การดาํ เนนิ ชีวติ อยูในสังคมอยางมคี วามสขุ ตามแนวพทุ ธจรยิ ศาสตร : ศกึ ษากรณีทิศ ๖ พระอุดมศักด์ิ ปย วณฺโณ (จนั ทบุตร)วทิ ยานิพนธนเ้ี ปน สวนหนึ่งของการศกึ ษาตามหลกั สูตรศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าพทุ ธศาสนาและปรชั ญา บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย พุทธศักราช ๒๕๔๘ ISBN 974-399-757-1
LIVING A HAPPY LIFE ACCORDING TO BUDDHIST ETHICS : A CASE SUDY OF SIX DIRECTIONS PHRA UDOMSAK PIYAVAÑÑO (JANTABUT)A THESIS SUBMITTED IN PARTIAL FULFILLMENT OF THE REQUIREMENTS FOR THE DEGREE OF MASTER OF ARTS DEPARTMENT OF BUDDHISM AND PHILOSOPHY GRADUATE SCHOOL MAHAMAKUT BUDDHIST UNIVERSITY B.E. 2548 (2005) ISBN 974-399-757-1
หวั ขอวิทยานพิ นธ : การดําเนินชวี ติ อยูในสงั คมอยางมีความสขุ ตามแนวพทุ ธจริยศาสตร ศึกษากรณที ิศ ๖ชือ่ นกั ศกึ ษาสาขาวิชา : พระอดุ มศักด์ิ ปย วณโฺ ณ (จันทบตุ ร)อาจารยท ี่ปรึกษา : พทุ ธศาสนาและปรชั ญาอาจารยที่ปรึกษารว ม : พระสทิ ธสิ ารโสภณ : ผศ. ดร. เจริญชัย ชนไพโรจน บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหามกุฏราชวทิ ยาลัย อนุมตั ิใหน บั วิทยานิพนธนี้ เปนสว นหน่งึ ของการศึกษาตามหลกั สตู รศาสนศาสตรมหาบัณฑติ .......................................................... คณบดบี ณั ฑติ วทิ ยาลัย ( พระครูปลดั สมั พิพัฒนวริ ยิ าจารย )คณะกรรมการสอบวทิ ยานพิ นธ .......................................................... ประธานกรรมการ ( พระครปู ลดั สัมพิพฒั นวิรยิ าจารย ) .......................................................... อาจารยทีป่ รึกษา ( พระสทุ ธิสารโสภณ ) .......................................................... อาจารยทีป่ รึกษารว ม (ผศ. ดร. เจรญิ ชยั ชนไพโรจน ) ........................................................... กรรมการ ( ผศ.ดร. เดชา ใจกลาง ) ........................................................... กรรมการ (ดร.สกุ ิจ ชัยมุสิก )ลขิ สิทธข์ิ องบณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวิทยาลยั
Thesis Title : Living a Happy Life according to Buddhist Ethics : A Case Study of Six DirectionsStudent’s Name : Phra Udomsak piyavañño (Jantabut)Department : Buddhism and PhilosophyAdvisor : Ven. PhrasutthisarasoponCo-Advisor : Asst. Prof. Dr. Jarernchai Chonpairot. Accepted by the Graduate School, Mahamakut Buddhist University in PartialFulfillment of the Requirements for the Master’s Degree. .......................................................... Dean of Graduate School ( Ven. Phragrupaladsampipattanaviriyajarn )Thesis Committee .......................................................... Chairman ( Ven. Phragrupaladsampipattanaviriyajarn ) .......................................................... Advisor ( Ven. Phrasutthisarasopon ) ........................................................... Co-Advisor ( Asst. Prof. Dr. Jarernchai Chonpairot ) ........................................................... Member ( Asst. Prof. Dr. Decha Jaiklang ) ........................................................... Member (Dr. Sukit Chaimusik) Copyright of the Graduate School, Mahamakut Buddhist University
กหัวขอ วิทยานพิ นธ : การดําเนนิ ชีวติ อยใู นสงั คมอยา งมคี วามสุขตามแนวพุทธจริยศาสตร ศกึ ษากรณที ิศ ๖ชอ่ื นกั ศกึ ษา : พระอุดมศกั ด์ิ ปยวณโฺ ณ (จันทบุตร)สาขาวิชา : พทุ ธศาสนาและปรัชญาอาจารยท ่ีปรึกษา : พระสุทธสิ ารโสภณอาจารยท่ปี รึกษารว ม : ผศ.ดร. เจริญชัย ชนไพโรจนปก ารศึกษา : ๒๕๔๘ บทคดั ยอ วิทยานิพนธฉบับนี้ เปนการศึกษาเร่ือง การดําเนินชีวิตอยูในสังคมอยางมีความสุขตามแนวทางพุทธจริยศาสตรศึกษากรณีทิศ ๖ โดยมีวัตถุประสงคเพื่อศึกษาถึงลักษณะของการดําเนินชีวิตใหม ีความสุข ตามหลกั คาํ สอนของพระพุทธศาสนา อันวาดวยจริยศาสตรส ังคม วิทยานิพนธน้ี เปนการศึกษาจากเอกสารโดยการศึกษาขอมูลเอกสาร(DocumentaryResearch) โดยศึกษาขอมูลจากเอกสารตางๆ เชนพระไตรปฎก เอกสารงานวิจัยของนักวิชาการผูเช่ียวชาญตลอดจนผลงานของผูรูในทางพระพุทธศาสนาที่เก่ียวของ นํามาวิเคราะหประกอบคําชี้แนะของอาจารยท ่ีปรึกษาแลวจงึ สรุปผลการวิจัยนําเสนอในเชิงพรรณนา ผลจากการศึกษา พบวาแตละบุคคลยอมมีหนาที่ที่ตองปฏิบัติตอบุคคลตาง ๆ ในสังคมอันเปรียบเสมอื นทศิ ทัง้ ๖ ท่ีอยูรอบตัวเรา โดยนําหลักคุณธรรมและจริยธรรมตามแนวพุทธจริยศาสตรสังคมในการดําเนินชีวิตตามพุทธจริยศาสตรสังคมอยางสมบูรณทําใหเกิดผลดีในระดับปจเจกชนและระดับสงั คม ซง่ึ สามารถประมวลผลไดเ ปน ๓ ประเภทดังนี้ ๑. ทําใหเปนคนมคี วามรับผิดชอบในหนา ท่ตี อ ตนเองและผูอ ่ืน ๒. ทําใหม กี ารดาํ เนินชวี ิตอยา งเปน ปกตสิ ขุ ในสงั คม ๓. ทําใหสังคมสงบสุขอันเนื่องมาจากคนในสังคมนําหลักพุทธจริยศาสตรสังคมไปใชเปนแนวทางในการดําเนินชีวิต
ขThesis Title : Living a Happy Life according to Buddhist Ethics : A Case Study of Six DirectionsStudent’s Name : Phra Udomsak Piyavañño (Jantabut)Department : Buddhism and PhilosophyAdvisor : Ven. PhrasutthisarasoponCo-Advisor : Asst. Prof. Dr. Jarernchai ChonpairotAcademic Year : B.E. 2548 (2005) ABSTRACT The Purpose of this thesis is to study the principles in living a happy Lifeaccording to social ethics in Buddhism. The study is qualitative and its main sources of data arefrom the Tipitaka, research works, and textbooks. The data collected from different sources areanalyzed and presented in a descriptive method. The resuIt of the study reveaIs that each individual in society has his own dutyto treat with different people in that society. Those people are similar to six directionssurrounding us. To implement the Buddhist principles of virtues and morals into living a lifegives a good result to an individual and society as follows, 1. It turns practitioners to be responsible to themselves and the others, 2. It makes people a happy Life in society, and 3. lt creates an ideal society as the people on that society follow the social ethics inBuddhism.
ค กิตติกรรมประกาศ วิทยานิพนธน้ี สาํ เร็จไดดวยดี ดว ยความเมตตาอนเุ คราะหจ ากหลายทา น หลายฝา ยดว ยกนั ท่ีกรณุ าใหคําแนะนํา และใหกําลังใจดวยดีตลอดมา ผูวิจัยจึงขอกราบขอบพระคุณ และอนุโมทนากับทกุ ทา น ทกุ ฝา ย ดังนี้ กราบขอบพระคุณ พระสุทธิสารโสภณ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยวิทยาเขตรอยเอ็ด ที่รับเปนอาจารยท่ีปรึกษา ขออนุโมทนา ผศ.ดร.เจริญชัย ชนไพโรจน ที่รับเปนอาจารยที่ปรึกษารวม ที่ไดสละเวลาใหคําแนะนําเพ่ือการปรับปรุงแกไขในสวนที่บกพรองของวิทยานพิ นธ จนทาํ ใหว ิทยานิพนธเลม นส้ี ําเรจ็ สมบูรณ กราบขอบพระคุณพระครูปลัดสัมพิพัฒนวิริยาจารย คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย ท่ีไดใหคาํ ปรกึ ษาตรวจสอบแกไ ข ขออนโุ มทนา ดร.สุกิจ ชัยมุสิก และคณาจารยประจําบัณฑิตวิทยาลัยทุกทานที่ประสิทธิ์ประสาทความรูทุกแขนงวิชา ตลอดจนพระมหาสิทธิพิพัฒน สิริปฺโญ ท่ีใหคําแนะนําและปรับปรุงแกไขในสวนท่ีบกพรองของวิทยานิพนธ จนทําใหวิทยานิพนธเลมน้ีสําเร็จสมบูรณดวยดี ขอกราบขอบพระคุณพระบวรปริยัติกิจ รองเจาคณะจังหวัดมหาสารคาม เจาอาวาสวัดปจฉิมทัศน ขออนโุ มทนา นายศรณั ย โคตะ, ดร.วิทยา มะเสนา, อาจารยถนอม บุญบุตตะ, อาจารยพิณ มะเสนา, อาจารยมารศรี ดาราวรรณ, อาจารยจารุณี ดาราวรรณ ผูจัดการรานเสียงนิมิตวิทยุ,นางประทุมวรรณ สุขพันธ, อาจารยบุญเรือง หาญณรงคและอาจารยเบญจรงค ศรแกว ที่ไดชวยอุปถัมภกาํ ลงั ทรัพยในการจัดพิมพว ิทยานิพนธเลมนจ้ี นสําเรจ็ ลงดวยดี ขออางอิงคุณพระศรีรัตนตรัยและ คุณความดีที่เกิดจากการทําวิทยานิพนธเลมน้ี ผูวิจัยขอนอมเปนเคร่ืองสักการบูชาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสงฆคุณ พระคุณมารดาบิดา และครูอาจารยต ลอดทั้งผมู อี ุปการคุณที่ไดใหความอุปถัมภชวยเหลือในการทําวิทยานิพนธครั้งนี้จงอํานวยอวยพรใหท ุกทา นจงมีความสขุ ความเจรญิ ตลอดกาลนานเทอญ พระอดุ มศักด์ิ ปยวณโฺ ณ (จนั ทบุตร) ๑๐ ตลุ าคม ๒๕๔๘
ง สารบัญคาํ ยอ งานวิทยานิพนธฉบับน้ี ผูวิจัยไดศึกษาจากคัมภีรพระไตรปฎก ฉบับของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๒๕ พรอมทั้งอรรถกถา อันเปนคัมภีรท่ีสําคัญทางพระพุทธศาสนาเถรวาท ในการคน ควา ซงึ่ ในการอา งอิงในที่น้ไี ดใ สชื่อยอของคัมภีรต ามท่ีกลาวมา ดังจะมีคํายอและคําเตม็ ดงั นี้พระสตุ ตนั ตปฎ ก คําเต็ม คํายอ ทีฆนกิ าย สีลขันธวรรค ทฆี นิกาย มหาวรรค ที. สี. ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค ที. ม. อํคตุ ฺตรนิกาย สตตฺ กนบิ าต ท.ี ปา. อง.ฺ สตฺตก.อรรถกถาพระสตู ร ทีฆนกิ าย อรรถกถา (สมุ ังคลวิลาสิน)ี ท.ี อ. ในการอางอิง พระไตรปฎก ฉบับของมหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย โดยการอางอิงแบบ ๓ ตอน โดยการอางชื่อคัมภีร เลม / ขอ / หนา เชน ที. ปา. ๑๑ / ๓๔ / ๔๔ / หมายถึงพระไตรปฎกทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค เลมที่ ๑๑ ขอท่ี ๓๔ หนาท่ี ๔๔ และ เลม / หนา เชน พระสูตรและอรรถกถาแปล ๖๒ / ๕๔๐ หมายถึงพระไตรปฎกและอรรถกถาแปลเลม ๖๒ หนา ๕๔๐เปน ตน
สารบัญ จบทคัดยอ ภาษาไทย หนาบทคัดยอ ภาษาองั กฤษกติ ตกิ รรมประกาศ กสารบัญคาํ ยอ ขสารบญั คบทท่ี ๑ บทนาํ ง จ ๑. ความเปน มาและความสาํ คญั ของปญหา ๑ ๒. วตั ถปุ ระสงคของการวจิ ยั ๓. ขอบเขตของการวจิ ยั ๑ ๔. วธิ ีดาํ เนินการวจิ ยั ๒ ๕. ประโยชนท ค่ี าดวาจะไดร ับ ๒ ๖. เอกสารและงานวิจัยทเี่ กย่ี วของ ๓ ๓บทท่ี ๒ ความหมายและประเภทของพทุ ธจรยิ ศาตร ๓ ๑. ความหมายของพุทธจริยศาสตรโ ดยทว่ั ไป ๗ ๒. ประเภทและระดับของพทุ ธจริยศาสตร ๗ ๒.๑ จรยิ ธรรมระดับพน้ื ฐาน ๘ จดุ มุงหมายและประโยชนข องจริยธรรมระดบั พื้นฐาน ๑๐ ๑๑ ๒.๒ จรยิ ธรรมระดบั กลาง ๑๕ จดุ มงุ หมายและประโยชนข องจริยธรรมระดับกลาง ๑๗ ๑๘ ๒.๓ จรยิ ธรรมระดับสงู ๒๓ จดุ มงุ หมายและประโยชนข องจริยธรรมระดบั สูง ๒๔ ๒๕ ๓. ความสาํ คญั ของพุทธจรยิ ศาสตร ๔. ระดับของพทุ ธจรยิ ศาสตร
ฉบทที่ ๓ หลกั พทุ ธจรยิ ศาสตรใ นทศิ ๖ ๒๘ ๑. ความเปน มาของพทุ ธจรยิ ศาสตรทิศ ๖ ๒๘ ๒. ความหมาย และสาระสําคัญพทุ ธจรยิ ศาสตรท ศิ ๖ ๓๐ ๓๐ ๒.๑ ความหมายของพทุ ธจริยศาสตรในทศิ ๖ ๓๐ ๒.๒ สาระสําคัญของพทุ ธจริยศาสตรใ นทิศ ๖ ๓๐ ๔๔ ๑. การดาํ เนนิ ชีวิตตามหลกั พทุ ธจรยิ ศาสตรในปรุ ัตถมิ ทิศ ๕๑ ๒. การดาํ เนนิ ชีวติ ตามหลกั พทุ ธจริยศาสตรในทักขณิ ทิศ ๖๖ ๓. การดําเนนิ ชวี ิตตามหลกั พทุ ธจริยศาสตรในปจ ฉิมทิศ ๗๑ ๔. การดาํ เนนิ ชีวติ ตามหลกั พุทธจริยศาสตรใ นอตุ ตรทศิ ๗๖ ๕. การดําเนนิ ชวี ติ ตามหลกั พทุ ธจรยิ ศาสตรในเหฏฐิมทิศ ๖. การดาํ เนนิ ชีวติ ตามหลักพทุ ธจริยศาสตรใ นอปุ ริมทิศ ๘๓บทที่ ๔ การดาํ เนนิ ชวี ิตในสงั คมใหม คี วามสขุ ตามหลกั ทศิ ๖ ๘๔ ๙๖ ๔.๑ พทุ ธจรยิ ศาสตรใ นฐานะสงเสริมความมน่ั คงแหง ครอบครัว ๑๐๕ ๔.๒ พทุ ธจรยิ ศาสตรในฐานะสง เสรมิ สติปญ ญา ๑๑๓ ๔.๓ พทุ ธจริยศาสตรในฐานะสง เสรมิ ความรกั ในครอบครวั ๑๒๐ ๔.๔ พทุ ธจริยศาสตรในฐานะสง เสรมิ ความสมั พนั ธในสงั คม ๑๓๒ ๔.๕ พทุ ธจริยศาสตรในฐานะสง เสรมิ ความมนั่ คงในการทํางาน ๔.๖ พทุ ธจรยิ ศาสตรในฐานะสง เสริมแนวทางดําเนนิ ชีวติ อยา งถูกตอ ง ๑๔๑บทที่ ๕ สรปุ ผลการวจิ ัย และขอ เสนอแนะ ๑๔๑ ๑๔๕ ๕.๑ สรปุ ผลการศกึ ษาวจิ ัย ๕.๒ ขอเสนอแนะ ๑๔๖ ๑๕๐บรรณานุกรม ๑๕๔ภาคผนวกประวตั ผิ วู จิ ัย
บทที่ ๑ บทนาํ๑. ความเปน มาและความสาํ คัญของปญหา มนุษยเรานอกจากจะเปนสวนหนึ่งของโลกแลวมีความสัมพันธบางอยางกับโลกแลว ในการดํารงชีวิต มนุษยตองสัมพันธกับมนุษยดวยกันปญหาสําคัญอีกประการหนึ่งของมนุษยก็คือ ปญหาจริยธรรม คอื หลกั การปฏิบตั ิตอ ตนเอง และหลกั การปฏบิ ัติตอคนอ่นื และมนุษยเ ปน สัตวส งั คมมีการอยูรวมกัน มีการกระทําตอกัน มีความรูสึกนึกคิดแตกตางกันและมีท้ังคนดีคนไมดี พระสัมมาสัมพุทธเจาไดประทานหลักพุทธปรัชญาเก่ียวกับสังคมไวกวา ๒๕๔๘ ปแลว ในสิงคาลกสูตร วาดวยหลักทิศ ๖คือการกําหนดหนาที่ความรับผิดชอบของบุคคลใน ๖ กลุม นั้น คือ ทุกคนตองมีหนาที่อันพึงปฏิบัติตอผูอ่ืน ท่ีตนเก่ียวของดวย ในฐานะเดียวกัน ตนเองก็มีสิทธิไดรับการอนุเคราะห จากผูอ่ืนท่ีตนเกี่ยวของดวยเหมือนกัน กลาวสั้นๆ ก็คือ ทุกๆ คน มีท้ังหนาท่ี ที่ตองปฏิบัติ และมีสิทธิอันชอบธรรม ท่ีจะไดรับการปฏิบัติตอบ ท้ังน้ีเพราะถาบุคคลตองมีหนาตองปฏิบัติตอผูอ่ืนแตฝายเดียว โดยไมมีสิทธิ์ไดรับการอนุเคราะหจากผูน้ันตอบแทนบางยอมไมมีใครพอใจ เม่ือไมมีใครพอใจบอยเขาก็เลิกปฏิบัติ นั่นคือ ถาบคุ คลไมรบั ผดิ ชอบ คนดีก็ไมอยากทําความดี เชนน้ีแลวบรรยากาศในสังคมเราจะมีสันติสุขไดอยางไรดวยเหตุดังกลาวพระสัมมาสัมพุทธเจา จึงทรงแบงผูคนในสังคมออกเปน ๖ กลุม พรอมทั้งกําหนดหนาท่ีอนั พงึ ปฏิบตั ิ และสิทธอิ ันพึงไดรับการอนุเคราะหข องบคุ คลแตละกลุม การปฏิบัติตอบุคคลทั้ง ๖ ประเภท ที่เปรียบเหมือนทิศ ๖ ฝายละ ๖ ประการ เปนการถอยทีถอยอาศัยกัน ปฏิบัติตอกันทุกฝาย เชน มารดา บิดาปฏิบัติกับบุตร, ครูอาจารยปฏิบัติกับลูกศิษย, สามีปฏบิ ัติกบั ภรรยา, มติ รสหายปฏิบตั ิกับมิตรสหาย, นายจางปฏบิ ตั กิ ับลูกจาง, สมณะปฏิบตั ิกบั ประชาชน สาํ หรบั บุคคลท้ัง ๖ กลุม ยอมเห็นไดวาทุก ๆ คนปฏิบัติหนาที่ของตนโดยสมบูรณ หรือกลาวอีกอยางหน่ึงวา ถาบุคคลมีความรับผิดชอบตอหนาท่ีของตนโดยไมบกพรอง คนในสังคมยอมอยูรวมกันไดดวยความสงบสุข ชีวิตสวนตัวของแตละบุคคล ๆ ยอมมีความเจริญรุงเรืองซึ่งจะสงผลใหสงั คมโดยรวม มสี นั ติสขุ และความเจริญกา วหนา ย่งิ ข้ึนอกี ดวย ความรับผิดชอบคือ ความตั้งใจปฏิบัติภารกิจหนาที่การงานของตนใหเกิดผลสําเร็จเรียบรอยถกู ตอง และตรงเวลาดว ยความสจุ รติ ความเต็มใจและความจรงิ ใจ ฉะนัน้ ความความรับผิดชอบจึงจัดวาเปน ส่ิงสําคญั ที่สดุ ในการปฏบิ ตั ิภารกิจตา ง ๆ ท้ังภารกจิ ในหนา ท่โี ดยตรง เชน เปน บดิ า มารดา เปน บตุ รธิดา เปนสามีภรรยา เปนตน ทั้งภารกิจในหนาท่ีในตําแหนงตาง ๆ เชน การเปนผูบังคับบัญชา เปน
๒ผูใตบังคับบัญชา เปนผูนํา หรือเปนผูตาม ความรับผิดชอบจึงมีเพื่อรักษาคุณภาพของตนเองไวใหมี ใหเปน ไปตามภาวะ และหนา ทข่ี องตนเองตลอดไป ครอบครัวใดสมาชิกในครอบครัว คือ พอ แม ลูก ทําตัวเปนสมาชิกท่ีดีของครอบครัว คือรูจักหนาที่ของตนใหสมบูรณ ไมขาดตกบกพรอง ครอบครัวน้ันก็จะอยูดวยกันอยางมีความสุขและความม่ันคงในชวี ติ ในทางตรงกันขาม หากครอบครัวที่มีสมาชิกในครอบครัว เชน พอแม ละเลยตอหนาท่ีของตน ขาดความรับผดิ ชอบ คือ พอทํางานไดเงินมาแลว ไมนํามาใชจายเล้ียงลูกเลี้ยงเมีย แตกลับไปใชจายในทางสุรุยสุราย ที่ไมจําเปน เชน เลนการพนัน ดื่มสุรา เปนตน สวนแมก็ไมเปนแมบานที่ดี ชอบเลนการพนัน หรือเที่ยวเตรนอกบานอยางนี้เปนตน ลูกเม่ือถูกพอแมทอดท้ิง เชนน้ันก็เกิดความรูสึกท่ีไมดีหลายอยางตอพอแม เชน อาจจะคิดวาพอแม ไมรักตน ไมสนใจตน ทอดท้ิงตน เปนตน ย่ิงเปนลูกที่กําลังอยูในวัยเรียนดวยแลว ก็มีผลกระทบตอความเปนอยูโดยเฉพาะในดานการศึกษา ปญหาท่ีจะตามมาก็คือ ลูกอาจไมสนใจการศึกษาเลาเรียนหันไปหา ยาเสพติด เท่ียวเตรนอกบาน ทําตัวเปนนักเลงและคบเพือ่ นท่ีไมดี เปนตน ผลสดุ ทา ยอาจกลายเปน เดก็ ทสี่ รา งปญ หาใหกับสงั คม จึงนําหลักทิศท้ัง ๖ มาแกไขปญหาในการดําเนินชีวิต เพ่ือมนุษยสัมพันธและไมตรีจิตที่ดีตอกนั ซ่ึงเปน การถอยทีถอยอาศัยกัน ปฏิบัติตอกันทุกฝาย มี ทิศเบ้ืองหนา มารดา บิดา, ทิศเบื้องขวา ครูอาจารย, ทิศเบ้ืองซาย มิตรสหาย, ทิศเบ้ืองหลัง บุตร ภรรยา, ทิศเบื้องลาง ทาสกรรมกร ทิศเบื้องบนสมณพราหมณ, จึงเปนแรงดลใจ ใหผูวิจัยไดศึกษาวิเคราะหบทบาทของบุคคลในการดําเนินชีวิตอยางมีความสุขตามแนวพุทธจริยศาสตร ศึกษาในกรณีทิศ ๖ เพ่ือใหเปนประโยชนตอการดําเนินชีวิตในระดับปจ เจกชนและตลอดท้งั สังคม๒. วตั ถปุ ระสงคของการวิจยั ๑ เพื่อศึกษาความสําคัญของทิศ ๖ วามีผลตอการสงเสริมการทําความดีและหนาที่ท่ีมนุษยพึงปฏิบัติตอ กนั ๒ เพ่ือศกึ ษาถงึ การนาํ หลกั ทิศ ๖ ไปใชใ นการดําเนินชวี ติ ในสงั คม๓. ขอบเขตของการวิจยั ผูวิจัยจึงมุงเนนที่จะศึกษาเฉพาะเนื้อหาสาระของทิศท้ัง ๖ และหลักธรรมที่สงเสริมสนบั สนนุ ในการดําเนินชีวิตอยใู นสังคมอยางปกตสิ ุข
๓๔. วิธดี ําเนนิ การวจิ ยั การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ผูวิจัยใชวิธีสํารวจเอกสาร ท้ังเอกสารปฐมภูมิ คือพระไตรปฎกและเอกสารทุติยภูมิ ไดแกงานเขียน หนังสือ ตําราของนักปราชญทางพระพุทธศาสนา โดยนําปญหาตาง ๆในสังคมมาประกอบแลวนําเอาหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนาเขาไปวิเคราะหแลวนําเสนอแนวทางปฏิบัติสําหรับแกไขปญหา ใหรูจักหนาท่ีของแตละบุคคลตามหลักพุทธจริยศาสตรจนสามารถดําเนินชีวติ อยใู นสงั คมไดอ ยางมคี วามสุข มปี ระโยชนตอตนเองตลอดจนสงั คมและประเทศชาติ๕. ประโยชนทค่ี าดวาจะไดรบั ๑ ทาํ ใหท ราบถึงคณุ คาของทศิ ทง้ั ๖ กบั การสง เสรมิ การทําความดแี ละหนา ท่ที ม่ี นษุ ยพึงปฏิบตั ติ อ กนั ในสงั คม ๒ ทําใหท ราบถึงแนวทางในการนําหลกั ทิศท้ัง ๖ ในพระพุทธศาสนาไปใชในการดําเนนิชวี ิตในสังคมไดเ ปนอยา งดี๖. เอกสารและงานวิจยั ทีเ่ กีย่ วขอ ง ๑. สุชีพ ปุญญานุภาพ ไดกลาวถึงพุทธจริยศาสตรวาดวยทิศทั้ง ๖ ไววา “พระสูตรน้ีชาวยุโรปเลื่อมใสกันมากวาจะแกปญหาสังคมได เพราะเสนอหลักทิศ ๖ อันแสดงวาบุคคลทุกประเภทในสงั คมควรปฏบิ ตั ิตอกนั ในทางทด่ี ีงามไมม ีการกดฝา ยใดฝา ยหนง่ึ ลงไป” ๑ ๒. เดือน คําดี ไดกลาวถึงพุทธจริยศาสตรวาดวยทิศท้ัง ๖ วา “พระพุทธองคทรงเปรียบเทียบคนซ่ึงอยูแวดลอมและมีความสัมพันธกับเราวาเหมือนทิศตางๆ ๖ ทิศ ไดแก มารดาบิดาเปนทิศเบ้ืองหนา ครูอาจารยเปนทิศเบื้องขวา บุตรภรรยาเปนทิศเบ้ืองหลัง มิตรอํามาตยเปนทิศเบ้ืองซาย ทาสกรรมกรเปนทิศเบื้องต่ํา สมณะพราหมณเปนทิศเบ้ืองบน ซ่ึงเปนการแสดงวาคนเราตกอยูในสิ่งแวดลอม และมิใชส่ิงแวดลอมเปนวัตถุเทานั้น ยังมีสิ่งแวดลอมท่ีเปนคนซ่ึงตองสัมพันธกับเราดวยในธรรมเรื่องทิศ ๖ นี้แสดงใหเห็นวา เปนคําสอนที่กําหนดการกระทําและการตอบแทนท้ังสองฝายมิใชฝายหน่ึงเปนฝายใหหรือฝายรับเพียงอยางเดียว เปนการยึดหลักสิทธิและหนาท่ีตามจริยศาสตรสงั คมวา ดว ยทศิ ทง้ั ๖ หรอื หลกั มนุษยส มั พันธของคนตา งฐานะในสงั คม”๒ ๑สุชีพ ปุญญานุภาพ, พระไตรปฎกฉบับสําหรับประชาชน, พิมพคร้ังท่ี ๑๑, (กรุงเทพฯ :โรงพิมพมหามกฎุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๒), หนา ๓๖๓. ๒เดือน คําดี,พุทธปรัชญา, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ โอ.เอส.พร้ินต้ิง เฮาส, ๒๕๓๔), หนา๑๖๔.
๔ ๓. คูณ โทขันธ กลาวไววา “สังคมไทยเปน สงั คมที่มีพระพุทธศาสนาชวยกลอมเกลาโนมนา วจิตใจ และสรา งสาํ นึกทางศีลธรรม โดยมีวดั และพระสงฆเปน กลไกท่ีสําคัญในการรวบรวมสมาชิกของสังคมใหเปนพลเมืองที่ดีของประเทศ มีหลักจริยธรรมหรือหลักความประพฤติเพื่อละการทําชั่วเลือกกระทําแตกรรมดีน้ัน เปนหนาท่ีของมนุษยทุกคนควรปฏิบัติใหได แตพระพุทธองคยังทรงแสดงถงึ หลักคณุ ธรรมท่บี คุ คลควรปฏิบัตติ อ กันในสงั คม การปฏิบัติตามหลักจริยธรรมสังคมก็คือ การปฏิบัติธรรมหรอื หนาท่ีทเี่ หมาะสมแกฐานะของตนในสังคม ฐานะนี้อาจเปนฐานะทางสังคมธรรมดา เชน พอแม ญาติ ครู อาจารย หรือเปนฐานะทางการปกครองซ่ึงเปนสังคมในแงกฎหมาย เชน เปนผูปกครองเปนผูใตปกครอง ธรรมเพ่ือความสัมพันธระหวางบุคคลในสังคมนั้น พระพุทธองคไดทรงตรัสไวในเร่อื งทศิ ท้ัง ๖ ในสิงคาลกสูตร”๓ ๔. วศิน อินทสระ ไดกลาวถึงการดําเนินชีวิตอยูในสังคมไววา “ชีวิตในสังคมของเราควรจะเปน ชวี ติ ท่ีมรี ะเบยี บ เราควรตอ งยอมรบั ความเปน จริงบางอยางในสังคม เชน สังคมไดเปลี่ยนไปแลวอยางไร เราตองเขา ใจบางสิ่งบางอยาง และเราตองมีหลักในการดําเนินชีวิต รวมทั้งขอปฏิบัติที่จะทําใหเราเจริญข้ึน มีความกาวหนาในชีวิตตามควร ทั้งน้ีตองหมายความวา กาวหนาไปในทางที่ดีงาม ทางที่เปน กศุ ล จริยศาสตรจ ะชวยเราไดม ากในเร่ืองน้ี ทง้ั เรอ่ื งสวนตัวและชุมนุมชน”๔ ๕. กีรติ บุญเจือ ไดกลาวถึงสิทธิ หนาท่ี และความรับผิดชอบของแตละบุคคลในการดําเนนิ ชีวติ อยูในสงั คมไววา “พลเมืองดีท่ีสํานึกในความรับผิดชอบจริง ๆ จะตองปฏิบัติท้ัง ๓ ข้ันตอนอยางจริงใจ มิไดปฏิบัติอยางจํายอมเลี่ยงไมได โดยเฉพาะอยางยิ่งผูไดศึกษาจริยศาสตรแลวยอมจะตองเขาใจไดดีวาสิทธิ หนาที่ และความรับผิดชอบ ทั้ง ๓ อยางนี้จะตองสัมพันธกันแนนแฟนเพียงใด มีอยางหน่ึงก็จะตองมีอีกอยาง ๒ ตามมาโดยจําเปน ถาไมตองการอยางใดอยางหน่ึงก็ไมตองการอีก ๒อยางดวย จึงหวังวาผูที่จะมีสิทธิอยางคนไทยจะไดชวยกันกระตุนใหคนไทยทุกคนตระหนักในความสําคัญของ ๓ ขอนี้ อยางจริงจังกันเสียที ตัวอยางที่เห็นไดงาย ๆ เชน ผูที่ตองสิทธิขับรถบนทองถนน มิใชแตจะทวงสิทธิอยางเดียว ถาไมอยากจะมีหนาที่และไมยอมรับผิดชอบไมอยากอะไรเลย ไมใ ช สิ ท ธิ เ สี ย อ ย า ง เ ดี ย ว จ ะ ไ ม มี ใ ค รว า อ ะ ไ ร ไ ด เ ลย อ ย า ง น อ ย ป ญ ญ า ช น ทั้ ง ห ลา ย ค ว ร ๓ คูณ โทขันธ, พุทธศาสนากับชีวิตประจําวัน, พิมพครั้งที่ ๑, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพโอ.เอส.พรนิ้ ติง้ เฮาส, ๒๕๓๗), หนา ๑๐๖. ๔วศิน อินทรสระ, จริยศาสตร, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพมหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๑๘),หนา ๙.
๕เปนตัวอยางทีด่ ใี นเรื่องน้ี ตอ ไปคอ ย ๆ เปนชวี ติ จิตใจของคนไทยทั้งชาติไปเองทีละนอย โปรดจําใสใจไวเ สมอวา สิทธิ หนาท่ี และความรบั ผดิ ชอบตอ งไปดวยกนั เสมอ”๕ ๖. สมภาร พรมทา ไดใหความเห็นเก่ียวกับพุทธจริยศาสตรวาดวยทิศท้ัง ๖ กับการดําเนินชีวิตในสังคมไววา “เราอาจจําแนกเนื้อหาของระบบจริยศาสตรในพระพุทธศาสนาออกเปนสองสวนดวยกันคือจริยศาสตรสวนบุคคล กับจริยศาสตรสังคมเน้ือหาสองสวนน้ีเก่ียวของกันกลาวคือจริยศาสตรสว นบุคคลคือพ้ืนฐานของจรยิ ศาสตรส งั คม กลา วใหเขาใจงายก็คือ พุทธศาสนาถือวาระบบ จริยศาสตรมบี ทบาทสาํ คญั อยูสองบทบาท ไดแ ก ชวยปจเจกบุคคลสามารถดําเนินชวี ิตสว นตวั ของเขาอยูไดอยา งเปน สุข และสังคมสว นรวมกด็ าํ รงอยอู ยางปกตสิ ุขดวย พทุ ธศาสนาเช่ือวา ความสงบสุขของสังคมอางอิงอาสัยอยูกับจริยธรรมของคนแตละคนในสังคม เมื่อปจเจกบุคคลมีคุณธรรม สังคมสวนรวมยอมพลอยสงบสุขดวย จรยิ ศาสตรสวนบุคคลเปนพน้ื ฐานของจรยิ ศาสตรสงั คม”๖ ๗. พุทธทาสภิกขุ ไดกลาวถึงการรูจักหนาท่ีและสิทธิของมนุษย ในพุทธจริยศาสตรวาดวยทิศทั้ง ๖ ไววา คําวาหนาท่ีน้ีมันตองเน่ืองกับสิทธิเสมอ ถารูจักหนาที่ก็ตองรูจักสิทธิดวย ฉะน้ันเราเรยี กวา พูดถึงหนาทีอ่ ยา งเดยี วกพ็ อ หนาทที่ างกาย, หนาที่ทางจิต, หนาที่ทางวญิ ญาณ, หนา ทต่ี อตนเอง,หนา ท่ตี อคนอื่น, หนา ทนี่ ี้มนั เนอ่ื งกันท้งั สองฝา ย แยกกนั ไมออก นี้ลวนแตเปน หนา ท่ี “เดี่ยวน้ีไมมีใครรับผิดชอบในเรื่องหนาที่ ตางฝายตางเอาประโยชนของตัว มันก็คือ ทําลายมนุษย ไมยอมรับวามนุษยมีหนาที่ผดุงความเปนมนุษย ความเปนโลก แลวก็เปนอันธพาลมาก หรือเรียกรองแตสิทธิ แลวก็ไมทําหนาที่ ปญหาที่เกิดอยูทุกวัน ในบานเมืองก็คือ การเรียกรองสิทธิโดยไมทําหนาที่ ถาทุกคนทําหนาท่ีสมบูรณแลว มันจะไมเกิดความตองการอะไรถึงกับจะเรียกรองสิทธิดอก มันจะเปนการไดอยูในตัว นี้เปนเร่ืองบาหลัง เรียกรองแตสิทธิโดยไมทําหนาท่ี หรือทําหนาที่นอย แลวก็เรียกรองเอาสิทธิมากความรูด า นน้ีดูจะยังขาดกวาความรูอยางอื่น เพราะวาคนมันมีกิเลสมาก เห็นแกตัวมาก จึงไมรูจักหนาท่ีและสิทธ”ิ ๗ ๘. พุทธทาส ไดกลาวถึงจริยศาสตรเรื่องปญหาของวัยรุนไววา ปญหาของวันรุนไววาปญหาของวนั รนุ กค็ ือ บังคบั ตวั เองไมไ ด น่ีคอื ความลม เหลวของวยั รุน คอื บังคบั ตนเองไมได จําแตคํานี้ ๕ กีรติ บุญเจือ, ชุดพื้นฐานปรัชญาจริยศาสตร, (กรุงเทพฯ : สํานักพิมพไทยวัฒนาพานิช,๒๕๑๙), หนา ๘๐. ๖ สมภาร พรมทา, พุทธปรัชญากับปญหาจริยศาสตร, (กรุงเทพฯ : สํานักพิมพจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑), หนา ๒๗. ๗ พุทธทาสภิกขุ, เยาวชนกับศีลธรรม, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพการพิมพพระนคร, ๒๕๒๓),หนา ๒๔๔-๒๔๕.
๖คําเดียวไววามันบังคับตนเองไมได บังคับตนเองใหเปนพรหมจารีท่ีดีไมได บังคับใหเปนนักเรียนท่ีดีไมได บังคับตัวเองไมไดเพราะเหตุอะไรบาง ก็มีหลายอยาง เชน คบเพ่ือนชั่ว ทําใหบังคับตัวเองไมไดแลวไมย อมพยายามจะบังคบั คอื อยา ทาํ เลว กบ็ งั คบั ไวไมไ ดพออยากสูบบุหร่ี สูบ, อยากดูหนัง ดู, อยากไปทําอะไร ทําโดยไมตองมีเหตุผลวาควรหรือไมควร ที่ถูกเราจะทําอะไรเราตองมีเหตุผลอยูในอํานาจของเหตุผลเสียกอนวาควรไมควร แตงายกวานั้น คือ พอแมนั้นดีที่สุดอยาอวดดีวาเราเขา โรงเรียน เราเกงกวาพอแม, พอแมโง อยานึกอยางนั้นเด็ดขาด ไปถามเถอะวาอะไรควรทําอะไร ไมควรทําอะไร พอแมจะบอกไดดีที่สุด เพราะเขาเกิดกอนเรามาอยาดูถูกพอแม และอยาถึงขนาดวาตมพอแมใหสุก “นี่ความสาํ คญั อยูที่ความเคารพบดิ ามารดา ครอู าจารย หรอื คนที่เคารพมนั ก็เลยบงั คับตัวเองได ก็อยูในรองในรอยของความดี ท้ังการเรียนก็ไดดีดวยความประพฤติดี คนรักใครเอ็นดู สงสารมาก เรียกวาสังคมดีมันก็มคี วามเจรญิ เทา นน้ั ”๘ จากเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวของดังกลาวน้ีทําใหเห็นวาควรทําการศึกษาวิจัยถึงวิธีการดําเนินชีวิตอยางมีความสุขตามแนวพุทธจริยศาสตร ศึกษากรณีทิศ ๖ น้ีเพื่อเพิ่มเติมใหพุทธศาสนิกชนและผูสนใจไดเขาใจถึงบทบาทตลอดท้ังสิทธิและหนาท่ีท่ีควรปฏิบัติตอกันในการดําเนินชีวิตไดอยางชัดเจนขึ้นซึ่งจะเปนประโยชนอันสําคัญในการนําไปปฏิบัติไดอยางถูกตองและสมบูรณในระดับสูงขึ้นไป ๘พุทธทาสภิกขุ, เตือนใจวันรุน และ ๕ ดี สูความเปนมนุษยท่ีสมบูรณ, (กรุงเทพฯ :สาํ นกั พมิ พธรรมสภา, ๒๕๓๖), หนา ๑๒-๑๓.
บทที่ ๒ ความหมายและประเภทของพุทธจรยิ ศาสตร๑. ความหมายของพทุ ธจรยิ ศาสตรโดยท่ัวไป จริยศาสตร “เปนคําสันสกฤตแปลตามตัวอักษรวา ศาสตรที่วาดวยความประพฤติหรือศาสตรแหงความประพฤติ ขอ ทค่ี วรประพฤติปฏบิ ัติ ตาํ ราหรอื วิชาทวี่ าดว ยความประพฤต”ิ ๑ พุทธะ หมายถึง “ผูตรัสรู, ผูตื่นแลว, ผูเบิกบานแลว, เปนพระนามของพระพุทธเจาผูเปนศาสดาของพระพทุ ธศาสนา” ๒ จริยศาสตร หมายถึง ตามหลักนิรุกติศาสตรคําวา “จริยศาสตร” เปนภาษาสันสกฤต (จริย +ศาสตร) แปลตามตัวอักษรวา “ศาสตรท่ีวาดวยความประพฤติ หรือศาสตรแหงความประพฤติโดยนยั นจี้ ริยศาสตร จึงเปนศาสตรท ี่วาดว ยความประพฤติหรือการกระทาํ ของมนุษยนนั้ เอง บางทีเราก็เรียกวาปรัชญาจริยธรรม หรือ หลักจริยธรรม และคําวาจริยธรรมนี้ตรงกับ ภาษาลาตินวา(Mores) ซ่ึงหมายถึงระเบียบแบบแผนหรอื ขอ ปฏิบตั ”ิ ๓ จริยศาสตรตรงกับภาษาอังกฤษวา (Ethics) ซ่ึงหมายถึงศาสตรท่ีวาดวย ศีลธรรม หลักศีลธรรม กฎทว่ี าดว ยความประพฤตแิ ละพฤติกรรม จริยศาสตร หมายถึง “ปรัชญาสาขาหนึ่งท่ีวาดวย ความประพฤติและการครองชีวิตวาอะไรดี อะไรชวั่ อะไรถกู อะไรผดิ หรืออะไรควรอะไรไมค วร” ๔ เจมส เซธ ใหความหมายวา “จริยศาสตร หมายถึง ศาสตรท่ีวาดวยหลักแหงความประพฤติและหลักเกณฑแหง ความประพฤติวา อะไรควรทํา อะไรไมควรทาํ ” ๕ ๑วศนิ อนิ ทสระ, จรยิ ศาสตร, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพเจรญิ กิจ, ๒๕๒๙), หนา ๒. ๒ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, พิมพครั้งท่ี ๖, (กรุงเทพฯ :อกั ษรเจริญทศั นก ารพมิ พ, ๒๕๒๕), หนา ๖๐๑. ๓ชัยวัฒน อัตพัฒน, จริยศาสตร, พิมพครั้งที่ ๘, (กรุงเทพฯ : สํานักพิมพมหาวิทยาลัยรามคําแหง, ๒๕๔๓), หนา ๓. ๔ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานกุ รม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, อางแลว , หนา ๒๑๖. ๕ไสว มาลาทอง, คูมือการศึกษาจริยธรรม สําหรับนักเรียน นิสิตนักศึกษา นักบริหาร นักปกครอง และประชาชนผูสนใจท่ัวไป, พิมพครั้งท่ี ๖, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพการศาสนา, ๒๕๔๒),หนา ๒.
๘จริยศาสตรเปนศาสตรที่วาดวย อุปนิสัย นิสัยและพฤติกรรมของมนุษย ความประพฤติยอมเปนกระจกเงาสองใหเราเห็นอุปนิสัยและนิสัยของคน จริยศาสตรจึงไดชวยตีคาของมนุษย โดยการมองทางอุปนิสัย นิสัยใจคอและความประพฤติที่บุคคลน้ันแสดงออกมาดวยความสมัครใจ ในการกระทําน้นั “บคุ คลมแี รงใจและเจตจาํ นงแนวแน เจตจํานงนั้นแสดงออกถึงอุปนิสัยของมนุษย ดวยเหตุนี้เราจึงมองอุปนิสัยของบุคคลไดในรูปของเจตจํานง หรือ อีกนัยหนึ่ง เจตจํานงก็คือ แบบที่ไดรับการกระตุนเตือนของอปุ นิสยั น้นั เอง”๖ สรุปความวา พุทธจริยศาสตรหมายถึง หลักคําส่ังสอนของพระพุทธศาสนาท่ีวาดวยความประพฤติ หลักเกณฑแ หง ความประพฤติ วาอะไรถูกควรปฏิบัติ อะไรผิดไมค วรปฏิบัติตอทิศท้ัง ๖ อันเปรียบเสมือนบคุ คลตาง ๆ ทีอ่ ยรู อบตัวเรา๒. ประเภทและระดบั ของพทุ ธจรยิ ศาสตร ขอบเขตของพุทธจริยศาสตร อยูที่การกระทําทางกาย และทางวาจา เทานั้น ถึงแมวานิพพานจะเปนจุดหมายสูงสุดของชีวิตในพุทธจริยศาสตรก็ตาม แตเม่ือพิจารณาถึงกฎเกณฑ และหลักการในข้ันจริยศาสตรน้ีก็เปนเรื่องท่ีจะตองพิจารณากันในเฉพาะขอบเขตของศีล เปนประการแรกกอน เพราะจริยศาสตรเปนเร่ืองท่ีวาดวยการประพฤติปฏิบัติท่ีมีคาในระดับโลกียธรรม ไมใชข้ันปรมัตถหรือวิวัฏ เปนเรื่องท่ีปุถุชน และพระอริยบุคคลบางระดับจะตองถือเปนหลักปฏิบัติพื้นฐานแหงคุณธรรมอื่น ๆ สูง ๆ ทางจิตใจตอไป เพราะพระอรหันตที่ถือวาเปนบุคคลที่บรรลุจุดมุงหมายสูงสุดแลวน้ัน เปนผูท่ีมีการกระทําทางกาย ทางวาจา และทางใจ ผานขั้นที่เรียกวาดี หรือบุญ หรือกุศล ไปเหนือขอบเขตของจริยธรรมแลว จึงเรียกวา ผูมีบุญและบาปอันลอยแลว คือ อยูเหนือบุญและบาป การกระทําของพระอรหันตไมเปนทั้งบุญและบาป กลาวคือ “พฤติกรรมของพระอรหันตทั้งกายทาวาจา และทางใจลวนแตอยูเหนืออํานาจของกรรม จึงเรียกวาเปนกิริยาเพราะการกระทําของพระอรหันตไมเกิดจากแรงผลักดันของกิเลส และเปนการกระทําท่ีไมมีผลทั้งชาตินี้และชาติหนาใด ๆเพราะพระอรหันต ตั้งอยูในสวนแหงวิวัฏ จึงไมมีภพ ชาติ สังสารวัฏอีกตอไป จึงไดชื่อวาเปนผูครบสมบูรณใ นพรหมจรรยแ ลว” ๗ ในการอยูร วมกนั เปนชุมชน มนุษยเรียนรูวา เปนธรรมดาท่ีจะตองมีการกระทบกระท่ังกันเน่ืองจากมนุษยมีปญญา มนุษยจึงรูจักวิธีจัดการกับปญหาดังกลาวนี้อยางนุมนวล นี้คือที่มาของ ๖ชัยวัฒน อตั พัฒน, จรยิ ศาสตร, อางแลว , หนา ๓. ๗เดือน คําดี, พุทธปรัชญา, (กรุงเทพฯ :โรงพิมพ โอ.เอส.พร้ินต้ิง เฮาส, ๒๕๓๔),หนา ๑๔๓.
๙การวางกฎระเบียบในการอยูรวมกันที่ตอมาไดวิวัฒนาการมาเปนกฎหมาย จารีต ประเพณี และขนบธรรมเนียมทางสังคมอ่ืน ๆ กฎระเบียบเหลานี้บางคร้ังก็มาจากศาสนาท่ีผูคนในสังคมนั้นๆ ไดเชื่อถืออยู เมื่อพระพุทธศาสนาไดกําเนิดข้ึนในอินเดีย พระพุทธองคก็ทรงตระหนักถึง ปญหาท่ีกลาวมาขางตน เมื่อพระพทุ ธองคท รงทาํ หนาทีเ่ ผยแผพระพุทธศาสนาไดท รงทําหนาทีห่ ลกั สองประการไปพรอม ๆ กัน คือทรงสอนธรรมที่ตอบสนองความตองการเฉพาะบุคคล ธรรมที่วาน้ีคือ ธรรมสวนท่ีเอ้ืออาํ นวยใหปจเจกบุคคลเขาถึงความดับทุกขเฉพาะตน นอกจากธรรมขางตน ยังทรงจัดวางระเบียบทางสงั คมที่อยูในรูปของพุทธจริยธรรมหรอื พุทธจรยิ ศาสตร จริยธรรมดังกลาวนี้เมื่อใครรับไปปฏิบัติแลวจะกอใหเกิดผลสองทาง ทางแรกคือเปนความดีสวนตัวของเขา และทางท่ีสอง (ซ่ึงเปนทางสําคัญ) คือ เปน ผลดแี กส ังคมโดยรวม จริยธรรมท่ีพระองคทรงนํามาสอนมีมากมาย แตก็อาจจําแนกไดเปนสองสวนดวยกัน คือสวนที่เปนจริยธรรมพ้ืนฐาน กับสวนท่ีเปนจริยธรรมข้ันกลาง และจริยธรรมขั้นสูง จริยธรรมขั้นพืน้ ฐานคอื หลกั ธรรมขั้นตํา่ สดุ ที่สงั คมจะตอ งมี หากไมมีหลักธรรมขนั้ พื้นฐานนี้ ผูคนในสังคมอาจจะไมอ ยรู วมกันไดอยางเปน ปกตสิ ุข จรยิ ธรรมข้ันมลู ฐานเปน ขอเรียกรองขนั้ ต่าํ สุด สําหรบั ความสงบสขุของสังคม กลาวงาย ๆ อยางภาษาชาวบานก็คือ หากผูคนในสังคมตองการอยูรวมกันอยางเปนสุข ไมกระทบทกระทั่งกัน คนเหลานั้นตองปฏิบัติตามหลักธรรมท่ีวานี้ หลักธรรมน้ีเปนสิ่งจําเปนสําหรับความสงบสุขของสังคม ผูคนในสังคมอาจทําดีมากกวานี้ก็ได แตจะทําดีนอยกวาท่ีหลักธรรมพื้นฐานเหลา น้รี ะบเุ อาไวไมได ไมเ ชนนั้นสงั คมจะปนปวนวุนวายหมด สําหรับจริยธรรมท่ีเลยขึ้นไปจากพ้ืนฐานน้ัน ไดแกจริยธรรมระดับกลาง และจริยธรรมระดับสูงที่ พระพุทธองคทรงนํามาสอน เพ่ือคนในสังคมนําไปปฏิบัติเพ่ือความสงบสุขย่ิง ๆ ข้ึนไปของสังคมตวั ของเขาเอง ในทัศนะของพระพุทธศาสนาความสงบสุขท้ังของปจเจกบุคคลและสังคม มีหลายระดับด่ังที่กลาวมาแลว จนถึงความสุขอยางย่ิงคือ นิพพาน อันเปนจุดมุงหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา ความสุขระดับต่ําสุดคือ ความสุขที่ทําใหคนเรามีชีวิตอยูไดตามปกติธรรมดาความสุขท่วี านเี้ กิดขึ้นไดตอเมื่อคนในสังคมปฏิบัติตามจริยธรรมขั้นพ้ืนฐาน หากเราตองการความสุขทป่ี ระณีตย่ิงข้ึนไปกวา น้ี เราก็ตองปฏบิ ตั ติ ามจริยธรรมท่ีสูงข้ันไปตามระดับ ย่ิงปฏิบัติไดสูงเทาใด ตัวเราและสังคมเราก็จะยง่ิ ไดรับความสขุ สงบที่ประณตี สงู ข้ึนไปเทา น้นั โดยท่ัวไปทุกสังคมจะมีจริยธรรมขั้นพ้ืนฐานดวยกันท้ังส้ิน เพียงแตวาจริยธรรมน้ันอาจมีเน้ือหาผิดแผกกันบาง จริยธรรมพื้นฐานมักแฝงอยูในรูปของกฎหมาย ประเทศท่ีไมมีกฎหมายสําหรับปกปองสิทธิสวนบุคคล และกําหนดหนาท่ีที่ผูคนตองกระทําตอสังคม ยอมไมอาจเปนประเทศได กฎหมายคือขอเรียกรองข้ันตํ่าสุดของความสงบสุข เนื้อหาของกฎหมายเมื่อกลาวกัน
๑๐โดยสรุปแลวก็คือสวนท่ีเปนรายระเอียดท่ีขยายความออกไปจากจริยธรรมพ้ืนฐานของสังคมน้ัน ๆนนั่ เอง พทุ ธจริยศาสตร ๓ ระดับ “ตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ทานผูรูท้ังหลายหรือนักปราชญไดจัดหลักพุทธจริยศาสตร หรือพุทธจรยิ ธรรม ไวเ ปน ๓ ข้ัน ๑. จรยิ ศาสตรข ั้นมูลฐาน คอื ศีล๕ ๒. จริยศาสตรข้นั กลาง คือ กุศลกรรมบถ ๑๐ ๓. จริยศาสตรขั้นสูง คอื มรรค ๘ ” ๘ ดงั น้ี ๒.๑ จรยิ ธรรมระดับพนื้ ฐาน จริยธรรมระดับพ้ืนฐาน หมายเอา ศีล ๕ หรือ เบญจศีล ซ่ึงถือวาเปนหลักธรรมพื้นฐานของมนุษย เรียกวา มนุษยธรรม คือระเบียบที่กอใหเกิดความสงบสุขในสังคมของมนุษยทําใหคนเปนมนุษยท่ีสมบูรณ และธรรมท่ีคูกันก็คือ เบญจธรรม ๕ “ท้ังเบญจศีลและเบญจธรรมที่เรียกวาเปนจริยธรรมข้ันมูลฐานนั้น เพราะเปนขอปฏิบัติข้ันตน เปนพื้นฐานรองรับคุณธรรมชั้นสูงขึ้นไปเชนเดียวกับการลงรากเสาเข็มไวเปนอยางดียอมสามารถรับน้ําหนักอาคารสูงใหญหลายช้ันได การท่ีจะดูพื้นฐานหรือความม่ันคงของบุคคลก็สามารถที่จะดูไดพรอมกับบอกหรือคาดคะเนไดวาเปนอยา งไร โดยเอาหลกั เบญจศีลและเบญจธรรมนเ้ี ปนเคร่ืองมอื วดั ” ๙ “เบญจศีลน้ีเปนขอปฏิบัติที่พึงงดเวนหรือละเวนไมใหปฏิบัติ เพราะถาขืนปฏิบัติก็จะพบแตความเส่ือม ความพินาศและเปนความช่ัว เมื่อพระพุทธองคทรงบัญญัติขอท่ีควรละเวนแลวพระองคก็ทรงสอนแนวทางการปฏบิ ตั ิ หรือบญั ญัติขอทค่ี วรปฏิบัติไว เรียกวา “เบญจธรรม” เปนขอที่ปฏิบัติอันจะนาํ ไปสูความดี เบญจธรรมยงั จะเปนธรรมสนับสนุน และเปนธรรมที่ชวยใหบุคคลไมปฏิบัติผิดศีล๕ ดวย ดงั นนั้ เบญจศลี กับเบญจธรรมจงึ เปน ของคูก นั ” ๑๐ ดงั จะศึกษาไดดังนี้ ๘ไสว มาลาทอง, คูมือ การศึกษาจริยธรรม สําหรับนักเรียน นิสิต นักศึกษา นักบริหาร นักปกครองและนักประชาชนผสู นใจทัว่ ไป, อางแลว , หนา ๒๐๒. ๙เรือ่ งเดียวกัน, หนา ๒๐๓. ๑๐ทองหลอ วงศธรรมา, ปรัชญาอินเดีย, (กรุงเทพฯ : พิมพที่ โอ.เอส.พริ้นต้ิงเฮาส, ๕๓๕),หนา ๒๖๖.
๑๑ เบญจศลี เบญจธรรม๑. เวน จากการฆา สัตว ๑. มีเมตตากรณุ า๒. เวน จากการลกั ทรพั ย ๒. มีสมั มาอาชีวะ๓. เวน จากการประพฤติผดิ ในกาม ๓. มคี วามสํารวมในกาม๔. เวนจากการพดู เท็จ ๔. มีสัจจะ๕. เวนจากการดม่ื น้าํ เมาคือสรุ าและเมรัย ๕. มสี ตริ อบคอบ๑๑ อันเปน ท่ตี งั้ แหง ความประมาท ขอใหส งั เกตวา เน้อื หาของศลี ๕ น้ีสามารถจําแนกออกไดเปน สองสว นดวยกนั ดังนี้ ๑. สว นทเ่ี ปน ขอหา มมใิ หล ะเมดิ คนอน่ื ๒. สว นที่เปน ขอ หามมิใหล ะเมดิ ตนเองการละเมิดคนอ่ืนนั้นสามารถกระทําไดส องทาง คือ ๑. ละเมดิ ทางกายหรอื ชวี ติ ของคนอื่น ๒. ละเมิดทางทรพั ยส ินหรอื ส่ิงอน่ื ท่ีคนผนู น้ั ครอบครองอย๑ู ๒ การฆาสัตวตัดชีวิตผิดเพราะละเมิดรางกายและชีวิตของผูอ่ืน การลักทรัพยผิดเพราะละเมิดทรัพยสินท่ีคนอ่ืนครอบครองอยู การประพฤติผิดในกาม ผิดเพราะละเมิดบุคคลอ่ืนท่ีคนอ่ืนครอบครองอยู ศีลสามขอแรกน้ีเห็นไดชัดวาพระพุทธองคทรงกําหนดข้ึนเพ่ือปองกันการละเมิดบุคคลอืน่ ไมว า จะละเมิดทางรา งกาย หรือวา ทรัพยสนิ สิ่งของทค่ี นผนู ั้นครองครองอยูจุดมงุ หมายและประโยชนของจรยิ ธรรมระดับพนื้ ฐานจดุ มงุ หมายในการหา มฆา สัตว ๑. มุงใหมนษุ ยมเี มตตากรณุ าตอ กนั และตอ สัตวท กุ ประเภท ๒. ใหรูจกั อภยั ทาน ๓. มีความหวงั ดีตอ กนั ชว ยเหลอื กัน ๔. ชว ยกันรกั ษาพยาบาล เมอื่ เจบ็ ไข ๕. มงุ ใหมนษุ ยไมท าํ ลายเผาพันธมนุษย และเผาพนั ธสัตวอ ื่น๑๓ ๑๑เรอ่ื งเดยี วกนั . ๑๒สมภาร พรมทา, พุทธศาสตรกับปญหาจริยศาสตร, (กรุงเทพฯ : สํานักพิมพจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๑), หนา ๕๗. ๑๓อารย สมาทยกุล, จริยธรรมกับชีวิต, ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร สถาบนั ราชภฎั มหาสารคาม, ๒๕๓๙, หนา ๕๖.
๑๒ ประโยชนของการมีศีลขอที่ ๑ บุคคลเม่ือรักษาศีลใหบริบูรณแลว ยอมไดรับอานิสงสหรือผลประโยชนด งั ตอไปน้ี คือ ๑. เกดิ มามีอวัยวะนอ ยใหญครบบรบิ รู ณ ๒. มีรา งกายสมสว นสงางาม ๓. มีความวองไวเสมอ ๔. เปน ผูมกี าวทา วเท่ยี งตรง ๕. เปน ผูสดใส รุงเรอื ง ๖. เปนคนสะอาด ๗. เปน คนออนโยน ๘. เปน คนมคี วามสุข ๙. เปน คนแกลว กลา ๑๐. เปนคนมีกําลังมาก ๑๑. มถี อ ยคําสละสลวยเพราะพริ้ง ๑๒. ไปมาทใี่ ดยอมมีเพอื่ นรกั เสมอ ๑๓. เปนคนไมส ะดงุ ตกใจ ๑๔. ขา ศึกษาศัตรูทํารา ยไมได ๑๕. ไมต ายเพราะคนอ่ืนฆา ๑๖. มีบริวารหาทีส่ ดุ ไมไ ด ๑๔ การลักทรัพย คือการใชอํานาจของตนโดยมิชอบยึดถือเอาทรัพยสมบัติของคนอ่ืนมาเปนของตนเองโดยเจตนา การทที่ านบัญญตั ิศีลขอ ท่ี ๒ น้ีก็เพื่อปองกันการทําลายสมบัติทรัพยสินของกันและกนั ใหทุกคนตั้งหนาทาํ มาหากินประกอบอาชพี โดยสุจริต จดุ มุงหมายในการหา มลักทรพั ย ๑. เพอ่ื ใหทกุ คนเคารพในทรัพยส ินของตน ๒. เพ่อื ใหท ุกคนรูจ ักประกอบอาชีพในทางสุจริต ๓. เพ่อื ใหเ กดิ ความไววางใจกนั ในการอยรู วมกนั ๔. เพอื่ ใหทุกคนประกอบกาชีพเปนหลักแหลง พ่งึ ตนเองได ๕. เพ่ือไมใหคนเราคอยเอารัดเอาเปรียบกันโดยลงมือทําแตนอย ตองการผลประโยชนต อบแทนนอ ย ๑๔เรื่องเดยี วกนั , หนา ๕๗.
๑๓ ประโยชนของการมีศีลขอที่ ๒ บุคคลเมื่อรักษาศีลขอที่ ๒ ใหบริสุทธ์ิแลว ยอมไดรับอานสิ งสหรือผลประโยชนดังตอไปนี้ ๑. มที รัพยม าก ๒. มขี าวของและอาหารเพียงพอ ๓. หาโภคทรัพยไ ดไมสิ้นสุด ๔. โภคทรัพยทยี่ ังไมไดกไ็ ด ๕. โภคทรพั ยท ไ่ี ดแ ลว กย็ ัง่ ยนื ไมส ูญหาย ๖. หาส่ิงท่ีปรารถนาไดรวดเรว็ ๗. สมบัตไิ มกระจดั กระจายดวยภัยตาง ๆ ๘. หาทรัพยไ ดโ ดยไมถ กู แบง ๙. อยูท่ีไหนก็เปนสขุ สบาย ๑๐. เปนคนไมร จู ักความจน ๑๕ กาเมสุมิจฉาจาร คือ ความประพฤติลวงละเมิดในภรรยา หรือสามีของผูอื่น ละเมิดชายตองหาม หรือหญิงตองหาม หรือประพฤตินอกใจสามีหรือภรรยาของตน และประพฤติผิดธรรมดาหรอื ลว งเกินในของทเ่ี ขารกั จุดมุง หมายในการหามประพฤตผิ ดิ ในกาม ๑. เพ่ือปองกันการส่ําสอนทางเพศ ซ่ึงมีอยูดาษดื่นในหมูสัตวดิรัจฉาน เห็นวามนุษยเปนสัตวประเสริฐแลวไมควรทําเชน นน้ั ๒. เพื่อปองกันความวนุ วายการเบียดเบียนกัน เพราะเรือ่ งกามเปน เหตุ ๓. ชายยอมหวงหญิงผูเปนภรรยาของตน หญิงยอมหวงชายผูเปนสามีของตน มารดาบิดายอมหวงธิดาของตน เม่อื ธิดาเหลา นนั้ อยูในวัยศึกษา ๔. ตามความเปนจริงแลว ความสุขทางกามไมมากพอที่บุคคลจะลงทุนสรางบาป กอกรรมเพื่อแรกกบั ความสขุ ทางกาย ๕. ความสุขทางกามารมณมีความสุขแตนอย ใหทุกขมากกวา ยิ่งผิดศีลดวยแลวยอมมีทุกขระยะยาวนาน ประโยชนของการรักษาศีลขอท่ี ๓ การรักษาศีลขอท่ี ๓ นี้ ยอมมีอานิสงสหรือผลประโยชนแกผ ูรกั ษาและแกสังคมอยู ๔ ประการ คอื ๑. คุมครองความเปนปก แผน ของสงั คม ๑๕เรอื่ งเดยี วกนั , หนา ๕๙-๖๐.
๑๔ ๒. คุมครองความสงบสขุ ของครอบครัว ๓. คมุ ครองอนาคตของอนุชนในตระกลู ๔. คุมครองรักษาวฒั นธรรมประเพณีอนั ดงี าม๑๖ การพดู ปดผิดเพราะเหตุผลสองประการ คือ ทําใหคนอื่นเสียหาย ความเสียหายน้ีอาจเกิดแกตัวเขาเองหรือทรัพยสินของเขาก็ได นี่ประการหน่ึง อีกประการหน่ึง ทําใหตนเองตกตํ่าลง คนที่พูดปดบอยๆ พูดหยาบคายอยูเสมอ ชอบยุยงใหคนอื่นแตกแยกกัน พูดไรสาระ ยอมเพราะอุปนิสัยท่ีไมดีใหเกดิ ในตนเอง คนเชน น้เี ปนคนที่ไมน าคบ ไมน าเชื่อเถอื การพูดปดจึงมีโทษแกตวั เขาเองดวย หากการพูดปดสรางความเสียหายแกคนอ่ืน การพูดปดก็ผิดเพราะละเมิดคนอ่ืน ถาไมสรางความเสียหายแกคนอ่ืน การพูดปดกผ็ ดิ เพราะสรา งความเสียหายแกคนอนื่ จดุ มุงหมายในการหามพูดเทจ็ ๑. เพ่ือปกปองการทําลายประโยชนข องกนั และกนั ๒. เพ่ือใหค นอยูรว มกนั ดว ยความซอ่ื สัตยตอกัน ๓. เพ่ือความสามัคคีในหมคู ณะ ๔. คนไมพ ดู เทจ็ ยอ มไดรบั ความเชื่อถอื อยางสงู ๕. เปน คนทีส่ งั คมตอ งการอยา งยง่ิ ๑๗ ประโยชนข องการรักษาศีลขอ ที่ ๔ ๑. ไมต กไปสทู ุคติ ๒. ไมตกไปสคู วามวิบัติ ๓. ไมจ มด่ิงลงสคู วามทุกข ๔. ไดเกิดมาเปนมนษุ ย ๕. เปน ท่ีรักและไวว างใจของคนอน่ื ๑๘ การดืม่ สุราและเสพของมนึ เมาผดิ เพราะเปนการเบียดเบียนตนเอง คนท่ีดื่มสุราและเสพของมึนเมา คือคนที่ทําลายสติปญญาของตน พุทธศาสนาถือวาเปนการละเมิดตนเอง การด่ืมสุราผิดแมจะดื่มแลวนอนอยูบานคนเดียวก็ตาม ถาดื่มแลวกอความเดือดรอนแกคนอื่นก็ผิดเปนสองเทา เพราะ ๑๖เรือ่ งเดยี วกนั , หนา ๖๐-๖๑. ๑๗เรือ่ งเดียวกัน, หนา ๖๒. ๑๘ ปน มุทุกันต, แนวสอนธรรมะตามหลักสูตรนักธรรมช้ันตรี, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพอมรการพิมพ, ๒๕๑๔), หนา ๔๒๘.
๑๕นอกจากจะละเมิดตนเองแลวยังเปนการละเมิดคนอ่ืนดวย โดยที่ความผิดอยางหลังจัดเขาในศีลขอหน่ึงขา งตน จุดมุงหมายในการหา มด่มื สุรา - เมรัย ๑. เพอ่ื ใหร ูจักรกั ษาสติของตนใหส มบูรณอ ยเู สมอ ๒. เพ่ือความสงบสขุ ของสงั คม ๓. เพ่อื รักษาเศรษฐกจิ ของครอบครวั ๔. เพื่อเปน ผไู มประมาทขาดสติ ๕. เพื่อเปน ผไู ดเช่อื วา รักษาสุขภาพจติ และสุขภาพกายของตน๑๙ ประโยชนข องการรกั ษาศลี ขอ ท่ี ๕ ๑. ไมตกไปสทู ุคติ ๒. ไมตกไปสคู วามวิบตั ิ ๓. ไมจ มด่ิงลงสคู วามทุกข ๔. ไดเกิดมาเปนมนุษย ๕. เปนคนมีสตริ อบคอบ รา งกายแขง็ แรง๒๐ ศีลในพระพุทธศาสนานั้นมีมากมาย ศีลหาถือวาเปนศีลขั้นต่ําที่สุด เม่ือพิจารณาดูเน้ือหาของ ศีลหาแลวเราจะเห็นไดวา ศีลแตละขอ เปนขอหามที่เห็นไดอยางชัดเจนวาเปนส่ิงที่สรางความสงบสุขของสังคม เรานึกจินตนาการดูก็ไดวา มีประเทศอยูหน่ึงประเทศซ่ึงเปนประเทศท่ีอนุญาตใหผูคนฆาฟนกันได ขโมยส่ิงของหรือปลนชิงสมบัติของกันได ผิดลูกผิดเมียกันได พูดดาวาหมิ่นประมาทกันได หรืออนุญาตใหเสพยาเสพติดไดอยางเปดเผย แพรหลาย ประเทศดังกลาวมานี้ประชาชนจะมีชวี ติ อยไู ดเ ปน ปกตสิ ุขหรอื ไม เนื้อหาของศีลหาขอเรียกรองอยางต่ําสุดสําหรับความสงบสุขของสังคม ขาดศีลไปเพียงขอใดขอหนึ่ง สังคมยอมไมสามารถดํารงเปนปกติสุขได และนี้ก็คือความหมายของการที่ศีลหาเปนจริยธรรมขน้ั พืน้ ฐานในทศั นะของพระพุทธศาสนา ๒.๒ จรยิ ธรรมระดบั กลาง จากการศึกษาจุดหมายและประโยชนของจริยธรรมระดับกลาง อันไดแกหลักกุศลกรรมบถ๑๐ ประการ กุศลกรรมบถ ๑๐ แปลวา ทางแหงกุศลกรรม น้ีจัดเปนทางฝายดี อันเปนทางแหงความดี ๑๙เรอ่ื งเดียวกัน, หนา ๖๔. ๒๐เรื่องเดียวกนั , หนา ๔๒๘.
๑๖ที่จะนําผูประพฤติปฏิบัติไปสูความสุขความเจริญ กุศลกรรมบถนี้บางทีก็เรียกวา “สุจริต” “กุศลกรรมบถน้ีเปนศีลธรรมระดับกลาง เพราะมีคุณธรรมประณีตข้ึน ดังนั้นธรรมทั้งสองฝายจึงเปนของคูกัน” ๒๑ ดงั จะศกึ ษาไดดังน้ีฝา ยอกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ฝายกศุ ลกรรมบถ ๑๐ เปน การกระทาํ ทางกายมี ๓๑. ปาณาตบิ าต ฆา สตั ว ๑ . ปาณาตปิ าตา เวรมณี เวน จากการฆา สตั ว๒. อทนิ นาทาน ลักทรพั ย ๒. อทนิ นาทานา เวรมณี เวน จากการลักทรพั ย๓. กาเมสมุ ิฉาจาร ประพฤตผิ ิดในกาม ๓. กาเมสุมฉิ าจาราเวรมณี เวน จากประพฤตผิ ิด ในกาม เปน การกระทาํ ทางวาจามี ๔๔. มสุ าวาท พดู เทจ็ ๔. มสุ าวาทา เวรมณี เวน จากการพดู เทจ็๕. ปสุณาวาจา พูดสอเสียด ๕. ปสณุ าย วาจาย เวรมณี เวนการพดู สอ เสยี ด๖. ผรสุ วาจา พดู คาํ หยาบ ๖. ผรสุ าย วาจาย เวรมณี เวนการพดู คาํ หยาบ๗. สมั ผปั ปลาปะ พูดเพอเจอ ๗. สัมผัปปลาปา เวรมณี เวน การพดู เพอเจอ เปนการกระทาํ ทางใจ มี ๓๘. ภชิ ฌาโลภอยากไดของเขา ๘. อภชิ ฌา ไมโ ลภอยากไดของเขา๙. พยาบาท ปองรา ยเขา ๙. อพยาบาท ไมปองรา ยเขา๑๐ มจิ ฉาทฏิ ฐิ เห็นผิดจากครองธรรม ๑๐. สมั มาทฏิ ฐิ เหน็ ชอบตามครองธรรมดังน้นั จงึ สรุปไดวา จริยธรรมข้นั กลางเพื่อเปนการปฏิบัติทางจิตใจดวย การกระทําตามกุศลกรรมบถท้งั ๑๐ ประการ ผูรักที่จะทําดีจะตองปฏิบัติใหถูกทาง เปนการสรางความดีใหแกตนเอง เพ่ือความสุขสงบของชีวิตและเพื่อจริยธรรมข้ันสูงข้ึนไปอีก สวนทางฝายไมดีจัดเปนความช่ัวนําความทกุ ขความเดือดรอ นมาใหแ กผ ปู ฏิบตั แิ ละตลอดจนสังคม ก็จัดหามไว เรียกวา อกุศลกรรมบถ ๑๐ บางทีเรียกวา ทุจริต เพอ่ื ปฏิบัติทางจิตใจดวย การกระทําตามกุศลกรรมบถท้ัง ๑๐ ประการ ผูรักที่จะทําดีจะตองปฏิบัติใหถูกทาง เปนการสรางความดีใหแกตนเอง เพ่ือความสุขสงบของชีวิตและเพื่อจริยธรรมข้ันสูงข้ึนไปอีก สวนทางฝายไมดีจัดเปนความช่ัวนําความทุกขความเดือดรอนมาใหแกผูปฏิบัติและตลอดจนสงั คม กจ็ ดั หา มไว เรียกวา อกุศลกรรมบถ ๑๐ บางทีเรียกวา ทุจรติ ๒๑ไสว มาลาทอง, คูมือ การศึกษาจริยธรรม สําหรับนักเรียน นิสิต นักศึกษา นักบริหารนกั ปกครองและประชาชนผูส นใจทวั่ ไป, อางแลว, หนา ๒๐๒.
๑๗จุดมุงหมายและประโยชนข องจริยธรรมระดบั กลาง ๑. จุดมุงหมายของการหามประพฤตผิ ิดทางกายกรรม ๓ ๑) เพอ่ื ไมใ หท าํ ลายชีวิตอืน่ ๒) เพอ่ื ไมผูกเวรตอ กัน ๓) เพอ่ื ไมเบยี ดเบยี นตอ สัตวทง้ั หลาย๒๒ ๔) เพ่อื ละอทินนาทาน ๕) เพอื่ ละกาเมสมุ จิ ฉาจาร๒๓ ๒. ประโยชนของการรกั ษากายกรรม ๓ ๑) เปน ผูประกอบดว ย เมตตาและความเอ็นดู ๒) เปนผูมคี วามละอาย ๓) เปนผูมคี วามเกอ้ื กลู ๔) เปนผมู คี วามซ้อื สัตย ๕) เปน ผูไมมเี วร ไมมีภยั ไมถกู เบียดเบยี นดว ย๒๔ ๓. จุดมงุ หมายของการหามประพฤตผิ ิดทางวจกี รรม ๔ ๑) เพ่อื ไมเ ปน ผกู ลาวมสุ าวาท ๒) เพ่ือไมเ ปนผกู ลาววาจาสอ เสียด ทําลายคนอนื่ ๓) เพอ่ื ไมเปน ผูกลาววาจาหยาบคายแกค นอน่ื ๔) เพอ่ื ไมเปน ผมู วี าจาเพอ เจอ ๒๕ ๔. ประโยชนข องการรักษาวจีกรรม ๔ ๑) ทาํ ใหเปน ผูสมานคนผูแ ตกสามัคคี ๒) ทําใหเ ปนผูสนับสนุนคนท่ีสามคั คีกนั อยูแ ลว ๓) ทําใหเปน ผมู วี าจาเสนาะโสต เปน ท่ีรกั ซ้งึ ใจ แกค นอ่นื ๔) ทาํ ใหเปนท่ีรักและชอบใจของคนอื่น ๒๒วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม, คูมือการศึกษาธรรมชั้นโท, พิมพคร้ังที่ ๖, (กรุงเทพฯ :โรงพิมพมหามกฎุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๘), หนา ๑๙๒. ๒๓วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม, คูมือการศึกษาธรรมช้ันเอก, พิมพคร้ังที่ ๕, (กรุงเทพฯ :โรงพิมพมหามกฎุ ราชวิทยาลยั , ๒๕๔๗), หนา ๑๗๗. ๒๔เรือ่ งเดียวกัน. ๒๕เรอื่ งเดยี วกัน, หนา ๑๘๔.
๑๘ ๕) ทําใหเปนผูพดู ถกู กาลเวลา มีเหตผุ ล มหี ลักฐาน มที ่อี าง๒๖ ๕. จุดมุงหมายของการหามประพฤตผิ ดิ ทางมโนกรรม ๓ ๑) เพอ่ื เปน ผไู มม ากไปดวยความเพ็งเลง็ คดิ เอาของคนอืน่ ๒) เพื่อเปน ผูไ มมใี จพยาบาทประทษุ รา ยผูอื่น ๓) เพ่อื เปน ผูไ มมที ศั นะอนั วิปรติ ผดิ จากทาํ นองครองธรรม๒๗ ๔. ประโยชนของการรักษามโนกรรม ๓ ๑) ทาํ ใหเปน คนไมผ ูกอาฆาตคนอน่ื ๒) ทาํ ใหเ ปนคนไมจ องเวร ไมเ บียดเบยี นกัน ๓) ทาํ ใหเปนคนมองโลกในแงดี ๔) ทําใหเ ปน ผไู มมีโรคภัยเบยี ดเบยี น มอี ุปสรรคในการทํางานนอ ย๒๘ ๒.๓ จริยธรรมระดับสงู จาการศึกษาการดําเนินชีวิตอยูในสังคมอยางมีความสุขตามแนวพุทธจริยศาสตรศึกษากรณีทิศ ๖ ทําใหพบวาจุดมุงหมายและประโยชนสูงสุดของจริยธรรมระดับสูง อันไดแกมรรคมีองค ๘หรือ อริยมรรค ๘ ประการ ไดแก ๑. สัมมาทฏิ ฐิ ความเหน็ ชอบ ๒. สัมมาสังกปั ปะ ความดาํ รชิ อบ ๓. สมั มาวาจา การเจรจาชอบ ๔. สมั มากัมมันตะ ทําการงานชอบ ๕. สมั มาอาชวี ะ การเลย้ี งชพี ชอบ ๖. สัมมาวายามะ ความเพียรพยายามชอบ ๗. สมั มาสติ การตั้งสติไวชอบ ๘. สัมมาสมาธิ การต้งั ใจไวชอบ๒๙ พุทธจริยศาสตรศึกษาถึงหนาท่ีของมนุษย โดยถือวามนุษยทุกคนเกิดมาไมวาชายหรือหญิงเด็กหรือผูใหญ ลวนแลวแตมีหนาที่จะตองทําและรับผิดชอบดวยกันท้ังนั้น เชน บิดามารดามีหนาที่ ๒๖เรอื่ งเดยี วกัน. ๒๗เร่อื งเดยี วกัน. ๒๘เรือ่ งเดยี วกัน. ๒๙ทองหลอ วงศธ รรมา, ปรชั ญาอนิ เดีย, อางแลว, หนา ๒๖๗.
๑๙เล้ียงดูบุตร และอบรมส่ังสอนบุตรแตในทางที่ดี สวนบุตรมีหนาท่ีเลี้ยงดูทานในวัยชรา เชื่อฟงคําสั่งสอนของทา นและปฏบิ ัตภิ ารกิจตา ง ๆ แทนทานได จริยธรรมข้ันสูงประกอบดวยธรรมท่ีปฏิบัติเพื่อความหลุดพนจากความทุกขเปนปรมัตถธรรม หรือ ธรรมระดับท่ีจะทําใหผูเปนพระอริยบุคคลเปนโลกุตตรธรรม คืออริยสัจธรรม ๔ มรรคองค ๘ ปฎิจจสมปุ บาท หรือ อทิ ัปปจ จยตา อรยิ สัจ ๔ อริยสัจ ๔ แปลวา “ความจริงอันประเสริฐ” ความจริงท่ีทําใหสําเร็จเปนอริยบุคคลไดมี ๔อยา ง คือ ๑. ทุกข รสู ภาวะท่เี ปนทุกขสภาพท่ีคงทนอยูไมได สภาพท่ีทนอยูไดอยาก ความไมสบายกาย ความไมสบายใจ ๒. สมุทัย เหตใุ หเกดิ ทุกข ไดแกตณั หาความทยานอยาก ๓ อยา ง ๓. นโิ รธ ธรรมเปน ทดี่ บั ทกุ ข ความดับทกุ ข ไดแกตัณหา ไดสิน้ เชิง ๔. มรรค ขอปฏิบัติเพ่ือใหถึงธรรมเปนที่ดับทุกข ๓๐ไดแก มรรค ๘ อยาง ในอริยสัจ ๔ประการนี้ จัดเปนเหตุ ๒ อยาง จัดเปนผล ๒ อยาง คือ สมุทัย และมรรคจัดเปนเหตุสวนทุกขและนิโรธจดั เปน ผล ทกุ ข หมายถึงสงิ่ ที่ทนไดย าก พระพทุ ธองคท านไดตรัสรูเรื่องทุกขเปนลําดับแรกคนทั่วไปรูวาตัวทุกข แตไมรูวาอะไรมาทําให เปนทุกข โดยสรุปทุกขมี ๒ ประเภท คือ ทุกขประจํา ทุกขจรถาแยกเปน กองทกุ ข ทุกขประจาํ มี ๓ กอง เรียกวา สภาวะทกุ ข ทุกขจรมี ๘ กอง เรยี กวา ปกณิ กทกุ ข ทกุ ขป ระจาํ หรอื สภาวะทกุ ข คือ รวมทงั้ ส้ิน ๑๑ กอง ๑. ชาตทิ กุ ข แปลวา เกิดเปน ทุกข ๒. ชราทกุ ข แปลวา แกเ ปน ทกุ ข ๓. มรณทกุ ข แปลวา ตายเปนทกุ ข ๓๑ สภาวทุกขนี้เกิดมาแลวตองประสบทุกขเหลาน้ีทุกคนไมมียกเวน ไมวาประเภทไหนสิ่งมีชีวิตและสงิ่ ไมมีชวี ิตทุกประเภทจะตอ งมีดว ยกันทุกอยา ง ปกิณกทกุ ข หรอื ทุกขจร ๘ ประการ คอื ๓๐พระธรรมปฏก (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม, พิมพครั้งที่ ๙, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๓), หนา ๙๐๒. ๓๑ไสว มาลาทอง, คูมอื การศกึ ษาจริยธรรม สาํ หรบั นักเรยี น นิสติ นักศกึ ษา นกั บริหาร นักปกครองและประชาชนผูสนท่วั ไป, อา งแลว, หนา ๒๐๖.
๒๐ ๑. โสกะ ความโสก ความเสียใจ ๒. ปรเิ ทวะ ความรําพนั บน เพอ ตัดอาลยั ไมข าด ๓. ทกุ ขะ ความไมส บายกาย เจบ็ ปวย ๔. โทมนัสสะความนอยใจ ความเสยี ใจ ๕. อุปายาสะ ความคบั ใจ ตรอมใจ ๖. สัมปโยคะ ความประสบสง่ิ ทเ่ี กลียด ๗. วปิ ปโยคะ ความประสบส่ิงท่ีพรากจากสิ่งรัก ๘. นลภะ ความผิดหวงั ไมไดส ิ่งที่ตนอยากได๓ ๒ สมุทัย หมายถงึ อะไรทาํ ใหค นทกุ ข พระพุทธองคทรงคน พบวาท่ีทําใหเกิดทุกข เรียกวาตณั หา มี ๓ ประการ คอื ๑. กามตัณหา ความอยากในกามคณุ คอื รูป เสยี ง กล่นิ รส โผฏฐัพพะ ๒. ภวตัณหา ความอยากในภพ ไดแก ความอยากที่ประกอบดวยสันสตทิฎฐิ คือ คิดวา ตน และโลกเปนของยั่งยนื ๓. วิภวตัณหา ความอยากปฎิเสธภพ ไดแกความอยากท่ีประกอบดวยอุจเฉททิฏฐิ คือ เห็น ผิดวาตนและสตั วต ายแลวสูญ๓๓ นิโรธ ธรรมเปนท่ีดับทุกข ธรรมเปนที่ดับตัณหา การเขาสูนิพพานซ่ึงมี ทั้งสอุปาทิเสสนนิพพาน และอนุปาทิเสสนนิพพาน หรือบุคคลท่ีเขาถึงนิพพานของพระเสขะ และนิพพานของพระอเสขะ มรรค ปญญาท่ีรูแจงเห็นจริงวา ส่ิงนี้ทุกข ส่ิงน้ีเปนเหตุใหเกิดความทุกขและเปนธรรมที่ดับความทุกขได ตลอดจนส่ิงนี้เปนแนวทางหรือขอปฏิบัติใหถึงความดับทุกข ที่ไดช่ือวา มรรคเพราะเปน ขอปฏบิ ตั ใิ หถึงความดับทกุ ขได มี ๘ ประการ (กลาวมาแลวในหนา ๙-๑๐) อริยสัจ ๔ ประการน้ี เปนหลักธรรมสําคัญย่ิงในพระพุทธศาสนา พระพุทธองคไดสําเร็จเปนพระสัมมาสัมพุทธเจาก็เพราะไดตรัสรูอริยสัจ ๔ น้ีผูท่ีเปนปุถุชนจะสําเร็จเปนพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาไดคือ เปนพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และอรหันต ก็เพราะปฎิบัติธรรมคืออริยสัจ ๔ นเ้ี ปน ประการสําคญั ปฏจิ จสมุปบาท หรอื อิทัปปจยตา ๑๒ อยาง ๓๒เรือ่ งเดียวกนั , หนา ๒๐๗. ๓๓พระธรรมปฎก ( ป.อ. ปยุตโต ), พจนานุกรมฉบับประมวลธรรม, พิมพคร้ังที่ ๙,(กรุงเทพฯ : โรงพิมพม หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วดั มหาธาต,ุ ๒๕๔๓), หนา๑๐๑.
๒๑ ปฏิจจสมุปบาท คือ กฏแหงธรรมชาติ เปนธรรมเกี่ยวเน่ืองกัน อาศัยกันสัมพันธกัน พึ่งพาอาศัยกันข้ึนเปนกฎแหงเหตุผล ปฏิจจสมุปบาทนี้ ไดแสดงถึงกฎแหงธรรมชาติของสรรพสิง่ ทม่ี กี ารสืบตอกนั ไมมกี ารอยนู ิง่ หรอื ไมม ีอะไรคงทตี่ อ งตกอยใู นลักษณะ ๓ ประการน้ี คือ ๑. ความเกดิ ขึ้นในเบ้ืองตน ๒. ความแปรปรวนในทา มกลาง ๓. ความแตกดับหรือสลายไปในท่ีสดุ ปฏิจจสมุปบาท เปนกฎแหงสังสารวัฏ คือ เปนวงจรแหงความทุกขอันเกิดขึ้นมาจากสมุทยั คอื กิเลส – ตณั หา กรรม และวิบาก พระพุทธองคตรัสเร่ืองอิทัปปจจยตาไววา “ ภิกษุทั้งหลายความสงสัยไดเกิดแกเราเม่ือมีอะไรหนอ ชรา มรณะ จึงไดมี ชรา มรณะ มีเพราะปจจัยอะไร “ ความจริงปรากฏแกพระพุทธองควา เพราะชาตินเ้ี องมอี ยู ชรา มรณะ จงึ ไดม ี ชรา มรณะมี เพราะ ชาติ เปน ปจจัย เพราะภพน้ีเองมอี ยู ชาติ จงึ ไดม ี ชาตมิ ีเพราะ ภพ เปน ปจ จัย เพราะอุปาทานนเ้ี อง ภพ จงึ ไดมี ภพมี เพราะอปุ ทาน เปนปจ จยั เพราะตณั หานเี้ องมอี ยู อุปาทาน จงึ ไดม ี อุปาทานมี เพราะ ตัณหา เปน ปจจยั เพราะเวทนานเี้ องมีอยู ตณั หา จึงไดม ี ตณั หามี เพราะ เวทนา เปนปจจยั เพราะผัสสะนเี้ องมอี ยู เวทนา จึงไดมี เวทนามี เพราะ ผสั สะ เปน ปจ จยั เพราะสฬายตนะนเี้ องมีอยู ผสั สะ จึงไดม ี สฬายตนะมี เพราะนามรปู เปนปจจยั เพราะวญิ ญาณนเี้ องมีอยู นามรูป จึงไดมี นามรปู มี เพราะวญิ ญาณ เปน ปจ จยั เพราะสังขารนเ้ี องมีอยู วญิ ญาณ จงึ ไดม ี วญิ ญาณมี เพราะสังขาร เปนปจจยั เพราะอวชิ ชานีเ้ องมอี ยู สงั ขาร จงึ ไดมี สงั ขารมี เพราะ อวิชชา เปน ปจ จัย๓๔ ท่ีกลา วมาขางตน น้ี เปน ภาษาบาลี มี ๒ สาย คอื สายเกิด (สมทุ ยวาร) ดังนี้ อวชิ ชฺ าปจจฺ ยา สงฺขารา สงฺขาราปจจฺ ยา วิฺญาณํ วิญฺ าณปจจฺ ยา นามรปู นามรปู จจฺ ยา เวทนา ๓๔ไสว มาลาทอง, คูมือ การศึกษาจริยธรรม สําหรับ นักเรียน นิสิต นักศึกษา นักบริหารนักปกครองและประชาชนผูสนท่วั ไป, อา งแลว, หนา ๒๑๐-๒๑๑.
๒๒เวทนปจฺจยา ตณหฺ าตณหฺ าปจจฺ ยา อปุ าทานํอปุ าทานปจจฺ ยา ภ โวภวปจจฺ ยา ชาติชาตปิ จฺจยา ชรามรณํโสกปรเิ ทวทกุ ขฺ โทมนสฺสปุ ายาสา สมฺภวนตฺ ิเอวเมตสฺส เกวลสสฺ สมุทโย โหติ ๓๕สายดับ (นโิ รธวาร) ดังน้ีอวิชฺชาย (เตววฺ ) อเสสสวิราคนโิ รธา สงขฺ ารรานโิ รโธสงขฺ ารานโิ รธา นามรูปนโิ รโธนามรปู นิโรธา สฬายตนนิโรโธสฬายตนนิโรธา ผสฺสนิโรโธผสฺสนิโรธา เวทนานิโรโธเวทนานโิ รธา ตณหฺ านิโรโธตณฺหานโิ รธา อปุ าทานนโิ รโธอปุ าทานนโิ รธา ภวนโิ รโธภวนิโรธา ชรานิโรโธโสกปริเท วทกุ ขฺ โทมนสฺสุปายาสา นิรุชฺฌนตฺ ิเอวเมตสสฺ เกวลสสฺ ทุกฺขกฺขนฺธสสฺ นิโรโธโหต.ิ ๓๖ถา จะยอ เปน วงจรลงใน กเิ ลส กรรม และวบิ าก จะไดด ังนี้อวิชชา + ตณั หา + อุปาทาน จดั เปน กเิ ลสสงั ขาร + ภพ จัดเปน กรรมวญิ ญาณ + ทเี่ หลือทั้งหมดจดั เปน วบิ าก๓๗ปฏิจจสมุปบาท เปนหลักธรรมท่ีแสดงใหเห็นถึงกระบวนการเกิดการดําเนินไปและการดับไปของชีวิต รวมถึงการเกิด – การดับแหงทุกขดวย ในกระบวนการนี้ ส่ิงทั้งหลายจะเกิดข้ึน-เปนอยู และดับลงไปในลักษณะแหงความสัมพันธกันเปนหวงโซ เปนเหตุเปนปจจัยแกกันและกัน๓๕เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา๒๑๑.๓๖เรอ่ื งเดียวกนั , หนา ๒๑๒.๓๗ทองหลอ วงศธ รรมา, ปรัชญาอนิ เดีย, อางแลว , หนา ๒๑๐.
๒๓ในรูปของ วงจร กลาวคือ เปนกระบวนการแหงความสัมพันธกันเปนหวงโซ ในกระบวนการแหงปฏิจจสมุปบาทน้ันไมมีสวนไหนเปนปฐมกร หรือปฐมเหตุ เพราะกระบวนการของชีวิตเปนวัฏฏะแหงกิเลส กรรม วิบาก ซ่ึงกลายเปนวัฏสงสาร แตอยางไรก็ตามในการพยายามอธิบายกระบวนการแหง ชีวิตตามหลกั ปฏิจจสมุปบาทนจ้ี าํ เปน ตองหาจุดเร่ิมตนอธิบายใหเห็นวาเปนเหตุเปนปจ จยั อยางไรกอน ดังน้ัน “จึงสมมุติเริ่มจากอวิชชา โดยอธิบายอวิชชาเปนปจจยจึงมีสิ่งอ่ืน ๆ ตามมาเปนวัฏจักรนําไปสูทุกข ในทํานองเดียวกัน ถาอวิชชาดับไปไมเหลือก็จะเปนเหตุ ไปสูการดับทุกขไดในที่สุด เพราะความเปนไปของชีวิตมีสภาวะเปนวงจรท่ีเรียกวาสังสารวัฏ ดังนั้นเบื้องตนทา มกลางและทส่ี ดุ ของสงั สารวัฏ จึงไมปรากฏ”๓๘ จากศึกษาทําใหทราบวาหลักปฏิจจสมุปบาทน้ีทําใหมองเห็นวา ชีวิตที่ไมรูความเปนจริง(อวิชชา) ในสภาวะที่ เปนไปตามกฎของธรรมชาตินั้น ก็สรางความเปนตัวตนขึ้นมาจากนั้น ก็สรางอารมณต า ง ๆ ข้ึนมาปรุงแตง โลกของตนเพอื่ ทใี่ หสนองตัณหาอุปาทาน เชนนี้นับไดเปนชีวิตที่อยูในกองทกุ ขและชวี ิตจงึ กลายเปน ตวั ทุกขไ ปดวย จุดมุงหมายและประโยชนของจริยธรรมระดบั สูง ๑.จุดมงุ หมายของการดําเนนิ ชีวติ ตามหลกั อรยิ มรรค ๘ ๑. เพื่อเปน ผมู ีปญ ญา มีทศั นะถกู ตอ งเปนหลักดําเนินชีวติ ๒. เปนผูมีความเห็นถูกตองตามความจริงโดยธรรมชาติของชีวิต คือ เห็นความทุกข เห็นเหตุใหเ กดิ ทุกข เหน็ ธรรมท่จี ะดับทกุ ข และทางปฏบิ ตั ิเพ่ือดบั ทกุ ข๓๙ ๒. ประโยชนของการดําเนนิ ชีวิตตามหลกั อรยิ มรรค ๘ ๑. ยอมเปนผูค วรของคาํ นบั ๒. ยอมเปนผคู วรของตอนรับ ๓. เปน ผูควรแกทักษิณา ๔. เปน ผูควรอญั ชลกี รรมเปนนาบุญของโลก๔๐ การปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนาน้ันอาจกลาวไดวารวมอยูในองคท้ัง ๘ ของอริยมรรคอันเปนจริยศาสตรระดับสูงนั้น ซ่ึงหลักท้ัง ๘ น้ี เปนหลักสากลสําหรับนําไปสูจุดมุงหมายสูงสุดของ ๓๘เดือน คาํ ดี, พทุ ธปรัชญา, อา งแลว , หนา ๘๓. ๓๙แสง จันทรงาม, ประทีปธรรม, พิมพครั้งท่ี ๓, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพสรางสรรคบุคส,๒๕๔๔), หนา ๗๒-๗๓. ๔๐แสง จันทรงาม, พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ, พิมพคร้ังท่ี ๓, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพสรางสรรคบุค ส, ๒๕๔๔), หนา ๕๓.
๒๔ทุกชีวิต คือความพนทุกข ไมวาใครก็ตามถาปฏิบัติถูกตองตามหลักจริยธรรมระดับสูง ๘ ประการนี้แลว กจ็ ะสามารถบรรลุถึงความพน ทกุ ขได๓. ความสาํ คัญของพทุ ธจริยศาสตร พุทธศาสนาเปนศาสนาที่เกิดจากการคิดหาเหตุผล ของพระพุทธเจาท่ีจะแกไขปญหาชีวิตของมวลมนุษยชาติ ซ่ึงอาจจะมีปญหาสวนบุคคล และปญหาสวนรวมท่ีเรียกวา ปญหาสังคม และในท่ีสดุ พระพุทธเจาก็ไดป ระสบความสําเรจ็ ในการคดิ หาเหตุผล ในการแกป ญหาชีวิตของมนษุ ยและพระองคก็ทรงเปยมดวยพระมหากรุณาธิคุณ ไดนําเอาเหตุอันนั้นมาเพื่อเผยแผชวยแกปญหาชีวิตมนุษยไดเปนอเนกอนันต และเหตุผลอันน้ันก็กลายเปนคําสอนและไดแพรหลายไปยังสวนตาง ๆของโลกโดยพระองคเอง และการดําเนินงานของพระสาวกของพระองค แมพระองคจะปรินิพพานไปแลวก็ตาม ประเทศไทยก็เปนประเทศหน่ึงท่ีไดรับเอาคําสอนของพระพุทธองคมาเปนแนวทางในการแกไขปญหาชวี ติ และการดาํ รงชวี ิต ดังน้ัน “วิถีชีวิตของคนไทยหรือสังคมไทยในดานตาง ๆ กับพระพุทธศาสนาจึงมีความสมั พันธกนั อยา งแนบแนน จากราชสาํ นกั จนถึงครอบครวั ชาวบาน เร่ิมตงั้ แตสมยั สโุ ขทัยเปนตนมา พระพุทธศาสนาไดเ ปนรากฐานของศีลธรรมและวฒั นธรรมไทย พระพุทธศาสนาไดเปนศาสนาประจําชาติไทยตลอดมาโดยไมขาดสายเปนเวลา ๗๐๐ ปเศษ” ๔๑ ขนบธรรมเนียมประเพณีและระบบจรรยาบรรณท้ังหลาย และวัฒนธรรมอันดีงามดานอื่น ๆ ของไทย ลวนมีรากฐานมาจากพระพุทธศาสนาทั้งส้ิน พุทธศาสนาไดมีอิทธิพลอยูอยางมากตอจิตใจของคนไทย และไดแสดงออกมาในรูปของนิสัย หรือความเมตตาปราณีและความโอบออมอารี ส่ิงเหลานี้อาจเรียกไดวาเปนลักษณะเฉพาะทีม่ ีอยูในสังคมไทย อนั เปนจรยิ ธรรมสังคมแบบพุทธนนั่ เอง สังคมไทยกลายเปนสังคมพุทธ เมืองไทยกลายเปนเมืองพุทธ มีคานิยมวาดวยความเมตตากรุณาตอผูตกทุกขไดยาก ความโอบออมอารีชวยเหลือซึ่งกันและกัน การวางตนใหเหมาะสมกับกาละเทศะ มีสัมมาคารวะออนนอมถอมตนตอผูหลักผูใหญ มีขนบธรรมเนียมประเพณีอันเปนลักษณะเอกลักษณของชาติไทยตาง ๆ เชน ประเพณีการบรรพชาอุปสมบท ประเพณีทําบุญตาง ๆประเพณีการประกอบพิธีกรรมเน่ืองในวันสําคัญทางศาสนา ประเพณีทําบุญเนื่องในวันสําคัญของชาติ ฯลฯ สงั คมไทยเปนสงั คมที่มพี ระพทุ ธศาสนาชวยกลอมเกลาโนนนา วจิตใจ และสรา งสํานึกทาง ๔๑คูณ โทขันธ, พุทธศาสนากับชีวิตประจําวัน, (กรุงเทพฯ : โอ.เอส.พร้ินต้ิงเฮา, ๒๕๓๗),หนา ๕๕.
๒๕ศีลธรรม โดยมีวดั และพระสงฆเปนกลไกลที่สําคัญในการรวบรวมสมาธิของสังคมใหเปนพลเมืองท่ีดีของประเทศ หลักจริยธรรมหรือหลักความประพฤติเพื่อละการทําช่ัว เลือกกระทําแตกรรมดีนั้นเปนหนาท่ีของมนุษยทุกคนท่ีควรปฏิบัติใหได แตพระพุทธองคยังทรงแสดงถึงหลักคุณธรรมที่บุคคลควรปฏิบัติตอกันในสังคม การปฏิบัติตามหลักจริยธรรมสังคมก็คือ การปฏิบัติธรรมหรือหนาที่ท่ีเหมาะแกฐานะของตนในสังคม ฐานะน้ีอาจเปนฐานะทางสังคมธรรมดา เชน เปนพอ แม ญาติครู อาจารย หรือ เปนฐานะทางการปกครองซึ่งเปนสังคมในแงกฎหมาย เชนเปนผูปกครอง เปนผูไดปกครอง ธรรมเพื่อความสัมพันธระหวางบุคคลในสังคมน้ัน พระพุทธองคไดทรงตรัสรูไวในเร่ืองทิศ ๖ ในสิงคาลกสูตร อยางละเอียด ในเรื่องนี้พระพุทธองคทรงยกเอาตัวเปนศูนยกลางแลวพิจารณาวาตองมีความสัมพันธกับใครบาง ตัวเราในท่ีน้ีก็แทนคนแตละคนน้ันเอง กลาวคือ คนแตละคนตองเปน หรือตองเก่ียวของกับคนอ่ืนในฐานะตาง ๆ ตามท่ีพระพุทธองคทรงสอนไวทั้งสิ้นเมื่ออยูในฐานะใด ปฏิบัติอยางไร และควรปฏิบัติตอผูท่ีเราเกี่ยวของซึ่งมีฐานะอีกอยางหน่ึง อยางไรบา ง พระพทุ ธองคทรงเปรยี ญเทียบคนซ่งึ อยูแวดลอ มและมคี วามสมั พนั ธกบั เราวา เหมือนทศิ ตางๆ ๖ ทิศ ไดแก มารดาบิดา เปนทิศเบื้องหนา ครูอาจารย เปนทิศเบื้องขวา บุตรภรรยาเปนทิศเบื้องหลัง มิตรอํามาตยเปนทิศเบ้ืองซาย ทาสกรรมกรเปนทิศเบื้องต่ํา สมณะพราหมฌเปนทิศเบ้ืองบน ซ่ึงเปนการแสดงวา คนเราตกอยูในส่ิงแวดลอม และมิใชส่ิงแวดลอมเปนวัตถุเทานั้น ยังมีส่ิงแวดลอมที่เปนคนซ่ึงตองสัมพันธกับเราดวย ในธรรมเรื่องทิศ ๖ นี้แสดงใหเห็นวา เปนคําสอนที่กําหนดการกระทาํ และการตอบแทนท้ังสองฝายไมใชฝายหนง่ึ เปน ฝา ยใหหรอื ฝายรับเพียงอยางเดียวเปน การยึดหลักสิทธิและหนา ทตี่ ามจริยศาสตรส ังคมวาดวยทศิ ท้ัง ๖ หรือ หลกั มนษุ ยส ัมพันธข องคนตา งฐานะในสังคม๔. ระดบั ของพุทธจรยิ ศาสตร พทุ ธปรชั ญาไดแ สดงหลักปฏิบัติเพอ่ื เปน ทางนําไปสคู วามดีที่สุดอันเปนจุดหมายสูงสุดของชีวิตไว ๓ ขั้น เรียกวา ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปญญา ศีลเปนข้ันตน สมาธิเปนข้ันกลางและปญญาเปนข้ันสุดทาย แตละขั้นในทางปฏิบัติยอมสนับสนุนกันและกันจากข้ันตํ่าไปหาขั้นสูงกลาวคือ ศีลเปนคุณธรรมขั้นพื้นฐานท่ีปรับบรรยากาศใหเหมาะกับการบําเพ็ญสมาธิ และการบําเพ็ญสมาธิไปสูความมีปญญา เม่ือชีวิตไดดําเนินไปครบบริบูรณตามขั้นตอนเหลานี้แลวเรียกวา ชีวิตอันประเสริฐ (พรหมจรรย) เปนอันไดอยูจนครบรอบซ่ึงชีวิตบริบูรณแลว แตอยางไรก็ตามแมการฝกอบรมชีวิตท้ัง ๓ ขั้นนี้ จะมีบรรยากาศเก้ือกูลกันและกันก็ตาม แตองคคุณธรรมของแตละข้ันก็มี
๒๖ขอบเขตจํากัดของตนเอง น้ันก็คือ ศีล มีหนาท่ีฝกอบรมกาย วาจา ใหเรียบรอย ซ่ึงเปนบอเกิดแหงคณุ ธรรมอน่ื ๆ อกี สมาธทิ าํ หนา ท่ีฝกจิตใหละเอียดออนเหมาะแกการทํางาน คือ พิจารณารูสรรพส่ิงตามความความเปนจริง และปญญาทําหนาท่ีรูแจงแทงตลอดซ่ึงสัจธรรมทั้งปวง การปฏิบัติตามไตรสกิ ขาน้ี ก็คอื การเดนิ ตามหลกั มัฌมิ าปฎปิ ทา หรือ อริยมรรค มอี งค ๘ ประการนั้นเอง การปฏิบัติตามมรรคมีองค ๘ ประการ หรือ ไตรสิกขายอมมีจุดหมายเดียวกันคือ การขจดั กเิ ลส หรือ อกุศลมูล อนั เปน สามเหตุแหง การกระทําชั่ว ซง่ึ จะกอใหเกิดผล คือ ทุกข น้ันเองกลาวคือ ศีลขจัดกิเลสอยางหยาบท่ีเรียกวา วิติกกมกิเลส สมาธิกําจัดกิเลสอยางกลางที่เรียกวา ปริยฏุ ฐากิเลส สวนปญ ญากาํ จัดกิเลสอยางละเอยี ดทเี่ รียกวา อนุสยั รวมเรยี กวา อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ดังน้ันพทุ ธจรยิ ธรรมจึงอาจแบงไดเ ปน ๒ ลักษณะ คอื ๑. เปนลักษณะแหง การกระทาํ กศุ ลกรรม จุดมุงหมายสงู สุดเพื่อขัดเกลา และชาํ ระกเิ ลสของตนเอง เรยี กวา จริยธรรมบคุ คล ๒. เปนลักษณะการปฏิบัติหนาท่ีตอบุคคลอ่ืนเพื่อความสงบสุขของสังคมเรียกวา จริยธรรมสังคม๔๒ อยางแรก คือ การรักษาศีลต้ังแตช้ันตํ่าท่ีสุดท้ังคฤหัสถและบรรพชิต ในแงนี้แมจะมีลักษณะเปน การกระทาํ ของปจเจกชนก็ตาม แตผลท่ีเกิดข้ึนยอมเก้ือกูลแกผูอื่น และสวนรวมกลาวอีกนยั หนงึ่ ก็คอื การรกั ษาศลี เรมิ่ ขน้ั จากปจเจกบุคคลกอนแลว จึงอํานวยผลตอ สงั คมตามมา อยางท่ีสอง เปนการปฏิบัติหนาท่ีตามพันธกรณีของมนุษยที่มีตอกันในฐานะที่มนุษยเปนสัตวสังคมการกระทําตามหนาที่โดยมุงประโยชนเพ่ือหนาที่เปนสําคัญ เพราะการปฏิบัติอยางนั้นตั้งอยูบนพ้ืนฐานแหงความเสียสละของแตละฝายเพ่ือธํารงไวซ่ึงความดีงาม และหนาท่ีของแตละฝายซ่ึงเกื้อกุลแกสัตวโลกท้ังมวล อันไดแก หลักธรรมทิศท้ัง ๖ ในสิงคาลกสูตร และหลักธรรมท่ีเอื้ออํานวยในการปฏบิ ตั ิหนา ทข่ี องแตล ะบุคคลสมบูรณย ง่ิ ขึ้น ซง่ึ จะกลา วตอไปในบทท่ี ๓ กลาวคือ จริยศาสตรสวนบุคคล คือ พื้นฐานจริยศาสตรสังคม กลาวใหเขาใจงาย ๆ ก็คือพุทธศาสนาถือวาระบบจริยศาสตรมีบทบาทท่ีสําคัญอยูสองบทบาท ไดแก ชวยใหบุคคลสามารถดํารงชีวิตสวนตัวของเขาอยูไดอยางเปนสุข และสังคมสวนรวมก็ดํารงอยูอยางปกติสุขดวย พุทธศาสนาเช่ือวา ความสงบของสังคมอิงอาศัยอยูกับจริยธรรมของแตละคนในสังคมเม่ือปจเจกบุคคลมีคุณธรรม สังคมสวนรวมยอมพลอยสงบสุขดวย จริยศาสตรสวนบุคคลเปนพื้นฐานของจริยศาสตรสังคมดังท่กี ลา วมาขางตน ๔๒เดือน คําด,ี พทุ ธปรชั ญา, อา งแลว, หนา ๑๕๔.
๒๗ จากการศึกษาความรูพ ้ืนฐานเก่ยี วกับพทุ ธจริยศาสตรต ามการดําเนนิ ชีวติ อยใู นสังคมอยางมีความสุขตามแนวพุทธจรยิ ศาสตรทาํ ใหท ราบวา จริยธรรมขั้นพื้นฐานของมนุษย เรียกวา มนุษยธรรม คือระเบียบที่กอใหเกิดความสงบสุขในสังคมของมนุษยทําใหคนเปนมนุษยท่ีสมบูรณ และธรรมท่ีคูกันก็คือ เบญจธรรม ๕ ทั้งเบญจศีลและเบญจธรรมที่เรียกวาเปน จริยธรรมข้ันมูลฐานน้ัน เพราะเปนขอปฏิบัติข้ันตน เปนพ้ืนฐานรองรับคุณธรรมชั้นสูงขึ้นไป เชนเดียวกับการลงรากเสาเข็มไวเปนอยางดียอมสามารถรับน้ําหนักอาคารสูงใหญหลายช้ันได การท่ีจะดูพื้นฐานหรือความม่ันคงของบุคคลก็สามารถท่ีจะดูไดพรอมกับบอกหรือคาดคะเนไดวา เปนอยางไร โดยเอาหลกั เบญจศีลและเบญจธรรมนี้เปน เคร่ืองมอื วดั จริยธรรมข้ันกลางนั้นเปนการปฏิบัติทางจิตใจดวย การกระทําตามกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ประการ ผูรักที่จะทําดีจะตองปฏิบัติใหถูกทาง เปนการสรางความดีใหแกตนเอง เพ่ือความสุขสงบของชีวิตและเพ่ือจริยธรรมขั้นสูงขึ้นไปอีก สวนทางฝายไมดีจัดเปนความชั่วนําความทุกขความเดือดรอนมาใหแ กผปู ฏบิ ัตแิ ละตลอดจนสงั คม ก็จดั หา มไว เรียกวา อกุศลกรรมบถ จริยธรรมข้ันสูงประกอบดวยธรรมที่ปฏิบัติเพ่ือความหลุดพนจากความทุกขเปนปรมัตถธรรม หรือ ธรรมระดับท่ีจะทําใหผูเปนพระอริยบุคคลเปนโลกุตตรธรรม คืออริยสัจธรรม ๔ มรรคองค ๘ ปฎิจจสมปุ บาท หรือ อทิ ปั ปจ จยตา ดังน้ันจึงกลาวไดวาพ้ืนฐานจริยศาสตรสังคม กลาวใหเขาใจงายๆ ก็คือ พุทธศาสนาถือวาระบบ จริยศาสตรมีบทบาทที่สําคัญอยูสองบทบาท ไดแก ชวยใหบุคคลสามารถดํารงชีวิตสวนตัวของเขาอยูไดอยางเปนสุข และสังคมสวนรวมก็ดํารงอยูอยางปกติสุขดวย พุทธศาสนาเช่ือวา ความสงบของสังคมอิงอาศัยอยูกับจริยธรรมของแตละคนในสังคมเม่ือปจเจกบุคคลมีคุณธรรม สังคมสวนรวมยอมพลอยสงบสุขดวย จริยศาสตรสว นบุคคลเปนพื้นฐานของจรยิ ศาสตรส งั คมเปนตน
บทท่ี ๓ หลกั พทุ ธจริยศาสตรในทิศ ๖๑. ความเปน มาของพทุ ธจรยิ ศาสตรท ศิ ๖ ในการศึกษาหลักการดําเนินชีวิตอยูในสังคมอยางมีความสุขตามแนวพุทธจริยศาสตรทิศท้ัง๖ ผูศึกษามุงท่ีจะศึกษาความเปนมาของพุทธจริยศาสตรทิศทั้ง ๖ ตามที่ปรากฏในพระสุตตันตปฎกการศึกษาหลักการดําเนินชีวิตอยูในสังคมอยางมีความสุขตามแนวพุทธจริยศาสตรทิศทั้ง ๖ ท่ีพระสัมมาสมั พทุ ธเจาไดต รัสเทศนาไวในสิงคาลกสตู รวา ดูกอนบุตรของคฤหบดี ในวินัยของพระอริยเจาไมไหวทิศทั้ง ๖ อยางนี้ สิงคาลมานพจึงกราบทูลวา ขาแตพระผูมีพระภาคเจา ในพระวินัยของพระอริยเจา ไหวทศิ ทัง้ ๖ อยางไร พระผมู ีพระภาคเจาทรงแสดงแกข าพระองคด ว ยเถิด พระเจา ขา ดูกอนบุตรคฤหบดี เพราะเหตุท่ีอริยสาวกไดละกรรมกิเลส ๔ ไมทําบาปดวย ฐานะ ๔ ไมประพฤติทางเสอ่ื มแหงโภคะ ๖ ประการ ปราศจากบาป ๑๔ ประการ อยางน้ีแลวก็ปกปดทิศทั้ง ๖ เสีย ปฏิบัติเพ่ือใหไดชัยชนะในโลกท้ัง ๒ ละโลกนี้ ไปสูโลกหนาแลว ก็ไดขึ้นไปเกิดในสุคติโลกสวรรค กรรมกิเลส ๔ ท่ีอริยสาวกละ แลวนนั้ ไดแ กปาณาติบาต ๑ อทนิ นาทาน ๑ กาเมสมุ จิ ฉาจาร ๑ มสุ าวาท ๑ ดังน๑้ี ครั้งหน่ึง สมเด็จพระผูมีพระภาคเจาประทับอยูท่ีพระเวฬุวัน ใกลกรุงราชคฤห ในคร้ังนั้น มีบุตรคฤหบดีคนหน่ึง ซ่ึงมีช่ือวาสิงคาลมานพ ต่ืนขึ้นแตเชาตรูแลวออกจากกรุงราชคฤหไป มีผาอันชุม มีผมอันชุม ประนมมือนอบนอมทิศท้ังหลายอยู คือนอบนอมทิศบูรพา ทิศทักษิณ ทิศปจฉิมทิศอุดร ทิศเบื้องตํ่า ทิศเบ้ืองบน อยูโดยลําพังคนเดียว สมเด็จพระผูมีพระภาคเจาไดเสด็จออกบิณฑบาตท่ีกรุงราชคฤห ทรงทอดพระเนตรเห็นสิงคาลมานพบุตรของคฤหบดี จึงตรัสถามวา“ดกู อ นบุตรของคฤหบดี เธอทําอะไรอยู สิงคาลมานพตอบวา ขาแตพระผูมีพระภาคเจา เม่ือบิดาของขาพระองคจะกระทํากาลกิริยาไดบอกไววา ลูกเอย เจาตองไหวทิศทั้งหลายนะ เมื่อขาพระองคจะสักการะเคารพนับถือบูชาซึ่งถอยคําของบิดา จึงต่ืนแตเชาออกจากกรุงราชคฤห มีผาอันชุม มีผมอันชมุ นอบนอ มทิศบูรพา ทิศทักษณิ ทิศปจ ฉิม ทศิ อุดร ทศิ เบือ้ งตํา่ ทศิ เบ้อื งบน”๒ ๑ที. ปา. ๑๑ / ๑๗๔ / ๗๘. ๒ที. ปา. ๑๑ / ๑๗๔ / ๗๙.
๒๙ ซึ่งในคร้ังน้ันบิดาของสิงคาลมานพเปนคฤหบดีมีทรัพยมาก ฝงไวถึง ๔๐ โกฏิ เปนอบุ าสกโสดาบันในพระพุทธศาสนา สว นมารดาน้นั กเ็ ปนโสดาบนั เหมือนกนั แตสิงคาลกมานพเปนคนไมมีความเล่ือมใสศรัทธา มารดาบิดาไดวากลาวสั่งสอนอยูเน่ืองๆ ใหไปหาพระอริยสาวก มีพระมหาโมคคัลาน พระมหากสั สป พระอสีติ เปน ตน สิงคาลมานพก็ตอบวา ขาพระเจาไมตองการที่จะไปหาพวกสมณะของบิดามารดา เพราะเมื่อไปหาสมณะตองไหว เม่ือกมตัวลงไหวก็ปวดหลัง คุกเขาลงก็เจ็บเขา แลวตองน่ังกับพื้น เม่ือนั่งกับพ้ืน ผาก็หมนหมอง เม่ือเขาไปนั่งสนทนากับทานจนเกิดความคุนเคยกันขึ้นแลว ก็ตองถวายจีวรบณิ ฑบาตแกท าน เปน ตน เมื่อเปนเชนน้ันก็เสียประโยชน เพราะฉะนั้น จึงไมอยากไปหาสมณะทั้งหลายของบิดามารดา ถึงแมวามารดาบิดาจะวากลาวสั่งสอนอยูจนตลอดชีวิตก็ดี ก็ไมอาจทําใหบุตรเขาในศาสนาไดในเวลาที่บิดามารดาของเขาจะตายจึงคิดวาควรจะใหโอวาทแกบุตรเมื่อคิดแลวจึงใหโอวาทสิงคาลมานพวา เจา จงนอบนอมทศิ ทง้ั หลายดงั น้ี เม่ือบุตรของเราไมรูจักความมุงหมายแหงคําสอนอันน้ีก็นอบนอมทิศท้ังหลาย พระศาสดาหรือพระสาวกทั้งหลายก็จะไปพบเขา ก็จะไดไตถาม เขาก็จะตอบวา บิดาของขาพระเจาไดสอนใหขาพระเจานอบนอมทิศท้ังหลาย ฝายพระบรมศาสดาหรือพระสาวกท้ังหลาย ก็จักกลาววา บิดาของเธอไมประสงคใหน อบนอมทิศเหลาน้ี ประสงคให นอบนอมทศิ เหลานี้ตางหาก ดังนี้ แลวทานก็จะแสดงธรรมใหฟง เม่ือเขารูจักคุณพระศาสนาแลวก็จัก ทําบุญกุศลตอไป เม่ือบิดาของสิงคาลมาณพนั้นคิดอยางน้ีแลว จึงไดส่ังสิงคาลมาณพ ใหตื่นแตเชาไหวทิศทั้งหลายใหได ซ่ึงธรรมดาถอยคําของบิดามารดาผูจักใกลตาย ยอมเปนท่ีระลึกถึงของบุตรตลอดชีวิต เพราะฉะน้ัน เมื่อสิงคาลมานพระลึกถึงถอยของบดิ า จึงออกไปไหวท ิศท้งั หลาย ภายนอกกรงุ ราชคฤหแตเ ชา ตามทไ่ี ดก ลาวมา สมเด็จพระผูมีพระภาคเจา ไดทอดพระเนตรเห็นสิงคาลมาณพไหวทิศทั้งหลายอยู ในเวลาเสดจ็ ออกไปบิณฑบาตนัน้ เปนอนั แสดงใหเหน็ วาพระองคไปพบเขาในระหวางทางเทา นนั้ แตความจรงิ แลว พระองคไดทรงเห็นแตใ นเวลาจวนสวา งวนั นั้น เม่ือพระองคตรวจดูโลกในเวลาจวนสวางวันน้ัน ก็ไดทอดพระเนตรเห็นแลว จึงทรงพระดํารวิ า วันนี้เราจะไดแสดงสิงคาลกสูตร อันเปน วนิ ยั ของคฤหัสถ แกส งิ คาลมาณพ ผูเปนบุตรคฤหบดีการแสดงจะมีผลแกมหาชนอันมากน้ันสมเด็จพระผูมีพระภาคเจา จึงไดเสด็จออกจากพระเวฬุวันแตเชา แลวเสด็จเขาไปสูกรุงราชคฤหเพ่ือทรงบิณฑบาต แตเมื่อจะเสด็จเขาสูกรุงราชคฤหน้ันก็ไดทอดพระเนตรเห็นสงิ คาลมาณพกาํ ลังไหวท ศิ ทั้ง ๖ อยู เปนตน
๓๐๒. ความหมาย และสาระสาํ คญั พทุ ธจริยศาสตรในทศิ ๖ ๒.๑ ความหมายของพุทธจรยิ ศาสตรใ นทศิ ๖ ในการศึกษาความหมายของพุทธจริยศาสตรในทิศ ๖ ในลักษณะท่ีเปนการประพฤติปฏิบัติสวนบุคคล ในเม่ือทุกคนมีความประพฤติและมีการปฏิบัติตามทิศ ๖ อยางถูกตอง ก็กลายเปนจริยศาสตรข องพระพุทธศาสนา คอื “ทิศท้ัง ๖ ตามรูปศัพท หมายถึง ทิศทางประจําตัวของแตละคนอันวาพระพุทธองคทรงสอนวาตัวเราแตละคนมีบุคคลเกี่ยวของอยู ๖ จําพวก เปรียบเหมือน ๖ ทิศ ท่ีอยูรอบตวั เรา”๓ “พทุ ธิ แปลวา ความรู จริยศาสตร แปลวา ศาสตรท่ีตองประพฤติ” ๔ “ทิศท้ัง ๖ หมายถึงบคุ คลประเภทตา ง ๆ ที่เราตอ งเก่ยี วของสมั พันธทางสังคมดจุ ทศิ ที่อยูรอบตัวเรา”๕ ดังน้ันพุทธจริยศาสตรในทิศ ๖ หมายถึง หลักคําส่ังสอนของพระพุทธศาสนาที่วาดวยความประพฤติ หลักเกณฑแหงความประพฤติ วาอะไรถูกควรปฏิบัติ อะไรผิดไมควรปฏิบัติตอทิศท้ัง๖ อนั เปรียบเสมือนบคุ คลตา ง ๆ ทอี่ ยรู อบตวั เรา ๒.๒ สาระสาํ คัญของพทุ ธจริยศาสตรใ นทศิ ๖ ๑) การดาํ เนนิ ชีวติ ตามหลักพทุ ธจริยศาสตรในปุรตั ถิมทศิ “ปุรัตถิมทิศ หรือ ทิศเบ้ืองหนา คือ มารดา บิดา มารดาบิดา เปนผูมีอุปการะแกเรามากอนจึงไดช ื่อวาทิศเบ้อื งหนา หรือทิศบูรพา” ๖ ทิศเบื้องหนา มีคําที่ควรขยาย ๒ คาํ คือ คาํ วา บิดามารดา และคําวา อปุ การคุณ คําวามารดาน้ัน ไดแกหญิงท่ีทําใหเกิดบุตร คําวาบิดานั้นไดแกชายท่ีทําใหเกิดบุตร เม่ือแปลตาม ธาตุแลว คําวามารดามาจากศัพทวา มานะ กับ ปา มานะน้ันแปลวา นับ ลง ราตุ ปจจัย ลบตัว ร เสีย เหลือไวแต อาตุลบ นะ ท่ีมานะนั้นเสียแลวประสมกันเขา จึงเปนคําวา มาตุ เมื่อเปนมาตุแลวจึงแปลงเปน มาตา เม่ือเปน มาตาแลวจึงแปลงเปน มารดา มีวิเคราะหวา ปุตฺตํ มาเนตีติ มาตา แปลวา หญิงใดนับซ่ึงบุตร หญิงนั้นเรียกวา มารดา อธิบายวา มารดาน้ันยอมนับเสมอวา เรามีบุตร ๑ คน, ๒ คน, ๓ คน ดังนี้เปนตนการที่จะนับอยางนั้น ก็เพราะความดีใจวา บัดนี้เราไดบุตร ๑ คนแลว ๒ คนแลว ๓ คนแลว ดังน้ีเปนตน . คําวา ปา น้ันแปลวาใหดื่ม แปลง ปา เปน มา แลวลง ตุ ปจจัย จึงจะเปนมาตุ แลวแปลงเปน มาตา ๓พระธรรมปฎก ( ป.อ. ปยุตโต ), พจนานุกรมฉบับประมวลธรรม, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วัดมหาธาต,ุ ๒๕๔๓), หนา ๒๒๔. ๔พุทธทาสภิกขุ, เยาวชนกับศีลธรรม, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพการพิมพพระนคร, ๒๕๒๓),หนา ๑๔๐. ๕พระธรรมปฎ ก, พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ฉบบั ประมวลธรรม, อางแลว, หนา ๒๒๔. ๖ท.ี ปา. ๑๑ / ๑๙๙ / ๘๘.
๓๑ซึ่งเราเรียกวา มารดา มีวิเคราะหวา ปาเย ตีติ มาตา แปลวา หญิงใดใหด่ืมนม หญิงน้ันเรียกวา มารดารวมเนอื้ ความวา คาํ วา มารดาน้ัน แปลได ๒ อยา ง คือ แปลวา ผนู ับ และผูใหด ม่ื นม เปน ตน คาํ วา บดิ า น้นั มรี ากเงา ของศัพทวา ปา และ ปาติ คําวา ปา นั้นแปลวา รักษา คําวา ปาติ นั้นแปลวา รักใคร เม่ือลง ริต ปจจัย ก็เปน ปาต เมื่อแปลง ปา เปน ป ก็เปน ปตุ เม่ือแปลงอุ เปนอา ก็เปนปตา มีวิเคราะหวา สพฺพโลกํ ปาติ รกฺขตีติ ปตา แปลวา บุรุษใดรักษาคุมครองโลกทั้งปวง บุรุษนั้นเรียกวา บิดา ดังน้ี, ปุตฺตํ ปาติ รกฺขตีติ ปตา แปลวา บุรุษใดรักษาคุมครองบุตร บุรุษนั้นเรียกวา บิดาดังนี้ ปุตฺตํ ปปายตีติ ปตา แปลวา บุรุษใดรักใครบุตร บุรุษน้ันเรียกวา บิดา ดังนี้ รวมใจความวา คําวาบิดาน้ัน แปลได ๓ อยาง คือ ๑. ผรู กั ษาโรคทั้งปวง ๒. ผูรักษาบตุ ร และ ๓. ผรู ักใครบุตร ๗ ดังนี้ เปนตน การที่ทา นจัดบิดามารดามาไวเบ้ืองหนานี้ ก็โดยที่บิดามารดาเปนผูตกแตง คือใหกําเนิดและบํารุงเลี้ยงพิทักษรักษามากอน หรือจะสมมุติเอาวาเปนเจาของ แหงชีวิตของบุตร เสียท่ีเดียวก็ นาฟงดวยเหตุวานับจําเดิมแตแรกตั้งครรภ และตอมาทุกระยะของวัยที่บุตรยังไมรูจักรักษาตัวไดเองตราบใด ก็แปลวาชีวิตยังตกอยูในความคุมครองของมารดาบิดาตราบนั้น ถาพูดถึงการรบกวนของทารกแลว แมมารดาบิดาไมถึงพรอมดวยพรหมวิหาร ก็นาจะทนความลําบากตรากตรําตอการบริบาลบุตรตลอดไปไมได ดวยงานเหลาน้ีเปนภาระอันหนัก หนักทั้งแรงท้ังใจ กระทําใหรูสึกอิดหนาระอาใจมิใชนอยเวลาถูกบุตรรบกวนมากเขา ก็กระทําใหจิตใจงุนงานแทบจะฝนไวไมไหว ในเมื่อมีธุระจําเปนอยางอ่ืนพันพัวอยู อาจถึงละเมิดศีลธรรมกระทําการประหัดประหารไดทีเดียว หากดวยจิตเมตตาปราณีเปนกําลังตานทานอยู จึงบันดาลใหส่ิงที่รายกลายเปนดี เครื่องประหารทั้งปวงก็จะกลายเปนขนมนมเนยไปหมด รวมความวา การมงุ รา ยหมายโทษอันทารณุ ดังกลาวนี้ โดยปรกติมนุษยหาไดม ใี นนิสัยของผเู ปน มารดาบดิ าไมแมแตนอย การประคับประคองทํานุถนอม เพื่อความสุขแกบุตรซึ่งเปนกิจท่ีมารดาจักพึงปฏิบัติ ก็ไดเริ่มปฏิบัติมาแตเมื่อรูสึกวาตนต้ังครรภมาทีเดียว เชน ๑. อาหารก็ดี หรือยาบําบัดโรคก็ดี แมระแวงวาจะเปน ปฎิปก ขแ กบุตรในครรภแลว โดยจะมคี วามใครในรสอาหาร หรือไดทุกขทรมานดวยโรคภัย ก็พยายามอดออม ไมยอมบริโภคสิ่งเหลานั้นเปนอันขาด ๒. กิริยาเคลื่อนไหวท่ีเคยไดรับความสุขแตกอน ก็กลับสํารวมระวังมิใหกระทบกระเทือน ดวยเกรงจะเปนอันตรายแกบุตร ย่ิงครรภแก ความ ๗ที. ปา. ๑๑ / ๑๙๙ - ๒๐๓ / ๘๙.
๓๒ลําบากอลักอเลื่อในเร่ืองบริหาร ก็ย่ิงทวีขึ้นลําดับ ( เรียกกันวาอุมทอง ) ตองทรมานไปจนกวาจักถึงเวลาคลอด กําหนดในราว ๙ เดือน ๑๐ เดือน ตอนคลอดนั้นเปนตอนเขาดายเขาเข็มท่ีมารดาจะตองไดร บั ทุกขเวทนา ดว ยความเจบ็ ปวดอันรายแรงเหลอื ท่ีจะทนทาน บางคนตองถึงเสี่ยงโชคไมนอยคร้ังจิตใจของมารดาเวลานน้ั กลาวกันวา เทากบั เขาประจันบานดว ยขา ศึกซึง่ มีกําลังอานภุ าพอันใหญหลวงหากเพลยี่ งพลําลงก็ถงึ แกชีวติ พินาศทเี ดียว แมเ ปนโชคดีรอดพนอันตรายจากตอนน้ีไปไดแลวก็ดี แตจะวางใจเสียทีเดียววา จักไมมีอันตรายอยางอ่ืนเขาแทรกแซงอีกหาไดไม คงยังตองระวังรักษาตัวอยูในการควบคุมของหมอไปจนกวาอาการจะเปน ปรกตจิ ึงจะนับวาพนอนั ตรายได ตอจากนัน้ ไป มารดาบิดาจักเขารับหนาท่ีบริหารบํารุงเลี้ยงดูไป จนกวาบุตรจะเติบโต สามารถรักษาตัวเองได ขนาดท่ีจักวางธุระไดจริง คงตองถึงระยะมเี หยาเรือนแยกครอบครัวออกไปเปน หลกั เปนแหลงแลว เพราะตอนน้ีมีหนาทบ่ี ังคับใหต องเรยี นรถู ึงการปกครองตนเอง และผูอ่นื อยูใ นตัว การบริหารเล้ียงดูเปนเรื่องจุกจิกมาก นับตั้งแตใหอาหาร ใหนอนเปนตน ถาไมมีคนสํารองทาํ แทนแลว กจ็ ักตองเจียดเวลาทํางานของตนมาทําใหกับบุตร ที่สุดเวลารับประทานอาหารอยู เม่ือไดยนิ เสยี งบตุ รรองกก็ ระทําใหใจพะวักพะวนจะทนฟงตอไปอีกก็หาไดไม จําตองมาปฏิบัติใหบุตรกอนแลว จึงจักทําธุระอยางอื่นของตนตอไปได หมดความผาสุขเสียทุกอยางทีเดียว ที่อดทนตอความลําบากเหน็ดเหนื่อยอยูได ก็ดวยความเสนหารักใครในบุตรตานทานอยู ส่ิงใดอันจะบันดาลใหบุตรมีความสุขได ถา ไมเหลอื ความสมารถแลว เปนตองกระทํา หนาที่บุรพาจารยน้ัน ไดลงมือสอนกันตั้งแตบุตรเริ่มออกสําเนียงอักษร อ. ไดมาทีเดียว ตอมาไดสอนใหรูจักบริโภคอาหาร รูจักคลาน, ยืน, เดินเปนลําดับ ตลอดจนรูจักการรักษาตัว เชน รูวาไปใกลบันไดจะตก เลนมีดจะบาดมือ อมไมจะตําคอเปน ตน ในระหวางท่ีบุตรกําลังคะนอง จะตองปองกันอันตรายท้ังทั้งภายในและภายนอก เพิ่มวิธีสอนใหรูจักผิดและชอบ ไมใหเที่ยวซุกซนซอกแทรกเลนในสิ่งท่ีใกลอันตราย หรือใกลตอส่ิงอันจักนําไปสูความหายนะ และความไมสุภาพ เชนปนตนไมถาตกลงมา แมจะไมถึงแกชีวิตเปนอันตรายก็คงแขงขาหัก ไปใกลบอนาํ้ จะตกบอ ว่ิงกลางถนนรถจะทบั ไฟหรอื สิ่งทเี่ ปน ของรอ นของระเบดิ ได ถาไปเลนมันเขา จะเปนอันตรายเพราะวัตถุน้ัน ๆ อันตรายเหลานี้ลวนแตเกี่ยวแกชีวิตทั้งน้ัน และยังมีอันตรายอื่น ๆ อีก เปนเอนกประการ ตลอดถึงโรคภัยไขเจ็บ บางอยางก็ปองกันไดบาง เชน เที่ยวตากแดดตรําฝนจักทําใหเปนไขเปนหวัด กินอาหารพร่ําเพรื่อไมเปนเวลาจะทําใหทองเสีย เหลานี้ มารดาบิดาตองคอยตักเตือนใหรูจักระวังปองกันตัว ประหนึ่งวารางกายของบุตร เปนแมเหล็กคอยดูดดึงเอาดวงตาของบิดามารดาใหไปจดจออยูที่ตนไดเสมอ ไมวาจะเขย้ือนไปทางไหน ลําดับตอไปก็สอนใหรูจักประพฤติกิริยาวาจาสุภาพออนโยน มีสัมมาคารวะเคารพนบนอบตอผูใหญ รูจักบาปบุญคุณและโทษ
๓๓ แตนี้จักพูดถึงเร่ืองทรัพย อันจักจายเพิ่มขึ้นจากจํานวนที่เคยจายอยูเดิมอีกมาก ถาบุตรเปนคนข้ีโรค และมารดาบิดาหาไดนอยดวยแลว ก็ถึงแกเดือดรอนเอาทีเดียว จึงเปนขอที่นาคิดอยูบางเพราะจักตองกระเทือนถึงการขวานขวายหาทรัพย เพ่ือมาจับจายจิปาถะในเรื่องบริหาและบํารุงความสุขใหแกบุตร มีเครื่องปองกันอันตรายและอุปกรณตาง ๆ เชน คาหมอ, คายา, คาอาหาร,เคร่อื งนุงหม และเครอ่ื งเลาเรียน ท่ีสุดจนคาเคร่ืองเลน กวาบุตรจะโตขึ้นก็มิใชนอย เคร่ืองเลนสามารถกระทาํ ใหเ ด็กฉลาดไดในทางความรรู อบตัว และทําใหใจคอเบิกบานเพลิดเพลินไมรบกวน หรือเที่ยวซุกซนใหผูใหญตองเปนหวง การท่ีมารดาบิดามิไดรูสึกอิดหนาระอาใจ หรือเสียดายทรัพยที่สน้ิ เปลอื งไปในเรอื่ งบรบิ าลบุตรธดิ าท้งั น้ี ก็โดยเหตุเพลิดเพลนิ ไปในวัยของบุตร คอยต้ังตาดูอยูตั้งแตนอ ยจนใหญว า เวลาน้ีบตุ รของเราควํ่าไดแลว , เวลาน้นี ่งั ไดแ ลว, คลานไดแ ลว , ยนื ไดแ ลว , เดนิ ไดแ ลวและพดู ไดแลว, ตอ ไปก็จะมงุ แตจ ะฝก ใหบ ตุ รเปน คนดีมคี วามเฉลียวฉลาดเปนลําดับ ดวยความเมตตาปราณีไมม ีความรงั เกียจ และมไิ ดประสงคสิ่งตอบแทนแตอยางใดเลย พระคุณอันนี้ยอมซึมซาบอยูในความรสู กึ ของบุตรธิดาอยา งลึกซึ้ง เด็กทุกคนเชื่อวา ในโลกมีบิดามารดาเทาน้ัน ที่เปนผูสามารถปองกันอันตรายใหแกตนไดทุกสถาน จกั สงั เกตไดใ นเวลาตกใจ เชนเมอ่ื ไดย ินเสยี งฟารอง ก็เกดิ ความสะดุงกลัว จนหนา ซีดตัวสั่นสงเสียงรองคับบาน ทันใดน้ันเองเมื่อโผเขาสูแทบทรวงอกของมารดาได ซํ้าไดรับการเลาโลมประคับประคองของทานอีกดว ย กห็ มดความเกรงกลวั ในสง่ิ ใด ๆ เสยี สน้ิ ความกรุณาท่ีแทจริงของทาน แมบุตรจะไดกระทําการหยาบชาทารุณใหไดรับความเดอื ดรอ นสกั เพียงใด กม็ ไิ ดคิดจะทดแทนใหเ กนิ ไปกวาเหตุ ทานจงึ กลา ววามารดาบดิ าเปน พรหม เปนพรุ พเทวดา เปน บรุ พาจารยข องบตุ ร และเปน ผคู วรที่บตุ รจกั พงึ บูชา ทีว่ าเปนพรหม ก็เพราะมาดาบดิ ามีพรหมวิหารทั้ง ๔ ในบุตร คือ เมตตา ปรารภถึงบุตรในครรภวา เม่ือไรจะไดเห็นบุตรซ่ึงหาโรคมิไดหนอ ดังนี้ กรุณา เม่ือบุตรยังออนอยู เหลือบยุงเปนตนกัด, นอนหลับยาก หรือ รองไห ความสงสารก็เกิดขึ้นแกบิดามารดา ดังน้ี มุทิตา เมื่อเห็นบุตรวิ่งเลนไปมาได หรือเม่ือต้ังอยูในวัยอันงาม ก็ยอมมจี ติ เบิกบาน ดังน้ี อุเบกขา เม่ือบตุ ร มีภรรยา อยูครอบครองเหยา เรอื นตางหากแลวความวางเฉยก็ยอมมีแกมารดาบิดา ดวยเหตุที่บุตรสามารถต้ังตนได ดังน้ี พรหมวิหารท้ัง ๔ น้ีพรหมยึดถือเปนความประพฤติ จึงไดช อ่ื วา เปนพรหมวหิ าร วิสุทธิเทวดา ไดแกพระขีณาสพ ซ่ึงหวังแตความบังเกิดประโยชนเก้ือกูลแกชนทั้งหลายสวนเดียว ไมถือความผิดที่คนพาลทําฉันใด มารดาบิดาก็ปฏิบัติเก้ือกูลแกบุตรของตนฉันนั้น ฉะน้ันมารดาบิดาจึงถือวาเปนบุรพเทวดานั้น ไดความวาเทวดากอน เพราะเปนผูมีอุปการะกอนเทวดาเหลาอ่ืน ท้ังเปนบุรพาจารยสั่งสอนบุตรมากอนอาจารยอื่น ๆ ดังนัยท่ีกลาวแลว มารดาบิดาจึงควรเปน ผูควรแกวัตถุ มีขาวนํ้าผานุงผาหมเปนตน ท่ีบุตรพึงนํามาใหมารดาบิดาเปนผูถึงพรอมดวยคุณธรรม
๓๔ดังกลาวแลว จงึ มีฐานประจําในทิศเบอ้ื งหนา ดวยประการฉะนี้ “เม่ือบุตรธิดาสํานึกในคุณูปการของทาน ท่ีไดกระทําใหแกตนมาในกาลกอนแลว ก็ควรบําเพ็ญกิจสนองคณุ ของทา นตามขอไขในทศิ เบอ้ื งหนา” ๘ ดงั น้ี ทศิ เบอื้ งหนา มารดาบิดา บตุ รพึงบาํ รุงดว ยสถาน ๕ คอื ๑. ทานเล้ียงมาแลว เลี้ยงทานตอบ ๒. ทาํ กิจของทา น ๓. ดํารงวงสกุล ๔. ประพฤติตนใหเ ปนคนควรรับทรัพยมรดก ๕. เมอื่ ทา นลวงลบั ไปแลว ทาํ บญุ อุทิศใหทาน๙ ขอท่ี ๑ ทานเลี้ยงมาแลว เล้ียงทานตอบนั้นหมายถึง ใหหม่ันเอาใจใสดูแลความเปนอยูทานเนอื ง ๆ วา จกั มีการขัดขาดอยา งไรบาง เปนตน วาหมดความสามารถในอนั จะหาเลยี้ งชีพใหเ พียงพอ ก็ตองเขาชวยเหลือประคับประคองเลี้ยงดูพรอมดวยเครื่องอุปโภคท้ังปวง ทํานุบํารุงใหทานมีความสุขกายสบายจติ ดว ยน้าํ ใจอนั ผองใสช ื่นบาน เปนตน ขอท่ี ๒ ทํากิจของทาน หมายถึง งานใด ๆ ที่ทานมอบหมายใหทํา ก็ควรยินดีกระวีกระวาดทํากิจนั้น ๆ ใหสําเร็จลุลวงไปดวยดี การงานทุกอยางที่สามารถชวยไดแลว แมทานจะมิไดใชใหทําบุตรท่ีดีก็ควรถือเอาเปนธุระจัดทําเสียเอง ไมตองใหทานตองออกปากใช แมทาน เจ็บไขไดปวย ทุพลภาพ บตุ รธดิ าตองเฝา พทิ ักษดแู ลรักษากตญั ูรูค ณุ ทา นเปนตน ขอท่ี ๓ ดํารงวงสกุล หมายถึง บุตรจะตองรูจักปกครองตนเอง ปกครองญาติผูเยาว ตลอดถึงทรัพยสมบัติ และจัดระเบียบการงานทั้งปวงกระทําการโอบออมอารีเมตตากรุณาเผ่ือแผ แกญาติพ่ีนอ งท้ังหลายท่ัวหนากระทง้ั คนใช หรือผูท ่ที า นเคยกรณุ ารักใครมาแตก อน ใหไดร บั ความเอ้อื งเฟอ เจอืจานเหมือนเมื่อทานยังมชี ีวิตอยู กระทาํ ตนใหเปน คนท่ีนา รักใครนับถอื ทง้ั ผใู หญ และผนู อย ขอที่ ๔ ประพฤติตนเปนคนควรรับทรัพยมรดก นั้น ไดแกฝกนิสัย ใหเปนคนมีความรอบคอบรูจักได รูจักเสีย สิ่งใดจักเปนหนทางนําไปสูความสุขความเจริญ ส่ิงใดเปนเคร่ืองถวงความเจริญ หรือซ้ําจกั นาํ ไปสูความวบิ ัติดวยแลว ก็ตองพยายามปองกันอยา ใหเขามาแฝงตัวอยไู ด ขอ ที่ ๕ เมอื่ ทานลวงลบั ไปแลว ทาํ บญุ อทุ ิศใหทา น ดังน้ี ความประสงคก็เพอื่ ตักเตือนมิให ๘พระยาศรีราชอักษร ( มา กาญจนาคม ), อธิบายคิหิปฏิบัติ (ทิศวิภาค), พิมพครั้งที่ ๖,(พระนคร : โรงพิมพมหามกฎุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๐๙), หนา ๒- ๘ ๙พิทูร มลิวัลย, แบบเรียนวิชาธรรมสําหรับนักธรรมและธรรมศึกษาชั้นตรี, พิมพคร้ังท่ี ๓,(กรงุ เทพฯ : โรงพิมพการศาสนา, ๒๕๔๐), หนา ๖๑.
๓๕ละเลยอันจกั ตามกระทําปฏิการ เปนสวนทักษิณานุปทาน แมในวาระเมื่อทานลวงลับไปแลว บุญที่จะพึงประกอบก็มีทานบริจาคแกผูควรไดรับ เชน ภิกษุสามเณร และผูมีศีลตลอดถึงคนอนาถาชราพิการและการสรางสาธารณสถาน มีโรงเรยี น โรงพยาบาล สะพาน ถนน เปนตน สกุลอนั ม่งั คั่งจักตั้งอยูนานไมไ ดเ พราะสถาน ๔ ไดแ ก ๑. ไมแสวงหาพัสดุท่หี ายไป (นฏฐ ํ น คเวเสนตฺ ิ) ๒. ไมบ ูรณะพัสดทุ ค่ี ราํ่ ครา (ชิณณฺ ํ น ปฏสิ ํขโรนฺต)ุ ๓.ไมร ูจักประมาณในการบริโภคสมบตั ิ (อปรมิ ิตโภชนา) ๔. ตั้งสตรีหรือบุรุษทุศีลใหเปนแมเรือนพอเรือน (ทุสฺสีลํ อิตฺถึ วา ปุริสํ วา อธิปจฺเจฐเปนตฺ )ิ ๑๐ ๑. การไมแสวงหาพัสดุที่หายไปแลว คือ การสอใหเห็นความไมนําพาในส่ิงที่ตนจะตองอาศัยใชสอยดังน้ี เปนหนทางอันจักนําความเสื่อมมาให จึงควรหมั่นระวังตรวจตราสิ่งของทั้งปวงท่ีมีอยู ใหคงจํานวนไวเสมอ ของที่อยูไกลตาก็ควรทําเครื่องหมายไวใหแลเห็นไดงาย เชนที่ดินไมมีรั้วรอบขอบชดิ กต็ อ งรกั ษาหลักเขตของเจาหนาท่ีไว อยาใหหายไปเสีย แมของเล็ก ๆ นอย ๆ รวมกันเขาก็เปนราคามากได จงึ ไมควรละเลยปลอ ยใหอันตรธานหายไป โดยมไิ ดสบื สวนคนหารองรอยในอันที่จะเอากับคืนมา มิฉะนั้นของนั้นก็จะหายอยูร่ําไปไมรูจบ ยิ่งหายเพราะโจรลักเอาไปดวยแลว ก็ยิ่งนาเอาใจใสใหม ากข้นึ อยางนอ ยก็ควรทราบเคาเงอ่ื นไว สําหรับปอ งกนั ไมใหก ับมาลักไดอีก การเลินเลอเปนลกั ษณะย่วั ผรู ายใหกําเรบิ ๒. ไมบูรณะพัสดทุ ีค่ รํ่าครา นน้ั ก็เปนเครื่องพิสูจนความไมเอาใจใส ในทรัพยสมบัติของคนเชนน้ัน จะเปนพัสดุชนิดใดก็ตาม เม่ือมีการชํารุดหักพังก็ตองรีบซอมแซมแกไข ใหกับคืนดีอยางเดิมแมจะไมเทาเดิมทีเดียว เพียงแตใหทนไปไดอีกนานหนอยก็ยังดีกวาปลอยใหทรุดโทรมไป โดยมิไดเหลียวแลเสียทีเดียว การปลอยใหของชํารุดมากก็ตองเปลืองคาซอมมากเปนธรรมดา ย่ิงปลอยไวจนแกไมไหว คร้ันเมื่อมีสิ่งจําเปนมาบังคับใหตองใชสิ่งน้ัน ก็จะตองสรางตองทําขึ้นใหม เปนการเพ่ิมความเปลืองขึน้ อกี หลายเทา ถาเปน คนไมสมู ฐี านะบริบูรณดว ยแลว กค็ งไมพนความ เดอื ดรอน ๓. ไมรูจักประมาณในการบริโภคสมบัตินั้น แปลออกอีกทีก็ไดแกการใชทรัพยไมเปนน่ันเอง จักประกอบการงานก็ลวนแตไมเปนประโยชนแกนสาร สิ่งที่เปนปะโยชนก็ไมคิดทํา สวนการใชฟุมเฟอยจนเกินจํานวนทรัพยที่หาได ไมมีกําหนดกฎเกณฑใหพอดี เชนสิ่งใดท่ีควรใชเพียงอยางกลางหรอื เลวหนอยกไ็ ด หากไมคิดท่จี ะประหยัดใหเหมาะแกก าร ไปเปลืองใชแ ตสิ่งที่ดีเสียหมด ๑๐วศิน อินทสระ, พระสุตตันตปฎกอังคุตตรนิกาย, พิมพครั้งท่ี ๒, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพมหามกฎุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๓), หนา ๓๒๐.
๓๖ทุกอยาง ก็ตองเปลืองมากเปนธรรมดา การจายเกินสวนจนเหลือใชเหลือสอย ของที่เหลือก็เปนจํานวนเสียเปลาอยูเสมอเชนนี้ แมจะเปนผูสามารถในทางการทรัพยไดคลองแคลวเพียงใด ก็คงไมพอใชอยนู ้ันเอง ในที่สุด เม่อื มีเรือ่ งตอ งใชทรพั ยเปนพเิ ศษขน้ึ เวลาใด ก็ตองวง่ิ เท่ียวกยู ืมเขาวุน ไป ๔. ต้ังสตรีหรือบุรุษทุศีลใหเปนแมเรือนพอเรือนนั้น คนทุศีลเปนคนไมกลัวบาป ส่ิงใดจักเปนประโยชนแกเขาแลว เขาก็ไมละเวนในอันจะทํา จะไดคิดถึงประโยชนผูอ่ืนนั้นนอยนัก เม่ือเขาไดรบั เลอื กเปนแมเรือนพอ เรือน ซง่ึ มหี นา ที่เก็บทรัพย ทรพั ยยอ มตกอยูใ นเงอื้ มมอื ของเขา แมเกิดโลภข้ึนเวลาใดก็เปนการงาย ในอันจะทําละเมิดตอหนาที่ของเขาไดทุกอยาง อยางนอยเพียงเกียดกันเอาคราวละเล็กละนอย หลายครั้งเขาก็หมดไปไดมาก ๆ ดังน้ัน “เมื่อจําจะตองมีคนสําหรับหนาท่ีเชนนี้แลว ก็ควรเลือกแตคนที่ประพฤติมั่นอยใู นศลี ในธรรมเปนท่วี างใจไดจริง ๆ จึงจะไมมีเหตุเสียหายไดดังที่กลาวน้ี เพราะผูมีศีลเปนคุณสมบัติอยูเชนนั้น ยอมรักษาศีลย่ิงกวาทรัพยใด ๆ ไหนเลยจะทําลายศลี เสยี งาย ๆ” ๑๑ หลกั ธรรมทเี่ ก่ยี วของกบั ทศิ เบ้อื งหนา บตุ รพงึ บาํ รุงบดิ ามารดา คอื มงคลสตู รขอ ที่ ๑๑ บุตรพงึ บํารงุ บดิ ามารดา “การบํารุงพอแม เราตองทําการบํารุงพอแม ทั้งในสมัยที่ทานยังมีชีวิตอยู ทั้งในสมัยที่ทานลวงลับไปแลว พึงทราบวา การบํารุงพอแมนั้นมีอยู ๒ วิธี คือการประกาศคุณของทาน กับการสนองคุณของทาน การบํารุงทั้งสองวิธีนี้มีจุดมุงหมายท่ีตางกัน การประกาศคุณทานอยูที่ตัวทานเอง แมเมื่อเราทาํ ดีใหท า น การทาํ ดีนน้ั กแ็ ผผลดีมาถงึ เรา” ๑๒ การประกาศคุณทานน้ัน มีจุดสําคัญอยูที่ความประพฤติของเรา และเราประกาศมาแตทานยงั มีชวี ติ อยู จนถงึ ทานลว งลับไปแลว เสียงดีหรอื ไมด ีจะประกาศออกทตี่ วั เรา คือเมื่อเราประพฤติตัวดีเปน ลูกชายดี ลกู หญงิ ดแี ลว ก็ประกาศเกียรติคุณของทาน ใหมีเสียงคนเขายกยองสืบสาวหาพอแม พากันนิยมชมเชยไปถึงทานวา ทานเล้ียงลูกดี ถาเราทําช่ัวชาเลวทราม ก็เปนการลบหลูดูหม่ินเหยียดหยามทาน และเปนการประจานทานใหมีเสียงตําหนิดาแชงไปถึงทานดวยวา เลี้ยงลูกไมดี เปนลูกท่ีพอ แมไมส ง่ั สอน ไมฝกฝนอบรมเสยี เลย สวนการสนองคุณทาน มีจุดสําคัญอยูท่ีเราปฏิบัติชอบในตัวทาน เมื่อเราบํารุงทานในเร่ืองการกินอยู ชวยเหลือในการเจ็บไขไดปวย และชวยงานในบานหรือนอกบานใหทานไดเบาใจมี ๑๑พระยาศรีราชอักษร(มา กาญจนาคม), อธิบายคิหิปฏิบัติ ทิศวิภาค, อางแลว, หนา ๑๑-๑๓. ๑๒สมเด็จพระมหาวีรวงศ (พิมพ ธมฺมธโร), มงคลยอดชีวิต, วัดพระศรีมหาธาตุ, (กรุงเทพฯ: โรงพมิ พช วนพิมพ, ๒๕๑๘), หนา ๒๒๑-๒๒๒.
๓๗ความสุขสําราญเหมือนเราไดความสุขสําราญอยางที่ทานไดเล้ียงดูมา ก็จะมีเสียงยกยองชมเชยมาถึงเราวา เปน ลกู ทีด่ ี ลกู ทรี่ จู กั คุณพอ คุณแม ถาเราทําตัวเปนพาลเกเร มีความประพฤติต่ําทราม ยกตนข้ึนขมขูดูหมิ่นทาน ก็จะมีเสียงดาแชงมาถึงเราวา ลูกเนรคุณ ลูกกากมนุษย มิใชตนมีความรูสึกเปนคนกบั เขาเลย พระคุณของพอแม “พระสัมมาสัมพุทธเจาตรัสอุปมาวา ถาบุตรจะพึงวางบิดามารดาไวบนบาท้ังสองของตนประคับประคองทานอยูบนบานั้น ปอนขาวปอนนํ้าและใหทานถายอุจจาระปสสาวะบนบาน้ันเสร็จแมบุตรจะมีอายุถึง ๑๐๐ ปและปรนนิบัติทานไปจนตลอดชีวิตก็ยังนับวาตอบแทนพระคุณทาน ไมหมด” ๑๓ ยังมีผูอุปมาไวอีกวา หากเราใชทองฟาแทนกระดาษ ยอดเขาพระสุเมรุแทนปากกา น้ําในมหาสมุทรแทนหมึก เขียนบรรยายคุณของพอแม จนทองฟาเต็มไปดวยอักษร ภูเขาสึกกรอนจนหมดนาํ ในมหาสมุทรเหือดแหง ก็ยังบรรยายคุณของพอแมไ มหมด พอแมเ ปน พรหมของลูก เพราะเหตุท่ีมีพรหมวหิ ารธรรม ๔ ประการ ไดแ ก ๑. มเี มตตา มคี วามปรารถนาดตี อลกู ไมมีที่สนิ้ สดุ ๒. มีกรุณา คอื หวน่ั ใจในความทกุ ขของลกู และคอยชว ยเหลอื เสมอไมทอดทิ้ง ๓. มมี ุทิตา คือเมอ่ื ลูกมีความสุขสบายกม็ คี วามปราบปล้ืมยินดีดวยอยางจรงิ ใจ ๔. มีอุเบกขา คือเมื่อลูกมีครอบครัวสามารถเล้ียงตนเองไดแลว ๑๔ ก็ไมวุนวายกับชีวิตครอบครัวลูก จนเกินงาม และหากลูกผิดพลาดก็ไมซํ้าเติม แตกลับคอยเปนท่ีปรึกษาให เม่ือลูกตอ งการ พอแมเปนเทวดาของลูก เพราะคอยปกปองคุมครองปองกันภัยเลี้ยงดูลูกมากอนผูมีความปรารถนาดกี อ นคนอ่ืน ๆ พอแมเปนครูคนแรกของลูก เพราะสั่งสอนอบรมทั้งคําพูดละกิริยามารยาทใหลกู กอ นคนอื่น ๆ พอแมเปน พระอรหันตของลูก เพราะมคี ุณธรรม ๔ ประการ ไดแก ๑. เปนผูอุปการะมากแกลูก ทานไดทําภารกิจอันทําไดแสนยาก ไดแก การอุปการะเลี้ยงดูซ่ึงยากท่จี ะหาคนอื่นทําแกเ ราไดอยา งทาน ๒. มีพระเดชพระคณุ มาก คอยปกปองอันตราย ใหค วามอบอุนแกลูกมากอ น ๓. เปน เนือ้ นาบุญของลูกมคี วามจรงิ ใจตอ ลกู อยา งแทจริงเปนผูท ่ีลูกควรทําบุญตอตวั ทาน ๑๓พระสมชาย ฐานวุฑโฒ, มงคลชวี ิตฉบบั ธรรมทายาท, (กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พฐานการพิมพ, ๒๕๔๒), หนา ๙๒. ๑๔ ที. ม. ๑๐ / ๑๘๔ / ๒๒๕
๓๘ ๔. เปน อาหุไนยบุคคล เปน ผคู วรรับของคาํ นับ และการนมสั การของลูก ๑๕ มงคลชวี ติ ขอ ท่ี ๒๕ ความกตญั ู ความเปนผูรูคุณที่คนอื่นทําแกตน ช่ือวา ความกตัญู และความกตัญูน้ี คือความดี ท่ีเปนพื้นฐานของคนดี พระพุทธเจารับส่ังวา บุพพการีบุคคลและกตัญูบุคคลทั้งสองน้ีเปนบุคคลหาไดยาก เพราะคนดีคูน้ีมิใชวาจะสถิตอยูทุกถ่ินสถาน กลดังดวงมณีมิใชจะมีอยูทุกจอมผา ดวงมุกดาอันนับวาคดชาง มิใชวาจะมีอยูทุกตัวชาง และจันทนหอมมิใชวาจะหาไดทุกไพรสณฑ คนรูปงามอยางเดียวยังหาไดยาก แมกระน้ันก็พอจะหาไดอยู คนมีความรูยิ่งหายากกวา สวนคนรูปงามและมีความรูประกอบกันในจํานวนพันจะนับใหถวนไดดวยน้ิวมือสิบนิ้ว แตจะบวกการอุปการกับความกตัญูเขาดวยกนั กย็ ากจะหาไดย ากกวา คนดีเปนประหนึ่งรมโพธ์ิในโลก ใหผูขามโลกอันแสนจะขามยาก ไดอาศัยเปนท่ีบรรเทาทุกข และเปนดังรมไทรในทะเลทรายที่ทุรกันดาร ใหผูขามไดอาศัยเปนที่พักรอนหยอนใจ “บรรดาคนในโลกน้ี ผูไมม งุ ทําดแี กใครกอน กับผูรบั อปุ การะจากใครแลว ไมสํานึกในอุปการะของผูมีคุณ ทําเปนลืมคุณทานเสีย คนดีถือวาเขาเปนคนละเมิดวิถีจรรยาของมนุษย ที่โลกสงบสุขอยูไดเพราะอาศัยคนดเี ปน สว นใหญ” ๑๖ คนดีมีความกตัญู และความกตเวทีเปนพ้ืนอัธยาศัย รูคุณของผูมีคุณและสํานึกในคุณน้ันวา เปนบุญคุณที่ตนตองสนองมีความเคารพนับถือจงรักภักดี ยกยองเชิดชูทานไวในฐานะผูมีคุณปรากฏแกคนอื่นวา ทานมีบุญคุณจริง ไมลบคือไมลืมบุญคุณทาน และไมหลูคือไมปดบังบุญคุณทานเสีย เปนคนมีชีวิตเก็บความดีไวหลอเล้ียงนําใจใหสดชื่น เหมือนจันทรหอมเก็บกล่ินหอมไวในแกนและมชี วี ติ เปนบอเกิดแหงความดี เหมอื นแมน้ําใหญเ ปนทร่ี วมอยูแ หง นํา้ พรอมท้ังสงความดีใหฟุงไปไกลดวยการสนองคุณ ดุจดอกลําดวนสงกลน่ิ หอมหวนในเวลาเย็น ๆ เชนนเ้ี รยี กวา ความกตัญู คนกตัญูเปนคนซ่ือสัตยจงรักภักดีตอผูมีคุณ เมื่อไดรับอุปการะจากผูใดแลวเปนไมลืมหนา ท่ีของตนที่ตองรูคุณ และสนองคุณดวยน้ําใจท่ีซ่ือสัตย และชักนําคนอื่นใหนิยมยินดีทําคุณความดีเชนน้ันดวย เขาไมรูจักอิ่มในคุณของผูมีคุณ เหมือนบัณฑิตไมรูจักอิ่มสุภาษิต ตาไมรูจักอิ่มในรูปที่ชอบ ทะเลหลวงไมรูจักอ่ิมนํ้า แตคนกตัญูท่ีเห็นแกตัวมีลับลมคมนัย จะแสดงกตัญูก็ตอเม่ืออยากใหท านปราณีตน หรือตนอยากไดใครดตี อ การตอบแทนในอนาคตอันใกล ซึ่งมีกลมายาลวงใจใหตายใจแอบแฝงอยูเบื้องหลัง เชนน้ี ก็อยูในฐานะคนอกตัญู ผูใดไมละท้ิงผูมีคุณ ในคราวถูกทาทาย ใน ๑๕พระธรรมกิตติวงศและคณะ, คลังธรรมเลม ๑, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพเล่ียงเชียง, ๒๕๔๖),หนา ๙๗. ๑๖สมเด็จพระมหาวรี วงศ (พิมพ ธมฺมธโร), มงคลยอดชีวติ , อางแลว, หนา ๔๔๒.
๓๙คราวไดท กุ ขรอ น ในคราวกนั ดารอาหาร ในคราวเขา รบกับศัตรู และติดตามไปถงึ ปาชา ผูน้ันเปนคนกตัญูแท คนกตัญูเขาไมเพียงแตรูคุณของผูมีคุณและสนองคุณเทาน้ัน ยังมีคุณธรรมอยางอ่ืนอีกดวย คือเปน ผูใหญกม็ คี วามกรณุ าปราณโี อบออ มอารี เผอ่ื แผแ กผนู อยทีท่ ําดแี กตน ยกยอ งเชิดชูไวใ นที่มีบุญคณุ แมสตั วแ ละสง่ิ ท่ไี มม ีวิญญาณ ซงึ่ ตนอาศยั ไดค วามสุขสาํ ราญ มารดาบดิ าไดบาํ รุงฉะนแ้ี ลว พึงอนเุ คราะหบ ุตรดวยสถาน ๕ คือ ๑. หามไมใ หทําความช่ัว ๒.ใหต้ังอยูในความดี ๓.ใหศ ึกษาศิลปวทิ ยา ๔. หาภรรยาทีส่ มควรให ๕. มอบทรัพยใหในสมยั ๑๗ ขอ ท่ี ๑ มารดาพงึ อนุเคราะหดวย หามไมใหทําความช่ัวน้ัน คําวา หามไมใหทําความชั่วน้ันไดแ กการชี้โทษในปจ จบุ ันและอนาคตแหง ความชว่ั ทั้งหลายใหบ ตุ รฟงอยูเ สมอ ๆ จนเปนที่ เขาใจแกบุตรธิดา เม่ือเห็นวาบุตรธิดายังไมเขาใจอยูตราบใด ก็ควรช้ีแจงใหเขาใจอยูตราบนั้น มีปาณาติบาตเปนตน แลวหามไมใหทําความชั่ว ติเตือนความชั่วท่ีบุตรทําแลวทุก ๆ คราวไปสุดแทแตวารูเห็นวาบุตรธิดาทําความช่ัวเมื่อใด ก็ใหติเตือนเม่ือนั้น เมื่อติเตือนแลวบุตรธิดายังขืนทําความชั่วน้ันอีก ก็ใหวากลาวส่ังสอน เมื่อวากลาวสั่งสอนแลวยังไมเชื่อฟง ก็ใหลงโทษตามสมควรแกความช่ัวน้ัน ถาไมลงโทษก็ไดเช่ือวาไมรักบุตรธิดา การท่ีเราเปนบิดามารดา ดุดาวากลาวเฆ่ียนตีบุตรธิดาน้ัน เปนการที่จะทําใหบุตรธิดาดีขึ้น ไมใชจะเปนการทําใหบุตรธิดาเลวลง เปรียบเหมือน ชางหมอ ฉะน้ัน คือธรรมดาท่ีชางหมอตีหมอน้ันไมใชประสงคจะตีหมอใหแตก แตประสงคจะตี ใหดีฉะน้ันนอกจากนั้นแลวมารดาบดิ าควรจะชเี้ หตแุ หงความฉบิ หาย ใหแ กบ ตุ รธิดา น้นั คือ อบายมขุ ๖ อบายมุข คือ เหตุแหงความฉบิ หาย ๖ อยาง ๑. ด่ืมน้าํ เมา ๒. เท่ียวกลางคนื ๓. เทย่ี วดูการเลน ๔. เลนการพนัน ๕. คบคนช่ัวเปน มิตร ๖. เกยี จครา นทาํ การงาน บิดามารดาควรช้เี หตแุ หงความฉิบหายใหแ กบุตร ๑๘ ไดแก ๑๗ท.ี ปา. ๑๑ / ๑๙๙ / ๘๘. ๑๘ที. ปา. ๑๑ / ๑๗๘ - ๑๘๕ / ๘๐ - ๘๓.
๔๐ ๑. ด่ืมนํ้าเมา ยอมกอใหเกิดการเสียทรัพย, ทําใหกอกรทะเลาะวิวาท, ทําใหเกิดโรค, ทําใหตอ งถกู ติเตอื น, ทาํ ใหเ ปนคนไมร จู ักอาย, และเปน การบั่นทอนกําลงั ปญญา เปน ตน ๒. เที่ยวกลางคืน ยอมไดชื่อวาไมรักตัว, ไดช่ือวาไมรักลูกเมีย, ไดชื่อวาไมรักษาทรัพยสมบตั ,ิ ยอมไดชอื่ วา เปน ทร่ี ะแวงของคนท้ังหลาย, มักถกู ใสความ, และไดร บั ความลาํ บากมาก ๓. เทย่ี วดูการเลน ยอมทาํ ใหเสยี การงาน, ทําใหเ สียทรัพย, และทําใหเสียสขุ ภาพเปน ตน ๔. เลนการพนัน มีโทษคือ เม่ือชนะยอมกอเวร, เม่ือแพยอมเสียดายทรัพยที่เสียไป, ทําใหฉิบหายทรัพย, ไมมีใครเชื่อถือ ถอยคํา, ไมมีใครประสงคจะแตงงานดวย และเปนท่ีหมิ่นประมาทของเพือ่ นเปนตน ๕. คบคนชั่วเปนมิตร มีโทษคือ นําใหเปนนักเลงพนัน, นําใหเปนนักเลงเจาชู, นําใหเปนนักเลงเหลา , และนําใหเ ปนคนโกงเขาซ่งึ หนา เปนตน และ ๖. เกียจครานทําการงานมีโทษ ๖ คือ มักอางวา หนาวนัก, รอนนัก, เวลานี้เย็นแลว, เวลานี้ยังเชาอยู, หิวนัก, และกระหายนักเปนตน แลวไมทําการงาน ดังน้ัน ผูหวังความเจริญดวยโภคทรัพยพึงเวนเหตุเครื่องฉิบหาย ๖ ประการนี้เสีย เพราะเปนเครื่องปดความเจริญของตนในภายหนา มีลาภและยศเปนตน ขอท่ี ๒ “แนะนําใหตั้งอยูในความดี นอกจากจะหามไมใหทําความชั่วแลวตองพรํ่าสอนใหกระทําความดี ต้ังอยูในความดีความชอบ เชน สอนใหลูกรูจักประกอบกิจการงานท่ีเปนประโยชนหม่ันขวนขวายในการหาทรัพย” ๑๙ บุคคลจะตั้งอยูในความดีได ก็ตองละส่ิงท่ีอยู ตรงกันขาม คือความช่ัว แลวนอมเขาสูทางสัมมาปฏิบัติ รูจักบาปบุญคุณและโทษ เชน ถึงกับใหสินจางเหมือนกับอนาถบิณฑิกเศรษฐีใชเงินจางบุตรใหศึกษาหลักธรรมคําส่ังสอนของพระพุทธเจา ครั้งแรกบุตรของทานอนาถบิณฑิกเศษฐีก็กระทําไปดวยหวังจะไดเพียงคารางวัลเทานั้น แตเม่ือปฏิบัตินานหลายครั้งเขาก็เกิดความซาบซึ้งในรสพระธรรมจึงปฏิบัติตาม และตั้งใจศึกษาหลักธรรมดวยความศรัทธาโดยไมรับสินจางรางวัลใด ๆ แลวต้ังอยูในความดี มีการถือม่ันในศีลเปนตน ดังไดนําหลักธรรมของคนดีมาบรรจุไวตอ ไปน้ี สัปปรุ สิ ธรรม ๗ อยาง “ธรรมของสัตบรุ ษุ เรยี กวา สปั ปรุ สิ ธรรม มี ๗ อยางคือ ๑. ธมฺมฺุตา ความเปนผูรูจักเหตุ เชน รูจักวา สิ่งน้ีเปนเหตุแหงสุข สิ่งน้ีเปนเหตุแหงทุกขเปนตน ๑๙วจิ ิตร อาวะกุล, เทคนิคมนุษยสัมพันธ, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ โอ.เอส.ปร้ินติ้ง, ๒๕๒๘),หนา ๑๕๙.
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164