46 ท่ี หัวเร่ือง ตวั ชี้วดั เน้อื หา จานวน (ชั่วโมง) สรุปองคค์ วามร้ขู องกลมุ่ /จดั ทา สารสนเทศ เผยแพร่ความร)ู้ 3. สามารถใชก้ ารจดั การความรู้ 3. กระบวนการจัดการความรู้ดว้ ยตนเอง 10 เปน็ เครือ่ งมือในการเรียนรดู้ ้วย (ระดบั ปจั เจก) ตนเอง 3.1 กาหนดความรหู้ ลกั ท่จี าเป็นหรือ 4. สามารถจัดการความร้โู ดย สาคญั ต่องานหรอื กจิ กรรม กระบวนการกลุ่ม 3.2 เสาะแสวงหาความรู้ 5. สามารถสรา้ ง พัฒนาความรู้ 3.3 ประยกุ ต์ใชค้ วามรู้ (นวัตกรรม) 3.4 แลกเปลย่ี นความรู้ 6. สามารถใช้สารสนเทศเป็น 3.5 พฒั นาความรู/้ ยกระดับความร/ู้ เครื่องมอื ในการเผยแพร่ ต่อยอดความรู้ องค์ความรู้ 3.6 สรุปองค์ความรู้ 3.7 จดั ทาสารสนเทศองค์ความรู้ใน การพัฒนาตนเอง กระบวนการจดั การความร้ดู ้วยการ 10 ปฏบิ ตั กิ ารกลมุ่ (ชุมชนนกั ปฏิบตั หิ รือ ชุมชนแห่งการเรียนรู้ :COPS) 1. รปู แบบของ COPS ท่ใี ชใ้ นการจดั การ ความรู้ 2. การทา COPS เพอ่ื จดั การความรู้ 2.1 บนั ทึกการเล่าเรื่อง 2.2 บันทกึ ขุมความรู้ 2.3 บนั ทึกแกน่ ความรู้ 3. บันทกึ จัดเกบ็ เป็นองค์ความรู้ของ กลุ่ม เพ่ือใชป้ ระโยชนใ์ ห้ผูอ้ ่ืนไดเ้ รียนรู้ ตอ่ ไป การสรา้ งองค์ความรู้ พัฒนา ต่อยอด 3 ยกระดับความรู้ 1. การใชค้ วามรูแ้ ละประสบการณ์ในตัว บุคคลให้เกิดประโยชน์ตอ่ กลุ่ม/ หนว่ ยงาน/ชมุ ชน
47 ที่ หวั เรื่อง ตวั ชี้วัด เน้อื หา จานวน (ชว่ั โมง) 2. การทางานแบบตอ่ ยอดความรู้ 3. วธิ ีปฏิบตั ิท่ีเปน็ เลศิ (Best Practice) การจดั ทาสารสนเทศเผยแพร่ 5 องคค์ วามรู้ 1. การถา่ ยทอดความรู้ รูปแบบ วิธกี าร 2. การประสานความรู้ 3. การถอดองค์ความรู้ 4. การแลกเปล่ยี นเรยี นรู้ 5. การจัดเก็บความรู้ของกลุม่ /องค์กร การสรา้ งคลงั ความรู้ การประยุกต์ใช้ ICT 4 การคดิ เปน็ 1. เข้าใจและเชือ่ มั่นในความเชอื่ 1. ความเชอื่ พ้ืนฐานทางการศึกษาผู้ใหญ/่ 12 พน้ื ฐานทางการศึกษาผูใ้ หญ/่ การศกึ ษานอกระบบ 5 ประการ การศึกษานอกระบบท่ีเปน็ พ้ืนฐาน 1.1 คนทกุ คนมีความแตกต่างกนั แต่ เบื้องตน้ ของการเข้าถึง ทกุ คนต้องการความสขุ ความสุขของแต่ กระบวนการคดิ เป็น ละคนจึงแตกต่างกัน 2. ร้แู ละเข้าใจปรัชญา คิดเป็นงา่ ย 1.2 ความสุขของคนจะเกิดขึ้นก็ ๆ สามารถอธบิ าย ได้ถงึ ต่อเม่ือมีการปรบั ตวั เองและสิ่งแวดลอ้ ม ความหมายและความสาคญั ของ ใหเ้ ข้าหากันอย่างผสมกลมกลืนจนเกิด การคิดเป็นทเ่ี ช่ือมโยงจากความ ความพอดี เชอ่ื พ้นื ฐานทางการศึกษาผู้ใหญ่ 1.3 สภาวะแวดลอ้ มในสังคม และการศึกษานอกระบบ/ เปลยี่ นแปลงอยู่ตลอดเวลา จงึ ทาใหเ้ กิด การศึกษาตามอธั ยาศัย ปัญหา เกิดความทกุ ข์ ความไม่สบายกาย 3. เขยี นผงั กระบวนการคิด ไม่สบายใจอยตู่ ลอด แกป้ ัญหา ตามแนวทางของ 1.4 เมอื่ เกิดปญั หาหรือเกดิ ทุกข์กต็ ้อง คนคดิ เป็น หาวธิ แี ก้ปญั หา ซ่ึงการแก้ปัญหาที่ 4. อธิบายเสนอแนวทางการ เหมาะสมต้องมีข้อมูลประกอบการคดิ แกป้ ญั หาตามกระบวนการคิดเปน็ การตัดสนิ ใจ อยา่ งนอ้ ย 3 ประการ คือ จากกรณีตัวอย่างที่กาหนดได้อย่าง ข้อมลู ดา้ นวิชาการ ข้อมูลด้านตนเอง มขี ้อมูลเพยี งพอ ข้อมลู ดา้ นสงั คม สิ่งแวดลอ้ ม 5. ทาแบบฝกึ หดั การแก้ปัญหา 1.5 เมื่อไดใ้ ช้วิธแี ก้ปัญหาดว้ ยการ ดา้ นกระบวนการคดิ เปน็ ท่ี วิเคราะห์ข้อมูลและไตรต่ รองข้อมลู อย่าง
48 ท่ี หวั เรือ่ ง ตวั ชีว้ ัด เน้อื หา จานวน (ชั่วโมง) กาหนดใหไ้ ด้คล่อง รอบคอบ ทง้ั 3 ด้าน จนมีความพอใจ แล้วก็พร้อมทีจ่ ะรบั ผิดชอบการตัดสินใจที่ 6 เกิดความพอดี ความสมดลุ ระหว่างชวี ติ กบั ธรรมชาตอิ ย่างสนั ตสิ ขุ 10 2. ปรชั ญาคดิ เปน็ 2.1 ความหมาย 2.2 ความสาคัญ 2.3 คาทเ่ี กยี่ วขอ้ ง 2.4 การเชื่อมโยงความเชอ่ื พืน้ ฐาน ทางการศกึ ษาผู้ใหญ/่ การศกึ ษา นอกระบบ กบั ปรชั ญาคิดเป็น 3. กระบวนการและข้นั ตอนการ แก้ปัญหาอย่างคนคดิ เปน็ 3.1 ทุกข/์ ปัญหาท่ีปรากฏ 3.2 ศกึ ษาสาเหตุของทุกข์ ปัญหา โดย การวิเคราะห์ขอ้ มลู ที่เกีย่ วข้อง ทง้ั ข้อมลู วิชาการ ขอ้ มลู ตนเอง และข้อมูลทาง สงั คม สิง่ แวดล้อม ใหร้ ลู้ ักษณะเบอ้ื งตน้ ของขอ้ มลู ทั้ง 3 ประการ และ เปรียบเทียบความแตกต่างของขอ้ มลู ต่าง ๆ อย่างง่าย ๆ ได้ 3.3 กาหนดทางเลือกในการดับทกุ ข์/ ปญั หา และเลือกแนวทางท่เี หมาะสม 3.4 ดาเนินการแกป้ ัญหาเพื่อการดบั ทุกข์ 3.5 ประเมินผลการดาเนินงาน หากมี ผลเป็นท่ีพอใจกจ็ ะเกิดสนั ติสุข ถ้ายงั ไมพ่ อใจกจ็ ะย้อนกลับไปพิจารณาสาเหตุ ทกุ ขห์ รือปัญหาใหมแ่ ละแสวงหาขอ้ มูล เพิ่มเติมอย่างพอเพียงจนพอใจกับการ ตัดสินใจของตนเอง
49 ที่ หัวเรื่อง ตวั ชวี้ ดั เน้ือหา จานวน (ชวั่ โมง) 5 การวิจยั 1. รู้เข้าใจความหมายและ 4. กรณีตัวอยา่ งทีห่ ลากหลายเพ่ือฝึก อยา่ งงา่ ย ตระหนักถึงความสาคัญของการ ทกั ษะการคดิ เปน็ ด้วยกระบวนการ 6 วิจัย แก้ปัญหาอย่างคนคดิ เป็น 2 2. วเิ คราะหแ์ ละกาหนดปัญหา หรือสง่ิ ทีอ่ ยากรู้/ 1. วจิ ัยคืออะไร ทาไมต้องร้เู ร่ืองการวิจยั 24 ต้องการทราบคาตอบ (ความหมายและความสาคญั ของการ 3. รเู้ ข้าใจกระบวนการและ วจิ ัย) 8 ขน้ั ตอนการวิจยั 4. ฝึกปฏิบัตกิ ารสงั เกตปญั หา การ 1.1 ความหมายของการวจิ ัย ระบปุ ัญหา การต้ังสมมติฐาน 1.2 ความสาคัญและประโยชน์ของ การเก็บรวบรวมข้อมูล การสรุป การวิจยั ข้อมูลและการเขยี นรายงานการ 2. ทาวิจยั อย่างไร วจิ ัยอยา่ งง่าย (กระบวนการและขน้ั ตอนการวิจยั ) 2.1 คาถามทตี่ อ้ งการคาตอบคืออะไร ปัญหาทต่ี อ้ งการทราบจากการวจิ ยั คือ อะไร (การระบปุ ัญหาการวิจัย) 2.2 คาดเดาคาตอบว่าอยา่ งไร กาหนดแนวคาตอบเบื้องต้น (สมมตฐิ าน) 2.3 วธิ ีการหาคาตอบทต่ี ้องการร้/ู แหล่งคาตอบ/การรวบรวมคาตอบ (การเก็บรวบรวมข้อมลู /เครือ่ งมือการ วจิ ัย) 2.4 ตอบคาถามทสี่ งสัยวา่ อย่างไร(การ วิเคราะห์ข้อมูล/สรปุ ผลการวิจยั ) 3. เขยี นอย่างไร ให้คนอ่านเข้าใจ (การเขียนรายงานการวจิ ยั อย่างงา่ ย) 3.1 ความเป็นมา/ความสาคญั ของ เร่ืองที่ทาวิจัย 3.2 วตั ถุประสงค์การวิจยั 3.3 ประโยชน์ที่ได้รบั จากการวจิ ยั 3.4 เอกสารทเี่ ก่ียวข้อง 3.5 วธิ ีดาเนนิ การวจิ ยั
50 ที่ หวั เรื่อง ตัวชว้ี ัด เน้อื หา จานวน (ชั่วโมง) 3.6 การวเิ คราะห์ข้อมลู 3.7 สรปุ ผลและข้อเสนอแนะ 3.8 เอกสารอา้ งอิง 6 ทกั ษะการ 1. รู้เขา้ ใจความหมาย ตระหนัก 1. ความหมาย ความสาคัญ ของ 5 เรียนรู้และ และเห็นความสาคัญ ศักยภาพ ศักยภาพหลักในการพฒั นาอาชีพ 5 20 ศักยภาพ หลกั ของพ้ืนที่ 5 ศักยภาพ 2. การวิเคราะหศ์ ักยภาพหลักของพน้ื ที่ หลกั ของ 2. อธิบายถงึ องค์ประกอบของ ในการพฒั นาอาชีพ พ้นื ท่ใี นการ ศักยภาพ 5 ศักยภาพ 2. 1 ศักยภาพของ พฒั นาอาชีพ 3. ยกตวั อยา่ งการใชศ้ ักยภาพ 5 ทรพั ยากรธรรมชาติ ในแตล่ ะพ้ืนท่ี ศกั ยภาพ โดยคานึงถึงศักยภาพแล พบริบมรอบ ๆ ตวั ผเู้ รยี น 2.2 ศักยภาพของพืน้ ท่ีตามลกั ษณะ ภูมอิ ากาศ 2.3 ศักยภาพของภูมิประเทศ และ ทาเลทต่ี ้งั ของแต่ละพ้นื ที่ 2.4 ศักยภาพของศลิ ปะ วฒั นธรรม ประเพณี และวิถชี วี ิตของแตล่ ะพ้ืนท่ี 2.5 ศักยภาพของทรัพยากรมนษุ ยใ์ น แต่ละพื้นท่ี 3. ตวั อยา่ งอาชีพท่สี อดคล้องกับศกั ยภาพ หลักของพ้ืน คือ 3.1 กลุ่มอาชีพด้านการเกษตรกรรม 3.2 กลมุ่ อาชีพดา้ นอุตสาหกรรม 3.3 กลุม่ อาชีพดา้ นพาณิชยกรรม 3.4 กล่มุ อาชีพดา้ นความคิด สรา้ งสรรค์ 3.5 กลุ่มอาชีพด้านบริหารจัดการ และการบริการ
51 สาระความร้พู น้ื ฐาน สาระความร้พู ้นื ฐาน เป็นสาระเก่ยี วกับภาษาและการสื่อสาร คณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตรแ์ ละ เทคโนโลยี สาระความรพู้ ื้นฐาน ประกอบดว้ ย 2 มาตรฐาน ดังนี้ มาตรฐานท่ี 2.1 มคี วามร้คู วามเขา้ ใจ และทักษะพืน้ ฐานเกยี่ วกับภาษาและการสื่อสาร มาตรฐานท่ี 2.2 มีความรู้ความเข้าใจ และทกั ษะพื้นฐานเกีย่ วกบั คณิตศาสตร์ วทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี มาตรฐานการเรยี นรู้ระดับ และผลการเรยี นรทู้ ี่คาดหวัง ในแต่ละมาตรฐาน มาตรฐานท่ี 2.1 มคี วามรคู้ วามเข้าใจ และทักษะพ้ืนฐานเก่ียวกับภาษาและการสื่อสาร รายวชิ า ภาษาไทย มาตรฐาน การฟงั การดู การเรียนรู้ระดบั 1. เหน็ ความสาคญั ของการฟังและดู 2. สามารถจบั ใจความ และสรปุ ความจากเรื่องที่ฟงั และดู 3. มีมารยาทในการฟัง และดู ผลการเรยี นรู้ 1. รแู้ ละเข้าใจหลักการ ความสาคญั และจดุ มงุ่ หมายของ การฟงั และดู ทคี่ าดหวัง 2. จบั ใจความสาคญั และสรปุ ความจากเรื่องที่ฟงั และดู 3. ปฏิบัตติ นเปน็ ผู้มีมารยาทในการฟงั และดู มาตรฐาน การพูด การเรยี นรู้ระดับ 1. เหน็ ความสาคญั และลักษณะการพูดทด่ี ี 2. สามารถพดู แสดงความรู้ ความคดิ ความรู้สึกในโอกาสตา่ งๆ ไดอ้ ย่างเหมาะสม 3. มีมารยาทในการพดู ผลการเรียนรู้ 1. เขา้ ใจความสาคัญ และลักษณะการพูด ท่ดี ี ทคี่ าดหวัง 2. พูดแสดงความรู้ ความคิด ความรสู้ ึก ไดอ้ ยา่ งเหมาะสม 3. ปฏบิ ัติตนเป็นผมู้ ีมารยาทในการพดู มาตรฐาน การอา่ น การเรียนร้รู ะดบั 1. เห็นความสาคัญของการอา่ น ทงั้ การอ่านออกเสียงและอ่านในใจ 2. สามารถอา่ นได้อย่างถูกตอ้ ง และอ่านไดเ้ ร็ว เข้าใจความหมายของถ้อยคา ข้อความ เนอ้ื เรื่องท่ีอ่าน
52 3. มีมารยาทในการอา่ นและนิสัยรกั การอา่ น ผลการเรียนรู้ 1. เขา้ ใจความสาคัญ หลกั การ และจดุ มุ่งหมายของการอา่ นทงั้ อา่ นออกเสียงและอา่ น ทค่ี าดหวงั ในใจ 2. อ่านออกเสียงคา ข้อความ บทสนทนาเรื่องสั้น บทรอ้ ยกรอง และบทรอ้ งเลน่ บท กล่อมเด็ก 3. อธิบายความหมายของคาและข้อความทอ่ี ่าน 4. ปฏบิ ตั ิตนเป็นผมู้ มี ารยาทในการอา่ นและมีนสิ ยั รักการอ่าน มาตรฐาน การเขยี น การเรียนรู้ระดับ 1. เห็นความสาคญั ของ การเขยี นและประโยชนข์ องการคดั ลายมือ 2. สามารถเขียนคา คาคล้องจอง ประโยค และ เขียนบนั ทกึ เร่ืองราว สอื่ สาร เหตกุ ารณ์ในชวี ติ ประจาวันได้ 3. มมี ารยาทในการเขียนและนสิ ัยรักการเขยี น ผลการเรยี นรู้ 1. เขา้ ใจหลกั การเขียน และเหน็ ความสาคัญของการเขียน ทค่ี าดหวัง 2. ร้จู ักอักษรไทย เขยี นสะกดคา และรู้ความหมายของคา คาคล้องจอง และประโยค 3. เขียนสื่อสารในชีวิตประจาวนั จดบนั ทกึ โดยใช้คาถูกต้อง ชดั เจน 4. เขียนเรยี งความ ยอ่ ความ จดหมาย ได้ตามรูปแบบ 5. เขยี นรายงาน การคน้ ควา้ สามารถอ้างอิงแหลง่ ความรู้ 6. กรอกแบบรายการต่างๆ 7. ปฏบิ ัตติ นเป็นผ้มู มี ารยาทในการเขยี นและมีการจดบันทึกอยา่ งสมา่ เสมอ มาตรฐาน หลกั การใชภ้ าษา การเรยี นร้รู ะดบั 1. สามารถสะกดคาโดยนาเสียงและรูปอักษรไทยประสมเป็นคาอา่ นและเขียนได้ ถูกต้องตามหลักการใช้ภาษา 2. สามารถใชเ้ ครอื่ งหมายวรรคตอนได้ถูกตอ้ ง และเหมาะสม 3. เขา้ ใจลักษณะของคาไทย คาภาษาถ่ิน และ คาภาษา ต่างประเทศที่ ใช้ใน ภาษาไทย ผลการเรยี นรู้ 1. อธิบายการใชเ้ สยี ง และรูปอักษรไทย อักษร 3 หมู่ และการ ผันวรรณยกุ ต์ได้ ทีค่ าดหวงั 2. อธบิ ายเกยี่ วกบั การสะกดคา พยางค์ และประโยคไดถ้ ูกต้อง 3. ใชเ้ คร่ืองหมายวรรคตอนและอกั ษรยอ่ ได้ถูกต้อง 4. บอกประโยชน์ การใช้พจนานกุ รม 5. บอกความหมายของสานวน คาพังเพย สุภาษติ คาราชาศัพท์ คาสุภาพ และ
53 นาไปใช้ได้ถูกต้อง เหมาะสม 6. บอกลักษณะคาไทย คาภาษาถน่ิ และคาภาษาต่างประเทศที่มี ใชใ้ นภาษาไทย มาตรฐาน วรรณคดี วรรณกรรม การเรยี นร้รู ะดับ 1. สามารถค้นคว้าเรื่องราว ประโยชนแ์ ละคณุ คา่ ของนทิ าน นิทานพ้นื บ้าน วรรณกรรมและวรรณกรรมท้องถ่นิ ผลการเรยี นรู้ 1. อธบิ ายถึงประโยชน์ ทคี่ าดหวัง และคณุ ค่าของนิทาน นิทานพื้นบ้าน วรรณกรรมและวรรณกรรมในท้องถิน่ มาตรฐาน ภาษาไทยกบั การประกอบอาชพี การเรยี นรู้ระดับ 1. ใช้ความรดู้ ้านการพูดภาษาไทยเพื่อการประกอบอาชีพ 2. ใชค้ วามรู้ดา้ นการเขยี นภาษาไทยเพ่ือการประกอบอาชีพ ผลการเรยี นรู้ 1. ใช้ความรู้การพดู ภาษาไทยเป็นช่องทางในการประกอบอาชีพ ทค่ี าดหวัง 2. ใชค้ วามรู้การเขียนภาษาไทยเปน็ ชอ่ งทางการประกอบอาชีพ รายวิชา ภาษาตา่ งประเทศ มาตรฐาน มคี วามรู้ ความเขา้ ใจ ทักษะและเจตคตเิ กยี่ วกับ การฟงั พูด อา่ น เขียน การเรียนรรู้ ะดบั ภาษาต่างประเทศ เพอื่ การสื่อสารในชีวิตประจาวันไดถ้ ูกตอ้ งตาม หลักภาษาและ วัฒนธรรมของเจ้าของภาษา ผลการเรยี นรู้ 1. เข้าใจเกยี่ วกบั การฟัง พูด อ่าน เขยี น เพื่อการสอื่ สารในชีวติ ประจาวัน ทคี่ าดหวงั 2. ยอมรับ และเหน็ คณุ คา่ ภาษาตา่ งประเทศเพ่ือการสื่อสารในชวี ิตประจาวัน 3. มีทกั ษะท่ีถูกต้องในการส่ือสารตาม หลักภาษาและวฒั นธรรม ของเจา้ ของภาษา มาตรฐานท่ี 2.2 มคี วามร้คู วามเข้าใจ และทกั ษะพ้ืนฐานเก่ียวกบั คณติ ศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์และ เทคโนโลยี รายวชิ า คณติ ศาสตร์ มาตรฐาน มคี วามรู้ ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั จานวนและการดาเนินการ เศษสว่ น ทศนยิ ม และรอ้ ย การเรยี นรู้ระดับ ละ การวัด เรขาคณิต สถิตแิ ละความน่าจะเปน็ เบื้องต้น ผลการเรียนรู้ 1. ระบหุ รือยกตัวอย่างเกี่ยวกับจานวนและการดาเนินการ เศษสว่ น ทศนิยม และ ท่ีคาดหวัง รอ้ ยละ การวัด เรขาคณติ สถิติ และความนา่ จะเป็นเบอ้ื งตน้ ได้ 2. สามารถคดิ คานวณและแกโ้ จทยป์ ัญหาเกี่ยวกับจานวนนับ เศษส่วน ทศนยิ ม ร้อย ละ การวดั เรขาคณิตได้
54 รายวิชา วิทยาศาสตร์ มาตรฐาน มีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะและเห็นคุณคา่ เกยี่ วกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การเรยี นรรู้ ะดับ เทคโนโลยี สิง่ มีชวี ติ ระบบนิเวศทรพั ยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในท้องถิน่ สาร แรง พลงั งาน กระบวนการเปลย่ี นแปลงของโลก และดาราศาสตร์ มจี ิต วทิ ยาศาสตร์และนาความรู้ไปใช้ประโยชนใ์ นการดาเนนิ ชีวติ ผลการเรยี นรู้ 1. ใช้ความรู้และกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ในการดารงชีวติ ไดอ้ ย่างเหมาะสม ท่ีคาดหวัง 2. จาแนกสิ่งมีชีวติ ในแหล่งท่ีอยู่ อธิบายความสัมพันธข์ องกลุม่ สิง่ มชี วี ติ ในระบบนเิ วศ ความสัมพันธ์ระหว่างสภาพแวดลอ้ มกบั การดารงชวี ติ ของส่ิงมีชวี ิต ในชุมชนและ ท้องถนิ่ 3.อธิบายความหมายประเภทของทรัพยากรธรรมชาติการใช้และการดูแลรักษา ทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อมในชมุ ชนและท้องถิน่ ได้ 4.อธิบายเกยี่ วกบั ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ และการพยากรณท์ างอากาศ 5. อธิบายเก่ียวกบั สมบัติของสาร การแยกสารสารในชวี ิตประจาวันและการเลอื กใช้ สารได้อย่างถกู ต้องเหมาะสมและปลอดภัย 6. อธบิ ายเกยี่ วกับประเภทของแรง ผลท่ีเกิดจากการกระทาของแรง ความดนั แรง ลอยตัว แรง ดงึ ดูดของโลกแรงเสยี ดทาน และการนาไปใช้ ในชวี ิตประจาวนั 7. อธิบายเกีย่ วกบั พลังงานในชีวิตประจาวนั 8. อธบิ ายความสมั พันธร์ ะหวา่ งดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ได้ 9. อธบิ าย ออกแบบ วางแผน ทดลอง ทดสอบ ปฏิบตั ิการเรื่องไฟฟูาได้อย่างถูกต้อง และปลอดภัย คิด วิเคราะห์ เปรียบเทยี บข้อดี ข้อเสยี ของการตอ่ วงจรไฟฟาู แบบ อนกุ รม แบบขนาน แบบผสม ประยุกตแ์ ละเลอื กใช้ความรู้ และทักษะอาชีพชา่ งไฟฟูา ให้เหมาะสมกับดา้ นบริหารจดั การและการบรกิ าร เพื่อนาไปสู่การจดั ทาโครงงาน วทิ ยาศาสตร์
55 สาระความรพู้ ืน้ ฐาน (รายวิชาบังคับ) มาตรฐานที่ ระดบั ประถมศึกษา 2.1 รายวิชาบังคับ รหัสรายวิชา รายวชิ า หนว่ ยกติ 2.1 ภาษาไทย พท 11001 ภาษาไทย 3 2.2 2.2 ภาษาต่างประเทศ พต 11001 ภาษาอังกฤษใน 3 ชีวิตประจาวัน คณิตศาสตร์ พค 11001 คณิตศาสตร์ 3 วทิ ยาศาสตร์ พว 11001 วิทยาศาสตร์ 3 รวม 12 สาระความรู้พืน้ ฐาน (รายวิชาเลือกบังคบั ) มาตรฐานท่ี ระดับประถมศกึ ษา 2.2 รายวิชาเลือก รหสั รายวชิ า รายวิชา หน่วยกติ 2.2 วิทยาศาสตร์ พว12010 การใช้พลังงานไฟฟูาใน 2 วทิ ยาศาสตร์ ชวี ติ ประจาวัน 1 พว 12011 วัสดศุ าสตร์ 2 รวม 4 สาระความรู้พ้นื ฐาน (รายวิชาเลอื กเสร)ี มาตรฐานที่ ระดับประถมศึกษา - รายวิชาเลอื ก รหสั รายวชิ า รายวชิ า หนว่ ยกิต - - - -- - - -- รวม
56 คาอธิบายรายวชิ า พท11001 ภาษาไทย จานวน 3 หน่วยกิต ระดับประถมศกึ ษา มาตรฐานการเรยี นรู้ระดับ การฟัง การดู 1. เห็นความสาคัญของการฟังและดู 2. สามารถจบั ใจความ และสรปุ ความจากเรื่องที่ฟังและดู 3. มมี ารยาทในการฟงั และดู การพูด 1. เหน็ ความสาคัญ และลกั ษณะการพดู ที่ดี 2. สามารถพูดแสดงความรู้ ความคดิ ความรู้สึกในโอกาสต่างๆ ได้อยา่ งเหมาะสม 3. มีมารยาทในการพูด การอ่าน 1. เห็นความสาคัญของการอ่าน ท้ังการอา่ นออกเสียงและอา่ นในใจ 2. สามารถอา่ นได้อย่างถูกต้อง และอา่ นไดเ้ ร็ว เข้าใจความหมายของถ้อยคา ขอ้ ความ เน้อื เร่อื งทอ่ี ่าน 3. มีมารยาทในการอา่ นและนสิ ยั รักการอ่าน การเขียน 1. เหน็ ความสาคัญของการเขยี นและประโยชนข์ องการคัดลายมือ 2. สามารถเขยี นคา คาคล้องจอง ประโยค และเขียนบันทึกเรอื่ งราว สื่อสาร เหตุการณ์ ในชวี ิตประจาวนั ได้ 3. มีมารยาทในการเขยี นและนสิ ยั รกั การเขียน หลกั การใช้ภาษา 1. สามารถสะกดคา โดยนาเสียงและรูปอักษรไทยประสมเป็นคาอา่ นและเขยี นได้ ถูกต้อง ตามหลกั การใช้ภาษา 2. สามารถใช้เคร่ืองหมายวรรคตอนไดถ้ ูกต้องและเหมาะสม 3. เข้าใจลักษณะของคาไทย คาภาษาถ่ิน และ คาภาษาตา่ งประเทศท่ใี ชใ้ นภาษาไทย วรรณคดี วรรณกรรม สามารถคน้ ควา้ เร่อื งราว ประโยชนแ์ ละคุณคา่ ของนทิ าน นิทานพน้ื บ้าน วรรณกรรมและ วรรณกรรมท้องถน่ิ ภาษาไทยกบั การประกอบอาชีพ 1. ใช้ความร้ดู า้ นการพูดภาษาไทยเพ่อื การประกอบอาชพี
57 2. ใชค้ วามรูด้ ้านการเขียนภาษาไทยเพ่ือการประกอบอาชีพ ศึกษาและฝึกทักษะเก่ยี วกับเรอ่ื งดังต่อไปนี้ การฟงั การดู หลกั การ ความสาคัญ จดุ มุ่งหมาย การสรุปความ และมารยาทของการฟงั และดู การพูด ความสาคัญ ลักษณะการพูดทด่ี ี และมารยาทในการพดู การอ่าน หลกั การ ความสาคัญ จุดมุ่งหมายของการอ่านออกเสยี งและอา่ นในใจ บทร้อยแก้ว บทร้อยกรอง และมารยาทของการอ่าน การเขียน หลกั การ ความสาคัญของการเขียน การคดั ลายมอื การเขยี นสอ่ื สารในชวี ติ ประจาวันด้วยวธิ กี าร เขยี นประเภทตา่ งๆ และการกรอกแบบรายการตา่ งๆ ตลอดจนมมี ารยาทในการเขยี น หลกั การใช้ภาษา การใช้เสียงและรปู อกั ษรไทย อกั ษร 3 หมู่ การผันวรรณยกุ ต์ ความหมายของคา คาไทย คา ภาษาถน่ิ คาภาษาตา่ งประเทศที่ใชใ้ นภาษาไทย การสะกดคา พยางค์และประโยค การใชเ้ ครอ่ื งหมาย วรรคตอน พจนานุกรม และความหมายของสานวน คาพังเพย สุภาษิต คาราชาศัพท์ คาสุภาพ วรรณคดี และวรรณกรรม ประโยชน์และคุณค่าของนทิ าน นทิ านพ้ืนบ้าน และวรรณกรรมในทอ้ งถ่นิ ภาษาไทยกับการประกอบอาชพี การใช้ความรู้ดา้ นการพูด การเขยี นภาษาไทยเป็นช่องทางในการประกอบอาชีพ การจดั ประสบการณก์ ารเรยี นรู้ จัดประสบการณห์ รือสถานการณ์ในชวี ิตประจาวันให้ผูเ้ รียนได้ศึกษา ค้นคว้าโดยการปฏบิ ัติจริงเปน็ รายบคุ คลหรือใช้กระบวนการกลุม่ เกย่ี วกับทักษะการฟัง การดู การพดู การอ่าน การเขยี น และหลกั การใช้ ภาษา การวดั และประเมินผล การสงั เกต การฝึกปฏิบตั ิ การทดสอบ (แบบทดสอบ) และการประเมินชิ้นงานในแต่ละกจิ กรรม
58 รายละเอยี ดคาอธบิ ายรายวิชา พท11001 ภาษาไทย จานวน 3 หน่วยกิต ระดับประถมศกึ ษา มาตรฐานการเรยี นรู้ระดับ การฟัง การดู 1. เห็นความสาคัญของการฟัง และดู 2. สามารถจบั ใจความ และสรุปความจากเร่ืองที่ฟังและดู 3. มมี ารยาทในการฟัง และดู การพูด 1. เหน็ ความสาคัญ และลกั ษณะการพูดท่ีดี 2. สามารถพดู แสดงความรู้ ความคดิ ความรู้สึกในโอกาสต่างๆ ได้อยา่ งเหมาะสม 3. มีมารยาทใน การพดู การอา่ น 1. เห็นความสาคัญของการอ่าน ท้ังการอา่ นออกเสยี งและอา่ นในใจ 2. สามารถอา่ นได้อยา่ งถูกต้อง และอ่านไดเ้ ร็ว เขา้ ใจความหมายของถ้อยคา ขอ้ ความ เนอื้ เรือ่ งท่อี ่าน 3. มมี ารยาทในการอา่ นและนสิ ยั รกั การอ่าน การเขยี น 1. เห็นความสาคัญของ การเขียนและประโยชนข์ องการคดั ลายมือ 2. สามารถเขยี นคา คาคลอ้ งจอง ประโยค และเขยี นบนั ทึกเรอื่ งราว ส่อื สาร เหตุการณ์ ในชวี ิตประจาวันได้ 3. มีมารยาทในการเขยี นและนิสัยรักการเขยี น หลักการใช้ภาษา 1. สามารถสะกดคา โดยนาเสียงและรปู อักษรไทยประสมเปน็ คาอ่านและเขียนได้ ถกู ต้องตามหลักการใชภ้ าษา 2. สามารถใชเ้ ครอ่ื งหมายวรรคตอนได้ถูกต้องและเหมาะสม 3. เข้าใจลักษณะของคาไทย คาภาษาถ่นิ และคาภาษาต่างประเทศที่ใช้ในภาษาไทย วรรณคดี วรรณกรรม สามารถค้นคว้าเร่ืองราว ประโยชน์และคุณค่าของนิทาน นิทานพนื้ บา้ น วรรณกรรมและวรรณกรรมท้องถนิ่ ภาษาไทยกบั การประกอบอาชีพ 1. ใชค้ วามรู้ด้านการพดู ภาษาไทยเพอ่ื การประกอบอาชีพ 2. ใช้ความรูด้ า้ นการเขียนภาษาไทยเพื่อการประกอบอาชีพ
59 ที่ หัวเรอื่ ง ตัวช้ีวัด เนื้อหา จานวน (ชวั่ โมง) 1 การฟัง การดู 1. รแู้ ละเข้าใจหลักการ 1. หลักการ ความสาคญั และ 2 ความสาคญั และจุดมงุ่ หมาย จดุ มุ่งหมายของการฟัง ของการฟังและดู และดู 2. จบั ใจความสาคญั และ สรุป 2. การจบั ใจความสาคัญ 3 ความจากเรื่องท่ีฟังและดู จากการฟังและดู 3. การสรุปความจากการฟัง 3 3. ปฏบิ ตั ติ นเป็นผู้มมี ารยาทใน และดู การฟังและดู 4. มารยาทในการฟังและดู 2 2. การพดู 1. เข้าใจหลักการ ความสาคัญ 1. หลกั การ ความสาคัญและ 2 และจุดมุ่งหมายของ จุดมุ่งหมายของการพูด ลกั ษณะการพูดทีด่ ี 2. การเตรยี มการ และพดู 2. การเตรียมการพูดและ 2 แสดงความรู้ ความคิด ลักษณะการพูดทีด่ ี ความร้สู ึกได้อย่างเหมาะสม 3. การพูดในโอกาสต่าง ๆ 3 - การพดู อวยพร - การพดู ขอบคุณ - การพดู แสดงความเสียใจ ดีใจ - การพูดต้อนรบั 3. ปฏิบัตติ นเปน็ ผู้มีมารยาทใน - การพูดรายงาน การพูด 4. มารยาทในการพูด 1 3. การอา่ น 1. เข้าใจความสาคัญ หลักการ 1. ความสาคัญ หลักการ และ 4 และจุดมุ่งหมายของการ จุดมุง่ หมายของการอ่านออก อา่ นทงั้ อ่านออกเสยี ง เสยี งและ การอ่านในใจ และอ่านในใจ 2. อ่านออกเสยี งคา ข้อความ 2. การอ่านรอ้ ยแก้ว 16 บทความ บทสนทนา 2.1 การอ่านออกเสียง เรอ่ื งสน้ั บทรอ้ ยกรองและ 2.2 การอ่านขอ้ ความ บทร้องเลน่ บทกล่อมเด็ก บทความ บทสนทนา
60 ท่ี หวั เร่ือง ตวั ช้ีวดั เน้ือหา จานวน (ชว่ั โมง) 3. อธิบายความหมายของคา เรอ่ื งสน้ั และบท กล่อม และข้อความทอี่ า่ น เด็ก 2.3 การอ่านจับใจความ สาคัญ 2.4 การอ่านเพ่ือแสดงความ คดิ เห็น และสรปุ ความ 12 3. การอ่านร้อยกรอง 3.1 การอ่านคาคลอ้ งจอง บทกล่อมเด็ก นิทาน เพลง พน้ื บ้าน 3.2 การอ่านกลอนสภุ าพ 4 4. การเลือกอ่านหนังสือและ 4. ปฏบิ ตั ติ นเปน็ ผูม้ ีมารยาท ประโยชน์ของการอ่าน 4 ในการอ่านและมีนิสยั รกั 5. การสร้างนิสัยรักการอ่าน การอ่าน และมารยาทในการอ่านที่ดี 4. การเขยี น 1. เข้าใจหลักการเขียนและ 1. หลักการเขยี น ความสาคัญ 2 เห็นความสาคัญของการ ของการเขยี น เขียน 2. รจู้ กั อกั ษรไทย เขยี นสะกด 2. การเขียนอักษรไทย 2 คา และรคู้ วามหมายของคา (พยัญชนะ สระ วรรณยกุ ต์ คาคลอ้ งจอง และประโยค ตวั เลขไทย) 3. การเขยี นสะกดคาและ 2 ความหมายของคา 3. เขยี นสอ่ื สารใน 4. การเขยี นสื่อสาร 3 ชีวติ ประจาวัน จดบันทกึ - การเขียนประวตั ติ นเอง โดยใช้คาถูกต้อง ชัดเจน - การเขียนบนั ทึกประจาวัน - การเขียนเลา่ เรื่อง ขา่ ว เหตกุ ารณ์ 4. เขยี นเรียงความ ย่อความ 5. การเขยี นตามรปู แบบ 3 จดหมาย ไดต้ ามรปู แบบ - การเขยี นเรียงความ - การเขียนย่อความ
61 ท่ี หัวเร่อื ง ตวั ชวี้ ัด เนือ้ หา จานวน (ชั่วโมง) - การเขยี นจดหมาย (การใชจ้ ดหมาย อิเล็กทรอนิกส์) 5. เขียนรายงานการค้นคว้า 6. การเขียนรายงานการ 2 สามารถอ้างองิ แหลง่ ความรู้ ค้นควา้ และอา้ งอิงความรู้ 6. กรอกแบบรายการต่างๆ 7. การเขยี นกรอกรายการ 2 7. ปฏิบตั ิตนเป็นผ้มู มี ารยาทใน (แบบฟอรม์ ) การเขียนและมีการ จด 8. การปฏบิ ัติตนเปน็ ผู้มี 2 บันทกึ อย่างสม่าเสมอ มารยาท ในการเขียนและ มนี สิ ัยรักการเขยี น 5. หลักการใช้ภาษา 1. อธิบายการใช้เสยี ง และ 1. เสยี งและรปู อักษรไทย 1 รปู อกั ษรไทย อักษร 3 หมู่ (พยัญชนะ สระ และ และการผนั วรรณยุกต์ วรรณยุกต์) 2. การผันอักษร 3 หมู่ 3 (ไตรยางศ)์ 2. อธบิ ายเก่ยี วกบั การสะกดคา 3. คาและพยางค์ 1 พยางค์ และประโยค 4. คาในมาตราตวั สะกด 2 ไดถ้ ูกต้อง 9 มาตรา 5. ชนดิ และหน้าท่ีของคา 7ชนิด 3 6. โครงสร้างและชนดิ ของ 2 ประโยค 3. ใช้เคร่อื งหมายวรรคตอน 7. เครอ่ื งหมายวรรคตอน 1 และอักษรย่อได้ถูกต้อง 4. บอกวธิ ีการใช้ และประโยชน์ 8. การใช้พจนานกุ รม 1 ของการใชพ้ จนานุกรม 5. บอกความหมายของสานวน 9. ความหมายและการใช้ 3 คาพงั เพย สภุ าษิต คาราชา สานวน คาพังเพย สุภาษิต ศพั ท์ คาสภุ าพ และนาไปใช้ คาราชาศัพท์และคาสภุ าพ ไดถ้ ูกต้อง เหมาะสม 10. การใช้ภาษาทเี่ หมาะสม 1 กับบุคคล สถานการณ์
62 ท่ี หัวเรอื่ ง ตัวช้วี ัด เน้อื หา จานวน (ชว่ั โมง) 6. บอกลกั ษณะคาไทย วฒั นธรรม ประเพณี 2 คาภาษาถ่ิน และ 11. ลักษณะของคาไทย 5 คาภาษาต่างประเทศ คาภาษาถิ่น คาภาษา 15 ที่มใี ชใ้ นภาษาไทย ต่างประเทศท่ีมีใช้ใน 2 2 ภาษาไทย 6. วรรณคดี วรรณกรรม อธบิ ายถึงประโยชน์ 1. เร่อื งราว นิทาน และคุณคา่ ของนิทาน นิทานพนื้ บา้ นและ นิทานพน้ื บา้ น วรรณกรรม วรรณกรรมท้องถิน่ และวรรณกรรมในท้องถ่ิน 2. เรือ่ งราววรรณคดีท่มี ี ความหลากหลาย - กลอนบทละคร (สงั ข์ทอง) - กลอนนิทาน (พระอภัยมณี) - กลอนเสภา (ขุนชา้ ง ขนุ แผน) 7. ภาษาไทยกบั การ 1. ใช้ความรู้การพดู ภาษาไทย 1. ภาษาไทยดา้ นการพูดกับ ประกอบอาชีพ เป็นชอ่ งทางในการ ชอ่ งทางการประกอบอาชพี ประกอบอาชีพ 2. ใชค้ วามรกู้ ารเขียน 2. ภาษาไทยด้านการเขียนกับ ภาษาไทยเป็นช่องทาง ช่องทางการประกอบอาชพี การประกอบอาชพี
63 คาอธิบายรายวิชา พต11001 ภาษาอังกฤษพื้นฐาน จานวน 3 หน่วยกติ ระดบั ประถมศึกษา มาตรฐานการเรยี นรู้ระดับ มีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะและเจตคตเิ กย่ี วกบั การฟงั พูด อ่าน เขียน ภาษาตา่ งประเทศ เพ่ือ การส่อื สารในชีวิตประจาวันได้ถกู ต้องตามหลกั ภาษาและวัฒนธรรมของเจา้ ของภาษา ศกึ ษาและฝึกทกั ษะเก่ยี วกับเร่ืองดงั ต่อไปนี้ 1. วิธีการทกั ทาย (Greeting) การแนะนา (Introduction) ตวั เองและผู้อ่ืน และการกล่าวลา (Leave Taking) รวมทั้งการตอบรบั ทัง้ อยา่ งเป็นทางการและไมเ่ ปน็ ทางการทีถ่ ูกต้องตามหลักภาษาและ วัฒนธรรมของเจา้ ของภาษา 2. การอ่าน เขียน และออกเสียงพยญั ชนะ สระ และการประสมคาภาษาอังกฤษท่ีถูกต้อง การใช้ จานวนนบั ลาดับที่ และการใช้คาศพั ท์ รวมทง้ั สัญลกั ษณ์ต่าง ๆ ท่พี บในชีวติ ประจาวันโดยทวั่ ไป 3. การใช้ประโยคขอร้อง คาสั่ง และขอโทษท่ีถูกต้องตามกาลเทศะ โครงสรา้ งของประโยคความ เดียว (Simple Sentence) ใน Present Simple Tense, Present Continuous Tense และ Future Simple Tense การใชป้ ระโยคคาถามและคาตอบง่าย ๆ รวมท้งั การใช้คาสรรพนาม คาบพุ บท และ คาคณุ ศัพท์พื้นฐาน การจัดประสบการณก์ ารเรยี นรู้ 1. ฝึกฟงั พูด อ่าน เขยี นในการทกั ทาย แนะนา และ กล่าวลา ท่ีสามารถนาไปใชใ้ นชีวิตประจาวัน 2. ฝกึ ฟัง พดู อ่าน เขยี น ให้ถูกต้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ 3. ฝกึ การใชป้ ระโยคต่าง ๆ คาสรรพนาม คาบุพบท และคาคณุ ศัพท์ไดส้ อดคล้องกับ ชวี ติ ประจาวัน และการประกอบอาชีพ การวดั และประเมนิ ผล 1. ตรวจสอบด้วยวิธีการทเ่ี หมาะสมและแสดงให้เห็นว่าสามารถนาไปใช้ในชีวิตจริง 2. ตรวจสอบการอ่านคาศัพท์ จานวนนับ ลาดบั ที่ และสัญลกั ษณ์ไดถ้ ูกต้อง และอธิบาย ความหมาย ของคาศัพท์ จานวนนบั ลาดบั ที่ และสญั ลักษณ์ต่าง ๆ 3. ตรวจสอบการใชป้ ระโยค คาสรรพนาม คาบุพบท และคาคณุ ศัพท์ให้ถูกต้องตามสถานการณ์
64 รายละเอยี ดคาอธบิ ายรายวิชา พต11001 วิชาภาษาอังกฤษพืน้ ฐาน จานวน 3 หนว่ ยกิต ระดบั ประถมศกึ ษา มาตรฐานการเรยี นรรู้ ะดับ มีความรู้ ความเข้าใจ ทักษะและเจตคตเิ ก่ียวกบั การฟัง พูด อ่าน เขยี น ภาษาตา่ งประเทศ เพ่ือ การส่อื สารในชีวิตประจาวันไดถ้ ูกต้องตามหลักภาษาและวฒั นธรรมของเจา้ ของภาษา ท่ี หัวเร่ือง ตวั ชี้วัด เน้อื หา จานวน (ช่วั โมง) 1 การทกั ทาย และ การตอบรับ ทกั ทายและตอบ การทกั ทาย (Greeting) รบั การ การทักทายและตอบรับการ ทักทายเพ่ือสรา้ ง ความสมั พนั ธ์ ทักทายเพื่อสร้าง ระหว่างบคุ คล ความสมั พนั ธร์ ะหว่างบคุ คล 2 1. การทักทาย ช่วงเวลาต่าง ๆ Good morning. Good afternoon. 3 Good evening. 2. การทกั ทายบคุ คล เมอ่ื พบครั้งแรก A : How do you do? 4 B : How do you do? A : Nice to meet you. B : Nice to meet you, too. 3. การทกั ทายบุคคลที่ รู้จกั มาก่อน A : How are you? B : Fine, thanks.
65 ท่ี หัวเร่ือง ตัวช้ีวดั เนอื้ หา จานวน (ชว่ั โมง) And you? A : I’m fine. Thank you. 2 การแนะนาตนเองและการแนะนา แนะนาตนเองและ การแนะนาตนเองและการ ผู้อื่น (Introducing) แนะนาผอู้ ่นื ตาม แนะนาผ้อู ่ืนตามมารยาทที่ดี มารยาทที่ดีทาง ทางสงั คม 4 4 สงั คม 1. การแนะนาตนเอง กับผู้อน่ื Rose : Hello, I am Rose. Cherry : Hello, I am Cherry. 2. การแนะนาผูอ้ ื่นให้ รูจ้ ักกนั John : Hi Judy. Judy : Hi John. John : Judy this is Sandra. Judy : Hello Sandra, please to meet you. Sandra : Hello Judy, I’m please to meet you, too. 3 การกล่าวลา และ การตอบรับ กล่าวลาและตอบ การกล่าวลาและตอบรับการ การกล่าวลา (Leave รบั การ กล่าวลาตามความเหมาะสม Taking) กลา่ วลาตามความ ในโอกาสตา่ ง ๆ
66 ท่ี หัวเร่ือง ตัวช้วี ดั เนือ้ หา จานวน (ชัว่ โมง) เหมาะสมใน 1. การกล่าวลาในโอกาสต่าง 3 โอกาส ต่าง ๆ ได้แก่ ๆ 1.1 การกล่าวลาหลัง พดู คยุ กันแล้ว A : Good-bye. 3 B : Good-bye. See you later. 1.2 การกล่าวลาก่อน เดินทาง 1.2.1 กรณีส่ง ช า ว ต่ า ง ช า ติ เดนิ ทางกลับบา้ น A : Have a safe journey back 3 home. B: Thank you. 1.2.2 อาจพูด ด้วยข้อความ 3 สั้น ๆ A : Bon voyage! B : Thank you. 1.3 การกล่าวลาทาง โทรศัพท์ 3 A : I’ll have a meeting in five minutes. Bye now. B : O.K. Bye.
67 ท่ี หัวเร่ือง ตวั ชวี้ ดั เนอ้ื หา จานวน (ชวั่ โมง) I’ll call you 3 later. 1.4 ก า ร ก ล่ า ว ล า ห ลั ง ง า น เ ล้ี ย ง เลิก A : Thank you for this lovely meal. B : You’re welcome. Bye. A : Bye! 1.5 ก า ร ก ล่ า ว ล า กอ่ นเขา้ นอน 1.5.1 A : Good night. B: Good night. 1.5.2 A : Sleep well. Good night. B: Thank you. Good night. 2. การตอบรับการกล่าวลาใน โอกาสตา่ ง ๆ - Good-bye. - Bye.
68 ที่ หัวเร่ือง ตวั ช้วี ดั เนอื้ หา จานวน (ชวั่ โมง) - See you. - Good night. - See you later. - I’ll call you later. 4 การเขียน การอ่านพยัญชนะ สระ เขียน อ่าน พยัญชนะ สระ และการประสม และ การประสมคา พยญั ชนะ สระ คา 2 และประสมคา 1. การเขียนพยัญชนะ ภาษาองั กฤษ การเขยี นพยัญชนะตัวพิมพ์ ใหญ่ และตวั พิมพ์ เล็ก ตวั เขยี น 4 ใหญ่ และตวั เขียนเลก็ 2. การออกเสียงสระแท้และ 10 สระประสม 3. วธิ ีการประสมคา 3.1 คาประกอบดว้ ย พยญั ชนะ และสระ แท้ a, e, i, o, u เช่น d + o = do g + o = go m + e = me w + e = we etc. 3.2 คาประกอบดว้ ย พยญั ชนะ สระแท้ และ ตวั สะกด เช่น b+a+t = bat s+i+t = sit
69 ท่ี หัวเร่ือง ตวั ชวี้ ัด เน้ือหา จานวน (ช่ัวโมง) s+u+n = sun g+u+n = gun etc. 3.3 คาประกอบด้วย อกั ษรนา 2 ตัว เช่น gl + a + d = glad pl + a + n = plan sp + o + t = spot pl + u +m = plum etc. 3.4 คาประกอบด้วย ตวั สะกด 2 ตวั เช่น l+a+s+t = last l+a+m+p = lamp f+i+s+h = fish c+o+l+d = cold etc. 3.5 คาประกอบดว้ ยสระ ประสม เช่น m+e+e+t = meet
70 ท่ี หัวเร่ือง ตวั ชว้ี ัด เนือ้ หา จานวน (ชัว่ โมง) r + o + o +f = roof m+o+o+n = moon t + o + o +l = tool t+e+a+m = team p+a+i+n = pain g +o + a+ t = goat r +o + a +d = road etc. 3.6 คาขนึ้ ต้นด้วยสระ เช่น o + r = or a +m = am i + t = it u + s = us etc. 3.7 คาท่ีข้ึนต้นด้วย ch และ sh เชน่ ch + a + t = chat ch + o +t = chop sh + o + t = shot
71 ที่ หัวเรื่อง ตัวชี้วดั เนือ้ หา จานวน 5 จานวนนับและลาดบั ท่ี (ช่วั โมง) ใชจ้ านวนนบั และ ลาดบั ท่ีได้ถูกต้อง sh + u + t = shut etc. จานวนนับและลาดบั ท่ี 1. การอา่ นและการเขียน 2 จานวนนบั เชน่ one –ten eleven – twenty twenty one – ninety nine one hundred one thousand one million etc. 2 2. การอา่ นและการเขียน ลาดบั ที่ เช่น first, second, third, fourth, fifth, sixth, seventh, eighth, ninth, tenth 3 etc. 3. การเขยี นประโยคทม่ี ี 4 จานวนนับ หรือลาดับท่ี เช่น - I have four pens. - She buys two shirts. - He is the third person. - We are the first
72 ที่ หัวเร่ือง ตวั ชวี้ ดั เนื้อหา จานวน (ชว่ั โมง) group. etc. 4. การพูดประโยคท่ีมี จานวนนับหรือลาดับท่ี เช่น - I am the first child. - We live on the second floor. - He eats two oranges. - She washes four skirts etc. 6 คานาม (Noun) และคาศพั ท์หมวด ร้จู กั คานามและ ลักษณะคานามและวิธกี ารใช้ ต่าง ๆ วธิ ีการใช้ รวมทั้ง คานามและคาศพั ทห์ มวด ใช้คาศัพทเ์ กี่ยวกับ ต่าง ๆ 2 2 วนั เดอื น ปี 1. ลกั ษณะและวิธีการใช้ สี เครอื ญาติ คานาม เครอื่ งใช้ ใน 1.1 คานามมี 2 ลกั ษณะ ชวี ิตประจาวัน คอื คานามนบั ได้ และสภาพดินฟูา (Countable อากาศอยา่ งง่าย Noun) และคานาม นบั ไม่ได้ (Uncountable Noun) 1.2 คานามนบั ได้ เชน่ a cat, two sisters, five stars, seven horses เปน็ ต้น คานามนบั ไม่ได้
73 ท่ี หัวเร่ือง ตวั ชวี้ ัด เนอื้ หา จานวน (ช่วั โมง) เช่น milk, sugar, butter, water เป็นตน้ 2. คาศัพทเ์ กยี่ วกับวัน เดือน ปี 2.1 คาศพั ท์ เก่ียวกับ วันเช่น Sunday, Monday, Tuesday, 1 Wednesday, Thursday, Friday, Saturday 2 2.2 คาศพั ท์ เกี่ยวกบั เดือน เชน่ January, 2 February, March, April, May, June, July, August, 1 September, October, November, December 2.3 คาศัพท์เกยี่ วกับ ปี เช่น 2008 = two thousand and eight 1995 = nineteen ninety five
74 ที่ หัวเรื่อง ตวั ชว้ี ดั เนอื้ หา จานวน 7 สัญลกั ษณ์ (ชว่ั โมง) last year, this year, next year etc. 3. คาศัพทเ์ กี่ยวกับสี เช่น black, red, purple, yellow, gray, green, light blue, dark brown เป็นตน้ 4. คาศัพท์เกยี่ วกบั เครือ ญาติ เช่น father, mother, sister, brother, aunt, uncle เป็นต้น 5. คาศัพทเ์ กย่ี วกบั เครอ่ื งใช้ใน ชวี ิตประจาวัน เชน่ plate, fork and spoon, glass, table, chair, bed, bench, pan, lamp, bottle เป็นตน้ 6. คาศัพท์เก่ียวกบั สภาพ ดนิ ฟาู อากาศ เชน่ cloudy , windy , rainy, sunny, cold, warm เปน็ ต้น เขา้ ใจความหมาย สญั ลกั ษณ์ 2 ของสัญลกั ษณ์ที่ 1. สญั ลกั ษณต์ ามท้องถนน ใชท้ ่ัวไป เช่น No Parking, No Entry, Turn left,
75 ที่ หัวเร่ือง ตวั ชว้ี ัด เนอ้ื หา จานวน (ชว่ั โมง) ใช้ประโยคขอรอ้ ง ออกคาส่ังและขอ Turn Right, U-Turn 2 โทษ เปน็ ต้น 2. สัญลักษณต์ าม โรงพยาบาล เช่น 2 Danger, In /Out, Entrance, Exit , No Smoking, No Mobile 2 Phone เป็นตน้ 3. สัญลักษณบ์ ริเวณ โรงเรียน เช่น Keep off the grass, Toilet , Roundabout, One- way, School Zone เปน็ ต้น 4. สญั ลักษณ์ตาม รา้ นอาหาร เชน่ No Pets, Telephone, Reserved เปน็ ตน้ 8 การขอร้อง การออก ประโยคขอรอ้ ง ออกคาสงั่ คาสั่ง และการขอโทษ และขอโทษ 6 1. การพดู ขอรอ้ งและ การตอบรบั 1.1 ประโยคขอร้อง เช่น - Please open the window. - Please wash these dishes. - Quiet please. - Speak louder, please.
76 ท่ี หัวเร่ือง ตวั ช้ีวัด เนอ้ื หา จานวน (ชว่ั โมง) etc. 1.2 การตอบรับ เช่น - Alright. - No problem. 6 - O.K. etc. 2. การออกคาสัง่ และการ ตอบรบั 2.1 ประโยคคาสั่ง เชน่ - Come here. - Stop. - Sit down. - Stand up. etc. 2.2 การตอบรบั เช่น 6 - O.K. - Alright etc. 3. ประโยคขอโทษและการ ตอบรับ 3.1 ประโยคขอโทษ เช่น - I’m sorry. I don’t know the answer. - I’m sorry. I’m late. - I’m sorry. I forget to do my
77 ที่ หัวเร่ือง ตวั ชี้วดั เนื้อหา จานวน (ชว่ั โมง) 9 ประโยคความเดยี ว (Simple Sentence ) homework. 10 ประโยคคาถามประโยคคาตอบ etc. คาสรรพนาม คาบุพบท และคาคุณศัพท์ 3.2 การตอบรับ เชน่ - That’s alright. - That’s O.K. - Don’t worry. etc. สรา้ งประโยค การใช้ Tense อย่างงา่ ย ความเดียวและ สร้างประโยคความเดยี วเพื่อ เล่าเรื่องเก่ยี วกับ เลา่ เรอื่ งเกีย่ วกับตนเอง 6 ตนเองโดยใช้ 1. ลักษณะของประโยคท่ี Present Simple ใช้ Present Simple Tense, Present Tense เล่าเรอ่ื ง Continuous เกย่ี วกบั ตนเอง เช่น Tense และ - My name is Sam. Future Simple - I am Sam. Tense - I am a worker. - I live in Bangkok. - I will move to my new office. - I will work in a Japanese factory. - I will stay near my office. - I will walk to my office. etc. ใชป้ ระโยคคาถาม ประโยคคาถามและประโยค ประโยคคาตอบ คาตอบ คาสรรพนาม คา และใช้คาสรรพนาม บพุ บท และคาคุณศัพท์ คาบพุ บท และ 1. คาสรรพนาม เช่น I, 3
78 ท่ี หัวเรื่อง ตัวช้วี ัด เน้อื หา จานวน (ชว่ั โมง) คาคุณศพั ท์ you, he, she, it, we, อยา่ งง่ายได้ they, me, her, him, ถูกต้อง them, our เป็นตน้ 3 2. คาบพุ บท เช่น in, at, on, under, of, by, 2 out เปน็ ตน้ 3. คาคุณศพั ท์ เชน่ green, yellow, warm, cool, fat, 3 small, tall, short, long, good เป็นตน้ 4. ประโยคคาถามและ ประโยคคาตอบ เช่น - What is your name? - My name is Sally. - Where is your home? - My home is on New Road. - When do you get up? - I get up at six o’clock. - What time do you go to bed? - I go to bed at ten. etc.
79 ท่ี หัวเร่ือง ตวั ชี้วดั เน้ือหา จานวน 11 ภาษาองั กฤษสาหรบั อาชีพแม่บา้ น (ชว่ั โมง) ใช้ภาษาองั กฤษ อาชีพแมบ่ า้ นเข้าใจและใช้ ทักทาย ตอบรบั ภาษาอังกฤษในเรื่อง 5 การทักทาย - การทกั ทาย การตอบรับ แนะนาตนเอง กล่าวลา ตอบรบั การทกั ทาย และการ การกลา่ วลา แนะนาตนเอง ใช้จานวนนับ - การกลา่ วลาและการตอบ ลาดับที่ คาศัพท์ รับ การกลา่ ว เก่ยี วกบั อาชีพ ลา แม่บา้ น ขอร้อง - จานวนนบั และลาดับที่ และขอโทษ - คาศัพทเ์ ก่ียวกับอาชีพ แมบ่ ้าน - การขอร้องและการขอ โทษ
80 คาอธิบายรายวิชา พค11001 คณิตศาสตร์ จานวน 3 หน่วยกิต ระดับประถมศกึ ษา มาตรฐานการเรียนรู้ระดับ มีความรู้ ความเขา้ ใจเกี่ยวกบั จานวนและการดาเนนิ การ เศษสว่ น ทศนยิ ม และรอ้ ยละ การวดั เรขาคณติ สถติ ิและความน่าจะเป็นเบื้องตน้ ศกึ ษาและฝกึ ทักษะเกีย่ วกบั เร่ืองดงั ต่อไปนี้ จานวนและการดาเนนิ การ การอา่ นและเขยี นตัวเลขแทนจานวน การเขียนในรูปการกระจาย การเปรียบเทียบจานวน การเรยี งลาดับ การประมาณคา่ สมบตั ขิ องจานวน การบวก ลบ คณู หาร การแก้ โจทย์ปญั หาตามสถานการณแ์ ละตัวประกอบของจานวนนับ เศษสว่ น การอ่านและเขยี นเศษสว่ น การเปรียบเทียบเศษส่วน การบวก ลบ คูณ หาร และการ แกโ้ จทยป์ ญั หาตามสถานการณ์ ทศนยิ ม การอา่ นและเขียนทศนิยม การเขยี นในรปู การกระจาย การเปรยี บเทียบทศนยิ ม การเรยี ง ลาดบั การประมาณค่า ความสัมพันธร์ ะหว่างทศนิยมกับเศษสว่ น การบวก ลบ คูณ หาร และการแก้โจทย์ปัญหาตาม สถานการณ์ รอ้ ยละ ความหมายของร้อยละและการใชส้ ญั ลักษณเ์ ปอรเ์ ซ็นต์ (%) ความสัมพันธร์ ะหว่าง เศษส่วน ทศนิยม และร้อยละ โจทยป์ ัญหา การคูณ หาร (บัญญัตไิ ตรยางศ์) และการประยุกต์ การวัด การวดั ความยาวและระยะทาง การชงั่ การตวง การหาพื้นที่ ปรมิ าตรและความจุ ทิศ และแผนผัง เงิน เวลา อุณหภูมิ การคาดคะเน ที่ใชใ้ นชวี ติ ประจาวัน เรขาคณิต ชนดิ ของรูปเรขาคณติ สามมิติ ลูกบาศก์ การประดษิ ฐ์รปู เรขาคณติ สองมติ ิหรอื สามมติ ิ สถิติ การเกบ็ รวบรวมข้อมูล การจาแนกขอ้ มลู โดยการสงั เกตและการสารวจ การอ่านและเขยี น แผนภูมิรปู ภาพ แผนภูมแิ ท่ง เปรยี บเทยี บกราฟเสน้ และแผนภูมิรูปวงกลม ความน่าจะเป็นเบอ้ื งตน้ โอกาสและเหตุการณ์ทจี่ ะเกิดขนึ้ แนน่ อนหรอื อาจจะเกดิ ขึ้นหรืออาจจะไม่เกิดขนึ้ หรือ เปน็ ไปไม่ได้ การจัดประสบการณก์ ารเรียนรู้ จัดประสบการณ์หรือสถานการณ์ในชีวิตประจาวนั ให้ผู้เรียนไดศ้ ึกษาค้นควา้ โดยการปฏิบัตจิ รงิ ทดลอง สรุป รายงาน เพ่ือพัฒนาทักษะ/กระบวนการในการคดิ คานวณ การแกป้ ัญหา การให้เหตุผล การส่ือ ความหมายทางคณิตศาสตรแ์ ละนาประสบการณ์ดา้ นความรู้ ความคิด ทักษะกระบวนการทไ่ี ด้ไปใชใ้ นการ เรยี นรูส้ ่ิงต่างๆ และใช้ในชีวิตประจาวนั อย่างสรา้ งสรรค์ รวมทั้งเห็นคณุ ค่าและมีเจตคติทด่ี ตี อ่ คณติ ศาสตร์
81 สามารถทางานอยา่ งเป็นระบบระเบียบ มีความรอบคอบ มีความรับผิดชอบ มวี ิจารณญาณ และมีความ เชอ่ื มนั่ ในตนเอง การวดั และประเมินผล ใช้วิธกี ารที่หลากหลายตามสภาพความเปน็ จรงิ ให้สอดคล้องกับเนือ้ หาและทักษะทตี่ ้องการวดั รายละเอียดคาอธบิ ายรายวิชา พค11001 คณิตศาสตร์ จานวน 3 หน่วยกิต ระดบั ประถมศึกษา มาตรฐานการเรียนรู้ระดับ มคี วามรู้ ความเขา้ ใจเก่ียวกบั จานวนและการดาเนินการ เศษส่วน ทศนยิ ม และร้อยละ การวดั เรขาคณิต สถิติและความน่าจะเปน็ เบื้องตน้ ที่ หวั เรอ่ื ง ตัวชว้ี ดั เนอ้ื หา จานวน 1 จานวนและการ (ช่ัวโมง) 1. อา่ นและเขยี นตัวเลขแทน 1. การอ่านและเขียนตัวเลขแทน ดาเนนิ การ จานวน จานวน .5 2 เศษส่วน 2. บอกค่าประจาหลักและคา่ ของ 2. ค่าประจาหลักและคา่ ของตัวเลข .5 ตัวเลข 3. การเขียนในรูปการกระจาย 1 3. เขียนจานวนในรูปการกระจาย 4. การเรยี งลาดบั จานวน 1 4. เปรียบเทียบจานวน 5. การประมาณคา่ 1 5. ประมาณคา่ เป็นจานวนเต็ม 6. สมบตั ิของจานวนนบั และศูนย์ 2 6. นาความรแู้ ละสมบตั ิเกยี่ วกับ และการนาไป ใชใ้ นการ 3 จานวนนบั และศนู ยไ์ ปใช้ แกป้ ัญหา 7. การบวก ลบ คณู หารจานวน 1 7. บวก ลบ คูณ หาร จานวนนับ นับและการแกป้ ญั หา และการแก้ปญั หา 8. ตวั ประกอบของจานวนนบั 1 และการหาตัวประกอบ 8. หาตวั ประกอบของจานวนนับ 9. จานวนเฉพาะและตวั ประกอบ 2 เฉพาะ 9. บอกจานวนเฉพาะและ 10. การแยกตัวประกอบ 3 ตัวประกอบเฉพาะ 11. ห.ร.ม. และ ค.ร.น. 1 10. แยกตัวประกอบของจานวน นับได้ 1. ความหมาย ลักษณะของ 11. หา ห.ร.ม. และ ค.ร.น. ของ จานวนนับทีก่ าหนดให้ได้ 1. บอกความหมาย ลกั ษณะและ
82 ที่ หวั เรอ่ื ง ตัวชว้ี ดั เนอื้ หา จานวน 3 ทศนยิ ม (ชว่ั โมง) อา่ นเศษส่วน เศษส่วน และการอ่านเศษส่วน 2. เขยี นเศษสว่ นให้อยู่ในรูป 2. การเขยี นเศษส่วนให้อยู่ ในรปู 1 เศษส่วนอยา่ งต่า จานวนคละ เศษส่วนอย่างต่า จานวนคละ และเศษเกนิ และเศษเกนิ 3. เปรยี บเทียบและเรียงลาดับ 3. การเปรียบเทียบเศษสว่ น 2 เศษสว่ น 4. บวก ลบ เศษส่วนและนา 4. การบวก ลบ เศษส่วนและโจทย์ 4 ความรู้เกย่ี วกับเศษสว่ น ปญั หา ไปใช้แกโ้ จทยป์ ญั หา 5. คูณเศษส่วนและนาความรู้ 5. การคณู เศษสว่ นและ 3 เกีย่ วกับการคูณเศษสว่ น โจทยป์ ัญหา ไปใช้แกโ้ จทย์ปัญหา 6. หารเศษส่วนและนาความรู้ 6. การหารเศษส่วนและโจทย์ 3 เก่ียวกบั การหารเศษส่วน ปญั หา ไปใช้แก้โจทยป์ ญั หา 1. บอกความหมาย และเขยี น 1. ความหมายของทศนยิ ม การ 1 อา่ นทศนิยม เขียนและการอา่ น 2. บอกคา่ ประจาหลักและคา่ 2. คา่ ประจาหลักและค่าของตวั เลข 1 ของตวั เลขในแตล่ ะหลัก ในแต่ละหลักของทศนยิ ม ของทศนยิ ม 3. เขียนทศนิยมในรูปการกระจาย 3. การเขียนทศนิยม 1 4. เปรียบเทยี บและเรียงลาดับ ในรปู การกระจาย ทศนยิ ม 4. การเปรยี บเทยี บและเรยี งลาดบั 1 5. แปลงทศนิยมให้อย่ใู นรปู ทศนิยม เศษส่วน และแปลงเศษส่วน 5. ความสมั พันธ์ระหว่างทศนิยม 4 จานวนนบั ใหอ้ ยูใ่ นรูปทศนยิ ม และเศษส่วน 6. ประมาณคา่ ทศนยิ มหน่งึ ตาแหน่ง สองตาแหนง่ 6. การประมาณค่าใกล้เคยี ง 2 และสามตาแหน่ง ทศนิยม 7. บวก ลบ ทศนิยม และนา 7. การบวก ลบ ทศนยิ ม และโจทย์ 5 ความรูไ้ ปใชแ้ กโ้ จทย์ปญั หา ปญั หา การคณู หาร ทศนิยม
83 ท่ี หวั เรื่อง ตัวชวี้ ดั เนอ้ื หา จานวน 4 รอ้ ยละ (ชว่ั โมง) 8. คูณ หาร ทศนยิ มและนา และโจทยป์ ัญหา 5 การวดั 1 ความรไู้ ปใชแ้ ก้โจทย์ปัญหา 4 10 1. เขยี นเศษสว่ นทีม่ ตี ัวสว่ นเป็น 1. ความหมายของร้อยละ 1 100 ใหอ้ ยู่ในรูปรอ้ ยละ และ 1 ใชส้ ัญลกั ษณ์เปอรเ์ ซน็ ต์ (%) 1 2. หาค่าเศษส่วน และเขยี นรอ้ ยละ 2. ความสมั พนั ธร์ ะหว่างเศษส่วน 1 2 หรือเปอรเ์ ซน็ ต์ให้อยู่ในรปู และร้อยละ เศษส่วน 3. แกโ้ จทย์ปัญหาการคณู การหาร 3. โจทยป์ ัญหา การคูณ การหาร (บัญญัติไตรยางศ์) ของจานวน (บญั ญตั ไิ ตรยางศ์) นบั และนาไปประยุกต์ใช้ การวัดความยาวและระยะทาง 1. วัดความยาว ความสงู และ 1. การวดั ความยาว และระยะทาง ระยะทาง โดยใชเ้ ครอ่ื งมอื ที่ เปน็ มาตรฐาน 2. เลือกเครื่องวัดและหน่วยวัด 2. การเลือกเครือ่ งวดั และหน่วยวดั ความยาว ความสูง และ ความยาว ความสูง หรือ ระยะทางท่ีเปน็ มาตรฐาน ระยะทาง ที่เหมาะสม ใหเ้ หมาะสมกับสิ่งท่จี ะวดั 3. เปล่ียนหนว่ ยวดั ความยาว 3. การเปล่ยี นหน่วยการวัด ความสงู หรอื ระยะทางจาก หน่วยใหญ่เป็นหน่วยย่อย และจากหนว่ ยยอ่ ยเปน็ หน่วยใหญ่ 4. หาความยาว ความสูง หรือ 4. มาตราส่วน ระยะทางจรงิ จากรูปทย่ี ่อส่วน เมื่อกาหนดมาตราสว่ นให้ 5. แกโ้ จทยป์ ัญหาเกยี่ วกับการวดั 5. โจทย์ปัญหาเกยี่ วกบั การวัด ความยาว ความสูง และ ความยาว ความสูง และ ระยะทาง ระยะทาง
84 ท่ี หัวเร่ือง ตัวชว้ี ดั เนื้อหา จานวน (ชวั่ โมง) การช่ังและการตวง 1. เลอื กหน่วยการชั่ง การตวง 1. เลอื กหน่วยการชงั่ การตวง ท่ี 2 ที่เป็นมาตรฐานใหเ้ หมาะสมกับ เปน็ มาตรฐานให้เหมาะสม สงิ่ ทจ่ี ะช่งั และตวง 2. เปล่ยี นหน่วยการช่ัง การตวง 2. เปลยี่ นหนว่ ยการชง่ั การตวง 3 การหาพนื้ ที่ 1. หาพ้นื ทแี่ ละความยาวรอบรปู 1. หาพ้นื ที่และความยาวรอบรปู 3 ของรปู เรขาคณติ ของรปู เรขาคณิต 2. แกโ้ จทยป์ ัญหาเกี่ยวกบั การหา 2. โจทยป์ ัญหาของการหาพนื้ ทีข่ อง 3 พน้ื ทข่ี องรูปเรขาคณติ รปู เรขาคณติ ปริมาตรและความจุ 1. หาปรมิ าตรและความจขุ อง 1. การหาปริมาตรและความจุของ 3 ทรงสเี่ หลย่ี มมมุ ฉากและ ทรงสเี่ หลย่ี มมุมฉากและการ แก้ปัญหา แก้ปญั หา 2. บอกความสัมพนั ธ์ ระหว่าง 2. ความสมั พนั ธ์ ระหว่างหน่วยของ 3 หนว่ ยของปริมาตร หรือ ปริมาตร หรือหน่วยของความจุ หนว่ ยของความจุ ทศิ และแผนผงั 1. การบอกช่ือและทศิ ทางของทิศ 1. บอกช่ือและทศิ ทางของทิศ ทงั้ แปด 1 ทงั้ แปด 2. การอา่ น เขยี นแผนผังแสดง 2. อา่ น เขียนแผนผังแสดง ตาแหน่งของสงิ่ ต่างๆ และ 2 ตาแหน่งของส่งิ ตา่ งๆ และ แผนผัง แสดงการเดนิ ทาง แผนผงั แสดงการเดนิ ทางโดย โดยใชม้ าตราส่วน ใชม้ าตราสว่ น เงิน 1. เขียนและอ่านจานวนเงนิ โดยใช้ 1. การเขยี นและการอ่านจานวน 1 จุดทศนิยมกาหนดหนว่ ยจานวน เงนิ เต็มและเศษของหน่วย 2. เปรยี บเทียบจานวนเงินและ 2. การเปรียบเทยี บจานวนเงินและ 2 แลกเงิน แลกเปล่ยี นเงินตรา 3. แก้โจทย์ปัญหาเกยี่ วกบั เงินได้ 3. การแก้โจทยป์ ญั หาเกี่ยวกับเงนิ 1
85 ท่ี หัวเรื่อง ตวั ชวี้ ดั เน้อื หา จานวน (ช่ัวโมง) 6 เรขาคณติ 7 สถิติ 4. อ่านและเขียนบนั ทึก 4. การอ่านและบนั ทึกรายรบั - 1 รายรับ-รายจ่าย รายจา่ ย อุณหภมู ิ 1. การวดั อุณหภมู ิเปน็ องศา- 1. การวัดอณุ หภูมเิ ปน็ องศา- 1 ฟาเรนไฮต์ และองศาเซลเซียส ฟาเรนไฮต์ และองศาเซลเซียส 2. เปล่ียนหน่วยการวดั อุณหภมู ิ 2. การเปลีย่ นหน่วยการวัด 1 เวลา 1. บอก เขียนและอ่านเวลา 1. บอกและเขยี นเวลาจากหน้าปัด 1 จากหน้าปัดนาฬกิ าได้ นาฬกิ า โดยใช้จดุ ทศนยิ มกาหนดหน่วย ช่ัวโมงและนาที 2. อ่านบันทกึ เวลา และบนั ทึก 2. การอ่านตารางเวลา และ 1 กจิ กรรมหรือเหตกุ ารณต์ ่างๆ การบนั ทกึ เหตกุ ารณ์ หรือ โดยระบุเวลา กิจกรรม 3. เปล่ยี นหน่วยเวลาจากหน่วย 3. ความสัมพันธร์ ะหว่างหนว่ ย 1 ใหญ่เป็นหน่วยย่อยและจาก เวลา หนว่ ยย่อยเป็นหน่วยใหญ่ได้ 4. แกโ้ จทย์ปัญหาเก่ียวกับเวลา 4. การแกป้ ัญหาเก่ียวกับเวลา 2 การคาดคะเน 1. คาดคะเนเกีย่ วกับความยาว 1. การคาดคะเนเกีย่ วกับความยาว 2 พ้นื ท่ี ปรมิ าตร ความจุ พ้นื ที่ ปรมิ าตร ความจุ น้าหนัก นา้ หนกั และเวลา และเวลา 1. จาแนกชนิดของรปู เรขาคณติ 1. ชนิดของรปู เรขาคณติ สองมิติ 1 สองมติ แิ ละสามมิติ และสามมติ ิ 2. เข้าใจลักษณะของลกู บาศก์ 2. ลูกบาศก์ 1 และนาไปใช้ 3. เขียนรปู เรขาคณิตสองมิติ 3. การประดษิ ฐ์รปู เรขาคณิตสอง 3 และประดิษฐร์ ปู เรขาคณิต มติ ิ หรอื สามมติ ิ สามมติ ิ 1. เกบ็ รวบรวมข้อมลู เพ่ือตอบ 1. การเก็บรวบรวมขอ้ มูล การ 3 คาถามโดยใช้การสงั เกต จาแนกข้อมลู โดยการสังเกต
86 ที่ หัวเรื่อง ตัวชว้ี ดั เน้อื หา จานวน (ช่ัวโมง) 8 ความนา่ จะเปน็ การสารวจ และการทดลอง และการสารวจ เบ้อื งตน้ 2. อ่านและเขยี นแผนภูมิรูปภาพ 2. การอ่าน การเขียนและ 3 และแผนภมู ิแท่ง เปรียบเทียบ เปรียบเทียบแผนภูมริ ูปภาพ 2 และแผนภมู ิแท่ง 2 3. อ่านและเขียนกราฟเสน้ 3. การอา่ นและการเขยี นกราฟเสน้ 4. อ่านและเขยี นแผนภูมิ 4. การอ่านแผนภมู ิรปู วงกลม 5 รูปวงกลม โอกาสและเหตุการณ์ที่จะเกดิ ข้ึน อภิปรายเหตุการณ์เพ่ือสรา้ ง แน่นอนหรืออาจจะเกิดขึน้ หรือ ความคุน้ เคยกบั คาท่มี ีความหมาย อาจจะไมเ่ กดิ ข้นึ หรือเป็นไปไมไ่ ด้ เชน่ เดยี วกบั คาวา่ “แนน่ อน” “อาจจะเกดิ ขน้ึ หรือไมเ่ กิดข้ึน” “เปน็ ไปไมไ่ ด้” และรู้จักใช้คา เหลา่ นี้
87 คาอธิบายรายวิชา พว11001 วิทยาศาสตร์ จานวน 3 หน่วยกิต ระดับประถมศกึ ษา มาตรฐานการเรยี นรู้ระดับ มคี วามรู้ ความเข้าใจ ทักษะ และเหน็ คุณคา่ เกีย่ วกับกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ส่ิงมีชีวิต ระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติและส่ิงแวดล้อม ในท้องถ่ิน สาร แรง พลังงาน กระบวนการเปลีย่ นแปลงของโลก และ ดาราศาสตร์ มีจิตวิทยาศาสตร์และนาความรู้ไปใชป้ ระโยชน์ในการดาเนนิ ชีวิต ศกึ ษาและฝกึ ทักษะเกี่ยวกบั เรื่องตอ่ ไปนี้ 1. กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ธรรมชาติของวทิ ยาศาสตร์ กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ วิธีการทางวทิ ยาศาสตร์ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เจตคติทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และโครงงานวิทยาศาสตร์ 2. สิง่ มีชวี ิตและสิ่งแวดล้อม สิ่งมชี ีวติ ระบบนิเวศ ทรัพยากรธรรมชาติ ส่งิ แวดล้อมและการอนรุ ักษ์ ปรากฏการณท์ าง ธรรมชาติ 3. สารเพื่อชีวติ สมบตั ิของสาร การแยกสาร สารในชีวติ ประจาวนั การเลือกซือ้ และการเลอื กใช้ไดอ้ ยา่ ง ถกู ต้องเหมาะสมและปลอดภัย 4. แรงและพลังงานเพื่อชีวิต แรงและการเคลื่อนทีข่ องแรง พลงั งานในชีวิตประจาวัน และการอนุรกั ษ์พลงั งาน 5. ดาราศาสตร์เพ่อื ชีวติ ความสมั พนั ธร์ ะหว่างดวงอาทิตย์ โลก และดวงจันทร์ 6. อาชีพชา่ งไฟฟา้ ความรู้เกยี่ วกบั ชา่ งไฟฟูา การบรหิ ารจัดการและการบรกิ าร โครงงานวิทยาศาสตรส์ ู่ อาชีพ คาศัพทท์ างไฟฟูา เพอ่ื ใหผ้ ู้เรียนเกิดความรู้ ความเขา้ ใจ ความคดิ และทกั ษะ มคี วามสามารถในการตดั สินใจ นาความรูไ้ ปใช้ในชวี ติ ประจาวนั มีจิตวิทยาศาสตร์ คณุ ธรรม จริยธรรม และค่านยิ มทเ่ี หมาะสม
88 การจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ให้ผู้เรยี น ศกึ ษา ค้นควา้ สารวจ ตรวจสอบ ทดลอง จาแนก อธิบาย อภิปราย นาเสนอดว้ ยการ จัดกระบวนการเรยี นรู้ดว้ ยการพบกลุ่ม การสอนเสริม การเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง การรายงาน การศกึ ษาจากแหลง่ เรยี นรู้ ประสบการณต์ รงโดยใชส้ ถานการณ์จรงิ ปรากฏการณธ์ รรมชาติ และประสบการณจ์ ากผเู้ รยี น การวดั และประเมนิ ผล ประเมนิ จากการสงั เกต การอภิปราย การสัมภาษณ์ ทกั ษะปฏิบตั ิ รายงานการทดลอง การ มีส่วนรว่ มในกจิ กรรมการเรยี นรู้ ผลงาน การทดสอบ การประเมนิ การนาไปใช้ประโยชน์ในชีวติ ประจาวัน
89 รายละเอยี ดคาอธิบายรายวิชา พว11001 วิทยาศาสตร์ จานวน 3 หนว่ ยกิต ระดบั ประถมศึกษา มาตรฐานการเรียนรรู้ ะดบั มีความรู้ ความเขา้ ใจ ทักษะ และเห็นคุณคา่ เกย่ี วกับกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ เทคโนโลยี สิง่ มชี ีวติ ระบบนิเวศทรัพยากรธรรมชาติและส่งิ แวดล้อม ในท้องถนิ่ สาร แรง พลงั งาน กระบวนการเปลยี่ นแปลงของโลก และดาราศาสตร์ มีจิตวิทยาศาสตร์และนาความรู้ไปใช้ประโยชน์ในการ ดาเนนิ ชีวิต ท่ี หัวเรื่อง ตวั ชี้วดั เน้อื หา จานวน (ช่วั โมง) 1 กระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ และ 1. อธบิ ายธรรมชาติและความสาคญั 1.ธรรมชาติของวิทยาศาสตร์ 3 เทคโนโลยี 1.1 กระบวนการ ของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 1.1 ความหมายและ ทางวทิ ยาศาสตร์ และเทคโนโลยี 2. อธิบายกระบวนการทาง ความสาคัญของวทิ ยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ 1.2 กระบวนการทาง 3. นาความรู้ และกระบวนการทาง วทิ ยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ไปใชแ้ ก้ปัญหาต่างๆ 1.2.1 วธิ ีการทาง วิทยาศาสตร์ 5 ขั้น 4. เกิดเจตคติทางวิทยาศาสตร์ 1.2.2 ทักษะ กระบวนการทาง 5. มจี ติ วทิ ยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ 13 ทักษะ 6. เลือกใช้เทคโนโลยีได้อย่างเหมาะสม 1.2.3 เจตคตทิ าง วทิ ยาศาสตร์ 6 ลักษณะ 1.2.4 จิตวทิ ยาศาสตร์ 2. เทคโนโลยี 7. ใช้อุปกรณท์ างวิทยาศาสตรบ์ างชนิด 2.1 ความหมายและ ความสาคัญ 2.2 เทคโนโลยีกบั ชวี ิต
90 ที่ หัวเรอื่ ง ตัวชีว้ ดั เน้อื หา จานวน (ชว่ั โมง) 1.2 โครงงาน 1. อธิบายประเภท การเลือกหัวขอ้ 3. อุปกรณ์วิทยาศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วธิ ดี าเนินการ และการนาเสนอ 3.1 ประเภท 2 โครงงาน 3.2 วิธใี ชอ้ ปุ กรณ์ 2 ส่ิงมีชีวิตและ 2. นาความรเู้ กี่ยวกับกระบวนการทาง ส่งิ แวดลอ้ ม วทิ ยาศาสตร์ และโครงงานไปใช้ 1. ประเภทของโครงงาน 2.1 สิ่งมชี วี ติ 3. เกดิ กระบวนการกลุ่ม 2. การเลือกหัวข้อโครงงาน 3. การเขยี นโครงงาน 4. การวางแผน และการทา โครงงาน 5. การนาเสนอโครงงาน 1. บอกลกั ษณะและการจัดกลุ่มของ 1. ลกั ษณะและการจัดกลมุ่ 20 ส่งิ มีชีวิตในท้องถนิ่ ของสงิ่ มชี วี ติ 2. อธบิ ายเกี่ยวกบั ประเภทของพชื 2. พชื ลักษณะภายนอกและหน้าที่ของราก ลาต้น ใบ ดอก และผลของพืชท้องถิน่ 2.1 ประเภทของพชื ทเ่ี หมาะสมต่อการดารงชีวติ ใน 2.2 ลักษณะภายนอกของ ส่งิ แวดล้อมทแี่ ตกตา่ งกนั สว่ นประกอบตา่ งๆ ของพืช 3. อธิบายเก่ียวกับปัจจัยทจ่ี าเปน็ ตอ่ 2.3 หน้าท่ีของ การดารงชีวิตของพชื สว่ นประกอบของพชื 4. อธบิ ายวธิ ีการขยายพนั ธ์พุ ืชดว้ ย 2.4 ปจั จยั ที่จาเปน็ ตอ่ การ วธิ กี ารต่างๆ ดารงชวี ิตของพืช 5. จาแนกพชื ในท้องถิ่น 2.5 การขยายพันธพุ์ ืช 6. อธบิ ายเกี่ยวกับประเภท โครงสรา้ ง และหน้าที่ของสตั วท์ ้องถ่ินท่เี หมาะสม 2.6 พืชในท้องถนิ่ ตอ่ การดารงชวี ติ ในส่งิ แวดล้อมที่ 3. สัตว์ แตกต่างกนั 7. อธิบายเกี่ยวกับปจั จัยท่จี าเป็นต่อ 3.1 การแบง่ ประเภทของ การดารงชีวติ ของสัตวแ์ ละการนา สตั ว์ ความรู้ไปใช้ประโยชน์ 8. อธิบายการขยายพนั ธุ์สัตว์ และนา 3.2 โครงสรา้ งและหนา้ ที่ ของอวยั วะของสตั ว์ 3.3 ปัจจยั ทีจ่ าเปน็ ต่อการ เจริญเติบโตของสัตว์
91 ที่ หวั เรอื่ ง ตัวชี้วัด เนื้อหา จานวน (ชัว่ โมง) ความรูไ้ ปใชป้ ระโยชน์ 3.4 การขยายพันธส์ุ ัตว์ และการนาไปใช้ประโยชน์ 2.2 ระบบนเิ วศ 1.อธบิ ายความสัมพนั ธ์ของกลุ่ม 1. ความเปน็ อยขู่ องสง่ิ มีชีวติ 10 ส่ิงมีชีวิตตา่ งๆ กับ ในท้องถน่ิ สภาพแวดลอ้ ม 1.1 แหล่งที่อยู่อาศยั 1.2 ความสัมพันธข์ อง สิ่งมีชวี ติ กบั ส่ิงมีชีวิต 1.3 ความสมั พันธข์ อง กลุ่มสิง่ มชี ีวติ กับ 2. อธบิ ายความสัมพนั ธ์ของส่ิงมชี ีวิตใน สภาพแวดล้อม ห่วงโซอ่ าหาร 2. ห่วงโซอ่ าหาร 2.1 ความสมั พนั ธ์ของ สิ่งมชี วี ิตในหว่ งโซ่อาหาร 2.2 การถ่ายทอดพลงั งาน 3. อธบิ ายความสมั พันธ์ระหวา่ ง จากผผู้ ลิตสผู่ บู้ รโิ ภค สภาพแวดลอ้ มในทอ้ งถน่ิ กับการ 3. ความสมั พนั ธร์ ะหว่าง ดารงชวี ติ ของสิง่ มีชวี ิต สภาพแวดล้อมกับการ ดารงชวี ิตของสง่ิ มีชีวิต 3.1 สภาพแวดล้อมที่ เหมาะสมของสงิ่ มชี วี ิต ในแตล่ ะแหลง่ ที่อยู่ 3.2 ความสามารถในการ ปรบั ตวั ใหเ้ ขา้ กับส่ิงแวดล้อม 2.3 ทรัพยากร 1. อธบิ ายความหมาย และประเภท 1. ทรัพยากรธรรมชาติ 10 ธรรมชาติ ของทรัพยากร 1.1 ความหมายและ ส่งิ แวดล้อมและการ ธรรมชาติ ประเภท อนรุ ักษ์ 1.2 การใช้ทรพั ยากร 2. อธิบายเก่ียวกบั การใช้ ธรรมชาติในทอ้ งถน่ิ ทรัพยากรธรรมชาตผิ ลกระทบ และ 1.3 ผลกระทบจากการใช้ การดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ ทรพั ยากรธรรมชาติใน
92 ที่ หัวเรือ่ ง ตัวช้ีวัด เน้อื หา จานวน (ชว่ั โมง) 3. อธิบายความหมาย และประเภท ทอ้ งถิน่ ของสงิ่ แวดล้อม 1.4 การดแู ลรกั ษา 4. อธบิ าย การเปลยี่ นแปลง ส่ิงแวดล้อมในท้องถ่นิ และเสนอ 2. สิง่ แวดลอ้ ม แนวทางปูองกันและแก้ไข 2.1 ความหมายและ ประเภท 2.2 การเปลี่ยนแปลง ส่ิงแวดล้อมในท้องถิ่น 2.3 การปูองกนั และแก้ไข ปัญหาสิ่งแวดล้อมในท้องถ่นิ 2.4 สภาวะโลกร้อน สาเหตแุ ละผลกระทบ การปูองกนั และแก้ไขปัญหา โลกร้อน 2.4 ปรากฏการณ์ 1. อธิบายการเกิดเมฆ หมอก น้าคา้ ง 1.การเกดิ ปรากฏการณ์ทาง 5 ทางธรรมชาติ ฝน และลกู เห็บ ธรรมชาติ 1.1 เมฆ 1.2 หมอก 1.3 นา้ ค้าง 1.4 ฝน 1.5 ลูกเหบ็ 1.6 กรณศี ึกษานา้ คา้ งแขง็ สาเหตุและผลกระทบ 2. บอกสภาพอากาศของท้องถิ่น 2. การรายงานสภาพอากาศ ของทอ้ งถ่นิ 3 สารเพอ่ื ชีวติ 3.1 สารและสมบัติ 1. อธิบายความหมายความสาคญั และ 1. ความหมาย ความสาคัญ 10 ของสาร ความจาเป็นในการใช้สาร และความจาเปน็ ในการใช้ 2. อธบิ ายสมบัตทิ ว่ั ไปของสาร สาร 3. จาแนกสารโดยใชส้ ถานะและการ จดั เรียงอนภุ าค 2. สมบตั ิทั่วไปของสาร
93 ที่ หัวเรื่อง ตวั ช้ีวัด เนือ้ หา จานวน (ชัว่ โมง) 4. อธิบายปจั จยั ที่มีผลต่อการเปล่ยี น 3. สถานะของสาร สถานะของสาร 4. การจดั เรยี งอนุภาคของ สาร 5. ปัจจัยทม่ี ีผลต่อการ เปล่ียนสถานะของสาร 3.2 การแยกสาร 1. อธิบายวิธีการและกระบวนการแยก 1. การแยกสาร 10 สาร 1.1 การกรองแบบ ตา่ ง ๆ 15 3.3 สารใน 1.2 การกลั่น ชวี ติ ประจาวัน 2. เลอื กใช้วิธีการแยกสารทเ่ี หมาะสม 1.3 การระเหย และนามาใช้ 1.4 การตกตะกอน 1. อธบิ ายสมบตั ิของสารที่นามาใชใ้ น 1.5 การตกผลกึ ชวี ิตประจาวัน 1.6 การกลน่ั ลาดับส่วน 2. อธบิ ายการเข้าสู่รา่ งกายของสาร 1.7 การระเหดิ หรือการ 3. จาแนกประเภทของสาร และผลติ ภณั ฑ์ ทีพ่ บในชวี ิตประจาวนั ระเหยแห้ง 1.8 โครมาโตกราฟี 2. การแยกสารท่ใี ช้ใน ชวี ิตประจาวัน 1. สมบัตขิ องสารที่ใช้ใน ชวี ติ ประจาวนั 2. การเขา้ สรู่ ่างกายของสาร 3. ประเภทของสารทพี่ บใน ชวี ิตประจาวัน 4. อธบิ ายวิธกี ารใชส้ ารใน 4. สาร และผลิตภัณฑข์ อง ชวี ติ ประจาวนั บางชนดิ และผลกระทบ สารทใี่ ชใ้ นชีวติ ประจาวนั ทเี่ กดิ ต่อชวี ิตและส่งิ แวดลอ้ ม 4.1 สารทาความ สะอาด 4.2 สารทางการเกษตร 4.3 ยารักษาโรค 4.4 สารปรุงแตง่ และ
94 ที่ หัวเร่ือง ตัวช้วี ัด เนือ้ หา จานวน (ชั่วโมง) 4 แรงและพลังงาน 5. เลอื กซ้ือและเลือกใชส้ ารได้ถูกต้อง เพ่อื ชีวิต และเหมาะสม สารปนเปอื้ น 4.1 แรงและการ เคลอ่ื นท่ีของแรง 4.5 ผลิตภัณฑ์เสรมิ ความงาม 5 ผลกระทบที่เกดิ จากการใช้ สารตอ่ ชวี ิตและสิ่งแวดลอ้ ม 6.การเลอื กซ้อื และการเลือก ใชส้ าร 1. อธิบายความหมาย หนว่ ย ประเภท 1. ความหมาย หน่วย และ 5-15 ของแรง ผลทีเ่ กดิ จากการกระทาของแรง ประเภทของแรง ความดนั แรงลอยตัว แรงดึงดูดของ 2. ผลของแรงท่ีกระทาต่อ โลก และแรงเสยี ดทาน วตั ถุ และประโยชนข์ องแรง 2. การนาแรงและการเคลื่อนท่ีของแรง 3. ความดนั ไปใช้ประโยชน์ในชีวติ ประจาวนั 3.1 ความหมาย 3.2 ความดนั ของ ของเหลว 3.3 ความดนั ของอากาศ 3.4 แรงลอยตัว 4. แรงดึงดูดของโลก ความหมาย ประโยชน์และโทษ ของแรงดงึ ดูดของโลก 4.2 พลังงานใน 1. อธิบายประเภทของพลงั งานที่ 5. แรงเสยี ดทาน 15 ชีวิตประจาวัน และ เก่ยี วข้องในชีวติ ประจาวนั 5.1 ความหมาย ประโยชน์ และโทษของแรงเสียดทาน 5.1 การนาแรงเสยี ดทานไป ใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั 1. พลังงาน และประเภทของ พลังงานที่ใชใ้ น
95 ท่ี หัวเรือ่ ง ตัวช้ีวัด เน้ือหา จานวน (ชว่ั โมง) การอนรุ ักษ์พลงั งาน 2. อธบิ ายวิธกี ารใช้ไฟฟาู ในบ้าน และ ชีวิตประจาวนั ตอ่ วงจรไฟฟาู 2 .พลงั งานไฟฟูา อยา่ งง่าย 2.1 แหล่งกาเนิด 2.2 การเปลี่ยนรูป 2.3 ไฟฟูาในบา้ น วงจรไฟฟูาอย่างง่าย 2.5 ความปลอดภัยในการ 3. อธิบายเกี่ยวกับการประหยัด และ ใชไ้ ฟฟูาในครัวเรือน อนุรักษ์พลงั งานไฟฟูา 2.6 การประหยดั และ 4. บอกคุณสมบตั ิของแสงและอธิบาย อนรุ ักษ์พลงั งานไฟฟาู ปรากฏการณธ์ รรมชาตจิ ากแสง 3. พลังงานแสง 3.1 แหลง่ กาเนิดแสง 3.2 สมบตั ขิ องแสง 5. บอกคุณสมบตั ิของเสยี งและการ 3.3 ปรากฏการณ์ ปูองกันมลภาวะของเสียง ธรรมชาตขิ องแสง 6. บอกคุณสมบัติและชนดิ ของ 4. พลงั งานเสยี ง พลงั งานทดแทนในชีวิต 4.1 การเกิด และสมบัติ ประจาวนั ของเสยี ง 4.2 ความดัง และอันตราย ทีเ่ กดิ จากเสยี ง 5. ดาราศาสตร์เพ่ือ อธิบายอิทธิพลของดวงอาทติ ย์ และ 1. การเกดิ กลางวัน กลางคนื ชวี ติ ดวงจันทรท์ ่มี ีผลต่อการเกดิ 2. การเกิดขา้ งข้ึน ข้างแรม 5 ความสมั พันธ์ ปรากฏการณ์ทางดาราศาสตร์บนโลก 3. การเกดิ สุรยิ ุปราคา และ ระหว่างดวงอาทติ ย์ และการนาไปใช้ประโยชน์ได้ จนั ทรปุ ราคา โลก และดวงจันทร์ 4. การเกิดฤดูกาล 5. การเกิดลมบก ลมทะเล 6 อาชพี ช่างไฟฟูา อธิบาย การออกแบบ วางแผน 1. ประเภทของไฟฟาู 10 (หมายเหตุ : บูรณา ทดลอง ทดสอบ ปฏิบัติการเรื่องไฟฟาู 2. วัสดุอปุ กรณ์เครื่องมือช่าง การใชเ้ วลาการ ไดอ้ ย่างถูกต้องและปลอดภยั คดิ ไฟฟาู เรยี นการสอนใน วิเคราะห์ เปรยี บเทยี บข้อดี ข้อเสยี 3. วสั ดอุ ปุ กรณ์ที่ใช้ใน มาตรฐานการ ของการต่อวงจรไฟฟาู แบบอนุกรม วงจรไฟฟูา
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209