Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore การศึกษาเปรียบเทียบ

การศึกษาเปรียบเทียบ

Published by lovesuksawat, 2018-07-04 00:11:44

Description: การศึกษาเปรียบเทียบ

Search

Read the Text Version

การดาํ เนนิ ชีวติ อยูในสังคมอยางมคี วามสขุ ตามแนวพทุ ธจรยิ ศาสตร : ศกึ ษากรณีทิศ ๖ พระอุดมศักด์ิ ปย วณฺโณ (จนั ทบุตร)วทิ ยานิพนธนเ้ี ปน สวนหนึ่งของการศกึ ษาตามหลกั สูตรศาสนศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวชิ าพทุ ธศาสนาและปรชั ญา บัณฑติ วทิ ยาลัย มหาวิทยาลัยมหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย พุทธศักราช ๒๕๔๘ ISBN 974-399-757-1

LIVING A HAPPY LIFE ACCORDING TO BUDDHIST ETHICS : A CASE SUDY OF SIX DIRECTIONS PHRA UDOMSAK PIYAVAÑÑO (JANTABUT)A THESIS SUBMITTED IN PARTIAL FULFILLMENT OF THE REQUIREMENTS FOR THE DEGREE OF MASTER OF ARTS DEPARTMENT OF BUDDHISM AND PHILOSOPHY GRADUATE SCHOOL MAHAMAKUT BUDDHIST UNIVERSITY B.E. 2548 (2005) ISBN 974-399-757-1

หวั ขอวิทยานพิ นธ : การดําเนินชวี ติ อยูในสงั คมอยางมีความสขุ ตามแนวพทุ ธจริยศาสตร ศึกษากรณที ิศ ๖ชือ่ นกั ศกึ ษาสาขาวิชา : พระอดุ มศักด์ิ ปย วณโฺ ณ (จันทบตุ ร)อาจารยท ี่ปรึกษา : พทุ ธศาสนาและปรชั ญาอาจารยที่ปรึกษารว ม : พระสทิ ธสิ ารโสภณ : ผศ. ดร. เจริญชัย ชนไพโรจน บัณฑติ วิทยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหามกุฏราชวทิ ยาลัย อนุมตั ิใหน บั วิทยานิพนธนี้ เปนสว นหน่งึ ของการศึกษาตามหลกั สตู รศาสนศาสตรมหาบัณฑติ .......................................................... คณบดบี ณั ฑติ วทิ ยาลัย ( พระครูปลดั สมั พิพัฒนวริ ยิ าจารย )คณะกรรมการสอบวทิ ยานพิ นธ .......................................................... ประธานกรรมการ ( พระครปู ลดั สัมพิพฒั นวิรยิ าจารย ) .......................................................... อาจารยทีป่ รึกษา ( พระสทุ ธิสารโสภณ ) .......................................................... อาจารยทีป่ รึกษารว ม (ผศ. ดร. เจรญิ ชยั ชนไพโรจน ) ........................................................... กรรมการ ( ผศ.ดร. เดชา ใจกลาง ) ........................................................... กรรมการ (ดร.สกุ ิจ ชัยมุสิก )ลขิ สิทธข์ิ องบณั ฑติ วทิ ยาลยั มหาวทิ ยาลยั มหามกฏุ ราชวิทยาลยั

Thesis Title : Living a Happy Life according to Buddhist Ethics : A Case Study of Six DirectionsStudent’s Name : Phra Udomsak piyavañño (Jantabut)Department : Buddhism and PhilosophyAdvisor : Ven. PhrasutthisarasoponCo-Advisor : Asst. Prof. Dr. Jarernchai Chonpairot. Accepted by the Graduate School, Mahamakut Buddhist University in PartialFulfillment of the Requirements for the Master’s Degree. .......................................................... Dean of Graduate School ( Ven. Phragrupaladsampipattanaviriyajarn )Thesis Committee .......................................................... Chairman ( Ven. Phragrupaladsampipattanaviriyajarn ) .......................................................... Advisor ( Ven. Phrasutthisarasopon ) ........................................................... Co-Advisor ( Asst. Prof. Dr. Jarernchai Chonpairot ) ........................................................... Member ( Asst. Prof. Dr. Decha Jaiklang ) ........................................................... Member (Dr. Sukit Chaimusik) Copyright of the Graduate School, Mahamakut Buddhist University

กหัวขอ วิทยานพิ นธ : การดําเนนิ ชีวติ อยใู นสงั คมอยา งมคี วามสุขตามแนวพุทธจริยศาสตร ศกึ ษากรณที ิศ ๖ชอ่ื นกั ศกึ ษา : พระอุดมศกั ด์ิ ปยวณโฺ ณ (จันทบุตร)สาขาวิชา : พทุ ธศาสนาและปรัชญาอาจารยท ่ีปรึกษา : พระสุทธสิ ารโสภณอาจารยท่ปี รึกษารว ม : ผศ.ดร. เจริญชัย ชนไพโรจนปก ารศึกษา : ๒๕๔๘ บทคดั ยอ วิทยานิพนธฉบับนี้ เปนการศึกษาเร่ือง การดําเนินชีวิตอยูในสังคมอยางมีความสุขตามแนวทางพุทธจริยศาสตรศึกษากรณีทิศ ๖ โดยมีวัตถุประสงคเพื่อศึกษาถึงลักษณะของการดําเนินชีวิตใหม ีความสุข ตามหลกั คาํ สอนของพระพุทธศาสนา อันวาดวยจริยศาสตรส ังคม วิทยานิพนธน้ี เปนการศึกษาจากเอกสารโดยการศึกษาขอมูลเอกสาร(DocumentaryResearch) โดยศึกษาขอมูลจากเอกสารตางๆ เชนพระไตรปฎก เอกสารงานวิจัยของนักวิชาการผูเช่ียวชาญตลอดจนผลงานของผูรูในทางพระพุทธศาสนาที่เก่ียวของ นํามาวิเคราะหประกอบคําชี้แนะของอาจารยท ่ีปรึกษาแลวจงึ สรุปผลการวิจัยนําเสนอในเชิงพรรณนา ผลจากการศึกษา พบวาแตละบุคคลยอมมีหนาที่ที่ตองปฏิบัติตอบุคคลตาง ๆ ในสังคมอันเปรียบเสมอื นทศิ ทัง้ ๖ ท่ีอยูรอบตัวเรา โดยนําหลักคุณธรรมและจริยธรรมตามแนวพุทธจริยศาสตรสังคมในการดําเนินชีวิตตามพุทธจริยศาสตรสังคมอยางสมบูรณทําใหเกิดผลดีในระดับปจเจกชนและระดับสงั คม ซง่ึ สามารถประมวลผลไดเ ปน ๓ ประเภทดังนี้ ๑. ทําใหเปนคนมคี วามรับผิดชอบในหนา ท่ตี อ ตนเองและผูอ ่ืน ๒. ทําใหม กี ารดาํ เนินชวี ิตอยา งเปน ปกตสิ ขุ ในสงั คม ๓. ทําใหสังคมสงบสุขอันเนื่องมาจากคนในสังคมนําหลักพุทธจริยศาสตรสังคมไปใชเปนแนวทางในการดําเนินชีวิต

ขThesis Title : Living a Happy Life according to Buddhist Ethics : A Case Study of Six DirectionsStudent’s Name : Phra Udomsak Piyavañño (Jantabut)Department : Buddhism and PhilosophyAdvisor : Ven. PhrasutthisarasoponCo-Advisor : Asst. Prof. Dr. Jarernchai ChonpairotAcademic Year : B.E. 2548 (2005) ABSTRACT The Purpose of this thesis is to study the principles in living a happy Lifeaccording to social ethics in Buddhism. The study is qualitative and its main sources of data arefrom the Tipitaka, research works, and textbooks. The data collected from different sources areanalyzed and presented in a descriptive method. The resuIt of the study reveaIs that each individual in society has his own dutyto treat with different people in that society. Those people are similar to six directionssurrounding us. To implement the Buddhist principles of virtues and morals into living a lifegives a good result to an individual and society as follows, 1. It turns practitioners to be responsible to themselves and the others, 2. It makes people a happy Life in society, and 3. lt creates an ideal society as the people on that society follow the social ethics inBuddhism.

ค กิตติกรรมประกาศ วิทยานิพนธน้ี สาํ เร็จไดดวยดี ดว ยความเมตตาอนเุ คราะหจ ากหลายทา น หลายฝา ยดว ยกนั ท่ีกรณุ าใหคําแนะนํา และใหกําลังใจดวยดีตลอดมา ผูวิจัยจึงขอกราบขอบพระคุณ และอนุโมทนากับทกุ ทา น ทกุ ฝา ย ดังนี้ กราบขอบพระคุณ พระสุทธิสารโสภณ รองอธิการบดี มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัยวิทยาเขตรอยเอ็ด ที่รับเปนอาจารยท่ีปรึกษา ขออนุโมทนา ผศ.ดร.เจริญชัย ชนไพโรจน ที่รับเปนอาจารยที่ปรึกษารวม ที่ไดสละเวลาใหคําแนะนําเพ่ือการปรับปรุงแกไขในสวนที่บกพรองของวิทยานพิ นธ จนทาํ ใหว ิทยานิพนธเลม นส้ี ําเรจ็ สมบูรณ กราบขอบพระคุณพระครูปลัดสัมพิพัฒนวิริยาจารย คณบดีบัณฑิตวิทยาลัย ท่ีไดใหคาํ ปรกึ ษาตรวจสอบแกไ ข ขออนโุ มทนา ดร.สุกิจ ชัยมุสิก และคณาจารยประจําบัณฑิตวิทยาลัยทุกทานที่ประสิทธิ์ประสาทความรูทุกแขนงวิชา ตลอดจนพระมหาสิทธิพิพัฒน สิริปฺโญ ท่ีใหคําแนะนําและปรับปรุงแกไขในสวนท่ีบกพรองของวิทยานิพนธ จนทําใหวิทยานิพนธเลมน้ีสําเร็จสมบูรณดวยดี ขอกราบขอบพระคุณพระบวรปริยัติกิจ รองเจาคณะจังหวัดมหาสารคาม เจาอาวาสวัดปจฉิมทัศน ขออนโุ มทนา นายศรณั ย โคตะ, ดร.วิทยา มะเสนา, อาจารยถนอม บุญบุตตะ, อาจารยพิณ มะเสนา, อาจารยมารศรี ดาราวรรณ, อาจารยจารุณี ดาราวรรณ ผูจัดการรานเสียงนิมิตวิทยุ,นางประทุมวรรณ สุขพันธ, อาจารยบุญเรือง หาญณรงคและอาจารยเบญจรงค ศรแกว ที่ไดชวยอุปถัมภกาํ ลงั ทรัพยในการจัดพิมพว ิทยานิพนธเลมนจ้ี นสําเรจ็ ลงดวยดี ขออางอิงคุณพระศรีรัตนตรัยและ คุณความดีที่เกิดจากการทําวิทยานิพนธเลมน้ี ผูวิจัยขอนอมเปนเคร่ืองสักการบูชาพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสงฆคุณ พระคุณมารดาบิดา และครูอาจารยต ลอดทั้งผมู อี ุปการคุณที่ไดใหความอุปถัมภชวยเหลือในการทําวิทยานิพนธครั้งนี้จงอํานวยอวยพรใหท ุกทา นจงมีความสขุ ความเจรญิ ตลอดกาลนานเทอญ พระอดุ มศักด์ิ ปยวณโฺ ณ (จนั ทบุตร) ๑๐ ตลุ าคม ๒๕๔๘

ง สารบัญคาํ ยอ งานวิทยานิพนธฉบับน้ี ผูวิจัยไดศึกษาจากคัมภีรพระไตรปฎก ฉบับของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย พ.ศ. ๒๕๒๕ พรอมทั้งอรรถกถา อันเปนคัมภีรท่ีสําคัญทางพระพุทธศาสนาเถรวาท ในการคน ควา ซงึ่ ในการอา งอิงในที่น้ไี ดใ สชื่อยอของคัมภีรต ามท่ีกลาวมา ดังจะมีคํายอและคําเตม็ ดงั นี้พระสตุ ตนั ตปฎ ก คําเต็ม คํายอ ทีฆนกิ าย สีลขันธวรรค ทฆี นิกาย มหาวรรค ที. สี. ทฆี นิกาย ปาฏิกวรรค ที. ม. อํคตุ ฺตรนิกาย สตตฺ กนบิ าต ท.ี ปา. อง.ฺ สตฺตก.อรรถกถาพระสตู ร ทีฆนกิ าย อรรถกถา (สมุ ังคลวิลาสิน)ี ท.ี อ. ในการอางอิง พระไตรปฎก ฉบับของมหาวิทยาลัยมหามกุฎราชวิทยาลัย โดยการอางอิงแบบ ๓ ตอน โดยการอางชื่อคัมภีร เลม / ขอ / หนา เชน ที. ปา. ๑๑ / ๓๔ / ๔๔ / หมายถึงพระไตรปฎกทีฆนิกาย ปาฎิกวรรค เลมที่ ๑๑ ขอท่ี ๓๔ หนาท่ี ๔๔ และ เลม / หนา เชน พระสูตรและอรรถกถาแปล ๖๒ / ๕๔๐ หมายถึงพระไตรปฎกและอรรถกถาแปลเลม ๖๒ หนา ๕๔๐เปน ตน

สารบัญ จบทคัดยอ ภาษาไทย หนาบทคัดยอ ภาษาองั กฤษกติ ตกิ รรมประกาศ กสารบัญคาํ ยอ ขสารบญั คบทท่ี ๑ บทนาํ ง จ ๑. ความเปน มาและความสาํ คญั ของปญหา ๑ ๒. วตั ถปุ ระสงคของการวจิ ยั ๓. ขอบเขตของการวจิ ยั ๑ ๔. วธิ ีดาํ เนินการวจิ ยั ๒ ๕. ประโยชนท ค่ี าดวาจะไดร ับ ๒ ๖. เอกสารและงานวิจัยทเี่ กย่ี วของ ๓ ๓บทท่ี ๒ ความหมายและประเภทของพทุ ธจรยิ ศาตร ๓ ๑. ความหมายของพุทธจริยศาสตรโ ดยทว่ั ไป ๗ ๒. ประเภทและระดับของพทุ ธจริยศาสตร ๗ ๒.๑ จรยิ ธรรมระดับพน้ื ฐาน ๘ จดุ มุงหมายและประโยชนข องจริยธรรมระดบั พื้นฐาน ๑๐ ๑๑ ๒.๒ จรยิ ธรรมระดบั กลาง ๑๕ จดุ มงุ หมายและประโยชนข องจริยธรรมระดับกลาง ๑๗ ๑๘ ๒.๓ จรยิ ธรรมระดับสงู ๒๓ จดุ มงุ หมายและประโยชนข องจริยธรรมระดบั สูง ๒๔ ๒๕ ๓. ความสาํ คญั ของพุทธจรยิ ศาสตร ๔. ระดับของพทุ ธจรยิ ศาสตร

ฉบทที่ ๓ หลกั พทุ ธจรยิ ศาสตรใ นทศิ ๖ ๒๘ ๑. ความเปน มาของพทุ ธจรยิ ศาสตรทิศ ๖ ๒๘ ๒. ความหมาย และสาระสําคัญพทุ ธจรยิ ศาสตรท ศิ ๖ ๓๐ ๓๐ ๒.๑ ความหมายของพทุ ธจริยศาสตรในทศิ ๖ ๓๐ ๒.๒ สาระสําคัญของพทุ ธจริยศาสตรใ นทิศ ๖ ๓๐ ๔๔ ๑. การดาํ เนนิ ชีวิตตามหลกั พทุ ธจรยิ ศาสตรในปรุ ัตถมิ ทิศ ๕๑ ๒. การดาํ เนนิ ชีวติ ตามหลกั พทุ ธจริยศาสตรในทักขณิ ทิศ ๖๖ ๓. การดําเนนิ ชวี ิตตามหลกั พทุ ธจริยศาสตรในปจ ฉิมทิศ ๗๑ ๔. การดาํ เนนิ ชีวติ ตามหลกั พุทธจริยศาสตรใ นอตุ ตรทศิ ๗๖ ๕. การดําเนนิ ชวี ติ ตามหลกั พทุ ธจรยิ ศาสตรในเหฏฐิมทิศ ๖. การดาํ เนนิ ชีวติ ตามหลักพทุ ธจริยศาสตรใ นอปุ ริมทิศ ๘๓บทที่ ๔ การดาํ เนนิ ชวี ิตในสงั คมใหม คี วามสขุ ตามหลกั ทศิ ๖ ๘๔ ๙๖ ๔.๑ พทุ ธจรยิ ศาสตรใ นฐานะสงเสริมความมน่ั คงแหง ครอบครัว ๑๐๕ ๔.๒ พทุ ธจรยิ ศาสตรในฐานะสง เสรมิ สติปญ ญา ๑๑๓ ๔.๓ พทุ ธจริยศาสตรในฐานะสง เสรมิ ความรกั ในครอบครวั ๑๒๐ ๔.๔ พทุ ธจริยศาสตรในฐานะสง เสรมิ ความสมั พนั ธในสงั คม ๑๓๒ ๔.๕ พทุ ธจริยศาสตรในฐานะสง เสรมิ ความมนั่ คงในการทํางาน ๔.๖ พทุ ธจรยิ ศาสตรในฐานะสง เสริมแนวทางดําเนนิ ชีวติ อยา งถูกตอ ง ๑๔๑บทที่ ๕ สรปุ ผลการวจิ ัย และขอ เสนอแนะ ๑๔๑ ๑๔๕ ๕.๑ สรปุ ผลการศกึ ษาวจิ ัย ๕.๒ ขอเสนอแนะ ๑๔๖ ๑๕๐บรรณานุกรม ๑๕๔ภาคผนวกประวตั ผิ วู จิ ัย

บทที่ ๑ บทนาํ๑. ความเปน มาและความสาํ คัญของปญหา มนุษยเรานอกจากจะเปนสวนหนึ่งของโลกแลวมีความสัมพันธบางอยางกับโลกแลว ในการดํารงชีวิต มนุษยตองสัมพันธกับมนุษยดวยกันปญหาสําคัญอีกประการหนึ่งของมนุษยก็คือ ปญหาจริยธรรม คอื หลกั การปฏิบตั ิตอ ตนเอง และหลกั การปฏบิ ัติตอคนอ่นื และมนุษยเ ปน สัตวส งั คมมีการอยูรวมกัน มีการกระทําตอกัน มีความรูสึกนึกคิดแตกตางกันและมีท้ังคนดีคนไมดี พระสัมมาสัมพุทธเจาไดประทานหลักพุทธปรัชญาเก่ียวกับสังคมไวกวา ๒๕๔๘ ปแลว ในสิงคาลกสูตร วาดวยหลักทิศ ๖คือการกําหนดหนาที่ความรับผิดชอบของบุคคลใน ๖ กลุม นั้น คือ ทุกคนตองมีหนาที่อันพึงปฏิบัติตอผูอ่ืน ท่ีตนเก่ียวของดวย ในฐานะเดียวกัน ตนเองก็มีสิทธิไดรับการอนุเคราะห จากผูอ่ืนท่ีตนเกี่ยวของดวยเหมือนกัน กลาวสั้นๆ ก็คือ ทุกๆ คน มีท้ังหนาท่ี ที่ตองปฏิบัติ และมีสิทธิอันชอบธรรม ท่ีจะไดรับการปฏิบัติตอบ ท้ังน้ีเพราะถาบุคคลตองมีหนาตองปฏิบัติตอผูอ่ืนแตฝายเดียว โดยไมมีสิทธิ์ไดรับการอนุเคราะหจากผูน้ันตอบแทนบางยอมไมมีใครพอใจ เม่ือไมมีใครพอใจบอยเขาก็เลิกปฏิบัติ นั่นคือ ถาบคุ คลไมรบั ผดิ ชอบ คนดีก็ไมอยากทําความดี เชนน้ีแลวบรรยากาศในสังคมเราจะมีสันติสุขไดอยางไรดวยเหตุดังกลาวพระสัมมาสัมพุทธเจา จึงทรงแบงผูคนในสังคมออกเปน ๖ กลุม พรอมทั้งกําหนดหนาท่ีอนั พงึ ปฏิบตั ิ และสิทธอิ ันพึงไดรับการอนุเคราะหข องบคุ คลแตละกลุม การปฏิบัติตอบุคคลทั้ง ๖ ประเภท ที่เปรียบเหมือนทิศ ๖ ฝายละ ๖ ประการ เปนการถอยทีถอยอาศัยกัน ปฏิบัติตอกันทุกฝาย เชน มารดา บิดาปฏิบัติกับบุตร, ครูอาจารยปฏิบัติกับลูกศิษย, สามีปฏบิ ัติกบั ภรรยา, มติ รสหายปฏิบตั ิกับมิตรสหาย, นายจางปฏบิ ตั กิ ับลูกจาง, สมณะปฏิบตั ิกบั ประชาชน สาํ หรบั บุคคลท้ัง ๖ กลุม ยอมเห็นไดวาทุก ๆ คนปฏิบัติหนาที่ของตนโดยสมบูรณ หรือกลาวอีกอยางหน่ึงวา ถาบุคคลมีความรับผิดชอบตอหนาท่ีของตนโดยไมบกพรอง คนในสังคมยอมอยูรวมกันไดดวยความสงบสุข ชีวิตสวนตัวของแตละบุคคล ๆ ยอมมีความเจริญรุงเรืองซึ่งจะสงผลใหสงั คมโดยรวม มสี นั ติสขุ และความเจริญกา วหนา ย่งิ ข้ึนอกี ดวย ความรับผิดชอบคือ ความตั้งใจปฏิบัติภารกิจหนาที่การงานของตนใหเกิดผลสําเร็จเรียบรอยถกู ตอง และตรงเวลาดว ยความสจุ รติ ความเต็มใจและความจรงิ ใจ ฉะนัน้ ความความรับผิดชอบจึงจัดวาเปน ส่ิงสําคญั ที่สดุ ในการปฏบิ ตั ิภารกิจตา ง ๆ ท้ังภารกจิ ในหนา ท่โี ดยตรง เชน เปน บดิ า มารดา เปน บตุ รธิดา เปนสามีภรรยา เปนตน ทั้งภารกิจในหนาท่ีในตําแหนงตาง ๆ เชน การเปนผูบังคับบัญชา เปน

๒ผูใตบังคับบัญชา เปนผูนํา หรือเปนผูตาม ความรับผิดชอบจึงมีเพื่อรักษาคุณภาพของตนเองไวใหมี ใหเปน ไปตามภาวะ และหนา ทข่ี องตนเองตลอดไป ครอบครัวใดสมาชิกในครอบครัว คือ พอ แม ลูก ทําตัวเปนสมาชิกท่ีดีของครอบครัว คือรูจักหนาที่ของตนใหสมบูรณ ไมขาดตกบกพรอง ครอบครัวน้ันก็จะอยูดวยกันอยางมีความสุขและความม่ันคงในชวี ติ ในทางตรงกันขาม หากครอบครัวที่มีสมาชิกในครอบครัว เชน พอแม ละเลยตอหนาท่ีของตน ขาดความรับผดิ ชอบ คือ พอทํางานไดเงินมาแลว ไมนํามาใชจายเล้ียงลูกเลี้ยงเมีย แตกลับไปใชจายในทางสุรุยสุราย ที่ไมจําเปน เชน เลนการพนัน ดื่มสุรา เปนตน สวนแมก็ไมเปนแมบานที่ดี ชอบเลนการพนัน หรือเที่ยวเตรนอกบานอยางนี้เปนตน ลูกเม่ือถูกพอแมทอดท้ิง เชนน้ันก็เกิดความรูสึกท่ีไมดีหลายอยางตอพอแม เชน อาจจะคิดวาพอแม ไมรักตน ไมสนใจตน ทอดท้ิงตน เปนตน ย่ิงเปนลูกที่กําลังอยูในวัยเรียนดวยแลว ก็มีผลกระทบตอความเปนอยูโดยเฉพาะในดานการศึกษา ปญหาท่ีจะตามมาก็คือ ลูกอาจไมสนใจการศึกษาเลาเรียนหันไปหา ยาเสพติด เท่ียวเตรนอกบาน ทําตัวเปนนักเลงและคบเพือ่ นท่ีไมดี เปนตน ผลสดุ ทา ยอาจกลายเปน เดก็ ทสี่ รา งปญ หาใหกับสงั คม จึงนําหลักทิศท้ัง ๖ มาแกไขปญหาในการดําเนินชีวิต เพ่ือมนุษยสัมพันธและไมตรีจิตที่ดีตอกนั ซ่ึงเปน การถอยทีถอยอาศัยกัน ปฏิบัติตอกันทุกฝาย มี ทิศเบ้ืองหนา มารดา บิดา, ทิศเบื้องขวา ครูอาจารย, ทิศเบ้ืองซาย มิตรสหาย, ทิศเบ้ืองหลัง บุตร ภรรยา, ทิศเบื้องลาง ทาสกรรมกร ทิศเบื้องบนสมณพราหมณ, จึงเปนแรงดลใจ ใหผูวิจัยไดศึกษาวิเคราะหบทบาทของบุคคลในการดําเนินชีวิตอยางมีความสุขตามแนวพุทธจริยศาสตร ศึกษาในกรณีทิศ ๖ เพ่ือใหเปนประโยชนตอการดําเนินชีวิตในระดับปจ เจกชนและตลอดท้งั สังคม๒. วตั ถปุ ระสงคของการวิจยั ๑ เพื่อศึกษาความสําคัญของทิศ ๖ วามีผลตอการสงเสริมการทําความดีและหนาที่ท่ีมนุษยพึงปฏิบัติตอ กนั ๒ เพ่ือศกึ ษาถงึ การนาํ หลกั ทิศ ๖ ไปใชใ นการดําเนินชวี ติ ในสงั คม๓. ขอบเขตของการวิจยั ผูวิจัยจึงมุงเนนที่จะศึกษาเฉพาะเนื้อหาสาระของทิศท้ัง ๖ และหลักธรรมที่สงเสริมสนบั สนนุ ในการดําเนินชีวิตอยใู นสังคมอยางปกตสิ ุข

๓๔. วิธดี ําเนนิ การวจิ ยั การศึกษาวิจัยในครั้งนี้ผูวิจัยใชวิธีสํารวจเอกสาร ท้ังเอกสารปฐมภูมิ คือพระไตรปฎกและเอกสารทุติยภูมิ ไดแกงานเขียน หนังสือ ตําราของนักปราชญทางพระพุทธศาสนา โดยนําปญหาตาง ๆในสังคมมาประกอบแลวนําเอาหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนาเขาไปวิเคราะหแลวนําเสนอแนวทางปฏิบัติสําหรับแกไขปญหา ใหรูจักหนาท่ีของแตละบุคคลตามหลักพุทธจริยศาสตรจนสามารถดําเนินชีวติ อยใู นสงั คมไดอ ยางมคี วามสุข มปี ระโยชนตอตนเองตลอดจนสงั คมและประเทศชาติ๕. ประโยชนทค่ี าดวาจะไดรบั ๑ ทาํ ใหท ราบถึงคณุ คาของทศิ ทง้ั ๖ กบั การสง เสรมิ การทําความดแี ละหนา ท่ที ม่ี นษุ ยพึงปฏิบตั ติ อ กนั ในสงั คม ๒ ทําใหท ราบถึงแนวทางในการนําหลกั ทิศท้ัง ๖ ในพระพุทธศาสนาไปใชในการดําเนนิชวี ิตในสังคมไดเ ปนอยา งดี๖. เอกสารและงานวิจยั ทีเ่ กีย่ วขอ ง ๑. สุชีพ ปุญญานุภาพ ไดกลาวถึงพุทธจริยศาสตรวาดวยทิศทั้ง ๖ ไววา “พระสูตรน้ีชาวยุโรปเลื่อมใสกันมากวาจะแกปญหาสังคมได เพราะเสนอหลักทิศ ๖ อันแสดงวาบุคคลทุกประเภทในสงั คมควรปฏบิ ตั ิตอกนั ในทางทด่ี ีงามไมม ีการกดฝา ยใดฝา ยหนง่ึ ลงไป” ๑ ๒. เดือน คําดี ไดกลาวถึงพุทธจริยศาสตรวาดวยทิศท้ัง ๖ วา “พระพุทธองคทรงเปรียบเทียบคนซ่ึงอยูแวดลอมและมีความสัมพันธกับเราวาเหมือนทิศตางๆ ๖ ทิศ ไดแก มารดาบิดาเปนทิศเบ้ืองหนา ครูอาจารยเปนทิศเบื้องขวา บุตรภรรยาเปนทิศเบ้ืองหลัง มิตรอํามาตยเปนทิศเบ้ืองซาย ทาสกรรมกรเปนทิศเบื้องต่ํา สมณะพราหมณเปนทิศเบ้ืองบน ซ่ึงเปนการแสดงวาคนเราตกอยูในสิ่งแวดลอม และมิใชส่ิงแวดลอมเปนวัตถุเทานั้น ยังมีสิ่งแวดลอมท่ีเปนคนซ่ึงตองสัมพันธกับเราดวยในธรรมเรื่องทิศ ๖ นี้แสดงใหเห็นวา เปนคําสอนที่กําหนดการกระทําและการตอบแทนท้ังสองฝายมิใชฝายหน่ึงเปนฝายใหหรือฝายรับเพียงอยางเดียว เปนการยึดหลักสิทธิและหนาท่ีตามจริยศาสตรสงั คมวา ดว ยทศิ ทง้ั ๖ หรอื หลกั มนุษยส มั พันธของคนตา งฐานะในสงั คม”๒ ๑สุชีพ ปุญญานุภาพ, พระไตรปฎกฉบับสําหรับประชาชน, พิมพคร้ังท่ี ๑๑, (กรุงเทพฯ :โรงพิมพมหามกฎุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๒), หนา ๓๖๓. ๒เดือน คําดี,พุทธปรัชญา, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ โอ.เอส.พร้ินต้ิง เฮาส, ๒๕๓๔), หนา๑๖๔.

๔ ๓. คูณ โทขันธ กลาวไววา “สังคมไทยเปน สงั คมที่มีพระพุทธศาสนาชวยกลอมเกลาโนมนา วจิตใจ และสรา งสาํ นึกทางศีลธรรม โดยมีวดั และพระสงฆเปน กลไกท่ีสําคัญในการรวบรวมสมาชิกของสังคมใหเปนพลเมืองที่ดีของประเทศ มีหลักจริยธรรมหรือหลักความประพฤติเพื่อละการทําชั่วเลือกกระทําแตกรรมดีน้ัน เปนหนาท่ีของมนุษยทุกคนควรปฏิบัติใหได แตพระพุทธองคยังทรงแสดงถงึ หลักคณุ ธรรมท่บี คุ คลควรปฏิบัตติ อ กันในสงั คม การปฏิบัติตามหลักจริยธรรมสังคมก็คือ การปฏิบัติธรรมหรอื หนาท่ีทเี่ หมาะสมแกฐานะของตนในสังคม ฐานะนี้อาจเปนฐานะทางสังคมธรรมดา เชน พอแม ญาติ ครู อาจารย หรือเปนฐานะทางการปกครองซ่ึงเปนสังคมในแงกฎหมาย เชน เปนผูปกครองเปนผูใตปกครอง ธรรมเพ่ือความสัมพันธระหวางบุคคลในสังคมนั้น พระพุทธองคไดทรงตรัสไวในเร่อื งทศิ ท้ัง ๖ ในสิงคาลกสูตร”๓ ๔. วศิน อินทสระ ไดกลาวถึงการดําเนินชีวิตอยูในสังคมไววา “ชีวิตในสังคมของเราควรจะเปน ชวี ติ ท่ีมรี ะเบยี บ เราควรตอ งยอมรบั ความเปน จริงบางอยางในสังคม เชน สังคมไดเปลี่ยนไปแลวอยางไร เราตองเขา ใจบางสิ่งบางอยาง และเราตองมีหลักในการดําเนินชีวิต รวมทั้งขอปฏิบัติที่จะทําใหเราเจริญข้ึน มีความกาวหนาในชีวิตตามควร ทั้งน้ีตองหมายความวา กาวหนาไปในทางที่ดีงาม ทางที่เปน กศุ ล จริยศาสตรจ ะชวยเราไดม ากในเร่ืองน้ี ทง้ั เรอ่ื งสวนตัวและชุมนุมชน”๔ ๕. กีรติ บุญเจือ ไดกลาวถึงสิทธิ หนาท่ี และความรับผิดชอบของแตละบุคคลในการดําเนนิ ชีวติ อยูในสงั คมไววา “พลเมืองดีท่ีสํานึกในความรับผิดชอบจริง ๆ จะตองปฏิบัติท้ัง ๓ ข้ันตอนอยางจริงใจ มิไดปฏิบัติอยางจํายอมเลี่ยงไมได โดยเฉพาะอยางยิ่งผูไดศึกษาจริยศาสตรแลวยอมจะตองเขาใจไดดีวาสิทธิ หนาที่ และความรับผิดชอบ ทั้ง ๓ อยางนี้จะตองสัมพันธกันแนนแฟนเพียงใด มีอยางหน่ึงก็จะตองมีอีกอยาง ๒ ตามมาโดยจําเปน ถาไมตองการอยางใดอยางหน่ึงก็ไมตองการอีก ๒อยางดวย จึงหวังวาผูที่จะมีสิทธิอยางคนไทยจะไดชวยกันกระตุนใหคนไทยทุกคนตระหนักในความสําคัญของ ๓ ขอนี้ อยางจริงจังกันเสียที ตัวอยางที่เห็นไดงาย ๆ เชน ผูที่ตองสิทธิขับรถบนทองถนน มิใชแตจะทวงสิทธิอยางเดียว ถาไมอยากจะมีหนาที่และไมยอมรับผิดชอบไมอยากอะไรเลย ไมใ ช สิ ท ธิ เ สี ย อ ย า ง เ ดี ย ว จ ะ ไ ม มี ใ ค รว า อ ะ ไ ร ไ ด เ ลย อ ย า ง น อ ย ป ญ ญ า ช น ทั้ ง ห ลา ย ค ว ร ๓ คูณ โทขันธ, พุทธศาสนากับชีวิตประจําวัน, พิมพครั้งที่ ๑, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพโอ.เอส.พรนิ้ ติง้ เฮาส, ๒๕๓๗), หนา ๑๐๖. ๔วศิน อินทรสระ, จริยศาสตร, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพมหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๑๘),หนา ๙.

๕เปนตัวอยางทีด่ ใี นเรื่องน้ี ตอ ไปคอ ย ๆ เปนชวี ติ จิตใจของคนไทยทั้งชาติไปเองทีละนอย โปรดจําใสใจไวเ สมอวา สิทธิ หนาท่ี และความรบั ผดิ ชอบตอ งไปดวยกนั เสมอ”๕ ๖. สมภาร พรมทา ไดใหความเห็นเก่ียวกับพุทธจริยศาสตรวาดวยทิศท้ัง ๖ กับการดําเนินชีวิตในสังคมไววา “เราอาจจําแนกเนื้อหาของระบบจริยศาสตรในพระพุทธศาสนาออกเปนสองสวนดวยกันคือจริยศาสตรสวนบุคคล กับจริยศาสตรสังคมเน้ือหาสองสวนน้ีเก่ียวของกันกลาวคือจริยศาสตรสว นบุคคลคือพ้ืนฐานของจรยิ ศาสตรส งั คม กลา วใหเขาใจงายก็คือ พุทธศาสนาถือวาระบบ จริยศาสตรมบี ทบาทสาํ คญั อยูสองบทบาท ไดแ ก ชวยปจเจกบุคคลสามารถดําเนินชวี ิตสว นตวั ของเขาอยูไดอยา งเปน สุข และสังคมสว นรวมกด็ าํ รงอยอู ยางปกตสิ ุขดวย พทุ ธศาสนาเช่ือวา ความสงบสุขของสังคมอางอิงอาสัยอยูกับจริยธรรมของคนแตละคนในสังคม เมื่อปจเจกบุคคลมีคุณธรรม สังคมสวนรวมยอมพลอยสงบสุขดวย จรยิ ศาสตรสวนบุคคลเปนพน้ื ฐานของจรยิ ศาสตรสงั คม”๖ ๗. พุทธทาสภิกขุ ไดกลาวถึงการรูจักหนาท่ีและสิทธิของมนุษย ในพุทธจริยศาสตรวาดวยทิศทั้ง ๖ ไววา คําวาหนาท่ีน้ีมันตองเน่ืองกับสิทธิเสมอ ถารูจักหนาที่ก็ตองรูจักสิทธิดวย ฉะน้ันเราเรยี กวา พูดถึงหนาทีอ่ ยา งเดยี วกพ็ อ หนาทที่ างกาย, หนาที่ทางจิต, หนาที่ทางวญิ ญาณ, หนา ทต่ี อตนเอง,หนา ท่ตี อคนอื่น, หนา ทนี่ ี้มนั เนอ่ื งกันท้งั สองฝา ย แยกกนั ไมออก นี้ลวนแตเปน หนา ท่ี “เดี่ยวน้ีไมมีใครรับผิดชอบในเรื่องหนาที่ ตางฝายตางเอาประโยชนของตัว มันก็คือ ทําลายมนุษย ไมยอมรับวามนุษยมีหนาที่ผดุงความเปนมนุษย ความเปนโลก แลวก็เปนอันธพาลมาก หรือเรียกรองแตสิทธิ แลวก็ไมทําหนาที่ ปญหาที่เกิดอยูทุกวัน ในบานเมืองก็คือ การเรียกรองสิทธิโดยไมทําหนาที่ ถาทุกคนทําหนาท่ีสมบูรณแลว มันจะไมเกิดความตองการอะไรถึงกับจะเรียกรองสิทธิดอก มันจะเปนการไดอยูในตัว นี้เปนเร่ืองบาหลัง เรียกรองแตสิทธิโดยไมทําหนาท่ี หรือทําหนาที่นอย แลวก็เรียกรองเอาสิทธิมากความรูด า นน้ีดูจะยังขาดกวาความรูอยางอื่น เพราะวาคนมันมีกิเลสมาก เห็นแกตัวมาก จึงไมรูจักหนาท่ีและสิทธ”ิ ๗ ๘. พุทธทาส ไดกลาวถึงจริยศาสตรเรื่องปญหาของวัยรุนไววา ปญหาของวันรุนไววาปญหาของวนั รนุ กค็ ือ บังคบั ตวั เองไมไ ด น่ีคอื ความลม เหลวของวยั รุน คอื บังคบั ตนเองไมได จําแตคํานี้ ๕ กีรติ บุญเจือ, ชุดพื้นฐานปรัชญาจริยศาสตร, (กรุงเทพฯ : สํานักพิมพไทยวัฒนาพานิช,๒๕๑๙), หนา ๘๐. ๖ สมภาร พรมทา, พุทธปรัชญากับปญหาจริยศาสตร, (กรุงเทพฯ : สํานักพิมพจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๑), หนา ๒๗. ๗ พุทธทาสภิกขุ, เยาวชนกับศีลธรรม, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพการพิมพพระนคร, ๒๕๒๓),หนา ๒๔๔-๒๔๕.

๖คําเดียวไววามันบังคับตนเองไมได บังคับตนเองใหเปนพรหมจารีท่ีดีไมได บังคับใหเปนนักเรียนท่ีดีไมได บังคับตัวเองไมไดเพราะเหตุอะไรบาง ก็มีหลายอยาง เชน คบเพ่ือนชั่ว ทําใหบังคับตัวเองไมไดแลวไมย อมพยายามจะบังคบั คอื อยา ทาํ เลว กบ็ งั คบั ไวไมไ ดพออยากสูบบุหร่ี สูบ, อยากดูหนัง ดู, อยากไปทําอะไร ทําโดยไมตองมีเหตุผลวาควรหรือไมควร ที่ถูกเราจะทําอะไรเราตองมีเหตุผลอยูในอํานาจของเหตุผลเสียกอนวาควรไมควร แตงายกวานั้น คือ พอแมนั้นดีที่สุดอยาอวดดีวาเราเขา โรงเรียน เราเกงกวาพอแม, พอแมโง อยานึกอยางนั้นเด็ดขาด ไปถามเถอะวาอะไรควรทําอะไร ไมควรทําอะไร พอแมจะบอกไดดีที่สุด เพราะเขาเกิดกอนเรามาอยาดูถูกพอแม และอยาถึงขนาดวาตมพอแมใหสุก “นี่ความสาํ คญั อยูที่ความเคารพบดิ ามารดา ครอู าจารย หรอื คนที่เคารพมนั ก็เลยบงั คับตัวเองได ก็อยูในรองในรอยของความดี ท้ังการเรียนก็ไดดีดวยความประพฤติดี คนรักใครเอ็นดู สงสารมาก เรียกวาสังคมดีมันก็มคี วามเจรญิ เทา นน้ั ”๘ จากเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวของดังกลาวน้ีทําใหเห็นวาควรทําการศึกษาวิจัยถึงวิธีการดําเนินชีวิตอยางมีความสุขตามแนวพุทธจริยศาสตร ศึกษากรณีทิศ ๖ น้ีเพื่อเพิ่มเติมใหพุทธศาสนิกชนและผูสนใจไดเขาใจถึงบทบาทตลอดท้ังสิทธิและหนาท่ีท่ีควรปฏิบัติตอกันในการดําเนินชีวิตไดอยางชัดเจนขึ้นซึ่งจะเปนประโยชนอันสําคัญในการนําไปปฏิบัติไดอยางถูกตองและสมบูรณในระดับสูงขึ้นไป ๘พุทธทาสภิกขุ, เตือนใจวันรุน และ ๕ ดี สูความเปนมนุษยท่ีสมบูรณ, (กรุงเทพฯ :สาํ นกั พมิ พธรรมสภา, ๒๕๓๖), หนา ๑๒-๑๓.

บทที่ ๒ ความหมายและประเภทของพุทธจรยิ ศาสตร๑. ความหมายของพทุ ธจรยิ ศาสตรโดยท่ัวไป จริยศาสตร “เปนคําสันสกฤตแปลตามตัวอักษรวา ศาสตรที่วาดวยความประพฤติหรือศาสตรแหงความประพฤติ ขอ ทค่ี วรประพฤติปฏบิ ัติ ตาํ ราหรอื วิชาทวี่ าดว ยความประพฤต”ิ ๑ พุทธะ หมายถึง “ผูตรัสรู, ผูตื่นแลว, ผูเบิกบานแลว, เปนพระนามของพระพุทธเจาผูเปนศาสดาของพระพทุ ธศาสนา” ๒ จริยศาสตร หมายถึง ตามหลักนิรุกติศาสตรคําวา “จริยศาสตร” เปนภาษาสันสกฤต (จริย +ศาสตร) แปลตามตัวอักษรวา “ศาสตรท่ีวาดวยความประพฤติ หรือศาสตรแหงความประพฤติโดยนยั นจี้ ริยศาสตร จึงเปนศาสตรท ี่วาดว ยความประพฤติหรือการกระทาํ ของมนุษยนนั้ เอง บางทีเราก็เรียกวาปรัชญาจริยธรรม หรือ หลักจริยธรรม และคําวาจริยธรรมนี้ตรงกับ ภาษาลาตินวา(Mores) ซ่ึงหมายถึงระเบียบแบบแผนหรอื ขอ ปฏิบตั ”ิ ๓ จริยศาสตรตรงกับภาษาอังกฤษวา (Ethics) ซ่ึงหมายถึงศาสตรท่ีวาดวย ศีลธรรม หลักศีลธรรม กฎทว่ี าดว ยความประพฤตแิ ละพฤติกรรม จริยศาสตร หมายถึง “ปรัชญาสาขาหนึ่งท่ีวาดวย ความประพฤติและการครองชีวิตวาอะไรดี อะไรชวั่ อะไรถกู อะไรผดิ หรืออะไรควรอะไรไมค วร” ๔ เจมส เซธ ใหความหมายวา “จริยศาสตร หมายถึง ศาสตรท่ีวาดวยหลักแหงความประพฤติและหลักเกณฑแหง ความประพฤติวา อะไรควรทํา อะไรไมควรทาํ ” ๕ ๑วศนิ อนิ ทสระ, จรยิ ศาสตร, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพเจรญิ กิจ, ๒๕๒๙), หนา ๒. ๒ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, พิมพครั้งท่ี ๖, (กรุงเทพฯ :อกั ษรเจริญทศั นก ารพมิ พ, ๒๕๒๕), หนา ๖๐๑. ๓ชัยวัฒน อัตพัฒน, จริยศาสตร, พิมพครั้งที่ ๘, (กรุงเทพฯ : สํานักพิมพมหาวิทยาลัยรามคําแหง, ๒๕๔๓), หนา ๓. ๔ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานกุ รม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน, อางแลว , หนา ๒๑๖. ๕ไสว มาลาทอง, คูมือการศึกษาจริยธรรม สําหรับนักเรียน นิสิตนักศึกษา นักบริหาร นักปกครอง และประชาชนผูสนใจท่ัวไป, พิมพครั้งท่ี ๖, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพการศาสนา, ๒๕๔๒),หนา ๒.

๘จริยศาสตรเปนศาสตรที่วาดวย อุปนิสัย นิสัยและพฤติกรรมของมนุษย ความประพฤติยอมเปนกระจกเงาสองใหเราเห็นอุปนิสัยและนิสัยของคน จริยศาสตรจึงไดชวยตีคาของมนุษย โดยการมองทางอุปนิสัย นิสัยใจคอและความประพฤติที่บุคคลน้ันแสดงออกมาดวยความสมัครใจ ในการกระทําน้นั “บคุ คลมแี รงใจและเจตจาํ นงแนวแน เจตจํานงนั้นแสดงออกถึงอุปนิสัยของมนุษย ดวยเหตุนี้เราจึงมองอุปนิสัยของบุคคลไดในรูปของเจตจํานง หรือ อีกนัยหนึ่ง เจตจํานงก็คือ แบบที่ไดรับการกระตุนเตือนของอปุ นิสยั น้นั เอง”๖ สรุปความวา พุทธจริยศาสตรหมายถึง หลักคําส่ังสอนของพระพุทธศาสนาท่ีวาดวยความประพฤติ หลักเกณฑแ หง ความประพฤติ วาอะไรถูกควรปฏิบัติ อะไรผิดไมค วรปฏิบัติตอทิศท้ัง ๖ อันเปรียบเสมือนบคุ คลตาง ๆ ทีอ่ ยรู อบตัวเรา๒. ประเภทและระดบั ของพทุ ธจรยิ ศาสตร ขอบเขตของพุทธจริยศาสตร อยูที่การกระทําทางกาย และทางวาจา เทานั้น ถึงแมวานิพพานจะเปนจุดหมายสูงสุดของชีวิตในพุทธจริยศาสตรก็ตาม แตเม่ือพิจารณาถึงกฎเกณฑ และหลักการในข้ันจริยศาสตรน้ีก็เปนเรื่องท่ีจะตองพิจารณากันในเฉพาะขอบเขตของศีล เปนประการแรกกอน เพราะจริยศาสตรเปนเร่ืองท่ีวาดวยการประพฤติปฏิบัติท่ีมีคาในระดับโลกียธรรม ไมใชข้ันปรมัตถหรือวิวัฏ เปนเรื่องท่ีปุถุชน และพระอริยบุคคลบางระดับจะตองถือเปนหลักปฏิบัติพื้นฐานแหงคุณธรรมอื่น ๆ สูง ๆ ทางจิตใจตอไป เพราะพระอรหันตที่ถือวาเปนบุคคลที่บรรลุจุดมุงหมายสูงสุดแลวน้ัน เปนผูท่ีมีการกระทําทางกาย ทางวาจา และทางใจ ผานขั้นที่เรียกวาดี หรือบุญ หรือกุศล ไปเหนือขอบเขตของจริยธรรมแลว จึงเรียกวา ผูมีบุญและบาปอันลอยแลว คือ อยูเหนือบุญและบาป การกระทําของพระอรหันตไมเปนทั้งบุญและบาป กลาวคือ “พฤติกรรมของพระอรหันตทั้งกายทาวาจา และทางใจลวนแตอยูเหนืออํานาจของกรรม จึงเรียกวาเปนกิริยาเพราะการกระทําของพระอรหันตไมเกิดจากแรงผลักดันของกิเลส และเปนการกระทําท่ีไมมีผลทั้งชาตินี้และชาติหนาใด ๆเพราะพระอรหันต ตั้งอยูในสวนแหงวิวัฏ จึงไมมีภพ ชาติ สังสารวัฏอีกตอไป จึงไดชื่อวาเปนผูครบสมบูรณใ นพรหมจรรยแ ลว” ๗ ในการอยูร วมกนั เปนชุมชน มนุษยเรียนรูวา เปนธรรมดาท่ีจะตองมีการกระทบกระท่ังกันเน่ืองจากมนุษยมีปญญา มนุษยจึงรูจักวิธีจัดการกับปญหาดังกลาวนี้อยางนุมนวล นี้คือที่มาของ ๖ชัยวัฒน อตั พัฒน, จรยิ ศาสตร, อางแลว , หนา ๓. ๗เดือน คําดี, พุทธปรัชญา, (กรุงเทพฯ :โรงพิมพ โอ.เอส.พร้ินต้ิง เฮาส, ๒๕๓๔),หนา ๑๔๓.

๙การวางกฎระเบียบในการอยูรวมกันที่ตอมาไดวิวัฒนาการมาเปนกฎหมาย จารีต ประเพณี และขนบธรรมเนียมทางสังคมอ่ืน ๆ กฎระเบียบเหลานี้บางคร้ังก็มาจากศาสนาท่ีผูคนในสังคมนั้นๆ ไดเชื่อถืออยู เมื่อพระพุทธศาสนาไดกําเนิดข้ึนในอินเดีย พระพุทธองคก็ทรงตระหนักถึง ปญหาท่ีกลาวมาขางตน เมื่อพระพทุ ธองคท รงทาํ หนาทีเ่ ผยแผพระพุทธศาสนาไดท รงทําหนาทีห่ ลกั สองประการไปพรอม ๆ กัน คือทรงสอนธรรมที่ตอบสนองความตองการเฉพาะบุคคล ธรรมที่วาน้ีคือ ธรรมสวนท่ีเอ้ืออาํ นวยใหปจเจกบุคคลเขาถึงความดับทุกขเฉพาะตน นอกจากธรรมขางตน ยังทรงจัดวางระเบียบทางสงั คมที่อยูในรูปของพุทธจริยธรรมหรอื พุทธจรยิ ศาสตร จริยธรรมดังกลาวนี้เมื่อใครรับไปปฏิบัติแลวจะกอใหเกิดผลสองทาง ทางแรกคือเปนความดีสวนตัวของเขา และทางท่ีสอง (ซ่ึงเปนทางสําคัญ) คือ เปน ผลดแี กส ังคมโดยรวม จริยธรรมท่ีพระองคทรงนํามาสอนมีมากมาย แตก็อาจจําแนกไดเปนสองสวนดวยกัน คือสวนที่เปนจริยธรรมพ้ืนฐาน กับสวนท่ีเปนจริยธรรมข้ันกลาง และจริยธรรมขั้นสูง จริยธรรมขั้นพืน้ ฐานคอื หลกั ธรรมขั้นตํา่ สดุ ที่สงั คมจะตอ งมี หากไมมีหลักธรรมขนั้ พื้นฐานนี้ ผูคนในสังคมอาจจะไมอ ยรู วมกันไดอยางเปน ปกตสิ ุข จรยิ ธรรมข้ันมลู ฐานเปน ขอเรียกรองขนั้ ต่าํ สุด สําหรบั ความสงบสขุของสังคม กลาวงาย ๆ อยางภาษาชาวบานก็คือ หากผูคนในสังคมตองการอยูรวมกันอยางเปนสุข ไมกระทบทกระทั่งกัน คนเหลานั้นตองปฏิบัติตามหลักธรรมท่ีวานี้ หลักธรรมน้ีเปนสิ่งจําเปนสําหรับความสงบสุขของสังคม ผูคนในสังคมอาจทําดีมากกวานี้ก็ได แตจะทําดีนอยกวาท่ีหลักธรรมพื้นฐานเหลา น้รี ะบเุ อาไวไมได ไมเ ชนนั้นสงั คมจะปนปวนวุนวายหมด สําหรับจริยธรรมท่ีเลยขึ้นไปจากพ้ืนฐานน้ัน ไดแกจริยธรรมระดับกลาง และจริยธรรมระดับสูงที่ พระพุทธองคทรงนํามาสอน เพ่ือคนในสังคมนําไปปฏิบัติเพ่ือความสงบสุขย่ิง ๆ ข้ึนไปของสังคมตวั ของเขาเอง ในทัศนะของพระพุทธศาสนาความสงบสุขท้ังของปจเจกบุคคลและสังคม มีหลายระดับด่ังที่กลาวมาแลว จนถึงความสุขอยางย่ิงคือ นิพพาน อันเปนจุดมุงหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา ความสุขระดับต่ําสุดคือ ความสุขที่ทําใหคนเรามีชีวิตอยูไดตามปกติธรรมดาความสุขท่วี านเี้ กิดขึ้นไดตอเมื่อคนในสังคมปฏิบัติตามจริยธรรมขั้นพ้ืนฐาน หากเราตองการความสุขทป่ี ระณีตย่ิงข้ึนไปกวา น้ี เราก็ตองปฏบิ ตั ติ ามจริยธรรมท่ีสูงข้ันไปตามระดับ ย่ิงปฏิบัติไดสูงเทาใด ตัวเราและสังคมเราก็จะยง่ิ ไดรับความสขุ สงบที่ประณตี สงู ข้ึนไปเทา น้นั โดยท่ัวไปทุกสังคมจะมีจริยธรรมขั้นพ้ืนฐานดวยกันท้ังส้ิน เพียงแตวาจริยธรรมน้ันอาจมีเน้ือหาผิดแผกกันบาง จริยธรรมพื้นฐานมักแฝงอยูในรูปของกฎหมาย ประเทศท่ีไมมีกฎหมายสําหรับปกปองสิทธิสวนบุคคล และกําหนดหนาท่ีที่ผูคนตองกระทําตอสังคม ยอมไมอาจเปนประเทศได กฎหมายคือขอเรียกรองข้ันตํ่าสุดของความสงบสุข เนื้อหาของกฎหมายเมื่อกลาวกัน

๑๐โดยสรุปแลวก็คือสวนท่ีเปนรายระเอียดท่ีขยายความออกไปจากจริยธรรมพ้ืนฐานของสังคมน้ัน ๆนนั่ เอง พทุ ธจริยศาสตร ๓ ระดับ “ตามหลักธรรมทางพระพุทธศาสนา ทานผูรูท้ังหลายหรือนักปราชญไดจัดหลักพุทธจริยศาสตร หรือพุทธจรยิ ธรรม ไวเ ปน ๓ ข้ัน ๑. จรยิ ศาสตรข ั้นมูลฐาน คอื ศีล๕ ๒. จริยศาสตรข้นั กลาง คือ กุศลกรรมบถ ๑๐ ๓. จริยศาสตรขั้นสูง คอื มรรค ๘ ” ๘ ดงั น้ี ๒.๑ จรยิ ธรรมระดับพนื้ ฐาน จริยธรรมระดับพ้ืนฐาน หมายเอา ศีล ๕ หรือ เบญจศีล ซ่ึงถือวาเปนหลักธรรมพื้นฐานของมนุษย เรียกวา มนุษยธรรม คือระเบียบที่กอใหเกิดความสงบสุขในสังคมของมนุษยทําใหคนเปนมนุษยท่ีสมบูรณ และธรรมท่ีคูกันก็คือ เบญจธรรม ๕ “ท้ังเบญจศีลและเบญจธรรมที่เรียกวาเปนจริยธรรมข้ันมูลฐานนั้น เพราะเปนขอปฏิบัติข้ันตน เปนพื้นฐานรองรับคุณธรรมชั้นสูงขึ้นไปเชนเดียวกับการลงรากเสาเข็มไวเปนอยางดียอมสามารถรับน้ําหนักอาคารสูงใหญหลายช้ันได การท่ีจะดูพื้นฐานหรือความม่ันคงของบุคคลก็สามารถที่จะดูไดพรอมกับบอกหรือคาดคะเนไดวาเปนอยา งไร โดยเอาหลกั เบญจศีลและเบญจธรรมนเ้ี ปนเคร่ืองมอื วดั ” ๙ “เบญจศีลน้ีเปนขอปฏิบัติที่พึงงดเวนหรือละเวนไมใหปฏิบัติ เพราะถาขืนปฏิบัติก็จะพบแตความเส่ือม ความพินาศและเปนความช่ัว เมื่อพระพุทธองคทรงบัญญัติขอท่ีควรละเวนแลวพระองคก็ทรงสอนแนวทางการปฏบิ ตั ิ หรือบญั ญัติขอทค่ี วรปฏิบัติไว เรียกวา “เบญจธรรม” เปนขอที่ปฏิบัติอันจะนาํ ไปสูความดี เบญจธรรมยงั จะเปนธรรมสนับสนุน และเปนธรรมที่ชวยใหบุคคลไมปฏิบัติผิดศีล๕ ดวย ดงั นนั้ เบญจศลี กับเบญจธรรมจงึ เปน ของคูก นั ” ๑๐ ดงั จะศึกษาไดดังนี้ ๘ไสว มาลาทอง, คูมือ การศึกษาจริยธรรม สําหรับนักเรียน นิสิต นักศึกษา นักบริหาร นักปกครองและนักประชาชนผสู นใจทัว่ ไป, อางแลว , หนา ๒๐๒. ๙เรือ่ งเดียวกัน, หนา ๒๐๓. ๑๐ทองหลอ วงศธรรมา, ปรัชญาอินเดีย, (กรุงเทพฯ : พิมพที่ โอ.เอส.พริ้นต้ิงเฮาส, ๕๓๕),หนา ๒๖๖.

๑๑ เบญจศลี เบญจธรรม๑. เวน จากการฆา สัตว ๑. มีเมตตากรณุ า๒. เวน จากการลกั ทรพั ย ๒. มีสมั มาอาชีวะ๓. เวน จากการประพฤติผดิ ในกาม ๓. มคี วามสํารวมในกาม๔. เวนจากการพดู เท็จ ๔. มีสัจจะ๕. เวนจากการดม่ื น้าํ เมาคือสรุ าและเมรัย ๕. มสี ตริ อบคอบ๑๑ อันเปน ท่ตี งั้ แหง ความประมาท ขอใหส งั เกตวา เน้อื หาของศลี ๕ น้ีสามารถจําแนกออกไดเปน สองสว นดวยกนั ดังนี้ ๑. สว นทเ่ี ปน ขอหา มมใิ หล ะเมดิ คนอน่ื ๒. สว นที่เปน ขอ หามมิใหล ะเมดิ ตนเองการละเมิดคนอ่ืนนั้นสามารถกระทําไดส องทาง คือ ๑. ละเมดิ ทางกายหรอื ชวี ติ ของคนอื่น ๒. ละเมิดทางทรพั ยส ินหรอื ส่ิงอน่ื ท่ีคนผนู น้ั ครอบครองอย๑ู ๒ การฆาสัตวตัดชีวิตผิดเพราะละเมิดรางกายและชีวิตของผูอ่ืน การลักทรัพยผิดเพราะละเมิดทรัพยสินท่ีคนอ่ืนครอบครองอยู การประพฤติผิดในกาม ผิดเพราะละเมิดบุคคลอ่ืนท่ีคนอ่ืนครอบครองอยู ศีลสามขอแรกน้ีเห็นไดชัดวาพระพุทธองคทรงกําหนดข้ึนเพ่ือปองกันการละเมิดบุคคลอืน่ ไมว า จะละเมิดทางรา งกาย หรือวา ทรัพยสนิ สิ่งของทค่ี นผนู ั้นครองครองอยูจุดมงุ หมายและประโยชนของจรยิ ธรรมระดับพนื้ ฐานจดุ มงุ หมายในการหา มฆา สัตว ๑. มุงใหมนษุ ยมเี มตตากรณุ าตอ กนั และตอ สัตวท กุ ประเภท ๒. ใหรูจกั อภยั ทาน ๓. มีความหวงั ดีตอ กนั ชว ยเหลอื กัน ๔. ชว ยกันรกั ษาพยาบาล เมอื่ เจบ็ ไข ๕. มงุ ใหมนษุ ยไมท าํ ลายเผาพันธมนุษย และเผาพนั ธสัตวอ ื่น๑๓ ๑๑เรอ่ื งเดยี วกนั . ๑๒สมภาร พรมทา, พุทธศาสตรกับปญหาจริยศาสตร, (กรุงเทพฯ : สํานักพิมพจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๑), หนา ๕๗. ๑๓อารย สมาทยกุล, จริยธรรมกับชีวิต, ภาควิชาปรัชญาและศาสนา คณะมนุษยศาสตรและสังคมศาสตร สถาบนั ราชภฎั มหาสารคาม, ๒๕๓๙, หนา ๕๖.

๑๒ ประโยชนของการมีศีลขอที่ ๑ บุคคลเม่ือรักษาศีลใหบริบูรณแลว ยอมไดรับอานิสงสหรือผลประโยชนด งั ตอไปน้ี คือ ๑. เกดิ มามีอวัยวะนอ ยใหญครบบรบิ รู ณ ๒. มีรา งกายสมสว นสงางาม ๓. มีความวองไวเสมอ ๔. เปน ผูมกี าวทา วเท่ยี งตรง ๕. เปน ผูสดใส รุงเรอื ง ๖. เปนคนสะอาด ๗. เปน คนออนโยน ๘. เปน คนมคี วามสุข ๙. เปน คนแกลว กลา ๑๐. เปนคนมีกําลังมาก ๑๑. มถี อ ยคําสละสลวยเพราะพริ้ง ๑๒. ไปมาทใี่ ดยอมมีเพอื่ นรกั เสมอ ๑๓. เปนคนไมส ะดงุ ตกใจ ๑๔. ขา ศึกษาศัตรูทํารา ยไมได ๑๕. ไมต ายเพราะคนอ่ืนฆา ๑๖. มีบริวารหาทีส่ ดุ ไมไ ด ๑๔ การลักทรัพย คือการใชอํานาจของตนโดยมิชอบยึดถือเอาทรัพยสมบัติของคนอ่ืนมาเปนของตนเองโดยเจตนา การทที่ านบัญญตั ิศีลขอ ท่ี ๒ น้ีก็เพื่อปองกันการทําลายสมบัติทรัพยสินของกันและกนั ใหทุกคนตั้งหนาทาํ มาหากินประกอบอาชพี โดยสุจริต จดุ มุงหมายในการหา มลักทรพั ย ๑. เพอ่ื ใหทกุ คนเคารพในทรัพยส ินของตน ๒. เพ่อื ใหท ุกคนรูจ ักประกอบอาชีพในทางสุจริต ๓. เพ่อื ใหเ กดิ ความไววางใจกนั ในการอยรู วมกนั ๔. เพอื่ ใหทุกคนประกอบกาชีพเปนหลักแหลง พ่งึ ตนเองได ๕. เพ่ือไมใหคนเราคอยเอารัดเอาเปรียบกันโดยลงมือทําแตนอย ตองการผลประโยชนต อบแทนนอ ย ๑๔เรื่องเดยี วกนั , หนา ๕๗.

๑๓ ประโยชนของการมีศีลขอที่ ๒ บุคคลเมื่อรักษาศีลขอที่ ๒ ใหบริสุทธ์ิแลว ยอมไดรับอานสิ งสหรือผลประโยชนดังตอไปนี้ ๑. มที รัพยม าก ๒. มขี าวของและอาหารเพียงพอ ๓. หาโภคทรัพยไ ดไมสิ้นสุด ๔. โภคทรัพยทยี่ ังไมไดกไ็ ด ๕. โภคทรพั ยท ไ่ี ดแ ลว กย็ ัง่ ยนื ไมส ูญหาย ๖. หาส่ิงท่ีปรารถนาไดรวดเรว็ ๗. สมบัตไิ มกระจดั กระจายดวยภัยตาง ๆ ๘. หาทรัพยไ ดโ ดยไมถ กู แบง ๙. อยูท่ีไหนก็เปนสขุ สบาย ๑๐. เปนคนไมร จู ักความจน ๑๕ กาเมสุมิจฉาจาร คือ ความประพฤติลวงละเมิดในภรรยา หรือสามีของผูอื่น ละเมิดชายตองหาม หรือหญิงตองหาม หรือประพฤตินอกใจสามีหรือภรรยาของตน และประพฤติผิดธรรมดาหรอื ลว งเกินในของทเ่ี ขารกั จุดมุง หมายในการหามประพฤตผิ ดิ ในกาม ๑. เพ่ือปองกันการส่ําสอนทางเพศ ซ่ึงมีอยูดาษดื่นในหมูสัตวดิรัจฉาน เห็นวามนุษยเปนสัตวประเสริฐแลวไมควรทําเชน นน้ั ๒. เพื่อปองกันความวนุ วายการเบียดเบียนกัน เพราะเรือ่ งกามเปน เหตุ ๓. ชายยอมหวงหญิงผูเปนภรรยาของตน หญิงยอมหวงชายผูเปนสามีของตน มารดาบิดายอมหวงธิดาของตน เม่อื ธิดาเหลา นนั้ อยูในวัยศึกษา ๔. ตามความเปนจริงแลว ความสุขทางกามไมมากพอที่บุคคลจะลงทุนสรางบาป กอกรรมเพื่อแรกกบั ความสขุ ทางกาย ๕. ความสุขทางกามารมณมีความสุขแตนอย ใหทุกขมากกวา ยิ่งผิดศีลดวยแลวยอมมีทุกขระยะยาวนาน ประโยชนของการรักษาศีลขอท่ี ๓ การรักษาศีลขอท่ี ๓ นี้ ยอมมีอานิสงสหรือผลประโยชนแกผ ูรกั ษาและแกสังคมอยู ๔ ประการ คอื ๑. คุมครองความเปนปก แผน ของสงั คม ๑๕เรอื่ งเดยี วกนั , หนา ๕๙-๖๐.

๑๔ ๒. คุมครองความสงบสขุ ของครอบครัว ๓. คมุ ครองอนาคตของอนุชนในตระกลู ๔. คุมครองรักษาวฒั นธรรมประเพณีอนั ดงี าม๑๖ การพดู ปดผิดเพราะเหตุผลสองประการ คือ ทําใหคนอื่นเสียหาย ความเสียหายน้ีอาจเกิดแกตัวเขาเองหรือทรัพยสินของเขาก็ได นี่ประการหน่ึง อีกประการหน่ึง ทําใหตนเองตกตํ่าลง คนที่พูดปดบอยๆ พูดหยาบคายอยูเสมอ ชอบยุยงใหคนอื่นแตกแยกกัน พูดไรสาระ ยอมเพราะอุปนิสัยท่ีไมดีใหเกดิ ในตนเอง คนเชน น้เี ปนคนที่ไมน าคบ ไมน าเชื่อเถอื การพูดปดจึงมีโทษแกตวั เขาเองดวย หากการพูดปดสรางความเสียหายแกคนอ่ืน การพูดปดก็ผิดเพราะละเมิดคนอ่ืน ถาไมสรางความเสียหายแกคนอ่ืน การพูดปดกผ็ ดิ เพราะสรา งความเสียหายแกคนอนื่ จดุ มุงหมายในการหามพูดเทจ็ ๑. เพ่ือปกปองการทําลายประโยชนข องกนั และกนั ๒. เพ่ือใหค นอยูรว มกนั ดว ยความซอ่ื สัตยตอกัน ๓. เพ่ือความสามัคคีในหมคู ณะ ๔. คนไมพ ดู เทจ็ ยอ มไดรบั ความเชื่อถอื อยางสงู ๕. เปน คนทีส่ งั คมตอ งการอยา งยง่ิ ๑๗ ประโยชนข องการรักษาศีลขอ ที่ ๔ ๑. ไมต กไปสทู ุคติ ๒. ไมตกไปสคู วามวิบัติ ๓. ไมจ มด่ิงลงสคู วามทุกข ๔. ไดเกิดมาเปนมนษุ ย ๕. เปน ท่ีรักและไวว างใจของคนอน่ื ๑๘ การดืม่ สุราและเสพของมนึ เมาผดิ เพราะเปนการเบียดเบียนตนเอง คนท่ีดื่มสุราและเสพของมึนเมา คือคนที่ทําลายสติปญญาของตน พุทธศาสนาถือวาเปนการละเมิดตนเอง การด่ืมสุราผิดแมจะดื่มแลวนอนอยูบานคนเดียวก็ตาม ถาดื่มแลวกอความเดือดรอนแกคนอื่นก็ผิดเปนสองเทา เพราะ ๑๖เรือ่ งเดยี วกนั , หนา ๖๐-๖๑. ๑๗เรือ่ งเดียวกัน, หนา ๖๒. ๑๘ ปน มุทุกันต, แนวสอนธรรมะตามหลักสูตรนักธรรมช้ันตรี, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพอมรการพิมพ, ๒๕๑๔), หนา ๔๒๘.

๑๕นอกจากจะละเมิดตนเองแลวยังเปนการละเมิดคนอ่ืนดวย โดยที่ความผิดอยางหลังจัดเขาในศีลขอหน่ึงขา งตน จุดมุงหมายในการหา มด่มื สุรา - เมรัย ๑. เพอ่ื ใหร ูจักรกั ษาสติของตนใหส มบูรณอ ยเู สมอ ๒. เพ่ือความสงบสขุ ของสงั คม ๓. เพ่อื รักษาเศรษฐกจิ ของครอบครวั ๔. เพื่อเปน ผไู มประมาทขาดสติ ๕. เพื่อเปน ผไู ดเช่อื วา รักษาสุขภาพจติ และสุขภาพกายของตน๑๙ ประโยชนข องการรกั ษาศลี ขอ ท่ี ๕ ๑. ไมตกไปสทู ุคติ ๒. ไมตกไปสคู วามวิบตั ิ ๓. ไมจ มด่ิงลงสคู วามทุกข ๔. ไดเกิดมาเปนมนุษย ๕. เปนคนมีสตริ อบคอบ รา งกายแขง็ แรง๒๐ ศีลในพระพุทธศาสนานั้นมีมากมาย ศีลหาถือวาเปนศีลขั้นต่ําที่สุด เม่ือพิจารณาดูเน้ือหาของ ศีลหาแลวเราจะเห็นไดวา ศีลแตละขอ เปนขอหามที่เห็นไดอยางชัดเจนวาเปนส่ิงที่สรางความสงบสุขของสังคม เรานึกจินตนาการดูก็ไดวา มีประเทศอยูหน่ึงประเทศซ่ึงเปนประเทศท่ีอนุญาตใหผูคนฆาฟนกันได ขโมยส่ิงของหรือปลนชิงสมบัติของกันได ผิดลูกผิดเมียกันได พูดดาวาหมิ่นประมาทกันได หรืออนุญาตใหเสพยาเสพติดไดอยางเปดเผย แพรหลาย ประเทศดังกลาวมานี้ประชาชนจะมีชวี ติ อยไู ดเ ปน ปกตสิ ุขหรอื ไม เนื้อหาของศีลหาขอเรียกรองอยางต่ําสุดสําหรับความสงบสุขของสังคม ขาดศีลไปเพียงขอใดขอหนึ่ง สังคมยอมไมสามารถดํารงเปนปกติสุขได และนี้ก็คือความหมายของการที่ศีลหาเปนจริยธรรมขน้ั พืน้ ฐานในทศั นะของพระพุทธศาสนา ๒.๒ จรยิ ธรรมระดบั กลาง จากการศึกษาจุดหมายและประโยชนของจริยธรรมระดับกลาง อันไดแกหลักกุศลกรรมบถ๑๐ ประการ กุศลกรรมบถ ๑๐ แปลวา ทางแหงกุศลกรรม น้ีจัดเปนทางฝายดี อันเปนทางแหงความดี ๑๙เรอ่ื งเดียวกัน, หนา ๖๔. ๒๐เรื่องเดียวกนั , หนา ๔๒๘.

๑๖ที่จะนําผูประพฤติปฏิบัติไปสูความสุขความเจริญ กุศลกรรมบถนี้บางทีก็เรียกวา “สุจริต” “กุศลกรรมบถน้ีเปนศีลธรรมระดับกลาง เพราะมีคุณธรรมประณีตข้ึน ดังนั้นธรรมทั้งสองฝายจึงเปนของคูกัน” ๒๑ ดงั จะศกึ ษาไดดังน้ีฝา ยอกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ฝายกศุ ลกรรมบถ ๑๐ เปน การกระทาํ ทางกายมี ๓๑. ปาณาตบิ าต ฆา สตั ว ๑ . ปาณาตปิ าตา เวรมณี เวน จากการฆา สตั ว๒. อทนิ นาทาน ลักทรพั ย ๒. อทนิ นาทานา เวรมณี เวน จากการลักทรพั ย๓. กาเมสมุ ิฉาจาร ประพฤตผิ ิดในกาม ๓. กาเมสุมฉิ าจาราเวรมณี เวน จากประพฤตผิ ิด ในกาม เปน การกระทาํ ทางวาจามี ๔๔. มสุ าวาท พดู เทจ็ ๔. มสุ าวาทา เวรมณี เวน จากการพดู เทจ็๕. ปสุณาวาจา พูดสอเสียด ๕. ปสณุ าย วาจาย เวรมณี เวนการพดู สอ เสยี ด๖. ผรสุ วาจา พดู คาํ หยาบ ๖. ผรสุ าย วาจาย เวรมณี เวนการพดู คาํ หยาบ๗. สมั ผปั ปลาปะ พูดเพอเจอ ๗. สัมผัปปลาปา เวรมณี เวน การพดู เพอเจอ เปนการกระทาํ ทางใจ มี ๓๘. ภชิ ฌาโลภอยากไดของเขา ๘. อภชิ ฌา ไมโ ลภอยากไดของเขา๙. พยาบาท ปองรา ยเขา ๙. อพยาบาท ไมปองรา ยเขา๑๐ มจิ ฉาทฏิ ฐิ เห็นผิดจากครองธรรม ๑๐. สมั มาทฏิ ฐิ เหน็ ชอบตามครองธรรมดังน้นั จงึ สรุปไดวา จริยธรรมข้นั กลางเพื่อเปนการปฏิบัติทางจิตใจดวย การกระทําตามกุศลกรรมบถท้งั ๑๐ ประการ ผูรักที่จะทําดีจะตองปฏิบัติใหถูกทาง เปนการสรางความดีใหแกตนเอง เพ่ือความสุขสงบของชีวิตและเพื่อจริยธรรมข้ันสูงข้ึนไปอีก สวนทางฝายไมดีจัดเปนความช่ัวนําความทกุ ขความเดือดรอ นมาใหแ กผ ปู ฏิบตั แิ ละตลอดจนสังคม ก็จัดหามไว เรียกวา อกุศลกรรมบถ ๑๐ บางทีเรียกวา ทุจริต เพอ่ื ปฏิบัติทางจิตใจดวย การกระทําตามกุศลกรรมบถท้ัง ๑๐ ประการ ผูรักที่จะทําดีจะตองปฏิบัติใหถูกทาง เปนการสรางความดีใหแกตนเอง เพ่ือความสุขสงบของชีวิตและเพื่อจริยธรรมข้ันสูงข้ึนไปอีก สวนทางฝายไมดีจัดเปนความช่ัวนําความทุกขความเดือดรอนมาใหแกผูปฏิบัติและตลอดจนสงั คม กจ็ ดั หา มไว เรียกวา อกุศลกรรมบถ ๑๐ บางทีเรียกวา ทุจรติ ๒๑ไสว มาลาทอง, คูมือ การศึกษาจริยธรรม สําหรับนักเรียน นิสิต นักศึกษา นักบริหารนกั ปกครองและประชาชนผูส นใจทวั่ ไป, อางแลว, หนา ๒๐๒.

๑๗จุดมุงหมายและประโยชนข องจริยธรรมระดบั กลาง ๑. จุดมุงหมายของการหามประพฤตผิ ิดทางกายกรรม ๓ ๑) เพอ่ื ไมใ หท าํ ลายชีวิตอืน่ ๒) เพอ่ื ไมผูกเวรตอ กัน ๓) เพอ่ื ไมเบยี ดเบยี นตอ สัตวทง้ั หลาย๒๒ ๔) เพ่อื ละอทินนาทาน ๕) เพอื่ ละกาเมสมุ จิ ฉาจาร๒๓ ๒. ประโยชนของการรกั ษากายกรรม ๓ ๑) เปน ผูประกอบดว ย เมตตาและความเอ็นดู ๒) เปนผูมคี วามละอาย ๓) เปนผูมคี วามเกอ้ื กลู ๔) เปนผมู คี วามซ้อื สัตย ๕) เปน ผูไมมเี วร ไมมีภยั ไมถกู เบียดเบยี นดว ย๒๔ ๓. จุดมงุ หมายของการหามประพฤตผิ ิดทางวจกี รรม ๔ ๑) เพ่อื ไมเ ปน ผกู ลาวมสุ าวาท ๒) เพ่ือไมเ ปนผกู ลาววาจาสอ เสียด ทําลายคนอนื่ ๓) เพอ่ื ไมเปน ผูกลาววาจาหยาบคายแกค นอน่ื ๔) เพอ่ื ไมเปน ผมู วี าจาเพอ เจอ ๒๕ ๔. ประโยชนข องการรักษาวจีกรรม ๔ ๑) ทาํ ใหเปน ผูสมานคนผูแ ตกสามัคคี ๒) ทําใหเ ปนผูสนับสนุนคนท่ีสามคั คีกนั อยูแ ลว ๓) ทําใหเปน ผมู วี าจาเสนาะโสต เปน ท่ีรกั ซ้งึ ใจ แกค นอ่นื ๔) ทาํ ใหเปนท่ีรักและชอบใจของคนอื่น ๒๒วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม, คูมือการศึกษาธรรมชั้นโท, พิมพคร้ังที่ ๖, (กรุงเทพฯ :โรงพิมพมหามกฎุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๘), หนา ๑๙๒. ๒๓วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม, คูมือการศึกษาธรรมช้ันเอก, พิมพคร้ังที่ ๕, (กรุงเทพฯ :โรงพิมพมหามกฎุ ราชวิทยาลยั , ๒๕๔๗), หนา ๑๗๗. ๒๔เรือ่ งเดียวกัน. ๒๕เรอื่ งเดยี วกัน, หนา ๑๘๔.

๑๘ ๕) ทําใหเปนผูพดู ถกู กาลเวลา มีเหตผุ ล มหี ลักฐาน มที ่อี าง๒๖ ๕. จุดมุงหมายของการหามประพฤตผิ ดิ ทางมโนกรรม ๓ ๑) เพอ่ื เปน ผไู มม ากไปดวยความเพ็งเลง็ คดิ เอาของคนอืน่ ๒) เพื่อเปน ผูไ มมใี จพยาบาทประทษุ รา ยผูอื่น ๓) เพ่อื เปน ผูไ มมที ศั นะอนั วิปรติ ผดิ จากทาํ นองครองธรรม๒๗ ๔. ประโยชนของการรักษามโนกรรม ๓ ๑) ทาํ ใหเปน คนไมผ ูกอาฆาตคนอน่ื ๒) ทาํ ใหเ ปนคนไมจ องเวร ไมเ บียดเบยี นกัน ๓) ทาํ ใหเปนคนมองโลกในแงดี ๔) ทําใหเ ปน ผไู มมีโรคภัยเบยี ดเบยี น มอี ุปสรรคในการทํางานนอ ย๒๘ ๒.๓ จริยธรรมระดับสงู จาการศึกษาการดําเนินชีวิตอยูในสังคมอยางมีความสุขตามแนวพุทธจริยศาสตรศึกษากรณีทิศ ๖ ทําใหพบวาจุดมุงหมายและประโยชนสูงสุดของจริยธรรมระดับสูง อันไดแกมรรคมีองค ๘หรือ อริยมรรค ๘ ประการ ไดแก ๑. สัมมาทฏิ ฐิ ความเหน็ ชอบ ๒. สัมมาสังกปั ปะ ความดาํ รชิ อบ ๓. สมั มาวาจา การเจรจาชอบ ๔. สมั มากัมมันตะ ทําการงานชอบ ๕. สมั มาอาชวี ะ การเลย้ี งชพี ชอบ ๖. สัมมาวายามะ ความเพียรพยายามชอบ ๗. สมั มาสติ การตั้งสติไวชอบ ๘. สัมมาสมาธิ การต้งั ใจไวชอบ๒๙ พุทธจริยศาสตรศึกษาถึงหนาท่ีของมนุษย โดยถือวามนุษยทุกคนเกิดมาไมวาชายหรือหญิงเด็กหรือผูใหญ ลวนแลวแตมีหนาที่จะตองทําและรับผิดชอบดวยกันท้ังนั้น เชน บิดามารดามีหนาที่ ๒๖เรอื่ งเดยี วกัน. ๒๗เร่อื งเดยี วกัน. ๒๘เรือ่ งเดยี วกัน. ๒๙ทองหลอ วงศธ รรมา, ปรชั ญาอนิ เดีย, อางแลว, หนา ๒๖๗.

๑๙เล้ียงดูบุตร และอบรมส่ังสอนบุตรแตในทางที่ดี สวนบุตรมีหนาท่ีเลี้ยงดูทานในวัยชรา เชื่อฟงคําสั่งสอนของทา นและปฏบิ ัตภิ ารกิจตา ง ๆ แทนทานได จริยธรรมข้ันสูงประกอบดวยธรรมท่ีปฏิบัติเพื่อความหลุดพนจากความทุกขเปนปรมัตถธรรม หรือ ธรรมระดับท่ีจะทําใหผูเปนพระอริยบุคคลเปนโลกุตตรธรรม คืออริยสัจธรรม ๔ มรรคองค ๘ ปฎิจจสมปุ บาท หรือ อทิ ัปปจ จยตา อรยิ สัจ ๔ อริยสัจ ๔ แปลวา “ความจริงอันประเสริฐ” ความจริงท่ีทําใหสําเร็จเปนอริยบุคคลไดมี ๔อยา ง คือ ๑. ทุกข รสู ภาวะท่เี ปนทุกขสภาพท่ีคงทนอยูไมได สภาพท่ีทนอยูไดอยาก ความไมสบายกาย ความไมสบายใจ ๒. สมุทัย เหตใุ หเกดิ ทุกข ไดแกตณั หาความทยานอยาก ๓ อยา ง ๓. นโิ รธ ธรรมเปน ทดี่ บั ทกุ ข ความดับทกุ ข ไดแกตัณหา ไดสิน้ เชิง ๔. มรรค ขอปฏิบัติเพ่ือใหถึงธรรมเปนที่ดับทุกข ๓๐ไดแก มรรค ๘ อยาง ในอริยสัจ ๔ประการนี้ จัดเปนเหตุ ๒ อยาง จัดเปนผล ๒ อยาง คือ สมุทัย และมรรคจัดเปนเหตุสวนทุกขและนิโรธจดั เปน ผล ทกุ ข หมายถึงสงิ่ ที่ทนไดย าก พระพทุ ธองคท านไดตรัสรูเรื่องทุกขเปนลําดับแรกคนทั่วไปรูวาตัวทุกข แตไมรูวาอะไรมาทําให เปนทุกข โดยสรุปทุกขมี ๒ ประเภท คือ ทุกขประจํา ทุกขจรถาแยกเปน กองทกุ ข ทุกขประจาํ มี ๓ กอง เรียกวา สภาวะทกุ ข ทุกขจรมี ๘ กอง เรยี กวา ปกณิ กทกุ ข ทกุ ขป ระจาํ หรอื สภาวะทกุ ข คือ รวมทงั้ ส้ิน ๑๑ กอง ๑. ชาตทิ กุ ข แปลวา เกิดเปน ทุกข ๒. ชราทกุ ข แปลวา แกเ ปน ทกุ ข ๓. มรณทกุ ข แปลวา ตายเปนทกุ ข ๓๑ สภาวทุกขนี้เกิดมาแลวตองประสบทุกขเหลาน้ีทุกคนไมมียกเวน ไมวาประเภทไหนสิ่งมีชีวิตและสงิ่ ไมมีชวี ิตทุกประเภทจะตอ งมีดว ยกันทุกอยา ง ปกิณกทกุ ข หรอื ทุกขจร ๘ ประการ คอื ๓๐พระธรรมปฏก (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธธรรม, พิมพครั้งที่ ๙, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๓), หนา ๙๐๒. ๓๑ไสว มาลาทอง, คูมอื การศกึ ษาจริยธรรม สาํ หรบั นักเรยี น นิสติ นักศกึ ษา นกั บริหาร นักปกครองและประชาชนผูสนท่วั ไป, อา งแลว, หนา ๒๐๖.

๒๐ ๑. โสกะ ความโสก ความเสียใจ ๒. ปรเิ ทวะ ความรําพนั บน เพอ ตัดอาลยั ไมข าด ๓. ทกุ ขะ ความไมส บายกาย เจบ็ ปวย ๔. โทมนัสสะความนอยใจ ความเสยี ใจ ๕. อุปายาสะ ความคบั ใจ ตรอมใจ ๖. สัมปโยคะ ความประสบสง่ิ ทเ่ี กลียด ๗. วปิ ปโยคะ ความประสบส่ิงท่ีพรากจากสิ่งรัก ๘. นลภะ ความผิดหวงั ไมไดส ิ่งที่ตนอยากได๓ ๒ สมุทัย หมายถงึ อะไรทาํ ใหค นทกุ ข พระพุทธองคทรงคน พบวาท่ีทําใหเกิดทุกข เรียกวาตณั หา มี ๓ ประการ คอื ๑. กามตัณหา ความอยากในกามคณุ คอื รูป เสยี ง กล่นิ รส โผฏฐัพพะ ๒. ภวตัณหา ความอยากในภพ ไดแก ความอยากที่ประกอบดวยสันสตทิฎฐิ คือ คิดวา ตน และโลกเปนของยั่งยนื ๓. วิภวตัณหา ความอยากปฎิเสธภพ ไดแกความอยากท่ีประกอบดวยอุจเฉททิฏฐิ คือ เห็น ผิดวาตนและสตั วต ายแลวสูญ๓๓ นิโรธ ธรรมเปนท่ีดับทุกข ธรรมเปนที่ดับตัณหา การเขาสูนิพพานซ่ึงมี ทั้งสอุปาทิเสสนนิพพาน และอนุปาทิเสสนนิพพาน หรือบุคคลท่ีเขาถึงนิพพานของพระเสขะ และนิพพานของพระอเสขะ มรรค ปญญาท่ีรูแจงเห็นจริงวา ส่ิงนี้ทุกข ส่ิงน้ีเปนเหตุใหเกิดความทุกขและเปนธรรมที่ดับความทุกขได ตลอดจนส่ิงนี้เปนแนวทางหรือขอปฏิบัติใหถึงความดับทุกข ที่ไดช่ือวา มรรคเพราะเปน ขอปฏบิ ตั ใิ หถึงความดับทกุ ขได มี ๘ ประการ (กลาวมาแลวในหนา ๙-๑๐) อริยสัจ ๔ ประการน้ี เปนหลักธรรมสําคัญย่ิงในพระพุทธศาสนา พระพุทธองคไดสําเร็จเปนพระสัมมาสัมพุทธเจาก็เพราะไดตรัสรูอริยสัจ ๔ น้ีผูท่ีเปนปุถุชนจะสําเร็จเปนพระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนาไดคือ เปนพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และอรหันต ก็เพราะปฎิบัติธรรมคืออริยสัจ ๔ นเ้ี ปน ประการสําคญั ปฏจิ จสมุปบาท หรอื อิทัปปจยตา ๑๒ อยาง ๓๒เรือ่ งเดียวกนั , หนา ๒๐๗. ๓๓พระธรรมปฎก ( ป.อ. ปยุตโต ), พจนานุกรมฉบับประมวลธรรม, พิมพคร้ังที่ ๙,(กรุงเทพฯ : โรงพิมพม หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วดั มหาธาต,ุ ๒๕๔๓), หนา๑๐๑.

๒๑ ปฏิจจสมุปบาท คือ กฏแหงธรรมชาติ เปนธรรมเกี่ยวเน่ืองกัน อาศัยกันสัมพันธกัน พึ่งพาอาศัยกันข้ึนเปนกฎแหงเหตุผล ปฏิจจสมุปบาทนี้ ไดแสดงถึงกฎแหงธรรมชาติของสรรพสิง่ ทม่ี กี ารสืบตอกนั ไมมกี ารอยนู ิง่ หรอื ไมม ีอะไรคงทตี่ อ งตกอยใู นลักษณะ ๓ ประการน้ี คือ ๑. ความเกดิ ขึ้นในเบ้ืองตน ๒. ความแปรปรวนในทา มกลาง ๓. ความแตกดับหรือสลายไปในท่ีสดุ ปฏิจจสมุปบาท เปนกฎแหงสังสารวัฏ คือ เปนวงจรแหงความทุกขอันเกิดขึ้นมาจากสมุทยั คอื กิเลส – ตณั หา กรรม และวิบาก พระพุทธองคตรัสเร่ืองอิทัปปจจยตาไววา “ ภิกษุทั้งหลายความสงสัยไดเกิดแกเราเม่ือมีอะไรหนอ ชรา มรณะ จึงไดมี ชรา มรณะ มีเพราะปจจัยอะไร “ ความจริงปรากฏแกพระพุทธองควา เพราะชาตินเ้ี องมอี ยู ชรา มรณะ จงึ ไดม ี ชรา มรณะมี เพราะ ชาติ เปน ปจจัย เพราะภพน้ีเองมอี ยู ชาติ จงึ ไดม ี ชาตมิ ีเพราะ ภพ เปน ปจ จัย เพราะอุปาทานนเ้ี อง ภพ จงึ ไดมี ภพมี เพราะอปุ ทาน เปนปจ จยั เพราะตณั หานเี้ องมอี ยู อุปาทาน จงึ ไดม ี อุปาทานมี เพราะ ตัณหา เปน ปจจยั เพราะเวทนานเี้ องมีอยู ตณั หา จึงไดม ี ตณั หามี เพราะ เวทนา เปนปจจยั เพราะผัสสะนเี้ องมอี ยู เวทนา จึงไดมี เวทนามี เพราะ ผสั สะ เปน ปจ จยั เพราะสฬายตนะนเี้ องมีอยู ผสั สะ จึงไดม ี สฬายตนะมี เพราะนามรปู เปนปจจยั เพราะวญิ ญาณนเี้ องมีอยู นามรูป จึงไดมี นามรปู มี เพราะวญิ ญาณ เปน ปจ จยั เพราะสังขารนเ้ี องมีอยู วญิ ญาณ จงึ ไดม ี วญิ ญาณมี เพราะสังขาร เปนปจจยั เพราะอวชิ ชานีเ้ องมอี ยู สงั ขาร จงึ ไดมี สงั ขารมี เพราะ อวิชชา เปน ปจ จัย๓๔ ท่ีกลา วมาขางตน น้ี เปน ภาษาบาลี มี ๒ สาย คอื สายเกิด (สมทุ ยวาร) ดังนี้ อวชิ ชฺ าปจจฺ ยา สงฺขารา สงฺขาราปจจฺ ยา วิฺญาณํ วิญฺ าณปจจฺ ยา นามรปู นามรปู จจฺ ยา เวทนา ๓๔ไสว มาลาทอง, คูมือ การศึกษาจริยธรรม สําหรับ นักเรียน นิสิต นักศึกษา นักบริหารนักปกครองและประชาชนผูสนท่วั ไป, อา งแลว, หนา ๒๑๐-๒๑๑.

๒๒เวทนปจฺจยา ตณหฺ าตณหฺ าปจจฺ ยา อปุ าทานํอปุ าทานปจจฺ ยา ภ โวภวปจจฺ ยา ชาติชาตปิ จฺจยา ชรามรณํโสกปรเิ ทวทกุ ขฺ โทมนสฺสปุ ายาสา สมฺภวนตฺ ิเอวเมตสฺส เกวลสสฺ สมุทโย โหติ ๓๕สายดับ (นโิ รธวาร) ดังน้ีอวิชฺชาย (เตววฺ ) อเสสสวิราคนโิ รธา สงขฺ ารรานโิ รโธสงขฺ ารานโิ รธา นามรูปนโิ รโธนามรปู นิโรธา สฬายตนนิโรโธสฬายตนนิโรธา ผสฺสนิโรโธผสฺสนิโรธา เวทนานิโรโธเวทนานโิ รธา ตณหฺ านิโรโธตณฺหานโิ รธา อปุ าทานนโิ รโธอปุ าทานนโิ รธา ภวนโิ รโธภวนิโรธา ชรานิโรโธโสกปริเท วทกุ ขฺ โทมนสฺสุปายาสา นิรุชฺฌนตฺ ิเอวเมตสสฺ เกวลสสฺ ทุกฺขกฺขนฺธสสฺ นิโรโธโหต.ิ ๓๖ถา จะยอ เปน วงจรลงใน กเิ ลส กรรม และวบิ าก จะไดด ังนี้อวิชชา + ตณั หา + อุปาทาน จดั เปน กเิ ลสสงั ขาร + ภพ จัดเปน กรรมวญิ ญาณ + ทเี่ หลือทั้งหมดจดั เปน วบิ าก๓๗ปฏิจจสมุปบาท เปนหลักธรรมท่ีแสดงใหเห็นถึงกระบวนการเกิดการดําเนินไปและการดับไปของชีวิต รวมถึงการเกิด – การดับแหงทุกขดวย ในกระบวนการนี้ ส่ิงทั้งหลายจะเกิดข้ึน-เปนอยู และดับลงไปในลักษณะแหงความสัมพันธกันเปนหวงโซ เปนเหตุเปนปจจัยแกกันและกัน๓๕เรอ่ื งเดยี วกนั , หนา๒๑๑.๓๖เรอ่ื งเดียวกนั , หนา ๒๑๒.๓๗ทองหลอ วงศธ รรมา, ปรัชญาอนิ เดีย, อางแลว , หนา ๒๑๐.

๒๓ในรูปของ วงจร กลาวคือ เปนกระบวนการแหงความสัมพันธกันเปนหวงโซ ในกระบวนการแหงปฏิจจสมุปบาทน้ันไมมีสวนไหนเปนปฐมกร หรือปฐมเหตุ เพราะกระบวนการของชีวิตเปนวัฏฏะแหงกิเลส กรรม วิบาก ซ่ึงกลายเปนวัฏสงสาร แตอยางไรก็ตามในการพยายามอธิบายกระบวนการแหง ชีวิตตามหลกั ปฏิจจสมุปบาทนจ้ี าํ เปน ตองหาจุดเร่ิมตนอธิบายใหเห็นวาเปนเหตุเปนปจ จยั อยางไรกอน ดังน้ัน “จึงสมมุติเริ่มจากอวิชชา โดยอธิบายอวิชชาเปนปจจยจึงมีสิ่งอ่ืน ๆ ตามมาเปนวัฏจักรนําไปสูทุกข ในทํานองเดียวกัน ถาอวิชชาดับไปไมเหลือก็จะเปนเหตุ ไปสูการดับทุกขไดในที่สุด เพราะความเปนไปของชีวิตมีสภาวะเปนวงจรท่ีเรียกวาสังสารวัฏ ดังนั้นเบื้องตนทา มกลางและทส่ี ดุ ของสงั สารวัฏ จึงไมปรากฏ”๓๘ จากศึกษาทําใหทราบวาหลักปฏิจจสมุปบาทน้ีทําใหมองเห็นวา ชีวิตที่ไมรูความเปนจริง(อวิชชา) ในสภาวะที่ เปนไปตามกฎของธรรมชาตินั้น ก็สรางความเปนตัวตนขึ้นมาจากนั้น ก็สรางอารมณต า ง ๆ ข้ึนมาปรุงแตง โลกของตนเพอื่ ทใี่ หสนองตัณหาอุปาทาน เชนนี้นับไดเปนชีวิตที่อยูในกองทกุ ขและชวี ิตจงึ กลายเปน ตวั ทุกขไ ปดวย จุดมุงหมายและประโยชนของจริยธรรมระดบั สูง ๑.จุดมงุ หมายของการดําเนนิ ชีวติ ตามหลกั อรยิ มรรค ๘ ๑. เพื่อเปน ผมู ีปญ ญา มีทศั นะถกู ตอ งเปนหลักดําเนินชีวติ ๒. เปนผูมีความเห็นถูกตองตามความจริงโดยธรรมชาติของชีวิต คือ เห็นความทุกข เห็นเหตุใหเ กดิ ทุกข เหน็ ธรรมท่จี ะดับทกุ ข และทางปฏบิ ตั ิเพ่ือดบั ทกุ ข๓๙ ๒. ประโยชนของการดําเนนิ ชีวิตตามหลกั อรยิ มรรค ๘ ๑. ยอมเปนผูค วรของคาํ นบั ๒. ยอมเปนผคู วรของตอนรับ ๓. เปน ผูควรแกทักษิณา ๔. เปน ผูควรอญั ชลกี รรมเปนนาบุญของโลก๔๐ การปฏิบัติตามหลักพระพุทธศาสนาน้ันอาจกลาวไดวารวมอยูในองคท้ัง ๘ ของอริยมรรคอันเปนจริยศาสตรระดับสูงนั้น ซ่ึงหลักท้ัง ๘ น้ี เปนหลักสากลสําหรับนําไปสูจุดมุงหมายสูงสุดของ ๓๘เดือน คาํ ดี, พทุ ธปรัชญา, อา งแลว , หนา ๘๓. ๓๙แสง จันทรงาม, ประทีปธรรม, พิมพครั้งท่ี ๓, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพสรางสรรคบุคส,๒๕๔๔), หนา ๗๒-๗๓. ๔๐แสง จันทรงาม, พระพุทธศาสนาจากพระโอษฐ, พิมพคร้ังท่ี ๓, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพสรางสรรคบุค ส, ๒๕๔๔), หนา ๕๓.

๒๔ทุกชีวิต คือความพนทุกข ไมวาใครก็ตามถาปฏิบัติถูกตองตามหลักจริยธรรมระดับสูง ๘ ประการนี้แลว กจ็ ะสามารถบรรลุถึงความพน ทกุ ขได๓. ความสาํ คัญของพทุ ธจริยศาสตร พุทธศาสนาเปนศาสนาที่เกิดจากการคิดหาเหตุผล ของพระพุทธเจาท่ีจะแกไขปญหาชีวิตของมวลมนุษยชาติ ซ่ึงอาจจะมีปญหาสวนบุคคล และปญหาสวนรวมท่ีเรียกวา ปญหาสังคม และในท่ีสดุ พระพุทธเจาก็ไดป ระสบความสําเรจ็ ในการคดิ หาเหตุผล ในการแกป ญหาชีวิตของมนษุ ยและพระองคก็ทรงเปยมดวยพระมหากรุณาธิคุณ ไดนําเอาเหตุอันนั้นมาเพื่อเผยแผชวยแกปญหาชีวิตมนุษยไดเปนอเนกอนันต และเหตุผลอันน้ันก็กลายเปนคําสอนและไดแพรหลายไปยังสวนตาง ๆของโลกโดยพระองคเอง และการดําเนินงานของพระสาวกของพระองค แมพระองคจะปรินิพพานไปแลวก็ตาม ประเทศไทยก็เปนประเทศหน่ึงท่ีไดรับเอาคําสอนของพระพุทธองคมาเปนแนวทางในการแกไขปญหาชวี ติ และการดาํ รงชวี ิต ดังน้ัน “วิถีชีวิตของคนไทยหรือสังคมไทยในดานตาง ๆ กับพระพุทธศาสนาจึงมีความสมั พันธกนั อยา งแนบแนน จากราชสาํ นกั จนถึงครอบครวั ชาวบาน เร่ิมตงั้ แตสมยั สโุ ขทัยเปนตนมา พระพุทธศาสนาไดเ ปนรากฐานของศีลธรรมและวฒั นธรรมไทย พระพุทธศาสนาไดเปนศาสนาประจําชาติไทยตลอดมาโดยไมขาดสายเปนเวลา ๗๐๐ ปเศษ” ๔๑ ขนบธรรมเนียมประเพณีและระบบจรรยาบรรณท้ังหลาย และวัฒนธรรมอันดีงามดานอื่น ๆ ของไทย ลวนมีรากฐานมาจากพระพุทธศาสนาทั้งส้ิน พุทธศาสนาไดมีอิทธิพลอยูอยางมากตอจิตใจของคนไทย และไดแสดงออกมาในรูปของนิสัย หรือความเมตตาปราณีและความโอบออมอารี ส่ิงเหลานี้อาจเรียกไดวาเปนลักษณะเฉพาะทีม่ ีอยูในสังคมไทย อนั เปนจรยิ ธรรมสังคมแบบพุทธนนั่ เอง สังคมไทยกลายเปนสังคมพุทธ เมืองไทยกลายเปนเมืองพุทธ มีคานิยมวาดวยความเมตตากรุณาตอผูตกทุกขไดยาก ความโอบออมอารีชวยเหลือซึ่งกันและกัน การวางตนใหเหมาะสมกับกาละเทศะ มีสัมมาคารวะออนนอมถอมตนตอผูหลักผูใหญ มีขนบธรรมเนียมประเพณีอันเปนลักษณะเอกลักษณของชาติไทยตาง ๆ เชน ประเพณีการบรรพชาอุปสมบท ประเพณีทําบุญตาง ๆประเพณีการประกอบพิธีกรรมเน่ืองในวันสําคัญทางศาสนา ประเพณีทําบุญเนื่องในวันสําคัญของชาติ ฯลฯ สงั คมไทยเปนสงั คมที่มพี ระพทุ ธศาสนาชวยกลอมเกลาโนนนา วจิตใจ และสรา งสํานึกทาง ๔๑คูณ โทขันธ, พุทธศาสนากับชีวิตประจําวัน, (กรุงเทพฯ : โอ.เอส.พร้ินต้ิงเฮา, ๒๕๓๗),หนา ๕๕.

๒๕ศีลธรรม โดยมีวดั และพระสงฆเปนกลไกลที่สําคัญในการรวบรวมสมาธิของสังคมใหเปนพลเมืองท่ีดีของประเทศ หลักจริยธรรมหรือหลักความประพฤติเพื่อละการทําช่ัว เลือกกระทําแตกรรมดีนั้นเปนหนาท่ีของมนุษยทุกคนท่ีควรปฏิบัติใหได แตพระพุทธองคยังทรงแสดงถึงหลักคุณธรรมที่บุคคลควรปฏิบัติตอกันในสังคม การปฏิบัติตามหลักจริยธรรมสังคมก็คือ การปฏิบัติธรรมหรือหนาที่ท่ีเหมาะแกฐานะของตนในสังคม ฐานะน้ีอาจเปนฐานะทางสังคมธรรมดา เชน เปนพอ แม ญาติครู อาจารย หรือ เปนฐานะทางการปกครองซึ่งเปนสังคมในแงกฎหมาย เชนเปนผูปกครอง เปนผูไดปกครอง ธรรมเพื่อความสัมพันธระหวางบุคคลในสังคมน้ัน พระพุทธองคไดทรงตรัสรูไวในเร่ืองทิศ ๖ ในสิงคาลกสูตร อยางละเอียด ในเรื่องนี้พระพุทธองคทรงยกเอาตัวเปนศูนยกลางแลวพิจารณาวาตองมีความสัมพันธกับใครบาง ตัวเราในท่ีน้ีก็แทนคนแตละคนน้ันเอง กลาวคือ คนแตละคนตองเปน หรือตองเก่ียวของกับคนอ่ืนในฐานะตาง ๆ ตามท่ีพระพุทธองคทรงสอนไวทั้งสิ้นเมื่ออยูในฐานะใด ปฏิบัติอยางไร และควรปฏิบัติตอผูท่ีเราเกี่ยวของซึ่งมีฐานะอีกอยางหน่ึง อยางไรบา ง พระพทุ ธองคทรงเปรยี ญเทียบคนซ่งึ อยูแวดลอ มและมคี วามสมั พนั ธกบั เราวา เหมือนทศิ ตางๆ ๖ ทิศ ไดแก มารดาบิดา เปนทิศเบื้องหนา ครูอาจารย เปนทิศเบื้องขวา บุตรภรรยาเปนทิศเบื้องหลัง มิตรอํามาตยเปนทิศเบ้ืองซาย ทาสกรรมกรเปนทิศเบื้องต่ํา สมณะพราหมฌเปนทิศเบ้ืองบน ซ่ึงเปนการแสดงวา คนเราตกอยูในส่ิงแวดลอม และมิใชส่ิงแวดลอมเปนวัตถุเทานั้น ยังมีส่ิงแวดลอมที่เปนคนซ่ึงตองสัมพันธกับเราดวย ในธรรมเรื่องทิศ ๖ นี้แสดงใหเห็นวา เปนคําสอนที่กําหนดการกระทาํ และการตอบแทนท้ังสองฝายไมใชฝายหนง่ึ เปน ฝา ยใหหรอื ฝายรับเพียงอยางเดียวเปน การยึดหลักสิทธิและหนา ทตี่ ามจริยศาสตรส ังคมวาดวยทศิ ท้ัง ๖ หรือ หลกั มนษุ ยส ัมพันธข องคนตา งฐานะในสังคม๔. ระดบั ของพุทธจรยิ ศาสตร พทุ ธปรชั ญาไดแ สดงหลักปฏิบัติเพอ่ื เปน ทางนําไปสคู วามดีที่สุดอันเปนจุดหมายสูงสุดของชีวิตไว ๓ ขั้น เรียกวา ไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปญญา ศีลเปนข้ันตน สมาธิเปนข้ันกลางและปญญาเปนข้ันสุดทาย แตละขั้นในทางปฏิบัติยอมสนับสนุนกันและกันจากข้ันตํ่าไปหาขั้นสูงกลาวคือ ศีลเปนคุณธรรมขั้นพื้นฐานท่ีปรับบรรยากาศใหเหมาะกับการบําเพ็ญสมาธิ และการบําเพ็ญสมาธิไปสูความมีปญญา เม่ือชีวิตไดดําเนินไปครบบริบูรณตามขั้นตอนเหลานี้แลวเรียกวา ชีวิตอันประเสริฐ (พรหมจรรย) เปนอันไดอยูจนครบรอบซ่ึงชีวิตบริบูรณแลว แตอยางไรก็ตามแมการฝกอบรมชีวิตท้ัง ๓ ขั้นนี้ จะมีบรรยากาศเก้ือกูลกันและกันก็ตาม แตองคคุณธรรมของแตละข้ันก็มี

๒๖ขอบเขตจํากัดของตนเอง น้ันก็คือ ศีล มีหนาท่ีฝกอบรมกาย วาจา ใหเรียบรอย ซ่ึงเปนบอเกิดแหงคณุ ธรรมอน่ื ๆ อกี สมาธทิ าํ หนา ท่ีฝกจิตใหละเอียดออนเหมาะแกการทํางาน คือ พิจารณารูสรรพส่ิงตามความความเปนจริง และปญญาทําหนาท่ีรูแจงแทงตลอดซ่ึงสัจธรรมทั้งปวง การปฏิบัติตามไตรสกิ ขาน้ี ก็คอื การเดนิ ตามหลกั มัฌมิ าปฎปิ ทา หรือ อริยมรรค มอี งค ๘ ประการนั้นเอง การปฏิบัติตามมรรคมีองค ๘ ประการ หรือ ไตรสิกขายอมมีจุดหมายเดียวกันคือ การขจดั กเิ ลส หรือ อกุศลมูล อนั เปน สามเหตุแหง การกระทําชั่ว ซง่ึ จะกอใหเกิดผล คือ ทุกข น้ันเองกลาวคือ ศีลขจัดกิเลสอยางหยาบท่ีเรียกวา วิติกกมกิเลส สมาธิกําจัดกิเลสอยางกลางที่เรียกวา ปริยฏุ ฐากิเลส สวนปญ ญากาํ จัดกิเลสอยางละเอยี ดทเี่ รียกวา อนุสยั รวมเรยี กวา อกศุ ลกรรมบถ ๑๐ ดังน้ันพทุ ธจรยิ ธรรมจึงอาจแบงไดเ ปน ๒ ลักษณะ คอื ๑. เปนลักษณะแหง การกระทาํ กศุ ลกรรม จุดมุงหมายสงู สุดเพื่อขัดเกลา และชาํ ระกเิ ลสของตนเอง เรยี กวา จริยธรรมบคุ คล ๒. เปนลักษณะการปฏิบัติหนาท่ีตอบุคคลอ่ืนเพื่อความสงบสุขของสังคมเรียกวา จริยธรรมสังคม๔๒ อยางแรก คือ การรักษาศีลต้ังแตช้ันตํ่าท่ีสุดท้ังคฤหัสถและบรรพชิต ในแงนี้แมจะมีลักษณะเปน การกระทาํ ของปจเจกชนก็ตาม แตผลท่ีเกิดข้ึนยอมเก้ือกูลแกผูอื่น และสวนรวมกลาวอีกนยั หนงึ่ ก็คอื การรกั ษาศลี เรมิ่ ขน้ั จากปจเจกบุคคลกอนแลว จึงอํานวยผลตอ สงั คมตามมา อยางท่ีสอง เปนการปฏิบัติหนาท่ีตามพันธกรณีของมนุษยที่มีตอกันในฐานะที่มนุษยเปนสัตวสังคมการกระทําตามหนาที่โดยมุงประโยชนเพ่ือหนาที่เปนสําคัญ เพราะการปฏิบัติอยางนั้นตั้งอยูบนพ้ืนฐานแหงความเสียสละของแตละฝายเพ่ือธํารงไวซ่ึงความดีงาม และหนาท่ีของแตละฝายซ่ึงเกื้อกุลแกสัตวโลกท้ังมวล อันไดแก หลักธรรมทิศท้ัง ๖ ในสิงคาลกสูตร และหลักธรรมท่ีเอื้ออํานวยในการปฏบิ ตั ิหนา ทข่ี องแตล ะบุคคลสมบูรณย ง่ิ ขึ้น ซง่ึ จะกลา วตอไปในบทท่ี ๓ กลาวคือ จริยศาสตรสวนบุคคล คือ พื้นฐานจริยศาสตรสังคม กลาวใหเขาใจงาย ๆ ก็คือพุทธศาสนาถือวาระบบจริยศาสตรมีบทบาทท่ีสําคัญอยูสองบทบาท ไดแก ชวยใหบุคคลสามารถดํารงชีวิตสวนตัวของเขาอยูไดอยางเปนสุข และสังคมสวนรวมก็ดํารงอยูอยางปกติสุขดวย พุทธศาสนาเช่ือวา ความสงบของสังคมอิงอาศัยอยูกับจริยธรรมของแตละคนในสังคมเม่ือปจเจกบุคคลมีคุณธรรม สังคมสวนรวมยอมพลอยสงบสุขดวย จริยศาสตรสวนบุคคลเปนพื้นฐานของจริยศาสตรสังคมดังท่กี ลา วมาขางตน ๔๒เดือน คําด,ี พทุ ธปรชั ญา, อา งแลว, หนา ๑๕๔.

๒๗ จากการศึกษาความรูพ ้ืนฐานเก่ยี วกับพทุ ธจริยศาสตรต ามการดําเนนิ ชีวติ อยใู นสังคมอยางมีความสุขตามแนวพุทธจรยิ ศาสตรทาํ ใหท ราบวา จริยธรรมขั้นพื้นฐานของมนุษย เรียกวา มนุษยธรรม คือระเบียบที่กอใหเกิดความสงบสุขในสังคมของมนุษยทําใหคนเปนมนุษยท่ีสมบูรณ และธรรมท่ีคูกันก็คือ เบญจธรรม ๕ ทั้งเบญจศีลและเบญจธรรมที่เรียกวาเปน จริยธรรมข้ันมูลฐานน้ัน เพราะเปนขอปฏิบัติข้ันตน เปนพ้ืนฐานรองรับคุณธรรมชั้นสูงขึ้นไป เชนเดียวกับการลงรากเสาเข็มไวเปนอยางดียอมสามารถรับน้ําหนักอาคารสูงใหญหลายช้ันได การท่ีจะดูพื้นฐานหรือความม่ันคงของบุคคลก็สามารถท่ีจะดูไดพรอมกับบอกหรือคาดคะเนไดวา เปนอยางไร โดยเอาหลกั เบญจศีลและเบญจธรรมนี้เปน เคร่ืองมอื วดั จริยธรรมข้ันกลางนั้นเปนการปฏิบัติทางจิตใจดวย การกระทําตามกุศลกรรมบถทั้ง ๑๐ประการ ผูรักที่จะทําดีจะตองปฏิบัติใหถูกทาง เปนการสรางความดีใหแกตนเอง เพ่ือความสุขสงบของชีวิตและเพ่ือจริยธรรมขั้นสูงขึ้นไปอีก สวนทางฝายไมดีจัดเปนความชั่วนําความทุกขความเดือดรอนมาใหแ กผปู ฏบิ ัตแิ ละตลอดจนสงั คม ก็จดั หา มไว เรียกวา อกุศลกรรมบถ จริยธรรมข้ันสูงประกอบดวยธรรมที่ปฏิบัติเพ่ือความหลุดพนจากความทุกขเปนปรมัตถธรรม หรือ ธรรมระดับท่ีจะทําใหผูเปนพระอริยบุคคลเปนโลกุตตรธรรม คืออริยสัจธรรม ๔ มรรคองค ๘ ปฎิจจสมปุ บาท หรือ อทิ ปั ปจ จยตา ดังน้ันจึงกลาวไดวาพ้ืนฐานจริยศาสตรสังคม กลาวใหเขาใจงายๆ ก็คือ พุทธศาสนาถือวาระบบ จริยศาสตรมีบทบาทที่สําคัญอยูสองบทบาท ไดแก ชวยใหบุคคลสามารถดํารงชีวิตสวนตัวของเขาอยูไดอยางเปนสุข และสังคมสวนรวมก็ดํารงอยูอยางปกติสุขดวย พุทธศาสนาเช่ือวา ความสงบของสังคมอิงอาศัยอยูกับจริยธรรมของแตละคนในสังคมเม่ือปจเจกบุคคลมีคุณธรรม สังคมสวนรวมยอมพลอยสงบสุขดวย จริยศาสตรสว นบุคคลเปนพื้นฐานของจรยิ ศาสตรส งั คมเปนตน

บทท่ี ๓ หลกั พทุ ธจริยศาสตรในทิศ ๖๑. ความเปน มาของพทุ ธจรยิ ศาสตรท ศิ ๖ ในการศึกษาหลักการดําเนินชีวิตอยูในสังคมอยางมีความสุขตามแนวพุทธจริยศาสตรทิศท้ัง๖ ผูศึกษามุงท่ีจะศึกษาความเปนมาของพุทธจริยศาสตรทิศทั้ง ๖ ตามที่ปรากฏในพระสุตตันตปฎกการศึกษาหลักการดําเนินชีวิตอยูในสังคมอยางมีความสุขตามแนวพุทธจริยศาสตรทิศทั้ง ๖ ท่ีพระสัมมาสมั พทุ ธเจาไดต รัสเทศนาไวในสิงคาลกสตู รวา ดูกอนบุตรของคฤหบดี ในวินัยของพระอริยเจาไมไหวทิศทั้ง ๖ อยางนี้ สิงคาลมานพจึงกราบทูลวา ขาแตพระผูมีพระภาคเจา ในพระวินัยของพระอริยเจา ไหวทศิ ทัง้ ๖ อยางไร พระผมู ีพระภาคเจาทรงแสดงแกข าพระองคด ว ยเถิด พระเจา ขา ดูกอนบุตรคฤหบดี เพราะเหตุท่ีอริยสาวกไดละกรรมกิเลส ๔ ไมทําบาปดวย ฐานะ ๔ ไมประพฤติทางเสอ่ื มแหงโภคะ ๖ ประการ ปราศจากบาป ๑๔ ประการ อยางน้ีแลวก็ปกปดทิศทั้ง ๖ เสีย ปฏิบัติเพ่ือใหไดชัยชนะในโลกท้ัง ๒ ละโลกนี้ ไปสูโลกหนาแลว ก็ไดขึ้นไปเกิดในสุคติโลกสวรรค กรรมกิเลส ๔ ท่ีอริยสาวกละ แลวนนั้ ไดแ กปาณาติบาต ๑ อทนิ นาทาน ๑ กาเมสมุ จิ ฉาจาร ๑ มสุ าวาท ๑ ดังน๑้ี ครั้งหน่ึง สมเด็จพระผูมีพระภาคเจาประทับอยูท่ีพระเวฬุวัน ใกลกรุงราชคฤห ในคร้ังนั้น มีบุตรคฤหบดีคนหน่ึง ซ่ึงมีช่ือวาสิงคาลมานพ ต่ืนขึ้นแตเชาตรูแลวออกจากกรุงราชคฤหไป มีผาอันชุม มีผมอันชุม ประนมมือนอบนอมทิศท้ังหลายอยู คือนอบนอมทิศบูรพา ทิศทักษิณ ทิศปจฉิมทิศอุดร ทิศเบื้องตํ่า ทิศเบ้ืองบน อยูโดยลําพังคนเดียว สมเด็จพระผูมีพระภาคเจาไดเสด็จออกบิณฑบาตท่ีกรุงราชคฤห ทรงทอดพระเนตรเห็นสิงคาลมานพบุตรของคฤหบดี จึงตรัสถามวา“ดกู อ นบุตรของคฤหบดี เธอทําอะไรอยู สิงคาลมานพตอบวา ขาแตพระผูมีพระภาคเจา เม่ือบิดาของขาพระองคจะกระทํากาลกิริยาไดบอกไววา ลูกเอย เจาตองไหวทิศทั้งหลายนะ เมื่อขาพระองคจะสักการะเคารพนับถือบูชาซึ่งถอยคําของบิดา จึงต่ืนแตเชาออกจากกรุงราชคฤห มีผาอันชุม มีผมอันชมุ นอบนอ มทิศบูรพา ทิศทักษณิ ทิศปจ ฉิม ทศิ อุดร ทศิ เบือ้ งตํา่ ทศิ เบ้อื งบน”๒ ๑ที. ปา. ๑๑ / ๑๗๔ / ๗๘. ๒ที. ปา. ๑๑ / ๑๗๔ / ๗๙.

๒๙ ซึ่งในคร้ังน้ันบิดาของสิงคาลมานพเปนคฤหบดีมีทรัพยมาก ฝงไวถึง ๔๐ โกฏิ เปนอบุ าสกโสดาบันในพระพุทธศาสนา สว นมารดาน้นั กเ็ ปนโสดาบนั เหมือนกนั แตสิงคาลกมานพเปนคนไมมีความเล่ือมใสศรัทธา มารดาบิดาไดวากลาวสั่งสอนอยูเน่ืองๆ ใหไปหาพระอริยสาวก มีพระมหาโมคคัลาน พระมหากสั สป พระอสีติ เปน ตน สิงคาลมานพก็ตอบวา ขาพระเจาไมตองการที่จะไปหาพวกสมณะของบิดามารดา เพราะเมื่อไปหาสมณะตองไหว เม่ือกมตัวลงไหวก็ปวดหลัง คุกเขาลงก็เจ็บเขา แลวตองน่ังกับพื้น เม่ือนั่งกับพ้ืน ผาก็หมนหมอง เม่ือเขาไปนั่งสนทนากับทานจนเกิดความคุนเคยกันขึ้นแลว ก็ตองถวายจีวรบณิ ฑบาตแกท าน เปน ตน เมื่อเปนเชนน้ันก็เสียประโยชน เพราะฉะนั้น จึงไมอยากไปหาสมณะทั้งหลายของบิดามารดา ถึงแมวามารดาบิดาจะวากลาวสั่งสอนอยูจนตลอดชีวิตก็ดี ก็ไมอาจทําใหบุตรเขาในศาสนาไดในเวลาที่บิดามารดาของเขาจะตายจึงคิดวาควรจะใหโอวาทแกบุตรเมื่อคิดแลวจึงใหโอวาทสิงคาลมานพวา เจา จงนอบนอมทศิ ทง้ั หลายดงั น้ี เม่ือบุตรของเราไมรูจักความมุงหมายแหงคําสอนอันน้ีก็นอบนอมทิศท้ังหลาย พระศาสดาหรือพระสาวกทั้งหลายก็จะไปพบเขา ก็จะไดไตถาม เขาก็จะตอบวา บิดาของขาพระเจาไดสอนใหขาพระเจานอบนอมทิศท้ังหลาย ฝายพระบรมศาสดาหรือพระสาวกท้ังหลาย ก็จักกลาววา บิดาของเธอไมประสงคใหน อบนอมทิศเหลาน้ี ประสงคให นอบนอมทศิ เหลานี้ตางหาก ดังนี้ แลวทานก็จะแสดงธรรมใหฟง เม่ือเขารูจักคุณพระศาสนาแลวก็จัก ทําบุญกุศลตอไป เม่ือบิดาของสิงคาลมาณพนั้นคิดอยางน้ีแลว จึงไดส่ังสิงคาลมาณพ ใหตื่นแตเชาไหวทิศทั้งหลายใหได ซ่ึงธรรมดาถอยคําของบิดามารดาผูจักใกลตาย ยอมเปนท่ีระลึกถึงของบุตรตลอดชีวิต เพราะฉะน้ัน เมื่อสิงคาลมานพระลึกถึงถอยของบดิ า จึงออกไปไหวท ิศท้งั หลาย ภายนอกกรงุ ราชคฤหแตเ ชา ตามทไ่ี ดก ลาวมา สมเด็จพระผูมีพระภาคเจา ไดทอดพระเนตรเห็นสิงคาลมาณพไหวทิศทั้งหลายอยู ในเวลาเสดจ็ ออกไปบิณฑบาตนัน้ เปนอนั แสดงใหเหน็ วาพระองคไปพบเขาในระหวางทางเทา นนั้ แตความจรงิ แลว พระองคไดทรงเห็นแตใ นเวลาจวนสวา งวนั นั้น เม่ือพระองคตรวจดูโลกในเวลาจวนสวางวันน้ัน ก็ไดทอดพระเนตรเห็นแลว จึงทรงพระดํารวิ า วันนี้เราจะไดแสดงสิงคาลกสูตร อันเปน วนิ ยั ของคฤหัสถ แกส งิ คาลมาณพ ผูเปนบุตรคฤหบดีการแสดงจะมีผลแกมหาชนอันมากน้ันสมเด็จพระผูมีพระภาคเจา จึงไดเสด็จออกจากพระเวฬุวันแตเชา แลวเสด็จเขาไปสูกรุงราชคฤหเพ่ือทรงบิณฑบาต แตเมื่อจะเสด็จเขาสูกรุงราชคฤหน้ันก็ไดทอดพระเนตรเห็นสงิ คาลมาณพกาํ ลังไหวท ศิ ทั้ง ๖ อยู เปนตน

๓๐๒. ความหมาย และสาระสาํ คญั พทุ ธจริยศาสตรในทศิ ๖ ๒.๑ ความหมายของพุทธจรยิ ศาสตรใ นทศิ ๖ ในการศึกษาความหมายของพุทธจริยศาสตรในทิศ ๖ ในลักษณะท่ีเปนการประพฤติปฏิบัติสวนบุคคล ในเม่ือทุกคนมีความประพฤติและมีการปฏิบัติตามทิศ ๖ อยางถูกตอง ก็กลายเปนจริยศาสตรข องพระพุทธศาสนา คอื “ทิศท้ัง ๖ ตามรูปศัพท หมายถึง ทิศทางประจําตัวของแตละคนอันวาพระพุทธองคทรงสอนวาตัวเราแตละคนมีบุคคลเกี่ยวของอยู ๖ จําพวก เปรียบเหมือน ๖ ทิศ ท่ีอยูรอบตวั เรา”๓ “พทุ ธิ แปลวา ความรู จริยศาสตร แปลวา ศาสตรท่ีตองประพฤติ” ๔ “ทิศท้ัง ๖ หมายถึงบคุ คลประเภทตา ง ๆ ที่เราตอ งเก่ยี วของสมั พันธทางสังคมดจุ ทศิ ที่อยูรอบตัวเรา”๕ ดังน้ันพุทธจริยศาสตรในทิศ ๖ หมายถึง หลักคําส่ังสอนของพระพุทธศาสนาที่วาดวยความประพฤติ หลักเกณฑแหงความประพฤติ วาอะไรถูกควรปฏิบัติ อะไรผิดไมควรปฏิบัติตอทิศท้ัง๖ อนั เปรียบเสมือนบคุ คลตา ง ๆ ทอี่ ยรู อบตวั เรา ๒.๒ สาระสาํ คัญของพทุ ธจริยศาสตรใ นทศิ ๖ ๑) การดาํ เนนิ ชีวติ ตามหลักพทุ ธจริยศาสตรในปุรตั ถิมทศิ “ปุรัตถิมทิศ หรือ ทิศเบ้ืองหนา คือ มารดา บิดา มารดาบิดา เปนผูมีอุปการะแกเรามากอนจึงไดช ื่อวาทิศเบ้อื งหนา หรือทิศบูรพา” ๖ ทิศเบื้องหนา มีคําที่ควรขยาย ๒ คาํ คือ คาํ วา บิดามารดา และคําวา อปุ การคุณ คําวามารดาน้ัน ไดแกหญิงท่ีทําใหเกิดบุตร คําวาบิดานั้นไดแกชายท่ีทําใหเกิดบุตร เม่ือแปลตาม ธาตุแลว คําวามารดามาจากศัพทวา มานะ กับ ปา มานะน้ันแปลวา นับ ลง ราตุ ปจจัย ลบตัว ร เสีย เหลือไวแต อาตุลบ นะ ท่ีมานะนั้นเสียแลวประสมกันเขา จึงเปนคําวา มาตุ เมื่อเปนมาตุแลวจึงแปลงเปน มาตา เม่ือเปน มาตาแลวจึงแปลงเปน มารดา มีวิเคราะหวา ปุตฺตํ มาเนตีติ มาตา แปลวา หญิงใดนับซ่ึงบุตร หญิงนั้นเรียกวา มารดา อธิบายวา มารดาน้ันยอมนับเสมอวา เรามีบุตร ๑ คน, ๒ คน, ๓ คน ดังนี้เปนตนการที่จะนับอยางนั้น ก็เพราะความดีใจวา บัดนี้เราไดบุตร ๑ คนแลว ๒ คนแลว ๓ คนแลว ดังน้ีเปนตน . คําวา ปา น้ันแปลวาใหดื่ม แปลง ปา เปน มา แลวลง ตุ ปจจัย จึงจะเปนมาตุ แลวแปลงเปน มาตา ๓พระธรรมปฎก ( ป.อ. ปยุตโต ), พจนานุกรมฉบับประมวลธรรม, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั วัดมหาธาต,ุ ๒๕๔๓), หนา ๒๒๔. ๔พุทธทาสภิกขุ, เยาวชนกับศีลธรรม, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพการพิมพพระนคร, ๒๕๒๓),หนา ๑๔๐. ๕พระธรรมปฎ ก, พจนานกุ รมพทุ ธศาสตร ฉบบั ประมวลธรรม, อางแลว, หนา ๒๒๔. ๖ท.ี ปา. ๑๑ / ๑๙๙ / ๘๘.

๓๑ซึ่งเราเรียกวา มารดา มีวิเคราะหวา ปาเย ตีติ มาตา แปลวา หญิงใดใหด่ืมนม หญิงน้ันเรียกวา มารดารวมเนอื้ ความวา คาํ วา มารดาน้ัน แปลได ๒ อยา ง คือ แปลวา ผนู ับ และผูใหด ม่ื นม เปน ตน คาํ วา บดิ า น้นั มรี ากเงา ของศัพทวา ปา และ ปาติ คําวา ปา นั้นแปลวา รักษา คําวา ปาติ นั้นแปลวา รักใคร เม่ือลง ริต ปจจัย ก็เปน ปาต เมื่อแปลง ปา เปน ป ก็เปน ปตุ เม่ือแปลงอุ เปนอา ก็เปนปตา มีวิเคราะหวา สพฺพโลกํ ปาติ รกฺขตีติ ปตา แปลวา บุรุษใดรักษาคุมครองโลกทั้งปวง บุรุษนั้นเรียกวา บิดา ดังน้ี, ปุตฺตํ ปาติ รกฺขตีติ ปตา แปลวา บุรุษใดรักษาคุมครองบุตร บุรุษนั้นเรียกวา บิดาดังนี้ ปุตฺตํ ปปายตีติ ปตา แปลวา บุรุษใดรักใครบุตร บุรุษน้ันเรียกวา บิดา ดังนี้ รวมใจความวา คําวาบิดาน้ัน แปลได ๓ อยาง คือ ๑. ผรู กั ษาโรคทั้งปวง ๒. ผูรักษาบตุ ร และ ๓. ผรู ักใครบุตร ๗ ดังนี้ เปนตน การที่ทา นจัดบิดามารดามาไวเบ้ืองหนานี้ ก็โดยที่บิดามารดาเปนผูตกแตง คือใหกําเนิดและบํารุงเลี้ยงพิทักษรักษามากอน หรือจะสมมุติเอาวาเปนเจาของ แหงชีวิตของบุตร เสียท่ีเดียวก็ นาฟงดวยเหตุวานับจําเดิมแตแรกตั้งครรภ และตอมาทุกระยะของวัยที่บุตรยังไมรูจักรักษาตัวไดเองตราบใด ก็แปลวาชีวิตยังตกอยูในความคุมครองของมารดาบิดาตราบนั้น ถาพูดถึงการรบกวนของทารกแลว แมมารดาบิดาไมถึงพรอมดวยพรหมวิหาร ก็นาจะทนความลําบากตรากตรําตอการบริบาลบุตรตลอดไปไมได ดวยงานเหลาน้ีเปนภาระอันหนัก หนักทั้งแรงท้ังใจ กระทําใหรูสึกอิดหนาระอาใจมิใชนอยเวลาถูกบุตรรบกวนมากเขา ก็กระทําใหจิตใจงุนงานแทบจะฝนไวไมไหว ในเมื่อมีธุระจําเปนอยางอ่ืนพันพัวอยู อาจถึงละเมิดศีลธรรมกระทําการประหัดประหารไดทีเดียว หากดวยจิตเมตตาปราณีเปนกําลังตานทานอยู จึงบันดาลใหส่ิงที่รายกลายเปนดี เครื่องประหารทั้งปวงก็จะกลายเปนขนมนมเนยไปหมด รวมความวา การมงุ รา ยหมายโทษอันทารณุ ดังกลาวนี้ โดยปรกติมนุษยหาไดม ใี นนิสัยของผเู ปน มารดาบดิ าไมแมแตนอย การประคับประคองทํานุถนอม เพื่อความสุขแกบุตรซึ่งเปนกิจท่ีมารดาจักพึงปฏิบัติ ก็ไดเริ่มปฏิบัติมาแตเมื่อรูสึกวาตนต้ังครรภมาทีเดียว เชน ๑. อาหารก็ดี หรือยาบําบัดโรคก็ดี แมระแวงวาจะเปน ปฎิปก ขแ กบุตรในครรภแลว โดยจะมคี วามใครในรสอาหาร หรือไดทุกขทรมานดวยโรคภัย ก็พยายามอดออม ไมยอมบริโภคสิ่งเหลานั้นเปนอันขาด ๒. กิริยาเคลื่อนไหวท่ีเคยไดรับความสุขแตกอน ก็กลับสํารวมระวังมิใหกระทบกระเทือน ดวยเกรงจะเปนอันตรายแกบุตร ย่ิงครรภแก ความ ๗ที. ปา. ๑๑ / ๑๙๙ - ๒๐๓ / ๘๙.

๓๒ลําบากอลักอเลื่อในเร่ืองบริหาร ก็ย่ิงทวีขึ้นลําดับ ( เรียกกันวาอุมทอง ) ตองทรมานไปจนกวาจักถึงเวลาคลอด กําหนดในราว ๙ เดือน ๑๐ เดือน ตอนคลอดนั้นเปนตอนเขาดายเขาเข็มท่ีมารดาจะตองไดร บั ทุกขเวทนา ดว ยความเจบ็ ปวดอันรายแรงเหลอื ท่ีจะทนทาน บางคนตองถึงเสี่ยงโชคไมนอยคร้ังจิตใจของมารดาเวลานน้ั กลาวกันวา เทากบั เขาประจันบานดว ยขา ศึกซึง่ มีกําลังอานภุ าพอันใหญหลวงหากเพลยี่ งพลําลงก็ถงึ แกชีวติ พินาศทเี ดียว แมเ ปนโชคดีรอดพนอันตรายจากตอนน้ีไปไดแลวก็ดี แตจะวางใจเสียทีเดียววา จักไมมีอันตรายอยางอ่ืนเขาแทรกแซงอีกหาไดไม คงยังตองระวังรักษาตัวอยูในการควบคุมของหมอไปจนกวาอาการจะเปน ปรกตจิ ึงจะนับวาพนอนั ตรายได ตอจากนัน้ ไป มารดาบิดาจักเขารับหนาท่ีบริหารบํารุงเลี้ยงดูไป จนกวาบุตรจะเติบโต สามารถรักษาตัวเองได ขนาดท่ีจักวางธุระไดจริง คงตองถึงระยะมเี หยาเรือนแยกครอบครัวออกไปเปน หลกั เปนแหลงแลว เพราะตอนน้ีมีหนาทบ่ี ังคับใหต องเรยี นรถู ึงการปกครองตนเอง และผูอ่นื อยูใ นตัว การบริหารเล้ียงดูเปนเรื่องจุกจิกมาก นับตั้งแตใหอาหาร ใหนอนเปนตน ถาไมมีคนสํารองทาํ แทนแลว กจ็ ักตองเจียดเวลาทํางานของตนมาทําใหกับบุตร ที่สุดเวลารับประทานอาหารอยู เม่ือไดยนิ เสยี งบตุ รรองกก็ ระทําใหใจพะวักพะวนจะทนฟงตอไปอีกก็หาไดไม จําตองมาปฏิบัติใหบุตรกอนแลว จึงจักทําธุระอยางอื่นของตนตอไปได หมดความผาสุขเสียทุกอยางทีเดียว ที่อดทนตอความลําบากเหน็ดเหนื่อยอยูได ก็ดวยความเสนหารักใครในบุตรตานทานอยู ส่ิงใดอันจะบันดาลใหบุตรมีความสุขได ถา ไมเหลอื ความสมารถแลว เปนตองกระทํา หนาที่บุรพาจารยน้ัน ไดลงมือสอนกันตั้งแตบุตรเริ่มออกสําเนียงอักษร อ. ไดมาทีเดียว ตอมาไดสอนใหรูจักบริโภคอาหาร รูจักคลาน, ยืน, เดินเปนลําดับ ตลอดจนรูจักการรักษาตัว เชน รูวาไปใกลบันไดจะตก เลนมีดจะบาดมือ อมไมจะตําคอเปน ตน ในระหวางท่ีบุตรกําลังคะนอง จะตองปองกันอันตรายท้ังทั้งภายในและภายนอก เพิ่มวิธีสอนใหรูจักผิดและชอบ ไมใหเที่ยวซุกซนซอกแทรกเลนในสิ่งท่ีใกลอันตราย หรือใกลตอส่ิงอันจักนําไปสูความหายนะ และความไมสุภาพ เชนปนตนไมถาตกลงมา แมจะไมถึงแกชีวิตเปนอันตรายก็คงแขงขาหัก ไปใกลบอนาํ้ จะตกบอ ว่ิงกลางถนนรถจะทบั ไฟหรอื สิ่งทเี่ ปน ของรอ นของระเบดิ ได ถาไปเลนมันเขา จะเปนอันตรายเพราะวัตถุน้ัน ๆ อันตรายเหลานี้ลวนแตเกี่ยวแกชีวิตทั้งน้ัน และยังมีอันตรายอื่น ๆ อีก เปนเอนกประการ ตลอดถึงโรคภัยไขเจ็บ บางอยางก็ปองกันไดบาง เชน เที่ยวตากแดดตรําฝนจักทําใหเปนไขเปนหวัด กินอาหารพร่ําเพรื่อไมเปนเวลาจะทําใหทองเสีย เหลานี้ มารดาบิดาตองคอยตักเตือนใหรูจักระวังปองกันตัว ประหนึ่งวารางกายของบุตร เปนแมเหล็กคอยดูดดึงเอาดวงตาของบิดามารดาใหไปจดจออยูที่ตนไดเสมอ ไมวาจะเขย้ือนไปทางไหน ลําดับตอไปก็สอนใหรูจักประพฤติกิริยาวาจาสุภาพออนโยน มีสัมมาคารวะเคารพนบนอบตอผูใหญ รูจักบาปบุญคุณและโทษ

๓๓ แตนี้จักพูดถึงเร่ืองทรัพย อันจักจายเพิ่มขึ้นจากจํานวนที่เคยจายอยูเดิมอีกมาก ถาบุตรเปนคนข้ีโรค และมารดาบิดาหาไดนอยดวยแลว ก็ถึงแกเดือดรอนเอาทีเดียว จึงเปนขอที่นาคิดอยูบางเพราะจักตองกระเทือนถึงการขวานขวายหาทรัพย เพ่ือมาจับจายจิปาถะในเรื่องบริหาและบํารุงความสุขใหแกบุตร มีเครื่องปองกันอันตรายและอุปกรณตาง ๆ เชน คาหมอ, คายา, คาอาหาร,เคร่อื งนุงหม และเครอ่ื งเลาเรียน ท่ีสุดจนคาเคร่ืองเลน กวาบุตรจะโตขึ้นก็มิใชนอย เคร่ืองเลนสามารถกระทาํ ใหเ ด็กฉลาดไดในทางความรรู อบตัว และทําใหใจคอเบิกบานเพลิดเพลินไมรบกวน หรือเที่ยวซุกซนใหผูใหญตองเปนหวง การท่ีมารดาบิดามิไดรูสึกอิดหนาระอาใจ หรือเสียดายทรัพยที่สน้ิ เปลอื งไปในเรอื่ งบรบิ าลบุตรธดิ าท้งั น้ี ก็โดยเหตุเพลิดเพลนิ ไปในวัยของบุตร คอยต้ังตาดูอยูตั้งแตนอ ยจนใหญว า เวลาน้ีบตุ รของเราควํ่าไดแลว , เวลาน้นี ่งั ไดแ ลว, คลานไดแ ลว , ยนื ไดแ ลว , เดนิ ไดแ ลวและพดู ไดแลว, ตอ ไปก็จะมงุ แตจ ะฝก ใหบ ตุ รเปน คนดีมคี วามเฉลียวฉลาดเปนลําดับ ดวยความเมตตาปราณีไมม ีความรงั เกียจ และมไิ ดประสงคสิ่งตอบแทนแตอยางใดเลย พระคุณอันนี้ยอมซึมซาบอยูในความรสู กึ ของบุตรธิดาอยา งลึกซึ้ง เด็กทุกคนเชื่อวา ในโลกมีบิดามารดาเทาน้ัน ที่เปนผูสามารถปองกันอันตรายใหแกตนไดทุกสถาน จกั สงั เกตไดใ นเวลาตกใจ เชนเมอ่ื ไดย ินเสยี งฟารอง ก็เกดิ ความสะดุงกลัว จนหนา ซีดตัวสั่นสงเสียงรองคับบาน ทันใดน้ันเองเมื่อโผเขาสูแทบทรวงอกของมารดาได ซํ้าไดรับการเลาโลมประคับประคองของทานอีกดว ย กห็ มดความเกรงกลวั ในสง่ิ ใด ๆ เสยี สน้ิ ความกรุณาท่ีแทจริงของทาน แมบุตรจะไดกระทําการหยาบชาทารุณใหไดรับความเดอื ดรอ นสกั เพียงใด กม็ ไิ ดคิดจะทดแทนใหเ กนิ ไปกวาเหตุ ทานจงึ กลา ววามารดาบดิ าเปน พรหม เปนพรุ พเทวดา เปน บรุ พาจารยข องบตุ ร และเปน ผคู วรที่บตุ รจกั พงึ บูชา ทีว่ าเปนพรหม ก็เพราะมาดาบดิ ามีพรหมวิหารทั้ง ๔ ในบุตร คือ เมตตา ปรารภถึงบุตรในครรภวา เม่ือไรจะไดเห็นบุตรซ่ึงหาโรคมิไดหนอ ดังนี้ กรุณา เม่ือบุตรยังออนอยู เหลือบยุงเปนตนกัด, นอนหลับยาก หรือ รองไห ความสงสารก็เกิดขึ้นแกบิดามารดา ดังน้ี มุทิตา เมื่อเห็นบุตรวิ่งเลนไปมาได หรือเม่ือต้ังอยูในวัยอันงาม ก็ยอมมจี ติ เบิกบาน ดังน้ี อุเบกขา เม่ือบตุ ร มีภรรยา อยูครอบครองเหยา เรอื นตางหากแลวความวางเฉยก็ยอมมีแกมารดาบิดา ดวยเหตุที่บุตรสามารถต้ังตนได ดังน้ี พรหมวิหารท้ัง ๔ น้ีพรหมยึดถือเปนความประพฤติ จึงไดช อ่ื วา เปนพรหมวหิ าร วิสุทธิเทวดา ไดแกพระขีณาสพ ซ่ึงหวังแตความบังเกิดประโยชนเก้ือกูลแกชนทั้งหลายสวนเดียว ไมถือความผิดที่คนพาลทําฉันใด มารดาบิดาก็ปฏิบัติเก้ือกูลแกบุตรของตนฉันนั้น ฉะน้ันมารดาบิดาจึงถือวาเปนบุรพเทวดานั้น ไดความวาเทวดากอน เพราะเปนผูมีอุปการะกอนเทวดาเหลาอ่ืน ท้ังเปนบุรพาจารยสั่งสอนบุตรมากอนอาจารยอื่น ๆ ดังนัยท่ีกลาวแลว มารดาบิดาจึงควรเปน ผูควรแกวัตถุ มีขาวนํ้าผานุงผาหมเปนตน ท่ีบุตรพึงนํามาใหมารดาบิดาเปนผูถึงพรอมดวยคุณธรรม

๓๔ดังกลาวแลว จงึ มีฐานประจําในทิศเบอ้ื งหนา ดวยประการฉะนี้ “เม่ือบุตรธิดาสํานึกในคุณูปการของทาน ท่ีไดกระทําใหแกตนมาในกาลกอนแลว ก็ควรบําเพ็ญกิจสนองคณุ ของทา นตามขอไขในทศิ เบอ้ื งหนา” ๘ ดงั น้ี ทศิ เบอื้ งหนา มารดาบิดา บตุ รพึงบาํ รุงดว ยสถาน ๕ คอื ๑. ทานเล้ียงมาแลว เลี้ยงทานตอบ ๒. ทาํ กิจของทา น ๓. ดํารงวงสกุล ๔. ประพฤติตนใหเ ปนคนควรรับทรัพยมรดก ๕. เมอื่ ทา นลวงลบั ไปแลว ทาํ บญุ อุทิศใหทาน๙ ขอท่ี ๑ ทานเลี้ยงมาแลว เล้ียงทานตอบนั้นหมายถึง ใหหม่ันเอาใจใสดูแลความเปนอยูทานเนอื ง ๆ วา จกั มีการขัดขาดอยา งไรบาง เปนตน วาหมดความสามารถในอนั จะหาเลยี้ งชีพใหเ พียงพอ ก็ตองเขาชวยเหลือประคับประคองเลี้ยงดูพรอมดวยเครื่องอุปโภคท้ังปวง ทํานุบํารุงใหทานมีความสุขกายสบายจติ ดว ยน้าํ ใจอนั ผองใสช ื่นบาน เปนตน ขอท่ี ๒ ทํากิจของทาน หมายถึง งานใด ๆ ที่ทานมอบหมายใหทํา ก็ควรยินดีกระวีกระวาดทํากิจนั้น ๆ ใหสําเร็จลุลวงไปดวยดี การงานทุกอยางที่สามารถชวยไดแลว แมทานจะมิไดใชใหทําบุตรท่ีดีก็ควรถือเอาเปนธุระจัดทําเสียเอง ไมตองใหทานตองออกปากใช แมทาน เจ็บไขไดปวย ทุพลภาพ บตุ รธดิ าตองเฝา พทิ ักษดแู ลรักษากตญั ูรูค ณุ ทา นเปนตน ขอท่ี ๓ ดํารงวงสกุล หมายถึง บุตรจะตองรูจักปกครองตนเอง ปกครองญาติผูเยาว ตลอดถึงทรัพยสมบัติ และจัดระเบียบการงานทั้งปวงกระทําการโอบออมอารีเมตตากรุณาเผ่ือแผ แกญาติพ่ีนอ งท้ังหลายท่ัวหนากระทง้ั คนใช หรือผูท ่ที า นเคยกรณุ ารักใครมาแตก อน ใหไดร บั ความเอ้อื งเฟอ เจอืจานเหมือนเมื่อทานยังมชี ีวิตอยู กระทาํ ตนใหเปน คนท่ีนา รักใครนับถอื ทง้ั ผใู หญ และผนู อย ขอที่ ๔ ประพฤติตนเปนคนควรรับทรัพยมรดก นั้น ไดแกฝกนิสัย ใหเปนคนมีความรอบคอบรูจักได รูจักเสีย สิ่งใดจักเปนหนทางนําไปสูความสุขความเจริญ ส่ิงใดเปนเคร่ืองถวงความเจริญ หรือซ้ําจกั นาํ ไปสูความวบิ ัติดวยแลว ก็ตองพยายามปองกันอยา ใหเขามาแฝงตัวอยไู ด ขอ ที่ ๕ เมอื่ ทานลวงลบั ไปแลว ทาํ บญุ อทุ ิศใหทา น ดังน้ี ความประสงคก็เพอื่ ตักเตือนมิให ๘พระยาศรีราชอักษร ( มา กาญจนาคม ), อธิบายคิหิปฏิบัติ (ทิศวิภาค), พิมพครั้งที่ ๖,(พระนคร : โรงพิมพมหามกฎุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๐๙), หนา ๒- ๘ ๙พิทูร มลิวัลย, แบบเรียนวิชาธรรมสําหรับนักธรรมและธรรมศึกษาชั้นตรี, พิมพคร้ังท่ี ๓,(กรงุ เทพฯ : โรงพิมพการศาสนา, ๒๕๔๐), หนา ๖๑.

๓๕ละเลยอันจกั ตามกระทําปฏิการ เปนสวนทักษิณานุปทาน แมในวาระเมื่อทานลวงลับไปแลว บุญที่จะพึงประกอบก็มีทานบริจาคแกผูควรไดรับ เชน ภิกษุสามเณร และผูมีศีลตลอดถึงคนอนาถาชราพิการและการสรางสาธารณสถาน มีโรงเรยี น โรงพยาบาล สะพาน ถนน เปนตน สกุลอนั ม่งั คั่งจักตั้งอยูนานไมไ ดเ พราะสถาน ๔ ไดแ ก ๑. ไมแสวงหาพัสดุท่หี ายไป (นฏฐ ํ น คเวเสนตฺ ิ) ๒. ไมบ ูรณะพัสดทุ ค่ี ราํ่ ครา (ชิณณฺ ํ น ปฏสิ ํขโรนฺต)ุ ๓.ไมร ูจักประมาณในการบริโภคสมบตั ิ (อปรมิ ิตโภชนา) ๔. ตั้งสตรีหรือบุรุษทุศีลใหเปนแมเรือนพอเรือน (ทุสฺสีลํ อิตฺถึ วา ปุริสํ วา อธิปจฺเจฐเปนตฺ )ิ ๑๐ ๑. การไมแสวงหาพัสดุที่หายไปแลว คือ การสอใหเห็นความไมนําพาในส่ิงที่ตนจะตองอาศัยใชสอยดังน้ี เปนหนทางอันจักนําความเสื่อมมาให จึงควรหมั่นระวังตรวจตราสิ่งของทั้งปวงท่ีมีอยู ใหคงจํานวนไวเสมอ ของที่อยูไกลตาก็ควรทําเครื่องหมายไวใหแลเห็นไดงาย เชนที่ดินไมมีรั้วรอบขอบชดิ กต็ อ งรกั ษาหลักเขตของเจาหนาท่ีไว อยาใหหายไปเสีย แมของเล็ก ๆ นอย ๆ รวมกันเขาก็เปนราคามากได จงึ ไมควรละเลยปลอ ยใหอันตรธานหายไป โดยมไิ ดสบื สวนคนหารองรอยในอันที่จะเอากับคืนมา มิฉะนั้นของนั้นก็จะหายอยูร่ําไปไมรูจบ ยิ่งหายเพราะโจรลักเอาไปดวยแลว ก็ยิ่งนาเอาใจใสใหม ากข้นึ อยางนอ ยก็ควรทราบเคาเงอ่ื นไว สําหรับปอ งกนั ไมใหก ับมาลักไดอีก การเลินเลอเปนลกั ษณะย่วั ผรู ายใหกําเรบิ ๒. ไมบูรณะพัสดทุ ีค่ รํ่าครา นน้ั ก็เปนเครื่องพิสูจนความไมเอาใจใส ในทรัพยสมบัติของคนเชนน้ัน จะเปนพัสดุชนิดใดก็ตาม เม่ือมีการชํารุดหักพังก็ตองรีบซอมแซมแกไข ใหกับคืนดีอยางเดิมแมจะไมเทาเดิมทีเดียว เพียงแตใหทนไปไดอีกนานหนอยก็ยังดีกวาปลอยใหทรุดโทรมไป โดยมิไดเหลียวแลเสียทีเดียว การปลอยใหของชํารุดมากก็ตองเปลืองคาซอมมากเปนธรรมดา ย่ิงปลอยไวจนแกไมไหว คร้ันเมื่อมีสิ่งจําเปนมาบังคับใหตองใชสิ่งน้ัน ก็จะตองสรางตองทําขึ้นใหม เปนการเพ่ิมความเปลืองขึน้ อกี หลายเทา ถาเปน คนไมสมู ฐี านะบริบูรณดว ยแลว กค็ งไมพนความ เดอื ดรอน ๓. ไมรูจักประมาณในการบริโภคสมบัตินั้น แปลออกอีกทีก็ไดแกการใชทรัพยไมเปนน่ันเอง จักประกอบการงานก็ลวนแตไมเปนประโยชนแกนสาร สิ่งที่เปนปะโยชนก็ไมคิดทํา สวนการใชฟุมเฟอยจนเกินจํานวนทรัพยที่หาได ไมมีกําหนดกฎเกณฑใหพอดี เชนสิ่งใดท่ีควรใชเพียงอยางกลางหรอื เลวหนอยกไ็ ด หากไมคิดท่จี ะประหยัดใหเหมาะแกก าร ไปเปลืองใชแ ตสิ่งที่ดีเสียหมด ๑๐วศิน อินทสระ, พระสุตตันตปฎกอังคุตตรนิกาย, พิมพครั้งท่ี ๒, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพมหามกฎุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๓๓), หนา ๓๒๐.

๓๖ทุกอยาง ก็ตองเปลืองมากเปนธรรมดา การจายเกินสวนจนเหลือใชเหลือสอย ของที่เหลือก็เปนจํานวนเสียเปลาอยูเสมอเชนนี้ แมจะเปนผูสามารถในทางการทรัพยไดคลองแคลวเพียงใด ก็คงไมพอใชอยนู ้ันเอง ในที่สุด เม่อื มีเรือ่ งตอ งใชทรพั ยเปนพเิ ศษขน้ึ เวลาใด ก็ตองวง่ิ เท่ียวกยู ืมเขาวุน ไป ๔. ต้ังสตรีหรือบุรุษทุศีลใหเปนแมเรือนพอเรือนนั้น คนทุศีลเปนคนไมกลัวบาป ส่ิงใดจักเปนประโยชนแกเขาแลว เขาก็ไมละเวนในอันจะทํา จะไดคิดถึงประโยชนผูอ่ืนนั้นนอยนัก เม่ือเขาไดรบั เลอื กเปนแมเรือนพอ เรือน ซง่ึ มหี นา ที่เก็บทรัพย ทรพั ยยอ มตกอยูใ นเงอื้ มมอื ของเขา แมเกิดโลภข้ึนเวลาใดก็เปนการงาย ในอันจะทําละเมิดตอหนาที่ของเขาไดทุกอยาง อยางนอยเพียงเกียดกันเอาคราวละเล็กละนอย หลายครั้งเขาก็หมดไปไดมาก ๆ ดังน้ัน “เมื่อจําจะตองมีคนสําหรับหนาท่ีเชนนี้แลว ก็ควรเลือกแตคนที่ประพฤติมั่นอยใู นศลี ในธรรมเปนท่วี างใจไดจริง ๆ จึงจะไมมีเหตุเสียหายไดดังที่กลาวน้ี เพราะผูมีศีลเปนคุณสมบัติอยูเชนนั้น ยอมรักษาศีลย่ิงกวาทรัพยใด ๆ ไหนเลยจะทําลายศลี เสยี งาย ๆ” ๑๑ หลกั ธรรมทเี่ ก่ยี วของกบั ทศิ เบ้อื งหนา บตุ รพงึ บาํ รุงบดิ ามารดา คอื มงคลสตู รขอ ที่ ๑๑ บุตรพงึ บํารงุ บดิ ามารดา “การบํารุงพอแม เราตองทําการบํารุงพอแม ทั้งในสมัยที่ทานยังมีชีวิตอยู ทั้งในสมัยที่ทานลวงลับไปแลว พึงทราบวา การบํารุงพอแมนั้นมีอยู ๒ วิธี คือการประกาศคุณของทาน กับการสนองคุณของทาน การบํารุงทั้งสองวิธีนี้มีจุดมุงหมายท่ีตางกัน การประกาศคุณทานอยูที่ตัวทานเอง แมเมื่อเราทาํ ดีใหท า น การทาํ ดีนน้ั กแ็ ผผลดีมาถงึ เรา” ๑๒ การประกาศคุณทานน้ัน มีจุดสําคัญอยูที่ความประพฤติของเรา และเราประกาศมาแตทานยงั มีชวี ติ อยู จนถงึ ทานลว งลับไปแลว เสียงดีหรอื ไมด ีจะประกาศออกทตี่ วั เรา คือเมื่อเราประพฤติตัวดีเปน ลูกชายดี ลกู หญงิ ดแี ลว ก็ประกาศเกียรติคุณของทาน ใหมีเสียงคนเขายกยองสืบสาวหาพอแม พากันนิยมชมเชยไปถึงทานวา ทานเล้ียงลูกดี ถาเราทําช่ัวชาเลวทราม ก็เปนการลบหลูดูหม่ินเหยียดหยามทาน และเปนการประจานทานใหมีเสียงตําหนิดาแชงไปถึงทานดวยวา เลี้ยงลูกไมดี เปนลูกท่ีพอ แมไมส ง่ั สอน ไมฝกฝนอบรมเสยี เลย สวนการสนองคุณทาน มีจุดสําคัญอยูท่ีเราปฏิบัติชอบในตัวทาน เมื่อเราบํารุงทานในเร่ืองการกินอยู ชวยเหลือในการเจ็บไขไดปวย และชวยงานในบานหรือนอกบานใหทานไดเบาใจมี ๑๑พระยาศรีราชอักษร(มา กาญจนาคม), อธิบายคิหิปฏิบัติ ทิศวิภาค, อางแลว, หนา ๑๑-๑๓. ๑๒สมเด็จพระมหาวีรวงศ (พิมพ ธมฺมธโร), มงคลยอดชีวิต, วัดพระศรีมหาธาตุ, (กรุงเทพฯ: โรงพมิ พช วนพิมพ, ๒๕๑๘), หนา ๒๒๑-๒๒๒.

๓๗ความสุขสําราญเหมือนเราไดความสุขสําราญอยางที่ทานไดเล้ียงดูมา ก็จะมีเสียงยกยองชมเชยมาถึงเราวา เปน ลกู ทีด่ ี ลกู ทรี่ จู กั คุณพอ คุณแม ถาเราทําตัวเปนพาลเกเร มีความประพฤติต่ําทราม ยกตนข้ึนขมขูดูหมิ่นทาน ก็จะมีเสียงดาแชงมาถึงเราวา ลูกเนรคุณ ลูกกากมนุษย มิใชตนมีความรูสึกเปนคนกบั เขาเลย พระคุณของพอแม “พระสัมมาสัมพุทธเจาตรัสอุปมาวา ถาบุตรจะพึงวางบิดามารดาไวบนบาท้ังสองของตนประคับประคองทานอยูบนบานั้น ปอนขาวปอนนํ้าและใหทานถายอุจจาระปสสาวะบนบาน้ันเสร็จแมบุตรจะมีอายุถึง ๑๐๐ ปและปรนนิบัติทานไปจนตลอดชีวิตก็ยังนับวาตอบแทนพระคุณทาน ไมหมด” ๑๓ ยังมีผูอุปมาไวอีกวา หากเราใชทองฟาแทนกระดาษ ยอดเขาพระสุเมรุแทนปากกา น้ําในมหาสมุทรแทนหมึก เขียนบรรยายคุณของพอแม จนทองฟาเต็มไปดวยอักษร ภูเขาสึกกรอนจนหมดนาํ ในมหาสมุทรเหือดแหง ก็ยังบรรยายคุณของพอแมไ มหมด พอแมเ ปน พรหมของลูก เพราะเหตุท่ีมีพรหมวหิ ารธรรม ๔ ประการ ไดแ ก ๑. มเี มตตา มคี วามปรารถนาดตี อลกู ไมมีที่สนิ้ สดุ ๒. มีกรุณา คอื หวน่ั ใจในความทกุ ขของลกู และคอยชว ยเหลอื เสมอไมทอดทิ้ง ๓. มมี ุทิตา คือเมอ่ื ลูกมีความสุขสบายกม็ คี วามปราบปล้ืมยินดีดวยอยางจรงิ ใจ ๔. มีอุเบกขา คือเมื่อลูกมีครอบครัวสามารถเล้ียงตนเองไดแลว ๑๔ ก็ไมวุนวายกับชีวิตครอบครัวลูก จนเกินงาม และหากลูกผิดพลาดก็ไมซํ้าเติม แตกลับคอยเปนท่ีปรึกษาให เม่ือลูกตอ งการ พอแมเปนเทวดาของลูก เพราะคอยปกปองคุมครองปองกันภัยเลี้ยงดูลูกมากอนผูมีความปรารถนาดกี อ นคนอ่ืน ๆ พอแมเปนครูคนแรกของลูก เพราะสั่งสอนอบรมทั้งคําพูดละกิริยามารยาทใหลกู กอ นคนอื่น ๆ พอแมเปน พระอรหันตของลูก เพราะมคี ุณธรรม ๔ ประการ ไดแก ๑. เปนผูอุปการะมากแกลูก ทานไดทําภารกิจอันทําไดแสนยาก ไดแก การอุปการะเลี้ยงดูซ่ึงยากท่จี ะหาคนอื่นทําแกเ ราไดอยา งทาน ๒. มีพระเดชพระคณุ มาก คอยปกปองอันตราย ใหค วามอบอุนแกลูกมากอ น ๓. เปน เนือ้ นาบุญของลูกมคี วามจรงิ ใจตอ ลกู อยา งแทจริงเปนผูท ่ีลูกควรทําบุญตอตวั ทาน ๑๓พระสมชาย ฐานวุฑโฒ, มงคลชวี ิตฉบบั ธรรมทายาท, (กรงุ เทพฯ : โรงพมิ พฐานการพิมพ, ๒๕๔๒), หนา ๙๒. ๑๔ ที. ม. ๑๐ / ๑๘๔ / ๒๒๕

๓๘ ๔. เปน อาหุไนยบุคคล เปน ผคู วรรับของคาํ นับ และการนมสั การของลูก ๑๕ มงคลชวี ติ ขอ ท่ี ๒๕ ความกตญั ู ความเปนผูรูคุณที่คนอื่นทําแกตน ช่ือวา ความกตัญู และความกตัญูน้ี คือความดี ท่ีเปนพื้นฐานของคนดี พระพุทธเจารับส่ังวา บุพพการีบุคคลและกตัญูบุคคลทั้งสองน้ีเปนบุคคลหาไดยาก เพราะคนดีคูน้ีมิใชวาจะสถิตอยูทุกถ่ินสถาน กลดังดวงมณีมิใชจะมีอยูทุกจอมผา ดวงมุกดาอันนับวาคดชาง มิใชวาจะมีอยูทุกตัวชาง และจันทนหอมมิใชวาจะหาไดทุกไพรสณฑ คนรูปงามอยางเดียวยังหาไดยาก แมกระน้ันก็พอจะหาไดอยู คนมีความรูยิ่งหายากกวา สวนคนรูปงามและมีความรูประกอบกันในจํานวนพันจะนับใหถวนไดดวยน้ิวมือสิบนิ้ว แตจะบวกการอุปการกับความกตัญูเขาดวยกนั กย็ ากจะหาไดย ากกวา คนดีเปนประหนึ่งรมโพธ์ิในโลก ใหผูขามโลกอันแสนจะขามยาก ไดอาศัยเปนท่ีบรรเทาทุกข และเปนดังรมไทรในทะเลทรายที่ทุรกันดาร ใหผูขามไดอาศัยเปนที่พักรอนหยอนใจ “บรรดาคนในโลกน้ี ผูไมม งุ ทําดแี กใครกอน กับผูรบั อปุ การะจากใครแลว ไมสํานึกในอุปการะของผูมีคุณ ทําเปนลืมคุณทานเสีย คนดีถือวาเขาเปนคนละเมิดวิถีจรรยาของมนุษย ที่โลกสงบสุขอยูไดเพราะอาศัยคนดเี ปน สว นใหญ” ๑๖ คนดีมีความกตัญู และความกตเวทีเปนพ้ืนอัธยาศัย รูคุณของผูมีคุณและสํานึกในคุณน้ันวา เปนบุญคุณที่ตนตองสนองมีความเคารพนับถือจงรักภักดี ยกยองเชิดชูทานไวในฐานะผูมีคุณปรากฏแกคนอื่นวา ทานมีบุญคุณจริง ไมลบคือไมลืมบุญคุณทาน และไมหลูคือไมปดบังบุญคุณทานเสีย เปนคนมีชีวิตเก็บความดีไวหลอเล้ียงนําใจใหสดชื่น เหมือนจันทรหอมเก็บกล่ินหอมไวในแกนและมชี วี ติ เปนบอเกิดแหงความดี เหมอื นแมน้ําใหญเ ปนทร่ี วมอยูแ หง นํา้ พรอมท้ังสงความดีใหฟุงไปไกลดวยการสนองคุณ ดุจดอกลําดวนสงกลน่ิ หอมหวนในเวลาเย็น ๆ เชนนเ้ี รยี กวา ความกตัญู คนกตัญูเปนคนซ่ือสัตยจงรักภักดีตอผูมีคุณ เมื่อไดรับอุปการะจากผูใดแลวเปนไมลืมหนา ท่ีของตนที่ตองรูคุณ และสนองคุณดวยน้ําใจท่ีซ่ือสัตย และชักนําคนอื่นใหนิยมยินดีทําคุณความดีเชนน้ันดวย เขาไมรูจักอิ่มในคุณของผูมีคุณ เหมือนบัณฑิตไมรูจักอิ่มสุภาษิต ตาไมรูจักอิ่มในรูปที่ชอบ ทะเลหลวงไมรูจักอ่ิมนํ้า แตคนกตัญูท่ีเห็นแกตัวมีลับลมคมนัย จะแสดงกตัญูก็ตอเม่ืออยากใหท านปราณีตน หรือตนอยากไดใครดตี อ การตอบแทนในอนาคตอันใกล ซึ่งมีกลมายาลวงใจใหตายใจแอบแฝงอยูเบื้องหลัง เชนน้ี ก็อยูในฐานะคนอกตัญู ผูใดไมละท้ิงผูมีคุณ ในคราวถูกทาทาย ใน ๑๕พระธรรมกิตติวงศและคณะ, คลังธรรมเลม ๑, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพเล่ียงเชียง, ๒๕๔๖),หนา ๙๗. ๑๖สมเด็จพระมหาวรี วงศ (พิมพ ธมฺมธโร), มงคลยอดชีวติ , อางแลว, หนา ๔๔๒.

๓๙คราวไดท กุ ขรอ น ในคราวกนั ดารอาหาร ในคราวเขา รบกับศัตรู และติดตามไปถงึ ปาชา ผูน้ันเปนคนกตัญูแท คนกตัญูเขาไมเพียงแตรูคุณของผูมีคุณและสนองคุณเทาน้ัน ยังมีคุณธรรมอยางอ่ืนอีกดวย คือเปน ผูใหญกม็ คี วามกรณุ าปราณโี อบออ มอารี เผอ่ื แผแ กผนู อยทีท่ ําดแี กตน ยกยอ งเชิดชูไวใ นที่มีบุญคณุ แมสตั วแ ละสง่ิ ท่ไี มม ีวิญญาณ ซงึ่ ตนอาศยั ไดค วามสุขสาํ ราญ มารดาบดิ าไดบาํ รุงฉะนแ้ี ลว พึงอนเุ คราะหบ ุตรดวยสถาน ๕ คือ ๑. หามไมใ หทําความช่ัว ๒.ใหต้ังอยูในความดี ๓.ใหศ ึกษาศิลปวทิ ยา ๔. หาภรรยาทีส่ มควรให ๕. มอบทรัพยใหในสมยั ๑๗ ขอ ท่ี ๑ มารดาพงึ อนุเคราะหดวย หามไมใหทําความช่ัวน้ัน คําวา หามไมใหทําความชั่วน้ันไดแ กการชี้โทษในปจ จบุ ันและอนาคตแหง ความชว่ั ทั้งหลายใหบ ตุ รฟงอยูเ สมอ ๆ จนเปนที่ เขาใจแกบุตรธิดา เม่ือเห็นวาบุตรธิดายังไมเขาใจอยูตราบใด ก็ควรช้ีแจงใหเขาใจอยูตราบนั้น มีปาณาติบาตเปนตน แลวหามไมใหทําความชั่ว ติเตือนความชั่วท่ีบุตรทําแลวทุก ๆ คราวไปสุดแทแตวารูเห็นวาบุตรธิดาทําความช่ัวเมื่อใด ก็ใหติเตือนเม่ือนั้น เมื่อติเตือนแลวบุตรธิดายังขืนทําความชั่วน้ันอีก ก็ใหวากลาวส่ังสอน เมื่อวากลาวสั่งสอนแลวยังไมเชื่อฟง ก็ใหลงโทษตามสมควรแกความช่ัวน้ัน ถาไมลงโทษก็ไดเช่ือวาไมรักบุตรธิดา การท่ีเราเปนบิดามารดา ดุดาวากลาวเฆ่ียนตีบุตรธิดาน้ัน เปนการที่จะทําใหบุตรธิดาดีขึ้น ไมใชจะเปนการทําใหบุตรธิดาเลวลง เปรียบเหมือน ชางหมอ ฉะน้ัน คือธรรมดาท่ีชางหมอตีหมอน้ันไมใชประสงคจะตีหมอใหแตก แตประสงคจะตี ใหดีฉะน้ันนอกจากนั้นแลวมารดาบดิ าควรจะชเี้ หตแุ หงความฉบิ หาย ใหแ กบ ตุ รธิดา น้นั คือ อบายมขุ ๖ อบายมุข คือ เหตุแหงความฉบิ หาย ๖ อยาง ๑. ด่ืมน้าํ เมา ๒. เท่ียวกลางคนื ๓. เทย่ี วดูการเลน ๔. เลนการพนัน ๕. คบคนช่ัวเปน มิตร ๖. เกยี จครา นทาํ การงาน บิดามารดาควรช้เี หตแุ หงความฉิบหายใหแ กบุตร ๑๘ ไดแก ๑๗ท.ี ปา. ๑๑ / ๑๙๙ / ๘๘. ๑๘ที. ปา. ๑๑ / ๑๗๘ - ๑๘๕ / ๘๐ - ๘๓.

๔๐ ๑. ด่ืมนํ้าเมา ยอมกอใหเกิดการเสียทรัพย, ทําใหกอกรทะเลาะวิวาท, ทําใหเกิดโรค, ทําใหตอ งถกู ติเตอื น, ทาํ ใหเ ปนคนไมร จู ักอาย, และเปน การบั่นทอนกําลงั ปญญา เปน ตน ๒. เที่ยวกลางคืน ยอมไดชื่อวาไมรักตัว, ไดช่ือวาไมรักลูกเมีย, ไดชื่อวาไมรักษาทรัพยสมบตั ,ิ ยอมไดชอื่ วา เปน ทร่ี ะแวงของคนท้ังหลาย, มักถกู ใสความ, และไดร บั ความลาํ บากมาก ๓. เทย่ี วดูการเลน ยอมทาํ ใหเสยี การงาน, ทําใหเ สียทรัพย, และทําใหเสียสขุ ภาพเปน ตน ๔. เลนการพนัน มีโทษคือ เม่ือชนะยอมกอเวร, เม่ือแพยอมเสียดายทรัพยที่เสียไป, ทําใหฉิบหายทรัพย, ไมมีใครเชื่อถือ ถอยคํา, ไมมีใครประสงคจะแตงงานดวย และเปนท่ีหมิ่นประมาทของเพือ่ นเปนตน ๕. คบคนชั่วเปนมิตร มีโทษคือ นําใหเปนนักเลงพนัน, นําใหเปนนักเลงเจาชู, นําใหเปนนักเลงเหลา , และนําใหเ ปนคนโกงเขาซ่งึ หนา เปนตน และ ๖. เกียจครานทําการงานมีโทษ ๖ คือ มักอางวา หนาวนัก, รอนนัก, เวลานี้เย็นแลว, เวลานี้ยังเชาอยู, หิวนัก, และกระหายนักเปนตน แลวไมทําการงาน ดังน้ัน ผูหวังความเจริญดวยโภคทรัพยพึงเวนเหตุเครื่องฉิบหาย ๖ ประการนี้เสีย เพราะเปนเครื่องปดความเจริญของตนในภายหนา มีลาภและยศเปนตน ขอท่ี ๒ “แนะนําใหตั้งอยูในความดี นอกจากจะหามไมใหทําความชั่วแลวตองพรํ่าสอนใหกระทําความดี ต้ังอยูในความดีความชอบ เชน สอนใหลูกรูจักประกอบกิจการงานท่ีเปนประโยชนหม่ันขวนขวายในการหาทรัพย” ๑๙ บุคคลจะตั้งอยูในความดีได ก็ตองละส่ิงท่ีอยู ตรงกันขาม คือความช่ัว แลวนอมเขาสูทางสัมมาปฏิบัติ รูจักบาปบุญคุณและโทษ เชน ถึงกับใหสินจางเหมือนกับอนาถบิณฑิกเศรษฐีใชเงินจางบุตรใหศึกษาหลักธรรมคําส่ังสอนของพระพุทธเจา ครั้งแรกบุตรของทานอนาถบิณฑิกเศษฐีก็กระทําไปดวยหวังจะไดเพียงคารางวัลเทานั้น แตเม่ือปฏิบัตินานหลายครั้งเขาก็เกิดความซาบซึ้งในรสพระธรรมจึงปฏิบัติตาม และตั้งใจศึกษาหลักธรรมดวยความศรัทธาโดยไมรับสินจางรางวัลใด ๆ แลวต้ังอยูในความดี มีการถือม่ันในศีลเปนตน ดังไดนําหลักธรรมของคนดีมาบรรจุไวตอ ไปน้ี สัปปรุ สิ ธรรม ๗ อยาง “ธรรมของสัตบรุ ษุ เรยี กวา สปั ปรุ สิ ธรรม มี ๗ อยางคือ ๑. ธมฺมฺุตา ความเปนผูรูจักเหตุ เชน รูจักวา สิ่งน้ีเปนเหตุแหงสุข สิ่งน้ีเปนเหตุแหงทุกขเปนตน ๑๙วจิ ิตร อาวะกุล, เทคนิคมนุษยสัมพันธ, (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ โอ.เอส.ปร้ินติ้ง, ๒๕๒๘),หนา ๑๕๙.


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook