แผนการจัดการเรียนรู้ รายวิชาวิทยาศาสตร์ ระดับชันประถมศึกษาปที 6 ภาคเรียนที 1 นางสาวจตพุ ร สวุ รรณประเสรฐิ ครผู สู้ อน โรงเรียนวัดนราภริ มย์ สาํ นกั งานเขตพนื ทกี ารศกึ ษานครปฐม เขต 2 สาํ นกั งานการศึกษาขนั พืนฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ
แผนการจดั การเรียนรู้ รายวิชาพนื้ ฐาน วิทยาศาสตร์ ป.6 เล่ม 1 และเทคโนโลยี ตามมาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตัวชว้ี ดั (ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ. 2560) กลมุ่ สาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้นั พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ผู้เรียบเรยี ง อุไรพรรณ จนั สดี า ผู้ตรวจ ดร.รักซ้อน รตั นว์ ิจิตตเ์ วช ศิริรตั น์ วงศ์ศิริ บรรณาธกิ าร อัจฉรา คาสกุ ดี สงวนลขิ สทิ ธ์ิตามพระราชบญั ญตั ิ
องคป์ ระกอบของหน่วยการเรียนร้อู ิงมาตรฐาน หนว่ ยการเรียนรูท้ ี่ เวลาเรยี น ชัว่ โมง 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวช้วี ดั 2. สาระการเรยี นรู้ 2.1 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง 2.2 สาระการเรียนรู้ท้องถน่ิ (ถา้ ม)ี 3. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด 4. สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ 5. ช้ินงาน/ภาระงาน (รวบยอด) 6. การวัดและประเมนิ ผล 6.1 การประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน (รวบยอด) 6.2 การประเมนิ ระหวา่ งการจัดกจิ กรรมการเรียนรู้ 6.3 การประเมนิ หลังเรียน (ทาแบบทดสอบหลงั เรยี น ประจาหน่วยการเรยี นรู้ 7. กจิ กรรมการเรียนรู้ 8. สื่อ/แหลง่ การเรยี นรู้
องคป์ ระกอบของแผนการจดั การเรียนรู้ แผนการจัดการเรยี นรู้ที่ หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ ระยะเวลา ช่วั โมง เรอ่ื ง ช้ัน 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วดั 2. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ 3. สาระการเรียนรู้ 3.1 สาระการเรยี นรู้แกนกลาง 3.2 สาระการเรยี นรู้ท้องถ่ิน (ถ้าม)ี 4. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด 5. สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และคณุ ลกั ษณะอันพึงประสงค์ 6. กิจกรรมการเรียนรู้ 7. การวดั และประเมินผล 8. ส่ือ/แหล่งการเรยี นรู้
คานา ตามที่กระทรวงศึกษาธิการ ได้ประกาศใช้มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 เพือ่ ให้สถานศกึ ษานาไปใช้เป็นกรอบทศิ ทางในการพฒั นาหลกั สตู รสถานศึกษา วางแผนการ จดั การเรียนการสอนและจัดกิจกรรมการเรียนร้เู พื่อพฒั นาผ้เู รียนให้มีความรู้ความสามารถ และคุณลักษณะอัน พึงประสงค์ตามเป้าหมายของหลักสูตร ตลอดจนให้เกิดผลสาเร็จตามเจตนารมณ์ของการปฏิรูปการศึกษา ดังนั้น ข้ันตอนการนาหลักสูตรสถานศึกษาไปปฏิบัติจริงในชั้นเรียนของผู้สอน จึงจัดเป็นหัวใจสาคัญในการ พัฒนาผเู้ รยี น บริษัท อักษรเจริญทัศน์ อจท. จากัด จึงได้จัดทาแผนการจัดการเรียนรู้รายวิชาพ้ืนฐาน วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ช้ันประถมศึกษาปีท่ี 6 เล่ม 2 เพื่อให้ผู้สอนใช้เป็นแนวทางวางแผนจัดการเรียนรู้แก่ผู้เรียน โดยจัดทาเป็นหน่วยการเรียนรู้อิงมาตรฐานและออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้โดยเน้นกิจกรรมแบบ Active Learning อนั จะช่วยใหผ้ ปู้ กครองและหนว่ ยงานที่เก่ียวข้องกบั การประเมนิ คุณภาพการศกึ ษา สามารถมั่นใจใน ผลการเรียนรแู้ ละคณุ ภาพของผู้เรยี นทม่ี ีหลักฐานตรวจสอบผลการเรยี นร้อู ย่างเปน็ ระบบ ผู้สอนสามารถนาแผนการจัดการเรียนรู้เล่มน้ี ไปเป็นคู่มือวางแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ประกอบการใชห้ นังสอื เรยี นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เล่ม 2 ท่ีทางบริษัทฯ จัดพิมพ์ จาหน่าย โดยออกแบบการเรียนรู้ (Instructional Design) ตามหลกั การสาคญั คือ 1 หลักการจดั การเรยี นรอู้ งิ มาตรฐาน หนว่ ยการเรยี นรู้แตล่ ะหน่วย จะกาหนดมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัด ไว้เป็นเป้าหมายในการจัดการ เรยี นการสอน ผ้สู อนจะต้องศกึ ษาและวิเคราะห์รายละเอยี ดของมาตรฐานตัวช้ีวัดทุกข้อว่า ระบุให้ผู้เรียนต้องมี ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเร่ืองอะไร และต้องสามารถลงมือปฏิบัติอะไรได้บ้าง และผลการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นกับ ผู้เรียนตามมาตรฐานตัวช้ีวัดนี้จะนาไปสู่การเสริมสร้างสมรรถนะสาคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ด้านใด แก่ผ้เู รยี น มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ชว้ี ัด ผู้เรยี นร้อู ะไร นาไปสู่ ผู้เรยี นทาอะไรได้ สมรรถนะสาคัญของผเู้ รยี น คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์
2 หลักการจัดกจิ กรรมการเรียนรทู้ ีเ่ นน้ ผู้เรียนเปน็ สาคญั เม่ือผสู้ อนวิเคราะห์ตัวชี้วัดและความสามารถของผู้เรียนท่ีจะเกิดตามตัวชี้วัด ได้กาหนดจุดประสงค์การ เรียนรู้เป้าหมายการจัดการเรียนการสอนเรียบร้อยแล้ว จึงกาหนดขอบข่ายสาระการเรียนรู้และแนวทางการ จัดการ เรี ยนการ สอนให้ ผู้เ รีย นล งมือปฏิ บัติ ตามข้ัน ตอนของกิจกรร มกา รเ รี ย นรู้ที่ออกแบบไว้จ นบ รร ลุ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ทุกขอ้ จุดประสงค์ เปา้ หมาย สมรรถนะสาคัญของผเู้ รียน การเรยี นรู้ หลกั การจดั การเรยี นรู้ และการพฒั นา คณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ เน้นผูเ้ รยี นเป็นศนู ยก์ ลาง คณุ ภาพ ของผู้เรียน สนองความแตกต่างระหว่างบุคคล ของผู้เรียน เน้นพัฒนาการทางสมอง เน้นความรคู้ คู่ ณุ ธรรม 3 หลกั การบรู ณาการกระบวนการเรียนรสู้ ู่มาตรฐานตัวชีว้ ัด เมื่อผู้สอนกาหนดขอบข่ายสาระการเรียนรู้ และแนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนไว้แล้ว จึงกาหนดรูปแบบการเรียนการสอนและกระบวนการเรียนรู้ ท่ีจะฝึกฝนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ บรรลุผลตาม จดุ ประสงค์การเรียนรู้ โดยเลือกใช้กระบวนการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ท่ีเป็นเป้าหมายใน หน่วยการเรียนรู้น้ันๆ เช่น กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้ด้วยตนเอง กระบวนการเผชญิ สถานการณแ์ ละการแก้ปญั หา การคิดเชิงคานวณ กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จริง กระบวนการพัฒนาลักษณะนิสัย กระบวนการปฏิบัติ กระบวนการคิดวิเคราะห์อย่างมีวิจารณญาณ กระบวนการทางสังคม กระบวนการเรียนรู้ที่มอบหมายให้ผู้เรียนได้คิดและลงมือปฏิบัติน้ันจะต้องนาไปสู่การ พัฒนาสมรรถนะสาคัญ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียนตามสาระการเรียนรู้ที่กาหนดไว้ในแต่ละ หน่วยการเรียนรู้ 4 หลกั การจดั กจิ กรรมการเรยี นการสอน การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และกิจกรรมการเรียนรู้ในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ ผู้สอนต้องกาหนด ขั้นตอนและวิธีปฏิบตั ิให้ชดั เจน โดยเน้นให้ผเู้ รียนได้คดิ และปฏบิ ัตมิ ากท่สี ุด ตามแนวคิดและวิธีการสาคัญ คือ 1) การเรยี นรู้ เป็นกระบวนการทางสติปัญญาที่ผู้เรียนทุกคนต้องใช้สมองในการคิดและทาความเข้าใจ ในสิ่งต่างๆ ร่วมกับการลงมือปฏิบัติ ทดลองค้นคว้า จนสามารถสรุปเป็นความรู้ได้ด้วยตนเอง และ สามารถนาเสนอผลงาน แสดงองคค์ วามรูท้ ีเ่ กิดขน้ึ ในแตล่ ะหนว่ ยการเรียนรู้ได้
2) การสอน เปน็ การเลือกวธิ กี ารหรอื กจิ กรรมท่เี หมาะสมกับการเรียนรู้ในหน่วยการเรียนรู้นั้นๆ และท่ี สาคัญคือ ต้องเป็นวิธีการท่ีสอดคล้องกับสภาพผู้เรียน ผู้สอนจึงต้องเลือกใช้วิธีการสอน เทคนิค การสอน และรปู แบบการสอนอย่างหลากหลาย เพ่อื ช่วยให้ผู้เรียนปฏบิ ัติกิจกรรมการเรียนรู้ได้อย่าง ราบร่ืนจนบรรลุตัวชว้ี ัดทุกข้อ 3) รูปแบบการสอน ควรเป็นวิธีการและข้ันตอนฝึกปฏิบัติที่ส่งเสริมหรือกระตุ้นให้ผู้เรียนสามารถคิด อย่างเป็นระบบ เช่น รูปแบบการสอนแบบสืบเสาะหาความรู้ (5Es) รูปแบบการสอนโดยใช้การคิด แบบโยนิโสมนสิการ รูปแบบการสอนแบบ CIPPA Model รูปแบบการเรียนการสอนตามวัฏจักรการ เรยี นรแู้ บบ 4MAT รูปแบบการเรยี นการสอนแบบร่วมมอื เทคนิค JIGSAW, STAD, TAI, TGT 4) วิธีการสอน ควรเลือกใชว้ ิธกี ารสอนทส่ี อดคล้องกับเน้ือหาของบทเรียน ความถนัด ความสนใจ และ สภาพปัญหาของผู้เรียน วิธีสอนที่ดีจะช่วยให้ผู้เรียนสามารถบรรลุผลการเรียนรู้ตามในระดับ ผลสัมฤทธิ์ที่สูง เช่น วิธีการสอนแบบบรรยาย การสาธิต การทดลอง การอภิปรายกลุ่มย่อย การ แสดงบทบาทสมมติ การใช้กรณีตัวอย่าง การใช้สถานการณ์จาลอง การใช้ศูนย์การเรียน การใช้ บทเรียนแบบโปรแกรม 5) เทคนิคการสอน ควรเลือกใช้เทคนิคการสอนที่สอดคล้องกับวิธีการสอน และช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจ เนื้อหาในบทเรียนได้ง่ายขึ้น สามารถกระตุ้นความสนใจและจูงใจให้ผู้เรียนร่วมปฏิบัติกิจกรรมการ เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น เทคนิคการใช้ผังกราฟิก (Graphic Organizers) เทคนิคการเล่า นิทาน การเล่นเกมเทคนิคการใช้คาถาม การใช้ตัวอย่างกระตุ้นความคิด การใช้สื่อการเรียนรู้ท่ี น่าสนใจ 6) ส่อื การเรยี นการสอน ควรเลือกใช้สือ่ หลากหลายกระตุ้นความสนใจ และทาความกระจ่างให้เน้ือหา สอดคล้องกับสาระการเรียนรู้ และเป็นเครื่องมือช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้บรรลุตัวช้ีวัดอย่าง ราบร่ืน เช่น ส่ือส่ิงพิมพ์ เอกสารประกอบการสอน แผ่นสไลด์ คอมพิวเตอร์ VCD LCD Visualizer ควรเตรยี มส่ือให้ครอบคลุมทัง้ สอื่ การสอนของผสู้ อนและส่ือการเรยี นรู้ของผูเ้ รยี น 5 การจดั กจิ กรรมการเรยี นรู้แบบ 5Es Instructional Model การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5Es Instructional Model เป็นข้ันตอนการเรียนรู้ท่ีมุ่งหวังให้ผู้เรียนได้มีโอกาส สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองผ่านกระบวนการคิดและการลงมือทา โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นเคร่ืองมือสาคัญ เพ่ือการพัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และทักษะการเรียนรู้แห่งศตวรรษท่ี 21 ซึ่งผู้จัดทาได้นามาใช้เป็น แนวทางออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนในแต่ละหน่วยการเรียนรู้ตามลาดับขั้นตอนการเรียนรู้ ดังนี้
กระตนุ้ ความสนใจ (Engagement) ZX ตรวจสอบผล สารวจและค้นหา (Evaluation) (Exploration) ZX ZX ขยายความเข้าใจ อธบิ ายความรู้ (Elaboration) (Explanation) ZX ZX รูปแบบการจดั กิจกรรมการเรยี นรแู้ บบ 5Es Instructional Model ขั้นที่ 1 กระตุ้นความสนใจ (Engagement) เป็นขนั้ ที่ผ้สู อนนาเขา้ สบู่ ทเรียน เพ่ือกระตนุ้ ความสนใจของผู้เรียนด้วยเรื่องราวหรือเหตุการณ์ท่ีน่าสนใจ โดยใชเ้ ทคนคิ วธิ ีการสอนและคาถามทบทวนความรู้หรือประสบการณ์เดิมของผู้เรียน เพื่อเชื่อมโยงผู้เรียนเข้า สู่ความรู้ของบทเรียนใหม่ ช่วยให้ผู้เรียนสามารถสรุปประเด็นสาคัญท่ีเป็นหัวข้อและสาระการเรียนรู้ของ บทเรียนได้ จึงเป็นขั้นตอนการสอนท่ีสาคัญ เพราะเป็นการเตรียมความพร้อมและสร้างแรงจูงใจใฝ่เรียนรู้แก่ ผู้เรียน ขั้นที่ 2 สารวจและคน้ หา (Exploration) เป็นขั้นที่ผู้สอนเปิดโอกาสให้ผู้เรียนลงมือศึกษา สังเกต หรือร่วมมือกันสารวจ เพื่อให้เห็นขอบข่ายของ ปญั หา รวมถงึ วธิ ีการศกึ ษาค้นคว้า การรวบรวมข้อมูลความรู้ที่จะนาไปสู่ความเข้าใจประเด็นปัญหานั้นๆ เมื่อ ผู้เรียนทาความเข้าใจในประเด็นหัวข้อท่ีจะศึกษาค้นคว้าอย่างถ่องแท้แล้ว ก็ลงมือปฏิบัติเพ่ือเก็บรวบรวม ข้อมูลความรู้ สารวจตรวจสอบ โดยวิธีการต่างๆ เช่น สัมภาษณ์ ทดลอง อ่านค้นคว้าข้อมูลจากเอกสาร แหลง่ ขอ้ มลู ตา่ งๆ จนได้ขอ้ มูลความรตู้ ามที่ต้งั ประเดน็ ศึกษาไว้ ขน้ั ที่ 3 อธบิ ายความรู้ (Explanation) เป็นขั้นที่ผู้สอนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียน เช่น ให้การแนะนา ตั้งคาถามกระตุ้นให้คิด เพื่อให้ผู้เรียนค้นหา คาตอบ และนาข้อมูลความรู้จากการศึกษาค้นคว้าในขั้นท่ี 2 มาวิเคราะห์ สรุปผล และนาเสนอผลท่ีได้ศึกษา ค้นคว้ามาในรูปแบบสารสนเทศต่างๆ เช่น เขียนแผนภูมิ แผนผังแสดงมโนทัศน์ เขียนความ-เรียง เขียน รายงาน ในข้นั ตอนน้ฝี กึ ใหผ้ ู้เรยี นใช้สมองคดิ วเิ คราะห์และสังเคราะหอ์ ย่างเปน็ ระบบ
ข้นั ท่ี 4 ขยายความเขา้ ใจ (Elaboration) เป็นขั้นท่ีผู้สอนเลือกใช้เทคนิควิธีการสอนต่างๆ ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนนาความรู้ที่เกิดขึ้นไปคิดค้นสืบค้น ต่อๆ ไป เพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้และการทางานร่วมกันเป็นกลุ่ม ระดมสมองเพ่ือคิดสร้างสรรค์ร่วมกัน ผู้เรียนสามารถนาความรู้ท่ีสร้างขึ้นใหม่ไปเชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิมโดยนาข้อสรุปท่ีได้ไปใช้อธิบาย เหตุการณ์ต่างๆ หรือนาไปปฏิบัติในสถานการณ์ใหม่ๆ ที่เก่ียวข้องกับชีวิตประจาวันของตนเอง เพื่อขยาย ความรู้ความเข้าใจให้กว้างขวางยิ่งขึ้น ในข้ันตอนน้ีฝึกสมองของผู้เรียนให้สามารถคิดริเร่ิมสร้างสรรค์อย่างมี คุณภาพ เสริมสรา้ งวสิ ยั ทศั น์ให้กวา้ งไกลออกไป ขนั้ ที่ 5 ตรวจสอบผล (Evaluation) เป็นการประเมินผลการเรียนรู้จากการทากิจกรรมในข้ันที่ 1-4 เพื่อนาความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ใน ชีวติ ประจาวนั และเป็นการประเมนิ ผล โดยการใช้แบบทดสอบ ชุดฝึก การทากิจกรรม การทดลอง การจัดป้าย นิเทศ เป็นการประเมินผลรายบุคคล รายกลุ่ม โดยใช้กระบวนการต่างๆ เพื่อประเมินว่าผู้เรียนมีความรู้อะไร อย่างไร มากน้อยเพียงใด การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ 5Es Instructional Model จึงเป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญอย่างแท้จริง เพราะส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติ ตามข้ันตอนของกระบวนการสร้างความรู้ด้วยตนเอง และฝึกฝนให้ใช้กระบวนการคิดและกระบวนการกลุ่ม อย่างชานาญ ก่อให้เกิดทักษะชีวิต ทักษะการทางาน และทักษะการเรียนรู้ท่ีมีประสิทธิภาพ จึงส่งผลทาให้ ผเู้ รยี นสามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์ตามมาตรฐานและตัวช้ีวัด รวมถึงสมรรถนะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของ ผเู้ รียนทีห่ ลักสตู รกาหนดไวต้ อ่ ไป 6 หลกั การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบย้อนกลับตรวจสอบ เมือ่ ผสู้ อนวางแผนออกแบบการจัดการเรียนรู้ รวมถึงกาหนดรูปแบบการเรียนการสอนไว้เรียบร้อยแล้ว จึงนาเทคนิควิธีการสอน วิธีจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และสื่อการเรียนรู้ไปลงมือจัดการเรียนการสอน ซ่ึงจะนา ผู้เรียนไปสู่การสร้างช้ินงานหรือภาระงาน เกิดทักษะกระบวนการและสมรรถนะสาคัญตามธรรมชาติวิชา รวมทั้งคุณลักษณะอันพึงประสงค์ให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้ีวัดที่เป็นเป้าหมายของหน่วยการ เรยี นรู้ ตามลาดับขนั้ ตอนการเรียนร้ทู กี่ าหนดไว้ ดงั น้ี
จากเป้าหมายและหลักฐาน เป้าหมายการเรยี นรูข้ องหน่วยการเรยี นรู้ คิดย้อนกเลปับา้ หส่จูมุดายเรก่ิมาตร้นเรียนรู้ของหนว่ ย ของกิจกรรมการเรยี นรู้ หลักฐานชนิ้ งาน/ภาระงาน แสดงผลการเรียนรู้ของหนว่ ย 4 กิจกรรม คาถามชวนคดิ 3 กิจกรรม คาถามชวนคดิ จากกิจกรรมการเรยี นรู้ 2 กิจกรรม คาถามชวนคิด ทีละขน้ั บันไดส่หู ลกั ฐาน 1 กิจกรรม คาถามชวนคดิ และเป้าหมายการเรียนรู้ 7 หลักการวดั และประเมนิ ผล เพื่อให้มั่นใจว่าผู้เรียนจะสามารถบรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ตามตัวช้ีวัดนั้น จึงได้มีการออกแบบและ สร้างเครื่องมือเพื่อใช้ในการประเมนิ หลกั ๆ ดงั นี้ 1) แบบทดสอบก่อน-หลงั เรยี น ประเมินความรเู้ พอ่ื ใชใ้ นการพฒั นาในหน่วยการเรยี นรู้ถัดๆ ไป 2) ใบงาน เพอ่ื ใชใ้ นการฝกึ คิดและปฏิบัติ 3) แบบประเมินช้ินงาน โดยใช้เกณฑ์คุณภาพ (Scoring Rubrics) เพื่อใช้ในการประเมินคุณภาพของ ช้ินงานและประเมนิ กระบวนการคิดและกระบวนการกลุ่ม 4) แบบสงั เกตพฤตกิ รรมเพอื่ ใชใ้ นการประเมินพัฒนาคุณลักษณะอนั พึงประสงคต์ ่อไป การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ นอกจากจะเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจริงแล้ว จะต้องฝึกฝนกระบวนการคิด โดยใช้เทคนิคการตั้งคาถาม และใช้ระดับคาถามให้สัมพันธ์กับระดับความคิด เน้ือหาน้ันๆ ตั้งแต่ระดับความรู้ ความจา ความเข้าใจ การนาไปใช้ การวิเคราะห์ การประเมินค่า และการ สร้างสรรค์ นอกจากจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจบทเรียนอย่างลึกซ้ึงแล้ว ยังเป็นการเตรียมความพร้อม เพื่อสอบ O-NET ซ่ึงเป็นการทดสอบระดับชาตทิ ่ีเนน้ กระบวนการคดิ ระดับวิเคราะห์ด้วย และในแต่ละแผนการ เรียนรู้จึงมีการระบุคาถามเพ่ือกระตุ้นความคิดของผู้เรียนไว้ด้วยทุกกิจกรรม ผู้เรียนจะได้ฝึกฝนวิธีการทา ขอ้ สอบ O-NET ควบคูไ่ ปกับการปฏิบตั ิกิจกรรมการเรยี นร้ตู ามผลการเรียนรู้ทส่ี าคัญ ท้งั นี้ การออกแบบกจิ กรรมการเรยี นการสอนในแต่ละหน่วยการเรียนรู้จะครอบคลุมกิจกรรมการเรียนรู้ และการประเมินผลด้านความรู้ความเข้าใจ (K) ด้านทักษะกระบวนการ (P) และด้านคุณลักษณะอันพึง ประสงค์ (A) ตามตัวช้ีวัด กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตาม หลกั สูตรแกนกลางฯ การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ตลอดจนแบบบันทึกผลการเรียนรู้ด้านต่างๆ ไว้
ครบถ้วน สอดคล้องกับมาตรฐานด้านคุณภาพผู้เรียน เช่น แบบบันทึกผลด้านการคิดวิเคราะห์ ด้านการอ่าน และแสวงหาความรู้ ด้านสมรรถนะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามหลักสูตร ผู้สอนสามารถนาไป ประยุกต์ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และใช้ประกอบการจัดทารายงานการประเมินตนเอง (Self-Assessment Reports) จึงมั่นใจอย่างย่ิงว่า การนาแผนการจัดการเรียนรู้เล่มน้ีไปเป็นแนวทางจัดการเรียนการสอนจะช่วย พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนให้สูงข้ึนตามมาตรฐานการศึกษาและการประกันคุณภาพภายใน สถานศกึ ษาทกุ ประการ คณะผจู้ ัดทา
สารบญั คณะผู้จัดทา หน้า สรุปหลกั สตู รฯ กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ทิ ยาศาสตร์ พเิ ศษ 1 ตัวชีว้ ัดและสาระการเรยี นรแู้ กนกลาง วทิ ยาศาสตร์ พเิ ศษ 4 คาอธบิ ายรายวิชา พเิ ศษ 12 โครงสร้างรายวชิ าพ้ืนฐาน พิเศษ 14 โครงสรา้ งแผนการจดั การเรยี นรู้ พิเศษ 17 หน่วยการเรยี นรู้ที่ 1 วิทยาศาสตรน์ า่ รู้ 1 บทท่ี 1 กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 11 ร่างกายของเรา 25 หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 2 สารอาหารกบั การเจริญเติบโตของรา่ งกาย 41 บทที่ 1 ระบบยอ่ ยอาหารของร่างกาย 90 บทที่ 2 แรงในชีวิตประจาวนั 114 แรงไฟฟ้านา่ รู้ 129 หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 3 วงจรไฟฟา้ ใกล้ตัว 139 บทท่ี 1 แสงและเงา 180 บทท่ี 2 เงามืดและเงามัว 190 หน่วยการเรียนรู้ที่ 4 บทที่ 1
สรปุ หลกั สตู รฯ กลุ่มสาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี * มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 นี้ ได้กาหนดสาระการเรียนรู้ออกเป็น 4 สาระ ไดแ้ ก่ สาระที่ 1 วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ สาระที่ 2 วิทยาศาสตรก์ ายภาพ สาระท่ี 3 วิทยาศาสตร์โลกและ อวกาศ และสาระท่ี 4 เทคโนโลยี มีสาระเพ่ิมเติม 4 สาระ ได้แก่ สาระชีววิทยา สาระเคมี สาระฟิสิกส์ และ สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ องคป์ ระกอบของหลกั สตู ร ท้งั ในด้านของเนอ้ื หา การจดั การเรียนการสอน และการวัดและประเมินผล การเรยี นรนู้ ั้น มีความสาคัญอย่างยิ่งในการวางรากฐานการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ของผ้เู รยี นในแต่ละระดับช้ันให้มี ความตอ่ เนือ่ งเช่อื มโยงกันต้งั แต่ ชัน้ ประถมศกึ ษาปีที่ 1 จนถงึ ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 6 สาหรบั กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีได้กาหนดตัวชี้วัดและสาระการเรียนรู้แกนกลางที่ผู้เรียนจาเป็นต้องเรียนเป็น พนื้ ฐาน เพื่อให้สามารถนาความรู้น้ีไปใช้ในการดารงชีวิต หรือศึกษาต่อในวิชาชีพที่ต้องใช้วิทยาศาสตร์ได้ โดย จัดเรียงลาดับความยากง่ายของเนื้อหาในแต่ละระดับช้ันให้มีการเชื่อมโยงความรู้กับกระบวนการเรียนรู้ และ การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาความคิด ทั้งความคิดเป็นเหตุเป็นผล คิดสร้างสรรค์ คิด วิเคราะห์วิจารณ์ มีทักษะที่สาคัญท้ังทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์และทักษะในศตวรรษที่ 21 ในการ ค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้ด้วยกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ สามารถแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ สามารถ ตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลหลากหลายและประจกั ษพ์ ยานท่ตี รวจสอบได้ มาตรฐานการเรยี นรแู้ ละตัวชว้ี ดั กลุ่มสาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 น้ี ได้ปรับปรุงเพื่อให้มีความสอดคล้อง และเชื่อมโยงกันภายในสาระการเรียนรู้เดียวกัน และระหว่างสาระการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตลอดจนการเช่ือมโยงเน้ือหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับคณิตศาสตร์ด้วย นอกจากน้ี ยังได้ปรับปรุงเพ่ือให้มีความทันสมัยต่อการเปลี่ยนแปลงและความเจริญก้าวหน้าของวิทยาการต่าง ๆ และทัดเทยี มกบั นานาชาติ ซ่ึงสรุปได้ ดังแผนภาพ สาระท่ี 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว 2.1-ว 2.3 สาระท่ี 1 วทิ ยาศาสตร์ชวี ภาพ กลุ่มสาระการเรยี นรู้วิทยาศาสตร์ สาระท่ี 3 วทิ ยาศาสตร์โลกและอวกาศ มาตรฐาน ว 1.1-ว 1.3 และเทคโนโลยี มาตรฐาน ว 3.1-ว 3.2 สาระท่ี 4 เทคโนโลยี มาตรฐาน ว 4.1-ว 4.2 วิทยาศาสตรเ์ พมิ่ เติม - สาระชวี วทิ ยา - สาระเคมี - สาระฟสิ กิ ส์ - สาระโลก ดาราศาสตร์ และอวกาศ *สถาบนั ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธิการ, ตัวช้ีวัดและสาระการเรียนรู้แกนกลาง กลุ่มสาระการเรียนรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พ.ศ. 2551 (กรุงเทพมหานคร : โรง พิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย, 2560). พิเศษ 1
พเิ ศษ 2
พเิ ศษ 3
ตวั ช้ีวัดและสาระการเรียนร้แู กนกลาง* สาระที่ 1 วิทยาศาสตรช์ วี ภาพ มาตรฐาน ว 1.1 เข้าใจสมบตั ขิ องสงิ่ มชี ีวิต หนว่ ยพ้ืนฐานของสิ่งมีชีวิต การลาเลียงสารเข้าและออกจากเซลล์ ความสมั พันธ์ของโครงสร้างและหน้าท่ีของระบบต่างๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทางานสัมพันธ์ กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของอวัยวะต่างๆ ของพืชท่ีทางานสัมพันธ์กัน รวมท้งั นาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ ชั้น ตวั ช้วี ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.6 1. ระบุสารอาหารและบอกประโยชน์ สารอาหารทอ่ี ยูใ่ นอาหารมี 6 ประเภท ไดแ้ ก่ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน ของสารอาหารแต่ละประเภทจาก ไขมัน เกลอื แร่ วิตามิน และนา้ อาหารท่ีตนเองรบั ประทาน สารอาหารแต่ละประเภทมีประโยชน์ต่อร่างกายแตกต่างกัน โดย คาร์โบไฮเดรต โปรตีน และไขมันเป็นสารอาหารท่ีให้พลังงานแก่ ร่างกาย ส่วนเกลือแร่ วิตามิน และน้า เป็นสารอาหารที่ไม่ให้ พลงั งานแกร่ ่างกาย แตช่ ่วยใหร้ า่ งกายทางานไดเ้ ป็นปกติ 2. บอกแนวทางในการเลือกรับประทาน อาหารแต่ละชนิดประกอบด้วยสารอาหารที่แตกต่างกัน อาหาร อาหารให้ได้สารอาหารครบถ้วนใน บางอย่างประกอบด้วยสารอาหารประเภทเดียว อาหารบางอย่าง สัดส่วนท่ีเหมาะสมกับเพศและวัย ประกอบด้วยสารอาหารมากกวา่ 1 ประเภท รวมทง้ั ความปลอดภัยตอ่ สุขภาพ การรับประทานอาหาร เพ่ือให้ร่างกายเจริญเติบโต มีการ 3. ตระหนักถึงความสาคัญของ เปลี่ยนแปลงของรา่ งกายตามเพศและวยั และมีสุขภาพดี จาเป็นต้อง สารอาหาร โดยการเลือกรับประทาน รับประทานใหไ้ ดพ้ ลงั งานเพียงพอกับความต้องการของร่างกายและ อาหารที่มีสารอาหารครบถ้วนใน ให้ได้สารอาหารครบถ้วนในสัดส่วนที่เหมาะสมกับเพศและวัย สัดส่วนท่ีเหมาะสมกับเพศและวัย รวมท้ังต้องคานึงถึงชนิดและปริมาณของวัตถุเจือปนในอาหารเพื่อ รวมทั้งปลอดภยั ตอ่ สขุ ภาพ ความปลอดภยั ต่อสุขภาพ *สถาบนั สง่ เสริมการสอนวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี กระทรวงศึกษาธกิ าร, ตัวชวี้ ัดและสาระการเรียนรแู้ กนกลาง กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2560) ตามหลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน พ.ศ. 2551 (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแหง่ ประเทศไทย, 2560). พเิ ศษ 4
ชั้น ตวั ช้ีวดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.6 4. สร้างแบบจาลองระบบย่อยอาหารและ ระบบย่อยอาหารประกอบด้วยอวัยวะต่างๆ ได้แก่ ปาก หลอดอาหาร บรรยายหน้าท่ีของอวัยวะในระบบย่อย กระเพาะอาหาร ลาไส้เล็ก ลาไส้ใหญ่ ทวารหนัก ตับ และตับอ่อน ซึ่งทา อาหาร รวมทั้งอธิบายการย่อยอาหาร หน้าท่รี ว่ มกนั ในการย่อยและดูดซึมสารอาหาร และการดูดซมึ สารอาหาร - ปากมีฟันช่วยบดเคี้ยวอาหารให้มีขนาดเล็กลงและมีล้ินช่วยคลุกเคล้า อาหารกับนา้ ลาย ในนา้ ลายมีเอนไซม์ยอ่ ยแปง้ ใหเ้ ป็นนา้ ตาล - หลอดอาหารทาหน้าท่ีลาเลียงอาหารจากปากไปยังกระเพาะอาหาร ภายในกระเพาะอาหารมีการย่อยโปรตีนโดยกรดและเอนไซม์ท่ีสร้างจาก กระเพาะอาหาร - ลาไส้เลก็ มเี อนไซมท์ ีส่ ร้างจากผนงั ลาไส้เลก็ เองและจากตบั อ่อนที่ช่วยย่อย โปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมัน โดยโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมันท่ี ผา่ นการย่อยจนเป็นสารอาหารขนาดเล็กพอท่ีจะดูดซึมได้ รวมถึงน้า เกลือ แร่ และวิตามิน จะถกู ดดู ซมึ ทผี่ นงั ลาไสเ้ ล็กเข้าสกู่ ระแสเลือดเพ่ือลาเลียงไป ยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ซึ่งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต และไขมันจะถูก นาไปใช้เป็นแหล่งพลังงานสาหรับใชใ้ นกิจกรรมต่างๆ ส่วนนา้ เกลือแร่ และ วิตามนิ จะชว่ ยให้รา่ งกายทางานได้เปน็ ปกติ - ตบั สรา้ งนา้ ดแี ล้วส่งมายงั ลาไสเ้ ล็กช่วยให้ไขมนั แตกตัว - ลาไส้ใหญ่ทาหน้าท่ีดูดน้าและเกลือแร่ เป็นบริเวณที่มีอาหารท่ีย่อยไม่ได้ หรอื ยอ่ ยไม่หมดเป็นกากอาหาร ซง่ึ จะถูกกาจัดออกทางทวารหนัก 5. ตระหนักถึงความสาคัญของระบบย่อย อวัยวะต่างๆ ในระบบย่อยอาหารมีความสาคัญ จึงควรปฏิบัติตน อาหาร โดยการบอกแนวทางในการดูแล ดแู ลรกั ษาอวยั วะให้ทางานเป็นปกติ รักษาอวัยวะในระบบย่อยอาหารให้ ทางานเป็นปกติ พิเศษ 5
สาระที่ 2 วทิ ยาศาสตรก์ ายภาพ มาตรฐาน ว 2.1 เข้าใจสมบัติของสสาร องค์ประกอบของสสาร ความสัมพันธ์ระหว่างสมบัติของสสารกับ โครงสร้างและแรงยึด เหนี่ยวระหวา่ งอนุภาค หลกั และธรรมชาติของการเปล่ียนแปลงสถานะ ของสสาร การเกดิ สารละลาย และการเกดิ ปฏกิ ริ ิยาเคมี ช้นั ตวั ชว้ี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.6 1. อธิบายและเปรียบเทียบการแยกสาร สารผสมประกอบด้วยสารตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป ผสมกัน เช่น น้ามัน ผสมโดยการหยิบออก การร่อน ผสมน้า ข้าวสารปนกรวดทราย วิธีการท่ีเหมาะสมในการแยกสาร การใช้แม่เหล็กดึงดูด การรินออก ผสมข้ึนอยู่กับลักษณะและสมบัติของสารท่ีผสมกัน ถ้าองค์ประกอบ การกรอง และการตกตะกอน โดยใช้ ของสารผสมเป็นของแข็งกับของแข็งที่มีขนาดแตกต่างกันอย่าง หลักฐานเชิงประจักษ์ รวมทั้งระบุวิธี ชดั เจน อาจใชว้ ิธกี ารหยิบออกหรือการร่อนผา่ นวัสดุท่ีมีรู ถ้ามีสารใด แก้ปัญหาในชีวิตประจาวันเก่ียวกับ สารหน่ึงเป็นสารแม่เหล็กอาจใช้วิธีการใช้แม่เหล็กดึงดู ด ถ้า การแยกสาร องค์ประกอบเป็นของแข็งที่ไม่ละลายในของเหลว อาจใช้วิธีการริน ออก การกรอง หรือการตกตะกอน ซ่ึงวิธีการแยกสารสามารถ นาไปใช้ประโยชนใ์ นชวี ติ ประจาวนั ได้ มาตรฐาน ว 2.2 เข้าใจธรรมชาติของแรงในชีวิตประจาวัน ผลของแรงที่กระทาต่อวัตถุ ลักษณะการเคล่ือนท่ี แบบต่าง ๆ ของวัตถุ รวมทัง้ นาความรไู้ ปใชป้ ระโยชน์ ช้นั ตัวชว้ี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.6 1. อธบิ ายการเกิดและผลของแรงไฟฟา้ วัตถุ 2 ชนิด ท่ีผ่านการขัดถูแล้ว เม่ือนาเข้าใกล้กันอาจดึงดูดหรือ ซึ่งเกิดจากวัตถุท่ีผ่านการขัดถู ผลักกัน แรงท่ีเกิดข้ึนนี้เป็นแรงไฟฟ้า ซึ่งเป็นแรงไม่สัมผัส เกิดข้ึน โดยใชห้ ลักฐานเชิงประจกั ษ์ ระหวา่ งวตั ถุทมี่ ปี ระจุไฟฟ้า ซง่ึ ประจุไฟฟ้ามี 2 ชนิด คือ ประจุไฟฟ้า บวกและประจุไฟฟ้าลบ วัตถุท่ีมีประจุไฟฟ้าชนิดเดียวกันผลักกัน วัตถทุ ม่ี ปี ระจุไฟฟ้าชนดิ ตรงข้ามกันดงึ ดดู กนั พิเศษ 6
มาตรฐาน ว 2.3 เข้าใจความหมายของพลังงาน การเปลี่ยนแปลงและการถ่ายโอนพลังงาน ปฏิสัมพันธ์ ระหว่างสสารและพลังงาน พลังงานในชีวิตประจาวัน ธรรมชาติของคลื่น ปรากฏการณ์ที่ เกี่ยวขอ้ งกับเสยี ง แสง และคล่ืนแมเ่ หล็กไฟฟ้า รวมท้งั นาความรไู้ ปใช้ประโยชน์ ชั้น ตัวช้วี ัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.6 1. ระบสุ ว่ นประกอบและบรรยายหน้าที่ วงจรไฟฟา้ อย่างงา่ ยประกอบด้วยแหล่งกาเนดิ ไฟฟา้ สายไฟฟ้า และ ข อ ง แ ต่ ล ะ ส่ ว น ป ร ะ ก อ บ ข อ ง เคร่ืองใช้ไฟฟ้าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้า แหล่งกาเนิดไฟฟ้า เช่น วงจรไฟฟา้ อยา่ งงา่ ยจากหลักฐานเชิง ถ่านไฟฉาย หรอื แบตเตอรี่ ทาหนา้ ท่ใี ห้พลังงานไฟฟ้า สายไฟฟ้าเป็น ประจักษ์ ตัวนาไฟฟ้า ทาหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างแหล่งกาเนิดไฟฟ้าและ 2. เขียนแผนภาพและต่อวงจรไฟฟ้า เคร่ืองใช้ไฟฟ้า เข้าด้วยกัน เคร่ืองใช้ไฟฟ้ามีหน้าที่เปล่ียน อย่างงา่ ย พลงั งานไฟฟา้ เป็นพลังงานอ่ืน 3. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วย เมื่อนาเซลล์ไฟฟ้าหลายเซลล์มาต่อเรียงกัน โดยให้ข้ัวบวกของ วิธีที่เหมาะสมในการอธิบายวิธีการ เซลล์ไฟฟ้าเซลล์หน่ึงต่อกับข้ัวลบของอีกเซลล์หน่ึงเป็นการต่อแบบ และผลของการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบ อนกุ รม ทาให้มพี ลงั งานไฟฟา้ เหมาะสมกบั เคร่ืองใช้ไฟฟ้า ซึ่งการต่อ อนุกรม เซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมสามารถนาไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวัน 4. ตระหนกั ถงึ ประโยชน์ของความรู้ของ เช่น การตอ่ เซลลไ์ ฟฟ้าในไฟฉาย การต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมโดย บอกประโยชน์และการประยุกตใ์ ช้ใน ชวี ิตประจาวนั 5. ออกแบบการทดลองและทดลองด้วย การต่อหลอดไฟฟา้ แบบอนุกรม เมอื่ ถอดหลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนึ่ง วิธีที่เหมาะสมในการอธิบายการต่อ ออกทาให้หลอดไฟฟ้าท่ีเหลือดับท้ังหมด ส่วนการต่อหลอดไฟฟ้า หลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบ แบบขนาน เม่ือถอดหลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนึ่งออก หลอดไฟฟ้าที่ ขนาน เหลือก็ยังสว่างได้ การต่อหลอดไฟฟ้า แต่ละแบบสามารถนาไปใช้ ประโยชน์ได้ เช่น การต่อหลอดไฟฟ้าหลายดวงในบ้านจึงต้องต่อ 6. ตระหนกั ถงึ ประโยชน์ของความรู้ของ หลอดไฟฟ้าแบบขนาน เพื่อเลือกใช้หลอดไฟฟ้าดวงใดดวงหนึ่งได้ การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและ ตามต้องการ แบบขนาน โดยบอกประโยชน์ ข้อจากัด และการประยุกต์ใช้ใน ชีวติ ประจาวนั 7. อธิบายการเกิดเงามืดเงามัวจาก เม่ือนาวัตถุทึบแสงมากั้นแสงจะเกิดเงาบนฉากรับแสงที่อยู่ด้านหลัง หลกั ฐานเชงิ ประจกั ษ์ วัตถุ โดยเงามีรูปร่างคล้ายวัตถุที่ทาให้เกิดเงา เงามัวเป็นบริเวณที่มี 8. เขียนแผนภาพรังสีของแสงแสดงการ แสงบางสว่ นตกลงบนฉาก ส่วนเงามืดเป็นบรเิ วณที่ไม่มแี สงตกลงบน เกดิ เงามืดเงามัว ฉากเลย พเิ ศษ 7
สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลกและอวกาศ มาตรฐาน ว 3.1 เข้าใจองค์ประกอบ ลักษณะ กระบวนการเกิด และวิวัฒนาการของเอกภพ กาแล็กซี ดาวฤกษ์ และระบบสุริยะ รวมทั้งปฏิสัมพันธ์ภายในระบบสุริยะท่ีส่งผลต่อสิ่งมีชีวิต และ การประยกุ ตใ์ ชเ้ ทคโนโลยอี วกาศ ชัน้ ตวั ชีว้ ดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.6 1. สร้างแบบจาลองท่ีอธิบายการเกิด เมื่อโลกและดวงจันทร์โคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกันกับ และเปรียบเทียบปรากฏการณ์ ดวงอาทิตย์ในระยะทางท่ีเหมาะสม ทาให้ดวงจันทร์บังดวงอาทิตย์ สุรยิ ุปราคาและจนั ทรุปราคา เงาของดวงจันทร์ทอดมายังโลก ผู้สังเกตที่อยู่บริเวณเงาจะมองเห็น ดวงอาทิตย์ มืด ไ ป เกิดป รา กฏการ ณ์สุ ริยุ ป รา คา ซึ่ งมี ทั้ง สุรยิ ุปราคาเต็มดวง สุรยิ ปุ ราคาบางส่วน และสุริยปุ ราคาวงแหวน หากดวงจันทร์และโลกโคจรมาอยู่ในแนวเส้นตรงเดียวกันกับ ดวงอาทิตย์ แล้วดวงจันทร์เคลื่อนท่ีผ่านเงาของโลก จะมองเห็น ดวงจันทร์มืดไป เกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคา ซ่ึงมีทั้งจันทรุปราคา เตม็ ดวงและจนั ทรุปราคาบางส่วน 2. อธิบายพัฒนาการของเทคโนโลยี เทคโนโลยีอวกาศเร่ิมจากความต้องการของมนุษย์ในการสารวจวัตถุ อวกาศ และยกตัวอย่างการนา ท้องฟ้าโดยใช้ตาเปลา่ กล้องโทรทรรศน์ และได้พัฒนาไปสู่การขนส่ง เทคโนโลยอี วกาศมาใช้ประโยชน์ใน เพ่ือสารวจอวกาศด้วยจรวดและยานขนส่งอวกาศ และยังคงพัฒนา ชีวิตประจาวันจากข้อมูลที่รวบรวม อย่างต่อเน่ือง ปัจจุบันมีการนาเทคโนโลยีอวกาศบางประเภทมา ได้ ประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวัน เช่น การใช้ดาวเทียมเพื่อการสื่อสาร การพยากรณ์อากาศ หรือการสารวจทรัพยากรธรรมชาติ การใช้ อปุ กรณ์วัดชีพจรและการเตน้ ของหัวใจ หมวกนริ ภัย ชุดกฬี า พิเศษ 8
มาตรฐาน ว 3.2 เข้าใจองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของระบบโลก กระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในโลก และบนผิวโลก ธรณี พิบัติภัย กระบวนการเปลี่ยนแปลงลมฟ้าอากาศและภูมิอากาศโลก รวมทงั้ ผลต่อส่ิงมชี วี ิตและส่งิ แวดลอ้ ม ชัน้ ตัวชี้วัด สาระการเรียนรแู้ กนกลาง ป.6 1. เปรียบเทียบกระบวนการเกิดหิน หินเป็นวัสดุแข็งเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ประกอบด้วยแร่ต้ังแต่ อัคนี หินตะกอน และหินแปร และ 1 ชนิดข้ึนไป สามารถจาแนกหินตามกระบวนการเกิดได้เป็น อธิบาย วฏั จกั รหนิ จากแบบจาลอง 3 ประเภท ได้แก่ หนิ อัคนี หนิ ตะกอน และหินแปร หนิ อคั นีเกดิ จากการเย็นตัวของแมกมา เน้ือหินมีลักษณะเป็นผลึกทั้ง ผลกึ ขนาดใหญแ่ ละขนาดเลก็ บางชนิดอาจเปน็ เน้ือแกว้ หรือมีรูพรนุ หินตะกอน เกดิ จากการทับถมของตะกอนเม่อื ถูกแรงกดทับและมสี าร เชื่อมประสานจึงเกิดเป็นหิน เนื้อหินกลุ่มน้ีส่วนใหญ่มีลักษณะเป็น เม็ดตะกอน มีทั้งเน้ือหยาบและเน้ือละเอียด บางชนิดเป็นเน้ือผลึกที่ ยึดเกาะกัน เกิดจากการตกผลึกหรือตกตะกอนจากน้าโดยเฉพาะ น้าทะเล บางชนดิ มลี ักษณะเป็นช้นั ๆ จงึ เรียกอกี ชอ่ื ว่า หนิ ชน้ั หินแปรเกิดจากการแปรสภาพของหินเดิม ซ่ึงอาจเป็นหินอัคนี หนิ ตะกอน หรอื หนิ แปร โดยการกระทาของความรอ้ น ความดนั และ ปฏิกิริยาเคมี เน้ือหินของหินแปรบางชนิดผลึกของแร่เรียงตัวขนาน กันเป็นแถบ บางชนิดแซะออกเป็นแผ่นได้ บางชนิดเป็นเนื้อผลึกที่มี ความแขง็ มาก หนิ ในธรรมชาตทิ งั้ 3 ประเภท มีการเปลยี่ นแปลงจากประเภทหนง่ึ ไป เ ป็ น อีกป ร ะ เ ภ ทห น่ึงห รื อป ร ะ เ ภ ท เ ดิ ม ไ ด้ โ ด ย มี แ บ บ รู ป การเปลย่ี นแปลงคงทแี่ ละต่อเนอ่ื งเป็นวัฏจักร 2. บรรยายและยกตวั อย่างการใช้ หินและแร่แต่ละชนิดมีลักษณะและสมบัติแตกต่างกัน มนุษย์ใช้ ประโยชนข์ องหนิ และแร่ใน ประโยชน์จากแร่ในชีวิตประจาวันในลักษณะต่างๆ เช่น นาแร่มาทา ชวี ิตประจาวนั จากข้อมลู ที่รวบรวม เครื่องสาอาง ยาสีฟัน เคร่ืองประดับ อุปกรณ์ทางการแพทย์ และ ได้ นาหินมาใชใ้ นงานก่อสร้างต่างๆ 3. สร้างแบบจาลองที่อธิบายการเกิด ซากดกึ ดาบรรพ์เกิดจากการทับถมหรือการประทับรอยของส่ิงมีชีวิต ซาก ดึกดาบรรพ์และคาดคะเน ในอดีต จนเกิดเป็นโครงสร้างของซากหรือร่องรอยของสิ่งมีชีวิตท่ี สภาพ แวดล้อมในอดีตของซากดึก ปรากฏอยู่ในหิน ในประเทศไทยพบ ซากดึกดาบรรพ์ท่ีหลากหลาย ดาบรรพ์ เช่น พชื ปะการัง หอย ปลา เตา่ ไดโนเสาร์ และรอยเทา้ สตั ว์ ซากดึกดาบรรพ์สามารถใช้เป็นหลักฐานหน่ึงท่ีช่วยอธิบาย สภาพแวดล้อมของพ้ืนท่ีในอดีตขณะเกิดสิ่งมีชีวิตนั้น เช่น หากพบ ซากดึกดาบรรพ์ของหอยน้าจืด สภาพแวดล้อมบริเวณนั้นอาจเคย พเิ ศษ 9
ช้ัน ตวั ชี้วดั สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง ป.6 เป็นแหล่งน้าจืดมาก่อน และหากพบซาก ดึกดาบรรพ์ของพืช สภาพแวดล้อมบริเวณน้ันอาจเคยเป็นป่ามาก่อน นอกจากนี้ ซากดึกดาบรรพ์ยังสามารถใช้ระบุอายุของหินและเป็นข้อมูลใน การศึกษาวิวัฒนาการของสงิ่ มีชวี ติ 4. เปรียบเทียบการเกิดลมบก ลมทะเล ลมบก ลมทะเล และมรสุม เกิดจากพ้ืนดินและพ้ืนน้า ร้อนและเย็น และมรสุม รวมท้ังอธิบายผลท่ีมีต่อ ไม่เท่ากันทาให้อุณหภูมิอากาศเหนือพ้ืนดินและพื้นน้าแตกต่างกัน สิ่งมีชีวิตและสิ่งแวดล้อมจากแบบ จึงเกดิ การเคลื่อนท่ขี องอากาศจากบรเิ วณที่มีอุณหภูมติ า่ ไปยังบริเวณ จาลอง ที่มอี ุณหภูมิสูง ลมบกและลมทะเลเป็นลมประจาถ่ินที่พบบริเวณชายฝั่ง โดยลมบก เกิดในเวลากลางคนื ทาใหม้ ีลมพัดจากชายฝง่ั ไปสู่ทะเล ส่วนลมทะเล เกดิ ในเวลากลางวัน ทาใหม้ ลี มพัดจากทะเลเข้าสชู่ ายฝงั่ 5. อธิบายผลของมรสุมต่อการเกิดฤดู มรสุมเป็นลมประจาฤดูเกิดบริเวณเขตร้อนของโลก ซึ่งเป็นบริเวณ ขอ งป ร ะ เ ทศ ไ ท ย จ า กข้ อมู ล ที่ ก ว้ า ง ร ะ ดั บ ภู มิ ภ า ค ป ร ะ เ ท ศ ไ ท ย ไ ด้ รั บ ผ ล จ า ก ม ร สุ ม รวบรวมได้ ตะวันออกเฉียงเหนือในช่วงประมาณกลางเดือนตุลาคมจนถึง เดือนกุมภาพันธ์ ทาให้เกิดฤดูหนาว และได้รับผลจากมรสุม ตะวันตกเฉียงใต้ในช่วงประมาณกลางเดือนพฤษภาคมจนถึง กลางเดือนตุลาคม ทาให้เกิดฤดูฝน ส่วนช่วงประมาณกลางเดือน กุมภาพันธ์จนถึงกลางเดือนพฤษภาคมเป็นช่วงเปล่ียนมรสุมและ ประเทศไทยอยู่ใกล้เส้นศนู ย์สูตร แสงอาทิตย์เกือบตั้งตรงและตั้งตรง ประเทศไทยในเวลาเที่ยงวัน ทาให้ได้รับความร้อนจากดวงอาทิตย์ อย่างเต็มท่ี อากาศจงึ ร้อนอบอ้าว ทาใหเ้ กิดฤดูรอ้ น 6. บรรยายลักษณะและผลกระทบของ น้าท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่ม แผ่นดินไหวและสึนามิ นา้ ทว่ ม การกดั เซาะชายฝั่ง ดนิ ถลม่ มีผลกระทบต่อชีวติ และสง่ิ แวดล้อมแตกตา่ งกนั แผ่นดนิ ไหว สนึ ามิ 7. ตระ หนักถึงผลกระทบ ของภั ย มนษุ ยค์ วรเรยี นรู้วธิ ีปฏิบัติตนให้ปลอดภัย เช่น ติดตามข่าวสารอย่าง ธรรมชาติและธรณีพิบัติภัย โดย สมา่ เสมอ เตรียมถุงยังชพี ใหพ้ รอ้ มใช้ตลอดเวลา ปฏบิ ตั ิตามคาส่งั ของ นาเสนอแนวทางในการเฝา้ ระวงั และ ผปู้ กครองและเจ้าหนา้ ทอี่ ยา่ งเครง่ ครัดเม่อื เกดิ ภัยธรรมชาติและธรณี ป ฏิ บั ติ ต น ให้ ป ล อ ด ภั ย จ า กภั ย พบิ ัติภยั ธรรมชาตแิ ละธรณพี บิ ตั ภิ ยั ท่ีอาจเกดิ ในท้องถน่ิ 8. สร้างแบบจาลองท่ีอธิบายการเกิด ปรากฏการณเ์ รอื นกระจกเกิดจากแก๊สเรือนกระจกในชั้นบรรยากาศ ปรากฏการณเ์ รอื นกระจกและผลของ ของโลก กักเก็บความร้อนแล้วคายความร้อนบางส่วนกลับสู่ผิวโลก ปรากฏการณ์เรือนกระจกต่อสง่ิ มชี วี ติ ทาให้อากาศบนโลกมอี ุณหภมู เิ หมาะสมต่อการดารงชีวติ พเิ ศษ 10
ชั้น ตัวชี้วัด สาระการเรยี นรแู้ กนกลาง 9. ต ร ะ ห นั ก ถึ ง ผ ล ก ร ะ ท บ ข อ ง หากปรากฏการณ์เรือนกระจกรุนแรงมากขึ้นจะมีผล ต่อการ ป.6 ปรากฏการณ์เรือนกระจก โดย เปล่ียนแปลงภูมิอากาศโลก มนุษย์จึงควรร่วมกันลดกิจกรรมท่ี นาเสนอแนวทางการปฏิบัติตนเพ่ือ ก่อใหเ้ กดิ แกส๊ เรอื นกระจก ลดกิจกรรมท่ีก่อให้เกิดแก๊สเรือน กระจก พิเศษ 11
คาอธบิ ายรายวิชา รายวิชาพนื้ ฐาน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรยี นรู้วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั ประถมศกึ ษาปที ี่ 6 เวลา 80 ชวั่ โมง/ปี ศึกษาและเรียนรู้เกี่ยวกับสารอาหารและประโยชน์ของสารอาหารแต่ละประเภท แนวทางในการเลือก รับประทานอาหารให้ได้สารอาหารครบถ้วนในสัดส่วนท่ีเหมาะสมกับเพศและวัย รวมทั้งความปลอดภัยต่อ สุขภาพ ความสาคัญของสารอาหาร ระบบย่อยอาหาร และหน้าที่ของอวัยวะในระบบย่อยอาหาร รวมทั้งการ ย่อยอาหารและการดูดซึมสารอาหาร แนวทางในการดูแลรักษาอวัยวะในระบบย่อยอาหารให้ทางานเป็นปกติ การเกิดและผลของแรงไฟฟ้า ส่วนประกอบและหน้าที่ของแต่ละส่วนประกอบของวงจรไฟฟ้าอย่างง่าย เขียน แผนภาพและต่อวงจรไฟฟ้าอย่างง่าย วิธีการและผลของการต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรม ประโยชน์และการ ประยุกต์การต่อเซลล์ไฟฟ้าแบบอนุกรมในชีวิตประจาวัน การต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนาน ประโยชน์ ข้อจากดั และการประยกุ ตก์ ารต่อหลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและแบบขนานในชีวิตประจาวัน การเกิด เงามดื เงามัว เขยี นแผนภาพรังสีของแสงแสดงการเกิดเงามดื เงามัว การแยกสารผสมโดยการหยิบออก การร่อน การใช้แม่เหล็กดึงดูด การรินออก การกรอง และการตกตะกอน รวมทั้งวิธีแก้ปัญหาในชีวิตประจาวันเกี่ยวกับ การแยกสาร กระบวนการเกิดหินอัคนี หินตะกอน และหินแปร และวัฏจักรหิน ตัวอย่างการใช้ประโยชน์ของ หินและแร่ในชีวิตประจาวัน การเกิดซากดึกดาบรรพ์และคาดคะเนสภาพแวดล้อมในอดีตของซากดึกดาบรรพ์ การเกิดลมบก ลมทะเล และมรสุม รวมทั้งผลท่ีมีต่อสิ่งมีชีวิตและส่ิงแวดล้อม ผลของมรสุมต่อการเกิดฤดูของ ประเทศไทย ลักษณะและผลกระทบของน้าท่วม การกัดเซาะชายฝ่ัง ดินถล่ม แผ่นดินไหว และสึนามิ ผลกระทบของภัยธรรมชาติและธรณีพิบัติภัย แนวทางในการเฝ้าระวังและปฏิบัติตนให้ปลอดภัยจากภัย ธรรมชาตแิ ละธรณพี บิ ตั ิภยั ทีอ่ าจเกิดขน้ึ ในทอ้ งถน่ิ การเกดิ ปรากฏการณเ์ รือนกระจก และผลของปรากฏการณ์ เรือนกระจกต่อสิ่งมีชีวิต แนวทางการปฏิบัติตนเพ่ือลดกิจกรรมที่ก่อให้เกิดแก๊สเรือนกระจก ปรากฏการณ์ สุริยุปราคาและจันทรุปราคา พัฒนาการของเทคโนโลยีอวกาศ และตัวอย่างการนาเทคโนโลยีอวกาศมาใช้ ประโยชนใ์ นชีวติ ประจาวนั โดยมุ่งหวังให้ผู้เรียนได้เรยี นรูว้ ิทยาศาสตร์ที่สามารถนาไปใช้อธิบาย แก้ไขปัญหา หรือสร้างสรรค์พัฒนา งานในชีวิตจริงได้ ซ่ึงเน้นการเช่ือมโยงความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยี กับกระบวนการ ทางวิศวกรรมศาสตร์ และให้มีทักษะสาคัญในการค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้โดยใช้กระบวนการสืบเสาะหา ความรู้และการแกป้ ญั หาที่หลากหลาย เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ มีทักษะการคิด และมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ทุกขั้นตอน รวมทั้ง สง่ เสริมให้ผเู้ รยี นเกิดจิตวิทยาศาสตรแ์ ละมีเจตคติท่ดี ตี อ่ การเรียนวทิ ยาศาสตร์ พเิ ศษ 12
ตวั ชวี้ ัด ว 1.2 ป.6/1 ป.6/2 ป.6/3 ป.6/4 ป.6/5 ว 2.1 ป.6/1 ว 2.2 ป.6/1 ว 2.3 ป.6/1 ป.6/2 ป.6/3 ป.6/4 ป.6/5 ป.6/6 ป.6/7 ป.6/8 ว 3.1 ป.6/1 ป.6/2 ว 3.2 ป.6/1 ป.6/2 ป.6/3 ป.6/4 ป.6/5 ป.6/6 ป.6/7 ป.6/8 ป.6/9 รวม 26 ตัวชวี้ ัด พเิ ศษ 13
โครงสรา้ งรายวิชาพนื้ ฐาน วิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ป.6 ลาดบั ที่ ชอื่ หน่วยการเรียนรู้ มาตรฐานการ สาระสาคญั เวลา เรยี นรู้/ตวั ช้ีวดั (ชว่ั โมง) 1 วิทยาศาสตร์นา่ รู้ วิทยาศาสตร์เป็นการศึกษาเก่ียวกับส่ิงต่างๆ ท่ีอยู่ - รอบตวั วธิ ีการและขั้นตอนท่ีใช้เพ่ือตอบปัญหาที่สงสัย 3 2 รา่ งกายของเรา เรยี กว่า วธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ ว 1.2 3 แรงไฟฟ้าและพลังงานไฟฟา้ ป.6/1 ในการสบื เสาะหาความรู้อย่างเป็นระบบ ผู้เรียนควร ป.6/2 ฝึกฝนทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ให้เกิดความ ป.6/3 ชานาญ เพื่อให้สามารถค้นหาคาตอบได้อยา่ งถูกต้อง ป.6/4 ป.6/5 เ มื่ อ ท า ก า ร ศึ ก ษ า แ ล ะ แ ส ว ง ห า ค ว า ม รู้ โ ด ย ใ ช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์แล้ว ผู้เรียนจะเกิด ว 2.2 จิตวทิ ยาศาสตร์ ป.6/1 มนุษย์มีการเจริญเติบโตและเปล่ียนแปลงทางด้าน 14 ว 2.3 ร่างกายตั้งแต่แรกเกิดจนเป็นผู้ใหญ่ จึงจาเป็นต้อง ป.6/1 บรโิ ภคอาหารเพื่อให้ได้รับสารอาหารต่างๆ ในสัดส่วน ป.6/2 ที่เหมาะสมกับเพศและวัย รวมทั้งต้องพักผ่อนให้ ป.6/3 เพียงพอและออกกาลังกายสม่าเสมอ จึงจะทาให้ ป.6/4 ร่างกายเจรญิ เติบโตและสขุ ภาพดี ป.6/5 ป.6/6 ร่างกายของมนุษย์ประกอบด้วยระบบต่างๆ เช่น ระบบย่อยอาหารประกอบดว้ ยอวัยวะตา่ งๆ ได้แก่ ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลาไส้เล็ก ลาไส้ใหญ่ ทวารหนกั ตบั และตับอ่อน ซึ่งทาหน้าท่ีร่วมกันในการ ยอ่ ยและดดู ซึมสารอาหารเขา้ สสู่ ่วนตา่ งๆ ของรา่ งกาย เมอ่ื ขดั ถูวัตถบุ างชนดิ แล้วนามาเขา้ ใกลก้ นั จะทาให้ 17 เกิดแรงดึงดดู หรอื แรงผลกั กัน ข้ึนอยูก่ บั ชนิดของวัตถุท่ี นามาขดั ถแู ละนามาใกล้กนั แรงทเ่ี กดิ ข้นึ น้เี รยี กวา่ แรง ไฟฟ้า ซึง่ เปน็ แรงไม่สมั ผัส วงจรไฟฟ้าอย่างง่ายประกอบด้วยแหล่งกาเนิด ไฟฟ้า สายไฟฟ้า และเครอ่ื งใชไ้ ฟฟ้าหรืออุปกรณ์ไฟฟ้า ท่ีต่อเข้ากันเป็นวงจรปิด ซึ่งวงจรไฟฟ้ามี 2 แบบ คือ แบบอนกุ รมและแบบขนาน พิเศษ 14
ลาดับท่ี ชอ่ื หน่วยการเรยี นรู้ มาตรฐานการ สาระสาคัญ เวลา เรียนรู้/ตวั ชวี้ ัด (ชวั่ โมง) 4 แสงและเงา แสงเกิดจากแหล่งกาเนิดแสง โดยเคล่ือนท่ีออกจาก 5 สารรอบตวั เรา ว 2.3 แหล่งกาเนิดแสงทุกทิศทางเป็นแนวเส้นตรง เมื่อนา 4 ป.6/7 วตั ถุทบึ แสงมาก้ันทางเดนิ ของแสงจะเกิดเงาขึน้ บนฉาก 6 หินและซากดกึ ดาบรรพ์ ป.6/8 รับแสง โดยเงาจะมีรูปร่างคล้ายวัตถุที่ทาให้เกิดเงา เงาแบง่ เป็น 2 ลกั ษณะ คือ เงามืดและเงามวั 7 ปรากฏการณท์ างธรรมชาติ ว 2.1 และธรณพี บิ ัตภิ ยั ป.6/1 สารรอบตัวเราส่วนใหญ่เป็นสารผสม เช่น น้าจ้ิมไก่ 6 น้าโคลน ทรายผสมกรวด ซึ่งเราสามารถแยกสารผสม ว 3.2 ออกจากกนั ได้ดว้ ยวธิ กี ารตา่ งๆ เช่น การหยิบออก การ ป.6/1 ร่อน การใช้แม่เหล็กดึงดูด การตกตะกอน การกรอง ป.6/2 การรนิ ออก โดยสามารถนาวิธเี หล่าน้ีไปใช้ประโยชน์ใน ป.6/3 การแยกสารผสมท่ีพบในชวี ติ ประจาวันได้ ว 3.2 หินเป็นทรัพยากรธรรมชาติประเภทหน่ึง หินแบ่ง 10 ป.6/4 ออกตามกระบวนการเกิดได้เป็น 3 ประเภท คือ หิน ป.6/5 อัคนี หินตะกอน และหินแปร ซึ่งหินแต่ละประเภท ป.6/6 จะมีลักษณะต่างกัน จึงนามาใช้ประโยชน์ใน ป.6/7 ชีวติ ประจาวนั ตา่ งกัน ป.6/8 ป.6/9 ซากดึกดาบรรพ์เกิดจากการทับถมหรือการประทับ รอยของสงิ่ มชี ีวติ ในอดีต ซึ่งซากดึกดาบรรพ์มีประโยชน์ ห ล า ย อย่ า ง เ ช่ น ใช้ ร ะ บุ อา ยุ ของหิ น อธิบ า ย สภาพแวดล้อมในอดีต ลมบก ลมทะเล และลมมรสุมเกิดจากอุณหภูมิ 15 เหนือพ้ืนดินและพ้ืนน้าแตกต่างกัน จึงทาให้อากาศ บริเวณทม่ี ีอณุ หภมู ติ ่าเคล่อื นท่ีไปยงั บรเิ วณที่มีอุณหภมู ิ สูง น้าท่วม การกัดเซาะชายฝั่ง ดินถล่ม แผ่นดินไหว และสึนามิ เป็นภัยธรรมชาติที่มีลักษณะการเกิดและมี ผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและส่ิงแวดล้อมแตกต่างกัน เราจึงควรเรียนรวู้ ธิ ปี ฏิบตั ิตนเพ่ือให้เกดิ ความปลอดภัย จากภยั ธรรมชาติเหลา่ นนั้ ป ร า ก ฏ ก า ร ณ์ เ รื อ น ก ร ะ จ ก มี ผ ล ท า ใ ห้ อุ ณ ห ภู มิ บนโ ล กเ ห ม า ะ ส ม ต่ อกา ร ด า ร งชี วิต ห า กเ กิด ป ร า ก ฏ ก า ร ณ์ เ รื อ น ก ร ะ จ ก ท่ี ม า ก ข้ึ น จ ะ มี ผ ล ต่ อ การเปล่ียนแปลงอณุ หภมู ขิ องโลก พเิ ศษ 15
ลาดบั ท่ี ชือ่ หน่วยการเรยี นรู้ มาตรฐานการ สาระสาคัญ เวลา เรยี นร้/ู ตัวชว้ี ัด (ชว่ั โมง) 8 ดาราศาสตร์และเทคโนโลยี โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์จะโคจร อวกาศ ว 3.1 รอบโลก เม่อื ดวงอาทติ ย์ ดวงจนั ทร์ และโลกโคจรมา 7 ป.6/1 อยู่ในระนาบเดียวกัน จึงทาให้เกิดปรากฏการณ์การ ป.6/2 บดบังกันระหว่างดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และโลก เรียกวา่ การเกดิ สุรยิ ปุ ราคาและจันทรุปราคา พัฒนาการของเทคโนโลยีอวกาศมีความสาคัญต่อ การพัฒนาเทคโนโลยีต่างๆ บนโลก เพื่อให้เกิด ประโยชน์ในการดารงชีวิตของมนุษย์ เทคโนโลยี อวกาศบางประเภทมนุษย์สามารถนามาประยุกต์ใช้ใน ชวี ติ ประจาวันได้ หมายเหตุ : สอบกลางภาคเรียนท่ี 1 จานวน 1 ชว่ั โมง สอบปลายภาคเรยี นที่ 1 จานวน 1 ชวั่ โมง สอบกลางภาคเรยี นท่ี 2 จานวน 1 ช่วั โมง สอบปลายภาคเรยี นที่ 2 จานวน 1 ชว่ั โมง พิเศษ 16
โครงสร้างแผนการจดั การเรียนรู้ วิชาวิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ป.6 เล่ม 1 เวลา 40 ช่ัวโมง ชือ่ หน่วยการเรยี นรู้ ชือ่ บท แผนการจัด เวลา การเรียนรู้ หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 (ชั่วโมง) วทิ ยาศาสตรน์ ่ารู้ บทที่ 1 กระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 1. วทิ ยาศาสตรน์ า่ รู้ หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 2 3 รา่ งกายของเรา บทที่ 1 สารอาหารกบั การเจรญิ เตบิ โต 1. การเจรญิ เตบิ โตของรา่ งกาย 2 3 ของรา่ งกาย 2. สารอาหารทร่ี า่ งกายตอ้ งการ 3 3. แนวทางการเลือกรบั ประทานอาหาร บทที่ 2 ระบบย่อยอาหารของร่างกาย 4. ระบบย่อยอาหารของรา่ งกาย (1) 3 3 5. ระบบย่อยอาหารของร่างกาย (2) 4 4 หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 3 บทที่ 1 แรงไฟฟ้าน่ารู้ 1. แรงไฟฟ้า 3 แรงไฟฟ้าและวงจรไฟฟ้า 3 บทท่ี 2 วงจรไฟฟ้า ใกล้ตัว 2. วงจรไฟฟ้าอยา่ งงา่ ย หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 4 3 แสงและเงา 3. การต่อเซลลไ์ ฟฟา้ แบบอนกุ รม 4 4. การตอ่ หลอดไฟฟ้าแบบอนุกรมและ แบบขนาน 5. ตวั นาไฟฟา้ และฉนวนไฟฟา้ บทท่ี 1 เงามดื และเงามัว 1. การเกดิ เงามดื และเงามวั หมายเหตุ : สอบกลางภาคเรียนท่ี 1 จานวน 1 ชว่ั โมง สอบปลายภาคเรยี นที่ 1 จานวน 1 ชวั่ โมง พิเศษ 17
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 วทิ ยาศาสตร์น่ารู้ แผนฯ ที่ 1 วิทยาศาสตร์นา่ รู้ แผนการจดั การเรียนร้ทู ่ี 1 วิทยาศาสตรน์ า่ รู้ ระยะเวลา 3 ชว่ั โมง หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1 วิทยาศาสตร์นา่ รู้ ช้นั ประถมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี 1. มาตรฐานการเรียนรู้/ตวั ชี้วดั – 2. จดุ ประสงค์การเรียนรู้ 1) อธบิ ายกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้ (K) 2) ใชว้ ธิ กี ารทางวิทยาศาสตรแ์ ละทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ได้ (P) 3) มจี ิตวิทยาศาสตร์ (A) 3. สาระการเรียนรู้ วิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และจติ วิทยาศาสตร์ 4. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คือ วิธีการและข้ันตอนท่ีนักวิทยาศาสตร์ใช้ในการค้นคว้าหาความรู้ทาง วิทยาศาสตร์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ วิธีการทางวิทยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และจติ วทิ ยาศาสตร์ วธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ คือ ขั้นตอนการทางานอย่างเป็นระบบท่ีนักวิทยาศาสตร์ใช้ในการค้นคว้าหาความรู้ ทางวิทยาศาสตร์ มี 5 ขัน้ ตอน ได้แก่ ระบุปญั หาหรือตง้ั คาถาม ตัง้ สมมตฐิ าน รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และ สรปุ ผล ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คือ ความชานาญและความสามารถในการสืบเสาะเพ่ือค้นหาคาตอบ และการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม โดยนักวิทยาศาสตร์ได้แบ่งทักษะกระบวนการทาง วิทยาศาสตรอ์ อกเป็น 2 ขน้ั ทกั ษะขน้ั พื้นฐาน 8 ทกั ษะ และทักษะขัน้ ผสม 6 ทักษะ รวม 14 ทักษะ จิตวิทยาศาสตร์ คือ ลักษณะนิสัยของบุคคลท่ีเกิดขึ้นจากการศึกษาหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์โดยใช้ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จิตวิทยาศาสตร์ประกอบด้วยลักษณะต่าง ๆ เช่น ความมีเหตุมีผล ความสนใจ ใฝ่เรยี นรู้ ความมงุ่ มนั่ ความอดทน ความรบั ผิดชอบ ความซือ่ สัตย์ ความละเอียดรอบคอบ 11
หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 1 วิทยาศาสตรน์ ่ารู้ แผนฯ ท่ี 1 วทิ ยาศาสตร์นา่ รู้ 5. สมรรถนะสาคัญของผู้เรียน ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ สมรรถนะสาคญั ของผเู้ รยี น ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ 1) ความสามารถในการส่ือสาร 1) การสังเกต 1) มีวนิ ยั 2) ความสามารถในการคดิ 2) การจาแนกประเภท 2) ใฝเ่ รียนรู้ 3) ความสามารถในการแกป้ ญั หา 3) การจัดกระทาและสื่อความหมาย 3) มงุ่ ม่นั ในการทางาน 4) ความสามารถในการใช้ ขอ้ มลู ทักษะชีวติ 4) การลงความเห็นจากข้อมูล 5) ความสามารถในการใช้ 5) การพยากรณ์ เทคโนโลยี 6) การตีความหมายข้อมูลและลง ขอ้ สรปุ 7) การตัง้ สมติฐาน 6. กิจกรรมการเรยี นรู้ แนวคิด/รูปแบบการสอน/วธิ กี ารสอน/เทคนคิ : 5Es Instructional Model ชวั่ โมงที่ 1 1. ให้นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 วิทยาศาสตร์น่ารู้ แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จานวน 10 ขอ้ (หมายเหตุ : ครูตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน เพ่ือประเมินความรู้เดิมและเข้าใจผู้เรียน เพื่อใช้ในการจัด กิจกรรม) ขัน้ นา ขนั้ กระตุ้นความสนใจ 1. นกั เรยี นแตล่ ะคนเลม่ เกมทายนิสยั โดยปฏบิ ตั ิ ดงั นี้ 1) รบั แบบทดสอบนิสยั จากครู 2) ทาแบบทดสอบทายนสิ ัย 2. ครูอธิบายเพ่ิมเติมว่า ลักษณะของนักวิทยาศาสตร์ มีดังน้ี เป็นคนช่างสังเกต ช่างคิดช่างสงสัย มีเหตุมีผล มีความพยายามและอดทน มคี วามคิดรเิ ริ่มอยา่ งมีระบบ 3. นักเรียนร่วมอภปิ รายแสดงความคดิ เหน็ วา่ ตนเองมีลักษณะของนักวทิ ยาศาสตร์มากน้อยเพยี งใด 12
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 1 วทิ ยาศาสตร์น่ารู้ แผนฯ ท่ี 1 วทิ ยาศาสตรน์ า่ รู้ 4. นักเรียนตอบคาถามสาคญั ประจาบทว่า - การสงสยั ส่งิ ต่างๆ รอบตวั ทาใหเ้ กดิ ความร้ทู างวิทยาศาสตรไ์ ด้หรือไม่ (แนวคาตอบ ได้ เพราะเมื่อเกิดข้อสงสัย เราย่อมต้องใช้วิธีการต่างๆ เพ่ือหาคาตอบในข้อสงสัยน้ัน แล้วอาจทาใหเ้ ราค้นพบความรทู้ างวิทยาศาสตร์ได้) - การสงสยั ส่งิ ต่างๆ ทอี่ ยู่รอบตวั เป็นลกั ษณะทด่ี ขี องนักวทิ ยาศาสตร์หรอื ไม่ เพราะอะไร (แนวคาตอบ เป็นลกั ษณะทด่ี ีของนักวิทยาศาสตร์ เพราะถ้าเรามีนิสัยช่างสงสัยและอยากรู้อยากเห็น ความจริงใหม่ๆ จึงมักต้ังข้อสงสัยต่างๆ เพ่ือค้นหาคาตอบเสมอ ลักษณะนิสัยน้ีนาไปสู่การค้นพบ ข้อมูลและความร้ใู หม่ๆ เสมอ) 5. นกั เรยี นอ่านกจิ กรรม ชวนอา่ นชวนคดิ กอ่ นเรยี น ตอน เนอื้ สัตวเ์ ปน็ อาหารหลกั หม่ใู ด ในหนังสือเรยี น วทิ ยาศาสตร์ ป.6 เลม่ 1 หน้า 4 จากน้นั ตอบคาถามต่อไปน้ี - จากสถานการณ์ เพื่อนๆ คิดว่า เราต้องใช้ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ใดบ้างในการหา คาตอบของปัญหานี้ (แนวคาตอบ ตอบตามความคิดเห็นของนักเรียนเช่น ใช้ทักษะการสังเกต ทักษะการต้ังสมมติฐาน ทักษะการลงความเหน็ จากข้อมูล ทักษะการจาแนกประเภท) - จากสถานการณ์ ทัง้ 2 คนมวี ธิ ีการหาคาตอบในข้อสงสยั อยา่ งไร (แนวคาตอบ ตอบตามความคดิ เหน็ ของนกั เรียน) 6. ครูสนทนากับนักเรียนเพื่อเชื่อมโยงเข้าสู่กระบวนการเรียนรู้ว่า นักวิทยาศาสตร์จะมีวิธีการหาคาตอบอย่าง เป็นระบบ โดยใช้วิธีการต่างๆ เช่น การทดลอง การสืบค้น วิธีการเหล่าน้ีเป็นวิธีการทางวิทยาศาสตร์ วันนเี้ ราจะมาเรียนร้เู กยี่ วกบั วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ (หมายเหตุ : ครเู ร่มิ ประเมินนักเรยี น โดยการสังเกตพฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล) ขั้นสอน ขั้นสารวจค้นหา 1. นักเรียนแบ่งกลุ่ม ออกเปน็ กลุ่มละ 4-5 คน เพอื่ ทากิจกรรม วิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ โดยปฏบิ ัตดิ งั น้ี 1) ศึกษาเกี่ยวกับวิธีการทางวิทยาศาสตร์ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า5-7 หรอื แหล่งขอ้ มลู ตา่ งๆ 2) ส่งตัวแทนกลุ่มรับบัตรภาพขนมปงั และใบงานที่ 1.1 วธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ 3) แต่ละกลุ่มสังเกตบัตรภาพขนมปัง ร่วมกันแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับขนมปังในภาพ แล้วตั้งข้อสงสัย และต้ังคาถามเกี่ยวกับขนมปังในภาพ โดยบันทึกลงในใบงานท่ี 1.1 วิธีการทางวิทยาศาสตร์ พร้อม ระบุทักษะทีใ่ ช้ 4) ร่วมกันคาดคะเนคาตอบของปัญหาหรือข้อสงสัยไว้ล่วงหน้า และบันทึกลงในใบงานท่ี 1.1 วธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ พรอ้ มระบทุ ักษะทใี่ ช้ 13
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 วทิ ยาศาสตร์น่ารู้ แผนฯ ท่ี 1 วิทยาศาสตรน์ า่ รู้ 5) ใช้วิธีการต่างๆ ในการหาคาตอบเช่น การสืบค้นข้อมูล และบันทึกลงในใบงานท่ี 1.1 วิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ พรอ้ มระบทุ กั ษะท่ใี ช้ 6) นาข้อมูลที่รวบรวมไดด้ ว้ ยวิธกี ารตา่ งๆ มาวิเคราะห์ผล จากน้ันร่วมกันสรุปผลข้อมูล แล้วตรวจสอบผลว่า ตรงกับสมมติฐานที่ตัง้ ไว้หรือไม่ (หมายเหตุ : ครเู รม่ิ ประเมนิ นักเรียน โดยการสงั เกตพฤติกรรมการทางานกลุม่ ) ขน้ั อธิบายความรู้ 1. นักเรยี นแต่ละกลุม่ นาเสนอในประเด็นต่อไปนี้ 1) วิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ท่ีใชแ้ ตล่ ะขนั้ ตอนตามลาดับ 2) ทักษะท่ีใช้ในแต่ละขัน้ ตอน 2. นักเรยี นรว่ มกันสรปุ ผลการทากิจกรรมว่า จากกิจกรรม วธิ ีการทางวทิ ยาศาสตร์ คอื ข้นั ตอนการทางานอย่าง เป็นระบบท่นี กั วิทยาศาสตร์ใชใ้ นการค้นคว้าหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ มี 5 ขั้นตอน ได้แก่ ระบุปัญหาหรือ ตัง้ คาถาม ตั้งสมมตฐิ าน รวบรวมข้อมลู วเิ คราะห์ขอ้ มูล และสรุปผล (หมายเหตุ : ครูเรม่ิ ประเมนิ นักเรยี น โดยการสังเกตพฤติกรรมการทางานรายบคุ คล) ชัว่ โมงที่ 2 ขน้ั สอน (ต่อ) ขน้ั สารวจค้นหา 1. ทบทวนความรู้เดิมจากกิจกรรมช่ัวโมงท่ีแล้ว โดยตั้งคาถามว่า จากกิจกรรมช่ัวโมงท่ีผ่านมาขั้นวิเคราะห์ ขอ้ มลู นกั เรียนใชท้ ักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรใ์ ดบา้ ง (แนวคาตอบ ทกั ษะการลงความเห็นจากขอ้ มูล ทกั ษะการตคี วามหมายและลงขอ้ สรุป) 2. ให้นักเรียนจับคู่กัน จากนั้นสุ่มหยิบสลากทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์คู่ละ 1 ใบ เพื่อทากิจกรรม ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ โดยปฏบิ ตั ดิ งั นี้ 1) แต่ละคู่ศึกษาเก่ียวกับความหมายของทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ท่ีนักเรียนจับสลากได้จาก หนงั สือเรยี นวิทยาศาสตรฯ์ ป.6 เลม่ 1 หน้า 8-12 หรอื แหลง่ ข้อมูลต่างๆ 2) ยกตวั อยา่ งสถานการณ์ทใ่ี ช้ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์นนั้ โดยวาดภาพการ์ตูนสถานการณ์ที่ใช้ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์นั้นลงในกระดาษ A4 3. ครสู ุ่มนักเรยี นแตล่ ะคู่นาเสนอการต์ ูนสถานการณ์ทีใ่ ชท้ ักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์นนั้ (หมายเหตุ : ครูเรม่ิ ประเมินนักเรียน โดยการสังเกตพฤติกรรมการรายบคุ คล) 14
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 วทิ ยาศาสตร์นา่ รู้ แผนฯ ท่ี 1 วิทยาศาสตร์นา่ รู้ ขนั้ อธิบายความรู้ 1. นักเรียนตอบคาถามต่อไปน้ี - ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์มีความสาคัญตอ่ การเรียนวิทยาศาสตร์อยา่ งไร (แนวคาตอบ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์จะทาให้นักเรียนพัฒนาการคิดและการแก้ปัญหา ไดด้ ้วยตนเองอย่างเปน็ ระบบ แล้วสามารถเชอื่ มโยงไปสู่ชีวติ ประจาวนั ได)้ - ทักษะขน้ั พืน้ ฐานมกี ี่ทกั ษะ อะไรบ้าง (แนวคาตอบ 8 ทักษะ ได้แก่ การสังเกต การจาแนกประเภท การวัด การหาความสัมพันธ์ของสเปซ กับเวลา การจัดกระทาและสื่อความหมายข้อมูล การใช้จานวน การลงความเห็นจากข้อมูล การพยากรณ)์ - ทกั ษะขั้นสูงหรอื ขนั้ ผสมมกี ีท่ ักษะ อะไรบา้ ง (แนวคาตอบ 6 ทักษะ ได้แก่ การกาหนดและควบคุมตัวแปร การตีความหมายและลงข้อสรุป การทดลอง การต้งั สมตฐิ าน การสร้างแบบจาลอง และกาหนดนยิ ามเชงิ ปฏิบัติการ) 2. นักเรียนนาใบงานที่ 1.1 วิธีการทางวิทยาศาสตร์ มาตรวจสอบทักษะท่ีใช้ในแต่ละขั้นว่าถูกต้องหรือไม่ หากมีขอ้ ผิดพลาดให้แก้ไขใหถ้ กู ต้อง ชว่ั โมงท่ี 3 ข้นั สอน (ต่อ) ขั้นขยายความเข้าใจ 1. นักเรียนดูตัวอย่าง ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่นักเรียนต้องเรียนรู้และฝึกฝนให้เกิดความชานาญ สาหรับการเรียนวิทยาศาสตร์ ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า 11-12 แล้วตอบคาถาม ตอ่ ไปน้ี - จากตวั อย่างน้องก้องใช้ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ใดบา้ ง (แนวคาตอบ การสงั เกต การพยากรณ์ การจาแนกประเภท และการลงความเห็นจากขอ้ มลู ) 2. นกั เรียนแบ่งกลุ่ม กลุ่มละ 4-5 คน เพอ่ื ทากิจกรรม จิตวทิ ยาศาสตร์ โดยปฏบิ ตั ดิ ังน้ี 1) แต่ละกลุ่มบอกช่ือนักวิทยาศาสตร์ที่ช่ืนชอบหรือสนใจมาคนละ 1 ชื่อ โดยท่ีไม่ให้เลือกนักวิทยาศาสตร์ ซา้ กันในกล่มุ 2) แตล่ ะคนศึกษาขอ้ มลู เกยี่ วกบั ประวัติและผลงานของนักวทิ ยาศาสตร์ทา่ นนั้น (นกั วทิ ยาศาสตรท์ เี่ ลอื ก) 3) นาเสนอประวตั แิ ละผลงานของนักวทิ ยาศาสตรท์ ่านนน้ั จากนั้นสมาชิกในกลุ่มร่วมกันวิเคราะห์นิสัยของ นกั วิทยาศาสตรแ์ ต่ละท่าน แล้วนาข้อมลู มาวเิ คราะหเ์ พ่ือหาลักษณะนิสยั ของนักวทิ ยาศาสตร์ 4) นกั เรียนแต่ละกล่มุ สง่ ตวั แทนนาเสนอผลการวิเคราะห์ลกั ษณะนสิ ยั ของนักวิทยาศาสตร์ในภาพรวม 15
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 1 วิทยาศาสตรน์ า่ รู้ แผนฯ ที่ 1 วทิ ยาศาสตร์นา่ รู้ 3. นกั เรียนร่วมกันสรุปผลการทากิจกรรมวา่ ลักษณะนิสยั ของนกั วทิ ยาศาสตร์ที่เกิดข้ึนจากการศึกษาหาความรู้ ทางวิทยาศาสตร์โดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ จิตวิทยาศาสตร์ประกอบด้วยลักษณะต่าง ๆ เช่น ความมเี หตมุ ีผล ความสนใจใฝ่รู้ ความมุ่งมั่น ความอดทน ความรับผิดชอบ ความซ่ือสัตย์ ความละเอียด รอบคอบ 4. นักเรียนแต่ละคนดู PowerPoint เรื่อง วิทยาศาสตร์หน้ารู้ เพื่อเพ่ิมเติมความเข้าใจ แล้วเขียนสรุปความรู้ เก่ียวกับเร่ืองที่ได้เรียนรู้จากบทที่ 1 ในรูปแบบต่างๆ เช่น แผนผังความคิด แผนภาพ ลงใน สมุดประจาตัวนกั เรยี น 5. นักเรียนทุกคนศึกษาแผนผังความคิด สรุปสาระสาคัญ ประจาบทท่ี 1 จากหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หนา้ 15 เพอื่ ตรวจสอบการเขียนสรปุ ความรู้ท่นี ักเรยี นทาไว้ในสมดุ ประจาตัวนกั เรียน 6. นักเรียนทากิจกรรมฝึกทักษะ ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า 80 บันทึกลงใน สมุดประจาตัวนักเรียน หรือทาในแบบฝึกหดั วทิ ยาศาสตรฯ์ ป.6 เลม่ 1 หน้า 3-5 7. นักเรียนทากจิ กรรมทา้ ทายความคดิ ข้นั สงู ในแบบฝกึ หดั วทิ ยาศาสตรฯ์ ป.6 เลม่ 1 หนา้ 6 8. นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มละ 4-5 คน (ใช้กลุ่มเดิมในกิจกรรม จิตวิทยาศาสตร์) ทากิจกรรมสร้างสรรค์ ผลงาน โดยปฏบิ ตั ิดงั น้ี 1) ให้นักเรียนนาข้อมูลจากกิจกรรม จิตวิทยาศาสตร์ และสืบค้นเพ่ิมเติมเกี่ยวกับข้อมูลประวัติและผลงาน ของนกั วิทยาศาสตร์ 2) จากนั้นเลือกนักวิทยาศาสตร์ท่ีกลุ่มสนใจมา 12 คน นาข้อมูลประวัติและผลงานของนักวิทยาศาสตร์ มาจัดทาเป็นปฏิทินตัง้ โตะ๊ แสดงประวตั ิและผลงานของนักวทิ ยาศาสตร์ 3) ออกแบบและตกแตง่ ปฏทิ ินให้สวยงาม 4) นาผลงานไปจดั แสดงไว้ในศนู ย์การเรยี นรขู้ องหอ้ งเรยี นหรือบรเิ วณอื่นๆ เชน่ ห้องสมุด (หมายเหตุ : ครเู ร่มิ ประเมินนกั เรียน โดยการสงั เกตพฤติกรรมการทางานกลุ่ม) ข้ันสรปุ 1. นักเรียนร่วมกันสรุปความรู้จากกิจกรรมว่า กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คือ วิธีการและข้ันตอน ท่ีนักวิทยาศาสตร์ใช้เพื่อค้นคว้าหาความรู้ทางวิทยาศาสตร์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และจิตวิทยาศาสตร์ ข้ันประเมิน ขนั้ ตรวจสอบผล 1. นักเรียนแต่ละคนทาทบทวนท้ายหน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 วิทยาศาสตร์น่ารู้ ในแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ ป.6 เลม่ 1 หนา้ 7-11 16
หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 1 วิทยาศาสตรน์ ่ารู้ แผนฯ ที่ 1 วทิ ยาศาสตร์นา่ รู้ 2. นกั เรียนทาแบบทดสอบหลังเรียนหน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 วิทยาศาสตร์น่ารู้ เพ่ือตรวจสอบความรู้ของนักเรียน หลังทากจิ กรรม 3. ครตู รวจใบงานท่ี 1.1 วธิ ีการทางวิทยาศาสตร์ 4. ครูตรวจแผนผังความคดิ สรปุ สาระสาคัญ ประจาบทท่ี 1 ในสมุดประจาตวั นกั เรยี น 5. ครูตรวจกิจกรรมฝึกทักษะในสมุดประจาตัวนักเรียน หรือทาในแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า 3-5 6. ครูตรวจกจิ กรรมท้าทายความคิดข้ันสูง ในแบบฝึกหัดวิทยาศาสตรฯ์ ป.6 เล่ม 1 หนา้ 6 7. ครูประเมินผลงานปฏทิ นิ ต้ังโต๊ะแสดงประวตั แิ ละผลงานของนกั วทิ ยาศาสตร์ 8. ครูตรวจทบทวนท้ายหน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 วิทยาศาสตร์น่ารู้ ในแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า 7-11 9. ครูตรวจแบบทดสอบหลังเรียนหนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 1 วิทยาศาสตรน์ ่ารู้ เพื่อตรวจสอบความรู้ของนักเรียนหลัง ทากิจกรรม 7. การวดั และประเมินผล รายการวัด วิธีการ เครอ่ื งมอื เกณฑ์ 1) ผลงานปฏิทนิ ตัง้ โต๊ะ - ประเมนิ ผลงาน - แบบประเมินผลงาน - คุณภาพอย่ใู นระดบั ดี แสดงประวัติและ - ตรวจใบงานที่ 1.1 - ใบงานที่ 1.1 วธิ กี าร ผา่ นเกณฑ์ ผลงานของ วธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ ทางวทิ ยาศาสตร์ นกั วิทยาศาสตร์ - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ 2) ใบงานท่ี 1.1 วิธีการ - ตรวจสมดุ ประจาตวั - สมุดประจาตวั - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ ทางวทิ ยาศาสตร์ นักเรยี น นักเรียน - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ 3) สรุปสาระสาคัญ ประจาบทท่ี 1 - ตรวจสมดุ ประจาตัว - สมดุ ประจาตวั หรือ - รอ้ ยละ 60 ผ่านเกณฑ์ 4) กจิ กรรมฝึกทกั ษะ หรอื แบบฝึกหัด แบบฝึกหดั บทที่ 1 วิทยาศาสตรฯ์ ป.6 วทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ เลม่ 1 หนา้ 3-5 เล่ม 1 หนา้ 3-5 5) กิจกรรมท้าทาย ความคดิ ขัน้ สงู - ตรวจแบบฝกึ หดั - แบบฝึกหัด วทิ ยาศาสตรฯ์ ป.6 วทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 6) ทบทวนทา้ ยหน่วย เลม่ 1 หนา้ 6 เลม่ 1 หนา้ 6 การเรียนรทู้ ี่ 1 - ตรวจแบบฝึกหดั - แบบฝึกหัด วทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 วทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า 7-11 เลม่ 1 หน้า 7-11 17
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 1 วทิ ยาศาสตรน์ า่ รู้ แผนฯ ท่ี 1 วทิ ยาศาสตรน์ า่ รู้ รายการวัด วธิ กี าร เครือ่ งมอื เกณฑ์ 7) ทดสอบหลังเรยี น - ตรวจแบบทดสอบหลัง - แบบทดสอบหลงั เรยี น - ร้อยละ 60 ผา่ นเกณฑ์ หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 1 เรยี น หนว่ ยการเรียนรู้ หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 1 ที่ 1 8) พฤติกรรม - สังเกตพฤติกรรม - แบบสังเกตพฤติกรรม - คุณภาพอยู่ในระดับดี การทางานรายบคุ คล ผา่ นเกณฑ์ การทางานรายบคุ คล การทางานรายบคุ คล - แบบสังเกตพฤติกรรม - คุณภาพอยใู่ นระดับดี 9) พฤติกรรม - สงั เกตพฤตกิ รรม การทางานกล่มุ ผ่านเกณฑ์ การทางานกลุ่ม การทางานกล่มุ หมายเหตุ : แบบสังเกตพฤตกิ รรมประเมนิ รายเทอม 8. สือ่ /แหล่งการเรยี นรู้ 8.1 สื่อการเรียนรู้ 1) หนงั สอื เรยี นวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 2) แบบฝึกหดั วทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ป.6 เลม่ 1 3) วสั ดุ-อุปกรณท์ ใ่ี ช้ในกิจกรรมสรา้ งสรรคผ์ ลงาน 4) PowerPoint เรือ่ ง วทิ ยาศาสตร์น่ารู้ 5) ใบงานที่ 1.1 วธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ 6) แบบทดสอบนสิ ัย 7) บัตรภาพขนมปงั 8) สลากทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ 9) กระดาษ A4 10) สมุดประจาตัวนักเรยี น 8.2 แหลง่ การเรยี นรู้ 1) ห้องเรียน 2) อนิ เทอรเ์ น็ต 18
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 1 วิทยาศาสตรน์ า่ รู้ แผนฯ ที่ 1 วิทยาศาสตรน์ า่ รู้ ใบงานที่ 1.1 วิธกี ารทางวทิ ยาศาสตร์ คาชี้แจง : ใหน้ ักเรียนปฏบิ ตั ิตามข้ันตอนและบนั ทกึ ผลลงในใบงาน วธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ท่ีใช้ 1. ระบุปัญหาหรือตั้งคาถาม ................................................................................................................... .................................................................. ................................................................................................................... .................................................................. ................................................................................................................... .................................................................. 2. ต้งั สมมตฐิ าน ................................................................................................................... .................................................................. ................................................................................................................... .................................................................. ................................................................................................................... .................................................................. 3. รวบรวมขอ้ มลู ................................................................................................................... .................................................................. ................................................................................................................... .................................................................. ................................................................................................................... .................................................................. 4. วเิ คราะห์ขอ้ มูล ................................................................................................................... .................................................................. ................................................................................................................... .................................................................. ................................................................................................................... .................................................................. 5. สรุปผล ................................................................................................................... .................................................................. ................................................................................................................... .................................................................. ................................................................................................................... .................................................................. ทาอย่างไรดีกับขนมปัง ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 19
หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 1 วทิ ยาศาสตร์น่ารู้ แผนฯ ท่ี 1 วทิ ยาศาสตรน์ า่ รู้ ใบงานท่ี 1.1 เฉลย วธิ กี ารทางวทิ ยาศาสตร์ คาชีแ้ จง : ใหน้ กั เรียนปฏบิ ัติตามขนั้ ตอนและบันทึกผลลงในใบงาน วิธกี ารทางวิทยาศาสตร์ ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ท่ใี ช้ 1. ระบุปญั หาหรือต้ังคาถาม ................................................................................................................... .................................................................. ................................................................................................................... .................................................................. ................................................................................................................... .................................................................. 2. ตั้งสมมตฐิ าน ................................................................................................................... .................................................................. ................................................................................................................... .................................................................. ................................................................................................................... .................................................................. 3. รวบรวมข้อมลู ................................................................................................................... .................................................................. ................................................................................................................... .................................................................. ................................................................................................................... .................................................................. 4. วเิ คราะห์ขอ้ มลู ................................................................................................................... .................................................................. ................................................................................................................... .................................................................. ................................................................................................................... .................................................................. 5. สรุปผล ................................................................................................................... .................................................................. ................................................................................................................... .................................................................. ................................................................................................................... .................................................................. ทาอย่างไรดีกบั ขนมปัง ? ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… ……………………………………………………………………………………………………………………………………………… 20
หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 1 วิทยาศาสตรน์ า่ รู้ แผนฯ ท่ี 1 วิทยาศาสตรน์ า่ รู้ แบบทดสอบนสิ ยั คณุ มีความเปน็ นกั วิทยาศาสตรม์ ากแคไ่ หน? คณุ มคี วามเปน็ นกั วทิ ยาศาสตร์มากแค่ไหน? นักเรยี นมนี ิสยั แบบน้ีใช่หรือไม่ ใช่ ไมใ่ ช่ นกั เรียนมนี สิ ยั แบบน้ใี ชห่ รือไม่ ใช่ ไมใ่ ช่ เป็นคนชา่ งสังเกต เป็นคนชา่ งสังเกต เป็นคนช่างคดิ ช่างสงสัย เปน็ คนช่างคดิ ชา่ งสงสัย เปน็ คนมเี หตุผล เป็นคนมเี หตผุ ล เปน็ คนมคี วามพยายาม เปน็ คนมคี วามพยายาม และอดทน และอดทน เป็นคนมคี วามคดิ รเิ รม่ิ เปน็ คนมคี วามคิดรเิ ร่ิม เป็นคนทางานเป็นระบบ เป็นคนทางานเป็นระบบ 21
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 1 วิทยาศาสตร์น่ารู้ แผนฯ ที่ 1 วิทยาศาสตรน์ า่ รู้ สลากทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทกั ษะการสังเกต ทักษะการจาแนกประเภท ทักษะการวดั ทักษะการหาความสัมพนั ธ์ของสเปซกบั เวลา ทกั ษะการจัดกระทาและสอ่ื ความหมายข้อมลู ทักษะการใชจ้ านวน ทกั ษะการลงความเห็นจากขอ้ มูล ทกั ษะการพยากรณ์ ทักษะการกาหนดและควบคุมตวั แปร ทกั ษะการกาหนดนิยามเชิงปฏิบัตกิ าร ทกั ษะการตคี วามหมายข้อมูลและลงข้อสรุป ทกั ษะการทดลอง ทักษะการตงั้ สมมติฐาน ทกั ษะการสรา้ งแบบจาลอง 22
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 1 วิทยาศาสตรน์ ่ารู้ แผนฯ ที่ 1 วิทยาศาสตรน์ า่ รู้ บตั รภาพขนมปัง 23
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 1 วทิ ยาศาสตรน์ า่ รู้ แบบบันทกึ หลังแผนการจัดการเรียนรู้ แผนฯ ท่ี 1 วิทยาศาสตรน์ า่ รู้ ดา้ นความรู้ ดา้ นสมรรถนะสาคญั ของผูเ้ รยี น ด้านคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ ด้านความสามารถทางวิทยาศาสตร์ ด้านอนื่ ๆ (พฤติกรรมเดน่ หรือพฤติกรรมท่ีมปี ัญหาของนักเรียนเปน็ รายบุคคล (ถ้าม)ี ) ปัญหา/อุปสรรค แนวทางการแกไ้ ข ลงชอื่ ..............................................ผบู้ นั ทกึ (................................................) ความเหน็ ของผ้บู ริหารสถานศึกษาหรือผู้ท่ีได้รับมอบหมาย ข้อเสนอแนะ ลงช่ือ................................................ (................................................) ตาแหนง่ ................................................. 24
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 รา่ งกายของเรา แผนฯ ที่ 1 การเจริญเติบโตของรา่ งกาย แผนการจัดการเรยี นรูท้ ี่ 1 การเจริญเตบิ โตของรา่ งกาย หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 2 ร่างกายของเรา ระยะเวลา 2 ช่ัวโมง กลมุ่ สาระการเรียนรูว้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 6 1. มาตรฐานการเรยี นรู้/ตัวช้ีวัด – 2. จุดประสงค์การเรียนรู้ 1) อธิบายการเจรญิ เตบิ โตของร่างกายในช่วงวยั ต่างๆ ได้ (K) 2) สงั เกตและวัดการเจรญิ เตบิ โตของร่างกายได้ (P) 3) ยกตัวอยา่ งการปฏบิ ตั ทิ ่สี ามารถปอ้ งกันและแก้ไขปญั หาสุขภาพในแตล่ ะชว่ งวัยได้ (A) 3. สาระการเรยี นรู้ การเจรญิ เติบโตของร่างกายในช่วงวัยตา่ งๆ 4. สาระสาคญั /ความคดิ รวบยอด การเจริญเติบโตของมนุษย์จะมีการเปล่ียนแปลงด้านร่างกาย ตั้งแต่วัยแรกเกิดจนถึงวัยผู้ใหญ่ จึงจาเป็น จะต้องไดร้ ับการดแู ลให้เหมาะสมกับเพศและวัย 5. สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ และคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ สมรรถนะสาคัญของผู้เรยี น ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ 1) ความสามารถในการสือ่ สาร 1) การสังเกต 1) มวี ินยั 2) ความสามารถในการคดิ 2) การจาแนกประเภท 2) ใฝ่เรยี นรู้ 3) ความสามารถในการ 3) การพยากรณ์ 3) มงุ่ ม่นั ในการทางาน แก้ปญั หา 4) การลงความเห็นจากข้อมลู 5) การจดั กระทาและการส่ือ ความหมายข้อมูล 6) การตีความหมายข้อมลู และ ลงข้อสรุป 41
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 2 รา่ งกายของเรา แผนฯ ที่ 1 การเจรญิ เตบิ โตของรา่ งกาย 6. กิจกรรมการเรยี นรู้ แนวคิด/รปู แบบการสอน/วธิ กี ารสอน/เทคนิค : 5Es Instructional Model ชัว่ โมงที่ 1 1. นักเรียนทาแบบทดสอบก่อนเรียน หน่วยการเรียนรู้ท่ี 2 ร่างกายของเรา แบบปรนัย 4 ตัวเลือก จานวน 10 ขอ้ (หมายเหตุ : ครูตรวจแบบทดสอบก่อนเรียน เพื่อประเมินความรู้เดิมและเข้าใจผู้เรียน เพื่อใช้ในการจัด กจิ กรรม) ขั้นนา ข้ันกระตุ้นความสนใจ 1. ครูขออาสาสมัครนักเรียน 3-4 คน (เลือกนักเรียนที่มีสัดส่วนของร่างกายแตกต่างกัน) มายืนเรียงแถว หนา้ กระดานอยู่หน้าชั้นเรยี น แลว้ ใหน้ กั เรยี นที่อยใู่ นชัน้ เรยี นสงั เกตนักเรยี นทย่ี ืนหนา้ ชั้นเรียน 2. ครูสุ่มเลือกนักเรียน 2-3 คน เพ่ืออธิบายว่า จากการสังเกตเพ่ือนที่ยืนอยู่หน้าช้ันเรียน นักเรียนสังเกตเห็น ความแตกตา่ งในเรือ่ งใดบา้ ง 3. ครูตั้งประเด็นเพ่ือกระตุ้นความสนใจของนักเรียนว่า เพราะอะไรตัวแทนนักเรียนถึงแม้จะอยู่ในวัยเดียวกัน แต่สัดส่วนของร่างกายแตกต่างกัน แล้วให้นักเรียนช่วยกันระดมความคิดและแสดงความคิดเห็นร่วมกัน ในการตอบคาถาม (แนวคาตอบ ตอบตามความคิดเห็นของนักเรียน เช่น การรับประทานอาหารท่ีครบถ้วน การออกกาลังกาย การพักผ่อนอย่างเพียงพอของแต่ละคนแตกต่างกัน) 4. ให้นักเรียนอ่านสาระสาคัญและดูภาพในหน้าหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 ร่างกายของเรา จากหนังสือ เรียน วิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า 18 จากน้ันครูต้ังคาถามนักเรียนว่า นักเรียนคิดว่า โดนัทท่ีเด็กกาลัง รับประทานมปี ระโยชน์ตอ่ รา่ งกายอยา่ งไรบา้ ง แล้วใหน้ กั เรียนรว่ มกันตอบอย่างอิสระ (แนวคาตอบ ให้พลังงานแก่รา่ งกาย เพื่อใช้ทากจิ กรรมตา่ งๆ) 5. นักเรียนดูภาพในหน้าบทท่ี 1 สารอาหารกับการเจริญเติบโตของร่างกาย แล้วช่วยกันตอบคาถามประจาบท ดงั นี้ - ส่งิ ใดท่ีทาใหเ้ รารวู้ ่า ร่างกายของเรามกี ารเจรญิ เติบโต (แนวคาตอบ ความสูง นา้ หนกั ตัว ความยาวของแขนและขาทเ่ี พ่มิ ขนึ้ ) - สารอาหารมคี วามสาคัญต่อรา่ งกายอยา่ งไร (แนวคาตอบ สารอาหารช่วยให้พลังงานแก่ร่างกาย ที่ใช้ในการทากิจกรรมต่างๆ ในการดารงชีวิต ประจาวนั ) 42
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 2 ร่างกายของเรา แผนฯ ท่ี 1 การเจรญิ เตบิ โตของร่างกาย 6. นักเรียนทากิจกรรม ชวนอ่านชวนคิดก่อนเรียน ตอน อาหารหลัก 5 หมู่ ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า 20 โดยครูแบ่งนักเรียนเป็น 2 กลุ่มใหญ่ กลุ่มแรกรับบทบาทสมมติเป็นคุณแม่ กลุ่มท่ีสอง รับ บทบาทสมมติเปน็ แตว้ ครใู ห้นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ อา่ นบทสนทนาของคุณแมก่ บั แต้วตามบทบาทสมมตทิ ไ่ี ด้รับ 7. ครถู ามนักเรียนทา้ ยกจิ กรรมวา่ - จากกจิ กรรม คุณแม่กับแต้วสนทนากันเก่ียวกับเรอื่ งอะไร (แนวคาตอบ สนทนาเก่ยี วกบั เรอ่ื ง การรบั ประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่) - ถา้ นกั เรยี นไม่รับประทานผัก อาจส่งผลเสยี ตอ่ รา่ งกายอยา่ งไร (แนวคาตอบ ผักให้สารอาหารประเภทวิตามินและเกลือแร่ ถ้าไม่รับประทานผักเลยร่างกายอาจขาด สารอาหารชนิดนี้) - นกั เรียนคดิ ว่า มอี าหารชนิดใดบ้างท่สี ามารถรับประทานทดแทนการขาดสารอาหารท่ีไดจ้ ากผัก (แนวคาตอบ เช่น ผักใบเขียวให้วิตามินบี 1 สามารถรับประทานไข่แดงหรือถ่ัวแทนได้ หรือผักสดให้ วิตามินซี สามารถรับประทานผลไม้ที่มรี สเปรีย้ วแทนได้) (หมายเหตุ : ครเู ร่ิมประเมินนกั เรียน โดยการสงั เกตพฤติกรรมการทางานรายบุคคล) ขน้ั สอน ขน้ั สารวจคน้ หา 1. นักเรียนสังเกตภาพตัวอย่างคนในวัยต่างๆ ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า 21 แลว้ ตอบคาถามต่อไปนี้ - คนในบัตรภาพใดมวี ัยใกล้เคยี งกบั วยั ของนักเรียนมากท่สี ดุ เพราะอะไร (แนวคาตอบ ภาพที่ 3 เพราะตวั มขี นาดใกลเ้ คียงกบั นกั เรยี น) - การเจริญเติบโตทางร่างกายจะสังเกตเห็นไดจ้ ากอะไรบ้าง (แนวคาตอบ การมนี ้าหนักและส่วนสูงที่เพ่ิมข้ึน) 2. นักเรียนศึกษาขั้นตอนการทากิจกรรมที่ 1 การเจริญเติบโตของร่างกาย ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เลม่ 1 หน้า 22 3. นกั เรยี นปฏบิ ัติกจิ กรรมท่ี 1 การเจริญเตบิ โตของร่างกาย โดยปฏิบัติ ดงั นี้ 1) ติดภาพวัยทารก และสังเกตภาพว่า มีลักษณะการเจริญเติบโตท่ีเปลี่ยนไปจากตอนแรกเกิดอย่างไร บันทึกลงในแบบฝึกหัดวทิ ยาศาสตรฯ์ ป.6 เลม่ 1 หน้า 13 2) ติดภาพตอนปัจจุบันและช่ังน้าหนัก วัดส่วนสูงของตนเอง แล้วบันทึกข้อมูลลงในแบบฝึกหัด วทิ ยาศาสตรฯ์ ป.6 เลม่ 1 หนา้ 14 3) วิเคราะห์ลักษณะร่างกายของตนเองในปัจจุบันว่า มีการเจริญเติบโตเปล่ียนไปจากตอนท่ีเป็นทารก อย่างไรบ้าง บนั ทึกลงในแบบฝึกหดั วทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หนา้ 14 43
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 ร่างกายของเรา บันทึกคาตอบลงใน แผนฯ ที่ 1 การเจริญเตบิ โตของร่างกาย 4) คาดคะเนว่า อีก 5 ปี และ 10 ปีข้างหน้า นักเรียนจะมีการเจริญเติบโตอย่างไร แบบฝึกหัดวทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หนา้ 14 (หมายเหตุ : ครเู ริ่มประเมนิ นักเรียน โดยการสังเกตพฤติกรรมการทางานรายบคุ คล) ขนั้ อธบิ ายความรู้ 1. ครสู ่มุ นักเรยี น 2-3 คน ใหน้ าเสนอผลการทากิจกรรมที่ 1 การเจริญเติบโตของร่างกาย 2. นักเรียนตอบคาถามตอ่ ไปนี้ - ขนาดและรา่ งกายของเราในปัจจุบันเจรญิ เตบิ โตแตกตา่ งจากทารกอย่างไรบา้ ง (แนวคาตอบ มีน้าหนักและส่วนสูงที่เพ่ิมข้ึนกว่าวัยทารก ฟันน้านมเร่ิมหัก และฟันแท้งอกขึ้นมาแทนท่ี สามารถขยบั ร่างกายไดด้ ีข้ึน และมคี วามแข็งแรงกว่าวัยทารก) - นกั เรียนคิดวา่ ลักษณะใดที่บ่งบอกว่า นักเรียนมกี ารเจริญเตบิ โตท่ีเหมาะสมกบั วัย (แนวคาตอบ มีน้าหนักส่วนสูงตามเกณฑ์ที่กาหนด ใช้กล้ามเนื้อในการทากิจกรรมต่างๆ ได้ดี ฟันน้านม หกั และมฟี ันแท้ขึ้นมาแทน) 3. นักเรียนทุกคนในชั้นเรียนร่วมกันแสดงความคิดเห็นและสรุปผลจากการทากิจกรรมว่า ร่างกายของคนเรา มีการเจรญิ เตบิ โตต้ังแต่อยู่ในครรภ์ของมารดา ซ่ึงในแต่ละช่วงวัยขนาดของร่างกายจะเปล่ียนแปลงแตกต่าง กนั ไป โดยสงั เกตไดจ้ ากสดั ส่วนของร่างกายที่เปล่ียนแปลงไป เช่น ความยาวแขนขา น้าหนัก ส่วนสูงเพ่ิมข้ึน จากนัน้ บนั ทกึ ผลการทากจิ กรรมลงในแบบฝึกหดั วทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 เลม่ 1 หน้า 14 4. นักเรียนทากิจกรรมหนูตอบได้ในหนังสือเรียนวิทยาศาสตร์ ป.6 เล่ม 1 หน้า 22 บันทึกลงในสมุดประจาตัว นักเรียนหรอื ทาในแบบฝึกหดั วทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 เลม่ 1 หน้า 15 (หมายเหตุ : หากเวลาไมพ่ อ ครูพจิ ารณาใหน้ ักเรียนทาเป็นการบ้าน) ช่วั โมงท่ี 2 ขั้นสอน (ตอ่ ) ข้ันสารวจคน้ หา 1. ทบทวนความรเู้ ดิม โดยครูตงั้ คาถามว่า การสังเกตการเจรญิ เตบิ โตของตนเองมปี ระโยชน์อยา่ งไร (แนวคาตอบ การติดตามดูแลการเจริญเติบโตของตนเอง จะทาให้เราทราบว่า ตนเองมีการเจริญเติบโตทาง ร่างกายเป็นไปตามวัยหรือไม่ และถ้าพบว่าตัวเรามีปัญหาด้านสุขภาพก็ทาให้สามารถไปปรึกษาแพทย์ได้ ตงั้ แต่เบอ้ื งต้น) 2. นักเรียนแบ่งกลุ่มออกเป็นกลุ่มละ 4-5 คน จากนั้นสมาชิกในกลุ่มผลัดกันวัดส่วนต่างๆ ของร่างกายและ ชั่งน้าหนักแล้วบันทึกข้อมูล แล้วนาข้อมูลมาวิเคราะห์ว่า ตนเองและเพื่อนเจริญเติบโตเหมาะสมตามวัย หรือไม่ โดยเปรียบเทียบกับกราฟน้าหนัก ส่วนสูงของเพศชายและเพศหญิงในช่วงอายุ 0-20 ปี ในหนังสือ เรียนวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เลม่ 1 หน้า 23 แลว้ บันทึกลงในใบงานท่ี 2.1 การเจริญเติบโตของเรา 44
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 รา่ งกายของเรา แผนฯ ที่ 1 การเจริญเติบโตของรา่ งกาย 3. นักเรียนตอบคาถามทา้ ยกจิ กรรมวา่ - ปจั จุบนั นักเรียนอายุเท่าไร (แนวคาตอบ ตอบตามอายขุ องนักเรียน เช่น อายุ 11-12 ปี) - ในช่วงวัยของนกั เรยี นควรมีน้าหนกั สว่ นสงู เท่าไร (แนวคาตอบ เพศชายควรมีน้าหนักประมาณ 30-34 กก. ส่วนสูง 135-140 ซม. เพศหญิงควรมี นา้ หนัก 31-35 กก. สว่ นสงู ประมาณ 140-142 ซม.) - นักเรยี นมีน้าหนักสว่ นสงู ตามเกณฑม์ าตรฐานของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุขหรอื ไม่ (แนวคาตอบ ตอบตามความเป็นจรงิ ) - เพราะอะไรบางคนถงึ มีน้าหนกั สว่ นสงู ต่ากว่าเกณฑ์ (แนวคาตอบ รับประทานอาหารน้อย ไม่เพียงพอกับความต้องการของร่างกาย หรือรับประทาน อาหารไมถ่ ูกตอ้ งท้ังปรมิ าณและคุณค่าสารอาหาร) - ถ้านักเรียนติดตามการเจริญเติบโตของตนเอง แล้วพบว่าตนเองมีน้าหนักและส่วนสูงต่ากว่าเกณฑ์ มาตรฐาน นกั เรยี นจะทาอย่างไร (แนวคาตอบ ไปพบแพทย์เพ่ือตรวจสอบว่าเกิดจากสาเหตุใดและแก้ไขให้ถูกวิธี เช่น ถ้าเกิดจาก พฤติกรรมการรบั ประทานอาหาร ให้ปรบั ปรงุ พฤติกรรมใหมใ่ หเ้ หมาะสม) 4. ครูแจกบตั รชดุ กจิ กรรมการเจรญิ เติบโตของร่างกายมนษุ ย์ใหน้ ักเรียนแต่ละกลุ่ม ดงั นี้ 5. นกั เรยี นแต่ละกล่มุ ปฏิบัติการเจริญเติบโตของรา่ งกายมนุษย์ดังนี้ 1) สง่ ตัวแทนกล่มุ ออกมารับอุปกรณ์ดงั น้ี - บัตรภาพคนในวัยตา่ งๆ ท้งั 7 วยั 1 ชดุ - บัตรขอ้ ความ 1 ชดุ - กาวสองหนา้ 1 ม้วน 2) แตล่ ะกลุ่มอ่านขอ้ ความลกั ษณะการเจริญเติบโตในบตั รขอ้ ความ และให้ช่วยกันพิจารณาว่าบัตรข้อความ นี้น่าจะอยใู่ นวยั ไหน และใหจ้ ัดวางลงไปในแผ่นบัตรภาพคนในวยั นัน้ 3) ตรวจสอบความถูกต้องอีกคร้ัง และครูสุ่มตรวจสอบความถูกต้องโดยเลือกบางกลุ่มให้อธิบายลักษณะ ในแตล่ ะวัย เชน่ ให้กลมุ่ ที่ 1 อธิบายลกั ษณะการเจริญเติบโตของวยั ทารก 4) นักเรียนศึกษา เร่ือง การเจริญเติบโตของร่างกายมนุษย์ ในหนังสือวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า 24-25 เพือ่ ตรวจสอบผลการทากจิ กรรม การเจริญเตบิ โตของร่างกายมนุษย์ 5) นาความรู้ที่ได้ศึกษามาตรวจสอบความถูกต้องของข้อความท่ีวางในบัตรภาพ หากมีข้อผิดพลาดให้ นักเรียนแก้ไขให้ถูกต้อง และเม่ือแก้ไขคาตอบแล้วให้นักเรียนใช้กาวสองหน้าติดบัตรข้อความลงใน บัตรภาพให้เรยี บรอ้ ย 6) แต่ละกลุ่มจับคูแ่ ละแลกเปล่ียนผลงานกัน เพือ่ ตรวจสอบผลงานและความถกู ตอ้ ง 45
หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 2 รา่ งกายของเรา แผนฯ ที่ 1 การเจริญเติบโตของร่างกาย ข้ันอธิบายความรู้ 1. นักเรียนแต่ละกลุ่มจับสลากวัยต่างๆ โดยถ้านักเรียนกลุ่มใดจับสลากได้วัยไหน ให้นักเรียนสรุป การเจรญิ เติบโตของวยั น้ันให้เพ่ือนฟัง 2. ครูอธิบายเพิ่มเติมกับนักเรียนว่า การเจริญเติบโตของคนเรามีความแตกต่างกัน บางคนมีการเจริญเติบโต ที่สมส่วน คือ มีน้าหนักและส่วนสูงตามเกณฑ์มาตรฐานของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ซึ่งส่วนหนึ่ง เป็นผลมาจากการรับประทานอาหารมีประโยชน์และมีปริมาณท่ีเหมาะสมกับเพศและวัย รวมท้ังมี การพกั ผ่อนเพยี งพอ และการออกกาลงั กายสม่าเสมอ 3. ครูต้ังคาถามท้าทายความคิดขั้นสูงว่า การเจริญเติบโตและมีพัฒนาการท่ีดีของคนเรามีความสัมพันธ์กับ ส่ิงใดบ้าง เพราะอะไร (แนวคาตอบ การเจริญเติบโตและมีพัฒนาการท่ีดีของคนเรามีความสัมพันธ์กับการรับประทานอาหาร การออกกาลังกาย และการพักผ่อนที่เพียงพอ เพราะการรับประทานอาหารมีประโยชน์และมีปริมาณ ท่ีเหมาะสมกับเพศและวัย รวมท้ังมีการพักผ่อนเพียงพอ และการออกกาลังกายสม่าเสมอจะทาให้ร่างกาย ของเรามกี ารเจริญเตบิ โตสมสว่ นเหมาะสมตามวัย) (หมายเหตุ : ครเู ร่มิ ประเมินนักเรียน โดยการสังเกตพฤติกรรมการทางานกลมุ่ ) ขัน้ ขยายความเข้าใจ 1. นักเรียนตอบคาถามว่า นักเรียนมีวิธีการติดตามการเจริญเติบโตของตนเองอย่างไร เพื่อให้ทราบถึง ความผิดปกติท่อี าจเกดิ ข้ึนกบั ตนเอง (แนวคาตอบ 1) ชั่งน้าหนักและวดั สว่ นสูงของตนเองอยา่ งน้อยปลี ะ 2 ครง้ั 2) สารวจและบันทึกการเปล่ียนแปลงทางร่างกายของตนเอง เพื่อนาไปเปรียบเทียบกับ เกณฑ์มาตรฐานหรือเปรียบเทียบกับเพ่ือนในวัยเดียวกันว่ามีการเจริญเติบโตเหมือน หรอื แตกตา่ งกันอย่างไร 3) เข้ารบั การตรวจร่างกายประจาปี เพอ่ื ป้องกันและดแู ลรกั ษาสุขภาพ) 2. ครูสนทนากับนักเรียนว่า การติดตามการเจริญเติบโตของตนเองทาให้เราทราบถึงความผิดปกติที่อาจเกิด ข้ึนกับตนเอง รวมทั้งป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพได้อย่างถูกต้อง ดังนั้น ครูจะให้นักเรียนแต่ละคนทา สมดุ เล่มเลก็ เพอ่ื ตดิ ตามการเจรญิ เติบโตของรา่ งกายและตรวจสอบการเจรญิ เติบโตว่าเหมาะสมกับวัยหรือไม่ ระยะเวลา 1 ปี 3. นักเรยี นทาสมุดเลม่ เลก็ เรื่อง การเจรญิ เติบโตของฉนั โดยในสมุดติดตามผลควรมขี ้อมลู ดงั น้ี 1) วันท่ีบันทึกข้อมูล 2) อายุ 3) นา้ หนัก (กโิ ลกรมั ) เกณฑ์เปรยี บเทียบน้าหนักมาตรฐานและวเิ คราะห์ผล 4) สว่ นสูง (เซนติเมตร) เกณฑเ์ ปรียบเทียบสว่ นสูงมาตรฐานและวเิ คราะห์ผล 5) รอบเอว 46
หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 2 ร่างกายของเรา แผนฯ ที่ 1 การเจริญเตบิ โตของร่างกาย 4. ครูแจกกระดาษและอุปกรณ์ทาสมุดเล่มเล็กให้นักเรียน แล้วให้นักเรียนแต่ละคนออกแบบสมุดเล่มเล็ก เรื่อง การเจรญิ เติบโตของฉัน บนั ทกึ ขอ้ มลู ปจั จุบันลงไป และตกแต่งให้สวยงาม (หมายเหตุ : ครเู รมิ่ ประเมินนักเรียน โดยการสงั เกตพฤตกิ รรมการทางานรายบุคคล) ขั้นสรุป 1. นักเรียนร่วมกันสรุปความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเร่ือง การเจริญเติบโตของร่างกายว่า การเจริญเติบโตเป็น การเปล่ียนแปลงของร่างกาย ซ่ึงสิ่งที่สังเกตได้ชัดเจน คือ การมีส่วนสูงและน้าหนักท่ีเพิ่มขึ้น บางคนมี การเจริญเติบโตท่ีสมส่วน คือ มีน้าหนักและส่วนสูงตามเกณฑ์มาตรฐานของกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ซ่งึ สว่ นหนึ่งเป็นผลมาจากการรับประทานอาหารมีประโยชน์และมีปริมาณที่เหมาะสม กบั เพศและวยั รวมทง้ั มกี ารพักผอ่ นเพยี งพอและการออกกาลงั กายสมา่ เสมอ ข้นั ประเมิน ขนั้ ตรวจสอบผล 1. นักเรยี นทากจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจ ในหนังสอื เรยี นวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เลม่ 1 หนา้ 26 2. นักเรยี นและครูรว่ มกนั เฉลยกิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ 3. ครูตรวจบันทึกกิจกรรมที่ 1 การเจริญเติบโตของร่างกาย ในแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เล่ม 1 หน้า 13-14 4. ครูตรวจสอบผลการทากิจกรรมหนูตอบได้ในสมุดประจาตัวนักเรียนหรือแบบฝึกหัดวิทยาศาสตร์ฯ ป.6 เลม่ 1 หนา้ 15 5. ครตู รวจใบงานที่ 2.1 การเจรญิ เติบโตของเรา 6. ครตู รวจสมุดเลม่ เลก็ เรื่อง ติดตามการเจรญิ เตบิ โตของฉัน 7. การวัดและประเมินผล รายการวดั วิธกี าร เครื่องมือ เกณฑ์ 1) กิจกรรมท่ี 1 - ตรวจแบบฝึกหัด - แบบฝกึ หัดวทิ ยาศาสตรฯ์ - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ การเจรญิ เตบิ โต วทิ ยาศาสตร์ฯ ป.6 ของร่างกาย เลม่ 1 หน้า 13-14 ป.6 เลม่ 1 หนา้ 13-14 2) ใบงานที่ 2.1 - ตรวจใบงานท่ี 2.1 - ใบงานที่ 2.1 - ร้อยละ 60 ผ่านเกณฑ์ การเจริญเตบิ โต การเจรญิ เติบโตของเรา การเจรญิ เติบโตของเรา ของเรา 47
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185