Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป

การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป

Description: การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป

Keywords: ทัศนศิลป,ความคิดสร้างสรรค์

Search

Read the Text Version

๑๐๑ การพฒั นาความคิดสรา้ งสรรค์ทางทัศนศลิ ป์ ๗. อย่าทอ้ แท้กบั ความผิดพลาด แต่ตอ้ งเรยี นร้จู ากความล้มเหลว ในประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาติ ยังไม่ปรากฏว่ามีผู้ประสบความ ส�ำเรจ็ หรือมีช่อื เสียงเป็นท่ยี อมรบั ใดทีไ่ มเ่ คยล้มเหลวและคิดผิดพลาด โดยเฉพาะ วงการคิดสร้างสรรค์ด้วยแล้ว ย่อมเกิดความล้มเหลวโดยตลอด ก่อนที่จะพบกับ แนวทางรปู แบบใหม่ทีด่ ีกว่า ดงั นั้น การผดิ พลาดหรอื ความล้มเหลวหลายครง้ั น้นั สมั พนั ธก์ บั ค�ำวา่ การลองผดิ ลองถกู เนอ่ื งจากแต่ละความคดิ ใหมจ่ ะถกู ยอมรบั ใน วงกว้าง จ�ำเปน็ อย่างยง่ิ ทต่ี อ้ งผ่านกระบวนการทดสอบ ทดลอง จนม่นั ใจวา่ ความ คดิ ใหม่นั้น มคี ณุ ประโยชน์อยา่ งแทจ้ รงิ กระบวนการลองผิดลองถูกแต่ละขน้ั จงึ หลกี เลย่ี งความผดิ พลาดไมไ่ ด้ จนมคี ำ� กลา่ วหนง่ึ ทใ่ี ชก้ นั อยา่ งกวา้ งขวางวา่ การทำ� ผดิ พลาดคอื ครู เพ่ือใหเ้ ราได้เกดิ ความร ู้ ดังน้ัน ความผิดพลาดต่างๆ จึงเปรยี บ เสมอื นสิ่งทส่ี อนใหเ้ กดิ การเรียนรู้ ไมว่ ่าจะผดิ หรือถูกก็ตาม เมอ่ื นกั คิดสร้างสรรคป์ ระสบกบั ความลม้ เหลว สง่ิ หนงึ่ ที่ส�ำคัญ คือ หา้ ม หมดความหวงั และละทงิ้ ความพยายาม แสดงถงึ ความทอ้ แทใ้ จตอ่ การเรยี นรดู้ ว้ ย บุคลิกลักษณะของนักคิดสร้างสรรค์ที่นักวิชาการหรือนักจิตวิทยายอมรับว่า บุคลิกภาพเช่นน้ีเป็นลักษณะของผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์คือ เม่ือพบกับปัญหา หรอื อปุ สรรคตา่ ง ๆ จะไมโ่ ทษตนเองหรอื โชคชะตา และจะไมย่ อมแพต้ อ่ ความลม้ เหลวน้ัน แต่จะเกิดความรู้สึกถึงความท้าทาย มีความกระหายใคร่รู้ค�ำตอบหรือ ทางออกของปัญหาน้ันๆ หากนกั ศิลปะหรือศลิ ปนิ ก�ำลงั ติดกบั ดักปญั หา จงอย่าทอ้ ใจ ส้นิ หวงั แต่ จงคดิ เสมอวา่ ความผดิ พลาดทกุ อยา่ งนน้ั คอื การเรยี นรแู้ ละอดทนรอคอยใหค้ วาม คิดใหม่คอ่ ยๆ กอ่ ตัวขึน้ มาในชว่ งระยะเวลาและบรรยากาศที่เหมาะสม

๑๐๒ การพฒั นาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทัศนศิลป์ ๘. อย่าละทิ้งความคิดใดจนกว่าจะพิสูจนว์ ่าไร้ประโยชน์ แตใ่ ห้ชะลอ การตดั สินใจ จากค�ำแนะน�ำนี้หมายถึง อย่าด่วนสรุปว่าความคิดท่ีได้ช่ัวขณะหน่ึงนั้น เป็นสิ่งท่ีแปลกใหม่และมีคุณประโยชน์หรือดีที่สุดแล้ว และอีกนัยหนึ่งอาจหมาย ถงึ อย่ารีบทงิ้ ความคดิ ใด ก่อนท่จี ะพิจารณาอย่างละเอียดแล้ววา่ ไม่มีประโยชน์ ดงั นนั้ ทกุ ความคดิ ทไี่ ดล้ ว้ นแตม่ ปี ระโยชนต์ ามบรบิ ททเ่ี หมาะสม เมอื่ เกดิ ความคดิ ใดแล้ว ควรจดบันทกึ ไว้ก่อน แลว้ ใครค่ รวญพิจารณาอยา่ งรอบคอบ หากประเมนิ อยา่ งมน่ั ใจแลว้ วา่ ความคดิ ใดไมเ่ กดิ ประโยชนแ์ ละไมเ่ หมาะสม จงึ ตดั ความคดิ นน้ั ออก หากรีบด่วนสรุปความว่า ความคิดที่ได้น้ันเป็นไปไม่ได้ ไร้ประโยชน์ จะ เป็นการบ่นั ทอนและสร้างกำ� แพงกน้ั ความสำ� เรจ็ บท ท่ี ๓ ในด้านทัศนศิลป์ ทุกความคิดสร้างสรรค์มีคุณประโยชน์เสมอ แต่จะมี ความเหมาะสมมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ บางความคิดไม่ เหมาะกบั สถานการณห์ รอื การสรา้ งสรรคช์ นิ้ งานรปู แบบหนง่ึ แตอ่ าจเหมาะสมกบั การใชง้ านกบั ผลงานลกั ษณะอนื่ หรอื บางความคดิ อาจถกู จดบนั ทกึ ไวน้ าน เพราะ ยังไม่เหมาะในขณะน้ัน แต่เมื่อถึงบริบทปัจจุบัน ความคิดเก่าอาจเป็นประโยชน์ และเหมาะสมตอ่ การสรา้ งสรรคผ์ ลงานศิลปะ ในเวลาที่เหมาะสม

๑๐๓ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศิลป์ ๙. อย่ากลวั การเผยแพรผ่ ลงาน แตต่ อ้ งกล้าท่ีจะแตกตา่ ง ค�ำแนะน�ำในข้อนี้ อาจเก่าเกินไปและไม่เข้าข่ายกับศิลปินท่ีมีช่ือเสียง เพราะโดยธรรมชาติของบุคคลเหล่านี้ การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ เพ่ือการ แสดงผลงานสสู่ าธารณชนเปน็ หลกั โดยเฉพาะศลิ ปนิ อาชพี ทม่ี รี ายไดห้ ลกั จากการ จ�ำหน่ายผลงานของตน ต้องแสวงหาช่องทางน�ำเสนอหรือเผยแพร่ผลงานใน ลักษณะตา่ งๆ เช่น การจัดแสดงนิทรรศการตามสถานทต่ี ่างๆ การเปดิ ห้องแสดง ส่วนตัว การเผยแพร่ตามระบบออนไลน์ เป็นต้น แต่หากเป็นศิลปินมือใหม่หรือ นักศึกษาทางทศั นศิลปท์ ี่ยงั ไม่มปี ระสบการณล์ ักษณะนี้ อาจกงั วลวา่ ผูช้ มผลงาน จะมีข้อติชมผลงานหรือไม่ ในประเด็นน้ีต้องท�ำความเข้าใจเป็นเบื้องต้นว่า ไม่มี ศิลปินใดทจ่ี ะสรา้ งสรรคผ์ ลงานมาแล้วจะมคี นชื่นชมทั้งหมด เนอ่ื งจากการชื่นชม ผลงานศิลปะเป็นรสนิยมเฉพาะบุคคล แต่ละบุคคลมีความแตกต่างในความนิยม ชมชอบ ดงั นน้ั จงึ ไมอ่ าจสนองตอบรสนยิ มของทกุ คนไดท้ งั้ หมด แตส่ ง่ิ หนง่ึ ทสี่ ำ� คญั คอื ควรนำ� เสนอความแตกตา่ งหรอื ความเปน็ ตวั ตนของผสู้ รา้ งสรรคเ์ พราะโดยสว่ น ใหญม่ นษุ ยม์ กั มคี วามกระหายใครร่ หู้ รอื อยากรอู้ ยากเหน็ สง่ิ ทต่ี นไมค่ นุ้ เคย รปู แบบ ผลงานท่ีแปลกใหม่ จึงเป็นจุดเด่นท่ีสามารถเชิญชวนให้บุคคลสนใจเข้ารับชมผล งาน แมจ้ ะไมต่ รงกับรสนิยมของผนู้ ้นั แต่สง่ิ ทผ่ี ชู้ มไดร้ บั คือ ความคดิ ใหม่ทอี่ าจ กระตุ้นความคิดหรือความรู้สึกบางอย่างของผู้ชม หากเป็นไปได้เช่นน้ัน ความ ประทบั ใจจะเกิดขึ้นกบั ผ้รู ับชมแมจ้ ะไม่ตรงกับรสนยิ มก็ตาม

๑๐๔ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค์ทางทศั นศลิ ป์ การจัดเตรียมสภาพแวดล้อมและสร้างบรรยากาศ สภาพแวดล้อมและบรรยากาศ มีผลต่อความคิดทุกลักษณะ ไม่ว่าจะ เป็นการคิดวิเคราะห์ การคิดแก้ปัญหา การคิดเชิงวิพากษ์ โดยเฉพาะความคิด สรา้ งสรรค์ หากอยใู่ นส่ิงแวดลอ้ มและบรรยากาศทไ่ี ม่เอ้อื ต่อการคิด เช่น มเี สียง ดังอึกทึก ผู้คนแออัด จะมีผลต่อสภาพทางอารมณ์และกระทบต่อความคิด สร้างสรรค์ สภาพแวดล้อมแบบเดิมท่ีมีลักษณะเป็นปกติทุกวัน เป็นปัจจัยหนึ่งท่ี หลอ่ หลอมใหก้ ารใชช้ วี ติ เปน็ ไปแบบเดมิ ความคดิ ทไี่ ดจ้ งึ มลี กั ษณะเดมิ ๆ แนวทาง การแกป้ ญั หา จงึ เปน็ แนวทางเดมิ ทค่ี นุ้ เคย จงึ เปน็ ทย่ี อมรบั กนั อยา่ งกวา้ งขวางวา่ การไดอ้ อกจากสภาพแวดลอ้ มหรอื แบบแผนเดมิ ทปี่ ฏบิ ตั มิ าอยา่ งเคยชนิ จะสง่ ผล ดตี อ่ การคดิ สงิ่ ใหมท่ ส่ี รา้ งสรรคก์ วา่ เดมิ เชน่ การพาพนกั งานในองคก์ รหรอื หนว่ ย งานออกไปสัมมนาหรือระดมสมองยังต่างพื้นที่ มีบรรยากาศและสภาพแวดล้อม ท่ีตา่ งออกไปจากวถิ ชี ีวิตแบบปกติ ซง่ึ มสี ว่ นชว่ ยกระต้นุ ใหเ้ กิดความต่นื ตวั ในการ คดิ และสง่ ผลตอ่ ผลงานทีม่ ีประสทิ ธิภาพ บท ที่ ๓

๑๐๕ การพัฒนาความคิดสรา้ งสรรค์ทางทัศนศลิ ป์ อสิ อะ เวย.์ รอ็ บ (๒๕๕๑, หน้า ๔๔) ไดแ้ นะนำ� วา่ หากต้องการเพิม่ ศักยภาพ ทักษะ และจินตนาการ จ�ำเป็นต้องมีสถานท่ีอันเหมาะสม สถานท่ี สามารถท�ำใหเ้ กิดความรูส้ ึกท่แี ตกต่างกนั ได้ เชน่ ภายในบาร์ที่มผี ้คู นมากมาย สง่ เสยี งครกึ ครน้ื สนกุ สนาน อาจทำ� ใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ ตนื่ เตน้ ตา่ งจากหอศลิ ปท์ ่ีแสดง ผลงานทางศลิ ปะ ที่ท�ำให้เกดิ ความร้สู ึกทตี่ ้องใช้ความคิดไตร่ตรอง พิจารณา จนไปถึงการวิพากษ์วิจารณ์ด้วยเหตุผลหรือความรู้สึก ในขณะท่ีห้องท�ำงานของ นายจา้ ง อาจทำ� ให้พนักงานเกิดความรสู้ กึ ประหมา่ หว่นั เกรง ได้เมื่อบรรยากาศ และสภาพแวดล้อมที่แตกตา่ ง ส่งผลตอ่ ความคดิ สรา้ งสรรคม์ ากเพียงนจ้ี งึ มีความ จ�ำเป็นอย่างยิ่งที่ควรจัดเตรียมสภาพแวดล้อมและบรรยากาศให้เอ้ือต่อการคิด สร้างสรรค์ โดย สมศักดิ์ ภ่วู ภิ าดาวรรธน์ (๒๕๓๗, หน้า ๔๓-๗๓) ไดเ้ สนอวธิ ีการ จัดเตรียมสภาพแวดล้อมและบรรยากาศทางกายภาพในช้ันเรียน ที่เอื้อต่อการก ระตนุ้ ความคดิ สรา้ งสรรค์ โดยมใี จความวา่ สภาพของหอ้ งจะมขี นาดเลก็ หรอื ใหญ่ ใหม่หรือเก่า จะอยู่ในเมืองหรือชนบท ล้วนสามารถจัดเตรียมให้เป็นห้องปฏิบัติ งานที่สง่ เสริมความคดิ สร้างสรรคไ์ ดท้ งั้ สิ้น ซึง่ มหี ลักการดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. ตดิ แผน่ ปา้ ยทม่ี สี สี นั สดใส สวยงาม ขนาดใหญไ่ วท้ หี่ นา้ หอ้ ง และเขยี น ช่ือห้องลงบนกระดาษแผ่นน้ัน ๒. ติดช่ือและรูปถ่ายของสมาชิกไว้ที่ประตูห้อง โดยตกแต่งรูปแบบให้ สวยงาม การตดิ ชอื่ และรปู ของทกุ คน เปน็ การใหส้ มาชกิ เกดิ ความรสู้ กึ วา่ เปน็ สว่ น หนงึ่ ของห้องนี้ ซ่งึ มผี ลต่อสภาพจิตใจของผูเ้ รียนด้วย โดยรปู ภาพของผู้เรียนควร ใหแ้ ตล่ ะคนมสี ทิ ธค์ิ ดั เลือกดว้ ยตนเอง เพราะหากผสู้ อนเปน็ ผู้เลือกอาจไม่ถูกใจผู้ เรยี นแตล่ ะคน อกี ทงั้ เปน็ การเปดิ โอกาสใหผ้ เู้ รยี นไดใ้ ชค้ วามคดิ ในการนำ� เสนอรปู ของตน ทจ่ี ะแสดงออกถงึ อัตลักษณ์หรอื ความเป็นตวั ตนของแต่ละคนด้วย ๓. สรา้ งบรรยากาศใหม้ คี วามสดชนื่ อาจนำ� ตน้ ไม้ ดอกไม ้ หรอื สตั วเ์ ลย้ี ง บางประเภท เช่น นก ปลา จัดวางในตำ� แหน่งทีเ่ หมาะสม เพื่อใหผ้ ้เู รยี นเกดิ ความ รสู้ ึกท่ผี อ่ นคลาย เหมือนไดใ้ กลช้ ิดอยูก่ ับธรรมชาติภายนอก ๔. จดั พน้ื ทบ่ี างสว่ นภายในหอ้ ง ใหเ้ ปน็ พนื้ ทจี่ ดั แสดงผลงานศลิ ปะทเี่ กดิ จากความคิดสร้างสรรค์และฝีมือของผู้เรียน รวมท้ังมีการหมุนเวียนผลงาน เพ่ือ หลกี เลยี่ งความซำ�้ ซากจ�ำเจ ๕. จดั พนื้ ทศี่ กึ ษาคน้ ควา้ ขอ้ มลู เพม่ิ เตมิ อาจมอี ปุ กรณส์ บื คน้ หรอื หนงั สอื ภาพ เพ่อื กระต้นุ ความคิดของผเู้ รียน เพราะในบางกรณีผู้เรียนอาจไม่สามารถคิด

๑๐๖ การพัฒนาความคดิ สร้างสรรค์ทางทัศนศลิ ป์ สร้างสรรค์ได้ด้วยตนเอง หากขาดทรัพยากรการเรียนรู้ นอกจากนี้ขณะจัดการ เรียนรู้หรอื ฝึกปฏบิ ัตงิ าน อาจมีเสยี งเพลงเบาๆ เพื่อความผอ่ นคลาย โดยเฉพาะ ดนตรปี ระเภทบรรเลง เน่อื งจากสามารถปรบั แต่งคลน่ื สมองได้ ซ่ึง กจิ จา ฤดีขจร (๒๕๕๕, หน้า ๗๔) แนะนำ� วา่ เสียงดนตรีมสี ว่ นชว่ ยเสริมสร้างและสนับสนุนการ ท�ำงานของสมองและร่างกาย มีข้อมูลจากงานวิจัยที่ระบุว่า เสียงดนตรีมี ประสทิ ธิภาพทดี่ ีเยีย่ มส�ำหรับสมาธิ ทกั ษะ ความจำ� และควบคุมความเครียด มี ผลในดา้ นจติ วทิ ยาและสรรี วทิ ยา เพราะในขณะทใี่ ชค้ วามคดิ อยา่ งหนกั ชพี จรและ ความดันโลหิตจะเพ่มิ สงู ขึน้ คลน่ื สมองจะทำ� งานมากข้นึ ดว้ ย และกล้ามเนื้อจะมี การเกรง็ ตวั แต่หากมีเสยี งดนตรบี รรเลงเบาๆ จะชว่ ยให้เกดิ สมาธแิ ละผอ่ นคลาย ชีพจรและความดันโลหิตจะลดลง กล้ามเน้ือจะคลายตัวลงด้วย โดยได้แนะน�ำ ประเภทของดนตรีท่เี หมาะสมดว้ ยว่า ควรฟังดนตรีของสมยั บาโรค เชน่ ดนตรีขอ งบาค, แฮนเดล, พารเ์ ซเบล, ววิ ลั ดี ซึ่งเป็นคตี กวีเอกทีเ่ ลอื กใชจ้ งั หวะและรปู แบบ ดนตรีเฉพาะทีส่ อดคลอ้ งกับรา่ งกายและสมอง โดยสว่ นใหญ่จะมีความเร็วจงั หวะ อยทู่ ่ี ๖๐ จงั หวะตอ่ นาทซี ึง่ ตรงกบั อตั ราการเตน้ ของหวั ใจขณะพัก จากขอ้ มลู ทนี่ ำ� เสนอมาขา้ งตน้ เปน็ เพยี งคำ� แนะนำ� ในการจดั เตรยี มสภาพ แวดล้อมและบรรยากาศที่เอ้ือต่อกระบวนการคิดสร้างสรรค์ ส�ำหรับผู้เขียนท่ีมี ประสบการณ์ใกล้ชิดกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ทัศนศิลป์กับผู้เรียนระดับ บท มัธยมศึกษา และอุดมศึกษา มีข้อเสนอในการจัดเตรียมสภาพแวดล้อมและ ท่ี บรรยากาศ และส่งิ ที่ควรหลีกเล่ียง โดยแสดงในรปู ตาราง ดงั ตอ่ ไปน้ี ๓

๑๐๗ การพัฒนาความคดิ สร้างสรรค์ทางทศั นศิลป์ สภาพแวดลอ้ มและบรรยากาศทดี่ ี สภาพแวดลอ้ มและบรรยากาศที่ไมด่ ี ๑. หอ้ งเรยี นหรอื หอ้ งปฏบิ ตั งิ าน การจดั การเรยี นรู้ทศั นศลิ ปใ์ น พน้ื ทห่ี อ้ งเรยี นสเี่ หลยี่ มตลอดเวลา ใน ไม่ควรมีพื้นท่ีจ�ำกัดแค่เพียงขอบเขต ประเด็นน้ีมิได้หมายความว่าต้องให้ผู้ ส่เี หล่ียม เนอ่ื งจากพนื้ ทส่ี เ่ี หลีย่ มเปน็ เรียนอยู่นอกห้องทุกครั้ง แต่ควร สง่ิ ทผ่ี เู้ รยี นคนุ้ เคยในรายวชิ าอนื่ ๆ อกี พจิ ารณาเลอื กลกั ษณะการปฏบิ ตั งิ าน ทั้งพ้ืนที่ส่ีเหล่ียมยังเทียบได้กับกรอบ ให้เหมาะสม เพราะเน้ือหาบางอย่าง ดังนั้น หากเป็นไปได้ควรให้ผู้เรียนได้ ยงั มคี วามจำ� เปน็ ทต่ี อ้ งใชพ้ นื้ ทภ่ี ายใน สัมผัสกับธรรมชาติภายนอกห้องบ้าง ห้อง เช่น เน้ือหาเก่ียวกับประวัติ จะช่วยส่งเสริมความคิดนอกกรอบได้ ศาสตร์ศิลปะ หรือวิธีการสร้างสรรค์ ดี รวมทงั้ ฝกึ ใหผ้ เู้ รยี นรสู้ กึ วา่ ทกุ พนื้ ที่ ผลงานศิลปะที่มีอุปกรณ์เป็นจ�ำนวน สามารถเรียนรูไ้ ดท้ ้ังสน้ิ มาก เปน็ ตน้ ๒. ผสู้ อนควรปรบั บคุ ลกิ ภาพให้ ผสู้ อนทมี่ บี ุคลิกท่ีเข้มงวดจน เกินไป เป็นระเบียบทุกกระเบียดน้ิว เอื้อต่อการคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียน ไม่มีความยืดหยุ่น หรือคอยบั่นทอน โดยการสร้างแรงจูงใจเชิงบวกพูดคุย ก�ำลงั ใจของผูเ้ รียน พฤตกิ รรมเหลา่ นี้ อยา่ งเปน็ กนั เอง โดยแนะนำ� อยา่ งเปน็ เป็นการท�ำลายความคิดสร้างสรรค์ กัลยาณมิตร จะช่วยให้ผู้เรียนเกิด ของผเู้ รียนเปน็ อย่างมาก ความสบายใจและผอ่ นคลาย รวมทั้ง มีอสิ ระทางความคดิ มากขน้ึ ๓. ใช้เสียงดนตรีบรรเลงเบาๆ เสียงที่ไม่พึงประสงค์ เช่น สถานที่ใกล้ตลาดสดที่มีการค้าขาย เพอื่ ชว่ ยใหเ้ กดิ ความผอ่ นคลาย ไมร่ บี อย่างคับค่ัง หรือห้องเรียนท่ีติดถนน เรง่ สง่ ผลใหผ้ เู้ รยี นเกดิ สมาธใิ นการคดิ เป็นต้น จะส่งผลให้เกิดมลภาวะทาง สร้างสรรค์ เสียงท่ีเป็นอุปสรรคต่อกระบวนการ คิดสร้างสรรค์

๑๐๘ การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทัศนศิลป์ สภาพแวดลอ้ มและบรรยากาศทีด่ ี สภาพแวดลอ้ มและบรรยากาศทไ่ี มด่ ี ๔ . ก่อนการด�ำเนินกิจกรรมท่ี สภาพแวดล้อมที่มีผู้เรียน แสดงพฤตกิ รรมทีไ่ ม่พงึ ประสงค์ โดย ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ ควรปรับ ก่อความวุ่นวาย ส่งผลต่อสมาธิของ สมาธิของผู้เรียน เพ่ือให้สมองเกิด เพ่อื นร่วมชนั้ เช่น การพูดคยุ เสียงดัง ความพร้อมและมีจิตใจที่จดจ่อต่อสิ่ง การเล่นเกมส์ในโทรศัพท์ หรือการ ทกี่ ำ� ลงั คดิ โดยใหอ้ ยใู่ นอริ ยิ าบถทผ่ี อ่ น กลนั่ แกล้งระหว่างกนั ฯลฯ ท้งั หมดน้ี คลาย ก�ำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก เปน็ เหตกุ ารณท์ ่ที ำ� ใหส้ มาธิในการคิด อยา่ งเปน็ ธรรมชาตปิ ระมาณ ๑๐ นาที สรา้ งสรรค์ลดน้อยลง จะช่วยปรับความสนใจให้อยู่กับการ ด�ำเนินกิจกรรมและตัดความกังวลใน เรื่องตา่ งๆ ก่อนหนา้ ๕ . จดั พนื้ ทใี่ หม้ อี ากาศถา่ ยเทได้ ห้องท่ีคับแคบ อุดอู้ ไม่เป็น สะดวก เนื่องจากออกซิเจนมีส่วน ระเบียบ ทำ� ใหอ้ ากาศไม่ถา่ ยเท กล่ิน บท ส�ำคัญต่อสมองท่ีส่งผลต่อรูปแบบ ทไ่ี มพ่ งึ ประสงคข์ องวสั ดบุ างชนดิ อาจ ท่ี กระบวนการคดิ อกี ทง้ั การปฏบิ ตั งิ าน ส่งผลเสียต่อสุขภาพด้วย หากได้รับ ๓ ทางทศั นศลิ ปบ์ างประเภท อาจมกี ลน่ิ การสูดดมเป็นประจ�ำ หรือห้องที่อยู่ จากวสั ดุ เช่น สีน้�ำมัน หากอากาศไม่ ใกล้กับห้องสุขา ท่ีอาจมีกล่ินจาก ถา่ ยเท กส็ ามารถสง่ ผลตอ่ บรรยากาศ สิ่งปฏิกูล รบกวนกระบวนการคิด ในการคิดสร้างสรรค์นอกจากน้ียัง สร้างสรรคไ์ ด้ สามารถใช้กล่ินหอม หรือที่เรียกว่า สุคนธบ�ำบัด ซ่ึงมีผลต่ออารมณ์และ จิตใจ การใช้กลิน่ หอมท่กี ระตุ้นสมอง เป็นเร่ืองเฉพาะบุคคล เช่น กล่ิน ลาเวนเดอร์ ช่วยให้สมองผ่อนคลาย และท�ำงานได้ดีขึ้น (กิจจา ฤดีขจร, ๒๕๕๕, หนา้ ๔๔)

๑๐๙ การพัฒนาความคิดสร้างสรรคท์ างทศั นศลิ ป์ ก าร จัดเตรยี มขอ้ มูล การคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ป์ เพอื่ ใหไ้ ดแ้ นวคดิ มาสรา้ งรปู แบบผลงาน ทแ่ี ปลกใหม่ จำ� เปน็ อยา่ งยง่ิ ทนี่ กั คดิ สรา้ งสรรคต์ อ้ งมที รพั ยากรจำ� นวนทมี่ ากเพยี ง พอต่อการวิเคราะห์และพิจารณา นักออกแบบหลายท่านต่างยอมรับว่า หาก ออกแบบจาก ๐ ผลที่ได้คือ ๐ หมายความวา่ หากนั่งคดิ ไปเรอื่ ยๆ โดยปราศจาก ขอ้ มูล ส่งิ ที่ได้คอื คดิ อะไรไมไ่ ด้เลย ดงั นั้น ขอ้ มูลจึงเปน็ ทรพั ยากรทม่ี ีคุณคา่ และ มีความส�ำคัญต่อการคิดสร้างสรรค์ เนื่องจากเป็นพ้ืนฐานเพ่ือการต่อยอดเป็นรูป แบบงานท่แี ตกต่างไปจากเดิม ข้อมูลท่ีเป็นพื้นฐานส�ำหรับการสร้างสรรค์งานทัศนศิลป์ มีหลายลักษณะ แตล่ ะชนิดมีคุณลักษณะท่ีแตกต่างกัน ดงั เช่น ๑. ข้อมูลรูปภาพ ท้ังภาพผลงานของศิลปินต่างๆ หรือภาพถ่ายของสิ่ง ต่าง ๆ โดยรอบ ๒. ข้อมูลท่เี ปน็ เน้ือหา ประกอบด้วย เนอื้ หาสาระ เร่ืองราวท่ีเกี่ยวขอ้ ง กบั หวั ขอ้ เพอ่ื เปน็ พนื้ ฐานใหเ้ กดิ แนวความคดิ ตวั อยา่ งเชน่ วาดภาพในหวั ขอ้ ทอ้ ง ถนิ่ ของเรา จำ� เปน็ ตอ้ งทราบถงึ เรอื่ งราวในทกุ มติ ขิ องทอ้ งถนิ่ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ตน ทง้ั ประวตั ศิ าสตรค์ วามเปน็ มา ภมู ศิ าสตร์ ระบบเศรษฐกจิ สง่ิ สำ� คญั ในทอ้ งถน่ิ เปน็ ตน้ ๓. เอกสารทางประวตั ศิ าสตรแ์ ตล่ ะยคุ สมยั เชน่ การออกแบบโดยใชก้ าร สรา้ งสรรคห์ นงั สอื การต์ นู องิ ประวตั ศิ าสตรส์ มยั พระเจา้ อยหู่ วั บรมโกศ นกั ออกแบบ มีความจ�ำเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องศึกษาข้อมูลจากเอกสารปฐมภูมิ เก่ียวกับ พระราชพงศาวดารหลายๆ ฉบบั เพอ่ื ตรวจสอบความเปน็ ไปไดข้ องขอ้ มลู กอ่ นนำ� มาวางโครงเรอ่ื งของผลงาน หรอื เอกสารประเภทวรรณคดี เชน่ ตอ้ งการเขยี นภาพ นรก สวรรค์ สงิ่ ทีต่ อ้ งศกึ ษาคือ วรรณกรรมเรอ่ื ง ไตรภมู ิ ซึง่ แสดงรายละเอียดของ สงิ่ ท่ีตอ้ งการสร้างสรรคไ์ ว ้ เป็นต้น ๔. ข้อมูลประเภทวัตถุ ขอ้ มูลประเภทน้มี คี วามส�ำคัญต่อการสร้างสรรค์ งานทศั นศิลปอ์ ยา่ งมาก ประกอบด้วย วสั ดุอปุ กรณ์ เคร่ืองมือแต่ละลกั ษณะ ผล งานศลิ ปะทเี่ ปน็ ของจรงิ หนุ่ จำ� ลองรปู แบบตา่ งๆ รวมไปถงึ สถานทตี่ า่ งๆ ทร่ี วบรวม ศิลปวัตถุแต่ละแหล่งด้วย ข้อมูลเหล่านี้บางสิ่งไม่สามารถน�ำมาจัดแสดงในพ้ืนที่ ห้องเรียนได้เช่น โบราณสถานวัตถุที่อยู่ติดที่ ดังนั้น จึงควรน�ำผู้เรียนไปสัมผัส ประสบการณ์ตรงนอกห้องเรียนบ้าง

๑๑๐ การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรค์ทางทัศนศิลป์ เน่ืองจากการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ทุกประเภท จ�ำเป็นต้องพ่ึงพา วัสดุ เพ่ือประกอบข้ึนเป็นช้ินงาน รวมท้ังอุปกรณ์เคร่ืองมือชนิดต่างๆ ส�ำหรับ อ�ำนวยความสะดวกในการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะผลงานประเภทการออกแบบ วัสดุแต่ละลักษณะมีผลต่อการผลิตช้ินงานจริง หากมีตัวอย่างวัสดุท่ีหลากหลาย จะส่งผลต่อกระบวนการคิดต่อยอดเป็นรูปแบบผลงานใหม่ได้สะดวกข้ึน ดังน้ัน TCDC ซ่งึ เปน็ หนว่ ยงานที่สง่ เสริมผลงานดา้ นการออกแบบ ไดจ้ ดั พื้นที่เพอ่ื แสดง ตัวอยา่ งวัสดุชนิดตา่ ง ๆ ในบริเวณของมหาวทิ ยาลยั หลายแหง่ ตวั อยา่ งเชน่ มุม หนึ่งของหอสมุด หรือคณะศิลปกรรมศาสตร์ ที่เน้นรายวิชาทางด้านศิลปะการ ออกแบบ ใช้ชื่อเรียกพ้นื ทส่ี ่วนน้ีว่า mini TCDC หรอื ท่ีเรยี กว่า โครงการกระจาย โอกาสสร้างแหล่งเรียนรู้ด้านการออกแบบสู่ภูมิภาค เป็นความร่วมมือระหว่าง TCDC ผ้ปู ระกอบการ และองค์กรภาครัฐสว่ นท้องถ่นิ โดยใช้กระบวนการคดิ เชงิ ออกแบบ เพ่อื พัฒนาคุณภาพชวี ติ ให้กบั คนในทอ้ งถิน่ (www.tcdc.or.th. หัวขอ้ mini TCDC สบื ค้นเมือ่ วนั ที๑่ ๔ เมษายน ๒๕๖๓ เวลา ๑๑.๒๐ น.) ข้อมูลที่กล่าวมาท้ังหมดน้ี สามารถจัดเตรียมและจัดเก็บไว้ในพื้นที่บาง ส่วนของห้องเรียน หรือห้องปฏิบัติการทางศิลปะ แต่บางส่วนต้องออกเดินทาง เขา้ ไปยงั แหลง่ ซง่ึ แหลง่ ขอ้ มลู ต่างๆ สามารถคน้ คว้าได้ตามแหลง่ ขอ้ มูลต่อไปนี้ บท ท่ี สืบค้นขอ้ มลู จากระบบอินเตอรเ์ นต็ ปัจจุบันระบบอินเตอร์เน็ตมีข้อมูลสารสนเทศเป็นจ�ำนวนมาก ท่ีเป็น ๓ ประโยชน์ต่อการสร้างแนวความคิดและกระตุ้นกระบวนการคิดสร้างสรรค์บาง สว่ นชว่ ยสนบั สนนุ ความคดิ ใหม้ นั่ คงขน้ึ แตก่ ารใชข้ อ้ มลู จากแหลง่ นคี้ วรมกี ารตรวจ สอบขอ้ มลู จากหลายเว็บไซตก์ อ่ นน�ำไปใช้งาน และบางส่วนควรพิจารณาเก่ียวกับ ลิขสทิ ธดิ์ ้วย โดยเฉพาะรูปภาพ แหลง่ ขอ้ มูลจากส่อื ส่งิ พิมพ์ ข้อมูลลักษณะนี้ ผู้สอนควรจัดเตรียมไว้ภายในพื้นที่ของห้องเรียนหรือ หอ้ งปฏบิ ตั กิ ารบา้ งบางสว่ น โดยจดั ไวใ้ นตหู้ รอื ชน้ั วางหนงั สอื เอกสารลกั ษณะนม้ี ี หลายรูปแบบ เชน่ หนังสอื สมดุ ภาพ รปู ภาพประกอบ ภาพถ่าย สจู บิ ัตรการแสดง ผลงานศลิ ปะตามโอกาสตา่ งๆ ฯลฯ หากเปน็ เอกสารเฉพาะหรอื มรี าคาสงู อาจจดั ไวใ้ นห้องสมดุ และแนะน�ำให้ผเู้ รยี นรู้จกั วิธกี ารสืบค้นเอกสารเหลา่ นี้ด้วย

๑๑๑ การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทัศนศลิ ป์ แหลง่ ข้อมลู ภายนอก แหลง่ ข้อมลู ภายนอก หมายถึง สถานที่ท่มี ขี ้อมลู ทางทศั นศิลปท์ มี่ ไิ ด้ตั้ง อยู่ภายในสถานศึกษาประกอบด้วย ห้างสรรพสินค้า ซ่ึงมีผลงานทัศนศิลป์ด้าน การออกแบบหลายประเภท ตัวอย่างเช่น งานออกแบบผลติ ภณั ฑ์ งานออกแบบ บรรจภุ ณั ฑ์ งานออกแบบสอื่ โฆษณา ฯลฯ หรอื แมแ้ ตก่ ารจดั แสดงนทิ รรศการทาง ศิลปะในโอกาสต่างๆ ซึ่งผลงานทัศนศิลป์ในห้างสรรพสินค้า เป็นแหล่งข้อมูล โดยตรงและสามารถกระตุ้นจินตนาการ ความคิดสร้างสรรค์ได้ดีหรือพิพิธภัณฑ์ แต่ละแห่ง ท้ังท่ีเป็นของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยรวบรวมศิลปวัตถุ ประเภทต่างๆ จัดแสดงเป็นหมวดหมู่ หรือวัดต่างๆ ท่ีเป็นสถานท่ีรวมผลงาน ทัศนศิลป์รูปแบบไทยไว้อย่างหลากหลาย หรือพื้นที่จัดแสดงงานศิลปะท่ีเรียกว่า หอศิลป์ ศูนยศ์ ลิ ปะ หรอื ทเ่ี รียกกันวา่ แกลลอร่ี โดยส่วนใหญ่เป็นพืน้ ทกี่ วา้ งและ โลง่ สามารถปรบั สดั ส่วนพนื้ ทไ่ี ด้ตามสถานการณ์ รวมทั้งเป็นแหล่งรวบรวมองค์ ความรู้ทางทัศนศิลป์หลายแขนง ฯลฯ โดยแหล่งข้อมูลภายนอกบางลักษณะ มี โอกาสเข้าถึงน้อยกว่าปกติ เนื่องจากเป็นสถานท่ีเฉพาะ เช่น คลังเก็บรักษา ศิลปวัตถุ โดยการดูแลของกรมศิลปากร เป็นสถานท่ีรวบรวมและจัดเก็บศิลปะ โบราณวตั ถโุ ดยเฉพาะ เปน็ ตน้ CREATIVE สำ� หรบั การเขา้ ไปศกึ ษาคน้ ควา้ ขอ้ มลู จากแหลง่ ขอ้ มลู ภายนอก บางสถาน ทตี่ ้องการความมีระเบยี บเรียบร้อยในการเขา้ ชม ผูส้ อนควรจดั สรรระบบการเขา้ ศึกษาให้พรอ้ มกอ่ นการเดนิ ทาง ซึ่งมปี จั จยั หลายอย่างที่ควรคำ� นึงถงึ เชน่ ระยะ ทาง ลกั ษณะการเดนิ ทาง ความปลอดภยั อาหาร กิจกรรมการเรยี นรู้ การมอบ หมายงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเป็นระเบยี บเรยี บรอ้ ยของผูเ้ รียน เนอื่ งจาก การท่ีผู้เรียนได้มีโอกาสออกนอกสถานท่ี ส่งผลให้ผู้เรียนเกิดความต่ืนตัวและตื่น เต้นมากกว่าอยู่ในบรรยากาศเดิมๆ บางกรณีการควบคุมผู้เรียนให้อยู่ในระเบียบ วนิ ยั ไมส่ รา้ งความวนุ่ วายและเสยี หายตอ่ สถานท่ี รวมทง้ั สรา้ งความไมพ่ งึ พอใจตอ่ ผเู้ ขา้ รว่ มชมสถานท่ี เปน็ ส่ิงทค่ี วรคำ� นึงถึงเป็นอย่างย่งิ แต่ผลดีท่จี ะไดร้ บั จากการ ศึกษากับแหลง่ ข้อมูลภายนอก คือ ผู้เรยี นไดส้ ัมผัสกับประสบการณต์ รงในสถาน ทแ่ี ละบรรยากาศที่แปลกใหม่ แตกตา่ งจากสภาพแวดล้อมเดิม ซงึ่ จะสง่ เสริมให้ผู้ เรยี นเกิดการเรียนร้เู กดิ ความร้สู กึ ผ่อนคลาย และเปดิ โลกทศั น์ให้กวา้ งขวางขึ้น

๑๑๒ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค์ทางทัศนศิลป์ แหลง่ ข้อมูลที่เปน็ บคุ คล แหลง่ ขอ้ มลู ทเ่ี ปน็ บคุ คล ไดแ้ ก่ ศลิ ปนิ นกั ออกแบบ ผปู้ ระกอบอาชพี ทาง ทศั นศลิ ปผ์ เู้ ชยี่ วชาญทางทัศนศลิ ป์เฉพาะสาขา นกั วชิ าการทางศลิ ปะ หรอื แมแ้ ต่ ปราชญ์ชาวบ้านทผ่ี ลติ ผลงานศิลปะพ้นื บา้ นเปน็ อาชพี หลกั จนเกิดความช�ำนาญ ในการสร้างสรรค์ผลงาน เป็นท่ียอมรับในวงการนั้นๆ บุคคลเหล่าน้ีจะเป็น ประสบการณต์ รงใหก้ บั ผเู้ รยี น มโี อกาสไดพ้ บตวั ตนและบคุ ลกิ ภาพของบคุ คลเหลา่ นี้ บางกรณผี เู้ รยี นอาจเกดิ แรงบนั ดาลใจ โดยยดึ บคุ คลตวั อยา่ งเหลา่ นเี้ ปน็ ตน้ แบบ (Idol) ซงึ่ มผี ลดีตอ่ แนวคิดของผ้เู รยี นโดยตรง การเขา้ ถงึ บคุ คลเหลา่ นี้ สามารถทำ� ได้ ๒ วธิ ี เชน่ แนะนำ� ใหผ้ เู้ รยี นเขา้ พบ และสัมภาษณ์ หรือผู้สอนอาจเชิญบุคคลเหล่านี้มาในสถานศึกษา เพื่อถ่ายทอด แนวคิดและประสบการณ์ของตนให้กับผู้เรียน ซ่ึงจะเป็นคุณประโยชน์และสร้าง แรงบันดาลใจให้กับผู้เรียนเป็นอย่างมาก ลักษณะการเข้าถึงบุคคลท่ีกล่าวมาท้ัง สองวธิ นี นั้ มขี อ้ ดแี ละขอ้ จำ� กดั แตกตา่ งกนั กลา่ วคอื หากใชว้ ธิ แี รก โดยมอบหมาย ให้ผู้เรียนเดินทางเข้าพบยังสถานท่ี ผู้เรียนจะได้พบเห็นสภาพการใช้ชีวิต ความ เป็นอยู่ของบุคคล ท้ังยังได้พูดคุยอย่างใกล้ชิดมากกว่า แต่ข้อจ�ำกัด คือ ความ ปลอดภัยของผู้เรียนขณะเข้าศึกษา เน่ืองจากผู้เรียนเดินทางโดยล�ำพัง อีกท้ังข้อ บท จ�ำกัดด้านเวลา เน่ืองจากวิธีการน้ีต้องมีการนัดหมายกับบุคคลให้สะดวกตรงกับ ที่ เวลาวา่ งของผเู้ รยี น สว่ นอกี วธิ หี นง่ึ ทเี่ ชญิ บคุ คลเขา้ มาในสถานศกึ ษา มขี อ้ ดใี นดา้ น ความปลอดภยั และเวลาทตี่ รงกนั ของผเู้ รยี น แตข่ อ้ มลู ทไี่ ดร้ บั อาจเปน็ แงม่ มุ เดยี ว ๓ ไมร่ อบด้านครอบคลุมทุกมิติ CREATIVE อนง่ึ แหลง่ ขอ้ มลู แตล่ ะลกั ษณะทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ ผสู้ อนควรพจิ ารณาปรบั ใชใ้ หเ้ หมาะสมตามบรบิ ทของสถานการณ์ ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งมที งั้ หมดกไ็ ดโ้ ดยพจิ ารณา ว่าผู้เรียนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในการคิดสร้างสรรค์เป็นหลัก เน่ืองจากการ จัดเตรียมข้อมูลท้ังหลายที่กล่าวมานี้ มีท้ังข้อดีและข้อจ�ำกัดที่แตกต่างกันหากผู้ สอนเลอื กใช้ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม จะสามารถส่งเสริมและพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ ของผู้เรยี นได้มปี ระสทิ ธิภาพ

๑๑๓ การพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศลิ ป์ การจัดเตรยี มวสั ดุอปุ กรณ์ ในประเดน็ ทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั วสั ดอุ ปุ กรณ์ มคี วามสมั พนั ธก์ นั โดยตรงกบั การ สรา้ งสรรค์ผลงานทัศนศลิ ป์ เพราะหากขาดวัสดุอุปกรณ์จะไม่สามารถสร้างสรรค์ ชิ้นงานใหเ้ ป็นรูปธรรมได้ และไม่สามารถเป็นตัวบง่ ชไี้ ดว้ ่า ผสู้ รา้ งงานมคี วามคดิ สร้างสรรค์เพียงใด เนื่องจากผู้สร้างงานอาจมีเพียงจินตนาการ คือ ความคิดเชิง นามธรรมเท่านั้น ต่อเม่ือผ่านกระบวนการผลิตผลงานตามความคิด โดยใช้วัสดุ อปุ กรณล์ กั ษณะตา่ ง ๆ จงึ แปรสภาพจากนามธรรมเปน็ รปู ธรรม ทส่ี ามารถรบั รไู้ ด้ ดว้ ยการมองเห็น เมอื่ นัน้ จึงสามารถเข้าใจในเนือ้ หาของชิ้นงาน ซ่ึงส่งผลต่อระดบั ความคิดสรา้ งสรรค์ของผ้นู ั้นดว้ ย วสั ดอุ ปุ กรณ์ คำ� น้ีประกอบข้นึ ด้วย ๒ คำ� คอื วสั ดุและอปุ กรณ์ แตม่ กั เรียกรวมกนั จนไมส่ ามารถแยกความแตกต่างได้ โดยคำ� ว่า วัสดุ จะหมายความถงึ วตั ถุท่ใี ช้แล้วหมดสนิ้ ไป หรอื เรียกวา่ วัสดุส้นิ เปลือง เช่น แผ่นทองคำ� เปลวแท้ที่ใช้ ปดิ ประดบั ลวดลายไทย สชี นดิ ตา่ งๆ ทใ่ี ชร้ ะบายลงบนผนื ผา้ ใบ เปน็ ตน้ สว่ นคำ� วา่ อุปกรณ์ หมายความถึง เครื่องมือ เคร่ืองใช้ท่ีอ�ำนวยความสะดวกต่อการปฏิบัติ งาน ตวั อย่างเชน่ พกู่ ันท่มี ขี นาดและลกั ษณะต่างๆ เลื่อยไฟฟา้ สำ� หรับตัดแผน่ ไม้ เปน็ ต้น เคร่อื งมอื ดังกล่าวนเี้ ป็นเครื่องใชส้ อยท่สี ามารถใชง้ านได้ตลอด แต่มีอายุ การใชง้ าน ซง่ึ ข้นึ อยกู่ ับลักษณะการใชง้ านและการบ�ำรุงรักษา การจัดเตรียมวัสดุอุปกรณท์ างทศั นศิลป์ ควรจดั เตรยี มใหเ้ หมาะสมและ สอดคล้องกับเนื้อหาหรือหัวข้อที่ต้องการปฏิบัติงาน ตัวอย่างเช่น ต้องการ สรา้ งสรรคผ์ ลงานดว้ ยสนี ำ�้ ควรเตรยี มวสั ดอุ ปุ กรณเ์ ฉพาะสนี ำ้� เปน็ หลกั เนอื่ งจาก วัสดุอุปกรณ์ทางทัศนศิลป์มีเป็นจ�ำนวนมาก อาจสร้างความสับสนกับผู้เรียน เนื่องจากบางสง่ิ เป็นวสั ดุอุปกรณ์ท่ใี ช้เฉพาะการสร้างงานบางประเภท แตบ่ างสง่ิ สามารถปรบั ใชไ้ ดห้ ลายประเภท ผสู้ อนควรจดั เตรยี มโดยแบง่ แยกพน้ื ทแ่ี ละสดั สว่ น ใหช้ ดั เจน อีกทั้งวัสดบุ างชนิดไม่เหมาะทจี่ ะจัดเก็บกับสง่ิ อืน่ เชน่ วสั ดทุ ม่ี ีลักษณะ เป็นตัวท�ำละลาย หรือทินเนอร์ จะมีกล่ินแรง อาจรบกวนสมาธิและส่งผลต่อ สุขภาพ ควรจัดเตรียมไว้ในขวดที่มีฝาปิดมิดชิด และไม่ควรวางไว้ใกล้เปลวไฟ

๑๑๔ การพฒั นาความคดิ สร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์ เพราะอาจตดิ ไฟได้ หรอื วัสดทุ ี่เรียกวา่ เรซ่นิ ไม่ควรจัดวางไว้ในทอี่ ากาศไมถ่ ่ายเท เนอื่ งจากเป็นวสั ดทุ ่ีมีกลิ่นฉุนแรง และสง่ ผลเสียต่อสขุ ภาพของผปู้ ฏบิ ัตงิ าน สว่ น อปุ กรณท์ ม่ี คี วามเสย่ี งเปน็ อนั ตราย ควรจดั เตรยี มใหอ้ ยใู่ นสภาพทปี่ ลอดภยั พรอ้ ม ใช้งาน เช่น แท่นพิมพ์ อาจมีผู้เรียนทดลองหมุนเล่น ซ่ึงส่งผลกระทบและเป็น อันตรายต่อร่างกายให้ได้รับบาดเจ็บ หรือเลื่อยวงเดือน เป็นเครื่องมือท่ีมีความ เสีย่ งสูง สามารถเปน็ อนั ตรายตอ่ อวยั วะหากใช้งานโดยไมร่ ะมดั ระวัง สว่ นการจดั เกบ็ วสั ดอุ ปุ กรณใ์ นพนื้ ทปี่ ฏบิ ตั งิ านทางทศั นศลิ ป์ ควรมตี หู้ รอื ชั้นวางอุปกรณ์อย่างเป็นระบบระเบียบ เพราะหากไม่มีตู้หรือช้ันวางที่เพียงพอ บริเวณพื้นห้องจะเต็มไปด้วยวัสดุและอุปกรณ์ ซ่ึงจะสร้างความช�ำรุดเสียหายให้ กบั วัสดุอุปกรณ์เหล่าน้ัน หรืออาจส่งผลเสียตอ่ รา่ งกายของผู้เรียนทีป่ ฏิบัตงิ านอยู่ ในพน้ื ทน่ี น้ั และหลงั จากใชง้ านวสั ดอุ ปุ กรณแ์ ลว้ ควรจดั เกบ็ เขา้ ที่ เพอื่ ปอ้ งกนั การ สญู หายและความเปน็ ระเบยี บเรียบร้อย การจัดเตรียมระยะเวลา บท เวลา เป็นส่ิงท่ีมีคุณค่าและอาจมีค่าท่ีสุด เนื่องจากเวลาที่สูญเสียไป ท่ี ไมส่ ามารถยอ้ นคนื กลับมาได้และไมอ่ าจปฏเิ สธไดว้ ่า จะสามารถคิดสร้างสรรค์ได้ ๓ ในเวลาใด เนื่องจากไม่สามารถบีบบังคับสมองให้คิดได้ตามท่ีคาดหวัง จาก ประสบการณ์การสอนทัศนศิลป์ ทั้งผู้เรียนท่ีต�่ำกว่าปริญญาตรีและระดับ อุดมศึกษา ถึงแม้แต่ผู้ประกอบอาชีพทางทัศนศิลป์บางคน จะมีลักษณะเฉพาะ ด้านเวลาอย่างหน่ึงที่ตรงกับข้อความหนึ่งที่ว่า “ไม่เห็นโลงศพ ไม่หล่ังน�้ำตา เดสไลน์ไม่มา ปัญญาไม่เกิด” จากข้อความนี้แสดงความรู้สึกล้อเลียน ประชด ประชนั และถากถางผเู้ รยี นทมี่ กั คดิ อะไรไมไ่ ด้ ตอ่ เมอื่ ใกลถ้ งึ กำ� หนดสง่ งานจงึ คอ่ ย เรมิ่ ปฏบิ ตั งิ าน และมกั จะเรง่ รบี ใหท้ นั เวลา ซงึ่ สง่ ผลเสยี ตอ่ คณุ ภาพของผลงานเปน็ อย่างมาก เคยมโี อกาสได้สมั ภาษณ์และพดู คยุ กบั ผเู้ รียนลกั ษณะน้ี มกั ไดค้ ำ� ตอบ ว่า ไม่สามารถคิดงานไดร้ วดเร็ว จึงสง่ ผลให้ท�ำงานลา่ ช้า ซึ่งอาจมเี หตผุ ลอยา่ งอื่น ที่เป็นปัจจัยดึงดูดไม่ให้ผู้เรียนเหล่าน้ีใช้กระบวนการคิดสร้างสรรค์อย่างเต็ม ศักยภาพ

๑๑๕ การพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์ อิส อะ เวย์. รอ็ บ (๒๕๕๑, หนา้ ๔๕) มคี ำ� แนะนำ� เกย่ี วกับการแบง่ เวลา ไว้ว่า หากผู้ใดท่ีต้องการจะพัฒนาตนเองให้เป็นนักคิดสร้างสรรค์หรือต้องการ สรา้ งสรรคผ์ ลงานทแี่ สดงออกถงึ ความคดิ สรา้ งสรรค์ ควรวางแผนและกำ� หนดเวลา เสรจ็ สน้ิ ของผลงาน และเพม่ิ เตมิ ดว้ ยวา่ ควรปฏบิ ตั งิ านใหส้ ำ� เรจ็ กอ่ นกำ� หนดอยา่ ง น้อย ๒-๓ วัน เพ่ือจะได้มเี วลาในการตรวจสอบและปรับปรงุ แกไ้ ขขอ้ ผิดพลาดให้ สมบรู ณย์ งิ่ ขึ้น หรือหากมีความมน่ั ใจในฝมี อื ของตนว่า สมบรู ณเ์ พียงพอแล้ว การ เผือ่ เวลาไวจ้ ะได้มีโอกาสในการช่ืนชมผลงานของตน สิ่งที่ส�ำคัญเก่ียวกับเวลา คงไม่ได้ข้ึนอยู่กับการก�ำหนดระยะเวลาตามที่ วางแผนไวเ้ ทา่ นน้ั หากแตข่ น้ึ อยกู่ บั การลงมอื ปฏบิ ตั งิ าน ตามแผนทวี่ างไวม้ ากกวา่ บางคนวางแผนไวอ้ ยา่ งเปน็ ระบบ ครอบคลมุ อยา่ งดี แตไ่ มส่ ามารถบงั คบั ใจตนเอง ให้ปฏิบัติงานตามระยะเวลาที่ก�ำหนดไว้ได้ หากเป็นเช่นนี้ควรปรับปรุงที่สภาพ จิตใจ และทศั นคตขิ องตนเองเปน็ หลัก CREATIVE ส่วนการก�ำหนดระยะเวลาให้กับผู้เรียนได้คิดสร้างสรรค์ผลงานรูปแบบ ใหม่ ๆ ควรก�ำหนดเวลาให้มีความเหมาะสม เน่อื งจากศักยภาพทางความคิดของ แต่ละคนไมเ่ ท่ากนั บางคนมีความสามารถคิดไดอ้ ยา่ งมากมาย โดยใช้ระยะเวลา ไม่นาน ซึ่งถือว่าเป็นผู้ท่ีมีความคิดคล่องแคล่ว ส่วนบางคนไม่สามารถคิดได้มาก เท่า แต่ว่ารูปแบบของความคิดแสดงถึงการใส่ใจในรายละเอียดเป็นอย่างมาก ซ่ึงสอดคล้องกับลักษณะเด่นของความคิดละเอียดลออ เป็นหนึ่งในองค์ประกอบ ของความคิดสร้างสรรค์ด้วยเช่นกัน ดังนั้น ระยะเวลาจึงมีความส�ำคัญ แต่ควร พจิ ารณาปัจจยั อน่ื ร่วมด้วย ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการจัดเตรียมเวลาน้ัน คงไม่มีหลักการตายตัวว่า เวลาใดที่จะเกิดความคิดสร้างสรรค์ เนื่องจากไม่สามารถบังคับสมองให้ผลิต ความคดิ ออกมาไดต้ ามทตี่ อ้ งการทง้ั นจ้ี งึ ขอเสนอแนะแนวทางทจ่ี ะนำ� เสนอในบท ต่อไป ซ่ึงอาจเป็นประโยชน์สามารถช่วยกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ของ ผ้เู รยี นทต่ี อ้ งการเปน็ นกั คดิ สร้างสรรค์ทางทัศนศลิ ปไ์ ดบ้ ้างไมม่ ากก็น้อย

๑๑๖ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทัศนศลิ ป์ การเตรียมการประเมิน การประเมินว่าผู้ใดมีความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์อยู่ในระดับใด มี ความแตกต่างออกไปจากสาขาวิชาอ่ืนๆ เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษา ฯลฯ โดยสาขาวชิ าเหลา่ นอ้ี าจมเี พยี งคำ� ตอบเดยี ว ดงั นน้ั จงึ สามารถตดั สนิ ไดอ้ ยา่ ง ชดั เจนวา่ ถูกหรือผิด ซ่ึงมีเพยี ง ๒ แนวทางเทา่ น้นั และมกั เน้นการประเมินด้าน ความรู้เป็นหลัก แต่ส�ำหรับทัศนศิลป์ท่ีเน้นการให้คุณค่าและวัดระดับความคิด สร้างสรรค์ ไมไ่ ดใ้ ห้ความสำ� คญั กับค�ำตอบเดียว และไมเ่ นน้ ค�ำวา่ ถกู หรือผดิ จงึ มี ลกั ษณะการวดั และประเมนิ ผลทแี่ ตกตา่ งออกไป การเตรยี มวธิ กี ารวดั และประเมนิ ผลไว้ล่วงหน้า จึงเป็นสิ่งส�ำคัญต่อการพิจารณาให้คุณค่าต่อความคิดสร้างสรรค์ ของผลงานทัศนศิลป์ เนอ่ื งจากการประเมินควรกระทำ� ทุกระยะ ซึ่งต่างกบั สาขา วชิ าอ่นื ที่ประเมินโดยใช้แบบทดสอบหลังการเรยี นรู้เปน็ ส่วนใหญ่ ในอดตี มนี กั จติ วทิ ยาชาวตา่ งชาตอิ กี หลายทา่ น ท ่ี พยายามคดิ ออกแบบ วธิ กี ารวดั ความคดิ สรา้ งสรรคข์ องมนษุ ยด์ ว้ ยแบบทดสอบลกั ษณะตา่ ง ๆ เชน่ แบบ ทดสอบของทอรแ์ รนซแ์ บบทดสอบของเมดมคิ หรอื แบบทดสอบของวอลลาซและ โคแกน ฯลฯ โดยแบบทดสอบวัดความคิดสร้างสรรค์ที่กล่าวมานี้ไม่ได้เป็นแบบ บท ทดสอบทใี่ ชว้ ดั ความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ปโ์ ดยตรง บางแบบทดสอบเปน็ การ ท่ี วัดความคิดสร้างสรรค์ในรายวิชาอื่นด้วย เช่น วัดความคิดสร้างสรรค์ทางภาษา ๓ หรอื วดั ความคดิ สรา้ งสรรคใ์ นการเปรยี บเทยี บสง่ิ ของเปน็ ตน้ สำ� หรบั แบบทดสอบ วดั ความคดิ สร้างสรรค์ท่สี ามารถน�ำมาปรับใชก้ บั งานทศั นศิลป์ เชน่ แบบทดสอบ วัดความคิดสร้างสรรค์ของทอร์แรนซ์หรือของวอลลาซและโคแกน ซ่ึงมีราย ละเอยี ดดงั นี้ แบบทดสอบวดั ความคดิ สรา้ งสรรคข์ องทอรแ์ รนซ์ แบบทดสอบวดั ความคดิ สรา้ งสรรคท์ ท่ี อรแ์ รนซค์ ดิ คน้ ขน้ึ นนั้ มจี ำ� นวน ๒ ชนดิ ไดแ้ ก่ การวัดความคดิ สรา้ งสรรคท์ างภาษาและทางรปู ภาพ ที่เกี่ยวข้องและ สมั พนั ธก์ บั ทศั นศิลป์ คือ แบบทดสอบวัดความคิดสร้างสรรคท์ างรูปภาพ โดยวัด องค์ประกอบ ๔ ประการของความคิดสร้างสรรค์ ประกอบด้วย ความคิด คลอ่ งแคล่ว ความคิดยืดหยนุ่ ความคดิ รเิ ร่มิ และความคิดละเอียดลออ แตเ่ มอ่ื น�ำ แบบทดสอบน้มี าใช้กบั บุคคล มผี ู้วจิ ารณ์วา่ ทอรแ์ รนซ์ยงั ใหค้ วามส�ำคญั ต่อความ

๑๑๗ การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทัศนศิลป์ คิดเชิงเหตุผล มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์มากกว่าความคิดสร้างสรรค์ทางศิลปะ โดยตรง อยา่ งไรกต็ าม บางส่วนของแบบทดสอบของทอร์แรนซ์น้ ี สามารถนำ� มา ประกอบการพิจารณาประเมินบุคคลได้บ้างบางส่วน โดยแบบทดสอบน้ีเรียกว่า คดิ สรา้ งสรรคด์ ว้ ยรปู ภาพ (Thinking Creatively with Pictures) ซึ่งประกอบ ไปด้วยแบบทดสอบย่อยๆ อีกหลายลักษณะ เช่น กิจกรรมการสร้างภาพ โดยผู้ สอนจะเปน็ ผจู้ ดั เตรยี มแบบทดสอบทก่ี ำ� หนดเสน้ ในกระดาษอยา่ งอสิ ระ จากนน้ั ให้ ผเู้ รยี นตอ่ เตมิ เสน้ เพม่ิ จากทก่ี ำ� หนดไว้ โดยกำ� หนดระยะเวลาสรา้ งสรรคไ์ วด้ ว้ ย และ เมื่อหมดเวลาจะน�ำผลงานมาพิจารณาตามองค์ประกอบท้ังสี่ของความคิด สรา้ งสรรค์ เชน่ พจิ ารณาความคดิ คลอ่ งแคลว่ คอื ในระยะเวลาทก่ี ำ� หนด ผลงาน ของผใู้ ดมเี สน้ ตอ่ เตมิ เปน็ จำ� นวนมาก หรอื หากพจิ ารณาความคดิ รเิ รมิ่ ใหเ้ ปรยี บ เทยี บผลงานกบั ผอู้ น่ื หากผลงานใดมลี กั ษณะทแี่ ปลกใหมแ่ ตกตา่ งจากทวั่ ไป ถอื วา่ มีความคิดรเิ ร่ิม เปน็ ตน้ แบบ ทดสอบความคิดสรา้ งสรรค์ของวอลลาซและโคแกน แบบทดสอบวัดความคิดสร้างสรรค์นี้ ได้รับการยอมรับว่าเป็นแบบ ทดสอบวัดความคิดสร้างสรรค์ที่ครอบคลุมองค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ มากทส่ี ดุ มลี กั ษณะเปน็ ขอ้ คำ� ถามลกั ษณะตา่ งๆ เพอ่ื ใหม้ คี วามเหมาะสมกบั แตล่ ะ กจิ กรรม สว่ นทสี่ ามารถปรบั ใชไ้ ดก้ บั งานทศั นศลิ ป์ คอื การตคี วามหมายจากภาพ ทไี่ มส่ มบรู ณห์ รอื ลกั ษณะการหยดหมกึ ภาพผลงานทนี่ ำ� มาใชเ้ หลา่ น ี้ จะไมม่ คี วาม หมายเป็นการเฉพาะ ส่วนใหญ่จะมีลักษณะเป็นภาพเชิงนามธรรม หรือกึ่ง นามธรรมมากกวา่ ภาพเหมอื นจรงิ ตวั อยา่ งของแบบทดสอบวดั ความคดิ สรา้ งสรรค์ ของวอลลาซและโคแกน จะมีภาพลายเสน้ ทยี่ งั ไมเ่ ป็นภาพทสี่ มบูรณ ์ น�ำมาให้ผู้ เรียนพิจารณา โดยต้ังค�ำถามเกี่ยวกับภาพดังกลา่ ววา่ เหน็ ภาพอะไรในแตล่ ะภาพ หรือจากภาพท่ีเห็นคิดถึงอะไรมากท่ีสุด จากนั้นผู้สอนจึงน�ำค�ำตอบมาพิจารณา ความคดิ แปลกใหมไ่ ม่เหมอื นใครของแตล่ ะคำ� ตอบ จากตัวอย่างของแบบทดสอบวัดความคิดสร้างสรรค์ของวอลลาซและ โคแกนท่ีเสนอมาน้ัน เป็นเพียงการใช้ความคิดส่วนตัวท่ีมองเห็นภาพ คงยังไม่ถึง การสรา้ งสรรคผ์ ลงานทางทัศนศลิ ป์ เนอื่ งจากการสร้างสรรค์ผลงานศลิ ปะ จะใช้ การต้งั คำ� ถามเพยี งอยา่ งเดยี วคงไมพ่ อ

๑๑๘ การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทัศนศลิ ป์ แบบทดสอบวัดความคิดสร้างสรรค์ทั้งสองลักษณะ เป็นเพียงการตรวจ สอบในเบ้ืองต้นเท่าน้ัน ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าบุคคลใดมีระดับความคิด สรา้ งสรรค์ทางทศั นศลิ ป์มากน้อยเพยี งใด เน่ืองจากการประเมินบุคคลว่ามคี วาม สามารถในการคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์ จะเน้นการพิจารณาจากผลงาน ศลิ ปะทเี่ กดิ จากกระบวนการสรา้ งสรรคเ์ ปน็ หลกั สว่ นประเดน็ อนื่ ๆ เปน็ เพยี งการ พจิ ารณาประกอบ ซง่ึ ผเู้ ขยี นมขี อ้ เสนอเกยี่ วกบั การประเมนิ ผลงานทศั นศลิ ป ์ เพอ่ื พิจารณาบคุ คลวา่ มีความคดิ สร้างสรรคใ์ นระดับใด ตามรายละเอียดต่อไปน้ี ๑. การประเมินจากผลงานทางทัศนศลิ ป์ การประเมินผลงานทางทัศนศิลป์ เป็นส่ิงที่ท�ำให้ทราบระดับความคิด สร้างสรรค์ของบคุ คลได้มากกวา่ วธิ ีอื่น โดย วนชิ สุธารตั น์ (๒๕๔๗, หนา้ ๒๔๗) ได้ยืนยันถึงประเด็นนี้ว่า เราสามารถทราบและพบความคิดสร้างสรรค์จากการ ศกึ ษาผลงานท่ีปรากฏอย่ใู นสาขาต่างๆ เช่น ศิลปะ ดนตรี ฯลฯ โดยผ้สู ร้างสรรค์ ผลงานทางศิลปะจะมีลกั ษณะเดยี วกัน คือ มองเหน็ คุณคา่ ของสง่ิ ต่าง ๆ ทีบ่ ุคคล อื่นมักมองข้าม การท่ีจะสรุปว่าผู้ใดเป็นนักคิดสร้างสรรค์มากน้อยเพียงใด ต้อง อาศัยวิธีการวัด หรือวิธีการตรวจสอบ จากผลงานของบุคคลนั้นๆ ส่วน บท ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ (๒๕๔๖, หน้า ๙๓) มีความคิดที่สอดคล้องกับ วนิช ท่ี สธุ ารตั น ์ ในประเดน็ เดยี วกนั นวี้ า่ คณุ ภาพของชน้ิ งานทผี่ เู้ รยี นสรา้ งสรรคข์ นึ้ เปน็ เครื่องสะท้อนถึงการสั่งสมประสบการณ์และการเรียนรู้ ท้ังยังสามารถแสดงถึง ๓ ล�ำดบั พฒั นาการทางความคิดสรา้ งสรรค์ของผู้เรียนแตล่ ะคนได้อย่างชัดเจน เมอื่ มีการน�ำผลงานท่ีสรา้ งสรรค์ข้นึ จดั แสดงและนำ� เสนอต่อสาธารณชน จะเป็นการ ศกึ ษาแลกเปลย่ี นแนวคิดเชิงสรา้ งสรรคร์ ะหวา่ งกัน เม่อื ยอมรบั วา่ ผลงานของตน มีข้อบกพร่อง จะน�ำไปสู่การปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์ข้ึน ซึ่งการที่จะเกิด คณุ ประโยชนด์ ังท่ีกล่าวมาได้นัน้ ตอ่ เมื่อมีการพจิ ารณาผลงานโดยเทยี บเคียงกัน หากมกี ารวดั และประเมนิ ผล ยอ่ มหลกี เลย่ี งไมไ่ ดเ้ กย่ี วกบั คะแนน ซงึ่ อาจ เปน็ ข้อจ�ำกัดของการประเมินผลความคดิ สรา้ งสรรค์ทางทศั นศลิ ป์ และอาจสรา้ ง ความกังวลใจใหก้ บั ผู้เรียน ตามท่ี ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน์ (๒๕๔๖, หนา้ ๙๐) ที่ เล่าถึงประสบการณ์ในการประเมินผลของรายวิชาความคิดสร้างสรรค์ของนิสิต ระดับปริญญาตรีว่า ในอดีตก่อนส้ินสุดภาคการศึกษา ผู้เรียนจะต้องได้รับการ ประเมินผล โดยการทดสอบ ซ่งึ มีคะแนนเป็นเครื่องวดั ดังน้ัน ผูเ้ รียนจึงมีความ

๑๑๙ การพฒั นาความคดิ สร้างสรรคท์ างทัศนศิลป์ จรงิ จงั ในการทอ่ งจำ� เนอ้ื หาในตำ� รา สง่ ผลใหเ้ กดิ ภาวะเครยี ด บางรายมกี ารใชส้ าร เสพติด เช่น ยาบ้า หรือเครื่องดืม่ ชกู �ำลังในช่วงก่อนสอบ ซ่งึ เคยมขี า่ วการฆ่าตวั ตายของผู้เรียนที่พลาดหวังจากการสอบด้วย ดังน้ัน จึงได้เปลี่ยนวิธีการประเมิน ผลเป็นลกั ษณะอืน่ ควบคู่กนั ไปดว้ ย เชน่ วดั ผลจากการสงั เกต วัดผลจากช้นิ งาน วัดผลจากพฤติกรรมการเรียนรู้ หรือการวัดและประเมินผลจากแฟ้มสะสมงาน ซ่ึงเป็นสิ่งที่ผู้เรียนสร้างสรรค์ขึ้นในช่วงเวลาเรียน รวมทั้งสามารถพิจารณาล�ำดับ พัฒนาการในแต่ละดา้ นของผเู้ รยี นได้ด้วย CREATIVE การประเมินผลความคิดสร้างสรรค์จากผลงานศิลปะท่ีสร้างขึ้น มีหลาย รปู แบบ วธิ กี ารเหลา่ นถ้ี กู นำ� มาใชใ้ นการประกวดแขง่ ขนั ทางศลิ ปะ แตใ่ นกจิ กรรม การแข่งขัน ผู้เรียนจะไม่สามารถทราบถึงข้อบกพร่องของตนได้ว่า ควรปรับปรุง หรอื พฒั นาในจุดใด เนอื่ งจากคณะกรรมการเมอื่ ตัดสินผลงานแล้ว ไมม่ โี อกาสได้ ชแ้ี จงและใหข้ อ้ เสนอแนะกบั ผเู้ ขา้ รว่ มแขง่ ขนั และทเ่ี กดิ ขน้ึ ในปจั จบุ นั คอื ผแู้ ขง่ ขนั ทางศลิ ปะจะพยายามศกึ ษารปู แบบงานทเ่ี คยไดร้ บั รางวลั และจดจำ� หรอื ลอกเลยี น เพอ่ื นำ� เสนอในการแขง่ ขนั ครงั้ ตอ่ ไป เพราะเชอื่ วา่ คณะกรรมการคงชน่ื ชอบรปู แบบ งานเชน่ นน้ั สง่ิ ทเี่ กดิ ขน้ึ นจี้ งึ ไมช่ ว่ ยสง่ เสรมิ ความคดิ สรา้ งสรรคท์ แ่ี ทจ้ รงิ ของผเู้ รยี น ในกรณเี ชน่ น้ีจะเห็นไดช้ ดั เจนวา่ การประกวดแขง่ ขนั ทางศลิ ปะในบางรายการ ผู้ แข่งขันที่มาจากต่างถ่ินกัน แต่กลับสร้างสรรค์รูปแบบผลงานเป็นไปในแนวทาง เดยี วกัน สงิ่ น้ีจงึ เป็นเครอ่ื งปดิ กน้ั ความคดิ สรา้ งสรรคข์ องผเู้ รยี นท่ียากจะแก้ไข มี นอ้ ยครง้ั ทพี่ บวา่ เมอ่ื คณะกรรมการพจิ ารณาตดั สนิ ผลงานและประกาศผลรางวลั แล้ว จะมีการอภิปรายเกี่ยวกับผลงาน เน่ืองจากการแข่งขันแต่ละรายการ จะมี ข้อความระบุไว้ในการสมัครว่า “การตัดสินของคณะกรรมการถือเป็นที่ส้ินสุด” ขอ้ ความดงั กลา่ วทำ� ใหผ้ เู้ รยี นไดร้ บั รเู้ พยี งวา่ ใครไดร้ างวลั อะไร ไดพ้ จิ ารณาผลงาน ทไ่ี ดร้ างวลั และจดจำ� รปู แบบงานนน้ั ไปใชใ้ นครงั้ ตอ่ ไปเทา่ นน้ั แตก่ ารสง่ เสรมิ และ พฒั นาความคิดสรา้ งสรรค์ไม่สามารถเกดิ ขน้ึ ได้กับกจิ กรรมลกั ษณะนี้ สว่ นการประเมนิ ผลทส่ี ามารถสง่ เสรมิ และพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคท์ าง ทศั นศิลปข์ องผเู้ รยี นได้ดี ควรจะประกอบไปด้วยวธิ ีการตา่ งๆ ผสมผสานกันตาม ความเหมาะสม ดงั ตวั อยา่ งเช่น

๑๒๐ การพัฒนาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทัศนศิลป์ ๑. การประเมินผลงานทศั นศลิ ปด์ ว้ ยวิธี Brense mark วธิ กี ารนเี้ ปน็ หนงึ่ ในหลายวธิ กี ารประเมนิ ผล โดยการคดั เลอื กผลงานตาม เกณฑท์ กี่ ำ� หนด และใชผ้ ลงานนนั้ เปน็ ตวั เทยี บเคยี งกบั ผลงานชน้ิ อน่ื ๆ ผลทไ่ี ดอ้ าจ ไมใ่ ช้คะแนนท่เี ป็นตัวเลขเปน็ เคร่อื งตัดสนิ แต่จะใชค้ ณุ ลกั ษณะตามองค์ประกอบ ของความคดิ สรา้ งสรรคแ์ ทน เชน่ กลมุ่ ความคดิ คลอ่ งแคลว่ ผลงานชน้ิ ใดมลี กั ษณะ ตรงตามลักษณะนจี้ ดั ใหอ้ ยใู่ นกลมุ่ เดยี วกนั โดยใช้ผลงานทม่ี คี ุณลกั ษณะที่เดน่ ชดั ของแตล่ ะองค์ประกอบเป็นตวั เทียบเคยี ง เป็นตน้ CREATIVE ๒. การประเมนิ ผลงานทศั นศิลปด์ ้วยการวิพากษ์ การวิพากษ ์ เป็นการกระตนุ้ ให้ผเู้ รยี นเกิดความคิดเชงิ เหตผุ ล และฝกึ ให้ ผ้เู รียนยอมรับฟังเหตผุ ลของบุคคลอ่ืน รวมทงั้ เสริมให้ผู้เรยี นมกี ารใช้ความคิดเชงิ วิพากษ์ (Critical Thinking) เป็นการประเมินผลงานทศั นศิลปท์ หี่ ลกี เลี่ยงการให้ คะแนน ซงึ่ บน่ั ทอนกำ� ลงั ใจและความรสู้ กึ ของผเู้ รยี น หากใชว้ ธิ กี ารประเมนิ ผลดว้ ย บท การวิพากษ์ จะกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาความคิดเชิงสร้างสรรค์ได้อีกมาก ท่ี เน่ืองจากเปิดโอกาสให้บุคคลท่ีมีความคิดท่ีแตกต่างได้เสนอความคิดของตน ซ่ึง เปน็ ผลดตี อ่ การสรา้ งสรรค์ผลงานทัศนศิลป์เป็นอย่างมาก วิธกี ารประเมนิ ผลงาน ๓ ลกั ษณะน้ี เรมิ่ ตน้ จากการเสนอผลงานตอ่ สาธารณชน จงึ ควรมพี นื้ ทมี่ ากพอตอ่ การ แสดงผลงาน หรอื บรรจุผ้คู นได้มากพอ กอ่ นการวิพากษผ์ ลงาน จะใหเ้ จ้าของผล งานมโี อกาสไดอ้ ธิบายรายละเอียดของผลงาน เชน่ แนวความคดิ แรงบันดาลใจ แหล่งข้อมูล เทคนิควิธีการสร้างสรรค์ ฯลฯ เพื่อจะได้เข้าใจจุดมุ่งหมายของการ สรา้ งผลงานไดต้ รงกนั เมอื่ เจา้ ของผลงานนำ� เสนอแลว้ จงึ เปดิ โอกาสใหผ้ ชู้ มไดซ้ กั ถาม แสดงความคิดเห็น หรือเสนอแนะความคิดท่ีแตกต่างจากเจ้าของผลงาน แนวทางน้ีจะช่วยขยายขอบเขตความคิดออกไปหลายแนวทาง เพราะโดยปกติผู้ สร้างผลงานจะจดจ่ออยู่กับความคิดและผลงานของตน จนอาจมองข้ามในบาง ประเด็น วิธีการประเมินลักษณะนี้ จะช่วยให้ผู้สร้างผลงานได้น�ำข้อเสนอแนะที่ เหมาะสมจากบุคคลอ่ืน ไปพัฒนารูปแบบผลงานของตน เป็นการเสริมแรงที่ดี มากกว่าการใช้คะแนนเป็นเครื่องตัดสิน รวมทั้งผู้สร้างผลงานจะมีเครือข่ายการ ท�ำงานในอนาคต

๑๒๑ การพฒั นาความคิดสร้างสรรคท์ างทศั นศิลป์ การประเมนิ ผลงานทศั นศลิ ปด์ ว้ ยวธิ กี ารวพิ ากษ์ จะไมเ่ นน้ คำ� วา่ ถกู หรอื ผิด ซ่ึงหมายความว่า ผลงานศิลปะแต่ละช้ินมีความเหมาะสมในตัวเอง ส่วนข้อ จ�ำกดั ของวิธีการประเมินน้ี คอื ตอ้ งใชร้ ะยะเวลาพจิ ารณาต่อหนง่ึ ผลงานคอ่ นข้าง มาก ดงั น้ัน ผจู้ ดั เตรียมหรอื ผ้สู อนควรก�ำหนดขอบเขตระยะเวลาใหเ้ หมาะสม รวมทั้งขณะด�ำเนินการประเมิน ควรควบคุมบรรยากาศให้เป็นไปด้วยความ เรยี บร้อย เนอ่ื งจากวธิ ีการวิพากษม์ ลี กั ษณะเปน็ อัตวสิ ยั ซึง่ อาจเกดิ ความขดั แย้ง จากความคดิ เห็นไม่ตรงกัน หรือไมย่ อมรับฟังความคดิ ของกันและกนั ได้ ๓. วิธกี ารประเมนิ โดยผ้ทู รงคณุ วุฒิ ผทู้ รงคุณวฒุ ิ หมายความถงึ บคุ คลทีม่ คี วามเชยี่ วชาญในสาขาวิชานัน้ ๆ และเปน็ ทยี่ อมรบั กนั ในวงการ เชน่ เมอื่ ตอ้ งการประเมนิ ผลงานทศั นศลิ ปป์ ระเภท ส่ือผสม ควรให้ผู้สร้างสรรค์ผลงานด้านส่ือผสมโดยเฉพาะ เป็นผู้แสดงความคิด เหน็ และประเมนิ ผลงานศลิ ปะ เนอ่ื งจากแตล่ ะสาขาหรอื สายงานมคี วามเฉพาะ เจาะจง และมคี วามลุ่มลึกทีแ่ ตกต่างกัน การจะให้ผศู้ ึกษาศลิ ปะหรือผูท้ รงคุณวฒุ ิ ท่ีเชี่ยวชาญในด้านอ่ืนมาพิจารณาผลงาน อาจไม่ครอบคลุมในทุกมิติและอาจไม่ เป็นท่ียอมรับของเจ้าของผลงาน แต่หากไม่สามารถสรรหาบุคคลท่ีมีความรู้ตรง ตามสายงานได้ อาจอนโุ ลมใชค้ วามคดิ เหน็ ของบคุ คลทมี่ คี วามรทู้ างทศั นศลิ ปร์ ว่ ม พจิ ารณา ขอ้ ดขี องการประเมนิ ผลงานทศั นศลิ ปโ์ ดยใชผ้ ทู้ รงคณุ วฒุ มิ มี ากมาย เชน่ บุคคลผู้สร้างงานเกิดความศรัทธาและยอมรับในความสามารถของผู้ทรงคุณวุฒิ ประเดน็ นี้เป็นปัจจัยหน่งึ ท่ชี ว่ ยยตุ คิ วามคดิ เหน็ ท่ีขดั แยง้ กนั ไดด้ ้วย รวมท้งั ผู้สรา้ ง งานจะได้มุมมองและแนวคิดใหม่ๆ จากข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิ ส่วนข้อ จำ� กดั ของวิธีการนี้ คอื อาจไม่สามารถสรรหาหรือเชญิ ผทู้ รงคณุ วุฒิเฉพาะด้านมา รว่ มประเมินได้ เนอ่ื งจากผู้ท่มี ีชือ่ เสียงยอ่ มมีภารกิจมาก อีกทงั้ บางทา่ นยงั เปน็ ผู้ สูงอายุ อาจไม่สะดวกต่อการเดินทางเข้าร่วมการประเมิน หากกิจกรรมน้ันไม่ สำ� คญั ระดบั ชาติ การประเมนิ ผลงานทศั นศลิ ปโ์ ดยใชผ้ ทู้ รงคณุ วฒุ จิ ะมกี ระบวนการ ท่ีคล้ายกับวิธีการประเมินด้วยการวิพากษ์ คือ เปิดโอกาสให้ผู้สร้างผลงานได้น�ำ เสนอแนวความคดิ และรายละเอยี ดของการสรา้ งสรรคผ์ ลงาน จากนน้ั เปน็ บทบาท หนา้ ท่ขี องผทู้ รงคณุ วุฒิ จะเป็นผพู้ ิจารณาและใหค้ ณุ คา่ กบั ผลงานแต่ละชิ้น สว่ น ทแี่ ตกตา่ งคอื การประเมนิ ผลงานดว้ ยวธิ กี ารวพิ ากษไ์ มย่ ดึ ทผ่ี ทู้ รงคณุ วฒุ ิ ผปู้ ระเมนิ อาจเป็นผสู้ อนในรายวิชานั้น หรือผ้สู อนท่านอน่ื เพือ่ นร่วมชนั้ เรยี น ดังนัน้ การ ตัดสินหรือใหค้ ุณคา่ กับผลงานอาจไมเ่ ป็นท่สี น้ิ สุด หรือบางกรณีอาจไมย่ อมรับใน ขอ้ เสนอแนะของกันและกันได้

๑๒๒ การพัฒนาความคิดสรา้ งสรรค์ทางทศั นศลิ ป์ ๔. การประเมินผลงานโดยบุคคลทวั่ ไป บุคคลทั่วไป ในท่ีน้ีหมายถึง บุคคลท่ีไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกระบวนการ สร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์เลย หรือเป็นผู้ที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับหลักการทาง ศลิ ปะ โดยกลมุ่ งานศลิ ปะการออกแบบ นยิ มใชค้ วามคดิ เหน็ และขอ้ เสนอแนะของ บคุ คลทว่ั ไปเปน็ หลกั ในการประเมนิ ผลงาน ตวั อยา่ งเชน่ ผลงานการออกแบบ ผลิตภัณฑ์รูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง เม่ือผู้ออกแบบและสร้างต้นแบบผลิตภัณฑ์ แล้ว จะนำ� ไปให้บคุ คลท่ัวไป โดยเฉพาะกลุ่มเปา้ หมายทีใ่ ช้ผลติ ภัณฑล์ กั ษณะนั้น ได้ทดลองใช้ และน�ำข้อเสนอแนะหรือค�ำติชมมาพิจารณาปรับปรุงแก้ไขรูปแบบ ผลติ ภณั ฑใ์ หต้ รงตามการใชง้ านจรงิ ของผบู้ รโิ ภค สว่ นผลงานทศั นศลิ ปใ์ นลกั ษณะ อื่นท่ีไม่เน้นด้านประโยชน์ใช้สอย อาจไม่มีความจ�ำเป็นที่ต้องใช้วิธีการประเมิน ลักษณะนี้ ๕. การประเมินผลงานทัศนศลิ ปโ์ ดยใช้ลบู ริค สกอร์ ลบู รคิ สกอร์ (Lubric Score) เป็นวิธกี ารประเมินผลงานรูปแบบหนึ่ง ไม่ เนน้ เฉพาะผลงานทศั นศลิ ปเ์ ทา่ นนั้ อาจเปน็ ชน้ิ งานในลกั ษณะอนื่ เชน่ ผลงานทาง บท วิศวกรรม การปรุงอาหาร ผลติ ผลทางการเกษตร ฯลฯ ตั้งแตอ่ ดตี จนถงึ ปจั จุบัน ท่ี ในวงการทัศนศิลปร์ ะดับการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน นิยมนำ� วธิ ีการประเมินลกั ษณะนี้ มาใช้ประเมินผลงานทางทัศนศิลป์ของผู้เรียน โดยการก�ำหนดคุณลักษณะที่จะ ๓ ประเมิน คุณลักษณะแต่ละข้อจะสอดคล้องกับลักษณะของผลงานทัศนศิลป์ ประเภทนั้นๆ เมื่อก�ำหนดคณุ ลักษณะได้แลว้ จะกำ� หนดค่านำ้� หนักคะแนน และ มีหลักเกณฑ์การประเมินที่สามารถอธิบายคุณลักษณะมากน้อยลดหล่ันแตกต่าง กันไป ดงั ตวั อย่างตอ่ ไปนี้ คุณลกั ษณะ ๓ ค ่า น ำ้� ห น ๒กั ค ะ แ น น ๑ ๑. ความสมบรู ณ์ของผลงาน ๒. ความสวยงาม ๓. ความคดิ สร้างสรรค์ ฯลฯ การที่ผู้ประเมินจะให้ค่าน�้ำหนักคะแนนได้ตรงตามคุณภาพ จะต้อง ศึกษาหลักเกณฑ์การประเมินแต่ละระดับคะแนนให้เข้าใจและตรงกันกับ ผ้ปู ระเมนิ ท่านอื่น (หากมีกรรมการประเมินหลายทา่ น) ตวั อยา่ งเช่น

๑๒๓ การพัฒนาความคิดสร้างสรรคท์ างทศั นศิลป์ คุณลักษณะ ความหมายของค่าน�้ำหนกั คะแนน ๑. ความสมบูรณ์ ๓ ๒ ๑ ของผลงาน ผลงานเสรจ็ ผลงานเสรจ็ ผลงานไม่ สมบูรณ์ตาม สมบรู ณ์แตบ่ าง เสร็จสมบรู ณ์ เวลาทีก่ �ำหนด สว่ นยงั ไม่เรียบ ตามระยะ ร้อยและมคี ราบ และ เวลาที่ มคี วามสะอาด สกปรก ก�ำหนด เรยี บร้อย ๒. ความสวยงาม ผลงานแสดงถงึ ผลงานแสดงถึง ผลงานไม่ ความสวยงาม ความสวยงาม แสดงถงึ ประณตี และ แต่บางส่วนยัง ความสวยงาม พถิ พี ถิ ันในการ พบข้อบกพร่อง และมี สรา้ งสรรค์ ขอ้ บกพร่อง ค่อนข้างมาก ๓. ความคิดสร้างสรรค์ ผลงานแสดงถงึ ผลงานแสดงถงึ ผลงานแสดง ความคิด ความคดิ ถงึ ความคดิ สร้างสรรค์ สร้างสรรค์ มี สร้างสรรค์ แต่ รูปแบบทแี่ ปลก รปู แบบยัง น้อย ใหม่ ไม่เคย ใกลเ้ คียงกบั รูป พบเห็นมาก่อน แบบท่ีมี และมีราย มากอ่ นหนา้ ละเอียดท่ี รายละเอียด ซบั ซ้อน ยังไม่ครบถ้วน เท่าทคี่ วร ตารางที่ ๓ การประเมนิ ผลงานทศั นศลิ ปโ์ ดยใช้ลบู ริค สกอร์

๑๒๔ การพฒั นาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ป์ จากตัวอย่างข้างต้น มีรายละเอียดของคุณลักษณะและความหมายของ แต่ละค่าน�้ำหนักคะแนนไม่มากนัก แต่หากมีรายละเอียดหลายข้อ และต้องใช้ ประเมินผลงานหลายช้ิน ผลท่ีได้อาจไม่เท่ียงตรงตามความเป็นจริง เนื่องจากมี ปจั จัยหลายประการ เช่น ความลา้ ของผ้ปู ระเมิน ความซับซอ้ นของความหมายที่ มีตัวบ่งช้ีในข้อเดียวกันหลายประเด็น หรือมาตรฐานของผู้ประเมินแต่ละคนต่อ ความหมายแตกตา่ งกัน ฯลฯ จากประสบการณข์ องผเู้ ขยี นทเ่ี คยมโี อกาสรว่ มเปน็ คณะกรรมการตดั สนิ ผลงานทัศนศิลป์ในระดับต่างๆ พบว่า ผู้จัดงานนิยมใช้วิธีการประเมินผลงาน ลักษณะนี้ แต่ส�ำหรับคณะกรรมการตัดสิน จะไม่ให้ความส�ำคัญต่อค่าน�้ำหนัก คะแนนมากนัก เน่อื งจากมีความคดิ เหน็ ว่า ผลงานทัศนศิลป์ท่ีสร้างสรรคข์ นึ้ จาก ความคดิ จนิ ตนาการ และเกยี่ วขอ้ งกบั ความงามนน้ั ไมอ่ าจประเมนิ คา่ เปน็ ตวั เลข ได้ รวมท้ังคะแนนท่ีเป็นตัวเลขอาจเป็นเคร่ืองบ่ันทอนสภาพจิตใจของผู้เรียน ใน ระยะหลงั จงึ มกี ารปรบั ชอ่ื เรยี กรางวลั ของผทู้ ไี่ ดร้ บั การคดั เลอื ก จากเดมิ ทเี่ รยี กเปน็ อันดบั ท่ี ๑, ๒, ๓ เปน็ รางวัลดีเด่น ดีเยย่ี ม สร้างสรรค์ ซ่งึ ค�ำเหล่านมี้ ีความเหมาะ สมมากกว่าคะแนนหรืออันดบั ทีแ่ ปรผลมาจากตวั เลข เนอื่ งจากสามารถส่ือความ หมายถึงคณุ ลักษณะตา่ งๆ ได้ดกี วา่ บท CREATIVE ท่ี ๓ วิธีการประเมินรูปแบบต่างๆ ท่ีเสนอมาเป็นตัวอย่างข้างต้น เป็นการ ประเมนิ จากชน้ิ งานทางทศั นศลิ ป์โดยตรง การทจ่ี ะบง่ บอกหรือรับรองวา่ วิธีการ ใดดกี ว่ากนั น้ัน คงไมส่ ามารถสรุปได้ ทัง้ นข้ี ้นึ อยูก่ บั บรบิ ทของแต่ละกจิ กรรม และ ศักยภาพของผู้จดั เตรียมกจิ กรนรมโดยตรง หรอื หากเปน็ ไปไดอ้ าจใชว้ ธิ กี ารแบบ ผสมผสาน โดยการปรบั ใช้วธิ ีการประเมินแบบตา่ ง ๆ อย่างหลากหลายในสัดสว่ น ที่เหมาะสม จะเกดิ ประสิทธภิ าพมากกว่าการใชเ้ พียงวิธกี ารเดียว ๖. การประเมนิ ผลงานทศั นศลิ ป์จากกระบวนการสร้างสรรค์ การประเมนิ ผลจากชน้ิ งานทางทศั นศลิ ปโ์ ดยตรงเพยี งอยา่ งเดยี ว อาจไม่ ครอบคลุมความสามารถทางการคิดของผู้เรียน ในบางกรณีหากเปิดรบั ผลงาน

๑๒๕ การพฒั นาความคดิ สร้างสรรคท์ างทศั นศิลป์ ส�ำเร็จเข้าตัดสิน จะไม่สามารถประเมินได้อย่างแน่ชัดว่าเป็นผลงานที่แท้จริงของ ผู้เรียนหรือไม่ ดังนั้น การประเมินผลงานทัศนศิลป์จากกระบวนการสร้างสรรค์ จงึ เปน็ อกี หนงึ่ แนวทางทช่ี ว่ ยพจิ ารณาความคดิ สรา้ งสรรคข์ องผเู้ รยี นไดค้ รอบคลมุ ขนึ้ การสร้างสรรค์ผลงานทางทัศนศิลป์ในปัจจุบัน แม้จะมีเคร่ืองมือหรือ เทคโนโลยที ่สี ามารถอ�ำนวยความสะดวกมากกวา่ ในอดีต แตก่ ระบวนการและวิธี สรา้ งสรรค์หลัก ยงั คงอาศัยทกั ษะฝมี อื ของมนษุ ย์ เปน็ ผคู้ วบคุมและจดั สร้าง การ พบเจอปญั หาอปุ สรรคในแตล่ ะขน้ั ตอนของการสรา้ งสรรค์ กอ่ ใหเ้ กดิ ผลดคี อื บคุ คล นั้นจะมีประสบการณ์ตรงในสถานการณ์น้ัน การประเมินผลงานทัศนศิลป์จาก กระบวนการสรา้ งสรรค์ จึงสามารถพิจารณาได้หลายมิติ เช่น ความคดิ ในการแก้ ปัญหา การวางแผนลว่ งหนา้ สภาพอารมณ์เมือ่ ตอ้ งเผชญิ อุปสรรค รวมทงั้ ทักษะ ความเชยี่ วชาญ ฯลฯ เพราะคณุ ลกั ษณะเหลา่ นเี้ ปน็ บคุ ลกิ ภาพบางสว่ นของบคุ คล ผู้มีความคิดสร้างสรรค์ แต่การประเมินผลงานด้วยวิธีการน้ี อาจมีข้อจ�ำกัดบาง ประการทบี่ างกจิ กรรมไมส่ ามารถกระทำ� ได้ ตวั อยา่ งเชน่ ผปู้ ระเมนิ ตอ้ งเฝา้ สงั เกต ตลอดระยะเวลาที่สร้างสรรค์ผลงาน เพราะการสร้างสรรค์ผลงานแต่ละช้ินของ แตล่ ะบคุ คล อาจใช้ระยะเวลาทไ่ี มเ่ ท่ากนั แต่สำ� หรบั กจิ กรรมการแข่งขันทางดา้ น ทศั นศิลป์ในแตล่ ะรายการนิยมใชเ้ วลา ๓ ชัว่ โมง ซึ่งเปน็ ระยะเวลามาตรฐานของ ทุกกิจกรรม ในช่วงเวลา ๓ ชั่วโมงของการสร้างสรรค์ผลงาน ผู้ประเมินต้อง พจิ ารณาโดยตลอด ซง่ึ สามารถกระทำ� ไดเ้ พยี งกลมุ่ ยอ่ ยเทา่ นน้ั หากมผี เู้ ขา้ แขง่ ขนั จ�ำนวนมาก จะไม่สามารถสังเกตกระบวนการได้อย่างทั่วถึง และหากเป็นการ แข่งขันรายการใหญ่ๆ หรือรายการระดับชาติบางรายการ เช่น การแข่งขันแกะ สลักน้�ำแข็ง มักให้ระยะเวลาสร้างสรรค์นานหลายวัน ผู้ประเมินจ�ำเป็นต้อง พิจารณากระบวนการโดยตลอด เพ่ือไม่ให้พลาดประเด็นในการประเมิน ปัญหาอุปสรรคที่กล่าวมาน้ี สามารถแก้ไขได้ด้วยการต้ังกล้องบันทึกภาพ เคล่ือนไหวไว้ตลอดระยะเวลาการแข่งขนั ซง่ึ เปน็ เครื่องมอื ที่สามารถเก็บขอ้ มลู ได้ ตลอด เสมือนกับผู้ประเมินได้พิจารณาขณะปฏิบัติงาน อีกท้ังยังใช้เป็นหลักฐาน อ้างอิงในบางกรณดี ้วย การประเมนิ ผลงานทศั นศลิ ปจ์ ากกระบวนการสรา้ งสรรคจ์ งึ เปน็ เพยี งหนงึ่ แนวทางทใ่ี ชร้ ว่ มกบั การประเมนิ ผลงานทศั นศลิ ปท์ พ่ี จิ ารณาจากผลงานสำ� เรจ็ และ การประเมินผลจากการสัมภาษณ์ทีจ่ ะอธิบายในหัวขอ้ ถัดไป

๑๒๖ การพัฒนาความคิดสรา้ งสรรค์ทางทัศนศลิ ป์ ๗. การประเมินผลงานทางทศั นศิลป์โดยการสมั ภาษณ์ วธิ กี ารสมั ภาษณ์ เปน็ อกี หนง่ึ แนวทางทจ่ี ะทำ� ใหไ้ ดข้ อ้ มลู ทคี่ รอบคลมุ และ รอบดา้ นเพอ่ื ประกอบการพจิ ารณาประเมนิ ผลงานทางทศั นศลิ ป์ เนอ่ื งจากผเู้ รยี น ในบางระดบั เชน่ ระดบั การศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐาน หรอื ผฝู้ กึ หดั ใหม่ ยงั มคี วามเชย่ี วชาญ และทักษะฝีมอื ไมม่ ากนัก ดังน้นั การประเมินผลงานทศั นศิลปจ์ ากผลงานสำ� เรจ็ หรอื จากกระบวนการสรา้ งสรรค์ อาจไดผ้ ลทไ่ี มค่ รอบคลมุ มากนกั การทผ่ี ปู้ ระเมนิ ไดพ้ ดู คยุ ซกั ถามถงึ แนวความคดิ หรอื จนิ ตนาการ จะชว่ ยใหผ้ ปู้ ระเมนิ เขา้ ใจความ คดิ ของผู้เรยี นเพิม่ ขนึ้ และสามารถพจิ ารณาไดว้ ่า ผ้เู รยี นนน้ั มีความคดิ สรา้ งสรรค์ ในระดบั ใด แมค้ ณุ ภาพของผลงานจะไม่เปน็ ไปตามทีค่ าดหวังก็ตาม การสัมภาษณ์ พูดคุย ซักถาม ผู้ประเมินควรเป็นกัลยาณมิตรท่ีดี เนอื่ งจากผฝู้ กึ หดั ใหม่ อาจไมเ่ ขา้ ใจในเจตนาหรอื ขอ้ คำ� ถาม หากผปู้ ระเมนิ คาดคน้ั คำ� ตอบหรอื แสดงทา่ ทางทท่ี ำ� ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความรสู้ กึ ไมพ่ งึ พอใจ จะสง่ ผลตอ่ สภาพ อารมณ์ รวมถึงเป็นการบ่ันทอนแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ ต่อไปในอนาคต และอาจเกิดความรู้สึกท่ีไม่ดีต่อการคิดสร้างสรรค์ด้วย ดังนั้น บุคลิกภาพของผู้ประเมินสัมภาษณ์ผู้เรียนในระดับน้ี อาจเป็นไปในลักษณะท่ีพูด บท คยุ แตไ่ ม่คาดหวังคำ� ตอบ เพอื่ ใหผ้ เู้ รียนเกดิ ความรู้สึกสบายใจ เหมือนคยุ กนั แบบ ท่ี สบายๆ เพราะบางคร้ังอาจได้แนวคดิ แปลกใหมท่ ่คี าดไม่ถงึ ได้ ๓ การจดั เตรยี มการประเมนิ ผลงานทางทัศนศิลป์ตามวิธกี ารต่าง ๆ มีทั้งที่ เน้นคะแนนเป็นตัวเลข ซึ่งอาจจะไม่เหมาะกับการวัดความคิดสร้างสรรค์ทาง ทัศนศลิ ป์ แตใ่ นบางกรณีทผี่ ู้สอนจำ� เป็นต้องประเมนิ เพือ่ ใหเ้ ป็นผลการเรยี นรใู้ น รายวิชาน้ัน คงหลีกเล่ียงไม่ได้ที่ต้องใช้ตัวเลขในการวัดและประเมินผล ซ่ึงมี ประโยชน์เพียงได้ผลการเรียนในแต่ละภาคเรียนเท่านั้น แต่ส�ำหรับการประเมิน เพื่อพิจารณาความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนท่ีแท้จริงนั้น ควรใช้แบบที่เป็น คณุ ลกั ษณะ เนื่องจากจะได้ผลทีล่ มุ่ ลึกและครอบคลุมมากกวา่

การพัฒนาความคดิ สร้างสรรคท์ างทศั นศิลป์ เทคนคิ การพัฒนา ความคดิ สร้างสรรค์ ทางทศั นศลิ ป์

๑๒๘ การพัฒนาความคดิ สร้างสรรค์ทางทัศนศลิ ป์ เทคนิคการพัฒนา ความคิดสร้างสรรค์ทางทศั นศิลป์ ในบททผ่ี า่ นมา เปน็ เรอ่ื งทเ่ี กย่ี วกบั การเตรยี มความพรอ้ มกอ่ นการพฒั นา ความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์ให้กับผู้เรียน ซ่ึงประสิทธิผลท่ีได้รับจากเทคนิค วธิ กี ารในบทน้ี เกิดจากประสทิ ธิภาพของการเตรียมความพรอ้ มทผี่ สู้ อนจัดสรรไว้ เทคนิควิธีการที่น�ำเสนอในบทน้ี ผู้เขียนได้แนวคิดมาจากผลการศึกษาของนัก วิชาการแต่ละท่าน และน�ำมาพิจารณาปรับใช้จนเกิดเป็นแนวทางท่ีสามารถใช้ กระตนุ้ ความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ปข์ องผเู้ รยี นได้ ซงึ่ ประกอบดว้ ยเทคนคิ วธิ ี การตา่ งๆ ได้แก่ การพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ทางทศั นศลิ ปโ์ ดยใชว้ ธิ กี ารอุปนัย (Induction Method) การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรค์ทางทศั นศิลป์ด้วยแนวคดิ “ไอเดยี เกา่ + ไอเดยี เกา่ = ไอเดียใหม”่ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ปโ์ ดยใชแ้ บบตรวจสอบของ ออสบอร์น (Osborn’s Checklist) บท การพฒั นาความคดิ สร้างสรรคท์ างทัศนศิลปโ์ ดยใชบ้ ัญชีรายการ ท่ี (Catalog) ๔ การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์โดยการระดมสมองตาม แนวคดิ ของทฤษฎี Synectic การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์ด้วยเทคนิคการเปรียบ เทียบ (Comparison technique)

๑๒๙ การพัฒนาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ป์ การพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลปโ์ ดยใชว้ ฒั นธรรม เป็นฐาน การพัฒนาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ปด์ ้วยการวจิ ารณ์ศิลปะ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค์ทางทศั นศิลปด์ ้วยคอนทัวร์ดรออง้ิ (Contour Drawing) การพัฒนาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทศั นศิลป์แบบข้ามกระบวนการ (Cross Method) การพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลปด์ ้วยสคี ู่ตรงข้าม (Negative style) การพัฒนาความคิดสร้างสรรคท์ างทัศนศิลป์จากภาวะวกิ ฤต โดยแตล่ ะเทคนิควิธกี าร มีรายละเอียดดงั ตอ่ ไปนี้ การพัฒนาความคิดสร้างสรรคท์ างทัศนศิลป์โดยใช้วิธีการอปุ นัย (Induction Method) วธิ กี ารอปุ นยั เปน็ วธิ กี ารทใี่ ชก้ นั มายาวนาน มคี วามสำ� คญั อยา่ งยงิ่ ตอ่ การ แสวงหาความรู้ใหม่ๆ ท่ียังไม่มีผู้ใดค้นพบ ในภาษาอังกฤษใช้ค�ำว่า Induction Method ซึ่งมีลักษณะท่ีแตกต่างและตรงกันข้ามกับวิธีการนิรนัย Deduction Method ทงั้ สองวธิ กี ารดงั กลา่ ว มลี กั ษณะเฉพาะของแตล่ ะวธิ กี าร และเปน็ แนวคดิ เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยด้วย กล่าวคือ วิธีการอุปนัย เป็นการแสวงความรู้ที่เป็น ลกั ษณะของการวจิ ยั เชงิ คณุ ภาพหรอื คณุ ลกั ษณะ สว่ นวธิ กี ารนริ นยั เปน็ การคน้ หา ค�ำตอบทเ่ี ปน็ ลกั ษณะของการวิจัยเชงิ ปรมิ าณ ซึง่ ท้งั สองวิธกี ารนีม้ ีความแตกต่าง กันอย่างสิ้นเชิง ตามแผนภาพเปรียบเทียบดังนี้

๑๓๐ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค์ทางทศั นศลิ ป์ วธิ ีการอุปนยั ตัวอย่าง ๑ ตัวอยา่ ง ๒ ตัวอยา่ ง ๓ ตัวอย่าง ๔ ตัวอย่าง ๕ ขอ้ สรปุ ,ความรูใ้ หม่ ภาพที่ ๒๗ แสดงลกั ษณะของวิธีการอปุ นยั วธิ ีการนริ นยั ขอ้ สรปุ ความร้ทู เ่ี คยค้นพบ ตวั อยา่ ง ๑ ตัวอยา่ ง ๒ ตัวอย่าง ๓ ตวั อย่าง ๔ ตวั อยา่ ง ๕ บท ที่ ยืนยันความรู้ทีพ่ บมาแลว้ ๔ ภาพท่ี ๒๘ แสดงลักษณะของวิธกี ารนิรนยั

๑๓๑ การพฒั นาความคดิ สร้างสรรคท์ างทัศนศลิ ป์ จากแผนภาพท้ังสองท่ีน�ำเสนอข้างต้น จะพบความแตกต่างของท้ังสอง วธิ กี าร โดยวธิ กี ารอปุ นยั จะเนน้ การศกึ ษาจากตวั อยา่ งทห่ี ลากหลาย มากพอทจี่ ะ ตงั้ เปน็ ขอ้ สรุปหรือองคค์ วามรู้ใหม่ โดยปราศจากหลักการหรอื ทฤษฎีหรือความรู้ ท่เี คยมีการค้นพบมาก่อน จะสังเกตไดว้ ่า วิธีการน้ีใชส้ ำ� หรับการศกึ ษาหรอื ค้นหา สงิ่ ใหมๆ่ ทย่ี งั ไมม่ ผี ใู้ ดเคยคน้ พบมากอ่ น ตรงกนั ขา้ มกบั วธิ กี ารนริ นยั ทย่ี ดึ หลกั การ ทฤษฎี หรอื ความรเู้ ดมิ ทเี่ คยมผี ศู้ กึ ษาไวก้ อ่ นหนา้ จากนน้ั จะทำ� การศกึ ษาตวั อยา่ ง ตา่ งๆ เพอ่ื ตรวจสอบวา่ มคี วามสอดคลอ้ งหรอื ตรงกบั ความรเู้ ดมิ หรอื ขอ้ สรปุ ทเ่ี คย มผี ูค้ ้นพบหรอื ไมอ่ ยา่ งไร ในวงการการศกึ ษาไดน้ ำ� ทงั้ สองวธิ กี ารนมี้ าปรบั ใชใ้ นวธิ กี ารสอน ๒ วธิ คี อื วิธีสอนโดยใช้การอุปนัยและวิธีสอนโดยใช้การนิรนัย โดยออกแบบกระบวนการ จัดการเรียนรู้ตามแนวคิดและลักษณะของวิธีการท้ังสองน้ี ซึ่งวิธีสอนทั้งสองดัง กล่าว ทิศนา แขมมณี (๒๕๕๓, หน้า ๓๔๐) ได้น�ำเสนอไวใ้ นหนงั สอื ศาสตรก์ าร สอน องค์ความรู้เพ่ือการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ที่อธิบายถึง ลักษณะของวิธีการท้ังสอง การปรับใช้ในกิจกรรมการเรียนรู้ รวมถึงได้วิเคราะห์ ข้อดีและข้อจำ� กัดของแต่ละวิธีการดว้ ย ส�ำหรับการเรียนรู้ทางทัศนศิลป์โดยใช้วิธีการอุปนัยน้ัน ผู้เขียนเคยได้ ท�ำการศึกษาวิจัย เรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบอุปนัย เพ่ือส่ง เสริมความคิดสร้างสรรค์ เรื่อง การออกแบบผลิตภัณฑ์ ส�ำหรับนักเรียน ช้นั มธั ยมศึกษาปีที่ ๓ โดยวธิ ศี กึ ษาบทเรยี น (Lesson Study) ไดน้ ำ� แนวคดิ จาก วิธกี ารอุปนยั มาพฒั นาความคิดสรา้ งสรรคข์ องผู้เรียน เพื่อออกแบบผลิตภัณฑ์รปู แบบท่ีแปลกใหม่ ซงึ่ หัวข้อทีใ่ ชใ้ นการวิจัยครง้ั นนั้ คือ การออกแบบโคมไฟ ปัญหาที่พบก่อนท�ำการวิจัยคร้ังนั้น คือ เมื่อผู้เรียนได้รับมอบหมายให้ ออกแบบผลติ ภณั ฑ์ หัวข้อ โคมไฟ โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องเป็นอุปกรณใ์ หแ้ สงสวา่ ง ทม่ี รี ปู แบบแปลกใหมแ่ ตกตา่ งจากรปู แบบเดมิ ทมี่ อี ยกู่ อ่ นแลว้ ผเู้ รยี นจะเกดิ ปญั หา ในใจต่อเงือ่ นไขดังกล่าว เมอ่ื ให้เวลาคดิ สกั ระยะหนง่ึ พบว่า รูปแบบของโคมไฟท่ี ผ้เู รียนคิดออกแบบนนั้ ยังเปน็ รปู แบบเดิม ๆ และยงั มีรูปทรงท่ีคนุ้ เคย บางคนเร่มิ คิดไมไ่ ด้ ส่งผลให้ผูเ้ รียนเกดิ ความตงึ เครียดและเบื่อหน่ายตอ่ การคิดออกแบบต่อ ไป ด้วยเหตนุ ผ้ี เู้ ขียนจงึ เกดิ แนวคดิ ในการพัฒนารูปแบบการจดั การเรียนรโู้ ดยใช้

๑๓๒ การพฒั นาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทัศนศลิ ป์ ลักษณะเด่นของวิธีการอุปนัย มาปรับใช้ในการออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ ผลทไ่ี ดร้ บั จากการวจิ ยั ครงั้ นน้ั คอื ผเู้ รยี นสามารถออกแบบโคมไฟทมี่ รี ปู แบบใหม่ และสามารถนำ� รปู แบบนน้ั มาสรา้ งสรรคไ์ ดจ้ รงิ รวมทงั้ ผเู้ รยี นเกดิ จนิ ตนาการและ ทำ� ใหโ้ ลกทศั นข์ องผู้เรยี นกว้างขวางขึ้น จากการวิจัยท่ีได้กล่าวมาในข้างต้น ผู้เขียนจึงเช่ือม่ันว่าวิธีการอุปนัย สามารถชว่ ยสง่ เสรมิ และพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ปข์ องผเู้ รยี นไดเ้ ปน็ อยา่ งดี จงึ ไดน้ ำ� เสนอเทคนคิ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ปโ์ ดยใชว้ ธิ ี การอุปนัย ดงั รายละเอียดตอ่ ไปน้ี ๑. ผู้สอนจัดเตรียมทรัพยากรทีห่ ลากหลายและการนำ� เสนอ การจัดเตรียมทรพั ยากร หมายถงึ การจัดหาสิง่ ตา่ งๆ ท่สี ามารถส่งเสรมิ และกระตุน้ ความคิดสรา้ งสรรคข์ องผูเ้ รยี น เช่น รูปภาพ ภาพเคลือ่ นไหวและวตั ถุ ฯลฯ ทั้งน้ีส่ิงที่จัดเตรียมควรสอดคล้องกับหัวข้อท่ีจะมอบหมายให้ผู้เรียนคิด ออกแบบ เชน่ ผลติ ภณั ฑร์ ปู แบบตา่ งๆ ภาพผลงานศลิ ปะของศลิ ปนิ แตล่ ะยคุ สมยั รูปแบบของภาพที่จัดเตรียมควรมีมากเพียงพอต่อการพิจารณารูปแบบ เพ่ือให้ ผ้เู รยี นเกิดความคิดรวบยอด (Concept) ตอ่ หวั ข้อนน้ั ๆ ตัวอย่างเช่น กำ� หนดให้ ผู้เรยี นออกแบบโคมไฟ จ�ำนวน ๑๐ แบบ ภายในระยะเวลา ๒ ชั่วโมง ท้งั จ�ำนวน รูปแบบและระยะเวลา เป็นเกณฑ์อย่างหน่ึงที่ใช้ประกอบการประเมินความคิด สร้างสรรคข์ องผู้เรียนดว้ ย จากนัน้ ผู้สอนเปิดรปู ภาพโคมไฟในลักษณะต่างๆ เชน่ โคมไฟตง้ั โต๊ะ โคมไฟตั้งพน้ื โคมไฟตดิ ผนงั โคมไฟแขวนเพดาน ฯลฯ โดยโคมไฟ แตล่ ะลักษณะท่ีกลา่ วมาน้นั มลี กั ษณะเฉพาะและความพิเศษที่ตรงกัน คอื หาก บท เปน็ โคมไฟตงั้ โตะ๊ จะตอ้ งมฐี านเพอ่ื วางตง้ั บนพนื้ ระนาบเรยี บๆ ไดห้ รอื โคมไฟแขวน เพดาน จะไม่มสี ว่ นฐานวาง แตม่ สี ว่ นท่ีใช้แขวนกบั เพดาน และตวั โคมจะหอ้ ยลง ท่ี สดู่ า้ นลา่ ง เปน็ ตน้ จำ� นวนรปู แบบโคมไฟแตล่ ะลกั ษณะควรมมี ากพอ และควรเปน็ ๔ รปู แบบทแ่ี ปลกใหม่ ซง่ึ แตกตา่ งจากรปู แบบที่สามารถพบเหน็ ไดท้ ่ัวไป การใช้รูปภาพลักษณะน้ีเป็นการเปิดมุมมองของผู้เรียนให้เกิดความคิดที่ หลากหลายและไม่ยึดติดกับรูปแบบหรือกรอบเดิมๆ เพ่ือกระตุ้นความคิดของ ผู้เรียนให้เกิดความกล้าคิดสร้างสรรค์รูปแบบท่ีแปลกใหม่ เนื่องจากไม่เกรงว่าจะ ผดิ ไปจากปกติ ซงึ่ สามารถสรุปวธิ ีการตามแผนภาพต่อไปน้ี

๑๓๓ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค์ทางทศั นศลิ ป์ หวั ขอ้ โคมไฟ โคมไฟตัง้ โตะ๊ โคมไฟตัง้ พ้ืน โคมไฟติดผนัง โคมไฟแขวนเพดาน ๑๒ ๓ ๑๒ ๓ ๑๒ ๓ ๑๒ ๓ โคมไฟรปู แบบใหม่ ภาพที่ ๒๙ แสดงการพัฒนาความคดิ สร้างสรรค์โดยใช้วธิ ีการอปุ นยั ๒. ผสู้ อนสงั เกตพฤติกรรมการออกแบบ เมอื่ ผเู้ รยี นไดพ้ จิ ารณารปู ภาพสกั ระยะหนง่ึ จนเกดิ ความคดิ รวบยอดเพยี ง พอแล้ว จะสามารถคดิ สรา้ งสรรค์รปู แบบใหมไ่ ด้ ตลอดระยะเวลาการปฏบิ ัติงาน ๒ ช่ัวโมง ผู้สอนอาจใช้ช่วงเวลาน้ีสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนว่า สามารถคิด ออกแบบได้อย่างคล่องแคล่วหรือไม่ หากยังติดขัดอาจใช้รูปภาพเพ่ิมเติมเพ่ือ กระตนุ้ ใหเ้ กดิ การสรา้ งจนิ ตนาการใหมๆ่ รวมทงั้ ควรแจง้ ระยะเวลาทเี่ หลอื ในการ ออกแบบด้วย เพอื่ ใหผ้ ูเ้ รยี นต่ืนตัวและประเมินการปฏบิ ัตงิ านได้อย่างเหมาะสม ๓. ผู้สอนประเมินผลความคดิ สรา้ งสรรค์ของผเู้ รยี น การประเมนิ ผลความคิดสรา้ งสรรคข์ องผเู้ รียน ควรก�ำหนดเกณฑใ์ หผ้ ูเ้ รยี นทราบ ล่วงหน้า เชน่ รปู แบบต้องมีความแปลกใหม่ตา่ งจากของเดิมทเ่ี คยมีอยู่ ตอ้ งเป็น รปู แบบทสี่ ามารถผลิตได้จรงิ เปน็ ตน้ เมอื่ มกี ารประเมินผล อาจพิจารณาเปน็ ราย บคุ คล เพอ่ื ใหแ้ ตล่ ะคนทราบขอ้ บกพรอ่ งของตน ซงึ่ อาจมปี ระเดน็ ในการพจิ ารณา ดังต่อไปนี้

๑๓๔ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค์ทางทัศนศิลป์ ๓.๑ ผ้เู รยี นคนใดสามารถคิดออกแบบไดม้ ากกว่า ๑๐ แบบ หรือผู้ใดท่ี ออกแบบไดม้ ากทีส่ ุดในช้ันเรยี น แสดงว่า เปน็ ผทู้ ่มี ีความคิดคล่องแคลว่ โดยยึด ปรมิ าณเป็นตัวบ่งช้ี ๓.๒ ผู้เรยี นคนใดสามารถปรบั ใชร้ ปู แบบเดมิ และพัฒนาต่อยอดไดอ้ ย่าง เหมาะสม แสดงว่าเปน็ ผูท้ ีม่ คี วามคดิ ยดื หยุ่น ๓.๓ ผู้เรยี นคนใด ได้รปู แบบที่แปลกใหมก่ วา่ บคุ คลอน่ื แสดงวา่ เป็นผทู้ ่ี มีความคดิ รเิ รมิ่ ๓.๔ ผู้เรียนคนใด ใส่รายละเอียดในผลงานแต่ละรูปแบบอย่างซับซ้อน แสดงวา่ เป็นผู้ทม่ี ีความคิดละเอียดลออ โดยทั้งส่ีประเด็นท่ียกตัวอย่างมาข้างต้น เป็นองค์ประกอบของความคิด สรา้ งสรรคต์ ามทฤษฎคี วามคดิ สรา้ งสรรคข์ องทอรแ์ รนซ์ หากผเู้ รยี นคนใดมผี ลงาน ตรงตามคุณลักษณะข้อใดข้อหนึ่งในสี่ข้อน้ีแสดงว่า เป็นบุคคลที่มีความคิด สรา้ งสรรค์ โดยวิธีการพจิ ารณาตามตัวอยา่ งนี้ พยายามหลีกเล่ยี งการประเมนิ ผล ทีใ่ ช้ตัวเลขหรือคะแนนเปน็ เคร่ืองตัดสิน เนอ่ื งจากระดบั คะแนนอาจไม่สง่ ผลดีตอ่ สภาพจติ ใจและทัศนคตขิ องผู้เรียน CREATIVE วิธีการอุปนัยที่น�ำมาปรับใช้กับการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทาง ทัศนศิลป์ สามารถใช้ได้กับผลงานทกุ ประเภท ไมว่ า่ จะเปน็ การสรา้ งสรรคผ์ ลงาน จิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ สื่อผสม ศิลปะไทย โดยเฉพาะผลงานทาง ศิลปะการออกแบบ เนื่องจากผลงานแต่ละประเภทที่กล่าวมาน้ัน เน้นการ บท แสดงออกทางดา้ นรปู แบบเปน็ หลกั ดงั นนั้ จงึ ตอ้ งคดิ ออกแบบงานใหม้ คี วามแปลก ใหมแ่ ตกต่างจากผลงานเดมิ อกี ท้ังลกั ษณะของผลงานทางทศั นศิลป์ รบั รู้รปู แบบ ที่ ด้วยการมองเห็น หากมีการใช้สอ่ื ทม่ี ลี ักษณะเป็นรูปภาพ จะมคี วามเหมาะสมต่อ ๔ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ปข์ องผเู้ รยี น แตว่ ธิ กี ารนย้ี งั มขี อ้ กดั บาง ประการ เช่น สอื่ หรอื ทรัพยากรการเรียนรู้ ควรมเี ปน็ จำ� นวนมากเพยี งพอตอ่ การ พิจารณา รวมทั้งควรมีรูปแบบท่ีหลากหลาย หรือรูปภาพที่น�ำมาใช้ควรมีความ สอดคล้องกับหัวขอ้ และผู้สอนควรมน่ั ใจว่ารูปภาพที่ใชม้ ีรปู แบบท่แี ปลกใหมจ่ าก รปู แบบท่ัวไป หากรปู ภาพท่นี ำ� มาใชก้ ับผเู้ รยี นมรี ปู แบบทวั่ ไป ผเู้ รยี นจะไมต่ น่ื ตวั และไมก่ ระต้นุ กระบวนการคดิ สรา้ งสรรคข์ องผู้เรยี น

๑๓๕ การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางทศั นศิลป์ การพัฒนาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทศั นศิลปด์ ้วยแนวคดิ “ไอเดียเก่า + ไอเดยี เก่า = ไอเดยี ใหม”่ ความคิด หรือท่ีเรียกกันโดยทั่วไปว่า ไอเดีย (Idea) เป็นค�ำท่ีใช้สื่อถึง กระบวนการคิดสร้างสรรค์มากกว่าการคิดลักษณะอื่น โดยในวงการศิลปะการ ออกแบบ นยิ มใชค้ ำ� นเี้ พอื่ สอื่ สารกนั ในกลมุ่ นกั ออกแบบ ซง่ึ หมายความถงึ “ความ คิด” และมุ่งเน้นถงึ ความคดิ ใหมเ่ ป็นหลกั การพฒั นาความคิดสรา้ งสรรคท์ ี่รับแนวคดิ จาก “ไอเดยี เก่า + ไอเดียเกา่ = ไอเดียใหม”่ น้ี ถกู เสนอไวใ้ นหนังสือ “คดิ นอกกฎ ทำ� นอกกรอบ ๑๐๑ วิธีปลด พันธนาการทางความคิด” ซง่ึ ผ้ทู เี่ ขยี นหนงั สือนี้ คือ อสิ อะเวย์. ร็อบ (Rob East- away) และถูกน�ำเน้ือความมาแปลเป็นภาษาไทย โดย กุลธิดา มงคลศิริเกียรติ (อสิ อะเวย์. ร็อบ, ๒๕๕๑, หน้า ๙๔-๙๕) รายละเอยี ดของหนังสอื นีม้ ตี ัวอยา่ งหนง่ึ ท่เี ป็นวิธีการชว่ ยใหค้ วามคิดสร้างสรรค์ของมนุษยเ์ กดิ ขึน้ มาอยา่ งง่ายดาย และมี คณุ ประโยชน์ตอ่ มวลมนุษยชาติในดา้ นต่างๆ โดยใจความในหนังสอื แสดงออกถงึ การปรับทัศนคติของบุคคลให้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า เร่ืองราวที่เกี่ยวข้องกับความ คดิ สรา้ งสรรค์ ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งเปน็ เรอื่ งทเี่ ปลย่ี นโลกเสมอไป ดงั ทขี่ อ้ ความตอนหนงึ่ ในหนงั สอื นอ้ี ธบิ ายวา่ “เปน็ สงิ่ ทย่ี ากมากทแี่ ตล่ ะบคุ คล จะเกดิ ความคดิ ใหม่ ๆ ไม่ ซำ�้ แบบใคร ตามที่ ไทลา ทาร์ป นักคดิ ค้นและออกแบบทา่ เตน้ ที่มีช่อื เสยี งระดับ โลก “ไดก้ ล่าวไว้วา่ ไมม่ อี ะไรท่แี ปลกใหม่ ไมซ่ ้�ำแบบใคร ไมว่ ่าจะเปน็ ไฮเมอรห์ รือ เชค็ สเปยี รก์ ็ไมไ่ ดค้ ดิ อะไรใหม่” จากเนอื้ ความทยี่ กมาเปน็ ตวั อยา่ งขา้ งตน้ เปน็ เครอื่ งยนื ยนั ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งท่ีสามารถเกิดข้ึนได้กับทุกบุคคล หากได้รับ การกระตนุ้ อยา่ งเหมาะสม รวมทงั้ การมที ศั นคตทิ ถี่ กู ตอ้ ง เปน็ สง่ิ ทชี่ ว่ ยสง่ เสรมิ ให้ บคุ คลสามารถคดิ สรา้ งสรรคไ์ ดง้ า่ ยขนึ้ ดว้ ย โดยในหนงั สอื นยี้ งั ไดเ้ สนอตวั อยา่ งของ แนวคดิ ไอเดยี เกา่ + ไอเดยี เกา่ = ไอเดยี ใหม่ ในบางกรณใี หพ้ จิ ารณาดว้ ย ตวั อยา่ ง เช่น วงดนตรีร็อคที่มีช่ือเสียงและประสบความส�ำเร็จอย่างมากในยุคหนึ่ง คือ วงโอเอซิส ไดร้ บั แนวคิดมาจากวงเดอะบที เทลิ สแ์ ละหากสบื คน้ ทม่ี าต่อไป จะพบ วา่ วงเดอะบที เทลิ สไ์ ดร้ บั แรงบนั ดาลใจมาจากวงแนวรอ็ คแอนดโ์ รล ซง่ึ เปน็ ดนตรี แนวอนิ เดยี และดนตรที บ่ี รรเลงกนั ในโบสถค์ รสิ ตช์ ว่ งยคุ กลางของตะวนั ตก แนวคดิ

๑๓๖ การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ป์ และแรงบันดาลใจเก่ยี วกับดนตรที ีเ่ กิดขึ้นมากอ่ นหน้านน้ั เป็นอิทธิพลผสมผสาน รวมกบั ความสามารถเฉพาะตวั จนเกดิ เปน็ ดนตรที มี่ ที ว่ งทำ� นองใหม่ หรอื อกี กรณี หนง่ึ ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั การออกแบบเครอ่ื งแตง่ กาย (Fashion Design) แฟชน่ั รปู แบบ ใหม่ท่ีถูกออกแบบขึ้น อาจมิได้เกิดข้ึนเอง หากแต่เป็นการน�ำแนวคิดหรือไอเดีย เกา่ ๆ มาผสมผสานกนั และสรา้ งสรรค์ข้ึนใหม่ เชน่ วเิ วยี น เวสต์วูด นกั ออกแบบ เครอ่ื งแต่งกายระดับโลกทีป่ รับใช้แฟช่นั ในยคุ ศตวรรษท่ี ๑๗ และ ๑๘ มาเปน็ ตน้ แความคดิ และแรงบนั ดาลใจในการออกแบบผลงาน โดยนำ� ชดุ กระโปรงมาสวมใส่ ร่วมกับกางเกงยีนส์ ซึ่งได้รับความนิยมอย่างมากและแพร่หลายไปท่ัวยุโรปและ อเมรกิ าเหนอื ในชว่ งปคี .ศ. ๒๐๐๕ นอกจากตวั อยา่ งขา้ งตน้ แลว้ อสิ อะเวย.์ รอ็ บ ยงั ไดใ้ หค้ ำ� แนะนำ� ทสี่ ามารถ ชว่ ยกระตนุ้ ความคดิ ใหมไ่ ดอ้ กี โดยกลา่ ววา่ ใหท้ ดลองพจิ ารณาวา่ มแี นวความคดิ เดมิ ๆ อะไรบา้ ง ท่สี ามารถนำ� มาผสมผสานกันไดบ้ ้าง แลว้ ทดลองนำ� แนวความ คดิ น้นั ๆ มารวมกัน ตวั อยา่ งเชน่ งานเลี้ยงแตง่ งานกับการปรับปรงุ สวน หรือการ ซ่อมแซมเก้าอ้ีกับเว็ปไซต์ส่วนตัว หรือการออกก�ำลังกายกับการพักร้อนในต่าง ประเทศ ฯลฯ สงิ่ เหลา่ นอี้ าจทำ� ใหไ้ ดแ้ นวคดิ หรอื ไอเดยี จนเกดิ เปน็ รปู แบบผลงาน ใหมๆ่ ได้ จากแนวคดิ ของ อสิ อะเวย.์ รอ็ บ ทน่ี ำ� เสนอมานนั้ หวั ใจสำ� คญั ของเทคนคิ วิธีการน้ี คือ การนำ� แนวคิดเดิมทม่ี อี ยูก่ อ่ นแลว้ มาผสมรวมกนั จนเกิดเปน็ สง่ิ ใหม่ ท่ีอาจจะหลงเหลือสภาพของเดิมอยู่บ้าง ส�ำหรับงานด้านทัศนศิลป์ตั้งแต่อดีตที่ ผ่านมา จะพบว่า มีหลายกรณีท่ีมีลักษณะของการรวมกันของแนวคิดเดิม จนมี ลักษณะเป็นรูปแบบผลงานใหม่ที่แตกต่าง ตัวอย่างเช่น เครื่องปั้นดินเผา ของ บท วัฒนธรรมบ้านเชียงในปัจจุบัน ซ่ึงได้มีการก�ำหนดอายุว่าอยู่ในช่วงสมัยก่อน ประวัติศาสตร์ โดยในระยะแรกเร่ิม เคร่ืองดินเผาอาจไม่มีการตกแต่งสีสันด้วย ท่ี สีเป็นลวดลายในลักษณะต่างๆ แต่เม่ือมนุษย์ในยุคนั้นมีพัฒนาการทางความ ๔ คดิ มากข้นึ อาจน�ำวิธีการเขยี นสีบนผนงั ถ้ำ� หรือเพิงผา ซึ่งใช้วัสดทุ ่ีเปน็ สีธรรมชาติ มาผสมผสานกนั จนกลายเปน็ ผลงานเครอ่ื งปน้ั ดนิ เผาทม่ี กี ารตกแตง่ ลวดลายเสน้ สีแดงอมน�้ำตาล เกิดเป็นส่ิงประดิษฐ์ใหม่ท่ีถูกสร้างข้ึนในยุคน้ัน ตามแผนภาพ ต่อไปน้ี IDEA

๑๓๗ การพัฒนาความคดิ สร้างสรรค์ทางทัศนศลิ ป์ ไอเดยี เก่า ไอเดียเก่า ไอเดียใหม่ (ภาพเขียนสบี น (ภาชนะดนิ เผา) (เครื่องป้นั ดินเผาบา้ นเชียง) ผนังถ้ำ� ) ภาพท่ี ๓๐ แผนภาพแสดงการเกดิ ความคดิ สร้างสรรค์ดว้ ยแนวคดิ ไอเดยี เกา่ + ไอเดียเก่า = ไอเดียใหม่ สว่ นอกี ตวั อยา่ งหนง่ึ คอื การนำ� เศษโลหะทเ่ี หลอื จากการใชง้ านตามหนา้ ท่ี หลัก มาผสมกับกระบวนวิธีทางประติมากรรมท่ีมีอยู่ก่อนแล้ว มาประกอบเป็น ประติมากรรมโลหะเชิงสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก จาก ตวั อยา่ งทงั้ สองทน่ี ำ� เสนอมานนั้ เปน็ ลกั ษณะของการใชก้ ระบวนการคดิ สรา้ งสรรค์ ตามแนวคดิ ไอเดยี เกา่ + ไอเดยี เกา่ = ไอเดยี ใหม่ อยา่ งชดั เจน เทคนคิ การพฒั นา ความคิดสร้างสรรค์ทางดา้ นทัศนศิลป์ ดว้ ยแนวความคดิ ไอเดยี เก่า + ไอเดยี เก่า = ไอเดียใหม่ ผู้เขียนขอเสนอตัวอย่างเพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาความ คดิ สรา้ งสรรคข์ องผเู้ รยี น โดยมกี ระบวนการจดั กจิ กรรมการเรยี นรตู้ ามตวั อยา่ ง ตอ่ ไปน้ี ๑. ผู้สอนมอบหมายงานให้ผู้เรียนสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ประเภท จิตรกรรม การใช้สีอะคริลิคโดยมีตัวเลือกเป็นรูปแบบผลงานจิตรกรรมตามลัทธิ ศิลปะของตะวันตก ท้ังนี้เพ่ือเป็นแนวทางให้ผู้เรียนได้คิดสร้างสรรค์จากแนวคิด เดิมทม่ี อี ยกู่ อ่ นแลว้ ซ่งึ มีลกั ษณะตามแผนภาพตอ่ ไปน้ี (ไอเดยี เกา่ ) (ไอเดียเกา่ ) (ไอเดียใหม)่ ลัทธิประทบั ใจ ลัทธเิ หนอื จรงิ การใช้สแี บบ Impressionism Impressionism Surrealism ตวั ภาพ บรรยากาศแบบ Surrealism ภาพที่ ๓๑ แสดงการผสมผสานแนวคิด จากแผนภาพที่แสดงข้างต้น สามารถอธิบายได้ว่า ลักษณะของผลงาน จิตรกรรมตามลัทธิประทับใจ กับลัทธิเหนือจริง มีลักษณะเฉพาะของแต่ละลัทธิ

๑๓๘ การพัฒนาความคิดสรา้ งสรรค์ทางทศั นศลิ ป์ โดยลทั ธิประทบั ใจ เป็นการสรา้ งสรรค์ผลงานจากความรสู้ ึกโดยฉับพลนั ที่พบเจอ สง่ิ ตา่ ง ๆ ในขณะนนั้ การระบายสจี ะไมป่ ระณตี เรยี บรอ้ ยเทา่ ทคี่ วร สว่ นลทั ธเิ หนอื จรงิ เนน้ รปู แบบของตวั ภาพ บรรยากาศ ทไ่ี มเ่ ปน็ จรงิ ตามธรรมชาตซิ ง่ึ ผเู้ รยี นอาจ น�ำลกั ษณะเดน่ ของแตล่ ะลัทธิศลิ ปะมาผสมกนั จนเป็นรูปแบบผลงานใหม่ แตย่ ัง สามารถพิจารณาได้ว่า ได้แนวคิดหรือแรงบันดาลใจจากแหล่งใดแนวทางการน�ำ เสนอผลงานของกรณนี อี้ าจนำ� วธิ กี ารระบายสแี บบลทั ธปิ ระทบั ใจมาใชก้ บั ตวั ภาพ บรรยากาศท่เี หนือความเป็นจริงในธรรมชาติ เปน็ ต้น ๒. ผสู้ อนกำ� หนดระยะเวลาใหผ้ เู้ รยี น ไดค้ ดั เลอื กรปู แบบผลงานตามลทั ธิ ต่าง ๆ ทตี่ ัวเองสนใจ โดยผสู้ อนควรใหข้ ้อมูลของแต่ละลทั ธิ (ไอเดียเกา่ ) เพือ่ ใหผ้ ู้ เรยี นเกดิ ความเขา้ ใจ และเกดิ ความคดิ รวบยอดในลกั ษณะเฉพาะของแตล่ ะรปู แบบ ๓. เมอ่ื ผสู้ อนใหข้ อ้ มลู ของแตล่ ะลทั ธศิ ลิ ปะจนผเู้ รยี นเขา้ ใจแลว้ อาจมกี าร ซักถามแนวคิดของผู้เรียนต่อแนวทางการสร้างสรรค์ผลงาน จะช่วยให้เพื่อนร่วม ชั้นไดพ้ จิ ารณาตวั อยา่ งการคิดจากเพอ่ื นใหก้ ว้างขวางขนึ้ ๔. ผู้สอนมอบหมายให้ผ้เู รียนรา่ งภาพแสดงแนวคิดในพนื้ ท่ี และมขี นาด เท่ากับชิ้นงานจริง ก่อนการปฏิบัติงาน เพื่อเป็นการตรวจสอบแนวคิดใหม่ของผู้ เรยี นวา่ มคี วามเหมาะสมมากนอ้ ยเพยี งใด ๕. เมอ่ื ผเู้ รยี นสรา้ งสรรคผ์ ลงานตามระยะเวลาทก่ี ำ� หนด ควรประเมนิ ผล งานตามวธิ กี ารตา่ งๆ อยา่ งเหมาะสม กระบวนการทเี่ สนอขา้ งตน้ เปน็ เพยี งตวั อยา่ ง หนง่ึ ของการใชเ้ ทคนคิ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ปด์ ว้ ยแนวคดิ ไอ เดยี เกา่ + ไอเดียเก่า = ไอเดยี ใหม่ เท่าน้นั ผสู้ อนอาจน�ำไปปรบั ใช้ให้เหมาะสม และสมั พันธก์ บั บริบทหรอื หวั เรอ่ื งที่จะท�ำการพฒั นา ตัวอยา่ งเช่น บท ไอเดียเก่า ไอเดียเก่า ไอเดยี ใหม่ ท่ี ภาพบคุ คล ภาพการต์ ูน ภาพลอ้ เลยี น ๔ เครื่องป้ันดินเผา จิตรกรรมเขียนสี เครอื่ งเบญจรงค์ การวาดภาพ คอมพิวเตอร์ คอมพวิ เตอรก์ ราฟกิ ประติมากรรมไทย จติ รกรรมไทย งานปนู ปน้ั เขยี นสี ตารางท่ี ๔ ตวั อย่างการใชไ้ อเดียเก่าท่มี ีอยู่แลว้ ใหเ้ กิดเปน็ ไอเดียใหม่

๑๓๙ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทัศนศลิ ป์ รายละเอยี ดทป่ี รากฏในตารางขา้ งตน้ เมอื่ พจิ ารณาอยา่ งละเอยี ด จะพบ ว่า เทคนิคการพัฒนาความคิดสรา้ งสรรค์ทางทศั นศลิ ป์ด้วยแนวคิด ไอเดียเกา่ + ไอเดยี เกา่ = ไอเดยี ใหม่ มไิ ดเ้ ปน็ เพยี งการสรา้ งรปู แบบใหมท่ แ่ี ตกตา่ งจากเดมิ ของ ผลงานทัศนศิลป์เท่าน้ัน แต่ยังเป็นการพัฒนาทางด้านเทคนิควิธีการ รวมไปถึง สาขาวิชาใหม่ที่มีพ้นื ฐานจากความรดู้ ้ังเดิมด้วย จากลักษณะเด่นของแนวคิด ไอเดียเก่า + ไอเดียเก่า = ไอเดียใหม่ มี ลักษณะท่ีใกล้เคียงกับการรวมหลายส่ิงเข้าด้วยกัน ดังค�ำว่า การจับแพะ มาชน แกะ โดยแพะและแกะ เป็นสตั วท์ ม่ี ีอยูก่ อ่ นแลว้ เมือ่ น�ำมาชนหรือผสมกนั จะเกิด เปน็ สตั วร์ ปู แบบใหม่ ทอ่ี าจมหี นา้ ตาและลกั ษณะทแี่ ตกตา่ งจากเดมิ รวมทงั้ อาจมี การผสมผสานลกั ษณะกันมากกว่า ๒ อยา่ งได้อีกดว้ ย ดงั ตัวอย่างตามตารางการ ผสมผสานต่อไปน้ี ประเดน็ คุณลกั ษณะ ขนาด เลก็ กลาง ใหญ่ มหมึ า ฯลฯ รูปรา่ ง รูปทรง สามเหลยี่ ม ส่เี หลย่ี ม วงกลม วงรี ฯลฯ สี ด�ำ แดง เขยี ว เหลอื ง ฯลฯ ลวดลาย ธรรมชาติ การ์ตนู ดอกไม้ ลายเสน้ อิสระ ฯลฯ วสั ดุ ไม้ อะคริลคิ โลหะ แผ่นหนงั ฯลฯ ตารางท่ี ๕ แสดงตวั อย่างการผสมผสานหลายส่งิ ในประเด็นตา่ งๆ จากตารางข้างต้น ผเู้ รยี นสามารถน�ำไปปรบั ใช้ในการคดิ สรา้ งสรรค์หรือ การคิดออกแบบผลงานในรูปแบบใหม่ๆ ได้ โดยก�ำหนดประเด็นออกเป็นหัวข้อ ตา่ ง ๆ จากนนั้ คน้ หาคณุ ลกั ษณะของแตล่ ะประเดน็ ใหไ้ ดม้ ากทส่ี ดุ เนอ่ื งจากจำ� นวน ของคุณลกั ษณะทไ่ี ด้ จะมีผลต่อจำ� นวนรูปแบบใหมด่ ว้ ย จากนั้นทำ� การจบั คู่สลบั กันระหว่างช่องประเด็น และคุณลักษณะ ตัวอย่างเช่น หากต้องการออกแบบ กระเปา๋ สะพายขา้ ง จำ� นวน ๑๐ แบบ อาจกำ� หนดใหแ้ บบที่ ๑ มขี นาดเลก็ รปู ทรง สามเหลยี่ ม สดี ำ� มลี วดลายเปน็ ธรรมชาติ ใชไ้ มเ้ ปน็ วสั ดุ สว่ นหนง่ึ ของกระเปา๋ สว่ น แบบที่ ๒ มีขนาดปานกลาง รูปทรงส่ีเหล่ียม สีขาว เป็นลายการ์ตูน และใช้ อะครลิ คิ รว่ มในชน้ิ งาน ฯลฯ เมอื่ จบั คตู่ ามตารางแบบปกตแิ ลว้ อาจมกี ารจบั คสู่ ลบั กัน เชน่ แบบที่ ๓ มีขนาดเล็ก รปู ทรงสีเ่ หลี่ยม สขี าว ลายการต์ นู หรอื ใช้โลหะ เปน็ สว่ นประกอบ ทำ� แบบนไ้ี ปเรอื่ ยๆ

๑๔๐ การพฒั นาความคิดสรา้ งสรรค์ทางทัศนศลิ ป์ จากรายละเอียดในตารางดงั กล่าว และการจับคู่หรอื จะเรยี กวา่ การจับ แพะชนแกะ ลักษณะน้ีท�ำให้เกิดรูปแบบกระเป๋าสะพายข้างหลากหลายรูปแบบ เมื่อได้ปรมิ าณเพียงพอตอ่ ความต้องการ จึงพจิ ารณาความเป็นไปได้ของการผลติ ว่า แบบใดมีความเหมาะสมและลงตวั มากทสี่ ดุ ในอดตี ทผี่ า่ นมามกี ารใชล้ กั ษณะของเทคนคิ วธิ กี ารนใ้ี นการสรา้ งสรรคผ์ ล งานทางทัศนศิลป์หลายประเภท ที่มีลักษณะตรงกับแนวคิดน้ี เช่น รูปแบบของ สัตว์หิมพานตแ์ ละสตั ว์ผสมตามนยิ ายปรัมปราของหลายชนชาติ ตวั อย่างเช่น รปู สฟริงค์ของชาวอียิปต์ที่ท�ำเป็นรูปประติมากรรมขนาดใหญ่ ต้ังไว้ด้านหน้าของปิ รามิด โดยมีลักษณะล�ำตัวเป็นสิงโต ส่วนหัวเป็นมนุษย์ รูปแบบสัตว์ผสมน้ียังได้ แพรก่ ระจายไปยงั วฒั นธรรมตา่ ง ๆ ดว้ ย คอื มนษุ ยส์ งิ หใ์ นวฒั นธรรมของเมยี นมาร์ ทส่ี ร้างเปน็ รูปสัตวผ์ สม โดยมลี �ำตัวเปน็ สิงห์ ส่วนหวั เป็นมนุษยส์ วมชฎา หรอื สตั ว์ หิมหานตแ์ บบไทย ทม่ี ชี ่อื วา่ นรสิงห์ มี ๒ รูปแบบ คอื แบบที่มใี บหนา้ เปน็ มนุษย์ ล�ำตัวเป็นสิงห์ และอีกแบบหน่ึงมีใบหน้าเป็นสิงห์ แต่มีลักษณะล�ำตัวเป็นมนุษย์ (ส.พลายนอ้ ย, ๒๕๕๕, หนา้ ๒๕๒-๒๕๖) CREATIVE จากลักษณะของสัตว์หิมพานต์และสัตว์ผสมดังท่ีกล่าวมาข้างต้น เป็น ตัวอย่างของการคิดสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ ท่ีเกิดจากกระบวนการผสมผสานส่ิง ต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วเข้ารวมกัน และในบางกรณีอาจมีการสลับสับเปล่ียนให้มี รปู แบบทหี่ ลากหลายขนึ้ ตามกระบวนการคดิ สรา้ งสรรคข์ องแตล่ ะชนชาติ ลกั ษณะ บท เช่นนี้ จงึ สอดคลอ้ งกบั ลกั ษณะของแนวคดิ ไอเดยี เก่า + ไอเดยี เก่า = ไอเดยี ใหม่ ท่ี เทคนิคการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์ด้วยแนวคิด ไอเดีย ๔ เกา่ + ไอเดียเกา่ = ไอเดยี ใหม่ มขี ้อดแี ละข้อจำ� กัด ดงั น้ี ข้อดีของเทคนิคน้ี คือ ผู้เรียนมีแบบอย่างในการคิดสร้างสรรค์ที่ชัดเจน ไม่ต้องคิดจากความว่างเปล่า รวมท้ังผู้เรียนจะเกิดทัศนคติที่ดีว่า ความคิด สรา้ งสรรคม์ ใิ ชส่ งิ่ อลงั การหรอื ตอ้ งเปน็ สงิ่ ทสี่ ามารถเปลย่ี นแปลงโลกไดเ้ พยี งอยา่ ง เดียว ซึ่งจะส่งผลให้ผู้เรียนเกิดก�ำลังใจต่อการคิดสร้างสรรค์ และอาจเป็นแรง บันดาลใจให้สามารถคิดสรา้ งสรรค์สิ่งอืน่ ๆ ต่อไปได้

๑๔๑ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค์ทางทัศนศลิ ป์ สว่ นขอ้ จำ� กดั ของเทคนคิ น้ี คอื ผสู้ อนควรกำ� หนดเปา้ หมายของผลงานให้ ชดั เจน มิเชน่ นัน้ ผูเ้ รียนอาจคลุมเครือในค�ำส่งั และไมส่ ามารถตกผลกึ ทางความ คดิ ได้ รวมทง้ั ผสู้ อนควรมขี อ้ มลู ทเ่ี กยี่ วขอ้ งกบั หวั เรอื่ งมากเพยี งพอ ทงั้ รปู ภาพและ รายละเอยี ด เพ่ือให้ผ้เู รยี นสามารถพิจารณาคดั เลือกลกั ษณะเด่นของแนวคิดเกา่ ๒ แนวคิดได้ อีกประการหนึ่งซ่ึงอาจเกดิ ข้ึนได้ คอื ระดับความคดิ สรา้ งสรรค์ของ ผู้เรียนบางคน อาจไม่ประสบผลส�ำเร็จเท่าที่ควร กล่าวคือ การใช้แนวคิดเก่ามา เป็นตัวอย่างให้ผู้เรียนได้ศึกษา และคัดเลือกผสมผสานลักษณะ อาจไม่ได้ผล เนอ่ื งจากผเู้ รยี นบางคนจะคดั ลอกรปู แบบของแนวคดิ เกา่ ทง้ั หมด โดยไมม่ กี ารปรบั ประยกุ ตใ์ ช้ ซงึ่ มวี ธิ กี ารแกไ้ ขปญั หานี้ คอื ผสู้ อนควรกำ� หนดหลกั เกณฑก์ ารประเมนิ ผลงานใหช้ ดั เจน เชน่ ผลงานการสรา้ งสรรค์ ควรแสดงออกถงึ ลกั ษณะเดน่ ของทงั้ สองแนวคดิ เปน็ ตน้ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ป์ โดยใชแ้ บบตรวจสอบของออสบอร์น (Osborn’s Checklist) แผน่ ตรวจสอบของออสบอรน์ (Osborn’s Checklist) เปน็ แนวทางหนงึ่ ทส่ี ามารถชว่ ยกระตนุ้ การคดิ สรา้ งสรรคอ์ ยา่ งไดผ้ ลดเี ยยี่ ม โดยผทู้ ค่ี ดิ คน้ เทคนคิ วธิ ี การนี้ คอื อเลก็ ซานเดอร์ ออสบอรน์ (Alexander Osborn) เพ่อื ใช้ส�ำหรับการ คดิ หาแนวทางใหมๆ่ ในการปรบั ปรงุ รปู แบบของผลติ ภณั ฑ์เดิมให้แปลกใหม่และ ดขี น้ึ ดงั นั้น จงึ มีความเหมาะสมเปน็ อย่างยงิ่ ตอ่ การนำ� มาปรับใชก้ ับสายงานทาง ทัศนศิลป์โดยเฉพาะกล่มุ งานศลิ ปะการออกแบบ เกรยี งศกั ดิ์ เจรญิ วงศศ์ กั ดิ์ (๒๕๔๕, หนา้ ๑๒๐) ไดน้ ำ� เสนอวธิ กี าร กระตนุ้ ความคดิ สรา้ งสรรคด์ ว้ ยแผน่ ตรวจสอบของออสบอรน์ ไวว้ า่ อเลก็ ซานเดอร์ ออสบอร์น ซึ่งเป็นนักคิดสร้างสรรค์ระดับโลก ได้คิดค้นวิธีการกระตุ้นความคิด สรา้ งสรรคล์ กั ษณะนขี้ นึ้ และไดน้ ำ� เสนอในหนงั สอื จนิ ตนาการประยกุ ต์ (Applied Imagination) โดยเรียกเคร่ืองมือชนิดน้ีว่า แผ่นตรวจสอบของออสบอร์น (Osborn’s Checklist) มีลักษณะเป็นแผ่นที่บรรจุประเด็นค�ำถาม เพื่อกระตุ้น กระบวนการคิดในแง่มุมต่างๆ ซ่ึงประกอบไปด้วยประเด็นค�ำถาม ๙ แนวทาง ดังตอ่ ไปน้ี

๑๔๒ การพัฒนาความคดิ สร้างสรรคท์ างทศั นศิลป์ ๑. Put to other uses ? พิจารณาว่าสามารถน�ำไปปรับใช้กับส่ิงอนื่ ได้ อีกหรอื ไม่ ? ตัวอย่างเช่น สามารถท�ำสิ่งใดได้อีก นอกจาก ...... หากมีการปรับปรุง รูปแบบหรอื หนา้ ท่ีการใช้งาน จะสามารถน�ำไปใช้ในดา้ นอ่นื ได้อกี หรือไม่ ? ๒. adapt ? ดัดแปลงเป็นอย่างอ่ืนไดห้ รือไม่ ? ตัวอย่างเช่น มีอะไรบา้ งท่เี หมือนกับส่งิ นรี้ ปู แบบนี้สามารถนำ� ไปใช้ กับสิง่ อื่นไดห้ รือไม่ ? ซง่ึ แนวทางนม้ี ีความสอดคล้องกับลกั ษณะของความคิด ยืดหยุ่น ซึ่งเป็น ๑ ในองค์ประกอบของความคิดสร้างสรรค์ตามแนวคิด ของทอร์แรนซ์ ๓. Modify ? ปรับเปลย่ี นไดห้ รอื ไม่ ? ตวั อยา่ งเช่น ทดลองเปลี่ยนสี เปลี่ยนขนาด เปล่ยี นลวดลาย เปลี่ยนรูป รา่ ง โดยประเด็นค�ำถามน้ใี กล้เคยี งกบั ลักษณะการพัฒนาความคดิ สร้างสรรคท์ าง ทศั นศิลป์ด้วยแนวคิด ไอเดยี เกา่ + ไอเดียเกา่ = ไอเดียใหม่ ทไ่ี ด้นำ� เสนอมาแล้ว ๔. magnify ? เพม่ิ หรอื ขยายได้หรอื ไม่ ? ตวั อยา่ งเชน่ เพมิ่ ใหม้ ปี รมิ าณมากขนึ้ ไดห้ รอื ไม่ ? ขยายใหม้ คี วามหนามาก ข้ึนได้หรือไม่ ? ๕. minify ? ลดหรือยอ่ ได้หรอื ไม่ ? ตัวอยา่ งเชน่ ตดั ทอนบางส่วนออกได้หรือไม่ ? ลดให้สนั้ ลงได้หรอื ไม่ ? บท ๖. Substitute ? ทดแทนได้หรอื ไม่ ? ที่ ตัวอย่างเช่น ใช้วัสดุบางอย่างมาแทนได้หรือไม่ ? ใช้กระบวนการหรือ ๔ เทคนิควิธกี ารอืน่ มาแทนไดห้ รือไม่ ? ๗. rearrange ? จดั ใหม่ได้หรอื ไม่ ? ตัวอย่างเช่น จัดวางรูปแบบใหม่ได้หรือไม่ ? จัดวางต�ำแหน่งขององค์ ประกอบตา่ ง ๆ ไดห้ รอื ไม่ ?

๑๔๓ การพัฒนาความคดิ สร้างสรรคท์ างทศั นศลิ ป์ ๘. reverse ? สลับไดห้ รอื ไม่ ? ตัวอย่างเชน่ สลบั ตำ� แหน่งกนั ได้หรือไม่ ? ลองกลับด้านไดห้ รือไม่ ? ๙. Combine ? ผสม รวมได้หรอื ไม่ ? ตัวอยา่ งเช่น รวมกบั สง่ิ อน่ื ได้หรือไม่ ? ผสมผสานการใช้งานไดห้ รอื ไม่ ? รวมกับผลติ ภณั ฑอ์ ืน่ ได้หรือไม่ ? ฯลฯ เทคนคิ นจี้ ะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นมหี ลกั การคดิ สรา้ งสรรคม์ ากยงิ่ ขน้ึ และสง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ การพัฒนาความคิดสร้างสรรคไ์ ด้อยา่ งตอ่ เนอ่ื ง โดยวิธีการน้มี ีความเหมาะ สมอย่างมากส�ำหรบั ผ้ผู ลติ สนิ ค้า ผลิตภัณฑ์ นกั พัฒนารูปแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ นกั ออกแบบ นกั โฆษณา รวมไปถึงผปู้ ระกอบการสินค้าพน้ื บา้ นด้วย ซ่ึงผ้เู ขียนเคยมี ประสบการณ์น�ำเทคนิควิธีการนี้ไปปรับใช้กับผู้เรียน ในเน้ือหาการออกแบบ ผลติ ภัณฑ์ โดยอยใู่ นรปู แบบของการวิจยั ในชั้นเรียน ตามรายละเอยี ดตอ่ ไปนี้ CREATIVE ในการจัดการเรียนรู้รายวิชาทัศนศิลป์ ระดับช้ันมัธยมศึกษาปีท่ี ๓ ผเู้ ขยี นในฐานะผสู้ อนไดก้ ำ� หนดเนอื้ หาและกจิ กรรมการเรยี นรู้ โดยใหผ้ เู้ รยี นศกึ ษา เกี่ยวกับการออกแบบและสร้างสรรค์ผลงาน ในหัวข้อ“นาฬิกาต้ังโตะ๊ ” โดยเริม่ ตน้ จากการวเิ คราะหส์ ว่ นประกอบของนาฬกิ าตงั้ โตะ๊ ทมี่ รี ปู แบบแปลกใหมแ่ ตก ตา่ งจากรปู แบบทเ่ี คยพบเหน็ ทวั่ ไป จนผเู้ รยี นเกดิ ความคดิ รวบยอดเกย่ี วกบั หวั ขอ้ น้ี คือ นาฬิกาต้ังโต๊ะ เปน็ ผลติ ภณั ฑ์ที่สามารถบอกเวลาและจดั วางบนพน้ื ระนาบ เม่ือผเู้ รยี นเกิดความเข้าใจในจุดมงุ่ หมายของการสร้างสรรคผ์ ลงาน ผ้สู อนจึงมอบ หมายให้ผู้เรยี นออกแบบนาฬกิ าตัง้ โต๊ะ จำ� นวนคนละ ๑๐ แบบ โดยมีเงือ่ นไขวา่ ตอ้ งมีรปู แบบใหมท่ ี่แตกต่างจากรูปแบบของนาฬกิ าตัง้ โตะ๊ ที่มอี ยตู่ ามแหลง่ ต่างๆ วสั ดทุ น่ี ำ� มาใชต้ อ้ งหาไดท้ วั่ ไป และรปู แบบทคี่ ดิ ออกแบบมานน้ั ตอ้ งมคี วามเปน็ ไปไดใ้ นการผลติ โดยใหร้ ะยะเวลาในการออกแบบ ๒ สปั ดาหร์ วมทงั้ สนิ้ ๔ ชวั่ โมง ในเวลาเรยี น เมอ่ื ครบกำ� หนดเวลา ผเู้ รยี นสว่ นใหญส่ ามารถออกแบบนาฬกิ าตง้ั โตะ๊ ได้ ตามเงอ่ื นไขทก่ี ำ� หนดไว้ แตม่ ผี เู้ รยี นบางสว่ น ซง่ึ มปี รมิ าณไมม่ ากนกั ยงั ไมส่ ามารถ คิดออกแบบได้ครบตามจ�ำนวนท่ีตัง้ ไว้ ผสู้ อนจงึ ขยายเวลาในการออกแบบ

๑๔๔ การพัฒนาความคิดสรา้ งสรรค์ทางทัศนศลิ ป์ เพ่ิมอกี ๒ ชว่ั โมง ผู้เรยี นจำ� นวนนี้ยังไมส่ ามารถคิดตอ่ ได้ตามวตั ถปุ ระสงค์ ผูส้ อนมี การสมั ภาษณเ์ พอ่ื ศกึ ษาความเปน็ ไปไดใ้ นการออกแบบ พบวา่ ผเู้ รยี นจำ� นวนนไี้ มม่ ี ช่องทางความคิดเพ่ิมเติมหรือใหม่กว่าเดิมแล้ว ผู้สอนจึงได้น�ำเทคนิควิธีการ พฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ป์ โดยใชแ้ ผน่ ตรวจสอบของออสบอรน์ (Osborn’s Checklist) มาทดลองใช้กับผู้เรียนกลุ่มน้ีตามรายละเอียดที่เป็น ตัวอยา่ งจากงานวจิ ยั ในชนั้ เรียน ดังนี้ การวิจัยในชั้นเรยี นครงั้ น้ีใชช้ ่ือเร่ืองวา่ การปรับความคดิ สร้างสรรค์ เรอื่ ง การออกแบบนาฬิกาต้ังโต๊ะ โดยประยุกต์จากแผ่นตรวจสอบของออสบอร์น (OSBORN’S CHECKLIST) ผู้สอนท�ำการทดลองท้ังสิ้น ๓ คร้ัง จึงท�ำให้ ผู้เรียนสามารถคิดสร้างสรรค์รูปแบบนาฬิกาต้ังโต๊ะได้อย่างแปลกใหม่ เหมาะสม และลงตวั เปน็ ไปตามเงอ่ื นไขทกี่ ำ� หนดไว้ คอื ตอ้ งเปน็ รปู แบบแปลกใหมท่ ส่ี ามารถ สรา้ งชน้ิ งานไดจ้ รงิ และสามารถสรรหาวสั ดมุ าใชไ้ ด้ การทดลองทงั้ สามครงั้ มรี าย ละเอยี ดดงั ต่อไปน้ี ครงั้ ท่ี ๑ ผู้สอนจัดที่นั่งในช้ันเรียนให้กับกลุ่มเป้าหมายเป็นการเฉพาะ เพ่ือไม่ให้ เพื่อนร่วมช้ันอ่ืนรบกวน จากนั้นผู้สอนให้กลุ่มเป้าหมายรับชมและพิจารณาภาพ นาฬิกาต้ังโต๊ะ ท่ีมีผู้ออกแบบและสร้างเป็นของจริงแล้ว โดยพิจารณาทีละภาพ อยา่ งละเอียด ตงั้ แตร่ ูปทรง สี วัสดุ ขนาด สดั ส่วน ฯลฯ จากนน้ั จึงตง้ั ค�ำถามกบั กล่มุ เป้าหมายวา่ ชอบรูปแบบใดมากทส่ี ดุ เนอื่ งจากรสนิยมความชอบของแตล่ ะ บุคคลแตกต่างกัน หากคนใดช่ืนชอบรูปแบบใด แสดงให้เห็นถึงรสนิยมทางด้าน บท รูปแบบเป็นไปตามนั้น ผู้สอนจะหยุดที่ภาพดังกล่าว แล้วต้ังค�ำถามกับ กลุ่มเป้าหมายว่า จากภาพน้ีหากจะเปล่ียน ปรับ แปลง อย่างใดอย่างหน่ึง จะ ท่ี กระท�ำในจุดใด ผู้เรียนกลุ่มนี้เริ่มคิดและขีดเขียนลงในกระดาษ แต่ผลงานยังไม่ ๔ แตกต่างจากต้นแบบมากนัก ครง้ั ที่ ๒ ผู้สอนตั้งค�ำถามเพ่ิมเติมเพ่ือกระตุ้นความคิดของผู้เรียนให้กว้างขวางยิ่ง ขึน้ คอื หากจะเปลย่ี นรปู ทรงจากต้นแบบ นา่ จะเป็นรูปทรงใดจึงจะแตกตา่ งและ

๑๔๕ การพัฒนาความคดิ สร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์ เหมาะสมลงตวั ครง้ั นผ้ี เู้ รยี นคนหนง่ึ สามารถคดิ ไดแ้ ละออกแบบในกระดาษ มรี ปู แบบท่ีแปลกแตกต่างจากคร้ังแรกจนเป็นท่ีน่าพอใจ แต่ส�ำหรับผู้เรียนอีกจ�ำนวน หนง่ึ แมจ้ ะออกแบบไดจ้ รงิ แตผ่ ลงานยงั ไมล่ งตวั เทา่ ทค่ี วร ผสู้ อนจงึ มอบหมายให้ ผู้เรียนท่ีเข้าใจในเทคนิคนี้ ใช้วิธีการน้ีในการออกแบบผลงานจนครบจ�ำนวนที่ กำ� หนด ครัง้ ที่ ๓ ผสู้ อนเนน้ เฉพาะผเู้ รยี นทย่ี งั ไมเ่ ขา้ ใจ โดยเปลย่ี นใหพ้ จิ ารณารปู แบบใหม่ แลว้ ตงั้ คำ� ถามในลกั ษณะเดยี วกนั แตเ่ ปลยี่ นประเดน็ ใหมไ่ ปเรอื่ ย ๆ จนผเู้ รยี นกลมุ่ นม้ี คี วามคดิ เพมิ่ ขนึ้ สามารถออกแบบไดแ้ ปลกแตกตา่ งจากตน้ แบบมากขนึ้ มคี วาม เหมาะสมลงตวั สามารถสรา้ งสรรคเ์ ปน็ ชนิ้ งานไดจ้ รงิ จงึ แนะนำ� ใหใ้ ชว้ ธิ กี ารนเี้ พอ่ื ออกแบบนาฬิกาต้งั โต๊ะจนครบจำ� นวน โดยมกี ารสงั เกตพฤตกิ รรมการเรียนรโู้ ดย ตลอด จากกระบวนการข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การทดลองด�ำเนินไป ถงึ ๓ ครง้ั ผเู้ รยี นจงึ สามารถคดิ ออกแบบนาฬกิ าตง้ั โตะ๊ ไดต้ รงตามเกณฑท์ ก่ี ำ� หนด ไวโ้ ดยใชข้ อ้ คำ� ถามเปน็ เครอื่ งมอื กระตนุ้ ความคดิ สรา้ งสรรคร์ ว่ มกบั รปู ภาพตน้ แบบ ทีม่ อี ยูเ่ ดมิ ผลท่ีได้รับ คือ ผู้เรียนสามารถใช้ความคิดสรา้ งสรรค์ตามศักยภาพของ ตนได้กว้างขวางข้ึน ผลงานมีความแปลกใหม่ เหมาะสม และลงตัว รวมทั้ง สอดคลอ้ งกบั เกณฑ์การประเมินผลงานทผ่ี สู้ อนก�ำหนดไว้ จากการน�ำเทคนิคการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์โดยใช้แผ่นตรวจสอบ ของออสบอร์น ไปปรับใช้กับรายวิชาทัศนศิลป์ ผู้สอนมีข้อเสนอแนะในการใช้ ประโยชน์ ดังน้ี การน�ำแผ่นตรวจสอบของออสบอร์น (Osborn’s Checklist) ไปปรบั ใช้ ควรพจิ ารณาขอ้ คำ� ถามใหต้ รงตามหวั ขอ้ เรอื่ งหรอื บรบิ ทของเนอ้ื หา วชิ า และหากต้องการน�ำเทคนิควิธีการใช้แผ่นตรวจสอบของออสบอร์น (Osborn’s Checklist) ไปปรบั ใชก้ ับการออกแบบลกั ษณะอืน่ ควรปรับประยุกตข์ อ้ คำ� ถาม ให้สอดคล้องกบั ลักษณะของผลงาน

๑๔๖ การพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์ การพฒั นาความคดิ สร้างสรรค์ทางทศั นศิลป์ โดยใช้บัญชรี ายการ (Catalog) Catalog (แคตตาล็อค) หรือหมายความถงึ บญั ชีรายการ ซงึ่ เป็น ตัวเลือกด้านรูปแบบท่ีมีความหลากหลาย ส�ำหรับการพิจารณา ประกอบการ ตัดสินใจ โดยท่ัวไปนิยมใช้กับวงการพาณิชย์ท่ีผู้ผลิตหรือผู้จัดจ�ำหน่ายสินค้า จะ จัดท�ำบัญชีรายการของสินค้าแต่ละชนิด เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตัดสินใจเลือก สินค้าตามแบบท่ีตนพึงพอใจ มักพบบัญชีรายการ (Catalog) ได้ในหลายวงการ เชน่ วงการยานยนตว์ งการอสังหาริมทรพั ย์ เคร่ืองเรือน ฯลฯ บัญชีรายการสนิ คา้ จะช่วยให้ผู้บริโภค สามารถตัดสินใจเลือกซ้ือสินค้าได้ง่ายขึ้น และมีผลต่อการ กระตนุ้ ความคิดการตัดสนิ ใจ หรือมีขอ้ สรปุ ในการคดั เลือกรูปแบบสนิ คา้ ได้ จากลกั ษณะของบญั ชรี ายการ (Catalog) มขี อ้ ดที ชี่ ว่ ยใหก้ ระบวนการคดิ ถูกกระตุ้นด้วยการใช้รูปแบบที่สวยงามและหลากหลาย ข้อความท่ีเร้าความรู้สึก ใหเ้ กดิ ความสนใจตอ่ สง่ิ ตา่ งๆ โดยภาพประกอบและขอ้ ความแตล่ ะลกั ษณะ มคี วาม เป็นมายาคติทางความคิด ท่ีส่งผลให้ผู้พบเห็นเกิดทัศนคติท่ีดีและพึงพอใจต่อสิ่ง น้ันๆ การใช้บัญชีรายการ จึงเป็นการกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์เพื่อให้ ผเู้ รยี นสามารถเปดิ โลกทศั นห์ รอื มมุ มองไดก้ วา้ งไกลขน้ึ อกี ทงั้ จะเกดิ การประยกุ ต์ ปรับเปล่ียน และดัดแปลงตามความเหมาะสมของแต่ละสถานการณ์ด้วย โดย ผเู้ ขยี นมปี ระสบการณน์ ำ� เทคนคิ วธิ กี ารนมี้ าปรบั ใช้ เพอ่ื กระตนุ้ ความคดิ สรา้ งสรรค์ ของผู้เรียน ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีท่ี ๒ ที่ก�ำลังปฏิบัติงานสร้างสรรค์ผลงาน ทศั นศลิ ปใ์ นหวั ขอ้ เสน้ สี สรา้ งสรรค์ โดยมแี นวคดิ ทตี่ อ้ งการใหผ้ เู้ รยี นใชท้ ศั นธาตุ บท เพยี ง ๒ ชนดิ ไดแ้ ก่ เสน้ และสี เพอื่ สรา้ งสรรคเ์ ปน็ ผลงานรปู แบบใหมก่ วา่ ทผ่ี เู้ รยี น ที่ เคยปฏบิ ตั มิ ากอ่ น ซง่ึ ตามประสบการณข์ องผเู้ รยี นทผี่ า่ นมา จะคนุ้ เคยกบั การวาด ๔ ภาพหรือสร้างสรรค์ผลงานตามหัวข้อท่ีค่อนข้างเป็นรูปธรรม เช่น มีเนื้อหาเร่ือง ราวท่มี คี วามสัมพันธ์กบั บุคคล สตั ว์ สิ่งของ สภาพแวดล้อม ซงึ่ ส่ิงทไี่ ด้ คอื ผู้เรียน จะทำ� การคดั ลอกรปู แบบจากสงิ่ ตา่ ง ๆ มาใชง้ าน จงึ ทำ� ใหผ้ ลงานศลิ ปะของผเู้ รยี น ได้ผลเพียงการจัดวางองค์ประกอบของแต่ละสิ่งลงบนพื้นท่ีหน้ากระดาษเท่าน้ัน ผ้เู รยี นจงึ ไม่ไดใ้ ช้กระบวนการคิดสรา้ งสรรค์เท่าทีค่ วร อีกทั้งผลงานสว่ นใหญข่ อง ผเู้ รียน จะมีเพยี ง ๒ สว่ น คอื ตัวภาพหลกั และพื้นหลัง

๑๔๗ การพฒั นาความคิดสร้างสรรคท์ างทัศนศิลป์ ส่งผลให้รายละเอียดของผลงานไม่มีคุณภาพมากนัก และท�ำให้ผู้เรียนยึดติดกับ ลักษณะการสร้างสรรค์ดังกล่าว โดยรายละเอยี ดทผ่ี ู้เรยี นมองขา้ มไปนั้น สามารถ พจิ ารณาถงึ ระดบั ความคดิ สรา้ งสรรคข์ องผสู้ รา้ งสรรคผ์ ลงานไดด้ ี เนอ่ื งจากความ เอาใจใสใ่ นรายละเอียดท่ซี ับซอ้ น หรอื คดิ ออกแบบรายละเอียดไดแ้ ปลกแตกต่าง จากบคุ คลอน่ื เป็นตวั บง่ ชี้ถึงความคดิ ละเอยี ดลออ ซงึ่ เปน็ องค์ประกอบหน่ึงของ ความคิดสร้างสรรคต์ ามแนวคิดของทอร์แรนซด์ ้วย การสรา้ งสรรค์ผลงานทศั นศลิ ป์ในหวั ข้อ เสน้ สี สร้างสรรค์ ในระดบั ชั้น มธั ยมศึกษาปที ่ี ๒ เปน็ กระบวนการของทัศนศิลป์ประเภทจิตรกรรม โดยใชส้ นี ำ้� เป็นหลัก เร่ิมต้นจากการร่างแบบเป็นลายเส้นลงบนพ้ืนท่ีกระดาษ ๑๐๐ ปอนด์ ขนาด A๓ เวน้ พน้ื ทก่ี รอบภาพโดยรอบดา้ นละ ๑ เซนตเิ มตร เมอ่ื รา่ งแบบเปน็ ลาย เสน้ แล้ว ท�ำการตกแต่งสสี นั ในแต่ละช่องพื้นทด่ี ้วยเทคนคิ ตา่ งๆ อย่างอสิ ระ CREATIVE จากการท่ผี ู้เรยี นปฏบิ ตั ิงานเป็นเวลา ๒ สปั ดาห์ๆ ละ ๒ ชว่ั โมง ผลท่ไี ด้ คอื ผเู้ รยี นระบายสตี ามแบบทผ่ี เู้ รยี นคนุ้ เคย โดยผสมสเี ดยี วและระบายลงในแตล่ ะ ช่องพ้ืนที่ สง่ ผลตอ่ คณุ ภาพของผลงานท่มี ลี กั ษณะเรียบงา่ ย ไม่สามารถพจิ ารณา ถงึ กระบวนการคดิ สรา้ งสรรคข์ องผเู้ รยี นได้ หากพจิ ารณาผลการเรยี นรดู้ า้ นความ สมบรู ณ์ของผลงาน ถือวา่ ผ่านเกณฑ์ เน่ืองจากผูเ้ รียนระบายสีจนครบทัง้ หมดทุก ชอ่ งพน้ื ท่ี แต่ในมติ ทิ างความคดิ สร้างสรรค์ ผู้เรยี นยงั มไิ ดใ้ ชก้ ารคดิ สร้างสรรคเ์ ลย แมแ้ ตน่ อ้ ย จากปัญหาเกี่ยวกับการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ตามตัวอย่างที่กล่าว มาขา้ งตน้ ผเู้ ขยี นในฐานะผสู้ อนรายวชิ าทศั นศลิ ป์ ระดบั ชนั้ มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๒ โดย รายวชิ าดังกล่าว มงุ่ เนน้ การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ของผเู้ รียนเปน็ หลกั จึงนำ� ประเดน็ ปัญหาดงั กล่าว เข้าสกู่ ระบวนการวิจยั ในชั้นเรยี น โดยน�ำลกั ษณะแนวคิด ของบญั ชรี ายการ (Catalog) มาปรบั ใช้ เพอ่ื กระตนุ้ ความคดิ สรา้ งสรรคข์ องผเู้ รยี น โดยผสู้ อนจดั ทำ� บญั ชรี ายการรปู แบบการลงสใี หเ้ กดิ เปน็ รายละเอยี ดทซ่ี บั ซอ้ นขน้ึ เพอื่ ใหผ้ เู้ รียนน�ำไปปรับใชใ้ นพื้นท่ีว่างของผลงานอยา่ งเหมาะสม

๑๔๘ การพัฒนาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทศั นศิลป์ การใชบ้ ญั ชรี ายการ (Catalog) เพอื่ กระตนุ้ ความคดิ สรา้ งสรรคข์ องผเู้ รยี น ตามรายละเอียดท่ีอธิบายมานั้น สิง่ หนงึ่ ทคี่ วรพิจารณา คือ ทักษะการระบายสีให้ ได้ตามรูปแบบในบัญชีรายการ ซ่ึงผู้สอนควรแนะน�ำและสาธิตวิธีการให้ผู้เรียน เขา้ ใจ และสามารถปฏบิ ตั งิ านได้ เนอื่ งจากบางรปู แบบมขี นั้ ตอนการลงสที ซี่ บั ซอ้ น อกี ทงั้ ความหลากหลายและจำ� นวนของรูปแบบ ควรมีมากเพียงพอที่จะใหผ้ ูเ้ รียน มโี อกาสเลอื กใชต้ ามความเหมาะสมของตน โดยในกรณนี มี้ ตี วั อยา่ งทผ่ี เู้ ขยี นใชเ้ ปน็ บญั ชรี ายการ (Catalog) ท่ีไดท้ ดลองในการวิจยั ในช้นั เรียน หัวขอ้ นีป้ ระกอบดว้ ย รปู แบบการระบายสใี หเ้ กดิ เปน็ รายละเอยี ดทมี่ คี วามซบั ซอ้ นกวา่ การระบายสแี บบ ปกตทิ ี่ผู้เรียนคุ้นเคยดงั ตัวอย่างตามบัญชรี ายการ (Cataloog) ต่อไปนี้ บท ที่ ๔ ภาพที่ ๓๒ รูปแบบการระบายสใี นลักษณะตา่ ง ๆ จากตัวอย่างรูปแบบข้างต้น นอกจากจะเป็นเคร่ืองมือน�ำความคิด สร้างสรรค์ของผู้เรียนแล้ว ยังมีลักษณะเป็นต้นแบบในการระบายตามลักษณะ ต่างๆ ซึ่งมีผลดีต่อทักษะฝีมือที่ผู้เรียนสามารถน�ำไปปรับใช้กับการระบายสีใน ผลงานลกั ษณะอ่ืนๆ ได้

๑๔๙ การพฒั นาความคิดสรา้ งสรรค์ทางทัศนศิลป์ ผลทไี่ ดร้ บั จากการใชบ้ ญั ชรี ายการ (Catalog) จากการวจิ ยั ในชนั้ เรยี นครง้ั นผ้ี เู้ รยี นสามารถพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคข์ องตนไดอ้ ยา่ งเหมาะสมตามศกั ยภาพ ผลงานทเ่ี กดิ ข้ึนจากการใชเ้ ทคนคิ วิธีการนี้ มีคณุ ภาพเปน็ อย่างดีรปู แบบท่ีผ้เู รยี น ใช้เป็นต้นแบบ สามารถกระตุ้นความคิดของผู้เรียนให้คิดต่อยอดได้มากกว่ารูป แบบทป่ี รากฏในบญั ชรี ายการ (Catalog) ดว้ ย แสดงใหเ้ หน็ ถงึ พฒั นาการทางการ คดิ สรา้ งสรรคข์ องผเู้ รยี นไดอ้ ยา่ งชดั เจน ดงั นนั้ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคท์ าง ทัศนศิลป์โดยใช้บัญชีรายการ (Catalog) จึงสามารถน�ำไปปรับใช้ได้กับการ สรา้ งสรรคผ์ ลงานทัศนศิลปล์ ักษณะอนื่ ๆ ด้วย การพฒั นาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทัศนศลิ ป์ โดยการระดมสมองตามแนวคดิ ทฤษฎี (Synectic) ทฤษฎี Synectic เปน็ ทฤษฎีการเรียนรู้ลกั ษณะหนง่ึ ที่มสี ว่ นช่วยพฒั นา และสรา้ งองคค์ วามรหู้ ลายดา้ น มหี ลกั การพนื้ ฐานทว่ี า่ การรวมกลมุ่ กนั ของบคุ คล ทีม่ คี วามแตกต่างกันมากๆ จะช่วยขยายขอบเขตของความรูใ้ ห้กว้างขวางมากขนึ้ ความคดิ แปลกใหม่ แตกตา่ งจากความคดิ ดงั้ เดมิ จะเกดิ ขน้ึ ไดเ้ มอ่ื มกี ารระดมความ คิดจากแตล่ ะฝ่าย ทฤษฎี Synectic เป็นแนวคิดทฤษฎที ่ีศาสตราจารย์วลิ เลยี ม เจ เจ กอรด์ อน (William J.J. Gordon) แห่งมหาวิทยาลัยฮารว์ าร์ด ไดน้ �ำเสนอไวใ้ นหนงั สอื เรือ่ ง “ Synectic : The Development of Creative Capacity ” ในปี ค.ศ. ๑๙๖๑ โดยทฤษฎนี ี้มีแนวความคิดทีส่ �ำคญั คือ ความคดิ สร้างสรรค์จะดเี ลศิ ได้จะต้องขึ้น อยกู่ บั ความหลากหลายของความชำ� นาญความรู้ ความสามารถ ประสบการณท์ แี่ ตก ตา่ งกนั ระหว่างบคุ คล ผลงานทเี่ กดิ ข้นึ จะอยู่บนพน้ื ฐานและวิถีทางเดียวกันในทุก สายงาน การรวมกลุ่มบุคคลที่มีความแตกต่างกันมากๆ จะเน้นลักษณะของภูมิ หลงั สภาพอารมณเ์ ป็นส่ิงส�ำคัญมากกวา่ ระดบั สตปิ ัญญา เพราะเชอื่ ว่ากลไกทาง อารมณ์ จะมปี ฏกิ ริ ยิ าโดยตรงและรวดเรว็ เมอื่ ตอ้ งเผชญิ กบั ปญั หาอยา่ งทนั ทที นั ใด ในประเด็นนี้กอร์ดอนเชื่อว่า ความคิดสร้างสรรค์ในสายงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ศิลปะ วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี รวมทงั้ ความคิดสรา้ งสรรค์ในลักษณะอ่นื จะเกิด

๑๕๐ การพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์ ข้ึนจากวิธีคิดและกลไกทางความคิดอย่างเดียวกัน รวมทั้งกระบวนการคิดของ บุคคลต่อการแก้ปัญหา จะไม่ลดน้อยลงเมื่อแต่ละบุคคลมารวมกลุ่มกันเพื่อคิด สรา้ งสรรค์ และแกไ้ ขปญั หาในระบบกลมุ่ การรวมกลมุ่ จงึ เปน็ เทคนคิ การกระตนุ้ ให้แต่ละบุคคลได้ใช้ความคิดและแสดงออกทางความรู้สึกได้อย่างเปิดเผย หาก เปน็ กลมุ่ ทม่ี สี มาชกิ มลี กั ษณะแตกตา่ งกนั มาก ยงิ่ มคี วามสามารถในการคดิ ไดอ้ ยา่ ง ถถ่ี ว้ น ดงั นนั้ แตล่ ะบคุ คลในกลมุ่ เดยี วกนั จะสามารถคน้ พบวธิ กี ารทมี่ รี ปู แบบแตก ตา่ งกนั หลายรูปแบบ นอกจากน้ีกอร์ดอน ยังได้เสนอแนวทางการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ตามแนวคิดการรวมกลุ่มกันของบุคคลที่มีลักษณะแตกต่างกัน โดยเรียกว่า ความคิดสร้างสรรคเ์ ชิงปฏิบตั ิ (Operation Creativity) (วนิช สุธารัตน์, ๒๕๔๗, หน้า ๒๖๗) โดยวิธีการน้ีจะมีสมาชิกภายในกลุ่มและผู้ด�ำเนินการ แต่ละบุคคล จะมภี าระหนา้ ทข่ี องตน ได้แก่ ผ้ดู ำ� เนินการ มหี น้าทเ่ี สนอปญั หาทมี่ ีลักษณะเปน็ นามธรรม เพื่อให้สมาชิกภายในกลุ่มสามารถใช้จินตนาการได้อย่างอิสระ เช่น ผู้สอนมอบหมายให้ผู้เรียนออกแบบผลงานประติมากรรมไทย เป็นสัตว์ที่ไม่มีอยู่ จริงในธรรมชาติ โดยใหผ้ ดู้ �ำเนนิ การชแ้ี จงกับสมาชกิ และตั้งคำ� ถามวา่ “สัตวใ์ น อดุ มคติ ควรมลี กั ษณะอยา่ งไร” สมาชิกท่ีมีลักษณะแตกตา่ งกัน จะเสนอลักษณะ ของสตั วใ์ นอุดมคติ คนละ ๑ คณุ ลักษณะ พรอ้ มให้เหตผุ ลประกอบ ตวั อย่าง ตาม แผนภาพต่อไปน้ี บท คนท่ี ๑ คนท่ี ๒ ใบหนา้ เปน็ สิงห์ มหี ูขนาดใหญ่ เพราะตอ้ งการให้ ใหย้ ินเสียงจาก นา่ เกรงขาม ระยะไกล ท่ี ผดู้ ำ� เนินการ ๔ คนที่ ๓ สัตว์ในอุดมคติ คนท่ี ๕ มีตารอบตัว ควรมีลกั ษณะ ไมม่ ีปาก ใหม้ องเห็นได้ ไมจ่ �ำเป็นต้องกิน โดยรอบ อย่างไร ? อาหาร คนที่ ๔ มีปกี ใหบ้ ินได้ ภาพที่ ๓๓ แสดงการระดมความคดิ