Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป

การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป

Description: การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป

Keywords: ทัศนศิลป,ความคิดสร้างสรรค์

Search

Read the Text Version

๕๑ การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรค์ทางทศั นศิลป์ จากผลการศึกษาระบบประสาทของบุคคลที่มีช่ือเสียง และมีความคิด สร้างสรรค์มากๆ จะพบว่า บุคคลกลุ่มน้ีจะมีระบบประสาทต่างจากบุคคลท่ัวไป ใน ๓ ประเด็น คือ ๑. มคี วามรเู้ ฉพาะทางในระดบั ที่สงู มาก ๒. การทำ� งานของ สมองส่วนหน้าจะต่ืนตัวมาก ส่งผลต่อการคิดหลากหลายทิศทางและและ ๓. มี ความสามารถปรับเปลี่ยนคลื่นสมองส่วนหน้าได้รวดเร็วกว่าคนทั่วไป (อุษณีย์ อนรุ ุทธว์ งศ์, มปป., หน้า ๑๕๖)

๕๒ การพฒั นาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทัศนศิลป์ จากรายละเอียดเก่ียวกับแนวคิด ทฤษฎีของความคิดสร้างสรรค์แต่ละ กลมุ่ มคี วามสอดคลอ้ งสัมพันธ์และมบี างประเดน็ ที่แตกต่างกนั ความคดิ เห็นและ ความเชื่อท่ีต่างกันน้ัน แสดงให้เห็นถึงการคิดสร้างสรรค์ของนักคิด นักจิตวิทยา ตามความรู้และประสบการณ์ของตน ทัง้ น้กี ารน�ำแนวคดิ ทฤษฎตี า่ งๆ ไปปรับใช้ ให้เหมาะสมกับแต่ละบุคคล คงต้องพิจารณาปัจจัยหลายด้านร่วมด้วย เช่น วัย เพศ พนื้ ฐานทกั ษะ ความรเู้ ฉพาะดา้ น รวมไปถงึ เนอื้ หาสาระหรอื สถานการณท์ ใี่ ช้ เปน็ เคร่ืองมอื ในการพัฒนาและสง่ เสริมความคิดสร้างสรรค์ใหก้ ับแตล่ ะบุคคล บท ท่ี ลกั ษณะของผ้ทู ี่มีความคิดสร้างสรรค์ ๑ บคุ คลผมู้ คี วามคดิ สรา้ งสรรค์ จะมลี กั ษณะบางประการทแ่ี ตกตา่ งจากคน ทว่ั ไป ซง่ึ เปน็ ผลมาจากวธิ คี ดิ ทไ่ี มเ่ หมอื นคนอน่ื และมกั แสดงพฤตกิ รรมทสี่ ามารถ เหน็ ได้ บางครงั้ ผทู้ มี่ คี วามคดิ สรา้ งสรรคเ์ หลา่ นี้ อาจถกู มองวา่ ไมป่ กตเิ นอื่ งมาจาก คนท่ัวไปมีปริมาณมากกว่า เมอื่ พบบคุ คลที่มีความคิดสร้างสรรค์แสดงพฤติกรรม บุคลิกภาพ หรือความคิดเห็นท่ีต่างไปจากสามัญธรรมดา ย่อมถูกมองว่าผิดปกติ แต่ความจริงหากพิจารณาอย่างลึกซ้ึงและเป็นกลาง จะพบว่า แต่ละบุคคลไม่ เหมอื นกนั แมแ้ ตน่ ้อย กระทัง่ ฝาแฝดทมี่ ีความเหมอื นกันในหน้าตาและการเลี้ยงดู อาจมีความคิดและวิธีการใช้ชีวิตที่ต่างกันไป ซึ่งเป็นผลมาจากวิธีคิดของแต่ละ บุคคล สำ� หรบั หวั ขอ้ นผ้ี เู้ ขยี นไดร้ วบรวมคำ� อธบิ ายทเ่ี กย่ี วกบั บคุ ลกิ ลกั ษณะของ ผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ โดยพิจารณาจากนักคิด นักจิตวิทยาที่มีช่ือเสียงหลาย ท่าน และวเิ คราะห์จดั กลมุ่ คุณลกั ษณะในรูปตาราง เพอื่ ใหเ้ ห็นข้อมูลทชี่ ดั เจนขึน้ ทั้งน้ีเพ่ือความเข้าใจในพฤติกรรมของผู้มีความคิดสร้างสรรค์ ส่งผลให้เกิดการ ยอมรับในความแตกต่างระหว่างบุคคล อีกทั้งยังเป็นข้อมูลพื้นฐานเพ่ือส�ำรวจ ตนเองว่า มีคุณลักษณะเช่นน้ีหรือไม่ หากมีผู้ใดที่ตรงกับลักษณะดังกล่าว จัดว่า ทา่ นเปน็ บคุ คลท่ีมีความคิดสร้างสรรคเ์ ชน่ กันดังรายละเอียดตอ่ ไปนี้

ซิกาเซ็นทม์ ีฮาล์ยี ทอรแ์ รนซแ์ ละฮอลล วลิ สนั นอรแ์ มน ผมู้ คี วามคดิ สรา้ งสรรคม์ ีคณุ ลกั ษณะ คอื ผู้มีความคดิ สรา้ งสรรคม์ ีคุณลักษณะ คอื ผมู้ ีความคิดสรา้ งสรรคม์ ีคณุ ลกั ษณะ คือ ผู้มีความคดิ สร้างสรรค์มีคุณลกั ษณะ คอื การพัฒนาความคิดสรา้ งสรรค์ทางทัศนศลิ ป์ ๑. เตม็ ไปด้วยพลังทางรา่ งกาย แต่อาจเก็บ ๑. มพี ละก�ำลังท่จี ะท�ำงาน ๑. กระหายใครร่ ้อู ย่างชดั เจน ๑. ชอบวิเคราะหว์ พิ ากษว์ ิจารณ์ ตัวและสงบนงิ่ ๒. สามารถดึงส่งิ ท่ีอย่ใู นจิตออกมาเป็น ๒. ตั้งค�ำถามกบั ทุกสิ่ง ๒. น�ำทฤษฎสี กู่ ารปฏบิ ัติไดด้ ี ๒. ฉลาด บางคร้ังใสซ่ือ ความคดิ ๓. สนใจหลายศาสตร์ ๓. คิดทุกเร่ืองตลอดเวลา ๓. ขี้เล่น แต่มวี นิ ยั ๓. อดทนต่อความคดิ ของผอู้ นื่ ว่าตนผิด ๔. สะสมของแปลก ๆ ๔. มคี วามสามารถในการทดลอง ๔. จนิ ตนาการดีแต่ไมเ่ พอ้ ฝนั ปกติ ๕. แก้ปญั หาแบบไม่ธรรมดา ทดสอบ ๕. บางครง้ั เก็บตัว แตบ่ างคร้งั ชอบ ๔. ออ่ นไหวกวา่ คนท่วั ไป ๖. ดอื้ ร้นั ยืนยนั ความคดิ ตนไม่ฟังใคร ๕. ชอบแลกเปลยี่ นความคดิ สมาคม ๕. มีจนิ ตนาการ ความ ๗. กลา้ เส่ียงชอบผจญภยั ชอบความทา้ ทาย ๖. ชอบหาความรู้ใหมๆ่ ๖. ถ่อมตนและภูมใิ จในตนเอง ใฝฝ่ ัน คิดใหญ่ ไม่คดิ เล็ก ๘. ข้ีเล่น มีอารมณ์ขัน ๗. ชอบรู้ตา่ งสาขา ๗. ฉีกกรอบการกระทำ� เดิม ๆ ๖. กระตอื รือรน้ ตัดสินใจเรว็ ๙. แปลกประหลาด ไมม่ ีเหตผุ ลส�ำหรบั ผู้อ่นื ๘. ชอบใหค้ วามเหน็ เรื่องตา่ ง ๆ แหวกม่านประเพณี หนุ หันพลนั แล่น ๑๐. บางครง้ั ไมม่ ีเหตุผลให้กบั ตนเอง ๙. มองเห็นและชอบแก้ปัญหา ๘. ด้ือรัน้ ไม่ค่อยฟังใครชอบอิสระ ๗. ชอบทดสอบสง่ิ ต่าง ๆ จากประสาท ๑๑. มพี ฤติกรรมตรงขา้ มกับเพศของตน ๑๐. เปดิ กว้างกับความเป็นไปได้ ๙. รักและดื่มด�ำ่ กับงานท่ีทำ� สัมผัส เช่น ชิม ดม สมั ผัส ๑๒. มสี ุนทรีภาพ ๑๑. ชอบคน้ หานวตั กรรม ๑๐.อดทนตอ่ ความล�ำบาก เมอ่ื เห็นผล ๑๓. ไม่คลอ้ ยตามผูอ้ ื่น ๑๒. มศี รัทธาต่องานที่ท�ำ งานปรากฏจะมีความสุข ๑๔. ไมก่ ลวั ท่จี ะแตกตา่ ง ๑๓. ใชป้ ระสบการณ์เชื่อมโยงกับสงิ่ ท่ีคดิ ๑๕. ชอบวิเคราะหเ์ ชิงโครงสรา้ ง ๑๔. กลา้ เส่ยี ง ๕๓ ๑๕. รู้จักตนเองดี ตารางท่ี ๒ ลกั ษณะของผมู้ คี วามคิดสร้างสรรคจ์ ากนกั วชิ าการต่างชาติ (ปรบั ปรงุ จาก อษุ ณยี ์ อนรุ ทุ ธ์วงศ์ (มปป., หนา้ ๑๕๙-๑๖๔))

๕๔ การพฒั นาความคิดสรา้ งสรรค์ทางทศั นศิลป์ จากรายละเอยี ดในตารางขา้ งตน้ เปน็ เพยี งตารางรปู แบบขอ้ สรปุ เกย่ี วกบั บคุ ลกิ ลกั ษณะของผทู้ ม่ี คี วามคดิ สรา้ งสรรค์ จากนกั คดิ นกั จติ วทิ ยาบางทา่ นเทา่ นน้ั จะเหน็ ไดว้ า่ บางลกั ษณะมคี วามเหน็ ทส่ี อดคลอ้ งกนั บางทา่ นมคี วามเหน็ ทตี่ า่ งกนั ไป ทง้ั นข้ี น้ึ อยกู่ บั ประสบการณข์ องแตล่ ะทา่ น รวมทง้ั มติ ดิ า้ นเวลา ซงึ่ มผี ลตอ่ ความ เปลี่ยนแปลงทางสังคมด้วย จากข้อมูลดังกล่าว ผู้เขียนได้สรุปความเกี่ยวกับ ลักษณะของผู้มคี วามคิดสร้างสรรค์เป็นประเด็นตา่ งๆ ดังตอ่ ไปน้ี บท ๑. เปน็ บคุ คลทมี่ พี ลงั ทางดา้ นรา่ งกายและจติ ใจสำ� หรบั การสรา้ งสรรคส์ ง่ิ ที่ ตา่ ง ๆ และมคี วามสุขอยู่กับส่งิ ทท่ี �ำ ๒. เปน็ บุคคลทม่ี ีความสนใจใครร่ ู้ กระตือรือร้นท่จี ะเรยี นรใู้ นหลาย ๑ ศาสตรแ์ ละชอบแลกเปลีย่ นความร้ใู นสงิ่ ใหม่ๆ ๓. เป็นบุคคลทีม่ คี วามอดทนต่อความยากล�ำบาก และสามารถรอคอย เวลาเพือ่ ชื่นชมความส�ำเรจ็ แม้จะตอ้ งใชร้ ะยะเวลายาวนาน ๔. เป็นบคุ คลทม่ี ีความคดิ เชิงบวก มองโลกในแง่ดี มีอารมณข์ นั ๕. เป็นบุคคลท่ีมีจิตใจที่กล้าหาญ กล้าเส่ียงที่จะทดลอง และเผชิญกับ ปญั หาอุปสรรค ๖. เป็นบคุ คลทใี่ ช้ความคดิ ตลอดเวลา และยนื ยันความคดิ ของตน มักไม่ คลอ้ ยตามความคดิ ใคร คดิ ใหญ่ ไม่คิดเล็ก และไมก่ ลัวท่จี ะแตกตา่ งทางความคิด ๗. เป็นบคุ คลทมี่ ีสุนทรยี ภาพ จินตนาการ และเชอ่ื มัน่ ตอ่ ความรู้สึกของ ตนเอง รายละเอยี ดทงั้ หมดทเ่ี สนอมานน้ั เปน็ องคค์ วามรู้ หลกั การเกยี่ วกบั ความ คิดสร้างสรรค์ในหลายมิติ ซ่ึงสามารถน�ำไปใช้ได้ในหลายสาขาวิชา ทั้งความคิด สรา้ งสรรคท์ างวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี ความคดิ สรา้ งสรรคท์ างคณติ ศาสตร์ หรอื แมก้ ระทงั่ ความคดิ สรา้ งสรรคท์ างภาษา แตใ่ นหนงั สอื เลม่ นเ้ี นน้ ความคดิ สรา้ งสรรค์ ทางทัศนศิลป์ แต่ก่อนท่ีจะเกิดความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ มีความจ�ำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการ ทฤษฎี หรือหลักปฏิบัติทางทัศนศิลป์ เพื่อเป็นแนวทางพ้ืนฐานในการพัฒนาต่อยอด ผลงานแต่ละประเภท โดยหลักการต่างๆ ท่มี คี วามจ�ำเปน็ ประกอบดว้ ย ความรู้ เกย่ี วกบั ทศั นธาตุ หลักการออกแบบ ทฤษฎสี ี ซ่ึงจะนำ� เสนอในบทตอ่ ไป

การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทัศนศิลป์ ความคดิ สร้างสรรค์ กับทศั นศิลป์

๕๖ การพัฒนาความคิดสร้างสรรคท์ างทศั นศิลป์ ความคิดสรา้ งสรรค์กบั ทศั นศลิ ป์ ภาพรวมเกีย่ วกับทศั นศิลป์ ทัศนศลิ ป์ แบ่งออกได้ ๒ คำ� คอื ทศั นะ และ ศิลป์ จากรายละเอียดใน พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน ให้ความหมายของค�ำวา่ ทศั นะ ไว้ว่า การ มองเห็น ส่วนค�ำว่า ศิลป์ หมายถึง ฝีมือทางการช่าง การท�ำให้วิจิตรพิสดาร (ราชบณั ฑติ ยสถาน, ๒๕๕๖, หน้า ๑๑๔๔) บท หากรวมกันท้ังสองค�ำ คอื ทศั นศิลป์ จงึ มคี วามหมายถึง ผลงานทีม่ นษุ ย์ ท่ี สร้างสรรค์ขึ้นและรับรู้ความงามต่างๆ ด้วยการมอง เป็นค�ำที่ช้ีเฉพาะเจาะจงถึง ๒ ลกั ษณะของผลงานศลิ ปะ เนอื่ งจากศลิ ปะแบง่ ประเภทออกหลายอยา่ ง แตล่ ะอยา่ ง สามารถรบั รคู้ วามงดงาม ความไพเราะ หรอื สนุ ทรยี ะจากประสาทสมั ผสั ทต่ี า่ งกนั ทศั นศลิ ปจ์ งึ เนน้ เฉพาะผลงานศลิ ปะทส่ี ามารถมองเหน็ เนอ้ื หา เรอ่ื งราว ความงาม ความประทบั ใจ โดยใชป้ ระสาททางตา ดงั นน้ั ผทู้ ม่ี คี วามบกพรอ่ งทางการมองเหน็ จึงเสียโอกาสรับรู้ถึงความงามทางทัศนศิลป์ หากแต่สามารถรับรู้ความไพเราะ หรอื ความงามทางเสยี งดนตรไี ด้ แตใ่ นทางกลบั กนั ผทู้ มี่ คี วามบกพรอ่ งทางการ ได้ยิน จะไม่สามารถฟังเสียงดนตรีอันไพเราะ แต่ทดแทนด้วยการมองเห็นความ งามหรอื เนอ้ื หาสาระท่ีปรากฏในผลงานทางทศั นศิลป์

๕๗ การพฒั นาความคดิ สร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์ ผลงานทางทศั นศิลปท์ ีม่ นุษย์สร้างสรรค์ขนึ้ ปรากฏหลกั ฐานมายาวนาน แล้วตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์ แม้ในระยะแรกมิได้เน้นด้านความงาม แต่เมื่อ มนุษย์มีพัฒนาการทางความคิด มักปรากฏผลงานท่ีแสดงออกถึงการช่ืนชมใน ความงดงาม ยกตัวอย่างเช่น ภาชนะดินเผาที่ถูกปั้นขึ้นตามแบบต่างๆ ในระยะ แรกเริ่มใช้ส�ำหรับการบรรจุสิ่งของ อาหาร แต่เม่ือมนุษย์สร้างสรรค์จนเกิดเป็น ทกั ษะความชำ� นาญในระดบั หนงึ่ จงึ กลายเปน็ ภาชนะทม่ี รี ปู ทรงสวยงามขนึ้ พรอ้ ม ทงั้ ตกแตง่ พนื้ ผวิ ภายนอกดว้ ยสที ไ่ี ดจ้ ากธรรมชาติ เปน็ ลายเสน้ ขดวนไปมาโดยรอบ ของภาชนะ ลกั ษณะเชน่ นปี้ จั จบุ นั ยงั พบหลกั ฐานเปน็ เครอื่ งดนิ เผาทม่ี ชี อื่ เสยี งและ รจู้ กั กนั อยา่ งแพรห่ ลาย คอื เครอื่ งดนิ เผาบา้ นเชยี ง โดยกำ� หนดชอื่ เรยี กตามแหลง่ ท่ีพบศิลปวัตถุเหล่านี้ ซึ่งมีอายุอยู่ในสมัยก่อนประวัติศาสตร์หรือเม่ือ ๒,๕๐๐– ๓,๐๐๐ ปีท่ีผ่านมา ภาพท่ี ๓ เคร่ืองปัน้ ดินเผาในวัฒนธรรมบ้านเชยี ง ก�ำหนดอายอุ ยใู่ นสมัยก่อนประวัติศาสตร์

๕๘ การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทัศนศลิ ป์ เมอ่ื มนษุ ยเ์ กดิ การรบั ประสบการณจ์ ากรนุ่ กอ่ น จนมพี ฒั นาการทางความ คดิ เกดิ ความชำ� นาญเกยี่ วกบั การใชว้ ตั ถดุ บิ ทห่ี ลากหลายขนึ้ วสั ดปุ ระเภทดนิ อาจ มีอายุที่จ�ำกัดหรือแตกหักง่าย จึงทดลองน�ำวัสดุที่แข็งแรงทนทานกว่ามาปรับใช้ เช่น โลหะ จงึ เกิดเปน็ ภาชนะโลหะหรอื แม้แตเ่ ครอ่ื งมือเครือ่ งใช้หลายประเภทที่ ผา่ นกระบวนการหลอมหล่อโลหะ จากวิวัฒนาการน้ี แสดงใหเ้ หน็ ถงึ องค์ความรู้ ของมนษุ ยโ์ บราณทถ่ี กู ถา่ ยทอดสบื ตอ่ กนั มาจากรนุ่ สรู่ นุ่ และรนุ่ ใหมจ่ ะมพี ฒั นาการ ทที่ นั สมัยกวา่ ในอดีต อาจกลา่ วได้วา่ มนษุ ยร์ ุ่นก่อนหนา้ ไดค้ ิดคน้ ส่งั สมสิง่ ต่างๆ ไว้เป็นพื้นฐานทางความรู้ให้กับชนรุ่นหลังได้ปรับใช้ ต่อยอด และพัฒนาสู่ความ เจริญในหลายดา้ น จากยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ได้ด�ำเนินเข้าสู่ยุคประวัติศาสตร์ บท เนอ่ื งจากมกี ารคดิ คน้ และใชต้ วั อกั ษรเปน็ เครอ่ื งมอื การสอื่ สาร เพอ่ื ตดิ ตอ่ และแลก ท่ี เปล่ียนกันทางวัฒนธรรม ความเจริญก้าวหน้าทางความคิดย่ิงเกิดขึ้นมากและ รวดเร็วกว่าในอดีต การสร้างสรรค์ผลงานทางทัศนศิลป์แต่ละประเภท ทั้ง ๒ สถาปตั ยกรรม ประตมิ ากรรม จติ รกรรม หรอื แมแ้ ตศ่ ลิ ปหตั ถกรรมกต็ าม ถกู คดิ คน้ ขึ้นจากจินตนาการ และกลายเป็นผลผลิตทางความคิดสร้างสรรค์ ในปัจจุบันได้ เกิดผลงานทัศนศิลป์ท่ีหลากหลายกว่าในอดีตอย่างมากมาย เช่น การออกแบบ อาคารรูปทรงแปลกใหม่ ส่ิงใหม่ที่เกิดข้ึนคงไม่ได้มีคุณประโยชน์เพื่อการใช้สอย ดา้ นอยอู่ าศยั เพียงเท่าน้ัน แต่รปู แบบที่ต่างจากอดีต กลายเป็นคุณลกั ษณะพเิ ศษ ที่ต้องการแสดงออกถึงความคิดเชิงสร้างสรรค์ของผู้ออกแบบ จนท�ำให้เจ้าของ ความคดิ นัน้ มชี ่อื เสยี งและเป็นท่ยี อมรบั ในวงการสถาปัตยกรรม

๕๙ การพัฒนาความคิดสร้างสรรคท์ างทัศนศลิ ป์ ความส�ำคญั ของผลิตผลทางปญั ญาทางดา้ นทศั นศลิ ป ์ จากอดีตจนถึง ปจั จบุ นั มพี ฒั นาการไปหลายมติ ิ ซง่ึ แตเ่ ดมิ สรา้ งสรรคข์ นึ้ เพอื่ การดำ� รงอยใู่ นชวี ติ ประจ�ำวนั เปน็ หลัก ต่อมาเมอ่ื มคี ุณภาพชวี ติ ทดี่ ีขึ้น รู้สกึ ถงึ ความอยูร่ อดปลอดภยั ทางกายภาพ ความรู้สึกดา้ นสุนทรียะ คือ ความต้องการส่งิ สวยงามจงึ เกดิ ข้ึนตาม มา ผลงานทางทัศนศลิ ปจ์ ึงมบี ทบาทอย่างเต็มท่ตี ามความต้องการดา้ นความงาม และไม่เพียงเท่าน้ี ผลงานทางทัศนศิลป์ในระยะเวลาต่อมาได้ท�ำหน้าท่ีเป็น สญั ลกั ษณข์ องอาณาจกั ร หรอื กลมุ่ ชนดว้ ย ดงั ตวั อยา่ งเชน่ สมยั สโุ ขทยั เปน็ ราชธานี มีความนิยมสร้างพระพุทธรูปปางลีลา และถูกยกย่องว่าไม่มีสมัยใดจะสร้าง พระพุทธรูปลักษณะนี้ได้งดงามเท่า หรือส่ิงก่อสร้างที่แสดงสัญลักษณ์ของชาติ หลายแหง่ เชน่ หอไอเฟลในกรงุ ปารสี ประเทศฝรงั่ เศส รปู เทพเี สรภี าพในนวิ ยอรค์ ประเทศสหรฐั อเมรกิ า ประตมิ ากรรมรปู สงิ โตทะเลพน่ นำ�้ เอกลกั ษณข์ องประเทศ สิงคโปร์ เป็นตน้ จากตัวอย่างทีก่ ล่าวมาเหล่านี้ แสดงใหเ้ หน็ ได้อยา่ งชดั เจนเก่ียว กบั ความสำ� คญั ของผลงานทศั นศิลปท์ ีแ่ สดงออกถึงเอกลกั ษณป์ ระจำ� ถน่ิ

๖๐ การพัฒนาความคิดสร้างสรรคท์ างทศั นศลิ ป์ นอกจากนี้ผลงานทางด้านทัศนศิลป์ ยังสะท้อนถึงระบบแนวความคิด และกระบวนการสร้างสรรค์ของผู้สร้างด้วย กล่าวคือ การคิดค้นรูปแบบทาง กายภาพทร่ี บั รคู้ วามงามดว้ ยการมอง การคดั เลอื กและสรรหาวสั ดใุ หเ้ หมาะสมกบั การสรา้ งงานแตล่ ะลกั ษณะ หรอื แมแ้ ตก่ ารคดิ คน้ ลองผดิ ลองถกู เพอื่ ใหไ้ ดเ้ ทคนคิ วธิ กี ารทห่ี ลากหลาย ฯลฯ เหลา่ นเ้ี ปน็ เครอื่ งยนื ยนั ศกั ยภาพทางการคดิ ของมนษุ ย์ ได้ชัดเจนมาก และความคิดลักษณะหนึ่งท่ีสัมพันธ์กับผลงานทางทัศนศิลป์ คือ ความคิดสร้างสรรค์ แม้จะปฏิเสธไม่ได้ว่าลักษณะความคิดอ่ืน มีส่วนช่วยให้เกิด ผลงานทสี่ มบรู ณ์ เชน่ การคดิ แกป้ ญั หา เนอื่ งจากการสรา้ งผลงานแตล่ ะชนิ้ ผสู้ รา้ ง อาจลองผดิ ลองถูกและแก้ปัญหาเกี่ยวกับกระบวนการสร้างผลงาน แต่การคิดแก้ ปญั หา กต็ ้องผ่านกระบวนการคดิ ทห่ี ลากหลายแนวทางเพ่ือแกไ้ ขปัญหาต่างๆ ที่ เกดิ ขึ้น ดงั นั้น การคดิ แกป้ ญั หา จึงเปน็ ความคดิ อีกลกั ษณะหนึ่ง ทม่ี ีสว่ นช่วยให้ บท ความคดิ สรา้ งสรรคไ์ ปสเู่ ปา้ หมาย และหากพจิ ารณาอยา่ งถถี่ ว้ นจะพบวา่ สงิ่ ทซ่ี อ่ น ที่ อยใู่ นการคิดแกป้ ญั หา กค็ ือ ศักยภาพของการใช้ความคดิ สร้างสรรค์นน่ั เอง ๒ ดงั น้นั จงึ อาจสรปุ ได้วา่ หนา้ ที่ บทบาท และความส�ำคัญอยา่ งใหมข่ อง ผลงานทางทศั นศิลป์ในยุคปจั จุบันนี้ อาจเป็นตัวชวี้ ัดทส่ี ำ� คัญที่แสดงให้เห็นวา่ ผู้ สรา้ งผลงานทศั นศลิ ป์ ศลิ ปนิ นกั ออกแบบ หรอื ชา่ งฝมี อื มศี กั ยภาพทางสมองและ มรี ะดบั ความคดิ สรา้ งสรรคม์ ากนอ้ ยเพยี งใด เพราะสงิ่ นน้ั จะเปน็ เครอ่ื งรบั รองความ สามารถและทกั ษะฝมี อื ใหเ้ ปน็ ที่ยอมรับในแตล่ ะระดับ

๖๑ การพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศลิ ป์ ความหมายของ สร้างสรรค์ ที่เกย่ี วขอ้ งกบั ทัศนศิลป์ คำ� ว่า สรา้ งสรรค์ มกั นำ� มาใชก้ บั งานทัศนศิลป์ใน ทน่ี อี้ าจมีความหมาย เปน็ ๒ นยั ยะ เพอื่ ใหเ้ ขา้ ใจความหมายของทงั้ สองนยั ยะ จะอธบิ ายและยกตวั อยา่ ง ตามรายละเอยี ดตอ่ ไปนี้ การสร้างสรรคผ์ ลงานทศั นศลิ ป์ ในหวั ขอ้ นมี้ คี ำ� สำ� คญั ๒ คำ� คอื การสรา้ งสรรคแ์ ละทศั นศลิ ป ์ ความหมาย ของสองค�ำนี้ผู้เขียนหมายถึง การสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ท่ีเกิดขึ้นจากการ ประดษิ ฐ์ดว้ ยกระบวนการตา่ งๆ เช่น การวาด ขดี เขยี น การปัน้ กระบวนการหล่อ ฯลฯ เพ่อื ให้เกดิ เปน็ ช้ินงานท่สี ามารถสอื่ ความถงึ เนอื้ หาและความงาม ตามความ หมายนเี้ ปน็ การทำ� ใหเ้ กดิ ผลงานศลิ ปะดว้ ยกรรมวธิ ตี า่ งๆ ดงั นน้ั จงึ อาจแสดงออก ถงึ ความคดิ สร้างสรรค์ไมช่ ัดเจนนกั เน่อื งจากการกระท�ำเพ่อื ใหเ้ กิดชิ้นงานศลิ ปะ บางอย่าง เป็นการคัดลอกตามต้นแบบ เช่น การวาดภาพเหมือน การวาดเส้น ลวดลายตามแบบ การเขียนภาพหุ่นน่ิง เป็นต้น ลักษณะเช่นน้ีอาจไม่ได้ใช้ กระบวนการคิดเชิงสร้างสรรค์เลยก็ได้ การแสดงออกถึงความคิดสร้างสรรค์ใน ลักษณะนี้คงไม่ได้วัดกันที่ความเหมือนแบบ กล่าวคือ ใครสามารถท�ำได้เหมือน แบบมากที่สุด เป็นผู้มีความคิดสร้างสรรค์มากตามไปด้วย แต่ส�ำหรับการคิดค้น ด้านวัสดุหรือเทคนิควิธีการในการปฏิบัติงาน อาจแสดงถึงระดับความคิด สร้างสรรค์ของผูส้ รา้ งงานไดม้ ากกวา่ การเนน้ รูปแบบท่แี ปลกใหมจ่ ากต้นแบบ

๖๒ การพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ทางทศั นศิลป์ ความคิดสร้างสรรค์ทางทศั นศิลป์ ความคิดสร้างสรรค์กับงานทัศนศิลป์ในความหมายที่ ๒ เป็นการใช้ กระบวนการทางความคดิ ผา่ นการจนิ ตนาการ เพ่อื ใหเ้ กดิ เปน็ ผลงานทีม่ ีรูปแบบ วสั ดุ เทคนคิ วธิ กี ารอยา่ งใหมแ่ ตกตา่ งจากสงิ่ เดมิ ทม่ี อี ยู่ ลกั ษณะเชน่ นเ้ี นน้ การทำ� ให้ นามธรรม (ความคิด จินตนาการ) แสดงออกมาเป็นรูปธรรม (ผลงานทัศนศิลป์ แตล่ ะประเภท) ซง่ึ สามารถพจิ ารณาถงึ ระดบั ความคดิ สรา้ งสรรคข์ องผสู้ รา้ งผลงาน ได้ โดยความหมายน้ีไม่เพียงแต่การกระท�ำให้เกิดข้ึนซึ่งผลงานเท่านั้น แต่ยัง ครอบคลมุ ถึงความแปลกใหม่ทางดา้ นรปู แบบ วัสดทุ ดแทนของเดมิ และเทคนิค วิธกี ารแนวใหมด่ ้วย บท ท่ี ๒ จากความหมายตามทอี่ ธบิ ายขา้ งตน้ เปน็ สง่ิ ทที่ ำ� ใหเ้ กดิ ผลงานทศั นศลิ ป์ ทส่ี ะทอ้ นถงึ ศกั ยภาพทางสมองของมนษุ ยโ์ ดยแท้ ซงึ่ มคี ณุ ประโยชนม์ ากกวา่ การกระท�ำให้เกิดผลงานท่ีเน้นความเหมือนจริง สอดคล้องกับแนวคิดของ เกรยี งศักด์ิ เจริญวงศศ์ กั ด์ิ (๒๕๔๙, หน้า ๔) ท่กี ล่าวว่า ความคดิ สรา้ งสรรคค์ ือ การคดิ สรา้ งสรรคส์ ่ิงใหม่ ตรงกับความหมายของคำ� ในภาษาองั กฤษวา่ Creative Thinking โดยเนน้ การสรา้ งสรรคส์ ง่ิ ใหมท่ แ่ี ตกตา่ งจากแบบเดมิ รวมทง้ั เนน้ ความ ส�ำคัญด้านประโยชน์ใช้งานอย่างเหมาะสมเป็นหลัก ทั้งยังขยายความเพ่ิมเติมว่า คำ� ในภาษาไทยทใี่ ชค้ ำ� วา่ ความคดิ สรา้ งสรรค์ มคี วามหมายทก่ี วา้ งขวางและหลาก หลายมาก ท�ำให้เกิดความสับสนและคลุมเครือในการตีความหมายให้เข้าใจตรง กัน โดยจุดมุ่งหมายหลักของหนงั สอื น้ี ตรงกบั ความหมายลกั ษณะน้ที ่ีเน้นการคิด เชิงสร้างสรรค์ให้เกดิ รปู แบบผลงานใหม่ เกิดประโยชนส์ ูงสุด เปน็ ที่ ยอมรบั และ มีความเหมาะสม

๖๓ การพัฒนาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทัศนศิลป์ ลกั ษณะงานทัศนศิลปก์ บั ระดบั การใช้ความคดิ สรา้ งสรรค์ ผลงานทศั นศลิ ป์แตล่ ะประเภท ลว้ นแตแ่ สดงถึงความคดิ สร้างสรรค์ดว้ ย กนั ทงั้ สนิ้ แตค่ วามเขม้ ขน้ หรอื ระดบั การใชค้ วามคดิ สรา้ งสรรคอ์ าจมมี ากนอ้ ยแตก ต่างกันออกไปตามจุดมุ่งหมายของศิลปินหรือผู้สร้างสรรค์ การจ�ำแนกประเภท ของงานทัศนศิลป์ในปัจจุบัน มีขอบเขตที่กว้างขวางมากกว่าอดีต ท่ีมีเพียง สถาปัตยกรรม ประตมิ ากรรม จิตรกรรม เทา่ นนั้ แต่ไดข้ ยายขอบเขตครอบคลมุ ตามบรบิ ทการเปล่ียนแปลงทางสงั คม ดงั น้ัน ผลงานทศั นศิลปใ์ นปัจจบุ ันคงไม่ได้ ก่อตัวอยู่ในกลุ่มศิลปินหรือนักศึกษาศิลปะแต่เพียงเท่าน้ัน หากแต่แทรกซึมสู่วิถี ชีวิตแวดล้อมรอบตัว ดงั เช่น โทรศพั ทเ์ คล่อื นทที่ ี่มีการออกแบบรปู ทรงภายนอก ให้ล�้ำสมัย กระตุ้นความสนใจและบ่งบอกเอกลักษณ์ของผู้ใช้งาน มีความจ�ำเป็น อยา่ งยงิ่ ทผ่ี ผู้ ลติ แตล่ ะคา่ ย ตอ้ งคดิ ออกแบบใหผ้ ลติ ภณั ฑข์ องตนเปน็ ทตี่ อ้ งการและ ตอบสนองรสนิยมของผใู้ ชง้ านแตล่ ะกลุ่ม ส�ำหรับการจ�ำแนกประเภทงานทัศนศิลป์ในหัวข้อนี้ จะแบ่งตาม ลักษณะการใช้ความคิดสร้างสรรค์โดยอธิบายไล่เรียงตามระดับมากน้อยของการ ใช้ความคิดสรา้ งสรรค์ ดังต่อไปนี้ ๑. กลมุ่ งานศิลปะการออกแบบ ศิลปะการออกแบบ เป็นงานทัศนศิลป์ลักษณะหน่ึง ท่ีเน้นความคิด สร้างสรรค์มากทสี่ ุด ตรงกบั ช่อื แขนงงานนวี้ า่ ออกแบบ หมายถึง การคิดคน้ รปู แบบใหม่ ซึ่งต้องใช้จินตนาการและความคิดสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก กลุ่มงาน ศิลปะการออกแบบ แบ่งยอ่ ยได้อีกหลายอย่าง เชน่ ออกแบบผลติ ภณั ฑ์เนน้ การ คิดรูปแบบผลติ ภณั ฑห์ รอื สนิ คา้ ใหม่ ในปจั จุบันการออกแบบผลติ ภณั ฑ์ ยังถกู จดั แบง่ ออกไปอกี หลายสาขาตามลกั ษณะผลงานทไ่ี ด้ เชน่ งานออกแบบเครอ่ื งประดบั งานออกแบบเครอ่ื งแตง่ กาย หรอื บางสถาบนั ใชช้ ื่อวา่ ออกแบบพสั ตราภรณ์ งาน ออกแบบตกแตง่ ภายใน เนน้ การจัดวางผลิตภณั ฑต์ ่างๆ ลงในพ้ืนท่ี งานออกแบบ ศิลปะอุตสาหกรรม เป็นการออกแบบท่ีเน้นการผลิตท่ีมีจ�ำนวนมากด้วย กระบวนการทางอตุ สาหกรรม งานออกแบบบรรจภุ ณั ฑท์ เ่ี นน้ การออกแบบหบี หอ่

๖๔ การพัฒนาความคิดสรา้ งสรรค์ทางทัศนศิลป์ ของผลิตภัณฑ์แต่ละรูปแบบ เป็นต้นลักษณะงานออกแบบที่กล่าวมาข้างต้นเป็น เพียงตัวอย่างท่ีได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในปัจจุบันโดยการผลักดันส่งเสริม และพฒั นานวตั กรรม ตามนโยบายประเทศไทย ๔.๐ ของรฐั บาล จะสงั เกตเหน็ วา่ ลักษณะงานศิลปะการออกแบบทุกแขนงนั้น ล้วนมุ่งเป้าในเชิงพาณิชย์เป็นหลัก ดงั นน้ั ผลงานการออกแบบจงึ มฐี านะเปน็ สนิ คา้ ทต่ี อ้ งจดั จำ� หนา่ ยไดเ้ พอ่ื ตอบสนอง ความตอ้ งการของผ้บู ริโภคแต่ละกลุ่ม บท ท่ี ๒ ภาพที่ ๔ ผลงานออกแบบของ : นางสาวดาราวรรณ ศรตี ะปันย์ ๒. กลุม่ งานวจิ ติ รศลิ ป์ งานศิลปะที่ก�ำหนดชื่อเรียกว่า วิจิตรศิลป์หรือบางท่านเรียกว่า ศิลปะ บริสทุ ธิน์ ั้น เปน็ ลักษณะผลงานทศั นศลิ ป์ทม่ี ีมานานแล้ว และเกยี่ วขอ้ งกบั ศลิ ปนิ โดยตรง ซึ่งในระยะแรกๆ ผลงานทัศนศิลป์ลักษณะนี้ประกอบด้วย จิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ ต่อมามีการสร้างสรรค์งานส่ือผสม ประยุกต์ศิลป์เพ่ิม เติมข้ึนอีก โดยส่วนใหญ่ศิลปินท่ีสร้างสรรค์ผลงานลักษณะน้ี มักจะเน้นการ แสดงออกทางความคดิ ของตนทม่ี ตี อ่ สง่ิ ตา่ ง ๆ ทเี่ กดิ ขน้ึ ในขณะนน้ั เพอ่ื ตอบสนอง อารมณ ์ ความร้สู กึ ความคดิ เห็น และทศั นคติของศิลปินเป็นหลกั จงึ กลา่ วได้ว่า ผลงานทัศนศิลป์ลักษณะนี้มีความเป็นตัวตนหรือแสดงถึงจิตวิญญาณของผู้สร้าง งาน ซึ่งต่างจากงานศิลปะการออกแบบที่เน้นความต้องการของผู้คนรอบข้าง มากกวา่

๖๕ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทัศนศลิ ป์ ภาพที่ ๕ ผลงานวิจิตรศิลป์ของ : กฤษณะ ชวนคณุ ากร ลกั ษณะงานวจิ ติ รศลิ ปใ์ นระดบั นี้ ทไี่ มน่ บั รวมงานประเภทภาพเหมอื นใน ลักษณะต่างๆ ศิลปินจะใช้ความคิดของตนแสดงออกมาในรูปผลงานที่แตกต่าง จากบุคคลอืน่ เป็นการนำ� เสนอตัวตนผา่ นผลงานทศั นศลิ ป์ ดงั นนั้ รูปแบบของผล งานจะไม่เหมือนหรือลอกเลียนแบบใคร เพราะหากมีการลอกเลียนแบบผลงาน ความเป็นตัวตนของศิลปินจะหมดไป และไม่มีเอกลกั ษณเ์ ปน็ ทีน่ ่าจดจ�ำของผู้คน เม่ือเป็นเช่นน้ีศิลปินผู้สร้างงานจึงจ�ำเป็นอย่างยิ่งท่ีต้องใช้ความคิดเชิงสร้างสรรค์ ในการเสนอรูปแบบงานใหมด่ ้วยเชน่ กนั ๓. กลุ่มงานศิลปะไทย งานศลิ ปะไทยหรอื เรยี กกนั วา่ รปู แบบไทยประเพณี เปน็ ผลงานทศั นศลิ ป์ ท่ีแสดงออกถึงเอกลักษณ์ประจ�ำชาติ บางท่านเรียกว่า ศิลปะประจ�ำชาติ ซึ่งนัก วิชาการทางศิลปะโดยส่วนใหญ่กลา่ วไวว้ ่า ศิลปะไทยมีแบบแผนทีส่ ืบทอดต่อกนั มา จงึ ทำ� ใหห้ ลายคนเขา้ ใจวา่ ศลิ ปะไทยกระทำ� เลยี นแบบตามกนั จากรนุ่ หนงึ่ สอู่ กี รนุ่ หนง่ึ จงึ ละเลยทจ่ี ะพจิ ารณาเกย่ี วกบั ความคดิ สรา้ งสรรคข์ องชา่ งผสู้ รา้ งงาน แต่ หากทบทวนและศึกษาเกี่ยวกับผลงานศิลปะไทยอย่างละเอียด จะทราบได้ว่า ศิลปะไทยทุกประเภท ทั้งสถาปัตยกรรมไทย ประติมากรรมไทย จิตรกรรมไทย รวมทง้ั งานประณตี ศลิ ปห์ รอื เรยี กวา่ ชา่ งสบิ หม ู่ นนั้ ชา่ งผสู้ รา้ งงานเปน็ ผทู้ ม่ี คี วาม คดิ สรา้ งสรรคท์ ง้ั สน้ิ ซง่ึ ตวั ชวี้ ดั ทางความคดิ สรา้ งสรรคใ์ นผลงานศลิ ปะไทย คอื ผล งานแตล่ ะชน้ิ ทผี่ า่ นกระบวนการคดิ และสรา้ งสรรคอ์ อกมาเปน็ รปู แบบเฉพาะของ แตล่ ะยุคสมัย

๖๖ การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางทศั นศิลป์ ภาพท่ี ๖ ผลงานศลิ ปะไทยของ : นฤทธ์ิ วัฒนภู บท ที่ แม้ผลงานศิลปะไทยจะมีการสืบทอดรูปแบบจนกลายเป็นอัตลักษณ์ เฉพาะของแตล่ ะกล่มุ ชน แตก่ ารเกิดขนึ้ ของรปู แบบงานใหม่ ไดก้ อ่ ตัวขน้ึ ทกุ ขณะ ๒ และไมใ่ ชเ่ พยี งประเดน็ ดา้ นรปู แบบเทา่ นน้ั การคดั สรรและเลอื กวสั ดใุ หเ้ หมาะสม กับการสร้างสรรค์ผลงานแต่ละชนิด หรือเทคนิควิธีการสร้างสรรค์โดยใช้วัสดุที่ หลากหลาย สงิ่ เหลา่ นแ้ี สดงใหเ้ หน็ ถงึ กระบวนการคดิ สรา้ งสรรคข์ องชา่ งผสู้ รา้ งได้ เป็นอย่างดี แต่การคิดสร้างสรรค์ในศิลปะไทย อาจมีข้อจ�ำกัดท่ีต้องอยู่ในกรอบ ของวฒั นธรรม ประเพณี จงึ ท�ำใหช้ า่ งผ้สู ร้างงานศิลปะไทยไม่อาจออกนอกกรอบ ได้เทา่ กบั ผลงานศิลปะแบบตะวนั ตกทม่ี อี ิสระทางความคดิ มากกวา่ ๔. กลมุ่ งานศลิ ปะแบบเหมอื นจริง ผลงานศิลปะแบบเหมือนจริง เป็นการผลิตผลงานศิลปะที่ลอกเลียน ตน้ แบบ ทง้ั ลักษณะงานวิจิตรศลิ ปแ์ ละศลิ ปะไทย อาจกลา่ วไดว้ ่า ลกั ษณะศิลปะ แบบเหมอื นจรงิ ใชค้ วามคดิ สรา้ งสรรคค์ อ่ นขา้ งนอ้ ย เนอ่ื งจากผสู้ รา้ งงานตอ้ งลอก เลียนให้เหมือนแบบมากที่สุด ดังนั้น รูปแบบศิลปะจึงมิได้แสดงออกถึง กระบวนการคิดสร้างสรรค์ แต่อาจปรากฏในมิติของเทคนิควิธีการสร้างผลงาน ตัวอย่างเช่น การเขียนภาพหุ่นน่ิงด้วยเทคนิคสีประเภทต่างๆ รูปแบบที่น�ำเสนอ จะเหมือนกับต้นแบบ แต่ศิลปินผู้สร้างผลงานอาจใช้วัสดุและเทคนิควิธีการเพื่อ แสดงออกถึงวธิ ีการคิดสรา้ งสรรค์ หรอื งานคดั ลอกในศลิ ปะไทย มกั มกี ารคัดลอก

๖๗ การพัฒนาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทัศนศิลป์ รปู แบบมากทส่ี ดุ ตวั อยา่ งเชน่ การคดั ลอกลวดลายบนตพู้ ระธรรมลายรดนำ้� ผคู้ ดั ลอกต้องยึดรูปแบบลวดลายตามต้นแบบให้เหมือนมากท่ีสุด ส่วนการใช้ กระบวนการคิดสร้างสรรค์อาจปรากฏในด้านของการปรับขนาด พ้ืนท่ี ให้แตก ตา่ งจากตน้ แบบ เป็นตน้ ดงั นั้น ลกั ษณะงานศิลปะแบบเหมือนจรงิ จงึ สะทอ้ นถงึ ความคิดสรา้ งสรรค์ของผสู้ รา้ งงานน้อยกว่ากลุ่มงานลกั ษณะอืน่ ภาพท่ี ๗ ผลงานศิลปะแบบเหมือนจริง (สมบตั ิส่วนตวั ) จากรายละเอียดท่ีน�ำเสนอในหัวข้อท่ีผ่านมา ได้อธิบายถึงความส�ำคัญ ของความคดิ สรา้ งสรรคต์ อ่ ผลงานทศั นศลิ ป์ ในหวั ขอ้ นขี้ อนำ� เสนอตวั อยา่ งผลงาน ศลิ ปะไทย โดยอธบิ ายเชอื่ มโยงกบั กระบวนการคดิ สรา้ งสรรคข์ องผสู้ รา้ งงาน เพอ่ื เข้าใจความส�ำคัญของความคิดสร้างสรรค์ตอ่ งานศิลปะไทยได้ชัดเจนมากย่ิงขน้ึ ๑. ทศั นศลิ ปไ์ ทยหรอื เรยี กว่าศลิ ปะไทย ทัศนศิลป์ไทย หมายถึง ผลงานทัศนศิลป์ท่ีแสดงออกทางด้านรูปแบบ ความหมาย วัสดุ กระบวนการสร้างสรรค์ที่เกิดข้ึนจากช่างไทยในแต่ละยุคสมัย เพอ่ื ใหเ้ หน็ วา่ ผลงานศลิ ปะไทยแบบประเพณ ี มกี ารใชค้ วามคดิ สรา้ งสรรคไ์ มน่ อ้ ย ไปกว่าศิลปะของตา่ งชาติ ดังตัวอย่างตอ่ ไปน้ี

๖๘ การพัฒนาความคดิ สร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์ ๑.๑ เจดยี ย์ อดทรงดอกบวั ตมู ของสมยั สโุ ขทัย : การผสมผสานรูปแบบ อย่างลงตัว เจดยี ย์ อดทรงดอกบวั ตมู หรอื ทก่ี ำ� หนดชอื่ เรยี กกนั อกี หลายชอื่ เชน่ เจดยี ์ ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์หรือเจดีย์ทรงทะนาน เป็นอีกช่ือเรียกหนึ่งท่ีก�ำหนดข้ึนตาม ลักษณะรูปทรงส่วนยอดของเจดีย์รูปแบบนี้ เจดีย์ลักษณะนี้เป็นสัญลักษณ์ของ สมยั สโุ ขทัยเท่านน้ั รปู แบบโดยรวมประกอบดว้ ย สว่ นฐานทีเ่ ปน็ ฐานเขยี งเรยี บๆ รองรับฐานบัวลูกฟักที่ส่วนท้องไม้ประดับแถบเส้นนูนสันเหลี่ยม เรียกว่า ลูกฟัก ถดั ขน้ึ ไปเปน็ สว่ นฐานบวั ควำ�่ บวั หงายทส่ี ว่ นทอ้ งไมป้ ระดบั ดว้ ยลวดบวั ลกู แกว้ อกไก่ เหนือขึ้นไปเป็นส่วนเรือนธาตุ เป็นการจ�ำลองรูปแบบของอาคารที่ประดิษฐาน พระบรมสารีริกธาตุ ส่วนยอดมีรูปทรงคล้ายดอกบัวตูม ส่วนน้ีท่ีแสดงถึง เอกลักษณเ์ ฉพาะของสมยั สุโขทัย เนือ่ งจากไม่พบเจดียล์ กั ษณะนใี้ นสมยั อืน่ เลย บท ท่ี ๒ ทรงดอกบวั ตูม (สุโขทยั ) ฐานบัวลูกแก้ว อกไก่ (ล้านนา) ฐานบวั ลกู ฟัก (เขมร) ภาพที่ ๘ รปู แบบเจดีย์ยอดทรงดอกบวั ตูม จากรายละเอยี ดของรูปแบบเจดยี ์ยอดทรงดอกบัวตูม สามารถวเิ คราะห์ เชื่อมโยงกับรูปแบบศิลปะอื่นได้ด้วย เช่น รูปแบบฐานบัวลูกฟัก เป็นเอกลักษณ์ เฉพาะของอาคารแบบเขมร สว่ นฐานท่รี องรบั เรือนธาตุท่ีมรี ูปแบบเป็นบวั คว่�ำบวั หงายและมแี ถบเสน้ ลวดบวั ลกู แก้วอกไก่ เปน็ ลักษณะทีน่ ิยมในอาคารของศิลปะ

๖๙ การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทัศนศลิ ป์ ล้านนา จะเหน็ ไดว้ า่ ชา่ งสโุ ขทยั ไดน้ ำ� พน้ื ฐานทางวฒั นธรรมในรปู แบบตา่ ง ๆ เขา้ มาผสมผสาน จนเกิดรูปแบบเจดียอ์ ย่างใหม่ ไมเ่ หมอื นกบั รปู แบบเจดียท์ ่ีเคยมมี า กอ่ นหนา้ อกี ทง้ั การผสมผสานรายละเอยี ด การจดั วางสว่ นประกอบ มคี วามเหมาะ สมลงตัว สิ่งน้ีจึงแสดงถึงระดับความคิดสร้างสรรค์ในแง่มุมการปรับใช้ส่ิงที่มีอยู่ เดมิ ใหก้ ลายเป็นรูปแบบใหม่ได้อย่างลงตวั ๑.๒ ภาพสัตว์หิมพานต:์ สตั วป์ ระหลาดจากจนิ ตนาการ ภาพสตั วห์ ิมพานตข์ องไทย เป็นภาพสัตว์แบบต่างๆ ที่ผา่ นกระบวนการ คดิ สร้างสรรคจ์ ากชา่ งไทยโบราณ มแี นวความคิดอย่างเดียวกับภาพสตั วผ์ สมของ ชาติอ่ืน โดยสัตว์ผสมเหล่าน้ีเป็นการน�ำส่วนประกอบที่มีลักษณะเด่นของสัตว์ใน ธรรมชาติแต่ละชนดิ มาผสมผสานกันใหเ้ กดิ รปู แบบสัตว์ในอุดมคติ ตวั อย่างเชน่ เทพเจ้าฮอล์ส มีหัวเป็นเหย่ียวและมีล�ำตัวเป็นคน สฟริงค์ของอียิปต์มีใบหน้า เหมอื นมนุษย์ แตม่ ลี �ำตัวเป็นสงิ โต มงั กรของจนี ผสมระหว่างสว่ นประกอบของ สตั วห์ ลายชนิด ไดแ้ ก่ ส่วนเขาไดจ้ ากเขากวาง ล�ำตัวไดจ้ ากงู เกล็ด ตามล�ำตวั ได้ จากเกล็ดปลา ส่วนหวั คลา้ ยหวั อูฐ กงเล็บได้จากเหยี่ยว และในส่วนของฝ่าเทา้ ได้ มาจากเสอื ฯลฯ

๗๐ การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรค์ทางทัศนศลิ ป์ ตัวอย่างสัตว์ผสมในวัฒนธรรมต่างๆ ข้างต้น ล้วนเกิดจากการน�ำส่วน ประกอบของสัตว์ที่มีอยู่จริงในธรรมชาติผสมผสานกันโดยผ่านกระบวนการ เลอื กสรรและจดั วางองคป์ ระกอบทางศลิ ปะใหเ้ กดิ ความงาม เหมาะสมและลงตวั จนกลายเปน็ รปู แบบสตั วช์ นดิ ใหมท่ เ่ี หนอื จรงิ จากธรรมชาตติ ามรสนยิ มของแตล่ ะ วัฒนธรรม ส่วนรูปแบบสัตว์หิมพานต์ในวัฒนธรรมไทย ช่างศิลป์ไทยได้คิดค้น ปรับปรุง และสร้างสรรค์ขึ้นจากแรงบันดาลใจที่ได้รับจากวรรณกรรมสู่การคิด จนิ ตนาการ และสรา้ งสรรคเ์ ปน็ ศลิ ปกรรมหลายประเภท ภาพสตั วห์ มิ พานตเ์ หลา่ นีน้ อกจากเป็นภาพประกอบในผลงานประดบั ตกแต่งแล้ว อกี นยั ยะหน่ึง ยงั เป็น ส่งิ ทีเ่ สรมิ ความหมายเชงิ สัญลกั ษณท์ เ่ี กยี่ วข้องและสมั พนั ธก์ บั ปรัชญาทางศาสนา บท ดว้ ย ท่ี จากรายละเอียดในวรรณกรรมไตรภูมิกล่าวว่า บริเวณเชิงเขาพระสุเมรุ ๒ เปน็ ท่อี ยขู่ องเหล่าสตั วผ์ สมชนิดตา่ งๆ โดยเรียกพ้นื ท่ีบรเิ วณนว้ี ่า ปา่ หิมพานต์ จึง ไดเ้ รยี กสตั ว์ผสมเหล่าน้ีตามชือ่ สถานทวี่ ่า สัตวห์ ิมพานต์ ดว้ ย ดังน้ัน เมื่อปรากฏ บรรดารูปสัตว์หิมพานต์ตามแหล่งใด จึงเปรียบเสมือนว่า บริเวณนั้นเป็นป่า หิมพานต์ ส่วนท่ีอยู่กึ่งกลางพ้ืนท่ีนั้น จึงมีฐานะเป็นเขาพระสุเมรุตามคติใน วรรณกรรมไตรภมู ิด้วยเชน่ กัน ภาพท่ี ๙ รปู แบบสตั วห์ ิมพานตใ์ นวฒั นธรรมไทย

๗๑ การพัฒนาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทศั นศิลป์ การน�ำปรัชญาทางพุทธศาสนามาใช้ส่ือสารโดยผ่านรูปสัญลักษณ์ เพื่อ เป็นส่ือกลางในการอธิบายภาพแทนความหมายนั้น เป็นส่ิงที่ช่างมีความจ�ำเป็น ต้องคิดสร้างสรรค์อย่างลงตัวให้เหมาะสมทั้งรูปแบบและการสื่อความหมาย ตัวอย่างของภาพสัตว์หิมพานต์ที่เกิดขึ้นจากจินตนาการและกระบวนการคิด สร้างสรรคข์ องช่างไทย เช่น กุญชรวารี ผสมระหว่างช้าง (กุญชร) และปลา หรือ ทีเ่ รยี กชอื่ อ่นื อกี วา่ ปลาชา้ ง เป็นสตั วท์ ไี่ มม่ ีอยูจ่ รงิ ในธรรมชาติ หรอื ดุรงค์ไกรสร เป็นรปู แบบสตั ว์ทีผ่ สมระหว่างสงิ โต (ไกรสร) และมา้ (ดรุ งค)์ คอื มสี ว่ นหวั เป็น สงิ โต ส่วนล�ำตวั เป็นมา้ หรือมยุรเวนไตย เปน็ สตั ว์ที่ผสมระหว่าง นกยงู (มยรุ ะ) และครุฑ (เวนไตย) โดยมรี ปู แบบสว่ นหัวและสว่ นหางเหมอื นนกยงู และมลี ำ� ตัว เหมือนครุฑ หรือคชสหี ท์ ีเ่ ป็นท่รี จู้ กั กันโดยทวั่ ไป มีสว่ นผสมของสตั วใ์ นธรรมชาติ ๒ ชนิด คือ ชา้ ง (คชะ) และสงิ โต (สหี ) โดยมีรูปแบบส่วนหวั ผสมกันระหวา่ งสงิ โต และมงี วงช้างย่นื ยาวออกมา สว่ นลำ� ตัวที่เหลือมรี ปู แบบของสงิ โต เปน็ ต้น รปู แบบของสตั ว์หมิ พานตใ์ นศลิ ปะไทยมมี ากมายหลายชนดิ เปน็ ตัวชวี้ ดั ถงึ ความคิดท่ีคลอ่ งแคลว่ ของชา่ งไทยทีส่ ามารถจินตนาการ และคดิ สรา้ งสรรค์ได้ อย่างหลากหลาย จากประวตั ศิ าสตร์ในสมยั พระบาทสมเดจ็ พระจอมเกล้าเจา้ อยู่ หัว รัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้มีการจัดสร้างประติมากรรมรูปสัตว์ หมิ พานตเ์ ปน็ จำ� นวนมาก เพอื่ ตดิ ตง้ั บรเิ วณโดยรอบพระเมรมุ าศ สำ� หรบั การถวาย พระเพลงิ พระบรมศพพระบาทสมเดจ็ พระนงั่ เกลา้ เจา้ อยหู่ วั รชั กาลที่ ๓ มกี ารคดิ ออกแบบและเขยี นเปน็ ภาพลายเสน้ ไวใ้ นสมดุ ไทย ทำ� ใหเ้ กดิ รปู แบบสตั วห์ มิ พานต์ ท่ีมีรูปแบบแปลกใหม่แบบที่ไม่เคยมีมาก่อนอีกมากมาย รวมท้ังมีการก�ำหนดช่ือ เรียกให้กบั สัตว์แตล่ ะรูปแบบเหลา่ น้ีด้วย (อ�ำนวย วรพงศธร, ๒๕๕๔, หนา้ ๘) ถือ ไดว้ ่าเปน็ การสะสมรปู แบบสตั ว์หมิ พานต์ไว้ถงึ ปัจจุบัน จากรายละเอียดข้างต้น จะสังเกตเห็นว่า ช่างศิลป์ไทยนอกจากจะเป็น ช่างท่ีปฏิบัติงานตามแบบแผนประเพณีแล้ว บางส่วนต้องใช้จินตนาการและ ความคดิ สรา้ งสรรคต์ ามแตโ่ อกาสของตน ทงั้ นร้ี ปู แบบศลิ ปะไทยทค่ี ดิ ออกแบบขน้ึ ใหม่ ยงั คงไวซ้ งึ่ รปู แบบทแ่ี สดงถงึ เอกลกั ษณเ์ ฉพาะอยา่ งไทย และเกดิ ความเหมาะ สมลงตัว รวมทง้ั ไดส้ ืบทอดตอ่ กนั มาเพื่อใหช้ า่ งในปัจจบุ นั ได้ใชเ้ ป็นตวั อย่างใน การศกึ ษา

๗๒ การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางทศั นศลิ ป์ หลกั การ แนวคดิ ทฤษฎีท่เี กีย่ วขอ้ งกับทศั นศิลป์ องค์ความรู้ท่ีเก่ียวข้องกับทัศนศิลป์ที่นักวิชาการทางศิลปะ ศิลปิน ได้ ศกึ ษาและอธิบายไวอ้ ย่างหลากหลาย เพอ่ื ใหเ้ ขา้ ใจเกี่ยวกับทัศนศิลปม์ ากขึน้ จงึ เสนอหลักการ แนวคดิ และทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกบั ทัศนศิลป์ไวโ้ ดยสังเขป ส�ำหรบั ผทู้ ไี่ ม่มพี ้ืนฐานทางทศั นศิลป์ ได้ศกึ ษาเปน็ เบ้ืองต้นเพอื่ เข้าใจลักษณะงาน ทัศนศิลป์ไดช้ ัดเจนขึ้นตามรายละเอียดต่อไปนี้ ๑. หลักการเก่ียวกบั ทัศนธาตุ ส�ำหรับผู้ท่ีไม่มีพ้ืนฐานทางทัศนศิลป์ได้ศึกษาเป็นเบื้องต้น เพ่ือเข้าใจ บท ลักษณะงานทัศนศิลป์ได้ชดั เจนขนึ้ ๑. หลั ท่ี กการเกี่ยวกบั ทศั นธาตุ ๒ ทศั นธาตุ (Visual Elements) หรอื ในอดตี ทผ่ี า่ นมาเรยี กวา่ สว่ นประกอบ ของศลิ ปะ หรือบางท่านเรียกว่า โครงสร้างทางทัศนศิลป์ (Structure of Visual Art) เปน็ การนำ� สว่ นประกอบตา่ งๆ ทางศลิ ปะทรี่ บั รไู้ ดด้ ว้ ยการมองเหน็ มาจดั รวม กันไว้ จนก่อเกิดเป็นชิ้นงานทัศนศิลป์ที่สมบูรณ์ ถือได้ว่าเป็นส่วนประกอบเบ้ือง ตน้ ทใี่ ช้ส�ำหรบั การสรา้ งสรรคง์ านทัศนศลิ ป์แตล่ ะแขนง โดยนักวชิ าการทางทศั น ศิลป์ต่างเสนอไวค้ ่อนขา้ งสอดคลอ้ งกนั ประกอบดว้ ย ๑.๑ จุด (Dot) จุด เป็นทัศนธาตุแรกเริ่มที่จะก่อให้เกิดเส้นและพื้นผิว การใช้จุดในการ สร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ จะให้ความรู้สึกถึงพื้นผิวที่แตกต่างจากการระบาย แบบเรียบๆ อีกท้ังในงานประติมากรรม ยังช่วยลดพ้ืนที่ว่างบนพื้นผิว บริเวณต่างๆ ดว้ ย ภาพท่ี ๑๐ ผลงานจุดของ : นายปราโมทย์ ขวญั กลาง

๗๓ การพัฒนาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทัศนศลิ ป์ ๑.๒ เส้น (Line) เสน้ มหี ลายลกั ษณะ แตล่ ะลกั ษณะของเสน้ ใหค้ วามรสู้ กึ ทตี่ า่ งกนั ออกไป เชน่ เสน้ ตรงแนวตงั้ ใหค้ วามรสู้ กึ ม่ันคง แข็งแรง เส้นตรงแนวนอน ใหค้ วามรู้สึก ราบเรยี บ แนน่ อน เสน้ โคง้ ใหค้ วามรสู้ กึ ถงึ การเคลอื่ นไหว นมุ่ นวล และไรจ้ ดุ หมาย ฯลฯ ทั้งน้ี ธวัชชานนท์ ตาไธสง (๒๕๕๒) ได้เสนอเกี่ยวกับชนิดของเส้นไว้ว่า สามารถแบ่งชนิดของเส้นออกได้ ๓ อย่าง ได้แก่ ๑. เส้นที่เกิดขึ้นจริง (Actual Line) เปน็ เสน้ ทเ่ี กดิ ขน้ึ จรงิ มลี กั ษณะทางกายภาพทปี่ รากฏขน้ึ จากกริ ยิ าของการ กระทำ� เพอื่ การถา่ ยทอดความรสู้ กึ จากประสาทสมั ผสั ของมอื ผา่ นวสั ดใุ หเ้ กดิ เปน็ รอ่ งรอยบนพ้ืนผิวโดยตรง เช่น การใชม้ ือจับดินสอลากเส้นลักษณะตา่ งๆ ลงบน กระดาษตามอารมณ์ ความรู้สึกของผู้สร้างสรรค์ในขณะน้ัน ๒. เส้นเชิงนัย (Implied Line) เปน็ เสน้ ทเี่ กดิ ขนึ้ จากความรสู้ กึ การรบั รดู้ ว้ ยการประเมนิ ทางการ เหน็ ตัวอยา่ งเช่น ภาพคนท่มี ีสายตาทอดยาวยังวตั ถุหนึ่ง จะเกดิ เป็นเสน้ ตรงขึน้ ตามประสาทสัมผัสของผู้ชมภาพ แม้จะไม่ปรากฎเป็นร่องรอยของเส้นโดยตรง ก็ตาม และ ๓. เส้นท่เี กดิ จากขอบคม (Line Formed by Edges) เปน็ เส้นที่เกิด ขากการทบั ซอ้ นกนั ของทศั นธาตอุ นื่ ๆ เชน่ สสี นั ตา่ งๆ ทท่ี บั ซอ้ นกนั ความตา่ งของ แต่ละสที ำ� ใหเ้ กดิ เสน้ ขอบทีช่ ดั เจน เป็นตน้ ภาพที่ ๑๑ ผลงานเส้นของ : นายปราโมทย์ ขวัญกลาง

๗๔ การพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศลิ ป์ ๑.๓ รูป รปู แบง่ ออกเปน็ ๒ ลกั ษณะตามมติ ิ ไดแ้ ก่ รปู รา่ ง (Shape) เปน็ เสน้ รอบ นอกของสิ่งใดส่ิงหน่ึง ท่ีเกิดข้ึนจากการประกอบหรือตัดกันของเส้น เป็นภาพ ลกั ษณะ ๒ มติ ิ คอื มเี ฉพาะความยาวและความกวา้ ง สว่ นอกี ลกั ษณะหนงึ่ คอื รปู ทรง (Form) เป็นรปู ที่มคี วามหนา ความลกึ หรือเพม่ิ มิติที่ ๓ เขา้ มาในรูปร่าง บท ท่ี ๒ ภาพท่ี ๑๒ ผลงานรปู ร่าง รปู ทรงของ : นางสาวดาราวรรณ ศรีตะปนั ย์ ๑.๔ น�้ำหนัก (Tone) เทียนชัย ตั้งประเสริฐ (๒๕๔๐, หน้า ๔๙) ให้ความหมายเก่ียวกับ นำ้� หนกั ทางทศั นศลิ ปว์ า่ เปน็ คา่ นำ้� หนกั ทต่ี อบสนองทางการมองเหน็ และมคี วาม เกยี่ วข้องโดยตรงกับแสงสวา่ ง หรืออาจมีความหมายถึงความออ่ น แก่ ของวัตถทุ ่ี ถูกแสงและส่วนท่ีหลบแสงจนเกิดเป็นเงา จากความหมายดังกล่าว มักเกี่ยวข้อง กับความเหมือนจริงตามธรรมชาติ ที่เน้นความแตกต่างของแสงและเงา หากแต่ น�้ำหนกั ความเขม้ อ่อน ยังรวมไปถึงคา่ ของสีทีม่ คี วามเข้มออ่ นตา่ งกันอกี ดว้ ย เช่น สแี ดงมนี ำ้� หนกั สที เ่ี ขม้ กวา่ สเี หลอื ง เปน็ ตน้ หรอื อาจหมายรวมถงึ นำ�้ หนกั ของวตั ถุ ทเ่ี ชอ่ื มโยงถงึ ความสมดุลของผลงานช้ินหนึง่ ตวั อยา่ งเชน่ พน้ื ทด่ี า้ นหน่งึ ของภาพ จัดวางตัวภาพ วัตถุ และรายละเอียดหนาแน่นกว่าอีกด้านหนึ่ง ท�ำให้เกิดความ รสู้ กึ วา่ ดา้ นทม่ี วี ตั ถอุ ยหู่ นาแนน่ นน้ั มนี ำ�้ หนกั มากกวา่ อกี ดา้ น สง่ ผลใหค้ วามสมดลุ ของภาพนัน้ แปรเปลย่ี นไป

๗๕ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศิลป์ ภาพท่ี ๑๓ ผลงานน�้ำหนกั ของ : นางสาวดาราวรรณ ศรีตะปันย์ ๑.๕ แสงและเงา (Light and Shadow) แสงและเงา มีความสัมพันธ์กับเรื่องของน้�ำหนัก และเก่ียวข้องกับ หลกั ความเปน็ จรงิ ตามธรรมชาตดิ ว้ ย การกำ� หนดแสงและเงาอยา่ งถกู ตอ้ ง จะทำ� ให้ ภาพจติ รกรรมที่เป็นภาพ ๒ มิติมคี วามสมจรงิ และเกดิ มติ ิท่ี ๓ ขน้ึ มาได้ แสงและ เงา จงึ เปน็ ทศั นธาตทุ สี่ ำ� คญั ตอ่ ผลงานจติ รกรรมแบบตะวนั ตเปน็ อยา่ งมากสว่ นผล งานจิตรกรรมแบบไทยประเพณี จะไม่นิยมแสดงแสงและเงาให้กับตัวภาพอย่าง ตะวันตก ดังนนั้ จิตรกรรมไทยแบบประเพณี จึงมีลักษณะ ๒ มติ ิ คือ เป็นการ ระบายสีเรียบๆ แล้วจึงตัดเส้นขอบคมเป็นรูปร่างของตัวภาพ การตัดเส้นให้เกิด เป็นภาพแตล่ ะส่วน จึงไมป่ รากฏในจิตรกรรมแบบตะวนั ตก ภาพท่ี ๑๔ ผลงานแสงและเงาของ : นางสาวดาราวรรณ ศรีตะปันย์

๗๖ การพัฒนาความคิดสร้างสรรคท์ างทัศนศลิ ป์ ธวัชชานนท์ ตาไธสง (๒๕๕๒) ยงั ไดอ้ ธิบายเกีย่ วกบั ประโยชนข์ องการใช้ แสงและเงาในงานศิลปะว่า สามารถท�ำใหผ้ ลงานมีคณุ ลกั ษณะท่ีพเิ ศษข้นึ ได้แก่ แสงและเงาช่วยแสดงส่วนละเอียดให้มีความชัดเจนขึ้น ช่วยเปลี่ยนแปลงรูปร่าง ให้กลายเป็นรูปทรงท่ีมีมิติเหมือนของจริง ช่วยแสดงต�ำแหน่งหรือระยะใกล้ไกล รวมทง้ั สง่ เสรมิ ใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ สมจรงิ และเกดิ อารมณร์ ว่ มกบั ผลงาน นอกจากนี้ ยงั เนน้ ยำ้� อีกว่า แสงท่ีตกกระทบวัตถุ ท�ำใหเ้ กดิ รปู ทรง ๓ มติ ิ จะประกอบไปด้วย พื้นท่ี ๖ ลักษณะ ได้แก่ บริเวณแสงจัด บริเวณท่ีสว่างสุด บริเวณแสง บรเิ วณเงา บรเิ วณแสงสะทอ้ น และบริเวณที่เปน็ เงาตกกระทบ ๑.๖ สี (Color) สี เป็นทัศนธาตุหนึ่งที่มีความส�ำคัญต่อการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ บท เกือบทุกแขนง และเป็นทัศนธาตุเดียว ท่ีมีการก�ำหนดเป็นทฤษฎีโดยเรียกว่า ท่ี ทฤษฎีสี ซึ่งเป็นองค์ความรู้ที่มีความส�ำคัญต่อการศึกษาศิลปะ และมีความเป็น วิทยาศาสตร์ดว้ ย ในที่น้ีจะไมก่ ลา่ วถงึ เนอื้ หาของทฤษฎีสี แตจ่ ะแยกออกไปเป็น ๒ หัวขอ้ ใหญ่คอื ทฤษฎีสี ในล�ำดบั ต่อไป ภาพท่ี ๑๕ วงจรสี

๗๗ การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรค์ทางทศั นศิลป์ ๑.๗ พนื้ ผวิ (Texture) พื้นผวิ เป็นการแสดงคณุ ลกั ษณะของพนื้ ผวิ ภายนอกของวัตถุแต่ละชนิด สามารถรับรู้และแสดงความรสู้ กึ ด้วยการมองเห็นและการสมั ผสั พนื้ ผวิ ท่ีปรากฏ บนชนิ้ งานทศั นศลิ ป์ เชน่ ผวิ หยาบ ละเอยี ดเรยี บเนยี น ขรขุ ระ แวววาว ตะปมุ่ ตะปำ่� ลนื่ ฯลฯ ซงึ่ สามารถแยกออกได้ ๒ ลกั ษณะตามเทคนคิ วธิ กี ารทางทศั นศลิ ปแ์ ตล่ ะ ประเภท ได้แก่ พ้ืนผิวที่สร้างขึ้นเลียนแบบพ้ืนผิววัตถุจริง ส่วนมากจะพบในผล งานจิตรกรรมเป็นหลัก ตัวอย่างเช่น ภาพเขียนต้นไม้ท่ีแสดงพ้ืนผิวของล�ำต้นที่มี ความขรขุ ระแตกแยกของเปลอื กไม้ พนื้ ผวิ ลกั ษณะนเ้ี ปน็ การสรา้ งพนื้ ผวิ เลยี นแบบ คณุ ลกั ษณะของเปลอื กไม้ เพอื่ ใหภ้ าพเขยี นนนั้ เกดิ ความสมจรงิ ตามอยา่ งธรรมชาติ และอีกลักษณะหนึ่งคือ พ้ืนผิวจริงตามกายภาพ ซ่ึงสัมพันธ์กับงานทัศนศิลป์ ประเภทสถาปัตยกรรม ประติมากรรม งานศลิ ปะการออกแบบต่างๆ เมื่อศลิ ปนิ ผู้ สร้างงานต้องการพ้ืนผิวลักษณะใด จะใช้วัสดุท่ีมีคุณลักษณะของพ้ืนผิวน้ันมาใช้ งาน เพอ่ื สอ่ื ถงึ ความรสู้ กึ นกึ คิดใหเ้ กิดขน้ึ กบั ผรู้ บั ชมผลงาน ภาพที่ ๑๖ ผลงานพนื้ ผิวของ : นายปราโมทย์ ขวญั กลาง

๗๘ การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศิลป์ ๑.๘ พน้ื ทีว่ ่าง (Space) พื้นที่ว่าง หรือบริเวณว่าง หมายถึง พื้นท่ีส่วนท่ีไม่ปรากฏรายละเอียด เปน็ การปลอ่ ยใหพ้ น้ื ทบ่ี รเิ วณนน้ั โลง่ โปรง่ สามารถรบั รถู้ งึ พนื้ ทวี่ า่ งไดจ้ ากประสาท สัมผสั หรอื การมองเห็น พ้นื ทีว่ ่างยงั ถกู แบง่ ออกอีก ๒ ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ พืน้ ที่วา่ ง ๒ มิติ เป็นพื้นท่ีว่างท่ีแสดงเฉพาะความยาวหรือความกว้างเท่าน้ัน ตัวอย่างเช่น ภาพเจดยี แ์ ตล่ ะองคใ์ นวัดแหง่ หนง่ึ ที่มกี ารจดั วางเว้นระยะห่างกัน ระยะหา่ งของ เจดีย์แต่ละองค์น้ัน ถือว่าเป็นพื้นท่ีว่าง ๒ มิติ เนื่องจากไม่มีความลึกหรือ ความหนาเข้ามาเก่ียวข้อง ลักษณะเช่นนี้จะสัมพันธ์กับงานจิตรกรรมมากกว่า ทัศนศิลป์ประเภทอื่น ส่วนอีกลักษณะหนึ่ง เป็นพื้นที่ว่าง ๓ มิติ มีลักษณะเป็น พน้ื ทวี่ า่ งทมี่ คี วามยาวความกวา้ ง และความลกึ หรอื สงู เขา้ มาเกย่ี วขอ้ ง มองเหน็ ได้ ตามสภาพจริงทางกายภาพของวัตถุแต่ละชิ้น เช่น ประติมากรรมพระพุทธรูปท่ี บท ถกู นำ� มาประดษิ ฐานรอบพระระเบยี ง หรอื ผลงานสอื่ ผสมทถ่ี กู นำ� มาจดั วางในพนื้ ที่ ที่ แสดงนทิ รรศการ เปน็ ต้น (สมชาย พรหมสุวรรณ, ๒๕๔๘, หน้า ๑๒๕) ๒ ภาพท่ี ๑๗ ผลงานพนื้ ท่วี ่างของ : นางสาวดาราวรรณ ศรีตะปนั ย์ จากรายละเอียดของทัศนธาตุแต่ละชนิด จะสังเกตเห็นว่า สามารถ พจิ ารณาตามคณุ ลกั ษณะของแตล่ ะทศั นธาตุ และงา่ ยตอ่ การวเิ คราะหร์ ปู แบบหรอื เน้ือหาท่ีปรากฏในผลงานทัศนศิลป์แต่ละชิ้น ส่วนการน�ำทัศนธาตุในแต่ละชนิด

๗๙ การพฒั นาความคดิ สร้างสรรคท์ างทศั นศิลป์ มารวมกนั จนเกดิ เปน็ ผลงานทางทศั นศลิ ป์ ยงั มหี ลกั การทศ่ี ลิ ปนิ ผสู้ รา้ งสรรค์ ผลงาน ใชเ้ ป็นแนวทางในการสร้างผลงานอกี ดงั รายละเอียดในหวั ขอ้ ตอ่ ไป ๒. หลกั การจัดวางองค์ประกอบทางศลิ ปะ กการจัดวางองคป์ ระกอบทางศิลปะ หลกั การจัดวางองคป์ ระกอบทางศลิ ปะ เปน็ หลกั คิดพ้นื ฐานพิจารณาน�ำ ทัศนธาตุแต่ละชนิดมาจัดวางรวมกันให้เกิดเน้ือหา เร่ืองราว ความงามตาม รูปแบบทเี่ หมาะสม โดยหลักการจัดวางองคป์ ระกอบทางทัศนศิลป์ เป็นความร้ทู ี่ นกั ศิลปะหรือนกั วจิ ารณง์ านศลิ ปะคิดและก�ำหนดขึ้น เพอื่ ใช้เปน็ แนวทางสำ� หรบั ศิลปินผู้สร้างสรรค์ผลงาน รวมทั้งเป็นฐานคิดเพ่ือการพิจารณาผลงานทัศนศิลป์ แต่ละชิน้ ด้วย ซึ่งมีหลกั การโดยแบ่งตามหัวขอ้ ดงั ต่อไปน้ี ๒.๑ จุดเดน่ หรอื จดุ สนใจ (Point) จุดเด่นหรือจุดสนใจของผลงานทัศนศิลป์ เป็นการเน้นส่วนท่ีส�ำคัญของ ผลงานให้มีลักษณะเด่นชัด หรือเป็นที่ดึงดูดความสนใจของผู้รับชมผลงาน เป็น เนอ้ื หาสำ� คญั ทศี่ ลิ ปนิ ตอ้ งการนำ� เสนอในผลงาน จดุ เดน่ เกดิ ขน้ึ จากการเนน้ ใหเ้ หน็ ความเดน่ ชดั เปน็ ทส่ี ะดดุ ตากวา่ สว่ นทแี่ วดลอ้ มอนื่ การเนน้ จดุ สนใจในผลงานทศั น ศลิ ปแ์ ตล่ ะชนิ้ เปน็ สง่ิ ทสี่ ำ� คญั มาก เนอื่ งจากเปน็ การเชญิ ชวนใหผ้ รู้ บั ชมหนั มาสนใจ ในสว่ นนัน้ (สชุ าติ เถาทอง, ๒๕๓๙, หน้า ๗๙) การสรา้ งจุดเด่นในงานทศั นศิลป์ มีวิธกี ารสรา้ งตามหลักการต่อไปน้ี ๑. การเนน้ จดุ เดน่ ดว้ ยสี โดยใหส้ สี ว่ นรวมของภาพเกดิ ความกลมกลนื กนั ส่วนจุดเด่นที่ต้องการเน้น ให้ใช้สีที่แตกต่างจากสีส่วนรวม จะส่งผลให้จุดเด่นมี ความชดั เจนเปน็ พเิ ศษ สามารถสรา้ งความสนใจโดยใช้ความต่างของแต่ละสี ๒. การเน้นจุดเด่นดว้ ยเส้น รูปร่าง และขนาดใหข้ ดั แยง้ กนั เสน้ รูปรา่ ง รวมทงั้ ขนาดของภาพทต่ี อ้ งใหเ้ ปน็ จดุ เดน่ หากมคี วามขดั แยง้ กนั จะสง่ ผลตอ่ การ ดึงดูดสายตาให้สนใจในความขดั แย้งนั้น ๓. การเน้นจดุ เด่นด้วยการตกแต่งรายละเอียด ส่วนใดท่ีตอ้ งการให้เกดิ จดุ เดน่ หากได้ตกแต่งรายละเอยี ดใหง้ ดงาม คมชัด หรอื มีรายละเอยี ดท่ีซับซอ้ น มากกวา่ พนื้ ทีส่ ่วนรวม จะชว่ ยเสริมใหร้ ายละเอียดนัน้ กลายเป็นจุดเดน่ ขึ้นมาได้

๘๐ การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรค์ทางทศั นศลิ ป์ บท ท่ี ภาพท่ี ๑๘ ผลงานจุดเดน่ หรือจดุ สนใจของ : มนัส จอมปร ุ ๒ ๒.๒ ความสมดุล (Balance) ความสมดลุ หรอื ดลุ ยภาพ เปน็ องคป์ ระกอบและหลกั การหนงึ่ สำ� หรบั เปน็ แนวทางพิจารณาจัดวางโครงสร้างของผลงานเพ่ือให้แต่ละวัตถุอยู่ในต�ำแหน่งที่ สมดลุ ลกั ษณะของความสมดลุ เกิดขึ้นได้ ๒ กรณี ไดแ้ ก่ ความสมดลุ ที่เกิดข้ึน จากรปู ลกั ษณะทมี่ องเหน็ ตามความเปน็ จรงิ ในธรรมชาติ และความ สมดุลท่ีเกิดจากความรู้สึกนึกคิดของผู้ชมผลงานเอง ตัวอย่างเช่น ความสมดุลที่ เกดิ ขน้ึ จากการใชส้ ีเชน่ สดี �ำหรือสีท่มี นี �้ำหนักเขม้ จะทำ� ใหเ้ กดิ ความรู้สึกว่าหนัก แนน่ กว่าสขี าวหรือสีที่มนี ำ�้ หนักออ่ น บางเบา ดังนั้น ความสมดุลทางทศั นศิลปจ์ งึ เป็นการประสานกลมกลืนให้แต่ละส่วนมีความเหมาะสมลงตัว (ชลูด นิ่มเสมอ, ๒๕๓๙, หนา้ ๑๒๘) ลักษณะการจัดวางวัตถุบนชิ้นงานศิลปะ สามารถพิจารณาได้จาก ๒ ลักษณะ คือ ความสมดุลแบบพื้นที่ซ้ายขวาเท่ากัน (Symmetrical Balance) หมายถึง รูปหรือตัวภาพมีจุดศูนย์ถ่วงที่ท�ำให้เกิดความรู้สึกสมดุล อยู่บริเวณ ก่ึงกลาง ส่วนพื้นที่ข้างซ้ายและขวา มีขนาดและรายละเอียดที่เท่าเทียมกัน อีก ลักษณะหน่ึง คือความสมดลุ แบบซ้ายขวาไมเ่ ทา่ กนั (Asymmetrical Balance)

๘๑ การพัฒนาความคดิ สร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์ หมายถึง รูปหรือตวั ภาพท่ีมจี ดุ ศนู ย์ถ่วงอยกู่ ่ึงกลางของพนื้ ท่ี ส่วนบรเิ วณข้างซา้ ย และขวา มีขนาดและรายละเอียดไม่เท่ากัน แต่เมื่อพิจารณาโดยภาพรวมจะเกิด ความรูส้ ึกถึงความสมดลุ ที่ใกล้เคียงกนั (ธวชั ชานนท์ ตาไธสง, ๒๕๕๒, หน้า ๔๕) ภาพที่ ๑๙ ผลงานความสมดุลของ : นางสาวดาราวรรณ ศรตี ะปนั ย์ ๒.๓ สดั ส่วน (Proportion) สัดส่วนทางทัศนศิลป์ เป็นความสัมพันธ์ระหว่างขนาดของวัตถุหรือตัว ภาพ จ�ำนวน ความเขม้ อ่อนทปี่ รากฏบนชิ้นงาน หากผลงานทศั นศลิ ป์มีสดั สว่ นที่ เหมาะสม จะสง่ ผลตอ่ ความงามและความนา่ สนใจของผลงานทศั นศลิ ปช์ น้ิ นน้ั ซง่ึ ตรงกับความเห็นของ สมชาย พรหมสุวรรณ (๒๕๔๘, หนา้ ๑๘๕) ที่อธบิ ายเก่ียว กบั ลกั ษณะของสดั สว่ นทางทศั นศลิ ปว์ า่ สดั สว่ น เปน็ การเปรยี บเทยี บระหวา่ งวตั ถุ ตั้งแต่ ๒ อยา่ งขึ้นไป มี ๓ ประเด็นหลกั ได้แก่ ขนาด จ�ำนวน และความเขม้ อ่อน ทปี่ รากฎในผลงานทศั นศลิ ป์ สว่ น ธวชั ชานนท์ ตาไธสง (๒๕๕๒, หน้า ๔๗) ได้ กลา่ ววา่ สดั ส่วน หรือโกลเด้น เซคซนั (Golden Section) เปน็ กฎของสัดสว่ นท่ี ชา่ งชาวกรกี กำ� หนดขนึ้ มคี วามสมั พนั ธก์ นั กบั การสรา้ งสรรคท์ างดา้ นงานออกแบบ ทางสถาปตั ยกรรม เช่น มหาวหิ ารพาร์เธนอน ทีไ่ ด้รบั การยกย่องวา่ มสี ดั สว่ นท่ี สมั พันธ์กนั อยา่ งลงตวั และมคี วามสมั พันธ์กบั ส่วนประกอบอนื่ ๆ รูปทรงโดยรวม ของมหาวิหารน้ี จึงเกิดเป็น สัดส่วนทอง ท่ีได้มาจากรูปด้านหน้าของอาคาร มี ลกั ษณะเป็นรปู สเ่ี หลย่ี มผืนผา้ มีสัดสว่ นเทา่ กับ กว้าง ๓ ส่วน และมคี วามยาว ๔ สว่ น

๘๒ การพฒั นาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทัศนศิลป์ บท ภาพที่ ๒๐ มหาวหิ ารพาร์เธนอน (www.addsiam.com) ท่ี ๒.๔ ทิศทาง (Direction) ๒ ทิศทางในความหมายทางทัศนศิลป์เป็นคุณลักษณะท่ีสามารถดึงดูด สายตาหรอื ความสนใจของผ้ชู ม เพอ่ื ให้รูส้ ึกคล้อยตามจากจุดหนง่ึ ไปสู่อกี จุดหน่งึ (วุฒิ วฒั นสนิ , ๒๕๓๙, หน้า ๑๕๗) ส่งผลให้ผู้ชมผลงานศลิ ปะเกิดการเคลื่อนไหว สายตาไปตามทศิ ทางตา่ งๆ รวมทงั้ ยงั เปน็ แนวทางหนงึ่ ทชี่ ว่ ยสรา้ งจดุ เดน่ หรอื จดุ สนใจให้ปรากฏในชิน้ งานน้ันด้วย ภาพที่ ๒๑ ผลงานทิศทางของ : นายปราโมทย์ ขวัญกลาง

๘๓ การพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศลิ ป์ ๒.๕ ความกลมกลืน (Harmony) ความกลมกลืน มีความหมายและลักษณะเช่นเดียวกับเอกภาพ ท่ี แสดงออกถึงความเป็นส่ิงหนึ่งสิ่งเดียวกัน เป็นการประสานรวมกันของวัตถุหรือ ทศั นธาตบุ นชนิ้ งานทศั นศลิ ปใ์ หเ้ กดิ มคี วามพอเหมาะพอดอี ยา่ งลงตวั สง่ ผลใหเ้ กดิ ความรู้สึกพอใจ ไม่ขัดตา อีกทั้งยังเป็นหลักการทางทัศนศิลป์ท่ีส�ำคัญต่อการ สรา้ งสรรค์ผลงานใหม้ ีเอกภาพเดยี วกัน (สชุ าติ เถาทอง, ๒๕๓๙, หนา้ ๗๔) ส่วน ธวชั ชานนท์ ตาไธสง (๒๕๕๒, หนา้ ๔๘) ไดเ้ สนอวธิ ีการสร้างความกลมกลนื หรือ เอกภาพในผลงานทัศนศิลป์ว่า มีวิธีการหลายลักษณะ เช่น การสร้างความ กลมกลืน โดยใช้ขนาดของวัตถุที่มีความใกล้เคียงกัน การใช้รูปร่างหรือรูปทรงท่ี คล้ายกนั การใชเ้ สน้ ท่ลี ากไปในทิศทางเดยี วกนั การใชโ้ ทนสีเดยี วกัน รวมทัง้ การ ใชล้ ักษณะพื้นผวิ ท่ีมคี วามใกลเ้ คียงกัน ภาพที่ ๒๒ ผลงานความกลมกลนื จากข้อเสนอที่ ธวัชชานนท์ ตาไธสง กลา่ วไว้ขา้ งตน้ จะสงั เกตไดว้ ่า หลัก การสำ� คญั ของการสรา้ งความกลมกลนื จนเกดิ เปน็ เอกภาพเดยี วกนั นน้ั ขนึ้ อยกู่ บั ความเหมอื น ความใกลเ้ คยี งของทศั นธาตแุ ตล่ ะชนดิ ทศี่ ลิ ปนิ นำ� มารวมกนั จนเกดิ เป็นผลงานศิลปะ ถึงแม้ว่าผลงานนั้นจะมีเอกภาพเดียวกัน แต่จุดเด่นหรือ จดุ สนใจอาจลดน้อยลง และในทางตรงกันขา้ ม หากทัศนธาตุแตล่ ะชนดิ มีความ แตกต่างกันมาก ยิง่ มากเท่าไรจดุ เดน่ หรอื จุดสนใจ จะปรากฏมากขึ้นตามไปดว้ ย ลกั ษณะน้จี ึงเรยี กวา่ ความขัดแยง้

๘๔ การพฒั นาความคิดสร้างสรรคท์ างทัศนศิลป์ ๒.๖ ความขดั แยง้ (Contrast) ความขัดแย้งทางทัศนศิลป์ มีความหมายถึง ส่ิงที่ไม่อาจเข้ากันได้ใน เอกภาพเดยี วกนั ความขัดแยง้ หรอื ทเี่ รียกชื่ออย่างอน่ื ว่า ความตัดกัน เปน็ ความ แตกตา่ งระหวา่ งทศั นธาตแุ ตล่ ะชนดิ ตวั อยา่ งเชน่ ความแตกตา่ งกนั อยา่ งมากของ ขนาดวัตถุ สี รปู รา่ ง รูปทรง ลกั ษณะพ้นื ผวิ น้�ำหนัก ฯลฯ ลักษณะเหล่าน้ีจะสง่ ผลใหผ้ ลงานเกดิ จดุ เดน่ หรอื จดุ สนใจใหป้ รากฏขนึ้ ในผลงาน เพอ่ื ดงึ ดดู สายตาของ ผู้ชมใหส้ นใจในความแตกตา่ งน้นั บท ที่ ๒ ภาพท่ี ๒๓ ผลงานความขัดแย้งของ : มนสั จอมปรุ ๒.๗ ความหลากหลาย (Variety) ความหลากหลาย เป็นคุณลักษณะของการคิดสร้างสรรค์ด้วยการ เปลย่ี นแปลงทศั นธาตุแต่ละชนดิ เช่น การเปลีย่ นแปลงขนาดของเส้น รูปรา่ ง รปู ทรง การเปลี่ยนรูปแบบของตวั ภาพ การใช้สีทห่ี ลากหลาย ฯลฯ การเปลย่ี นแปลง ดังกล่าว จะสร้างความขัดแย้งระหว่างทัศนธาตุเดียวกัน จึงท�ำให้เกิดความรู้สึก ดงึ ดูด น่าสนใจ มีชีวติ ชีวา ลกั ษณะเช่นนีม้ คี วามแตกต่างจากหลกั การของความ กลมกลนื อยา่ งสนิ้ เชงิ อาจกลา่ วไดว้ า่ ผลงานทม่ี คี วามกลมกลนื มาก มกั ไรช้ วี ติ ชวี า

๘๕ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค์ทางทศั นศิลป์ และน่าเบอ่ื หนา่ ย หลักความหลากหลายน้ไี ดข้ ยายความสนใจใหก้ ับผู้ชมไปหลาย ตำ� แหนง่ ดงั นน้ั จงึ อาจกลา่ วไดว้ า่ จดุ เดน่ หรอื จดุ สนใจ อาจกระจายตวั ไปในหลาย ตำ� แหนง่ ดว้ ย ภาพที่ ๒๔ ผลงานความหลากหลาย ๓. ทฤษฎสี ี เนอ้ื หาเร่ืองราวทเ่ี กย่ี วข้องกับสี มที ฤษฎที ่ีกล่าวถึงคอ่ นข้างมาก ทงั้ ทาง วทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี รวมทง้ั งานทศั นศลิ ป์ การทม่ี นษุ ยม์ องเหน็ สสี นั ตา่ งๆ เกดิ ข้ึนจากปฏิกิริยาระหว่างสายตากับสีบนวัตถุ วัตถุแต่ละชนิดมีการดูดซับรังสีของ แสง แลว้ สะทอ้ นเขา้ สตู่ าของเราไมเ่ ทา่ กนั จงึ มองเหน็ เปน็ สที แ่ี ตกตา่ งกนั ตวั อยา่ ง เช่น หนิ ดิน เป็นวัตถทุ บึ แสง ความเขม้ ของแสงสวา่ งไม่สามารถผา่ นวัตถเุ หลา่ น้ี ได้ ส่วนวัตถุประเภทกระจก ผ้า ตะแกรงมุ้งลวด แสงจะส่องผ่านวัตถุเหล่านี้ได้ เพียงบางส่วน และวัตถุโปร่งใส เช่น แก้ว กระจก น�้ำ ฯลฯ แสงจะส่องผ่านได้ ทั้งหมด จึงทำ� ให้มองเห็นวตั ถุตา่ ง ๆ มีความใสข้นึ (ธวชั ชานนท์ ตาไธสง, ๒๕๕๒, หนา้ ๓๖)

๘๖ การพฒั นาความคิดสร้างสรรคท์ างทัศนศิลป์ สใี นงานทศั นศลิ ป์ เปน็ สที ไ่ี ดจ้ ากวตั ถเุ ปน็ หลกั ซงึ่ แตกตา่ งจากความรทู้ าง วิทยาศาสตรท์ ่ีมีสแี สง (Spectrum) ดว้ ย ตัวเนื้อสีหรือทีเ่ รยี กว่า รงควตั ถุ (Color Pigments) เปน็ สสารทไ่ี ดม้ าจากอนนิ ทรยี ว์ ตั ถหุ รอื อนิ ทรยี ว์ ตั ถุ เกดิ ขน้ึ มาจากการ สังเคราะห์ทางเคมี โดยสตี ่าง ๆ ในงานทศั นศลิ ป์ จะถกู สรา้ งให้มคี ่าจ�ำเพาะในตัว เอง ๓ ลักษณะ คอื มลี กั ษณะโปร่งใส โปรง่ แสง และทบึ แสง บท ท่ี ๒ ภาพที่ ๒๕ วงจรสี กฎของสใี นธรรมชาติ (Nature Order of Color) สามารถศกึ ษาไดจ้ าก วงจรสที ง้ั ๑๒ สี โดยมคี า่ นำ�้ หนกั ความเขม้ ออ่ นหรอื คา่ ของสที แ่ี ตกตา่ งกนั จะเหน็ ไดว้ า่ ในวงจรสที ม่ี สี ถี งึ ๑๒ สนี นั้ จะพบองคค์ วามรเู้ กย่ี วกบั สอี กี หลายประเดน็ ซง่ึ เป็นความรู้ที่สามารถน�ำมาใช้ในการสร้างสรรค์ผลงานทัศนศิลป์ได้ เช่น เมื่อ พจิ ารณาสเี หลอื ง และสมี ว่ งทอี่ ยตู่ รงกนั ขา้ มกนั ในวงจรสี สามารถแบง่ สอี อกได้ ๒ ฝ่ัง ฝง่ั หนง่ึ ประกอบดว้ ย สีส้มเหลือง สีสม้ สีสม้ แดง สีแดง และสีมว่ งแดง ทัง้ หมด น้ีเป็นสีที่จัดอยู่ในวรรณะร้อน หรือเรียกโดยทั่วไปว่า สีโทนร้อน ส่วนอีกฝั่งท่ีมีสี เขยี วเหลอื ง สเี ขยี ว สเี ขยี วนำ้� เงนิ สนี ำ้� เงนิ และสมี ว่ งนำ�้ มนั เปน็ สที จ่ี ดั อยใู่ นวรรณะ เยน็ สว่ นสเี หลอื งและสมี ว่ งทใ่ี ชเ้ ปน็ จดุ แบง่ สามารถอยรู่ ว่ มไดท้ ง้ั สองวรรณะ ความ รู้เก่ียวกับวรรณะของสีที่อธิบายมาน้ี สามารถน�ำไปใช้ประโยชน์เกี่ยวกับการ สร้างสรรค์ผลงานแบบเอกรงคแ์ ละพหรุ งค์ดว้ ย

๘๗ การพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศลิ ป์ ภาพที่ ๒๖ ผลงานแบบเอกรงคแ์ ละพหรุ งค์ นอกจากนี้ยงั สามารถใชว้ งจรสที ้งั ๑๒ สนี ้ีพจิ ารณาเกีย่ วกับสคี ่ตู รงขา้ ม หรือสีคู่ขัดแย้ง หรอื สตี ัดกันไดอ้ ีก โดยจบั คูส่ ีได้ ๖ คู่ ได้แก่ สีเหลืองตรงข้ามกบั สี มว่ ง สเี ขยี วตรงข้ามกบั สแี ดง สสี ม้ ตรงขา้ มกบั สนี ำ�้ เงนิ สสี ม้ แดงตรงขา้ มกบั สเี ขยี ว นำ้� เงิน สีส้มเหลอื งตรงข้ามกบั สมี ว่ งน�้ำเงิน และสสี ม้ แดงตรงขา้ มกบั สเี ขยี วน�ำ้ เงนิ ความรู้เกี่ยวกับสีคู่ตรงข้ามน้ี ยังสามารถน�ำไปใช้ประโยชน์ส�ำหรับลดค่าของสีลง เพอ่ื ให้ได้ค่าสที ี่ใกลเ้ คียงกบั ธรรมชาติ สีแต่ละสีมีคุณลักษณะที่แตกต่างกันออกไป โดยสามารถจัดแบ่งออกได้ ๓ ลกั ษณะ ดงั ต่อไปนี้ ๑. ความเปน็ สแี ท้ (Hue) คือ แมส่ ที ป่ี ระกอบด้วย สีแดง สีเหลือง และ สีน�้ำเงิน รวมทั้งสีใหม่ท่ีเกิดข้ึนจากการผสมระหว่างสีข้ันท่ี ๑ เกิดเป็นสีข้ันท่ี ๒ และระหวา่ งสขี น้ั ที่ ๑ และ ๒ เกดิ เปน็ สขี น้ั ท่ี ๓ ตามรายละเอยี ด ในแผน่ ภาพวงจร สที ัง้ ๑๒ สี ๒. ค่านำ้� หนักของสี (Value Scale) คอื สีที่แสดงออกถงึ น�ำ้ หนักความ เข้ม อ่อน หนัก เบา มดื สว่าง หากใช้สีขาวผสมกับสีอนื่ ท่เี ข้มกว่า สีนนั้ จะออ่ นลง เรยี กวา่ สคี า่ ออ่ น (Tint) และในทางตรงกันขา้ ม หากใชส้ ีดำ� หรือสที ่ีมคี า่ ของสที ่ี เข้มกวา่ ผสมลงในสอี อ่ น จะได้สีทเี่ ขม้ ขนึ้ เรียกว่า สคี า่ แก่ (Shade) ๓. ความเขม้ ของสี (Intensity) เปน็ สภาพบรสิ ทุ ธขิ์ องแตล่ ะสโี ดยไมม่ กี าร เจือปนดว้ ยสเี ทา แต่หากมสี ีเทาปนอย่จู ะเปน็ สที ่ีมคี วามเขม้ ต่�ำ (Low Intensity)

๘๘ การพฒั นาความคิดสรา้ งสรรค์ทางทศั นศลิ ป์ (ธวชั ชานนท์ ตาไธสง, ๒๕๕๒, หน้า ๓๘) นอกจากความรู้ของสีท่มี ลี ักษณะทาง กายภาพแล้ว สามารถถา่ ยทอดและรบั ร้ถู ึงความรู้สึกนึกคดิ ในแตล่ ะสีไดด้ ว้ ย จึงมี การศกึ ษาและอธบิ ายทางดา้ นจติ วทิ ยาของสี ซงึ่ สามารถนำ� ไปใชป้ ระโยชนใ์ นงาน ทศั นศิลป์ โดยเฉพาะอย่างยงิ่ งานทางด้านศิลปะการออกแบบ จะใชค้ วามรเู้ กยี่ ว กับจิตวิทยาของสีมากกว่าสายงานอืน่ โดยสแี ตล่ ะอยา่ ง สามารถส่อื ถึงความรู้สึก ในมติ ติ า่ งๆ ดังต่อไปน้ี สีท่ีให้ความรู้สึกเกี่ยวกับขนาด สีอ่อน จะท�ำให้เกิดความรู้สึกว่าพื้นท่ีมี ความกว้างใหญข่ ึ้น ส่วนสที ่เี ข้มจะเกดิ ความรสู้ ึกว่าเล็ก คับแคบ สที ่ีให้ความร้สู กึ เกี่ยวกับความสะอาด สีอ่อน ทำ� ให้เกิดความรู้สกึ สะอาด บท ตา น่าใช้ น่ามอง น่าสัมผัส สว่ นสีเข้ม จะท�ำให้รสู้ กึ สกปรก เลอะเทอะ ท่ี สีที่ท�ำใหเ้ กิดความรู้สึกเกีย่ วกบั พลงั สแี ทท้ ีไ่ ม่ผา่ นกระบวนการผสม จะ ๒ ใหพ้ ลังท่สี ดใส แขง็ แกรง่ สีที่ให้ความรู้สกึ รอ้ นแรง เชน่ สีแดง สสี ม้ หรอื สีในวรรณะร้อน สว่ นสีท่ี ให้ความร้สู กึ เยน็ เช่น สีเขยี ว สีนำ�้ เงินหรือทเี่ รยี กวา่ สีวรรณะเย็น สที ที่ ำ� ใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ เกย่ี วกบั การเคลอ่ื นไหว เชน่ สนี ำ้� เงนิ ใหค้ วามรสู้ กึ สงบ มน่ั คง เคลอ่ื นไหวภายในตวั เอง สเี หลอื ง ใหค้ วามรสู้ กึ สดใส ชดั เจน เคลอื่ นไหว สภู่ ายนอก สเี ขยี ว ให้ความรู้สึกสดใส รม่ เย็น เคลอื่ นไหวสู่ก่งึ กลาง รวมทง้ั กล่มุ สี ที่อยู่ในวรรณะรอ้ น แสดงการเคลื่อนไหวได้ดกี ว่ากลมุ่ สที อี่ ยู่ในวรรณะเย็น สีท่ีท�ำให้เกิดความรู้สึกเก่ียวกับระยะใกล้ไกล มิติ ได้แก่ ระยะหน้า (Fore Ground) คอื สเี หลอื ง สสี ม้ สแี ดง ระยะกลาง (Middle Ground) คือ สี แดง สเี ขียว สนี ำ้� เงนิ ส่วนระยะหลงั สุด (Back Ground) คือ สมี ว่ ง สีมว่ งน้ำ� เงิน

๘๙ การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรค์ทางทศั นศลิ ป์ ๔. หลกั การออกแบบ การออกแบบทางทศั นศลิ ป์ เปน็ การจดั วางเกย่ี วกบั ทัศนธาตุและการจัด องคป์ ระกอบศลิ ปใ์ หเ้ กดิ ความงามตามวตั ถปุ ระสงค์ เชน่ การจดั วางตำ� แหนง่ ภาพ ตัวอักษร และพนื้ ท่วี ่าง ใหเ้ กดิ ความเหมาะสม ลงตัวโดยใช้หลักการของทศั นธาตุ รวมทั้งหลกั การจดั วางองค์ประกอบทางศิลปะท่ไี ดอ้ ธิบายไวใ้ นหวั ขอ้ กอ่ นหน้านี้ โดยการน�ำหลักการต่างๆ ทางทัศนศิลป์มาจัดสรรรวมกันในผลงานแต่ละช้ิน มี ความสำ� คญั อยา่ งยิง่ ต่อการออกแบบผลงานทศั นศลิ ปล์ กั ษณะตา่ งๆ ซงึ่ สว่ นใหญ่ การกล่าวถึงหลักการหรือแนวคิดในการออกแบบ จะเก่ียวข้องกับทัศนศิลป์ท่ีมี จุดมุ่งหมายเพื่อการค้าหรือเชิงพาณิชย์ เพ่ือใช้เป็นเคร่ืองมือเพ่ือการ ประชาสัมพันธ์ผลิตภัณฑ์หรือข่าวสารแต่ละลักษณะ ประกอบไปด้วย ใบปิด (Poster) สอื่ สงิ่ พมิ พ ์ (Printed) แผน่ พบั (Folder) ฉลากและปา้ ยสนิ คา้ (Label & Tag) บรรจภุ ัณฑ์ (Package) เป็นตน้ CREATIVE การออกแบบท่ีเสนอไวข้ ้างตน้ จะเกย่ี วข้องกับ ๒ สว่ นหลกั คอื รปู ภาพ และขอ้ ความ ถงึ แมว้ า่ จะมีเพยี ง ๒ สว่ นน้ี แต่สำ� หรับผลงานออกแบบประเภทสอ่ื สงิ่ พมิ พ์ จะตอ้ งใชแ้ นวคดิ หรอื หลกั การออกแบบทต่ี อ้ งคำ� นงึ ถงึ หลายประเดน็ เชน่ องคป์ ระกอบในงานออกแบบประเภทสอื่ สง่ิ พมิ พ์ จะมสี ว่ นประกอบทใ่ี กลเ้ คยี งกนั ประกอบด้วย หัวเร่อื งหลกั หัวเรือ่ งรอง ภาพประกอบ ข้อความแสดงรายละเอยี ด คำ� ขวญั ภาพสญั ลกั ษณ์ ผพู้ มิ พโ์ ฆษณา เปน็ ตน้ จะเหน็ วา่ สว่ นประกอบตา่ งๆ เหลา่ นี้เกีย่ วข้องกับรปู ภาพและขอ้ ความ ตัวอักษร ดงั ท่ี กล่าวมาแลว้ นอกจากรูปภาพท่ีเป็นภาพประกอบในส่ือสิ่งพิมพ์แต่ละประเภทแล้ว รูปภาพอีกลักษณะหน่ึง ท่ีท�ำหน้าที่ต่างจากการอธิบายรายละเอียด ก็คือ ภาพสญั ลักษณ์หรอื เครื่องหมาย มีทั้งที่เปน็ ภาพและตวั อกั ษร หรือผสมผสานกนั ทั้งสองส่วน โดยมีหลักการออกแบบสัญลักษณ์ คือ ควรมีรูปแบบที่เรียบง่าย สวยงาม และเหมาะสม รวมทง้ั มลี กั ษณะเฉพาะตน เพอ่ื แทนความหมายหรอื เรอ่ื ง ราวถึงบคุ คล หน่วยงาน หรอื เจา้ ของเครือ่ งหมายทส่ี ร้างภาพลกั ษณใ์ หเ้ กดิ ความ น่าเช่ือถือ และสามารถสร้างความไวว้ างใจให้เกิดขึน้ แกผ่ ู้พบเห็นได้

๙๐ การพฒั นาความคิดสรา้ งสรรค์ทางทัศนศิลป์ การออกแบบเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์แทนความหมาย จะเริ่มจาก ความตอ้ งการทผี่ ูส้ ่งสารจะสง่ ไปถึงผรู้ บั สาร แลว้ จึงคดั เลอื ก ออกแบบสารเป็นส่อื กลางหรือเป็นตัวแทนว่าจะส่งอะไร หรือส่งอย่างไรให้ไปถึงผู้รับ เม่ือได้สื่อเป็นท่ี เรียบร้อย จึงออกแบบส่ือน้ันให้เกิดความสวยงาม เรียบง่าย ต่อการรับรู้อย่าง รวดเรว็ ทงั้ นีก้ ารออกแบบสัญลกั ษณ์ ยังมปี ระเดน็ ทีค่ วรพจิ ารณาในกระบวนการ ออกแบบอกี คอื สนุ ทรยี ภาพ ยคุ สมยั ทอ้ งถนิ่ ตา่ งๆ และชนชาติ รวมทง้ั ความหลาก หลายทางวัฒนธรรมดว้ ย (ศักด์ชิ ัย เกยี รตินาคินทร,์ ๒๕๕๓, หน้า ๑๙๕) บท ที่ ๒

การพฒั นาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทัศนศลิ ป์ การเตรยี มความพรอ้ ม สกู่ ารพฒั นาความคิด สรา้ งสรรค์ทางทัศนศลิ ป์

๙๒ การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรค์ทางทศั นศลิ ป์ การเตรียมความพรอ้ มสูก่ าร พฒั นาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทศั ศิลป์ ในบทน้ีเป็นการเสนอวิธีการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ก่อนท่ีจะ ทำ� การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคข์ องผเู้ รยี น เพอื่ ใหก้ ารพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค์ ทางทัศนศิลป์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยค�ำนึงถึงปัจจัยที่มีผลต่อ กระบวนการคดิ สรา้ งสรรคด์ งั ทไี่ ดศ้ กึ ษาจากนกั คดิ นกั วชิ าการทไี่ ดน้ ำ� เสนอไวแ้ ละ ปรับใหส้ มั พนั ธ์กบั หัวเรือ่ ง ตามหวั ขอ้ ตา่ งๆ ดังตอ่ ไปน้ี ปรับสภาพรา่ งกาย จิตใจ และทศั นคติ เราคงไมส่ ามารถทีจ่ ะปฏเิ สธไดว้ ่า สภาพทางร่างกาย จิตใจ และทัศนคติ มีผลต่อกระบวนการคิดสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก ดังนั้น การปรับสภาพร่างกาย จิตใจ และทัศนคติของบุคคลท่ีต้องการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์ จงึ เปน็ สง่ิ ทมี่ คี วามสำ� คญั และเปน็ ปจั จยั แรกทนี่ กั คดิ สรา้ งสรรคส์ ามารถกระทำ� ได้ บท ด้วยตนเอง การปรับสภาพร่างกายเพียงการดูแลสุขภาพของตนให้สมบูรณ์ ที่ จะส่งผลดีต่อร่างกายให้ห่างไกลโรคภัย ความกังวลต่อสุขภาพทางกาย จะเป็น ๓ ปจั จยั หนงึ่ ทก่ี ระทบตอ่ กระบวนการคดิ สรา้ งสรรค์ เนอื่ งจากจะมวั แตค่ ดิ กงั วล และ วติ กตอ่ อาการเจบ็ ปว่ ยทเ่ี กดิ ขนึ้ กบั รา่ งกาย โดย กจิ จา ฤดขี จร (๒๕๕๕, หนา้ ๕๒) ผเู้ ปน็ ศลั ยแพทยท์ างสมอง ไดแ้ นะนำ� วธิ กี ารดแู ลรา่ งกายทจ่ี ะสง่ ผลดตี อ่ สมองและ กระบวนการคดิ ว่า การออกกำ� ลังกายจะชว่ ยให้เลือดไปเลยี้ งสมองดขี ้ึน จงึ มสี ่วน ชว่ ยกระตนุ้ ใหส้ มองทำ� งานไดเ้ ตม็ ศกั ยภาพ การทำ� งานของสมองจะพฒั นาไดด้ ตี อ่ เมอื่ หลอดเลือดมสี ภาพที่สมบรู ณ์และไมอ่ ุดตัน เพราะนอกจากจะชว่ ยให้สขุ ภาพ ทางกายดีแล้ว ยังมีผลต่อสภาพจิตใจ อารมณ์ รวมท้ังผ่อนคลายความตึงเครียด และลดอาการซมึ เศร้าได้อีกดว้ ย นอกจากนี้ยงั ไดแ้ นะน�ำการออกก�ำลังกายทีเ่ ป็น คณุ ประโยชนต์ อ่ สมองโดยตรงและเตม็ ท่ี ซงึ่ สามารถนำ� ไปปรบั ใชไ้ ดก้ บั ทกุ เพศทกุ วัย คอื การออกกำ� ลังกายดว้ ยโยคะ โดยเฉพาะท่าศีรษาสนะ (ท่ายืนดว้ ยศรี ษะ) และทา่ สรรวางคสนะ (ทา่ ยนื ดว้ ยหวั ไหล)่ ทงั้ สองทา่ นเ้ี หมาะกบั ผทู้ ม่ี อี ายนุ อ้ ย สว่ น วัยผู้ใหญ่ควรฝึกท่าสุริยนมสั การ (ท่าบชู าพระอาทติ ย์)

๙๓ การพัฒนาความคดิ สร้างสรรคท์ างทัศนศลิ ป์ ส่วนท่าที่แนะน�ำให้ฝึกเป็นประจ�ำ คือ ท่าโยคะพ้ืนฐาน (โยคะอาสนะ) ปราณายามะ (การฝึกหายใจแบบโยคะ) และการทำ� สมาธิ เพราะการออกกำ� ลัง กายด้วยโยคะ จะชว่ ยเสริมสร้างสขุ ภาพสมอง ท�ำให้กระบวนการชีวเคมใี นสมอง มคี วามพรอ้ มทจี่ ะจดจำ� สงิ่ ใหม่ มสี มาธแิ นว่ แนแ่ ละยาวนานขนึ้ ทง้ั ยงั ชว่ ยใหร้ ะลกึ ความจำ� ระยะยาวเกย่ี วกบั เรอื่ งราวในอดตี ทสี่ ำ� คญั คอื ชว่ ยกระตนุ้ ระบบเผาผลาญ ซึง่ มผี ลดีตอ่ สขุ ภาพมวลรวมดว้ ย ส่วนการปรับสภาพจิตใจ หมายรวมถงึ การมสี ขุ ภาพจิตท่ีดี เป็นบคุ คลที่ คดิ ในดา้ นบวก หรอื เรยี กวา่ คดิ เชงิ บวก ทง้ั สง่ ผลตอ่ ทศั นคตดิ ว้ ย ซงึ่ ทศั นคตนิ อี้ าจ เปน็ ปจั จยั ทส่ี ำ� คญั ทม่ี ผี ลตอ่ กระบวนการคดิ สรา้ งสรรคม์ ากกวา่ สภาพทางรา่ งกาย เสียอีก เพราะการคิดว่าตนเองไม่สามารถคิดสร้างสรรค์ได้ส่ิงแปลกใหม่กว่าเดิม นั้น เป็นสง่ิ ที่บ่นั ทอนและปดิ กน้ั ความคิดเชิงสร้างสรรค์ วิธีแกไ้ ขและปรบั ทัศนคติ ให้เป็นไปในเชิงบวก มหี ลายวธิ ีการ ตัวอยา่ งเช่น การเสาะหาต้นแบบ หรอื ที่รจู้ กั กนั คือ ไอดอล (Idol) เราคงปฏเิ สธไมไ่ ดว้ า่ ทกุ คนยอ่ มมบี คุ คลในดวงใจทร่ี สู้ กึ เปน็ ทชี่ น่ื ชอบและ หลงใหล หากลองศึกษาชีวประวัติของบุคคลที่ตนชื่นชอบในทุกแง่มุม จะพบว่า ทกุ คนท่ีประสบความส�ำเรจ็ ไม่มีใครเลยทด่ี ำ� เนินชีวิตอยา่ งราบร่นื ประสบการณ์ ท่เี ลวร้ายครั้งแล้วครัง้ เลา่ จะถกู ส่ังสมเปน็ ประสบการณท์ ีจ่ ะนำ� พาความส�ำเร็จใน อนาคต หากม่ันใจอย่างเต็มเปี่ยมว่าบุคคลน้ันเป็นต้นแบบความส�ำเร็จ อาจเร่ิม ทดลองเลยี นแบบในชว่ งแรก เพอื่ สรา้ งแรงบนั ดาลใจในการสรา้ งสรรคค์ วามสำ� เรจ็ ตามแบบอยา่ งน้นั (อิส อะ เวย.์ รอ็ บ, ๒๕๕๑, หน้า ๘๖)

๙๔ การพัฒนาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทศั นศิลป์ จากแนวคิดทกี่ ลา่ วมาข้างตน้ สอดคล้องกบั การศึกษาทางทศั นศิลป์เป็น อย่างมาก กล่าวคือ ผู้ที่เริ่มต้นศึกษาการสร้างสรรค์งานศิลปะ ไม่ว่าจะแขนงใด กต็ าม ในชว่ งแรกยงั ตอ้ งศกึ ษาผลงานของศลิ ปนิ ทมี่ ชี อ่ื เสยี งทวั่ ทกุ มมุ โลก บางสาขา วชิ ามคี วามจำ� เปน็ ตอ้ งคดั ลอกผลงานโบราณ กระบวนการเหลา่ นเ้ี พอ่ื ใหผ้ ศู้ กึ ษามี พน้ื ฐานความรใู้ นแนวงานทต่ี นถนดั และเปน็ แรงบนั ดาลใจใหค้ น้ หา แนวทางของ ตนเอง บท ที่ ๓ ดังนั้น วิธีการสร้างแรงบันดาลใจหรือทัศนคติในเชิงบวก จึงส่งผลดีต่อ กระบวนการคิดสร้างสรรค์ ซ่ึงตรงกับค�ำอธิบายของ เกรียงศักด์ิ เจริญวงศ์ศักด์ิ (๒๕๔๙, หนา้ ๑๕๒-๑๖๘) วา่ หากตอ้ งการเปน็ บคุ คลทม่ี คี วามคดิ สรา้ งสรรคต์ อ้ ง เร่ิมต้นด้วยการสร้างทัศนคติที่ดีเป็นอันดับแรก และได้เสนอหลักการเพ่ือเป็น แนวทางในการปรบั ทศั นคตขิ องตน โดยเรียกหลักการนี้วา่ ๙ อยา่ และ ๙ ต้อง ซงึ่ เป็นข้อห้าม ๙ ข้อและข้อควรปฏิบตั ิอีก ๙ ประการ ตามรายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี ๑. อย่าคดิ แงล่ บ ต้องคดิ แงบ่ วก เนื่องจากความคดิ เป็นสิ่งท่สี �ำคัญ ทง้ั ให้ผลทั้งดแี ละรา้ ย ดงั ที่ อิเมอร์สนั (Emerson) กลา่ วไว้ว่า “จงระวงั สง่ิ ทค่ี ุณคดิ เอาไวเ้ พราะทกุ สิง่ จะเป็นไปตามสิ่งที่ คิด” บุคคลที่มีความคิดสร้างสรรค์จะมีบุคลิกลักษณะและทัศนคติเชิงบวกต่อ

๙๕ การพฒั นาความคิดสร้างสรรคท์ างทศั นศลิ ป์ สถานการณต์ า่ งๆ ทเี่ กดิ ข้ึนเสมอ ตัวอย่างเชน่ คิดวา่ ตนมคี วามคดิ สร้างสรรค์หรือ สามารถคิดค้นรูปแบบผลงานใหม่ๆ ได้มีความเช่ือม่ันว่า ส่ิงที่ท�ำต้องประสบผล สำ� เรจ็ ไมก่ ลวั ทจี่ ะเผชญิ หนา้ ตอ่ ปญั หาทซ่ี บั ซอ้ นหรอื คลมุ เครอื ดงั นนั้ หากตอ้ งการ ประสบความสำ� เรจ็ ดา้ นการคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ปจ์ ำ� เปน็ อยา่ งยงิ่ ทตี่ อ้ งปรบั ความคดิ และทศั นคตขิ องตนใหค้ อ่ นไปในทางบวกเปน็ อนั ดบั แรก เพราะความคดิ เปน็ จดุ เรมิ่ ต้นของการกระทำ� ทุกสง่ิ ๒. อยา่ ชอบพวกมากลากไป ต้องอยอู่ ยา่ งโดดเดี่ยวดบู า้ ง ค�ำแนะน�ำในข้อน้ีมิได้มีจุดมุ่งหมายเพ่ือสร้างความแตกแยก หรือให้ไม่ สนใจใคร แต่เป็นข้อแนะน�ำเพ่ือให้ยอมรับในความคิดท่ีแตกต่างระหว่างบุคคล เนื่องจากบางคร้ังอาจมีบุคคลท่ีคิดดีที่ต่างจากส่วนรวม แต่อาจไม่กล้าน�ำเสนอ ความคิดน้ัน เพราะอาจเกรงว่าสังคมส่วนใหญ่จะไม่ยอมรับและถูกปฏิเสธใน แนวทางใหมท่ น่ี ำ� เสนอ เพราะแนวทางใหมห่ รอื ความคดิ ใหม ่ ในบางกรณอี าจตอ้ ง แลกมาด้วยการลงทุนและลงแรงมากกว่าปกติ โดยส่วนใหญ่คงมีน้อยคนท่ียอม ทมุ่ เทและเหน็ดเหน่ือยเพอื่ สรา้ งสรรค์รูปแบบงานใหม่ ด้วยเหตนุ ้ีเอง การคดั ลอก ผลงานหรอื การละเมดิ ลขิ สทิ ธิ์จงึ เป็นเรอื่ งง่ายและพบเหน็ โดยท่วั ไป

๙๖ การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ป์ ดงั นน้ั หากพจิ ารณาแลว้ วา่ ความคดิ สรา้ งสรรคข์ องตนเปน็ สงิ่ ทเี่ หมาะสม แล้ว ควรรบี กระท�ำตามความคิดนัน้ มากกว่าการเกรงใจสังคม และไมอ่ าจปฏิเสธ ได้ว่า การน�ำเสนอความคิดสร้างสรรค์จะไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ซึ่งเป็นส่ิงท่ีควรรับ ฟังและพิจารณาเพื่อการปรับปรุงแก้ไขความคิดต่อไป การถูกวิพากษ์วิจารณ์จะ ชว่ ยขยายความคดิ ใหร้ ดั กมุ และรอบดา้ นมากขน้ึ เนอื่ งจากในแนวทางทศั นศลิ ปก์ าร ถูกวิจารณ์ผลงานท่ีสร้างสรรค์ขึ้นจากความคิด เป็นสถานการณ์ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดงั นน้ั การจะพฒั นาและปรบั สภาพจติ ใจและทศั นคตเิ ปน็ นกั คดิ สรา้ งสรรคจ์ งึ ควร พัฒนาความเช่อื ม่ันในตนเอง เรยี นร้ทู ่ีจะกลา้ หาญ และยนื ยันความแตกตา่ งทาง ความคดิ ของตน บท ท่ี ๓ จากลักษณะดังกล่าวมานั้น จึงหล่อหลอมให้บุคคลท่ีศึกษาและท�ำงาน ทางทศั นศลิ ปม์ ลี กั ษณะเฉพาะตวั บางประการ ทบ่ี คุ คลนอกวงการอาจมองวา่ แปลก แยกจากสงั คมหรือไมส่ นใจตอ่ ความเป็นไปของสว่ นรวม อนั ทจี่ รงิ มไิ ด้เป็นเชน่ นนั้ เนื่องจากบุคคลที่เกี่ยวข้องกับงานทัศนศิลป์ ยังเป็นส่วนหนึ่งของสังคม แต่มี บุคลิกลักษณะที่ แตกต่างจากบุคคลท่ัวไป เป็นผลมาจากความคิดที่ต่างและมุม มองที่เห็นบางสง่ิ แปลกกว่าผู้อนื่ เท่าน้ัน

๙๗ การพฒั นาความคิดสร้างสรรคท์ างทศั นศลิ ป์ ๓. อยา่ ปดิ กน้ั ตนเองในกรอบแคบๆ แตต่ ้องเปดิ ประสบการณ์ใหมๆ่ อย่เู สมอ ในประเด็นนี้ คาร์ล โรเจอร์ (Carl Rogers) ไดก้ ลา่ วว่า การทเ่ี ราเปดิ ใจ ใหก้ วา้ ง เป็นกญุ แจส�ำคัญทท่ี �ำให้เกดิ ความคิดสรา้ งสรรค์ นวัตกรรมท่ถี ูกสร้างขึ้น เกดิ จากบคุ คลชา่ งคดิ ชา่ งสงั เกต และการเปดิ รบั ประสบการณใ์ หมๆ่ จะทำ� ใหเ้ กดิ ความคดิ สรา้ งสรรคท์ แี่ ปลกใหมต่ ามไปดว้ ย ดงั นนั้ การเปดิ รบั ความรหู้ รอื เรอ่ื งราว ใหม่ๆ รอบตวั จึงถอื เป็นลกั ษณะหนึง่ ของนักคดิ สรา้ งสรรค์ และจะพบวา่ บคุ คล ท่ีท�ำงานเก่ียวข้องกับทัศนศิลป์ มักจะเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อเปล่ียน มุมมองความคิดท่ีแปลกใหม่จากเดิม ทั้งยังมีส่วนช่วยสร้างแรงบันดาลใจต่อการ คิดออกแบบผลงานในรูปแบบและแนวคิดใหม่ๆ ด้วย หากเปรียบเทียบกับบุคคล ท่ีชอบเก็บตัวอยู่ในพ้ืนที่เฉพาะตน จะซึมซับกับสิ่งแวดล้อมท่ีเคยชิน ซึ่งไม่ช่วย กระตุ้นความคิดใหม่ เพราะจะยึดติดอยู่กับประสบการณ์เดิม โอกาสที่จะคิด สร้างสรรค์สงิ่ ใหมย่ ่อมเกิดขน้ึ น้อยกว่า

๙๘ การพฒั นาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทัศนศลิ ป์ ๔. อย่ารกั สบาย แตต่ ้องยอมเหนด็ เหนอื่ ยเพือ่ ความสำ� เร็จ บุคคลผู้มคี วามคิดสร้างสรรค์ จะเป็นผทู้ ่ีทำ� งานเหนื่อยกว่าผู้อ่ืน เพราะมี แรงบันดาลใจภายในเป็นเคร่ืองผลักดันให้อยากประสบความส�ำเร็จ จึงยอมที่จะ ต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคที่เกิดขึ้นอย่างไม่ย่อท้อ ตรงกับค�ำกล่าวหน่ึงท่ีว่า “ไม่เสร็จไม่เลิกรา” และไม่ยอมละทิ้งกลางคัน เม่ือเป็นไปตามน้ีแสดงว่า ผู้ที่มี ความคิดสรา้ งสรรค์ จะเกิดแรงบนั ดาลใจจากภายในมากกว่าภายนอก ฉะน้นั ส่งิ แวดลอ้ มจะเป็นเชน่ ไร อาจมผี ลไมเ่ ท่ากับสภาพจติ ใจทีม่ งุ่ มั่น เด็ดเดย่ี ว อดทนไม่ ล้มเลิก เนอ่ื งจากมีความต้องการทจ่ี ะรอคอยชื่นชมกับผลงานความคดิ ของตน บท ที่ ๓ สำ� หรบั บคุ คลทที่ ำ� งานทางทศั นศลิ ป์ มลี กั ษณะเปน็ อยา่ งทก่ี ลา่ วไวข้ า้ งตน้ ซงึ่ สามารถสงั เกตไดว้ า่ ผทู้ ส่ี รา้ งสรรคผ์ ลงานศลิ ปะ จะจดจอ่ อยกู่ บั การปฏบิ ตั งิ าน ของตน จนบางครั้งมักละเลยกบั การพักผ่อน เป็นผลจากแรงผลักดันภายใน เพอ่ื คาดหวงั ไดช้ นื่ ชมกบั ความงาม รวมทงั้ ความคดิ ทต่ี นไดน้ ำ� เสนอในผลงานทศั นศลิ ป์ แต่ละชิ้น

๙๙ การพัฒนาความคิดสรา้ งสรรค์ทางทัศนศลิ ป์ ๕. อยา่ กลวั แตต่ อ้ งกล้าเสยี่ ง หากบคุ คลเกดิ ความกลวั จะไมม่ แี นวทางหรอื ผลงานใหมเ่ กดิ ขน้ึ เราคงจะ อยู่กับส่ิงเดิมๆ ซึ่งมีความซ้�ำซากจ�ำเจ ผู้ท่ีต้องการพัฒนาตนเองให้เป็นนักคิด สร้างสรรค์ จึงควรปรบั สภาพจติ ใจใหม้ ีความกล้า และทดลองทำ� ในสง่ิ ท่ีไมค่ ุ้นเคย บคุ คลทเ่ี ปน็ นกั คดิ สรา้ งสรรคจ์ ำ� นวนไมน่ อ้ ย จะมคี วามคดิ วา่ “การลองผดิ ลองถกู มีความคมุ้ ค่ากวา่ การไม่ท�ำส่ิงใดเลย” แมก้ ารลองผดิ ลองถกู นนั้ จะไม่ประสบผล สำ� เร็จหรือท�ำให้สญู เสยี ทรัพยากรต่างๆ มากมายก็ตาม การเปน็ นักคดิ สรา้ งสรรค์ จึงควรปรบั สภาพจิตใจตนเอง และเรม่ิ ฝกึ ฝนนสิ ัยให้เปน็ คนกลา้ คิด กล้าลอง กลา้ ท�ำในสิ่งใหม่อย่างเหมาะสม ไม่พึงพอใจในสภาพท่ีคุ้นชิน และพยายามท้าทาย ตนเอง ใหค้ ดิ วา่ น่าจะมสี ิ่งใหมท่ ี่ดีกว่าเดิม มีประโยชนม์ ากกว่าเดมิ สำ� หรับวงการทศั นศิลปโ์ ดยส่วนใหญ ่ พบวา่ บุคคลทส่ี รา้ งสรรคผ์ ลงาน ศลิ ปะ ท่กี ล้าทดลองใช้วัสดอุ ปุ กรณ์ กล้าขดี เขยี น กลา้ ลงสี กลา้ ทดลองเทคนคิ วธิ ี การใหม่ๆ จะเป็นผู้ที่มีความคิดสร้างสรรค์ดีกว่าผู้ท่ีไม่กล้าลงมือปฏิบัติงานเลย ดงั น้ัน หากต้องการเป็นผ้มู ีความคดิ สร้างสรรค์ทางทศั นศลิ ป์ ตอ้ งการสรา้ งสรรค์ รูปแบบผลงานที่แปลกใหม่ ควรละทิ้งความกลัว และกล้าทดลองคิดสร้างสรรค์ ตามความคิดใหม่ แม้ในระยะแรกทท่ี ำ� จะยงั ไมป่ ระสบผลส�ำเรจ็ แตห่ ากไมล่ ะทิง้ กลางคนั สดุ ทา้ ยจะไดช้ นื่ ชมกบั ผลงานทศั นศลิ ปร์ ปู แบบใหมท่ เี่ ปน็ ลกั ษณะเฉพาะ ตน ซ่ึงแตกต่างจากความคดิ ของบุคคลอนื่

๑๐๐ การพฒั นาความคดิ สร้างสรรคท์ างทศั นศิลป์ ๖. อยา่ หมดก�ำลังใจเม่ือพบอุปสรรค แตต่ ้องอดทนเพอ่ื ชน่ื ชมผลงาน การรอคอยใหค้ วามคดิ สรา้ งสรรคเ์ กดิ ขน้ึ มาเปน็ สงิ่ ทยี่ าก และอาจตอ้ งใช้ ระยะเวลานาน โดยปกติบุคคลทั่วไปจะขาดความอดทน เนื่องจากส่วนใหญ่ ต้องการคำ� ตอบและผลที่คาดหวังโดยทันที จึงอาจส่งผลใหห้ มดกำ� ลงั ใจ และบาง กรณอี าจพบกบั ปญั หาอปุ สรรคมากมายหรอื ซบั ซอ้ น การทมี่ คี วามอดทน ไมย่ อ่ ทอ้ ตอ่ อปุ สรรค จะส่งผลให้ประสบผลส�ำเร็จตามท่คี าดหวงั บท ผ้ทู ี่ประสบความสำ� เรจ็ ในชีวติ ทุกคน ตอ้ งผา่ นอุปสรรคมาอยา่ งหนัก จน ท่ี มาถึงวันที่ได้เห็นและชื่นชมกับผลงาน บุคคลทั่วไปจะมองเพียงความส�ำเร็จของ ๓ ผลงาน แต่ละเลยท่ีจะพิจารณาถึงกระบวนการหรือระยะเวลาท่ีผ่านอุปสรรคมา การพัฒนาตนเองให้เป็นนักคิดสร้างสรรค์ จึงต้องมีความอดทนต่อความไม่พึง พอใจในสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ และคิดเสมอว่าสิ่งที่ก�ำลังท�ำอยู่นั้น จะปรากฏผลอนั ยอดเยี่ยมหลังจากปัญหาอปุ สรรคผา่ นพ้นไปแล้ว จากคำ� แนะนำ� ในขอ้ น้ี สอดคลอ้ งกบั กระบวนการสรา้ งสรรคง์ านทศั นศลิ ป์ ผลงานชน้ิ เอกทแี่ สดงถงึ ความคดิ สรา้ งสรรคเ์ หนอื ความดง้ั เดมิ จะตอ้ งใชร้ ะยะเวลา บม่ เพาะเป็นเวลานาน เช่นเดยี วกับการสรา้ งสรรค์ผลงานทศั นศิลปแ์ ต่ละช้นิ ตอ้ ง มรี ะยะเวลาผลติ ผลงานมากพอ หรอื ในบางเทคนคิ วธิ กี ารมคี วามสลบั ซบั ซอ้ น ตอ้ ง ใชค้ วามอดทนอย่างมาก และเม่ือผลงานชิน้ นน้ั ส�ำเรจ็ ลุลว่ งลงด้วยความเรยี บรอ้ ย จะได้ชื่นชมกับความงามที่ปรากฏในผลงาน รวมทั้งเกิดความภาคภูมิใจกับความ ชืน่ ชมของผรู้ บั ชมผลงาน