๑๕๑ การพัฒนาความคิดสร้างสรรคท์ างทศั นศลิ ป์ เม่ือได้ลักษณะและเหตุผลทั้งหมด ผู้ด�ำเนินการจะตั้งค�ำถามเพ่ิมเติมให้ แคบลง เพื่อใหไ้ ดร้ ูปแบบท่ชี ดั เจนขึน้ เชน่ สัตว์ในอุดมคตินอ้ี าศยั อย่ใู นน้ำ� เท่านัน้ สมาชกิ ในกล่มุ จะเสนอความคิดเพม่ิ เติมจากเดมิ ดังแผนภาพตอ่ ไปน้ี คนที่ ๑ คนท่ี ๒ มผี วิ กายสีเขยี วอม ล�ำตวั ใช้เสน้ โค้งเปน็ น้�ำเงินแสดงถงึ ความ หลักสมั พนั ธก์ บั คล่ืน เยอื กเย็น นำ�้ คนที่ ๓ ผ้ดู �ำเนนิ การ คนที่ ๕ ลำ� คอยดื หดได้ สตั วใ์ นอดุ มคติ มือ เท้า มลี ักษณะ สามารถชูคอ อยใู่ นน้ำ� เทา่ นน้ั แบนเพอ่ื การวา่ ยนำ�้ เหนือนำ้� คนที่ ๔ ล�ำตัวเรอื งแสง ส�ำหรับส่องทาง ขณะเคล่อื นตวั ภาพท่ี ๓๔ แสดงการระดมความคิดเพมิ่ เตมิ ค�ำตอบท่ีได้ทั้งหมดของสัตว์ในอุดมคตินี้ เกิดขึ้นจากความคิดของ สมาชิกแตล่ ะบุคคล หากลองใช้จนิ ตนาการนกึ ภาพคณุ ลักษณะท้งั หมดนี้ จะเกิด เป็นรูปแบบของสัตว์ในอุดมคติแบบใหม่ เพื่อใช้ในการสร้างสรรค์ผลงาน ประติมากรรมไทย โดยมีเทคนิคและรูปแบบท่ีแปลกแตกต่างจากรูปแบบ ของสัตว์หมิ พานตท์ มี่ อี ยเู่ ดิม จากเทคนคิ วิธกี ารระดมความคดิ ตามทฤษฎี Synectic ของกอร์ดอน นี้ มีความใกล้เคยี งอยา่ งมากกบั แนวทางการระดมพลังสมอง (Brain storming) ที่ คิดค้นโดย อเล็กซานเดอร์ ออสบอร์น (Alexander Osborn) เป็นเทคนิคการ ระดมความคดิ แปลกๆ ใหมๆ่ โดยไดร้ ับความนยิ มอย่างแพร่หลายในวงการธรุ กจิ ตงั้ แตช่ ว่ งปี ค.ศ.๑๙๕๐ เพอื่ แกไ้ ขปญั หาในองคก์ รจนถงึ ปจั จบุ นั แนวทางนย้ี งั เปน็ วธิ ีการทีไ่ ด้รบั ความนิยมอย่างตอ่ เนอ่ื งในหน่วยงานทกุ ระดับ
๑๕๒ การพฒั นาความคดิ สร้างสรรคท์ างทศั นศลิ ป์ วิธีการระดมสมองของออสบอร์น (Osborn) ประกอบด้วย ข้ันตอน ๒ ระยะ ได้แก่ ข้นั การระดมความคิด และ ข้นั การคัดเลอื กและประเมินความคิด โดย แตล่ ะขน้ั ตอน มหี ลกั การและขอ้ เสนอแนะ เพอ่ื ใหว้ ธิ กี ารทใ่ี ชม้ ปี ระสทิ ธภิ าพ มากทีส่ ดุ ดังรายละเอยี ดต่อไปนี้ ๑. ขน้ั การระดมความคดิ ๑.๑ การเลอื กบคุ คลมาเปน็ สมาชกิ ภายในกลมุ่ ควรเลอื กบคุ คลใหม้ คี วาม หลากหลาย เน่ืองจากความแตกตา่ งระหว่างบุคคลทห่ี ลากหลาย จะท�ำใหแ้ ตล่ ะ บุคคลมีความคิดต่างมุมมองได้มาก เช่น มีความแตกต่างทางด้านวัย อาชีพ ประสบการณ์ เพศ สาขาวิชาความรู้ หรือรสนิยม ฯลฯ ๑.๒ จำ� นวนสมาชกิ ภายในกลมุ่ ควรอยรู่ ะหวา่ ง ๗ – ๑๒ คน เพราะหาก มีจ�ำนวนสมาชิกน้อยความคิดที่ได้ย่อมแตกต่างและมีความหลากหลายน้อย แต่ หากมีจ�ำนวนสมาชิกมากเกินไป จะส่งผลต่อการบริหารจัดการความคิดภายใน กล่มุ ๑.๓ ระยะเวลาที่ใช้ในการด�ำเนินการระดมสมอง ควรอยู่ในช่วงเวลา ๑๕ – ๒๐ นาทีหรืออาจมีการแบง่ ออกเป็นรอบๆ ละ ๑๐ นาทีและมีระยะเวลา สำ� หรบั การพกั หรอื เปลย่ี นอริ ยิ าบถ เพอื่ ไมใ่ หส้ มาชกิ ภายในกลมุ่ มคี วามคดิ วนเวยี น อยกู่ ับบรรยากาศเดิมนานจนเกินไป ๑.๔ เขียนหัวข้อทตี่ อ้ งการให้สมาชิกภายในกลมุ่ คิดร่วมกนั ลงบน กระดานให้ชดั เจน ๑.๕ ผู้ด�ำเนินการควรจดรายละเอียดทุกความคิด แต่ห้ามการวิพากษ์ วจิ ารณห์ รอื เยาะเยย้ ความคดิ ของบคุ คลอนื่ ซง่ึ จะสง่ ผลตอ่ บรรยากาศภายในกลมุ่ บท และอาจไม่ได้รับความคิดจากบุคคลที่ถูกวิจารณ์อีก ซึ่งอาจเป็นความคิดที่แปลก แตกต่างและเปน็ ประโยชน ท่ี ๑.๖ เปิดโอกาสให้สมาชิกทุกคนได้แสดงความคิด พยายามให้ทุกคนได้ ๔ แสดงความคดิ คดิ สง่ิ ใดไดก้ ใ็ หพ้ ดู ออกมา แมค้ วามคดิ นน้ั จะซำ�้ กบั บคุ คลอน่ื กต็ าม เพราะหากปล่อยใหบ้ รรยากาศเงยี บ ความคดิ ของแตล่ ะบุคคลจะหยดุ ชะงกั ลง ๑.๗ เม่อื ถึงระยะเวลาท่ีกำ� หนด ใหท้ กุ คนหยุดการด�ำเนินกจิ กรรม จาก กระบวนการดงั กลา่ ว ผลทไ่ี ดร้ บั คอื จำ� นวนของความคดิ หรอื คำ� ตอบ ซง่ึ มลี กั ษณะ เชงิ ปรมิ าณ เปน็ ความคดิ ใหมท่ ย่ี งั อาจนำ� ไปใชง้ านไมไ่ ด้ จงึ ตอ้ งนำ� ความคดิ ทไ่ี ดร้ บั ทงั้ หมด เข้าสู่กระบวนการคดั เลือกและประเมินความคดิ
๑๕๓ การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรค์ทางทศั นศิลป์ ๒. ข้ันการคดั เลอื กและประเมนิ ความคดิ ๒.๑ คัดเลือกค�ำตอบหรือความคิดใหม่ท้ังหมดท่ีได้รับมาในข้ันท่ี ๑ ว่า สามารถใชง้ านได้มากน้อยเพียงใด มีความน่าสนใจ เหมาะสม หรือมีความแปลก ใหม่แท้จริงหรือไม่ โดยใช้การใคร่ครวญอย่างมีเหตุผลว่า ความคิดใดสามารถใช้ งานกับสถานการณ์ทต่ี อ้ งการไดอ้ ย่างเหมาะสม ๒.๒ เมอื่ ไดค้ วามคดิ จำ� นวนหนงึ่ จากขอ้ ๒.๑ นำ� มาพจิ ารณาอกี ครง้ั โดย เปดิ โอกาสใหม้ กี ารวพิ ากษว์ จิ ารณ์ หรอื แสดงความคดิ เหน็ ตอ่ ความเหมาะสมของ ความคิดทเี่ หลอื อยู่ ๒.๓ พยายามคัดกรองจนเหลอื ความคดิ ทีเ่ หมาะสมกบั สถานการณ์และ ตรงกบั จุดมงุ่ หมายของการสรา้ งสรรค์ผลงานมากทส่ี ุด จากขั้นตอนการระดมสมองตามแนวคิดของออสบอร์น สามารถน�ำมา ปรับใช้กบั การสร้างสรรคง์ านทศั นศลิ ป์ไดอ้ ยา่ งหลากหลายสาขา โดยเฉพาะกลุ่ม งานศิลปะการออกแบบ ซึ่งผู้เขียนมีตัวอย่างรูปแบบการปรับใช้แนวคิดดังกล่าว ดังต่อไปนี้ ผู้สอนก�ำหนดหัวข้อของการคิดสร้างสรรค์ เช่น การออกแบบเก้าอ้ี แสนสบาย โดยมอบหมายใหผ้ ู้เรียนจดั กลมุ่ ๆ ละ ๗ คน สมาชิกภายในกลุ่มคละ ระหวา่ งกนั ทงั้ ชายและหญงิ มคี วามสามารถเกง่ ปานกลาง และออ่ นรวมอยภู่ ายใน แตล่ ะกลมุ่ จากนน้ั ใหค้ ดั เลอื กหวั หนา้ กลมุ่ เพอื่ ทำ� หนา้ ทจี่ ดบนั ทกึ ความคดิ หรอื คำ� ตอบ โดยเริม่ ต้นจากขัน้ ตอนตามแนวคิดของออสบอร์น (Osborn) ประกอบดว้ ย ๑. ขัน้ การระดมความคิด ๑.๑ ผู้สอนมอบหมายให้สมาชิกภายในกลุ่ม เสนอความคิดต่อการ ออกแบบเก้าอ้แี สนสบาย ว่าควรมรี ูปแบบและคุณลักษณะเชน่ ไร ๑.๒ ผสู้ อนกำ� หนดระยะเวลาใหแ้ ตล่ ะกลมุ่ เสนอความคดิ เปน็ ระยะเวลา ๑๐ นาที ๑.๓ หวั หนา้ กลมุ่ เปน็ ผดู้ ำ� เนนิ การจดบนั ทกึ ความคดิ หรอื คำ� ตอบ ทสี่ มาชกิ เสนอมาทัง้ หมด
๑๕๔ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศิลป์ ๑.๔ เมอ่ื ครบกำ� หนดเวลา ผสู้ อนใหห้ ยดุ การดำ� เนนิ กจิ กรรม และสอบถาม จ�ำนวนความคิดของแต่ละกลุ่ม เป็นการให้เวลาผู้เรียนได้ผ่อนคลายความคิดช่ัว ขณะหนึ่ง ๑.๕ ผู้สอนกำ� หนดระยะเวลาเพม่ิ เติมอีก ๑๐ นาที โดยใหผ้ เู้ รียนดำ� เนิน กจิ กรรมเชน่ เดมิ ๑.๖ เม่อื ถึงกำ� หนดเวลา ใหผ้ ู้เรยี นหยดุ กิจกรรมทง้ั หมด และสรปุ จำ� นวน ความคิดท่ไี ด้ ๒. ขน้ั การคัดเลือกและประเมนิ ความคดิ ๒.๑ ผู้สอนให้แต่ละกลุ่มจัดกลุ่มความคิดที่มีลักษณะร่วมเดียวกันไว้ใน ประเด็นเดียวกนั ๒.๒ เม่ือได้ประเด็นรูปแบบหรือคุณลักษณะแล้ว ผู้สอนมอบหมายให้ ผ้เู รียนพจิ ารณาความคิดทไี่ ดต้ ามเงื่อนไขท่ผี สู้ อนก�ำหนดไว้ เชน่ ต้องเปน็ เกา้ อี้ทมี่ ี รปู แบบแปลกใหม่ ตอ้ งใชว้ สั ดทุ แี่ ขง็ แรงและทหี่ าไดท้ ว่ั ไป ตอ้ งทำ� ใหเ้ กดิ ความรสู้ กึ ทผี่ ่อนคลาย ฯลฯ ๒.๓ เมื่อผู้เรียนเข้าใจในเงื่อนไข จะด�ำเนินการตรวจสอบ และวิพากษ์ ความคิดต่าง ๆ ในแตล่ ะประเดน็ จนไดค้ วามคิดท่ีเหมาะสมท่ีสดุ อนึ่ง ความคิดท่ีได้จากการระดมสมองตามแนวคิดของออสบอร์นนี้ ยัง เปน็ เพยี งข้อมูลทจี่ ะนำ� ไปส่กู ระบวนการรา่ งแบบให้มีลกั ษณะเป็นรูปธรรม ดงั นน้ั เม่ือถึงกระบวนการออกแบบ อาจมีการปรับปรุงรูปแบบให้ความเหมาะสมและ บท ลงตวั มากข้ึน ที่ เทคนคิ วิธกี ารระดมสมองตามแนวคดิ ของออสบอรน์ ท่ีอธบิ ายไวข้ า้ งตน้ ๔ จะเรม่ิ ตน้ จากความคดิ ทเ่ี ปน็ อสิ ระ ไมจ่ ำ� กดั ขอบเขตของความคดิ ในแตล่ ะมติ ิ เมอื่ ไดค้ วามคดิ มากเพยี งพอ จะใชค้ วามคดิ เชงิ เหตผุ ลเพอื่ วพิ ากษว์ จิ ารณ์ เปน็ การกลน่ั กรองความคดิ ทไี่ ดจ้ นเปน็ ความคดิ ทเี่ หมาะสมกบั สถานการณล์ กั ษณะของเทคนคิ วิธีการนี้ สามารถพจิ ารณาได้จากแผนภาพดังต่อไปนี้
๑๕๕ การพัฒนาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ป์ การระดมสมองตามแนวคดิ ของออสบอรน์ ขัน้ การระดมความคิด สมาชกิ ๒ สมาชกิ ๓ สมาชกิ ๔ สมาชกิ ๕ สมาชกิ ๖ ๑๒ ๓๔ ๕๖ ๗๘ ๙ ๑๐ สมาชกิ ๑ (หัวหน้า) (จดบนั ทกึ ) ขัน้ การคดั เลอื กและประเมินความคิด ๑๒ ๓ ๔ ภาพท่ี ๓๕ แสดงขัน้ ตอนของเทคนคิ การระดมสมองตามแนวคิดของออสบอรน์ การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลปด์ ้วยเทคนคิ การเปรยี บเทียบ (Comparison technique) เทคนคิ วธิ กี ารนม้ี งุ่ เนน้ การพฒั นาเพอ่ื ตอ่ ยอดรปู แบบผลงานทางทศั นศลิ ป์ ให้เกิดรูปแบบที่แปลกแตกต่างและดีกว่าเดิม โดยใช้ตัวเปรียบส�ำหรับเทียบเคียง รปู แบบในประเดน็ ตา่ งๆ โดยวธิ กี ารนมี้ คี วามเหมาะสมเปน็ อยา่ งยง่ิ กบั การพฒั นา และตอ่ ยอดรปู แบบของผลติ ภณั ฑห์ รอื ผลงานศลิ ปะการออกแบบมากกวา่ ผลงาน ทศั นศิลปท์ างดา้ นแขนงอืน่ โดยมีแนวคดิ ตามแผนภาพตอ่ ไปน้ี
๑๕๖ การพัฒนาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทศั นศิลป์ ความคดิ ความคดิ A B รปู รา่ ง รปู ทรง ขนาด สี การใชง้ าน วสั ดุ ลกู เล่น ผลงานรูปแบบใหม่ บท ภาพท่ี ๓๖ แสดงการเปรยี บเทียบเพ่อื กระบวนการคดิ สร้างสรรค์ผลงานรูปแบบใหม่ ที่ ๔ จากแผนภาพข้างต้น สามารถอธิบายได้ว่า เทคนิคการพัฒนาความคิด สร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์ โดยเฉพาะผลงานศิลปะการออกแบบ เร่ิมต้นจากการ ศกึ ษาเปรยี บเทยี บรปู แบบและคุณลักษณะของผลงานที่มีอย่เู ดมิ จำ� นวน ๒ ช้ิน ขน้ึ ไป โดยผลงานนน้ั อาจเปน็ ความคดิ เดมิ ของตนเองหรอื ผลงานของบคุ คลอนื่ แต่ ตอ้ งนำ� มาพฒั นาตอ่ ยอดใหเ้ กดิ ความแปลกใหมแ่ ละแตกตา่ ง รวมทง้ั มปี ระสทิ ธภิ าพ ท่ดี ีกวา่ เดิม โดยพิจารณาถึงประเด็นต่างๆ เชน่ รปู รา่ ง ขนาด สกี ารใชง้ าน วัสดุ คณุ ภาพของวสั ดุ ลกู เลน่ (Gimmick) ฯลฯ เมอ่ื เปรยี บเทยี บแตล่ ะประเดน็ จากตวั
๑๕๗ การพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์ เปรียบทั้งหลายแล้ว จะเกิดความคิดสร้างสรรค์ว่า แต่ละประเด็นท่ีพิจารณาน้ัน สามารถพฒั นาตอ่ ยอด เปลยี่ นแปลง ปรบั ปรงุ ไดอ้ ยา่ งไรบา้ ง เพอื่ ใหแ้ ตกตา่ งและ ดีกว่าตวั เปรยี บเหล่าน้ัน ลักษณะเช่นนี้มีความใกล้เคียงกับการประเมินผลงานด้วยวิธีการของ Brense Mark ทีม่ กี ารคดั เลอื กผลงานท่ีเหมาะสมมาใชเ้ ป็นตัวกลาง ส�ำหรบั การ เปรียบเทียบกับผลงานชิ้นอ่ืนๆ แต่การประเมินผลงาน ด้วยการใช้วิธีการของ Brense Mark มจี ดุ มงุ่ หมายเพยี งการประเมนิ และตดั สนิ คณุ คา่ ของผลงานเทา่ นนั้ มไิ ดม้ ผี ลถงึ การวเิ คราะหป์ ระเดน็ ตา่ งๆ เพอ่ื การพฒั นาตอ่ ยอดรปู แบบของผลงาน การพฒั นาความคดิ สร้างสรรคท์ างทัศนศิลป์ โดยใช้วัฒนธรรมเปน็ ฐาน การสรา้ งสรรคผ์ ลงานทางทศั นศลิ ป์ ผสู้ รา้ งผลงานจะใหค้ วามสำ� คญั และ สนใจต่อกระบวนการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะแต่ละแขนง จึงอาจมองข้ามความ ส�ำคัญของวัฒนธรรมท่ีมีส่วนช่วยส่งเสริมและกระตุ้นกระบวนการคิดสร้างสรรค์ ใหเ้ กดิ ความหลากหลายทางดา้ นแนวคดิ และรปู แบบผลงานมากยง่ิ ขนึ้ เพราะหาก วฒั นธรรมใดมคี วามหลากหลาย ยง่ิ ชว่ ยสง่ เสรมิ ใหร้ ปู แบบผลงานทศั นศลิ ปม์ คี วาม หลากหลายตามไปดว้ ย และเปน็ เครอื่ งสะทอ้ นถึงภมู ปิ ัญญา ความคิดสรา้ งสรรค์ ของผคู้ นในวัฒนธรรมนน้ั ๆ ไดด้ ้วย วฒั นธรรม (Culture) หมายความถงึ วถิ ชี วี ติ (Way of Life) หมายความ รวมไปถึงทุกสิ่งอย่างท่ีแวดล้อมรอบตัว เช่น การด�ำเนินชีวิตด้านอาหารการกิน สภาพทางภูมศิ าสตร์ ระบบการบริหารจดั การ คา่ นยิ ม คตคิ วามเชอื่ หรอื รวมไป ถงึ ผลงานศลิ ปวตั ถสุ ถานแตล่ ะลกั ษณะดว้ ย เมอื่ ผลงานทศั นศลิ ปท์ กุ ประเภท เปน็ ผลมาจากความคิด ทกั ษะฝมี ือ ภูมปิ ญั ญาของคนและผสู้ ร้าง โดยคนหรอื ผสู้ รา้ ง เป็นส่วนหนึ่งในสังคมวัฒนธรรม ดังน้ัน วัฒนธรรม จึงส่งผลต่อระบบและ กระบวนการคิดสรา้ งสรรค์ใหเ้ กดิ ผลงานทศั นศลิ ปด์ ้วย ตามแผนภาพตอ่ ไปนี้
๑๕๘ การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศลิ ป์ คติความเชอื่ อาหาร การเมือง กิจกรรมทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกจิ คา่ นิยม ศลิ ปกรรม ความคิดของผู้สรา้ ง ผลงานรูปแบบใหม่ ภาพที่ ๓๗ ลกั ษณะการคดิ สร้างสรรค์จากวฒั นธรรม บท จากแผนภาพท่ีน�ำเสนอข้างต้น สามารถอธิบายได้ว่า ผลงานทาง ท่ี ทัศนศลิ ปท์ ถี่ กู สรา้ งสรรค์ขน้ึ แตล่ ะประเภทนั้น เปน็ ผลมาจากวฒั นธรรมในแตล่ ะ ๔ มิติหล่อหลอมให้ผู้สร้างหรือผู้คนท่ีอาศัยอยู่ในวัฒนธรรมเกิดแรงบันดาลใจ และ ส่งผลต่อกระบวนการคิดสร้างสรรค์ คิดแก้ไขปัญหา จนเกิดเป็นรูปแบบของผล งานทศั นศลิ ปท์ ป่ี รากฏใหเ้ หน็ โดยทว่ั ไป ทง้ั ผลงานประเภทจติ รกรรม ประตมิ ากรรม สถาปตั ยกรรม ศลิ ปหตั ถกรรม ฯลฯ
๑๕๙ การพฒั นาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทศั นศิลป์ เทคนิควิธีการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์โดยใช้วัฒนธรรม เปน็ ฐาน สามารถกระท�ำได้ ๒ ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ การพิจารณาจากวัฒนธรรมประจำ� ท้องถิ่น และการพิจารณาจากวัฒนธรรมเก่าและใหม่ โดยแต่ละลักษณะมี กระบวนการและขนั้ ตอนดังต่อไปน้ี ๑. การคิดสรา้ งสรรคโ์ ดยพิจารณาจากวัฒนธรรมประจ�ำท้องถิ่น วฒั นธรรมประจำ� ทอ้ งถน่ิ เปน็ สงิ่ ทเ่ี กดิ ขน้ึ และดำ� เนนิ ไปอยา่ งเปน็ ปกตจิ น บางคร้งั ผู้สร้างผลงานทีพ่ บเห็นและคุ้นเคยกับวัฒนธรรมประจำ� ท้องถิ่น อาจมอง ขา้ มและรู้สกึ ว่าเป็นเรื่องปกตธิ รรมดา แต่ในความเป็นจริงวัฒนธรรมที่คุ้นเคย จะ มบี างสว่ นทสี่ ามารถนำ� มาเปน็ แรงบนั ดาลใจ เพอื่ ทจี่ ะกระตนุ้ แนวความคดิ ตอ่ การ สรา้ งสรรค์ผลงานทางทัศนศลิ ปไ์ ด้ ดังตวั อยา่ งเชน่ รปู แบบการสร้างสรรค์ผลงาน ประตมิ ากรรม เพอื่ จดั ตง้ั สำ� หรบั การแสดงออกถงึ เอกลกั ษณป์ ระจำ� ถนิ่ ตอ้ งมกี าร ศึกษาว่า ในท้องถ่ินนั้นมีสิ่งใดท่ีสามารถใช้เป็นสื่อท่ีบ่งบอกถึงอัตลักษณ์ของท้อง ถน่ิ เช่น อ�ำเภอพนสั นคิ ม จังหวดั ชลบรุ ี ปรากฏงานฝมี ือลกั ษณะหน่ึง คอื เครื่อง จักสาน เป็นผลงานศิลปหัตถกรรมท่ีผลิตข้ึนไว้ใช้สอย และมีลักษณะเฉพาะ ประจำ� อำ� เภอพนสั นคิ ม เมอื่ ไดห้ วั ขอ้ เรอ่ื งเกยี่ วกบั เครอ่ื งจกั สานแลว้ ขน้ั ตอน ต่อไปเป็นการก�ำหนดรูปแบบว่า เคร่ืองจักสานใดที่มีความเป็นท้องถ่ินเมือง พนัสนิคมมากที่สุด จึงท�ำการคัดเลือกรูปแบบน้ัน เพ่ือการออกแบบและจัด สรา้ ง ในการออกแบบอาจคดั ลอกรปู แบบใหเ้ กดิ ความเหมอื นจรงิ กบั เครอ่ื งจกั สาน ตน้ แบบ หรืออาจท�ำการตดั ทอน คลีค่ ลายให้มีความเรยี บง่าย หรือร่วมสมยั มาก ขน้ึ เมอ่ื ไดข้ อ้ สรปุ เกย่ี วกบั รปู แบบ ขนั้ ตอนตอ่ ไปเปน็ การศกึ ษาเกย่ี วกบั วสั ดใุ นการ สร้างสรรค์ผลงานประติมากรรมขนาดใหญ่ โดยได้แรงบันดาลใจจากศิลป หัตถกรรมในท้องถ่ิน ซึ่งเป็นส่วนหน่ึงของวัฒนธรรมประจ�ำอ�ำเภอพนัสนิคม ดงั แผนภาพต่อไปน้ี
๑๖๐ การพัฒนาความคิดสร้างสรรคท์ างทัศนศิลป์ วฒั นธรรมพนสั นิคม ประเพณี เครือ่ งจักสาน ประเพณี พระพนัสบดี เส่อื ตะกร้า กระบุง ขอ้ ง วสั ดุ ปนู ไม้ไผ่ โลหะ ประติมากรรมประจำ� ทอ้ งถ่นิ พนัสนิคม ภาพท่ี ๓๘ แสดงตัวอยา่ งการคิดสร้างสรรคจ์ ากวัฒนธรรม อำ� เภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี ๒. การคดิ สร้างสรรค์โดยพจิ ารณาจากวัฒนธรรมเก่าและใหม่ วฒั นธรรมเกา่ และใหม่ หมายความถงึ วถิ ชี วี ติ ของคนในอดตี และทด่ี ำ� เนนิ อย่ใู นปจั จบุ นั ซึง่ สามารถน�ำขอ้ มลู หรอื รปู แบบทางวัฒนธรรมทั้งเกา่ และใหม่ มา บท ใช้เพ่ือกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ และออกแบบเป็นช้ินงานทางทัศนศิลป์แต่ละ ที่ ลักษณะ ตัวอย่างเช่น การน�ำรูปทรงของเคร่ืองปั้นดินเผาในวัฒนธรรมบ้านเชียง มาใชเ้ ปน็ รปู แบบเพอ่ื สรา้ งสรรคผ์ ลงาน แตก่ ารตกแตง่ ลวดลายมลี กั ษณะอยา่ งใหม่ ๔ โดยใช้สีสันและลวดลายท่ีนิยมในสมัยปัจจุบัน จะได้ผลงานทัศนศิลป์ท่ีแตกต่าง จากสง่ิ เดมิ แตย่ งั สามารถศกึ ษาทม่ี าของแรงบนั ดาลใจในการสรา้ งสรรคผ์ ลงานชนิ้ นนั้ ได้ หรอื การสรา้ งสรรค์ผลงานประเภทจิตรกรรมไทยแบบประยุกต์ ทม่ี ีรูปแบบ ของตวั ภาพที่มลี กั ษณะเป็นบุคคล สถานท่ี และเหตกุ ารณ์ทีเ่ กิดขึ้นในปัจจบุ นั แต่ นำ� วธิ กี ารลงสอี ยา่ งจติ รกรรมแบบ ไทยประเพณที ใ่ี ชน้ อ้ ยสแี ละไมแ่ สดงแสงเงาของ
๑๖๑ การพฒั นาความคดิ สร้างสรรค์ทางทศั นศิลป์ บรรยากาศและตัวภาพ จะเกิดลักษณะของจิตรกรรมไทยท่ีมีรูปแบบของการ สร้างสรรค์ผลงานที่แตกต่างจากทั้งอดีตและสมัยใหม่ เป็นต้น ตามลักษณะของ แผนภาพด้านล่างน้ี วฒั นธรรมเกา่ ผลงานรูป วฒั นธรรมใหม่ แบบใหม่ รปู ทรง รูปทรง สี สี เรอ่ื งราว เรอื่ งราว วิถชี ีวติ วถิ ชี วี ิต ภาพที่ ๓๙ แสดงการคิดสร้างสรรคจ์ ากวฒั นธรรมเก่าและใหม่ อีกตัวอย่างหนึ่งท่ีเกิดขึ้นในปัจจุบัน ท่ีสอดคล้องกับลักษณะของการ สรา้ งสรรคท์ ศั นศลิ ปจ์ ากแนวคดิ วฒั นธรรมเกา่ และใหม่ คอื รปู ประตมิ ากรรมสนุ ขั ที่มีรูปลักษณ์ท่ีคล่ีคลายจากแบบเหมืนจริง แต่มีการปิดประดับพื้นผิวด้วยแผ่น ทองค�ำเปลวแท้ ซึ่งการปิดประดับด้วยแผ่นทองค�ำดังกล่าว เป็นลักษณะของผล งานทัศนศลิ ปข์ องไทย ที่นิยมใช้กับรูปเคารพทางศาสนา โดยเฉพาะพระพทุ ธรปู แต่ผลงานช้ินน้ีน�ำมาปรับใช้กับประติมากรรมสมัยใหม่ เป็นการผสมผสาน ลักษณะของวัฒนธรรมแบบเก่าและแบบใหม่ (Modern) ได้อยา่ งลงตวั
๑๖๒ การพฒั นาความคดิ สร้างสรรคท์ างทศั นศิลป์ ภาพที่ ๔๐ ประตมิ ากรรมประดบั ด้านหนา้ อาคาร Bangkok Art Biennale อยู่ตรงขา้ มกบั สวนลุมพินี การใช้ข้อมูลหรือรูปแบบทางวัฒนธรรม เพื่อน�ำมาปรับใช้ในการ สรา้ งสรรคผ์ ลงานทัศนศลิ ป์ หรอื ใชเ้ ป็นแรงบันดาลใจเพ่อื กระตุ้นความคิดในการ สรา้ งสรรคผ์ ลงาน มขี อ้ ควรค�ำนึงถึง ซ่งึ อาจมีผลกระทบต่อสภาพจิตใจและขนบ จารตี ของบุคคลในสังคมวฒั นธรรมนัน้ ด้วย ดงั น้ี บท ๑. ควรหลีกเลี่ยงการน�ำส่ิงเคารพตามความเช่ือในท้องถิ่นมาใช้อย่างไม่ ที่ เหมาะสม เพ่อื น�ำมาผสมผสานกบั ศลิ ปะรปู แบบสมยั ใหม่ ที่อาจขัดตอ่ จารีตหรอื ๔ ความรู้สึกของบคุ คลในสงั คมวัฒนธรรม โดยกรณนี ้ีมีประเด็นปญั หาทีส่ รา้ งความ ขดั แยง้ ตอ่ ความคดิ ความเชอื่ ของสงั คมหลายครง้ั สง่ ผลใหเ้ กดิ ขอ้ พพิ าททางความ คิดเห็นได้ เช่น กรณีการน�ำรูปแบบพระพุทธรูป ซึ่งเป็นรูปเคารพทางพระพุทธ ศาสนา และมฐี านะเปน็ รปู แทนขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ มาสรา้ งสรรค์ รวมกบั รปู แบบของภาพการต์ นู สมยั ใหม่ แมค้ ณุ ภาพของผลงานจะออกมาดเี ยย่ี ม แสดงให้เห็นถึงทักษะฝีมือของผู้สร้าง แต่รูปแบบการน�ำเสนอดังกล่าว ส่งผลต่อ คตคิ วามเชือ่ และความรู้สึกท่ีขัดตอ่ จารตี ของผู้คนในสังคมวัฒนธรรมนั้น
๑๖๓ การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศิลป์ ๒. ควรศึกษาข้อมูลและรายละเอียดของวัฒนธรรมให้เข้าใจอย่างลึกซ้ึง การตดั ตอนมาใชเ้ พยี งบางสว่ น โดยไมเ่ ขา้ ใจในภาพรวม อาจสง่ ผลตอ่ ความไมเ่ ขา้ ใจ ของคนในสังคม ได้หรือบางกรณีข้อห้ามในวัฒนธรรมท่ีแตกต่างหรือไม่คุ้นเคยท่ี หา้ มในบางสงิ่ หากน�ำมาใช้สรา้ งสรรค์ผลงาน อาจส่งผลกระทบต่อวถิ ีชีวติ ของ คนในท้องถิ่นได้ ตัวอย่างเช่น การออกแบบบรรจุภัณฑ์ส�ำหรับการบรรจุอาหาร ของชาวมุสลิม ควรหลีกเล่ียงรูปภาพของสัตว์ต้องห้าม ไม่ว่าจะแสดงออกในรูป แบบเหมือนจรงิ หรอื ภาพการต์ ูนก็ตาม เนอ่ื งจากเปน็ ข้อหา้ มในศาสนาและส่งผล ตอ่ รูปแบบของผลงานเป็นอย่างมาก ๓. ขอ้ มลู บางลกั ษณะ เปน็ รายละเอยี ดทางประวตั ศิ าสตร์ ควรศกึ ษาและ มกี ารตรวจสอบขอ้ มลู จากหลายแหลง่ จนเชอ่ื มน่ั วา่ ขอ้ มลู ทน่ี ำ� มาใชม้ คี วามถกู ตอ้ ง และเปน็ ทยี่ อมรับในวงกวา้ ง เชน่ หากตอ้ งการออกแบบสมุดภาพการต์ ูนเล่าเรื่อง ราวทางประวัติศาสตร์สมัยสงครามเก้าทัพ จ�ำเป็นอย่างยิ่งต้องศึกษาข้อมูลจาก เอกสาร ประเภทพงศาวดารท้ังของไทยและเมียนมาร์ รวมถึงผลงานการศึกษา ของนักวิชาการเกยี่ วกบั เหตกุ ารณใ์ นชว่ งเวลาดังกล่าว เพราะหากน�ำเสนอข้อมลู ผดิ พลาดจากสิ่งที่สงั คมยอมรับ อาจเกดิ การวพิ ากษ์วจิ ารณ์ในข้อมูล ถึงแมว้ ่ารูป แบบการนำ� เสนอจะมีความนา่ สนใจก็ตาม จากข้อเสนอดังกล่าวข้างต้น อาจรู้สึกว่าเทคนิควิธีการพัฒนาความคิด สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ปโ์ ดยใชว้ ฒั นธรรมเปน็ ฐาน คอ่ นขา้ งมกี รอบมากกวา่ เทคนคิ วิธีการอื่น ซึ่งอาจขัดแย้งต่อแนวคิดของกระบวนการคิดสร้างสรรค์ที่มุ่งเน้นการ คลคี่ ลายและมอี สิ ระทางความคดิ แตใ่ นการสรา้ งสรรคผ์ ลงานทางทศั นศลิ ปแ์ ตล่ ะ ประเภท หลกี เลย่ี งไมไ่ ดท้ ตี่ อ้ งใชบ้ รบิ ททางวฒั นธรรมมาเปน็ เครอื่ งมอื นำ� เสนอผล งาน โดยเทคนคิ วธิ กี ารทน่ี ำ� เสนอมานน้ั เปน็ เพยี งแนวทางหนง่ึ ทมี่ สี ว่ นชว่ ยกระตนุ้ ความคดิ สรา้ งสรรคท์ างดา้ นทศั นศลิ ปใ์ นการออกแบบ และสรา้ งสรรคใ์ หเ้ กดิ ความ สมบรู ณท์ ้ังในด้านเน้ือหาสาระ เรอ่ื งราว เทคนคิ กระบวนการ ทกั ษะฝมี อื รวมทงั้ คติความเชอื่ ทีส่ ่งเสรมิ ขนบนยิ มในวฒั นธรรมนั้นๆ
๑๖๔ การพฒั นาความคิดสร้างสรรคท์ างทศั นศลิ ป์ กา การพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ทางทศั นศิลป์ด้วยการวิจารณศ์ ิลปะ การวจิ ารณใ์ นบรบิ ททางทศั นศลิ ป์ จะเกดิ ขนึ้ หลงั จากทผี่ สู้ รา้ งผลงาน นำ� เสนอช้ินงานศิลปะท่ีผ่านกระบวนการคิด และสร้างสรรค์ผลงานเป็นรูปธรรม เรยี บรอ้ ยแลว้ เพือ่ อธบิ ายแนวความคิดทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั ผลงาน การวิจารณ์จึงเป็น ขั้นตอนท่ีเกิดขึ้นหลังจากเจ้าของผลงานน�ำเสนอรายละเอียดท่ีเก่ียวข้องแล้ว มี จุดมุ่งหมายเพื่อประเมินและตัดสินคุณค่าของผลงานทัศนศิลป์ช้ินน้ันๆ โดยผู้ วิจารณ์ผลงานศิลปะ จะเป็นผู้ที่มีความรู้ความเช่ียวชาญเฉพาะสาขาท่ีเก่ียวข้อง กับผลงานทศั นศิลปน์ ัน้ โดย เรณู คฤคราช (๒๕๔๗, หน้า ๕๑๙) ได้เสนอความ หมายของการวิจารณศ์ ลิ ปะใหเ้ ข้าใจมากข้นึ วา่ การวจิ ารณ์ศิลปะ เปน็ กระบวน การพดู บรรยาย อธบิ าย หรือตัดสินคณุ ค่าของผลงานศลิ ปะ รวมท้ังเป็นการวัด และประเมนิ ผล ซง่ึ ผูท้ ีท่ �ำหน้าทนี่ ้ี คือ นกั วิจารณ์ศลิ ปะ (Art Critic) โดยผวู้ ิจารณ์ ผลงานศลิ ปะ ควรยดึ ถอื หลกั การทมี่ พี นื้ ฐานจากความเปน็ จรงิ อารมณ์ ความรสู้ กึ ความคิดเหน็ หรือการแปลความหมายของส่ิงท่ีปรากฏอยใู่ นช้ินงาน ดงั นนั้ การวจิ ารณผ์ ลงานศลิ ปะ จงึ มคี วามเกย่ี วขอ้ งและสมั พนั ธก์ บั ศาสตร์ หลายสาขา เชน่ ประวตั ศิ าสตรศ์ ลิ ปะ ปรชั ญา สนุ ทรยี ศาสตร์ ศาสนาเปรยี บเทยี บ วรรณคดีเปรียบเทียบ จิตวิทยาทางศิลปะ รวมไปถึงเรื่องราวหรือองค์ความรู้ท่ี เก่ยี วข้องกบั สังคมวัฒนธรรมด้วย การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์โดยการวิจารณ์ศิลปะ (Art Critic) นั้น เป็นการน�ำหลักการและแนวความคิดของการวิจารณ์งานศิลปะ มา ปรบั ใชเ้ พอ่ื ใหไ้ ดม้ มุ มองทแ่ี ตกตา่ งจากความคดิ ของเจา้ ของผลงาน ซงึ่ มชี อ่ งทางท่ี บท สามารถกระท�ำใหไ้ ด้แนวคิดและมุมมองจากหลายแหล่ง ดังต่อไปน้ี ที่ ๔ ๑. การวจิ ารณจ์ ากเพอ่ื นร่วมช้นั การวจิ ารณจ์ ากเพอื่ นรว่ มชน้ั เปน็ ชอ่ งทางทใ่ี กลช้ ดิ กบั เจา้ ของผลงานมาก ท่ีสุด ส�ำหรับการวิจารณ์ศิลปะจากช่องทางน้ี อาจไม่ได้รับแนวคิดท่ีใหม่มากนัก เนื่องจากเพื่อนร่วมช้ันเรียน ย่อมมีความคุ้นเคยกับบริบทเดียวกันกับเจ้าของ ผลงาน แต่ในบางกรณีอาจไดร้ ับค�ำแนะน�ำทด่ี เี พ่อื น�ำมาพัฒนาผลงานในประเด็น อื่น ๆ
๑๖๕ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ป์ ๒. การวจิ ารณจ์ ากผู้สอน การวิจารณจ์ ากผูส้ อน เปน็ อีกชอ่ งทางหน่ึงทใ่ี กล้ชิดกบั ผเู้ รียนพอสมควร และอาจเป็นผู้ทีใ่ หแ้ นวความคิด และค�ำแนะนำ� ทเี่ ปน็ ประโยชน์ เนอ่ื งจากผ้สู อน เป็นผู้ที่ก�ำหนดหัวข้อ และมอบหมายงาน ซึ่งจะมีความเข้าใจในลักษณะงาน รวมท้งั ศกั ยภาพของผู้เรยี นแตล่ ะบุคคลเป็นอย่างดี ๓. การวจิ ารณ์จากผเู้ ช่ยี วชาญ การวิจารณ์จากผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นอีกช่องทางหน่ึงที่มี โอกาสเกิดข้ึนได้ แต่อาจจะน้อยกว่า ๒ ช่องทางแรก ซ่ึงในระดับการศึกษาที่ต�่ำ กว่าปริญญาตรี โอกาสท่ีผู้เรียนจะได้พบกับบุคคลกลุ่มน้ีค่อนข้างน้อย หากมิได้ รจู้ กั เปน็ การสว่ นตวั จะเขา้ ถงึ บคุ คลเหลา่ นไ้ี ดย้ าก แตห่ ากไดร้ บั คำ� แนะนำ� และขอ้ เสนอจากผเู้ ชยี่ วชาญเฉพาะสาขา จะทำ� ใหผ้ เู้ รยี นเกดิ ความคดิ ทก่ี วา้ งขนึ้ โอกาสท่ี จะแนะคิดสร้างสรรค์ผลงานให้มีรูปแบบท่ีแปลกใหม่ จะมีความเป็นไปได้มากยิ่ง ขนึ้ ๔. การวจิ ารณ์จากบคุ คลทว่ั ไป ส�ำหรับบุคคลทั่วไปในที่นี้หมายถึง บุคคลภายนอกวงการศิลปะ ท่ีไม่มี ความรเู้ กยี่ วกบั หลกั การทางศลิ ปะ แตส่ ามารถพจิ ารณาถงึ ความงาม ความเหมาะ สมของประโยชนใ์ ชส้ อย หรอื รสนยิ มเฉพาะกลมุ่ โดยสว่ นใหญจ่ ะเกยี่ วขอ้ งกบั กลมุ่ งานศลิ ปะการออกแบบมากกวา่ ทศั นศลิ ปป์ ระเภทอนื่ คำ� วจิ ารณห์ รอื ขอ้ เสนอแนะ จากบคุ คลทวั่ ไป อาจเปน็ แนวความคดิ ทมี่ ลี กั ษณะแตกตา่ งจากความคดิ ของบคุ คล ในวงการ ซ่ึงเป็นความคิดท่ีมีประโยชน์ต่อการพัฒนารูปแบบผลงานศิลปะการ ออกแบบ ๕. การวิจารณแ์ บบออนไลน์ การวิจารณ์แบบออนไลน์ เป็นช่องทางหน่ึงท่ีกว้างไไกลและรวดเร็ว ทั้ง ยังได้รับค�ำวิจารณ์จากบุคคลต่างๆ อย่างหลากหลาย ท่ีมีความคิดต่อผลงานท่ี ผู้เรยี นกำ� ลงั สร้างสรรค์ การวจิ ารณแ์ บบออนไลน์ จำ� เป็นต้องพึง่ พาโปรแกรมที่
๑๖๖ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรค์ทางทศั นศิลป์ เก่ียวขอ้ งกบั สอ่ื สงั คมออนไลน์ เช่น Facebook Line IG ฯลฯ โดยการกำ� หนด สถานะเก่ียวกับข้อค�ำถามหรือรูปภาพผลงานศิลปะ และเปิดโอกาสให้บุคคล ต่าง ๆ เข้ามาเสนอความคิดเหน็ หรือเสนอแนะไดอ้ ย่างอสิ ระ ขอ้ มลู และความคดิ ตา่ ง ๆ ท่ไี ด้รับ ผู้เรยี นหรอื เจา้ ของผลงาน ควรนำ� มาพิจารณาด้วยหลักเหตุผลทาง ศลิ ปะ หรอื พจิ ารณาใหเ้ หมาะสมกบั บรบิ ทของผเู้ รยี น กอ่ นทจ่ี ะเชอ่ื และนำ� มาปรบั ใช้งาน เมอื่ ไดร้ บั ความคดิ หรอื ขอ้ มลู จากการวจิ ารณศ์ ลิ ปะ ผเู้ รยี นควรปฏบิ ตั ติ าม หลกั การเกี่ยวกับการรบั ฟงั ค�ำวิจารณ์ตามข้อเสนอแนะตอ่ ไปนี้ ๑. ผู้เรียนควรเปิดใจให้กว้าง พร้อมที่จะรับฟังข้อมูลและแนวคิดใหม่ๆ เพราะถ้อยค�ำท่ีแต่ละบุคคลกล่าวถึงผลงาน จะสะท้อนถึงแนวทางการพัฒนาผล งานของผเู้ รยี น ลว้ นเปน็ คณุ ประโยชนต์ อ่ การพฒั นารปู แบบผลงาน หรอื อยา่ งนอ้ ย จะช่วยให้สามารถคิดตอ่ ยอดเป็นความคดิ ใหม่ต่อไปได้ ๒. ผเู้ รยี นอาจแสดงออกทางสหี นา้ ทา่ ทางดว้ ยความสนใจตอ่ การวจิ ารณ์ ศิลปะของบุคคลต่าง ๆ (ยกเว้นแบบออนไลน์) สีหน้าท่ีย้ิมแย้ม และท่าทางท่ี ออ่ นนอ้ มยอมรับฟงั จะชว่ ยให้ผู้วิจารณก์ ลา้ แสดงความคดิ เหน็ ไดอ้ ยา่ งเตม็ ท่ี ซึ่ง จะท�ำให้ได้ข้อมูล และความคิดเห็นท่ีมีประโยชน์มากพอต่อการกระตุ้นความคิด สรา้ งสรรค์เพิ่มเติม ๓. ผู้เรียนควรใช้ถ้อยค�ำอธิบายอย่างนอบน้อม มีน้�ำเสียงอ่อนโยน เพ่ือ แสดงถงึ การยอมรับในคำ� วิจารณท์ ุกลกั ษณะ ๔. เมือ่ ผู้วิจารณ์แสดงความคิดเหน็ และให้ข้อมลู เป็นทเี่ รียบร้อย ผู้เรียน ควรแสดงความขอบคณุ สำ� หรบั คำ� แนะนำ� และขอ้ มลู ทเี่ ปน็ ประโยชนต์ อ่ การพฒั นา บท รปู แบบผลงาน ซง่ึ สง่ ผลตอ่ การกระตนุ้ กระบวนการคดิ สรา้ งสรรคข์ องผเู้ รยี น ที่ การนำ� เทคนคิ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ปโ์ ดยการวจิ ารณ์ ๔ ศลิ ปะ ไปปรับใช้เพ่อื กระตนุ้ ความคดิ สรา้ งสรรค์ มีขนั้ ตอนดงั ตอ่ ไปน้ี ๑. หากตอ้ งการใหผ้ ้วู ิจารณศ์ ิลปะทเ่ี ปน็ บุคคลใกลช้ ดิ เช่น เพ่ือนรว่ มชั้น ครผู ้สู อน หรอื บคุ คลทวั่ ไป จ�ำเปน็ ต้องเปดิ ใจเขา้ หาบคุ คลเหลา่ นั้น และแจ้งจดุ มงุ่ หมายของการเขา้ หาใหบ้ คุ คลเหลา่ นนั้ ทราบลว่ งหนา้ เพอ่ื ทก่ี ลมุ่ บคุ คลดงั กลา่ วจะ ไดเ้ ตรียมความพร้อม ส�ำหรับกลุ่มบุคคลท่มี ีความใกลช้ ิดกับผ้เู รียน อาจไม่มีขน้ั
๑๖๗ การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทัศนศิลป์ ตอนทยี่ งุ่ ยากซบั ซอ้ นเทา่ กบั ชอ่ งทางอนื่ เมอื่ ผเู้ รยี นแจง้ จดุ มงุ่ หมายเปน็ ทเ่ี รยี บรอ้ ย ต่อไปเป็นการน�ำผลงานศิลปะ หรือแบบร่างท่ีแสดงถึงแนวความคิดให้ผู้วิจารณ์ พจิ ารณา จากนนั้ เปน็ การรบั ฟงั ความคดิ เหน็ ขอ้ เสนอตา่ งๆ พรอ้ มกบั การจดบนั ทกึ รายละเอยี ด อาจมกี ารซกั ถามและแลกเปลีย่ นความคดิ ร่วมกนั เมอ่ื ได้ข้อมูลและ รายละเอยี ดตามความต้องการแล้ว นำ� ประเดน็ ของการวจิ ารณม์ าพจิ ารณาความ เหมาะสม และความเปน็ ไปได้ตามจดุ มุ่งหมายทกี่ ำ� หนดไว้ ๒. หากผู้วิจารณ์เป็นผู้เช่ียวชาญหรือบุคคลที่ไม่คุ้นเคย อาจได้รับค�ำ แนะน�ำจากผู้ที่คุ้นเคยกับบุคคลเหล่าน้ี หรือใช้วิธีการติดต่อทาบทามล่วงหน้า เนอ่ื งจากบคุ คลกลมุ่ นอ้ี าจสงั กดั หนว่ ยงาน จงึ มคี วามจำ� เปน็ ตอ้ งนดั หมายและอาจ ต้องจัดท�ำหนังสือเสนอต่อต้นสังกัด เมื่อติดต่อเพื่อขออนุญาตเข้าพบเป็นท่ี เรยี บรอ้ ย ใหน้ ดั หมายวนั เวลา สถานทใ่ี หช้ ดั เจนแนน่ อน โดยผเู้ รยี นควรรกั ษาวนิ ยั ดา้ นเวลาการนัดหมายอยา่ งเคร่งครดั เพื่อสมั พันธภาพที่ดีตอ่ การวิจารณศ์ ลิ ปะ ๓. หากผู้วิจารณ์เป็นกลุ่มบุคคลที่ใช้ช่องทางออนไลน์จะสะดวกต่อการ ตดิ ตอ่ ประสานงาน โดยผเู้ รยี นอาจใชช้ อ่ งทางของสอ่ื สงั คมออนไลนต์ ดิ ตอ่ ลว่ งหนา้ สำ� หรบั บคุ คลทเ่ี ฉพาะเจาะจง แตห่ ากไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งระบตุ วั บคุ คล อาจใชพ้ นื้ ทสี่ ว่ น ตัวเป็นสว่ นทแี่ สดงสถานะ และเปิดรับความคดิ เห็นอย่างอสิ ระ CREATIVE ในกรณดี งั กลา่ วทนี่ ำ� เสนอมาขา้ งตน้ ผเู้ รยี นสามารถดำ� เนนิ การได๒้ ระยะ เพื่อให้สอดคล้องกับจุดมุ่งหมายในการสร้างสรรค์ผลงานทางทัศนศิลป์ดังราย ละเอยี ดต่อไปนี้ ระยะท่ี ๑ ความคิดว่างเปล่า ระยะท่ี ๑ น้ี เป็นช่วงของการเริ่มต้นความคิด เมื่อผู้เรียนได้รับ มอบหมายงานในลักษณะตา่ ง ๆ จากผู้สอน จะถกู ก�ำหนดดว้ ยเง่ือนไข และหวั ข้อ ของผลงาน เปน็ กรอบอยา่ งกวา้ งๆ ซงึ่ กรอบนเี้ ปน็ ประโยชนท์ ท่ี ำ� ใหผ้ เู้ รยี นสามารถ กำ� หนดขอบเขตของความคดิ ได้ ตวั อยา่ งเชน่ หวั ขอ้ การออกแบบโคมไฟตง้ั โตะ๊ มี เงือ่ นไข คือ ต้องเป็นรูปแบบทแี่ ปลกใหม่ แตกตา่ งจากรปู แบบทัว่ ไป ใชว้ ัสดุที่หา ได้ทั่วไป และมีความเป็นไปได้ในการผลิต เป็นต้น ในช่วงระยะน้ีผู้เรียนจะเกิด ปัญหาขึน้ ในสมองวา่ รูปแบบของโคมไฟตัง้ โต๊ะควรเป็นอย่างไร ซง่ึ เป็นประเดน็
๑๖๘ การพัฒนาความคดิ สร้างสรรค์ทางทศั นศลิ ป์ แรกเริม่ ส่กู ารคิดในเงือ่ นไขอ่ืนต่อไป โดยการออกแบบโคมไฟต้งั โตะ๊ ใหเ้ กิดความ แปลกใหมน่ ั้น เปน็ ขัน้ ตอนทย่ี ากท่สี ดุ เนือ่ งจากยังไม่มีขอ้ มูลหรือยังไม่เกิดความ คดิ ใดๆ ข้ึนในสมอง ในระยะนี้จึงสามารถใช้เทคนิคการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทาง ทศั นศลิ ปโ์ ดยการวจิ ารณศ์ ลิ ปะไดจ้ ากบคุ คลบางกลมุ่ เชน่ บคุ คลทใี่ กลช้ ดิ รวมถงึ ชอ่ งทางออนไลน์ สว่ นบคุ คลทมี่ ลี กั ษณะความเชย่ี วชาญเฉพาะสาขา อาจไมส่ ะดวก ที่จะให้ข้อมูลหรือแนวคิด เพื่อกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ในระยะนี้ แต่ส�ำหรับ บคุ คลใกลช้ ดิ และแบบออนไลน์ สามารถใชเ้ ทคนคิ วธิ กี ารนไ้ี ดอ้ ยา่ งอสิ ระ เชน่ การ ซักถามความคิดเห็นของเพื่อนร่วมช้ันเรียน แต่เท่าที่พบส่วนใหญ่ เพ่ือนร่วมช้ัน เรียน จะมลี กั ษณะเช่นเดียวกนั คอื ยงั ไม่สามารถคดิ ได้ ดงั นน้ั จึงอาจขอข้อมลู เพม่ิ เตมิ จากผสู้ อนจะเหมาะสมกว่า ส่วนชอ่ งทางออนไลนส์ ามารถกระทำ� ได้ โดย การกำ� หนดสถานะบนพ้ืนที่ส่วนตวั ในส่อื สงั คมออนไลน์เช่น Facebook Line IG ฯลฯ และคอยเวลาท่ีบุคคลในสือ่ สงั คมออนไลนเ์ ข้ามาแสดงความคิดเหน็ ระยะที่ ๒ การพัฒนาความคิด ในระยะท่ี ๒ เป็นช่วงท่ผี ู้เรียนได้รปู แบบจากกระบวนการคดิ สร้างสรรค์ มาบา้ งแลว้ แต่ยงั ไม่สมบรู ณ์ ครบถว้ น จงึ สามารถใชเ้ ทคนคิ การพัฒนาความคดิ สร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์โดยการวิจารณ์ศิลปะ เป็นเครื่องมือในการพัฒนา รูปแบบ โดยการน�ำแนวคดิ หรือรูปแบบท่คี ดิ ได้เสนอตามช่องทางตา่ ง ๆ ตัวอย่าง เช่น นำ� รปู แบบโคมไฟตั้งโตะ๊ ไปใหเ้ พ่ือนร่วมช้ันเรียน ผ้สู อน หรือบคุ คลท่วั ไปได้ พจิ ารณา เพอื่ ทำ� การพฒั นารปู แบบของผลงาน หรอื การกำ� หนดสถานะในสอ่ื สงั คม บท ออนไลน์ใหบ้ ุคคลในสื่อต่างๆ สามารถพิจารณาและแสดงความคดิ เหน็ ที่ อน่ึง การใช้ช่องทางต่างๆ เพ่ือการวิจารณ์ศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นระยะใด ๔ กต็ าม สง่ิ หนงึ่ ทผี่ เู้ รยี นควรคำ� นงึ ถงึ คอื เมอื่ แตล่ ะบคุ คลไดแ้ สดงความคดิ เหน็ หรอื เสนอแนะข้อมูลต่อแนวคิดหรือรูปแบบ ควรพิจารณาตัดสินใจเลือกภายใต้หลัก การทางศิลปะ เหตุผล รวมท้ังตามจุดมุ่งหมายของผู้เรียนเอง ซึ่งหมายความว่า แตล่ ะความคดิ เห็นหรือขอ้ เสนอแนะ ผู้เรยี นไม่จ�ำเป็นต้องเช่ือหรือปฏิบตั ติ ามทกุ ประเดน็ ทง้ั นค้ี วรใชว้ จิ ารณญาณของตนเปน็ เครอื่ งมอื ในการตดั สนิ ใจเลอื กใชต้ าม ความเหมาะสม
๑๖๙ การพฒั นาความคดิ สร้างสรรคท์ างทศั นศิลป์ การนำ� เทคนคิ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ปโ์ ดยการวจิ ารณ์ ศิลปะไปใช้นั้น ผู้เรียนมีลักษณะเป็น ๒ บทบาท ได้แก่ บทบาทที่เป็นผู้วิจารณ์ ศลิ ปะ และบทบาทของผูถ้ กู วิจารณ์ ดงั น้นั ผูเ้ รียนทางทัศนศิลป์จงึ มคี วามจ�ำเป็น อยา่ งยงิ่ ทีค่ วรศึกษาความรู้ และมีประสบการณ์เกีย่ วกบั การวจิ ารณศ์ ลิ ปะ ใน ๒ มิติ คอื มติ ิด้านความรูเ้ ชิงทฤษฎีทเ่ี ก่ยี วข้องกบั หลักการทางศิลปะ และหลกั การ เชงิ ปฏบิ ตั ิ ตามรายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี ๑. ความรเู้ ชงิ ทฤษฎีเก่ยี วกบั หลกั การทางศลิ ปะ องค์ความรู้เชิงทฤษฎีที่มีลักษณะเป็นหลักการที่เกี่ยวข้องกับการวิจารณ์ ศลิ ปะ จะสมั พนั ธ์กับความรู้ของศาสตร์แขนงต่างๆ ประกอบดว้ ย ๑) ประวัติศาสตรศ์ ิลปะ ประวัติศาสตร์ศิลปะ เป็นองค์ความรู้ท่ีอธิบายถึงประวัติความเป็นมา พฒั นาการของผลงานศลิ ปกรรมแตล่ ะประเภทของชนชาตติ า่ งๆ ทสี่ ง่ ผลใหร้ ปู แบบ ศิลปะของแต่ละแหล่งมีความแตกต่างหรือใกล้เคียงกัน โดยมีลักษณะเป็น สหวิทยาการ ซงึ่ ตอ้ งใช้ความรใู้ นมติ ติ ่างๆ รว่ มในการอธิบาย ๒) ปรัชญา ปรัชญา เป็นสาขาทมี่ ่งุ เนน้ ความคิดเชิงนามธรรม ทีม่ ีผลโดยตรงกับการ อธบิ ายเกยี่ วกบั คตคิ วามเชอื่ แนวความคดิ ของมวลมนษุ ย์ ซงึ่ เปน็ เหตทุ ท่ี ำ� ใหม้ นษุ ย์ เกดิ การสรา้ งสรรค์ผลงานศิลปะในลักษณะต่างๆ ๓) สนุ ทรยี ศาสตร์ สนุ ทรียศาสตร์ เป็นองคค์ วามร้ทู อี่ ธบิ ายเกีย่ วกบั ความงามทางทศั นศลิ ป์ ทร่ี บั รไู้ ดด้ ว้ ยการมองเหน็ สนุ ทรยี ศาสตรม์ ผี ลโดยตรงตอ่ ความแตกตา่ งกนั ในดา้ น รสนยิ มของแตล่ ะชนชาติ ซง่ึ เปน็ องคค์ วามรทู้ น่ี กั วจิ ารณศ์ ลิ ปะ มคี วามจำ� เปน็ อยา่ ง ยิ่งทีต่ ้องเขา้ ใจอย่างลึกซง้ึ ๔) ศาสนาเปรียบเทยี บ ศาสนา เป็นส่ิงท่ีมีความส�ำคัญและมีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ผลงาน ทัศนศิลป์ เน่ืองจากการสร้างผลงานศิลปะโดยส่วนใหญ่ มีศาสนาเป็น
๑๗๐ การพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศลิ ป์ แรงบนั ดาลใจให้ผู้สรา้ งผลงานเกิดแนวความคดิ คตคิ วามเช่ือทางศาสนา จงึ เปน็ ส่งิ ท่ีกระตุ้นความคดิ สรา้ งสรรคข์ องมนุษย์ ๕) วรรณคดเี ปรยี บเทยี บ วรรณคดีมีลกั ษณะเชน่ เดียวกบั ศาสนา เนอื่ งจากเมอื่ เกดิ ศาสนาขน้ึ การ ประพันธ์หรือบทกวีจะเกิดขึ้นตามมา ซึ่งเก่ียวเน่ืองกับความเชื่อทางศาสนา เปน็ หลัก ๖) จติ วทิ ยาทางศิลปะ จิตวิทยา เป็นองค์ความรู้ท่ีท�ำความเข้าใจจิตใจของมนุษย์ เป็นผล มาจากสภาพแวดลอ้ มทางสงั คมวฒั นธรรมของมนษุ ย์ ทมี่ กี ารรวมกลมุ่ กนั จนกลาย เป็นสังคม และเกิดวัฒนธรรมของแต่ละกลุ่มชน รวมท้ังอาชีพ ระบบเศรษฐกิจ และชาติก�ำเนิด ซ่ึงมีอิทธิพลต่อการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะท่ีมีรูปแบบแตกต่าง กันออกไป ๒. หลกั การปฏิบัติในการวิจารณศ์ ิลปะ ในหวั ขอ้ ทผี่ า่ นมา เปน็ ความรเู้ ชงิ ทฤษฎที ผ่ี วู้ จิ ารณศ์ ลิ ปะ หรอื ผถู้ กู วจิ ารณ์ ควรศกึ ษาให้เขา้ ใจ และ เป็นพน้ื ฐานประกอบการวจิ ารณ์ผลงานศลิ ปะ สว่ นหลกั การปฏบิ ตั ิ เม่อื ผู้เรียนตอ้ งรับบทบาทหนา้ ทีเ่ ปน็ ผู้วิจารณ์ศลิ ปะ ควรค�ำนงึ ถงึ และ พจิ ารณารายละเอียดดังต่อไปน้ี บท ๑) หลักการบรรยาย ในสว่ นของความรทู้ างดา้ นประวตั ิ สว่ นประกอบหรอื การประเมนิ คณุ คา่ ของผลงาน ควรบรรยายจากรูปประกอบและความรู้ท่ีได้ศึกษา รวมถึงความคิด ท่ี เห็นของผู้วจิ ารณ์ผลงานเป็นหลกั และใช้ข้อมูลอ้างอิงประกอบการบรรยาย โดย ๔ ประเด็นต่าง ๆ ท่ีกลา่ วมาน้ัน ควรเนน้ ขอ้ มลู ที่กระชบั และมีสัดสว่ นท่สี ัมพันธ์กัน ๒) หลักการอ้างอิง การอ้างอิง เป็นการช่วยเสริมให้ข้อมูลที่ผู้เรียนบรรยาย มีความ นา่ เชอื่ ถอื มากยง่ิ ขนึ้ และสง่ิ ทคี่ วรดำ� เนนิ การ คอื เมอ่ื ผเู้ รยี นนำ� ขอ้ มลู มาจากแหลง่ ใดมาสนบั สนนุ การวจิ ารณผ์ ลงาน ควรระบแุ หลง่ ทมี่ าของขอ้ มลู ใหช้ ดั เจน เนอื่ งจาก เป็นมารยาททางวชิ าการ
๑๗๑ การพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ทางทศั นศิลป์ ๓) การใช้ภาษาท่เี หมาะสม ภาษา ไมว่ า่ จะเป็นภาษาพดู หรอื ภาษาเขยี น ควรมคี วามสละสลวยและ สภุ าพ รวมถงึ ควรมคี วามตอ่ เนอ่ื งในภาษา เพอื่ ปอ้ งกนั ความผดิ พลาดในขอ้ มลู และ การสอื่ สาร ทง้ั นคี้ วรเป็นภาษาเชิงวิชาการทีเ่ ชือ่ ถือได้ ๔) การเช่อื มโยงเหตุผล ผเู้ รยี นควรบรรยายเกยี่ วกบั ความรตู้ า่ ง ๆ ประวตั คิ วามเปน็ มา สงิ่ ทปี่ รากฏ ในผลงานศลิ ปะนน้ั ๆ โดยเปรยี บเทยี บจากโครงสรา้ งและแยกแยะใหเ้ หน็ ถงึ ความ ชัดเจนในส่วนประกอบ จากนั้นจึงเช่ือมโยงข้อมูลด้วยเหตุผลให้มีความกลมกลืน และประสานกัน ๕) การใช้สรรพนามแทนตวั ผู้เรียนควรใช้สรรพนามแทนตัวอย่างเป็นกลาง เช่น ข้าพเจ้า ผู้วิจารณ์ ผู้เรียน หรือผู้เขียน ไม่แนะน�ำให้ใช้สรรพนามตามปกติ เช่น ผม ดิฉัน ฯลฯ (เรณู คฤคราช, ๒๕๔๙, หน้า ๕๒๐-๕๒๙) จากรายละเอยี ดทอ่ี ธบิ ายมาทง้ั หมด เปน็ สว่ นประกอบทที่ ำ� ใหเ้ ทคนคิ การ พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์โดยการวิจารณ์ศิลปะ สามารถท่ีจะส่ง เสริมและกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ หรือพัฒนารูปแบบผลงานของผู้เรียนให้มี ประสิทธิภาพ และในบางกรณีเป็นการขยายความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนให้มี ขอบเขตท่ีกว้างขวางมากขึ้น โดยเทคนิควิธีการน้ีนอกจากจะใช้เป็นช่องทางเพ่ือ เสนอแนะผลงานแลว้ ยงั มสี ่วนเพื่อปลูกฝงั ผเู้ รียนให้เกดิ ทัศนคติทด่ี ีและเปิดใจให้ กวา้ งสำ� หรบั รบั ฟงั ความคดิ เหน็ คำ� วจิ ารณ์ และขอ้ เสนอของบคุ คลอน่ื รวมถงึ เปน็ ส่วนช่วยสรา้ งสงั คมแห่งการเรยี นรูท้ ส่ี ร้างสรรคไ์ ด้อกี ช่องทางหน่งึ
๑๗๒ การพัฒนาความคดิ สร้างสรรคท์ างทศั นศลิ ป์ การพฒั นาความคดิ สร้างสรรค์ดว้ ยคอนทัวร์ดรออิง้ (Contour Drawing) คอนทวั รด์ รอองิ้ (Contour Drawing) หรือท่เี รียกว่า วาดเสน้ ประสาท สัมผัส หรือการวาดเสน้ ผา่ นการสัมผสั เป็นลกั ษณะของการวาดเส้นอยา่ งหนึง่ ท่ี มลี กั ษณะพเิ ศษและทำ� ใหเ้ กดิ ผลงานทม่ี คี วามแปลกแตกตา่ งจากตน้ แบบ สำ� หรบั กระบวนวธิ กี ารวาดเสน้ แบบปกต ิ จะมลี กั ษณะทเ่ี หมอื นกบั ตน้ แบบ ยงิ่ เหมอื นมาก เท่าไรจะแสดงถึงศักยภาพ ทักษะฝีมือ และความช�ำนาญของผู้สร้างสรรค์ ผลงาน แต่การวาดเส้นแบบคอนทัวร์ดรออิ้ง จะมีลักษณะท่ีสวนทางกับการวาด เสน้ แบบกระแสหลกั ซงึ่ มลี กั ษณะทพ่ี เิ ศษแตกตา่ งจากการวาดเสน้ โดยทวั่ ไป ดงั นี้ อรรณพ ศรสี จั จา หรอื ทรี่ จู้ กั กนั ในนามปากกา วา่ “เปส้ นี ำ�้ ” ผเู้ ปน็ ทง้ั นกั ดนตรี กวี และศิลปินผู้สร้างสรรค์งานศิลปะ และเป็นผู้ท่ีมีชื่อเสียง อย่างกว้างขวางในวงการศิลปะ ได้เสนอเก่ียวกับการวาดเส้นประสาทสัมผสั (Contour Drawing) เป็นการให้ความรู้ผ่านเว็ปไซต์ www.peseenam.com หัวข้อ วาดเส้น ๑ การวาดเส้นจากประสาทสัมผัส (Contour Drawing) มใี จความดังต่อไปน้ี บุคคลส่วนใหญ่ไม่คุ้นเคยกับการมองสิ่งใดเป็นระยะเวลานาน หากไม่มี จดุ มงุ่ หมายในการพจิ ารณาหาจดุ บกพรอ่ ง และการจอ้ งมองสำ� หรบั การเขยี นภาพ เปน็ การสำ� รวจรปู ทรงของวตั ถุ ซงึ่ อาจเปน็ สง่ิ ของรอบตวั ทพี่ บเหน็ เปน็ ประจำ� เชน่ ผลส้ม ถ้วยกาแฟ หรือปากกาท่ีอยู่ในมือ การเฝ้ามองวัตถุของศิลปินหรือผู้ สรา้ งสรรคผ์ ลงานทศั นศลิ ป์ จะมคี วามแตกตา่ งจากบคุ คลอนื่ เพราะเปน็ การ บท มองเพ่ือเขียนภาพ โดยไม่ต้องการเหตุผลหรือผลของการเห็นนั้น และอาจไม่มี ที่ ความคิดเข้ามาเก่ียวข้อง เน่ืองจากไม่ต้องการให้ความคิดเข้ามารบกวนการเห็น ๕ เนอ่ื งจากความคดิ จะเรว็ กวา่ ตา เรว็ กวา่ มอื และจะทำ� ใหล้ ะเลยสง่ิ ทปี่ รากฏอยตู่ รง หนา้ การเร่มิ ต้นที่ดสี ำ� หรับผู้ไมเ่ คยทดลองวาดเส้นดว้ ยวิธีการนี้ คอื การจัดและ ปรบั ประสาทสมั ผสั ใหส้ อดคลอ้ งกนั ระหวา่ งสายตา มอื และใจใหม้ สี มั ผสั ทสี่ มั พนั ธ์ กัน เปรยี บไดก้ ับใบไมท้ หี่ ลน่ ลงในสายน้�ำ และเคลอื่ นที่ไปตามแรงของสายนำ�้
๑๗๓ การพฒั นาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทัศนศิลป์ การเขยี นภาพหรอื การวาดเสน้ จากประสาทสมั ผสั เปน็ การเรม่ิ ตน้ สำ� หรบั ผู้เรียนท่ีจะช่วยปรับความสัมพันธ์ของมือ สายตา และใจ เป็นแนวทางหน่ึงของ การวาดเส้น ลักษณะการวาดเส้นจากประสาทสัมผัส จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความ เข้าใจเกี่ยวกับการมอง โดยเร่ิมจากการใช้ดินสอ EE กระดาษบรู๊ฟ หรือปากกา และจอ้ งมองวตั ถใุ กลต้ วั เปน็ ตน้ แบบ ใหเ้ รม่ิ ตน้ จากวตั ถทุ ม่ี รี ปู ทรงงา่ ยๆ ไมซ่ บั ซอ้ น กอ่ น เช่น ผลไม้ ดอกไม้ แจกนั หรือถว้ ยกาแฟ โดยจดั วางวตั ถุให้มีระยะห่างพอ สมควร แลว้ มองสงิ่ นน้ั เพอื่ สำ� รวจรปู ทรง เรม่ิ จากสว่ นใดสว่ นหนงึ่ ของตน้ แบบ แลว้ จรดปลายดนิ สอหรอื ปากกาลงบนกระดาษ แลว้ ลากเสน้ ใหเ้ คลอ่ื นทไ่ี ปโดยไมม่ อง กระดาษ และไมย่ กมอื ออกจากกระดาษ จนกวา่ การวาดจะสนิ้ สดุ ลง เพอ่ื ทจี่ ะคอ่ ย ๆ ปรบั ใหส้ ายตามคี วามสมั พนั ธก์ บั มอื โดยใหข้ อ้ มอื เคลอ่ื นไหวไปอยา่ งชา้ ๆ พรอ้ ม กบั สายตาทจ่ี อ้ งมองรปู ทรงของวตั ถนุ นั้ (เป้ สนี ำ�้ , www.peseenam.com. สบื คน้ เมือ่ วันที่ ๑๖ มนี าคม ๒๕๖๓ เวลา ๑๓.๐๐ น. CREATIVE วิธีการสร้างสรรค์ด้วยการวาดเส้นจากประสาทสัมผัส (Contour Drawing) ตามท่ี เป้ สีน้�ำ ได้อธิบายมานั้น มิได้คาดหวังความเหมือนจริงของผลงานกับ ตน้ แบบ แตเ่ ปน็ การฝกึ ใหป้ ระสาทสมั ผสั สามารถทำ� งานไดอ้ ยา่ งสมั พนั ธก์ นั แตจ่ ดุ มุ่งหมายหลักในการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์ด้วยวิธีการนี้มี มากกว่าความสัมพันธ์ระหว่างระบบประสาท เพราะรูปแบบของผลงานท่ีได้มี ลักษณะท่ีแปลกแตกตา่ งออกไปจากตน้ แบบ ส่ิงท่ปี รากฏเปน็ ผลงานบนกระดาษ เปน็ ลกั ษณะของลายเสน้ ทแ่ี ปลกตา และสามารถนำ� ไปประกอบการสรา้ งสรรคผ์ ล งานศิลปะต่อไปได้ ดังนั้น การน�ำเทคนิควิธีการนี้มาปรับใช้จึงมิได้เร่ิมต้นจาก กระบวนการคดิ หากกระบวนการคดิ จะเรม่ิ ตน้ ตอ่ เมอื่ ปรากฏลายเสน้ ทแ่ี ปลก ใหม่ แตกต่างจากต้นแบบ และน�ำไปพัฒนาต่อยอดเป็นผลงานศิลปะในรูปแบบ ใหมต่ ่อไป
๑๗๔ การพัฒนาความคิดสรา้ งสรรค์ทางทัศนศลิ ป์ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทัศนศิลป์แบบข้ามกระบวนการ (Cross Method) การสรา้ งสรรคผ์ ลงานทางทศั นศลิ ป์ มคี วามเกย่ี วขอ้ งกบั กระบวนการ อกี ทง้ั กระบวนการทางทศั นศลิ ปย์ งั มคี วามหลากหลาย แมใ้ นสายงานประเภทเดยี วกนั ตวั อยา่ งเชน่ ผลงานประเภทประตมิ ากรรม จะมคี วามแตกตา่ งกนั ในกระบวนการ ซง่ึ จะสง่ ผลตอ่ รปู แบบของผลงานดว้ ย เชน่ กระบวนการปน้ั และงานแกะสลกั จะ ได้ผลงานท่ีมีลักษณะเป็นประติมากรรม แต่รูปแบบและรายละเอียดของช้ินงาน ส�ำเร็จ จะมลี ักษณะและลีลาทีต่ า่ งกันออกไป โดยกระบวนการปัน้ ไม่วา่ จะใชว้ สั ดุ ใดกต็ าม จะมลี ักษณะที่เพิม่ เตมิ ของมวลวตั ถุให้หนาขนึ้ ตรงกนั ข้ามกับกระบวน การแกะสลกั ที่ลดทอนมวลของวัตถุให้นอ้ ยหรือเบาบางลง จากลกั ษณะดงั กลา่ ว จึงสง่ ผลถงึ รปู แบบและรายละเอยี ดของผลงานทแ่ี ตกตา่ งกันดว้ ย แนวคิดหรือหลักการของเทคนิคการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทาง ทัศนศิลป์แบบข้ามกระบวนการ คือ การน�ำลักษณะที่แตกต่างกันของกระบวนการ เพ่ือสร้างความแตกต่างและแปลกใหม่ให้กับรูปแบบของช้ินงาน เช่น การน�ำรูป แบบของผลงานจิตรกรรมมาสร้างสรรคด์ ว้ ยกระบวนการทางประติมากรรม จาก ลักษณะทเ่ี ป็น ๒ มติ ิ นำ� มาปรบั แตง่ และสรา้ งสรรคเ์ ป็น ๓ มิต ิ เนอื่ งจากลกั ษณะ ผลงาน ๓ มิติ จะมีรายละเอียดท่ีซับซ้อนมากกว่า ๒ มิติ จึงมีผลต่อมุมมองที่ แตกต่างไป รวมท้ังความรู้สึกต่อผลงานทีแ่ ปลกใหมด่ ว้ ย จากแนวคิดและหลักการที่อธิบายมาข้างต้น ผู้เขียนมีตัวอย่างของ ผลงานทัศนศิลป์ที่เคยปรากฏแล้ว มีลักษณะตามเทคนิควิธีการนี้ คือ บท ประติมากรรมไตรภูมิท่ีจัดวางอยู่บริเวณลานพระอุโบสถ วัดพระธาตุหริภุญชัย ที่ จงั หวดั ลำ� พนู มลี กั ษณะเปน็ ประติมากรรมหลอ่ โลหะ ตัง้ อยู่บนฐานทย่ี กสงู ขนึ้ มี ๔ รายละเอียดที่แสดงถึงการจ�ำลองรูปแบบของไตรภูมิอย่างผลงานประเภท จิตรกรรมที่เป็น ๒ มิติ เมอ่ื เนอื้ หาและรายละเอียดถูกน�ำมาถ่ายทอดใหม้ ลี กั ษณะ เป็น ๓ มิติ ที่สามารถมองได้โดยรอบ ความแปลกแตกต่างในรูปแบบจึงเกิดข้ึน ผลงานประตมิ ากรรมชิ้นนี้ พบอยูท่ วี่ ัดพระธาตุหริภญุ ชยั เพยี งแหง่ นี้ ซง่ึ อาจถือว่า เปน็ ผลงานช้นิ เอกหนง่ึ เดียวในโลก
๑๗๕ การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทัศนศิลป์ อีกตัวอย่างหน่ึงท่ีได้รับความนิยมสร้างสรรค์กันพอสมควร คือ การน�ำ ลายเสน้ ของงานลายรดนำ้� มาตกแตง่ สสี ันให้เหมือนกับผลงานประเภทจติ รกรรม แบบเขียนสี โดยทั้งสองกระบวนการ ทั้งลายรดน้�ำและจิตรกรรมแบบเขียนสี มลี กั ษณะเป็นงาน ๒ มิติ ถือว่าเป็นผลงานทศั นศิลปป์ ระเภทจิตรกรรม การนำ� รูป แบบลายรดน�้ำที่มเี พียง ๒ สี คือ ลวดลายหรอื ตัวภาพเปน็ สที องคำ� สว่ นพนื้ หลงั เป็นสีดำ� มาปรับแต่งให้มีสสี ันมากขึ้นดว้ ยกระบวนการทางจิตรกรรมแบบเขียนสี จงึ สง่ ผลใหล้ ายเสน้ ทม่ี บี อ่ เกดิ จากกระบวนการลายรดนำ้� มลี กั ษณะทแ่ี ตกตา่ งจาก ผลงานประเภทจติ รกรรมโดยทัว่ ไป จะเห็นได้ว่าตัวอย่างท่ีน�ำเสนอข้างต้น เป็นการสร้างสรรค์ผลงาน ทัศนศิลป์ด้วยการข้ามกระบวนการ ซึ่งไม่ยึดติดว่ารูปแบบใด จะต้องใช้ กระบวนการใดเพยี งอยา่ งเดยี วเทา่ นนั้ จากแนวคดิ นจี้ งึ สอดคลอ้ งและตรงกบั หลกั การของความคิดยืดหยุ่น ที่เป็นองค์ประกอบหนึ่งของความคิดสร้างสรรค์ตาม ทฤษฎีความคิดสร้างสรรค์ของทอร์แรนซ์ อีกทั้งเป็นแนวทางหนึ่งท่ีช่วยกระตุ้น ความคิดสร้างสรรค์ เพอ่ื เกดิ รปู แบบและรายละเอียดของผลงานท่แี ปลกแตกตา่ ง ไปจากเดมิ รปู แบบจิตรกรรม ไตรภูมิ กระบวนการทางจติ รกรรม กระบวนการประตมิ ากรรม รปู แบบ ประตมิ ากรรม ไตรภูมิ ภาพที่ ๔๑ แสดงการข้ามกระบวนการจนเกดิ รูปแบบผลงานใหม่
๑๗๖ การพฒั นาความคดิ สร้างสรรคท์ างทัศนศลิ ป์ การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทัศนศิลป์ดว้ ยสีคู่ตรงข้าม (Negative style) การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ปด์ ว้ ยสคี ตู่ รงขา้ ม เปน็ อกี หนง่ึ แนวทางที่สามารถท�ำให้ได้ผลงานรูปแบบใหม่ รวมทั้งมีขั้นตอนท่ีง่ายและไม่ซับ ซอ้ นมากนกั โดยเทคนคิ วธิ กี ารนเี้ หมาะกบั ผลงานทศั นศลิ ปท์ ตี่ อ้ งใชส้ ี มกี ารกำ� หนด สสี นั ในลกั ษณะตา่ งๆ สามารถนำ� ไปปรบั ใชไ้ ดก้ บั การสรา้ งสรรคผ์ ลงานในทกุ ระดบั การใชส้ คี ตู่ รงขา้ ม หรอื ทเี่ รยี กวา่ สคี ขู่ ดั แยง้ หรอื สตี ดั กนั ผเู้ รยี นควรทำ� ความเขา้ ใจ ในทฤษฎสี ี โดยเฉพาะวงจรสที เ่ี กดิ ขน้ึ จากการผสมสขี นั้ ท่ี ๑, ๒ และ ๓ เมอ่ื ผเู้ รยี น เกิดความเข้าใจและสามารถใช้งานวงจรสไี ด้ จะชว่ ยใหผ้ ู้เรียนสามารถเลือกใชค้ ่สู ี ไดต้ รงตามทฤษฎ ี โดยวงจรสจี ะแสดงสีคู่ตรงขา้ มไวท้ งั้ สน้ิ ๖ คดู่ งั ภาพตอ่ ไปนี้ บท ๔ที่ ภาพท่ี ๔๒ วงจรสแี สดงสีคู่ตรงข้ามทง้ั ๖ คู่ จากภาพวงจรสีข้างตน้ สามารถจบั คสู่ ีได้ ๖ คู่ ได้แก่ สมี ่วงคู่กับสเี หลอื ง สเี ขยี วคกู่ บั สแี ดง สสี ม้ คกู่ บั สนี ำ�้ เงนิ สมี ว่ งแดงคกู่ บั สเี ขยี วเหลอื ง สมี ว่ งนำ้� เงนิ คกู่ บั สสี ม้ เหลือง และสเี ขียวน้�ำเงนิ คกู่ ับสสี ม้ แดง
๑๗๗ การพฒั นาความคิดสร้างสรรคท์ างทัศนศลิ ป์ จากรายละเอยี ดของวงจรสที เี่ กยี่ วขอ้ งกบั สคี ตู่ รงขา้ ม สามารถนำ� ไปปรบั ใช้ส�ำหรบั สรา้ งสรรค์ผลงานทศั นศิลป์ เพ่ือใหเ้ กดิ รปู แบบผลงานทแ่ี ปลกแตกตา่ ง ไปจากเดมิ ซงึ่ แนวคดิ นไ้ี ดร้ บั แรงบนั ดาลใจมาจากหลกั การของฟลิ ม์ สที ช่ี ก้ บั กลอ้ ง ถ่ายภาพท่ีนิยมในอดีต หากน�ำฟิล์มสีที่ถ่ายภาพ และผ่านกระบวนการล้างฟิล์ม แลว้ สอ่ งไฟดรู ายละเอยี ดของแตล่ ะชอ่ งภาพ จะสงั เกตเหน็ วา่ สที ป่ี รากฏบนแผน่ ฟิล์มสี จะมีลักษณะเป็นสีตรงข้ามตามวงจรสีท่ีน�ำเสนอไว้ จากหลักการนี้จึง สามารถน�ำมาปรับใช้กับการสร้างสรรค์ผลงานทางทัศนศิลป์โดยเฉพาะผลงาน ประเภทจติ รกรรม หรอื ผลงานดา้ นศลิ ปะการออกแบบบางลกั ษณะ เพอ่ื ใหเ้ กดิ มมุ มอง รูปแบบ และความรู้สกึ ทแี่ ตกต่างไปจากเดิม การพฒั นาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทัศนศลิ ป์จากภาวะวกิ ฤต ปรากฏการณ์ต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนในสังคมหลายเหตุการณ์ส่งผลกระทบต่อ หลายระบบ ซงึ่ เปน็ ปรากฏการณท์ มี่ นษุ ยไ์ มต่ อ้ งการใหเ้ กดิ ขน้ึ ปญั หาและอปุ สรรค นานัปการเกิดข้ึนมาจากปรากฏการณ์ที่เลวร้าย เช่น การเกิดภัยพิบัติการชุมนุม ประท้วงเรียกร้องทางการเมือง หรือการเกิดขึ้นและการแพร่กระจายของโรค ระบาด ฯลฯ ปญั หาท่เี กิดข้ึนบางเหตุการณ์สง่ ผลกระทบอย่างรุนแรงถึงข้ันวิกฤต โดยความรู้สึกของมนุษย์ในช่วงแรกที่ประสบกับปัญหา จะตื่นตระหนก แต่เม่ือ ระยะเวลาผ่านไประยะหนึ่ง มนุษย์จะเร่ิมปรับตัวได้ ความรู้สึกตึงเครียดในเบื้อง ต้นจะผ่อนคลายลง และยอมรับกับสภาวะวิกฤตการณ์น้ัน หลายครั้งเม่ือเกิด เหตกุ ารณท์ ไ่ี มค่ าดคดิ ขนึ้ จะเกดิ นวตั กรรมทแ่ี ปลกใหมท่ ไี่ มเ่ คยเกดิ ขนึ้ มากอ่ นตาม มาเสมอ ไมว่ า่ จะเปน็ นวตั กรรมเพอื่ การแกป้ ญั หา หรอื วธิ กี ารผอ่ นคลายจากภาวะ ตงึ เครยี ด ตวั อยา่ งเชน่ ปรากฏการณภ์ ยั พบิ ตั นิ ำ�้ ทว่ มใหญท่ เี่ กดิ ขน้ึ ในปพี .ศ. ๒๕๕๔ ผู้คนต้องเรียนรู้และปรับตัว รวมท้ังต้องใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับสถานการณ์อันเลวร้าย แตอ่ กี มมุ หนงึ่ ภายหลงั จากภาวะวกิ ฤตเรมิ่ คลค่ี ลาย จะพบวา่ มรี ปู แบบสงิ่ ประดษิ ฐ์ ท่ีใช้ส�ำหรับการด�ำรงชีวิตและอยู่รอดในช่วงน้�ำท่วมใหญ่มากมาย ท้ังเทคนิควิธี การน�ำรถยนตข์ นาดใหญอ่ อกจากพืน้ ที่น�้ำท่วมโดยใช้แผ่นโฟม หรอื เรอื ที่สร้างขึ้น จากขวดพลาสตกิ เปน็ ตน้ หรอื เหตกุ ารณท์ ม่ี เี ดก็ วยั รนุ่ กลมุ่ หนงึ่ เขา้ ไปตดิ อยใู่ นถำ�้ หลวง จังหวัดเชียงราย เม่ือปีพ.ศ. ๒๕๖๑ เหตุการณ์ในคร้ังนั้นได้รับความช่วย เหลอื จากหลายฝา่ ย และหลายประเทศ ปรากฏนวตั กรรมหลายสงิ่ ทส่ี ามารถปฏบิ ตั ิ การชว่ ยเหลือชวี ติ กลุ่มผปู้ ระสบภยั ได้สำ� เรจ็ เชน่ ระบบการบริหารจัดการ วธิ ีการ
๑๗๘ การพัฒนาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ป์ สูบน้�ำด้วยเคร่ืองสูบน�้ำพลังมหาศาล เทคนิควิธีการด�ำน้�ำเข้าไปในช่องขนาดเล็ก และสดุ ทา้ ย คอื การสรา้ งรปู ประตมิ ากรรม ชดุ ๑๓ หมปู า่ บนบรเิ วณถำ�้ หลวง จน กลายเป็นแหล่งท่องเท่ียวแห่งใหม่ ส่ิงเหล่านี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน หากไม่เกิด วกิ ฤตการณอ์ นั เลวรา้ ย ผลดีทไี่ ด้รบั คอื ความคดิ สร้างสรรคแ์ ตล่ ะอยา่ งท่ีเกิดขึ้น จากสภาวะวิกฤตตา่ งๆ ในปีพ.ศ. ๒๕๖๓ หรอื ปี ๒๐๒๐ เปน็ ปีทท่ี ่วั โลกต้องจดจำ� เหตุการณห์ น่งึ ที่รุนแรงในรอบ ๑๐๐ ปี คอื การระบาดของเชอื้ ไวรสั โควิด ๑๙ ซึง่ เป็นเชอื้ ไวรัส ทอ่ี ยใู่ นกลมุ่ ไวรสั โคโรนา่ ในวงการแพทยต์ า่ งยอมรบั วา่ โรคนเ้ี ปน็ โรคอบุ ตั ใิ หม่ คอื ไม่เคยมีมาก่อน จึงสง่ ผลกระทบตอ่ ชวี ติ ของมนุษย์อย่างรุนแรงไปท่ัวโลก ผลเสีย ท่ีเกิดขึ้นตอ่ สขุ ภาพหากไดร้ บั เชือ้ น้ี คอื เปน็ ไขต้ ัวรอ้ น ปวดเม่อื ยตามร่างกาย ที่ ส�ำคญั คอื เมื่อเชือ้ โรคเขา้ ส่ใู นร่างกายจะกระจายตัวไปยงั ปอด และทำ� ลายระบบ ทางเดนิ หายใจ จงึ เปน็ สาเหตทุ ท่ี ำ� ใหม้ ผี เู้ สยี ชวี ติ เปน็ จำ� นวนมาก และทนี่ า่ กลวั ของ โรคน้ี คือ ผทู้ ีไ่ ดร้ ับเช้อื อาจไม่แสดงอาการ จึงทำ� ใหไ้ มส่ ามารถทราบได้วา่ ผ้ใู ดตดิ เชื้อนี้บ้าง การป้องกันท่ีหน่วยงานทางการแพทย์แนะน�ำ คือ การกักตัวอยู่บ้าน รักษาระยะห่างระหว่างกัน สวมหน้ากากอนามัยอย่างเสมอ และล้างมือให้บ่อย ครง้ั จากวกิ ฤตการณน์ จ้ี งึ เกดิ ปญั หาตามมา คอื มกี ลมุ่ บคุ คลกกั ตนุ หนา้ กากอนามยั เพอ่ื เกรง็ กำ� ไร สง่ ผลถงึ ความขาดแคลนของหนา้ กากอนามยั ไปทว่ั ทง้ั ประเทศ และ มรี าคาที่สูงขน้ึ หลายเท่าตัว เมื่อสภาวะวิกฤตเกิดขึ้นได้ในระยะหน่ึง ผู้คนเริ่มปรับตัวได้และเกิด กระบวนการคดิ เพอ่ื สรา้ งสง่ิ ปอ้ งกนั สำ� หรบั รกั ษาชวี ติ ใหอ้ ยรู่ อดโดยปราศจากโรค รา้ ยน้ี มกี ารประดษิ ฐ์หน้ากากอนามัยขึน้ ใชเ้ อง และทส่ี ำ� คญั คือ มกี ิจกรรมการ บท ประกวดหน้ากากอนามัย ท่ีเกิดจากความคิดสร้างสรรค์ โดยใช้ชื่อกิจกรรมว่า ท่ี “ดีไซสเ์ ด้อ” ท่จี ัดขึน้ ในภูมภิ าคตะวันออกเฉียงเหนอื ๔ รูปแบบของหน้ากากอนามัยที่เกิดข้ึนจากความคิดสร้างสรรค์ของผู้คน ถกู เผยแพรส่ ูส่ ื่อสังคมออนไลน์ ทั้งแบบผ้ามลี วดลายหลายลักษณะ ทั้งทเี่ กดิ จาก การพิมพ์ลายผ้าจากโรงงานผลิต ลายผ้าจากการเพ้นท์ลวดลาย บางรูปแบบมี ชั้นผ้าส�ำหรับใส่แผ่นกรองเพ่ือเปลี่ยนได้ รวมทั้งมีการพัฒนารูปแบบหน้ากาก อนามัยเปน็ กนั หน้าอนามัย หรอื ทเี่ รยี กวา่ Face shield เกดิ ข้นึ อีกหลายลักษณะ
๑๗๙ การพัฒนาความคดิ สร้างสรรค์ทางทศั นศลิ ป์ ตัวอย่างที่กล่าวมาข้างต้น เป็นกระบวนการคิดสร้างสรรค์ท่ีเกิดข้ึนจาก ความกดดนั ในสภาวะวกิ ฤต หากมกี ารเผชญิ หนา้ กบั ปญั หาและคดิ สรา้ งสรรคจ์ าก สภาวะอนั เลวรา้ ยเหลา่ นน้ั จะเกดิ เปน็ รปู แบบนวตั กรรมขน้ึ โดยเฉพาะผลงานทาง ทัศนศลิ ป์ การใชเ้ ทคนคิ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ปจ์ ากภาวะวกิ ฤต มีกระบวนการที่ท�ำให้เกิดกระบวนการคิดสร้างสรรค์ตามข้ันตอน ซึ่งมีความ สมั พนั ธก์ บั ระยะเวลา ตามแผนภาพต่อไปนี้ ภาวะวิกฤต แตกตืน่ ปรบั ตัว คิดสรา้ งสรรค์ ผลงานใหม่ ภาพที่ ๔๓ แสดงการเกิดขน้ึ ของผลงานรูปแบบใหมจ่ ากภาวะวกิ ฤต จากแผนภาพข้างต้น สามารถอธิบายได้ว่า วิกฤตการณ์ใดๆ จะเกิดข้ึน จากจดุ หนึ่ง แล้วค่อยๆ กระจายตวั ไปเปน็ วงกวา้ ง เมื่อส่งผลกระทบยังจุดใด จะ ท�ำให้ผู้คนเกิดความตื่นตระหนก รู้สึกเครียด และเป็นกังวลในความปลอดภัย ของชีวิตและทรัพย์สิน แต่เมื่อสังคมอยู่กับสภาวะวิกฤตได้ระยะหน่ึง จะเร่ิม
๑๘๐ การพัฒนาความคดิ สร้างสรรคท์ างทศั นศิลป์ ปรับตัว ความรู้สึกจะเริ่มผ่อนคลายข้ึน และจะเกิดกระบวนการคิดสร้างสรรค์ ประดิษฐกรรมในรูปแบบต่างๆ ท่ีไม่เคยมีมาก่อน ส�ำหรับการแก้ปัญหาหรือเพื่อ การผ่อนคลายความตึงเครียดของสังคม และเม่ือมีการคิดสร้างสรรค์ส่ิงประดิษฐ์ หรือนวัตกรรมใหม่ จะเร่ิมมีรูปแบบของผลงานถูกน�ำไปเผยแพร่สู่สาธารณชนใน วงกว้าง และจะท�ำให้เกิดการพัฒนารูปแบบและต่อยอดผลงานจากเดิมให้ดีและ เหมาะสมมากย่ิงขน้ึ จากเทคนคิ การพัฒนาความคิดสรา้ งสรรค์ทางทศั นศิลปท์ ้งั ๑๒ เทคนิค ข้างต้น เป็นแนวทางหน่ึงที่สามารถคัดสรรและเลือกใช้ได้ตามบริบทในแต่ละ สถานการณ์ บางคร้ังอาจต้องมีการบูรณาการร่วมกันระหว่างแต่ละเทคนิค บาง กรณอี าจใชเ้ ทคนคิ เดยี วแลว้ เกดิ ประสทิ ธผิ ล ทง้ั นข้ี นึ้ อยกู่ บั การพจิ ารณาของผสู้ อน หรอื ผเู้ ลอื กใชเ้ ปน็ หลกั เนอ่ื งจากผสู้ อนหรอื ผเู้ ลอื กใช้ จะเขา้ ใจในสถานการณต์ า่ งๆ ที่เกดิ ข้นึ ไดด้ ที ่สี ดุ บท ที่ ๔
การพฒั นาความคดิ สร้างสรรคท์ างทศั นศลิ ป์
๑๘๒ การพัฒนาความคิดสรา้ งสรรค์ทางทัศนศิลป์ บทสรปุ ความคิดสร้างสรรค์ เปน็ ลักษณะของการคดิ อย่างหน่ึง ทีม่ ุ่งเน้นการเกิด ขึ้นของนวัตกรรม หรือสิ่งใหม่ที่มีความแปลกแตกต่างจากสิ่งเดิมท่ีมีอยู่ก่อนแล้ว โดยสามารถพจิ ารณาความคดิ สร้างสรรคไ์ ดจ้ ากผลผลิตที่สร้างสรรค์ขึ้น เพ่ือการ แก้ไขปัญหาทางกายภาพ หรือเพื่อสนองตอบคุณค่าทางจิตใจ ในอดีตท่ีผ่านมา มนุษย์ใช้กระบวนการคิดสร้างสรรค์ จนปรากฏเป็นผลงานในรูปสิ่งประดิษฐ์ วิธกี าร แนวทาง ระบบ หรือนวัตกรรมในหลายดา้ น เช่น อุปกรณก์ ารใชส้ อยใน ชวี ติ ประจำ� วนั เพอ่ื อำ� นวยความสะดวกสำ� หรบั การดำ� เนนิ ชวี ติ ใหเ้ กดิ ความสะดวก สบายและง่ายขึ้น เคร่ืองมือทางการแพทย์ที่มีผลให้ชีวิตและร่างกายของมนุษย์ มีอายุยืนยาวมากกว่าในอดีต อุปกรณ์หรือเครื่องอ�ำนวยความสะดวกทาง วทิ ยาศาสตรเ์ ทคโนโลยแี ตล่ ะลกั ษณะ ทใี่ ชเ้ ปน็ เครอื่ งบง่ ชคี้ วามเจรญิ กา้ วหนา้ ของ ชนชาติ หรือแม้แต่ผลงานทางด้านทัศนศิลป์ท่ีเกิดข้ึนจากภูมิปัญญา และ กระบวนการคิดสรา้ งสรรคข์ องมนษุ ย์ในแตล่ ะยุคสมยั ความสำ� คญั ของความคดิ สรา้ งสรรคต์ อ่ ความเปน็ อยขู่ องมนษุ ย์ กลายเปน็ สิ่งท่ีใช้กล่าวถึงศักยภาพทางสมอง ที่ต้องการให้แต่ละบุคคลสามารถใช้ กระบวนการคดิ สรา้ งสรรคไ์ ดอ้ ยา่ งเตม็ ที่ ทงั้ นเี้ พอื่ เปน็ การสรา้ งผลติ ผลในลกั ษณะ ตา่ ง ๆ ซง่ึ สามารถสะทอ้ นถงึ ความเจรญิ รงุ่ เรอื งของแตล่ ะประเทศ หลายชาตไิ ดใ้ ห้ ความส�ำคัญต่อกระบวนการคิดสร้างสรรค์ อันเป็นความคิดระดับสูง รวมท้ังได้ บสบทรททปุ ี่ กำ� หนดไวใ้ นทกั ษะทส่ี ำ� คญั ในศตวรรษที่ ๒๑ จงึ สง่ ผลใหน้ โยบายในแตล่ ะระดบั มี ๔ ความจ�ำเป็นท่ีต้องมุ่งเน้นให้ทรัพยากรบุคคลของประเทศเกิดกระบวนการคิด สร้างสรรคอ์ ยา่ งเต็มศกั ยภาพและเกดิ ประสทิ ธิภาพสูงสดุ
๑๘๓ การพฒั นาความคดิ สร้างสรรคท์ างทัศนศลิ ป์ สำ� หรบั ระบบการศกึ ษา เปน็ สว่ นสำ� คญั ยง่ิ ตอ่ การสรา้ งความเจรญิ งอกงาม ทางปญั ญาใหแ้ กเ่ ยาวชน จงึ มกี ารกำ� หนดกรอบนโยบายหรอื แนวทางในการพฒั นา ความคดิ สรา้ งสรรคใ์ หก้ บั ผเู้ รยี นไว้ เชน่ ในหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พนื้ ฐาน โดยจดั อยใู่ นกลมุ่ สาระการเรยี นรศู้ ลิ ปะ ซงึ่ เปน็ หนว่ ยทรี่ บั ผดิ ชอบในสาระของการ พฒั นาผเู้ รยี นดา้ นความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ป์ ตามใจความในมาตรฐานการ เรียนรู้ ศ ๑.๑ ทก่ี ล่าววา่ “สรา้ งสรรคง์ านทัศนศลิ ปต์ ามจนิ ตนาการและความคดิ สรา้ งสรรค”์ เปน็ ต้น เมื่อความคดิ สร้างสรรคม์ คี วามสำ� คัญอยา่ งยิ่งตอ่ การพัฒนา ในหลายมติ ิ จงึ เกดิ การศกึ ษาเกย่ี วกบั กระบวนการคดิ สรา้ งสรรค ์ โดยมนี กั วชิ าการ หลายท่านท้ังชาวต่างชาติและชาวไทย ท่ีให้ความสนใจในด้านนี้ และให้ความ ส�ำคัญต่อการศึกษา ทั้งให้ค�ำอธิบายเกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ในแง่มุมต่าง ๆ ตวั อยา่ งเชน่ กลิ ฟอรด์ , ทอรแ์ รนซ,์ กอรด์ อน ฯลฯ สว่ นนกั วชิ าการชาวไทยทศ่ี กึ ษา เกี่ยวกับความคิดสร้างสรรค์ประกอบด้วย อารี รังสินันท์, อารี พันธ์มณี, วนิช สธุ ารตั น,์ อุษณีย์ อนรุ ทุ ธวงศ,์ เกรียงศกั ด์ิ เจรญิ วงศศ์ ักด์,ิ ชาญณรงค์ พรรุง่ โรจน์ เปน็ ตน้ นกั วชิ าการเหลา่ นเ้ี ปน็ ผทู้ อี่ ธบิ ายเกย่ี วกบั ความคดิ สรา้ งสรรค์ และเปน็ พน้ื ฐานของข้อมูลทปี่ รากฏในหนงั สอื เล่มน้ี CREATIVE ความคิดสร้างสรรค์ ไมเ่ พียงแตจ่ ะมคี วามส�ำคัญและจำ� เปน็ ต่อการด�ำรง อยู่ของมวลมนุษยชาติทั้งยังสร้างความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี ซงึ่ เปน็ เครอ่ื งวดั ความกา้ วหนา้ ของแตล่ ะชนชาตเิ ทา่ นนั้ ผลงานทางทศั นศลิ ปเ์ ปน็ อีกหน่ึงผลผลิตท่ีเกิดข้ึนจากกระบวนการคิดสร้างสรรค์โดยตรง โดยเน้นการคิด สร้างสรรค์รูปแบบให้มีความแปลกใหม่แตกต่างจากรูปแบบเดิมท่ีมีอยู่ จาก ลักษณะของแนวคิดน้ี จึงท�ำให้วิชาที่เก่ียวข้องกับทัศนศิลป์มีความจ�ำเป็นที่ต้อง พัฒนาผู้เรียนให้เกิดกระบวนการคิดสร้างสรรค์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นผู้เรียน หรือผู้ ปฏิบตั งิ านกลุ่มศลิ ปะการออกแบบ กลุม่ งานวจิ ติ รศลิ ป์ กลมุ่ งานศิลปะไทย และ กลุ่มงานแบบเหมือนจริง โดยแต่ละกลุ่มงานดังกล่าว จะมีระดับความเข้มข้นใน การใช้ความคิดสร้างสรรค์ไม่เท่ากัน โดยก่อนการใช้เทคนิคการพัฒนาความคิด สร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์ ผู้สอนควรจัดเตรียมความพร้อมในประเด็นต่างๆ เพ่ือ ใหก้ ารพฒั นากระบวนการคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ปข์ องผเู้ รยี นเกดิ ประสทิ ธผิ ล สูงสุด ประกอบดว้ ยประเดน็ ตา่ ง ๆ คือ การปรับสภาพรา่ งกาย จิตใจ และทัศนคติ
๑๘๔ การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทัศนศิลป์ ของผเู้ รยี น การจดั เตรยี มสภาพแวดลอ้ มและบรรยากาศ การจดั เตรยี มขอ้ มลู การ จัดเตรียมวัสดอุ ปุ กรณ์ การจดั เตรยี มระยะเวลา และการเตรยี มการประเมิน เมือ่ ผู้สอนจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ตามแต่ละประเด็นดังกล่าวแล้ว จึงน�ำผู้เรียนเข้าสู่ กระบวนการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์ด้วยเทคนิควิธีการแต่ละรูป แบบ ซ่ึงสามารถเลือกใช้ให้เหมาะสมตามลักษณะของผลงาน และบริบทของ กจิ กรรมการเรยี นรู้ โดยแตล่ ะเทคนคิ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ป์ ไดแ้ ก่ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ปโ์ ดยใชว้ ธิ กี ารอปุ นยั (Induction Method) การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์ด้วยแนวคิด “ไอเดียเก่า + ไอเดียเกา่ = ไอเดยี ใหม”่ การพัฒนาความคิดสร้างสรรคท์ างด้านทศั นศลิ ป์โดยใช้ แบบตรวจสอบของออสบอร์น (Osborn’s Checklist) การพัฒนาความคิด สร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์โดยใช้บัญชีรายการ (Catalog) การพัฒนาความคิด สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ปโ์ ดยการระดมสมองตามแนวคดิ ของทฤษฎี Synectic การ พฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ปด์ ว้ ยเทคนคิ การเปรยี บเทยี บ (Comparison technique) การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์โดยใช้วัฒนธรรมเป็น ฐาน การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ปด์ ว้ ยการวจิ ารณศ์ ลิ ปะ การพฒั นา ความคดิ สร้างสรรคด์ ว้ ยคอนทัวร์ดรออิง้ (Contour Drawing) การพฒั นาความ คิดสร้างสรรคท์ างทศั นศลิ ปแ์ บบขา้ มกระบวนการ (Cross Method) การพฒั นา ความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์ด้วยสีคู่ตรงข้าม (Negative style) และการ พัฒนาความคดิ สรา้ งสรรค์ทางทัศนศิลป์จากภาวะวกิ ฤต แตล่ ะเทคนคิ วธิ กี ารทกี่ ลา่ วมาขา้ งตน้ มจี ดุ เนน้ และลกั ษณะทแ่ี ตกตา่ งกนั ผู้สอนควรคัดเลือกเทคนิคการพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์ให้ เหมาะสม เพื่อให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการคิดสร้างสรรค์ทางทัศนศิลป์ได้อย่างมี บสบทรททปุ ี่ ประสทิ ธภิ าพ รวมทง้ั ให้ผู้เรยี นเกดิ ความพงึ พอใจในการเรียนรแู้ ละฝึกปฏบิ ัตงิ าน ๔ ซึ่งจะส่งผลต่อทัศนคติที่ดีของผู้เรียนส�ำหรับการใช้กระบวนการคิดสร้างสรรค์ใน งานทัศนศิลปด์ ้วย
๑๘๕ การพฒั นาความคิดสรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ป์ บรรณานกุ รม
๑๘๖ การพฒั นาความคิดสร้างสรรค์ทางทศั นศิลป์ บรรณานุกรม กจิ จา ฤดขี จร. (๒๕๕๕). พฒั นาพลังสมองขั้นเทพ. กรงุ เทพฯ : หนา้ ต่างสโู่ ลก กวา้ ง. เกรยี งศักด์ิ เจรญิ วงศศ์ กั ดิ.์ (๒๕๔๙). การคิดเชิงสรา้ งสรรค์. กรงุ เทพฯ : ซคั เซส มเี ดยี . จุฑามาศ แหนจอน. (๒๕๕๙). จติ วทิ ยาการรู้คดิ . กรุงเทพฯ : แกรนด์พอยท.์ ชลูด น่ิมเสมอ. (๒๕๓๔). องค์ประกอบทางศิลปะ. พิมพค์ ร้งั ท่ี ๒. กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช. ชาญณรงค์ พรรุ่งโรจน.์ (๒๕๔๖). ความคิดสร้างสรรค์. กรุงเทพฯ : ส�ำนกั พมิ พ ์ แหง่ จฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลัย. ณฏั ฐพงษ์ เจริญพทิ ย์. (๒๕๔๑). ความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์: ทศั นะแบบองค์รวม. พิมพค์ ร้งั ที่ ๒. กรุงเทพฯ : สยามโอเวอร์ซีส์โปร. เดอ โบโน, เอด็ เวริ ด์ . (๒๕๔๘). คิดแนวข้าง Lateral Thinking. พิมพค์ รง้ั ท่ี ๓. กรุงเทพฯ : เอก็ ซเปอร์เน็ท. ทิศนา แขมมณี. (๒๕๕๓). ศาสตร์การสอน : องค์ความร้เู พื่อการจัดกระบวน การเรยี นรู้ท่มี ปี ระสทิ ธภิ าพ. พิมพ์ครงั้ ที่ ๑๓. กรุงเทพฯ : สำ� นักพิมพ ์ แห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย. เทยี นชัย ตัง้ ประเสรฐิ . (๒๕๔๐). องคป์ ระกอบศิลป์ ๑. กรงุ เทพฯ : เฟือ่ งฟ้าพรน้ิ ต้ิง. ธนากิต. (๒๕๕๙). ประวตั นิ ักวทิ ยาศาสตร์เอกของโลก. กรงุ เทพฯ: สุวีริยาสาส์น. ธวัชชานนท์ ตาไธสง. (๒๕๕๒). หลกั การศลิ ปะ. กรงุ เทพฯ : วาดศิลป.์ ราชบณั ฑติ ยสถาน. (๒๕๕๖). พจนานกุ รม ฉบบั ราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. เฉลิมพระเกยี รตพิ ระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยหู่ วั เนอ่ื งในโอกาส พระราชพิธีมหามงคลเฉลมิ พระชนมพรรษา ๗ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔. กรงุ เทพฯ : ราชบณั ฑิตยสถาน. เรณู คฤคราช. (๒๕๔๗). ประวตั ิศาสตร์ศิลปต์ ะวันตก. พมิ พ์ครงั้ ที่ ๒. ชลบุรี : มหาวิทยาลัยบูรพา. วนชิ สุธารัตน์. (๒๕๔๗). ความคดิ และความคดิ สรา้ งสรรค.์ กรุงเทพฯ : สุวรี ยิ าสาส์น. วจิ ติ รวาทการ, พลตรหี ลวง. (๒๕๓๑). มนั สมอง. พิมพ์คร้งั ท่ี ๑๒. กรุงเทพฯ : สารมวลชน.
๑๘๗ การพัฒนาความคิดสร้างสรรคท์ างทศั นศลิ ป์ วุฒิ วัฒนสนิ . (๒๕๓๙). องค์ประกอบทางศิลปะ. ปตั ตานี : มหาวทิ ยาลยั สงขลา นครินทร.์ ศักดชิ์ ยั เกยี รตินาคนิ ทร์. (๒๕๕๓). @design : หลกั การออกแบบศิลปะ. กรุงเทพฯ : ไว้ลาย. ส. พลายน้อย. (๒๕๕๕). อมนษุ ยนยิ าย. กรุงเทพฯ : ยปิ ซ.ี สมชาย พรหมสุวรรณ. (๒๕๔๘). หลกั การทัศนศิลป์. กรุงเทพฯ : ส�ำนักพิมพ์ แหง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั . สมศกั ด์ิ ภวู่ ภิ าดาวรรธน.์ (๒๕๓๗). เทคนคิ การสง่ เสริมความคิดสร้างสรรค์. กรุงเทพฯ : วฒั นาพานิช. สมติ สัชฌกุ ร. (๒๕๕๕). คดิ นอกกรอบ. กรงุ เทพฯ : เบน ครีเอทีฟ. สุชาติ เถาทอง (๒๕๓๙). หลกั การทศั นศิลป.์ กรุงเทพฯ : วิทยพฒั น์. อารี พันธม์ ณี. (๒๕๔๐). ความคดิ สร้างสรรค์กบั การเรยี นร.ู้ กรุงเทพฯ : ต้นอ้อแกรมม.่ี อารี รังสินนั ท.์ (๒๕๒๗). ความคิดสรา้ งสรรค์. กรุงเทพฯ : ธนะการพมิ พ์. อำ� นวย วรพงศธร. (๒๕๕๔). สัตว์หิมพานต์. กรุงเทพฯ : ทริปเพิล้ เอด็ ดเู คชน่ั . ๑๑๐. อสิ อะเวย์ .ร็อบ. (๒๕๕๑). คิดนอกกฎ ท�ำนอกกรอบ ๑๐๑ วธิ ปี ลดพนั ธนาการ ทางความคดิ . กรุงเทพฯ : เนชนั่ บ๊คุ ส์. อุษณีย์ อนรุ ทุ ธ์วงศ์. (มปป.). การพฒั นาทกั ษะความคดิ ระดับสงู . นครปฐม : ไอ.ควิ .บคุ๊ เซ็นเตอร์. Good. Carter V. (1973). Dictionary of Education. Third Edition. New York : Mc Graw-Hill. Pervin, Lawrence A. (1989). Personality Theory and Research. Fifth Edition. New York : John Wiley & sons. Toman, W. (1972). Encyclopedia of Psychology. Volume 1. Editors Eysenck, Han J. and others. Great Britain : Pitman Press, Bath. Torrance. (1995). Insight about creativity : Question, reject, ridi culed, ignored. Educational Psychology Review. 7 : p.313 – 316.
๑๘๘ การพฒั นาความคิดสร้างสรรคท์ างทศั นศลิ ป์ Torrance, E. P., & Hall, L.K. (1980). Assessing the further reaches of creative potential. Journal of Creative Behavior, 14, p. 1 – 19. Urban, K. (2004). Assessing creativity : The test for Creative Thinking-Drawing Production (TCPDP), The concept, application, evaluation, and International studies. Psychology Science, V, 46, 2004 (3). p. 387-397. Wilson, H. (2007). A National Training Programme for Elementary School Gifted and Talented Coordinators. The 17th Biennial Conference of the World Council for Gifted and Talented Children, Warwick University England.
๑๘๙ การพัฒนาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทัศนศิลป์ Narit Vadhanabhu ประวัตผิ ้เู ขยี น นาย นฤทธิ์ วฒั นภู Mr. Narit Vadhanabhu ประวตั กิ ารศึกษา ปร.ด. (วิจยั ศิลปะและวฒั นธรรม) ๒๕๖๑ มหาวิทยาลยั ขอนแก่น กศ.ม. (หลักสตู รและการสอน) ๒๕๔๔ มหาวทิ ยาลัยบูรพา ศษ.บ. (ศิลปกรรม) (เกยี รตินยิ มอนั ดบั 1) ๒๕๔๑ สถาบันเทคโนโลยรี าชมงคล
๑๙๐ การพฒั นาความคดิ สร้างสรรคท์ างทัศนศลิ ป์ ผลงานทางทศั นศิลป์ - รว่ มซอ่ มภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอโุ บสถ วัดบวรนเิ วศวิหาร กรงุ เทพฯ (พ.ศ. ๒๕๓๗) - รว่ มเขยี นลายรดนำ�้ ในโครงการเผยแพรศ่ ลิ ปวฒั นธรรมของ กระทรวงการตา่ งประเทศ (พ.ศ. ๒๕๓๘) - เขยี นลายรดน้ำ� ประดบั อาคารศาลารมิ น้ำ� โรงแรมโอเรยี ลเต็ล กรงุ เทพฯ (พ.ศ. ๒๕๕๐) - สร้างสรรคผ์ ลงานศิลปะไทยตกแต่งเรอื นไทย ณ ฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. ๒๕๕๑) - งานดา้ นหวั โขน หนุ่ ไทย ลายรดน้�ำ ประดับลวดลาย (พ.ศ. ๒๕๓๗ – ปัจจบุ ัน) - ได้รบั การยกย่องเชิดชเู กยี รตเิ ป็น ผมู้ ที กั ษะฝมี ือโดดเดน่ ใน งานศิลปะและหตั ถกรรม จากศนู ย์สง่ เสรมิ ศลิ ปาชีพระหวา่ งประเทศ องคก์ ารมหาชน (พ.ศ. ๒๕๕๐) - ออกแบบลวดลายประดับอาคาร ณ ฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา (พ.ศ. ๒๕๖๔) ผลงานทางวชิ าการ หนังสือ นฤทธิ์ วัฒนภ.ู (๒๕๖๐). ศลิ ปะไทย. ชลบรุ :ี สารบรรณ. __________. (๒๕๕๘). ศลิ ปะบนซมุ้ เฉลมิ พระเกียรติ. กรงุ เทพฯ: วาดศลิ ป์. __________. (๒๕๕๘). พน้ื ฐานลวดลายไทยแบบเอกรงค์. กรงุ เทพฯ: วาดศลิ ป์. __________. (๒๕๕๘). หวั โขน สญั ลกั ษณแ์ ห่งรามเกียรต์ิ. กรุงเทพฯ: วาดศลิ ป.์ __________. (๒๕๕๗). ศรี ษะโขน ศิลปะจากวรรณกรรม รามเกียรต์แิ ละภูมปิ ัญญาของชา่ งไทย. กรุงเทพฯ: โอเดียนสโตร์. __________. (๒๕๕๕). ศิลปหตั ถกรรมพ้ืนบา้ นไทย. กรุงเทพฯ: วาดศิลป์. __________. (๒๕๕๔). พ้ืนฐานประวตั ิศาสตร์ศลิ ปบ์ นดินแดน ไทย. กรงุ เทพฯ: วาดศิลป.์ __________. (๒๕๕๔). ลวดลายฉลุ. กรงุ เทพฯ: วาดศิลป์. __________. (๒๕๕๓). จิตรกรรมปลวิ ลม : ศลิ ปะการตอกกระดาษ. กรุงเทพฯ: วาดศลิ ป์. __________. (๒๕๕๒). ลายรดน้�ำ. กรงุ เทพฯ: วาดศิลป.์
๑๙๑ การพฒั นาความคดิ สรา้ งสรรคท์ างทศั นศลิ ป์ บทความ Vadhanabhu Narit. (2019). “Gilt Lacquer Art in Luang Prabang : History and Culture Diffusion”. Journal of Engineering and Applied Sciences. Volume: 14, Issue: 8, Page No.: 2553-2558. นฤทธิ์ วัฒนภู. (๒๕๖๒). “วรรณกรรมพทุ ธประวตั ิของไทยใน ลายพอกคำ� เมอื งหลวงพระบาง”. เอกสารประกอบการ ประชุมวิชาการระดบั ชาติ ๔๐ ปศี ิลปศาสตร์ มหาวทิ ยาลยั สุโขทยั ธรรมาธริ าช หน้า ๑๓๔-๑๔๒. นฤทธิ์ วัฒนภ.ู (๒๕๖๑). “ข้อสังเกตบางประการของความแตก ตา่ งระหวา่ งลายรดน้ำ� กบั ลายค�ำ”. เอกสารประกอบการ ประชมุ วชิ าการระดับชาตศิ ลิ ปกรรมวจิ ยั ครง้ั ที่ ๔ หนา้ ๘๘-๙๗. Vadhanabhu Narit. (2014). “The Development of Inductive Approach for Artistic Creativity Encouragement Based on Lesson Study : A Case Study of Product Design for Mattayomsuksa 3 (Grade 9) Student”. Fine Arts International Journal, Srinakharinwirot University. Volume 18, No.2, July – December, Page 239-244. ผลงานวจิ ยั นฤทธิ์ วฒั นภ.ู (๒๕๕๗). การพฒั นารปู แบบกจิ กรรมการเรียนร ู้ เพือ่ ส่งเสริมความคิดสรา้ งสรรค์เรื่อง การออกแบบ ผลิตภัณฑ์ สำ� หรบั นักเรียนช้ันมัธยมศึกษาปที ่ี ๓ ด้วยวิธ ี ศึกษาบทเรยี น (Lesson study). ชลบุรี: บางแสนการพมิ พ์. ดุษฎีนพิ นธ์ นฤทธิ์ วัฒนภ.ู (๒๕๖๑). รปู แบบและคตสิ ญั ลกั ษณ์ของลายพอกค�ำ เมอื งหลวงพระบาง. ปรญิ ญานพิ นธป์ รัชญาดษุ ฎบี ัณฑิต สาขาวชิ าวจิ ัยศลิ ปะและวัฒนธรรม คณะศลิ ปกรรมศาสตร ์ บณั ฑิตวิทยาลัย มหาวทิ ยาลัยขอนแกน่
๑๙๒ การพัฒนาความคิดสรา้ งสรรค์ทางทัศนศิลป์ ความคดิ สรา้ งสรรค์ เปน็ ศกั ยภาพของมนษุ ยท์ แ่ี ตก ต่างจากสิ่งมีชีวิตอ่ืน มีคุณประโยชน์ต่อการสร้างสรรค์ สรรพส่ิง ไม่ว่าจะเป็นวิธีการ ระบบ แนวทาง ผลผลิต ส่ิงประดิษฐ์ เพ่ือการแก้ปัญหาหรือพัฒนาให้มนุษย์ สามารถด�ำรงชีพอยู่บนโลกได้อย่างมีคุณภาพ ดังนั้น ความคดิ สรา้ งสรรค์ จงึ เปน็ สง่ิ ทม่ี คี วามสำ� คญั และจำ� เปน็ ต่อการเกิดข้ึนของนวัตกรรม เพื่อพัฒนาสังคมโลกให้ เจรญิ งอกงาม จากการเปลย่ี นแปลงในทกุ ดา้ นบนโลก ปจั จุบนั นฤทธ์ิ วัฒนภู
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192