Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore องค์การสมัยใหม่ฯ

องค์การสมัยใหม่ฯ

Published by supattra140610, 2021-05-25 06:26:29

Description: องค์การสมัยใหม่ฯ

Search

Read the Text Version

วิชาองคก์ ารและการจดั การสมยั ใหม่ รหสั 30001-1002 อาจารยส์ พุ ตั รา กรวยสวสั ดิ์



1. แนวความคิดเก่ียวกบั การจดั องคก์ าร เชสเตอร์ ไอ บารน์ ารด์ (Chester I. Barnard, 1968) กล่าวว่า องคก์ ารเป็น ระบบของการรว่ มมือรว่ มใจของมนุษย์ การจดั องคก์ าร (Organizing) จึงถือว่าเป็น การตดั สินใจเลือกวิธีการในการจดั แบง่ กล่มุ กิจกรรมและ ทรพั ยากรต่าง ๆ ขององคก์ ารออกเป็นหมวดหมู่ อย่างเป็นระเบยี บ เพื่อให้ การประสานงานระหว่างกล่มุ กิจกรรม และ กล่มุ บคุ คลต่าง ๆ เป็นไปอย่างมี ประสิทธิภาพและ ประสิทธิผล

2. ความหมายของการจดั องคก์ าร การจดั องคก์ าร หมายถึง การจดั ระบบความสมั พนั ธ์ ระหว่างส่วนงานต่าง ๆ และบคุ คลในองคก์ าร โดยกาหนดภารกิจ อานาจหน้าที่และความรบั ผิดชอบ ให้ชดั เจน เพื่อให้การดาเนินงานตามภารกิจของ องคก์ ารให้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์ และเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ

3. ความสาคญั ของการจดั องคก์ าร 1 2 3 ความสาคญั ต่อองคก์ าร ความสาคญั ต่อผบู้ ริหาร ความสาคญั ต่อผปู้ ฏิบตั ิงาน 1) การจดั โครงสร้างองค์การท่ีดีและ 1) การบรหิ ารงานง่าย สะดวก รู้ว่า 1 ) ท า ใ ห้รู้ อ า น า จ ห น้ า ท่ีแ ล ะ เ ห ม า ะ ส ม จ ะ ท า ใ ห้ อ ง ค์ ก า ร บ ร ร ลุ ใครรบั ผดิ ชอบอะไร มหี น้าทอ่ี ะไร ขอบขา่ ยการทางานของตน วตั ถุประสงค์ 2) แกป้ ัญหาการทางานซ้าซอ้ นได้งา่ ย 2) เกิดความยุติธรรมในการแบ่ง 2) ทาใหง้ านไมซ่ ้าซอ้ น 3) ทาใหง้ านไมค่ งั่ คา้ ง ณ จุดใดจุดหน่ง งานใหพ้ นกั งานอยา่ งเหมาะสม 3) องค์การสามารถปรบั ตัวเข้ากับ 4) การมอบอานาจทาได้ง่าย ขจัด สภาพแวดลอ้ มทเ่ี ปลย่ี นไปไดง้ า่ ย ๆ ปัญหาการเก่ียงกนั ทางานหรือปัดความ 3) ทาให้เกดิ ความคดิ รเิ ร่ิมในการ รบั ผดิ ชอบ ทางาน 4) เกดิ ความสมั พนั ธก์ บั ฝ่ายอน่ื ๆ

4. กระบวนการจดั องคก์ าร 01 ขนั้ ตอนที่ 1 การพิจารณาแยกประเภทงานและจดั กล่มุ งาน 02 (Identification of Work & Grouping Work) 03 ขนั้ ตอนที่ 2 การทาคาบรรยายลกั ษณะงาน (Job Description) ขนั้ ตอนท่ี 3 การจดั วางความสมั พนั ธข์ องงาน (Establishment of Relationship)

5. หลกั การจดั องคก์ าร หลกั การจดั องคก์ ารตามแนวคิดของเฮนรี่ ฟาโยล (HenryFayol,1949) คือ OSCAR (ออสการ)์ ดงั นี้ หลกั การประสานงาน (Coordination) หลกั ความรคู้ วามสามารถเฉพาะอย่าง หลกั ของอานาจหน้าที่ (Authority) (Specialization) หลกั วตั ถปุ ระสงค์ (Objective) หลกั ความรบั ผิดชอบ (Responsibility)

6. องคป์ ระกอบของการจดั การองคก์ าร 4. หน่วยงานสาคญั ขององคก์ าร (Key Unit of the Organization) 1. อานาจทางการบริหาร จดั การ (Power) 5. สายการบงั คบั บญั ชา (Chain of Command) 2. การกาหนดหน้าที่การงาน (Function) 6. ช่วงการควบคมุ (Span of Control) 3. การแบง่ งาน (Division of Work) 7. เอกภาพในการบงั คบั บญั ชา (Unit of Command)

ลกั ษณะการควบคมุ แบบต่าง ๆ 2) ช่วงการควบคมุ ท่ีแคบ 1) ช่วงการควบคมุ ท่ีกว้างมาก 2) ช่วงการควบคมุ ท่ีกว้าง

7. การจดั โครงสรา้ งขององคก์ าร 1. โครงสรา้ งองคก์ ารตามหน้าที่งาน (Functional Organization Structure) เป็นโครงสรา้ งท่ีจดั ตงั้ ขึน้ โดยแบง่ ไป ตามประเภทหรอื หน้าที่การงาน เพื่อ แสดงให้เหน็ ว่าในแต่ละแผนกนัน้ มี หน้าที่ต้องทาอะไรบา้ ง

2. โครงสร้างองคก์ ารตามสายงานหลกั (Line Organization Structure) เป็นการจดั รปู แบบโครงสรา้ งให้มีสายงานหลกั และมีการบงั คบั บญั ชาจากบน ลงลา่ ง ลดหลนั่ เป็นขนั้ ๆ จะไมม่ กี ารสงั่ การแบบข้ามขนั้ ตอนในสายงาน

3. โครงสรา้ งองคก์ ารแบบคณะท่ีปรึกษา (Staff Organization Structure) เป็นการจดั โครงสรา้ งโดยการให้มีที่ปรกึ ษาเขา้ มาช่วยการบริหารงาน เพราะว่าที่ปรกึ ษา มคี วามรแู้ ละมีความชานาญเฉพาะ

4. โครงสร้างองคก์ ารงานอนุกรม (Auxiliary) เป็นหน่วยงานช่วยบางทีเรยี กว่าหน่วยงานแมบ่ า้ น (House-Keeping Agency) ซ่ึงเป็นงาน เก่ียวกบั ธรุ การและอานวยความสะดวก เช่น งานเลขานุการ และ งานตรวจสอบภายใน เป็น ต้น

5. โครงสรา้ งองคก์ ารแบบคณะกรรมการบริหาร (Committees Organization Structure) เป็นการจดั โครงสรา้ งองคก์ าร โดยให้มีการบริหารงานใน ลกั ษณะคณะกรรมการ เช่น คณะกรรมการบริหาร งานรถไฟแห่งประเทศไทย คณะกรรมการ อส.มท. คณะกรรมการบริหารบริษทั เจริญโภคภณั ฑ์ เป็นต้น

หน่วยท่ี 2 แนวคดิ และเทคนิคการจดั การสมยั ใหม่

วิวฒั นาการของการจดั การองคก์ าร กลุ่มแต่ละกลุ่มจะต้องมีผ้นู า มีหวั หน้า ซึ่งจะต้องดาเนิ นบทบาทเป็ นแกนนาของกลุ่ม เพ่ือให้กลุ่ม ของตนดารงอยู่ได้ด้วยความเป็ นระเบียบเรียบร้อยและคงอยู่เอาไว้อย่างเหนียวแน่น การศึกษาทฤษฎี และหลกั เกณฑ์ทางการจดั การจึงเป็ นรูปแบบที่เกิดขึ้นในราวศตวรรษท่ี 18 ภายหลงั จากการปฏิบตั ิ อตุ สาหกรรม การปฏิวตั ิอตุ สาหกรรม (Industrial Revolution) เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขนึ้ ในการผลิต สินค้าอตุ สาหกรรม โดยเปล่ียนจากการผลิตในระบบช่างฝี มอื มาเป็นการผลิตด้วยเครื่องจกั ร ทาให้ สามารถเพิ่มประสิทธิภาพในการเพ่ิมผลผลิตได้อยา่ งมหาศาล

1. วิวฒั นาการของการจดั การองคก์ าร บคุ คลสาคญั ที่ผลกั ดนั ให้เกิดการปฏิวตั ิอตุ สาหกรรม เจมส์ วตั ต์ (James Watt) ชาวสกอ๊ ตแลนด์ ได้ดดั แปลงเครือ่ งจกั รไอน้ามา ใช้ในอตุ สาหกรรมหลายด้าน ได้แก่ อตุ สาหกรรมถ่านหิน อตุ สาหกรรมเหลก็ เจมแสล์ วตั ะตเ์ (หJaลmก็ eกs ลW้าatอt)ตุ ชาสวสากห๊อตกแลรนรด์มซง่ึ ยเคารือ่ นงจยกั รนไอนตา้ ข์ เอปงเจ็ นมสต์ ว้นตั ต์ กไ็ ดถ้ กู นามาดดั แปลงใชใ้ นอตุ สาหกรรมอีกหลายดา้ น ไดแ้ ก่ อตุ สาหกรรมถา่ นหนิ อตุ สาหกรรมเหลก็ และเหลก็ กลา้ อตุ สาหกรรมยานยนต์ เป็นตน้ สว่ นอดัม สมธิ (Adam Smith) ไดน้ า (Sแpนeวcคอiดิ aไดlปizสมัaกู่ าtรiสoปฏnมวิ )ิตธั กิทาา(รงAแเศบdรง่ ษงaาฐนmกกิจนั ใทSชาห้ mไลดกั เ้iปกtลาhร่ยี แ)นบสไง่ ภงดาาพน้นกกนาัารทแผาลน(ติ Dจวiาvคกisกิดiาoรกผnลาติoโรfดจlยaชดัb่างoกฝrีมา)ือรเทพี่มไ่ือีคปกว่อาสใมห่เกู เ้ชกี่ยาิดวครชวาปาญมฏหชาลิวนายาตั ญดิา้ทเนฉพไาปางเะปท็นากงาร ผลติเโศดยรคษนงฐานกทิ่ีเจช่ียโวดชายญใในชด้หา้ นลใดกัดา้กนหานรงึ่ แโดบยอง่ าศงยั ากนารขทกยาานงัยาตนทวั ซกาา้ วๆา้ งซ(ขDงึ่ นึเ้ ปi็นvเiหsตiผุ oลทnี่ทาoใหfต้ lน้aทbนุ กoาrร)ผลเติ พต่า่อื รากค่อาสในิ หคา้ ้เตก่าแิดละตลาด ความชานาญเฉพาะทาง (Specialization)

2. การพฒั นาการของการจดั การองคก์ าร การพฒั นาการของการบริหารจดั การได้เริ่มต้นตงั้ แต่คริสตศ์ ตวรรษที่19 เป็นต้นมา โดยแบง่ ยคุ สมยั ออกเป็น 4 ยคุ ตามช่วงระยะเวลาโดยประมาณ (นิพนธ์ กินาวงศ,์ 2554) 1. ยคุ การจดั การเชิงวิทยาศาสตร์ (Scientific Management) ระหวา่ ง ค.ศ.1910-1935 มีลกั ษณะเป็นการบริหารแบบดงั้ เดิม (TraditionalModel) เป็นยคุ ของเฟ รดเดอรร์ ิก เทเลอร์ (FredericW.Talor,1998) ผทู้ ่ีถือว่าเป็น “บิดาแห่งการบริหารเชิงวิทยาศาสตร”์ เทย์ เลอรไ์ ด้เสนอหลกั การสาคญั ที่จะทาให้การปฏิบตั ิงานเกิดประสิทธิภาพ ดงั นี้ 1) หาวิธีท่ีดีทส่ี ุด (One Best Way) 2) จดั คนใหเ้ หมาะกบั งาน (Put the Right Man to the Right Job) 3) งานเทา่ กนั เงนิ เท่ากนั (Equal Work, Equal Pay) 4) เน้นความชานาญและการแบ่งงานกันทา (Specification and Division of Work)

2. การพฒั นาการของการจดั การองคก์ าร ยคุ การจดั การเชิงมนุษยสมั พนั ธ์ (Human Relations) ระหวา่ ง ค.ศ.1930-1950 เป็นยคุ แหง่ การวจิ ยั ทเ่ี รยี กวา่ Hawthorne Experiment โดยเอลตนั เมโย (Elton Mayo) และคณะไดท้ าการทดลองวจิ ยั ความสมั พนั ธร์ ะหว่าง สภาวะจติ ใจและรา่ งกายของคนทางาน สภาพแวดลอ้ ม ตลอดจน สถานทท่ี างานทม่ี ผี ลต่อผลผลติ และคณุ ภาพการผลติ เพราะคนเป็นผู้ มชี วี ติ จติ ใจ มคี วามคดิ ตอ้ งการการยอมรบั และตอ้ งการกาลงั ใจ

2. การพฒั นาการของการจดั การองคก์ าร 3. ยคุ การจดั การเชิงพฤติกรรมศาสตร์ (Behavioral Science) ระหวา่ ง ค.ศ.1950-1970 เป็นการขยายแนวคดิ การบรหิ ารเชงิ มนุษยสมั พนั ธ์ โดยเน้นพฤตกิ รรมการทางานในองคก์ ารมโี ครงสรา้ งแบบ ทางการและมลี กั ษณะเป็นพลวตั เน้นธรรมชาตขิ องแต่ละคนและกลมุ่ คน เป็นแนวคดิ ทผ่ี สมผสานการบรหิ าร เชงิ วทิ ยาศาสตรก์ บั การบรหิ ารเชงิ มนุษยสมั พนั ธไ์ วด้ ว้ ยกนั ยคุ น้มี ผี คู้ ดิ คน้ ทฤษฎหี ลายทา่ น ไดแ้ ก่ เชสเตอร์ ไอ บารน์ ารด์ (Chester I. Barnard ) ทฤษฎี X ทฤษฎี Y ของ แมคเกรเกอร์ (Douglas MC Gregor) เป็นตน้

2. การพฒั นาการของการจดั การองคก์ าร 4. ยคุ การจดั การเชิงระบบ (Systems Approach) ระหว่าง ค.ศ.1970-ปัจจุบนั การนาเอาแนวคิดเชิงระบบมาใช้ในการบริหารงาน นักทฤษฎีองค์การ สมยั ใหมจ่ งึ สนใจที่จะศึกษาพฤติกรรมองคก์ ารในแง่องคก์ ารเป็นส่วนหน่ึงของระบบสงั คม จึงจาเป็นต้องศึกษาความสมั พนั ธร์ ะบบย่อยกบั ระบบใหญ่ ยคุ การบริหารเชิงระบบ

3. องคก์ ารสมยั ใหม่ องคก์ ารสมยั ใหม่ องคก์ ารสมยั เก่า 1. มีโครงสรา้ งองคก์ ารท่ียดื หยนุ่ 2. ขอ้ มลู สารสนเทศและเทคโนโลยีทนั สมยั 1. ผบู้ ริหารองคก์ ารส่วนใหญ่ทงั้ ในองคก์ ารราชการและ 3. พัฒ น าศักยภ า พของบุค ลา กรอย่า ง เอกชนต่างมีภารกิจมาก ต่อเนื่อง 2. การเล่อื นตาแหน่งจะเลื่อนตามวาระตลอดจนการ 4. มีบคุ ลากรมีภาวะผนู้ าจานวนมาก เกษียณอายเุ ป็นประจาทกุ ปี 5. เปิ ดโอกาสให้มีความคิดเหน็ อยา่ งอิสระ 6. ผบู้ ริหารองคก์ ารมีภาวะผนู้ าสงู 3. ยคุ สมยั ก่อนองคก์ ารเผชิญกบั สถานการณ์ที่คงเดิม ความเปลี่ยนแปลงอาจเกิดขึน้ อย่างช้า ๆ ในเวลาอนั สนั้ 4. บคุ ลากรสามารถตงั้ เชิงรบั ได้เพราะไม่ต้องรบั มือกบั ความเปล่ียนแปลงท่ีรวดเรว็ 5. เป็นการบริหารงานแบบรวมศนู ยอ์ านาจ 6. มีโครงสรา้ งองคก์ ารท่ีซบั ซ้อน บริหารจดั การแบบ เครง่ ครดั ไม่ยืดหยนุ่ 7. การให้ค่าตอบแทนขนึ้ อย่กู บั งานที่รบั ผิดชอบ ปฏิบตั ิงาน โดยยดึ ติดกบั เวลาและสถานที่

4. แนวคิดเก่ียวกบั การจดั การสมยั ใหม่ สรปุ ได้ 3 แนวความคิด

5. เทคนิคการจดั การสมยั ใหม่ 6. การวดั เปรียบเทียบ สมรรถนะ 1. การควบคมุ คณุ ภาพ โดยรวม 7. การวดั ผลงาน เชิง ดลุ ยภาพ 2. การรอื้ ปรบั ระบบ 8. การจดั การเชิงกลยทุ ธ์ 3. การวิเคราะห์ สถานการณ์ 9. การปฏิบตั ิเพอ่ื มงุ่ ส่คู วาม เป็ นเลิศ 4. การจดั การความรู้ 5. องคก์ ารแห่งการเรียนรู้

หน่วยท่ี 3 การนาเทคโนโลยีสารสนเทศ มาใช้ในการจดั การ

1. ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยี (Technology) หมายถึง การ สารสนเทศ ( Information) หมายถึง เทคโนโลยีสารสนเทศ หมายถึง การนา ใช้ความรู้ เครื่องมอื ความคิด หลกั การ ผลลพั ธท์ ่ีเกิดจากการประมวลผลข้อมูล ความร้ทู างด้านวิทยาศาสตรม์ า เทคนิค ความรู้ ระเบียบวิธี กระบวนการ ดิบ (Raw data) ด้วยการรวบรวมข้อมลู ประยกุ ตใ์ ช้เพือ่ สร้างหรือจดั การ ตลอดจน ผลงานทางวิทยาศาสตรท์ งั้ สารสนเทศอย่างเป็ นระบบและรวดเรว็ ส่ิงประดิษฐแ์ ละวิธีการ มาประยกุ ตใ์ ช้ใน จากแหลง่ ต่าง ๆ และนามาผา่ น โดยอาศยั เทคโนโลยีทางด้าน กระบวนการประเมินผล ไม่วา่ จะเป็นการ คอมพิวเตอร์ รวมไปถึง ระบบงาน การใช้เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ ที่ใช้ จดั กล่มุ ขอ้ มลู การเรียงลาดบั ข้อมลู การ รวบรวม จดั เกบ็ ประมวลผล สืบค้น และ นาเสนอสารสนเทศในรปู แบบต่าง ๆ ได้ คานวณและสรปุ ผล ทกุ เวลาและทกุ สถานที่

2. วตั ถปุ ระสงคใ์ นการนาเทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ 1. เพื่อเช่ือมโยงแลกเปล่ียนข้อมลู สารสนเทศและความร้รู ะหว่างกนั 2. เพอ่ื เช่ือมโยงแลกเปลี่ยนขอ้ มลู 2 1 สารสนเทศและความรกู้ บั หน่วยงานอ่ืน 3. เพือ่ ปรบั ปรงุ ระบบการปฏิบตั ิ งานโดย ๆ ลดขนั้ ตอนงานท่ีซา้ ซ้อน 3 4 5 4. เพอื่ รายงานผลได้อยา่ งรวดเรว็ ถกู ต้อง และทนั 5. เพอ่ื นาสารสนเทศและความร้มู าใช้ในการบริหาร ต่อเหตกุ ารณ์ จดั การและการตดั สินใจ

3. ความสาคญั ของเทคโนโลยีสารสนเทศ . 6. การสร้างสังคมแบบองคก์ ารแหง่ การเรยี นรู้ 7. การพฒั นาผลการปฏิบตั ิงาน

4.บทบาทของเทคโนโลยีสารสนเทศ

5. ประเภทของเทคโนโลยีสารสนเทศ สามารถแบง่ ออกไดเ้ ป็น 3 ประเภท ดงั น้ี 1. เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ คอมพิวเตอรเ์ ป็นเครอ่ื งมอื อิเลก็ ทรอนิกสท์ ี่ สามารถจดจาขอ้ มลู ต่าง ๆ และปฏิบตั ิตามคาสงั่ ที่บอก เพือ่ ให้คอมพิวเตอรท์ างานอย่างใดอย่าง หนึ่งให้คอมพิวเตอรน์ ัน้ ซ่ึงประกอบด้วย อปุ กรณ์ต่าง ๆ ต่อเชื่อมกนั เรียกว่า ฮารด์ แวร์ (Hardware) และโปรแกรมคอมพิวเตอรห์ รอื ที่ เรียกกนั ว่า ซอฟตแ์ วร์ (Software)

5. ประเภทของเทคโนโลยีสารสนเทศ 2. เทคโนโลยีทางด้านการสื่อสารคมนาคม 2. เทคโนโลยีทางด้านการสื่อสารคมนาคม ใช้ในการติดต่อสื่อสารรบั /ส่งข้อมลู จาก ที่ไกล ๆ เป็นการส่งของขอ้ มลู ระหวา่ ง คอมพิวเตอรห์ รือเคร่ืองมือที่อยหู่ ่างไกลกนั ซ่ึง จะช่วยให้การเผยแพร่ข้อมลู หรือสารสนเทศไป ยงั ผ้ใู ช้ในแหล่งต่าง ๆ เป็นไปอยา่ งสะดวก รวดเรว็

5. ประเภทของเทคโนโลยีสารสนเทศ 3.เทคโนโลยีระบบสื่อสาร ระบบการส่ือสารและเครือขา่ ยที่เป็น ส่วนเช่ือมในการแลกเปล่ียนข้อมลู อิเลก็ ทรอนิกสใ์ นรปู แบบของขอ้ มลู ดิจิตอล เช่น เครอื ขา่ ยโทรศพั ทด์ ิจิตอล ระบบส่ือสาร เคเบิลใยแก้ว (Fiber Optic System) รวมถงึ เครือขา่ ยคอมพิวเตอรร์ ะบบ WAN (Wide Area Network) เช่น เครอื ขา่ ย Internet เป็นต้น

6. การประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยี 2. การใช้เทคโนโลยีในการสื่อสาร 1. การใช้เทคโนโลยีในธรุ กิจ

6. การประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยี 4. การใช้เทคโนโลยีในการซื้อสินค้า 3. การใช้เทคโนโลยีเพอื่ การศึกษา ออนไลน์

6. การประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยี 6. การใช้เทคโนโลยีในธรุ กิจธนาคาร 5. การใช้เทคโนโลยีในการเกษตร

6. การประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยี 8. การใช้เทคโนโลยีในการควบคมุ ธรรมชาติ 7. การใช้เทคโนโลยีในการคมนาคมขนส่ง

6. การประยกุ ตใ์ ช้เทคโนโลยี 10 . เทคโนโลยีกบั การดารงชีวิตของมนุษย์ 9. การใช้เทคโนโลยีในสรา้ งความสมั พนั ธร์ ะหว่าง มนุษย์

7. เทคโนโลยีในอนาคต 8. ระบบเครือขา่ ย (Networking System) 1. คอมพิวเตอร์ (Computer) 9 .การประชมุ ทางไกล (Teleconference) 2.ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence: AI) 10. โทรทศั น์ตามสายและผา่ นดาวเทียม 3. ระบบสารสนเทศสาหรบั ผบู้ ริหาร (Cable and Satellite Television) (Executive Information System: EIS) 4.การจดจาเสียง (Voice Recognition) 11. เทคโนโลยีมลั ติมีเดีย 5. การแลกเปลี่ยนข้อมลู อิเลก็ ทรอนิกส์ (Multimedia Technology) (Electronics Data Interchange : EDI) 6. เส้นใยแก้วนาแสง (Fiber Optics) 12. การใช้คอมพิวเตอรใ์ นการฝึกอบรม (Computer Based Training) 7. อินเตอรเ์ น็ต (Internet) 13. การใช้คอมพิวเตอรช์ ่วยในการออกแบบ (Computer Aided Design: CAD) 14. การใช้คอมพิวเตอรช์ ่วยในการผลิต (Computer Aided Manufacturing: CAM) 15. ระบบสารสนเทศทางภมู ิศาสตร์ (Geographic Information System: GIS)

หน่วยท่ี 4 การเพ่ิมประสิทธิภาพในองคก์ าร

1. แนวคิดเกี่ยวกบั การเพิ่มประสิทธิภาพในองคก์ าร การเพ่ิมประสิทธิภาพขององคก์ ารเป็นเสมอื นจดุ ม่งุ หมายหลกั ในการพฒั นาทรพั ยากรขององคก์ าร ทกุ ด้าน โดยเฉพาะทรพั ยากรบคุ คล ประสิทธิภาพจึงเป็ นเร่ืองของการใช้ปัจจยั ท่ีมีอยู่และกระบวนการในการ ปฏิบตั ิงาน โดยมีผลผลิตที่ได้รบั เป็ นตวั กากบั การแสดง ประสิทธิภาพของการดาเนิ นงานใด ๆ อาจ แสดงค่าในลกั ษณะการเปรียบเทียบระหว่างค่าใช้จ่ายในการลงทุนกบั ผลกาไรที่ได้รบั หรืออาจแสดง ด้วยการบนั ทึกถึงลกั ษณะการใช้เงิน วสั ดุ คน และเวลาในการปฏิบตั ิงานอย่างค้มุ ค่าและประหยดั

2. ความสมั พนั ธข์ องประสิทธิภาพและประสิทธิผล 1. ประสิทธิภาพ 01 1) ประหยดั (Economy) ได้แก่ ประหยดั ต้นทุน (Cost) ประหยดั ทรพั ยากร (Resources) และประหยดั เวลา (Time) 02 2) เสรจ็ ทนั ตามกาหนดเวลา (Speed) ประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถงึ 03 3) คณุ ภาพ (Quality) โดยพิจารณาทงั้ กระบวนการตงั้ แต่ ปัจจยั นาเขา้ (Input) หรือวตั ถดุ ิบ มีการคดั สรรอยา่ งดี มี กระบวนการวางแผนท่ีมุ่งจะพฒั นาความสามารถขององคก์ าร เพื่อให้ กระบวนการดาเนินงาน กระบวนการผลิต (Process) ท่ีดีและ บรรลวุ ตั ถปุ ระสงคข์ ององคก์ ารและธารงไว้ มีผลผลิต (Output) ท่ีดี ซ่ึงระดบั การปฏิบตั ิงานท่ีพอใจท่ีสดุ

2. ความสมั พนั ธข์ องประสิทธิภาพและประสิทธิผล 1. ประสิทธิผล 01 1) เป้าหมายเชิงปริมาณ จะกาหนดชนิด ประเภท และจานวนของผลผลิต 02 2) เป้าหมายเชิงคณุ ภาพ จะแสดงถงึ คณุ ค่าของผลผลิตที่ได้รบั จากการดาเนินงาน นัน้ ๆ ม่งุ เน้นที่จดุ สิ้นสดุ ของกิจกรรม ประสิทธิผล (Effectiveness)หมายถงึ การที่องคก์ ารได้ดาเนิ นงานใด ๆ โดยการใช้ทรพั ยากรต่าง ๆ จนเกิดผลสาเรจ็ บรรลตุ ามเป้าหมายที่ องคก์ ารตงั้ ไว้ 03 3) มีตวั ชี้วดั (Indicator) ที่ชดั เจน

2. ความสมั พนั ธข์ องประสิทธิภาพและประสิทธิผล

3. วิธีการเพ่ิมประสิทธิภาพในองคก์ าร วิธีการเพ่ิมประสิทธิภาพในองคก์ ารมี 3 วิธี ดงั นี้ 01 02 03 การลดต้น การเพ่ิมผลผลิต การปรบั ปรงุ คณุ ภาพอย่าง (Cost Reduction) . อยา่ งต่อเน่ือง(Continuous ต่อเน่ือง (Continuous Productivity Improvement) Quality Improvement) วิธีการเพิ่มประสิทธิภาพในองคก์ ารเป็นกระบวนการลดต้นทนุ การผลิตและเพ่ิมคณุ ค่าให้กบั ผลิตภณั ฑ์ ซึ่ง จะต้องคานึงถึงปัจจยั ต่าง ๆ ท่ีมีอิทธิพลต่อการเพ่ิมผลผลิต บคุ ลากร ทรพั ยากร ท่ีใช้ รวมทงั้ ค่านิยมและวฒั นธรรมองคก์ าร .

4. องคป์ ระกอบของการเพิ่มประสิทธิภาพในองคก์ าร องคป์ ระกอบต่าง ๆ ท่ี มีผลต่อการเพ่ิม ประสิทธิภาพใน องคก์ าร

5. หลกั การเพ่ิมประสิทธิภาพในองคก์ าร

6. ปัจจยั ท่ีส่งผลต่อประสิทธิภาพขององคก์ าร ประสิทธิภาพในการปฏิบตั ิงานเป็ นความสามารถในการปฏิบตั ิงานตามหน้าท่ี และ ความรบั ผิดชอบของบคุ คลากรให้สาเรจ็ ลลุ ่วงอย่างถกู ต้อง รวดเรว็ และทนั ตามกาหนดเวลา โดยการใช้ความรู้ ความสามารถ และทกั ษะ ตลอดจนทรพั ยากรท่ีมีอย่ใู ห้เกิดประโยชน์สงู สดุ เกิดความพึงพอใจมากที่สดุ และเพ่ือให้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงคข์ ององคก์ าร

7. การเพิ่มประสิทธิภาพในการทางาน การเพิ่มประสิทธิภาพในการทางานนัน้ สามารถกระทาได้หลากหลายรปู แบบ ซ่ึงทุกคนสามารถนาไปปฏิบตั ิเพื่อพฒั นาตนเองได้ (สิริวดี ชูเชิด, 2556) ดงั นี้

8. องคป์ ระกอบของการเพ่ิมประสิทธิภาพการทางาน องคป์ ระกอบของ การเพิ่มประสิทธิภาพการทางานของ องคก์ ารเป็นการทางานของบคุ คล ให้สาเรจ็ โดยสญู เวลาและเสียพลงั งาน น้อยท่ีสดุ ได้แก่

หน่วยท่ี 5 แนวทางการเพิ่มผลิตภาพในองคก์ าร


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook