ขอบฟา้ ใหมแ่ หง่ การเรียนรู้ สู่การสรา้ งสรรค์อนาคต รองศาสตราจารย์ ดร.วิชยั วงษใ์ หญ่ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.มารุต พฒั ผล
ขอบฟา้ ใหม่แห่งการเรียนรสู้ ู่การสรา้ งสรรคอ์ นาคต รองศาสตราจารย์ ดร.วชิ ัย วงษ์ใหญ่ ผชู้ ่วยศาสตราจารย์ ดร.มารตุ พัฒผล พมิ พ์คร้ังที่ 1 มกราคม 2561 จานวน 500 เลม่ ขอ้ มูลทางบรรณานุกรมของสานกั หอสมุดแห่งชาติ National Library of Thailand Cataloging in Publication Data รองศาสตราจารย์ ดร.วชิ ยั วงษใ์ หญ,่ ผชู้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.มารุต พฒั ผล. ขอบฟ้าใหมแ่ หง่ การเรยี นรสู้ ูก่ ารสรา้ งสรรคอ์ นาคต. – กรุงเทพฯ : จรัลสนิทวงศก์ ารพมิ พ,์ 2561. 290 หน้า. 1. การเรยี นร.ู้ I. ช่ือเร่อื ง ISBN 978-616-455-105-3 ราคา 350 บาท สงวนลขิ สทิ ธิเ์ นื้อหาและภาพประกอบ ตามพระราชบัญญตั ิลิขสทิ ธิ์ พมิ พท์ ่ี บริษัท จรัลสนิทวงศก์ ารพิมพ์ จากัด 233 ซอยเพชรเกษม 102/2 แขวงบางแคเหนอื เขตบางแค กรุงเทพมหานคร 10160 โทรศัพท์ 02-809-2281-3 แฟกซ์ 02-809-2284 www.fast-book.com e-mail: [email protected]
คานา หนังสือ “ขอบฟ้าใหม่แห่งการเรียนรู้สู่การสร้างสรรค์อนาคต” เล่มน้ีผู้เขียน ได้เขียน ขนึ้ จากการสังเคราะห์เอกสาร ตารา ผลงานวิจัย ประสบการณ์การทางานและประสบการณ์ในการทา วิจัยของผู้เขียน ต้ังแต่ปี พ.ศ. 2552 มาจนถึงปัจจุบัน มีวัตถุประสงค์เพ่ือให้ผู้สอนทั้งในระดับ การศึกษาขั้นพ้นื ฐานและระดบั อุดมศึกษา ได้ศกึ ษาเรยี นรูแ้ ละนาไปประยุกต์ใช้ในการจัดการเรยี นรู้ เพื่อพัฒนาผเู้ รียนไปส่สู ังคมอนาคตมคี ณุ ลักษณะเป็นนักสรา้ งสรรคแ์ ละนวัตกรรม ขอบฟ้าใหม่แห่งการเรียนรู้ หมายถึง แนวคิดใหม่ท่ีเราอาจจะยังไม่เคยคิด หรือการปฏิบัติใหม่ๆ ท่ีเรายังไม่เคยทา และเมอื่ เราได้คดิ ได้ทา เราจะเกดิ การเรียนรู้สิง่ ใหม่ท่ีเรา ยังไมเ่ คยเรยี นรู้ และนน่ั จะนาไปสู่การพัฒนาผเู้ รียนในยคุ ปัจจบุ ันให้มีศักยภาพในการสร้างสรรค์ นวตั กรรมตอ่ ไป ขอขอบคุณคณะครูทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการวิจัยของผู้เขียนและผู้สอนทุกท่านท่ีได้ นาหนังสือเล่มนี้ไปใช้จริงในพ้ืนที่และให้ข้อมูลย้อนกลับท่ีเป็นประโยชน์ในการปรับปรุงและพัฒนา หนงั สือให้มคี วามสมบูรณม์ ากขึน้ ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นประโยชน์กับครูอาจารย์และผู้ที่สนใจ ได้มากพอสมควร รองศาสตราจารย์ ดร.วิชัย วงษ์ใหญ่ ผูช้ ว่ ยศาสตราจารย์ ดร.มารตุ พัฒผล มกราคม 2561
คานิยม หนงั สือ “ขอบฟา้ ใหม่แห่งการเรยี นรูส้ ู่การสร้างสรรค์อนาคต” เล่มนี้ เป็นหนังสือ ท่ีผู้เขียนได้นาเสนอแนวคิดสาคัญเก่ียวกับการเรียนรู้หลายประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ เปล่ียนแปลงกระบวนการทางความคิด (Growth mindset) ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียนรู้ และเปลี่ยนแปลงจากส่ิงเดิมๆ ไปสู่ส่ิงใหม่ท่ีดีข้ึน สามารถเรียนรู้ท่ีไหน เวลาใดก็ได้ Any Where, Any Time, and Any How สาระสาคัญของหนังสือเล่มน้ีมีความน่าสนใจหลายประการ อาทิ กระบวนการเรียนรู้ (learningprocesses) ที่เป็นปัจจัยขับเคลื่อนทักษะการเรียนรู้ ของผู้เรยี น ตลอดจนแนวคิดเก่ียวกับ ทักษะการสร้างสรรค์และนวัตกรรม ท่ีนับว่าเป็นประเด็นสาคัญของการศึกษาทุกระดับของประเทศ ไทยและโลก ท่ีต้องการให้ผู้เรียนมีความสามารถในการสร้างสรรค์นวัตกรรมต่างๆ บนพื้นฐานของ เทคโนโลยีการศกึ ษาทางไกลผ่านดาวเทียมเปน็ ต้น ขา้ พเจ้าขอเสนอแนะครอู าจารย์ได้ศึกษาและทาความเข้าใจในสง่ิ ท่ีผู้เขียนได้นาเสนอไว้ และนาไปปรับประยุกต์ใช้ในการจัดการเรียนรตู้ ามบริบทของตนเองจะทาใหเ้ กิดประโยชน์ทั้งกบั ท่าน เองทีจ่ ะเหน็ ขอบฟา้ ใหมข่ องการเรียนรู้ และยงั สามารถพัฒนาผู้เรยี นไปสงั คมในอนาคตได้เป็นอยา่ งดี ดร.ศรสี มร พุม่ สะอาด อดตี ท่ปี รกึ ษาด้านกระบวนการเรยี นรู้ สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พืน้ ฐานกระทรวงศึกษาธกิ าร
สารบัญ บทท่ี หน้า 1 Transformative Learning สคู่ ณุ ภาพผู้เรยี นในสงั คมอนาคต 1 1 1.1 กระบวนทศั นก์ ารเรียนรู้ในโลกยุคใหม่ 4 1.2 การเรียนรู้ในสงั คมดจิ ิทลั 8 1.3 ทรานสฟ์ อรม์ การเรยี นรู้ (Transform learning) 11 1.4 Transform จากการเรยี นรู้แบบ Passive ไปสู่ Active 17 1.5 จุดเนน้ ที่จาเป็นต้อง Transform 31 1.6 Transform แบบพอเพียง 36 บรรณานกุ รม 2 กระบวนการเรยี นรู้ 37 2.1 แนวคดิ หลกั การของกระบวนการเรียนรู้ 37 2.2 ประเภทของกระบวนการเรียนรู้ 38 2.3 ความเชอ่ื มโยงระหวา่ งกระบวนการเรยี นรู้และกจิ กรรม การเรียนรู้ 49 2.4 กระบวนการเรียนรู้เอ้ือตอ่ Personalized Learning 65 2.5 แนวทางการใช้กระบวนการเรียนรู้ 66 บรรณานกุ รม 68 3 ทกั ษะการสรา้ งสรรคแ์ ละนวัตกรรม 69 3.1 ความหมายของทักษะการสรา้ งสรรคแ์ ละนวตั กรรม 69 3.2 พนื้ ฐานของทกั ษะการสรา้ งสรรค์และนวัตกรรม 70 3.3 การคดิ ท่นี าไปสูก่ ารสรา้ งสรรค์และนวตั กรรม 72 3.4 องคป์ ระกอบของทักษะการสรา้ งสรรคแ์ ละนวตั กรรม 73
สารบัญ บทท่ี หนา้ 3.5 การจัดการเรยี นรู้ท่เี สริมสรา้ งทักษะการสร้างสรรค์ และนวตั กรรม 75 3.6 การจัดการเรียนรทู้ ่ีเสรมิ สร้างทกั ษะการสรา้ งสรรค์ และนวัตกรรม 80 3.7 การคิดซับซ้อนปจั จยั ความสาเร็จของการสร้างสรรค์นวัตกรรม 84 3.8 การประเมินผลการเรียนรู้ทเี่ สริมสร้างทกั ษะการสรา้ งสรรค์ และนวัตกรรม 88 บรรณานกุ รม 93 4 การจัดการเรยี นรูโ้ ดยใชว้ ิจยั เปน็ ฐาน 95 (Research – based Learning) 4.1 แนวคิดการจดั การเรยี นรู้โดยใชว้ ิจัยเปน็ ฐาน 95 4.2 วธิ ีการจดั การเรียนรโู้ ดยใชว้ จิ ัยเป็นฐาน 96 4.3 บทบาทผสู้ อนในการจดั การเรียนรโู้ ดยใช้วจิ ยั เปน็ ฐาน 97 4.4 บทบาทการโค้ช (coaching) ในการเรยี นรโู้ ดยใชว้ จิ ยั เปน็ ฐาน 98 4.5 แนวทางการประเมนิ ผลการเรียนรู้ 99 4.6 กรณศี ึกษาการจดั การเรียนรู้โดยใช้วิจัยเปน็ ฐาน 101 4.7 บทปฏิบัตกิ ารการจดั การเรียนรู้โดยใชว้ ิจัยเป็นฐาน 111 บรรณานกุ รม 120
สารบัญ บทท่ี หนา้ 5 การพฒั นาคณุ ภาพผสู้ อนตามแนวทางชุมชนแห่งการเรยี นรู้ 123 ทางวิชาชพี (Professional Learning Community: PLC) 123 5.1 จาก Mindset สู่ Mind-shift เพ่ือพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษา 133 5.2 การพฒั นาและยกระดับคุณภาพการศึกษาโดยใช้ PLC 136 5.3 จุดเริม่ ตน้ และปจั จยั สนับสนนุ ของ PLC 143 5.4 ปฏิบัติการ PLC ด้วยวิธีการสร้างสรรคน์ วัตกรรม 5I 157 5.5 การถอดบทเรยี นสู่การบันทกึ Logbook 165 บรรณานุกรม 6 การโคช้ เพ่อื เสรมิ สรา้ งการเรียนร้ทู างไกลผา่ นดาวเทยี ม 169 6.1 แนวคิดหลักการเรยี นรู้ทางไกลผ่านดาวเทียม 169 6.2 ประโยชนข์ องการโค้ชการเรยี นรทู้ างไกล 170 6.3 แนวทางการโค้ชการเรยี นรทู้ างไกล 3 ชว่ งระยะเวลา 172 6.4 บทบาทผูส้ อนโรงเรียนปลายทาง 180 6.5 การพัฒนาคณุ ภาพการเรยี นรู้ทางไกลสอู่ นาคต 188 บรรณานุกรม 189 7 การพัฒนาหลักสตู รฝกึ อบรมระยะสัน้ แบบไม่ประสาทปริญญา 193 Short Course Non – Degree Development 193 7.1 แนวคดิ หลกั การและประโยชนข์ องหลกั สตู รฝึกอบรมระยะสนั้ แบบไม่ประสาทปริญญา
สารบญั หนา้ 194 บทท่ี 7.2 ลกั ษณะการจัดการเรียนรขู้ องหลกั สูตรฝกึ อบรมระยะสั้น 195 แบบไม่ประสาทปรญิ ญา 7.3 ข้ันตอนการพฒั นาหลักสูตรฝึกอบรมระยะสั้น 196 แบบไมป่ ระสาทปริญญาท่ีสามารถเทยี บโอนความรู้ 256 และประสบการณก์ บั หลักสตู รปกติ 257 7.4 ตัวอยา่ งการพฒั นาหลักสตู รฝึกอบรมระยะสนั้ 287 แบบไมป่ ระสาทปริญญาทสี่ ามารถเทยี บโอนความรู้ และประสบการณก์ บั หลักสตู รปกติ บรรณานุกรม ดรรชนคี าสาคัญ ประวตั ิผเู้ ขยี น
บัญชตี าราง ตาราง หนา้ 1 Mindset และ Growth Mindset ของการเรียนรู้ 3 2 แนวทางการปรับใช้หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพียงในการจัด การศกึ ษาและการจัดการเรียนรู้ 33 3 กรณศี ึกษาความแตกต่างระหว่าง Teaching / Instruction / Coaching ในการอา่ นเชิงวเิ คราะห์ 128 4 Mindset และ Growth mindset ของผู้สอน 129
บัญชีแผนภาพ แผนภาพ หนา้ 1 ความเช่ือมโยงของปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง 32 2 Creative pedagogy ทีส่ ง่ เสรมิ ทกั ษะการสรา้ งสรรค์ และนวตั กรรม 78 3 ลักษณะงานในโลกอนาคต 124 4 ลักษณะของการวิเคราะห์ฐานขอ้ มูลขนาดใหญ่เปน็ สารสนเทศ 126 5 การวิเคราะห์ Big Data ในการจัดการเรยี นรสู้ าหรบั ครูมืออาชีพ 127 6 3C ของครทู ี่ Transform 130 7 ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งชมุ ชนแห่งการเรียนรเู้ ชิงวิชาชพี คณุ ภาพผสู้ อนและคุณภาพผเู้ รียน 134 8 องคป์ ระกอบของชมุ ชนแหง่ การเรยี นรู้ทางวิชาชีพ 135 9 ปจั จัยสนบั สนุน PLC 138 10 ปจั จยั สง่ เสรมิ PLC 140 11 รูปแบบการดาเนนิ การของ PLC ตามรปู แบบ APP model 144
1ขอบฟา้ ใหม่แหง่ การเรยี นรสู้ กู่ ารสรา้ งสรรค์อนาคต บทที่ 1 Transformative Learning สคู่ ุณภาพผู้เรยี นในสังคมอนาคต 1.1 กระบวนทศั น์การเรียนรูใ้ นโลกยุคใหม่ โลกปัจจุบนั มีความเจริญกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยสี ารสนเทศและการส่ือสาร (Information Communication Technology: ICT) อย่างมาก มีความรู้และข่าวสารต่างๆ มากมายอยู่ในโลกออนไลน์ที่คนส่วนใหญ่สามารถเข้าถึงได้ โดยใช้เคร่ืองมือต่างๆ เช่น Smart Phone, Tablet, Computer เป็นต้น อีกทั้งปัจจุบันยังมี Application ต่างๆ มากมายท่ีตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้คนในสังคม ผู้ที่เข้าถึง อินเทอร์เน็ตได้จะสามารถเรียนรู้ส่ิงที่ตนเองอยากรู้ได้ตลอดเวลา โดยไม่มีข้อจากัดเรื่อง เวลาและสถานท่ี ความรู้ทเ่ี คยได้รบั การนาเสนอไว้ในหนังสอื ตารา และเอกสารต่างๆ ซึ่งวาง อยู่ในตหู้ นังสือในห้องสมุด ถูกแปลงมาเป็นไฟลด์ ิจิทัล (digital) หรือเอกสารออนไลน์ ในรูปแบบตา่ งๆ ซ่งึ มที ง้ั ทส่ี ามารถเข้าถงึ ได้โดยไม่มีคา่ ใชจ้ า่ ยและทตี่ ้องเสียคา่ ใชจ้ า่ ย นอกจากนี้ยังมีการเรียนรู้ตามหลักสูตรปกติของสถาบันการศึกษาต่างๆ ท้ังในและต่างประเทศที่อยู่ในรูปแบบของการเรียนรู้ออนไลน์ (online learning) หรือการเรียนรู้แบบ real time เรียกได้ว่าเป็นการเรียนรู้ที่ไร้พรมแดนอย่างแท้จริง โดยไมม่ ีขอ้ จากดั ใดๆ และสามารถเรยี นร้ไู ด้ทกุ เวลาและสถานท่ี
2 ขอบฟา้ ใหมแ่ ห่งการเรียนรสู้ กู่ ารสร้างสรรคอ์ นาคต นอกจากการเรียนรู้จะไร้พรพมแดนแล้ว การทางานย่ิงไร้พรหมแดน มากกว่าท่ีเราสามารถทางานร่วมกับเพื่อนร่วมงานซึ่งอยู่ในโลกออนไลน์ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ ออฟฟิส (Office) จะสามารถเคล่ือนตัวไปในที่ต่างๆ ได้ หากมีสัญญาณ internet ไม่ต้องน่ังประจาอยู่ที่โต๊ะ ไม่ต้องตอกบัตรลงเวลา ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง แตย่ ังคงสามารถสร้างผลผลติ (productivity) ของงานไดต้ ามมาตรฐานทกี่ าหนด จากการที่โลกของเรามีความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีดิจิทัลดังกล่าว ส่งผลกระทบทาให้เกิดการเปล่ียนแปลงในวิถีชีวิต วิถีการทางาน รวมถึงวิถีการเรียนรู้ (way of learning) ดว้ ยเช่นกนั โดยเฉพาะอยา่ งยิ่งผเู้ รยี นในยุคดิจิทลั ผู้เรียนในยุคดิจิทัล (digital age) มีศักยภาพในการใช้ Smart Phone และ Tablet เป็นเครื่องมือที่สาคัญสาหรับการเรียนรู้ส่ิงต่างๆ ตามความสนใจของ ตนเอง และนาสิ่งท่ีได้เรียนรู้มาใช้พัฒนาคุณภาพชีวิต ประสิทธิภาพของการทางาน การแก้ไขปัญหาต่างๆ ตลอดจนการสร้างสรรค์นวัตกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อตนเอง และสงั คม การเรียนรู้ของผู้เรียนยุคดิจิทัล มีความแตกต่างไปจากเดิม เนื่องจาก ความรู้ในทุกวันนี้ไม่ได้อยู่เฉพาะที่ผู้สอนแต่เพียงผู้เดียวอีกต่อไป ตรงกันข้าม ความรู้ มีอยู่ทุกที่และสามารถเข้าถึงได้ทุกเวลา ด้วยเหตุน้ีจึงมีคาถามที่น่าสนใจซ่ึงจะนาไปสู่ การเปลี่ยนแปลงกระบวนการทางความคิด (mindset shift หรือ mind shift) ท่มี ตี ่อการเรียนรู้ จากเดมิ ไปส่สู ่ิงใหม่ คาถามที่นาไปสู่ mind shift เชน่ - การเรียนรู้ในสังคมยคุ ปจั จุบันควรเป็นอยา่ งไร - การเรียนรตู้ ้องเกดิ ขน้ึ ทโ่ี รงเรียนเท่านน้ั หรือไม่ - ห้องเรยี นยคุ ใหม่ควรเป็นอย่างไร - ครยู ุคใหมจ่ ะโคช้ ผู้เรียนได้ดที สี่ ุดอย่างไร - ผ้เู รียนยงั จะต้องเรยี นรกู้ ับผู้สอนอีกหรือไม่ - เราจะใช้เทคโนโลยดี ิจิทัลเพ่อื การเรียนรูอ้ ยา่ งไร
3ขอบฟา้ ใหมแ่ ห่งการเรียนรู้ส่กู ารสร้างสรรค์อนาคต การตั้งคาถามและตอบ คาถามดังกล่าวจะช่วยท าให้ เราทุกคน ได้คิดใคร่ครวญ (reflection) ส่ิงที่เคยปฏิบัติกันมา และเปล่ียนแปลงไปสู่ส่ิงท่ีดีขึ้น โดยไม่ละทิ้งรากฐานทางสังคมและวฒั นธรรมทด่ี งี ามของเรา เม่ือเราต้ังและตอบคาถามได้ถูกต้องชัดเจนแล้ว สิ่งที่จะเกิดข้ึนตามมาคือ การเปล่ียนแปลงกระบวนการทางความคิด จากเดิมท่ีเราคิดแบบเดิมๆ ทาแบบเดิมๆ (Mindset) มาเป็นกระบวนการทางความคิดเพื่อการเติบโต (Growth mindset) ของการจดั การเรียนรู้ดงั ตอ่ ไปน้ี ตาราง 1 Mindset และ Growth Mindset ของการเรียนรู้ Mindset Growth mindset - จุดประสงคก์ ารเรียนรมู้ คี วาม - จุดประสงคก์ ารเรยี นรมู้ เี พยี งหนง่ึ เดียว หลากหลายตามระดับความสามารถ และไดร้ ับการกาหนดมาจากผสู้ อน ความตอ้ งการและความสนใจของผเู้ รยี น - อยตู่ รงไหนก็เรยี นรไู้ ด้ทกุ เวลา - การเรยี นรู้เกิดได้เฉพาะในห้องเรยี น - การเรยี นร้ตู ้องผ่านผสู้ อนเท่านั้น - เรยี นรูจ้ ากบคุ คลตา่ งๆ และสอื่ social media - ผู้สอนมอบหมายภาระงานใหผ้ เู้ รยี น - ผู้สอนหาความรู้มาถา่ ยทอดแกผ่ เู้ รียน - ผู้เรียนออกแบบภาระงานของตนเอง - ผู้สอนกากบั กระบวนการเรียนรู้ - เนน้ ผลลพั ธก์ ารเรยี นรู้ - ผเู้ รียนแสวงหาความรทู้ ีต่ นสนใจ - ใชว้ ธิ ีการสอบวิธีเดยี วกบั ผเู้ รยี นทั้งช้ันเรยี น - กาหนดช่วงเวลาเรียนแนน่ อน - ผเู้ รียนใชว้ ินยั ในการเรยี นรู้ - เนน้ กระบวนการเรยี นรู้ไปสู่ผลลพั ธ์ - ใชว้ ธิ กี ารสอดคล้องกบั ผ้เู รียนแตล่ ะคน - ผเู้ รียนเลือกช่วงเวลาเรยี นเอง
4 ขอบฟ้าใหม่แห่งการเรยี นรสู้ ู่การสร้างสรรคอ์ นาคต ตาราง 1.1 (ต่อ) Mindset Growth mindset - ผ้สู อนสง่ั ให้ผเู้ รียนทากิจกรรม - ผูส้ อนโคช้ ผเู้ รียน - ผู้รยี นเรยี นรตู้ ามแผนทีก่ าหนดตายตัว - ผู้เรียนเรยี นรู้ตามสภาพจริง - ผูส้ อนประเมนิ ตดั สินการเรียนรู้ - ผู้สอนประเมนิ เพื่อพัฒนาการเรยี นรู้ - ผ้สู อนกาหนดมาตรฐานการประเมินผเู้ รียน - ผเู้ รียนกาหนดมาตรฐานการประเมนิ ทมี่ ีเพียงมาตรฐานเดียว ของตนเองและยกระดบั สงู ข้นึ - วเิ คราะหจ์ ดุ บกพรอ่ งโดยผสู้ อน - ผเู้ รียนสะทอ้ นคิดเพอ่ื การเปล่ียนแปลง 1.2 การเรยี นรูใ้ นสงั คมยคุ ดจิ ิทัล แนวทางการเรียนรู้ในสังคมยุคดิจิทัลมุ่งเน้นให้การเรียนรู้เป็นไปเพ่ือ การพัฒนาคุณภาพชีวิตและสิ่งแวดล้อม โดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเป็นเคร่ืองมือสาคัญ ของการเรียนรู้ ผู้เรียนสร้างสรรค์นวัตกรรมท่ีเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ชุมชน สังคม ประเทศชาติ และโลก ซ่ึงเป็นการเรียนรู้ท่ีสร้างสรรค์ คือการเรียนรู้ที่ทาให้ส่ิงต่างๆ ดขี ึ้น จากการที่ความรู้ต่างๆ มีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ทาให้ ผู้สอนจาเป็นต้อง ให้ความสาคัญกับกระบวนการเรียนรู้มากข้ึน และลดการบรรยายถ่ายทอดความรู้ ให้น้อยลง เน้นให้ผู้เรียนใช้กระบวนการเรียนรู้อย่างหลากหลาย เช่น กระบวนการ สืบเสาะแสวงหาความรู้ กระบวนการแลกเปล่ียนเรียนรู้ กระบวนการคิดวิเคราะห์ กระบวนการคดิ สังเคราะห์ กระบวนการสรา้ งสรรคน์ วัตกรรม เปน็ ตน้
5ขอบฟ้าใหมแ่ หง่ การเรยี นรู้สกู่ ารสรา้ งสรรค์อนาคต ผู้สอนยุคใหม่ท่ีมีกระบวนการทางความคิดที่เน้นการเติบโต จะมองเห็น การเรียนรู้ของผู้เรียนท่ีมีพัฒนาการแตกต่างกัน ให้ความช่วยเหลือ ส่งเสริม สนับสนุน เสริมแรง และโค้ชให้ผู้เรียนแต่ละคนได้ใช้กระบวนการเรียนรู้ของผู้เรียนเอง ตามทผ่ี ู้เรียนถนดั และสนใจให้ได้มากท่ีสุดจนกระท่ังบรรลุจดุ มุ่งหมายของการเรียนรู้ ก า ร เปิ ด โ อ ก า ส ให้ ผู้ เรี ย น เข้ า ถึ ง แ ห ล่ ง ก า ร เรี ย น รู้ ท่ี อ ยู่ ใ น โล ก ดิ จิ ทั ล ผ่านเคร่ืองมือการส่ือสารเทคโนโลยีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเคร่ืองคอมพิวเตอร์ PC, Smart phone, Tablet ตลอดจนเคร่ืองมืออื่นๆ ให้ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ คากุญแจ (keywords) ท่ีใช้สาหรับการสืบค้นแสวงหาความรู้ วิเคราะห์ความถูกต้อง และเชื่อถือได้ของข้อมูลเหล่าน้ันอย่างมีวิจารณญาณ และดึงแก่นของความรู้ (key concepts) ออกมาใช้งานต่างๆ ได้อย่างสร้างสรรค์ เกิดนวัตกรรมตามความ สนใจของผ้เู รยี นและมปี ระโยชน์ตอ่ ชมุ ชนและสงั คม คือ หัวใจของการเรียนรใู้ นปจั จบุ ัน เม่ือพื้นที่ของการเรียนรู้ (learning space) เป็นของผู้เรียน สิง่ นี้จะเป็น ปัจจัยพ้ืนฐานให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจภายใน ตลอดจนแรงบันดาลใจ ในการเรียนรู้ มองว่าการเรียนรู้เป็นสิ่งที่มีคุณค่าสาหรับตนเอง ผู้เรียนจะใช้ วินัยในตนเอง (self - discipline) เป็นพลงั ขับเคลื่อนกระบวนการเรยี นรู้จนประสบความสาเร็จ ผู้เรียนเป็นผู้กาหนดเป้าหมายของการเรียนรู้ของตนเอง ออกแบบ กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีสอดคล้องกับแบบการเรียนรู้ หรือ learning style ของตนเอง กากับตนเองในการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้สอนทาหน้าที่เป็นโค้ชการเรียนรู้ (coaching for learning) ให้คาแนะนา ให้คาช้ีแนะ และประคับประคองผู้เรียน ให้ประสบความสาเร็จในการเรียนรู้เต็มตามศักยภาพท่ีเขามีและพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น อย่างตอ่ เนอ่ื ง
6 ขอบฟา้ ใหมแ่ หง่ การเรยี นรสู้ ู่การสรา้ งสรรคอ์ นาคต การเรียนรู้ใหม่จะเกิดข้ึนได้น้ัน ผู้สอนต้องเปล่ียนแปลงความคิดใหม่ ที่ไม่ใช่เจ้าของความรู้และกิจกรรมการเรียนรู้แต่เพียงผู้เดียวอีกต่อไป หากแต่ต้องมี จิตใจเปิดกว้าง ให้โอกาสและพื้นที่การเรียนรู้แก่ผู้เรียน ให้ผู้เรียนได้แสดงศักยภาพ การเรียนรู้อย่างเต็มกาลังความสามารถ เฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงที่เกิดข้ึนกับผู้เรียน อ ย่ า ง ต่ อ เน่ื อ ง โด ย ใช้ ก า ร ป ร ะ เมิ น ท่ี เส ริ ม พ ลั ง ต า ม ส ภ า พ จ ริ ง บ น พ้ื น ฐ า น ข อ ง จิตที่มีเมตตา เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้เรียน และเชื่อมั่นว่าผู้เรียนทุกคน สามารถเรียนรูแ้ ละพัฒนาไดโ้ ดยใช้วิธีการและระยะเวลาท่แี ตกต่างกนั ผู้สอนที่ไม่เก่งมักใช้การสร้างเง่ือนไขให้ผู้เรียนต้องปฏิบัติในสิ่งท่ีผู้สอน ต้องการ ผู้เรียนเกิดความคับข้องใจ การเรียนรู้ตามแผนการสอนท่ีกาหนดไว้ล่วงหน้า อย่างตายตัว ขาดความยืดหยุ่น ทาให้ผู้เรียนต้องฝืนปฏิบัติกิจกรรมทั้งที่ยังไม่มีความ พรอ้ ม หรือขาดแรงจูงใจ ตรงข้ามกับผู้สอนท่ีเก่งใช้การจูงใจภายใจ ให้ผู้เรียนปฏิบัติกิจกรรม การเรียนรู้ด้วยความเต็มใจ และใช้กระบวนการเรียนรู้ต่างๆ ด้วยความมุ่งมั่นพยายาม มีความสุขในการเรียนรู้ ซึ่งสิ่งเหล่าน้ีล้วนเป็นปัจจัยสาคัญของการเรียนรู้ในโลก ยุคเทคโนโลยีดิจทิ ัล ผู้สอนยุคดิจิทัลมีความทันสมัยและใช้เทคโนโลยีเพื่อสนับสนุนการ จัดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้อย่างหลากหลายตามบริบท สภาพแวดล้อม เรยี นรู้ดว้ ยตนเองอย่างต่อเน่ืองตลอดเวลา พัฒนาความรใู้ หม่ๆ เทคนิค วิธีการใหม่ๆ ที่ตอบสนองความต้องการของผู้เรียนที่เกิดในยุคต่าง Generation กัน แต่ดารงชวี ิตอยู่ในสังคม Net Generation เหมือนกนั นอกจากนี้ผู้สอนยังต้องมีทักษะการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลในการออกแบบ การเรียนรู้ (learning design) การพัฒนาส่ือและอุปกรณ์การเรียนรู้ตลอดจนการวัด และประเมินผลการเรียนรู้ และการสะท้อนผลการประเมินไปสู่การพัฒนาผู้เรียน
7ขอบฟา้ ใหม่แหง่ การเรยี นรูส้ กู่ ารสรา้ งสรรค์อนาคต ท่ีสามารถทาผ่านโลกดิจิทัลได้อย่างมีทักษะ ซ่ึงนับว่าเป็นทักษะข้ันพ้ืนฐานของผู้สอน ท่จี ะเช่ือมต่อโลกออนไลน์ระหว่างผู้สอนและผเู้ รยี นเข้าถงึ กนั ทักษะข้ันท่ีสูงข้ึนมาอีกข้ันหนึ่งของผู้สอน ในการเช่ือมต่อการเรียนรู้ของ ผู้เรียนในโลกออนไลน์ คือ ทักษะการแปลงข้อมูลจากข้อมูลท่ีเป็น Analog ไปเป็น ข้อมูลแบบ Digital หรือที่เรียกว่า Digitization ซ่ึงจะทาให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึง แหล่งข้อมูลต่างๆ ของผู้สอนได้ในโลกออนไลน์ เช่น เอกสารความรู้ หนังสือ ตารา ใบงาน แบบฝึกหัด เป็นต้น ไฟล์ข้อมูลดิจิทัล ท่ีผู้เรียนสามารถเข้าถึงได้จากระบบ ออนไลน์ ช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถเข้าถึงบทเรียนของผู้สอนได้ตลอดเวลาท่ีเขา ตอ้ งการ สามารถเรยี นรไู้ ดท้ กุ เวลาและสถานท่ีอยา่ งแทจ้ รงิ ทักษะ Digitization เป็นปัจจัยสนับสนุนการเปล่ียนแปลงช้ันเรียนให้มี ความทันสมัยมากขึ้น ช่วยลดปริมานการบรรยายถ่ายทอดความรู้จากผู้สอนไปยัง ผเู้ รียนเพราะผเู้ รียนศึกษาเนื้อหาสาระลว่ งหนา้ มาก่อนแลว้ ชน้ั เรียนจะเป็นการสัมมนา การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ การฝึกปฏิบัติการต่างๆ การทาโครงงานท่ีตอบสนองความ ตอ้ งการและความสนใจขอผู้เรียนอย่างมีความสรา้ งสรรค์ ผู้สอนทาหน้าท่ีโค้ช (coaching) ผู้เรียนแต่ละคนให้ประสบความสาเร็จ ห้องเรียนจะเปล่ียนจากห้องส่ีเหล่ียมท่ีใช้ฟังคาบรรยาย มาเป็น studio สร้างสรรค์ นวัตกรรมท่ีสะท้อนการบูรณาการความรู้ กระบวนการเรียนรู้ การคิดสร้างสรรค์ และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ โดยท่ีสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ จาเปน็ ทีจ่ ะตอ้ งอาศยั Growth Mindset หรอื Mind shift เป็นสาคัญ
8 ขอบฟ้าใหมแ่ หง่ การเรียนรูส้ ู่การสร้างสรรค์อนาคต 1.3 ทรานส์ฟอร์มการเรยี นรู้ (Transform learning) ทรานส์ฟอร์ม (transform) หมายถึง เปล่ียนรูปแบบเก่าเป็นแบบใหม่ ทาใหม่อย่างมีวิสัยทัศน์ “วิสัยทัศน์ท่ีปราศจากการกระทา มันก็เป็นแค่ความฝัน” และ “การกระทาท่ีปราศจากวิสัยทัศน์มันก็เป็นแค่ทาให้ผ่านๆ ไป” แต่แท้จริงแล้ว “วสิ ยั ทัศน์ตอ้ งมาพร้อมกบั การกระทาจึงจะเปล่ียนโลกได้” การ transform ไม่ใช่การเปล่ียนแปลงเล็กๆ น้อยๆ เพราะยังไม่มีกาลัง มากพอ การปฏิรูปก็ยังไม่ใช่เพราะยังคงมีความคิดแบบเดิมๆ การผลัดใบก็เบาไป เพราะอาจเปล่ียนแค่บุคคลแต่ระบบต่างๆ ก็ยังคงเหมือนเดิมอยู่ การยกเครื่องก็ยัง ไมต่ รงจุด เพราะการ transform นั้นหมายถึงการเปล่ยี นทกุ อยา่ ง หันมาทาใหม่หมด โดยเฉพาะการเปล่ียนความคิด จากความคดิ เดมิ ๆ ไปสูค่ วามคดิ ใหม่ บิลเกตต์ได้ทวีตข้อความถึงนักศึกษาท่ีสาเร็จการศึกษาใหม่หลายเร่ือง ซึ่งมีเร่ืองหน่ึงท่ีน่าสนใจ โดยเขาถามว่า สมมติตัวเองสามารถย้อนเวลากลับไปเป็น นักศึกษารุ่นใหม่ได้แล้ว มีสาขาวิชาอะไรบ้างท่ีอยากเรียน เป็นการใช้คาถาม ย้อนอดีต แบบสมมติ หมายถึง “วิสัยทัศน์ที่มองไปในอนาคต” คาตอบที่น่าสนใจ มี 3 สาขาวิชา ซ่ึงท้ัง 3 สาขาวิชานี้ บิลเกตต์เช่ือว่าจะสามารถเปล่ียนโลกได้ ซง่ึ 3 สาขาวิชาดังกลา่ ว คอื 1) ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) หรือ AI เหตุผลคือ สาขาวชิ าน้ี จะชว่ ยให้มนุษยส์ ร้างผลิตภัณฑ์ (productive) มากขึ้น และขยายขอบเขต ความคดิ สร้างสรรค์ 2) พลังงานสะอาด (Clean Power) เหตุผลคือสาขาวิชานี้สามารถ ช่วยแก้ปัญหาโลกร้อนได้ เช่น แบตเตอร่ีที่มีคุณภาพสูงแต่ราคาต่าลง กระเบื้อง มุงหลังคาโซลาเซลล์ เปน็ ตน้
9ขอบฟ้าใหมแ่ ห่งการเรยี นรสู้ ่กู ารสร้างสรรค์อนาคต 3) วิทยาศาสตร์ชีวภาพ (Bioscience) เหตุผลสาคัญคือสาขาวิชาน้ี ช่วยทาใหใ้ หม้ นษุ ย์ มีสขุ ภาพดขี ึน้ และมีชวี ติ ท่ียืนยาว ทรานส์ฟอร์มการเรียนรู้ (Transform Learning) เพ่ือไปสู่การเรียนรู้ ในอนาคต จะมีการทรานส์ฟอร์มจากหลักสูตรและการเรียนรู้ท่ีตายตัว ไปเป็น ไม่มีหลักสูตรการสอนเตรียมไว้ให้ผู้เรียน แต่ความคิดใหม่คือ จะต้องเปิดพื้นที่ ให้ผู้เรียนแสดงเจตต์จานงค์ในส่ิงที่เขาต้องการเรียนรู้ หลักสูตรและการเรียนรู้จะเป็น ลักษณะ Personalized curriculum and learning คือเป็นหลักสูตร และการ เรียนรู้ที่ตอบสนองความต้องการเรียนรู้ส่วนบุคคลมากขึ้น เพราะผู้เรียนจะเป็น ผ้กู าหนดอนาคตของตนเอง Internet of Things (IOT) ทุกส่ิงเชื่อมต่อกันผ่ารอินเทอร์เน็ต เกิดเป็น ข้อมูลออนไลน์ท่ีเป็น digital มากมายมหาศาล ที่เรียกว่า Big Data หรือฐานข้อมูล ขนาดใหญ่ ผ่านรปู แบบวธิ ีการนาเสนอข้อมูลในลักษณะตัวเลข ข้อความ รูปภาพ เสยี ง วิดีโอ จึงทาให้ social media เป็นเครื่องมือในการส่งผ่านคุณค่าไปสู่กลุ่มเป้าหมาย ผู้สอนและผู้เรียนจะต้องมีความสามารถในการประมวลผลข้อมูลเหล่าน้ันให้ได้ เพื่อให้ สะกัดองค์ความรู้ออกมาใช้งาน การ Transform Big Data น้ันข้อมูลอาจเป็นตัวเลข หรือไม่ใช่ตัวเลข เป็นข้อความ สถิติ ความรสู้ ึก สถานะของคน สถานการณ์ ภาพ เสียง วีดิโอ การนาข้อมูลมาวิเคราะห์พจิ ารณ์ (data mine) ในลักษณะ street data จะ เปล่ียนเป็น information และ knowledge จนถึง wisdom อย่างไม่ผิดพลาด และชาญฉลาด เม่ือทุกอย่างเชื่อมต่อกันอย่างต่อเน่ืองในลักษณะ real time ข้อมูลและ สารสนเทศ มีการปรับให้เข้ากับลักษณะพฤติกรรมของผู้ใช้ สาระที่นาเสนอเป็นข้อมูล สามารถตอบสนองความต้องการส่วนบุคคลของผู้เรียน (personalized learning) ซ่ึงเป็นคุณลักษณะสาคัญของขอบฟ้าใหม่การเรียนรู้ (new frontier of learning) คือ การเรียนรทู้ ีต่ อบสนองความต้องการส่วนบคุ คลในลักษณะ real time
10 ขอบฟ้าใหมแ่ หง่ การเรียนรูส้ ู่การสร้างสรรค์อนาคต คณุ ภาพการศึกษา เร่ิมต้นจากคณุ ภาพของการเรียนรู้ โดยผู้สอนหรือครู ซึ่งเป็นวิชาชีพสร้างคนให้กับสังคม หากผู้สอนไม่มีความสุข เป็นทุกข์เพราะสอน ด้วยความจาเจ ความเบ่ือหน่ายกับปัญหาการดารงชีวิต เป็นปัจจัยท่ีไม่สามารถ ส่งต่อความรู้ที่มีคุณภาพไปสู่ผู้เรียนได้ การเรียนรู้แบบทรานส์ฟอร์มผู้สอนต้องพัฒนา ความพร้อมด้านสมรรถนะ การคิด การเรียนรู้ จิตสานึกการใฝ่รู้ รวมท้ังการเป็นคนดี คนเก่ง รับผิดชอบต่อสังคม คือคุณลักษณะของ Active citizen หรือพลเมืองต่ืนรู้ ทาประโยชน์เพอ่ื ส่วนรวม Transform learning ช่วยทาให้เกิดส่ิงใหม่ ผู้สอนที่มีทัศนคติที่ดีต่อ วิชาชีพ เห็นคุณค่าของการจัดการเรียนรู้ คุณค่าของการพัฒนาผู้เรียน อยากสร้าง ผู้เรียนให้มีคุณภาพ ด้วยการโค้ช (coaching) ที่เป็นกลไกในการจัดการเรียนรู้ บนพ้นื ฐานความเชอื่ วา่ ทกุ คนเปน็ คนดแี ละสามารถเรียนรู้และพัฒนาได้ การโค้ชเป็นการปลุกพลังบวกให้ผู้เรียนแต่ละคนเห็นคุณค่าตัวเองและ เป็นพลังดีงามที่ขับเคล่ือนตนเองและสังคมที่เป็นสุขและย่ังยืน การโค้ชทาให้เห็น เปา้ หมายใหม่ เปน็ การเตรียมผ้เู รียนไปสู่อนาคตอยา่ งมสี ติ กลมกลืนกับสงั คมรอบตัว การเรียนรู้เริ่มจากคุณลักษณะของผู้เรียนแต่ละ Generation ไม่ว่าจะเป็น Generation Y, หรอื Generation Z ความต้องการ ความสนใจ รวมทัง้ วธิ ีการเรยี นรู้ learning style รูปแบบวิธีการคิด หรือ cognitive style ของแต่ละ Generation ไม่เหมือนกัน ผู้สอนต้องวิเคราะห์ความต้องการ ความสนใจ ตลอดจนข้อมูลเชิงลึก (insight) จนทาให้เข้าใจวิถีการใช้ชีวิต (life style) ของผู้เรียนแต่ละ Generation จะช่วยทาให้สามารถเลือกใช้เคร่ืองมือ Digital ที่ตรงใจผู้เรียน นาไปสู่การเรียนรู้ที่มี ความคงทนถาวร (Transform deep learning)
11ขอบฟ้าใหมแ่ ห่งการเรยี นรูส้ ู่การสร้างสรรค์อนาคต ในยุคท่ีข้อมูลขยายตัวเป็นเท่าทวีคูณอย่างรวดเร็วและท้าทายในลักษณะ Big Data การสร้างวัฒนธรรมการใช้ข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล (data mining) เพือ่ มองหาความจรงิ มองหาประโยชน์ ใช้การคดิ แบบโยนโิ สมนสิการวเิ คราะห์และใช้ วจิ ารณญาณต่อข้อมูลมากมายซับซ้อนมหาศาลเหล่าน้ัน เพื่อดาเนินการจัดการเรียนรู้ ในลักษณะการวิเคราะห์ Transform Deep mining ของผู้สอนสู่ Deep learning ในลกั ษณะ Push และ Pull การ Push คือการเลือกช่องทางสิ่งท่ีต้องการจะบอกและส่งต่อข้อความ และแนวคิดออกไป ส่วน Pull คือการดึงคนเข้ามาให้มีปฏิสัมพันธ์กัน จากในลักษณะ awareness ไปสู่ Interest, Desire และ Action การ Transform learning นั้นจะไม่มีหลักสูตรการเรียนรู้เตรียมไว้ ล่วงหน้า แต่จะเป็นลักษ ณ ะหลักสูตรการเรียนรู้ส่วนบุคคล Personalize Curriculum Learning (PCL) รูปแบบ Transform learning เป็นกระบวนการท่ีไม่ มรี ูปแบบที่แน่นอน ปรับเปล่ียนไปตามลักษณะความตอ้ งการ ความสนใจ ลักษณะของ ขอ้ มูลขนาดใหญ่ 1.4 Transform จากการเรยี นรู้แบบ Passive ไปสู่ Active Active Learning แปลว่าการเรียนรู้เชิงรุก หมายถึง กระบวนการเรยี นรู้ ท่ีผู้เรียนมีบทบาทในกิจกรรมการเรียนรู้อย่างมีชีวิตชีวาและต่ืนตัว มีความหมาย ตรงข้ามกับ Passive learning (ราชบัณฑิตยสถาน. 2555: 10) แนวคิดสาคัญของ Active Learning คือ ผู้เรียนได้เรียนรู้ ในเรือ่ งที่เขาสนใจ โดยใช้กระบวนการเรยี นรู้ ต่างๆ และนาไปสู่การเกิดความรู้ ความเข้าใจ ทักษะ สมรรถนะ และคุณลักษณะ อันพึงประสงค์
12 ขอบฟ้าใหมแ่ ห่งการเรียนรสู้ ู่การสรา้ งสรรคอ์ นาคต การเรียนรู้ตามแนว Active Learning มีเป้าหมาย 4 ประการ ซึ่งผู้สอน บรู ณาการ ไปกบั การลงมือปฏิบตั ิกจิ กรรมการเรียนรู้ของผู้เรยี นดังต่อไปน้ี 1. มวี ิธกี ารคิด มงุ่ เน้นไปท่ีการคิดข้ันสูง (higher – order thinking) ประเภทต่างๆ เช่น การคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดแก้ปญั หา การคิดสร้างสรรค์ เป็นต้น 2. มีวิธีการเรียนรู้ คือคุณลักษณะบุคคลแห่งการเรียนรู้ ใฝ่เรียนรู้ ชา่ งสงสยั สบื เสาะแสวงหาความรู้ การเรยี นรดู้ ้วยตนเองอย่างต่อเนอ่ื ง 3. มีการแลกเปลยี่ นเรียนรู้ มุ่งเน้นการเรยี นรูร้ ว่ มกับบคุ คลอ่ืน ทักษะทางสังคม การมปี ฏิสัมพันธก์ บั บคุ คลอื่น 4. มีคุณลักษณะ/สมรรถนะที่พึงประสงค์ มุ่งเน้นไปที่การพัฒนา คุณธรรมจริยธรรม ค่านิยมอันพึงประสงค์ ตลอดจนสมรรถนะต่างๆ ของผู้เรียน เช่น สมรรถนะดา้ นการส่ือสาร สมรรถนะดา้ นการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ การจัดการเรียนรู้ตามแนวคิด Active learning เพ่ือให้บรรลุเป้าหมาย ท้ัง 4 ประการดังกล่าว มุ่งให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ตามความสนใจอย่างกระตอื รอื รน้ ผู้สอนจาเป็นต้องวิเคราะห์และค้นหาความต้องการและความสนใจของ ผู้เรียนให้เจอ ก่อนที่จะออกแบบการจัดการเรียนรู้ เนื่องจากกิจกรรมการเรียนรู้ ท่ีตอบสนองความต้องการและความสนใจของผู้เรียนได้ดี ย่อมทาให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจ ภายใน (inner motivation) ในการเรยี นรู้ Active Learning มีหลักการสาคัญที่ผู้สอนควรนาไปใช้ในการออกแบบ กิจกรรมการเรยี นรดู้ ังตอ่ ไปนี้
13ขอบฟา้ ใหมแ่ ห่งการเรียนรูส้ ูก่ ารสร้างสรรค์อนาคต 1. ผู้เรียนลงมือปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์ คือ เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่น่าสนใจ ต่ืนเต้น ท้าทายความสามารถ และสอดคล้องกับ ความตอ้ งการของผเู้ รียน 2. ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกันในลักษณะทีมเรียนรู้ (Team Learning) คือ มีภารกิจท่ีจะต้องทาให้สาเร็จร่วมกัน มีการวางแผนและทางานร่วมกันอย่าง ต่อเนื่อง 3. ผู้เรียนเช่ือมโยงการปฏิบัติกับเนื้อหาสาระ สมรรถนะ ทักษะ และคุณลักษณะ คือ ทากิจกรรมไปด้วย เกิดการเรียนรู้ในเน้ือหาสาระ รวมทั้งพัฒนา สมรรถนะ ทักษะ และคณุ ลักษณะตา่ งๆ ไปพร้อมกัน 4. ผู้เรียนมีอิสระทางความคิด คือ ผู้เรียนมีเสรีภาพในการกาหนด เป้าหมาย และกิจกรรมการเรียนรู้ของตนเองและทีม ภายใต้การกากับดูแล ให้คาแนะนาจากผู้สอนท่เี ปดิ พน้ื ท่ีการเรียนรใู้ หก้ ับผู้เรียน 5. ผูเ้ รยี นรับผิดชอบตอ่ การเรียนรู้ คือ การใชค้ วามม่งุ มนั่ พยายาม ความมีวินยั ในตนเองเพอ่ื ปฏิบัติกจิ กรรมการเรียนรจู้ นประสบความสาเรจ็ 6. ผู้เรียนสะท้อนคิด คือ การคิดทบทวน ใคร่ครวญ ประสบการณ์ ที่ได้รับจากการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ แล้วสรุปองค์ความรู้หรือส่ิงที่ได้เรียนรู้ จดุ เดน่ และจดุ ที่ต้องพฒั นาตนเอง ถึงแม้จะ Active แต่ก็ยังจาเป็นต้องมี Concepts การเรียนรู้ตามแนว Active Learning นั้น นอกจากจะเน้นให้ผู้เรียนเป็นผูล้ งมือปฏิบัติกจิ กรรมการเรียนรู้ ต่างๆ แล้ว ยังไม่พอ แต่จะต้องมี องค์ความรู้ที่เกิดจากการปฏิบัติกิจกรรมเหล่านั้น ดว้ ย มฉิ ะนั้นจะเข้าทานองท่ีเรยี กว่า “มแี ต่กจิ กรรมแต่ไม่มสี าระ”
14 ขอบฟา้ ใหมแ่ หง่ การเรยี นรู้สูก่ ารสรา้ งสรรคอ์ นาคต ความคิดรวบยอด (Concept) หมายถึง ลักษณะร่วมที่สาคัญของส่ิง หน่ึงส่ิงใดขาดองค์ประกอบใดไม่ได้ สามารถนาไปสรุปอ้างอิงได้ (generalization) เชน่ ดอกไม้ประกอบด้วย กลีบดอก เกสร และก้านดอก เป็นตน้ ความคิดรวบยอดมี 10 ประเภท ผู้สอนจาเป็นต้องทราบว่าความคิดรวบ ยอดที่จะจัดการเรียนรู้นั้น เป็นความคิดรวบยอดประเภทใด เพื่อที่ผู้สอนจะออกแบบ กจิ กรรมการเรยี นรู้ไดส้ อดคล้องกบั ประเภทของความคดิ รวบยอด ดงั นี้ 1. ความคิดรวบยอดท่เี ป็นลักษณะรว่ ม (Conjunctive concept) - สง่ิ ทีม่ ีความแตกตา่ งกันแต่ก็มีลกั ษณะร่วมที่เหมอื นกนั 2. ความคิดรวบยอดทีเ่ ปน็ การแยกลกั ษณะ (Disjunctive concept) - การแยกแยะองค์ประกอบของวสั ดุ สงิ่ ของ ปรากฏการณ์ตา่ งๆ 3. ความคดิ รวบยอดที่เปน็ ส่ิงที่สัมพันธก์ นั (Relational concept) - พิจารณาคุณลักษณะ คุณค่าท่ีสัมพันธก์ นั กฎท่ีมคี วามสัมพนั ธ์กัน เมื่อเขา้ ใจ concept แล้วจะนาไปสู่การเช่ือมโยงกบั สง่ิ อ่ืน 4. ความคดิ รวบยอดทเ่ี ปน็ เหตุเป็นผลกนั (Logical concept) - สง่ิ ท่มี คี วามสมั พันธก์ ันแบบสาเหตุและผล (cause and effect) 5. ความคดิ รวบยอดทเี่ ปน็ ไปตามธรรมชาติ (Nature concept) - สตั ว์ สนุ ขั แมว ววั สิ่งแวดลอ้ ม ต้นไม้ อากาศ นา้ 6. ความคดิ รวบยอดท่ีเป็นรูปธรรม (Concrete concept) - ส่ิงท่ีสามารถจบั ต้องและสงั เกตได้ มลี ักษณะคงเสน้ คงวา 7. ความคดิ รวบยอดทก่ี าหนดคาจากดั ความ (Defined concept) - สามารถกาหนดคาจากัดความหรอื ความสัมพนั ธท์ เ่ี ปน็ นามธรรม ซง่ึ เป็นพืน้ ฐานไปสู่การสรา้ งกฎเกณฑ์
15ขอบฟา้ ใหม่แหง่ การเรียนรสู้ ู่การสรา้ งสรรคอ์ นาคต 8. ความคิดรวบยอดท่เี ปน็ ข้อมูล ความจริง (Substantive concept) - ตัวเลขสถติ ิ ขอ้ เท็จจรงิ เหตุการณท์ ่ีเกดิ ขึ้น 9. ความคดิ รวบยอดที่เป็นคุณคา่ (Value concept) - ความดี ความกตญั ญู ความซ่อื สตั ยส์ ุจริต ความเมตตากรุณา 10. ความคดิ รวบยอดที่เปน็ วธิ กี าร (Methodological concept) - การคิดคานวณ การทดลอง การสบื เสาะแสวงหาความรู้ การเรียนรู้แบบ Active Learning มีปัจจัยหลายประการท่ีสนับสนุนการ จดั กจิ กรรมการเรยี นรู้ใหม้ ปี ระสิทธภิ าพดังต่อไปน้ี 1. ความสุขในการเรียนรู้ คือ สภาวะทางจิตใจและอารมณ์ของ ผ้เู รียนในระหวา่ งทีป่ ฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีมีความผอ่ นคลาย ปลอดภัย สนกุ สนาน ไม่เครียดหรอื วิตกกังวล ผเู้ รียนที่เรียนรู้อย่างมีความสุข จะเรียนรู้ได้ดกี ว่าผ้เู รียนท่ีเรยี น ดว้ ยความทกุ ข์ 2. ความเป็นประชาธิปไตย คือ ความเท่าเทียมกันทางความคิด ระหว่างผู้เรียนและผู้สอน การเคารพกันในทางความคิด ไม่ด่วนตัดสินความคิดของกัน และกันซึ่งบรรยากาศการเรียนรู้ที่เป็นประชาธิปไตยจะช่วยกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดง ศักยภาพของตนเองออกมาอย่างเต็มท่ี 3. การแลกเปล่ียนเรียนรู้ คือ การเปิดพ้ืนที่ให้ผู้เรียนแลกเปลี่ยน ความรู้ ความคิด และความรู้สึกซึ่งกันและกัน ช่วยทาให้เกิดคุณลักษณะเคารพศักด์ิศรี ความเป็นมนุษย์ อีกท้ังยังเป็นกระบวนการท่ีนาไปสู่การมีความคิดใหม่ๆ ซึ่งเป็นต้น กาเนิดของนวัตกรรม อีกทั้งยังเป็นการพัฒนาทักษะทางสังคมให้กับผู้เรียน ท่ีปัจจุบันนี้ มักใช้เวลาอยู่กับ Smart Phone มากเกินไปจนละเลยการมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลท่ีอยู่ ตรงหน้า
16 ขอบฟา้ ใหม่แห่งการเรียนรูส้ ่กู ารสรา้ งสรรค์อนาคต 4. การตอบสนองแบบการเรียนรู้ (learning style) ของผู้เรียน คือการมีกิจกรรมการเรียนรู้มีความหลากหลาย แต่มีเป้าหมายเดียวกัน ตลอดจน มีความยืดหยุ่นตามความสนใจและความต้องการของผู้เรียน ผู้เรียนที่ได้ทากิจกรรม ก า ร เรี ย น รู้ ส อ ด ค ล้ อ งกั บ แ บ บ ก า ร เรี ย น รู้ ข อ งต น เอ ง จ ะ เรี ย น รู้ ได้ ดี ก ว่ า กิ จ ก ร ร ม ท่ีไม่สอดคล้องกับแบบการเรียนรู้ 5. การมีความเช่ือม่ันในตนเอง คือ ผู้เรียนมีความมั่นใจว่าตนเอง มีความสามารถ มีศักยภาพที่จะเรียนรู้และทากิจกรรมต่างๆ ได้ประสบความสาเร็จ เพราะความเชอื่ มน่ั ในตนเอง เป็นพืน้ ฐานท่ีสาคัญทสี่ ุดของการเรียนรู้สงิ่ ตา่ งๆ 6. การโคช้ ของผ้สู อน คอื การให้คาแนะนา คาช้แี นะ คาถามกระตุ้น การคิด ตลอดจนการเสริมแรงทางบวกให้กับผู้เรียนตลอดระยะเวลาของการเรียนรู้ ผู้สอนยุคใหม่ใช้การโค้ชแทนการถ่ายทอดความรโู้ ดยผู้เรยี นปราศจากแรงจูงใจภายใน “ถา้ ผสู้ อนใหผ้ ู้เรยี นทากิจกรรมตา่ งๆ มากมาย แต่ไมบ่ รู ณาการความคดิ รวบยอดเขา้ ไป กิจกรรมเหลา่ นนั้ จะไม่เกิดประโยชนต์ ่อผู้เรียน”
17ขอบฟ้าใหมแ่ หง่ การเรยี นร้สู กู่ ารสรา้ งสรรค์อนาคต 1.5 จุดเนน้ ทจ่ี าเป็นต้อง Transform การ Transform หรือการเปลีย่ นแปลงการเรียนรู้ เปน็ เงอ่ื นไขสาคัญของ การประสบความสาเรจ็ ของการเรยี นร้ใู นปัจจุบันและอนาคต เพราะถ้าไม่เปลี่ยนแปลง ทกุ อย่างจะเป็นเหมือนเดมิ คิดแบบเดิม ทาแบบเดิม ไม่ประสบความสาเร็จเหมอื นเดิม เพราะการท่ีไม่ Transform นี้เอง จึงทาใหก้ ารเรยี นร้ทู ี่ทาอยู่ในปัจจุบนั ไมส่ ามารถตอบ โจทย์ของผู้เรียนในปัจจุบันท่ีมีวิถีการใช้ชีวิต หรือ life style แตกต่างกัน มีอัตลักษณ์ เฉพาะตน มีวิธีการเรียนรู้แตกต่างกัน ชอบต่างกัน ถนัดต่างกัน ดังน้ันโจทย์ใหญ่ของ การเรียนรู้คือ “ทาอย่างไรให้ผู้เรียนได้ใช้ความแตกต่างเหล่านี้เป็นจุดแข็งท่ี สนบั สนุนให้พวกเขาเกดิ การเรยี นรู้ได้สงู สุด” จดุ เนน้ ทีค่ วร Transform มีดังตอ่ ไปน้ี 1) จาก Teaching เปน็ Coaching เปล่ียนจาก teaching เป็น coaching หมายถึง การเปล่ียนแปลง การเรียนรู้ใหม่ จากการถ่ายทอดความรู้ ไปสู่การช้ีแนะให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ด้วยตนเอง เนื่องปัจจุบันความรู้มีอยู่ในโลกออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นความรู้ทางวิชาการ ความรู้ทางวิชาชีพ ความรู้เชิงเทคนิควิธีการต่างๆ มากมายหลายประการ ซึ่งความรู้ เหล่านม้ี กี ารเปล่ยี นแปลงและลา้ สมยั เร็ว ด้วยเหตุนี้การถ่ายทอดความรู้จากผู้สอนไปสู่ผู้เรียนจึงมีข้อจากัด ในแง่ท่ีผู้สอนไม่สามารถถ่ายทอดความรู้ที่มีอยู่มากมายได้หมดภายในเวลาท่ีจากัด และมแี นวโน้มวา่ ความรู้ที่ถา่ ยทอดไปนนั้ จะเปน็ ความรทู้ ลี่ ้าสมัยในไม่อีกกว่ี ันข้างหน้า
18 ขอบฟ้าใหม่แห่งการเรียนรู้สูก่ ารสร้างสรรค์อนาคต ดังน้ันจึงจาเป็นต้องเปล่ียนจากการถ่ายทอดความรู้ มาเป็นการโค้ช ให้ผู้เรียนไปเรียนรู้ด้วยตนเองให้มากที่สุดและมีประสิทธิภาพสูงสุด เปรียบเสมือน การสอนวิธกี ารจับปลา แทนการหาปลาใหก้ นิ ท่ีดเู หมอื นง่ายๆ แตไ่ มย่ ัง่ ยืน การสอน หรือ teaching น้ันมีความหมายว่า การถ่ายทอดความรู้ จากผู้สอนไปยังผู้เรียน ส่วนการโค้ชหรือ coaching น้ันหมายความว่าการชี้แนะให้ ผู้เรียนใช้กระบวนการเรียนรู้ของตนเอง จนค้นพบองค์ความรู้ หรือช้ีแนะการฝึก ทกั ษะบางอย่างแก่ผเู้ รยี น จนผ้เู รยี นเกิดความชานาญ การสอนช่วยตอบสนองความรวดเร็วในการเรียนรู้ตามท่ีผู้สอน มีความรู้ เนื่องจากใช้วิธีการท่ีว่า “รู้อะไรก็บอกไป” เท่านั้น แต่การสอนไม่สามารถ ตอบสนองความต้องการพัฒนาให้ผู้เรียนเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ ความใฝ่เรียนรู้ ตลอดจนทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนใช้กระบวนการเรียนรู้แบบตั้งรับหรือ passive learning เปน็ ส่วนใหญ่ พยามยามจดจาความร้ใู ห้ได้มากทีส่ ดุ เพอ่ื ให้ตนเอง มคี วามรูเ้ หมือนกับทผ่ี สู้ อนรู้ หากวิเคราะห์ตามความหมายของ teaching แลว้ จะเห็น ว่า teaching อาจจะไม่ตอบสนองธรรมชาติของผู้เรียนในปัจจุบัน เพราะปัจจุบันนี้ ผู้เรียนแต่ละคนมคี วามสนใจในการเรยี นรแู้ ละวิธกี ารเรียนรูท้ ่แี ตกตา่ งกัน Coaching มุ่งเน้นการเปิดพื้นที่ของการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนทุกคน มีโอกาสได้เรียนรู้ในสิ่งท่ีตนเองสนใจ ด้วยวิธีการเรียนรู้ท่ีตนเองถนัด ตอบสนองความ แตกต่างระหว่างบุคคล โดยมีเป้าหมายของการเรียนรู้เดียวกัน หรือเรียกว่า หลายเส้นทางเป้าหมายเดียวกนั การโค้ชให้ความสาคัญกับการเรียนรู้ส่วนบุคคล (personalized learning) กล่าวคือ ผู้สอนชี้แนะและจูงใจผู้เรียนให้เกิดการเรียนรู้ในส่ิงที่ผู้เรียน ต้องการ สอดคล้องกับความถนัดและความสนใจของผู้เรียนแต่ละบุคคล ผู้เรียนได้ใช้ ศักยภาพทางการเรียนรู้ของตนเอง ตลอดจนใช้ความมุ่งมั่นพยายาม ความมีวินัย
19ขอบฟ้าใหม่แหง่ การเรยี นรู้สู่การสร้างสรรค์อนาคต ในตนเอง ตรวจสอบผลการเรียนรู้ของตนเอง และกาหนดเป้าหมายและทิศทาง การปรับปรุงและพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องซึ่งนับว่าเป็นแนวทางการพัฒนาผู้เรียน ท่มี ีความย่งั ยนื นอกจากน้ีแล้วการเปล่ียนแปลงไปสู่ coaching ยังสามารถช่วย เสริมสร้างทักษะการเรียนรู้ท่ีสาคัญและจาเป็นหลายประการ เช่น ทักษะการคิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะการคิดขั้นสูง (higher – order thinking skills) ทักษะ การสืบเสาะแสวงหาความรู้ ทักษะการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทักษะการประเมินและ ปรบั ปรงุ ตนเอง เป็นต้น อีกท้ังการโค้ชยังช่วยให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายของการเรียนรู้ ได้ดีขึ้น เพราะการโค้ชจะทาให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจภายในที่มากกว่าการรับความรู้ จากผู้สอนแต่เพียงฝ่ายเดียว จากการที่ได้ปฏิบัติกิจกรรมตรงตามความสนใจและความ ต้องการของตนเอง ซ่ึงถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการเรียนรู้ ผู้เรียนมีแรงบันดาลใจ ในการเรียนรู้ ใชค้ วามมุง่ มนั่ พยายาม และความคิดสร้างสรรคใ์ นการเรียนรู้ 2. จาก Passive เปน็ Active การเปล่ียนจาก passive เป็น active หมายความว่า เปลี่ยนแปลง จากการท่ีผู้สอนเป็นผู้กาหนดสาระและกิจกรรม มาเป็นการให้ผู้เรียนกาหนดสาระ และกิจกรรมการเรียนรู้ที่ตอบสนองจุดประสงค์การเรียนรู้ การเปล่ียนในส่วนนี้ จะทาให้การเรียนรู้มีชีวิตชีวา กระตือรือร้น หรือเรียกว่ามีความเป็น active ท่ีช่วย สนบั สนนุ ให้ผูเ้ รยี นเกิดการเรียนรไู้ ด้ดที ่ีสดุ
20 ขอบฟา้ ใหมแ่ หง่ การเรียนรูส้ ู่การสร้างสรรคอ์ นาคต เหตุผลท่ีต้องเปล่ียนจากการเรียนรู้ passive มาเป็น active เพราะการเรียนรู้แบบ passive ทาให้ผู้เรียนขาดแรงจูงใจ ขาดการเห็นคุณค่าของ กิจกรรมการเรียนรู้ท่ีกาลังปฏิบัติ สืบเน่ืองมาจากผู้เรียนขาดความรู้สึกเป็นเจ้าของ การเรียนรู้ (owner learning) ส่วนการเรียนรู้แบบกระตือรือร้น active learning มีลักษณะเป็น ก า ร เรี ย น รู้ ท่ี ผู้ เรี ย น มี ค ว า ม เป็ น เจ้ า ข อ ง ก า ร เ รี ย น รู้ ข อ ง ต น เอ ง เ ป็ น ก า ร เรี ย น รู้ ท่ีตอบสนองความต้องการความสนใจและความสามารถเฉพาะตน ด้วยเหตุนี้จึงทาให้ การเรียนรู้แบบ active มีความกระตือรือร้น ตื่นเต้น น่าติดตาม ผู้เรียนใส่ใจในการ ปฏิบตั กิ จิ กรรมการเรยี นรขู้ องตนเอง จนประสบความสาเร็จ การท่ีจะเปลี่ยนแปลงจาก passive เป็น active ได้นั้นจาเป็นอย่าง ย่ิงท่ีผู้สอนจะต้องปรับเปลี่ยนความคิดของตนเองท่ีมีต่อการเรียนรู้ในสังคมยุคใหม่ เสียก่อนว่า การเรียนรู้นั้นเป็นของผู้เรียนไม่ใช่ของผู้สอน การเรียนรู้เกิดข้ึนได้ โดยอาศัยปัจจัยความต้องการของผู้เรียนเป็นสาคัญ โดยไม่สามารถบังคับให้เกิดขน้ึ ได้ โดยใชอ้ านาจของผสู้ อน ในทางตรงกนั ข้าม การเรียนรู้เปน็ เรอ่ื งของธรรมชาติท่ีมนุษย์มคี วาม ต้องการอยากรู้อยากเห็น อยากได้คาตอบ โดยใช้กระบวนการเรียนรู้ตามความถนัด ตามความคิด ความเช่ือของตนเอง ว่าจะใช้วิธีการเรียนรู้แบบใดจึงจะทาให้ได้คาตอบ ในสิ่งท่ีอยากรู้น้ัน ด้วยเหตุน้ีผู้สอนจึงจาเป็นต้องกระตุ้นความอยากรู้ อยากเห็น อยากประสบความสาเร็จของผเู้ รียนใหไ้ ด้มากทส่ี ุด เพราะเม่ือผู้เรยี นมคี วามอยากรู้แล้ว เขาจะใชศ้ ักยภาพในการเรียนรู้ของเขาเองจนเต็มความสามารถ แท้จริงแล้วการเรียนรู้แบบ active learning ไม่ได้หมายความว่า ผู้เรียนจะต้องเคลื่อนท่ีไปมาหรือทากิจกรรมต่างๆ เท่านั้น หากผู้เรียนได้ใช้
21ขอบฟ้าใหม่แหง่ การเรยี นร้สู ่กู ารสร้างสรรค์อนาคต กระบวนการคิด เช่น การคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ การคิดอย่างเป็น ระบบ เพ่ือที่จะตอบคาถามของผู้สอน อย่างนี้ก็นับว่าเป็น active learning ที่ดีได้ เช่นกัน แต่หากผู้เรียนต้องทากิจกรรมต่างๆ มากมาย ภายใต้คาส่ังท่ีเข้มงวด ของผู้สอน โดยตอ้ งทากิจกรรมตามทผ่ี ู้สอนสั่งการ อยา่ งน้ีถือวา่ เป็น active แต่เพียง ร่างกาย แตส่ มองหรอื การคดิ ไม่ active เพราะผู้เรยี นยังไมไ่ ด้คิดเอง ไม่ได้ตดั สนิ ใจเอง ยังไมเ่ ปน็ active learning อยา่ งแท้จริง Active learning อย่างแท้จริงแล้วนั้น ผ้เู รียนจะมีบทบาทอย่างสูง ในการเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นการกาหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ การออกแบบกิจกรรม การเรียนรู้ท่ีตรงกับสิ่งท่ีผู้เรียนต้องการปฏิบัติ รวมถึงการวัดและประเมินผล การเรียนรู้ทผี่ ู้เรยี นคิดว่าเป็นการประเมนิ ท่มี ีความยุตธิ รรมกบั ตนเองสงู สดุ ด้วยเหตุน้ีจึงเห็นได้ว่าการเรียนรู้แบบ active learning ไม่ใช่การ ปฏิบัติกิจกรรมตามท่ีครูส่ัง แต่เป็นการปฏิบัติกิจกรรม ตามความต้องการของ ผเู้ รียนเพ่ือบรรลจุ ุดประสงคก์ ารเรยี นรู้ท่กี าหนด การเปล่ียนแปลงจาก passive มาเป็น active เป็นโจทย์ที่ท้าทาย ความคิดของผู้สอน ในการท่ีจะเปดิ พน้ื ทกี่ ารเรียนรู้ใหก้ บั ผเู้ รยี นได้มากเพยี งใด เม่ือผู้เรียนมีพื้นท่ีในการเรียนรู้ เขาจะแสดงศักยภาพต่างๆ ที่มีอยู่ และสร้างสรรค์ผลผลิตการเรียนรู้ (learning product) ท่ีสะท้อนถึงผลลัพธ์ของ การเรียนรู้ (learning outcomes) ตามจุดประสงค์การเรียนรู้ การเป็นผู้เรียนที่มี คุณภาพ มีกระบวนการคิด มีกระบวนการเรียนรู้ และมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ สอดคลอ้ งกบั ความต้องการของโลกในยุคปจั จุบัน
22 ขอบฟ้าใหมแ่ หง่ การเรียนรู้ส่กู ารสร้างสรรค์อนาคต 3. จาก Tell to Remember เปน็ Ask to Think เปล่ียนจากการบอกให้จา เป็นถามให้คิด การเปลี่ยนแปลงตรงน้ี เปน็ เรือ่ งท่สี าคัญมากเพราะการคดิ เปน็ อาวุธทางปญั ญาของมนษุ ย์ทุกคน หากการจัดการเรียนการสอนยังไม่สามารถพัฒ นาการคิด ใหก้ ับผู้เรียนได้ ก็ตอ้ งถือว่ายงั ไม่ประสบความสาเร็จตามจุดมุ่งหมายท่ีแท้จรงิ ของการ เรียนรู้ในโลกยคุ ปัจจบุ ัน การบอกให้จาเปรียบเสมือนการบรรจุข้อมูลลงในคอมพิวเตอร์ เท่าน้ันแต่ ยังขาดการนาข้อมูลมาวิเคราะห์สังเคราะห์ให้เป็นสาระสนเทศ หรือองค์ความรู้ท่ีเป็นประโยชน์ สามารถนาไปใช้งานได้จริง แต่การถามให้คิด เปรียบเสมือนการกระตุ้นผู้เรียนใหน้ าข้อมูลมาวิเคราะห์สังเคราะห์เชื่อมโยง จนเกิด เป็ น อ ง ค์ ค ว า ม รู้ ใ ห ม่ ท่ี ส อ ด ค ล้ อ งกั บ บ ริ บ ท แ ล ะ เป็ น อ ง ค์ ค ว า ม รู้ ที่ ส า ม า ร ถ น า ไป สรา้ งสรรค์นวัตกรรมตอ่ ไป การถามให้คิดเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนเป็นคนท่ีไม่นิ่งเฉยต่อข้อมูล มีจิตคิดวิเคราะห์ข้อมูล (data mind) ทาให้เป็นคนท่ีคิดเป็น มีวิธีคิดเป็นของตนเอง ซึ่งเป็นทักษะท่ีสาคัญในยุคข้อมูลข่าวสารสาระสนเทศที่มีอยู่มากมายในโลกออนไลน์ หากผเู้ รียนเป็นคนท่ีคิดเปน็ กจ็ ะทาให้สามารถเลือกรบั และใชข้ ้อมูลสารสนเทศเหล่านั้น ไปสร้างสรรคน์ วัตกรรมใหเ้ กดิ ประโยชนไ์ ด้ คาถามที่ช่วยกระตุ้นการคิด(power questions) หรือพลังคาถาม เป็นคาถามที่ถามให้ผู้เรียนใช้กระบวนการคิดข้ันสูง เช่น วิเคราะห์ คิดวิจารณญาณ คิดสร้างสรรค์ เป็นต้น และจากการคิดเหล่านี้จะนาไปสู่ความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้ง (deep understanding) ที่สามารถนาไปใชต้ ่อยอดส่งิ ใหมไ่ ด้
23ขอบฟ้าใหมแ่ ห่งการเรียนรู้สกู่ ารสร้างสรรคอ์ นาคต ผู้สอนควรปรับเปล่ียนบทบาทของตนเอง จากการเป็นผู้บอก ความรู้ให้ผู้เรียนจดจาหรือทาตาม มาเป็นผู้ถามให้ผู้เรียนคิดไปสู่ส่ิงที่ผู้สอนต้องการ ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ซึ่งจาเป็นจะต้องทาบ่อยๆ ทาซ้าๆ เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดความ ชานาญในการคิดและเป็นนิสัยติดตัวไปตลอดชีวิตว่าจะไม่เชื่อเสียก่อน ข้อมูลใดๆ โดยปราศจากการคดิ ใครค่ รวญ ตรวจสอบความถูกตอ้ งของขอ้ มูลเหล่านนั้ การถามให้คิดยังช่วยเสริมสร้างคุณลักษณะการไม่ด่วนสรุป (jump conclusion) เรื่องราวต่างๆ โดยที่ยังไม่มีข้อมูลอย่างเพียงพอ ช่วยทาให้แสวงหา ข้อมูล ข้อเท็จจริงเพ่ิมเติม ก่อนที่ลงสรปุ อย่างถกู ต้องและสมเหตุสมผล ซ่ึงการไม่ด่วน สรปุ น้นี ับวา่ เปน็ ทกั ษะทสี่ าคัญในโลกท่ีเต็มไปดว้ ยข้อมูลเชน่ กัน กล่าวโดยสรุปคือ การเรยี นรู้ยุคใหม่ต้องเปลย่ี นจากการบอกความรู้ ให้ผูเรียนจดจา มาเป็นการตั้งคาถามให้ผู้เรียนคิดให้มากขึ้นเพื่อให้มีทักษะการคิด สาหรบั การดารงชีวิตในอนาคต 4. จาก Answering เปน็ Questioning การตอบคาถาม (answering) มีขอ้ ดีคอื ช่วยทาใหผ้ เู้ รียนเข้าใจและ ได้คาตอบในสิ่งท่ีผู้เรียนต้องการรู้ แต่การตอบคาถามแบบตรงไปตรงมา มีจุดอ่อน ประการหนึ่งและเป็นประการท่ีสาคัญ คือ เป็นการสร้างเง่ือนไขการเรียนรู้ (conditions of learning) ให้กบั ผ้เู รียนว่า “ถ้าอยากรู้เรอ่ื งอะไรใหไ้ ปถามผู้สอน” ซ่ึงในชีวิตจริงน้ันผู้สอนไม่สามารถตอบคาถามทุกคาถามที่ผู้เรียนอยากรู้ได้ ยิ่งถ้า ส่ิงท่ีผู้เรียนอยากรู้นั้น ไม่ได้อยู่ในความสนใจของผู้สอน จะมีโอกาสสูงมากท่ีผู้เรียน จะไมไ่ ด้คาตอบกลับไปและไม่มวี ิธกี ารทีจ่ ะหาคาตอบทตี่ นเองอยากรู้
24 ขอบฟ้าใหมแ่ หง่ การเรยี นร้สู ่กู ารสรา้ งสรรคอ์ นาคต ทาอย่างไรให้ผู้เรียนสามารถสร้างคาตอบให้กับตนเองได้ สิ่งน้ี เปน็ เรอ่ื งสาคัญท่จี ะต้องพัฒนาให้ผู้เรยี นมคี วามสามารถสืบค้น ประเมนิ ความน่าเช่ือถือ ของความรู้ที่สืบค้น ทดลอง คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และนาไปสู่การสรุปคาตอบ ได้ด้วยตนเอง เปรียบเสมือนนักวิทยาศาสตร์ท่ีศึกษาค้นคว้า สังเกต ทดลอง ลงสรุป และตรวจสอบผลสรุปได้ด้วยกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ แนวทางหนึ่งที่ช่วยพัฒนาทักษะของผู้เรียนในเร่ืองน้ี คือ แทนที่จะ ตอบคาถาม แต่เปลี่ยนเป็นการตั้งคาถามกลับคืนไปยังผู้เรียน และเป็นคาถาม ที่กระตุ้นให้ผู้เรียนใช้ทักษะกระบวนการเรียนรู้ต่างๆ หรืออาจเป็นคาถามสะท้อนคิด reflective questioning หรือถามกระตนุ้ ใหค้ ิด ตัวอย่างคาถาม เช่น “เธอจะมีวิธีการสืบค้นเร่ืองนี้อย่างไร” “เธอจะตรวจสอบความถูกต้องของข้อสรุปของเธออย่างไร” “เธอจะมีวิธีการ ทดลองในประเด็นนี้อย่างไร” เป็นต้น คาถามสามารถตั้งได้อย่างหลากหลาย ข้ึนอยู่กับสถานการณ์การเรียนรู้ท่ีอยตู่ รงหนา้ ณ ขณะนัน้ เมื่อเปลี่ยนจากการตอบคาถาม มาเป็นการต้ังคาถาม ส่ิงที่จะ เกิดขึ้นตามมาคือ กระบวนการคิดและทักษะการเรียนรู้ของผู้เรียนท่ีจะได้รับ การพัฒนาจากการท่ีได้รับการกระตุ้นด้วยคาถามจากผู้สอน โดยการนาคาถามของ ผสู้ อนไปคดิ และปรบั เปลี่ยนพฤติกรรมการเรียนรูข้ องตนเองต่อไป การตั้งคาถามแทนการตอบคาถาม หากพิจารณาโดยผิวเผินแล้ว อาจจะดูเหมือนว่าผู้สอนไม่มีความรู้ หรือไม่ม่ันใจที่จะตอบคาถาม แต่หากวิเคราะห์ ให้ลึกลงไปแล้วจะพบว่า การต้ังคาถามกลับคืนนั้น เป็นกลวิธีของผู้สอนที่จะพัฒนา ผู้เรยี นใหเ้ ป็นคนท่ีคดิ เปน็ และจะสามารถพึ่งพาตนเองได้ในระยะยาว
25ขอบฟ้าใหม่แหง่ การเรยี นรู้สกู่ ารสรา้ งสรรคอ์ นาคต 5. จาก Follow เป็น Create การเปลี่ยนแปลงจาก Follow เป็น Create คือ การเปลี่ยนแปลง การเรียนรู้จากการให้ผู้เรียนทาตามแบบผู้สอน ไปเป็นการให้ผู้เรียนออกแบบ และสรา้ งสรรค์ผลผลติ การเรยี นรหู้ รือนวัตกรรมทตี่ นเองสนใจ การทาตามแบบโดยปราศจากความคิด ไม่สามารถนาไปสู่ส่ิงใหม่ ที่เป็นนวัตกรรมได้ ในขณะที่โลกปัจจุบันมีความต้องการนวัตกรรม การเปิดโอกาส ให้ผู้เรียนได้คิดและสร้างสรรค์ (create) นวัตกรรมที่ผู้เรยี นสนใจ เช่ือมโยงกับสาระ ความรู้ทเี่ กีย่ วข้อง จะเป็นรากฐานนาไปสูก่ ารเปน็ นักสรา้ งสรรค์นวตั กรรม การเรียนรู้ต้องเปลี่ยนจากการให้ผู้เรียนทาตามท่ีผู้สอนทาตัวอย่าง ให้ศึกษา ไปเป็นการกระตุ้นให้ผู้เรียนสร้างสรรค์ผลงานเป็นของตนเองให้มากข้ึน ซ่ึงผลงานดังกล่าวอาจจะยังไม่สมบูรณ์แบบในระดับมืออาชีพ แต่ไม่ใช่ประเด็นสาคัญ เทา่ กับการทผี่ ู้เรียนได้ใช้ความคิดสรา้ งสรรคแ์ ละจินตนาการของตนเอง การสรา้ งสรรค์ผลงานการเรียนรูข้ องผู้เรียนน้ัน อาจจะมีตัวอย่างจาก ผู้สอนให้ศึกษาได้ โดยที่ตัวอย่างน้ันทาหน้าท่ีเป็นตัวกระตุ้นหรือเป็นสิ่งเร้า จุดประกายทางความคิดให้กับผู้เรียน ประเด็นสาคัญคือ ผู้สอนต้องกระตุ้นให้ผู้เรียน คิดต่อยอดออกไปจากตัวอย่างท่ีไดร้ บั นับว่าเป็นนวัตกรรมไดเ้ ชน่ กัน การเปลย่ี นแปลงจาก Follow เป็น Create น้ี ในทางปฏิบัติอาจจะ ไมเ่ หน็ ผลกับผู้เรยี นได้อย่างทันที ผู้เรียนอาจจะคิดไม่ออก สร้างสรรคไ์ ดไ้ มม่ าก ผู้สอน ต้องพยายามกระตุ้นและพัฒนาทักษะการสร้างสรรค์ของผู้เรียนต่อไป ให้กาลังใจ เสริมพลังความเชื่อม่ันในตนเอง ให้ข้อเสนอแนะท่ีมีประโยชน์ต่อไปอย่างต่อเนื่อง และเมอ่ื ผ้เู รียนมคี วามพร้อม พลงั สร้างสรรค์จะเปล่งประกายออกมา
26 ขอบฟ้าใหม่แห่งการเรียนรู้สกู่ ารสรา้ งสรรค์อนาคต 6. จาก Order เปน็ Empower การเปล่ียนจาก Order เป็น Empower คือ การเปลี่ยนบทบาท ผู้สอน จากการเป็นผู้ส่ังให้ผู้เรียนทากิจกรรมการเรียนรู้ มาเป็นผู้เสริมพลัง การเรยี นรู้ ให้ผูเ้ รียนใชศ้ กั ยภาพในการเรยี นร้ขู องตนเองอย่างเต็มที่ การเสริมพลังมีความแตกต่างจากการส่ังการอย่างมหาศาล การสั่ง การเป็นต้นเหตุทาให้ผู้เรียนเกิดความคับข้องใจ วิตกกังวล ไม่มั่นใจ ขาดแรงจูงใจ ส่วนการเสริมพลังเป็นการสร้างแรงจูงใจภายในตัวผู้เรียน แล้วแปลงมาเป็น ความมีวินัยในการเรียนรู้ ทาให้เกิดความสบายใจ มั่นใจ ปลอดโปร่ง ไม่วิตกกังวล มคี วามสขุ การเสริมพลังการเรียนรู้เป็นการให้อานาจการตัดสินใจแก่ผู้เรียน ในการปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้เรียนมีสิทธใิ นการเลือกที่จะทากิจกรรมการเรียนรู้ ทเี่ ขาสนใจและตอ้ งการอย่างสอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้ ก า ร เส ริ ม พ ลั ง ก า ร เรี ย น รู้ ยั ง ส า ม า ร ถ ช่ ว ย ท า ใ ห้ ผู้ เรี ย น มี วิ นั ย ในตนเอง (self - discipline) กาหนดเป้าหมายการเรียนรู้ของตนเอง กากับตนเอง และควบคุมตนเองได้ เพราะการเสริมพลังน้ันต้ังอยู่บนพ้ืนฐานของความไว้วางใจ (trust) ท่ใี หเ้ กยี รตผิ ู้เรยี นว่าผ้เู รียนสามารถเรียนรูแ้ ละเปลย่ี นแปลงตนเองได้ ผู้ เรี ย น ที่ ไ ด้ รั บ ก า ร เ ส ริ ม พ ลั ง จ ะ ยิ่ ง มี พ ลั ง ท่ี จ ะ เ รี ย น รู้ สิ่ ง ต่ า ง ๆ ตลอดจนปรับปรุงและพัฒนาตนเองให้มีความรู้ ความสามารถ ทักษะ และ คุณลักษณะอันพึงประสงค์อย่างต่อเน่ือง ซ่ึงการเสริมพลังนี้เป็นแนวทางใหม่ในการ พัฒนาผู้เรียนให้เรียนรู้และพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา เป็นหัวใจสาคัญของ เปา้ หมายการเรยี นรู้ทง้ั ปวง
27ขอบฟา้ ใหมแ่ ห่งการเรยี นรู้สู่การสรา้ งสรรค์อนาคต 7. จาก Comment เปน็ Reflective การสะท้อนคิด หรือ reflective มีพลังเปลี่ยนแปลงวิธีคิด (way of thinking) การคอมเม้น (comment) เป็นเพียงการช้ีจุดบกพร่องและบอกวิธีการ ปรับปรุง ไม่มีใครที่จะเปล่ียนแปลงใครได้ ยกเว้นเขาจะเปล่ียนแปลงตัวเอง การเปล่ียนแปลงพฤตกิ รรมของผูเ้ รียนก็เป็นเช่นเดยี วกนั พลังการเรียนรู้ของผู้เรียนเกิดจากการสะท้อนคิดมากกว่าการรับ คอมเม้นจากผู้สอน เพราะการสะท้อนคิดช่วยทาให้เข้าใจความคิดของตนเอง เข้าใจ เหตุผลการตัดสินใจ เหตุผลของการกระทาหรือไม่กระทาส่ิงใดๆ และความเข้าใจนั้น จะนาไปสู่การเปลี่ยนวิธีคิด (transformative of thinking) ในท่สี ุดและเม่ือเปลี่ยน วธิ คี ดิ แลว้ พฤติกรรมจะเปลีย่ นตาม การ คอม เม้น ช่ ว ย ให้ ผู้ เรี ย น ท ราบ จุ ด อ่ อน แล ะมี แน ว ทางป รับ ป รุ ง แต่อาจจะปรับปรุงไปโดยท่ีขาดความเข้าใจที่ชัดเจน ไมเ่ ข้าใจเหตุผล จึงทาให้ยังไม่เกิด การเปล่ียนแปลงจากด้านใน (transformative learning) ท่ีมีความยั่งยืน ดังนั้น การคอมเม้น จึงยังมีพลังไม่เพียงพอท่ีจะเปลี่ยนแปลงผู้เรียนได้ ผู้เรียนเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมเพียงชั่วคราว ด้วยเพราะไม่เข้าใจวิธีคิดของผู้สอน แต่การสะท้อนคิด จะมีพลังมากกว่า ผู้เรียนคิดหาเหตุผล ใคร่ครวญ ทบทวน จนเข้าใจเหตุผลที่ต้อง เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตนเอง และตัดสินใจเปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง เพราะเห็น คณุ คา่ ของการเปล่ียนแปลง ก า ร ส ะ ท้ อ น คิ ด เป็ น วิ ธี ก า ร เรี ย น รู้ ให ม่ ท่ี ผู้ ส อ น ส าม าร ถ ใช้ เป็ น เครื่องมือเปลี่ยนแปลงวิธีคิดและพฤติกรรมของผู้เรียน จุดเน้นอยู่ท่ีการเปลี่ยนวิธีคิด โดยผู้เรียนเป็นคนที่คิดและเปล่ียนแปลงตนเอง ช่วยลดความขัดแย้งระหว่างผู้สอน และผเู้ รียนทเี่ กดิ จากการสื่อสารท่ผี ดิ พลาดเพราะเจตนาดีแตว่ ธิ ีการสอื่ สารไม่ดี
28 ขอบฟ้าใหมแ่ ห่งการเรียนรู้สกู่ ารสรา้ งสรรคอ์ นาคต 8. จาก Judgment เป็น Improvement เปลี่ยนจากการ judgment ไปเป็นการ improvement หมายถึง เปลี่ยนแปลงแนวทางการวัดและประเมินผลการเรียนรู้จากเดิมที่มุ่งเน้นการตัดสิน คุณภาพของผเู้ รยี นมาเป็นการประเมนิ เพื่อปรบั ปรงุ และพัฒนาผ้เู รยี น การประเมินเพ่ือปรับปรุงและพัฒนาการประเมินแนวใหม่ที่มุ่ง ประเมินเพ่ือทราบว่าผู้เรียนมีพัฒนาการการเรียนรู้และผลการเรียนรู้เป็นอย่างไร และนาผลการประเมินนั้นมากาหนดแนวทางและวิธีการในการพัฒนาผู้เรียนให้มี คุณภาพมากยงิ่ ขึ้น ก า รป ระ เมิ น แ น ว นี้ เป็ น ก าร ป ร ะ เมิ น ที่ มี ป ร ะ โ ย ช น์ ต่ อ ท้ั งผู้ เรี ย น และผู้สอนในการท่ีจะปรับปรุงเปลี่ยนแปลง การจัดการเรียนการสอน ให้มีคุณภาพ มากขึ้น เพราะการประเมินแนวนี้ได้บูรณาการเข้ากับกิจกรรมการเรียนรู้ท่ีผู้สอน ทาการประเมนิ ผู้เรียนตลอดเวลาในขณะท่ีผู้เรยี นทากิจกรรมการเรยี นรู้ ด้ ว ย เห ตุ นี้ จึ ง ท า ให้ ผู้ ส อ น มี ข้ อ มู ล ส า ร ส น เท ศ ท า งก า ร เรี ย น รู้ ของผู้เรียนรายบุคคลซ่ึงนับว่าเป็นสารสนเทศท่ีสาคัญมากเพราะผู้เรียนแต่ละคน มีความต้องการในการเรียนรู้และสภาพปัญหาทางการเรียนรู้ที่แตกต่างกัน เม่ือผู้สอน สามารถดูแลช่วยเหลือทางด้านวิชาการให้แก่ผู้เรียนได้ในระดับรายบุคคล ผู้เรียน ยอ่ มได้รบั ประโยชนจ์ ากการประเมินอย่างตรงจุด การประเมินเพ่ือการพัฒนา (assessment for improvement) มีลักษณะเป็นการประเมินที่ให้ความปลอดภัยทางจิตวิทยาแก่ผู้เรียน ไม่ทาให้ เกิดความวติ กกงั วล หรือภาวะบบี คั้น ว่าจะตอ้ งทาคะแนนหรอื ผลการประเมนิ ให้ดีท่สี ุด ในทางกลับกัน ผู้เรียนมีความอยากรู้ว่าผลการประเมินในแต่ละคร้ังจะมีจุดใด
29ขอบฟ้าใหมแ่ หง่ การเรียนรสู้ ู่การสร้างสรรคอ์ นาคต ท่ีควรปรับปรุงและพัฒนาให้ดีขึ้น ผู้เรียนนาไปปรับปรุงแก้ไข แล้วขอรับการประเมิน ใหม่อีกคร้ัง จนกว่าผู้เรียนจะพึงพอใจในผลการประเมิน จึงทาให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจ ที่จะปรบั ปรงุ และพัฒนาตนเองอยูต่ ลอดเวลา 9. จาก Standard เปน็ Authentic Assessment เปล่ียนจาก standard เป็น authentic หมายถึง การเปลย่ี นแปลง จากการประเมินท่ีใช้ข้อสอบมาตรฐาน และสอบวัดผลสัมฤทธิ์ภายหลังจากท่ีเสร็จสิ้น การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ แล้วนาผลการทดสอบมาใช้ตัดสินผลการเรียน มาเป็น การประเมินตามสภาพจริงและเสริมพลังการเรียนรู้ให้กับผู้เรียนอย่างต่อเน่ือง โดยเช่ือมโยงกจิ กรรมการเรยี นรู้กับการประเมนิ เขา้ ด้วยกนั การประเมินที่เสริมพลังตามสภาพจริง เป็นการประเมินท่ีเกาะติด อยู่กับเน้ือหาสาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ วิธีการเรยี นรู้ และผลงานของผู้เรียน เป็นการบูรณาการการจัดการเรียนรู้กับการประเมินเข้าด้วยกันอย่างลงตัว มองเห็น จุดแข็งและจุดท่ีต้องปรับปรุงตนเองได้อย่างชัดเจน นาไปสู่การกาหนดเป้าหมาย และวิธกี ารเรยี นรู้ทไี่ ดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพมากขนึ้ การประเมินทเ่ี สรมิ พลงั ตามสภาพจริง มีหลกั การ 4 ข้อ ดังนี้ 1. ใช้ ผู้ ป ระเมิ น ห ล ายฝ่ าย เช่น ผู้ สอน ป ระเมิ น ผู้เรียน เพอ่ื นประเมนิ ผู้เรียน ชมุ ชนประเมินผู้เรยี น ผู้เรียนประเมินตนเอง เปน็ ตน้ 2. ใชว้ ธิ ีการและเครอื่ งมอื ประเมินท่ีหลากหลาย เชน่ การสังเกต พฤตกิ รรมการเรยี นรู้ การตรวจสอบผลงาน การซกั ถามพูดคยุ เปน็ ต้น 3. ประเมินหลายช่วงเวลาของการเรียนรู้ ได้แก่ การประเมิน ก่อนเรียน การประเมินระหว่างเรียน และการประเมินหลังเรียน โดยที่การประเมิน
30 ขอบฟ้าใหมแ่ ห่งการเรยี นรู้สกู่ ารสร้างสรรค์อนาคต แต่ละครงั้ จะนาผลการประเมินมาวางแผนการจัดการเรยี นรู้และแผนการพัฒนาผู้เรียน รายบุคคล 4. สะท้อนผลการประเมินเพื่อการพัฒนาผู้เรียน โดยการแจ้ง ผลการประเมินแบบไมเ่ ปน็ ทางการ ช้แี นะแนวทางและวิธีการพัฒนาตนเองแก่ผู้เรียน ก า ร ป ร ะเมิ น ต า ม ส ภ า พ จ ริ ง ให้ คุ ณ ค่ า ต่ อ ก า ร เรี ย น รู้ ข อ งผู้ เรี ย น ได้มากกว่าการใช้แบบทดสอบที่เป็นมาตรฐานสูง แต่ทดสอบภายหลังท่ีผู้เรียนเรียนรู้ สงิ่ ตา่ งๆ ไปแล้ว และไม่ไดน้ าผลการทดสอบมาพฒั นาผู้เรียนที่ผา่ นการทาทดสอบน้ัน แท้จริงแล้วการประเมินในโลกของการเรียนรู้ยุคใหม่จาเป็นต้องมุ่งเน้นการประเมิน ตามสภาพจรงิ เพือ่ ประโยชน์สูงสุดของผ้เู รยี น 10. จาก Feedback เป็น Creative Feedback จาก feedback เป็น creative feedback เป็นการเปล่ียนแปลง แนวทางการให้ข้อมูลย้อนกลับไปยังผู้เรียน โดยเปลี่ยนจากการให้ข้อมูลย้อนกลับ แบบท่ัวๆ ไป คือบอกจดุ อ่อนของผู้เรียน แบบตรงไปตรงมา ขาดการเสริมแรง ขาดการ ชี้ประเด็นที่ผู้เรียนจะต้องพัฒนา มาเป็นการให้ข้อมูลย้อนกลับในเชิงสร้างสรรค์ โดยการให้ผู้เรียนสะท้อนคิด (reflect) หาจุดแข็งของตนเอง หรือจุดดีของผลงาน และจุดอ่อนทต่ี ้องปรบั ปรงุ และพฒั นาตนเองต่อไป การให้ข้อมูลย้อนกลับด้วยการสะท้อนคิด เป็นวิธีการท่ีมีพลัง มากกว่าการบอกจุดอ่อนของผู้เรียนให้รู้เท่านั้น เพราะการสะท้อนคิด ช่วยทาให้ ผู้เรียนตรวจสอบทบทวนตนเองอยู่ตลอดเวลา ซ่ึงเป็นวิธีการเรียนรู้และพัฒนา ตนเองท่ีสาคญั ในปจั จุบัน
31ขอบฟ้าใหมแ่ หง่ การเรยี นร้สู ู่การสร้างสรรค์อนาคต นอกจากนี้แล้วสิ่งสาคัญ คือ การให้ข้อมูลย้อนกลับวิธีการ ที่สอดคล้องกับธรรมชาติ และลักษณะนิสัยของผู้เรียน รวมทั้งแบบการเรียนรู้ด้วย ถา้ หากวิธีการให้ข้อมูลย้อนกลับไม่สอดคล้องกับธรรมชาติของผู้เรียนแล้ว ผู้เรียนจะไม่ สามารถรับรู้และเข้าใจประเด็นที่ผู้สอนกาลังให้ข้อมูลย้อนกลับ ทาให้การให้ข้อมูล ย้อนกลบั ของผสู้ อนไม่มีประโยชน์ต่อผู้เรยี นอย่างเตม็ ท่ี ผู้สอนควรใช้วิธีการให้ข้อมูลย้อนกลับที่หลากหลายสอดคล้องกับ สถานการณ์ เช่น การให้ข้อมูลย้อนกลับโดยการเขียน การให้ข้อมูลย้อนกลับโดยการ พูดคุย การให้ข้อมูลย้อนกลับโดยการใช้ภาษาท่าทาง ให้กาลังใจและเสริมแรง ผู้เรียน เป็นต้น ซึ่งการให้ข้อมูลย้อนกลับสร้างสรรค์เชิงสร้างสรรค์เป็นองค์ประกอบ สาคัญของการจัดการเรียนรู้ท่ีมีประสิทธิผล ซึ่งผู้สอนควรนามาใช้ให้เหมาะสมกับ ผู้เรยี นในยุคปจั จุบนั 1.6 Transform แบบพอเพียง การเปลี่ยนแปลงหรือ Transform ใดๆ มีหลักการสาคัญประการหนึ่ง คือ ต้องเปล่ียนแปลงอย่างพอเหมาะพอควร ไม่เร็วเกินไปจนตั้งตัวไม่ทัน และไม่ช้า เกินไปจนสายเกินเวลา ความพอเหมาะพอควรน้ี คือพอดีกับบริบทท่ีอยู่รอบตัว “พอเพียง” ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ของพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช บรมนารถบพิตร ในหลวงรัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์ จักรี ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีองค์ประกอบท่ีสาคัญอยู่ 3 ประการ คือ ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และมีภูมิคุ้มกันท่ีดีในตัว พร้อมด้วย 2 เง่ือนไข ได้แก่ เง่ือนไขความรู้ และเงื่อนไขคุณธรรม ซึ่งเป็นรากฐานท่ีเข้มแข็งนาไปสู่การ พัฒนาคุณลักษณะความพอเพียง และผลลัพธ์ คือ สมดุล พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง อยา่ งยง่ั ยนื
32 ขอบฟ้าใหม่แหง่ การเรยี นรูส้ ูก่ ารสร้างสรรคอ์ นาคต ปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง แผนภาพ 1 ความเชอื่ มโยงของปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสามารถนาไปปรับใช้ได้ในบริบทต่างๆ ทง้ั เรอื่ งสว่ นตัว ครอบครวั การทางาน ชมุ ชน ประเทศชาติ และโลก สาหรบั การนาหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในบรบิ ทของ การจดั การศึกษาและการเรียนรู้ ท่ีสอดคลอ้ งกับหลักความพอประมาณ ความมีเหตุผล การมีภูมิคุ้มกันที่ดีในตัว และเงื่อนไขความรู้ ตลอดจนเงื่อนไขคุณธรรม ที่จะนาไปสู่ การประสบความสาเร็จนั้น มแี นวทางการปรบั ใช้ดังนี้
ตาราง 2 แนวทางการปรบั ใช้หลกั ปรัชญาของเศรษฐกจิ พอเพยี งในก หลักปรัชญาของ สาระสาคัญ เศรษฐกจิ พอเพียง ความพอประมาณ - ความพอดีตอ่ ความจาเปน็ - เหมาะสมกบั สังคมสิ่งแวดล้อม ความมีเหตผุ ล - เหมาะสมกบั สงั คม วฒั นธรรม ในแต่ละทอ้ งถ่นิ ภูมิค้มุ กันท่ีดีในตวั - ตัดสนิ ใจบนหลกั วชิ าการ กฎหมาย ศีลธรรม จรยิ ธรรม วฒั นธรรม - วิเคราะหป์ ัจจยั ที่เกี่ยวขอ้ ง - คานึงถงึ ผลทีจ่ ะเกดิ ข้ึนภายหลัง - เตรยี มพรอ้ มรับผลกระทบ - ปรบั ตวั และรบั มือกบั ความเปลยี่ นแปลง
33ขอบฟา้ ใหมแ่ หง่ การเรียนรสู้ กู่ ารสร้างสรรค์อนาคต 33ขอบฟ้าใหม่แห่งการเรยี นรู้ส่กู ารสรา้ งสรรคอ์ นาคต การจดั การศึกษาและการจดั การเรยี นรู้ แนวทางการปรับใช้ - สอดคลอ้ งกบั ศักยภาพและธรรมชาตขิ องกล่มุ เปา้ หมาย รวมทง้ั บริบทสังคมและวฒั นธรรม - ใชอ้ งคค์ วามรู้ทางวชิ าการ และผลการวิจัยต่างๆ ในการตดั สนิ ใจทกุ ข้นั ตอนของการพฒั นาหลกั สตู ร และการจดั การเรียนรู้ - พัฒนาหลักสตู รโดยมแี ผนการดาเนนิ การทีเ่ ปน็ ระบบ ได้แก่ ระบบการรา่ งหลักสตู รและการจดั การเรียนรู้ ระบบการบรหิ ารหลักสตู รและการจัดการเรยี นรู้ ระบบการประเมินหลักสตู รและการจัดการเรยี นรู้
34 ขอบฟา้ ใหมแ่ หง่ การเรยี นรู้สกู่ ารสรา้ งสรรคอ์ นาคต ตาราง 2 (ต่อ) หลกั ปรชั ญาของ สาระสาคัญ เศรษฐกิจพอเพียง เง่ือนไขความรู้ - รอบรู้ รอบคอบ และระมดั ระวงั ในการนาความรู้ทางวชิ าการมาใช้ เงื่อนไขคุณธรรม - ใช้คณุ ธรรมจรยิ ธรรม เปน็ เครอ่ื งมอื กากบั ความคิดและพฤติกรรม ผลทีเ่ กดิ ขน้ึ จากการ ใช้ปรชั ญาของ - ชวี ติ เศรษฐกจิ สังคม เศรษฐกิจพอเพยี ง สิ่งแวดลอ้ ม วัฒนธรรม ก้าวหนา้ สมดลุ มั่งคัง่ ยัง่ ยืน
แนวทางการปรบั ใช้ 34 ขอบฟ้าใหม่แห่งการเรยี นร้สู ู่การสร้างสรรค์อนาคต - การพัฒนาหลักสตู รต้องใชค้ วามรู้ตา่ งๆ ท่เี กย่ี วข้อง มคี วามรอบคอบ และระมดั ระวังในการนาความรมู้ าใช้ในการพัฒนาหลกั สตู ร และการจัดการเรยี นรู้ - ใชค้ ณุ ธรรมจรยิ ธรรมเปน็ มาตรฐานการดาเนนิ การพัฒนาหลกั สตู ร และการจดั การเรยี นรู้ทุกข้นั ตอน - หลักสูตรและการจัดการเรียนรทู้ ่มี ีคณุ ภาพสอดคล้องกับกลุม่ เปา้ หมาย และบริบทภมู สิ งั คม (ชีวติ เศรษฐกิจ สังคม ส่งิ แวดลอ้ ม วฒั นธรรม) เกิดการพฒั นาอยา่ งสมดุลและยัง่ ยนื
35ขอบฟา้ ใหมแ่ ห่งการเรยี นรู้สกู่ ารสรา้ งสรรค์อนาคต จากการวิเคราะห์ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงสู่หลักการพัฒนาหลักสูตร ดังกล่าวจะเห็นว่า หลักการพัฒนาหลักสูตรบนพื้นฐานปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มดี ังนี้ 1. สอดคล้องกับความต้องการและธรรมชาติของกลุ่มเป้าหมาย รวมท้ังบริบททางสงั คมและวัฒนธรรม 2. ใช้องค์ความรู้ทางวิชาการและผลการวิจัยต่างๆ ในการ ตัดสนิ ใจทกุ ขนั้ ตอนของการพัฒนาหลักสตู ร 3. มีแผนการดาเนินการท่เี ป็นระบบ ได้แก่ ระบบการร่างหลกั สูตร และการจัดการเรยี นรู้ ระบบการบริหารหลักสูตรและการจัดการเรยี นรู้ และระบบการ ประเมนิ หลักสูตรและการจัดการเรยี นรู้ 4. มีความรอบคอบและระมัดระวังในการนาความรู้มาใช้ในการ พฒั นาหลกั สตู รและการจัดการเรยี นรู้ 5. ใช้คุณธรรมจริยธรรมเป็นมาตรฐานการดาเนินการพัฒนา หลกั สตู รและการจดั การเรยี นรู้ทุกขั้นตอน
36 ขอบฟา้ ใหมแ่ ห่งการเรยี นรูส้ กู่ ารสรา้ งสรรค์อนาคต บรรณานกุ รม วิชัย วงษ์ใหญ่ และมารุต พัฒผล. (2556). จากหลักสูตรแกนกลางสู่หลักสูตรสถานศึกษา: กระบวนทัศนใ์ หม่การพัฒนา. (พิมพ์ครั้งท่ี 6). กรุงเทพฯ: จรัลสนทิ วงศก์ ารพมิ พ์. วิชัย วงษ์ใหญ่ และมารุต พัฒผล. (2558). การโค้ชเพื่อการรู้คิด. (พิมพ์คร้ังท่ี 5). กรุงเทพฯ: จรลั สนทิ วงศก์ ารพมิ พ.์ Bray, Barbara., and McClaskey, Kathleen. (2017). How to Personalize Learning: A Practical Guide for Getting Started and Going Deeper. California: Corwin. Costa, Arthur L. and Garmston, Robert J. (2002). Cognitive Coaching A Foundation for Renaissance Schools. 2nded. Massachusetts: Christopher – Gordon Publishers, Inc. Kallick,Bena., and Zmuda, Allison. (2017). Students at the Center: Personalized Learning with Habits of Mind. Alexandria, VA: Association of Supervision and Curriculum Development. Marzano, Robert J. and Simms, Julia. (2012). Coaching Classroom Instruction: The Classroom Strategies Series. Bloomington: Marzano Research Laboratory. Rickabaugh, James. (2016). Tapping the Power of Personalized Learning: A Roadmap for School Leaders. Alexandria, VA: Association of Supervision and Curriculum Development. Sheninger, Eric C. (2017). Learning Transformed: 8 Keys to Designing Tomorrow’s Schools, Today. Alexandria, VA: Association of Supervision and Curriculum Development.
37 บทที่ 2 กระบวนการเรียนรู้ Learning Processes 2.1 แนวคดิ หลักการของกระบวนการเรยี นรู้ กระบวนการเรียนรู้ (learning process) หมายถึง ข้ันตอนการ ปฏิบัติกิจกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน โดยบูรณาการกับสาระสาคัญ (main concept) ทักษะและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เกิดการเรียนรู้ตามผลการเรียนรู้ (learning outcomes) ท่ีได้กาหนดไว้ เช่น กระบวนการแก้ปัญหาท่ีนาไปสู่ผลลัพธ์ การเรียนรู้เก่ียวกับความสามารถในการแก้ปัญหา กระบวนการสร้างสรรค์นวัตกรรม นาไปสผู่ ลลัพธ์การเรียนรดู้ ้านความสามารถในการสรา้ งสรรค์นวัตกรรม เปน็ ตน้ ก ร ะ บ ว น ก า ร เรี ย น รู้ มี ค ว า ม ส า คั ญ ต่ อ ทั ก ษ ะ ก า ร เรี ย น รู้ ต ล อ ด ชี วิ ต ของผู้เรียน กระบวนการเรียนรู้เป็นหนทางนาไปสู่ผลลัพธ์การเรียนรู้ ผู้เรียน ทีม่ ีกระบวนการเรียนรู้จะสามารถเรียนรู้สง่ิ ต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ไม่วา่ ผู้เรียนต้องการ เรียนรู้สิง่ ใด ผู้เรยี นจะมวี ิธกี ารเรียนรู้ของตนเองนาไปสคู่ าตอบทต่ี ้องการ ความรู้นั้นล้าสมัยได้ แต่กระบวนการเรียนรู้ไม่เคยล้าสมัย เช่น กระบวนการสังเกต มนุษย์เคยสังเกตดวงดาวในระบบสุริยะจักวาล แล้วสรุปว่า ดาวพลูโตเป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในระบบ ต่อมามนุษย์มีเครื่องมือการสังเกต ที่ทันสมัยมากขึ้น สังเกตดาวพลูโตซ้าแล้วซ้าอีก จนค้นพบว่าดาลพลูโตมีลักษะเฉพาะ
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261
- 262
- 263
- 264
- 265
- 266
- 267
- 268
- 269
- 270
- 271
- 272
- 273
- 274
- 275
- 276
- 277
- 278
- 279
- 280
- 281
- 282
- 283
- 284
- 285
- 286
- 287
- 288
- 289
- 290
- 291
- 292
- 293
- 294
- 295
- 296
- 297
- 298
- 299
- 300
- 301
- 302
- 303
- 304
- 305
- 306
- 307
- 308
- 309
- 310