Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore ระบบจัดการฐานข้อมูล รหัส 3204-2004

ระบบจัดการฐานข้อมูล รหัส 3204-2004

Published by Hathaikan Loekyindee, 2022-02-11 01:36:07

Description: แผนการสอนที่ 1-18

Search

Read the Text Version

49 3.2 แบบ Partial Participation เป็นลกั ษณะทข่ี อ้ มลู บางขอ้ มลู ของเอนทติ หี น่งึ มี ความสมั พนั ธก์ บั ขอ้ มลู ของอกี เอนทติ หี น่งึ ตวั อย่างเชน่ กาหนดวา่ จะมอี าจารยเ์ พยี งบางคนเทา่ นนั้ ทเ่ี ป็นคณบดี จะสามารถแสดงดงั รปู ท่ี 3.2 จากตวั อย่างขา้ งตน้ จะเหน็ ไดว้ า่ ขอ้ มลู อาจารยเ์ พยี งบางคนเท่านนั้ จะไปสมั พนั ธก์ บั ขอ้ มลู ของ คณะวชิ า ว่าใครเป็นคณบดใี นขณะนนั้ 12.ผเู้ รยี นยกตวั อยา่ งโมเดลจาลองความสมั พนั ธร์ ะหว่างขอ้ มลู เพม่ิ เตมิ อยา่ งน้อย 2 ตวั อยา่ ง บนั ทกึ ลงใน กระดาษ A4 13.ครเู สนอแนะและเป็นทป่ี รกึ ษาในการนาเอาแนวปรชั ญำของเศรษฐกิจพอเพียง ซง่ึ ในกระบวนการ ทางานทุกประเภทนนั้ จะตอ้ งเนน้ สจั จะซง่ึ เป็นตวั คณุ ธรรม จรยิ ธรรม เน้นความซ่อื สตั ยส์ จุ รติ เนน้ ใหช้ ่วยกนั คดิ ช่วยกนั ทา เน้นใหร้ จู้ กั ความพอดี พอประมาณ มเี หตุผล ทงั้ หมดน้คี อื หลกั ปรชั ญาของเศรษฐกจิ พอเพยี ง และ สามารถนาไปประยกุ ตใ์ ชก้ บั การดาเนนิ ชวี ติ ของทกุ คนได้ ข้นั สรุปและการประยุกต์ 14.ครแู ละผเู้ รยี นสรุปเน้อื หาทเ่ี รยี น 15.ผเู้ รยี นทากจิ กรรมใบงาน 16.ผเู้ รยี นรว่ มกนั ประเมนิ โดยพจิ ารณาจากขอ้ มูลความรู้ การใหเ้ หตุผล และความพรอ้ มในการอภปิ ราย ชอ่ื ผเู้ รยี น ประสบการณ์พน้ื ฐานการเรยี นรู้ วธิ กี ารเรยี นรู้ ความรู้ ทกั ษะ ผลงาน 1. 2. 3. 4.

50 ส่อื และแหลง่ การเรียนรู้ 1.หนงั สอื เรยี น วชิ าระบบจดั การฐานขอ้ มลู ของสานกั พมิ พเ์ อมพนั ธ์ 2.รปู ภาพ 3.กจิ กรรมการเรยี นการสอน 4.แผน่ ใส 5.สอ่ื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส,์ สอ่ื PowerPoint 6.แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ หลกั ฐำน 1.บนั ทกึ การสอน 2.ใบเชค็ รายชอ่ื 3.แผนจดั การเรยี นรู้ 4.การตรวจประเมนิ ผลงาน กำรวดั ผลและกำรประเมินผล วิธีวดั ผล 1. สงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล 2. ประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกล่มุ 3. สงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม 4. ตรวจใบงาน 5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ และแบบฝึกปฏบิ ตั ิ 6. การสงั เกตและประเมนิ พฤตกิ รรมดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ มและคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ เครอ่ื งมอื วดั ผล 1. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล 2. แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม (โดยคร)ู 3. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่ (โดยผเู้ รยี น) 4. แบบประเมนิ กจิ กรรมใบงาน 5. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ และแบบฝึกปฏบิ ตั ิ 6. แบบประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ โดยครแู ละผเู้ รยี น รว่ มกนั ประเมนิ เกณฑก์ ำรประเมินผล 1. เกณฑผ์ ่านการสงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล ตอ้ งไมม่ ชี ่องปรบั ปรงุ 2. เกณฑผ์ า่ นการประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่ คอื ปานกลาง (50 % ขน้ึ ไป)

51 3. เกณฑผ์ า่ นการสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่ คอื ปานกลาง (50% ขน้ึ ไป) 4. กจิ กรรมใบงาน เกณฑผ์ า่ น คอื 50% 5. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ และแบบฝึกปฏบิ ตั ิ มเี กณฑผ์ ่าน 50% 6 แบบประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ คะแนนขน้ึ อย่กู บั การประเมนิ ตามสภาพจรงิ กิจกรรมเสนอแนะ 1.ครแู นะนาใหผ้ เู้ รยี นอ่านทบทวนเน้อื หา 2.ผเู้ รยี นควรศกึ ษาหาขอ้ มลู เพม่ิ เตมิ

52 บนั ทึกหลงั การสอน ข้อสรปุ หลงั กำรสอน .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ปัญหำที่พท .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. แนวทำงแก้ปัญหำ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................

53 แผนการจดั การเรียนรูแ้ บบบูรณาการที่ 6 หน่วยที่ 3 รหสั 3204-2004 ระบบจดั การฐานขอ้ มูล (2-2-3) สอนครงั้ ที่ 6 (21-24) ชือ่ หนว่ ย/เรือ่ ง ข้นั ตอนการพฒั นาระบบฐานขอ้ มูล จำนวน 4 ช.ม. สาระสาคญั ในการจดั การกบั ขอ้ มลู ในระบบอย่างมปี ระสทิ ธภิ าพนนั้ จาเป็นทจ่ี ะตอ้ งมรี ะบบฐานขอ้ มลู ทเ่ี หมาะสม ดงั นนั้ ขนั้ ตอนในการพฒั นาระบบฐานขอ้ มลู ใหต้ รงกบั ความตอ้ งการจงึ มคี วามสาคญั เป็นอย่างมาก จดุ ประสงคก์ ำรเรยี นรู้ 5. บอกความหมายของสญั ลกั ษณ์ต่างๆ ทใ่ี ชใ้ นโมเดลแบบ E-R ได้ 6. อธบิ ายขนั้ ตอนการออกแบบฐานขอ้ มลู โดยใชโ้ มเดลแบบ E-R ได้ 7. อธบิ ายขนั้ ตอนการสรา้ งฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธจ์ ากโมเดลแบบ E-R ได้ 8. มกี ารพฒั นาคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงคข์ องผสู้ าเรจ็ การศกึ ษา สานกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา ทค่ี รสู ามารถสงั เกตไดข้ ณะทาการสอนในเร่อื ง 8.1 ความมมี นุษยสมั พนั ธ์ 8.2 ความมวี นิ ยั 8.3 ความรบั ผดิ ชอบ 8.4 ความซ่อื สตั ยส์ จุ รติ 8.5 ความเช่อื มนั่ ในตนเอง 8.6 การประหยดั 8.7 ความสนใจใฝ่รู้ 8.8 การละเวน้ สงิ่ เสพตดิ และการพนนั 8.9 ความรกั สามคั คี 8.10 ความกตญั ญกู ตเวที สมรรถนะรำยวิชำ 1. แสดงความรเู้ กย่ี วกบั หลกั การระบบจดั การฐานขอ้ มลู 2. ออกแบบฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธต์ ามหลกั การของ การจดั รปู แบบบรรทดั ฐาน 3. ใชโ้ ปรแกรมสาเรจ็ รปู ในการจดั การฐานขอ้ มลู เน้ อื หาสาระ 5. สญั ลกั ษณ์ทใ่ี ชใ้ นโมเดลแบบ E-R 6. การออกแบบฐานขอ้ มลู โดยใชโ้ มเดลแบบ E-R

54 7. การสรา้ งฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธจ์ ากโมเดลแบบ E-R กิจกรรมการเรียนรู้ ข้นั นาเขา้ สบู่ ทเรยี น 1.ครใู ชเ้ ทคนิคการสอนแบบซปิ ปาโมเดล (CIPPA MODEL) โดยการทบทวนความรเู้ ดมิ จากสปั ดาหท์ ผ่ี า่ น มา โดยดงึ ความรเู้ ดมิ ของผเู้ รยี นในเร่อื งทจ่ี ะเรยี นเพ่อื ชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นมคี วามพรอ้ มในการเชอ่ื มโยงความรใู้ หมก่ บั ความรเู้ ดมิ ของตน ผสู้ อนใชก้ ารสนทนาซกั ถามใหผ้ เู้ รยี นเลา่ ประสบการณ์เดมิ 2.ครแู สดงรปู โมเดลแบบ E-R และใหผ้ เู้ รยี นบอกวา่ มสี ญั ลกั ษณท์ ใ่ี ชใ้ นโมเดลน้กี ป่ี ระเภท ไดแ้ กอ่ ะไรบา้ ง ขนั้ สอน 3.ครผู สู้ อนใชส้ อ่ื Power Point แสดงรปู ภาพประกอบการอธบิ ายเรอ่ื งเครอ่ื งหมายต่างๆ ทใ่ี ชใ้ นการเขยี น โมเดลแบบ E-R ซง่ึ ไดแ้ ก่

55 4.ครผู สู้ อนใชส้ อ่ื Power Point ประกอบการอธบิ ายขนั้ ตอนในการออกแบบฐานขอ้ มลู โดยใชโ้ มเดลแบบ E-R ประกอบตวั อย่างไปตาม ลาดบั ไดแ้ ก่ ขนั้ ตอนท่ี 1 กาหนดเอนทติ เี ป็นการกาหนดเอนทติ ที ค่ี วรจะมอี ย่ใู นฐานขอ้ มลู หน่งึ ๆ โดยพจิ ารณา ดว้ ยว่า เอนทติ ใี ดเป็นประเภท เอนทติ อี ่อนแอ ตวั อย่างเชน่ ในฐานขอ้ มลู ของมหาวทิ ยาลยั แหง่ หน่งึ ประกอบดว้ ย เอนทติ ี ดงั น้ี 1). เอนทติ อี าจารย์ เป็นเอนทติ แี สดงรายละเอยี ดของอาจารยแ์ ต่ละคน 2). เอนทติ คี ณะวชิ าเป็นเอนทติ แี สดงรายละเอยี ดของคณะวชิ า 3). เอนทติ รี ายวชิ าเป็นเอนทติ แี สดงรายละเอยี ดวชิ าทเ่ี ปิดสอนในคณะวชิ านนั้ ๆ ขนั้ ตอนที่ 2 กาหนดความสมั พนั ธ์ เป็นการกาหนดประเภทของความสมั พนั ธร์ ะหว่างเอนทติ วี า่ มี ความสมั พนั ธก์ นั อยา่ งไร ตวั อยา่ งเช่น จากเอนทติ ที ก่ี าหนดในขนั้ ตอนท่ี 1 จะสรา้ งความสมั พนั ธร์ ะหว่างเอนทติ ี ไดด้ งั น้ี แสดงความสมั พนั ธแ์ บบ 1:N ระหว่างเอนทติ คี ณะวชิ ากบั อาจารย์ โดยขอ้ มลู ของเอนทติ อี าจารย์ มี ความสมั พนั ธก์ บั คณะวชิ าเป็นแบบ Total Participation

56 ขนั้ ตอนที่ 3 กาหนดคณุ ลกั ษณะของเอนทติ ี เป็นการกาหนดว่าแต่ละเอนทติ มี รี ายละเอยี ดอย่างไร ประกอบดว้ ยแอททรบิ วิ ตอ์ ะไรบา้ ง แอททรบิ วิ ตใ์ ดทเ่ี ป็นคยี ห์ ลกั หรอื เป็นแอททรบิ วิ ตท์ แ่ี ปลคา่ มา หรอื เป็นแอทท รบิ วิ ตผ์ สม เชน่ แอททรบิ วิ ตท์ อ่ี ยู่ จะประกอบดว้ ย บา้ นเลขท่ี ถนน อาเภอ จงั หวดั เป็นตน้ ตวั อยำ่ ง พจิ ารณาจากเอนทติ ที ก่ี าหนดในขนั้ ตอนท่ี 1 1). เอนทติ อี าจารย์ ประกอบดว้ ยรายละเอยี ดของขอ้ มลู ไดแ้ ก่ รหสั อาจารย์ ช่อื อาจารย์ วนั ทเ่ี รมิ่ ทางาน เงนิ เดอื น 2). เอนทติ คี ณะวชิ า ประกอบดว้ ยรายละเอยี ดของขอ้ มลู ไดแ้ ก่ รหสั คณะ ชอ่ื คณะวชิ า ทท่ี าการ 3). เอนทติ รี ายวชิ า ประกอบดว้ ยรายละเอยี ดของขอ้ มลู ไดแ้ ก่ รหสั วชิ า ชอ่ื วชิ าจานวนหน่วยกติ

57 ขนั้ ตอนที่ 4 กาหนดคยี เ์ ป็นการกาหนดคยี ข์ องแต่ละเอนทติ วี ่า จะใชร้ ายละเอยี ดของขอ้ มลู ใด เป็นคยี ห์ ลกั ของเอนทติ นี นั้ ๆ ตวั อย่างเชน่ พจิ ารณาจากตวั อย่างในขนั้ ตอนท่ี 3 จะไดว้ ่า 1). เอนทติ อี าจารย์ มรี หสั อาจารยเ์ ป็นคยี ห์ ลกั 2). เอนทติ คี ณะวชิ า มรี หสั คณะเป็นคยี ห์ ลกั 3). เอนทติ รี ายวชิ า มรี หสั วชิ าเป็นคยี ห์ ลกั ขนั้ ตอนท่ี 5 นาขอ้ มลู จากขนั้ ตอนท่ี 1 ถงึ ขนั้ ตอนท่ี 4 มาวาดโมเดลแบบ E-R เป็นการนา รายละเอยี ดตงั้ แต่ขนั้ ตอนท่ี 1 ถงึ ขนั้ ตอนท่ี 4 มาพจิ ารณาทบทวนแลว้ จงึ เขยี นโมเดลแบบ E-R โดยใชส้ ญั ลกั ษณ์ ต่างๆ ทไ่ี ดก้ ลา่ วมาขา้ งตน้ 5.ผเู้ รยี นเขยี นแสดงตวั อยา่ งโมเดลแบบ E-R มา 1 ตวั อย่าง และเขยี นขนั้ ตอนในการออกแบบฐานขอ้ มลู ตามท่ี ไดศ้ กึ ษา

58 6. ครใู ชส้ อ่ื Power Point และเทคนคิ วธิ สี อนแบบสาธติ (Demonstration Method) ประกอบการอธบิ ายเร่อื ง การสรา้ งฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธจ์ ากโมเดลแบบ E-R ซง่ึ ประกอบดว้ ยขนั้ ตอนต่างๆ ดงั ต่อไปน้ี 1). การสรา้ งรเี ลชนั ต่างๆ จากเอนทติ ในโมเดลแบบ E-R และสรา้ งความสมั พนั ธข์ องรเี ลชนั จาก ความสมั พนั ธข์ องเอนทติ ี ในกรณีทค่ี วามสมั พนั ธร์ ะหว่างเอนทติ ใี นโมเดลแบบ E-R เป็นแบบกลุ่มต่อกลุ่ม มกั จะ สรา้ งรเี ลชนั ขน้ึ ใหม่ เพอ่ื แปลงความสมั พนั ธใ์ หเ้ ป็นแบบหน่งึ ต่อกลมุ่ จงึ ทาใหฐ้ านขอ้ มลู ของมหาวทิ ยาลยั แหง่ น้ปี ระกอบดว้ ยรเี ลชนั อาจารย์ คณะวชิ า รายวชิ าและ การ มอบหมายวชิ า 2). กาหนดคยี ต์ ่างๆ ไดแ้ ก่ การกาหนดคยี ห์ ลกั ของแต่ละรเี ลชนั รวมทงั้ คยี น์ อกและขอ้ กาหนดต่างๆ ท่ี จะใชอ้ า้ งองิ ถงึ คยี ห์ ลกั ในอกี รเี ลชนั หน่งึ ในการกาหนดรายละเอยี ดของคยี ห์ ลกั และคยี น์ อกทาโดยใชภ้ าษาสาหรบั นยิ ามขอ้ มลู ในการสรา้ งรเี ลชนั ตวั อยำ่ ง ฐานขอ้ มลู ของมหาวทิ ยาลยั แห่งหน่งึ จากทก่ี ลา่ วมาในหวั ขอ้ การออกแบบฐานขอ้ มลู โดย ใช้ โมเดลแบบ E-R จะกาหนดคยี ห์ ลกั และคยี น์ อกของแต่ละรเี ลชนั เป็นดงั น้ี -รเี ลชนั อาจารยจ์ ะมแี อททรบิ วิ ตร์ หสั อาจารยเ์ ป็นคยี ห์ ลกั เช่นทก่ี าหนดไวจ้ ากโมเดลแบบ E-R โดย ความสมั พนั ธร์ ะหว่างรเี ลชนั คณะวชิ ากบั รเี ลชนั อาจารย์ เป็นแบบหน่งึ ต่อกลมุ่ ดงั นนั้ รเี ลชนั อาจารย์ จงึ ตอ้ งมแี อ ททรบิ วิ ตร์ หสั คณะเพมิ่ เขา้ ไปเป็นคยี น์ อก เพอ่ื ใชใ้ นการเช่อื มโยงขอ้ มลู กบั รเี ลชนั คณะวชิ า ตวั อยำ่ ง การใชภ้ าษาสาหรบั นยิ ามขอ้ มลู ในการสรา้ งรเี ลชนั อาจารยใ์ นทน่ี ้จี ะกาหนดให้ TEACHER หมายถงึ รเี ลชนั อาจารย์ TEACH_NO หมายถงึ รหสั อาจารย์ TEACH_NM หมายถงึ ชอ่ื อาจารย์ TEACH_DT หมายถงึ วนั ทเ่ี รม่ิ ทางาน SALARY หมายถงึ เงนิ เดอื น FACT_NO หมายถงึ รหสั คณะวชิ า (ทเ่ี พมิ่ เขา้ ไปเพอ่ื ใชเ้ ป็นคยี น์ อก) FACULTY หมายถงึ รเี ลชนั คณะวชิ า จะสามารถเขยี นคาสงั่ SQL ไดด้ งั น้ี

59 FACT_NOCHAR (2), FOREIGNKEY (FACT_NO) REFERENCESFACULTY (FACT_NO)); -รเี ลชนั คณะวชิ า จะมแี อททรบิ วิ ต์ รหสั คณะ เป็นคยี ห์ ลกั -รเี ลชนั รายวชิ า จะมแี อททรบิ วิ ต์ รหสั วชิ า เป็นคยี ห์ ลกั -รเี ลชนั การมอบหมายวชิ า เป็นรเี ลชนั ทเ่ี ชอ่ื มความสมั พนั ธร์ ะหว่างรเี ลชนั อาจารยแ์ ละรเี ลชนั รายวชิ า คยี ห์ ลกั ของรเี ลชนั การมอบหมายวชิ า จงึ เป็นคยี ห์ ลกั ของรเี ลชนั อาจารยแ์ ละรเี ลชนั รายวชิ า ไดแ้ ก่ รหสั อาจารย์ และรหสั วชิ า โดยมแี อททรบิ วิ ตร์ หสั อาจารยเ์ ป็นคยี น์ อก ทอ่ี า้ งองิ ถงึ แอททรบิ วิ ตร์ หสั อาจารย์ ซง่ึ เป็นคยี ์ หลกั ในรเี ลชนั อาจารย์ และมแี อททรบิ วิ ตร์ หสั วชิ า เป็นคยี น์ อกทอ่ี า้ งองิ ถงึ แอททรบิ วิ ต์ รหสั วชิ าซง่ึ เป็นคยี ห์ ลกั ใน รเี ลชนั รายวชิ า 3). กาหนดแอททรบิ วิ ตใ์ นแต่ละรเี ลชนั จากรายละเอยี ดคณุ ลกั ษณะของเอนทติ ี 4). นาผลจากขอ้ 2 และขอ้ 3 มาพจิ ารณาทบทวนเคา้ ร่างของขอ้ มลู ในแต่ละรเี ลชนั เพอ่ื ใหร้ เี ลชนั อยใู่ น รปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 3 เป็นอยา่ งน้อย 7.ครใู ชเ้ ทคนคิ วธิ กี ารจดั การเรยี นรแู้ บบรว่ มมอื (Cooperative Learning) โดยกาหนดใหผ้ เู้ รยี นปฏบิ ตั ิ ดงั น้ี 7.1 แบ่งผเู้ รยี นเป็นกลุ่มๆ ละ 3-4 คน 7.2 แต่ละกล่มุ ศกึ ษาการสรา้ งฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธจ์ ากโมเดลแบบ E-R และสบื คน้ ตวั อยา่ งมา อย่างน้อย 2 ตวั อยา่ ง 7.3 นาเสนอ อธบิ ายตวั อยา่ งทห่ี ามา 7.4 เปิดโอกาสใหแ้ ลกเปลย่ี นความรรู้ ะหวา่ งกลมุ่ ขนั้ สรปุ และกำรประยกุ ต์ 8.ครแู ละผเู้ รยี นสรปุ เน้อื หาทเ่ี รยี น 9.ผเู้ รยี นทาใบงานกจิ กรรม แบบประเมนิ ผล 10.ประเมนิ ผเู้ รยี นตามแบบฟอรม์ ต่อไปน้ี ช่อื ผเู้ รยี น ธรรมชาตขิ องผเู้ รยี น วธิ กี ารเรยี นรู้ ความสนใจ สตปิ ัญญา วฒุ ภิ าวะ 1. 2. 3. 4. 5.

60 สอ่ื และแหลง่ การเรยี นรู้ 1.หนงั สอื เรยี น วชิ าระบบจดั การฐานขอ้ มลู ของสานกั พมิ พเ์ อมพนั ธ์ 2.รปู ภาพ 3.กจิ กรรมการเรยี นการสอน 4.แผ่นใส 5.สอ่ื อเิ ลก็ ทรอนิกส,์ สอ่ื PowerPoint 6.แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ หลกั ฐำน 1.บนั ทกึ การสอน 2.ใบเชค็ รายช่อื 3.แผนจดั การเรยี นรู้ 4.การตรวจประเมนิ ผลงาน กำรวดั ผลและกำรประเมินผล วิธีวดั ผล 1. สงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล 2. ประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกล่มุ 3. สงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกล่มุ 4. ตรวจใบงาน 5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ และแบบฝึกปฏบิ ตั ิ 6. การสงั เกตและประเมนิ พฤตกิ รรมดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ มและคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ เครอื่ งมอื วดั ผล 1. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล 2. แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม (โดยคร)ู 3. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่ (โดยผเู้ รยี น) 4. แบบประเมนิ กจิ กรรมใบงาน 5. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ และแบบฝึกปฏบิ ตั ิ 6. แบบประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ โดยครแู ละผเู้ รยี น ร่วมกนั ประเมนิ เกณฑก์ ำรประเมินผล 1. เกณฑผ์ า่ นการสงั เกตพฤตกิ รรมรายบุคคล ตอ้ งไมม่ ชี อ่ งปรบั ปรงุ 2. เกณฑผ์ ่านการประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่ คอื ปานกลาง (50 % ขน้ึ ไป)

61 3. เกณฑผ์ ่านการสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลมุ่ คอื ปานกลาง (50% ขน้ึ ไป) 4. กจิ กรรมใบงาน เกณฑผ์ า่ น คอื 50% 5. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ และแบบฝึกปฏบิ ตั มิ เี กณฑผ์ า่ น 50% 6 แบบประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ คะแนนขน้ึ อยกู่ บั การประเมนิ ตามสภาพจรงิ กิจกรรมเสนอแนะ 1.แนะนาใหผ้ เู้ รยี นฝึกทกั ษะโดยทากจิ กรรมใบงาน 2.อ่านทบทวนเน้อื หา

62 จงเลอื กคำตอทที่ถกู ต้องที่สดุ เพียงคำตอทเดียว 1. การออกแบบในฐานขอ้ มลู จะประกอบดว้ ยรเี ลชนั อะไรบา้ ง แต่ละรเี ลชนั ประกอบดว้ ยแอททรบิ วิ ต์ อะไรบา้ ง เป็นการออกแบบในระดบั ใด ก. ระดบั ภายนอก ข. ระดบั ภายใน ค. ระดบั แนวคดิ ง. ระดบั ปฏบิ ตั ิ 2. สงิ่ ใดเป็นงานทต่ี อ้ งทากอ่ นการออกแบบฐานขอ้ มลู ก. ศกึ ษาระบบงานเดมิ ข. วเิ คราะหร์ ะบบงานเดมิ ค. รวบรวมความตอ้ งการของระบบใหม่ ง. ตอ้ งทาทงั้ ขอ้ ก., ข. และ ค. 3. ขอ้ ใดเป็นสว่ นของขนั้ ตอนการออกแบบฐานขอ้ มลู ก. สรา้ งเอนทติ จี ากความตอ้ งการ ข. ปรบั รเี ลชนั ใหอ้ ยใู่ นรปู แบบบรรทดั ฐาน ค. ระบุคยี ท์ ต่ี อ้ งใช้ ง. ถกู ทุกขอ้ 4. คยี ห์ ลกั ทป่ี ระกอบดว้ ยแอททรบิ วิ ตห์ ลายแอททรบิ วิ ตม์ ารวมกนั เรยี กวา่ อะไร ก. Candidate Key ข. Composite Key ค. Primary Key ง. Alternate Key 5. แอททรบิ วิ ตใ์ นเอนทติ หี น่งึ ทไ่ี ปอา้ งองิ ถงึ แอททรบิ วิ ตซ์ ง่ึ เป็นคยี ห์ ลกั ในอกี เอนทติ หี น่งึ ทม่ี คี วามสมั พนั ธก์ นั เรา เรยี กแอททรบิ วิ ตน์ นั้ ว่าอะไร ก. Candidate Key ข. Composite Key ค. Foreign Key ง. Alternate Key 6. ในการเขยี นโครงสรา้ งของตาราง ถา้ มกี ารขดี เสน้ ไวบ้ นหวั ของแอททรบิ วิ ตใ์ ดหมายความวา่ อยา่ งไร ก. แอททรบิ วิ ตน์ นั้ จะใชเ้ ป็นคยี ห์ ลกั ข. แอททรบิ วิ ตน์ นั้ อาจมคี ่ามากกวา่ 1 คา่ ในแต่ละทเู พลิ ค. แอททรบิ วิ ตน์ นั้ เป็นคยี น์ อก ง. แอททรบิ วิ ตน์ นั้ ใชเ้ ป็นคยี ค์ แู่ ขง่ 7. เหตุใดจงึ ตอ้ งมกี ารปรบั รเี ลชนั แต่ละตวั ใหอ้ ยใู่ นรปู แบบบรรทดั ฐาน ก. เพอ่ื ใหโ้ ครงสรา้ งของขอ้ มลู ไมม่ คี วามซาํ้ ซอ้ น ข. เพ่อื ใหข้ อ้ มลู มรี ปู แบบเหมอื นกนั ค. เพอ่ื แบ่งชนิดของขอ้ มลู ใหช้ ดั เจน

63 ง. ถูกทกุ ขอ้ 8. แอททรบิ วิ ตท์ เ่ี ป็นตวั ไประบุคา่ ของแอททรบิ วิ ตอ์ ่นื ๆ เรยี กว่าอะไร ก. Key-attribute ข. Determinant ค. Foreign Key ง. Candidate Key 9. ขอ้ ใดคอื จดุ ประสงคข์ องการออกแบบฐานขอ้ มลู ก. เพอ่ื สรา้ งฐานขอ้ มลู ทม่ี ปี ระสทิ ธภิ าพ ข. เพอ่ื ใหไ้ ดฐ้ านขอ้ มลู ทใ่ี ชง้ านไดต้ ามทผ่ี ใู้ ชต้ อ้ งการ ค. เพ่อื ลดปัญหาต่างๆ ทอ่ี าจเกดิ ขน้ึ กบั ฐานขอ้ มลู ง. ถกู ทกุ ขอ้ 10. การระบุ UPDCSCD ทค่ี ยี น์ อก ในภาษาทใ่ี ชอ้ อกแบบฐานขอ้ มลู หมายความว่าอยา่ งไร ก. การแกไ้ ขค่าคยี น์ อกตวั นนั้ ๆ จะกระทาเป็นทอดๆ ข. การลบคา่ คยี น์ อกตวั นนั้ ๆ จะกระทาเป็นทอดๆ ค. การแกไ้ ขคา่ คยี น์ อกตวั นนั้ ๆ จะกระทาแบบมขี อ้ จากดั ง. การลบคา่ คยี น์ อกตวั นนั้ ๆ จะกระทาแบบมขี อ้ จากดั 11. E-R Model เป็นโมเดลทใ่ี ชส้ าหรบั งานใด ก. การวเิ คราะหร์ ะบบงานเดมิ ข. การออกแบบระบบฐานขอ้ มลู ค. การสรา้ งระบบฐานขอ้ มลู ง. การสรา้ งสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเอนทติ ี 12. การทข่ี อ้ มลู บางขอ้ มลู ของเอนทติ หี น่งึ มคี วามสมั พนั ธก์ บั ขอ้ มลู ของอกี เอนทติ หี น่งึ เป็นความสมั พนั ธ์ แบบใด ก. แบบ Total Participation ข. แบบ Partial Participation ค. แบบ Identifying Relationship ง. แบบ Owner 13. สญั ลกั ษณ์ใชแ้ ทนความสมั พนั ธร์ ะหว่างเอนทติ ี คอื ขอ้ ใด ก. ข. ค. ง. 14. ภาพต่อไปน้เี ป็นการแสดงความสมั พนั ธแ์ บบใด ก. แสดงความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งสองเอนทติ แี บบ Cardinality Ratio ข. แสดงความสมั พนั ธข์ องเอนทติ ี E2 ทม่ี ตี ่อเอนทติ ี E1 แบบ Total Participation ค. แสดงความสมั พนั ธข์ องเอนทติ ี E2 ทม่ี ตี ่อเอนทติ ี E1 แบบ Partial Participation ง. ถกู ทงั้ ขอ้ ข. และ ค.

64 15. ในกรณที ไ่ี ม่มเี อนทติ ี A กย็ ่อมจะไมม่ เี อนทติ ี B ลกั ษณะเชน่ น้ี เราเรยี กเอนทติ ี B วา่ เป็นเอนทติ ชี นดิ ใด ก. Weak Entity ข. Owner Entity ค. Composite Entity ง. Identifying Entity 16. สญั ลกั ษณ์ใดแสดงว่า เอนทติ ี A ประกอบดว้ ยแอททรบิ วิ ต์ 3 ตวั ก. ข. ค. ง. 17. สญั ลกั ษณ์ทใ่ี ชแ้ ทนแอททรบิ วิ ตผ์ สมคอื ขอ้ ใด ก. ข. ค. ง. 18. ขอ้ ใดไมใ่ ชข่ นั้ ตอนการสรา้ งฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธจ์ ากโมเดลแบบ E-R ก. สรา้ งรเี ลชนั ต่างๆ จากเอนทติ ใี นโมเดล E-R ข. สรา้ งความสมั พนั ธข์ องเอนทติ จี ากความสมั พนั ธข์ องรเี ลชนั ค. กาหนดคยี ต์ ่างๆ ง. กาหนดแอททรบิ วิ ตใ์ นแต่ละรเี ลชนั จากคุณลกั ษณะของเอนทติ ี 19. สญั ลกั ษณ์ใดใชแ้ ทนเอนทติ อี ่อนแอ ก. ข. ค. ง. 20. สญั ลกั ษณ์ใดแทนความสมั พนั ธช์ นิด Identifying Relationship ก. ข. ค. ง.

65 บนั ทึกหลงั การสอน ขอ้ สรปุ หลงั การสอน .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ปัญหาท่ีพบ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. แนวทางแก้ปัญหา .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................

66 แผนการจดั การเรียนรูแ้ บบบูรณาการท่ี 7 หน่วยท่ี 4 รหสั 3204-2004 ระบบจดั การฐานขอ้ มูล (2-2-3) สอนครงั้ ท่ี 7 (25-28) ชื่อหน่วย/เรือ่ ง ฐานขอ้ มูลเชิงสมั พนั ธ์ จำนวน 4 ช.ม. สาระสาคญั ฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธ์ เป็นรปู แบบหน่งึ ของฐานขอ้ มลู ทน่ี ิยมใชก้ นั มากในปัจจุบนั โดยจะมกี ารเกบ็ ขอ้ มลู ไว้ ใน รปู แบบของตาราง หรอื ทเ่ี ราเรยี กว่า รเี ลชนั ดงั นนั้ ฐานขอ้ มูลเชงิ สมั พนั ธจ์ งึ เป็นการรวบรวมรเี ลชนั ต่างๆ ทม่ี ี ความสมั พนั ธ์ กนั เขา้ ดว้ ยกนั ทาใหผ้ ใู้ ชม้ องภาพไดง้ ่ายอกี ทงั้ ยงั สามารถใชค้ าสงั่ งา่ ยๆ เพอ่ื จดั การกบั ขอ้ มลู ในรเี ล ชนั โดยใชภ้ าษา SQL ทาใหส้ ามารถเช่อื มโยงขอ้ มลู ไดง้ ่าย อนั เป็นขอ้ ดขี องฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธ์ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. อธบิ ายคาศพั ทเ์ ทคนิคทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธไ์ ด้ 2. อธบิ ายการจดั เกบ็ ขอ้ มลู ได้ 3. มกี ารพฒั นาคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคข์ องผสู้ าเรจ็ การศกึ ษา สานกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา ทค่ี รสู ามารถสงั เกตไดข้ ณะทาการสอนในเรอ่ื ง 3.1 ความมมี นุษยสมั พนั ธ์ 3.2 ความมวี นิ ยั 3.3 ความรบั ผดิ ชอบ 3.4 ความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ 3.5 ความเชอ่ื มนั่ ในตนเอง 3.6 การประหยดั 3.7 ความสนใจใฝ่รู้ 3.8 การละเวน้ สงิ่ เสพตดิ และการพนนั 3.9 ความรกั สามคั คี 3 สมรรถนะรายวิชา 1. แสดงความรเู้ กย่ี วกบั หลกั การระบบจดั การฐานขอ้ มลู 2. ออกแบบฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธต์ ามหลกั การของ การจดั รปู แบบบรรทดั ฐาน 3. ใชโ้ ปรแกรมสาเรจ็ รปู ในการจดั การฐานขอ้ มลู เน้ อื หาสาะ 1. ศพั ทเ์ ทคนคิ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธ์ 2. การจดั เกบ็ ขอ้ มลู

67 กจิ กรรมการเรียนรู้ ขนั้ นาเข้าส่บู ทเรียน 1.ครสู นทนากบั ผเู้ รยี นเกย่ี วกบั ฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธว์ ่าเป็นรปู แบบหน่งึ ของฐานขอ้ มลู ทน่ี ิยมใชก้ นั มากใน ปัจจบุ นั โดยจะมกี ารเกบ็ ขอ้ มลู ไวใ้ น รปู แบบของตาราง หรอื ทเ่ี ราเรยี กว่า รเี ลชนั ดงั นนั้ ฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธจ์ งึ เป็นการรวบรวมรเี ลชนั ต่างๆ ทม่ี คี วามสมั พนั ธก์ นั เขา้ ดว้ ยกนั ทาใหผ้ ใู้ ชม้ องภาพไดง้ า่ ยอกี ทงั้ ยงั สามารถใชค้ าสงั่ ง่ายๆ เพ่อื จดั การกบั ขอ้ มลู ในรเี ลชนั โดยใชภ้ าษา SQL ทาใหส้ ามารถเชอ่ื มโยงขอ้ มลู ไดง้ า่ ย อนั เป็นขอ้ ดขี อง ฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธ์ 2.ครกู ลา่ วว่าระบบฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธม์ เี คร่อื งมอื ทช่ี ว่ ยใหผ้ ใู้ ชส้ ามารถคน้ หาปัญหาทเ่ี กดิ ขน้ึ จากการ ออกแบบได้ โดยง่าย จงึ งา่ ยต่อการแกไ้ ขหากระบบทอ่ี อกแบบไวผ้ ดิ พลาด ระบบจดั การฐานขอ้ มลู ทใ่ี ชก้ นั เป็น สว่ นมากใน ปัจจุบนั จงึ เป็นระบบทใ่ี ชก้ บั ฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธ์ ตวั อยา่ งเชน่ Oracle Foxpro Ingress เป็นตน้ ใน หน่วยน้ี จะขอกลา่ วถงึ รายละเอยี ดทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธ์ 3.ผเู้ รยี นทาแบบประเมนิ ผลการเรยี นรกู้ ่อนเรยี น สลบั กนั ตรวจเพอ่ื สะสมคะแนนเกบ็ ไว้ ขนั้ สอน 4.ครใู ชส้ อ่ื Power Point ประกอบการอธบิ ายศพั ทเ์ ทคนคิ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ฐานมลู เชงิ สมั พนั ธ์ ซง่ึ มี สาระสาคญั ดงั น้ี ตารางท่ี 4.1 ศพั ทเ์ ทคนคิ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธ์

68 เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจคาศพั ทเ์ ทคนิคขา้ งตน้ ทใ่ี ชใ้ นฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธด์ ขี น้ึ จะขอยกตวั อย่างขอ้ มลู ในตารางท่ี 4.2 เพอ่ื ประกอบการอธบิ าย ดงั น้ี STUDENT (นักศกึ ษำ) ตารางท่ี 4.2 ตวั อย่างตารางขอ้ มลู นกั ศกึ ษา จากตารางท่ี 4.2 ขา้ งตน้ อธบิ ายไดด้ งั น้ี ตารางท่ี 4.2 เป็นรเี ลชนั ทแ่ี สดงขอ้ มลู ของประวตั นิ กั ศกึ ษา (STUDENT) ประกอบดว้ ยแอททรบิ วิ ตท์ เ่ี ป็น เคา้ ร่างของรเี ลชนั (Relation Schema) จานวน 7 แอททรบิ วิ ต์ (จงึ มคี ่าดกี รเี ทา่ กบั 7) ดงั น้ี STNO หมายถงึ รหสั นกั ศกึ ษา STNAME หมายถงึ ชอ่ื นกั ศกึ ษา ADMDATE หมายถงึ วนั ทเ่ี รมิ่ เขา้ รบั การศกึ ษา ADVNO หมายถงึ รหสั อาจารยท์ ป่ี รกึ ษา ADVNAME หมายถงึ ช่อื อาจารยท์ ป่ี รกึ ษา CLUBNO หมายถงึ รหสั ชมรมทน่ี กั ศกึ ษาเป็นสมาชกิ CLUBNAME หมายถงึ ช่อื ชมรม รเี ลชนั ดงั กลา่ ว มขี อ้ มลู จานวน 5 ทเู พลิ จงึ มคี ่า คารด์ นิ าลติ ี เท่ากบั 5 คยี ห์ ลกั หมายถงึ คา่ ของแอททรบิ วิ ตท์ ม่ี คี วามเป็นเอกลกั ษณ์ ไมซ่ า้ ซอ้ นกนั ในแต่ละทเู พลิ ในทน่ี ้ใี ช้ STNO เป็นคยี ห์ ลกั โดเมน หมายถงึ ขอบเขตของคา่ ของขอ้ มลู ในแอททรบิ วิ ตห์ น่งึ ๆ เช่น วนั ทเ่ี รมิ่ เขา้ รบั การศกึ ษา จะเป็นค่า วนั ทใ่ี นปฏทิ นิ นกั ศกึ ษาแต่ละคนอาจสมคั รเป็นสมาชกิ ชมรมใดกไ็ ดท้ ต่ี นสนใจ หรอื อาจไมเ่ ป็น สมาชกิ ชมรมใดเลย กไ็ ด้ ดงั นนั้ คา่ ของ CLUBNO และ CLUBNAME จงึ อาจเป็นค่าว่าง (Null) ได้ จาก ตารางท่ี 4.2 จะเหน็ ไดว้ ่า นกั ศกึ ษารหสั 2146 ช่อื นายปราโมทยไ์ มไ่ ดเ้ ป็นสมาชกิ ชมรมใดเลย จงึ ไมม่ ี คา่ ของ CLUBNO และ CLUBNAME เป็นตน้ เม่อื พจิ ารณาดขู อ้ มลู ในตารางท่ี 4.2 จะพบวา่ ค่าของขอ้ มลู ในแต่ละคอลมั น์กค็ อื ขอ้ มลู ทแ่ี สดง คา่ นนั้ ๆ นนั่ เอง ตวั อยา่ งเช่น ขอ้ มลู ทอ่ี ยใู่ นคอลมั น์ STNAME กค็ อื ชอ่ื ของนกั ศกึ ษา เป็นตน้ สว่ นขอ้ มลู ในแต่ละแถวกจ็ ะ

69 มคี วามแตกต่างกนั ไมม่ ขี อ้ มลู ในแถวใดเลยทซ่ี ้ากนั มฉิ ะนนั้ จะเป็นการเกบ็ ขอ้ มลู ทซ่ี ้าซอ้ นกนั ดงั นนั้ แลว้ จงึ พอจะ สรุปความหมายของคาวา่ “รเี ลชนั ” ไดด้ งั น้ี รเี ลชนั หมายถงึ การรวบรวมขอ้ มลู จดั เกบ็ ในรปู ของตาราง 2 มติ ิ ประกอบดว้ ยแอททรบิ วิ ตซ์ ง่ึ แสดง คุณสมบตั ขิ องรเี ลชนั นนั้ ๆ โดยคณุ สมบตั ขิ องรเี ลชนั มดี งั น้ี 1). แต่ละแถวของแต่ละคอลมั นจ์ ะบรรจขุ อ้ มลู เพยี งคา่ เดยี ว 2). คา่ ทอ่ี ยใู่ นแต่ละคอลมั น์จะเป็นคา่ ของแอททรบิ วิ ตท์ ร่ี ะบุในหวั คอลมั น์นนั้ ๆ 3). ช่อื ของแต่ละคอลมั น์กค็ อื ช่อื ของแอททรบิ วิ ตซ์ ง่ึ จะตอ้ งแตกตา่ งกนั 4). ขอ้ มลู ในแต่ละแถวจะตอ้ งแตกต่างกนั 5). การเรยี งลาดบั แถวไมม่ คี วามสาคญั 6). การเรยี งลาดบั คอลมั น์ไมม่ คี วามสาคญั จากความหมายของฐานขอ้ มลู ทก่ี ล่าวไวใ้ นหน่วยทแ่ี ลว้ นนั้ จงึ อาจใหค้ วามหมายของฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธ์ ไดว้ า่ ฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธ์ หมายถงึ การรวบรวมรเี ลชนั ต่างๆ ทม่ี คี วามสมั พนั ธร์ ะหว่างกนั เขา้ ดว้ ยกนั โดยรเี ล ชนั ต่างๆ เหลา่ นนั้ ไดผ้ ่านกระบวนการทาารเี ลชนั ใหเ้ ป็นบรรทดั ฐาน (Normalized) แลว้ เพ่อื ใหก้ ารจดั การ ฐานขอ้ มลู เป็นไปอยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ 5.ครใู ชเ้ ทคนคิ วธิ กี ารจดั การเรยี นรแู้ บบอภปิ ราย (Discussion Method) อภปิ รายขอ้ ดขี องฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธ์ ซง่ึ สรปุ ขอ้ ดขี องฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธ์ ไดด้ งั น้ี 1). เป็นรปู แบบของฐานขอ้ มลู ทเ่ี ขา้ ใจง่าย เน่อื งจากฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธเ์ ป็นกลมุ่ ของตาราง หรอื รเี ลชนั ทข่ี อ้ มลู จดั เกบ็ ในลกั ษณะเป็นแถวและคอลมั น์ทาใหผ้ ใู้ ชม้ องภาพไดง้ า่ ย 2). มเี คร่อื งมอื ทช่ี ว่ ยใหผ้ ใู้ ชส้ ามารถจดั การกบั ขอ้ มลู ไดด้ ว้ ยคาาสงั่ ง่ายๆโดยผใู้ ชไ้ มต่ อ้ งทราบ รายละเอยี ดของการจดั เกบ็ ขอ้ มลู ทอ่ี ยภู่ ายใน 3). สามารถใชภ้ าษาทง่ี ่ายต่อการเรยี กดขู อ้ มลู เชน่ ภาษา SQL โดยไมจ่ าเป็นตอ้ งเขยี นเป็นลาดบั ขนั้ ตอนของคาสงั่ อยา่ งในภาษาอ่นื ๆ 4). การเช่อื มโยงขอ้ มลู สามารถทาไดง้ ่าย ดว้ ยการใชเ้ คร่อื งหมายคานวณและเปรยี บเทยี บ ทาง คณิตศาสตร์ โดยไมจ่ าเป็นตอ้ งใชพ้ อยน์เตอร์ (Pointer) 6.ครใู ชส้ อ่ื Power Point ประกอบการอธบิ ายเร่อื งการจดั เกบ็ ขอ้ มลู ซง่ึ มสี าระสาคญั ดงั น้ี ดงั ไดท้ ราบแลว้ ว่า ขอ้ มลู ทจ่ี ดั เกบ็ อย่ใู นฐานขอ้ มลู กค็ อื ขอ้ มลู ของเอนทติ ตี ่างๆ การสรา้ งความสมั พนั ธ์ ระหวา่ งเอนทติ ใี นฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธก์ ส็ ามารถทาไดโ้ ดยกาหนดเอนทติ เี หลา่ นนั้ ใหม้ แี อททรบิ วิ ตท์ เ่ี หมอื นกนั แลว้ ใชค้ ่าของแอททรบิ วิ ตท์ เ่ี หมอื นกนั นนั้ เป็นตวั ระบุขอ้ มลู ในเอนทติ ที ม่ี ี ความสมั พนั ธก์ นั ตวั อยำ่ ง เอนทติ นี กั ศกึ ษาและเอนทติ อี าจารยท์ ป่ี รกึ ษามคี วามสมั พนั ธก์ นั ในลกั ษณะทน่ี กั ศกึ ษา แต่ละคน อย่ใู นความดแู ลของอาจารยท์ ป่ี รกึ ษาคนใด ดงั นนั้ เราจะกาหนดใหม้ แี อททรบิ วิ ตท์ เ่ี หมอื นกนั ในสองเอนทติ นี ้ี คอื รหสั อาจารยท์ ป่ี รกึ ษา ขอ้ มลู ในแถวใดของตารางอาจารยท์ ป่ี รกึ ษา ทม่ี คี ่าของรหสั อาจารยท์ ป่ี รกึ ษาตรงกบั ขอ้ มลู ใน ตารางนกั ศกึ ษา กจ็ ะแสดงความสมั พนั ธไ์ ดว้ า่ นกั ศกึ ษาคนนนั้ อยใู่ น ความดแู ลของอาจารยท์ ป่ี รกึ ษาทม่ี คี า่ แอททริ บวิ ตท์ เ่ี ป็นรหสั อาจารยท์ ป่ี รกึ ษาเดยี วกนั นนั่ เอง

70 ดงั ไดก้ ล่าวไวแ้ ลว้ วา่ ความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเอนทติ มี อี ยู่ 3 ชนดิ คอื ความสมั พนั ธแ์ บบหน่งึ ต่อหน่งึ แบบ หน่งึ ต่อกล่มุ และแบบกล่มุ ต่อกลุ่มจงึ ขอยกตวั อยา่ งความสมั พนั ธท์ งั้ 3 ชนดิ กบั ฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธ์ ดงั น้ี 1). การจดั เกบ็ ขอ้ มลู ในฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธด์ ว้ ยความสมั พนั ธแ์ บบหน่งึ ต่อหนง่ึ ตวั อยำ่ ง สถาบนั การศกึ ษาแหง่ หน่งึ กาหนดว่านกั ศกึ ษาแต่ละคนจะมอี าจารยท์ ป่ี รกึ ษาทด่ี แู ลตน เพยี ง 1 คน ในขณะทอ่ี าจารยท์ ป่ี รกึ ษาแต่ละคนกจ็ ะมนี กั ศกึ ษาในความดแู ลไดเ้ พยี งคนเดยี ว ในลกั ษณะน้ี เราสามารถ รวม 2 เอนทติ ี คอื เอนทติ นี กั ศกึ ษาและเอนทติ อี าจารยท์ ป่ี รกึ ษาเขา้ ดว้ ยกนั โดยใชต้ ารางเกบ็ ขอ้ มลู เพยี งตาราง เดยี ว ดงั ตารางท่ี 4.3 จากตารางท่ี 4.3 ขา้ งตน้ หากพจิ ารณาแลว้ จะพบวา่ ตารางดงั กล่าวมขี อ้ มลู 2 ชนิดรวมกนั อยู่ คอื ขอ้ มลู ของนกั ศกึ ษา และขอ้ มลู อาจารยท์ ป่ี รกึ ษา จงึ อาจทาใหเ้ กดิ ปัญหาการเลอื กแอททรบิ วิ ตท์ จ่ี ะใชเ้ ป็นคยี ห์ ลกั เพราะ ทงั้ รหสั นกั ศกึ ษา และรหสั อาจารยท์ ป่ี รกึ ษา ต่างกส็ ามารถใชเ้ ป็นคยี ห์ ลกั ไดท้ งั้ คู่ กรณีน้หี ากเลอื กรหสั นกั ศกึ ษา เป็นคยี ห์ ลกั แลว้ รหสั อาจารยท์ ป่ี รกึ ษากจ็ ะกลายเป็นคยี ค์ ่แู ขง่ (Candidate Key) หรอื คยี ส์ ารอง (Alternate Key) ไปทนั ที จากปัญหาการเลอื กว่าจะใหแ้ อททรบิ วิ ตใ์ ดเป็นคยี ห์ ลกั หากเราแยกเกบ็ ขอ้ มลู แต่ละเอนทติ ไี วค้ นละตาราง ดงั ตารางท่ี 4.4 นักศกึ ษำ ตารางท่ี 4.3 ตารางเกบ็ ขอ้ มลู ดว้ ยความสมั พนั ธแ์ บบหน่งึ ต่อหน่งึ นักศกึ ษำ ตารางท่ี 4.4 ตวั อย่างตารางเกบ็ ขอ้ มลู ดว้ ยความสมั พนั ธแ์ บบหน่งึ ต่อหน่งึ

71 อำจำรยท์ ่ีปรกึ ษำ จากตารางท่ี 4.4 ตารางนกั ศกึ ษาจะใชร้ หสั นกั ศกึ ษาเป็นคยี ห์ ลกั สว่ นตารางอาจารยท์ ป่ี รกึ ษาจะใชร้ หสั อาจารยท์ ป่ี รกึ ษาเป็นคยี ห์ ลกั การสรา้ งความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเอนทติ ที งั้ สองจงึ กาหนดใชค้ ยี น์ อก (Foreign Key) ดงั นนั้ ในตารางท่ี 4.4 ตารางนกั ศกึ ษาจะมรี หสั อาจารยท์ ป่ี รกึ ษาเป็นคยี น์ อก เพอ่ื อา้ งองิ ถงึ ขอ้ มลู ในตาราง อาจารยท์ ป่ี รกึ ษา สว่ นในตารางอาจารยท์ ป่ี รกึ ษา จะมรี หสั นกั ศกึ ษาเป็นคยี น์ อก เพอ่ื อา้ งองิ ถงึ ขอ้ มลู ในตาราง นกั ศกึ ษา โดยจะเหน็ ไดว้ า่ คยี น์ อกจะปรากฏอยใู่ นแต่ละตารางเพยี งครงั้ เดยี ว ดว้ ยความสมั พนั ธแ์ บบหน่งึ ต่อหน่งึ นนั่ เอง 2). การจดั เกบ็ ขอ้ มลู ในฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธ์ ดว้ ยความสมั พนั ธแ์ บบหน่งึ ต่อกลมุ่ ตวั อยำ่ ง จากตวั อย่างในหวั ขอ้ 1 หากกาหนดวา่ นกั ศกึ ษาแต่ละคนจะมอี าจารยท์ ป่ี รกึ ษาทด่ี แู ลตนเพยี ง คนเดยี ว ในขณะทอ่ี าจารยท์ ป่ี รกึ ษาแต่ละคนอาจมนี กั ศกึ ษาในความดแู ลไดห้ ลายคน ลกั ษณะเชน่ น้ี จะสามารถใช้ ตารางแยกเกบ็ ขอ้ มลู เป็น 2 ตาราง คอื ตารางนกั ศกึ ษาและตารางอาจารยท์ ป่ี รกึ ษา โดยในตารางนกั ศกึ ษาจะมี คอลมั น์เพม่ิ อกี 1 คอลมั น์ เพ่อื เกบ็ คา่ รหสั อาจารยท์ ป่ี รกึ ษาทด่ี แู ลตนอยู่ และค่าของรหสั อาจารยท์ ป่ี รกึ ษาน้กี จ็ ะ เป็นคยี ห์ ลกั ในตารางอาจารยท์ ป่ี รกึ ษาดว้ ย ดงั แสดงในตารางท่ี 4.5 ตารางท่ี 4.5 ตวั อย่างตารางเกบ็ ขอ้ มลู ดว้ ยความสมั พนั ธแ์ บบหน่งึ ต่อกลุ่ม

72 จากตารางท่ี 4.5 จะเหน็ ไดว้ ่าขอ้ มลู นกั ศกึ ษาแต่ละคนจะอยใู่ นแต่ละแถวของตารางเกบ็ ขอ้ มลู นกั ศกึ ษา และคา่ ของรหสั อาจารยท์ ป่ี รกึ ษาในแต่ละแถวของตารางนกั ศกึ ษาจะมเี พยี งคา่ เดยี วซง่ึ เป็นความสมั พนั ธว์ ่า นกั ศกึ ษาแต่ละคนจะมอี าจารยท์ ป่ี รกึ ษาดแู ลเพยี งคนเดยี ว สว่ นตารางอาจารยท์ ป่ี รกึ ษาจะไมม่ ขี อ้ มลู ของนกั ศกึ ษา เกบ็ อย่เู ลย ดงั นนั้ ถา้ ตอ้ งการทราบวา่ อาจารยท์ ป่ี รกึ ษาแต่ละคนมนี กั ศกึ ษาในความดแู ลเป็นใครบา้ งจะตอ้ งไลด่ ู รหสั ของอาจารยท์ ป่ี รกึ ษาคนนนั้ ใน ตารางนกั ศกึ ษาเอง ซง่ึ อาจจะมมี ากกว่า 1 แถว เป็นการแสดงว่าอาจารยท์ ่ี ปรกึ ษาแต่ละคนมสี ทิ ธมิ์ นี กั ศกึ ษาในความดแู ลไดห้ ลายคน ตวั อย่างเชน่ อาจารยท์ ป่ี รกึ ษาทช่ี ่อื อ. สพุ ล มี นกั ศกึ ษาในความดแู ล 3 คน คอื นายสมควร, น.ส. สดุ า และ น.ส. ชตุ มิ า 3). การจดั เกบ็ ขอ้ มลู ในฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธด์ ว้ ยความสมั พนั ธแ์ บบกลุ่มต่อกลมุ่ ตวั อยำ่ ง สถาบนั การศกึ ษาแห่งหน่งึ กาหนดวา่ ในการลงทะเบยี นเรยี นแต่ละครงั้ นกั ศกึ ษาสามารถ ลงทะเบยี นในรายวชิ าไดม้ ากกวา่ 1 วชิ า และเช่นกนั ในแต่ละรายวชิ าอาจปรากฏอย่ใู นใบลงทะเบยี นของนกั ศกึ ษา มากกว่า 1 คนได้ จงึ เหน็ ไดว้ า่ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างการลงทะเบยี นและรายวชิ า จะเป็นแบบกลุ่มต่อกลมุ่ ในกรณี น้จี งึ ตอ้ งสรา้ งตารางขน้ึ ใหมเ่ พอ่ื บรรจคุ ยี ข์ องตารางทงั้ สองน้ี ไดแ้ ก่ หมายเลขใบลงทะเบยี นและรหสั วชิ าท่ี ลงทะเบยี น โดยกาหนดใหต้ ารางท่ี 3 ทเ่ี กดิ ขน้ึ น้ชี ่อื ว่า ตารางบญั ชกี ารลงทะเบยี น ดงั แสดงในตารางต่อไปน้ี ตารางท่ี 4.6 ตวั อย่างตารางเกบ็ ขอ้ มลู ดว้ ยความสมั พนั ธแ์ บบกลุม่ ต่อกล่มุ

73 จากตารางท่ี 4.6 หากตอ้ งการทราบว่า ในเอกสารใบลงทะเบยี นหมายเลข 5004 มกี ารลงทะเบยี น เรยี น วชิ าใดบา้ ง เราจะเรม่ิ ดขู อ้ มลู ในตารางบญั ชกี ารลงทะเบยี น โดยดแู ถวทม่ี หี มายเลขใบลงทะเบยี นเป็น หมายเลข 5004 แลว้ ใชร้ หสั วชิ าทห่ี าไดจ้ ากตารางน้ี ไปดขู อ้ มลู ของวชิ านนั้ ในตารางรายวชิ า ซง่ึ จะเหน็ วา่ จานวนแถวของ ขอ้ มลู ทเ่ี ป็นหมายเลขใบลงทะเบยี น 5004 อาจมไี ดม้ ากกวา่ 1 แถว 7.ครใู ชเ้ ทคนิควธิ กี ารจดั การเรยี นรแู้ บบอภปิ ราย (Discussion Method) ใหผ้ เู้ รยี นอภปิ รายประโยชน์ของ การศกึ ษาการจดั เกบ็ ขอ้ มลู ข้นั สรุปและการประยุกต์ 8.ครแู ละผเู้ รยี นสรปุ เน้อื หาทเ่ี รยี น 9.สรปุ สาระสาคญั เพอ่ื ใหเ้ กดิ การเรยี นรแู้ ละนาไปปฏบิ ตั ไิ ด้ และประเมนิ ผเู้ รยี นดงั น้ี ชอ่ื ผเู้ รยี น ธรรมชาตขิ องผเู้ รยี น วธิ กี ารเรยี นรู้ ความสนใจ สตปิ ัญญา วุฒภิ าวะ 1. 2. 3. 4. 5. สอื่ และแหล่งการเรียนรู้ 1.หนงั สอื เรยี น วชิ าระบบจดั การฐานขอ้ มลู ของสานกั พมิ พเ์ อมพนั ธ์ 2.รปู ภาพ 3.กจิ กรรมการเรยี นการสอน 4.แผ่นใส

74 5.สอ่ื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส,์ สอ่ื PowerPoint 6.แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ หลกั ฐาน 1.บนั ทกึ การสอน 2.ใบเชค็ รายช่อื 3.แผนจดั การเรยี นรู้ 4.การตรวจประเมนิ ผลงาน การวดั ผลและการประเมินผล วิธีวดั ผล 1. สงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล 2. ประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลุ่ม 3. สงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่ 4. ตรวจใบงาน 5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ และแบบฝึกปฏบิ ตั ิ 6. การสงั เกตและประเมนิ พฤตกิ รรมดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ เครอ่ื งมือวดั ผล 1. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล 2. แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม (โดยคร)ู 3. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกล่มุ (โดยผเู้ รยี น) 4. แบบประเมนิ กจิ กรรมใบงาน 5. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ และแบบฝึกปฏบิ ตั ิ 6. แบบประเมนิ คณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ โดยครแู ละผเู้ รยี น รว่ มกนั ประเมนิ เกณฑก์ ำรประเมินผล 1. เกณฑผ์ า่ นการสงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล ตอ้ งไมม่ ชี อ่ งปรบั ปรงุ 2. เกณฑผ์ ่านการประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่ คอื ปานกลาง (50 % ขน้ึ ไป) 3. เกณฑผ์ า่ นการสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลมุ่ คอื ปานกลาง (50% ขน้ึ ไป) 4. กจิ กรรมใบงาน เกณฑผ์ ่าน คอื 50% 5. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ และแบบฝึกปฏบิ ตั มิ เี กณฑผ์ า่ น 50% 6 แบบประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ ม และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ คะแนนขน้ึ อยกู่ บั การประเมนิ ตามสภาพจรงิ กิจกรรมเสนอแนะ 1.แนะนาใหผ้ เู้ รยี นทากจิ กรรมใบงาน 2.อ่านและทบทวนเน้อื หา

75 บนั ทกึ หลงั การสอน ขอ้ สรุปหลงั การสอน .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ปัญหาท่ีพบ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. แนวทางแก้ปัญหา .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................

76 แผนการจดั การเรียนรูแ้ บบบูรณาการท่ี 8 หน่วยท่ี 4 รหสั 3204-2004 ระบบจดั การฐานขอ้ มูล (2-2-3) สอนครงั้ ที่ 8 (29-32) ชือ่ หน่วย/เรือ่ ง ฐานขอ้ มูลเชิงสมั พนั ธ์ จำนวน 4 ช.ม. สาระสาคญั ฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธ์ เป็นรปู แบบหน่งึ ของฐานขอ้ มลู ทน่ี ิยมใชก้ นั มากในปัจจุบนั โดยจะมกี ารเกบ็ ขอ้ มลู ไว้ ใน รูปแบบของตาราง หรอื ทเ่ี ราเรยี กว่า รเี ลชนั ดงั นนั้ ฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธจ์ งึ เป็นการรวบรวมรเี ลชนั ต่างๆ ทม่ี ี ความสมั พนั ธ์ กนั เขา้ ดว้ ยกนั ทาใหผ้ ใู้ ชม้ องภาพไดง้ า่ ยอกี ทงั้ ยงั สามารถใชค้ าสงั่ งา่ ยๆ เพอ่ื จดั การกบั ขอ้ มลู ในรเี ล ชนั โดยใชภ้ าษา SQL ทาใหส้ ามารถเช่อื มโยงขอ้ มลู ไดง้ ่าย อนั เป็นขอ้ ดขี องฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธ์ จดุ ประสงคก์ ำรเรียนรู้ 3. บอกประเภทของคยี ์ (Key) ได้ 4. อธบิ ายกฎต่างๆ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั คยี ใ์ นฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธไ์ ด้ 5. บอกชนดิ ของรเี ลชนั ได้ 6. มกี ารพฒั นาคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ มและคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคข์ องผสู้ าเรจ็ การศกึ ษา สานกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา ทค่ี รสู ามารถสงั เกตไดข้ ณะทาการสอนในเรอ่ื ง 6.1 ความมมี นุษยสมั พนั ธ์ 6.2 ความมวี นิ ยั 6.3 ความรบั ผดิ ชอบ 6.4 ความซ่อื สตั ยส์ จุ รติ 6.5 ความเช่อื มนั่ ในตนเอง 6.6 การประหยดั 6.7 ความสนใจใฝ่รู้ 6.8 การละเวน้ สงิ่ เสพตดิ และการพนนั 6.9 ความรกั สามคั คี 6.10 ความกตญั ญกู ตเวที สมรรถนะรายวิชา 1. แสดงความรเู้ กย่ี วกบั หลกั การระบบจดั การฐานขอ้ มลู 2. ออกแบบฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธต์ ามหลกั การของ การจดั รปู แบบบรรทดั ฐาน 3. ใชโ้ ปรแกรมสาเรจ็ รปู ในการจดั การฐานขอ้ มลู

77 เน้ ือหาสาระ 3. ประเภทของคยี ์ (Key) 4. กฎทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั คยี ์ 5. ชนดิ ของรเี ลชนั กิจกรรมการเรียนรู้ ข้นั นาเขา้ สู่บทเรียน 1.ครูใชเ้ ทคนิคการสอนแบบซปิ ปาโมเดล (CIPPA MODEL) โดยการทบทวนความรูเ้ ดมิ จากสปั ดาห์ท่ี ผ่านมา โดยดงึ ความรเู้ ดมิ ของผเู้ รยี นในเร่อื งทจ่ี ะเรยี น เพ่อื ช่วยใหผ้ เู้ รยี นมคี วามพรอ้ มในการเชอ่ื มโยงความรใู้ หม่ กบั ความรเู้ ดมิ ของตน ผสู้ อนใชก้ ารสนทนาซกั ถามใหผ้ เู้ รยี นเล่าประสบการณ์เดมิ 2.ผเู้ รยี นบอกความรเู้ บอ้ื งตน้ เกย่ี วกบั เร่อื งคยี ์ (Key) ทไ่ี ดศ้ กึ ษามาบา้ งแลว้ ในหน่วยตน้ ๆ 3.ครกู ล่าวว่าในหวั ขอ้ น้ีจะขอสรุปคุณสมบตั ขิ องคยี ์แต่ละประเภทโดยก่อนอ่นื ควรทราบก่อนว่าแอททริ บวิ ตใ์ ดแอททรบิ วิ ตห์ น่งึ ในรเี ลชนั จะมคี ณุ สมบตั เิ ป็นคยี ไ์ ดเ้ มอ่ื แอททรบิ วิ ตน์ นั้ สามารถใชบ้ ง่ บอกถงึ ค่าในทเู พลิ ใดทู เพลิ หน่งึ ในรเี ลชนั นนั้ ไดห้ รอื สามารถใชใ้ นการเช่อื มโยงขอ้ มลู กบั ขอ้ มลู อน่ื ในอกี รเี ลชนั หน่งึ ในประเภทของคยี ท์ ไ่ี ด้ กลา่ วถงึ ไปแลว้ ในหวั ขอ้ ทผ่ี ่านมา ขนั้ สอน 4.ครใู ชส้ อ่ื Power Point ประกอบการอธบิ ายเร่อื งประเภทของคยี ์ ดงั น้ี 1). คยี ห์ ลกั (Primary Key) เป็นแอททรบิ วิ ตท์ ม่ี คี ุณสมบตั ขิ องขอ้ มูลเป็นค่าทเ่ี ป็นเอกลกั ษณ์ไม่ ซ้าซอ้ นกนั แอททรบิ วิ ตท์ เ่ี ป็นคยี ห์ ลกั อาจประกอบดว้ ยหลายแอททรบิ วิ ตม์ ารวมกนั เพ่อื ทจ่ี ะสามารถใหค้ ่าทเ่ี ป็น เอกลกั ษณ์ได้ คยี ห์ ลกั ทป่ี ระกอบดว้ ยหลายแอททรบิ วิ ตน์ ้ี เราเรยี กวา่ คยี ผ์ สม (Composite Key) ตวั อยา่ งเชน่ จากตาราง ท่ี 4.6 ทผ่ี ่านมาในรเี ลชนั บญั ชกี ารลงทะเบยี น เป็นรเี ลชนั ทแ่ี สดงขอ้ มลู ของการลงทะเบยี นตามท่ี ปรากฏใน ใบลงทะเบยี นแต่ละใบ แอททรบิ วิ ตท์ ใ่ี ชเ้ ป็นคยี ห์ ลกั ของรเี ลชนั น้ี คอื แอททรบิ วิ ตห์ มายเลขใบ ลงทะเบยี น และแอททรบิ วิ ตร์ หสั วชิ าประกอบกนั จงึ จะสามารถใหค้ ่าทเ่ี ป็นเอกลกั ษณ์ได้ ไมซ่ ้าาซอ้ นกนั ในรเี ลชนั หน่ึงๆ อาจมแี อททรบิ วิ ตท์ ม่ี คี ุณสมบตั เิ ป็นคยี ห์ ลกั ไดม้ ากกวา่ หน่งึ แอททรบิ วิ ต์ แอททรบิ วิ ต์ เหล่าน้ี เรยี กวา่ คยี ค์ แู่ ขง่ (Candidate Key) หรอื คยี ส์ ารอง (Alternate Key)

78 2). คยี น์ อก (Foreign Key) เป็นแอททรบิ วิ ตใ์ นรเี ลชนั หนง่ึ ทใ่ี ชอ้ า้ งถงึ แอททรบิ วิ ตเ์ ดยี วกนั ในอกี รี เลชนั หน่งึ โดยแอททรบิ วิ ตท์ ถ่ี ูกอา้ งถงึ ในอกี รเี ลชนั นนั้ มคี ณุ สมบตั เิ ป็นคยี ห์ ลกั ดงั นนั้ แอททรบิ วิ ตท์ ม่ี คี ุณสมบตั เิ ป็น คยี น์ อกจงึ มปี ระโยชน์ในการเช่อื มโยงขอ้ มลู ระหว่างรเี ลชนั 5.ผเู้ รยี นยกตวั อย่างโปรแกรมจดั การฐานขอ้ มลู ทส่ี ามารถสรา้ งคยี ห์ ลกั ขน้ึ มาเองได้ 6.ครใู ชเ้ ทคนิควธิ กี ารจดั การเรยี นรแู้ บบอภปิ ราย (Discussion Method) อภปิ รายเกย่ี วกบั กฎทเ่ี กย่ี วขอ้ ง กบั คยี ใ์ นฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธ์ ซง่ึ มดี งั น้ี 1). กฎความบรู ณภาพของเอนทติ ี (The Entity Integrity Rule) กฎความบรู ณภาพของเอนทติ ี กล่าววา่ “แอททรบิ วิ ตท์ กุ ตวั ทเ่ี ป็นสว่ นของคยี ห์ ลกั จะเป็นค่าวา่ ง (Null) ไม่ได้ และขอ้ มลู ในแอททรบิ วิ ตน์ นั้ ๆ จะเป็นคา่ เอกลกั ษณ์ (Unique)” ค่าวา่ ง ในทน่ี ้หี มายถงึ คา่ ทอ่ี ยนู่ อกกรอบของโดเมน หรอื ไมม่ คี า่ ดงั นนั้ แลว้ ขอ้ มลู ของ แอททรบิ วิ ต์ ทเ่ี ป็นคยี ห์ ลกั จะตอ้ งทราบคา่ ทแ่ี น่นอน ค่าเอกลกั ษณ์ ในทน่ี ้หี มายถงึ ค่าทส่ี ามารถระบคุ า่ ของแอททรบิ วิ ต์อ่นื ๆ ในทเู พลิ นนั้ ได้ 2). กฎความบรู ณภาพของการอา้ งองิ (The Referential Integrity Rule) กฎความบรู ณภาพของการอา้ งองิ กลา่ ววา่ “ค่าของคยี น์ อกในรเี ลชนั หน่งึ จะตอ้ งสามารถ อา้ งองิ ใหต้ รงกบั คา่ ของคยี ห์ ลกั ในอกี รเี ลชนั หน่ึงได”้ คยี น์ อกจะเป็นคา่ วา่ งไดห้ รอื ไมข่ น้ึ อยกู่ บั กฎเกณฑข์ ององคก์ รนนั้ ๆ กรณมี กี ารปรบั ปรุงขอ้ มลู ถา้ เป็นการแกไ้ ข หรอื ลบขอ้ มลู ของแอททรบิ วิ ตท์ เ่ี ป็นคยี ห์ ลกั ในรเี ลชนั ห น่งึ ซง่ึ มคี ยี น์ อกในอกี รเี ลชนั หนง่ึ อา้ งถงึ อย่นู นั้ จะทาาการแกไ้ ขหรอื ลบขอ้ มลู นนั้ ไดห้ รอื ไมจ่ ะตอ้ งพจิ ารณา ทางเลอื กซง่ึ เป็นไปได้ 4 ทางดว้ ยกนั คอื 2.1 แกไ้ ขหรอื ลบขอ้ มลู แบบเป็นทอดๆ (Cascade) หมายถงึ หากมกี ารแกไ้ ขหรอื ลบขอ้ มลู ท่ี เป็นคยี ห์ ลกั ในรเี ลชนั หน่งึ ระบบจะทาการแกไ้ ขหรอื ลบขอ้ มลู ทเ่ี ป็นคยี น์ อกในอกี รเี ลชนั หน่งึ ทอ่ี า้ งถงึ ขอ้ มลู ของคยี ์ หลกั ทถ่ี ูกสงั่ ใหแ้ กไ้ ขหรอื ลบออกดว้ ย ตวั อย่างเช่น กรณรี เี ลชนั นกั ศกึ ษา ซง่ึ มรี หสั อาจารย์ ทป่ี รกึ ษาเป็นคยี น์ อก

79 เม่อื ใดทอ่ี าจารยท์ ป่ี รกึ ษาคนนนั้ ลาออกเราจะตอ้ งลบขอ้ มลู ของอาจารยท์ ป่ี รกึ ษาคนนนั้ ออกจากรเี ลชนั อาจารยท์ ่ี ปรกึ ษา กรณีเช่นน้ี ระบบกจ็ ะลบขอ้ มลู ของนกั ศกึ ษาทกุ คนทอ่ี ยใู่ นความดแู ลของ อาจารยท์ ป่ี รกึ ษาคนนนั้ ออก จากรเี ลชนั นกั ศกึ ษาดว้ ย 2.2 การแกไ้ ขหรอื ลบขอ้ มลู แบบมขี อ้ จากดั (Restrict) หมายถงึ การแกไ้ ขหรอื ลบขอ้ มลู จะ กระทาได้ เม่อื ขอ้ มลู ทเ่ี ป็นคยี ห์ ลกั ในรเี ลชนั หน่งึ ไมม่ ขี อ้ มลู ทถ่ี กู อา้ งองิ โดยคยี น์ อกจากอกี รเี ลชนั หน่งึ เช่น รหสั อาจารยท์ ป่ี รกึ ษาทเ่ี ป็นคยี ห์ ลกั ในรเี ลชนั อาจารยท์ ป่ี รกึ ษา จะถกู แกไ้ ขหรอื ลบทง้ิ ไดต้ ่อเม่อื ไม่มขี อ้ มลู นกั ศกึ ษาใน รเี ลชนั นกั ศกึ ษาทอ่ี ยใู่ นความดแู ลของอาจารยท์ ป่ี รกึ ษาคนนนั้ (ในทน่ี ้ี ในรเี ลชนั นกั ศกึ ษา จะมรี หสั อาจารยท์ ่ี ปรกึ ษาเป็นคยี น์ อก) 2.3 การแกไ้ ข หรอื ลบขอ้ มลู โดยเปลย่ี นเป็นคา่ วา่ ง (Nullify) หมายถงึ การแกไ้ ขหรอื ลบขอ้ มลู จะทาได้ โดยระบบจะเปลย่ี นคา่ ของคยี น์ อกในขอ้ มลู ทอ่ี า้ งถงึ ใหก้ ลายเป็นคา่ ว่าง ตวั อย่างเช่น กรณมี อี าจารยท์ ่ี ปรกึ ษาคนหน่ึงลาออก ขอ้ มลู ของนกั ศกึ ษาทอ่ี ย่ใู นความดแู ลของอาจารยท์ ป่ี รกึ ษาคนนนั้ จะถกู เปลย่ี นคา่ ขอ้ มลู ใน แอททรบิ วิ ตท์ เ่ี ป็นรหสั อาจารยท์ ป่ี รกึ ษาใหเ้ ป็นค่าวา่ งไวก้ อ่ น (โดยรหสั อาจารย์ ทป่ี รกึ ษา เป็นคยี น์ อกในรเี ลชนั นกั ศกึ ษา) 2.4 การแกไ้ ขหรอื ลบขอ้ มลู โดยใชค้ า่ ปรยิ าย (Default) หมายถงึ การแกไ้ ขหรอื ลบขอ้ มลู จะทา ได้ โดยระบบจะทาการปรบั คา่ คยี น์ อกทอ่ี า้ งองิ ถงึ คยี ห์ ลกั ทถ่ี กู แกไ้ ขหรอื ลบให้เป็นค่าปรยิ ายทก่ี าหนดขน้ึ ตวั อยา่ งเช่น กรณีรหสั อาจารยท์ ป่ี รกึ ษาทเ่ี ป็นคยี ห์ ลกั ในรเี ลชนั อาจารยท์ ป่ี รกึ ษาถูกแกไ้ ขหรอื ลบทง้ิ เน่อื งจาก อาจารยท์ ป่ี รกึ ษาคนนนั้ ลาออก ดงั นนั้ ระบบกจ็ ะเปลย่ี นค่ารหสั อาจารยท์ ป่ี รกึ ษาในขอ้ มลู ของ นกั ศกึ ษาทกุ คนทอ่ี ยู่ ในความดแู ลของอาจารยท์ ป่ี รกึ ษาคนนนั้ ใหเ้ ป็นค่าปรยิ าย เชน่ เปลย่ี นคา่ เป็น “00” ไวก้ อ่ น ซง่ึ มคี วามหมายว่า ไมไ่ ดอ้ ยใู่ นความดแู ลของอาจารยท์ ป่ี รกึ ษาคนใด เป็นตน้ 7.ครใู ชส้ อ่ื Power Point ประกอบการอธบิ ายเร่อื งชนดิ ของรเี ลชนั ทจ่ี ะกลา่ วถงึ ในทน่ี ้จี ะเป็นชนดิ ของรเี ล ชนั ในระบบจดั การฐานขอ้ มลู ไดแ้ ก่ 1). รเี ลชนั หลกั (Base Relation) เป็นรเี ลชนั ทถ่ี ูกสรา้ งขน้ึ เพ่อื ใชเ้ กบ็ ขอ้ มลู จรงิ เมอ่ื มกี ารสรา้ งรเี ล ชนั ขน้ึ โดยใชภ้ าษาสาาหรบั นยิ าม ขอ้ มลู (Data Defi nition Language) ใน SQL เพ่อื ทจ่ี ะนาาขอ้ มลู ในรเี ลชนั นนั้ ๆ ไปใชง้ านต่อไป 2). ววิ (View) เป็นรเี ลชนั ทถ่ี กู สรา้ งขน้ึ ตามความตอ้ งการของผใู้ ช้ เน่อื งจากผใู้ ชแ้ ต่ละคนจะมคี วาม ตอ้ งการใช้ ขอ้ มลู ในลกั ษณะทต่ี ่างกนั จงึ สรา้ งววิ แสดงขอ้ มลู ทต่ี นเองตอ้ งการเหน็ ขน้ึ มาววิ ทส่ี รา้ งขน้ึ จะไมม่ กี าร เกบ็ ขอ้ มลู ไวจ้ รงิ ววิ จงึ เป็นเพยี งตารางสมมติ (Virtual Table) ทน่ี าขอ้ มลู จากรเี ลชนั หลกั มาใชง้ าน ขนั้ สรปุ และการประยุกต์ 8.ครสู รุปโดยถามคาถามหรอื กาหนดปัญหาโดยใหผ้ ูเ้ รยี นระดมสมองชว่ ยกนั คดิ หาคาตอบแลว้ อธบิ าย คาตอบใหเ้ พอ่ื นทกุ คนในกลมุ่ ของตนเองเขา้ ใจ 9.ครใู ชว้ ธิ สี มุ่ ผเู้ รยี นทกุ กลุ่มตอบคาถามและอธบิ ายใหเ้ พอ่ื นฟังทงั้ ชนั้ เรยี น

80 ส่ือและแหล่งกำรเรยี นรู้ 1.หนงั สอื เรยี น วชิ าระบบจดั การฐานขอ้ มลู ของสานกั พมิ พเ์ อมพนั ธ์ 2.รปู ภาพ 3.กจิ กรรมการเรยี นการสอน 4.แผ่นใส 5.สอ่ื อเิ ลก็ ทรอนกิ ส,์ สอ่ื PowerPoint 6.แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ หลกั ฐำน 1.บนั ทกึ การสอน 2.ใบเชค็ รายช่อื 3.แผนจดั การเรยี นรู้ 4.การตรวจประเมนิ ผลงาน กำรวดั ผลและกำรประเมินผล วิธีวดั ผล 1. สงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล 2. ประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุม่ 3. สงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุ่ม 4. ตรวจใบงาน 5. ตรวจแบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ และแบบฝึกปฏบิ ตั ิ 6. การสงั เกตและประเมนิ พฤตกิ รรมดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม คา่ นยิ ม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ เครอื่ งมือวดั ผล 1. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล 2. แบบประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลุม่ (โดยคร)ู 3. แบบสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่ (โดยผเู้ รยี น) 4. แบบประเมนิ กจิ กรรมใบงาน 5. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ และแบบฝึกปฏบิ ตั ิ 6. แบบประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านิยม และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ โดยครแู ละผเู้ รยี น รว่ มกนั ประเมนิ เกณฑก์ ำรประเมินผล 1. เกณฑผ์ ่านการสงั เกตพฤตกิ รรมรายบคุ คล ตอ้ งไมม่ ชี อ่ งปรบั ปรุง 2. เกณฑผ์ ่านการประเมนิ พฤตกิ รรมการเขา้ ร่วมกจิ กรรมกลมุ่ คอื ปานกลาง (50 % ขน้ึ ไป) 3. เกณฑผ์ า่ นการสงั เกตพฤตกิ รรมการเขา้ รว่ มกจิ กรรมกลมุ่ คอื ปานกลาง (50% ขน้ึ ไป)

81 4. กจิ กรรมใบงาน เกณฑผ์ ่าน คอื 50% 5. แบบประเมนิ ผลการเรยี นรู้ และแบบฝึกปฏบิ ตั ิ มเี กณฑผ์ า่ น 50% 6 แบบประเมนิ คุณธรรม จรยิ ธรรม คา่ นิยม และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์ คะแนนขน้ึ อย่กู บั การประเมนิ ตามสภาพจรงิ กิจกรรมเสนอแนะ 1.ครแู นะนาใหผ้ เู้ รยี นศกึ ษาเน้อื หาเพม่ิ เตมิ จากสอ่ื อนิ เทอรเ์ น็ต 2.อา่ นทบทวนเน้อื หา

82 จงเลือกคำตอทที่ถกู ต้องที่สดุ เพียงคำตอทเดียว 1. ผคู้ ดิ คน้ รปู แบบของฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธ์ คอื ผใู้ ด ก. Charles Babbage ข. C.J. Date ค. E.F.Codd ง. Pascal 2. ในฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธ์ เรยี กขอ้ มลู แต่ละรายการว่าอย่างไร ก. Tuple ข. Record ค. Attribute ง. Cardinality 3. ในฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธ์ สง่ิ ใดทม่ี คี วามหมายเทยี บไดก้ บั แฟ้มขอ้ มลู ก. Tuple ข. Relation ค. Attribute ง. Domain 4. ในฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธจ์ ะเรยี กคา่ ทอ่ี ยใู่ นแต่ละเขตขอ้ มลู วา่ อะไร ก. Tuple ข. Cardinality ค. Degree ง. Attribute 5. คา่ ของแอททรบิ วิ ตท์ ม่ี คี วามเป็นเอกลกั ษณ์ ไมซ่ ้าซอ้ นกนั ในแต่ละทเู พลิ สามารถนามาใชเ้ ป็นคยี ์ ชนดิ ใดได้ ก. คยี ค์ ่แู ขง่ ข. คยี ห์ ลกั ค. คยี น์ อก ง. ถกู ทงั้ ขอ้ ก. และ ข. 6. ตาราง 2 มติ ิ ทใ่ี ชบ้ รรจขุ อ้ มลู ในฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธ์ เรยี กอกี อย่างหน่งึ ว่าอะไร ก. แฟ้มขอ้ มลู ข. รเี ลชนั ค. ระเบยี นขอ้ มลู ง. เอนทติ ี 7. ขอบเขตของค่าของขอ้ มลู ในแอททรบิ วิ ตห์ น่งึ ๆ เรยี กว่าอะไร ก. โดเมน ข. คารด์ นิ าลติ ี ค. ดกี รี ง. บรรทดั ฐาน 8. คยี ช์ นดิ ใดทเ่ี ลอื กมาเพ่อื สรา้ งความสมั พนั ธร์ ะหวา่ งเอนทติ ี ก. คยี ส์ ารอง ข. คยี ห์ ลกั ค. คยี ค์ แู่ ขง่ ง. คยี น์ อก 9. ค่าวา่ ง หมายถงึ คา่ ใด ก. คา่ ทเ่ี ป็นทว่ี ่าง (Blank) ข. ค่าทเ่ี ป็นศนู ย์ ค. คา่ ทอ่ี ย่นู อกกรอบของโดเมน ง. ถูกทงั้ ขอ้ ก. และ ข.

83 10. ดกี รี หมายถงึ อะไร ก. จานวนแถวในแต่ละรเี ลชนั ข. จานวนคอลมั น์ในแต่ละรเี ลชนั ค. จานวนเอนทติ ใี นระบบ ง. จานวนคอลมั น์ทร่ี ะบใุ ชเ้ ป็นคยี น์ อก 11. รเี ลชนั ในฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธ์ จะหมายถงึ ตารางในลกั ษณะใด ก. ตาราง 2 มติ ิ ทใ่ี นแต่ละแถว แต่ละคอลมั น์บรรจุเพยี งคา่ เดยี ว ข. ตาราง 2 มติ ิ ทใ่ี นแต่ละแถว แต่ละคอลมั น์สามารถบรรจขุ อ้ มลู ไดห้ ลายอย่าง ค. ตาราง 3 มติ ิ ทใ่ี นแต่ละแถว แต่ละคอลมั นแ์ ละแต่ละความลกึ จะบรรจขุ อ้ มลู ไดเ้ พยี งคา่ เดยี ว ง. ตารางทส่ี ามารถบรรจุขอ้ มลู ซ้ากนั ไดใ้ นแต่ละแถว 12. รเี ลชนั ในฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธต์ อ้ งมลี กั ษณะใด ก. แต่ละรเี ลชนั ไมจ่ าเป็นตอ้ งเกย่ี วขอ้ งกนั ข. Attribute ในรเี ลชนั เดยี วกนั สามารถซา้ กนั ได้ ค. รเี ลชนั เหลา่ นนั้ ตอ้ งผ่านกระบวนการทาใหอ้ ยใู่ นรปู แบบบรรทดั ฐาน ง. Tuple ในรเี ลชนั เดยี วกนั สามารถซา้ กนั ได้ 13. ขอ้ ใดไมใ่ ชข่ อ้ ดขี องฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธ์ ก. ผใู้ ชม้ องเหน็ ภาพการจดั เกบ็ ขอ้ มลู ไดง้ า่ ย ข. สามารถใชภ้ าษาทง่ี า่ ยต่อการเรยี กดขู อ้ มลู ค. สามารถเช่อื มโยงขอ้ มลู ระหวา่ งรเี ลชนั โดยใช้ Pointer ง. สามารถใชเ้ คร่อื งหมายคานวณ และเปรยี บเทยี บทางคณิตศาสตรไ์ ด้ 14. ความสมั พนั ธใ์ นฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธม์ อี ย่ดู ว้ ยกนั กแ่ี บบ ก. 2 แบบ ข. 3 แบบ ค. 4 แบบ ง. มแี บบเดยี ว 15. การสรา้ งตารางดงั ต่อไปน้ไี ด้ แสดงว่าขอ้ มลู พนกั งานขายกบั ลกู คา้ มคี วามสมั พนั ธก์ นั แบบใด ก. แบบหน่งึ ต่อหน่งึ ข. แบบหน่งึ ต่อกลุ่ม ค. แบบกลุ่มต่อหน่งึ ง. แบบกลมุ่ ต่อกลมุ่ 16. ขอ้ ใดไม่ใช่ลกั ษณะของฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธ์ ก. ขอ้ มลู จดั เกบ็ ในรปู ของตาราง ข. การเรยี กใชข้ อ้ มลู ตอ้ งเขยี นเป็นโปรแกรม ค. เช่อื มโยงขอ้ มลู ระหว่างรเี ลชนั ไดโ้ ดยง่าย ง. จดั การกบั ขอ้ มลู ไดง้ า่ ย

84 17. ในรเี ลชนั หนง่ึ อาจมแี อททรบิ วิ ตท์ ม่ี คี ุณสมบตั เิ ป็นคยี ห์ ลกั ได้หลายแอททรบิ วิ ต์ เราเรยี กแอททรบิ วิ ต์ เหลา่ นนั้ ว่าอะไร ก. คยี ห์ ลกั ข. คยี ส์ ารอง ค. คยี ค์ แู่ ขง่ ง. อาจเรยี กไดท้ งั้ ขอ้ ข. และ ค. 18. คยี ห์ ลกั ทป่ี ระกอบดว้ ยหลายแอททรบิ วิ ต์ เรยี กว่าอะไร ก. คยี ค์ แู่ ขง่ ข. คยี ส์ ารอง ค. คยี ผ์ สม ง. คยี น์ อก 19. คยี ช์ นดิ ใดทใ่ี ชป้ ระโยชน์ในการเช่อื มโยงขอ้ มลู ระหว่างรเี ลชนั ก. คยี ค์ แู่ ขง่ ข. คยี น์ อก ค. คยี ผ์ สม ง. คยี ส์ ารอง 20. กรณมี กี ารแกไ้ ขหรอื ลบขอ้ มลู ของคยี ห์ ลกั ในรเี ลชนั หนง่ึ ซง่ึ มคี ยี น์ อกในอกี รเี ลชนั อา้ งถงึ อยนู่ นั้ จะตอ้ ง พจิ ารณาทางเลอื กใดในการทา ก. แกไ้ ขหรอื ลบขอ้ มลู แบบเป็นทอดๆ ข. แกไ้ ขหรอื ลบขอ้ มลู แบบมขี อ้ จากดั ค. แกไ้ ขหรอื ลบขอ้ มลู โดยเปลย่ี นเป็นคา่ ว่าง ง. ถกู ทกุ ขอ้

85 ทนั ทึกหลงั กำรสอน ข้อสรปุ หลงั กำรสอน .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ปัญหาท่ีพบ .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. แนวทางแก้ปัญหา .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. .................................................................................................................................................. ..................................................................................................................................................

86 แผนการจดั การเรยี นรูแ้ บบบูรณาการท่ี 9 หน่วยท่ี 5 รหสั 3204-2004 ระบบจดั การฐานขอ้ มูล (2-2-3) สอนครงั้ ท่ี 9 (33-36) ชื่อหน่วย/เรือ่ ง รูปแบบบรรทดั ฐานของรีเลชนั จำนวน 4 ช.ม. สาระสาคญั รปู แบบบรรทดั ฐานของรเี ลชนั นนั้ จะชว่ ยใหก้ ารออกแบบฐานขอ้ มลู เป็นไปอย่างมรี ะเบยี บแบบแผน การทา ให้ รเี ลชนั อย่ใู นรปู แบบบรรทดั ฐานจะชว่ ยป้องกนั การอปั เดตขอ้ มลู ผดิ พลาด และสง่ ผลต่อเสถยี รภาพของขอ้ มลู จุดประสงคก์ ารเรียนรู้ 1. สามารถทารเี ลชนั ใหอ้ ยใู่ นรปู แบบทเ่ี ป็นบรรทดั ฐานได้ 2. อธบิ ายภาษาทใ่ี ชใ้ นการออกแบบฐานขอ้ มลู ได้ 3. มกี ารพฒั นาคุณธรรม จรยิ ธรรม ค่านยิ ม และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคข์ องผสู้ าเรจ็ การศกึ ษา สานกั งานคณะกรรมการการอาชวี ศกึ ษา ทค่ี รสู ามารถสงั เกตไดข้ ณะทาการสอนในเรอ่ื ง 3.1 ความมมี นุษยสมั พนั ธ์ 3.2 ความมวี นิ ยั 3.3 ความรบั ผดิ ชอบ 3.4 ความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ 3.5 ความเชอ่ื มนั่ ในตนเอง 3.6 การประหยดั 3.7 ความสนใจใฝ่รู้ 3.8 การละเวน้ สงิ่ เสพตดิ และการพนนั 3.9 ความรกั สามคั คี 3.10 ความกตญั ญกู ตเวที สมรรถนะรายวิชา 1. แสดงความรเู้ กย่ี วกบั หลกั การระบบจดั การฐานขอ้ มลู 2. ออกแบบฐานขอ้ มลู เชงิ สมั พนั ธต์ ามหลกั การของ การจดั รปู แบบบรรทดั ฐาน 3. ใชโ้ ปรแกรมสาเรจ็ รปู ในการจดั การฐานขอ้ มลู เน้ ือหาสาระ 1. การทารเี ลชนั ใหอ้ ย่ใู นรปู แบบทเ่ี ป็นบรรทดั ฐาน 2. ภาษาทใ่ี ชใ้ นการออกแบบฐานขอ้ มลู

87 กิจกรรมการเรียนรู้ ข้นั นาเขา้ สู่บทเรยี น 1.ครแู ละผเู้ รยี นสนทนาเกย่ี วกบั รปู แบบบรรทดั ฐานของรเี ลชนั นนั้ ช่วยใหก้ ารออกแบบฐานขอ้ มลู เป็นไป อยา่ งมรี ะเบยี บแบบแผน การทาใหร้ เี ลชนั อยใู่ นรปู แบบบรรทดั ฐานจะชว่ ยป้องกนั การอปั เดตขอ้ มลู ผดิ พลาด และ สง่ ผลต่อเสถยี รภาพของขอ้ มลู 2.ครกู ล่าววา่ แนวคดิ ในการทารเี ลชนั ใหอ้ ย่ใู นรปู แบบทเ่ี ป็นบรรทดั ฐาน (Normalization) ไดถ้ ูกคดิ ขน้ึ โดย E.F. Codd ในปี พ.ศ. 2515 หลงั จากนนั้ Boyce และ Codd ไดค้ ดิ รปู แบบการทาใหร้ ดั กมุ ขน้ึ จงึ ตงั้ ชอ่ื รปู แบบรเี ลชนั ทเ่ี ป็นบรรทดั ฐานน้ใี หมว่ ่า Boyce Codd Normal Form หรอื BCNF นบั เป็นขนั้ ตอนการนา เคา้ รา่ ง ของรเี ลชนั มาทาใหอ้ ยใู่ นรปู แบบทเ่ี ป็นบรรทดั ฐาน (Normal Form) 3.ผเู้ รยี นทาแบบประเมนิ ผลการเรยี นรกู้ ่อนเรยี น ขนั้ สอน 4.ครใู ชส้ อ่ื Power Point ประกอบการอธบิ ายเร่อื งการทารเี ลชนั ใหอ้ ย่ใู นรปู แบบทเ่ี ป็นบรรทดั ฐาน ซง่ึ มี สาระสาคญั ดงั น้ี 1). รปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 1 (First Normal Form : 1 NF) ตวั อย่างรเี ลชนั ทไ่ี มอ่ ยใู่ นรปู แบบบรรทดั ฐาน เป็นรเี ลชนั ของการสงั่ สนิ คา้ ซง่ึ แต่ละครงั้ ของการสงั่ สนิ คา้ ลกู คา้ จะ สามารถสงั่ สนิ คา้ ไดม้ ากกวา่ 1 ชนดิ ดงั แสดงในตารางท่ี 5.1 ตารางท่ี 5.1 ตวั อยา่ งรเี ลชนั ทไ่ี ม่อย่ใู นรปู แบบบรรทดั ฐาน

88 ตารางท่ี 5.2 แสดงรเี ลชนั ทอ่ี ย่ใู นรปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 1 (1NF) 2). รปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 2 (Second Normal Form : 2NF) รเี ลชนั ใดๆ จะอย่ใู นรปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 2 เม่อื รเี ลชนั นนั้ อยใู่ นรปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 1 และทกุ แอททรบิ วิ ตท์ ไ่ี ม่ไดเ้ ป็นคยี ห์ ลกั จะตอ้ งขน้ึ กบั แอททรบิ วิ ตท์ เ่ี ป็นคยี ห์ ลกั หรอื แอททรบิ วิ ตท์ งั้ หมดทป่ี ระกอบเป็น คยี ห์ ลกั หรอื กล่าวอกี นยั หน่งึ คอื ตอ้ งไม่มคี วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ งค่าของแอททรบิ วิ ตแ์ บบบางสว่ นเกดิ ขน้ึ ตวั อย่างเชน่ ลกู คา้ (รหสั ลกู คา้ , ช่อื ลกู คา้ , ทอ่ี ย่,ู โทรศพั ท)์ จากโครงสรา้ งตารางลกู คา้ ขา้ งตน้ จะเหน็ ไดว้ า่ เมอ่ื เราใชแ้ อททรบิ วิ ตร์ หสั ลกู คา้ เป็นคยี ห์ ลกั แลว้ รหสั ลกู คา้ จะสามารถไประบคุ า่ ของแอททรบิ วิ ตท์ เ่ี หลอื คอื ช่อื ลกู คา้ ทอ่ี ยู่ และเบอรโ์ ทรศพั ทข์ องลกู คา้ ได้

89 จงึ ขอยกตวั อย่างรเี ลชนั อกี อนั หน่งึ ตามตารางท่ี 5.3 ตารางท่ี 5.3 แสดงรเี ลชนั ทไ่ี มอ่ ย่ใู นรปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 2 2.1 ความผดิ พลาดทเ่ี กดิ จากการเพม่ิ ขอ้ มลู (Insert Anomaly) หากบรษิ ทั น้ตี อ้ งการนาสนิ คา้ ชนดิ ใหมม่ าขาย เชน่ “โทรศพั ท”์ โดยกาหนดรหสั สนิ คา้ เป็น A185 หมายความว่า การเพมิ่ ขอ้ มลู สนิ คา้ “โทรศพั ท”์ เขา้ ไปในรเี ลชนั การสงั่ จะกระทาไดต้ ่อเมอ่ื ตอ้ งมรี หสั การสงั่ ดว้ ย เน่อื งจากรเี ลชนั การสงั่ ตามตารางท่ี 5.3 กาหนดใหค้ ยี ห์ ลกั ของตารางประกอบดว้ ย รหสั การสงั่ และรหสั สนิ คา้ ดงั นนั้ การทจ่ี ะเพม่ิ ขอ้ มลู สนิ คา้ จะกระทาไดต้ ่อเมอ่ื มกี ารสงั่ ซอ้ื สนิ คา้ “โทรศพั ท”์ แลว้ เทา่ นนั้ จงึ เป็นปัญหาท่ี เกดิ ขน้ึ 2.2 ความผดิ พลาดทเ่ี กดิ จากการลบขอ้ มลู (Delete Anomaly) หากลกู คา้ ขอยกเลกิ การสงั่ จากรหสั การสงั่ 304 กจ็ ะทาใหต้ อ้ งลบขอ้ มลู ในทเู พลิ สดุ ทา้ ยออกไปเป็นผลให้ รายการสนิ คา้ รหสั Z181 เครอ่ื งซกั ผา้ ตอ้ งหายไปดว้ ยทงั้ ทไ่ี มไ่ ดม้ กี ารเลกิ ขายเครอ่ื งซกั ผา้ 2.3 ความผดิ พลาดทเ่ี กดิ จากการปรบั ปรุงขอ้ มลู (Update Anomaly) หากตอ้ งการแกไ้ ขขอ้ มลู T104 ตูเ้ ยน็ จะทาใหเ้ กดิ ความยงุ่ ยากและเสยี เวลา เชน่ ถา้ ตอ้ งการแกช้ ่อื สนิ คา้ “ตูเ้ ยน็ ” เป็น “ตูไ้ อศกรมี ” การแกไ้ ขขอ้ มลู ดงั กล่าวจะตอ้ งคน้ หาขอ้ มลู รหสั สนิ คา้ จากทกุ ทเู พลิ ทเ่ี ป็นรหสั T104 มา แกไ้ ข ซง่ึ ทาใหเ้ สยี เวลา และหากแกไ้ ขไม่ครบทกุ ทเู พลิ กจ็ ะเกดิ ปัญหาขอ้ มลู ขดั แยง้ กนั ตามมา จากปัญหาดงั กล่าวขา้ งตน้ เม่อื นามาพจิ ารณาประกอบกบั คุณสมบตั กิ ารเป็นรเี ลชนั ในรปู แบบบรรทดั ฐาน ระดบั ท่ี 2 แลว้ จะพบวา่ มบี างอยา่ งทข่ี ดั กบั คุณสมบตั ขิ องการเป็นรเี ลชนั ในรปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 2 คอื จาก ตารางท่ี 5.3 เราใชท้ งั้ รหสั การสงั่ และรหสั สนิ คา้ เป็นคยี ห์ ลกั ร่วมกนั หรอื คยี ผ์ สม ซง่ึ แอททรบิ วิ ตท์ เ่ี หลอื ไดแ้ ก่

90 วนั ทส่ี งั่ จานวนทส่ี งั่ ช่อื สนิ คา้ และราคาจะตอ้ งขน้ึ กบั คยี ผ์ สม แต่มบี างแอททรบิ วิ ต์ คอื วนั ทส่ี งั่ มไิ ดข้ น้ึ กบั คยี ผ์ สม ดงั กลา่ ว แต่วนั ทส่ี งั่ จะขน้ึ กบั รหสั การสงั่ และช่อื สนิ คา้ จะขน้ึ กบั รหสั สนิ คา้ เพยี งอยา่ งเดยี ว ลกั ษณะเช่นน้ี อาจ กล่าวไดว้ ่าแอททรบิ วิ ตร์ หสั การสงั่ ทเ่ี ป็นเพยี งสว่ นหน่งึ ของคยี ห์ ลกั สามารถไประบุค่าของแอททรบิ วิ ตว์ นั ทส่ี งั่ และแอททรบิ วิ ตร์ หสั สนิ คา้ ซง่ึ กเ็ ป็นเพยี งสว่ นหน่งึ ของคยี ห์ ลกั สามารถไประบุค่าของแอททรบิ วิ ตช์ อ่ื สนิ คา้ เพ่อื ขจดั ปัญหาดงั กลา่ ว เราจงึ ตอ้ งแยกแอททรบิ วิ ตว์ นั ทส่ี งั่ และชอ่ื สนิ คา้ ออกไปสรู่ เี ลชนั ใหม่เป็นดงั น้ี ตารางท่ี 5.4 แสดงรเี ลชนั ทอ่ี ย่ใู นรปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 2

91 3). รปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 3 (Third Normal Form : 3NF) รเี ลชนั ใดๆ จะอย่ใู นรปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 3 เม่อื รเี ลชนั นนั้ อยใู่ นรปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 2 และแอ ททรบิ วิ ตท์ ไ่ี มไ่ ดเ้ ป็นคยี ห์ ลกั ตอ้ งขน้ึ กบั แอททรบิ วิ ตท์ เ่ี ป็นคยี ห์ ลกั เทา่ นนั้ หรอื กลา่ วอกี อย่างหน่งึ คอื ตอ้ งไมม่ ี ความสมั พนั ธร์ ะหว่างค่าของแอททรบิ วิ ตแ์ บบทรานซทิ ฟี เกดิ ขน้ึ

92 ตารางท่ี 5.5 แสดงรเี ลชนั ลกู คา้ ทอ่ี ยใู่ นรปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 2 3.1 ความผดิ พลาดทเ่ี กดิ จากการเพมิ่ ขอ้ มลู (Insert Anomaly) หากบรษิ ทั น้มี พี นกั งานขายเพมิ่ ขน้ึ คอื รหสั พนกั งาน 75 ชอ่ื มารตุ จะไมส่ ามารถเพมิ่ ขอ้ มลู มารุตเขา้ ไป ในรเี ลชนั ลกู คา้ ดงั กลา่ วได้ ถา้ มารตุ ยงั ไมม่ ลี กู คา้ ของตนเอง 3.2 ความผดิ พลาดทเ่ี กดิ จากการลบขอ้ มลู (Delete Anomaly) หากมกี ารลบขอ้ มลู ลกู คา้ ทอ่ี ยใู่ นความดแู ลของพนกั งานขายรหสั 13 ทช่ี ่อื มาลี ออกจากรเี ลชนั จะกระทา ไมไ่ ด้ เพราะจะทาใหข้ อ้ มลู พนกั งานขาย รหสั พนกั งาน 13 ถูกลบออกจากรเี ลชนั ไปดว้ ย ทงั้ ทพ่ี นกั งานขายทช่ี ่อื สมควรยงั คงทางานอยู่ 3.3 ความผดิ พลาดทเ่ี กดิ จากการปรบั ปรุงขอ้ มลู (Update Anomaly) หากพนกั งานรหสั 13 ชอ่ื สมควร เปลย่ี นชอ่ื เป็นสมศกั ดกิ์ ารแกไ้ ขจะยงุ่ ยากและเสยี เวลาเพราะตอ้ งแกไ้ ข ชอ่ื พนกั งานขายดงั กล่าวใหค้ รบทกุ ทเู พลิ หากแกไ้ ขไม่ครบทกุ ทเู พลิ กจ็ ะทาใหเ้ กดิ ปัญหาขอ้ มลู ขดั แยง้ ตามมา จากปัญหาดงั กล่าวขา้ งตน้ เมอ่ื นามาพจิ ารณาประกอบกบั คุณสมบตั กิ ารเป็นรเี ลชนั ในรปู แบบบรรทดั ฐาน ระดบั ท่ี 3 แลว้ จะพบว่าแอททรบิ วิ ตช์ อ่ื พนกั งานขาย มไิ ดข้ น้ึ กบั รหสั ลกู คา้ ซง่ึ เป็นคยี ห์ ลกั ของรเี ลชนั แต่ชอ่ื พนกั งานขายไปขน้ึ กบั รหสั พนกั งานขาย ซง่ึ มใิ ช่คยี ห์ ลกั ของรเี ลชนั ดงั น้ีรหสั พนกั งานขายจงึ กลายเป็นตวั เลอื ก (Determinant) ทส่ี ามารถไปเลอื กแอททรบิ วิ ตต์ วั อน่ื ๆ ได้ และในทน่ี ้รี หสั พนกั งานขายกม็ ใิ ช่คยี ค์ ่แู ขง่ ดว้ ย การทจ่ี ะทาใหร้ เี ลชนั อย่ใู นรปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 3 จงึ สามารถทาไดโ้ ดย ขจดั ตวั เลอื กทม่ี ใิ ชค่ ยี ค์ แู่ ขง่ ออกไปสรู่ เี ลชนั ใหม่ ดงั น้ี

93 ตารางท่ี 5.6 แสดงรเี ลชนั ทอ่ี ยใู่ นรปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 3 4). รปู แบบบรรทดั ฐานของบอยซแ์ ละคอดด์ (Boyce/Codd Normal Form : BCNF) รเี ลชนั ใดๆ จะอยใู่ นรปู แบบบรรทดั ฐานของบอยซแ์ ละคอดด์ เมอ่ื รเี ลชนั นนั้ อย่ใู นรปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 3 และไมม่ แี อททรบิ วิ ตท์ ไ่ี มใ่ ชค่ ยี ห์ ลกั แต่สามารถไประบุคา่ แอททรบิ วิ ตท์ เ่ี ป็นคยี ห์ ลกั หรอื สว่ นหน่งึ สว่ นใดของ คยี ห์ ลกั ในกรณีทค่ี ยี ห์ ลกั เป็นคยี ผ์ สม รเี ลชนั ทอ่ี ย่ใู นรปู แบบ BCNF จะอย่ใู นรปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 3 แต่รเี ลชนั ทอ่ี ย่ใู นรปู แบบบรรทดั ฐาน ระดบั ท่ี 3 ไมจ่ าเป็นจะตอ้ งอยใู่ นรปู แบบ BCNF ดงั นนั้ รเี ลชนั ทค่ี วรตอ้ งผา่ นการทาใหอ้ ยใู่ นรปู แบบ BCNF จะมี ลกั ษณะดงั น้ี

94 ตวั อยำ่ ง รเี ลชนั การขายต่อไปน้ี สมมตใิ หช้ อ่ื ของผขู้ าย (SALE_NM) ไมม่ คี ่าทซ่ี า้ กนั และมคี ณุ สมบตั ใิ นการเป็น คยี ห์ ลกั ดว้ ย ดงั ตารางท่ี 5.7 ตารางท่ี 5.7 แสดงรเี ลชนั ทไ่ี มอ่ ยใู่ นรปู แบบ BCNF ตารางท่ี 5.7 แสดงรเี ลชนั ทไ่ี ม่อยใู่ นรปู แบบ BCNF (ต่อ) 5). รปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 4 (Fourth Normal Form : 4 NF) รเี ลชนั ใดๆ จะอยใู่ นรปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 4 เม่อื รเี ลชนั นนั้ อย่ใู นรปู แบบ BCNF และไมม่ กี ารขน้ึ ต่อ กนั เชงิ กลุ่ม หรอื กล่าวอกี อย่างหน่งึ คอื ตอ้ งไม่มคี วามสมั พนั ธร์ ะหวา่ งค่าของแอททรบิ วิ ตแ์ บบหลายค่าเกดิ ขน้ึ ลองพจิ ารณารเี ลชนั ต่อไปน้ซี ง่ึ เป็นรเี ลชนั ทอ่ี ยใู่ นรปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 3 แลว้ โดยรเี ลชนั ทต่ี อ้ งผ่าน การทาใหอ้ ย่ใู นรปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 4 จะตอ้ งมแี อททรบิ วิ ตอ์ ย่างน้อย 3 แอททรบิ วิ ต์ ไดแ้ ก่ โดยทพ่ี นกั งานขายแต่ละคนแบง่ เขตการดแู ลรา้ นคา้ จาหน่าย ซง่ึ เป็นลกู คา้ ในจงั หวดั ต่างๆ

95 ตำรำงท่ี 5.8 แสดงการปรบั รเี ลชนั ใหอ้ ยใู่ นรปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 3 ทาใหเ้ ป็น 1 NF ไดด้ งั น้ี จากตารางท่ี 5.8 จงึ ไดร้ เี ลชนั พนกั งานขายเป็นดงั น ซง่ึ จากรเี ลชนั ทป่ี รบั แลว้ ในตารางท่ี 5.8 น้ี หากพจิ ารณาต่อไป จะพบว่า -เป็นรเี ลชนั ทอ่ี ยใู่ นรปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 1 แลว้ ค่าของแต่ละแอททรบิ วิ ตใ์ นแต่ละทเู พลิ มเี พยี งคา่ เดยี ว

96 -เป็นรเี ลชนั ทอ่ี ย่ใู นรปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 2 แลว้ ทุกแอททรบิ วิ ตท์ ไ่ี มไ่ ดเ้ ป็นคยี ห์ ลกั ขน้ึ กบั แอททริ บวิ ตท์ เ่ี ป็นคยี ห์ ลกั หรอื แอททรบิ วิ ตท์ งั้ หมดทป่ี ระกอบเป็นคยี ห์ ลกั -เป็นรเี ลชนั ทอ่ี ย่ใู นรปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 3 แลว้ แอททรบิ วิ ตท์ ไ่ี ม่ไดเ้ ป็นคยี ห์ ลกั ขน้ึ กบั แอททรบิ วิ ตท์ ่ี เป็นคยี ห์ ลกั เทา่ นนั้ หรอื อกี นยั หน่งึ ไมม่ ตี วั เลอื กทไ่ี มใ่ ช่คยี ค์ แู่ ขง่ ดงั นนั้ รเี ลชนั ในตารางท่ี 5.8 หลงั จากปรบั แลว้ จงึ อยใู่ นรปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 3 แต่จะพบวา่ เกดิ ปัญหาความผดิ พลาดตามมา ไดแ้ ก่ 5.1 ความผดิ พลาดทเ่ี กดิ จากการเพมิ่ ขอ้ มลู (Insert Anomaly) ถา้ มพี นกั งานขายคนใหมเ่ ขา้ มา โดยใหร้ หสั พนกั งานขายเป็น 55 ถา้ พนกั งานขายคนน้ยี งั ไมม่ ลี กู คา้ ทต่ี อ้ ง ดแู ลจะมปี ัญหาทไ่ี มส่ ามารถเพม่ิ ขอ้ มลู ลงในตารางได้ เน่อื งจากคยี ห์ ลกั จะเป็นค่าว่างไม่ได้ 5.2 ความผดิ พลาดทเ่ี กดิ จากการลบขอ้ มลู (Delete Anomaly) กรณีลกู คา้ รหสั 700 เลกิ ซอ้ื ขายสนิ คา้ กบั บรษิ ทั จะตอ้ งลบขอ้ มลู รหสั ลกู คา้ 700 ออกไปกจ็ ะทาใหข้ อ้ มลู รหสั พนกั งานขาย 40 ถูกลบออกไปดว้ ย 5.3 ความผดิ พลาดทเ่ี กดิ จากการปรบั ปรงุ ขอ้ มลู (Update Anomaly) ถา้ รหสั พนกั งานขาย 13 เปลย่ี นเขตการดแู ลจากจงั หวดั ชลบรุ ี เป็นจงั หวดั ขอนแก่นกจ็ ะตอ้ งแกไ้ ขขอ้ มลู หลายทใ่ี นตาราง และถา้ แกไ้ ขไม่ครบทกุ ทจ่ี ะทาใหเ้ กดิ ปัญหาขอ้ มลู ขดั แยง้ ตามมา 6). รปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 5 (Fifth Normal Form : 5NF) รเี ลชนั ใดๆ จะอย่ใู นรปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 5 เม่อื รเี ลชนั นนั้ อยใู่ นรปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 4 และมี คยี ห์ ลกั เป็นคยี ผ์ สมทป่ี ระกอบดว้ ยแอททรบิ วิ ตต์ งั้ แต่ 3 แอททรบิ วิ ตข์ น้ึ ไป ถา้ แตกรเี ลชนั นนั้ ออกเป็นรเี ลชนั ยอ่ ย ตงั้ แต่ 3 รเี ลชนั ขน้ึ ไป โดยการจบั ค่แู อททรบิ วิ ตแ์ ต่ละคขู่ องรเี ลชนั เดมิ เป็นคยี ผ์ สม และเมอ่ื ทาการเช่อื มโยงรเี ลชนั ย่อยทงั้ หมดแลว้ จะตอ้ งไมท่ าใหเ้ กดิ ขอ้ มลู ใหมท่ ต่ี ่างไปจากรเี ลชนั เดมิ ตวั อยำ่ ง ในฐานขอ้ มลู การผลติ สนิ คา้ ซง่ึ ประกอบดว้ ย 3 รเี ลชนั ไดแ้ ก่ รเี ลชนั ผผู้ ลติ (Supplier) รเี ลชนั สนิ คา้ (Product) และรเี ลชนั การจดั สง่ สนิ คา้ (Order) โดยแต่ละรเี ลชนั ประกอบดว้ ยแอททรบิ วิ ตต์ ่างๆ ดงั น้ี รเี ลชนั ผผู้ ลติ ประกอบดว้ ย SPNO หมายถงึ รหสั ผผู้ ลติ SPNM หมายถงึ ช่อื ผผู้ ลติ SPADR หมายถงึ ทอ่ี ยขู่ องผผู้ ลติ รเี ลชนั สนิ คา้ ประกอบดว้ ย PDNO หมายถงึ รหสั สนิ คา้ PDNM หมายถงึ ชอ่ื สนิ คา้ STORE หมายถงึ ทอ่ี ยขู่ องโกดงั สนิ คา้ รเี ลชนั การจดั สง่ สนิ คา้ ประกอบดว้ ย SPNO หมายถงึ รหสั ผผู้ ลติ ทส่ี ง่ สนิ คา้ PDNO หมายถงึ รหสั สนิ คา้ ทส่ี ง่ QTY หมายถงึ จานวนสนิ คา้ ทส่ี ง่

97 หลงั จากทท่ี ารเี ลชนั ใหอ้ ยใู่ นรปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 4 แลว้ จงึ เกดิ รเี ลชนั ผรู้ บั โครงการผลติ สนิ คา้ (Supplier Product Project) ตงั้ ชอ่ื ย่อเป็น SPP ประกอบดว้ ยแอททรบิ วิ ต์ ชอ่ื ผผู้ ลติ สนิ คา้ (SPNM) ชอ่ื สนิ คา้ ทร่ี บั ผลติ (PDNM) และชอ่ื โครงการผลติ สนิ คา้ (PJNM) รเี ลชนั SPP น้มี แี อททรบิ วิ ตท์ งั้ สามเป็นคยี ผ์ สม ตวั อยา่ งขอ้ มลู ในรเี ลชนั SPP ไดแ้ ก่ ตารางท่ี 5.10 แสดงรเี ลชนั ทอ่ี ยใู่ นรปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 4 แมว้ ่ารเี ลชนั SPP จะอยใู่ นรปู แบบบรรทดั ฐานระดบั ท่ี 4 แลว้ กต็ าม แต่กย็ งั เกดิ ปัญหาเม่อื มกี ารปรบั ปรงุ ขอ้ มลู เช่น เม่อื ลบขอ้ มลู ในทเู พลิ ท่ี 3 จะทาใหข้ อ้ มลู ของชอ่ื ผผู้ ลติ ทช่ี อ่ื ธรี ะถกู ลบหายไปดว้ ย หรอื เมอ่ื มกี ารแกไ้ ข ชอ่ื สนิ คา้ เชน่ ตอ้ งการเปลย่ี นชอ่ื สนิ คา้ โทรทศั น์เป็นเคร่อื งเล่นซดี ี กจ็ ะตอ้ งทาการแกไ้ ขขอ้ มลู หลายทใ่ี นตาราง และถา้ แกไ้ ขไม่ครบทกุ ทก่ี จ็ ะทาใหเ้ กดิ ปัญหาขอ้ มลู ขดั แยง้ ตามมา ดงั นนั้ เพ่อื หลกี เลย่ี งปัญหาทจ่ี ะตามมาจงึ แตกรเี ลชนั SPP เป็นรเี ลชนั ย่อยๆ โดยแต่ละรเี ลชนั จะ ประกอบดว้ ยแอททรบิ วิ ตแ์ ต่ละค่มู าเป็นคยี ผ์ สม ดงั ตารางท่ี 5.11 ซง่ึ เมอ่ื นารเี ลชนั ยอ่ ยๆ ทงั้ หมดมาเช่อื มโยงกนั ก็ จะพบว่ามขี อ้ มลู เหมอื นในรเี ลชนั เดมิ ไมม่ ที เู พลิ ใดทเ่ี กนิ ออกมา

98 ตำรำงท่ี 5.11 แสดงการเชอ่ื มโยงรเี ลชนั ย่อยทไ่ี ดเ้ หมอื นรเี ลชนั เดมิ 5. ผเู้ รยี นเขยี นสรุปขนั้ ตอนการทารเี ลชนั ใหอ้ ยใู่ นรปู แบบทเ่ี ป็นบรรทดั ฐาน บนั ทกึ ลงในกระดาษ A4 6. ครใู ชส้ อ่ื Power Point ประกอบการอธบิ ายเรอ่ื งภาษาทใ่ี ชใ้ นการออกแบบฐานขอ้ มลู ตวั อยำ่ ง จากตวั อยา่ งขา้ งตน้ เราสามารถใช้ DBDL ดว้ ยการแสดงช่อื เอนทติ แี ละตามดว้ ยชอ่ื ของแอททรบิ วิ ตต์ ่างๆ ในวงเลบ็ ขดี เสน้ ใตแ้ อททรบิ วิ ตท์ เ่ี ป็นคยี ห์ ลกั ดงั ทเ่ี คยทามาในหน่วยแรกๆ นอกจากน้ใี น DBDL จะสามารถระบุ คยี อ์ ่นื ๆ และคุณสมบตั เิ พม่ิ เตมิ ไดอ้ กี ไดแ้ ก่ 1. ใส่ * ถา้ แอททรบิ วิ ตใ์ ดสามารถเกบ็ คา่ วา่ งได้ 2. ใส่ CK หมายถงึ คยี ค์ แู่ ขง่ (Candidate Key) 3. ใส่ SK หมายถงึ คยี ร์ อง (Secondary Key)


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook