คูม่ อื การพฒั นาหลกั สูตร สาหรับครู กศน. สว่ นวจิ ัยและพัฒนา สถาบนั กศน.ภาคเหนอื สานกั งานส่งเสริมการศกึ ษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั สานกั งานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงศึกษาธิการ
คู่มือการพฒั นาหลกั สตู ร สาหรับครู กศน. เอกสารวิชาการลาดบั ที่ 01/2560 พิมพค์ รัง้ ท่ี 1 ปีที่พิมพ์ พ.ศ. 2560 จานวนพิมพ์ 360 เลม่ จดั ทาต้นฉบับและเผยแพร่ ส่วนวจิ ัยและพัฒนา สถาบนั พฒั นาการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั ภาคเหนือ ถนนจามเทวี ตาบลบ่อแฮ้ว อาเภอเมืองลาปาง จังหวดั ลาปาง 52100 โทรศพั ท์ 0-5422-4862 โทรสาร 0-5422-1127 พมิ พท์ ่ี : บอยการพมิ พ์ 80 หมู่ 2 ตาบลสบปราบ อาเภอสบปราบ จงั หวดั ลาปาง 52170 โทร. 08-1026-1140, 08-3209-7302, 0-5429-6289 E-mail : [email protected]
คำนำ หลักสูตรเปรียบเสมือนพิมพ์เขียวท่ีใช้ในการจัดการศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนบรรลุ จุดมุ่งหมายตามแผนการศึกษาแห่งชาติท่ีต้องการพัฒนาบุคคลต่าง ๆ ให้เป็นคนที่มีความรู้ ความสามารถและพัฒนาการในทุก ๆ ด้าน และยังสามารถกาหนดแนวทางในการประกอบอาชีพ ตามความสามารถ ความถนัดและความสนใจของกลุ่มเป้าหมาย หลักสูตรมีความสาคัญเป็น อย่างมากในกระบวนการจัดการเรียนการสอน เพราะหลักสูตรจะบอกให้ทราบว่าผู้เรียนบรรลุ จุดมุ่งหมายอย่างไร และจะต้องจัดเน้ือหาสาระอย่างไร ใช้เคร่ืองมือวัดผลประเมินผล อย่างไร ดังนั้นหลักสตู รจึงเป็นหัวใจของการจัดการเรียนการสอน และเป็นตัวกาหนดแนวทาง ในการจัดการศึกษาเพ่ือนาไปสู่ความเป้าหมาย ตามแผนการศึกษาแห่งชาติ และเป็นไปตามที่ กลุม่ เป้าหมาย ชุมชนและสงั คมตอ้ งการ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ ได้จัดทาคู่มือการพัฒนาหลักสูตร สาหรับครูกศน. เล่มน้ีขึ้น เพื่อเป็นประโยชน์ต่อครู กศน. ได้ใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรของสถานศึกษา ท่ีสอดคล้องกับสภาพบริบทของพ้ืนที่ และความต้องการของกลุ่มเป้าหมายและชุมชน ทั้งหลักสูตรรายวิชาเลือก ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน พุทธศักราช 2551 และหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง คู่มือการพัฒนาหลักสูตรฯ เล่มน้ี ประกอบด้วยเนื้อหาท่ีจาเป็นในการพัฒนาหลักสูตรพร้อมยกตัวอย่าง เพ่ือให้ครูได้มองเห็น ภาพรวมของการจัดทาและพัฒนาหลักสูตร ได้แก่ ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตร การรวบรวมขอ้ มลู และวเิ คราะห์ข้อมลู พื้นฐาน การรา่ งหลักสูตร และการตรวจคุณภาพหลกั สูตร ก่อนนาไปใช้ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ ขอขอบคุณผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการให้ ข้อคิดเห็นและร่วมจัดทาคู่มือการพัฒนาหลักสูตร สาหรับครู กศน. เล่มน้ี ซึ่งครู กศน.สามารถ นาไปปรับใช้ให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพการดาเนินงาน กศน. สภาพของบริบทพื้นท่ีและ นโยบายของสถานศึกษาต่อไป (นายจาเรญิ มูลฟอง) ผูอ้ านวยการสถาบนั กศน.ภาคเหนือ กุมภาพันธ์ 2560 ก
ข
สำรบญั หนำ้ คำนำ ก สำรบญั ค คำชแ้ี จงกำรใช้คมู่ อื จ ตอนที่ 1 ควำมรูพ้ นื้ ฐำนเก่ยี วกบั กำรพัฒนำหลกั สูตร 1 1 ควำมหมำยของหลกั สตู ร 4 สว่ นประกอบของหลักสตู ร 4 กระบวนกำรพฒั นำหลกั สูตร กำรเปรียบเทยี บกระบวนกำรพฒั นำหลกั สูตร 7 กับวงจรคณุ ภำพของเดมมงิ่ (Deming Cycle – PDCA) 9 กำรจดั ทำหลกั สูตรรำยวชิ ำเลือก 14 23 หลักสตู รกำรศึกษำนอกระบบระดับกำรศกึ ษำขั้นพืน้ ฐำน 23 พทุ ธศกั รำช 2551 36 กำรจัดทำและกำรพัฒนำหลกั สตู รกำรศกึ ษำตอ่ เนอ่ื ง 62 ตอนท่ี 2 กำรรวบรวมและวิเครำะหข์ อ้ มลู พื้นฐำน ขอ้ มลู พ้ืนฐำนในกำรพัฒนำหลักสูตร กำรเก็บรวบรวมขอ้ มูล กำรวิเครำะหข์ อ้ มลู ค
สำรบัญ (ตอ่ ) หนำ้ ตอนท่ี 3 กำรร่ำงหลกั สตู ร 83 กำรกำหนดหลักกำรและจดุ ม่งุ หมำยของหลักสตู ร 84 กำรเลอื กและจดั เนือ้ หำประสบกำรณใ์ นหลักสูตร 86 กำรกำหนดแนวทำงกำรประเมนิ ผลสมั ฤทธิท์ ำงกำรเรยี น และแนวทำงกำรประเมินหลกั สตู ร 123 กำรเขยี นหลักสตู ร 136 159 ตอนที่ 4 กำรตรวจคณุ ภำพหลกั สตู รก่อนนำไปใช้ กำรตรวจคณุ ภำพหลักสตู ร 159 โดยผูเ้ ชย่ี วชำญหรือคณะกรรมกำร 167 กำรปรบั ปรุง แก้ไขหลักสูตร ก่อนนำหลกั สตู รไปใช้ 168 169 บรรณำนกุ รม 171 ภำคผนวก 183 ยุทธศำสตรแ์ ละจดุ เนน้ กำรดำเนนิ งำน กศน. 186 ประจำปีงบประมำณ 2560 187 คำสง่ั คณะทำงำน รำยชอ่ื ผเู้ ขำ้ ร่วมประชุมปฏิบตั กิ ำรยกรำ่ ง คมู่ อื กำรพัฒนำหลกั สตู ร สำหรับครู กศน. คณะผจู้ ัดทำ ง
คำชี้แจงกำรใชค้ ู่มอื คู่มือการพัฒนาหลักสูตร สาหรับครู กศน.ตาบล เล่มน้ี ได้เรียบเรียงเน้ือหาเป็น ลาดับขั้นตอน ด้วยความรู้เชิงวิชาการเก่ียวกับการพัฒนาหลักสูตร เพื่อให้ ครู กศน. ได้ เรียนรู้ โดยแบง่ เนื้อหาสาระเปน็ 4 ตอน ประกอบด้วย ตอนที่ 1 ความรู้พน้ื ฐานเกี่ยวกับการพัฒนาหลกั สตู ร ตอนท่ี 2 การรวบรวมและวิเคราะห์ขอ้ มูลพน้ื ฐาน ตอนท่ี 3 การรา่ งหลักสตู ร ตอนที่ 4 การตรวจคณุ ภาพหลกั สตู รกอ่ นนาไปใช้ การนาเสนอเนือ้ หาในคู่มือการพัฒนาหลักสูตรฯ เล่มนี้ จะใช้ตัวอย่างของชุดข้อมูล ในการอธบิ ายถงึ กระบวนการพัฒนาหลกั สูตรอย่างละเอียด ทั้งการพัฒนาหลักสูตรรายวิชา เลือก และหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง ที่ใช้ตัวอย่างของชุดข้อมูลเดียวกัน เพื่อการพัฒนา หลักสูตรรายวิชาเลือก รายวิชา อช33...... การจักสานผลิตภัณฑ์จากไม้ไผ่ จานวน 2 หน่วยกิต ตามหลักสูตรการศึกษานอกระบบระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และ หลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง หลักสูตรวิชาชีพระยะส้ัน หลักสูตรการจักสานผลิตภัณฑ์จาก ไมไ้ ผ่ จานวน 60 ชว่ั โมง ดังนัน้ ครู กศน. จึงตอ้ งศึกษาเน้ือหาอย่างละเอยี ด และตามลาดับ ข้ันตอน เพ่ือจะนาความรู้จากคู่มือการพัฒนาหลักสูตรฯ เล่มน้ี ไปใช้เป็นแนวทางในการ พฒั นาหลักสตู รของสถานศกึ ษา โดยมีรายละเอยี ดของการศึกษา ดงั น้ี 1. ศึกษาและทาความเข้าใจเน้ือหาในตอนที่ 1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการพัฒนา หลักสูตร เพอื่ ใหเ้ กิดความรู้ ความเข้าใจเกยี่ วกบั การพฒั นาหลกั สตู ร 2. ศึกษาและทาความเข้าใจเนื้อหาในตอนท่ี 2 การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล พ้ืนฐาน เป็นขั้นที่ 1 ของกระบวนการพัฒนาหลักสูตร เน้ือหาน้ีเป็นการอธิบายถึงการเก็บ รวบรวมข้อมูล (เทคนิควิธีและเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูล) พร้อมทั้งยกตัวอย่าง เครื่องมือการเก็บข้อมูล โดยมีกรณีตัวอย่างของการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลพ้ืนฐาน ของ กศน.ตาบลบา้ นแลง เพอื่ ใหเ้ ข้าใจมากขนึ้ จ
3. ศกึ ษาและทาความเข้าใจเนื้อหาในตอนท่ี 3 การร่างหลักสูตร ซ่ึงดาเนินการตาม ขั้นที่ 2 - 4 ของกระบวนการพัฒนาหลักสูตร เน้ือหานี้เป็นการอธิบายถึงการกาหนด หลักการ/จุดมุ่งหมายของหลักสูตร เลือกและจัดเนื้อหาประสบการณ์ในหลักสูตร กาหนด แนวทางการประเมินผลสมั ฤทธท์ิ างการเรยี นและแนวทางการประเมินหลักสูตร โดยมกี รณี ตัวอย่างของการวิเคราะห์เน้ือหาหลักสูตรจากข้อมูลพื้นฐานของกศน.ตาบลบ้านแลง เพ่ือ นามาจัดทาหลักสูตรและพัฒนาหลักสูตรรายวิชาเลือก ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และ หลกั สูตรการศึกษาต่อเนอื่ ง หลกั สตู รวิชาชีพระยะส้นั สาหรับกลุม่ เปา้ หมายผู้สงู อายุ 4. ศึกษาและทาความเข้าใจเนื้อหาในตอนท่ี 4 การตรวจคุณภาพหลักสูตรก่อน นาไปใช้ ซึ่งเป็นขั้นท่ี 5 ของกระบวนการพัฒนาหลักสูตร เน้ือหานี้เป็นการตรวจคุณภาพ ของหลักสูตรโดยผู้เชี่ยวชาญหรือคณะกรรมการ โดยใช้แบบประเมินความสอดคล้องของ องค์ประกอบของหลักสูตร ท้ังหลักสูตรรายวิชาเลือกและหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง เป็น เคร่ืองมือเก็บรวบรวมข้อมูล พร้อมตัวอย่างการวิเคราะห์ค่า IOC เพื่อนาผลมาปรับปรุง แกไ้ ขหลักสตู รกอ่ นนาไปใช้ 5. หากท่านศึกษาครบทุกเน้ือหาแล้วยังไม่เข้าใจในการพัฒนาหลักสูตร ขอให้ท่าน กลับไปทบทวนเนื้อหาในตอนที่ 1 2 และ 3 อย่างละเอียดอีกครัง้ ไม่ควรข้ามตอนใดตอนหนึ่ง หรือทบทวนเน้ือหาในส่วนที่ยังไม่เข้าใจอีกคร้ัง รวมท้ังการศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมจากแหล่ง เรยี นรู้ตา่ ง ๆ เช่น ผรู้ ู้ สืบค้นความร้ผู า่ นระบบออนไลน์ เอกสารท่เี ก่ยี วข้อง เป็นตน้ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า คู่มือการพัฒนาหลักสูตร สาหรับครู กศน. เล่มนี้ จะเป็นอีกช่องทางหน่ึงให้ครู กศน. ได้ใช้เป็นแหล่งศึกษาเรียนรู้ในเรื่องการ พัฒนาหลักสูตร เพ่ือนาไปปรับใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาท่ี สอดคลอ้ งกับสภาพบรบิ ทของพ้นื ที่ และความตอ้ งการของกลมุ่ เป้าหมายและชุมชนต่อไป ฉ
ตอนที่ 1 ความรพู้ ้ืนฐานเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสตู ร คมู่ ือการพัฒนาหลกั สูตร สาหรับครู กศน. เล่มนี้ จัดทาขนึ้ เพื่อใหค้ รู กศน. ได้ใช้เป็นแนวทาง ในการพัฒนาหลักสูตรท้องถ่ินท่ีสอดคล้องกับสภาพบริบทของพื้นที่ และความต้องการของ กลมุ่ เป้าหมายและชุมชน เช่น หลักสูตรรายวิชาเลือก หลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง เป็นต้น ก่อนท่ีจะ เร่ิมดาเนินการพฒั นาหลักสูตร ครูจาเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจในเร่ืองความรู้พืน้ ฐานเก่ียวกับการ พัฒนาหลกั สตู ร ซึ่งจะไดน้ าเสนอไวใ้ นตอนท่ี 1 ของคูม่ ือการพัฒนาหลกั สตู ร สาหรับครู กศน. โดยจะ เป็น การทาความเข้าใจเก่ียวกับความหมายของหลัก สูตร ส่วน ประก อบของหลักสูตร กระบวนการพัฒนาหลักสูตร การจัดทาหลักสูตรรายวิชาเลือก และหลกั สูตรการศึกษาต่อเนื่อง เพ่ือ เป็นการปูพื้นฐานในเรื่องการพัฒนาหลักสูตร ก่อนจะเร่ิมรายละเอียดของการดาเนินการจัดทาและ พฒั นาหลักสูตรในตอนอน่ื ๆ ของคูม่ อื การพฒั นาหลักสูตรฯ ต่อไป ความหมายของหลกั สตู ร คาว่า “หลักสตู ร” มาจากคาภาษาองั กฤษว่า “curriculum” มีผูใ้ ห้ความหมายทแ่ี ตกตา่ งกัน ออกไปบ้าง (นิรมล ศตวุฒิ 2543, 1-3) เช่น แฟรงกลิน บอบบิท (Frankin Bobbit) 1924 ให้ ความหมายหลักสูตรประกอบด้วยส่ิงต่าง ๆ ท่ีเด็กและเยาวชนต้องทาและได้รับประสบการณ์โดยใช้ วิธีการพัฒนาความสามารถในการทาส่ิงต่าง ๆ ให้ได้ดี เพื่อเป็นประโยชน์กับชีวิตในวัยผู้ใหญ่และมี คณุ ลักษณะท่ีผู้ใหญ่ควรจะมี และโทมัส ฮอปกินส์ (Thomas Hopkins) 1941 ได้ให้ความหมายของ หลักสูตร คืองานออกแบบโดยคนที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับกิจกรรมและชีวิตของเด็กในโรงเรียน มีความยืดหยุ่นและสอดคลอ้ งกับชีวิตและการดารงชีวิต ประกอบดว้ ยการเรียนรู้ที่เด็กแต่ละคนเลือก รับไว้ และสะสมเปน็ ประสบการณ์
โดยสรุป หลักสูตร หมายถึง กรอบของกจิ กรรม เนอื้ หา สื่อ และวิธกี ารวดั และประเมินผล ที่ ผจู้ ัดกิจกรรมการเรยี นมุ่งให้เกิดกับผู้เรยี นอาจเป็นความรู้ ความสามารถ ทักษะ เจตคติ คุณลักษณะ อยา่ งใดอยา่ งหน่ึง ตามชว่ งเวลาที่กาหนด ในการศึกษาเรื่องเกี่ยวกับหลักสูตร มีคาศัพท์ที่เกี่ยวกับหลักสูตรที่ผู้ศึกษาควรทาความเข้าใจให้ ความเขา้ ใจได้ตรงกัน ดังน้ี 1. การพัฒนาหลักสูตร (curriculum development) หมายถึง การจัดทาหลักสูตรขึ้นมา ใหม่ โดยท่ียังไม่เคยมีหลักสูตรน้ันมาก่อน หรือการจัดทาหลักสูตรที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้นกว่าเดิมซึ่งต้อง ดาเนินการอย่างเป็นกระบวนการและเป็นขนั้ ตอน 2. การสร้างหลักสูตร (curriculum construction) หมายถึง การจัดหลักสูตรขึ้นมาใหม่ โดยท่ียังไม่เคยมีหลักสูตรนั้นมาก่อน หรือไม่เคยมีหลักสูตรเดิมเป็นรากฐานมาก่อน และต้อง ดาเนนิ การอย่างเป็นกระบวนการและเปน็ ข้ันตอน 3. การวางแผนหลักสูตร (curriculum planning) หมายถึง การร่างแผนงานการจัดทา หลักสูตรโดยกาหนดเป้าหมายว่าหลักสูตรท่ีจะจัดทานั้นทาเพื่อใคร จะพัฒนาบุคลากรเหล่าน้ันไปใน ทิศทางใด ใช้ระยะเวลาการดาเนินการตามหลักสูตรเท่าไร จะมีกระบวนการในการพัฒนาบุคคล เหลา่ นนั้ อยา่ งไร 4. การออกแบบหลักสตู ร (curriculum design) หมายถึง การกาหนดลักษณะและรูปแบบ ของหลักสูตรให้สอดคล้องกับแผนงานการจัดทาหลักสูตรเพ่ือให้หลักสูตรเป็นไปตามเป้าหมาย ท่ี วางแผนไว้ รวบรวมข้อมูลท่ีมีผลต่อการจัดหลักสูตร จัดหารูปแบบการจัดหลักสูตรหลาย ๆ รูปแบบ ทดสอบว่ารูปแบบใดเป็นรูปแบบท่ีดีที่สุดท่ีจะทาให้บรรลุเป้าหมายที่วางแผนไว้ในการออกแบบ หลกั สตู ร ผ้พู ัฒนาหลักสตู รจะต้องตอบคาถามตอ่ ไปนี้ - จะเลอื กเน้อื หาอะไร และอย่างไร - จะจดั เนือ้ หาและเรียงลาดบั เน้ือหาอย่างไร - จะถา่ ยทอดเนื้อหาอย่างไร - จะประเมนิ ผลการเรยี นรูอ้ ยา่ งไร - จะจดั ทาเอกสารหลักสตู รอยา่ งไร อย่างไรก็ตามคาว่า การวางแผนหลักสูตร และการออกแบบหลักสูตร ได้มี การใช้กันในความหมายเดียวกับ การพัฒนาหลักสูตร และการสร้างหลักสูตรในบางแห่ง กล่าวคือ หมายถึงการดาเนินการจดั ทาหลักสตู รอย่างเปน็ กระบวนการและเปน็ ข้นั ตอน 5. การจัดหลักสูตร (curriculum organization) หมายถึง การลงมือจัดหลักสูตรตาม รูปแบบท่ีตัดสินใจเลือกไว้แล้ว โดยดาเนินการตามข้ันตอนของการพัฒนาหลักสูตร ซ่ึงรูปแบบของ 2
หลักสูตรเปน็ อย่างไรนนั้ จะแสดงออกให้เหน็ ชดั เจนในข้ันตอนของการจดั เนอ้ื หาวิชาและประสบการณ์ สาหรับผเู้ รียน 6. การวิเคราะห์หลักสูตร (curriculum analysis) หมายถึง การตรวจสอบหลักสูตรแยกที ละสว่ นในแต่ละองค์ประกอบของหลักสูตร เพื่อดูให้แน่ใจว่าแต่ละส่วนของหลักสูตรครบถ้วน เหมาะสม หรือยังมีส่วนใดบกพร่องอยู่ เพื่อจะแก้ไขให้ครบถ้วน เหมาะสม และสอดคล้องกันย่ิงขึ้น เป็นการ ตรวจสอบคุณภาพของหลกั สตู ร นอกจากนก้ี ารวิเคราะห์หลกั สูตร อาจเป็นการตรวจสอบหลกั สตู รแยก ทีละสว่ นเพอ่ื การเตรียมการสอน และการประเมนิ ผลการเรียนก็ได้ 7. การใช้หลักสูตรหรือการนาหลักสูตรไปใช้ (curriculum implementation) หมายถึง การนาหลกั สูตรไปสู่การปฏิบัติ กลา่ วคอื นาหลักสูตรไปใช้เป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอน ใน สถาบันการศึกษา หรือในสภาพจริง 8. การจัดการและการบริหารหลักสูตร (curriculum management and administration) หมายถึง กระบวนการสนับสนุนและเอื้ออานวยให้การใช้หลักสูตรบรรลุเป้าหมาย เช่น การ ประชาสัมพันธ์ทาความเข้าใจเก่ียวกับหลกั สูตร การเตรยี มบุคลากร อาคารสถานท่ี งบประมาณ การ จดั บริการห้องสมุด หน่วยแนะแนว แหลง่ การเรียนรู้ เปน็ ตน้ 9. การปรับหลักสูตร (curriculum adaptation) หมายถึง การนาหลักสูตรไปปรับใช้ให้ สอดคลอ้ งเหมาะสมกับสภาพท้องถ่นิ ชมุ ชน ผเู้ รยี น รวมถงึ การนาหลกั สตู รไปจัดการเรยี นการสอน 10. การประเมินหลักสูตร (curriculum evaluation) หมายถึง การตัดสินคุณ ภาพ ประสิทธิภาพ หรือคุณค่าของหลักสูตร ซ่ึงต้องมีการกาหนดมาตรฐานสาหรับการตัดสินคุณภาพ รวบรวมข้อมูลที่เก่ียวข้องแล้วนามาตรฐานที่กาหนดมาตัดสินคุณภาพข้อมูลเหล่าน้ัน การประเมิน หลกั สูตรจะตอบคาถามตอ่ ไปนี้ - หลกั สูตรช่วยใหผ้ ูเ้ รียนบรรลจุ ุดม่งุ หมายทางการศกึ ษาได้ดเี พียงไร - การใชห้ ลักสูตรดาเนนิ การไดด้ ีเพียงไร 11. การปรับปรุงหลักสูตร (curriculum improvement) หมายถึง การแก้ไขหลักสูตรให้ดี ขึ้น เหมาะสมขึ้นหลังจากท่ีประเมินหลักสูตรแล้วพบข้อบกพร่องเป็นการแก้ไขเฉพาะประเด็ นท่ีพบ ข้อบกพร่อง โดยไม่ได้กระทบกบั โครงสรา้ งของหลักสตู ร 12. การเปลี่ยนแปลงหลักสูตร (curriculum change) หมายถึง การนาหลักสูตรใหม่มาใช้ แทนหลักสูตรเดิม เนื่องจากหลักสูตรเดิมมีข้อบกพร่องมาก หรือล้าสมัยไปแล้ว จึงต้องยกเลิกแล้ว จัดทาหลักสูตรใหมม่ าทดแทนหลกั สตู รเดมิ 3
ส่วนประกอบของหลักสตู ร ในการจัดทาหลักสูตร ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรระดับใดก็ตาม จะต้องกาหนดรายละเอียดของ หลกั สูตรตามสว่ นประกอบ นริ มล ศตวฒุ ิ (2543, 10-11) ไดก้ าหนดไว้ ดงั นี้ 1. หลักการ เป็นเป้าหมายปลายทางของหลักสูตรน้ัน จะบอกให้รู้ว่าหลักสูตรน้ัน ๆ จัดขึ้น เพือ่ อะไร ซึง่ จะกาหนดไวใ้ นลกั ษณะเชงิ ปรัชญาของหลักสตู ร 2. จุดมุ่งหมาย แสดงความคาดหวังของหลักสูตรว่าผู้ท่ีเรียนจบหลักสูตรนี้แล้วจะมี คุณลักษณะอย่างไร 3. จุดมุ่งหมายเฉพาะ หรือจุดประสงค์ของกลุ่มวิชาและรายวิชา ระบุเฉพาะเจาะจงถึง คณุ ลักษณะของผูเ้ รียนเมื่อผู้เรียนจบแตล่ ะกล่มุ วิชา และแตล่ ะรายวิชา 4. โครงสรา้ งของหลักสูตร แสดงภาพรวมของทั้งหลักสูตรว่าไดจ้ ัดเนื้อหาและประสบการณ์ ของหลักสูตรในลักษณะใด สัดส่วนของเน้ือหาและประสบการณ์ที่จะให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เป็นอย่างไร ระยะเวลาการจัดการเรียนการสอนแสดงการแบ่งเวลาท่ีใช้ในการจัดการเรียนการสอนแต่ละเน้ือหา ความร้แู ละประสบการณ์การเรียนรู้ และเวลาโดยรวมทีใ่ ชใ้ นการจดั การเรยี นการสอนตลอดหลักสูตร 5. เนื้อหาหลักสูตร ประกอบด้วย ขอบเขตเน้ือหาความรู้ท่ีจะให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ ประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีผู้เรียนจะได้รับจากการได้ลงมือทาหรือปฏิบัติ และกิจกรรมการเรียนการ สอนท่เี ป็นแนวทางหรือวธิ ีการทจ่ี ะชว่ ยใหผ้ ู้เรยี น เรียนรูเ้ นือ้ หาและประสบการณ์ตา่ ง ๆ 6. การประเมินผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ประกอบด้วยแนวทางหรือวิธีการวัดผลและ ประเมินผลว่าผู้เรียนได้บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้ จุดประสงค์รายวิชา จุดประสงค์กลุ่มวิชา และ จุดมงุ่ หมายของหลักสตู รแล้วหรอื ยงั รวมถึงระยะเวลาการประเมนิ ผล 7. แนวทางการใช้หลักสตู ร ให้คาแนะนาแกบ่ คุ คลทีเ่ กี่ยวขอ้ งกบั การใช้หลักสูตร ให้ใช้หลักสูตร ไดอ้ ย่างถูกต้อง เหมาะสม และเปน็ ไปตามเจตนารมณ์ของหลกั สตู ร กระบวนการพัฒนาหลักสูตร ในการสร้างหรือพัฒนาหลักสูตร เริ่มต้นมาจากความต้องการของสังคมและชุมชน โดยมี จุดมุ่งหมายท่ีจะให้หลักสูตรเป็นสื่อในการพัฒนาคน ดังน้ันการสร้างหลักสูตรจึงต้องมีการดาเนินการ เป็นกระบวนการ (นริ มล ศตวุฒิ และคณะ 2546, 11) กระบวนการพัฒนาหลักสูตรประกอบด้วยขั้นตอน ซง่ึ ตอ้ งทาใหส้ าเร็จตามลาดบั เพ่ือให้ โครงการพัฒนาหลักสตู รมีความสมบูรณ์ งานที่ต้องทาในแต่ละขน้ั ตอนมีความหลากหลาย แต่มีกาหนด 4
ผลท่ีแน่นอนเอาไว้ กระบวนการพัฒนาหลักสูตรเป็นกิจกรรมท่ีต่อเนื่องและเป็นวัฏจักรมากกว่าจะเป็น กิจกรรมที่ทาต่อกันเป็นเส้นตรง เป็นกิจกรรมท่ีเป็นพลวัตรมากกว่าจะเป็นกิจกรรมท่ีคงที่ ซ่ึงหลักสูตร นริ มล ศตวฒุ ิ (2543, 20 - 23) สรปุ กระบวนการพัฒนาหลกั สูตร ไวด้ งั นี้ กระบวนการพฒั นาหลกั สูตร ขั้นตอนการร่างหลกั สตู ร (ข้ันท่ี 1 – 4) ขั้นท่ี 1 การรวบรวมและวเิ คราะหข์ ้อมลู พ้นื ฐาน เป็นการวิเคราะห์ปรัชญาการศึกษา จิตวิทยาการเรียนรู้ ผู้เรียน สังคม และเนื้อหา ความรู้ - การวิเคราะห์ปรัชญาการศึกษา และจิตวิทยาการเรียนรู้ มีจุดประสงค์เพื่อศึกษา แนวคดิ ของนกั ปรชั ญาและนกั จิตวิทยา แล้วนาแนวคิดเหล่านัน้ มาประยกุ ตใ์ ชใ้ นการพฒั นาหลกั สตู ร - การวิเคราะห์และรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียน มีจุดประสงค์เพื่อพิจารณาความ ตอ้ งการของผู้เรียนและพัฒนาหลักสตู รใหส้ นองตอบความตอ้ งการเหล่าน้นั 5
- การวิเคราะห์ข้อมูลทางสังคม เพ่ือศึกษาสภาพสังคมในปัจจุบันและอนาคตทั้งด้าน เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง วัฒนธรรม ระบบครอบครัว ค่านิยมของสังคม รวมถึงความ เปล่ียนแปลงทางสงั คมแล้วนามาพัฒนาหลักสตู รทเี่ ตรียมผ้เู รยี นให้พร้อมท่ีจะไปดารงชีวติ และปฏิบัติ ในสังคมน้นั - การวิเคราะห์เนื้อหาความรู้ เพ่ือศึกษาลักษณะธรรมชาติของเนื้อหาความรู้ในศาสตร์ ต่าง ๆ ตลอดจนความเปล่ียนแปลงและความก้าวหนา้ ทางวิทยาการเพอ่ื นามาเป็นข้อมูลในการพฒั นา หลักสตู รท่ีประกอบด้วยเนอื้ หาความรทู้ ี่ทันสมยั ขนั้ ท่ี 2 กาหนดหลักการและจดุ มุง่ หมายของหลกั สตู ร เปน็ การนาข้อมูลพ้ืนฐานทวี่ ิเคราะห์และรวบรวมได้ในขนั้ ที่ 1 มาเปน็ แนวคิดและตัวชนี้ า ในการกาหนดเป้าหมายของหลักสูตรในหลักการ และกาหนดคุณลักษณะของผู้เรียนจบหลักสูตรใน จุดมุ่งหมายให้ชัดเจนว่าจะมีความรู้ ทกั ษะ แนวคดิ อะไร มเี จตคติอย่างไร สามารถทาอะไรได้ และเป็น ประโยชน์ตอ่ สงั คมได้อยา่ งไร ขั้นท่ี 3 เลือกและจัดเน้ือหาและประสบการณ์ในหลกั สตู ร - เลือกและจัดเนื้อหาและประสบการณ์ท่ีช่วยเอื้อให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะตามที่คาดหวังไว้ ในจดุ มุง่ หมายของหลักสตู ร หรือบรรลุจุดมงุ่ หมายของหลักสูตร - จัดทาโครงสร้างหลักสูตร ประกอบด้วยรายวิชา หรอื หวั เรอื่ งของเน้ือหา และเวลาเรียน - จัดทาคาอธบิ ายของเนอื้ หาของแต่ละรายวิชา หรอื แต่ละหัวเรื่อง ขั้นท่ี 4 กาหนดแนวทางการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแนวทางการประเมิน หลักสูตร - การกาหนดแนวทางการประเมินผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน เป็นการกาหนดวิธีการ ประเมินผลพร้อมท้ังเครื่องมือที่ใช้ในการวัดและประเมินได้ว่าผู้เรียนมีคุณลักษณะตามที่คาดไว้ใน จุดมงุ่ หมายของหลักสตู ร - การกาหนดแนวทางการประเมินหลักสูตร เป็นการกาหนดรูปแบบท่ีจะใช้ในการ ประเมนิ หลกั สูตร หรือวธิ ีการที่จะใชใ้ นการประเมินหลกั สูตร ขั้นตอนหลังจากการรา่ งหลกั สูตร (ข้นั ที่ 5 – 8) ข้ันท่ี 5 ตรวจสอบคณุ ภาพหลกั สูตรและปรับแก้กอ่ นนาไปใช้ เป็นข้ันท่ีนาหลักสตู รท่ีรา่ งเสร็จแล้วไปตรวจสอบ ซ่ึงมีวธิ ีการตรวจสอบได้หลายวิธี เช่น การใช้รูปแบบการตรวจสอบคุณภาพหลักสูตร การตรวจสอบกับลักษณะของหลักสูตรที่ดี การ ตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญหรือคณะกรรมการ หรือวิเคราะห์แต่ละองค์ประกอบของหลักสูตรเพื่อพิจารณา 6
ความเหมาะสม เป็นต้น แล้วนาผลการตรวจสอบมาปรับปรงุ แก้ไขร่างหลักสูตรให้ดีขึน้ เตรียมพร้อมที่ จะนาไปใช้ ข้ันที่ 6 นาหลกั สตู รไปใช้ เป็นขนั้ ที่นาหลกั สูตรท่ีตรวจสอบคณุ ภาพและแก้ไขให้สมบูรณ์แล้วไปใชเ้ ป็นแนวทางใน การจัดการเรียนการสอน โดยใช้วิธีการต่าง ๆ ท่ีม่ันใจว่าได้มีการใช้หลักสูตรอย่างเหมาะสม เช่น วาง แผนการสอน ทดสอบก่อนเรียน จัดการเรียนการสอนและบริหารหลักสูตร ประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการ เรยี นหลังเรียนเป็นตน้ ขั้นท่ี 7 ประเมินหลกั สตู ร เป็นการประเมินหลักสูตรท้ังระบบ ทุกขั้นตอน แล้วนาผลจากการประเมินมาพิจารณา ร่วมกับผลสัมฤทธิท์ างการเรียนของผู้เรยี น เพื่อตัดสินผลสัมฤทธ์ขิ องหลักสูตร และนาผลการประเมิน มาปรบั ปรุงประสิทธิภาพของหลักสูตร ขน้ั ท่ี 8 ปรับปรุงแก้ไขหลกั สตู ร เป็นการนาผลการประเมินหลักสูตรมาปฏิบัติอย่างต่อเน่ือง ในกรณีผลการประเมินพบ ข้อบกพร่องหรือปัญหาอุปสรรคในส่วนปลีกย่อย ผู้พัฒนาหลักสูตรจะดาเนินการปรับปรุงหลักสูตร หากพบข้อบกพร่องหรือปัญหาอุปสรรคในประเด็นใหญ่ ซ่ึงจะต้องเปลี่ยนโครงสร้างของหลักสูตรก็จะ ดาเนินการเปลี่ยนแปลงหลกั สูตร การเปรียบเทียบกระบวนการพัฒนาหลักสูตรกับวงจรคณุ ภาพของเดมมง่ิ (Deming Cycle – PDCA) วงจรคุณภาพของเดมม่ิง (Deming Cycle - PDCA) เป็นวงจรท่ีพัฒนามาจากวงจรท่ี คิดค้นโดยวอล์ทเตอร์ ซิวฮาร์ท (Walter Shewhart) ผู้บุกเบิกการใช้สถิติสาหรบั วงการอุตสาหกรรม และต่อมาวงจรนี้เริ่มรู้จักกันมากขึ้นเมื่อ เอดวาร์ด เดมม่ิง (W.Edwards Deming) ปรมาจารย์ด้าน การบริหารคุณภาพ ได้เผยแพร่ให้เป็นเครื่องมือสาหรับการปรับปรุงกระบวนการทางานของพนกั งาน ภายในโรงงานให้ดยี ่ิงขน้ึ และชว่ ยค้นหาอุปสรรคในแต่ละขนั้ ตอนการผลิตโดยพนักงานเอง จนวงจรนี้ เป็นที่รู้จักกันในอีกช่ือว่า “วงจรเดมมิ่ง” ต่อมาพบว่า แนวคิดในการใช้วงจร PDCA น้ัน สามารถ นามาใช้ได้กับทุกกิจกรรม จึงทาให้เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายมากข้ึนท่ัวโลก โดยใช้อักษรนาของ ศพั ท์ภาษาอังกฤษ มาเปน็ ตัวยอ่ คอื PDCA ดังน้ี P : Plan หมายถึง วางแผน D : Do หมายถึง ปฏิบตั ิตามแผน C : Check หมายถงึ ตรวจสอบ/ประเมนิ ผลและนาผลประเมนิ มาวเิ คราะห์ A : Action หมายถงึ ปรับปรงุ แก้ไขดาเนนิ การใหเ้ หมาะสมตามผลการประเมิน 7
จากกระบวนการพัฒนาหลักสูตร 8 ขน้ั ตอน ที่ได้กลา่ วไว้ข้างต้น เมือ่ นามาเปรียบเทียบ กบั วงจรคุณภาพของเดมม่ิง (Deming Cycle - PDCA) จะเห็นได้ว่า การดาเนินการจัดทาและพัฒนา หลักสูตรตามกระบวนการพัฒนาหลักสูตร มีลักษณะการดาเนินงานใกล้เคียงกับการดาเนินงานตาม วงจรคณุ ภาพของเดมมิง่ ดงั แผนภาพ แผนภาพแสดงการเปรยี บเทียบ กระบวนการพฒั นาหลักสูตร กบั วงจรคุณภาพของเดมม่ิง (Deming Cycle - PDCA) ตารางการเปรยี บเทียบ กระบวนการพฒั นาหลกั สูตร กับ วงจรคุณภาพของเดมมง่ิ (Deming Cycle - PDCA) กระบวนการพัฒนาหลกั สตู ร วงจรคุณภาพ (Deming Cycle - PDCA) ขน้ั ตอนการร่างหลักสูตร (ขน้ั ที่ 1 – 4) P : Plan = วางแผน ขน้ั ที่ 1 รวบรวม/วิเคราะหข์ อ้ มูลพนื้ ฐาน ขั้นท่ี 2 กาหนดหลักการและจุดมุง่ หมายของหลกั สตู ร ขั้นท่ี 3 เลอื กและจดั เน้อื หาและประสบการณ์ใน หลกั สูตร 8
กระบวนการพัฒนาหลักสูตร วงจรคณุ ภาพ (Deming Cycle - PDCA) ขน้ั ที่ 4 กาหนดแนวทางการประเมนิ ผลสมั ฤทธิ์ D : Do = ปฏิบตั ิตามแผน ทางการเรยี นและแนวทางการประเมนิ หลกั สตู ร ขั้นตอนหลงั จากการรา่ งหลกั สูตร C : Check = ตรวจสอบ / ขน้ั ท่ี 5 ตรวจสอบคุณภาพหลกั สตู รและปรบั แก้ก่อน ประเมนิ ผลและนาผลประเมนิ มาวเิ คราะห์ นาไปใช้ A : Action = ปรับปรุงแกไ้ ข ขั้นตอนหลังจากการรา่ งหลักสูตร ดาเนินการให้เหมาะสมตามผลการประเมิน ขน้ั ที่ 6 นาหลักสูตรไปใช้ ขั้นตอนหลังจากการร่างหลกั สตู ร ขัน้ ที่ 7 ประเมินหลกั สูตร ขั้นตอนหลงั จากการร่างหลกั สตู ร ขั้นที่ 8 ปรบั ปรุงแก้ไขหลกั สูตร จากการเปรียบเทียบการดาเนินการจัดทาและพัฒนาหลักสูตรตามกระบวนการพัฒนา หลักสูตรกับการดาเนินงานตามวงจรคุณภาพของเดมมิ่ง แสดงให้เห็นว่า หลักสูตรจะมีคุณภาพ มี ประสิทธิภาพ สามารถพัฒนาผู้เรียนให้ผู้เรียนบรรลุจุดมุ่งหมายทางการศึกษาได้ จะต้องมีการ ดาเนินการอยา่ งเป็นข้ันตอนกระบวนการ ซ่ึงต้องทาให้สาเร็จตามลาดบั และสามารถตรวจสอบได้ใน ทุกขั้นตอนกระบวนการ หากพบขอ้ บกพร่อง ก็จะนาไปสู่การปรับปรุงแก้ไขใหส้ อดคล้องเหมาะสมกับ สภาพบริบทและความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย โดยการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานอีกคร้ัง เช่นเดียวกับการดาเนินงานตามวงจรคุณภาพของเดมมิ่ง เช่น การประกันคุณภาพ การดาเนินงาน ประจาปขี องหน่วยงานและสถานศึกษา เปน็ ต้น การจัดทาหลกั สูตรรายวิชาเลอื ก หลกั สูตรการศึกษานอกระบบระดบั การศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พทุ ธศักราช 2551 1. การไดม้ าของหลกั สตู รรายวชิ าเลือก หลกั สูตรรายวิชาเลอื ก ได้มาจาก 1) สานกั งาน กศน. (สว่ นกลาง) พฒั นาขึ้น 2) สถานศึกษาพัฒนาข้ึนจากความต้องการของผู้เรียน ชุมชน สังคม กลุ่มเป้าหมาย เฉพาะที่ตอ้ งการเทียบโอน และจากความรูแ้ ละประสบการณข์ องผเู้ รยี น 9
2. หลักการพฒั นาหลกั สูตรรายวิชาเลอื ก ในการพัฒนาหลักสตู รรายวิชาเลอื ก มีหลกั การดังนี้ 1) สอดคลอ้ งเชอื่ มโยงกบั มาตรฐานการเรียนร้แู ละมาตรฐานการเรยี นรรู้ ะดบั 2) เป็นเนื้อหาทจ่ี บในตัวเอง 3) เปน็ เน้อื หาท่ีมีประโยชน์ 4) มจี านวนเนอ้ื หามากเพียงพอท่ีจะนามากาหนดเปน็ คาอธิบายรายวิชาได้อย่างน้อย 1 หนว่ ยกิต 3. ผ้ทู ่เี กยี่ วขอ้ งในการพฒั นาหลักสูตร ในการดาเนินการสร้างหรือพัฒนาหลักสูตรรายวิชาเลือก ผู้ที่เก่ียวข้องในการพัฒนา หลักสูตร นอกเหนือจากผู้บริหารสถานศึกษา ครู ผู้เรียน และผู้แทนชุมชนแล้ว ยังต้องมีผู้ท่ีมีส่วน สาคญั ในการพฒั นาหลักสตู ร ดังน้ี 1) ผู้เชย่ี วชาญเนอ้ื หา 2) ผทู้ มี่ ีความรู้เก่ยี วกบั การพฒั นาหลักสูตร 3) ผ้ทู ี่มคี วามรเู้ กีย่ วกับการวัดผลและประเมินผล 4. องค์ประกอบของเอกสารหลักสูตรรายวิชาเลือก หลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขนั้ พนื้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 สานักงาน กศน. ไดก้ าหนดองคป์ ระกอบของเอกสารหลักสตู รรายวชิ าเลือกไว้ดงั น้ี 1. คาอธิบายรายวิชา ประกอบด้วย รหัสรายวิชา ช่ือรายวิชา จานวนหน่วยกิต ระดับ การศึกษา มาตรฐานการเรียนรู้ มาตรฐานการเรียนรู้ระดับ เน้ือหาการเรียนรู้ (ศึกษาและฝึกทักษะ เกี่ยวกับ...) การจัดประสบการณก์ ารเรยี นรู้ และการวัดและประเมนิ ผล 2. รายละเอียดคาอธิบายรายวิชา ประกอบด้วย รหัสรายวชิ าและช่ือรายวิชา มาตรฐาน การเรียนรู้ระดับ หัวเรอื่ ง ตัวบง่ ช้ี เนอ้ื หา(ยอ่ ย) และจานวนชั่วโมง สาหรบั คู่มือการพัฒนาหลักสูตรฯ เล่มนี้ สถาบัน กศน.ภาคเหนือ ได้ปรับองค์ประกอบ ของเอกสารหลักสูตรรายวิชาเลือก โดยเพ่ิมองค์ประกอบในส่วนของความเป็นมา ผลการเรียนรู้ท่ี คาดหวัง และขอบข่ายเน้ือหา เพ่ือให้มองเห็นความจาเป็นและความสาคัญของการพัฒนาหลักสูตร ผลการเรียนรู้ท่ีคาดหวัง และภาพรวมของขอบข่ายเนื้อหาของรายวิชานั้น ๆ โดยมีรายละเอียดของ องค์ประกอบของเอกสารหลกั สูตรรายวิชาเลอื ก ดังแบบฟอร์มการเขยี นหลักสตู รรายวชิ าเลือก 10
แบบฟอร์มการเขยี นหลกั สตู รรายวิชาเลอื ก หลักสตู รรายวิชาเลอื กเสรี รายวิชา ....................................... จานวน ............... หนว่ ยกิต (.............. ช่ัวโมง) สาระการเรยี นรู้......................................................... ระดับ ....................................................... ความเปน็ มา ................................................................................................................................... ผลการเรียนรทู้ ค่ี าดหวัง 1. ............................................................................. 2. ............................................................................. 3. ............................................................................. 4. ............................................................................. 5. ............................................................................. 6. ............................................................................. 7. ............................................................................. 8. ............................................................................. 9. ............................................................................. 10. ............................................................................. ขอบข่ายเนอื้ หา จานวน ............. ช่วั โมง 1. (ระบุชื่อหัวเรือ่ ง) จานวน ............. ช่ัวโมง 2. (ระบุชอ่ื หวั เรอ่ื ง) จานวน ............. ช่ัวโมง 3. (ระบุชื่อหัวเรือ่ ง) จานวน ............. ชั่วโมง 4. (ระบุชื่อหวั เร่อื ง) จานวน ............. ชั่วโมง 5. (ระบุชื่อหัวเร่ือง) 11
คาอธิบายรายวิชา .................................................. จานวน ............. หนว่ ยกิต (................... ชวั่ โมง) ระดบั ................................................ มาตรฐานการเรียนรู้ ................................................................................................................................... มาตรฐานการเรียนรู้ระดบั .................................................................................................................................... ศึกษาและฝึกทกั ษะดังนี้ .................................................................................................................................... การจัดประสบการณ์การเรยี นรู้ .................................................................................................................................... การวดั และการประเมนิ ผล .................................................................................................................................... 12
รายละเอยี ดคาอธบิ ายรายวชิ า ............................................................. จานวน ............. หนว่ ยกิต (................... ช่ัวโมง) ระดับ ................................................ มาตรฐานการเรยี นรรู้ ะดับ .............................................................................................................................................. ท่ี หัวเรื่อง ตัวช้ีวัด เน้อื หา จานวนชว่ั โมง 13
การจดั ทาและพัฒนาหลกั สูตรการศกึ ษาต่อเน่อื ง 1. ความหมายและความสาคัญของหลกั สูตรการศึกษาตอ่ เนอื่ ง ความหมายของหลักสูตรการศึกษาตอ่ เนอื่ ง หลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง หมายถึง หลักสูตรที่สร้างขึ้นจากสภาพและความต้องการ ของผู้เรียน สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมของหลักสูตรนั้น ๆ อาจเป็นการเรียนรู้ จากภูมิปัญญาท่ีมีอยู่ในท้องถ่ิน หรือสถานประกอบการ แหล่งเรียนรู้ ฯลฯ ซ่ึงผู้เรียนแสวงหาองค์ ความรทู้ ี่ตอบสนองกับวิถชี วี ิตของตนเอง ปรับตนเองให้ทนั กับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคโลกาภิวตั น์ ผู้เรยี นจะเรียนรูต้ ามสภาพจริงของตนเอง สามารถนาความร้ไู ปใชใ้ นการพัฒนาตนเอง ครอบครัว และ ชุมชนได้ จึงอาจจะสรุปได้ว่า หลกั สตู รการศกึ ษาต่อเนื่อง หมายถึง ประสบการณ์การเรียนรูท้ ่ีจัดใหแ้ ก่ กลุ่มผู้เรียนท่ีเป็นกลุ่มเป้าหมาย ท่ีจัดตามสภาพปัญหาและความต้องการของผู้เรียนในการศึกษา ตอ่ เน่ืองนน้ั ๆ เปา้ หมายหลัก คอื ตอ้ งการให้ผเู้ รียนได้นาไปใช้ในการพฒั นาคุณภาพชวี ติ ของผู้เรยี นให้ ดีขึน้ หรือเป็นการประกอบอาชีพและเพม่ิ พูนรายได้ให้แก่ผูเ้ รยี น ความสาคญั ของหลกั สตู รการศกึ ษาต่อเนื่อง หลักสตู รการศึกษาต่อเนื่อง เป็นหลักสูตรบูรณาการท่ีผู้เรียน ชุมชนและครูร่วมกันสร้าง ขน้ึ เพ่ือมุ่งเน้นใหผ้ ู้เรยี น เรยี นจากชวี ิต เรยี นแล้วเกดิ การเรียนร้สู ามารถนาความรู้ไปใช้ในชีวิตอย่างมี คุณภาพ และเป็นสมาชิกที่ดีของสังคมอย่างมีความสุข การเรียนการสอนจะสอนตามความต้องการ ของผู้เรียน โดยครูเป็นผู้คอยแนะนา ผู้เรียนเป็นผู้ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง ดังน้ันหลักสูตร การศึกษาตอ่ เน่อื งจึงมคี วามสาคญั ดังนี้ 1) เป็นหลักสูตรท่ีตอบสนองการเรียนรู้ของผู้เรียนเฉพาะเนื้อหาสาระของหลักสูตร สอดคลอ้ งกับความตอ้ งการของผู้เรียนตามสภาพปัญหาทเ่ี ป็นจริง 2) ทาให้กิจกรรมการเรียนร้มู ีความหมายต่อผู้เรียน เพราะผู้เรียนสามารถนาความรู้ไป ประยกุ ต์ใชใ้ นชีวิตจรงิ ได้ 3) ผู้เรียนได้เรียนรู้วิธีการแสวงหาความรู้ เพ่ือที่จะมาใช้เป็นข้อมูลในการแก้ปัญหาใน ชวี ิตจริงของตนเองในวันข้างหน้า รวมท้ังวิธวี ิเคราะห์ สังเคราะห์ข้อมูล เพื่อการตัดสินใจท่ีเหมาะสม กบั การดาเนินชวี ติ ของตนเอง 4) ชุมชนและภูมปิ ัญญาในชุมชน มีโอกาสมีส่วนร่วมในการจดั การศึกษาใหแ้ กผ่ ู้เรียน ซึ่ง เป็นสมาชิกของชมุ ชน 14
2. หลกั การพฒั นาหลกั สตู รการศึกษาตอ่ เนอื่ ง หลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง มีหลักการในการพัฒนาท่ีส่งผลให้กลุ่มเป้าหมายได้เกิด ปัญญา หรือเกดิ การเรยี นรู้ ดังนี้ 1) การเรียนรู้เพื่อสร้างองค์ความรู้ มีเป้าหมายมุ่งที่การเรียนรู้สภาพปัญหา วิธีการ แก้ปัญหาและการปรับปรุงอย่างลึกซ้ึง คือ ให้รู้และเข้าใจอย่างกระจ่างถึงส่ิงที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน จน สามารถวิเคราะห์และสังเคราะหเ์ ปน็ องคค์ วามรขู้ องตนเองได้ 2) การเรียนรู้เพ่ือพัฒนาความสามารถในการปฏิบัติจริง มีเป้าหมายมุ่งท่ีการเรียนรู้ใน การวิเคราะห์สถานการณเ์ พ่ือการปฏิบัติจรงิ จนเกดิ ความชานาญและสามารถปฏบิ ัติไดท้ ุกสถานการณ์ 3) การเรียนรู้เพื่อการอยู่ร่วมกัน มีเป้าหมายมุ่งท่ีการเรียนรู้ เพื่อเป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม ด้วยการมีความเช่ือ และตระหนักว่ามนุษย์ทุกคนต้องร่วมมือกัน พ่ึงพาอาศัยกันและอยู่ ด้วยกนั อยา่ งมคี วามสุข 4) การเรียนรู้เพอ่ื การพัฒนาศักยภาพ เป้าหมายมุ่งที่การเรียนรู้ เพ่ือพัฒนาตนเองให้มี ชีวิตทงี่ อกงาม ปรบั ปรุงบุคลิกภาพอยา่ งมนั่ ใจ เนน้ การมีเหตุผลและมวี สิ ยั ทศั น์ 3. ลกั ษณะของหลกั สตู รการศึกษาต่อเน่อื ง ลกั ษณะของหลักสูตรการศกึ ษาตอ่ เนื่อง มลี กั ษณะดังตอ่ ไปน้ี 1) เป็นหลักสูตรที่ตอบสนองความหลากหลายของปัญหา มุ่งพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ เหมาะสมกับเพศ วัย มีความสมดุลทั้งด้านความรู้ ความคิด และทักษะ เป็นกระบวนการเรียนรู้ท่ีให้ ผูเ้ รียนฝึกปฏบิ ัตจิ ริงจนเกิดทักษะและสามารถนาไปใชก้ ับสถานการณ์อื่นไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 2) เป็นหลักสูตรท่ีส่งเสริมให้การศึกษาต่อเน่ือง มีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตรของ ตนเอง เพื่อให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์จากการเรียนรู้การศึกษาต่อเนื่องของตนเอง เป็นการเชื่อมโยง ระหว่างการเรียนกับชีวิตจริงและการทางาน รวมทั้งปลูกฝังให้ผู้เรียนมีความรักและความผูกพันกับ การศึกษาต่อเนอ่ื งของตน มีการสง่ เสรมิ ใหใ้ ชภ้ ูมปิ ญั ญาการศึกษาต่อเนือ่ งในการจดั การศกึ ษา 3) เปน็ หลักสูตรทสี่ อดคลอ้ งกบั การดาเนนิ ชวี ิต และมุ่งเน้นการเรียนรู้อย่างบูรณาการไม่ แยกส่วนของกระบวนการเรียนรู้ โดยผู้เรียนเป็นผู้จัดกระบวนการเรียนรู้ด้วยตนเอง ครูจะเป็นผู้คอย ให้คาแนะนา ใหค้ าปรึกษา และช่วยเหลอื อานวยความสะดวกในการเรยี นรู้ใหแ้ ก่ผูเ้ รียนอนั จะนาไปสู่ การคดิ เปน็ ทาเป็น และสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ 4) เป็นหลักสูตรที่สามารถพัฒนาได้ตลอดเวลา เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ท่ี เปลี่ยนแปลงไป 15
5) เป็นหลักสูตรที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเป็นคนท่ีมีคุณภาพของสังคมในด้านศีลธรรม จริยธรรมและการธารงไวซ้ ึ่งสงั คมประชาธปิ ไตย การรักษาส่งิ แวดล้อม เกิดศรัทธาเช่อื มั่นในภมู ปิ ญั ญา และวัฒนธรรมการศกึ ษาตอ่ เนอ่ื งของชมุ ชนและของประเทศชาติ 4. กระบวนการพัฒนาหลกั สูตรการศกึ ษาตอ่ เนื่อง กระบวนการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่องของสานักงาน กศน. ประกอบด้วย ขนั้ ตอนหลัก 4 ข้นั ตอน ดงั นี้ ข้ันที่ 1 การสารวจสภาพปญั หาของชมุ ชน ข้ันที่ 2 การวเิ คราะห์สภาพปญั หาชุมชนและความต้องการของผเู้ รยี น ขัน้ ท่ี 3 เขียนผังหลักสตู ร ขน้ั ที่ 4 เขียนหลักสูตร 1) การสารวจสภาพปญั หาของชมุ ชน คอื การศึกษาข้อมลู ชมุ ชน เพ่ือให้ไดซ้ ่ึงข้อมูลที่ เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง ผู้สารวจ ได้แก่ ครู กศน. ผู้เรียน และ ผ้เู กี่ยวขอ้ ง โดยสารวจข้อมูลจากเอกสารซ่ึงเป็นข้อมูลทุตยิ ภูมิ เช่น ข้อมูลจากการวางแผนของ กศน. ตาบล/แขวง และจากหน่วยงานอ่ืน ๆ ท่ีได้รวบรวมไว้แล้ว และสารวจข้อมูลปฐมภูมิท่ีผู้สารวจไป รวบรวมข้อมูลจากชุมชน เป็นขอ้ มลู สาคัญและเปน็ ประโยชนอ์ ย่างย่ิง ซึ่งเปน็ ขอ้ มูลทแ่ี ท้จรงิ และเป็น ปจั จบุ ันของผู้เรียนและชมุ ชน ประเด็นในการสารวจข้อมูล เช่น โครงสร้างด้านกายภาพ และประวัตชิ ุมชน ข้อมูล ประชากร เศรษฐกจิ การศึกษา สงั คมและวัฒนธรรม การเมอื ง การปกครอง และข้อมูลเกย่ี วกับความ ตอ้ งการของชมุ ชน วธิ ีการสารวจสภาพปัญหาของชมุ ชน อาจใชห้ ลาย ๆ วธิ ีการผสมผสานกัน เพ่ือให้ได้ ข้อมูลท่ีถูกต้องสมบรู ณ์และเปน็ รปู ธรรม เชน่ การสัมภาษณ์ การใชแ้ บบสอบถาม การสังเกต หรือการ จัดเวทีประชาคม เป็นตน้ 2) การวิเคราะห์สภาพปัญหาชุมชนและความต้องการของผเู้ รียน เม่ือทาการสารวจ ชุมชนเสร็จแล้ว ข้อมูลท่ีได้จะมีสภาพของชุมชนที่หลากหลาย มีทั้งปัญหาที่เป็นระดับความต้องการ (Want) และปัญหาความจาเป็น (Need) ดังนั้น จะต้องนาปัญหาน้ันมาวิเคราะห์ จัดหมวดหมู่ของ ปัญหา ความเร่งด่วนของปัญหา และข้อมูลเกยี่ วกับทรพั ยากรทม่ี ีอยู่ในชุมชน และนาทรัพยากรใช้ให้ เกิดประโยชน์ *สาหรับการสารวจสภาพของชุมชนและการวิเคราะห์สภาพและความต้องการของ ชุมชน จะได้กล่าวโดยละเอียดในตอนที่ 2 การรวบรวบและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานของคู่มือการ พัฒนาหลักสตู รฯ เล่มน้ี 16
3) เขียนผังหลักสูตร การจัดทาผังหลักสูตรการศึกษาต่อเน่ือง ผังหลักสูตร หมายถึง กรอบความคดิ หัวข้อของหลักสตู ร ในการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน ประกอบดว้ ยหวั ข้อเรอื่ งหรือ หัวข้อเน้ือหาหลักและหัวข้อย่อยท่ีได้จากความต้องการ (เป็นผลจากการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา จากการสารวจมาจากชุมชน) ให้นาหัวข้อความต้องการมาจัดทาผังหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่อง โดย โครงสร้างของผงั หลักสูตร ประกอบด้วย หัวเร่ืองหลัก (Theme) หรือหัวข้อเนื้อหาหลัก เป็นหัวข้อท่ีบอกถึงช่ือเร่ืองใหญ่ ได้ จากกลุ่มความต้องการ (ผลจากการวิเคราะห์สภาพปัญหา) ซึ่งจะคลุมความต้องการย่อย ๆ ใน ขอบข่ายเร่อื งเดียวกนั หัวเร่ืองย่อย (Title) เป็นหัวข้อเร่ืองที่ต้ังจากความต้องการย่อยท่ีอยู่ในกลุ่มความ ต้องการใหญ่ ซ่ึงอาจมหี ลายเร่ือง ในการพิจารณาหัวขอ้ ย่อย ใหพ้ จิ ารณาความต้องการย่อยทว่ี ิเคราะห์ แล้วก่อน ถา้ เร่อื งใดเป็นเรอื่ งกลมุ่ เดยี วกัน โดยรวมเปน็ หัวขอ้ เดยี วกัน การสร้างกรอบหัวเรื่องย่อย จะต้องจัดลาดับเน้ือหาจากง่ายไปสู่เน้ือหาที่ยากขึ้น ตามลาดับ หรือจดั ลาดับจากความเร่งด่วนมากไปเนื้อหาท่ีเร่งด่วนน้อยกว่า การสร้างกรอบหัวเร่ืองย่อย สามารถสร้างเพ่ิมเติม ดังน้ัน ในแต่ละหัวข้อหลักควรมีกรอบว่างไว้ด้วย เม่ือพบปัญหาใหม่ในเรื่อง เดียวกนั กส็ ามารถมาใสก่ รอบเพม่ิ เติมได้ ดังตัวอยา่ ง หวั เรอ่ื งหลัก ตวั อย่างผังหลกั สูตรอาชีพโฮมสเตย์ กรอบหวั เรอ่ื งย่อย กรอบหวั เรอ่ื งย่อย กรอบหวั เรอ่ื งยอ่ ย การบริการที่ การจัดการทพี่ ัก คณุ ภาพและ การพฒั นา พกั และสิง่ และส่ิงอานวย มาตรฐานดา้ นที่ โฮมสเตย์ อานวยความ ความสะดวก สะดวก พกั อาหารและ การจดั เตรยี ม คณุ ภาพและ (กรอบว่าง) โภชนาการ อาหาร มาตรฐานอาหาร สาหรับเพ่มิ เตมิ เนือ้ หา *สาหรับการเขียนผังหลักสูตร จะไดก้ ล่าวโดยละเอียดในหัวข้อการรา่ งหลักสูตรของ คมู่ ือการพฒั นาหลกั สตู รฯ เลม่ นี้ 17
4) เขียนหลักสูตร เป็นการนาผลจากการวิเคราะห์สภาพปัญหาชุมชนและความ ตอ้ งการของผู้เรียน และการเขียนผังหลักสตู ร มาเขียนหลักสูตรการศกึ ษาต่อเนื่อง โดยนาแนวคิดของ ทาบา ท่ไี ด้กาหนดองค์ประกอบของหลักสตู รไว้ 4 ประการ คือ 1) วตั ถุประสงค์ทั่วไปและวัตถปุ ระสงค์ เฉพาะวิชา 2) เนื้อหาวิชาและจานวนช่ัวโมงสอนแต่ละวิชา 3) กระบวนการเรียนการสอน และ 4) การประเมนิ ผลหลกั สูตร มากาหนดโครงสร้างการเขียนหลักสตู รของสานกั งาน กศน. ดงั นี้ (1) ช่อื หลกั สตู ร (2) ความสาคัญ (3) จดุ มงุ่ หมาย (4) วตั ถปุ ระสงค์ (5) เนื้อหาหลักสตู ร (6) เวลาเรียน (7) แหล่งเรียนรูแ้ ละสอ่ื ประกอบการเรียน (8) การวัดและประเมนิ ผลการเรียน (9) ประโยชนท์ ี่คาดวา่ จะได้รับ (10) โครงสรา้ งเนือ้ หาของหลกั สตู ร 5. องค์ประกอบของเอกสารหลกั สตู รการศึกษาต่อเน่ือง สานักงาน กศน. ได้กาหนดโครงสร้างการเขียนหลักสูตรการศึกษาต่อเนื่องไว้ 10 ประการ ตามที่กล่าวไปแล้วข้างต้น สาหรับคมู่ ือการพฒั นาหลกั สูตรฯ เล่มน้ี สถาบัน กศน.ภาคเหนือ ไดป้ รับองคป์ ระกอบของเอกสารหลกั สูตรการศึกษาต่อเน่ือง เพ่ือให้มองเหน็ รายละเอียดของหลกั สูตร ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น รวมถึงการนากรอบการประเมินหลักสูตรไปใช้ประเมินผลหลักสูตร โดยได้กาหนด องคป์ ระกอบของเอกสารหลกั สตู รการศึกษาต่อเนือ่ งไว้ 10 ประการ ดงั น้ี 1) ขอ้ มูลพ้นื ฐานและเหตผุ ลความจาเปน็ ในการจดั หลักสตู ร (ความเป็นมา) 2) หลกั การของหลักสตู ร 3) จุดมุง่ หมายของหลกั สูตร 4) กลุ่มเป้าหมาย 5) ระยะเวลาเรียน (ทฤษฎี/ปฏิบตั ิ) 6) โครงสรา้ งหลักสตู ร 7) รายละเอียดโครงสร้างหลักสตู ร 8) แหล่งเรียนรแู้ ละสอื่ ประกอบการเรียน 9) แนวทางการประเมินผลการเรยี น (รวบยอด) 10) การประเมนิ หลกั สูตร 18
แบบฟอร์มการเขียนหลกั สูตรการศึกษาต่อเน่ือง ชือ่ หลกั สูตร ............................................... จานวน ............... ชั่วโมง สถานศึกษา ......................................................... ข้อมลู พ้นื ฐานและเหตผุ ลความจาเป็นในการจัดหลักสตู ร .................................................................................................................................................. ................................................................................................................................................................ ................................................................................................................................................................ หลกั การของหลกั สตู ร 1. ........................................................................................................ 2. ........................................................................................................ 3. ........................................................................................................ จุดมงุ่ หมายของหลักสูตร 1. ........................................................................................................ 2. ........................................................................................................ 3. ........................................................................................................ กลุม่ เป้าหมาย .................................................................................................................................................. ระยะเวลาเรียน .................................................................................................................................................. 19
โครงสร้างหลกั สตู ร เวลาเรยี น (ชั่วโมง) ทฤษฎี ปฏบิ ตั ิ รวม เรอ่ื งที่ หวั เรอื่ ง 1 หวั เร่ืองหลกั 1) หัวเรื่องยอ่ ย 2) หัวเรื่องย่อย 2 หวั เรือ่ งหลกั 1) หัวเร่อื งย่อย 2) หวั เร่อื งย่อย รวม รายละเอยี ดโครงสรา้ งหลักสูตร เร่ืองท่ี 1 หัวเร่อื งหลกั จดุ ประสงค์การเรยี นรู้ ผูเ้ ข้าอบรมสามารถ 1. .................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .................................................................................................................................... ขอบข่ายเนอ้ื หา ศกึ ษาและฝกึ ทักษะเก่ยี วกบั ………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………….. การจดั กระบวนการเรียนรู้ 1. .................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .................................................................................................................................... ส่ือวสั ดุ และอปุ กรณ์การเรยี นการสอน 1. .................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .................................................................................................................................... 20
เวลาเรียน จานวน ......... ช่วั โมง เครือ่ งมือ การประเมินผล .................................................. .................................................. วิธกี าร 1. ............................................................................... 2. ............................................................................... เรอื่ งที่ 2 หวั เร่อื งหลัก จุดประสงค์การเรยี นรู้ ผู้เข้าอบรมสามารถ 1. .................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .................................................................................................................................... ขอบข่ายเนอ้ื หา ศึกษาและฝกึ ทักษะเก่ียวกับ ………………………………………………………………………………… …………………………………………………………………………………………………………………………………………….. การจดั กระบวนการเรียนรู้ 1. .................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .................................................................................................................................... สือ่ วสั ดุ และอุปกรณก์ ารเรยี นการสอน 1. .................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .................................................................................................................................... เวลาเรียน จานวน ......... ช่วั โมง การประเมินผล วธิ กี าร เครื่องมอื 1. ............................................................................... .................................................. 2. ............................................................................... .................................................. 21
แหลง่ เรยี นรแู้ ละส่อื ประกอบการเรยี น 1. .................................................................................................................................... 2. .................................................................................................................................... 3. .................................................................................................................................... 4. .................................................................................................................................... แนวทางการประเมนิ ผลการเรียน (รวบยอด) เกณฑ์การจบหลักสูตร วธิ ีการ เคร่ืองมือ 1. ..................................... 2. ..................................... 1. .................................................. 1. …………………………………… 2. .................................................. 2. ………………………………….. การประเมินหลักสตู ร ประเมนิ หลักสูตรโดยประเมนิ ครบทง้ั ระบบของหลักสูตร ประกอบด้วย การประเมนิ เอกสาร หลักสตู ร การประเมินผลระบบของหลักสูตร และการประเมินผลผลติ องคป์ ระกอบ รายการประเมนิ วิธกี าร เคร่ืองมอื ระยะเวลา การประเมิน 1. การประเมินเอกสาร หลกั สูตร 2. การประเมินผล ระบบของหลกั สูตร 3. การประเมนิ ผลผลิต เกณฑ์การประเมนิ หลักสตู ร 1. .............................................................................................................................................. 2. .............................................................................................................................................. 3. .............................................................................................................................................. 4. .............................................................................................................................................. *สาหรับขั้นตอนต่าง ๆ ในการดาเนินการจัดทาและพัฒนาหลักสูตรรายวิชาเลือก และหลักสูตรการศึกษาต่อเน่ือง ตามกระบวนการพัฒนาหลักสูตร จะขอกล่าวรายละเอียดใน เนอ้ื หาตอนต่อไปของค่มู ือการพัฒนาหลกั สตู รฯ เลม่ นี้ 22
ตอนที่ 2 การรวบรวมและวิเคราะหข์ ้อมูลพ้ืนฐาน กระบวนการพัฒนาหลักสูตรท่ีได้กล่าวไปในตอนที่ 1 หน้าที่ 5 เป็นการนาเสนอ กระบวนการพัฒนาหลักสูตร 8 ขั้นตอน ซึ่งในตอนที่ 2 การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลพน้ื ฐานนี้ จะ เป็นการเร่ิมดาเนินการจัดทาและพัฒนาหลักสูตร ตามกระบวนการพัฒนาหลักสูตรขั้นที่ 1 รวบรวม/ วเิ คราะห์ข้อมูลพื้นฐาน เพื่อนาผลการวเิ คราะห์ข้อมูลมาร่างหลักสูตร สาหรับตอนที่ 2 น้ี จะเป็นการ ให้ความรู้ในเร่ืองความรู้ทัว่ ไปเกี่ยวกับข้อมูลพื้นฐาน การเก็บรวบรวมขอ้ มูล (เทคนิควิธแี ละเคร่ืองมือ ในการเก็บรวบรวมข้อมูล) การวิเคราะห์ข้อมูล พร้อมตัวอย่างการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อนาผลไปใช้ใน การรา่ งหลักสูตรตอ่ ไป ข้อมลู พน้ื ฐานในการพัฒนาหลกั สตู ร มโนทัศนส์ าคัญ ขอ้ มูลพื้นฐานเป็นข้อมูลในด้านต่าง ๆ ที่จาเป็นซ่ึงนักพัฒนาหลักสูตรจะต้องศึกษาวิเคราะห์ และใชป้ ระกอบการพจิ ารณาในการสรา้ งหรอื จัดทาหลักสตู รในทุกองค์ประกอบของหลกั สูตร อันได้แก่ ข้อมูลทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง การพัฒนาการทางเทคโนโลยี ประวัติศาสตร์การศึกษา หลักสูตรเดิม ข้อมูลจากบุคลากร ได้แก่ บุคคลภายนอก นักวิชาการแต่ละ สาขา ข้อมูลทางธรรมชาตขิ องความรทู้ างปรัชญาและจติ วิทยาการศกึ ษา การศึกษาข้อมูลพ้ืนฐานเป็นข้ันตอนแรกสุดของกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ผลจาก การศึกษาวิเคราะห์ขอ้ มูลดังกล่าว จะนาไปใช้ในกระบวนการพัฒนาหลักสูตรในขัน้ ตอนต่าง ๆ ตง้ั แต่ กระบวนการกาหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร กระบวนการกาหนดเนื้อหาและประสบการณ์การ เรยี นรู้ กระบวนการจัดการกิจกรรมการเรยี นการสอนและกระบวนการประเมนิ ผล เพื่อใหไ้ ดห้ ลักสูตร ทสี่ อดคล้องกบั ความตอ้ งการของผูเ้ รยี นและสงั คม เพราะฉะนั้นในการพัฒนาหลักสตู รระดับตา่ ง ๆ ใน
อนาคตจะต้องศึกษาข้อมูลพื้นฐานในเรื่องต่าง ๆ จากหลาย ๆ แหล่ง และจากบุคคลหลาย ๆ ฝ่าย เพ่ือให้ได้ข้อมูลท่ีแท้จริงมาพัฒนาหลักสูตร สามารถพัฒนาผู้เรียนให้เจริญเติบโตท้ังทางด้าน ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา และอารมณ์ เป็นพลเมืองท่ีมีความรับผิดชอบต่อตนเองและประเทศชาติ หรือกล่าวโดยสรปุ คือสามารถใชห้ ลักสตู รเป็นเครื่องมอื ในการสร้างสงั คมใหมใ่ นทิศทางทถ่ี ูกตอ้ งได้ การพัฒนาหลกั สูตรจาเป็นต้องศกึ ษา วิเคราะห์ สารวจ วิจยั สภาพพ้ืนฐานด้านต่าง ๆ เพอื่ ให้ ได้ข้อมูลอย่างเพียงพอท่ีจะใช้สนับสนุน อ้างอิงในการตัดสินใจดาเนินการต่าง ๆ เพื่อให้ได้หลักสูตร ท่ีดี สามารถพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถ และทัศนคติที่จะนาไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อ ตนเองและสงั คมได้ การพัฒนาหลักสูตรเป็นงานท่ีมีขอบเขตกว้างมาก การท่ีจะจัดหลักสูตรให้มีคุณภาพนั้น ผู้พัฒนาหลกั สูตรต้องศึกษาข้อมูลหลาย ๆ ด้านเพ่ือท่ีจะได้ข้อมูลที่สมจริงไม่ว่าจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับ ตัวผู้เรียน สังคมหรือการเปล่ียนแปลงในด้านต่าง ๆ เพราะข้อมูลเหล่านี้จะช่วยนักพัฒนาหลักสูตรใน เร่ืองต่าง ๆ คอื 1. ช่วยให้มองเห็นภาพรวมว่า ในการจัดทาหลักสูตรน้นั จาเป็นต้องคานึงถงึ ส่ิงใดบา้ งและส่ิง ตา่ ง ๆ เหลา่ นนั้ มอี ิทธพิ ลต่อหลกั สูตรอยา่ งไร 2. ช่วยให้สามารถกาหนดองค์ประกอบของหลักสูตรได้อย่างเหมาะสม เช่น การกาหนด จุดมุ่งหมายของหลักสูตร และการกาหนดเน้อื หาวิชา ฯลฯ 3. ชว่ ยให้สามารถกาหนดยทุ ธศาสตรก์ ารเรียนการสอนได้อย่างเหมาะสมและมปี ระสทิ ธิภาพ 4. ช่วยเพ่ิมพูนความรู้และทักษะในการออกแบบและพัฒนาหลักสูตรอันจะส่งผลให้การ ดาเนินการในอนาคตประสบผลดียง่ิ ข้ึน ข้อมูลต่าง ๆ ท่ีนามาเป็นข้อมูลพ้ืนฐานในการพัฒนาหลักสูตรน้ัน นักการศึกษาทั้ง ต่างประเทศและนกั การศึกษาไทย ได้แสดงแนวทางไว้ดังนี้ 1. เซเลอร์ และอเลก็ ซานเดอร์ กลา่ วถึงข้อมลู พืน้ ฐานในการพฒั นาหลักสตู รไว้วา่ 1) ขอ้ มูลเกย่ี วกับตวั ผู้เรียน 2) ขอ้ มลู เกย่ี วกบั สงั คมซ่ึงสนบั สนุนโรงเรยี น 3) ข้อมูลเกีย่ วกับธรรมชาตแิ ละลักษณะของกระบวนการเรียนรู้ 4) ความรู้ทไี่ ด้สะสมไวแ้ ละความรูท้ ่ีจาเปน็ อย่างยิ่งทตี่ อ้ งให้แกน่ ักเรียน 2. ทาบา กล่าวว่าการพัฒนาหลักสูตรโดยใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์จะต้องคานึงถึงส่ิง ตอ่ ไปนี้ 1) สงั คมและวัฒนธรรม 2) ผ้เู รียนและกระบวนการเรยี น 3) ธรรมชาติของความรู้ 24
3. ไทเลอร์ กล่าวถงึ ส่งิ ท่คี วรพิจารณาในการสร้างจดุ มงุ่ หมายของการศึกษาคอื 1) ข้อมูลเก่ียวกับตัวผู้เรียน ซ่ึงได้แก่ความต้องการของผู้เรียนและความสนใจของ ผ้เู รียน 2) ข้อมูลจากการศกึ ษาชีวิตภายนอกโรงเรียน 3) ข้อมูลที่ได้จากข้อเสนอแนะของผูเ้ ชีย่ วชาญในสาขาต่าง ๆ 4) ข้อมูลทางด้านปรชั ญา 5) ข้อมลู ทางด้านจติ วทิ ยาการเรยี นรู้ 4. จากการรายงานของคณะกรรมการวางพ้ืนฐานการปฏิรูปการศกึ ษา ได้กาหนดข้อมูล ตา่ ง ๆ ในการกาหนดจดุ มง่ หมายทางการศึกษาและในการจดั การศกึ ษาของประเทศดงั นี้ 1) สภาพแวดลอ้ มทางธรรมชาติ 2) สภาพแวดล้อมทางประชากร 3) สภาพแวดล้อมทางสังคม 4) สภาพแวดล้อมทางเศรษฐกจิ 5) สภาพแวดล้อมทางการเมือง 6) การปกครองและการบริหาร 7) สภาพแวดลอ้ มทางศาสนาและวัฒนธรรม 8) สภาพของสอ่ื มวลชนเพ่อื การศึกษา 5. กาญจนา คุณารักษ์ กลา่ วถงึ ขอ้ มลู พ้ืนฐานในการพฒั นาหลักสตู รไว้ดงั นี้ 1) ตัวผูเ้ รียน 2) สงั คมและวฒั นธรรม 3) ธรรมชาตแิ ละคณุ สมบัติของการเรียนรู้ 4) การสะสมความร้ทู ีเ่ พยี งพอและเปน็ ไปได้เพ่ือการใหก้ ารศึกษา 6. ธารง บัวศรี กล่าววา่ ข้อมูลพนื้ ฐานการพัฒนาหลกั สตู รมดี งั นี้ 1) พืน้ ฐานทางปรัชญา 2) พื้นฐานทางสงั คม 3) พื้นฐานทางจติ วิทยา 4) พ้นื ฐานทางความรู้และวทิ ยาการ 5) พน้ื ฐานทางเทคโนโลยี 6) พน้ื ฐานทางประวตั ิศาสตร์ 25
7. สงัด อุทรานนั ท์ กลา่ วถึงขอ้ มูลพื้นฐานในการพัฒนาหลักสูตรไวด้ ังน้ี 1) พนื้ ฐานทางปรชั ญาการศกึ ษา 2) ขอ้ มลู ทางสังคมและวฒั นธรรม 3) พ้ืนฐานเกย่ี วกบั พฒั นาการของผ้เู รียน 4) พ้ืนฐานเกย่ี วกับทฤษฎกี ารเรียนรู้ 5) ธรรมชาตขิ องความรู้ 8. สุมิตร คุณานากร กล่าวถึงข้อมูลต่าง ๆ ในการพัฒนาหลักสูตรจาแนกตามแหล่งที่มา ได้ 6 ประการ คือ 1) ข้อมลู ทางปรชั ญา 2) ข้อมูลที่ได้จากนกั วชิ าการแต่ละสาขา 3) ข้อมลู ที่ได้จากจติ วิทยาการเรียนรู้ 4) ขอ้ มูลที่ได้จากการศกึ ษาสังคมของผูเ้ รยี น 5) ขอ้ มูลทไ่ี ดจ้ ากการศึกษาความตอ้ งการของผ้เู รียน 6) ข้อมูลเกี่ยวกบั พฒั นาการทางเทคโนโลยี 9. สาโรช บัวศรี ได้กล่าวว่า ในการจัดการศึกษาหรือจัดหลักสูตรต้องอาศัยพ้ืนฐาน 5 ประการ คือ 1) พื้นฐานทางปรชั ญา 2) พื้นฐานทางจติ วทิ ยา 3) พน้ื ฐานทางสังคม 4) พน้ื ฐานทางประวัตศิ าสตร์ 5) พนื้ ฐานทางด้านเทคโนโลยี จะเห็นได้ว่า ข้อมูลพื้นฐานท่ีนามาศึกษาเพ่ือพัฒนาหลักสูตรมีมากมายหลายด้าน สาหรับ ประเทศไทยควรจดั ลาดับข้อมลู พ้ืนฐานทีส่ าคญั ในด้านต่าง ๆ ดงั ต่อไปนี้ 1. สังคมและวัฒนธรรม 2. เศรษฐกิจ 3. การเมืองการปกครอง 4. สภาพปัญหาและแนวทางการแกไ้ ขปัญหาสังคม 5. พฒั นาการทางเทคโนโลยี 6. สภาพสังคมในอนาคต 7. บุคคลภายนอกและนักวิชาการแตล่ ะสาขา 26
8. โรงเรียน ชุมชน หรือสังคมท่ีโรงเรียนตั้งอยู่ 9. ประวตั ิศาสตรก์ ารศกึ ษาและหลกั สตู รเดิม 10. ธรรมชาติของความรู้ 11. ปรัชญาการศกึ ษา 12. จติ วทิ ยา ตอ่ ไปนี้จะขอกล่าวถงึ รายละเอียดของข้อมลู พื้นฐานทส่ี าคัญต่อการพฒั นาหลกั สตู ร 5 ด้าน ดงั น้ี 1. ข้อมลู พืน้ ฐานทางด้านสังคมและวฒั นธรรม การศึกษาทาหน้าที่สาคัญคือ อนุรักษ์และถ่ายทอดวัฒนธรรมของสังคมไปสู่คนรุ่นหลัง และปรับปรุงเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมของสังคมให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงทางด้านวิทยาศาสตร์และ เทคโนโลยีต่าง ๆ โดยหน้าที่ดังกล่าวการศึกษาจะช่วยควบคุมการเปล่ียนแปลงสังคมให้เป็นไปใน ทิศทางท่ีพึงปรารถนา เพราะฉะน้ันหลักสูตรที่จะนาไปสอนอนุชนเหล่านั้นจึงต้องมีความเกี่ยวข้อง สัมพนั ธก์ ับสังคมอยา่ งแยกไมอ่ อกดังนั้นการพัฒนาหลักสูตรจึงจาเป็นตอ้ งคานงึ ถึงขอ้ มูลทางสังคมและ วัฒนธรรมท่ีเปน็ ปัจจบุ ันอยเู่ สมอทงั้ นี้ข้ึนอยู่กับความสามารถในการวิเคราะห์ความตอ้ งการใหม่ผลการ วิเคราะห์ออกมาอย่างไรหลักสูตรก็จะเปลี่ยนจุดหมายไปในแนวนั้นสามารถจาแนกข้อมูลให้เห็น ชัดเจนได้ดังนี้ 1.1 โครงสร้างทางสังคม โครงสร้างสังคมไทยแบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ ลักษณะ สังคมชนบทหรือสังคมเกษตรกรรมและสังคมเมืองหรือสังคมอุตสาหกรรม ในปัจจุบันความ เจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมีมาก ดังน้ันการพัฒนาหลักสูตรจาเป็นจะต้องศึกษา โครงสร้างทางสังคมท่ีเป็นอยู่ในปัจจุบัน และแนวโน้มโครงสร้างสังคมในอนาคต เพ่ือที่จะได้ข้อมูลมา จัดการหลักสูตรว่า จะจัดหลักสูตรอย่างไรเพื่อยกระดับการพัฒนาสังคมเกษตรกรรมและเตรียม พนื้ ฐานเพื่อการเปล่ียนแปลงทางดา้ นสงั คมส่กู ารพัฒนาอตุ สาหกรรมตามความจาเปน็ 1.2 คา่ นยิ มในสังคม ค่านิยม หมายถงึ สิ่งทคี่ นในสงั คมเดยี วกันมองเหน็ วา่ มีคณุ ค่าเป็น ที่ยอมรับหรือเป็นที่ปรารถนาของคนท่ัวไปในสังคมนั้น ๆ ดังน้ันการพัฒนาหลักสูตรจึงจาเป็นต้อง ศึกษาค่านิยมต่าง ๆ ในสังคมไทย เป็นหน้าท่ีของนักพัฒนาหลักสูตรที่จะศึกษาและเลือกค่านิยมที่ดี และสอดแทรกไว้ในหลักสูตรและการจัดการเรียนการสอนเพ่ือปลูกฝังและสร้างค่านิยมที่ดีใน สงั คมไทย 1.3 ธรรมชาติของคนในสังคม จากสภาพวัฒนธรรมและค่านิยมของสังคมไทย ทาให้ คนไทยสว่ นใหญ่มีลักษณะบคุ ลกิ ภาพ ดงั ต่อไปนี้ ยึดม่ันในตัวบคุ คลมากกวา่ หลกั การและเหตุผล ยกยอ่ งบคุ คลทม่ี คี วามรู้หรอื ได้รับการศึกษาสูง 27
เคารพและคลอ้ ยตามผมู้ วี ัยวฒุ สิ ูง ยกยอ่ งผมู้ เี งนิ และผมู้ ีอานาจ รกั ความอิสระและชอบทางานตามลาพัง เช่ือโชคลางทางไสยศาสตร์ นยิ มการเลน่ พรรคเล่นพวก มีลักษณะเฉ่ือยชาไม่กระตอื รือร้น ฯลฯ ในการพฒั นาหลักสูตรควรคานงึ ถึงลักษณะธรรมชาติ บคุ ลิกภาพของคนในสงั คม โดย ศึกษาพจิ ารณาว่าลักษณะใดควรจะคงไว้ ลกั ษณะใดควรจะเปล่ยี นแปลงไปในทางที่ พึงประสงค์ของ สภาพสังคมปัจจบุ ัน เพื่อท่ีจะจดั การศึกษาในอันท่ีจะสร้างบุคลิกลักษณะของคนในสังคมตามที่สังคม ตอ้ งการ เพราะหลกั สูตรเปน็ แนวทางในการสร้างลกั ษณะสงั คมในอนาคต 1.4 การชน้ี าสังคมในอนาคต การศึกษาควรมีบทบาทในการชี้นาสังคมในอนาคตด้วย เพราะในอดีตท่ีผ่านมาระบบการศึกษาและระบบพัฒนาหลักสูตรของไทย เป็นลักษณะของการต้ัง รับมาโดยตลอด เช่นการต้ังรับการเปล่ียนแปลงต่าง ๆ เช่น กระแสความเจริญของประเทศทาง ตะวันตก กระแสวิชาการตะวันตก ความต้องการและปัญหาของสังคม จึงทาให้การศึกษาเป็นตัว ตาม เป็นเคร่อื งมือที่คอยพัฒนาตามกระแสของการเปล่ียนแปลงอยู่เสมอ ฉะนั้นการจัดการศึกษาท่ีดี ควรใช้การศกึ ษาเปน็ เคร่อื งมอื ในการพฒั นาประเทศในอนาคตใหเ้ ป็นไปตามเปา้ หมายที่วางไว้ 1.5 ลักษณะสังคมตามความคาดหวัง การเตรียมพัฒนาทรัพยากรให้มีคุณภาพ มี คุณลักษณะ หรือคุณลักษณะอย่างใดอย่างหน่ึงนั้นเป็นเร่ืองไม่คงที่ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มี คุณภาพในการดารงชีวติ จรรโลงสภาพสงั คมในอนาคตให้ดีข้ึน ลกั ษณะประชากรทมี่ ีคุณภาพดี มีดังนี้ มสี ขุ ภาพกาย สุขภาพจิตดี มีอาชีพเพอ่ื เลยี้ งตวั เองและครอบครวั ทาประโยชน์แก่ครอบครัว เป็นสมาชกิ ทีด่ ีของสังคม เป็นพลเมืองทดี่ ขี องชาติ มีสตปิ ัญญา หมั่นเสริมสร้างความรคู้ วามคดิ อย่เู สมอ มีนสิ ยั รักการทางาน ขยัน อดทน ประหยดั ซ่ือสัตยภ์ กั ดี มีมนษุ ยสัมพนั ธ์ และมมี นษุ ยธรรม 1.6 ศาสนาและวัฒนธรรมในสงั คม ศาสนาเป็นเครือ่ งยึดเหน่ียวจิตใจของคนในสงั คม เพราะฉะนั้นสิ่งท่ีบรรจุไว้ในหลักสูตรควรเป็นหลักธรรมในศาสนาต่าง ๆ และควรเปรียบเทียบ หลกั ธรรมของศาสนาเหลา่ นั้น เพ่ือให้ผ้เู รียนไดท้ ราบว่าทุกศาสนามีเป้าหมายสูงสุดร่วมกัน คือสอนให้ คนเป็นคนดี เพ่ือความสงบสุขในการอยู่ร่วมกันในสังคม ส่วนด้านวัฒนธรรมนั้นปัจจุบันมีการ 28
เปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วเพราะวิทยาการต่าง ๆ เจริญก้าวหน้ามาก ในการพัฒนาหลักสูตรจึงต้อง คานงึ ถึงการเปล่ียนแปลงทางวฒั นธรรม การศกึ ษาขอ้ มลู ขั้นพนื้ ฐานทางสงั คมอยา่ งรอบคอบ จะทาให้ เราสามารถนาไปพัฒนาหลกั สูตรทีด่ ีตามลกั ษณะดังต่อไปนี้ สนองความตอ้ งการของสังคม สอดคล้องกับความเป็นจริงในสงั คม เนน้ ในเร่ืองรักชาติรกั ประชาชน แกป้ ญั หาให้สังคม มิใชส่ ร้างปัญหาให้สงั คม ปรับปรุงสังคมให้ดขี ้ึน สรา้ งความสานกึ ในเร่ืองของความเปลย่ี นแปลงทางสังคม ชน้ี าในเรือ่ งการเปลยี่ นแปลงประเพณแี ละคา่ นยิ ม ต้องถา่ ยทอดวัฒนธรรมและจรยิ ธรรม ปลกู ฝงั ในเร่อื งความซือ่ สัตยแ์ ละความยตุ ธิ รรมในสงั คม ให้ความสาคญั ในเรื่องผลประโยชน์ในสังคม 2. ข้อมลู พ้นื ฐานทางเศรษฐกิจ การศึกษาเป็นเครื่องมอื ในการพัฒนาเศรษฐกิจ เพราะการศึกษาเปน็ เคร่ืองมือสาคัญใน การพฒั นาคนซ่ึงเปน็ ส่วนประกอบที่สาคญั ที่สุดในทุกระบบเศรษฐกิจ การพัฒนาหลักสูตรให้เหมาะสม กับพน้ื ฐานทางเศรษฐกิจ ควรพิจารณาประเดน็ ตอ่ ไปนี้ 2.1 การเตรียมกาลังคน การใหก้ ารศึกษาเป็นสิ่งสาคัญในการผลิตกาลังคนในด้านต่าง ๆ ให้เพียงพอและสอดคล้องกับความต้องการในแต่ละสาขาวิชาชีพเพื่อป้องกันการสูญเปล่าทาง การศึกษาและเพ่อื ลดปญั หาการวา่ งงานอันเปน็ อุปสรรคต่อการพฒั นาประเทศ 2.2 การพัฒนาอาชีพ ประเทศไทยพื้นท่ีส่วนใหญ่เป็นพื้นท่ีทางเกษตร และประชากร สว่ นใหญ่เปน็ เกษตรกรอาศัยอยู่ในชนบท ปัจจบุ ันมีการโยกย้ายถ่ินท่ีอยู่เขา้ มาทางานในเมืองใหญ่ ซึ่ง ทาให้เกิดปัญหาอ่ืน ๆ เพราะฉะนนั้ การพัฒนาหลักสตู รควรเน้นการส่งเสรมิ อาชพี ส่วนใหญ่ของคนใน ประเทศเพื่อลดปัญหาช่องว่างระหว่างคนรวยและคนจน ส่ิงเหล่าน้ีเป็นหน้าที่ที่นักพัฒนาหลักสูตร จะต้องรว่ มมอื รว่ มใจกนั จดั ทาหลกั สูตรเพ่อื พัฒนาอาชีพใหบ้ รรลผุ ล 2.3 การขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรม ปัจจุบันประเทศไทยกาลังพัฒนาจาก เกษตรกรรมสู่ภาคอตุ สาหกรรม นักพัฒนาหลักสูตรควรศกึ ษาข้อมูลแนวโน้มและทิศทางการขยายตัว ทางอุตสาหกรรม อุตสาหกรรมด้านไหนควรจะได้รับการพัฒนาหรือเป็นอุตสาหกรรมที่ต้องการและ จาเป็นของสังคมหรือของโลก เพราะฉะน้ันการศึกษาแนวโน้มการขยายตัวทางภาคอุตสาหกรรมจึง เปน็ สง่ิ สาคัญอีกประการหนึง่ ท่ีนกั พัฒนาหลักสตู รจะละเลยเสยี มไิ ด้ 29
2.4 การใชท้ รพั ยากร เศรษฐกิจเป็นเรื่องของการใช้ทรัพยากรท่ีมีอยู่อย่างจากัดให้เกิด ประโยชน์สูงสุด เพื่อสนองความต้องการที่ไม่จากัดของมนุษย์ เพราะฉะนั้นนักพฒั นาหลักสูตรควรให้ ความสาคัญในเร่ืองของทรัพยากรโดยใช้หลักสูตรเป็นเคร่ืองปลูกฝังเก่ียวกับความสาคัญของ ทรัพยากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้รจู้ ักและเข้าใจระบบเศรษฐกิจแบบพอเพยี ง ซ่ึงในจุดนี้นักพัฒนา หลกั สูตรควรจะใหค้ วามสาคญั และคดิ พฒั นาหลกั สูตร 2.5 การพัฒนาคุณลักษณะของบุคคลในระบบเศรษฐกิจของคนไทย การพัฒนา คุณลักษณะของบุคคลในระบบเศรษฐกิจของคนไทยยังขัดแย้งกับความเป็นจริงในระบบเศรษฐกิจ เช่น คนไทยมีรายไดต้ ่าแต่ความตอ้ งการจับจา่ ยในระบบเศรษฐกิจสงู ตามความเจรญิ ทางดา้ นเศรษฐกิจ ทาใหป้ ญั หาหนี้สินลน้ พ้นตัว การใช้การศกึ ษาเขา้ ไปแก้ไขจะเป็นวธิ ีการท่สี าคญั และให้ผลในระยะยาว เพราะฉะนั้นการพัฒนาหลักสูตรต้องคานึงถึงการพัฒนาคุณลักษณะของคนไทยในหลักสูตรจะต้อง บรรจเุ นือ้ หาสาระ และประสบการณ์การเรียนร้ทู มี่ ีการปลูกฝังจิตสานกึ ในความรับผิดชอบรว่ มกัน 2.6 การลงทุนทางการศึกษา การจัดการศึกษาในทุกระดับต้องใช้งบประมาณของ รัฐ โดยเฉพาะการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน การจดั การศกึ ษาควรคานงึ ถึงงบประมาณเพ่ือการศึกษา แหลง่ เงิน ทชี่ ่วยเหลอื รฐั ในรปู งบประมาณ ในการจัดหลักสตู รควรจดั ใหส้ อดคลอ้ งกับงบประมาณของรัฐไม่ว่าใน ด้าน การจัดการเรียนก ารส อน ด้านวัสดุอุปกรณ์ เพ่ือให้การใช้หลักสูตรเป็น ไปอย่างมี ประสิทธิภาพ และตอ้ งคานึงถงึ ผลตอบแทนจากการลงทุนในด้านกาลังคน ปริมาณและคุณภาพ เช่น การพัฒนาหลักสูตรให้เยาวชนมีความสามารถทางด้านคอมพิวเตอร์ การลงทุนด้านอุปกรณ์ คือ คอมพิวเตอร์ การลงทุนในจุดดังกล่าวส่วนหนึ่งอาจเป็นการลงทุนที่สูญเปล่า เพราะฉะน้ันในการ พัฒนาหลกั สตู รควรคานึงถึงการลงทุนทางการศึกษาด้วยวา่ เป็นการลงทุนที่สญู เปล่าหรือไม่ ในอดีตมี ตัวอยา่ งของการพฒั นาหลกั สตู รที่ทาให้เกิดการสูญเปลา่ ทางการศกึ ษาอยเู่ สมอ 3. ข้อมูลพน้ื ฐานทางดา้ นการเมืองการปกครอง การเมืองการปกครองเป็นเร่ืองท่ีเกี่ยวกับการจัดระเบียบการอยู่ร่วมกัน จาเป็นต้องมี ระเบียบแบบแผนให้สังคมยึดถือเป็นแนวปฏิบัติต่อกัน เพ่ือความสงบเรียบร้อยและการอยู่ร่วมกัน อย่างสันติ ดังนั้นการเมืองการปกครองจึงเป็นเรื่องเก่ียวกับบทบาท หนา้ ท่ี สิทธิ และความรับผิดชอบ ท่ีบุคคลพึงมตี อ่ สังคมและประเทศชาติ การเมืองการปกครองมีความสัมพันธ์กับการศึกษา ในฐานะที่การศึกษามีหน้าท่ีผลิต สมาชิกที่ดีใหแ้ ก่สังคม หลกั สตู รจึงควรบรรจุเน้ือหาวชิ าและประสบการณ์ท่จี ะปลูกฝังใหป้ ระชากรอยู่ ร่วมกันในสงั คมได้ดว้ ยความเป็นระเบียบเรียบรอ้ ยและสันตสิ ุข 30
ขอ้ มูลที่เกีย่ วกับการเมืองการปกครองที่ควรจะนามาเป็นพื้นฐานประกอบการพิจารณา ในการพัฒนาหลักสตู รก็คอื ระบบการเมือง และระบบการปกครอง นโยบายของรัฐ และรากฐานของ ประชาธปิ ไตย ฯลฯ เป็นต้น 3.1 ระบบการเมืองการปกครอง เนื่องจากการศึกษาเป็นเครื่องมืออันหน่ึงของสังคม ดงั นนั้ การศึกษากับระบบการเมืองการปกครองจงึ แยกกันไม่ออก หลักสตู รจงึ มักจะบรรจุเน้อื หาสาระ ของระบบการเมืองการปกครองไว้ เพ่ือสร้างความเขา้ ใจให้ประชาชนอยู่รว่ มกันในสังคมได้ด้วยความ เป็นระเบียบเรียบร้อย เพราะฉะน้ันในการพัฒนาหลักสูตรควรเลือกเนื้อหาวิชา ประสบการณ์การ เรียนรู้ และการจัดใหม้ ีการเรยี นการสอนเกีย่ วกับระบบการเมอื งการปกครองที่ต้องการปลกู ฝงั 3.2 นโยบายของรัฐ เน่ืองจากการศึกษาเป็นส่วนหน่ึงของระบบสังคม จึงมีความ จาเปน็ ต้องสอดคล้องกับระบบอืน่ ๆ ในสังคม การท่ีจะให้ระบบต่าง ๆ สามารถเก้ือหนนุ ส่งเสริมซ่ึงกัน และกัน จึงจาเป็นจะตอ้ งมกี ารประสานสัมพนั ธ์ระหวา่ งระบบ รัฐบาลจงึ ต้องมีนโยบายแห่งรัฐเพื่อเป็น แนวทางในการดาเนินงานของระบบต่าง ๆ ให้มีความต่อเน่ืองและสอดคล้องซ่ึงกันและกัน นโยบาย ของรัฐที่เห็นได้ชัด คือ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ แผนพัฒนาการศึกษาในการพัฒนา หลักสูตรควรจะได้พิจารณานโยบายของรัฐด้วย เพอื่ ทีจ่ ะไดจ้ ดั การศกึ ษาให้สอดคลอ้ งกัน 3.3 รากฐานของประชาธิปไตย จากการที่ประเทศไทยได้เปล่ียนแปลงการปกครอง จากระบอบสมบูรณาญาสทิ ธิราชยม์ าเปน็ ระบอบประชาธิปไตยในปี พ.ศ.2475 นัน้ ความรคู้ วามเข้าใจ ตลอดจนความรูส้ ึกนึกคิดต่าง ๆ เกีย่ วกบั ประชาธปิ ไตยในสังคมไทยยงั ไมเ่ พียงพอ หลักสูตรในฐานะท่ี เป็นเคร่ืองมือสาหรับพัฒนาคนควรท่ีจะได้วางรากฐานท่ีเกี่ยวกับประชาธิปไตยให้แก่สังคม เพ่ือให้มี ความรู้ความเข้าใจอันถูกต้องซึ่งจะสร้างสรรค์ใหท้ ุกคนอยู่ร่วมกันในสงั คมได้อย่างสันติสุข นอกจากนี้ การจดั การเรียนการสอนก็ควรมุ่งเน้นพฤติกรรมประชาธปิ ไตยด้วย การศึกษาจึงควรมีบทบาทสาคัญ ในการปรับปรุงแก้ไข การจัดการเรียนการสอนควรเน้นเร่ืองความรับผิดชอบต่อบ้านเมือง ให้ ประชาชนรู้หน้าท่ีของตนเองในระบอบประชาธิปไตย ทั้งที่ศึกษาอยู่ในระบบและนอกระบบหรือจบ การศึกษาแล้วได้ศึกษาและนาไปปฏิบัติจริง เพ่ือให้สอดคล้องกับนโยบายท่ีว่า การศึกษา คือ กระบวนการต่อเนื่องตลอดชีวติ เพื่อเป็นการวางรากฐานทางด้านประชาธิปไตย การจัดการศึกษาให้เหมาะสมกับระบบ การเมืองการปกครองแบบประชาธิปไตย ควรจดั ตามลาดบั ดังนี้ 1) การจดั การศึกษาใหเ้ ทา่ เทียมทั่วถงึ 2) ให้อานาจการจดั การศกึ ษากระจายไปในท้องถ่นิ 3) ใหเ้ สรีภาพและเสถยี รภาพแกบ่ ุคคล ให้โอกาสแสดงความคดิ เห็น 4) การเรียนการสอนควรส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย ให้โอกาสผู้เรียนแสวงหา ความรู้ 31
5) สง่ เสริมการแก้ปญั หาดว้ ยตนเอง 6) จัดหลกั สตู รใหย้ ืดหยนุ่ ไดง้ า่ ย 7) เนน้ วชิ ามนษุ ยสัมพนั ธ์และจรยิ ธรรมเปน็ พิเศษ นอกจากน้ันการปลูกฝังอบรมสั่งสอนนักเรียน ก็มีส่วนสาคัญที่จะช่วยให้ประชาธิปไตย ของไทยมคี วามเป็นประชาธิปไตยยงิ่ ขึ้นด้วยวิธีการดังตอ่ ไปนี้ ชใ้ี ห้เห็นประโยชนข์ องประชาธิปไตยโดยการใหค้ าแนะนาและฝึกปฏิบตั ิ สรา้ งนิสัยใหม้ คี วามกระตอื รอื ร้น สนใจเหตุการณบ์ า้ นเมอื ง ปลูกฝังการมวี นิ ยั และเคารพสทิ ธเิ สรีภาพของผู้อ่นื ฝกึ การเคารพกฎเกณฑต์ า่ ง ๆ อยา่ งเข้มงวด กระตุ้นและปลูกฝังให้มีความตั้งใจเรียน ซื่อสัตย์ รับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครวั และประเทศชาติ ฝกึ ให้สนใจและรว่ มกันพจิ ารณาปญั หาตา่ ง ๆ ของสังคมและหาทางแก้ไข หาโอกาสใหค้ วามร่วมมอื ประกอบกิจกรรมเพอ่ื ประโยชนข์ องสว่ นรวม ชว่ ยแก้ไขคา่ นิยมในสงั คมและสร้างคา่ นิยมท่ีดแี ละเหมาะสม ปลกู ฝงั ทัศนคตทิ ่วี ่าการเมืองเป็นเรอ่ื งการใหค้ วามรว่ มมือ และการช่วยชาตเิ พ่ือ บคุ คลรนุ่ ใหม่จะไดเ้ ป็นนกั การเมืองท่ีดี ใหค้ วามรู้และกระต้นุ ให้สนใจการเมอื งโดยคานึงถึงหลักการ วิธีการ สิทธหิ นา้ ที่ ในฐานะพลเมอื งของประเทศ ปลูกฝังให้มีความพร้อมท่ีจะมีส่วนร่วมในกระบวนการทางการเมอื งท้ังในระดับ โรงเรยี น ทอ้ งถ่นิ และประเทศชาติ ปลูกฝังให้ผู้เรียนมีแนวคิดว่าทุกคนควรมีบทบาททางการเมือง และการเมือง เป็นเรือ่ งทีเ่ กย่ี วข้องกบั ทกุ คน เนน้ ใหเ้ ห็นความสาคญั ของการไปใชส้ ทิ ธ์เิ ลือกตง้ั 4. ข้อมลู พื้นฐานทางวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ความเจริญก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทาให้สังคมเปลี่ยนไป ผู้เรียน เกิดความจาเป็นต้องเพ่ิมความรู้ ทักษะใหม่ และต้องเปล่ียนแปลงเจตคติใหม่ ทาให้เกิดความ จาเป็นต้องสรา้ งคุณธรรมและความคิดใหม่เพ่ือให้คนในสังคมสามารถปรบั ตัวเขา้ กับการเปลีย่ นแปลง ของสงั คมได้ โดยการใชก้ ารศกึ ษาทาหน้าทส่ี ร้างประชาชนท่ีมีคณุ ภาพและมีความสามารถที่จะปรบั ตัว เขา้ กบั สังคมท่ีมีความเจริญทางดา้ นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยไี ด้อย่างเหมาะสม หลักสตู รท่ีนามาใช้ จงึ จาเปน็ ตอ้ งมีความสอดคลอ้ ง 32
5. ข้อมูลพ้ืนฐานทางสภาพปญั หา และแนวทางการแกไ้ ขในสงั คม สภาพปัญหา และแนวทางหาการแก้ไขในสังคม เป็นข้อมูลพื้นฐานท่ีสาคัญที่ต้องศึกษา สังคมไทยในปัจจุบนั กาลงั ประสบปัญหายุ่งยากหลายประการ ซงึ่ ปัญหาต่าง ๆ นั้น มีทั้งระยะส้ันระยะ ยาว และการแกป้ ัญหากอ็ าจทาชว่ั คราวหรืออยา่ งถาวร การจัดการการศึกษาเพอ่ื แกป้ ญั หาดงั กลา่ วจึง เป็นเรอื่ งสาคัญ ท่ีนักพฒั นาหลกั สูตรจะตอ้ งศกึ ษา แลว้ นามาสร้างเปน็ หลักสตู ร ปัญหาสาคัญ ๆ ทคี่ วร ศึกษา คอื 5.1 ปญั หาทางด้านส่งิ แวดลอ้ ม การขยายตัวของอุตสาหกรรม และการใช้เทคโนโลยี ทาให้เกิดปัญหาสภาวะทาง ส่ิงแวดล้อมทางธรรมชาติในสังคมไทย เช่น ปัญหาการทาลายป่า ปัญหาความเส่ือมโทรมของดิน ปญั หาน้าเสีย และอากาศเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม เปน็ ต้น ปัญหาข้างตน้ น้ันสมควรท่ีจะได้ศกึ ษา ถึงสภาพปัญหาและแนวทางแก้ไขเพ่ือนาไปเป็นข้อมูลในการจัดการศึกษาและพัฒนาหลักสูตร เช่น การกาหนดเน้ือหาในเรื่องสภาพแวดล้อม การอนุรักษ์สภาพแวดล้อม การใช้ทรัพยากรธรรมชาติท่ี ฉลาด ซ่ึงส่งิ เหล่านที้ จ่ี ะปลูกฝงั ความรับผดิ ชอบให้เกิดขึ้นต่อผูเ้ รียน 5.2 ปญั หาทางดา้ นสงั คม ในปัจจุบันในสังคมไทยมักจะเกิดข้ึนหลังจากการเปล่ียนแปลงของสังคม ซึ่งมี สาเหตุมาจากความเจริญทางวัตถุและวัฒนธรรมตะวันตกที่หล่ังไหลเข้ามาอย่างรวดเร็วด้ วยอิทธิพล ของการสื่อสาร เฉพาะในวยั หนุ่มสาว ซ่ึงจะก่อให้เกิดความขัดแย้งทางด้านความคิดระหว่างหนุ่มสาว กับผู้ใหญ่ท่ียึดมั่นวัฒนธรรมเดิม ทาให้เกิดปัญหาเก่ียวกับยาเสพติด ปัญหาทางเพศ ปัญหา อาชญากรรม ซ่งึ การศึกษาปญั หาเหลา่ นี้จะเปน็ ข้อมลู ในการจัดหลกั สูตรเพอ่ื เตรียมเยาวชนให้สามารถ ดารงอยูใ่ นสังคมอยู่ในสงั คมที่เปล่ียนแปลงได้อยา่ งมีความสขุ และไม่เกิดปญั หา 5.3 ปญั หาด้านเศรษฐกิจ โดยพื้นฐานประเทศไทยเป็นประเทศเกษตรกรรม ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีฐานะ ยากจนและมีการศึกษาต่า ประชาชนเกิดการว่างงาน การย้ายถ่ินฐานทากินจากชนบทสู่เมือง ส่ิง เหล่าน้ีเป็นปัญหาทางเศรษฐกิจท่ียาวนานของประเทศ เพราะฉะนั้นในการพัฒนาหลักสูตรควรได้ ศึกษาปัญหาทางด้านเศรษฐกิจท้ังในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เพื่อท่ีจะได้นาข้อมูลทางเศรษฐกิจที่ ได้มาจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับทรัพยากรทางธรรมชาติ และแนวโน้มการพัฒนาเศรษฐกิจของ ประเทศ โดยกาหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร การสร้างหลักสูตรรายวิชา เพ่ือให้ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถและประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจทาให้ผู้ที่จบการศึกษาในระดับต่าง ๆ สามารถออกไป 33
ประกอบอาชีพ และสามารถดารงอยู่ได้ในสังคมท่ีมกี ารเปล่ียนแปลงทางเศรษฐกิจ โดยไมเ่ ป็นปัญหา หรอื ภาระของสังคม 5.4 ปญั หาด้านการเมอื งการปกครอง สภาพปัญหาด้านการเมืองการปกครองของไทยเป็นมายาวนาน สมควรทก่ี ารศึกษา จะเข้าไปมีบทบาทในการพัฒนาทางด้านการเมือง คือ การให้ความรู้และปลูกฝังในเรื่องของ ประชาธิปไตย เพราะประชาชนทั่วไปโดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนในท้องถ่ินชนบทยงั มีความรูค้ วาม เข้าใจเก่ียวกับประชาธิปไตยไม่ดีพอ นอกจากนั้นประชาชนส่วนใหญ่ยังขาดความสานึกและความ รับผิดชอบต่อวิถีทางแบบประชาธิปไตย ซึ่งจะเห็นได้จากการเข้าไปมีบทบาททางดา้ นการเมอื งยังเป็น เรือ่ งของคนกลุ่มน้อย ในเม่ือผู้ได้รบั การศึกษาที่มีความรู้ความเข้าใจในเรอ่ื งประชาธปิ ไตยเป็นอยา่ งดี ยังขาดความสานึกและความรับผิดชอบเช่นนี้ จึงควรที่นักพัฒนาหลักสูตรจะได้ตระหนักและพัฒนา หลกั สูตร เน้ือหาวิชาหรือกิจกรรมการเรียนการสอนให้สามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีจิตสานึกและความ รบั ผดิ ชอบต่อการเมืองการปกครองของประเทศ ซ่ึงเป็นหน้าที่ของนกั พัฒนาหลักสตู รจะต้องพิจารณา ปญั หาเพ่ือนาไปสู่การตัดสินใจเลือกทิศทางในการพัฒนาหลักสูตรเพื่อสร้างคนที่เป็นประโยชน์แก่สังคม หรือคนทจี่ ะไปพัฒนาหรอื แกป้ ญั หาสงั คมต่อไป ขน้ั ตอนในการพิจารณาปัญหาและแนวทางแกไ้ ข มดี ังน้ี 1) พิจารณาปญั หาทร่ี ะบบการศกึ ษาอานวยในการปรับปรุงให้ดยี ง่ิ ข้ึน 2) พิจารณาสาเหตุ ขอ้ เท็จจรงิ สภาพปัญหา 3) พิจารณาวิชา เนอ้ื หาและประสบการณ์การเรยี นร้ทู ่ีเหมาะสม 4) พจิ ารณากิจกรรมการเรียนการสอนทีเ่ หมาะสม ตวั อยา่ งการวเิ คราะห์ข้อมลู พน้ื ฐานสภาพปัญหา และแนวทางแกไ้ ขในสงั คม สภาพปัญหา สาเหตุ แนวทางแกไ้ ข 1. ด้านสงั คมวฒั นธรรม - การเปลยี่ นแปลงทางดา้ น - การสร้างความสานกึ และเข้าใจ - การแพร่ระบาดของยา เทคโนโลยีทาให้สังคม/ ในเรอ่ื งของความเปล่ยี นแปลงทาง เสพตดิ - การเกดิ อาชญากรรม วฒั นธรรมเปล่ียนแปลงไป สงั คม - ปัญหาทางเพศ สง่ ผลกระทบให้เกดิ ปญั หาทาง - การส่งเสริมค่านยิ มที่ยึดมนั่ สงั คมข้นึ อยา่ งมากมาย คุณธรรมจรยิ ธรรม วฒั นธรรมที่ดี งาม ในการดารงชวี ติ เพ่อื ให้ สามารถปรับตวั อยู่ในสังคมทม่ี ีการ เปล่ยี นแปลงไดอ้ ย่างมคี วามสุข 34
สภาพปัญหา สาเหตุ แนวทางแก้ไข 2. ดา้ นการศึกษา -การจดั การเรียนการสอนยงั - การส่งเสริมการจัดกระบวนการ - ผลสมั ฤทธท์ างการ เรยี นต่าแสดงถึงคุณภาพ ไมใ่ หค้ วามสาคัญกบั เรยี นร้ทู เี่ ปิดโอกาสให้ผเู้ รยี นคิดเป็น การศึกษาพ้ืนฐานตกตา่ กระบวนการเรยี นรูแ้ ละการ รจู้ กั แสวงหาความรู้ แสวงหา - ผจู้ บการศึกษาไม่ วดั ประเมินผลทเี่ น้นผเู้ รยี น แนวทางแก้ปัญหาดว้ ยตนเองได้ สามารถนาความรู้ไปปรับใช้ เป็นสาคญั หรือแกป้ ัญหาทต่ี ้องเผชิญได้ ดว้ ยตนเอง 3. ดา้ นเศรษฐกิจ - ประชาชนสว่ นใหญ่มี - ค่าใชจ้ ่ายในครัวเรือนสงู ผนั - การสง่ เสรมิ การเรียนรูแ้ ละความ ฐานะยากจน มีผูว้ ่างงาน ผวนไปตามความเจริญ ตระหนักในการใชท้ รพั ยากรที่มีอยู่ เกิดภาวะหนส้ี ิน และมีการ ทางดา้ นเศรษฐกิจและการ ใหเ้ กิดประโยชนส์ ูงสุดอยา่ งค้มุ คา่ ยา้ ยถ่ินไปทางานในเมอื ง ขยายตวั ทางดา้ นอุตสาหกรรม ใหญเ่ พิม่ ข้ึน ก่อให้เกดิ ปัญหาทางสังคมตา่ ง ๆ มากมาย 4. ด้านสิ่งแวดลอ้ ม - การสง่ เสริมการเรยี นรู้ - การตัดไม้ทาลายป่า - การขยายตัวทางดา้ น คุณประโยชนด์ ้านการอนุรักษ์ ความเสอ่ื มโทรมของดิน น้า อุตสาหกรรมและการใช้ เสยี และอากาศเป็นพิษ เทคโนโลยี ทรัพยากร/สิ่งแวดลอ้ มใหค้ งอยู่ ส่งผลกระทบต่อ อยา่ งยงั่ ยืน สภาพแวดล้อม และการ ดารงชวี ิตประชาชนอยา่ ง ต่อเน่อื ง 5. ดา้ นการเมืองการ - ความรู้สกึ นึกคิดต่าง ๆ - การปลกู ฝงั ให้ประชาชนอยู่ ปกครอง - ความขดั แย้งและการ เกีย่ วกับประชาธิปไตยใน ร่วมกนั ในสังคมด้วยความเปน็ แบง่ แยกของคนในสังคม สงั คมไทยยงั มไี มเ่ พียงพอ ระเบียบเรยี บรอ้ ยและสันตสิ ขุ - การสง่ เสริมการเรียนรูร้ ะบบ 35
สภาพปัญหา สาเหตุ แนวทางแกไ้ ข การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล การเมอื งการปกครองและรากฐาน ของประชาธิปไตย - การปลกู ฝังให้ประชาชนปฏบิ ัติ หนา้ ทพี่ ลเมืองและการเปน็ สมาชิก ทีด่ ขี องสังคม ขอ้ มลู (Data) ขอ้ มูล (Data) คือ ข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดของสิ่งต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นตัวเลขหรือข้อความ เกี่ยวกับสง่ิ ใดสงิ่ หน่งึ ทจี่ ะนามาเป็นหลกั ฐานในการหาขอ้ ยตุ ิเป็นคาตอบต่อสิง่ ทต่ี อ้ งการศึกษา ประเภทของขอ้ มลู (Type of Data) ขอ้ มลู จาแนกตามลักษณะได้ดังน้ี 1. จาแนกตามวิธกี ารเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเปน็ เกณฑ์ สามารถแบง่ ข้อมูลออกเป็น 2 ชนดิ คือ 1.1 ข้อมูลปฐมภูมิ (Primary data) เป็นรายละเอียดหรือข้อเท็จจริงที่เก็บรวบรวมมา จากแหล่งข้อมูลโดยตรง ข้อมูลประเภทน้ี โดยมากจะได้มาจากการจดบันทึกจากแหล่งโดยตรง เช่น การสัมภาษณ์ การสารวจ การทดลอง เปน็ ต้น 1.2 ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary) เป็นรายละเอียดหรือข้อเท็จจริงท่ีผู้หน่ึงผู้ใดหรือกลุ่ม หนึ่งกลุ่มใดได้ทาการรวบรวมหรือเรียบเรียงไว้แล้ว ผู้ใช้ข้อมูลก็นาข้อมูลเหล่าน้ันมาเป็นหลักฐานใน การสรุปผลการศึกษา/วิจยั 2. จาแนกตามคุณสมบตั ิของข้อมลู เป็นเกณฑ์ สามารณแบง่ ข้อมลู ออกเป็น 2 ชนดิ คือ 2.1 ข้อมูลปรนัย (Objective data) เป็นข้อมูลที่ได้มาจากความจริง โดยไม่ต้องผ่าน กระบวนการท่ีจะทาให้เปลี่ยนรูปหรือเปลี่ยนความหมาย เช่น ถา้ อยากทราบความสูงของโต๊ะ ก็ใช้ไม้ บรรทัดวัดได้โดยตรง ข้อมูลประเภทนีม้ ักเป็นขอ้ มูลในระดับอตั ราสว่ น 2.2 ข้อมลู อตั นัย (Subjective data) เป็นข้อมูลท่ีได้จากการแปลความ หรือตีความของ ผเู้ ก็บข้อมูลอีกทหี นง่ึ เน่ืองจากเครื่องมอื ในการวดั ไมม่ ีกระบวนการในการตดั สินใจในตัวเอง เช่น การ ตีความหมายจากการสงั เกต การแสดงออกของนักเรยี น เปน็ ต้น 36
3. จาแนกตามคา่ การวดั ของขอ้ มลู เป็นเกณฑ์ สามารถแบ่งข้อมูลออกเป็น 2 ชนิด คือ 3.1 ขอ้ มูลเชงิ ปรมิ าณ (Quantitative data) เป็นขอ้ มูลที่สามารถวัดออกมาเป็นจานวน หรือตัวเลขได้โดยตรง เช่น จานวนนักเรียนในแตล่ ะโรงเรยี น คะแนนผลการสอบของนักเรียน เปน็ ต้น 3.2 ข้อมูลเชิงคุณภาพ (Qualitative data) เป็นข้อมูลที่แสดงถึงคุณลักษณะหรือคุณ ค่าท่ีเป็นคุณภาพสว่ นใหญ่ ไดแ้ ก่ ข้อมลู นามบญั ญัติ เชน่ เพศ อาชีพ ศาสนา ฯลฯ 4. จาแนกตามแหลง่ ของขอ้ มลู เป็นเกณฑ์ สามารถแบง่ ข้อมูลออกเป็น 3 ชนดิ คอื 4.1 ข้อมูลส่วนบุคคล (Personal data) เป็นข้อมูลรายละเอียดส่วนตัวของบุคคลหรือ ของกล่มุ ตัวอย่างท่จี ะศึกษา เชน่ ชอื่ เพศ อายุ ระดับการศกึ ษา เป็นตน้ 4.2 ขอ้ มูลส่งิ แวดล้อม (Environmental data) เป็นรายละเอยี ดส่วนประกอบภายนอก ของบุคคล ได้แก่ สภาพแวดล้อมของบุคคล หรือของกลุ่มตัวอย่าง เช่น สถานศึกษา ท่ีอยู่อาศัย การ ประกอบอาชีพ เป็นต้น 4.3 ข้อมูลพฤติกรรม (Behavioral data) เป็นข้อมูลที่เป็นคุณลักษณะต่าง ๆ ท่ีบุคคล แสดงออกมา ได้แก่ ความคิด ความรูส้ กึ การกระทาตา่ ง ๆ เป็นตน้ ซ่ึงไมส่ ามารถวัดได้โดยตรง เพราะ มลี ักษณะเป็นนามธรรม ต้องใช้การวัดทางอ้อม โดยอาศัยเคร่ืองมือต่าง ๆ และตอ้ งเป็นเครอื่ งมือท่ีมี ประสิทธิภาพสงู โดยทวั่ ไปในทางสังคมศาสตร์ แบง่ ข้อมลู ออกเป็น 3 ประเภท คอื 1. ข้อมูลในด้านความรู้ ความคิด หรือด้านพุทธิปัญญา (Cognitive Domain) ได้แก่ ข้อมูล เกี่ยวกบั ความรู้ ความสามารถ สตปิ ัญญา และความถนดั ต่าง ๆ 2. ขอ้ มูลในด้านอารมณห์ รอื จิตพิสัย (Affective Domain) ได้แก่ ความรูส้ ึกนึกคิด ทศั นคติ เป็นต้น 3. ข้อมูลในดา้ นทกั ษะหรือทักษะพิสยั (Psychomotor Domain) ได้แก่ ข้อมลู เก่ยี วกบั การ แสดงออก การปฏบิ ตั ิ และพฤตกิ รรมตา่ ง ๆ ข้อมูลหรือข้อเท็จจริงแต่ละประเภทที่ต้องการรวบรวม อาจจะมาจากแหล่งต่าง ๆ เช่น นกั เรยี น ครู อาจารย์ ผู้บรหิ าร ผปู้ กครอง ประชาชน ครอบครัว ชมุ ชน หลักฐานของพฤติกรรม 37
เทคนคิ วธิ แี ละเคร่อื งมอื ในการเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล เทคนคิ วิธกี ารเกบ็ รวบรวมข้อมูล การเก็บรวบรวมข้อมูล จัดเป็นขั้นตอนหน่ึงในการพัฒนาหลักสูตรที่มีความสาคัญ และ สามารถสะท้อนให้เห็นถึงคณุ ภาพของการพัฒนาหลักสูตร ดังน้ันนักพัฒนาหลักสูตรจึงต้องใส่ใจและ ให้ความสาคัญกับเทคนิควิธี และขั้นตอนต่าง ๆ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเป็นอย่างมากเพ่ือให้ได้ ข้อมลู ท่ถี ูกตอ้ งนา่ เชือ่ ถอื เทคนิควิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ช่วยให้นักพัฒนาหลักสูตรสามารถเก็บรวบรวมข้อมูลเพ่ือ นาไปใชป้ ระโยชนใ์ นการพฒั นาหลกั สูตรได้อย่างเป็นระบบ การเก็บรวบรวมข้อมูลอย่างเปน็ ระบบ ทา ใหเ้ ราสามารถได้ขอ้ มลู ทเี่ กี่ยวกับส่งิ ทีเ่ รากาลงั ศึกษา ซ่งึ อาจจะเป็นคน วตั ถุ ปรากฏการณ์ หรือสภาพ ที่เรากาลังศึกษา ในการพัฒนาหลักสูตร หากข้อมูลถูกเก็บรวบรวมมาได้ด้วยวิธีการท่ีไม่มีระบบ ระเบียบ หรือแบบแผนที่ดี ก็จะเป็นการยากที่นักพัฒนาหลักสูตรจะสามารถนาข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ ประโยชนเ์ พ่อื การพฒั นาหลักสูตรท่ีตอบสนองตอ่ สภาพปญั หาและความต้องการ โดยท่ัวไป เทคนิควิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลที่นิยมใช้มีหลายวิธี ในคู่มือการพัฒนา หลักสูตรฯ เล่มน้ี จะกล่าวเฉพาะวิธีที่สาคัญ 6 วิธี ได้แก่ 1) การใช้ข้อมูลเดิมท่ีมีอยู่แล้ว 2) การ สังเกต 3) การสัมภาษณ์ 4) การสอบถาม 5) การสนทนากลมุ่ และ 6) การทดสอบ 1. การใชข้ ้อมลู เดมิ ท่ีมอี ยูแ่ ลว้ ในสถานการณ์ทางานทั่วไป เราสามารถพบได้ว่า มีข้อมูลเดิมมากมายท่ีเราสามารถ นามาใช้ศึกษาวิเคราะหไ์ ดโ้ ดยไม่จาเป็นต้องออกสารวจหรือเก็บรวบรวมขอ้ มูลใหม่ หรอื บอ่ ยคร้งั ท่ีอาจ มผี ทู้ ีไ่ ด้ทาการเก็บรวบรวมข้อมูลบางประการไว้แล้วภายใตภ้ ารกิจหรือบทบาทหน้าทีข่ องพวกเขา โดย ทีพ่ วกเขาไม่ได้นาข้อมูลเหล่าน้ันมาทาการศกึ ษาวเิ คราะห์หรือเผยแพร่แต่อย่างใด ดังนนั้ นักวิจัยหรือ นักพัฒนาหลักสูตรมือใหม่ อาจเริ่มต้นจากการมองหาข้อมูลในลักษณะดังกล่าวนี้ เพื่อมาพัฒนาเป็น งานวจิ ัยหรอื พัฒนาหลักสูตรของตนเอง เช่น การนาผลการประเมนิ สถานศึกษาของ สมศ. มาใช้เป็น ข้อมูลพน้ื ฐานการวจิ ยั หรือการพัฒนาหลกั สูตรของสถานศกึ ษา เปน็ ต้น การใช้ “ผู้รู้” หรือ “ภูมิปัญญาท้องถิ่น” เป็นอีกเทคนิควิธีหนึ่งของการเก็บรวบรวม ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลทม่ี ีอย่แู ลว้ สิง่ สาคัญสาหรับเทคนิควธิ กี ารใช้ขอ้ มลู ทีม่ อี ยู่แล้วนัน้ อยู่ที่การออกแบบเคร่อื งมือเพ่ือการ เก็บรวบรวมข้อมูลอย่างเหมาะสม โดยนักวิจัยจาต้องดาเนินการอย่างเป็นระบบ และมีการวางแผน อยา่ งรอบคอบและชัดเจน ขอ้ ดีของการเก็บรวบรวมข้อมูลเดิมท่ีมีอยู่แล้วคือเร่ืองของความประหยัด ทั้งในรูปแบบ ของตัวเงนิ และเวลา อย่างไรกต็ ามการใช้ข้อมูลเดิมที่มีอยู่แล้วซ่ึงเป็นขอ้ มูลข้ันรองหรือข้อมลู ทุติยภูมิ 38
(Secondary data) อาจมีจุดอ่อนการเข้าถึงแหล่งข้อมูลอาจเป็นอุปสรรคสาหรับการเก็บรวบรวม ข้อมูลด้วยวิธีการแบบนี้ และในบางกรณีข้อมูลท่ีได้อาจมีปริมาณน้อย ไม่สมบูรณ์ หรือขาดการจัด หมวดหมู่ ทาให้มคี วามย่งุ ยากต่อการใช้งาน 2. การสงั เกต การสังเกต เป็นเทคนิควิธีหนึ่งของการเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งผู้ให้ข้อมูลโดยตรง นบั วา่ เป็นขอ้ มลู ปฐมภมู ิทม่ี ีความสาคญั ต่อการวจิ ยั หรือการพัฒนาหลกั สตู รอยา่ งมาก เพราะเป็นขอ้ มูล ที่เชื่อถือได้ ตรงตามความต้องการของผู้วิจัยหรือผู้พัฒนาหลักสูตร เป็นข้อมูลที่เก่ียวข้องกับการ คดั เลือก การเฝ้าดู และการจดบันทึกลักษณะพฤติกรรม หรือความเป็นไปของส่ิงหรอื เรื่องที่เราศกึ ษา อย่างเป็นระบบ การสังเกตพฤติกรรมของมนุษย์ จัดเป็นเทคนิควิธีหนึ่งของการเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น การสังเกตพฤติกรรมของผู้บริหารสถานศึกษา ของครูผู้สอน หรือของผู้เรียนในสถานศึกษา ใน ประเดน็ ใดประเด็นหนึ่ง เปน็ ตน้ โดยท่วั ไปการสังเกตพฤติกรรมสามารถดาเนินการไดด้ งั นี้ การสังเกตแบบมีส่วนร่วม เป็นการสังเกตที่ผู้วิจัยหรือผู้ที่ทาหน้าที่เก็บรวบรวม ข้อมูลจะต้องเข้าไปเป็นส่วนหน่ึงของสถานการณ์ท่ีเราต้องการจะสังเกต เช่น ผู้บริหารสถานศึกษา เข้าไปสังเกตพฤติกรรมการสอนของครูในขณะปฏิบัติหน้าท่ีภายใต้บทบาทหน้าที่การให้การนิเทศ ภายในสถานศกึ ษาของผู้บริหาร แล้วนาข้อมลู ที่ได้ไปใช้ในงานวิจยั เพื่อการพัฒนาประสิทธิภาพการสอน ของครใู นสถานศกึ ษา หรอื พฒั นาหลักสตู รเพือ่ การพฒั นาประสิทธภิ าพการสอนของครูในสถานศกึ ษา ฯลฯ การสังเกตแบบไม่มีส่วนร่วม เป็นการสังเกตท่ีผู้วิจัยหรือผู้ที่ทาหน้าท่ีเก็บ รวบรวมข้อมูลเพื่อเข้าไปเฝ้ามองอยู่ห่าง ๆ ในสภาพเปิดทั่ว ๆ ไป โดยไม่ได้เข้าไปเก่ียวข้องกับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด เช่น ผู้บริหารสถานศึกษาเฝ้าสังเกตพฤติกรรมแก้ไขความขัดแย้ง ระหว่างนักเรียนด้วยกันของครูฝ่ายปกครอง เพ่ือนามาเป็นข้อมูลการวิจัยเพ่ือพัฒนายุทธศาสตร์การ แก้ไขความขัดแย้งระหว่างนักเรียนด้วยกันของสถานศึกษา หรือพัฒนาหลักสูตรเพ่ือสร้างความ ปรองดองของนกั เรยี น ฯลฯ การสังเกตทั้งสองประเภทนี้ อาจใช้เครื่องมือที่เหมือนกันหรือแตกต่างกันได้ตามความ เหมาะสม โดยเคร่ืองมือท่ีใช้เพ่ือการสังเกต สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ แบบสงั เกตแบบ ไรโ้ ครงสร้าง และแบบสงั เกตแบบมีโครงสร้าง การเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยการสังเกต อาจดาเนินการโดยเปิดเผย หรือซ่อนเร้นก็ได้ ข้ึนอยกู่ บั วตั ถปุ ระสงค์และเรื่องท่กี าลังศึกษา อย่างไรกต็ าม การเกบ็ รวบรวมขอ้ มลู ด้วยการสังเกตแบบ ซ่อนเรน้ ในบางกรณอี าจมปี ัญหาด้านจริยธรรมและข้อกฎหมายเกิดข้นึ ได้ นอกจากน้ี การสังเกตอาจ ถูกใช้เป็นวิธเี สรมิ สาหรับการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยเทคนคิ อ่นื ๆ เช่น นกั วิจัยหรือนักพัฒนาหลักสตู ร 39
อาจใช้การสังเกตควบคู่ไปกับการสัมภาษณ์ หรือการสอบถามโดยใช้แบบสอบถาม เพื่อเป็นดัชนีที่ ชใ้ี หเ้ ห็นถึงคุณภาพของข้อมลู ที่ได้จากเครือ่ งมือเหล่านั้น ซ่ึงผลท่ีได้จากการสังเกตน้ี สามารถนามาใช้ เป็นข้อมลู ในการวจิ ารณ์ผลที่ไดจ้ ากการศึกษาดว้ ยเช่นกัน อย่างไรกต็ าม หากจาเป็นต้องเกบ็ ข้อมูลเป็น จานวนมาก กอ็ าจจะไม่สามารถใช้การสังเกตร่วมได้ในทุกกรณี จึงมีคาแนะนาว่า ผู้เก็บข้อมูลควรจัด สดั ส่วนของการสงั เกตทีเ่ ปน็ ส่วนเสริมของเกบ็ รวบรวมข้อมูลแบบอืน่ ๆ ใหเ้ หมาะสมกับงาน 3. การสัมภาษณ์ การสัมภาษณ์ เป็นเทคนิควิธีการรวบรวมข้อมูลวิธีหนึ่งซ่ึงเป็นการเก็บข้อมูลจากแหล่ง ปฐมภูมิโดยอาศัยการเผชิญหน้า (face-to-face) โดยอาจเป็นการสัมภาษณ์แบบเด่ียวเป็นรายบุคคล หรืออาจสัมภาษณ์เป็นกลุ่มก็ได้ แต่ผู้ให้ข้อมูลจะให้ข้อมูลจากปากของตนเอง ในยุคปัจจุบัน การ สัมภาษณ์อาจดาเนินการโดยอาศัยเทคโนโลยีสารสนเทศช่วย เช่น การสัมภาษณ์ผ่านระบบการ ประชุมทางไกล (Video Conference) แต่สิ่งท่ีสาคัญคือ จะต้องมีการเผชิญหน้ากันเสมอ และผู้ถูก สมั ภาษณ์จะต้องทาหนา้ ทเ่ี ปน็ ผู้ให้ขอ้ มลู ด้วยตนเองเสมอ การเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์ อาจทาการจดบันทกึ คาตอบไว้บนกระดาษ หรืออาจใช้ การบันทึกเสียงของผู้ให้สัมภาษณ์โดยตรงเลยก็ได้ อย่างไรก็ตาม ด้วยมารยาทและจรรยาบรรณของ นกั วจิ ัย/นักพัฒนาหลักสูตร หากมีการบันทึกเสียงของผู้ให้สัมภาษณ์ นักวจิ ัย/นักพัฒนาหลักสตู รควร ตอ้ งขออนุญาตผูถ้ กู สมั ภาษณ์กอ่ นเสมอ ส่ิงท่ีนักวิจัย/นักพัฒนาหลักสูตรควรให้ความสาคัญเก่ียวกับการเก็บข้อมูลด้วยการ สมั ภาษณ์ คอื การเก็บข้อมลู อย่างเป็นระบบ เน่ืองจากในการสัมภาษณ์แตล่ ะครัง้ ผู้ถูกสัมภาษณ์อาจมี การตอบนอกประเด็นไปบ้าง ด้วยเหตุนี้ การจัดเตรียมลาดับและการตั้งคาถามไว้ล่วงหน้าอย่างเป็น ระบบจึงเป็นสงิ่ จาเปน็ โดยท่วั ไป การสัมภาษณ์ สามารถแบง่ ออกไดเ้ ปน็ 3 ประเภท คือ 1) การสัมภาษณแ์ บบมีโครงสรา้ ง (Structured Interview) เปน็ การสัมภาษณ์ท่ีมกี าร ใช้แบบฟอรม์ ที่มีการเตรียมการ มีแผนการสัมภาษณ์ และการบรหิ ารการสัมภาษณ์จัดเตรียมไวอ้ ย่าง ค่อนข้างแน่นอนเป็นการล่วงหน้า การสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างนี้มีลักษณะการดาเนินงานท่ีเป็น มาตรฐานหรือเปน็ ทางการมาก ผู้ให้สัมภาษณ์ทุกคนจะตอบคาถามเดียวกัน และถามคาถามก่อนหลัง เรยี งตามลาดบั เหมือนกัน ผู้สัมภาษณ์จะตอ้ งอ่านคาถามตามลาดบั ในแบบสัมภาษณ์ 2) การสมั ภาษณ์แบบไร้โครงสรา้ ง (Unstructured Interview) เป็นการสัมภาษณ์ท่ีมี ความยดื หย่นุ สูง เปน็ การเปิดกว้าง และไม่เปน็ ทางการมากนัก ผสู้ ัมภาษณ์จะถามเรอ่ื งใดก่อนหรือหลัง กไ็ ด้ รวมท้ังไมจ่ าเป็นต้องถามคาถามเหมือนกันทุกคนก็ได้ ผู้สมั ภาษณ์มีอสิ ระในการถามและสามารถ ปรบั เปล่ยี นการซักถามให้เหมาะสมกบั ผู้ให้สัมภาษณแ์ ต่ละคนได้ 40
3) การสมั ภาษณ์แบบกึ่งโครงสรา้ ง (Semi-structured Interview) เป็นการสัมภาษณ์ ท่ีมีลกั ษณะกง่ึ ๆ ระหว่างการสมั ภาษณแ์ บบที่ 1 และแบบที่ 2 4. การสอบถาม การสอบถาม ในที่น้ีหมายถึง การเก็บรวบรวมข้อมูลจากแหล่งปฐมภูมิ โดยการใช้ แบบสอบถามเป็นเครือ่ งมือ การใชแ้ บบสอบถามในการเกบ็ รวบรวมข้อมูล นับเป็นวิธีการเกบ็ รวบรวม ข้อมูลเพื่อการวิจัยหรือการพัฒนาหลักสูตรที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวางในสาขาวิชาต่าง ๆ ท้ัง สายสงั คมศาสตร์ และวทิ ยาศาสตร์ แบบสอบถามจาแนกได้เปน็ 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ 1) แบบสอบถามปลายเปิด (Open-ended questionnaires) เป็นคาถามท่ีไม่ได้ กาหนดคาตอบไว้ให้เลือก แต่เปิดโอกาสให้ผู้ตอบตอบคาถามด้วยสานวนของตนเองอย่างเสรี ทาให้ สามารถแสดงความคดิ เห็นไดเ้ ตม็ ท่ีและตรงไปตรงมา 2) แบบสอบถามปลายปิด (Close-ended questionnaires) เป็นคาถามท่ีมีคาตอบ ใหผ้ ตู้ อบเลือกคาตอบท่ีจัดเตรียมไว้ใหแ้ ลว้ โดยอาจเป็นการทาเคร่ืองหมายบางประการ เชน่ () หรือ เครื่องหมาย () เป็นตน้ ลงหนา้ ข้อความหรือในช่องที่ตรงกบั ความเป็นจริง หรือความคิดเหน็ ของตน ซ่งึ แบบสอบถามแบบปลายปิดมหี ลายรูปแบบ เช่น 2.1 แบบให้เลือกตอบตัวเลือกที่ตรงกับความเป็นจริง หรือความคิดเห็นของตนเพียง คาตอบเดียวจาก 2 คาตอบ ลักษณะคาตอบ เช่น ใช่ ไม่ใช่ ชอบ ไม่ชอบ จริง ไม่จริง ทราบ ไม่ทราบ เคย ไมเ่ คย เป็นตน้ 2.2 แบบให้เลือกคาตอบท่ีตรงกับความเป็นจริง หรือความคิดเห็นของตนเพียง คาตอบเดยี วจากหลายคาตอบ (มากกว่า 2 คาตอบ) 2.3 แบบให้เลือกคาตอบที่ตรงกับความเป็นจริง หรือความคิดเห็นของตนได้หลาย คาตอบ ดังตัวอย่าง ท่านเคยได้รับความรู้เก่ียวกับโรคเอดส์จากที่ใดบ้าง (ตอบได้หลายคาตอบตาม ความเป็นจรงิ ) ข้อเดน่ ขอ้ ด้อยของการสอบถามกบั การสัมภาษณ์ วิธีการ ข้อเดน่ ข้อด้อย การสมั ภาษณ์ สามารถใช้ได้กับกล่มุ ผูใ้ หข้ อ้ มูลทีม่ ี จานวนผูถ้ ูกสมั ภาษณม์ ีผลตอ่ คาตอบ ความร้ดู ี และไมม่ คี วามรู้ ที่ได้ เปิดโอกาสใหม้ กี ารซกั ถามเพือ่ ปรับ ขอ้ มลู ทไ่ี ด้อาจด้อยกวา่ ข้อมลู ทไ่ี ดจ้ าก ความเขา้ ใจในประเด็นคาถามตา่ ง ๆ การสังเกต มีอัตราการตอบสงู กวา่ เมอื่ เทียบกบั 41
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198