๎องการความชํวยเหลือและคอยสังเกตพฤติกรรมการเลํนของเด็กพร๎อมทั้งจดบันทึก พฤติกรรมที่นําสนใจ

๖. เตอื นให๎เด็กทราบลํวงหน๎ากํอนหมดเวลาเลํน ประมาณ ๓-๕ นาที ๗. ให๎เดก็ เก็บของเลํนเข๎าที่ใหเ๎ รยี บร๎อยทกุ ครงั้ เมอื่ เสร็จส้นิ กิจกรรม ขอ้ เสนอแนะ ๑. ขณะเดก็ เลนํ ครูต๎องสังเกตความสนใจในการเลํนของเด็ก หากพบวํามุมใด เด็กสํวนใหญํไมํ สนใจท่ีจะเลํนควรเปลี่ยนหรือจัดสื่อในมุมเลํนใหมํ เชํน มุมบ๎าน อาจดัดแปลงหรือเพิ่มเติม หรือเปล่ียนเป็นมุม ร๎านคา๎ มุมเสรมิ สวย มมุ หมอ ฯลฯ ๒. หากมุมใดมีจานวนเด็กในมมุ มากเกินไปควรเปดิ โอกาสให๎เดก็ เลือกเลนํ มมุ ใหมํ ๓. หากเดก็ เลือกมมุ เลนํ มุมเดียวเปน็ ระยะเวลานาน ควรชักชวนให๎เด็กเลือกมุมอ่ืนๆด๎วย เพ่ือให๎ เด็กมีประสบการณ์เรียนร๎ใู นด๎านอน่ื ๆด๎วย ๔. การจัดส่ือหรือเครื่องเลํนในแตํละมุม ควรมีการทาความสะอาด หรือสับเปลี่ยนหรือเพ่ิมเติม เป็นระยะโยคานึงถึงลาดับขั้นการเรยี นรู๎ เพ่อื ให๎เด็กเกดิ การเรียนรท๎ู ี่หลากหลาย ๕. กจิ กรรมการเลน่ กลางแจง้ กิจกรรมการเลํนกลางแจง๎ เปน็ กิจกรรมท่ีจัดให๎เด็กได๎มีโอกาสออกไปนอกห๎องเรียน เพ่ือเคล่ือนไหว รํางกายออกกาลัง และแสดงออกอยํางอสิ ระ โดยยึดความสนใจและความสามารถของเด็กแตํละคนเป็นหลักโย จดั ใหส๎ อดคลอ๎ งกบั จดุ ประสงค์ ดังนี้ จดุ ประสงค์ ๑. เพอื่ พัฒนากล๎ามเน้ือใหญํ กลา๎ มเน้อื เลก็ และการประสานสมั พนั ธร์ ะหวาํ งอวัยวะตํางๆ ๒. เพื่อสํงเสริมใหม๎ ีรํางกายแข็งแรง สุขภาพดี ๓. เพอื่ สํงเรมิ ใหเ๎ กดิ ความสนกุ สนาน ผอํ นคลายความเครยี ด ๔. เพื่อปรับตัว เลํนและทางานรวํ มกบั ผู๎อื่น ๕. เพ่อื เรียนรู๎การระมดั ระวงั รักษาความปลอดภัยท้งั ของตนเองและของผู๎อ่นื ๖. เพอื่ ฝกึ การตัดสินใจ และแกไ๎ ขปญั หาดว๎ ยตนเอง ๗. เพ่ือสํงเสรมิ ให๎มคี วามอยากรูอ๎ ยากเหน็ ส่งิ ตาํ งๆทแี่ วดลอ๎ มรอบตัว ๘. เพอ่ื พฒั นาทกั ษะการเรยี นรตู๎ าํ งๆ เชํน การสังเกต การเปรยี บเทยี บ จาแนก ฯลฯ ขอบขา่ ยของกิจกรรมการเลน่ กลางแจ้ง ลกั ษณะกจิ กรรมการเลํนกลางแจง๎ ทค่ี รคู วรจัดให๎เด็กเลํน ไดแ๎ กํ ๑. การเล่นเครือ่ งเลน่ สนาม เคร่อื งเลํนสนาม หมายถงึ เครอื่ งเลํนทอ่ี าจเปน็ ปีนปาุ ย หมนุ ซง่ึ ทาออกมาในรปู แบบตาํ งๆเ ๑) เคร่อื งเลํนสาหรับปนี ปาุ ย หรอื ตาขาํ ยสาหรับปีนเลนํ ๒) เคร่ืองเลนํ สาหรบั โยกหรือไกว เชํน มา๎ ไม๎ ชงิ ช๎า ม๎านั่งโยก ไมก๎ ระดก ๓) เคร่ืองเลํนสาหรับหมนุ เชํน มา๎ หมุน พวงมาลัยรถสาหรับหมนุ เลนํ ๔) ราวโหนขนาดเลก็ สาหรบั เดก็ ๕) ต๎นไมส๎ าหรบั เดินทรงตัว หรอื ไมก๎ ระดานแผํนเดียว ๖) เครือ่ งเลํนประเภทล๎อเลื่อน เชํน รถสามลอ๎ รถลากจูง

๒. การเล่นทราย ทรายเป็นสิ่งท่ีเด็กๆชอบเลํน ทั้งทรายแห๎ง ทรายเปียก นามากํอเป็นรูปตํางๆได๎และ สามารถนาวสั ดุอ่ืนมาประกอบการเลนํ ตกแตงํ ได๎ เชนํ กง่ิ ไม๎ ดอกไม๎ เปลอื กหอย พิมพข์ นม ทตี่ ักทราย ปกตบิ ํอทรายจะอยกํู ลางแจง๎ โยอาจจัดให๎อยํูใต๎รํมเงาของต๎นไม๎หรือสร๎างหลังคาทาขอบ ก้นั เพื่อมใิ หท๎ รายกระจัดกระจาย บางโอกาสอาจพรมน้าให๎ชนื้ เพ่ือเด็กจะได๎กํอเลนํ นอกจากนี้ ควรมีวิธการปิด กน้ั มใิ หส๎ ัตว์เลยี้ งลงไปทาความสกปรกในบําทรายได๎ ๓. การเล่นนา้ เดก็ ทวั่ ไปชอบเลํนน้ามาก การเลํนน้านอกจากสร๎างความพอใจและคลายความเครียดให๎ เดก็ ได๎แลว๎ ยงั ทาใหเ๎ ด็กเกิดการเรียนรอ๎ู ีกด๎วย เชนํ เรียนรูท๎ กั ษะการสงั เกต จาแนกเปรยี บเทียบปริมาตร อปุ กรณ์ท่ีใสํน้าอาจเป็นถังที่สร๎างขึ้นโดยเฉพาะหรืออํางน้าวางบนขาตั้งท่ีม่ันคง ความสูง พอท่ีเดก็ จะยนื ได๎พอดี และควรมผี ๎าพลาสตกิ กันเส้อื ผ๎าเปียกใหเ๎ ดก็ ใชค๎ ลุมระหวํางเลํน ๔. การเล่นสมมตใิ นบา้ นตุ๊กตาหรอื บา้ นจาลอง เป็นบ๎านจาลองสาหรับให๎เด็กเลํน จาลองจากบ๎านจริงๆอาจทาด๎วยเศษวัสดุประเภท ผ๎าใบ กระสอบปุาน ของจริงท่ีไมํใช๎แล๎ว เชํน หม๎อ เตา ชาม อําง เตารีด เคร่ืองครัว ต๏ุกตาสมมติเป็นบุคคลใน ครอบครัว เส้ือผ๎าผ๎ูใหญํที่ไมํใช๎แล๎วสาหรับผลัดเปล่ียน มีการตกแตํงบริเวณใกล๎เคียงให๎เหมือนบ๎านจริงๆ บางครง้ั อาจจัดเป็นร๎านขายของ สถานที่ทางานตาํ งๆเพือ่ ให๎เด็กเลํนสมมตตามจนิ ตนาการของเดก็ เอง ๕. การเลน่ ในมมุ ชา่ งไม้ เด็กต๎องการออกแรงเคาะ ตอก กิจกรรมการเลํนในมุมชํางไม๎น้ีจะชํวยในการพัฒนา กล๎ามเน้ือให๎แข็งแรง ชํวยฝึกการใช๎มือและการประสานสัมพันธ์ระหวํางมือกับตา นอกจากน้ียังฝึกให๎รักงาน และสงํ เสรมิ ความคดิ สรา๎ งสรรคอ์ กี ดว๎ ย ๖. การเลน่ เกมการละเล่น กิจกรรมการเลํนเกมการละเลํนท่ีจัดให๎เด็กเลํน เชํน เกมการละเลํนของไทย เกม การละเลํนของท๎องถิ่น เชํน มอญซํอนผ๎า รีรีข๎าวสาร แมํงู โพงพาง ฯลฯ การละเลํนเหลําน้ี ต๎องใช๎บริเวณที่ กว๎าง การเลํนอาจเลํนเป็นกลํุมเล็ก/กลํุมใหญํก็ได๎ กํอนเลํนครูอธิบายกติกาและสาธิตให๎เด็กเข๎าใจ ไมํควรนา เกมการละเลํนที่มีกติกายุํงยากและเน๎นการแขํงขันแพ๎ชนะ มาจัดกิจกรรมให๎กับเด็กวัยนี้ เพราะเด็กจะเกิด ความเครยี ดและสร๎างความร๎ูสกึ ท่ไี มํดตี ํอตนเอง ส่ือกิจกรรมการเลน่ กลางแจง้ ๑. การเลน่ เคร่อื งเลน่ สนาม เครอ่ื งเลนํ สนาม หมายถงึ เคร่อื งเลํนทเ่ี ด็กอาจปีนปุาย หมนุ ซ่ึงทาออกมาในรูปแบบตาํ งๆ เชํน ๑.๑ เครือ่ งเลํนสาหรบั ปนี ปุาย หรอื ตาขํายสาหรับปนี เลนํ ๑.๒ เคร่อื งเลนํ สาหรบั โยกหรือไกว เชํน ม๎าไม๎ ชงิ ชา๎ ม๎านัง่ โยก ไม๎กระดก ๑.๓ เครือ่ งเลนํ สาหรับหมุน เชํน มา๎ หมนุ พวงมาลัยรถสาหรบั หมุนเลนํ ๑.๔ ราวโหนขนาดเลก็ สาหรับเดก็ ๑.๕ ต๎นไม๎สาหรบั เดนิ ทรงตวั หรอื ไมก๎ ระดานแผนํ เดยี ว ๑.๖ เครือ่ งเลํนประเภทลอ๎ เลอื่ น เชนํ รถสามล๎อ รถลากจงู

๒. การเล่นทราย ทรายเป็นส่ิงท่ีเด็กๆชอบเลํน ทั้งทรายแห๎ง ทรายเปียก นามากํอเป็นรูปตํางๆได๎และ สามารถนาวสั ดอุ ่นื มาประกอบการเลนํ ตกแตงํ ได๎ เชนํ กง่ิ ไม๎ ดอกไม๎ เปลือกหอย พมิ พข์ นม ที่ตักทราย ปกตบิ ํอทรายจะอยูกํ ลางแจ๎ง โยอาจจัดให๎อยูํใต๎รํมเงาของต๎นไม๎หรือสร๎างหลังคาทาขอบ กัน้ เพอ่ื มิใหท๎ รายกระจดั กระจาย บางโอกาสอาจพรมน้าใหช๎ นื้ เพอ่ื เดก็ จะไดก๎ ํอเลํน นอกจากน้ี ควรมีวิธการปิด กั้นมิใหส๎ ัตวเ์ ล้ยี งลงไปทาความสกปรกในบําทรายได๎ ๓. การเลน่ น้า เด็กทว่ั ไปชอบเลํนน้ามาก การเลํนน้านอกจากสร๎างความพอใจและคลายความเครียดให๎ เดก็ ได๎แลว๎ ยังทาให๎เดก็ เกิดการเรยี นรู๎อกี ดว๎ ย เชํน เรียนร๎ูทกั ษะการสังเกต จาแนกเปรยี บเทียบปรมิ าตร อปุ กรณท์ ่ีใสํน้าอาจเป็นถังที่สร๎างข้ึนโดยเฉพาะหรืออํางน้าวางบนขาตั้งท่ีมั่นคง ความสูง พอท่ีเดก็ จะยนื ไดพ๎ อดี และควรมีผ๎าพลาสติกกันเสือ้ ผ๎าเปียกใหเ๎ ด็กใช๎คลมุ ระหวํางเลํน ๔. การเลน่ สมมตใิ นบา้ นต๊กุ ตาหรือบ้านจาลอง เป็นบ๎านจาลองสาหรับให๎เด็กเลํน จาลองจากบ๎านจริงๆอาจทาด๎วยเศษวัสดุประเภท ผ๎าใบ กระสอบปุาน ของจริงที่ไมํใช๎แล๎ว เชํน หม๎อ เตา ชาม อําง เตารีด เคร่ืองครัว ตุ๏กตาสมมติเป็นบุคคลใน ครอบครัว เส้ือผ๎าผู๎ใหญํที่ไมํใช๎แล๎วสาหรับผลัดเปล่ียน มีการตกแตํงบริเวณใกล๎เคียงให๎เหมือนบ๎านจริงๆ บางคร้ังอาจจดั เป็นร๎านขายของ สถานที่ทางานตาํ งๆเพื่อให๎เดก็ เลนํ สมมตตามจินตนาการของเด็กเอง ๕ การเล่นในมุมช่างไม้ เด็กต๎องการออกแรงเคาะ ตอก กิจกรรมการเลํนในมุมชํางไม๎น้ีจะชํวยในการพัฒนา กล๎ามเนื้อให๎แข็งแรง ชํวยฝึกการใช๎มือและการประสานสัมพันธ์ระหวํางมือกับตา นอกจากน้ียังฝึกให๎รักงาน และสงํ เสริมความคิดสร๎างสรรค์อีกด๎วย ๖. การเลน่ เกมการละเล่น กิจกรรมการเลํนเกมการละเลํนที่จัดให๎เด็กเลํน เชํน เกมการละเลํนของไทย เกม การละเลํนของท๎องถิ่น เชํน มอญซํอนผ๎า รีรีข๎าวสาร แมํงู โพงพาง ฯลฯ การละเลํนเหลํานี้ ต๎องใช๎บริเวณที่ กว๎าง การเลํนอาจเลํนเป็นกลํุมเล็ก/กลํุมใหญํก็ได๎ กํอนเลํนครูอธิบายกติกาและสาธิตให๎เด็กเข๎าใจ ไมํควรนา เกมการละเลํนท่ีมีกติกายํุงยากและเน๎นการแขํงขันแพ๎ชนะ มาจัดกิจกรรมให๎กับเด็กวัยน้ี เพราะเด็กจะเกิด ความเครียดและสรา๎ งความร๎สู กึ ท่ีไมดํ ตี อํ ตนเอง แนวการจดั กิจกรรม ๑. เด็กและครรู วํ มกนั สรา๎ งขอ๎ ตกลง ๒. จัดเตรียมวัสดุอปุ กรณ์ประกอบการเลํนให๎พร๎อม ๓. สาธิตการเลนํ เครอื่ งสนามบางชนิด ๔. ให๎เด็กเลือกเลํนอิสระตามความสนใจและให๎เวลาเลนํ นานพอควร ๕ ครคู วรจดั กจิ กรรมให๎เหมาะสมกับวยั (ไมํควรจัดกิจกรรมพลศึกษา) เชํน การเลํนน้า เลํนทราย เลํนบ๎านต๏ุกตา เลํนในมุมชํางไม๎ เลํนบล็อกลวง เคร่ืองเลํนสนาม เกมการละเลํน เลํนอุปกรณ์กีฬาสาหรับเด็ก เลํนเครื่องเลํนประเภทล๎อเลื่อน เลํนของเลนํ พ้ืนบา๎ น (เดินกะลา ฯลฯ)

๖. ขณะเด็กเลํนครูควรดูแลความปลอดภัยและสังเกตพฤติกรรมการเลํน การอยํูรํวมกันกับเพ่ือ ของเดก็ อยาํ งใกลช๎ ิด ๗. เมือ่ หมดเวลาควรให๎เด็กเก็บของใช๎หรอื ของเลนํ ให๎เรยี บรอ๎ ย ๘. ให๎เด็กทาความสะอาดราํ งกายและดแู ลเคร่ืองแตงํ กายให๎เรยี บร๎อยหลังเลํน ข้อเสนอแนะ ๑. หมั่นตรวจตราเครื่องเลํนสนามและอปุ กรณป์ ระกอบให๎อยํใู นสภาพท่ีปลอดภัยและใช๎การได๎ดี อยํเู สมอ ๒. ใหโ๎ อกาสเด็กเลือกเลนํ กลางแจ๎งอยาํ งอิสระทุกวัน อยํางนอ๎ ยวนั ละ ๓๐ นาที ๓. ขณะเด็กเลนํ กลางแจ๎ง ครตู อ๎ งคอยดูแลอยํางใกล๎ชิดเพ่ือระมัดระวังความปลอดภัยในการเลํน หากพบวําเดก็ แสดงอารมณเ์ หนอ่ื ย ออํ นลา๎ ควรใหเ๎ ด็กหยดุ ๔. ไมํควรนากิจกรรมพลศึกษาสาหรับเด็กประถมศึกษามาใช๎สอนกับเด็กระดับปฐมวัยเพราะยัง ไมเํ หมาะสมกับวัย ๕. หลังจากเลิกกิจกรรมกลางแจ๎ง ควรให๎เด็กได๎พักผํอนหรือนั่งพัก ไมํควรให๎เด็กรับประทาน อาหารกลาวงวนั หรือดื่มนมทันที เพราะอาจทาให๎เด็กอาเจียน เกดิ อาการจุกแนํนได๎ ๖. เกมการศึกษา เกมการศึกษา (Didactic games) เป็นเกมที่ชํวยพัฒนาสติปัญญาชํวยสํงเสริมให๎เด็กเกิดการเรียนร๎ู เป็นพื้นฐานการศกึ ษา มเี กณฑก์ ตกิ างํายๆเดก็ สามารถเลนํ คนเดยี วหรือเลนํ เป็นกลุมํ ได๎ ชํวยใหเ๎ ด็กสังเกต คิดหา เหตุผลและเกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับสี รูปรําง จานวน ประเภท และความสัมพันธ์เก่ียวกับพื้นที่ ระยะ เกทการศึกษาที่เหมาะสมจะชํวยฝึกทักษะความพร๎อมทางด๎านรํางกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญาสาหรับ เด็กวัย ๓-๖ ปี มจี ดุ ประสงค์ ดังนี้ จดุ ประสงค์ ๑. เพื่อฝกึ ทกั ษะการสงั เกต จาแนก และเปรียบเทยี บ ๒. เพ่ือฝกึ การแยกประเภท การจดั หมวดหมูํ ๓. เพอ่ื สงํ เสริมการคิดหาเหตุผล และตัดสินใจแกป๎ ัญหา ๔. เพ่อื สงํ เสริมใหเ๎ ดก็ เกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกบั สง่ิ ทไ่ี ดร๎ ๎ู ๕. เพือ่ สํงเสริมการประสานสมั พันธ์ระหวํางมือกบั ตา ๖. เพอ่ื ปลูกฝงั คณุ ธรรมและจริยธรรมตํางๆ เชํน ความรบั ผิดชอบ ความเอื้อเฟอื้ เผอ่ื แผํ ปะเภทของเกมการศกึ ษา ๑. เกมจับคูํ เชํน จับคูํภาพเหมือน จับคํูภาพกับเงา จับคํูภาพท่ีซํอนอยํูในภาพหลัก จับคูํภาพที่มี ความสัมพันธ์กัน จบั คํภู าพสมั พนั ธแ์ บบตรงกนั ขา๎ ม จับคภํู าพที่สมมาตร จับคูภํ าพแบบอนุกรม ฯลฯ ๒. เกมตํอภาพให๎สมบรู ณ์ (Jigsaws)หรอื ภาพตดั ตํอ ๓. เกมวางภาพตอํ ปลาย(โดมิโน) ๔. เกมเรียงลาดับ ๕. เกมการจัดหมวดหมูํ ๖. เกมการศกึ ษารายละเอยี ดของภาพ (ลอตโต๎) ๗. เกมจบั คูํแบบตารางสัมพันธ์ (เมตริกเกม)

๘. เกมพน้ื ฐานการบวก ๙. เกมหาความสัมพันธ์ตามลาดบั ทก่ี าหนด สอื่ เกมการศึกษา ๑. เกมจับคํู เพื่อใหเ๎ ด็กได๎ฝึกสงั เกตสิ่งท่ีเหมือนกันหรือตํางกันซ่ึงอาจเป็นการเปรียบเทียบภาพตํางๆแล๎ว จัดเป็นคํูๆตามจดุ มํุงหมายของเกมแตํละชุด เกมประเภทจบั คํนู ้ีสามารถแบํงได๎หลายอยําง ดังนี้ ๑.๑ เกมจับคภํู าพที่เหมือนกนั หรอื สง่ิ ของเดียวกนั ๑.๒ เกมจับคํูภาพสิ่งท่มี ีความสัมพนั ธก์ ัน ๑.๓ เกมจบั คภํู าพชนิ้ สวํ นทห่ี ายไป ๑.๔ เกมจบั ค๎ภู าพทสี่ มมาตรกนั ๑.๕ เกมจบั คูํภาพท่ีสมั พนั ธก์ นั แบบอุปมาอปุ มัย ๒. เกมภาพตัดตอํ ๒.๑ ภาพตัดตอํ ทสี่ ัมพนั ธ์กบั หนํวยการเรียนตาํ งๆ เชนํ ผลไม๎ ผกั ๒.๒ ภาพตดั ตํอแบบมิตสิ มั พนั ธ์ ๓. เกมจัดหมวดหมูํ ๓.๑ ภาพสิ่งตาํ งๆนามาจัดเป็นพวกๆ ๓.๒ ภาพเก่ยี วกับประเภทของใช๎ในชีวิตประจาวัน ๓.๓ ภาพจดั หมวดหมตูํ ามรปู ราํ ง สี ขนาด รูปทรงเรขาคณติ ๔. เกมภาพตอํ ปลาย (โดมโิ น) ๔.๑ โดมิโนภาพเหมือน ๔.๒ โดมโิ นสมั พันธ์ ๕. เกมเรยี งลาดบั ๕.๑ เรียงลาดับภาพเหตกุ ารณต์ อํ เนอื่ ง ๕.๒ เรยี งลาดับขนาด ๖. เกมศกึ ษารายละเอยี ดของภาพ (ลอตโต) ๗. เกมจบั คูํแบบตารามสมั พนั ธ์ (เมตริกเกม) ๘. เกมพ้นื ฐานการบวก แนวการจดั กิจรรมเกมการศกึ ษา ๑. แนะนากิจกรรมใหมํ ๒. สาธติ /อธบิ าย วธิ ีเลํนเกมอยํางมขี ้นั ตอนตามประเภทของเกม ๓. ใหเ๎ ด็กหมนุ เวยี นเขา๎ มาเลนํ เปน็ กลํมุ หรือรายบคุ คล ๔. ขณะที่เด็กเลนํ เกมครเู ปน็ เพยี งผูแ๎ นะนา ๕. เม่ือเด็กเลํนเกมแตํละชุดเสร็จเรียบร๎อย ควรให๎เด็กตรวจสอบความถูกต๎องด๎วยตนเองหรือ รํวมกันตรวจกับเพ่อื น หรอื ครเู ปน็ ผูช๎ ํวยตรวจ ๖. ให๎เดก็ นาเกมท่เี ลนํ แล๎วเกบ็ ใสํกลํอง เข๎าทใี่ ห๎เรยี บรอ๎ ยทกุ ครง้ั กํอนเร่มิ เกมชดุ อนื่

ข้อเสนอแนะ ๑. การจัดประสบการณ์เกมการศึกษาในระยะแรก ควรเร่ิมสอนโยใช๎ของจริง เชํน การจับคํู กระป๋องแปูงทเี่ หมอื นกนั หรอื การเรียงลาดบั กระป๋องแปูงตามลาดับสงู -ต่า ๒. การเลนํ เกมในแตํละวนั อาจจัดให๎เลนํ ทั้งเกมชุดใหมํและเกมชดุ เกํา ๓. ครอู าจใหเ๎ ด็กหมนุ เวียนเขา๎ มาเลนํ เกมกบั ครทู ลี ะกลํมุ หรอื สอนท้งั ชน้ั ตามความเหมาะสม ๔. ครูอาจให๎เดก็ ท่ีเลํนได๎แลว๎ มาชวํ ยแนะนากติกาการเลํนในบางโอกาสได๎ ๕. การเลํนเกมการศึกษา นอกจากใช๎เวลาในชํวงกิจกรรมเกมการศึกษาตามตารางกิจกรรม ประจาวนั แลว๎ อาจให๎เดก็ เลือกเลนํ อิสระในชวํ งเวลากจิ กรรมการเลนํ ตามมุมได๎ ๖. การเก็บเกมที่เลํนแล๎ว อาจเกบ็ ใสํกลอํ งเลก็ ๆหรอื ใสถํ ุงพลาสติกหรือใช๎ยางรัดแยกแตํละเกม แล๎วจดั ใสกํ ลอํ งใหญรํ วมไว๎เปน็ ชุด การสรา้ งบรรยากาศการเรยี นรู้ การจัดสภาพแวดล๎อมสาหรับเด็กปฐมวัย มีความสาคัญอยํางยิ่งเพราะมีผลตํอการเสริมสร๎าง พัฒนาการของเด็กทุกด๎านอันได๎แกํ พัฒนาการด๎านรํางกาย อารมณ์-จิตใจ สังคม และสติปัญญา ชํวยให๎เด็ก ได๎รบั ประสบการณต์ รง ไดเ๎ รียนรผ๎ู าํ นประสาทสัมผัสท้ัง ๕ ชํวยให๎เด็กได๎เรียนรู๎ในการเข๎าสังคม และอยํูรํวมกับ บุคลอื่นซ่ึงจะเป็นพ้ืนฐานในการใช๎ชีวิตตํอไปในสังคม ชํวยกระต๎ุนให๎เด็กเกิดความอยากรู๎อยากเห็น ค๎นคว๎า ทดลอง สังเกต คิดหาเหตุผล และแก๎ปัญหา ซึ่งเป็นพ้ืนฐานของกระบวนการคิดของเด็กตํอไปในอนาคต สิง่ แวดล๎อมทไี่ ด๎รบั การวางแผนเปน็ อยาํ งดจี ะเปิดโอกาสให๎เด็กได๎พัฒนาความร๎ูสึกของความเป็นอิสระ การเป็น ตวั ของตวั เองและประสบความสาเร็จ ขณะเดยี วกันเด็กกไ็ ดเ๎ รียนรู๎ขอบเขตความสามารถของตนเองอีกด๎วย ดังนั้น การจัดเตรียมสภาพแวดล๎อมท้ังภายในและภายนอกชั้นเรียนได๎อยํางเหมาะสม ถือเป็นสํวน สาคัญท่เี กีย่ วข๎องกบั พฤติกรรมและการเรยี นรข๎ู องเด็ก สิง่ แวดล๎อมเป็นสํวนหน่ึงของกระบวนการเรียนการสอน ท่ีจะชํวยให๎ครูบรรลุวัตถุประสงค์ และเปูาหมายที่ต้ังไว๎ ดังน้ันสถานศึกษาจึงมีความจาเป็นท่ีจะต๎องวาง แผนการจัดสภาพแวดล๎อมอยาํ งเหมาะสมกบั สภาพและความต๎องการของหลักสตู ร เพื่อสํงผลให๎บรรลุจุดหมาย ในการพฒั นาเด็ก การจดั สภาพแวดล๎อมจะต๎องคานงึ ถงึ ส่งิ ตอํ ไปนี้ ๑. ความสะอาด ความปลอดภยั ๒. ความมีอิสระอยาํ งมีขอบเขตมรการเลํน ๓. ความสะดวกในการทากิจกรรม ๔. ความพร๎อมของสถานท่ี เชนํ หอ๎ งเรียน หอ๎ งน้า สนามเด็กเลํน ฯลฯ ๕. ความเพยี งพอ เหมาะสมในเรอ่ื งขนาด น้าหนกั จานวน สขี องสื่อและเคร่ืองเลนํ ๖. บรรยากาศในการเรยี นรู๎ การจดั ทเี่ ลํนและมุมประสบการณต์ ํางๆ ๑.การจัดสภาพแวดล้อมในช้นั เรียน ห๎องเรียนสาหรับเด็กปฐมวัยควรมีขนาดใหญํ ท้ังน้ีเพราะเด็กต๎องการเน้ือท่ีในการทางาน เคลื่อนไหว และอยูรํ วํ มกบั ผ๎ูอืน่ ไดโ๎ ดยไมํรส๎ู กึ อดึ อดั พ้ืนทใี่ นการใช๎ส่อื ตํางๆ สารวจ เลํนกํอสร๎าง และแก๎ปัญหา พ้ืนท่ีในการ เคลื่อนไหว พนื้ ทีส่ ํวนตัว พื้นทีส่ าหรับเลนํ คนเดียวและเลํนกับผ๎ูอนื่ พื้นที่เกบ็ ของใช๎สํวนตวั และจดั แสดงผลงาน

การจัดสภาพแวดล๎อมในหอ๎ งเรียนควรยืดหยํุนได๎ และมีชีวิตชีวา ภายในห๎องเรียนจัดเป็นศูนย์การเรียนหรือมุม ตํางๆ อาทิ มมุ นทิ าน มมุ บทบาทสมมติ มุมบล็อก มุมศลิ ปะ มุมดนตรี มมุ วทิ ยาศาสตร์ มุมคณติ ศาสตร์ เป็นต๎น เดก็ ปฐมวยั จะเรยี นรู๎ได๎ดที ี่สดุ โดยผาํ นการปฏิสัมพนั ธก์ บั สงิ่ แวดล๎อมรอบตัว ด๎วยการลงมือกระทา เด็ก จึงต๎องการพื้นที่ท่ีสํงเสริมการเรียนร๎ู พื้นท่ีสาหรับผ๎ูใหญํที่จะรํวมเลํนและสนับสนุนความสนใจของเด็ก การ จดั แบํงพ้ืนทีภ่ ายในห๎องเรียนจะประกอบดว๎ ย ๖ สํวน ดังน้ี พ้ืนทเ่ี กบ็ ของใช้ส่วนตัวของเดก็ เชนํ ผ๎ากันเปอื้ น แปรงสฟี ัน แก๎วนา้ ฯลฯ อาจจะเป็นต๎ูยาวแยกเป็น ชํองรายบคุ คล หรือช้ันวางของเป็นชํองๆ โดยมชี ือ่ เด็กติดแสดงความเป็นเจ๎าของ ๒. พน้ื ที่กจิ กรรมกลุมํ ใหญํ เชํน กิจกรรมฟังนทิ าน ร๎องเพลงเคลอ่ื นไหว ฯลฯ ทที่ ารํวมกันทั้งชน้ั เรียน ๓. พืน้ ที่กจิ กรรมกลุมํ ยํอย เชํน กิจกรรมศิลปะรวํ มมือ กจิ กรรมทาหนังสือนิทานรวํ มกนั เปน็ กลมํุ ยอํ ย กจิ กรรมเรยี นร๎เู ก่ียวกับทักษะพ้ืนฐานทางวทิ ยาศาสตร์และคณติ ศาสตร์ ฯลฯ โดยสมาชิกกลํุมทีเ่ หมาะสม คือ ๔-๖ คน ทง้ั น้ีเพ่ือครจู ะได๎มีโอกาสปฏสิ ัมพันธไ์ ด๎ใกล๎ชิดและท่ัวถึงมากขึ้น ๔. พนื้ ท่สี าหรบั มุมเลนํ ได๎กาหนดใหม๎ มี ุมพน้ื ฐาน ๕ มมุ ประกอบด๎วย มมุ หนงั สือ มมุ บล็อก มมุ บ๎าน มุมศลิ ปะ และมุมของเลํนซงึ่ หมายถึงเครอื่ งเลํนสัมผัส เกมและของเลนํ บนโตะ๏ ท้งั นี้ หลกั การเรยี กชื่อมุมตํางๆ ดว๎ ยภาษาที่เดก็ เขา๎ ใจ จะไมํใช๎ภาษาซึง่ เป็นนามธรรมมากๆ เชํน มุมบทบาทสมมติ มุมเครือ่ งเลํนสมั ผัส นอกจากน้ี มมุ เลนํ ต๎องเปลีย่ นแปลงไปตามความสนใจของเดก็ เชนํ เมือ่ เด็กเกดิ ความสนใจหลากหลายมมุ บ๎าน กอ็ าจปรบั เปล่ียนเป็นมมุ รา๎ นเสริมสวยมมุ หมอ หรือมุมรา๎ นคา๎ ได๎ตามบริบทของสง่ิ ทเี่ ดก็ สนใจในขณะนน้ั มมุ เหลาํ นี้โรงเรยี นไดจ๎ ัดให๎มีของเลํนไว๎เพียงพอตํอความตอ๎ งการของเด็ก โดยมีการผลัดเปล่ยี นของเลนํ ตามมมุ ทุก สปั ดาห์ และใหเ๎ ดก็ มีสํวนรํวมในการจัดมุมของเลํน มุมตํางๆ ที่โรงเรียนจดั ให๎เด็ก ๕. พื้นทเ่ี กบ็ ของใชค๎ รู เชนํ หนังสอื คูํมือครู เอกสารโปรแกรมส่อื การสอนสํวนรวมของชั้นเรียน เชํน วสั ดศุ ลิ ปะตําง ๆ เป็นต๎น ๖. พน้ื ท่ีการจดั แสดงผลงานและการเก็บของ - จัดให๎มีที่แสดงผลงานเสนอภาพเขียน หรอื งานหัตถกรรมเด็กๆ - จัดทแี่ สดงใหน๎ าํ สนใจและสดชน่ื - ใหเ๎ ด็กเห็นของแปลกๆใหมๆํ ที่เด็กไมเํ คยเห็น - สงํ เสริมให๎เดก็ ๆรูจ๎ ักเลอื กสรรวําจะทาอะไร จดั แสดงอะไร ฯลฯ - กระต๎นุ ให๎เกิดความรอ๎ู ยากเห็น - สอนใหร๎ ๎จู ักจดั ของเปน็ กลุมํ และเลอื กของออกมาใชต๎ ามความต๎องการ - สร๎างนิสัยในการเก็บของให๎เป็นที่เปน็ ทาง * รปู แบบการจดั พ้ืนท่ี ภายในหอ๎ งเรียน จัดได๎หลายลกั ษณะ ขนึ้ อยูํกับการใช๎งานแตํละประเภท การจัดเก็บ (Storage) ๑. ส่อื ทเ่ี หมือนกันจัดเก็บหรือจัดวางไว๎ดว๎ ยกนั ๒. ภาชนะบรรจุสอื่ ควรโปรงํ ใสเพ่อื ให๎เด็กมองเหน็ สง่ิ ที่อยํภู ายในไดง๎ าํ ย และควรมีมือจับเพื่อใหส๎ ะดวก ในการขนยา๎ ย ๓. การใชส๎ ัญลกั ษณ์ (Labels) ควรมีความหมายตํอการเรยี นรูข๎ องเด็ก สัญลกั ษณท์ ามาจากสอื่ อุปกรณ์ของจรงิ ภาพถํายหรือภาพสาเนาภาพวาด ภาพโครงราํ งหรอื ภาพประจุด หรอื บัตรคาตดิ คูํกบั สญั ลักษณ์อยํางใดอยาํ งหนึ่ง วงจร \"ค๎นหา-ใช-๎ เก็บคืน\" สํงเสริมการเรียนร๎ู เพราะเดก็ ๆ ไดฝ๎ ึกการสงั เกต

เปรยี บเทียบ จัดกลมุํ เด็กได๎สั่งสมประสบการณ์สํงเสรมิ ความรบั ผิดชอบ ร๎ูจกั มนี ้าใจชวํ ยเหลือ เปน็ การเรยี นร๎ู ทางสังคม ดังน้ัน ครจู งึ ควรจดั เวลา \"เกบ็ ของเลนํ \" ทุกวันอยํางเพียงพอ มีสัญญาณเตอื นกํอนเวลาจะสิน้ สดุ ครู ควรชวํ ยเด็กเก็บของเลนํ เพื่อเป็นแบบอยาํ งและทาใหเ๎ ดก็ สนกุ สนาน ครตู อ๎ งไมํใชก๎ ารเก็บของเลนํ เขา๎ ทเ่ี ปน็ การ ลงโทษเดก็ นอกจากน้ีสื่อจะต๎องจัดวางไว๎ในระดับสายตาเด็ก (Eye-level)เพ่ือให๎เด็กมองเห็นได๎ชัดเจน สามารถ หยิบใช๎และจัดเก็บได๎ด๎วยตนเองไมํใช๎อยํูสูงจนเป็นอันตรายเวลาเอ้ือมหยิบ หรือต๎องพึ่งพาผ๎ูใหญํให๎หยิบให๎ ตลอดเวลา ๒. การจดั สภาพแวดล้อมนอกห้องเรยี น ๑. สนามเด็กเลํน ประกอบด๎วยเคร่ืองเลํนประเภทปีนปุาย ทรงตัว สนุกสนาน มีพ้ืนท่ีสาหรับว่ิงเลํน เพียงพอ และไมเํ กิดอนั ตรายตอํ เดก็ ๒. ทีพ่ ักผอํ น ได๎จดั โตะ๏ มา๎ หินออํ นไวต๎ ามรํมไม๎ ท่เี พยี งพอสาหรบั เดก็ ๓. บรเิ วณธรรมชาติ มกี ารปลูกไม๎ดอก ไมป๎ ระดับ พชื ผักสวนครัวตามฤดกู าล ๔. รั้วก้นั บรเิ วณอยาํ งเป็นสดั สํวน และเพือ่ ความปลอดภัย สือ่ และแหลง่ การเรยี นรู้ สื่อ เป็นตัวกลางในการถํายทอดเร่ืองราวเนื้อหาจากผ๎ูสํงไปยังผ๎ูรับในการเรียนการสอน ส่ือเป็น ตัวกลางนาความรู๎จากผ๎ูสอนสูํเด็ก ทาให๎เด็กเกิดการเรียนรู๎ตามจุดประสงค์ท่ีวางไว๎ ชํวยให๎เด็กได๎รับ ประสบการณ์ตรง ทาให๎ส่ิงที่เป็นนามธรรมเข๎าใจยากกลายเป็นรูปธรรมที่เด็กเข๎าใจงําย เรียนร๎ูได๎งําย รวดเร็ว เพลดิ เพลิน เกดิ การเรียนรแ๎ู ละคน๎ พบด๎วยตนเอง ๑.สื่อประกอบการจัดกิจกรรม สือ่ ประกอบการจดั กจิ กรรมเพอื่ พฒั นาเด็กปฐมวยั ทัง้ ทางด๎านราํ งกาย อารมณ์ จติ ใจ สังคม และสตปิ ัญญา ควรมสี อ่ื ทัง้ ที่เป็นประเภท ๒ มติ ิ และ ๓ มิติ ที่เปน็ สือ่ ของจรงิ สือ่ ธรรมชาติ สื่อทอ่ี ยใูํ กลต๎ ัวเดก็ สื่อสะท๎อนวฒั นธรรม สือ่ ที่ปลอดภัยตอํ ตวั เด็ก ส่อื เพอื่ พัฒนาเดก็ ในด๎านตํางๆ ให๎ ครบทกุ ด๎าน ส่ือทีเ่ อ้ือใหเ๎ ดก็ เรียนร๎ูผาํ นประสาทสัมผัสท้ังหา๎ โดยการจดั การใชส๎ อ่ื เรม่ิ ต๎นจาก สื่อของจริง ภาพถาํ ย ภาพโครงราํ ง และสัญลักษณ์ ท้ังนก้ี ารใช๎ส่ือต๎องเหมาะสมกบั วยั วุฒิภาวะ ความแตกตาํ งระหวาํ ง บคุ คล ความสนใจและความต๎องการของเดก็ ทีห่ ลากหลาย ตวั อยํางสือ่ ประกอบการจดั กิจกรรม มีดังนี้ กิจกรรมเสรี / การเล่นตามมุม ๑. มมุ บทบาทสมมติ อาจจัดเป็นมมุ เลนํ ดังนี้ ๑.๑ มุมบ้าน -ของเลํนเครอื่ งใช๎ในครวั ขนาดเลก็ หรอื ของจาลอง เชํน เตา กระทะ ครก กาน้า เขยี ง มีด พลาสติก หม๎อ จานชอ๎ น ถ๎วยชาม กะละมงั -เคร่ืองเลํนตุก๏ ตา เสื้อผา๎ ตุ๏กตา เตยี ง เปลเด็ก ตุ๏กตา -เครอ่ื งแตํงบ๎านจาลอง เชนํ ชดุ รบั แขก โต๏ะเคร่อื งแปงู หมอนอิง กระจกขนาดเห็นเตม็ ตวั หวี ตลับแปูง -เครอ่ื งแตํงกายบุคคลอาชีพตํางๆ ที่ใชแ๎ ล๎ว เชํน ชดุ เครอ่ื งแบบทหาร ตารวจ ชุดเสอ้ื ผา๎ ผู๎ใหญํชายและหญิง รองเท๎า กระเป๋าถอื ทไี่ มํใช๎แล๎ว

- โทรศพั ท์ เตารดี จาลอง ทร่ี ีดผ๎าจาลอง - ภาพถาํ ยและรายการอาหาร ๑.๒ มมุ หมอ - เครอื่ งแบบเครอื่ งมือแพทยแ์ ละอุปกรณ์การรักษาผูป๎ วุ ย เชํน หฟู งั เสื้อคลมุ หมอ - อุปกรณส์ าหรับบันทึกขอ๎ มูลผ๎ปู วุ ย เชนํ กระดาษ ดนิ สอ ฯลฯ ๑.๓ มุมรา้ นคา้ - กลอํ งและขวดผลติ ภัณฑ์ตาํ งๆ ทใี่ ช๎แล๎ว - อุปกรณ์ประกอบการเลนํ เชํนเคร่ืองคดิ เลข ลูกคิด ธนบตั รจาลอง ฯลฯ ๒. มมุ บลอ็ ก - ไมบ๎ ล็อกหรอื แทงํ ไม๎ท่มี ีขนาดรูปราํ งตาํ งๆ กัน จานวนต้งั แตํ ๕๐ ช้นิ ข้นึ ไป - ของเลํนจาลอง เชํน รถยนต์ เคร่ืองบนิ รถไฟ คน สัตว์ ตน๎ ไม๎ ฯลฯ ๓. มมุ หนังสือ - หนังสือภาพนิทาน สมดุ ภาพ หนังสอื ภาพทีม่ ีคาและประโยคสน้ั ๆ พรอ๎ มภาพประกอบ - ช้นั หรอื ท่วี างหนังสือ - อุปกรณต์ ํางๆทีใ่ ชใ๎ นการสร๎างบรรยากาศการอําน เชนํ เสอื่ พรม หมอน ฯลฯ - สมุดเซน็ ยมื หนงั สือกลบั บ๎าน - อปุ กรณ์สาหรับการเขียน - อุปกรณ์เสรมิ เชนํ เครือ่ งเลํนเทป ตลับเทปนิทานพร๎อมหนังสือนทิ าน หูฟงั ฯลฯ ๔. มุมวิทยาศาสตรห์ รือมุมธรรมชาติศกึ ษา - วสั ดตุ าํ งๆ จากธรรมชาติ เชํน เมล็ดพืช ตาํ งๆ เปลอื กหอย ดิน หิน แรํ ฯลฯ - เครือ่ งมอื เครื่องใช๎ในการสารวจ สังเกต ทดลอง เชํน แวํนขยาย แมํเหลก็ เข็มทศิ เครื่องชัง่ ฯลฯ กจิ กรรมสรา้ งสรรค์ ควรมีวสั ดุ อุปกรณ์ ดังน้ี ๑. การวาดภาพและระบายสี - สเี ทียนแทํงใหญํ สีไม๎ สีชอลก์ สีนา้ - พกํู ันขนาดใหญํ ( ประมาณเบอร์ ๑๒ ) - กระดาษ - เสื้อคลุม หรอื ผ๎ากันเปอ้ื น ๒. การเลํนกับสี - การเปุาสี มี กระดาษ หลอดกาแฟ สนี า้ - การหยดสี มี กระดาษ หลอดกาแฟ พํูกัน สนี ้า - การพับสี มี กระดาษ สนี ้า พูกํ ัน - การเทสี มี กระดาษ สีน้า - การละเลงสี มี กระดาษ สีนา้ แปูงเปยี ก

๓. การพิมพภ์ าพ - แมํพมิ พ์ตาํ งๆ จากของจริง เชํน นว้ิ มือ ใบไม๎ กา๎ นกล๎วย ฯลฯ - แมพํ ิมพ์จากวสั ดอุ น่ื ๆ เชนํ เชอื ก เส๎นด๎าย ตรายาง ฯลฯ - กระดาษ ผ๎าเชด็ มอื สโี ปสเตอร์ (สีนา้ สฝี ุน ฯลฯ) ๔. การป้ัน เชํน ดนิ น้ามนั ดินเหนยี ว แปงู โดว์ แผํนรองปั้น แมพํ มิ พร์ ูปตํางๆ ไม๎นวดแปูง ฯลฯ ๕. การพับ ฉกี ตัดปะ เชํนกระดาษ หรอื วัสดอุ ืน่ ๆ ท่ีจะใชพ๎ บั ฉีก ตดั ปะ กรรไก ขนาดเล็ก ปลายมน กาวนา้ หรือแปูงเปยี ก ผ๎าเช็ดมือ ๖. การประดษิ ฐเ์ ศษวัสดุ เชนํ เศษวสั ดุตํางๆ มีกลํองกระดาษ แกนกระดาษ เศษผา๎ เศษไหม กาว กรรไกร สผี า๎ เช็ดมอื ฯลฯ ๗. การรอ๎ ย เชนํ ลูกปดั หลอดกาแฟ หลอดดา๎ ย ฯลฯ ๘. การสาน เชํน กระดาษ ใบตอง ใบมะพรา๎ ว ฯลฯ ๙. การเลํนพลาสติกสรา๎ งสรรค์ พลาสตกิ ช้ินเลก็ ๆ รปู ทรงตาํ งๆ ผ๎ูเลนํ สามารถนามาตอํ เป็นรปู แบบ ตํางๆ ตามความต๎องการ ๑๐.การสรา๎ งรปู เชํน จากกระดานปักหมุด จากแปนู ตะปทู ่ใี ช๎หนังยางหรอื เชือกผกู ดงึ ใหเ๎ ป็นรปู ตาํ งๆ ได๎ เกมการศึกษา ตวั อย่างส่อื ประเภทเกมการศกึ ษามดี ังน้ี ๑. เกมจบั คํู - จับคูรํ ํางทเ่ี หมือนกัน - จับคํภู าพเงา - จบั คํูภาพทซ่ี ํอนอยํูในภาพหลัก - จับคสํู ิ่งท่ีมีความสัมพนั ธก์ นั สงิ่ ที่ใช๎คกํู ัน - จับคูํภาพสํวนเต็มกับสํวนยํอย - จับคภํู าพกับโครงรําง - จับคภํู าพชิ้นสวํ นท่หี ายไป - จบั คภูํ าพที่เป็นประเภทเดียวกัน - จบั คภํู าพท่ีซ๎อนกัน - จบั คูํภาพสัมพนั ธแ์ บบตรงกันข๎าม - จบั คูํภาพที่สมมาตรกนั - จบั คภํู าพแบบอปุ มาอุปไมย - จับคูํอนุกรม ๑. เกมภาพตัดตอํ - ภาพตดั ตอํ ทส่ี มั พันธ์กับหนํวยการเรยี นตํางๆ เชํน ผลไม๎ ผัก ฯลฯ ๒. เกมจดั หมวดหมูํ - ภาพส่งิ ตํางๆ ท่ีนามาจดั เปน็ พวก - ภาพเกย่ี วกับประเภทของใชใ๎ นชวี ิตประจาวนั

- ภาพจดั หมวดหมูตํ ามรปู รํางสี ขนาด รปู ทรง เรขาคณติ ๓. เกมวางภาพตํอปลาย (โดมโิ น) - โดมโิ นภาพเหมอื น - โดมิโนภาพสมั พนั ธเ์ กมเรียงลาดับ - เรยี งลาดบั ภาพเหตกุ ารณต์ ํอเน่อื ง - รยี งลาดบั ขนาด ๔. เกมศึกษารายละเอยี ดของภาพ (ลอตโต) ๕. เกมจับคํแู บบตารางสมั พันธ์ (เมตรกิ เกม) ๖. เกมพื้นฐานการบวก กจิ กรรมเสริมประสบการณ์/กิจกรรมในวงกลม ตัวอย่างสื่อมดี ังน้ี ๑. สื่อของจรงิ ทีอ่ ยูใํ กล๎ตวั และสื่อจากธรรมชาตหิ รือวสั ดุทอ๎ งถิ่น เชนํ ตน๎ ไม๎ ใบไม๎ เปลอื กหอย เสื้อผ๎า ๒. สอ่ื ทีจ่ าลองขึน้ เชนํ ลกู โลก ตุ๏กตาสตั ว์ ฯลฯ ๓. สอื่ ประเภทภาพ เชํน ภาพพลกิ ภาพโปสเตอร์ หนงั สอื ภาพ ฯลฯ ๔. ส่อื เทคโนโลยี เชนํ วิทยุ เครอ่ื งบนั ทกึ เสยี ง เครอ่ื งขยายเสียง โทรศพั ท์ ฯลฯ กจิ กรรมกลางแจ้ง ตัวอยา่ งสอื่ มดี งั น้ี ๑. เคร่อื งเลนํ สนาม เชนํ เคร่ืองเลนํ สาหรับปนี ปาุ ย เคร่ืองเลํน ประเภทลอ๎ เลอ่ื น ฯลฯ ๒. มเี ลนํ ทราย มีทรายละเอียด เครือ่ งเลนํ ทราย เครอ่ื งตวง ฯลฯ ๓. ที่เลํนน้า มีภาชนะใสํน้าหรืออํางน้าวางบนขาต้ังที่ม่ันคง ความสูงพอท่ีเด็กจะยืนได๎พอดี เสื้อคลุมหรือ ผา๎ กันเป้อื นพลาสติก อปุ กรณ์เลนํ น้า เชํน ถ๎วยตวง ขวดตํางๆ สายยางกรวยกรอกนา้ ต๏กุ ตายาง กิจกรรมเคลอื่ นไหวและจงั หวะ ตวั อยา่ งสื่อมีดงั นี้ ๑. เครื่องเคาะจงั หวะ เชํน ฉิ่ง เหลก็ สามเหลย่ี ม กรบั รามะนา กลอง ฯลฯ ๒. อุปกรณ์ประกอบการเคล่อื นไหว เชํน หนงั สือพิมพ์ ริบบนิ้ แถบผา๎ หวํ ง หวาย ถงุ ทราย ฯลฯ ๒. การเลือกสื่อ มีวธิ กี ารเลือกสอ่ื ดงั น้ี ๑. เลอื กให๎ตรงใหต๎ รงกับจุดมุํงหมายและเร่ืองท่ีสอน ๒. เลอื กใหเ๎ หมาะสมกบั วยั และความสามารถของเด็ก ๓. เลือกให๎เหมาะสมกับสภาพแวดล๎อมของท๎องถน่ิ ที่เด็กอยหูํ รือสถานภาพของสถานศึกษา ๔. มวี ธิ ีการใช๎งาํ ย และนาไปใชไ๎ ด๎หลายกิจกรรม ๕. มคี วามถูกตอ๎ งตามเนือ้ หาและทันสมัย ๖. มคี ุณภาพดี เชํน ภาพชัดเจน ขนาดเหมาะสม ไมใํ ช๎สสี ะท๎อนแสง ๗. เลือกส่ือทีเ่ ดก็ เขา๎ ใจงํายในเวลาอนั สน้ั ไมํซับซอ๎ น ๘. เลือกส่อื ทส่ี ามารถสมั ผัสได๎ ๙. เลือกส่ือเพ่อื ใช๎ฝกึ และสํงเสรมิ การคดิ เป็น ทาเป็น และกล๎าแสดงความคดิ เหน็ ดว๎ ยความมนั่ ใจ ๓. การจัดสอ่ื สามารถจัดหาไดห้ ลายวธิ ีดังนี้ ๑. จดั หาโดยการขอยืมจากแหลํงตาํ งๆ เชํนศนู ยส์ ่ือของสถานศึกษาของรัฐบาล หรอื สถานศกึ ษาเอกชน

๒. จดั ซอ้ื สื่อและเคร่ืองเลํนโดยวางแผนการจัดซื้อตามลาดับความจาเป็นเพื่อให๎สอดคล๎องกับงบประมาณ ทที่ างสถานศกึ ษาสามารถจัดสรรให๎และสอดคลอ๎ งกับแผนการจดั ประสบการณ์ ๓. ผลติ ส่อื และเครอื่ งเลนํ ขึ้นใช๎เองโดยใชว๎ สั ดทุ ่ีปลอดภัยและหางํายเป็นเศษวัสดุเหลือใช๎ท่ีมีอยูํในท๎องถ่ิน น้ันๆ เชํน กระดาษแข็งจากลังกระดาษ รูปภาพจากแผํนปูายโฆษณา รูปภาพจากนิตยสารตํางๆ เป็น ต๎น ๔. ขน้ั ตอนการดาเนินการผลติ ส่อื สาหรบั เดก็ มีดงั น้ี ๑. สารวจความต๎องการของการใช๎สอื่ ใหต๎ รงกับจุดประสงคส์ าระการเรยี นร๎ูและกจิ กรรมท่จี ดั ๒. วางแผนการผลิต โดยกาหนดจุดมุํงหมายและรปู แบบของสื่อให๎เหมาะสมกับวัยและความสามารถของ เด็กส่อื นั้นจะต๎องมีความคงทนแข็งแรง ประณตี และสะดวกตอํ การใช๎ ๓. ผลิตสื่อน้นั ตามรูปแบบทเ่ี ตรียมไว๎ ๔. นาส่อื ไปทดลองใช๎หลายๆ ครั้งเพ่ือหาข๎อดี ขอ๎ เสยี จะไดป๎ รับปรุงแกไ๎ ขให๎ดีย่งิ ขึน้ ๕. นาส่อื ทปี่ รบั ปรงุ แก๎ไขแล๎วไปใช๎จริง ๖. การใชส้ ือ่ ดาเนินการดงั น้ี ๑. การเตรยี มพรอ๎ มกํอนใชส๎ ื่อ มีขั้นตอนดงั นี้ คือ เตรยี มตวั ผูส๎ อน - ผส๎ู อนจะตอ๎ งศึกษาจุดมํุงหมายและวางแผนวําจะจัดกจิ กรรมอะไรบา๎ ง - เตรียมจัดหาสอ่ื และศกึ ษาวธิ กี ารใชส๎ ่อื - จดั เตรยี มสื่อและวัสดุอนื่ ๆ ทจ่ี ะตอ๎ งใช๎รวํ มกัน - ทดลองใช๎สื่อกอํ นนาไปใช๎จริง เตรยี มตัวเดก็ - ศกึ ษาความรพ๎ู ้นื ฐานเดมิ ของเดก็ ใหส๎ ัมพนั ธ์กับเรือ่ งท่จี ะสอน - เร๎าความสนใจเด็กโดยใชส๎ อื่ ประกอบการเรียนการสอน - ให๎เด็กมีความรับผิดชอบ ร๎ูจักใช๎สื่ออยํางสร๎างสรรค์ ไมํใชํทาลาย เลํนแล๎วเก็บให๎ถูกที่ เตรียมสอ่ื ใหพ๎ ร๎อมกํอนนาไปใช๎ - จดั ลาดบั การใชส๎ อ่ื วาํ ใช๎อะไรกอํ นหรอื หลัง เพอ่ื ความสะดวกในการสอน - ตรวจสอบและเตรียมเคร่ืองมอื ให๎พรอ๎ มทจี่ ะใชไ๎ ด๎ทันที - เตรยี มวสั ดอุ ปุ กรณ์ที่ใชร๎ วํ มกบั สื่อ การนาเสนอสื่อ เพือ่ ใหบ๎ รรลผุ ลโดยเฉพาะในกิจกรรมเสริมประสบการณ์ควรปฏบิ ัตดิ ังน้ี - สร๎างความพร๎อมและเรา๎ ความสนใจให๎เด็กกอํ นจัดกจิ กรรมทกุ ครง้ั - ใช๎ส่ือตามลาดับขน้ั ตอนของแผนการจัดกิจกรรมท่ีกาหนดไว๎ - ไมํควรใหเ๎ ด็กเหน็ สือ่ หลายๆชนิดพร๎อมๆกนั เพราะจะทาให๎เด็กไมสํ นใจกจิ กรรมทสี่ อน - ผ๎ูสอนควรยืนอยดูํ า๎ นขา๎ งหรอื ดา๎ นหลังของส่ือท่ใี ช๎กับเดก็ พร๎อมท้งั สารวจข๎อบกพรํองของ - สอื่ ทใี่ ช๎ เพื่อนาไปปรบั ปรงุ แกไ๎ ขใหด๎ ีข้นึ - เปิดโอกาสใหเ๎ ด็กไดร๎ วํ มใชส๎ ่ือ

๖. ข้อควรระวงั ในการใช้ส่อื การเรียนการสอน การใช้ส่อื ระดบั ปฐมวัยควรระวงั ในเร่ืองต่อไปนี้ ๑. วสั ดุท่ีใช๎ ตอ๎ งไมมํ พี ิษ ไมหํ กั และแตกงาํ ย มพี ้ืนผวิ เรยี บ ไมํเปน็ เส้ียน ๒. ขนาด ไมํควรมขี นาดใหญเํ กินไป เพราะยากตอํ การหยิบยก อาจตกลงมาเสียหายและเปน็ อันตราย ตํอเด็กหรือใช๎ไมํสะดวก เชํน กรรไก ขนาดใหญํ โต๏ะ เก๎าอี้ท่ีใหญํหรือสูงเกินไป และไมํควรมีขนาดเล็กเกินไป เด็กอาจนาอมหรอื กลืนทาให๎ตดิ คอหรือไหลลงท๎องได๎เลํน ลูกปดั ลกู แกว๎ ฯลฯ ๓. รูปทรง ไมเํ ปน็ ทรงแหลม รปู ทรงเหล่ียม เป็นสนั ๔. น้าหนัก ไมคํ วรมนี า้ หนกั มาก เพราะเดก็ ยกหรอื หยบิ ไมํไหว อาจจะตกลงมาเปน็ อันตรายตํอตวั เด็ก ๕. สอ่ื ทีเ่ ปน็ อนั ตรายตอํ ตัวเดก็ เชนํ สารเคมี วัตถไุ วไฟ ฯลฯ ๖. สที ม่ี อี ันตรายตํอสายตา เชํน สสี ะท๎อนแสง ฯลฯ ๗. การประเมินสื่อ ควรพิจารณาจากองค์ประกอบหลัก ๓ ประการคือ ผู๎สอน เด็ก และสื่อ เพื่อจะได๎ทราบวําส่ือน้ัน ชํวยใหเ๎ ด็กเรยี นร๎ไู ด๎มากนอ๎ ยเพยี งใด จะได๎นามาปรับปรุงการผลิตและการใช๎สื่อได๎ดียิ่งขึ้น โดยใช๎วิธีการสังเกต ดงั นี้ ๑. สื่อน้นั ชํวยใหเ๎ ดก็ เกิดการเรียนรเู๎ พยี งใด ๒. เดก็ ชอบส่ือน้ันเพยี งใด ๓. สือ่ นัน้ ชวํ ยใหก๎ ารสอนตรงกบั จุดประสงคห์ รอื ไมํ ถูกตอ๎ งตามสาระการเรยี นรู๎และทันสมยั หรอื ไมํ ๔. สอื่ นั้นชวํ ยใหเ๎ ดก็ สนใจมากน๎อยเพียงใด เพราะเหตุใด ๘. การเก็บรักษาและซ่อมแซมส่อื การจดั เก็บสื่อเปน็ การสํงเสรมิ ใหเ๎ ด็กฝกึ การสงั เกต การเปรยี บเทียบ การจดั กลํุม สํงเสริม ความรบั ผดิ ชอบ ความมนี ้าใจ ชํวยเหลอื ผสู๎ อนไมํควรใช๎การเกบ็ ส่อื เป็นการลงโทษเดก็ โดยดาเนนิ การดงั นี้ ๑. เก็บส่ือให๎เป็นระเบียบและเป็นหมวดหมํูตามลักษณะ ประเภทของส่ือ สื่อที่เหมือนกันจัดเก็บหรือจัด วางไวด๎ ว๎ ยกนั ๒. วางสื่อในระดับสายตาของเดก็ เพอ่ื ให๎เด็กหยบิ ใช๎ จดั เกบ็ ได๎ด๎วยตนเอง ๓. ภาชนะท่ีจัดเก็บส่ือควรโปรํงใส เพื่อให๎เด็กมองเห็นส่ิงท่ีอยํูภายในได๎งํายและควรมีมือจับเพ่ือความ สะดวกในการขนยา๎ ย ๔. ฝึกให๎เด็กร๎ูความหมายของรูปภาพหรือสีท่ีเป็นสัญลักษณ์แทนหมวดหมูํประเภทสื่อ เพ่ือเด็กจะได๎เก็บ เข๎าท่ีได๎ถูกต๎องการใช๎สัญลักษณ์ควรมีความหมายตํอการเรียนร๎ูของเด็ก สัญลักษณ์ควรใช๎ส่ือของจริง ภาพถํายสาเนา ภาพวาด ภาพโครงรํางหรือภาพประจุด หรือบัตรคาติดคูํกับสัญลักษณ์อยํางใดอยําง หนึ่ง ๕. ตรวจสอบสอ่ื หลังจากที่ใชแ๎ ลว๎ ทกุ คร้งั วํามสี ภาพสมบรู ณ์ จานวนครบถว๎ นหรือไมํ ๖. ซํอมแซมสอื่ ชารดุ และทาเติมสวํ นท่ีขาดหายไปใหค๎ รบชุด

๙. การพัฒนาสอื่ การพัฒนาสื่อเพื่อใช๎ประกอบการจัดกิจกรรมในระดับปฐมวัยน้ัน กํอนอื่นควรได๎สารวจข๎อมูล สภาพปัญหาตําง ๆ ของสื่อทุกประเภทที่ใช๎อยูํวํามีอะไรบ๎างท่ีจะต๎องปรับปรุงแก๎ไข เพ่ือจะได๎ปรับเปลี่ยนให๎ เหมาะสมกบั ความต๎องการ แนวทางการพฒั นาสื่อ ควรมลี ักษณะเฉพาะ ดังน้ี ๑. ปรับปรุงสื่อให๎ทนั สมยั เข๎ากบั เหตกุ ารณ์ ใช๎ได๎สะดวก ไมํซับซอ๎ นเกนิ ไป เหมาะสมกับวัยของเดก็ ๒. รักษาความสะอาดของส่ือ ถ๎าเป็นวัสดุที่ล๎างน้าได๎ เม่ือใช๎แล๎วควรได๎ล๎าง หรือปัดฝุนให๎สะอาดเก็บไว๎ เปน็ หมวดหมํู วางเปน็ ระเบยี บหยบิ ใชง๎ ําย ๓. ถา๎ เป็นสอ่ื ท่ีผูส๎ อนผลติ ขึ้นมาใชเ๎ องและผํานการทดลองใชม๎ าแล๎ว ควรเขยี นคํมู อื ประกอบการใช๎ สอ่ื นั้น โดยบอกชอ่ื ส่อื ประโยชน์และวธิ ีใช๎ส่อื รวมท้งั จานวนช้นิ สวํ นของสื่อในชดุ นน้ั และเก็บคูํมือไว๎ในซองหรือ ถงุ พรอ๎ มส่อื ทผ่ี ลติ ๔. พัฒนาสอื่ ทสี่ รา๎ งสรรค์ ใชไ๎ ดเ๎ อนกประสงค์ คือเปน็ ไดท๎ ัง้ ส่ือเสรมิ พฒั นาการและเป็นของเลนํ สนกุ สนานเพลิดเพลนิ ๒. แหลง่ เรยี นรู้ โรงเรยี นชุมชนประชานกิ รอานวยเวทย์ให๎ความสาคญั กับแหลํงเรียนรู๎ เพราะเปน็ แหลํงการศกึ ษาตาม ความสนใจและความต๎องการตามอัธยาศยั ปลูกฝงั นิสัยรักการอาํ น การสบื เสาะหาความร๎ู การแสวงหาความรู๎ ด๎วยตนเอง การสร๎างเสริมประสบการณ์ดว๎ ยประสบการณ์ตรง เพอื่ สงํ เสริมการเรียนร๎ูตลอดชวี ิต สภาพแวดล๎อมทเี่ ป็นแหลงํ เรียนรสู๎ าหรบั เด็กปฐมวยั โรงเรยี นราษฎรส์ งเคราะห์วิทยาได๎แบํงแหลํงเรยี นร๎ู ดังนี้

๒.๑ แหล่งเรยี นร้ภู ายในสถานศึกษา แปลงเกษตร ลานเอนกประสงค์ หน๎าโรงเรยี น

๒.๒ แหลง่ เรียนรู้ภายนอกโรงเรียน ซาฟารีเวลิ ด์ ศนู ยว์ ิทยาศาสตรเ์ พอ่ื การศึกษารังสิต (ทอ๎ งฟูาจาลองรังสิต)

การประเมินพฒั นาการ การประเมินพัฒนาการ หมายถึง กระบวนการสังเกตพฤติกรรมของเด็กในขณะทากิจกรรมแล๎ว จดบันทกึ ลงในเครอ่ื งมือที่ผสู๎ อนสร๎างข้ึนหรือกาหนดอยํางตํอเน่ือง เพ่ือเปรียบเทียบการแสดงออกของเด็กแตํ ละคร้ัง เป็นขอ๎ มลู ในการพฒั นากิจกรรมใหเ๎ ดก็ ได๎รบั การพัฒนาอยาํ งเตม็ ตามศักยภาพ การประเมินพัฒนาการของเด็กปฐมวัยเป็นกระบวนการตํอเนื่องและเป็นสํวนหนึ่งของกิจกรรมปกติ ตามตามรางกิจกรรมประจาวันและครอบคลุมพฒั นาการของเด็กทุกด๎าน ได๎แกํ ด๎านรํางกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และด๎านสติปัญญา เพ่ือนาผลมาใช๎ในการจัดกิจกรรมหรือประสบการณ์พัฒนาการเด็กให๎เต็มตาม ศักยภาพของแตํละคน ด๎วยเหตุน้ีผู๎สอนซ่ึงเป็นผู๎ท่ีจะทาหน๎าท่ีประเมินพัฒนาการเด็กจะต๎องเป็นผ๎ูท่ีมีความร๎ู ความเข๎าใจในการพัฒนาการเด็กวับ ๓ – ๖ ปี เป็นอยํางดี และต๎องเข๎าใจโครงสร๎างของการประเมินอยําง ละเอียดวําจะประเมินเมื่อไรและอยํางไร ต๎องมีความสามารถในการเลือกเครื่องมือ และวิธีการที่ใช๎ได๎อยําง ถูกต๎อง จึงจะทาให๎ผลของการประเมินนั้นเท่ียวตรงและเชื่อถือได๎ การประเมินพัฒนาการอาจทาได๎หลายวิธี แตํวิธที ี่งํายตอํ การปฏบิ ตั ิ คอื การสงั เกต ซึ่งต๎องทาอยํางตํอเน่ืองและบันทึกไว๎เป็นหลักฐานอยํางสม่าเสมอ การประเมินพัฒนาการผ๎ูสอนหรือผ๎เู กยี่ วขอ๎ งกับเด็กต๎องให๎เป็นไป ตามหลักการดังตํอไปน้ี ๑. ประเมินพฒั นาการของเดก็ ครบทกุ ด๎านและนาผลมาพัฒนา ๒. ประเมินรายบคุ คลสมา่ เสมอตอํ เนอ่ื งตลอดปี ๓. สภาพการประเมนิ ควรมีลักษณะเชนํ เดียวกับการปฏบิ ัติกจิ กรรมประจาวนั ๔. ประเมนิ อยาํ งเป็นระบบ มกี ารวางแผน เลือกใชเ๎ คร่อื งมอื และจดบนั ทึกไวเ๎ ป็น หลักฐาน ๕. ประเมนิ ตามสภาพจริงด๎วยวิธีการหลากหลายเหมาะกับเดก็ รวมทัง้ ใชแ๎ หลํงข๎อมลู หลาย ๆ ดา๎ น ไมํควรใชก๎ ารทดสอบ ๑. ขั้นตอนการประเมินพฒั นาการ การประเมินพัฒนาการเดก็ ปฐมวยั จะตอ๎ งผาํ นขั้นตอนตาํ ง ๆ ดังน้ี ๑. ศึกษาและทาความเข๎าใจพัฒนาการของเด็กในแตํละชํวงอายุทุกด๎านได๎แกํ ด๎านรํางกาย ด๎านอารมณ์- จิตใจ ด๎านสังคมและด๎านสติปัญญา อยํางละเอียดจึงจะทาให๎ดาเนินการประเมินพัฒนาการได๎อยํางถูกต๎อง และตรงตามความจริง ๒. วางแผนเลือกใช๎วิธีการและเครื่องมือท่ีเหมาะสมสาหรับใช๎บันทึกและประเมินพัฒนาการ เชํน แบบ บันทึกพฤติกรรมเหมาะท่ีจะใช๎บันทึกพฤติกรรมของเด็ก การบันทึกรายวันเหมาะสาหรับการบันทึกกิจกรรม หรือประสบการณ์ท่ีเกิดข้ึนในชั้นเรียนทุกวัน การบันทึกการเลือกของเด็กเหมาะสาหรับใช๎บันทึก ลักษณะเฉพาะหรือปฏิกิริยาท่ีเด็กมีตํอส่ิงตําง ๆ รอบตัว เป็นต๎น ดังนั้นจึงเป็นหน๎าที่ของผู๎สอนท่ีจะเลือกใช๎ เคร่ืองมอื ประเมนิ พัฒนาการให๎เหมาะสม เพื่อจะได๎ผลการพัฒนาการทถี่ ูกต๎องตามต๎องการ ๓. ดาเนนิ การประเมินและบันทึกพัฒนาการ หลังจากท่ีได๎วางแผนและเลือกเคร่ืองมือที่จะใช๎ประเมินและ บนั ทกึ พัฒนาการแล๎ว กอํ นจะลงมอื ประเมินและบันทึกจะตอ๎ งอาํ นคมํู อื หรอื คาอธิบายวิธีการใช๎เครื่องมือน้ัน ๆ อยาํ งละเอยี ด แล๎วจึงดาเนินการตามข้นั ตอนที่ปรากฏในคมูํ อื และบันทึกเปน็ ลายลกั ษณ์อกั ษรตอํ ไป ๔. ประเมินและสรุป การประเมินและสรุปนั้นต๎องดูจากผลการประเมินหลาย ๆ ครั้งมิใชํเพียงครั้งเดียว หรอื นาผลจากการประเมินครงั้ เดียวมาสรุป อาจทาใหผ๎ ิดพลาดได๎ ผลจากการประเมินดูได๎จากผลที่ปรากฏใน

เครือ่ งมือประเมนิ และบนั ทึกพฒั นาการ เชํน ประเมนิ การใชก๎ ลา๎ มเน้ือใหญํของเด็กอายุ ๓ ปี ปรากฏวํายัง ข้นึ ลงบันไดสลบั เทา๎ ไมํได๎ อาจสรปุ ได๎วําพฒั นาการกล๎ามเน้อื ใหญยํ ังไมํแข็งแรงเหมาะสมกับวัยต๎องจัดกิจกรรม พฒั นากลา๎ มเน้ือใหญสํ ํวนขาตํอไป ๕. รายงานผล เมื่อได๎ผลจากการประเมินและสรุปพัฒนาการของเด็กแล๎ว ผู๎สอนจะต๎องตัดสินใจวําจะ รายงานขอ๎ มูลไปยังผ๎ูใด เพื่อจุดประสงค์อะไร และจะต๎องใชร๎ ปู แบบใดสาหรับรายงาน เชํน ต๎องการรายงาน ผูบ๎ ริหารสถานศกึ ษา ผ๎ปู กครองเพือ่ ใหท๎ ราบวํา กจิ กรรมหรือประสบการณ์ท่ีสถานศึกษาจัดให๎เด็กน้ันสํงเสริม พัฒนาการของเด็กแตํละคนอยํางไร เป็นไปตามจุดประสงค์หรือไมํเพ่ือจะได๎วางแผนชํวยเหลือเด็กได๎พัฒนา ตรงตามความต๎องการตํอไป โดยสถานศึกษาจะมีสมุดรายงานประจาตัวเด็ก ผ๎ูสอนใช๎สมุดรายงานนั้นเป็น เครอ่ื งมอื หรือแบบรายงานผปู๎ กครองได๎ และถ๎าผป๎ู กครองมขี อ๎ เสนอแนะหรือจะขอความรํวมมือจากผู๎ปกครอง เกี่ยวกับการสํงเสริมพัฒนาการเด็กก็อาจจะเขียนเพ่ิมเติมลงในสมุดรายงาน และต๎องคานึงไว๎เสมอไมํวําจะใช๎ แบบรายงานใด ข๎อมูลควรจะมีความหมายเกิดประโยชน์แกํเด็กเป็นสาคัญ การบันทึกข๎อความลงในสมุด ประจาตัวเดก็ ผส๎ู อนควรใชภ๎ าษาสร๎างสรรคม์ ากกวําทางลบ ๖. การใหผ๎ ู๎ปกครองมสี วํ นรวํ มในการประเมนิ ผส๎ู อนต๎องตระหนักวําการทางานรํวมกับผ๎ูปกครองเกี่ยวกับ การพฒั นาเดก็ เป็นเรื่องสาคัญมาก ผ๎ูสอนควรยกยํองผู๎ปกครองที่พยายามมีสํวนรํวมในการพัฒนาเด็ก ผู๎สอน จะต๎องต๎อนรับผ๎ูปกครองที่มาสถานศึกษา ขอบคุณสาหรับความรํวมมือ เขียนจดหมายถึงผู๎ปกครองเพื่อ รายงานเรื่องเด็ก พูดคุยด๎วยตนเองหรือทางโทรศัพท์ ส่ิงเหลําน้ีจะทาให๎ผ๎ูปกครองร๎ูสึกถึงความสาคัญของ ตนเองและตอ๎ งการท่ีจะมีสํวนรํวมกบั ผ๎สู อนในการพัฒนาเด็กของตน การติดตํอสัมพันธ์อันดีกับผ๎ูปกครองควรจะเป็นการติดตํอส่ือสาร ๒ ทาง คือ จากสถานศึกษาไปสูํบ๎าน และจากบ๎านมายังสถานศึกษา กระต๎ุนให๎ผ๎ูปกครองแสดงความคิดเห็นท่ีมีประโยชน์ตํอการจัดประสบการณ์ ให๎แกํเด็ก เพราะผู๎ปกครองจะให๎ข๎อมูลท่ีถูกต๎องเก่ียวกับตัวเด็ก ซึ่งผ๎ูสอนสามารถนาไปใช๎เป็นพ้ืนฐานในการ จัดกิจกรรมท่ีเหมาะสมเพื่อพัฒนาเด็กทุกคนได๎เป็นอยํางดี สาหรับการติดตํอกับผ๎ูปกครองอาจทาได๎หลายวิธี เชํน การติดตํอด๎วยวาจา ได๎แกํ การสนทนาด๎วยตนเอง ทางโทรศัพท์ การเยี่ยมบ๎าน การประชุมผ๎ูปกครอง การติดตํอด๎วยวิธีอ่นื เชํน ปูายติดประกาศ วารสาร ขําวสาร ต๎ูรับฟังความคิดเห็นเป็นต๎น นอกจากนี้อาจให๎ ผู๎ปกครองอาสาสมัครมาชํวยงานผ๎ูสอนในสถานศึกษา เชํนการเลํานิทาน ร๎องเพลงและอํานหนังสือให๎เด็กฟัง ท่ีจะกํอให๎เกิดประโยชน์แกํเด็ก ซ่ึงสถานศึกษาควรเกิดโอกาสให๎ผ๎ูปกครองมีสํวนรํวมในการทางานกับผู๎สอน เปน็ อยํางยิง่ ๒. วธิ ีการและเครือ่ งมือทใ่ี ช้ในการประเมนิ เด็กปฐมวยั โรงเรียนราษฎร์สงเคราะห์วิทยา ได๎ดาเนินการพัฒนาเด็กปฐมวัยโดยใช๎วิธีการประเมินที่หลากหลาย เพอ่ื ทจ่ี ะได๎ขอ๎ มลู ทีส่ มบูรณ์ทส่ี ดุ ซง่ึ วธิ กี ารประเมนิ มีดังน้ี ๑. การสงั เกตและการบันทกึ ๑.๑ แบบบันทึกพฤติกรรม ๑.๒ แบบบันทกึ รายวนั ๑.๓ แบบสารวจ ๒. การสนทนา ๓. การสมั ภาษณ์

๔. การรวบรวมผลงานท่ีแสดงออกถึงความก๎าวหน๎าแตํละด๎านของเด็กเป็นรายบุคคล STUDENTPORTFOLIO) ๕. การประเมนิ การเจรญิ เติบโตของเดก็ ซงึ่ จะมแี บบบันทกึ การเจรญิ เติบโต เครือ่ งมอื ที่ใชใ้ นการสงั เกตและบนั ทกึ ๑. การสงั เกตและการบันทกึ การสงั เกตมี ๒ แบบ คือ การสงั เกตอยํางมีระบบ ไดแ๎ กํ - การสังเกตอยํางมีจุดมํุงหมายท่ีแนํนอนตามแผนท่ีวางไว๎และอีกแบบหน่ึง คือ การสังเกตแบบไมํ เป็นทางการเป็นการสังเกตในขณะที่เด็กทากิจกรรมประจาวันและเกิดพฤติกรรมที่ไมํคาดคิดวําจะเกิดข้ึนและ ผส๎ู อนจดบันทกึ ไว๎ - การสังเกตเป็นวิธีการท่ีผู๎สอนใช๎ในการศึกษาพัฒนาการของเด็ก เม่ือมีการสังเกตก็ต๎องมีการ บันทึก ผู๎สอนควรจะต๎องทราบวําควรบันทึกอะไร การบันทึกพฤติกรรมมีความสาคัญอยํางยิ่งที่จะต๎องทา อยํางสม่าเสมอ เน่ืองจากเด็กจะต๎องเจริญเติบโตและเปล่ียนแปลงอยํางรวดเร็ว จึงต๎องนามาบันทึกเป็น หลักฐานไวอ๎ ยํางชัดเจน การสงั เกตและการบนั ทึกพฒั นาการเด็กสามารถใชแ๎ บบงาํ ย ๆ คือ ๑.๑ แบบบันทกึ พฤตกิ รรม ใชบ๎ ันทกึ พฤติกรรมเฉพาะอยาํ งโดยบรรยายพฤติกรรมเด็ก ผู๎บันทึกต๎อ บันทึก วนั เดือน ปี เกดิ ของเดก็ และวัน เดอื น ปี ทท่ี าการบันทกึ แตํละคร้งั ๑.๒ แบบบนั ทกึ รายวัน เป็นการบันทึกเหตกุ ารณ์หรือประสบการณ์ท่ีเกิดขึ้นในช้ันเรียนทุกวัน ซ่ึง เด็กแสดงพฤตกิ รรมออกมาโดยผส๎ู อนจดบนั ทกึ พฤตกิ รรมไว๎ในการบันทึกพฤติกรรมจะมีการบันทึกพฤติกรรมท่ี เด็กแสดงออกท้ังพฤติกรรมที่พึงประสงค์และพฤติกรรมท่ีไมํพึงประสงค์ เพ่ือผ๎ูสอนจะได๎หาแนวทางแก๎ไขใน สํวนของพฤติกรรมท่ีไมํพึงประสงค์ที่เด็กแสดงออกมา เพื่อให๎เด็กมีการพัฒนาตนเองให๎ดีขึ้นและสํงเสริม สนับสนุนในสํวนของพฤติกรรมที่พึงประสงค์ของเด็ก เพ่ือเป็นการกระตุ๎นให๎เด็กเกิดกาลังใจในการท่ีจะทา ความดีและเปน็ การจุดประกายใหเ๎ พือ่ น ๆ คนอืน่ เอาเป็นตัวอยําง ๑.๓ แบบสารวจรายการ เป็นแบบสารวจท่ีใช๎วิเคราะห์พฤติกรรมของเด็กแตํละคน โดยให๎ ผ๎ูปกครองมีสํวนรํวมในการสารวจเพ่ือผู๎สอนจะได๎นาข๎อมูลมาพัฒนา ในการจัดประสบการณ์ให๎เด็กได๎ เหมาะสมตามวัยของเด็ก ในการทาการสารวจผู๎สอนควรได๎จัดทาปีการศึกษาละ ๒ ครั้ง คือภาคเรียนที่ ๑ และ ภาคเรยี นท่ี ๒ สาหรับในภาคเรยี นที่ ๑ ผสู๎ อนควรให๎ผปู๎ กครองไดท๎ ราบการพัฒนาการของเดก็ ดว๎ ย ๒. การสนทนา จัดทาขึ้นเพื่อประเมินความสามารถในการแสดงความคิดเห็นและพัฒนาการด๎าน การใชภ๎ าษาของเดก็ ผ๎ูสอนบันทกึ การสนทนาลงในแบบบันทกึ พฤติกรรม ๓. การสัมภาษณ์ ผสู๎ อนสนทนากับเด็กเก่ียวกับเหตุการณ์ประจาวัน ส่ิงแวดล๎อมรอบตัวเด็ก การ อบรมเด็ก หรือการจัดประสบการณ์ตามแผนการจัดประสบการณ์ และประเมินตามจุดประสงค์ในแตํละ กิจกรรม ๔. การรวบรวมผลงานที่แสดงออกถึงความก๎าวหน๎าแตํละด๎านของเด็กเป็นรายบุคคล(Student Portfolio) โดยผู๎สอนและเด็กรํวมกันรวบรวมผลงานท่ีได๎ปฏิบัติมาในแตํละภาคเรียน โดยเลือกผลงานท่ีเห็น วาํ ดี สวยงาม มคี วามคิดริเร่ิมสร๎างสรรค์ ผส๎ู อนควรถามนักเรยี นเกี่ยวกบั ผลงานวําเหตุใดจึงเลือกผลงานชิ้นน้ี เพ่ือเป็นการกระต๎ุนให๎เด็กเกิดความคิด มีเหตุ มีผลในการตัดสินใจเลือกผลงาน ตัวอยํางผลงานท่ีนามา รวบรวมจะเปน็ กิจกรรมสรา๎ งสรรค์ เชํน ๔.๑ ผลงานจากการวาดภาพระบายสี ๔.๒ ผลงานจากการตัดกระดาษ

๔.๓ ผลงานการพบั กระดาษ ๔.๔ ผลงานการขูดสี ๔.๕ ผลงานจากสีน้า ๔.๖ ผลงานจากแบบฝกึ ๕. แบบบันทึกการเจริญเติบโต ตัวชี้วัดความเจริญเติบโต โดยใช๎บันทึกในแบบบันทึกการด่ืมนม ของโรงเรียนที่จัดทาขึ้น โดยผ๎ูสอนจะบันทึกน้าหนัก สํวนสูงของเด็กเพ่ือทราบ การพัฒนา พร๎อมท้ังบันทึก ผลลงในแบบอบ.๐๑ ซ่ึงเป็นสมดุ รายงานประจาตัวนักเรยี น โดยจะบนั ทึกปีการศึกษาละ ๔ คร้งั ดงั น้ี ครั้งท่ี ๑ เดอื นพฤษภาคม คร้ังท่ี ๒ เดือนสิงหาคม ครง้ั ที่ ๓ เดือนพฤศจิกายน ครง้ั ที่ ๔ เดือนกมุ ภาพันธ์ สาหรับแบบบันทึกใน อบ.๐๑ น้ัน จะมีเกณฑ์การเทียบสํวนของการเจริญเติบโตวําอยํูในระดับปกติ ต่ากวําเกณฑ์หรือสูงกวําเกณฑ์ เพ่ือที่ผู๎สอนและผู๎ปกครองจะได๎หาทางชํวยเหลือ เชํนน้าหนักต่ากวําเกณฑ์ ใหด๎ ื่มนม รบั ประทานอาหารที่มปี ระโยชน์ หากนา้ หนกั สงู กวาํ เกณฑใ์ หล๎ ดอาหารและกนิ ใหพ๎ อเหมาะ ๓. การประเมินมาตรฐานคณุ ลักษณะทีพ่ ึงประสงค์ของเด็กปฐมวัย ในการประเมินมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของเด็กปฐมวัย จะครอบคลุมพัฒนาการ ด๎านรํางกาย อารมณ์ จติ ใจ สังคม และดา๎ นสติปญั ญา ซ่ึงมี ๑๒ มาตรฐาน ดงั น้ี พัฒนาการด้านรา่ งกาย ประกอบด๎วย ๒ มาตรฐาน คอื มาตรฐานที่ ๑ รํางกายเจรญิ เตบิ โตตามวัยและมสี ขุ นสิ ัยท่ีดี มาตรฐานท่ี ๒ กล๎ามเนือ้ ใหญแํ ละกล๎ามเนือ้ เล็กแขง็ แรง ใช๎ได๎คลอํ งแคลํวและประสานสมั พนั ธก์ ัน พัฒนาการด้านอารมณ์ จติ ใจ ประกอบด๎วย ๓ มาตรฐาน คอื มาตรฐานที่ ๓ มสี ุขภาพจติ ดแี ละมคี วามสุข มาตรฐานที่ ๔ ชนื่ ชมและแสดงออกทางศลิ ปะ ดนตรี และการเคล่ือนไหว มาตรฐานที่ ๕ มีคณุ ธรรม จรยิ ธรรม และมีจิตใจท่ีดงี าม พฒั นาการด้านสงั คม ประกอบด๎วย ๓ มาตรฐาน คือ มาตรฐานท่ี ๖ มที ักษะในการดาเนินชวี ติ มาตรฐานที่ ๗ รักธรรมชาติ สิง่ แวดล๎อม วัฒนธรรม และความเปน็ ไทย มาตรฐานท่ี ๘ อยํูรํวมกับผ๎ูอ่นื ได๎อยาํ งมีความสุขและปฏบิ ตั ติ นเป็นสมาชิกทด่ี ขี องสงั คม ในระบอบ ประชาธปิ ไตย อนั มีพระมหากษตั ริยเ์ ปน็ ประมขุ พัฒนาการดา้ นสตปิ ัญญา ประกอบดว๎ ย ๔ มาตรฐาน คือ มาตรฐานที่ ๙ .ใชภ๎ าษาสอ่ื สารไดเ๎ หมาะสมกบั วยั มาตรฐานที่ ๑๐ มีความสามารถในการคิดที่เปน็ พืน้ ฐานในการเรียนร๎ู มาตรฐานท่ี ๑๑ มีจนิ ตนาการและความคิดสร๎างสรรค์ มาตรฐานที่ ๑๒ มเี จตคตทิ ด่ี ีตํอการเรียนร๎ูและมีความสามารถในการแสวงหาความรู๎ไดเ๎ หมาะสมกบั วัย นอกจากการประเมินมาตรฐานคุณลักษณะแล๎ว ผู๎สอนจะต๎องประเมินผลการพัฒนาเด็กตามแบบ บนั ทึกพัฒนาการเดก็ และสมดุ รายงานประจาตัวนักเรียน

๔. การประเมนิ พฤติกรรมแตล่ ะพฤติกรรมใหป้ ฏิบตั ิดังน้ี ๔.๑ สังเกตพฤติกรรมและความสามารถของเด็กอยํางตํอเนื่องตลอดเวลาระหวํางปฏิบัติกิจวัตร ประจาวัน ๔.๒ บันทึกพัฒนาการตามรายการที่กาหนดไว๎ในแบบบันทึกพัฒนาการ ภาคละ ๑ ครั้ง โดยเขียน ระดับคณุ ภาพ ลงในตารางทีต่ รงกบั ระดับคณุ ภาพท่ีสงั เกตได๎ ดงั น้ี ปฏบิ ัติได๎ (๓) หมายถึง สามารถแสดงพฤตกิ รรมไดค๎ ลํองแคลํวหรอื มั่นคง ปฏบิ ตั ไิ ด๎บางครงั้ (๒) หมายถึง สามารถแสดงพฤติกรรมได๎ แตํบางครั้งไมคํ ลํองแคลวํ ควรเสริม (๑) หมายถงึ ยังแสดงพฤติกรรมยงั ไมํชดั เจน สรุปการประเมินพฤติกรรมแตํละภาคในแบบบันทึกลงในสมุดบันทึกพัฒนาการเด็ก แบบบันทึก พฒั นาการเดก็ นี้จะชํวยให๎การประเมินพัฒนาการเด็กใกล๎เคียงความเป็นจริงมากที่สุด ดังน้ันจึงควรสังเกตเด็ก อยาํ งสม่าเสมอ ๔.๓ เกณฑก์ ารประเมนิ ผลงานนักเรยี น (STUDENT PORTFOLIO) มกี ารประเมิน ดังนี้ ระดับคณุ ภาพของการพฒั นา มี ๓ ระดบั คอื ดี (๓) หมายถึง ปฏบิ ัตไิ ด๎คลอํ งแคลํว/ มั่นคง ปานกลาง (๒) หมายถงึ ปฏิบตั ไิ ด๎บางคร้งั ไมํคลอํ ง / ไมํม่ันคง ควรเสรมิ (๑) หมายถึง ปฏบิ ัตไิ ด๎ไมชํ ัดเจน การบริหารจดั การหลกั สูตร การนาหลักสูตรปฐมวัยไปใช๎ให๎มีประสิทธิภาพตามจุดมํุงหมายของหลักสูตร ผ๎ูท่ีเกี่ยวข๎องกับการ บริหารจัดการหลักสูตรของสถานศึกษา ได๎แกํ ผ๎ูบริหาร ครูผู๎สอน ผู๎ปกครอง และชุมชน ควรมีบทบาท ดงั นี้ ๑.ผู้บรหิ ารสถานศึกษา ๑.๑ ศกึ ษาทาความเข๎าใจหลกั สตู ร และมวี สิ ยั ทัศน์ดา๎ นการจดั การศกึ ษาปฐมวัย ๑.๒ คดั เลอื กครผู ๎สู อนที่เหมาะสม โดยควรมคี ณุ สมบัติ ดงั น้ี - มีวุฒิการศกึ ษาดา๎ นอนุบาล, ปฐมวยั หรอื ผํานการอบรมเกี่ยวกับการจดั การศึกษาปฐมวัย - มคี วามรกั เดก็ จิตใจดี มอี ารมณ์ขันและใจเย็น ให๎ความเปน็ กันเองกับเดก็ อยาํ งเสมอภาค - มบี คุ ลิกความเปน็ ครู เข๎าใจธรรมชาติของเด็ก - พูดจาสภุ าพเรยี บร๎อย ชัดเจนเปน็ แบบอยาํ งได๎ - มีความเป็นระเบียบ สะอาด และร๎ูจกั ประหยัด - มีความอดทน ขยนั ซอ่ื สัตยใ์ นการปฏิบัตงิ านและการปฏบิ ัตติ อํ เด็ก - มีอารมณ์รํวมกับเด็ก ร๎ูจักรับฟัง พิจารณาเร่ืองราวปัญหาตํางๆของเด็ก และตัดสินปัญหา ตาํ งๆ อยํางมีเหตผุ ลและเป็นธรรม - มีสขุ ภาพกายและสุขภาพจิตทสี่ มบูรณ์

๑.๓ สํงเสริมการจัดบริการทางการศึกษาให๎เด็กเข๎าเรียนอยํางท่ัวถึงและเสมอภาคและปฏิบัติการรับ เด็กตามเกณฑท์ กี่ าหนด ๑.๔ สํงเสริมให๎ครผู สู๎ อน ให๎มีความรกู๎ ๎าวหน๎าอยเํู สมอ ๑.๕ จดั ให๎มีขอ๎ มูลสารสนเทศเก่ยี วกบั เด็กรายบุคคล ๑.๖ นเิ ทศ ติดตาม กากับการใชห๎ ลักสตู รและประเมนิ ผลอยํางเป็นระบบ ๒. บทบาทครผู ้สู อนปฐมวัย ๒.๑ จัดประสบการณ์การเรียนรู๎สาหรับเด็กที่เด็กกาหนดข้ึนด๎วยตนเอง และครูผ๎ูสอนกับเด็กรํวมกัน กาหนด โดยเสรมิ สรา๎ งพฒั นาการของเดก็ ให๎ครบทุกดา๎ น ๒.๒ สํงเสริมใหเ๎ ดก็ ใช๎ขอ๎ มลู แวดล๎อม ศักยภาพตัวของเด็ก และหลักทางวิชาการผลิตกระทา หรือหา คาตอบในส่ิงทเี่ ดก็ เรียนร๎ูอยาํ งมเี หตผุ ล ๒.๓ กระตุน๎ ใหเ๎ ด็กรวํ มคดิ แก๎ปัญหา คน๎ ควา๎ หาคาตอบด๎วยตนเอง ด๎วยวิธีการศึกษาท่ีนาไปสํูการใฝุร๎ู และพัฒนาตนเอง ๒.๔ จัดสภาพแวดล๎อมและสร๎างบรรยากาศการเรียนที่สร๎างเสริมให๎เด็กทากิจกรรมได๎เต็มศักยภาพ และความแตกตํางของเดก็ แตลํ ะคน ๒.๕ สอดแทรกการอบรมด๎านจริยธรรมและคํานิยมท่ีพึงประสงค์ในการจัดการเรียนรู๎และกิจกรรม ตาํ งๆ อยาํ งสม่าเสมอ ๒.๖ ใชก๎ จิ กรรมการเลํนเป็นสอื่ การเรยี นรสู๎ าหรบั เด็กใหเ๎ ปน็ ไปอยาํ งมปี ระสทิ ธิภาพ ๒.๗ ใช๎ปฏิสมั พันธท์ ด่ี รี ะหวาํ งครแู ละเด็กในการดาเนินกจิ กรรมการเรียนการสอนอยาํ งสม่าเสมอ ๒.๘ จัดการประเมนิ ผลการเรียนร๎ทู ส่ี อดคลอ๎ งกบั สภาพจริง และนาผลการประเมินมาปรับปรุงพัฒนา คณุ ภาพเด็กอยํางเตม็ ศักยภาพ ๒.๙ ฝกึ ให๎เด็กชวํ ยเหลอื ตนเองในชีวิตประจาวัน ๒.๑๐ ฝกึ ใหเ๎ ดก็ มคี วามเช่อื มั่น ภมู ิใจในตวั เองและกลา๎ แสดงออก ๒.๑๑ ฝึกการเรียนรหู๎ นา๎ ที่ ความมวี ินยั และการมีนสิ ยั ทีด่ ี ๒.๑๒ จาแนกพฤตกิ รรมเด็ก เพ่อื หาแนวทางสงํ เสริม หรอื แก๎ปญั หารายบคุ คล ๒.๑๓ ประสานความรํวมมือระหวํางโรงเรียน บา๎ น และชุมชน เพื่อให๎เด็กได๎พัฒนาตามศักยภาพ และ มีคณุ ลักษณะท่ีพงึ ประสงค์ ๒.๑๔ ใช๎เทคโนโลยีและแหลงํ เรยี นรู๎ในชุมชนในการเสรมิ สร๎างการเรียนรู๎ใหแ๎ กํเด็ก ๒.๑๕ จัดทาวิจัยในชั้นเรียน เพื่อนามาปรับปรุงพัฒนาหลักสูตร / กระบวนการเรียนร๎ูและพัฒนาสื่อ การเรยี นร๎ู ๒.๑๖ พัฒนาตนเองให๎เป็นบุคคลแหํงการเรียนร๎ู มีคุณลักษณะของผู๎ใฝุรู๎ และทันตํอขําวสาร เหตุการณเ์ สมอ ๒.๑๗ ทาหน๎าท่ีวางแผนกาหนดหลักสูตร หนํวยการเรียนรู๎ การจัดกิจกรรมการเรียนรู๎ และการ ประเมนิ ผลการเรียนร๎ู ๒.๑๘ จดั ทาแผนการจัดประสบการณ์ท่ีเนน๎ เดก็ เป็นสาคัญ ใหเ๎ ดก็ มีอิสระในการเรียนร๎ู

๓. บทบาทของพ่อแม่ ผ้ปู กครองเด็กปฐมวัย ๓.๑ มีสํวนรํวมในการกาหนดแผนพัฒนาสถานศึกษาและให๎ความเห็นชอบ กาหนดแผนการเรียนร๎ู ของเด็กรวํ มกบั ครผู ๎สู อนและเดก็ ๓.๒ สํงเสริมสนับสนุนกิจกรรมของสถานศึกษา และกจิ กรรมการเรยี นร๎ู เพื่อพฒั นาเดก็ ตามศักยภาพ ๓.๓ เป็นเครอื ขํายการเรยี นรู๎ จดั บรรยากาศในบ๎านใหเ๎ อื้อตํอการเรยี นรู๎ ๓.๔ สนับสนุนทรัพยากรเพอื่ การศกึ ษาตามความเหมาะสมและจาเป็น ๓.๕ อบรมเลี้ยงดู เอาใจใสํให๎ความรัก ความอบอํุน สํงเสริมการเรียนรู๎และพัฒนาการด๎านตํางๆของ เดก็ ๓.๖ ปูองกันและแก๎ไขปญั หาพฤติกรรมไมํพึงประสงค์ ตลอดจนสํงเสริมคุณลักษณะที่พึงประสงค์ โดย ประสานความรํวมมือกบั ครผู ๎ูสอน ๓.๗ เป็นแบบอยํางทด่ี ที ัง้ ในด๎านการปฏิบัติตนให๎เป็นบุคคลแหํงการเรียนร๎ู และมีคุณธรรมนาไปสํูการ พฒั นาให๎เป็นสถาบันแหงํ การเรียนร๎ู ๓.๘ มสี วํ นรวมในการประเมนิ ผลการเรียนรขู๎ องเดก็ และประเมนิ ผลการจดั การของสถานศึกษา ๔. บทบาทของชุมชน ๔.๑ มีสํวนรํวมในการบริหารสถานศึกษา ในบทบาทของคณะกรรมการสถานศึกษา สมาคม / ชมรม ผู๎ปกครอง ๔.๒ มสี ํวนรํวมในการจัดทาแผนพฒั นาสถานศึกษา ๔.๓ เป็นศูนย์กลางการเรียนรู๎ เครือขํายการเรียนร๎ูให๎เด็กได๎เรียนร๎ูและมีประสบการณ์ จาก สถานการณจ์ รงิ ๔.๔ ใหก๎ ารสนับสนุนการจดั กิจกรรมการเรียนรข๎ู องสถานศึกษา ๔.๕ สํงเสริมให๎มีการระดมทรพั ยากรเพ่อื การศกึ ษา เพือ่ ให๎สถานศกึ ษาเป็นแหลงํ วิทยาการของชุมชน ๔.๖ มสี วํ นรํวมในการตรวจสอบ และประเมนิ ผลการจัดการศึกษาของสถานศึกษา ทาหน๎าที่เสนอแนะ ในการพฒั นาการจัดการศกึ ษาของสถานศึกษา ๔.๗ สํงเสริมสถานศึกษาด๎านวิทยากรภายนอกและภูมิปัญญาท๎องถิ่น เพ่ือเสริมสร๎างและพัฒนาเด็ก ทุกด๎าน รวมทัง้ สบื สานจารตี ประเพณี ศิลปวฒั นธรรมท๎องถน่ิ

การเชื่อมต่อของการศึกษาระดบั ปฐมวัย กบั ระดบั ช้นั ประถมศึกษาปีท่ี ๑ บทบาทของบคุ ลากรที่เกี่ยวขอ้ ง ๑. ผูบ้ รหิ ารสถานศึกษา ๑.๑ จัดประชุมผ๎ูสอนระดับปฐมวัยและระดับชั้นประถมศึกษา รํวมกันพัฒนารอยเช่ือมตํอของ หลักสูตรท้ังสองระดับให๎เป็นแนวปฏิบัติของสถานศึกษา เพ่ือผ๎ูสอนทั้งสองระดับ จะได๎เตรียม การสอนให๎ สอดคลอ๎ งกับเดก็ ในวัยนี้ ๑.๒ จัดเอกสารด๎านหลักสูตร และเอกสารทางวิชาการของทั้งสองระดับ มาไว๎ให๎ผู๎สอนและบุคลากร อ่นื ๆ ไดศ๎ ึกษา ทาความเข๎าใจ อยํางสะดวกและเพยี งพอ ๑.๓ จดั กจิ กรรมใหผ๎ สู๎ อนทง้ั สองระดบั มีโอกาสแลกเปล่ียน เผยแพรคํ วามรใู๎ หมํ ๆ ทไี่ ด๎รับจากการอบรม ดูงาน ๑.๔ จัดเอกสารเผยแพรํ ตลอดจนกิจกรรมสัมพันธ์ในรูปแบบตําง ๆ ระหวํางสถานศึกษา ผู๎ปกครอง และชุมชนอยํางสมา่ เสมอ ๑.๕ จดั ปฐมนเิ ทศผ๎ูปกครอง ๒ คร้งั คอื กอํ นเด็กเข๎าเรียนชน้ั อนุบาลปที ี่ ๑ และกํอนท่ีเด็กจะเลื่อน ข้ึนชั้นประถมศึกษาปีท่ี ๑ เพ่ือให๎ผู๎ปกครองเข๎าใจการศึกษาทั้งสองระดับ และให๎ความรํวมมือชํวยเหลือเด็ก ใหส๎ ามารถปรับตวั เข๎ากบั สภาพแวดล๎อมใหมํไดด๎ ขี ้ึน ๑.๑.๑ ดา้ นทักษะพ้นื ฐานทางภาษา ตวั อย่างการวิเคราะห์การเช่อื มโยง หลักสตู รการศกึ ษาปฐมวัย หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐานพุทธศักราช ๒๕๕๑ มาตรฐานท่ี ๙ ใช๎ภาษาส่อื สารได๎ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เหมาะสมกับวัย สาระที่ ๑ การอ่าน ตัวบง่ ชที้ ี่ ๙.๑ สนทนาโต๎ตอบและเลาํ มาตรฐาน ท ๑.๑ เร่อื งให๎ผอู๎ ่นื เขา๎ ใจ ใชก๎ ระบวนการอํานสร๎างความรคู๎ วามคิด เพื่อนาไปตดั สนิ ใจ สภาพทีพ่ ึงประสงค์ แก๎ปญั หาในการดาเนนิ ชีวิตและมีนสิ ยั รกั การอําน ๙.๑.๑ ฟังผู๎อ่นื พูดจนจบและสนทนา ตัวชวี้ ัดชั้นปี ป.๑ โต๎ตอบอยาํ งตํอเนื่อง เช่อื มโยงกับเรือ่ ง๑. อาํ นออกเสียงคา คาคล๎องจองและข๎อความสน้ั ๆ ทฟ่ี งั ๒. บอกความหมายของคาและข๎อความท่ีอําน ๙.๑.๒ เลาํ เร่ืองราวที่ตอํ เนื่อง ๓. ตอบคาถามเก่ยี วกบั เรื่องที่อําน ตวั บํงช้ที ่ี ๙.๒ อําน เขยี น ภาพและ ๔. เลาํ เร่อื งยํอจากเร่ืองท่ีอําน สญั ลักษณ์ได๎ ๕. คาดคะเนจากเรื่องท่ีอําน สภาพทพี่ งึ ประสงค์ ๖. อํานหนงั สือตามความสนใจอยาํ งสม่าเสมอ และนาเสนอเร่ืองที่ ๙.๒.๑ อํานภาพ สญั ลกั ษณ์ คาด๎วย อําน การชี้หรอื วาดตามองตามจุดเริ่มตน๎ ๗. บอกความหมายของเครื่องหมาย หรือสัญลกั ษณท์ มี่ ักพบเห็นใน และจุดจบของข๎อความ ชีวติ ประจาวนั ๙.๒.๒ เขยี นชอื่ ของตนเองตามแบบ๘. มีมารยาทในการอาํ น

เขยี นข๎อความดว๎ ยวิธที ค่ี ิดเอง สาระท่ี ๒ การเขียน มาตรฐาน ๒.๑ ใช๎กระบวนการเขียนส่ือสารเขียนเรียงความ ยํอความและเขียน เรื่องราวในรูปแบบตํางๆ เขียนรายงาน ข๎อมูลสารสนเทศ และ รายงานการศึกษาค๎นคว๎าอยาํ งมปี ระสิทธิภาพ ตัวช้วี ดั ชนั้ ปี ป.๑ ๑. คดั ลายมอื ตัวบรรจงเตม็ บรรทดั ๒. เขียนสอ่ื สารด๎วยคาและประโยคงํายๆ ๓. มีมารยาทในการเขยี น สาระท่ี ๓ การฟงั การดแู ละการพดู มาตรฐาน ท ๓.๑ สามารถเลือกฟังและดูอยํางมีวิจารณญาณ และพดู แสดงความร๎ู ความคิด และความรส๎ู ึกในโอกาสตาํ ง อยํางมี วจิ ารณญาณและสร๎างสรรค์ ตัวช้วี ัดชนั้ ปี ป.๑ ๑. ฟังคาแนะนา คาส่งั งํายๆและปฏิบัตติ าม ๒. ตอบคาถามและเลําเรื่องที่ฟังและดูทั้งท่ีเป็นความร๎ูและความ บนั เทงิ ๓. พูดแสดงความคิดเหน็ และความร๎ูสกึ จากเร่อื งท่ีฟังและดู ๔. พูดส่ือสารได๎ตามวตั ถปุ ระสงค์ ๕. มมี ารยาทในการฟังการดูและการพูด ๑.๑.๒ ด้านคณติ ศาสตร์ และวทิ ยาศาสตร์ หลกั สูตรการศึกษาปฐมวยั หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ พุทธศักราช ๒๕๖๐ (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. ๒๕๖๐) (สาหรบั เดก็ อายุ ๓ – ๖) กล่มุ สาระการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ มาตรฐานที่ ๑๐ มีความสามารถใน สาระที่ ๑ จานวนและพืช สาระท่ี ๑ วิทยาศาสตร์ชวี ภาพ การคดิ ท่ีเปน็ พน้ื ฐานในการเรียนร๎ู คณิต มาตรฐาน ว ๑.๑ ตวั บ่งชท้ี ี่ ๑๐.๑ มคี วามสามารถใน มาตรฐาน ค ๒.๒ ตัวช้ีวดั ชนั้ ปี การคดิ รวบยอด ป.๑/๑ จาแนกรปู สามเหลยี่ ม ป.๑/๑ ระบุพืชและสตั วท์ ่อี าศัย สภาพที่พึงประสงค์ รูปสเ่ี หลีย่ ม วงกลม วงรี ทรง อยบูํ รเิ วณตาํ งๆทไี่ ดจ๎ ากการ ๑๐.๑.๑ บอกลกั ษณะ สํวนประกอบ ส่ีเหลีย่ มมุมฉาก ทรงกลม สารวจ การเปลี่ยนแปลงหรอื ความสัมพนั ธข์ อง ทรงกระบอก และกรวย ป.๑/๒ บอกสภาพแวดล๎อมที่ สงิ่ ตํางๆ จากการสงั เกตโดยใช๎ประสาท มาตรฐาน ค.๑.๑ เหมาะสมในบรเิ วณท่ีพืชและ สัมผัส ป.๑/๓ เรยี งลาดบั จานวนนบั ไมํ สตั ว์อาศยั อยูํทีบ่ ริเวณทีส่ ารวจ

หลักสตู รการศกึ ษาปฐมวยั หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พน้ื ฐาน พทุ ธศักราช ๒๕๕๑ พทุ ธศักราช ๒๕๖๐ (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. ๒๕๖๐) (สาหรับเดก็ อายุ ๓ – ๖) กลุ่มสาระการเรยี นรู้ กลุม่ สาระการเรียนรู้ ๑๐.๑.๒ จับคแํู ละเปรยี บเทียบและ ความเหมือนของสิง่ ตาํ งๆโดยใช๎ คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ลกั ษณะเดก็ ที่สงั เกตพบ ๒ ลักษณะขึน้ ไป เกิน ๑๐๐ และ ๐ ตงั้ แตํ ๓ ถึง มาตรฐาน ว ๒.๑ ๑๐.๑.๓ จาแนกและจดั กลมํุ สง่ิ ตํางๆ โดยใช๎ต้ังแตํ ๒ ลกั ษณะ ขึ้นไปเปน็ ๕ จานวน ป.๑/๒ ระบชุ นิดของวัสดุ และ เกณฑ์ ๑๐.๑.๔ เรียงลาดับสิ่งของและ จัดกลมํุ วัสดุตามสมบตั ิที่สังเกต เหตุการณ์อยาํ งน๎อง ๕ ลาดับ ตวั บงํ ช้ีท่ี ๑๐.๒ มีความสามารถในการ ได๎ คิดเชงิ เหตผุ ล สภาพทพี่ ึงประสงค์ มาตรฐาน ว ๓.๑ ๑๐.๒.๑ อธบิ ายเชอื่ มโยงสาเหตแุ ละ ผลทีเ่ กดิ ขนึ้ ในเหตุการณห์ รือการ ป.๑/๒ อธิบายสาเหตทุ ี่มองไมํ กระทา ตัวบ่งชที้ ่ี ๑๐.๓ มคี วามสามารถใน เหน็ ดาวสวํ นใหญใํ นเวลา การคิดแก๎ปัญหาและตัดสินใจ สภาพทีพ่ งึ ประสงค์ กลางวันจากหลกั ฐานเชงิ ๑๐.๓.๑ ตัดสนิ ใจในเรอ่ื งงํายๆและ ยอมรบั ผลทีเ่ กิดข้นึ ประจักษ์ ๑๐.๓.๒ ระบุปัญหา สร๎างทางเลือก และเลอื กวิธีแก๎ปญั หา มาตรฐาน ว ๘.๒ มาตรฐานที่ ๑๒ มีเจตคตทิ ่ีดีตํอการ เรยี นรู๎และมีความสามารถในการ ป.๑/๑ แกป๎ ญั หาอยํางงํายโยใช๎ แสวงหาความรูไ๎ ด๎เหมาะสมกับวยั ตวั บํงชท้ี ี่ ๑๒.๑ มเี จตคติทด่ี ีตํอการ การลองผิดลองถูก การ เรียนรู๎ ๑๒.๑.๒ กระตอื รือร๎นในการรํวม เปรยี บเทยี บ กิจกรรมต้งั แตตํ ๎นจนจบ ตวั บํงช้ีที่ ๑๒.๒ มคี วามสามารถในการ ป.๑/๒ แสดงลาดับขนั้ ตอนการ แสวงหาความรู๎ ทางานหรือการแก๎ปัญหาอยาํ ง งํายโดยใชภ๎ าพ สญั ลกั ษณ์ หรือ ข๎อความ กลมุ่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตรค์ ุณภาพผูเ้ รียนเมอื่ จบช้ัน ประถมศึกษาปีท่ี ๓ - แสดงความกระตือรือร๎น สนใจท่ีจะเรยี นร๎ู มีความคิด สร๎างสรรคเ์ กยี่ วกับเร่ืองที่จะศึกษาตามทกี่ าหนดให๎หรอื ตามความ สนใจ มีสวํ นรวํ มในการแสดงความคดิ เหน็ และยอมรบั ฟังความ คดิ เหน็ ของผู๎อ่ืน - ตระหนกั ถึงประโยชน์ของการใช๎ความรูแ๎ ละกระบวนการทาง


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook