Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore 2562_1

2562_1

Published by lunda, 2019-03-15 05:21:12

Description: 2562_1

Search

Read the Text Version

การพฒั นารปู แบบการจดั การเรยี นการสอนที่สง่ เสรมิ ทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ของนกั ศึกษาพยาบาล กมลรตั น์ เทอร์เนอร์ ลัดดา เหลอื งรตั นมาศ ทตุ ยิ รตั น์ รน่ื เรงิ สมพร รกั ความสขุ วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี ชลบรุ ี สถาบันพระบรมราชชนก สานักงานปลัดกระทรวง กระทรวงสาธารณสุข พ.ศ. 2561 งานวจิ ัยนเ้ี ป็นลขิ สิทธขิ์ องวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบรุ ี

Development of a Pedagogical Model to Promote 21st Century Skills of Nursing Students Kamolrat Turner Ladda Leungratanamart Tutiyarat Reunreang Somporn Rakkwamsuk Boromarajonani College of Nursing, Chonburi Praboromarajchanok Institute Ministry of Public Health 2018 This study is copyright protected by Boromarajonani College of Nursing, Chonburi.

กิตติกรรมประกาศ การวิจัยน้ีสาเร็จลุล่วงได้ด้วยดี จากความร่วมมือร่วมใจ ของอาจารย์ นักศึกษารวมทั้งบุคลากรท่ี เก่ียวข้องในวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีชลบุรีทุกคน คณะผู้วิจัยขอขอบคุณคณะอาจารย์ที่มีความมุ่งมั่น ร่วมกันพัฒนารูปแบบ EREC IF และจัดการเรียนการสอนตามรูปแบบท่ีพัฒนาขึ้นจนได้ผลเป็นอย่างดี ขอบคุณบุคลากรสายสนับสนุนที่ให้ความร่วมมือด้วยดีตามบทบาทหน้าทท่ี ี่รบั ผิดชอบ โดยเฉพาะบรรณรกั ษ์ ท่ีให้การสนับสนุนในเร่ืองการคน้ คว้าท้ังของอาจารย์และนักศึกษา ขอบคุณนักศกึ ษาทมี่ ีความวิรยิ ะอตุ สาหะ รวมถึงมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ และขอขอบคุณอาจารย์ท่ีเป็นผู้ช่วยวิจัยทุกท่านท่ีช่วยเก็บรวบรวมข้อมูลทั้ง เชิงปริมาณและคุณภาพ ขอขอบคุณ กลุ่มวิจัย และคณะกรรมการวิจัย วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบรุ ี ที่พิจารณาให้ทนุ สนับสนนุ การทาวจิ ัยคร้งั น้ี การวิจัยเรื่องน้ีได้รับแรงบันดาลใจจากการร่วมประชุมวิชาการนานาชาติรางวัลสมเดจ็ เจ้าฟา้ มหิดล (Prince Mahidol Award Conference: PMAC) ในปี ค.ศ. 2014 และการเข้าร่วมเป็นคณะอนุกรรมการ ดาเนินการขับเคล่ือนแผนยุทธศาสตร์พัฒนาการศึกษา สาหรับบุคลากรด้านสุขภาพในศตวรรษที่ 21 (พ.ศ. 2557-2561) ผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณ อาจารย์นายแพทย์พงษ์พิสุทธิ์ จงอุดมสุข อดีตผู้ช่วยเลขาธิการ สานักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ผลู้ ่วงลบั ไปแลว้ ) และผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.ละเอยี ด แจ่มจันทร์ ที่ ให้โอกาสร่วมเป็นคณะทางานและได้เรียนรู้เร่ือง Transformative Learning ในการประชุม PMAC ขอ กราบขอบพระคุณศาสตราจารยน์ ายแพทยว์ ิจารณ์ พานิช และศาสตราจารย์แพทย์หญิงวณิชา ช่ืนกองแก้ว ท่ีให้โอกาสเรียนรู้จากการร่วมเป็นคณะทางาน ต้ังแต่ปี 2557 เป็นต้นมา ทาให้มีความรู้ความเข้าใจและ สามารถนามาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนารูปแบบ EREC IF เพื่อส่งเสริมทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของ นกั ศกึ ษา และพฒั นาการเรยี นการสอนของวทิ ยาลยั ได้ ผู้วิจัยขอขอบพระคุณรองศาสตราจารย์ดร.รัชนี สรรเสริญ อาจารย์ที่ปรึกษางานวิจัยที่ให้ ข้อเสนอแนะและคาปรึกษาที่เป็นประโยชน์ทาให้งานวิจัยมีคุณค่า ตลอดช่วงเวลา 3 ปีท่ีดาเนินการวิจัยทา ให้งานวจิ ัยบรรลุตามวัตถปุ ระสงค์ได้ด้วยดี ขอขอบพระคุณผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.ละเอียด แจ่มจันทร์ และ ทใ่ี หค้ วามกรุณาเป็นผู้ทรงคณุ วุฒใิ นการตรวจเคร่ืองมือทใี่ ช้ในการวจิ ัยและผู้ทรงคณุ วฒุ ใิ นการสัมมนารบั รอง รูปแบบฯ รวมท้ังให้กาลังใจใหส้ ามารถจดั การกบั งานทีย่ ากไดส้ าเร็จ ขอขอบพระคุณศาสตราจารย์แพทย์หญิงวณิชา ชน่ื กองแก้ว รองศาสตราจารย์ดร.สุจิตรา เหลืองอมรเลิศ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ดร.วรรณรัตน์ ลาวงั ที่ให้ ความกรุณามาเปน็ ผทู้ รงคุณวุฒิในการสมั มนารับรองรปู แบบฯ ขอขอบคณุ ดร.จฬุ ารตั น์ ห้าวหาญ ที่รว่ มเป็น วทิ ยากรในการประชุมปฏิบัติการเพ่ือพัฒนาและปรับปรงุ รูปแบบ รวมทั้งให้ข้อเสนอแนะทีเ่ ป็นประโยชน์ต่อ งานวิจัย ขอขอบคุณดร.ศุกร์ใจ เจริญสุข ผู้อานวยการวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี จักรีรัช ที่ให้ความ กรุณาเป็นผู้ทรงคุณวุฒิในการตรวจเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย อนุญาตให้ทดลองใช้เครื่องมือกับนักศึกษา พยาบาลเพ่ือหาค่าความเช่ือม่ันของเครื่องมือ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิในการสัมมนารับรองรูปแบบฯ และให้ คาปรึกษาและกาลังใจตลอดมา ขอขอบคุณ รองศาสตราจารย์ ดร.การุณ ประทุม และ ดร.เชษฐา แก้วพรม ผ้ทู รงคณุ วุฒิในการตรวจเครือ่ งมือที่ใช้ในการวจิ ัย ท้ายน้ีขอขอบคุณบุคคลในครอบครวั ของคณะผู้วิจยั ทกุ คน ทส่ี นับสนนุ ดว้ ยดตี ลอดมา ทาให้ได้งานวิจยั ทม่ี ีคุณคา่ สามารถใช้พัฒนาการเรียนการสอนพยาบาลไดจ้ รงิ กมลรตั น์ เทอร์เนอร์ และคณะ พฤษภาคม 2561

ง การพัฒนารปู แบบการจดั การเรยี นการสอนทส่ี ่งเสริมทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21ของนักศึกษาพยาบาล ช่ือผู้วจิ ยั กมลรตั น์ เทอรเ์ นอร์ ลดั ดา เหลอื งรัตนมาศ ทตุ ยิ รตั น์ ร่นื เริง สมพร รกั ความสุข บทคดั ยอ่ การวิจัยและพัฒนาคร้ังนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนท่ีส่งเสริมทักษะ แห่งศตวรรษท่ี 21 ของนักศึกษาพยาบาลและศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ พัฒนาข้ึน ขั้นตอนการวิจัยมี 3 ระยะ ได้แก่ ระยะท่ี 1 การศึกษาสภาพการณ์ จากเอกสาร การสัมภาษณ์ อาจารย์และนักศึกษา และการประเมินทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษา ระยะท่ี 2 การสร้างและ พัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนโดยสังเคราะห์ผลการศึกษาจากระยะที่ 1 และการทบทวน วรรณกรรมที่เก่ียวข้องมากาหนดกรอบแนวคิดเบ้ืองต้นในการสร้างและกาหนดองค์ประกอบของรูปแ บบ นาไปทดลองใช้ ประเมินผล และนาผลที่ได้มาปรับรูปแบบอย่างต่อเน่ืองเป็นจานวน 3 รอบของการพัฒนา จนได้รูปแบบที่สมบูรณ์ ระยะที่ 3 การนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่สมบูรณ์ไปใช้ และประเมิน ประสิทธิผลของรูปแบบจาก 1) ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาพยาบาล 2) ความพึงพอใจของ นักศึกษาต่อรูปแบบการจัดการเรียนการสอนท่ีส่งเสริมทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 และ 3) ประเมินความ คิดเห็นของอาจารย์ต่อรูปแบบฯ และรับรองรูปแบบโดยผู้ทรงคุณวุฒิ กลุ่มตัวอย่างเป็นนักศึกษาพยาบาล อาจารย์ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรีและผู้ทรงคุณวุฒิ เก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม ที่คณะผวู้ จิ ยั ได้พัฒนาข้ึนและการสนทนากล่มุ ผลการศึกษาพบว่ารูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่พัฒนาข้ึน ประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) แนวคิดและหลักการท่ีสาคัญ ประกอบไปด้วย แนวคิดการเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ แนวคิดทักษะ ศตวรรษท่ี 21 แนวคิดการพัฒนาคุณภาพอย่างต่อเนื่อง และแนวคิดการเสริมสร้างพลังอานาจ 2) ปัจจัย สนับสนุน ด้านนโยบายท่ีชัดเจนและปฏบิ ัติได้ 3) กระบวนการเตรียมความพร้อม การจัดการเรียนการสอน EREC IF (E: Engagement, R: Reflection, E: Experience, C: Culture and Language, I: Information Technology, F: Fun and flexibility) และกระบวนการเสรมิ คอื Empowerment และ KM และ 4) การ ประเมินผล สาหรับการประเมินประสิทธิผลพบว่าภายหลังการเรียนโดยรูปแบบท่ีสมบูรณ์ค่าเฉลี่ยรวมของ ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ของนักศึกษาเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ี p<.05 โดยเพิ่มจาก 3.71 เป็น 3.93 และเพ่ิมข้ึนเป็น 4.42 หลังการเรียนด้วยรูปแบบ EREC IF อย่างต่อเน่ืองจนจบหลักสูตร นักศึกษามี ความพึงพอใจต่อรูปแบบฯในระดับมากขึ้นไป อาจารย์มีความเห็นว่า EREC IF Model สามารถใช้เป็น แนวทางในการจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริมทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ของนักศึกษาพยาบาลได้ และ ผู้ทรงคุณวุฒิให้การรบั รองรูปแบบฯ ดังน้นั จงึ ควรนารปู แบบฯ ไปขยายผลในการใช้เพ่อื การจัดการเรียนการ สอนใหไ้ ด้บัณฑิตพยาบาลทม่ี ที กั ษะสอดคล้องกับความต้องการของสังคมในศตวรรษที่ 21 ต่อไป คาสาคัญ: รูปแบบการจัดการเรียนการสอน ทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 การจัดการศกึ ษาพยาบาล

จ Development of a pedagogical model to promote 21stcentury skills of nursing students Researchers: Kamolrat Turner Ladda Leungratanamart Tutiyarat Reunreang Somporn Rakkwamsuk ** Abstract This research and development study was designed to develop a pedagogical model to promote 21st century skills of nursing students and to examine the effectiveness of the model. The study was composed of three phases, including Phase 1: Situation analysisvia document review, in-depth interview of instructors and students, and assessment of 21st century skills of the students; Phase 2: Design and development of a pedagogical model to promote 21st century skills of the nursing students by synthesizing the data from Phase 1 and literature review to identify the model framework. The initial model was implemented, evaluated, and improved for 3 rounds until the appropriate model was identified; 3: Implementation of the model and evaluating its effectiveness regarding 1) 21st century skills of the students, 2) students’ satisfaction with the model, 3) instructors’ opinions towards the model, and 4) approval of the model by experts. The samples included nursing students and instructors of Boromarajonani College of Nursing, Chon Buri, and experts. A self- administered questionnaire and focus group interview guidelines were used for data collection. The study yielded a model with 4 components, including 1) concepts and principles of student-centered learning, 21st century skills, continuous quality improvement, and empowerment; 2) supporting factors regarding policy; 3) processes of preparation, EREC IF ( E: Engagement, R: Reflection, E: Experience, C: Culture and Language, I: Information Technology, F: Fun and flexibility) , and supplementary processes of empowerment and knowledge management; and 4) evaluation. An evaluation of model effectiveness revealed that EREC IF model could improve the 21st century skills of the nursing students. The students were satisfied with the model and the instructors agreed that the model could be used to increase the 21st century skills of the students. All invited experts also approved the model. The model should be expanded for further implementation in nursing education in order to produce nursing graduates in response to the needs of society in the 21st century. Keywords: Pedagogical model, twenty first century skills, nursing education

สารบญั บทคัดย่อภาษาไทย…………………………………………………………………………………………. หน้า บทคัดย่อภาษาองั กฤษ…………………………………………………………………………………….. ง สารบัญ………………………………………………………………………………………………………….. จ สารบัญตาราง………………………………………………………………………………………………… ฉ สารบญั ภาพ…………………………………………………………………………………………………… ฌ บทท่ี ฏ 1 บทนา……………………………………………………………………………………………………. 1 ความเปน็ มาและความสาคัญของปัญหา……………………………………………. 1 วตั ถปุ ระสงค์การวจิ ยั ………………………………………………………………………. 3 คาถามการวิจยั ………………………………………………………………………………. 4 สมมติฐานการวจิ ยั ………………………………………………………………………….. 4 ขอบเขตการวิจยั ……………………………………………………………………………… 4 ข้อตกลงเบื้องตน้ …………………………………………………………………………….. 5 นิยามศพั ทเ์ ฉพาะทใ่ี ช้ในการวิจยั ………………………………………………………. 5 กรอบแนวคิดของการวิจยั ……………………………………………………………….. 7 9 2 การทบทวนวรรณกรรมทเี่ ก่ียวข้อง 9 1. การจัดการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา………………………………….. 9 1.1 แนวคิดหลักการ…………………………………………………………………… 11 1.2 กรอบมาตรฐานคุณวฒุ แิ หง่ ชาติ……………………………………………… 13 2. การจดั การเรยี นการสอนสาขาพยาบาลศาสตร์………………………………. 13 2.1 แนวคิดการจดั การศึกษาทางการพยาบาล………………………………. 14 2.2 คุณลกั ษณะบณั ฑติ ทีพ่ งึ ประสงค์…………………………………………….. 15 2.3 มาตรฐานผลการเรียนรู้…………………………………………………………. 16 2.4 สมรรถนะพยาบาลวิชาชพี …………………………………………………….. 18 3. ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21…………………………………………………………….. 18 3.1 ความเป็นมาและทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกบั ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21…. 20 3.2 ผลลพั ธ์การเรียนรู้ด้านทักษะศตวรรษที่ 21…………………………….. 27 3.3 ระบบสนบั สนุนการศึกษาของศตวรรษท่ี 21……………………………. 31 4. การพฒั นารูปแบบการเรยี นการสอนในศตวรรษท่ี 21……………………… 31 4.1 แนวคดิ การพฒั นารปู แบบ………………………………………………………

ช สารบัญ (ต่อ) บทที่ หน้า 2 การทบทวนวรรณกรรมทเ่ี กี่ยวข้อง 33 4.2 การพฒั นารปู แบบการเรียนร…ู้ ………………………………………………. 36 4.3 องค์ประกอบของรูปแบบการเรยี นการสอน…………………………….. 37 4.4 การจัดการเรียนการสอนในศตวรรษที่21 ……………………………….. 4.5 ปัจจัยสนับสนุนการพัฒนารปู แบบการจัดการเรียนการสอนใน 47 50 ศตวรรษที่ 21……………………………………………………………………….. 50 5. งานวิจัยท่เี กีย่ วขอ้ ง……………………………………………………………………… 52 57 5.1 งานวจิ ัยเก่ียวกบั ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21……………………………….. 59 5.2 งานวิจัยเกยี่ วกบั การจดั การเรยี นการสอน………………………………. 59 59 5.3 งานวิจัยเกี่ยวกับการเสริมสรา้ งพลงั อานาจ…………………………….. 61 63 3 วิธีดาเนนิ การวิจัย 64 ระยะที่ 1 การศึกษาวเิ คราะห์สภาพการณ์…………………………………………. ขนั้ ตอนที 1 การเกบ็ ขอ้ มลู เชงิ ปริมาณ………………………………………….. 66 ข้ันตอนที่ 2 การเกบ็ ขอ้ มูลเชิงคุณภาพ…………………………………………. ระยะท่ี 2 การสรา้ งและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอน…………… 69 ข้ันตอนที่ 1 การสรา้ งและพฒั นารปู แบบการจดั การเรียนการสอน….. 73 ข้นั ตอนที่ 2 การทดลองใชแ้ ละปรับปรุงรปู แบบการจัดการเรยี น 73 การสอนท่ีสง่ เสรมิ ทักษะศตวรรษท่ี 21………………………. ระยะที่ 3 การประเมนิ ประสทิ ธผิ ลของรปู แบบการจัดการเรยี นการสอน 74 การสอนท่ีสง่ เสรมิ ทกั ษะศตวรรษที่ 21………………………………… 76 4 ผลการวจิ ัย ตอนท่ี 1 การศกึ ษาสภาพปญั หากอ่ นการพฒั นารปู แบบ………………………. 77 1.1 ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ของนกั ศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาล 78 บรมราชชนนี ชลบรุ ี……………………………………………………………… 78 1.2 สภาพการจดั การเรียนการสอนของวิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี ชลบรุ ี………………………………………………………………………………….. ตอนท่ี 2 การสรา้ งและพฒั นารปู แบบการจดั การเรยี นการสอนท่สี ง่ เสริม ทักษะศตวรรษที่ 21…………………………………………………………… นยิ าม………………………………………………………………………………………. องคป์ ระกอบของรปู แบบ ……………………………………………………………

ซ สารบญั (ตอ่ ) บทที่ หน้า 4 ผลการวจิ ัย 78 ตอนที่ 2 80 80 แนวคดิ และหลักการ………………………………………………………………….. 85 ปัจจยั สนับสนนุ …………………………………………………………………………. 86 กระบวนการ…………………………………………………………………………….. 86 การประเมินผล…………………………………………………………………………. 105 ความสัมพนั ธ์ขององคป์ ระกอบ…………………………………………………… 105 107 ตอนที่ 3 ผลการศึกษาประสทิ ธิผลของรูปแบบการจัดการเรยี นการสอนที่ 116 ส่งเสรมิ ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21………………………………………… 117 126 5 สรปุ ผล อภปิ รายผล ขอ้ เสนอแนะ…………………………………………………………………. 127 สรปุ ผลการวจิ ยั ………………………………………………………………………………. การอภิปรายผล……………………………………………………………………………… 145 ขอ้ เสนอแนะ…………………………………………………………………………………… 149 บรรณานกุ รม…………………………………………………………………………………………………. 158 ภาคผนวก……………………………………………………………………………………………………… 161 ภาคผนวก ก เคร่อื งมือท่ใี ชเ้ กบ็ รวบรวมขอ้ มลู ……………………………………. ภาคผนวก ข รายชอื่ ผูท้ รงคุณวฒุ ิตรวจสอบคุณภาพของเครือ่ งมือท่ีใช้ใน งานวิจัยและรบั รองรปู แบบฯ…………………………………………… ภาคผนวก ค ตารางแสดงผลการวิเคราะหข์ ้อมลู ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 โดยรวมและจาแนกรายดา้ นของนกั ศึกษาพยาบาลชนั้ ปีที่ 2 ตามการรับรู้ของอาจารย์ และตารางแสดงผลการวิเคราะหข์ อ้ มูล ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาพยาบาลจาแนกตามชนั้ ปี ภาคผนวก ง ภาพการประชุมพัฒนารูปแบบ และสัมมนารบั รองรูปแบบ EREC IF……………………………………………………………………… ประวตั ผิ วู้ จิ ยั …………………………………………………………………………………………………..

สารบัญตาราง ตารางที่ หนา้ 74 4.1 ค่าเฉล่ีย สว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐาน และระดับทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของนกั ศึกษา 76 พยาบาล โดยรวมและรายด้าน จาแนกตามช้นั ปี...................................................... 76 87 4.2 ผลการวิเคราะห์ความแปรปรวน ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ของนักศกึ ษาพยาบาล 4.3 คา่ เฉลี่ย ผลตา่ งค่าเฉลีย่ และผลการทดสอบทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ของนกั ศกึ ษา 87 พยาบาลรายคู่ โดยวธิ ี Scheffe.......................................................................................... 87 88 4.4 คา่ เฉล่ีย และส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐานทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 โดยรวมของ นักศึกษาพยาบาลชัน้ ปที ่ี 2 กอ่ นและหลงั เรียนโดยใช้รูปแบบ ERRC IF Model 88 88 4.5 เปรียบเทยี บคะแนนเฉล่ียทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 โดยรวม ของนักศกึ ษาพยาบาล 89 ชั้นปที ี่ 2 กอ่ นใชร้ ูปแบบ หลังเรียนโดยใช้รปู แบบ ERRC IF Model ท่สี มบรู ณ์ และเม่ือจบการศกึ ษา โดยใช้การวิเคราะหค์ วามแปรปรวนแบบวัดซา้ ชนิดทางเดียว 89 4.6 เปรียบเทียบคะแนนเฉลีย่ ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 โดยรวม ของนักศึกษาพยาบาล 89 ชั้นปีที่ 2 กอ่ นใช้รปู แบบ หลังเรียนโดยใช้รูปแบบ ERRC IF Model ทีส่ มบรู ณ์ และเม่ือจบการศึกษา............................................................................................. 4.7 คา่ เฉล่ีย และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานทกั ษะด้าน 3Rs ของนกั ศึกษาพยาบาลช้นั ปที ี่ 2 ก่อนและหลงั เรยี นโดยใช้รูปแบบ ERRC IF Model.................................................. 4.8 เปรียบเทยี บคะแนนเฉลย่ี ทกั ษะด้าน 3Rs ของนักศึกษาพยาบาลชัน้ ปที ่ี 2 กอ่ นใช้ รปู แบบ หลังเรียนโดยใช้รปู แบบ ERRC IF Model ท่ีสมบรู ณ์ และเมือ่ จบการศกึ ษา โดยใช้การวเิ คราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซา้ ชนิดทางเดียว........................................ 4.9 เปรียบเทียบคะแนนเฉลย่ี ทกั ษะด้าน 3Rs ของนกั ศกึ ษาพยาบาลชั้นปที ี่ 2 ก่อนใช้ รูปแบบ หลงั เรียนโดยใชร้ ูปแบบ ERRC IF Model ท่ีสมบูรณ์ และเม่อื จบการศึกษา 4.10 ค่าเฉลี่ย และสว่ นเบีย่ งเบนมาตรฐานทักษะด้านการคิดอย่างมวี ิจารณญาณ ของ นกั ศึกษาพยาบาลช้นั ปีที่ 2 ก่อนและหลังเรียนโดยใชร้ ูปแบบ ERRC IF Model........ 4.11 เปรียบเทยี บคะแนนเฉล่ยี ทักษะดา้ นการคดิ อย่างมีวิจารณญาณ ของนักศึกษา พยาบาลชน้ั ปีท่ี 2 กอ่ นใชร้ ูปแบบ หลังเรยี นโดยใช้รปู แบบ ERRC IF Model ที่สมบรู ณ์ และเม่ือจบการศกึ ษา โดยใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซา้ ชนิดทางเดยี ว. 4.12 เปรยี บเทยี บคะแนนเฉลี่ยทักษะดา้ นการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ของนกั ศึกษา พยาบาลชัน้ ปีที่ 2 กอ่ นใช้รปู แบบ หลังเรยี นโดยใชร้ ูปแบบ ERRC IF Model ทีส่ มบรู ณ์ และเม่ือจบการศกึ ษา.............................................................................................

ญ สารบัญตาราง (ต่อ) ตารางท่ี หน้า 90 4.13 คา่ เฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานทกั ษะด้านการคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ของ 90 นักศกึ ษาพยาบาลช้นั ปที ี่ 2 กอ่ นและหลังเรียนโดยใช้รูปแบบ ERRC IF Model...... 90 91 4..14 เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยทักษะดา้ นการคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ของนักศึกษา พยาบาลชั้นปีที่ 2 กอ่ นใชร้ ปู แบบ หลงั เรยี นโดยใชร้ ปู แบบ ERRC IF Model ท่ีสมบรู ณ์ 91 และเม่อื จบการศกึ ษา โดยใช้การวิเคราะหค์ วามแปรปรวนแบบวัดซา้ ชนิดทางเดียว 91 92 4.15 เปรียบเทียบคะแนนเฉลี่ยทักษะดา้ นการคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม ของนกั ศกึ ษา 92 พยาบาลชนั้ ปีที่ 2 กอ่ นใช้รปู แบบ หลังเรียนโดยใชร้ ูปแบบ ERRC IF Model ที่สมบรู ณ์ 92 และเม่ือจบการศึกษา 4.16 คา่ เฉลี่ย และส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐานทักษะดา้ นความเขา้ ใจต่างวฒั นธรรม ตา่ งกระบวนทัศน์ 93 ของนกั ศกึ ษาพยาบาลชัน้ ปีที่ 2 กอ่ นและหลงั เรยี นโดยใชร้ ปู แบบ ERRC IF Model...... 4.17 เปรียบเทยี บคะแนนเฉลีย่ ทักษะดา้ นความเขา้ ใจต่างวฒั นธรรม ตา่ งกระบวนทัศน์ ของนกั ศกึ ษาพยาบาลชัน้ ปีท่ี 2 กอ่ นใช้รูปแบบ หลงั เรียนโดยใช้รปู แบบ ERRC IF Model ทส่ี มบรู ณ์ และเมอื่ จบการศึกษา โดยใช้การวเิ คราะห์ความแปรปรวนแบบ วดั ซ้าชนดิ ทางเดียว............................................................................................... 4.18 เปรียบเทยี บคะแนนเฉลยี่ ทกั ษะด้านความเขา้ ใจต่างวฒั นธรรม ตา่ งกระบวนทศั น์ ของนกั ศึกษาพยาบาลชัน้ ปีที่ 2 กอ่ นใชร้ ปู แบบ หลงั เรยี นโดยใชร้ ูปแบบ ERRC IF Model ที่สมบรู ณ์ และเมอ่ื จบการศกึ ษา................................................................ 4.19 คา่ เฉล่ีย และสว่ นเบ่ยี งเบนมาตรฐานทกั ษะด้านความรว่ มมือและการทางานเป็นทีม ของนักศกึ ษาพยาบาลชัน้ ปีท่ี 2 กอ่ นและหลงั เรยี นโดยใชร้ ปู แบบ ERRC IF Model...... 4.20 เปรียบเทียบคะแนนเฉลยี่ ทักษะด้านความรว่ มมอื และการทางานเป็นทีม ของ นักศกึ ษาพยาบาลชัน้ ปีที่ 2 ก่อนใชร้ ปู แบบ หลังเรียนโดยใช้รูปแบบ ERRC IF Model ที่ สมบรู ณ์ และเม่ือจบการศึกษา โดยใชก้ ารวเิ คราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้าชนิดทาง เดียว 4.21 เปรียบเทยี บคะแนนเฉลย่ี ทักษะด้านความรว่ มมอื และการทางานเป็นทีม ของ นกั ศึกษาพยาบาลชน้ั ปที ี่ 2 กอ่ นใช้รปู แบบ หลงั เรียนโดยใช้รปู แบบ ERRC IF Model ท่สี มบรู ณ์ และเม่อื จบการศึกษา ............................................................................................... 4.22 ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานทักษะด้านการสื่อสาร การรู้เท่าทันสารสนเทศ และร้เู ท่าทนั ส่ือ ของนักศึกษาพยาบาลช้ันปที ่ี 2 ก่อนและหลงั เรียนโดยใช้รูปแบบ ERRC IF Model.....................................................................................................

ฎ สารบญั ตาราง (ตอ่ ) ตารางที่ หน้า 4..23 เปรียบเทียบคะแนนเฉล่ยี ทักษะดา้ นด้านการสื่อสาร การรู้เท่าทนั สารสนเทศและ 93 รเู้ ท่าทันสื่อ ของนักศกึ ษาพยาบาลช้ันปที ี่ 2 ก่อนใชร้ ูปแบบ หลังเรียนโดยใชร้ ปู แบบ 93 ERRC IF Model ทีส่ มบูรณ์ และเม่ือจบการศึกษา โดยใชก้ ารวิเคราะห์ความ 94 แปรปรวนแบบวัดซ้าชนิดทางเดียว..................................................................... 94 4.24 เปรียบเทยี บคะแนนเฉลีย่ ทักษะด้านด้านการสอ่ื สาร การรู้เท่าทันสารสนเทศและ 94 ร้เู ท่าทนั สอื่ ของนกั ศกึ ษาพยาบาลชนั้ ปที ่ี 2 กอ่ นใชร้ ปู แบบ หลังเรยี นโดยใช้รปู แบบ 95 95 ERRC IF Model ทสี่ มบรู ณแ์ ละเมื่อจบการศึกษา........................................................... 95 4.25 ค่าเฉล่ยี และส่วนเบีย่ งเบนมาตรฐานทกั ษะดา้ นคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี ของ 96 นกั ศกึ ษาพยาบาลชั้นปที ่ี 2 ก่อนและหลงั เรียนโดยใชร้ ปู แบบ ERRC IF Model........ 4.26 เปรียบเทียบคะแนนเฉล่ยี ทักษะดา้ นดา้ นคอมพวิ เตอร์และเทคโนโลยี ของ นกั ศึกษาพยาบาลช้ันปที ่ี 2 กอ่ นใช้รปู แบบ หลงั เรียนโดยใชร้ ปู แบบ ERRC IF Model ที่สมบูรณ์ และเมอ่ื จบการศกึ ษา โดยใชก้ ารวเิ คราะห์ความแปรปรวนแบบ วดั ซา้ ชนิดทางเดียว............................................................................................... 4.27 เปรียบเทยี บคะแนนเฉลีย่ ทักษะด้านด้านคอมพวิ เตอรแ์ ละเทคโนโลยี ของนกั ศกึ ษา พยาบาลช้นั ปีที่ 2 กอ่ นใชร้ ูปแบบ หลังเรียนโดยใช้รปู แบบ ERRC IF Model ที่ สมบรู ณ์ และเมอ่ื จบการศึกษา.............................................................................. 4.28 คา่ เฉล่ีย และส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐานทักษะด้านอาชีพและทักษะการเรียนรู้ ของ นกั ศึกษาพยาบาลชน้ั ปที ่ี 2 ก่อนและหลงั เรียนโดยใชร้ ูปแบบ ERRC IF Model........... 4.29 เปรียบเทียบคะแนนเฉลยี่ ทักษะด้านอาชีพและทักษะการเรียนรู้ ของนักศึกษาพยาบาล ชัน้ ปีที่ 2 ก่อนใช้รปู แบบ หลังเรยี นโดยใชร้ ูปแบบ ERRC IF Model ที่สมบรู ณ์ และเมื่อ จบการศึกษา โดยใช้การวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบวัดซ้าชนิดทางเดยี ว.................... 4.30 เปรยี บเทียบคะแนนเฉล่ยี ทักษะด้านอาชพี และทักษะการเรียนรู้ ของนักศึกษาพยาบาล ช้นั ปีที่ 2 กอ่ นใชร้ ูปแบบ หลงั เรยี นโดยใชร้ ูปแบบ ERRC IF Model ทส่ี มบูรณ์ และเม่ือจบการศกึ ษา............................................................................................... 4.31 ค่าเฉล่ีย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ระดับความพงึ พอใจรายดา้ นและโดยรวม ของ นกั ศกึ ษาพยาบาลชั้นปที ่ี 2 ท่มี ตี อ่ รูปแบบ ERRC IF Model ท่สี มบูรณ์....................

สารบัญภาพ ภาพที่ หน้า 8 1 กรอบแนวคดิ ………………………………………………………………………………… 20 2 ตวั แบบประกายรงุ้ …………………………………………………………………………. 65 66 3 ร่างรูปแบบการจดั การเรียนการสอนท่สี ่งเสริมทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21.. 67 4 รปู แบบ EREC IF ทปี่ รบั ตามขอ้ เสนอแนะของผู้ทรงคณุ วฒุ ิ………………… 5 รปู แบบ ERECC IF ภายหลงั การทดลองใช้และปรับปรุงคร้งั ท่ี 1………… 68 6 รูปแบบ ERECC IF ภายหลงั การทดลองใชแ้ ละปรับปรงุ ครัง้ ที่ 2 71 (รูปแบบทีส่ มบูรณ์)……………………………………………………………………… 7 สรปุ ข้นั ตอนการสรา้ งและพฒั นารปู แบบการจัดการเรยี นการสอนที่ สง่ เสรมิ ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21ของนักศึกษาพยาบาลวิทยาลัยพยาบาล บรมราชชนนีชลบรุ ี……………………………………………………………………………

บทท่ี 1 บทนำ ควำมเปน็ มำและควำมสำคัญของปญั หำ การเปลี่ยนแปลงทางสังคมด้านต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนอย่างรวดเร็วในศตวรรษที่ 21 ส่งผลต่อวิถีชีวิตและ บริบทของคนท้ังโลก การศึกษาในศตวรรษที่ 21 มุ่งเน้นเร่ืองการก้าวทันโลกและความเป็นสากล (Boholano, 2017) ทักษะในศตวรรษท่ี 21 ครอบคลุมถึงความรู้ ทักษะ และการจัดการท่ีเห็นว่าเป็นส่ิง ที่จาเป็นสาหรับความสาเร็จในสถานท่ีทางานท่ัวโลกในอนาคต (Germaine, Richards, Koeller, & Schubert-Irastorza, 2016) นอกจากนี้การให้ความรู้แก่นักศึกษาพยาบาลในระดับปริญญาตรีในศตวรรษ ท่ี 21 ก่อให้เกิดความท้าทายในการเรียนรู้ท่ีเสมือนจริง (McNamara, 2015) รวมถึงบริบททางด้านสุขภาพ ท่ีมีการเปล่ียนแปลงอย่างรวดเร็วและซับซ้อนมากขึ้น ดังน้ันผู้ปฏิบัติงานด้านสุขภาพทุกสาชาวิชาชพี จึงถูก ผลักดนั ให้มกี ารปรบั ตัวและพัฒนาทักษะ เพ่ือใหส้ ามารถปฏบิ ัตงิ านไดใ้ นพลวัตรของสถานการณ์ปัจจบุ ันและ อนาคต พยาบาลซงึ่ นับวา่ เป็นกลุ่มบุคลากรทส่ี าคัญและเป็นกลุม่ ทม่ี ีจานวนมากที่สดุ ของทีมสขุ ภาพ จึงมีความ จาเป็นทีจ่ ะตอ้ งไดร้ ับการพัฒนาให้มีสมรรถนะสอดคลอ้ งกบั ความต้องการของโลกแห่งศตวรรษท่ี 21 เพือ่ ให้ สามารถปฏบิ ัติงานท่ามกลางกระแสความต้องการของผ้รู ับบริการ และการเปล่ียนแปลงในด้านต่างๆ โดยเฉพาะ ววิ ฒั นาการความก้าวหน้าทางเทคโนโลยที ม่ี ีอิทธพิ ลต่อระบบบริการสขุ ภาพ (Turale, 2011; Devi, 2016) ในช่วงทศวรรษท่ีผ่านมาได้มีความเคล่ือนไหวของกระบวนการขับเคล่ือนปฏิรูปการศึกษาสาหรับ บุคลากรด้านสุขภาพ ทั้งในระดับโลก ระดับภูมิภาค และระดับประเทศดังจะเห็นได้จากรายงาน The Commission on Education of Health Professionals for 21st Century (2010) มติ SEA/RC65/R7 (2012) ของการประชุมองค์การอนามัยโลกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมติ WHA 66.23 (2013) ของการประชุมสมัชชาอนามัยโลกคร้ังท่ี 66 ท่ีขอให้ประเทศต่าง ๆ ได้มีการทบทวนสถานการณ์การจัด การศึกษาบุคลากรด้านสุขภาพ และปฏิรูปให้สอดคล้องกับสถานการณ์ความต้องการกาลังคนด้านสุขภาพใน ปัจจุบันและรองรับการเปล่ียนแปลงท่ีอาจจะเกิดข้ึนในอนาคตท้ังนี้เน่ืองจากการจัดการศึกษาท่ีผ่านมานั้นมี ข้อจากัดในบางประการที่ส่งผลให้ผู้สาเร็จการศึกษามีสมรรถนะไม่สอดคล้องกับความต้องการทางด้าน สุขภาพในยุคศตวรรษท่ี 21 (Fernanda, R.E.G. & Fabian, F, 2014; Jenifer M. & Elizabeth C., 2016) ซึ่งบางประเทศได้มีการนาเสนอแนวทางการจัดการศึกษาพยาบาลเพื่อสอดคล้องกับสถานการณ์ท่ี เปลยี่ นแปลงดงั เช่น ประเทศไนจเี รีย ได้มกี ารนาเสนอวา่ การจัดการศกึ ษาพยาบาลของประเทศจะต้องมีการ บริหารจัดการแบบมีสว่ นร่วมเพิ่มมากขึ้น ให้ความสาคัญกับการวจิ ัยมากข้ึน รวมท้ังการใช้เทคโนโลยีในการ จัดการเรยี นการสอนให้มากขน้ึ (Clara, A, 2012) ในศตวรรษที่ 21 ประเทศไทย ไดม้ ีการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ เชน่ เดียวกบั ประเทศทวั่ โลก เช่น ด้านเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม ส่ิงแวดล้อม โครงสร้างประชากร และระบาดวิทยาซึ่งนาไปสู่การ เปล่ียนแปลงของระบบสุขภาพ และการบริหารจัดการของหน่วยบริการสุขภาพ การจัดการศึกษาสาหรับ บุคลากรด้านสุขภาพ จึงจาเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนทั้งรูปแบบ วิธีการ และเน้ือหาสาระ ให้มีความ เหมาะสมกับการศึกษาในศตวรรษท่ี 21 ในการประชุมสมัชชาสุขภาพแห่งชาติคร้ังท่ี 5 (มติ 3 วันท่ี 20 ธันวาคม 2555) ได้กล่าวถึงระบบการศึกษาของบุคลากรด้านสุขภาพของไทยในปัจจุบันว่ายังขาดความ เชื่อมโยงและสอดคล้องกับพลวัตของระบบสุขภาพและสังคม ทาให้เกิดผลกระทบต่อการผลิตบุคลากรที่มี

2 ความพร้อมทั้งความรู้ เจตคติ ทักษะที่จาเป็น และความสามารถในการให้บริการด้านสุขภาพเป็นอย่างดี มคี ุณธรรม และเคารพในศักด์ิศรีความเปน็ มนุษย์ มที ักษะเจตคติที่ดใี นการทางานเป็นทีม รวมทั้งทักษะใน การเรียนรู้จากการทางานตลอดชีวิต และสามารถเป็นผู้นาการเปลี่ยนแปลงท่ามกลางพลวัตของระบบ สุขภาพและสังคมได้ซ่ึงเป็นทักษะที่สาคัญในสังคมโลกาภิวตั น์ในศตวรรษที่21 จึงมีมติให้ คณะกรรมการกาลงั คน ด้านสุขภาพแห่งชาติแต่งต้ังคณะอนุกรรมการเฉพาะกิจข้ึนมา เพื่อจัดทาแผนยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับ กระบวนการสรรหา การผลิต การวางแผน และพัฒนากาลังคนด้านสุขภาพ เพ่ือนาไปสู่แนวทางปฏิรูป การศึกษาให้สอดคล้องกับนโยบายด้านคณุ ภาพของการบริการในทุกระดับดว้ ยกระบวนการระดมสรรพปัญญา ประสบการณ์และนวตั กรรมการมีส่วนร่วมอย่างกวา้ งขวางและการใช้ข้อมลู เชิงประจักษ์ ในมติสมชั ชาสุขภาพเฉพาะประเดน็ (5 กุมภาพันธ์ 2557) คณะอนุกรรมการเฉพาะกิจไดเ้ สนอแผน ยุทธศาสตร์เพื่อการพัฒนาการศึกษาสาหรับบุคลากรด้านสุขภาพในศตวรรษที่ 21 (พ.ศ.2557 – พ.ศ.2561) ซ่ึงประกอบด้วย 6 ประเด็นยุทธศาสตร์ ได้แก่ การกาหนดนโยบายการจัดการศึกษาสาหรับบุคลากรด้าน สุขภาพ โดยใช้หลักฐานเชิงวิชาการ การสร้างความร่วมมือระหว่างผู้ผลิตและผู้ใช้บุคลากรด้านสุขภาพ การปฏิรูปการบริหารจัดการในสถาบันการศึกษา การปฏิรูปหลักสูตร การเรียนรู้ การจัดการความรู้ และ การสร้างเครือข่ายสู่การปฏิรูปการศึกษาบุคลากรด้านสุขภาพ ในส่วนของสถาบันการศึกษาจะเกี่ยวข้อง โดยตรงกับประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 3 ใน 2 ประเด็นใหญ่ๆ คือ การออกแบบการบริหารจัดการของ สถาบันการศึกษา (Institutional design) และ กระบวนการเรียนรู้ (Instructional design) การจัดการศึกษาจึงเป็นกระบวนการหน่ึงท่ีสาคัญเพื่อที่จะเตรียมนักวิชาชีพด้านการพยาบาล ให้มี ทักษะสอดคล้องกับความต้องการของระบบสุขภาพในปัจจุบัน องค์การอนามัยโลกตระหนักถึงความสาคัญ ของการปฏริ ปู การศึกษา เพือ่ ให้ไดบ้ ุคลากรสุขภาพท่ีมคี ุณภาพ จงึ ไดจ้ ดั ตั้งคณะกรรมาธกิ าร ซง่ึ ประกอบด้วย บคุ ลากรวชิ าชีพด้านสุขภาพและผ้นู าด้านการศึกษาจานวน 20 คน จากประเทศต่างๆ ทั่วโลก มารวมตัวกัน เพ่ือพัฒนาวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ในการจัดการศึกษาระดับอุดมศึกษาของแพทย์ พยาบาล และสาธารณสุข คณะกรรมาธิการชุดน้ีได้นาเอามุมมองของสหสาขาวิชาชีพ และระบบสุขภาพมาพิจารณา เพ่ือหากรอบ แนวคิดที่ครอบคลุมและสามารถเช่ือมโยงระหว่างระบบการศึกษากับระบบสุขภาพ เพ่ือสร้างกาลังคน ท่ีตอบสนองต่อความต้องการวิชาชีพในระบบสุขภาพเพ่ือให้เกิดผลลัพธ์ท่ีดีทางด้านสุขภาพ โดยระบบ การศึกษาจะต้องออกแบบกลยุทธ์ด้านการจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับความต้องการดังกล่าว (Frenk, 2010) ในการจัดการเรียนการสอนเพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้เกิดทักษะท่ีสอดคล้องกับความต้องการของบริบท ในปัจจุบันและอนาคต Trilling & Fadel (2009) ได้กล่าวว่า การปรับกระบวนทัศน์ทางการจัดการศึกษา เป็นสิ่งที่จาเป็นสาหรับการจัดการศึกษาในปัจจุบัน และได้นาเสนอกรอบแนวคิด ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 (21st Century Skills) ได้แก่ การเรียนรู้ 3Rs x 7Cs โดย 3Rs คือ Reading (อ่านออก) (W)Riting (เขียนได้) และ (A)Rithemetics (คิดเลขเป็น) 7Cs ได้แก่ ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะ ในการแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving) ทักษะด้านการสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation) ทกั ษะดา้ นความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural Understanding) ทกั ษะด้านความรว่ มมือ การทางานเป็นทมี และภาวะผนู้ า (Collaboration, Teamwork and Leadership) ทักษะด้านการส่ือสารสารสนเทศ และรู้เท่าทันส่ือ (Communications, Information, and Media Literacy) ทกั ษะด้านคอมพวิ เตอร์ และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Computing and ICT Literacy) ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้ (Career and Learning Skills) ซ่ึงวิจารณ์ พานิช (2555) ได้ให้ความเห็นว่าทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เป็นทักษะที่จาเป็นท่ีจะต้องพัฒนาให้เกิดมีข้ึนในผู้เรียน และเน้นว่าการจัดการเรียนการสอนเพ่ือให้ผู้เรียนเกิดทักษะในศตวรรษท่ี 21 ไม่ใช่การสอนแบบเดิม ๆ

3 ที่สาคัญต้องอาศัยระบบการสนับสนุนการศึกษา ได้แก่ มาตรฐานการเรยี นรู้ การประเมินผล หลักสูตร และ วิธีการสอน การพัฒนาวิชาชีพ และบรรยากาศการเรียนรู้ท่ีส่งเสริมให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการ เรียนรู้มากขึ้นผู้สอนต้องมีการเปล่ียนแปลงตัวเองเพ่ือให้เป็นครูผู้สอนสาหรับนักศึกษาในศตวรรษที่ 21 ครูในศตวรรษที่ 21 ต้องยึดหลักสอนน้อย เรียนรู้มาก สอนให้นักศึกษามีทักษะในการคิดวเิ คราะห์ มากกว่า การท่องจา การเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ต้องก้าวข้ามสาระวิชาไปสู่การเรียนรู้ ครูต้องออกแบบการเรียนรู้ และเป็นผู้อานวยความสะดวก (facilitator) ในการเรียนรู้ ให้นักเรียนสามารถเรียนรู้จากการเรียนแบบลงมือทา แลว้ การเรียนรูก้ จ็ ะเกดิ จากภายในใจและสมอง ผ่านการคิดวิเคราะห์ของตนเอง จากที่กล่าวมาข้างต้นจะเหน็ ได้ว่ามีความจาเป็นอย่างยิ่งที่สถาบันการศึกษาจะต้องทบทวนและมีการปรับเปลี่ยนวิธีการและรูปแบบการ จัดการศึกษาเพ่ือพัฒนาให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะและสมรรถนะสอดคล้องกับบริบท และความต้องการของ สังคมในปัจจุบัน รวมท้ังรองรับการเปล่ียนแปลงในอนาคต ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ตามกรอบแนวคิดของ Trilling & Fadel (2009) นา่ จะเป็นทักษะจาเป็นพ้ืนฐานของนักวชิ าชีพทางสขุ ภาพ รวมท้งั พยาบาลวิชาชีพ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี เป็นสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษาที่ผลิตบุคลากร ในสาขาวิชาชีพพยาบาล ซึ่งเป็นการผลิตกาลังคนเพื่อตอบสนองระบบบริการสขุ ภาพตามความต้องการของ สงั คมและผู้ใชบ้ ัณฑติ พยาบาล จากการติดตามบัณฑติ พยาบาลที่สาเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยพยาบาลบรม ราชชนนี ชลบุรี โดยให้ผู้ใช้บัณฑิตประเมินคุณภาพของบัณฑิตตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับปรญิ ญาตรี สาขาพยาบาลศาสตร์ พบว่าบัณฑิตพยาบาลมีความรู้และทักษะทางปัญญาอยู่ในระดับท่ีน้อยกว่าด้านอื่นๆ โดยเฉพาะในเร่ืองความรู้ความเข้าใจในสาระสาคัญของกระบวนการแสวงหาความรู้ การจัดการความรู้ กระบวนการวิจัย กระบวนการบริหารและการจัดการองค์กร และเร่ืองการใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทางการวิจัย และนวตกรรมทเี่ หมาะสมในการแก้ไขปัญหา (วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี ชลบรุ ี, เอกสาร อัดสาเนา) ซึ่งทักษะที่ได้ผู้ใช้บัณฑิตให้ข้อคิดเห็นว่าเป็นทักษะท่ีเป็นข้อจากัดของบัณฑิตพยาบาลนั้นเป็น ทักษะที่สาคัญแห่งศตวรรษที่ 21 นอกจากนั้นผู้ใช้บัณฑิตในปัจจุบันต้องการบัณฑิตพยาบาลท่ีสามารถ ปฏิบตั ิงานร่วมกบั ทีมสุขภาพในทุกสถานการณโ์ ดยสามารถบูรณาการกับแนวทางเดิมในการให้การพยาบาล ได้ (National Advisory Council of Nurses Education and Practice, 2010) นอกจากน้ันวธิ ีการจดั การ เรียนการสอนสาขาพยาบาลศาสตร์จาเป็นต้องเปล่ียนจากการที่เน้นเน้ือหาและความรู้มาเป็นประเด็น ประเด็นการเรยี นรู้ และพยาบาลตอ้ งสามารถคิดวเิ คราะหแ์ ละแก้ปญั หาได้ รวมทง้ั มีความคิดสรา้ งสรรค์และ มีทักษะการสื่อสาร (วภิ าดา คุณาวิกตกิ ลุ , 2558) ดังน้ันจึงมีความจาเป็นและมีความสาคัญอย่างยิ่งที่วิทยาลัยพยาบาลจาเป็นจะต้องพัฒนารูปแบบ การจัดการเรียนการสอนท่ีส่งเสริมพัฒนาทักษะศตวรรษท่ี 21 ให้กับนักศึกษาพยาบาล การศึกษาวิจัยและ พัฒนาน้ีมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อพัฒนารูปแบบที่สามารถนาไปใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพ่ือให้ได้ บัณฑิตพยาบาลท่ีมีทักษะสอดคล้องกับความต้องการของระบบสุขภาพในโลกแห่งศตวรรษท่ี 21 ผลการศึกษาจะเป็นประโยชน์ต่อการบริหารสถานศึกษารวมท้ังการออกแบบหลักสูตรและวิธีการเรียนการ สอนที่ส่งเสริมทักษะศตวรรษที่ 21 ให้กับนักศึกษาพยาบาลและสามารถนาไปเป็นต้นแบบให้กับ สถาบันการศึกษาพยาบาลอ่นื ได้ วัตถุประสงค์กำรวจิ ัย วัตถปุ ระสงค์ทั่วไป เพ่ือพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริมทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาพยาบาล และศกึ ษาประสทิ ธผิ ลของรปู แบบทพ่ี ฒั นาขนึ้

4 วตั ถุประสงคเ์ ฉพำะเพ่อื 1. ศึกษาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาพยาบาลวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบรุ ี ตามการรบั รู้ของนักศึกษา 2. ศึกษาวิเคราะห์สภาพการจัดการเรียนการสอน ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบรุ ี 3. สร้างและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนของอาจารย์วิทยาลัยพยาบาลบรม ราชชนนี ชลบุรี ตามแนวคดิ การจัดการศึกษาศตวรรษที่ 21 4. ศึกษาประสิทธผิ ลของรปู แบบการจดั การเรียนการสอนที่ส่งเสรมิ ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ท่ีพัฒนาข้ึน จาก 4.1 การเปรียบเทียบทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาพยาบาลวิทยาลัยพยาบาล บรมราชชนนี ชลบรุ ี กอ่ นและหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนท่ีส่งเสรมิ ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 4.2 ความพงึ พอใจของนักศึกษาต่อรูปแบบการจดั การเรียนการสอนที่ส่งเสริมทักษะ แห่งศตวรรษที่ 21 ทีพ่ ัฒนาข้ึน 4.3 ความคิดเห็นของอาจารย์ต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนท่ีส่งเสริม ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ที่พฒั นาขึน้ คำถำมกำรวิจัย 1. ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ของนักศึกษาพยาบาลวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี ในแต่ละ ชั้นปีเป็นอยา่ งไร กอ่ นการพัฒนารูปแบบการจัดการเรยี นการสอนทีส่ ง่ เสรมิ ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 2. สภาพการจัดการเรียนการสอน ของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี ก่อนการพัฒนา รปู แบบการจดั การเรยี นการสอนท่สี ง่ เสริมทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 เป็นอย่างไร 3. รูปแบบการจดั การเรียนการสอนที่ส่งเสรมิ ทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 มลี ักษณะเป็นอย่างไร 4. ประสทิ ธผิ ลของรปู แบบการจัดการเรยี นการสอนท่สี ง่ เสริมทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 เป็นอย่างไร สมมติฐำนกำรวจิ ัย 1. ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ของนักศึกษาพยาบาลวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี หลังการ ใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนสาขาพยาบาลศาสตร์ตามแนวคิดการจัดการศึกษาศตวรรษที่ 21 ทพ่ี ฒั นาข้ึน สงู กว่ากอ่ นการพฒั นา 2. นักศึกษาอย่างน้อยร้อยละ 80มีความพึงพอใจในการจัดการเรียนการสอนตามรูปแบบ ท่ีพฒั นาข้ึนในระดับดีข้ึนไป ขอบเขตของกำรวจิ ัย การศกึ ษาคร้งั นีเ้ ป็นการวจิ ยั และพฒั นา มวี ัตถุประสงคเ์ พื่อพฒั นารปู แบบการจดั การเรยี นการสอน ทส่ี ่งเสริมทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ของนกั ศึกษาพยาบาล ประชากรท่ีใช้ในการวิจัย คือ อาจารย์ และนักศึกษาหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณทิตวิทยาลัย พยาบาลบรมราชชนนี ชลบรุ ี ปีการศึกษา 2557 2558 และ 2559 กลุ่มตวั อย่าง ประกอบดว้ ย

5 ระยะที่ 1 การศึกษาวิเคราะห์สภาพการณ์ ได้แก่ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษา พยาบาล และสภาพการจัดการเรียนการสอนของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนีชลบุรี ศึกษาจากประชากร ได้แก่นักศึกษาพยาบาล หลักสูตรพยาบาลศาสตร์ ช้ันปีที่ 1 ถึงปีที่ 4 ท่ีศึกษาในภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2557 จานวน 586 คน ประกอบด้วย นักศกึ ษาช้ันปี 1 จานวน 120 คน ช้นั ปที ี่ 2 จานวน 75 คน ชั้นปที ี่ 3 จานวน 165 คน ช้นั ปที ่ี 4 จานวน 226 คน และอาจารย์พยาบาล จานวน 38 คน ระยะท่ี 2 การสรา้ งและพฒั นารูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริมทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ของนักศึกษาพยาบาล และทดลองใช้รูปแบบฯ กลุ่มตัวอย่างท่ีใช้ ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง ประกอบดว้ ยคณะผ้วู ิจยั จานวน 4 คน ผูท้ รงคณุ วุฒิด้านการศกึ ษาและการพยาบาล จานวน 3 คน คณะกรรมการ บริหารหลักสูตร จานวน 14 คน อาจารย์ผู้สอน จานวน 16 คน และนักศึกษาพยาบาลศาสตร์ จานวน 75 คน ท่กี าลังศกึ ษาในช้นั ปที ่ี 2 ภาคการศกึ ษาที่ 2 และ ภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557 ระยะท่ี 3 ประเมินประสิทธิผลของรูปแบบฯ กลุ่มตัวอย่างคืออาจารย์ผู้สอน จานวน 16 คน และนักศึกษาพยาบาลศาสตร์จานวน 75 คน ทศ่ี กึ ษาในชั้นปที ่ี 3 ภาคการศกึ ษาที่ 1 ซง่ึ เปน็ นกั ศึกษา กลุ่มที่เลื่อนชั้นมาจากภาคฤดูร้อน ปีการศึกษา 2557 ในระยะท่ี 2 และรับรองรูปแบบการเรียนการสอน ทสี่ ง่ เสรมิ ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 กลุ่มตวั อยา่ งประกอบดว้ ย คณะผวู้ จิ ัย จานวน 4 คน อาจารย์ผสู้ อนและ คณะกรรมการบริหารหลกั สตู ร จานวน 24 คน ผ้ทู รงคณุ วฒุ ิ จานวน 7 คน ตัวแปรท่ศี กึ ษา - ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของนักศกึ ษาพยาบาล - สภาพการจดั การเรยี นการสอน ของวิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนชี ลบุรี - รปู แบบการจดั การเรียนการสอนทสี่ ่งเสริมทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 - ประสทิ ธผิ ลของรปู แบบ ได้แก่ ทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 ของนักศึกษา ความพงึ พอใจของ นักศึกษาต่อรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริมทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 และความคิดเห็นของ อาจารย์ตอ่ รปู แบบการจดั การเรียนการสอนท่ีส่งเสรมิ ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ข้อตกลงเบอื้ งต้น การวิจัยคร้ังน้ีเป็นการศึกษาในบริบทของ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี ข้อมูลท่ีได้จาก อาจารย์และนกั ศกึ ษาในปกี ารศึกษา 2557 2558 และ 2559 นยิ ำมศัพท์ท่ีใช้ในกำรวิจัย สภำพกำรจัดกำรเรียนกำรสอน หมายถึง นโยบาย ยุทธศาสตร์การจัดการเรียนการสอน และ ปัจจัยสนับสนุนการจัดการเรียนการสอนของวิทยาลัย การจัดการเรียนการสอนของผู้สอน ได้แก่ วิธีการ สอน การจดั กิจกรรมและบรรยากาศการเรียนการสอน เพอ่ื ให้เกดิ ทักษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 รปู แบบกำรจดั กำรเรยี นกำรสอนที่สง่ เสริมทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 หมายถึง กรอบเชิงโครงสร้าง การจัดการเรียนการสอนประกอบด้วย แนวคิดหลักการ ปัจจัยสนับสนุน กระบวนการ และการประเมินผล ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นจากการทบทวนวรรณกรรม ศึกษาสภาพปัญหาด้านทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 และสภาพการ จัดการเรียนการสอนของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี โดยนาข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์ แล้วประชุม ร่วมกับอาจารย์และผู้ทรงคุณวุฒิ ในการพัฒนารูปแบบภายใต้หลักการและแนวคิดทักษะศตวรรษที่ 21 การจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และผ่านการประเมินมาตรฐานของรูปแบบโดยรับการ รับรองจากผู้เช่ียวชาญ ซึ่งครอบคลุม ด้านความสอดคล้องระหว่างรูปแบบกับการส่งเสริมนักศึกษาให้เกิด

6 ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ด้านประโยชน์ (Utility standards) ด้านความเป็นไปได้ (Feasibility standard) ดา้ นความเหมาะสม (Propriety standards) และด้านความถูกตอ้ ง (Accuracy standard) ประสิทธิผลของรูปแบบ หมายถึง ผลท่ีเกิดจากการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอน ที่ส่งเสริมทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 โดยประเมินจาก ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษา ความพึงพอใจ ของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนการสอนด้วยรูปแบบท่ีพัฒนาข้ึน และความคิดเห็นของอาจารย์ต่อรูปแบบ การจัดการเรียนการสอนท่สี ง่ เสริมทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ของนักศึกษา ดงั นี้ - ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษาพยาบาล หมายถึง ทักษะ 3Rs x 7Cs โดย 3Rs คือ Reading (อ่านออก) (W)Riting (เขียนได้) และ (A)Rithmetics (คิดเลขเป็น) และ 7Cs คือ ทักษะด้านการ คิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving) ทักษะด้าน การสร้างสรรค์ และนวัตกรรม (Creativity and Innovation) ทักษะด้านความเข้าใจความต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทัศน์ (Cross-cultural Understanding) ทักษะด้านความร่วมมือ การทางานเป็นทีม และภาวะ ผู้นา (Collaboration, Teamwork and Leadership) ทักษะด้านการสื่อสารสารสนเทศ และรู้เท่าทันสื่อ (Communications, Information, and Media Literacy) ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ และเทคโนโลยี สารสนเทศและการส่ือสาร (Computing and ICT Literacy) ทักษะอาชีพ และทักษะการเรียนรู้ (Career and Learning Skills) ซ่ึงวัดโดยแบบสอบถามที่สร้างขึ้นตามกรอบแนวคิดของ Trilling & Fadel (2009) โดยมีรายละเอียดในแตล่ ะด้าน ไดแ้ ก่ - ทกั ษะ 3Rs คือ Reading (อา่ นออก) (W)Rating (เขยี นได)้ และ (A)Rithemetics (คิด เลขเป็น) หมายถึง ความสามารถทางด้านการอ่านภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ได้ถูกต้องตามอักขระ อ่าน แล้วเข้าใจเนื้อหา และตีความเรื่องที่อ่านได้ตรงประเด็น สามารถเขียนได้ดีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยเขียนได้ ถูกต้องตามหลักภาษาไทย ส่ือสารได้ตรงประเด็น สานวนสละสลวย มี ความสามารถทางด้านคณติ ศาสตร์พน้ื ฐานและสามารถประยุกตใ์ ช้หลักทางคณติ ศาสตร์และสถิตใิ น การ พยาบาลได้ - ทกั ษะ 7Cs ประกอบดว้ ยทักษะดา้ นต่างๆ ดงั ต่อไปนี้ - ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและทักษะในการแก้ปัญหา (Critical thinking and Problem solving) หมายถึง ความสามารถในการคิดอย่างเป็นระบบและการคิดเชิงวิเคราะห์ โดย การศึกษาข้อมูล และพิจารณาแยกแยะความน่าเช่ือถือของข้อมูลจากหลักฐานเชิงประจักษ์ ใช้เหตุผล พจิ ารณาไตรต่ รองอย่างรอบคอบ เชื่อมโยงความรู้ทางการพยาบาลและศาสตรท์ ่เี กี่ยวข้อง เพอ่ื หาสาเหตขุ อง ปญั หา แนวทางการแกป้ ัญหา และตัดสนิ ใจหรือคัดสรรวิธีแก้ปัญหาจากผลการวเิ คราะห์ข้อมลู ได้เหมาะสม กบั สถานการณ์ - ทักษะด้านการคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity & Innovation) หมายถึง ความสามารถในการคิดท่ีหลากหลาย นาเสนอความคิดที่แปลกใหม่ แนวทางใหม่ ๆ และการมองปัญหาใน รูปแบบใหม่ เป็นการคิดเชิงสร้างสรรค์ และคิดเชิงบวก เพื่อนาไปสู่การสร้างและใช้องค์ความรู้หรือ นวตั กรรมในการพฒั นางาน - ทกั ษะด้านความเขา้ ใจต่างวัฒนธรรม ต่างกระบวนทศั น์ (Cross-cultural Understanding) หมายถงึ ความสามารถในการแสดงออกถึงความเขา้ ใจในความแตกตา่ งของบุคคล ยอมรับความหลากหลาย ทางวัฒนธรรม แสดงความเห็นที่สะท้อนการให้คุณค่าความเป็นบุคคล สังคมและวัฒนธรรมท่ีหลากหลาย และแสดงออกอยา่ งเหมาะสมต่อปัจเจกบุคคล - ทักษะด้านความร่วมมือ การทางานเป็นทีม และภาวะผู้นา (Collaboration, Teamwork and Leadership) หมายถึง ความสามารถในการปฏสิ มั พันธ์กับผู้อ่ืน การทางานเป็นทีม การ

7 ประสานงานและสร้างเครือข่ายความร่วมมือ แก้ไขความขัดแย้งในทีม และการแสดงภาวะผู้นาเพ่ือนาไปสู่ ความสาเรจ็ ตามเป้าหมาย - ทักษะดา้ นการส่ือสาร การรู้เท่าทนั สารสนเทศ และการรู้เท่าทันส่ือ (Communication, Information & Medial Literacy) หมายถึง ความสามารถในการเข้าถึง วิเคราะห์ คัดกรอง และคัดสรร ข้อมูลข่าวสารจากส่ือหรือแหล่งข้อมูลท่ีหลากหลาย และถ่ายทอดหรือสื่อสารข้อมูลข่าวสารได้อย่าง เหมาะสมทัง้ ภาษาพูดและภาษากาย รวมถงึ ความสามารถในการใช้ส่ือสารสนเทศต่างๆ - ทักษะด้านคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (Computing and ICT literacy) หมายถึง ความสามารถในการใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ต่อพ่วงเพื่อการใช้งาน การใช้ โปรแกรมคอมพิวเตอร์พ้ืนฐานและอินเตอร์เน็ตเพื่อการเรียน การค้นหาข้อมูล การจัดเก็บ การบันทึกข้อมลู การสร้างสื่อส่ิงพิมพ์ สื่อเสียงและสื่ออิเลคทรอนิกส์ รวมถึงการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลและเข้าใจ กฎหมายท่เี กีย่ วข้อง - ทักษะอาชีพและทักษะการเรียนรู้ (Career & learning self - reliance) หมายถึง ความสามารถในการปรับตัวต่อสถานการณ์ต่างๆ ความยืดหยุ่น ความรับผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่ของ ตนเองและสังคม การเป็นแบบอย่างท่ีดี สามารถกาหนดเป้าหมาย และแนวทางในการบรรลุเป้าหมายได้ ดว้ ยตนเอง และมีการเรยี นร้ดู ว้ ยตนเองตลอดชวี ิต - ความพึงพอใจของนักศึกษา หมายถึง ความคิดเห็นของนักศึกษาที่มีต่อการจัดการเรียน การสอนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนท่ีส่งเสริมทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 (EREC IF model) ประกอบด้วย 4 ด้าน ได้แก่ ด้านผู้สอน ด้านกระบวนการเรียนรู้ ด้านผู้เรียน และด้านการสนับสนุนแหล่ง เรยี นรู้ ซ่ึงได้จากการเกบ็ ขอ้ มูลเชงิ ปรมิ าณจากแบบสอบถามและขอ้ มลู เชิงคณุ ภาพจากการสนทนากลุม่ - ความคดิ เห็นของอาจารย์ หมายถงึ การแสดงความรูส้ กึ และการให้ความเหน็ ของอาจารย์ต่อ การใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนท่ีส่งเสริมทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 (EREC IF Model) ในด้านการ พฒั นาทกั ษะศตวรรษที่ 21 ของนกั ศกึ ษา และทักษะการสอนของอาจารย์ กรอบแนวคิดกำรวจิ ัย ผู้วิจัยได้ทาการศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และข้อมูลท่ีเก่ียวข้องมาเป็นกรอบแนวคิดในการวิจัยจาก 2 สว่ น สว่ นที่ 1 จากการทบทวนวรรณกรรมเกีย่ วกับ การจัดการศึกษาพยาบาล ซึ่งประกอบดว้ ยพระราชบัญญัติ การศึกษาแห่งชาติ แผนอุดมศึกษาแหง่ ชาตริ ะยะยาว 15 ปี กรอบมาตรฐานคุณวฒุ ิอุดมศึกษาแห่งชาติ และ มาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาพยาบาลศาสตร์ แผนยุทธศาสตร์พัฒนาการศึกษาสาหรับบุคลากร ด้านสุขภาพในศตวรรษที่ 21 (พ.ศ.2557 - 2561) แนวคิดทฤษฎีเก่ียวกับทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ของ Trilling & Fadel ท่ปี ระกอบดว้ ย 3Rs ไดแ้ ก่ R1- ทักษะการอ่าน R2- การเขียน และ R3- คณติ ศาสตร์ และ 7Cs ได้แก่ C1- ทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา C2- ทักษะการคิดสร้างสรรค์และ นวัตกรรม C3- ทักษะความเข้าใจในความแตกต่างทางวัฒนธรรม C4- ทักษะความร่วมมือ การทางานเป็น ทมี และภาวะผู้นา C5-ทักษะดา้ นการสื่อสาร สารสนเทศและสอ่ื C6- ทกั ษะด้านคอมพวิ เตอรแ์ ละเทคโนโลยี สารสนเทศ และ C7- ทักษะด้านอาชีพและทักษะการเรียนรู้ ส่วนท่ี 2 จากการวิเคราะห์สภาพการจัดการ เรียนการสอนของวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี และประเมินทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ของนักศึกษาทุกช้ันปี รวมถึงข้อมูลท่ีได้จากการสนทนากลุ่มอาจารย์ผู้สอนและนักศึกษา การประชุม ปฏิบัติการพัฒนาอาจารย์ให้มีความเชี่ยวชาญด้านการจัดการเรียนการสอนในศตวรรษท่ี 21 และนามา จัดทารูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริมทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 โดยการประชุมร่วมกับอาจารย์ และผทู้ รงคณุ วฒุ ิ

8 ผู้วิจัยได้บูรณาการแนวคิด หลักการข้างต้นท่ีการจัดการเรียนการสอนเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ซงึ่ เป็นการจดั การศึกษาเชิงรุกการเพ่ือการเปลย่ี นแปลง โดยการเปลี่ยนแปลงสาคัญที่พึงประสงค์คือทักษะแห่ง ศตวรรษที่ 21 และจากสภาพปัญหาในการจัดการเรียนการสอนที่เป็นอยู่ตามท่ีได้ข้อมูลจากอาจารย์และ นักศึกษาพยาบาล แล้วพัฒนาเป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ส่งเสริมทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ซึ่งมี องค์ประกอบ 4 ประการได้แก่ 1) แนวคิดหลักการ 2) กระบวนการ 3) การประเมินผลการเรียนรู้ และ 4) ปัจจัย อื่นๆ ทเ่ี ก่ียวข้อง ดังแสดงในภาพที่ 1 ต่อไปนี้ กำรประเมนิ ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 รปู แบบกำรจดั กำรเรียนกำรสอนท่ี ส่งเสริมทกั ษะศตวรรษที่ 21 ของนักศกึ ษำพยำบำล - แนวคดิ หลกั การ - กระบวนการ กำรศกึ ษำสภำพกำรเรียนกำรสอน - การประเมินผลการเรียนรู้ ของวทิ ยำลัยพยำบำลบรมรำชชนนี - ปจั จยั อน่ื ๆ ทเี่ กี่ยวขอ้ ง ชลบรุ ี - นโยบายการจดั การเรียนการสอน ประสทิ ธผิ ลของรูปแบบกำรจัดกำรเรียนกำร - ยุทธศาสตร์การจดั การเรยี นการ สอนท่ีสง่ เสรมิ ทกั ษะศตวรรษท่ี 21 สอนของอาจารย์ - ทักษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 ของนักศึกษา - สิ่งสนับสนนุ การเรียนรู้ - วธิ ีการจัดกิจกรรมการเรยี นการ พยาบาล - ความพึงพอใจของนักศกึ ษาตอ่ การเรียน สอน ดว้ ยรปู แบบท่พี ฒั นาข้นึ - ความคิดเหน็ ของอาจารยต์ ่อการใช้รปู แบบ ทพี่ ัฒนาขึน้ ภาพท่ี 1: กรอบแนวคดิ การวิจยั

บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรมที่เกย่ี วขอ้ ง การวิจัยและพัฒนานี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนท่ีส่งเสริมทักษะแห่ง ศตวรรษท่ี 21 ของนักศึกษาพยาบาล โดยผู้วิจัยได้ศึกษาตารา เอกสาร และงานวิจัยที่เก่ียวข้อง เพ่ือเป็น แนวทางในการวิจัย โดยจาแนกสาระสาคญั ทเี่ กย่ี วขอ้ งแต่ละด้านดงั นี้ 1. การจดั การเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา 1.1 แนวคดิ หลักการ 1.2 กรอบมาตรฐานคุณวฒุ ิแหง่ ชาติ 2. การจัดการเรยี นการสอนสาขาพยาบาลศาสตร์ 2.1 แนวคิดการจัดการศกึ ษาทางการพยาบาล 2.2 คุณลักษณะบณั ฑิตทพี่ ึงประสงค์ 2.3 มาตรฐานผลการเรียนรู้ 2.4 สมรรถนะพยาบาลวชิ าชีพ 3. ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 3.1 ความเป็นมาและทฤษฎที ่ีเกี่ยวข้องกับทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 3.2 ผลลัพธก์ ารเรยี นรู้ดา้ นทักษะศตวรรษท่ี 21 3.3 ระบบสนบั สนุนการศึกษาของศตวรรษที่ 21 4. การพฒั นารปู แบบการเรยี นสอนในศตวรรษที่ 21 4.1 แนวคิดการพัฒนารูปแบบ 4.2 การพัฒนารปู แบบการเรียนรู้ 4.3 องคประกอบของรปู แบบการเรียนการสอน 4.4 การจัดการเรยี นการสอนในศตวรรษท่ี 21 4.5 ปจั จัยสนบั สนุนการพัฒนารปู แบบการจัดการเรยี นการสอนในศตวรรษที่ 21 5. งานวจิ ยั ที่เกย่ี วข้อง 5.1 งานวจิ ยั เกยี่ วกับทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 5.2 งานวิจัยเกี่ยวกับการจัดการเรยี นการสอน 5.3 งานวจิ ัยเกี่ยวกับการเสริมสรา้ งพลงั อานาจ 1. การจัดการเรียนการสอนในระดับอุดมศกึ ษา 1.1 แนวคิดหลกั การ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับ 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับ 3) พ.ศ. 2553 มาตรา 22 ได้กาหนดหลักการจัดการศึกษา โดยยึดหลักว่า “ผู้เรียนทุกคน มคี วามสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาท่ี ดีต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาอย่างเป็นธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ” ขณะที่ มาตรา 24: กาหนดว่า “กระบวนการจัดการเรียนรู้ ต้องจัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและ

10 ความถนัดของผู้เรียน โดยคานึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพ่ือป้องกันและแก้ไขปัญหา ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จาก ประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทาได้ คิดเป็น ทาเป็น รักการอ่านและเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเน่ือง ผสมผสานสาระความรดู้ ้านต่าง ๆ อย่างได้สดั ส่วนสมดุลกัน... ผู้สอนสามารถจดั บรรยากาศ สภาพแวดล้อม สอ่ื การเรียน และอานวยความสะดวกเพ่ือให้ ผ้เู รียนเกิดการเรยี นรู้และมีความรอบรู้” โดยมีจุดมงุ่ หมายของ การอุดมศึกษา คือ การพัฒนาผู้เรียนให้เป็นผู้ที่มีคุณภาพท่ีมีท้ังความรู้ระดับสูง มีคุณธรรม และเป็นผู้ มีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยพัฒนาการเรียนรู้ทางวิชาการเฉพาะด้าน การพัฒนาทักษะท่ีเกิดจากการ ปฏิบัติจริง การเรียนรู้เก่ียวกับข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชุมชน และสภาพความก้าวหน้าและการเปลี่ยนแปลงใน ระดับสากล (สานกั งานคณะกรรมการการอดุ มศึกษาแห่งชาต,ิ 2553) นอกจากน้ี พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 ยังกลา่ วอีกวา่ ลักษณะผู้เรยี นทพ่ี ึงประสงค์ คือ ผ้เู รียนเปน็ คนดี คนเก่ง และเป็นคนที่มีความสุข (สานกั งานเลขาธิการสภาการศกึ ษา, 2548) มีรายละเอียด ดงั ตอ่ ไปนี้ 1, คนดี คือ คนท่ีดาเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ มีจิตใจท่ีดีงาม มีคุณธรรม จริยธรรม มีคุณลักษณะพึงประสงค์ท้ังด้านจิตใจ พฤติกรรมที่แสดงออก สามารถดารงชีวิตร่วมกับผู้อื่นอย่างมีสันติ โดยลักษณะเฉพาะของผู้เรียนท่ีพึงประสงค์ ที่เป็นคนดีในการจัดการระดับอุดมศึกษานั้น จะต้องมีคุณธรรม จริยธรรม วินัย ความรับผิดชอบและความเป็นผู้นา มีความเป็นประชาธิปไตย ตระหนักในคุณค่าทรัพยากร ศิลปวฒั นธรรมและภูมปิ ัญญาทอ้ งถิน่ 2. คนเก่ง คือ คนที่มีสมรรถภาพสูงในการดาเนินชีวิตโดยมีความสามารถด้านใดด้านหน่ึง หรือรอบด้าน หรือมีความสามารถเฉพาะทาง โดยสามารถพัฒนาตนเองได้เต็มศักยภาพ ทันสมัย ทนั เหตุการณ์ มีความเป็นไทย สามารถคิด และมีทักษะการเรียนรู้ด้วยตัวเอง โดยลักษณะเฉพาะของผู้เรียน ที่พึงประสงค์ ท่ีเป็นคนเก่งในการจัดการระดับอุดมศึกษาน้ันจะต้องมีความรู้ ทักษะ (ด้านวิชาการ วิชาชีพ วิชาชีวิต) และมีความสามารถระดับสากล เรียนรู้ (ใฝ่รู้) ตลอดชีวิต มีสติปัญญา และวิจารณญาณ มีวิธีคิด อย่างเป็นระบบและสามารถแก้ไขปัญหาได้ มีจิตสานึกและภาคภูมิใจในความเป็นไทย สามารถใช้ภูมปิ ัญญา ไทยในการพฒั นาประเทศ มจี ติ สานึกและศักยภาพในการสรา้ งงาน 3. คนทีม่ ีความสขุ คอื คนทม่ี สี ุขภาพดที ง้ั กายและจิต ร่าเรงิ แจม่ ใส รา่ งกายแขง็ แรง จติ ใจ เข้มแข็ง มคี วามรกั ต่อสรรพสง่ิ มคี วามสุขในการเรยี นรู้ การทางาน และการดาเนนิ ชีวิตประจาวนั แนวคิดข้างต้นสอดคล้องกับที่เรณุ มาศ มาอุ่น (2559) กล่าวว่า การจัดการศึกษาใน ระดับอุดมศึกษาที่เป็นการจัดการศึกษาเพ่ือพัฒนากาลังคนท่ีมีความรู้ความสามารถเฉพาะทาง จึงต้องเป็น กระบวนการที่ต้องดาเนินการอย่างเป็นระบบต่อเน่ือง มีบุคคลและหน่วยงานท่ีรับผิดชอบเข้ามามีส่วนร่วม ตาม กรอบ มาตรฐาน คุณ วุฒิ แห่ งช าติ (Thailand Qualification Framework: TQF) ที่ ห มาย ถึง กรอบแนวทางการเช่ือมโยงผลลัพธ์การเรียนรู้ของระดับคุณวุฒิการศึกษาตามเกณฑ์มาตรฐานการเรียนรู้ ในแต่ละระดับและประเภทการศึกษากับระดับการปฏิบัติงานตามมาตรฐานอาชีพ” เพื่อให้เกิดระบบการ พฒั นากาลงั คนระดบั ชาติ ท่ีเปน็ เอกภาพ (สานักงานเลขาธิการสภาการศกึ ษา, 2560) สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (2548) ยังกล่าวอีกว่า การพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ทก่ี าหนดว่าการจดั การเรยี นการสอนนนั้ ผู้สอนควรมีการออกแบบหรือการปรับวิธีการเรยี นการสอนทีไ่ ม่เน้น ทเี่ น้ือหาหรือสาระความรู้เป็นหลัก แต่เป็นการเน้นให้ผ้เู รียนฝึกทักษะของการเรียนรตู้ ่อเน่อื งตลอด ส่งผลให้ ในปัจจุบันนักการศึกษาจึงสนใจท่ีจะจัดการศึกษาเพ่ือเน้นไปยังประเด็นที่ว่า ผู้เรียนเม่ือเรียนแล้วได้รู้อะไร และสามารถทาอะไรได้บ้าง จึงทาให้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการสอนที่เพิ่มความยืดหยุ่นและศักยภาพใน การผสมผสานความรู้เดมิ กับประสบการณ์ในรปู แบบใหม่และแตกต่างกันออกไปจนเกดิ กระบวนการเรียนได้

11 ด้วยตนเอง ถือเป็นการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางหรือการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ซ่ึงหลักการจดั การเรยี นรูท้ ่ผี ูเ้ รียนเปน็ สาคัญ มดี งั นี้ 1. หลักการจัดการเรียนการสอน ท่ีต้องมุ่งประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน ให้ผู้เรียนได้พัฒนา เต็มตามศักยภาพ ให้ผู้เรียนมีทักษะในการแสวงหาความรู้จากแหล่งเรียนรู้ท่ีหลากหลาย ให้ผู้เรียนสามารถ นาวธิ ีการเรยี นรูไ้ ปใชใ้ นชีวิตจรงิ ได้ และทกุ ฝา่ ยตอ้ งมสี ่วนร่วมในทกุ ขนั้ ตอนเพ่ือพัฒนาผเู้ รียน 2. หลักการจัดการเรยี นรู้ทผ่ี เู้ รยี นเปน็ สาคญั 2.1 หลักการมีส่วนร่วม ต้องถือว่าทุกคนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ นบั ต้งั แต่การวางแผน การเตรียมการ การหาข้อมูล การจัดการ การดาเนนิ การ ตลอดจนการประเมนิ ผล 2.2 หลักการประชาธิปไตย การเรียนรู้ในแนวน้ีควรยึดหลักประชาธิปไตยเป็น สาคัญดว้ ย ผสู้ อนต้องเปิดใจกว้าง ให้มองเห็นความสาคัญของผ้เู รยี น ถือว่าผูเ้ รยี นมีความสาคัญท่ีสดุ 2.3 หลักกระบวนการเรียนท่ีมีความสุข ต้องจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเรียนอย่างมี ชีวติ ชีวา มคี วามสขุ สนกุ สนานจากการเรียน ไมเ่ บ่ือหนา่ ยในการเรยี น 2.4 หลกั การเรียนรอู้ ย่างมีความหมาย ทุกกระบวนการรู้จะตอ้ งเน้นใหผ้ ู้เรยี นรูส้ ึก วา่ มีความหมาย มคี ุณคา่ ต่อชีวติ จริง สามารถนาไปใชด้ าเนินชวี ิตไดอ้ ย่างมคี ณุ คา่ 2.5 หลักการสร้างองค์ความรู้เอง ต้องสร้างองค์ความรู้สึกใหม่ให้แก่ผู้เรียนว่า ผู้เรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง ความรู้ต่าง ๆ จะเกิดขึ้นได้โดยทาและปฏิบัติเอง โดยผู้สอน เป็นเพียงผ้อู านวยความสะดวก 1.2 กรอบมาตรฐานคณุ วุฒิแหง่ ชาติ (National Qualification Framework Thailand) ระบบคุณวุฒิเป็นองค์ประกอบสาคัญในการประเมินศักยภาพการเรียนรู้ของบุคคลท่ีเช่ือมโยง คุณวุฒิการศึกษากับการถ่ายโยงประสบการณ์ (สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2560) เมื่อวันที่ 8 มกราคม 2556 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบกรอบมาตรฐานคุณวุฒิแห่งชาติที่ได้จัดทาโดยสานักงาน เลขาธิการสภาการศึกษา ซึ่งกรอบมาตรฐานคุณวุฒิแห่งชาติท่ีได้จัดทาขึ้นเป็นกรอบแกนกลางที่เน้นเฉพาะ องค์ประกอบหลักท่ีประเภทอาชีพหรือสาขางาน สามารถประยุกต์ใช้ได้โดยการนากรอบมาตรฐานคุณวุฒิ แห่งชาติสู่การปฏิบัติน้ันจาเป็นต้องศึกษาบริบทที่เกี่ยวข้องความเช่ือมโยงกับระดับความสามารถท่ีเป็น แกนกลางและการเชื่อมโยงซ่ึงกันและกันในแต่ละระดับองค์ประกอบของขอบเขตและความลึกของความรู้ ทักษะ การประยุกต์ใช้ทักษะ ความรู้และคุณลักษณะของบุคคลเป็นเกณฑ์การกาหนดระดับและการ เชื่อมโยงกบั ผลลพั ธก์ ารเรียนรขู้ องแตล่ ะคณุ วฒุ ิการศกึ ษา โดยมีความสาคญั ดังนี้ 1. ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) เป็นเป้าหมายสาคัญที่ประเทศ ต่าง ๆ ตระหนักถึงในการพัฒนากรอบมาตรฐานคุณวุฒิแห่งชาติ โดยใช้หลักการเทียบโอน และการรับรอง ประสบการณ์การเรียนรู้เดิม (Recognition of Prior Learning: RPL) ซึ่งครอบคลุมทั้งที่เป็นการเรียนรู้ใน ระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย เพื่อให้บคุ คลไดม้ ีโอกาสเพ่ิมพูนความรไู้ ด้อย่างต่อเนื่องและหลากหลาย ตามหลกั การศกึ ษาตลอดชีวิต 2. กรอบมาตรฐานคุณวุฒิแห่งชาติ จะเป็นแม่แบบในการพัฒนาระบบคุณวุฒิของประเทศ ให้มีความสอดคล้องและเช่ือมโยงกันระหว่างระบบคุณวุฒิแต่ละระดับ /ประเภท และเป็นมาตรฐาน ระดับชาติ ในทุกสาขาวิชา โดยมุ่งเน้นผลลัพธ์การเรียนรู้ (Learning Outcomes) เพ่ือสร้างความเช่ือมโยง ตั้งแต่ระดับการศึกษาข้ันพ้ืนฐาน อาชีวศึกษาและอุดมศึกษา โดยยึดเป้าหมายความต้องการด้านคุณภาพ

12 ของ ผู้จบการศึกษาเป็นหลัก และนากรอบมาตรฐานคุณวุฒิแห่งชาติไปใช้พัฒนาการเรียนการสอนให้ได้ มาตรฐาน และสอดคลอ้ งกับความตอ้ งการของตลาดแรงงาน 3. กรอบมาตรฐานคุณวฒุ ิแห่งชาติเป็นกลไกหรือเครื่องมือช่วยในการพัฒนาคุณภาพ และ มาตรฐานการศึกษา ซ่ึงเป็นแนวทางสาคัญในการพัฒนาระบบการศึกษาของประเทศ ให้ก้าวไปสู่ความเป็น สากล สามารถเทยี บเคียงกันได้ในระดับนานาชาติ 4. สร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันในยุคเศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge based Economy) กาลังคนของประเทศในอนาคตต้องเปน็ ผู้มีความรู้ ทกั ษะ และคุณลกั ษณะทีโ่ ดดเด่นกา้ วทนั โลก มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ริเริ่มสร้างสรรค์ผลงานที่มีคุณภาพ เพ่ือการเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการ ของประเทศ เป็นการสร้างโอกาสให้กับประเทศ ในการนาการศึกษามาเป็นเคร่ืองมือในการสร้างความ ได้เปรียบทางการแข่งขัน ทั้งในด้านการสร้างทรัพยากรบุคคลที่เป็นท่ีต้องการของโลก และจะนาไปสู่การ ขยายโอกาสทางการศกึ ษาของประชากรในภมู ภิ าคมากย่ิงข้นึ ดงั นนั้ เพ่อื ใหก้ ารดาเนนิ งานบรรลเุ ปา้ หมาย จะต้องดาเนนิ งานตามวตั ถปุ ระสงค์ ดังน้ี 1. เป็นกลไกสร้างความเช่ือมโยงระหว่างความต้องการกาลังคนท่ีมีคุณภาพของภาค การผลิตและบริการกับระบบคุณวุฒิทางการศึกษาของสถาบันการศึกษาผ่านกระบวนการการศึกษา อบรม ทดสอบ วัดและประเมินผล ทั้งด้านการเรียนรู้และสมรรถนะในการปฏิบัติงานและการเทียบโอน ประสบการณ์และความรู้เดิม (Recognition of Prior Learning – RPL) เพ่ือสะสมหน่วยการเรียนตาม มาตรฐานหลักสูตร ซึ่งจะนามาสู่การยกระดับคุณวุฒิวิชาชีพ และเพิ่มขีดความสามารถ และสมรรถนะใน การปฏิบัติงาน เพื่อเป็นกาลังแรงงานท่ีมีคุณภาพ สอดคล้องกับความต้องการของตลาดแรงงาน และการ พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ อันเป็นการเพ่ิมโอกาสทางการศึกษา (Widening Education Participation) รวมทัง้ การส่งเสรมิ การเรยี นรตู้ ลอดชวี ติ (Lifelong Learning) ของกาลงั แรงงาน 2. สนับสนุนนโยบายการประกันคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา การยกระดับและสร้าง มาตรฐานคุณวฒุ ิการศึกษาใหม้ คี วามเปน็ มาตรฐานและสามารถเทยี บเคยี งกบั นานาชาติ 3. สร้างความเชื่อมโยงระหว่างกรอบมาตรฐานคุณวุฒิแห่งชาติของประเทศไทยกับกรอบ คุณวุฒิที่เป็นสากลในระดับนานาชาติ เพ่ือเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันด้านกาลังคนใน ตลาดแรงงานของประเทศไทย และประเทศตา่ ง ๆ ในภูมิภาค รวมท้ังส่งเสริมตลาดแรงงานให้มีการแข่งขัน สามารถเคล่ือนย้ายกาลังแรงงาน นักเรียน นักศึกษาระหว่างภูมิภาค (Mobility of Manpower and Students) ได้อยา่ งอิสระและคล่องตวั กรอบมาตรฐานคุณวุฒิแห่งชาติ มีโครงสร้าง ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ 1) ระดับและองค์ประกอบ ของระดับคุณวุฒิ 2) กลไกการเชื่อมโยงเติมเต็ม/เทียบเคียง และ 3) ผลลัพธ์การเรียนรู้ตามระดับคุณวุฒิ การศึกษา ซง่ึ มรี ายละเอียด ดงั นี้ ส่วนท่ี 1 ระดับและองค์ประกอบของระดับคุณวุฒิ (Levels) เป็นระดับสมรรถนะหรือ ความสามารถในการปฏิบัติงานตามขอบเขตความรู้ ทักษะการประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะ ที่พึงประสงค์ ซ่ึงเชื่อมโยงกับระดับคุณวุฒิทางการศึกษาตั้งแต่ระดับพ้ืนฐานจนถึงปริญญาเอก แบ่งเป็น

13 4 ส่วน คือ 1) ความรู้ 2) ทักษะ 3) คุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ 4) ผลลัพธ์การเรียนรู้ตามระดับคุณวุฒิ การศึกษาจากการประยุกต์ใช้ความรู้ ทักษะ และคุณลักษณะท่ีพึงประสงค์ โดยมีข้อกาหนดขอบเขตที่ แตกต่างกันต้ังแตร่ ะดับง่ายไปยากจากระดับ 1–9 ซึ่งมีลักษณะเป็นแกนกลาง (Core) ท่ีสามารถประยุกต์ใช้ ไดก้ บั กาลังคนในแต่ละกลุ่มสาขาอาชพี /วชิ าชีพ ส่วนท่ี 2 กลไกการเชื่อมโยงเติมเต็ม/เทียบเคียง เป็นความเช่ือมโยงของผลลัพธก์ ารเรียนรู้ ของผู้ที่สาเร็จการศึกษาจากสถาบันการศึกษา และสมรรถนะในการปฏิบัติงาน ตามความต้องการของภาค การผลิต และบริการกับระดับคุณวุฒิในแต่ละกลุ่มสาขาวิชา/วิชาชีพนั้นมิได้เป็นไปอย่างอัตโนมัติ ต้องมี กลไก/ระบบการเข้าสู่ระดับคุณวุฒิ ที่มีความยืดหยุ่น หลากหลายและสามารถเข้าถึงได้ตลอดเวลา เพ่ือให้ บคุ คลที่มคี ุณวฒุ ิทางการศกึ ษาหรือมที ักษะ ความร้คู วามสามารถ และประสบการณ์ หรือสมรรถนะจากการ ปฏิบัติงานท่สี ามารถเทยี บโอนหรือเติมเต็มเพ่ือให้ได้รับการรบั รอง และยกระดับคณุ วุฒติ ามกรอบมาตรฐาน คุณวฒุ ิแหง่ ชาติ ส่วนท่ี 3 ผลลัพธ์การเรียนรู้ตามระดับคุณวุฒิการศึกษา ทั้งการศึกษาขั้นพื้นฐาน อาชีวศึกษา และอุดมศึกษา ซ่ึงแบ่งเป็น 9 ระดับ ตั้งแต่ มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง ปริญญาตรี ประกาศนียบัตรบัณฑิต ปริญญาโท ประกาศนียบัตรบัณฑิตช้ันสูง และปริญญาเอก ต้องมีความเชื่อมโยง และสามารถเทียบเคียงกับระดับ ความสามารถในการปฏิบัติงานที่เทียบเคียงได้กับระดับคุณวุฒิ 1-9 ซ่ึงสามารถเติมเต็มได้ด้วยการศึกษา อบรม และผ่านการทดสอบวัดและประเมินผล รวมทั้งการสะสมหน่วยการเรียน และการเทียบโอน ประสบการณจ์ ากการทางานในแตล่ ะสาขาวิชา/วชิ าชพี 2. การจัดการเรยี นการสอนสาขาพยาบาลศาสตร์ 2.1 แนวคดิ การจดั การศึกษาทางการพยาบาล สภาการพยาบาลได้ประกาศข้อบังคับสภาการพยาบาลว่าด้วยการให้ความเห็นชอบหลักสูตร การศึกษาวิชาชีพการพยาบาลและการผดุงครรภ์ระดับวิชาชีพ ซึ่งรายละเอียดของหมวด 1 เรื่องหลักสูตร ข้อ 8 ได้กาหนดรายละเอียดไว้ว่า หลักสูตรต้องมีปรัชญาและวัตถุประสงค์โดยมุ่งให้การผลิตบัณฑิตมี ความสัมพันธ์สอดคล้องกับแผนพัฒนาการศึกษาระดับอุดมศึกษาของชาติ ปรัชญาของการอุดมศึกษา ปรัชญาของสถาบันอุดมศึกษา และมาตรฐานวิชาการและวิชาชีพที่เป็นสากล ให้การผลิตบัณฑิต ระดับอุดมศึกษา อยู่บนพ้ืนฐานความเชื่อว่า กาลังคนท่ีมีคุณภาพต้องเป็นบุคคลท่ีมีจิตสานึกของความเป็น พลเมืองดี ท่ีสร้างประโยชน์ต่อสังคมและมีศักยภาพในการพ่ึงพาตนเองบนฐานภูมิปัญญาไทยภายใต้กรอบ ศีลธรรม จรรยาอันดีงาม เพื่อนาพาประเทศสู่การพัฒนาท่ียั่งยืนและทัดเทียมมาตรฐานสากล ทั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพ่ือกากับ ส่งเสริมกระบวนการผลิตบัณฑิต ที่เน้นการพัฒนาผู้เรียน ให้มีลักษณะของความ เปน็ มนุษยท์ ี่สมบูรณ์ สามารถดารงตนอยู่ในสงั คมพหุวฒั นธรรมภายใตก้ ระแสโลกาภวิ ตั น์ที่มกี ารส่ือสารแบบ ไร้พรมแดน มศี ักยภาพในการเรยี นรู้ตลอดชีวติ มคี วามสามารถในการปฏบิ ัตงิ านไดต้ ามกรอบมาตรฐานและ จรรยาบรรณที่กาหนด สามารถสร้างสรรค์งานท่ีเกิดประโยชน์ต่อตนเอง และสังคมทั้งในระดับท้องถ่ินและ

14 สากล (ข้อบังคับสภาการพยาบาลว่าด้วยการให้ความเห็นชอบหลักสูตรการศึกษาวิชาชีพการพยาบาลและ การผดุงครรภ์ระดับวิชาชีพ พ.ศ.2560. ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 134 ตอนพิเศษ 197 ง, 31 กรกฎาคม 2560. หนา้ 40-42) 2.2 คุณลักษณะบณั ฑติ ทพ่ี ึงประสงค์ กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาพยาบาลศาสตร์ ซ่ึงใน ประกาศน้ันได้กาหนด คุณลักษณะบัณฑิตที่พึงประสงค์ ไว้ดังนี้ (ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เร่ือง มาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาพยาบาลศาสตร์ พ.ศ.2560. ราชกิจจานุเบกษา. เล่ม 135 ตอน พเิ ศษ 1 ง, 3 มกราคม 2561. หนา้ 7-13) 1. มีความรอบรู้ในศาสตร์ทางการพยาบาล การผดุงครรภ์และศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง และสามารถ ประยกุ ต์ได้อย่างเหมาะสมในการปฏิบัติการพยาบาล 2. สามารถปฏิบัติการพยาบาลองค์รวม เน้นความปลอดภัยของผู้รับบริการทุก ช่วงชีวิต ทุกภาวะสุขภาพ ทุกระดับของสถานบริการสุขภาพ และในความแตกต่างทางวัฒนธรรม โดยใช้ ศาสตร์และศิลป์ทางการพยาบาล การผดุงครรภ์และศาสตร์ท่ีเก่ียวข้อง ภายใต้กฎหมายและจรรยาบรรณ วชิ าชพี 3. สอื่ สารดว้ ยภาษาไทยและภาษาอังกฤษได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ 4. คิดอย่างเป็นระบบ คิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ ตัดสินใจ และ แก้ปญั หาอย่างสรา้ งสรรค์ 5. มีความรู้และสมรรถนะด้านดิจิทัลในการศึกษาค้นคว้า การปฏิบัติงาน การส่ือสาร และการทางานรว่ มกับผู้อ่ืน 6. สามารถใช้กระบวนการวิจัยและกระบวนการสร้างนวัตกรรมในการแก้ไข ปัญหาทางการพยาบาล และทางสุขภาพ 7. แสดงภาวะผู้นาและสามารถบริหารจัดการในการทางานร่วมกับทีมสุขภาพ สหวชิ าชีพ และผูเ้ กีย่ วข้อง และมีความเอ้ืออาทร 8. มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม เคารพในศักดศิ์ รขี องความเปน็ มนุษย์ มีความรบั ผิดชอบ 9. สามารถเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง และสนใจใฝร่ ใู้ นการพัฒนาตนเองอยา่ งต่อเนอ่ื ง 10. สามารถใช้การวิเคราะหเ์ ชงิ ตวั เลข และใชส้ ถิติอย่างเหมาะสมในวชิ าชพี 11. แสดงออกถึงการมีทัศนคติท่ีดีต่อวิชาชีพการพยาบาล ตระหนักในคุณค่า วิชาชพี และสทิ ธิของพยาบาล 12. เป็นพลเมืองดีในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ตลอดจนเปน็ พลเมืองดีของชาติ ภมู ิภาค และประชาคมโลก

15 13. มีสมรรถนะทางวัฒนธรรม สามารถปฏิบัติงานในสภาพการณ์ของความ แตกต่างทางวฒั นธรรม 2.3 มาตรฐานผลการเรยี นรู้ มาตรฐานผลการเรียนรู้ของสาขาพยาบาลศาสตร์ กาหนดมาตรฐานผลการเรียนรู้ 6 ด้าน ที่สอดคล้องกับกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติและคุณลักษณะบัณฑิตที่พึงประสงค์ของ สาขาพยาบาลศาสตร์ทีก่ าหนด ไวด้ ังน้ี 2.3.1 ดา้ นคุณธรรม จริยธรรม 2.3.1.1 มีความซอ่ื สตั ย์ มวี ินยั ตรงต่อเวลา 2.3.1.2 มีความผิดชอบตอ่ ตนเองและสงั คม 2.3.1.3 สามารถใชด้ ุลยพนิ จิ ในการจัดการประเด็นหรอื ปัญหาทางจริยธรรม 2.3.1.4 แสดงออกถึงการเคารพสิทธิ คุณค่าความแตกต่างและศักดิ์ศรีของความ เป็นมนษุ ย์ของผู้อนื่ และตนเอง 2.3.1.5 แสดงออกถงึ การมจี ิตสาธารณะ คานึงถงึ ส่วนรวมและสงั คม 2.3.1.6 แสดงออกถึงการมีทัศนคติที่ดีต่อวิชาชีพการพยาบาล ตระหนักในคุณค่า วชิ าชพี และสิทธขิ องพยาบาล 2.3.2 ดา้ นความรู้ 2.3.2.1 มีความรอบรู้และความเขา้ ใจในสาระสาคัญของศาสตร์ท่ีเป็นพน้ื ฐานชีวิต ทั้งด้านสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์สุขภาพ รวมถึงศาสตร์อ่ืน ท่ีส่งเสรมิ ทกั ษะศตวรรษ 21 ตลอดถึงความเป็นมนุษยท์ ส่ี มบรู ณ์ 2.3.2.2 มีความรู้และความเข้าใจในสาระสาคัญของศาสตร์ทางวิชาชีพการ พยาบาลและการผดุงครรภ์ อย่างกว้างขวางและเป็นระบบ 2.3.2.3 มีความรู้และความเข้าใจในระบบสุขภาพของประเทศ และปัจจัยที่มีผล ต่อระบบสขุ ภาพ 2.3.2.4 มีความรู้และตระหนักในงานวิจัยทางการพยาบาลที่เป็นปัจจุบัน และ สามารถนาผลการวจิ ยั มาใช้ในการปฏบิ ตั ิทางการพยาบาล 2.3.2.5 มคี วามรู้และความเขา้ ใจในการบริหารและการจดั การทางการพยาบาล 2.3.2.6 มีความรู้และความเข้าใจกฎหมายวิชาชีพและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง หลักจรยิ ธรรม จรรยาบรรณวิชาชพี และสิทธิผู้ปว่ ย 2.3.2.7 มีความรู้ความเข้าใจ และเลือกใช้เทคโนโลยีดิจิทัลได้เหมาะสมกับ ประเภทการใช้งาน การสื่อสาร และผรู้ ับสาร

16 2.3.3 ดา้ นทักษะทางปัญญา 2.3.3.1 สามารถสบื ค้นขอ้ มูลจากแหล่งข้อมลู ที่หลากหลาย วิเคราะหแ์ ละเลือกใช้ ขอ้ มูลในการอา้ งองิ เพอ่ื พฒั นาความรแู้ ละแก้ไขปัญหาอย่างสรา้ งสรรค์ 2.3.3.2 สามารถคิดอย่างเป็นระบบ คิดสร้างสรรค์ คิดอย่างมีวิจารณญาณ เพือ่ หาแนวทางใหม่ในการแก้ไขปัญหาการปฏบิ ตั ิงาน และบอกถึงผลกระทบจากการแก้ไขปญั หาได้ 2.3.3.3 สามารถใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทางการวิจัย และนวัตกรรม ในการแก้ไขปญั หา และการศึกษาปญั หาทางสุขภาพ 2.3.4 ดา้ นความสัมพันธร์ ะหว่างบุคคลและความรบั ผิดชอบ 2.3.4.1 มปี ฏสิ มั พันธ์อยา่ งสร้างสรรค์กับผู้รับบริการ ผู้ร่วมงาน และผู้ทเี่ กยี่ วขอ้ ง 2.3.4.2 สามารถทางานเป็นทีมในบทบาทผู้นาและสมาชิกทีม ในบริบทหรือ สถานการณ์ท่หี ลากหลาย 2.3.4.3 สามารถแสดงความคิดเห็นของตนเองอย่างเป็นเหตุเป็นผลและเคารพใน ความคดิ เหน็ ของผู้อน่ื 2.3.4.4 แสดงออกถึงการมสี ว่ นรว่ มในการพัฒนาวชิ าชพี และสังคมอยา่ งต่อเน่ือง 2.3.5 ดา้ นทกั ษะการวเิ คราะห์เชิงตัวเลข การสอื่ สาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ 2.3.5.1 สามารถประยุกต์ใช้หลักทางคณิตศาสตรแ์ ละสถิตใิ นการปฏบิ ตั ิงาน 2.3.5.2 สามารถสอ่ื สารด้วยภาษาไทยและภาษาองั กฤษได้อยา่ งมปี ระสิทธิภาพ 2.3.5.3 สามารถใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศไดอ้ ย่างมปี ระสทิ ธภิ าพและมจี รยิ ธรรม 2.3.5.4 สามารถสื่อสารเพอ่ื ใหผ้ ู้รบั บรกิ ารได้รบั บรกิ ารสุขภาพอย่างปลอดภัย 2.3.6 ทกั ษะการปฏบิ ตั ิทางวิชาชพี 2.3.6.1 สามารถปฏิบัติการพยาบาลและการผดุงครรภ์อย่างเป็นองค์รวมเพ่ือ ความปลอดภยั ของผรู้ ับบริการ ภายใต้หลักฐานเชิงประจักษ์ กฎหมาย และจรรยาบรรณวชิ าชพี 2.3.6.2 สามารถใช้กระบวนการพยาบาล ในการปฏิบัติการพยาบาลและการ ผดงุ ครรภ์ 2.3.6.3 ปฏิบัติการพยาบาลและการผดุงครรภ์ด้วยความเมตตา กรุณา และ เอ้ืออาทร โดยคานึงถึงสทิ ธิผูป้ ว่ ยและความหลากหลายทางวัฒนธรรม 2.3.6.4 สามารถปฏิบัติทักษะการพยาบาลได้ท้ังในสถานการณ์จาลองและใน สถานการณจ์ รงิ 2.4 สมรรถนะพยาบาลวิชาชพี การจัดการศึกษาพยาบาลนอกจากต้องจัดให้สอดคล้องกบั กรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาพยาบาลศาสตร์ ครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรู้ท้ัง 6 ด้านดังกล่าวข้างต้นแล้ว ยังต้องให้ผู้สาเร็จ

17 การศึกษาพยาบาลมีสมรรถนะของพยาบาลวิชาชีพเป็นไปตามที่สภาการพยาบาลกาหนดด้วย ท้ังน้ีสภา การพยาบาลไดกาหนดให้ผู้ที่จบการศึกษาต้องขอข้ึนทะเบียน และรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพตาม ข้อบังคับของพระราชบัญญัติวิชาชีพการพยาบาลและผดุงครรภ พ .ศ.2528 และแก้ไขเพิ่มเติมโดย พระราชบัญญัติวิชาชพี การพยาบาลและผดุงครรภ (ฉบับที่ 2) พ .ศ.2540 เร่ืองสมรรถนะหลักท่ีจาเป็นของ ผู้ประกอบวิชาชีพพยาบาลและ การผดุงครรภเพื่อทาให้การบริการของผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและ การผดุงครรภเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีศักยภาพในการพัฒนาตนเองและพัฒนางานอย่างต่อเน่ือง ซึ่งเดิมสภาการพยาบาลได้กาหนดสมรรถนะหลักของผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและผดุงครรภ์ชั้นหนึ่ง ไว้ 14 สมรรถนะ ดังน้ี สมรรถนะท่ี 1 การปฏิบัติการพยาบาลอย่างมีจริยธรรม ตามมาตรฐาน และกฎหมาย วิชาชีพการพยาบาล และการผดงุ ครรภ์ และกฎหมายอื่นทีเ่ กยี่ วขอ้ ง สมรรถนะที่ 2 ปฏิบัติการผดุงครรภ์อย่างมีจริยธรรม ตามมาตรฐาน และกฎหมายวิชาชีพ การพยาบาลและการผดุงครรภ์ และกฎหมายอ่ืนที่เกีย่ วข้อง สมรรถนะท่ี 3 ส่งเสริมสุขภาพบุคคล กลุ่มคน และชุมชน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ สามารถ ดแู ลสขุ ภาพตนเองไดใ้ นภาวะปกติ และภาวะเจ็บป่วย และลดภาวะเส่ยี งการเกดิ โรค และเกิดความเจ็บปว่ ย สมรรถนะท่ี 4 ป้องกันโรคและเสริมภูมิคุ้มกันโรคเพ่ือลดความเจ็บป่วยจากโรคที่สามารถ ป้องกนั ได้ สมรรถนะท่ี 5 ฟ้ืนฟูสภาพบุคคล กลุ่มคน และชุมชนทั้งด้านร่างกาย จิตสังคม เพ่ือให้ สามารถดาเนินชวี ิตได้ สมรรถนะท่ี 6 รักษาโรคเบือ้ งตน้ ตามข้อบังคบั ของสภาการพยาบาล สมรรถนะท่ี 7 สอนและให้การปรึกษาบุคคล ครอบครัว กลุ่มคน และชุมชน เพื่อการมี ภาวะสขุ ภาพที่ดี สมรรถนะท่ี 8 ติดต่อสื่อสารกับบุคคล ครอบครัว กลุ่มคน และชุมชนได้อย่างมี ประสทิ ธภิ าพ สมรรถนะที่ 9 แสดงภาวะผูน้ าและการบรหิ ารจัดการตนเอง และงานที่รับผิดชอบได้อย่าง เหมาะสม สมรรถนะที่ 10 ปฏิบัติการพยาบาลและการผดุงครรภ์ตามจรรยาบรรณวิชาชีพโดย คานึงถงึ สิทธมิ นษุ ยชน สมรรถนะท่ี 11 ตระหนักในความสาคัญของการวิจัยต่อการพัฒนาการพยาบาล และ สขุ ภาพ สมรรถนะท่ี 12 ใช้เทคโนโลยสี ารสนเทศ เพื่อสนับสนุนการปฏบิ ตั กิ ารพยาบาล สมรรถนะที่ 13 พัฒนาตนเองอย่างต่อเน่ือง เพ่ือสร้างคุณค่าในตนเอง และสมรรถนะใน การปฏิบัตกิ ารพยาบาล สมรรถนะที่ 14 พฒั นาวิชาชพี ใหม้ คี วามเจรญิ กา้ วหนา้ และมีศักดศิ์ รี

18 ตอ่ มาในปีพ.ศ. 2552 สภาการพยาบาลไดประกาศสมรรถนะพยาบาลวิชาชพี ข้นึ ใหม่โดยมกี ารปรับ และบูรณาการเปน็ 8 สมรรถนะหลักดังนี้ (สภาการพยาบาล, 2553) สมรรถนะท่ี 1 สมรรถนะด้าน จริยธรรม จรรยาบรรณและกฎหมาย สมรรถนะที่ 2 สมรรถนะ ดา้ นการปฏบิ ัตกิ ารพยาบาลและการผดงุ ครรภ สมรรถนะที่ 3 สมรรถนะดา้ นคุณลักษณะเชงิ วิชาชพี สมรรถนะท่ี 4 สมรรถนะดา้ นภาวะผู้นา การจัดการ และการพัฒนาคุณภาพ สมรรถนะที่ 5 สมรรถนะด้านวชิ าการ และการวิจัย สมรรถนะท่ี 6 สมรรถนะด้านการส่ือสารและสัมพันธภาพ สมรรถนะท่ี 7 สมรรถนะด้านเทคโนโลยีและสารสนเทศ สมรรถนะที่ 8 สมรรถนะด้านสังคม 3. ทกั ษะแหง่ ศตวรรษที่ 21 3.1 ความเป็นมาและทฤษฎีทเี่ กี่ยวขอ้ งกบั ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 “ทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21” เป็นคาท่ีเกิดจากการพัฒนากรอบแนวคิดการเรียนรู้ในศตวรรษ ที่ 21 (21st Century Learning Framework) ของนักวิชาการในองค์กรต่าง ๆ ในสหรัฐอเมริกาที่มา รวมตัวกัน แนวคิดน้ีได้เผยแพร่และต่อยอดโดยนักการศึกษาและผู้ทรงคุณวุฒิจานวนมากท้ังไทยและ ต่างประเทศ ซงึ่ สาระหลกั ของทกั ษะทกี่ ลา่ วถึงคล้ายคลึงกัน แนวคดิ ทส่ี าคัญมดี ังตอ่ ไปน้ี กลุ่มเมทิรี (METIRI Group) (Burkhardt & Monsour, 2003) ประเทศสหรัฐอเมริกา เสนอกรอบ แนวคิดของการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ 21 ในปีค.ศ. 2003 หลังจากการศกึ ษาวจิ ัยเป็นเวลา 2 ปี โดยใช้ช่ือว่า “enGauge 21st Century Skills” ซ่ึงเป็นทักษะที่จาเป็นสาหรับผูเ้ รยี น ประชาชนทั่วไป และคนทางานใน ยุคเทคโนโลยสี ารสนเทศ และจดั กลมุ่ ทักษะเป็น 4 กลมุ่ ได้แก่ 1) ความรู้ความสามารถในยุคดิจิทัล (Digital- Age Literacy) ซ่ึงรวมต้ังแต่ความรู้ ความสามารถพื้นฐานด้านภาษา โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ และความสามารถด้านคณิตศาสตร์ซึ่งจาเป็น สาหรับการทางานและการเรียนรู้ ความรู้ความสามารถเชิงวิทยาศาสตร์ซ่ึงเป็นพื้นฐานสาคัญสาห รับ กระบวนการคิดและตัดสินใจ อันส่งผลต่อการอยู่ร่วมกันของบุคคลในสังคม ความรู้ความสามารถ เชิงเศรษฐศาสตร์ ซ่ึงทาให้เข้าใจสภาพปัญหาด้านเศรษฐกิจ ความคุ้มค่าคุ้มทุน และการเปลี่ยนแปลง นโยบายสาธารณท่ีเก่ียวข้อง ความรู้ความสามารถด้านเทคโนโลยี ข้อมูลสารสนเทศและส่ือเพื่อการสื่อสาร การใช้ข้อมูลและการใช้เทคโนโลยีให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ความรู้ความสามารถทาง พหุวัฒนธรรม และจิตตระหนักต่อโลก (Global awareness) ซ่ึงเป็นความเข้าใจต่อความเช่ือมโยงและ ปฏิสัมพันธต์ งั้ แต่ระดับบคุ คล สงั คม ชาติ และนานาชาติ 2) การคิดเชิงนวัตกรรมและสร้างสรรค์ (Inventive Thinking) เป็นความสามารถในการ ชี้นาตนเอง โดยต้ังเป้าหมาย วางแผน และใช้ความพยายามเพ่ือจัดการให้บรรลุเป้าหมายได้ โดยสามารถ ปรับความคิด ทัศนคติ หรือพฤติกรรมต่อสถานการณ์ปัจจุบันและอนาคต เพื่อผลท่ีดีกว่า สามารถจัดการ

19 ความซับซ้อน เช่น การทางานหลาย ๆ อย่างให้สาเร็จได้ในเวลาเดียวกัน การทางานภายใต้ทรัพยากร ที่จากัด มีความคิดสร้างสรรค์ สนใจใฝ่รู้ กล้าเส่ียงเพื่อการเรียนรู้ ไม่กลัวต่อการผิดพลาด รวมถึงการคิด ระดับสงู และการใชเ้ หตุผล 3) การส่ือสารอย่างมีประสิทธิภาพ (Effective Communication) เป็นทักษะสาคัญที่จะ นาไปสู่ความสาเร็จในยุคสังคมฐานความรู้ (knowledge-based society) ซ่ึงรวมถึงความสามารถในการ ทางานเป็นทีม การมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ความรับผิดชอบต่อตนเอง ต่อสังคม ความรับผิดชอบในฐานะ พลเมือง การสื่อสารและการโต้ตอบ 4) การเพิ่มผลผลิตในระดับสูง (High Productivity) เป็นทักษะสาคัญท่ีสัมพันธ์กับความสาเร็จ ในชีวิตการทางาน แม้ว่าในปัจจุบันไม่ใช่ทักษะท่ีทางโรงเรียนให้ความสนใจมากนัก ทักษะนี้ประกอบด้วย ความสามารถในการจัดลาดับความสาคัญ วางแผน และจัดการเพื่อมุ่งผลสัมฤทธิ์ การใช้เครื่องมือจริงอย่าง มีประสิทธิภาพ ท้ัง ตัวอุปกรณ์ โปรแกรม เครือข่าย (hardware, software, networking) และ อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศโดยการส่ือสาร ร่วมมือ และแก้ปัญหา เพื่อเพ่ิมผลผลิต ของงานในศตวรรษที่ 21 และการสร้างผลผลิตทมี คี ุณภาพสงู ในศตวรรษที่ 21 ทักษะพิเศษเป็นทักษะท่ีจาเป็นสาหรับผู้เชี่ยวชาญท่ัวโลก ระบบการศึกษาควรมี การเปล่ียนแปลงวิธีการเพื่อที่จะเตรียมผู้เรียนท่ีสาเร็จการศึกษาให้พร้อมเพ่ือตอบสนองความต้องการของ สังคมปัจจุบันและพร้อมที่จะให้ความรู้ในวิชาชีพ วิธีการสอนแบบดั้งเดิมในมหาวิทยาลัยในศตวรรษท่ี 20 กาลังกลายเป็นสาเหตุของปัญหาที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งควรได้รับการพัฒนาอย่างเร่งด่วน ให้ผู้เรียนได้รับ การสอนในรูปแบบใหม่ ในรูปแบบที่ทันสมัย ตัวอย่างเช่น การศึกษาในระดับที่สูงในอเมริกาที่มีการใช้ หลักสูตรเดิมจะก่อให้เกิดความตึงเครียดและความขัดแย้ง จึงจาเป็นสาหรับการปฏิรูปหลักสูตรขึ้น (Altbach, Gumport, และ Berdahl, 2011) ในขณะท่ี Deniel Bell (อ้างใน Altbach, Gumport, และ Berdahl, 2011, p. 414) แย้งว่าหลักสูตรแบบเดิมเป็นเรื่องที่ค้มุ ค่าในการเรียนการสอนในวิทยาลัย ซ่ึงเน้น การสอนโหมดของแนวคิด การอธบิ ายและการตรวจสอบความรตู้ ามการการสอนอย่างเปน็ ระบบ Germaine, และคณะ (2016) อธิบายถึงบริบทและความหมายของทักษะในศตวรรษท่ี 21 และ อธิบายว่า แต่ละทักษะสามารถรวมเขา้ กับการสอนแบบปกติ การศกึ ษาในศตวรรษที่ 21 อาจารย์จะมองหา วธิ ีทีจ่ ะใช้ความคิดอย่างรอบคอบ และกระตุ้นให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ที่สาคัญมากขนึ้ มีการสื่อสารที่ดีขึ้น มีการทางานร่วมกัน และเกิดความคิดสร้างสรรค์ ตลอดจนคุณภาพของประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการสอนการคิดเชิงวิพากษ์ (Critical Thinking) การทางานร่วมกัน การสื่อสาร และ ความคดิ สรา้ งสรรค์ The Partnership for 21st Century Skills (2015) ได้พัฒนากรอบแนวคิดของการเรียนรู้ใน ศตวรรษท่ี 21 ที่เกิดข้ึนจากความเชื่อที่ว่าผู้เรียนต้องเรียนรทู้ ักษะที่จาเป็นเพื่อให้ประสบความสาเร็จในการ ดาเนินชีวิตในโลกยุคปัจจุบันเป็นกรอบแนวคิดในการจัดการเรียนรู้แห่งศตวรรษท่ี 21 ท่ีแสดงผลลัพธ์ของ ผเู้ รียนและปจั จัยส่งเสริม สนับสนุนในการจัดการเรยี นร้เู พื่อรองรบั ศตวรรษที่ 21 โดยเครือข่ายองค์กรความ รวมมือเพื่อทักษะการเรียนรูในศตวรรษท่ี 21 (Partnership for 21st Century Skills) หรือมีช่ือย่อว่า

20 เครือขา่ ย P21 ซ่ึงสอดคล้องกับแนวคิดของ วิจารณ์ พานิช (2555) ท่ีกล่าวว่าสาระวิชามีความสาคัญ แต่ไม่ เพียงพอสาหรับการเรียนรู้ เพ่ือมีชีวิตในโลกยุคศตวรรษที่ 21 ปัจจุบันการเรียนรู้สาระวิชา (content หรือ subject matter) ควรเป็นการเรียนจากการค้นคว้าเองของผู้เรียน โดยครูช่วยแนะนาและช่วยออกแบบ กิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนแต่ละคนสามารถประเมินความก้าวหน้าของการเรียนรู้ของตนเองได้ เพ่ือให้เกิด ทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ซง่ึ เปน็ ทกั ษะเพอ่ื การดารงชีวิตในศตวรรษท่ี 21 กรอบความคิดรวบยอดของเครือข่าย P21 ประกอบดว้ ย 2 ส่วน ส่วนท่ี 1 คือด้านผลลัพธ์ที่เกิดกับ ผเู้ รียน (Student Outcomes) ประกอบดว้ ยวชิ าแกน ที่มกี ารบูรณาการเน้อื หาเชิงสหวทิ ยาการ และทกั ษะ ด้านต่าง ๆ ได้แก่ ทกั ษะดา้ นการเรียนรู้และนวัตกรรม ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี ทักษะชีวิต และการงานอาชีพ ส่วนท่ี 2 ระบบสนับสนุนการศึกษาของศตวรรษที่ 21 เป็นปัจจัยสนับสนุนที่จะทาให้ ผเู้ รียนเกิดประสิทธิภาพสงู สดุ ทางการเรยี นรู้ในศตวรรษท่ี 21 (The Partnership for 21st Century Skills, 2011) ดงั ภาพท่ี 2 ภาพที่ 2: ตวั แบบประกายรุ้ง ทม่ี า: P21 Partnership. P21's Framework for 21st Century Learning 2015. Available from: http://www.p21.org/storage/documents/docs/P21_Framework_Definitions_New_ Logo_2015.pdf. 3.2 ผลลพั ธ์การเรยี นรดู้ า้ นทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 กรอบแนวคิดของ กลุ่ม P21 ตัวแบบประกายรุ้ง ผลลัพธ์ที่เกิดกับผู้เรียนเริ่มจากทักษะการเรียนรู้ สาระหลักด้านการอ่าน การเขียน คณิตศาสตร์ และศาสตร์ท่ีจาเป็นสาหรับศตวรรษที่ 21 ทักษะการเรียนรู้ และนวัตกรรม ทักษะชีวิตและงานอาชีพ และทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี ดังรายละเอียด ตอ่ ไปน้ี

21 3.2.1 พื้นฐานการเรียนรู้สาระวิชาหลัก ตามแนวคิดของ Partnership for 21st Century Skills (2011) การรอบรู้สาระวิชามีความสาคัญและสิ่งท่ีจาเป็นอย่างย่ิงต่อความสาเร็จของผู้เรียน สาระวิชาหลัก ได้แก่ การอ่าน การเขียนภาษาอังกฤษ ภาษาของโลก ศิลปะ คณิตศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ การปกครองและความเปน็ พลเมอื งทด่ี ี แต่ไมเ่ พียงพอสาหรบั การเรยี นรูเ้ พื่อมีชวี ิต ในโลกยุคศตวรรษที่ 21 ต้องส่งเสริมความเข้าใจเนื้อหาวิชาการให้อยู่ในระดับสูงด้วยการสอดแทรกทักษะ เพือ่ การดารงชวี ติ ในศตวรรษที่ 21 (ศศิธร บัวทอง, 2560) ซง่ึ ประกอบดว้ ย 1) ความรเู้ กีย่ วกับโลก (Global Awareness) 2) ความรู้เก่ียวกับการเงิน เศรษฐศาสตร์ ธุรกิจ และการเป็นผู้ประกอบการ (Financial, Economics, Business and Entrepreneurial Literacy) 3) ความรู้ด้านการเป็นพลเมืองท่ดี ี (Civic Literacy) 4) ความรู้ด้านสุขภาพ (Health Literacy) 5) ความรดู้ ้านส่ิงแวดล้อม (Environmental Literacy) 3.2.2 ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม เปน็ ตัวกาหนดความพร้อมของผู้เรียนเข้าสู่โลกการทางานท่ีมี ความซับซ้อนมากข้ึนในปัจจุบัน (Partnership for 21st Century Skills, 2011; ศศิธร บัวทอง, 2560) ได้แก่ 1) ความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์และนวัตกรรม 2) การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา 3) การ ส่อื สารและการรว่ มมอื (Partnership for 21st Century Skills, 2011; ศศิธร บวั ทอง, 2560) สานักงานบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย สานักงานคณะกรรมการการศึกษาตอนปลาย (2558) อธิบายว่า คนในยุคศตวรรษท่ี 21 จึงต้องมีทักษะสูงในการเรียนรู้และปรับตัว การสร้างทักษะการ เรียนรู้และนวัตกรรม สร้างผลงานท่ีเกี่ยวกับการพัฒนาคุณภาพชีวิตท่ีเรียกว่าความคิดเชิงสร้างสรรค์ นาทฤษฎีความรู้มาสร้างกระบวนการและวิธีการผลิต สร้างผลงานใหม่ท่ีเป็นประโยชน์ต่อบุคคล และสังคม ทเี่ รยี กวา่ พัฒนานวัตกรรม ท่ปี ระกอบด้วย 1) การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving) เป็นการสร้างทักษะการคิดในแบบต่าง ๆ ดังน้ี 1.1) แบบเป็นเหตุเป็นผล ทั้งแบบอุปนัย (inductive) และแบบอนุมาน (deductive) 1.2) แบบใช้การคิดกระบวนการระบบ (systems thinking) โดยวิเคราะห์ปัจจัย ย่อยมีปฏสิ มั พนั ธก์ ันอย่างไร จนเกิดผลในภาพรวม 1.3) แบบใช้วจิ ารณญาณและการตัดสินใจ ท่ีสามารถวิเคราะห์และประเมินขอ้ มูล หลักฐาน การโต้แย้ง การกล่าวอ้างอิง และความน่าเช่ือถือ วิเคราะห์เปรียบเทียบและประเมินความเห็น ประเด็นหลัก ๆ สังเคราะห์และเช่ือมโยงระหว่างสารสนเทศกับข้อโต้แย้ง แปลความหมายของสารสนเทศ และสรุปบนฐานของการวิเคราะห์ และตคี วามและทบทวนอย่างจรงิ จังในดา้ นความรู้ และกระบวนการ และ

22 1.4) แบบแก้ปัญหา ในรูปแบบการฝึกแก้ปัญหาที่ไม่คุ้นเคยหลากหลายใน แนวทางท่ียอมรับกันท่ัวไป และแนวทางที่แตกต่างจากการยอมรับ รูปแบบการตั้งคาถามสาคัญที่ช่วยทา ความกระจา่ งในมมุ มองตา่ ง ๆ เพ่ือนาไปสูท่ างออกท่ดี ีกวา่ 2) การสื่อสารและความร่วมมือ (Communication and Collaboration) คือ ความ เจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิตอล และเทคโนโลยีการส่ือสาร (digital and communication technology) ทาให้โลกศตวรรษท่ี 21 ต้องการทักษะของการสื่อสารและความร่วมมือที่กว้างขวางและ ลกึ ซ้ึง ดงั นี้ 2.1) ทักษะในการสื่อสารอย่างชัดเจน ตั้งแต่การเรียบเรียงความคิดและมุมมอง (idea) ส่ือสารเข้าใจง่าย ในหลายแบบ ท้ังการพูด เขียน และกิริยาท่าทาง การฟังอย่างมีประสิทธิภาพ นาไปถ่ายทอดส่ือสาร ความหมายและความรู้ แสดงคุณค่า ทัศนคติ และความต้ังใจ การสื่อสารเพื่อการ บรรลุเป้าหมายการทางาน การสื่อสารด้วยหลากหลายภาษาและสภาพแวดล้อมทหี่ ลากหลายอยา่ งไดผ้ ล 2.2) ทักษะความร่วมมือกับผู้อ่ืน ต้ังแต่การทางานให้ได้ผลราบรื่นที่เคารพและ ให้เกียรติผู้ร่วมงาน มีความยืดหยุ่นและช่วยเหลือประนีประนอมเพ่ือการบรรลุเป้าหมายร่วมกัน มีความ รับผิดชอบรว่ มกับผูร้ ่วมงาน และเหน็ คณุ ค่าของบทบาทของผู้ร่วมงาน 3) ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and Innovation) ทักษะทางด้านน้ี เป็นเร่ืองของการจินตนาการมาสร้างขน้ั ตอนกระบวนการโดยอ้างอิงจากทฤษฎีความรู้เพื่อนาไปสู่การค้นพบ ใหม่เกิดเป็นนวัตกรรมท่ีใช้ตอบสนองความต้องการในการดารงชีวิตท่ีลงตัว และนาไปสู่การเป็นผู้ผลิตและ ผปู้ ระกอบการตอ่ ไป ทักษะด้านน้ี ได้แก่ 3.1) การคิดอย่างสร้างสรรค์ ที่ใช้เทคนิคสร้างมุมมองอย่างหลากหลาย มีการ สรา้ งมุมมองที่แปลกใหม่อาจเปน็ การปรบั ปรงุ พฒั นาเพียงเลก็ น้อย หรอื ทาใหม่ทีแ่ หวกแนวโดยส้นิ เชิง ทเ่ี ปิด กว้างในความคิดเห็นที่ร่วมกันสร้างความเข้าใจ ปรับปรุง วิเคราะห์ และประเมินมุมมอง เพื่อพัฒนาความ เขา้ ใจเกย่ี วกบั ความคดิ อย่างสร้างสรรค์ 3.2) การทางานร่วมกับผู้อ่ืนอย่างสร้างสรรค์ ในการพัฒนา ลงมือปฏิบัติ และ ส่ือสารมุมมองใหม่กับผู้อ่ืนอยู่เสมอ มีการเปิดใจและตอบสนองมุมมองใหม่ ๆ รับฟังข้อคิดเห็น และร่วม ประเมินผลงานจากกลุ่มคณะทางาน เพ่ือนาไปปรับปรุงพัฒนา มีการทางานด้วยแนวคิดหรือวิธีการใหม่ ๆ และเข้าใจข้อจากัดของโลกในการยอมรบั มุมมองใหม่ และใหม้ องความลม้ เหลวเป็นโอกาสการเรยี นรู้ 3.3) การประยุกต์สู่นวัตกรรม ที่มีการลงมือปฏิบัติตามความคิดสร้างสรรค์ให้ ไดผ้ ลสาเรจ็ ทเ่ี ปน็ รูปธรรม 3.2.3 ทักษะชีวิตและงานอาชีพ (Life and Career Skills) เป็นทักษะท่ีจาเป็นในการดารงชีวิต และทางานในยุคปัจจุบันให้ประสบความสาเร็จ จึงต้องมีการพัฒนาทักษะนี้ในทุกระดับการศึกษา (Partnership for 21st Century Skills, 2011; ศศิธร บัวทอง, 2560) ซ่ึงได้แก่ความยืดหยุ่นและการ ปรบั ตัว การรเิ รม่ิ สร้างสรรค์และเปน็ ตวั ของตัวเอง ทักษะสังคมและสังคมข้ามวัฒนธรรม การเปน็ ผสู้ รา้ งหรือ ผู้ผลิต (Productivity) รวมถึงความรับผิดชอบเชื่อถือได้ (Accountability) และภาวะผู้นาและความ

23 รับ ผิดชอบ (Responsibility) (Partnership for 21st Century Skills, 2011; ศศิธร บัวทอง, 2560; สานกั งานบรหิ ารงานการมธั ยมศกึ ษาตอนปลาย สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาตอนปลาย, 2558) 3.2.4 ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี (Information Media and Technology Skills) เป็นอีกทักษะท่ีมีความสาคัญ เนื่องจากในปัจจุบันมีการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารผ่านทางส่ือและ เทคโนโลยีมากมาย ผู้เรียนจึงต้องมีความสามารถในการแสดงทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณและ ปฏบิ ัตงิ านได้หลากหลาย โดยอาศัยความรู้ในหลายด้าน ดังนี้ 1) ความรดู้ า้ นสารสนเทศ 2) ความรู้เกย่ี วกบั ส่อื 3) ความรู้ด้านเทคโนโลยี (Partnership for 21st Century Skills, 2011 และ ศศิธร บัวทอง, 2560) สานักงานบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย สานักงานคณะกรรมการการศึกษาตอนปลาย (2558) อธิบายว่า ทักษะด้านสารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี เนื่องด้วยในปัจจุบันมีการเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสารผ่านทางสื่อและเทคโนโลยีมากมาย ผู้เรียนจึงต้องมีความสามารถในการแสดงทักษะการคิดอย่าง มีวิจารณญาณและปฏิบัติงานได้หลากหลาย โดยอาศัยความรู้ในหลายด้าน ได้แก่ ความรู้ด้านสารสนเทศ ความรู้เก่ยี วกบั สอื่ และความรู้ด้านเทคโนโลยี ซง่ึ ประกอบด้วย 1) การรู้เท่าทันสารสนเทศ (Information Literacy) การรับรู้คาบอกเล่าจากเพื่อน ผู้อื่น รวมถึงครูผู้สอน หรือแม้แต่สมมติฐานคาตอบที่หารือกันในกลุ่มอภิปราย เป็นเพียงความคิดเห็นท่ีรอการ พิสูจน์ ยืนยันคาตอบที่เป็นจริงจากสารสนเทศที่ได้จากการสืบค้น รวมรวมจากแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้มา ผ่านกระบวนการคิดแบบมวี จิ ารณญาณ 2) การร้เู ท่าทันส่ือ (Media Literacy) การรับสารจากสื่อ และส่อื สารออกไปในยคุ media คนในศตวรรษที่ 21 จะต้องมีความสามารถใช้เครื่องมือผลิตสือ่ และส่ือสารออกไป หรือแม้แต่การรับเข้ามา ในรูปวิดีโอ (video) ออดิโอ (audio) พอดคาส์ท (podcast) เว็บไซด์ (website) และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่การรับรู้จากแหล่งส่ือเหล่าน้ันถ้าขาดการเท่าทัน ขาดการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ก็จะตกอยู่ภายใต้การ ถูกชักจูง ชวนเช่ือได้เช่นกัน จึงต้องสร้างทักษะการวิเคราะห์สื่อให้เท่าทันวัตถุประสงค์ของตัวส่ือ และผลิต ส่ือนั้นอย่างไร มีการตรวจสอบแหล่งอ้างอิงท่ีเชื่อถือได้ และเท่าทันต่อการมีอิทธิพลต่อความเชื่อและ พฤติกรรมอย่างไร และมีข้อขัดแย้งต่อจริยธรรมและกฎหมายท่ีเก่ียวข้องหรือไม่ อย่างไร ในเรื่องการสร้าง ผลิตภัณฑ์สื่อ ต้องมีความเท่าทันต่อการเลือกใช้เครื่องมือที่พอเพียง พอเหมาะกับวัตถุประสงค์การใช้งาน และเหมาะสมกบั สภาพแวดล้อมความแตกตา่ ง หลากหลายด้านวัฒนธรรม 3) ก ารรู้ทั น เท ค โน โล ยี (ICT: Information, Communication and Technology Literacy) ในโลกยุคศตวรรษที่ 21 เป็นโลกเทคโนโลยีที่มีการแข่งขันกันผลิต และนามาสู่การสร้างกลยุทธ์ การขายสู่กลุ่มผู้บริโภคท่ีต้องการความทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าขาดความเท่าทันการใช้เทคโนโลยีจะ กลายเป็นผูซ้ ือ้ แต่ไม่อยากจะเรยี นรู้การเป็นผผู้ ลติ เพอื่ นาไปใช้งานทีพ่ อเพียงเหมาะสมกับงาน การถกู ชกั จูง ชวนเชื่อ ให้เป็นผู้ซ้ือก็จะง่ายข้ึน ผลการสูญเสียงบประมาณ และการขาดดุลทางเศรษฐกิจจะตามมา ดังน้ัน

24 ทักษะความเท่าทันด้านเทคโนโลยีจึงเป็นทักษะท่ีจาเป็นในศตวรรษท่ี 21 ทาให้คนรู้จักผลิตใช้และนาไป แลกเปล่ียนใช้ในเวทีการค้า เกิดการสร้างงานสร้างรายได้ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีเพ่ือการเรยี นรู้ให้เกิดการ สืบค้น รวมรวมความรู้ พิสูจนส์ มมติฐาน คาตอบในการใช้ทักษะการคิดแบบมีวิจารณญาณ มากกว่าที่จะใช้ เพ่ือการบันเทิงในแบบสังคมก้มหน้า จึงควรใช้เทคโนโลยีเพ่ือการวิจัย จัดระบบ ประเมิน และสื่อสาร สารสนเทศ ใช้ส่ือสารเช่ือมโยงเครือข่าย และ Social network อย่างถูกต้องเหมาะสม เพื่อการเข้าถึง การจัดการ การผสมผสาน ประเมิน และสร้างสารสนเทศ เพ่ือทาหน้าที่ในเศรษฐกิจฐานความรู้ ทั้งนี้ต้อง คานึงถึงการปฏิบัติตามคุณธรรมและกฎหมายที่เก่ียวข้องกับการเข้าถึงและใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ สนับสนุน หรือโต้แย้งพิสูจน์ความเป็นจริง สร้างเป็นความรู้ และองค์ความรู้ท่ีได้จากการเรียนรู้ ซึ่งต้องใช้ ทักษะในการเข้าถึงแหล่งความรู้ได้อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง มีทักษะการประเมินความน่าเช่ือถือของ ขอ้ มลู สารสนเทศ และทักษะในการใชอ้ ย่างสร้างสรรค์ ในส่วนของผลลัพธ์การเรียนรู้ด้านทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 เบอร์นี ทริลลิง และชาลส์ แฟเดล (Trilling & Fadel, 2009) ซึ่งเป็นคณะกรรมการของภาคีเพ่ือทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ได้เสนอแนวคิด ทักษะในศตวรรษที่ 21 (21st Century Sklils) เป็นสมการ 3Rs x 7Cs = ทักษะแห่งศตวรรษ ที่ 21 โดย 3Rs คือ Reading (การอ่าน) (w)Riting (การเขียน) และ (a)Rithematic (การคิดเลข) ส่วน 7Cs ได้แก่ ทักษะด้านการคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving) ทักษะด้านการสร้างสรรค์และนวัตกรรม (Creativity and Innovation) ทักษะด้านความเข้าใจความต่าง วัฒนธรรมต่างกระบวนทศั น์ (Cross-cultural Understanding) ทักษะด้านความร่วมมือ การทางานเปน็ ทีม และภาวะผู้นา (Collaboration, Teamwork and Leadership) ทักษะด้านการส่ือสาร สารสนเทศและ รู้เท่าทันสื่อ (Communications, Information, and Media Literacy) ทักษะด้านคอมพิวเตอร์และ เทคโนโลยีสารสนเทศและการส่ือสาร (Computing and ICT Literacy) ทักษะอาชีพ และทักษะการ เรียนรู้ (Career and Learning Skills) ประเทศไทยมีนักการศึกษาหลายท่านเสนอแนวคิดในการจัดการศึกษาสาหรับศตวรรษที่ 21 เช่น วิจารณ์ พานิช (2555) ได้กล่าวถึงทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 (21st Century Skills) ว่าเป็นทักษะที่ จาเป็นเพื่อการดารงชีวิตในศตวรรษที่ 21 การจัดการเรียนการสอนต้องมีการปรับเปลี่ยนให้เกิดทักษะ ดงั กล่าว โดยเปล่ยี นจากการถ่ายทอดเนื้อหาสาระ เปน็ เพ่ิมทักษะการเรยี นรู้ แม้ว่าสาระวชิ าจะมีความสาคัญ แต่ไม่เพียงพอสาหรับการเรียนรู้เพื่อมีชีวิตในโลกยุคศตวรรษท่ี ๒๑ ปัจจุบันการเรียนรู้สาระวิชา (content หรือ subject matter) ควรเป็นการเรียนจากการค้นคว้าเองของผู้เรียนเอง โดยครูเป็นผู้ช่วยแนะนา และ ชว่ ยออกแบบกจิ กรรมท่ีชว่ ยให้ผู้เรยี นแต่ละคนสามารถประเมินความกา้ วหนา้ ของการเรยี นรขู้ องตนเองได้ ไพฑูรย์ สินลารัตน์ (2557) สรุปทักษะสู่ศตวรรษท่ี 21 ไว้ 7 กลุ่มหลักได้แก่ 1) ทักษะทางด้าน เทคโนโลยี (computing and ICT Literacy) 2) ความสนใจใคร่รู้และมีจินตนาการ (Curiosity and imagination) 3) การคิดวิจารณญาณและการแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem Solving) 4) ความคิดสร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรม (Production and Innovation) 5) ทักษะในการสื่อสารและ ร่วมมือกัน (Communication and Collaboration) 6) การคิดในเชิงธุรกิจและทักษะประกอบการ

25 (Corporate and Entrepreneurial Spirit) 7) ทักษะการเรียนรู้ข้ามวัฒนธรรมและการสนใจต่อโลก (Cross Cultural & Global Awareness) พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และพเยาว์ ยินดีสุข (2557) สรุปแนวคิดเกี่ยวกับทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 ของเด็กไทยไว้ด้วยสมการ E = (4R + 7C) กล่าวคือเด็กไทยจะต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรม จริยธรรม (E = Ethical Person) และสามารถอยู่ในสังคมปัจจุบันได้อย่างมีความสุขด้วย ทักษะ 2 กลุ่ม คือ กลุ่ม 4R ได้แก่ Read Write Arithmetic และ Reasoning ซ่ึงเป็นทักษะการรู้หนังสือ รู้เร่ืองตัวเลขรวมถึง การคานวณ และการใช้เหตุผล และกลุ่ม 7Cs เป็นทักษะกลุ่มเดียวกับที่ เบอร์นี ทริลลิง และชาลส์ แฟเดล ไดก้ ลา่ วไว้ในขา้ งต้น สานักงานบริหารงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย สานักงานคณะกรรมการการศึกษาตอนปลาย (2558) อธิบายว่า ทักษะการอ่าน (Reading) ทักษะการเขียน (Writing) และทักษะการคานวณ (Arithmetic) ถือเป็นทักษะพื้นฐานท่ีมีความจาเป็นที่จะทาให้รู้และเข้าใจในสาระเน้ือหาของ 8 กลุ่มสาระ การเรียนรู้ ท่ีแสดงความเป็นสาระวิชาหลักของทักษะเพ่ือดารงชีวิตในศตวรรษท่ี 21 ได้แก่ ภาษาแม่และ ภาษาโลก ศิลปะ คณิตศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และรัฐความเป็น พลเมอื งดี ซึ่งหลักสูตรการศึกษาขนั้ พนื้ ฐานไดจ้ ัดทาสาระเน้ือหาได้ครบคุมทั้ง 8 กลุ่มสาระการเรยี นรู้แล้ว นอกจากนี้ วิจารณ์ พานิช (2555) อธิบายว่า สาระวิชาหลัก (core subject) ประกอบด้วย ภาษาแม่ และภาษาสาคัญของโลก ศิลปะคณิตศาสตร์ การปกครองและหน้าที่พลเมือง เศรษฐศาสตร์ วทิ ยาศาสตร์ ภูมิศาสตร์ และประวตั ิศาสตร์ โดยวิชาแกนหลกั นีจ้ ะนามาสู่การกาหนดเปน็ กรอบแนวคิดและ ยุทธศาสตร์สาคัญต่อการจัดการเรียนรู้ในเนื้อหาเชิงสหวิทยาการ (interdisciplinary) หรือหัวข้อสาหรับ ศตวรรษท่ี 21 โดยการส่งเสริมความเข้าใจในเนื้อหา วิชาแกนหลัก และสอดแทรกทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เขา้ ไปในทุกวิชาแกนหลกั การเผยแพร่กรอบแนวคิดทักษะศตวรรษที่ 21 ส่งผลให้เกิดกระแสการเปล่ียนแปลงอย่างมากใน วงการศึกษา เพราะทักษะเหล่านี้กลายเป็นความจาเป็นสาหรับผู้คนที่จะดาเนินชีวิตและประกอบอาชีพใน ศตวรรษที่ 21 หน้าท่ีในการเตรียมคนรุ่นใหม่จึงสะท้อนกลับมาท่ีสถาบันการศึกษา ซึ่งต้องพยายามหา วิธีการใหม่ ๆ ในการพัฒนาการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ได้คนท่ีสามารถออกไปใช้ชีวิตในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังเช่นที่ ดาร์ลิง แฮมมอนด์ และบารอน (Darling-Hammond & Barron, 2008) กล่าวไว้ว่า “การเปลี่ยนแปลงด้านแรงงานและความต้องการท่ีเรียกว่าทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 น้ันคือ การช่วยให้เด็กทุกคนได้รับการศึกษาที่มีประสิทธิภาพ เพ่ือเป็นการเตรียมความพร้อมให้พวกเขาสามารถใช้ ชวี ิตทสี่ มบูรณ์ในอนาคต ซงึ การจดั การศึกษาแบบดังเดมิ เป็นเพยี งการถ่ายทอดข้อมูลไปสู่ผูเ้ รียนและใชเ้ พยี ง ความจาท่ีสะสมข้อมูลต่าง ๆ ไว้ ไม่เพียงพอสาหรับการใช้ชีวิตในโลกอนาคต การศึกษาในปัจจุบันจึงต้อง มุ่งเน้นไปที่การช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิธีการเรียนรู้ เพื่อให้สามารถจัดการกับความเปลี่ยนแปลงทางด้าน เทคโนโลยสี ารสนเทศและสภาวะของสงั คมได้” สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ (2557) โดยสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศึกษาแนวทางการพัฒนาการศึกษาไทยกับการเตรียมความพร้อมสู่

26 ศตวรรษท่ี 21 และให้ข้อเสนอแนะเชิงนโยบายสาหรับการปฏิรูปการจัดการศึกษาของไทยว่า นโยบายและ ยุทธศาสตร์การศึกษา ในศตวรรษที่ 21 น้ี ต้องเน้นการสร้างระบบการศึกษาที่สามารถเอื้อให้เกิดการเรียน แบบรู้จริง (Mastery Learning) การเรียนรู้แบบการสอนให้น้อย เรียนรู้ให้มาก (Teach Less, Learn More) และการเรียนรู้ตลอดชีวิต (Lifelong Learning) ท้ังนี้นโยบายด้านการศึกษาของไทย ควรให้ ความสาคญั กับการให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และดาเนินการให้เกดิ ผลในทางปฏิบตั ิอย่างแท้จริง รวมทั้งสรา้ ง ระบบการศึกษาที่มีคุณภาพ เน้นเสริมสร้างพ้ืนฐาน เพ่ิมการให้ความสาคัญกับการสร้างเสริมพื้นฐาน ในชว่ งตน้ ของการศึกษา เพื่อปลูกฝังกระบวนการคิด (Cognitive Skills) นอกจากน้ีจาเป็นอย่างยงิ่ ที่จะต้อง มนี โยบายที่เน้นความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วน รวมทั้งการมีส่วนรว่ มของ ภาคเอกชนและภาคประชาชน ตลอดจนการเชอ่ื มโยงการศกึ ษาและการทางาน (Linking Education and Work) การเรียนการสอนในภาคทฤษฎีทางการพยาบาล ผู้สอน ต้องประเมินจากผู้เรียน ในด้านความรู้ พ้ืนฐาน คุณลักษณะ ความสามารถพิเศษ และอ่ืน ๆ การจัดกลุ่มผู้เรียน และนามาวางแผนการสอน ซ่ึงอาจจะแตกต่างกันในแต่ละกลุ่ม มีการมอบหมายงานให้นักศึกษาค้นคว้าก่อนเข้าห้องเรียน จัดให้มี การจัดการเรียนการสอนที่หลากหลาย การใช้เทคโนโลยีอ่ืน ๆ เช่น E-learning Facebook อย่างไรก็ตาม การจัดการเรียนการสอน ควรให้มีการติดต่อสื่อสารสองทางได้ตลอดเวลาโดยการ ใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ แต่ท้ังน้ีไม่ได้หมายความว่าจะไม่ให้มีการสอนแบบบรรยายในห้องเรียนเลย ทั้งนี้ต้องขึ้นกับ เน้ือหาวิชาด้วย อย่างไรก็ตามควรจะมีการอภิปรายหรือสนทนาระหว่างผู้เรียนและผู้สอนนอกเหนือจากการบรรยายด้วย เพ่ือให้ผู้เรียนเกิดการคิดวิเคราะห์ร่วมไปด้วย นอกจากนั้นการมอบหมายงานและการประเมินผล ก็อาจจะ เป็นวิธีการเสริมสร้างความเข้าใจในเนื้อหาวิชาได้ดีย่ิงข้ึน และยังทาให้ผู้สอนเกิดความมั่นใจว่านักศกึ ษาเกิด การเรียนรู้ตามวัตถปุ ระสงค์ที่ตั้งไวเ้ พียงใด การเรียนรู้โดยการให้นักศึกษาสะท้อนคิด (reflective) เป็นส่วน ท่ีจะช่วยให้นักศึกษาได้กลับมาคิดทบทวน เข้าใจ เกิดการพัฒนาและทาให้เกิดการเรียนรู้มากขึ้น (วิภาดา คณุ าวิกตกิ ุล, 2558) การเรียนการสอนในห้องปฏิบัติการพยาบาล ผู้สอนต้องประเมินผู้เรียนในด้านความรู้ ความสามารถที่เกี่ยวข้องกับทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ทุกด้าน ตลอดจนความสนใจ และจัดกลุ่มผู้เรียนให้ เหมาะสม มอบหมายงานและความรบั ผิดชอบให้นักศึกษาแทนการสอนโดยผสู้ อนเพยี งอยา่ งเดยี ว การเรยี น การสอนในห้องปฏิบัติการพยาบาลถือได้ว่ามีความสาคัญอย่างย่ิง เพราะทาให้นักศึกษาได้ลงมือปฏิบัติตาม สถานการณ์ท่ีเสมอื นจริงหรือการจาลองการปฏิบัตกิ ารพยาบาล เพอื่ ให้นักศึกษาเกิดความมั่นใจก่อนการฝึก ปฏิบัติจริง ผู้สอนควรให้โอกาสแกน่ ักศึกษาได้ปฏบิ ัตดิ ้วยตนเองให้มากอยา่ งเต็มที่ และเพ่ิมพูนการฝกึ ทกั ษะ การตัดสินใจ การคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาท่ีอาจพบในการฝึกปฏิบัติจริงในแหล่งฝึก ดังน้ัน ในห้องปฏิบัติการพยาบาลควรให้นักศึกษาได้ใช้เทคโนโลยีต่าง ๆ ในการเรียนรู้ด้วย โดยสามารถเรียนรู้จาก สื่อและโปรแกรมคอมพิวเตอร์ประกอบด้วย นอกจากน้ีการเรียนการสอนในภาคปฏิบัติการพยาบาล ถือว่า มีความสาคัญยิ่งต่อการเป็นพยาบาลที่มีความสามารถให้การพยาบาลต่อไปในอนาคต ผู้สอนจาเป็นต้องให้ โอกาสนักศึกษาในการฝึกปฏิบัติตามวัตถุประสงค์ของกระบวนวิชาอย่างแท้จริงท้ังในสถาน บริการสุขภาพ ทุกระดับและในชุมชน ดังนั้นกระบวนวิชาฝึกปฏิบัติทุกกระบวนวิชา ผู้เรียนควรจะได้เรียนรู้ทักษะแห่ง

27 ศตวรรษที่ 21 ทุกทักษะ ร่วมไปกับการใช้ความรู้ท่ีเรียนมาจากวิชาท่ีเป็นพ้ืนฐานโครงสร้างหรือวิชาแกน ท่ีผ่านมา โดยการมอบหมายงานและให้นักศึกษาได้มีโอกาสฝึกทักษะการเป็นผู้นา ซ่ึงประกอบด้วย การติดตอ่ ส่ือสาร การมีมนุษยสัมพันธ์ การตัดสินใจ การคิดวิเคราะห์ การคดิ สร้างสรรค์ การทางานร่วมกับ ผู้อื่น การเข้าใจในผู้ที่มีวัฒนธรรมต่างกัน และการใช้เทคโนโลยีในการฝึกปฏิบัติการพยาบาล นอกจากน้ัน ผู้สอนควรเน้นในด้านคุณธรรม จริยธรรมในการให้การพยาบาลทุกด้านด้วย เพิ่มเติมจากทักษะ ทกี่ ลา่ วไปแลว้ (วภิ าดา คณุ าวกิ ติกลุ , 2558) 3.3 ระบบสนับสนนุ การศึกษาของศตวรรษท่ี 21 ระบบการเรียนการสอนคอื การจัดระบบในการเรียนการสอน ซึ่งประกอบด้วยข้อมูลนาเข้า (Input) กระบวนการ (Process) และผลผลิต (Product) ระบบการสอนมีองค์ประกอบย่อยที่สามารถทาหน้าท่ีของ ตนได้อย่างอิสระ เช่น ระบบครูผู้สอน ระบบนักศึกษา ระบบสื่อการสอน และแหล่งการเรียนรู้ ระบบ สนับสนุนการศึกษาในตัวแบบประกายรุ้งเป็นปัจจัยสนับสนุนที่จะทาให้ผู้เรียนเกิดประสิทธิภาพสูงสุด ทางการเรยี นรใู้ นศตวรรษที่ 21 ซง่ึ ประกอบไปด้วย 4 องค์ประกอบหลกั ดังนี้ 3.3.1 มาตรฐานและการประเมินผล การประเมินผลต้องมุ่งเพื่อวัดความรู้และแก้ไขปัญหาใน ชีวิตจริง เสริมสร้างการเรียนรู้และวิเคราะห์ผู้เรียนทดแทนการวัดผลจากการทดสอบแบบท่องจา (ณัจยา หนุนภักดี, 2559) ดังน้ันต้องทาความเข้าใจกับวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนในระดับอุดมศึกษา ท้ังนี้ผลลัพธ์ การเรียนรู้ (Learning Outcome) พิจารณาได้ 2 ลกั ษณะ คือ 1) ผลลัพธ์ในเชิงปริมาณของการเรียนรู้ (Quantity of Learning) ผู้เรียนเรียนแล้วเกิดการเรียนรู้มากน้อยแค่ไหน และบรรลุจุดมุ่งหมายของ การเรียนรู้มากน้อยแค่ไหน และ 2) ผลลัพธ์ในเชิงคุณภาพของการเรียนรู้ (Quality of Learning) ผู้เรียน เรียนแล้วเกิดการเรียนรู้ในระดับใด ผลลัพธ์การเรียนรู้ที่คาดหวังในระดับมหาวิทยาลัย ควรเป็นการเรียนรู้ ในระดับการวเิ คราะห์ และสงั เคราะห์องค์ความร้ใู หมด่ ว้ ยตัวผ้เู รียนเอง การประเมินการเรยี นรทู้ ี่เนน้ ผ้เู รียนเป็นสาคัญ (สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาแห่งชาติ, 2545) มีจุดมุ่งหมายสาคัญเพ่ือส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาและเรียนรู้ก้าวหน้าสูงสุด เป็นคนเก่ง คนดี และมี ความสุขได้เตม็ ตามศักยภาพ การประเมินจึงต้องดาเนินการให้สอดคล้องเหมาะสมกับรูปแบบการเรียนรู้ที่มี ความถนัด ความสนใจท่ีแตกต่างกันออกไป รูปแบบการประเมินต้องเป็นรูปแบบที่เอื้ออานวยและเปิด โอกาสให้ผู้เรียนได้เลือกและแสดงความรู้ รวมทั้งความรู้สึกท่ีผู้เรียนมีและพฤติกรรมปฏิบัติได้อย่างแท้จริง นอกจากน้ีอาจารย์ผู้สอนจะได้อาศัยข้อมูลและหลักฐานเหล่าน้ีสะท้อนภาพท่ีเป็นจริงของผู้เรียนเพ่ือเป็น แนวทางปรับปรุงวิธีการของอาจารย์ผู้สอน และวิเคราะห์วินิจฉัยผู้เรียนเพื่อปรับปรุงพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุ ตามเป้าหมายของการจัดการเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนเป็นคนดี มีความสุข และเก่งตามศักยภาพท่ีควร จะเปน็ ของผูเ้ รียนแต่ละคน 3.3.2 หลักสูตรและวิธีการจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 หลักสูตร การเรียนการสอนเพ่ือพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ควรต้องบูรณาการในเชิงสหวิทยาการ (interdisciplinary) ยึ ด โ ค ร ง ง า น เป็ น ฐ า น (Project-Based) แ ล ะ ขั บ เค ล่ื อ น ด้ ว ย ก า ร วิ จั ย

28 (Research-driven) ที่มีความเชื่อมโยงกับทุกภาคส่วนทั้งท้องถิ่น/ชุมชน ประเทศ และโลก หลักสูตรจะไม่ ยึดตาราเป็นตัวขับเคลื่อน (Textbook-driven) หรือแบบแยกส่วน (Fragmented) แต่จะเป็นหลักสูตรที่มี การเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนท่ีหลากหลาย (ณัจยา หนุนภักดี, 2559) ซึ่ง Partnership for 21st century Skills (2009) ได้ให้ข้อเสนอแนะต่อการดาเนินการดา้ นหลักสตู ร ไว้ดังน้ี 1) การออกแบบหลักสูตรจะต้องเน้นการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมเพ่ือพัฒนาความรู้ ความเข้าใจอย่างแท้จริง ท้ังน้ีหลักสูตรและวิธีการเรียนการสอนจะต้องกาหนดว่าทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 เป็นผลลพั ธ์แห่งการเรียนร้นู น้ั 2) หลักสูตรจะเป็นปัจจัยนาเข้าท่ีช่วยให้เกิดการพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 การออกแบบหลักสูตรจะถูกถ่ายทอดมาสู่การออกแบบรายวิชาและนามาสู่การกาหนดวัตถุประสงค์การ เรียนรู้ และวิธีการเรียนการสอน ซ่ึงทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 จะเป็นหน่วยของการประเมินผลการเรียนรู้ ด้วยวธิ กี ารที่หลากหลาย 3) การจัดประชุมสัมมนาเพื่อทาความเข้าใจต่อหลักสูตรและวิธีการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้ ท่เี กี่ยวข้องได้ทาความเข้าใจทตี่ รงกันต่อทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 รวมท้ังส่งเสรมิ สมรรถนะต่อการออกแบบ การเรยี นรู้ท่ีพฒั นาทกั ษะแหง่ ศตวรรษท่ี 21 4) การประเมินผลการเรียนรู้ต้องหลากหลายไม่ใช่ประเมินจากแบบทดสอบที่เน้นท่องจา ดังนั้นควรกาหนดวิธีการประเมินท่ีสามารถประเมินการแสดงออกไว้ เช่น การนาเสนอหน้าชั้น การจัดทา รายงาน 5) กาหนดไว้ให้ชัดเจนถึงวิธีการประเมินและปรับปรุงพัฒนาหลักสูตรและวิธีการเรียน การสอนเพ่ือพัฒนาทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 6) ความร่วมมือของการพัฒนาหลักสูตรและวิธีการจัดการเรียนการสอนเป็นส่ิงที่สาคัญ ท้ังน้ีต้องมีความร่วมมือจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้ทรงคุณวุฒิ เพ่ือให้การพัฒนาหลักสูตรและการเรียน การสอนนนั้ มีความครอบคลุมและตรงตามวัตถุประสงคข์ องหลักสตู รมากทสี่ ดุ ในส่วนของวิธีการจัดการเรียนการสอน ศาสตราจารย์นายแพทย์วิจารณ์ พานิช (2556) กล่าวถึง การสอนทด่ี ีในการสร้างการเรียนรู้สศู่ ตวรรษท่ี 21 ไวว้ า่ ประกอบด้วยหลกั 7 ประการ คือ 1) ต้องเข้าใจความรู้เดิมของผู้เรียน เพราะในปัจจุบันการเข้าถึงความรู้ทาได้ง่าย ความเจริญของเทคโนโลยสี ารสนเทศทาให้ผ้คู นค้นหาความรไู้ ดโ้ ดยงา่ ย ซึง่ ความรทู้ ่แี ต่ละคนไดม้ านัน้ อาจจะ มีทั้งท่ีถกู ต้องและไม่ถูกต้อง ผู้สอนจึงต้องประเมินและหาวิธีจัดการกับความรู้ท่ีไม่ถูกต้องก่อน “ไม่อย่างน้ัน เดก็ จะผิดไปเรอ่ื ย ๆ และพอเรยี นช้ันตอ่ ๆ ไปเขากจ็ ะเรียนไมร่ ู้เร่ืองและจะเบื่อเรียน น่ีคอื หวั ใจสาคัญ” 2) การจัดระบบความรู้ (knowledge organization) เป็นสิ่งท่ีมีความสาคัญต่อการเรียนรู้ ของผู้เรียน เพราะการจัดระเบียบความรู้ในสมองจะช่วยให้สามารถนาความรู้มาใช้ได้ทันท่วงทีและ ถูกกาลเทศะ คนที่สามารถจัดระบบความรู้ในสมองได้ดีจึงเรียนหนังสือได้ดี สามารถเช่ือมโยงความรู้ที่มีอยู่ กับบรบิ ทเพื่อการใชง้ านไดอ้ ย่างเหมาะสมทนั ทว่ งที

29 3) แรงจูงใจ แรงบันดาลใจ (inspiration) เป็นอีกเร่ืองหน่ึงที่สาคัญมาก ที่จะทาให้ผู้เรียน อยากเรียนรู้ อยากเป็นและอยากทา ดังน้ันครูที่ดีจะต้องมีวิธี และมีความเอาใจใส่ท่ีจะสร้างแรงจูงใจหรือ แรงบันดาลใจให้ผเู้ รียน 4) การเรียนทถี่ กู ต้อง ผเู้ รียนจะตอ้ งเรียนจนรจู้ รงิ (Mastery learning) 5) การสอนโดยการปฏิบัติ และป้อนกลับ ในการออกแบบการเรียนน้ันจะต้องรู้ว่าต้องการ ใหเ้ กิดการเรียนรู้อะไร ออกแบบอย่างไร ใหผ้ ู้เรยี นทาอะไร เพ่ือให้ไดอ้ ะไร และวดั ไดอ้ ย่างไร ให้ผู้เรยี นลงมือ ปฏิบัติ แล้วครูต้องให้ข้อมูลป้อนกลับ (feedback) แก่ผู้เรียน ศิลปะของการให้ข้อมูลป้อนกลับสาคัญมาก เพราะจะทาให้การเรียนสนุก เป็นการให้รางวัล (rewarding) อย่างหนึ่ง เรียนแล้วเกิดความสุข เกิดความ มน่ั ใจในตัวเอง รวู้ ่าอะไรที่ทาได้ดี ร้วู า่ อะไรทจ่ี ะตอ้ งปรับปรงุ 6) พัฒนาการของผู้เรียนและบรรยากาศของการเรียน การเรียนในปัจจุบันต้องเรียน เป็นทีม เพราะโลกปัจจุบันน้ันความรว่ มมือ (collaboration) สาคัญกวา่ การแข่งขัน (competition) ทักษะ ของความร่วมมือกับผู้อ่ืน ต้องให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติทาจริงต้ังแต่ตอนเรียน คือต้องให้เรียนรู้เป็นทีม (team learning) น่ีคือหลักการเรียนท่ีสาคัญที่สุด บรรยากาศของการเรียนท่ีสาคัญคือไม่มีการตัดสินว่าถูกหรือผิด เพ่ือส่งเสริมบรรยากาศของความคิดที่หลากหลาย ฟังซ่ึงกันและกัน ผลลัพธ์สุดท้ายผู้เรียนจะเข้าใจว่าเร่ือง แบบน้ีเพ่ือนคิดอย่างนี้ คิดได้หลายแบบ เพราะฉะนั้น ถ้าบรรยากาศในโรงเรียนและในชั้นเรียนเน้นเฉพาะ เนอ้ื หาสาระวิชา เนน้ เรอื่ งถูกผิด การเรียนรู้ที่ดจี ะไม่เกิด เพราะผู้เรียนจะไม่สามารถเรียนอยู่ท่ามกลางสภาพ ความไมช่ ัดเจนไมแ่ นน่ อน 7) ความสามารถในการกากับการเรียนรขู้ องตนเองได้ (self - directed learner) ทักษะน้ี ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากการสอน แต่ต้องจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้ฝึกปฏิบัติ ท้ังนี้ครูจะต้องรู้ว่า ผเู้ รยี นมีวธิ กี ารเรยี นอย่างไรและปรับปรุงวธิ ีการเรียนใหเ้ หมาะสม ดังท่ีได้กล่าวไปแล้วเบ้ืองต้นว่าในการพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 ที่กาหนดว่าการจัดการเรียน การสอนน้ันผู้สอนควรมีการออกแบบหรือการปรับวิธีการเรียนการสอนท่ีไม่เน้นท่ีเน้ือหาหรือสาระความรู้ เป็นหลัก แต่เป็นการเน้นให้ผู้เรียนฝึกทักษะของการเรยี นรู้ต่อเนื่องตลอด ส่งผลให้ ในปัจจุบันนักการศึกษา จึงสนใจท่ีจะจัดการศึกษาเพื่อเน้นไปยังประเด็นท่ีว่า ผู้เรียนเม่ือเรียนแล้วได้รู้อะไร และสามารถทาอะไร ได้บ้าง จึงทาให้มกี ารเปลี่ยนแปลงรปู แบบการสอนที่เพิ่มความยืดหยุ่นและศักยภาพในการผสมผสานความรู้ เดิมกับประสบการณ์ในรูปแบบใหม่และแตกต่างกันออกไปจนเกิดกระบวนการเรียนได้ด้วยตนเอง ถือเป็น การเรียนรทู้ เ่ี นน้ ผู้เรยี นเปน็ ศูนย์กลางหรือการจัดการเรยี นรู้ทีเ่ น้นผเู้ รยี นเปน็ สาคญั 3.3.3 การพัฒนาทางวิชาชีพในศตวรรษท่ี 21 จุดมุ่งหมายสาคัญของการพัฒนาทางวิชาชีพใน ศตวรรษที่ 21 คือ การสร้างครูให้เป็นผู้ที่มีทักษะความรู้ความสามารถในเชิงบูรณาการ การใช้เครือ่ งมือและ กาหนดยุทธศาสตร์สู่การปฏิบัติในชั้นเรียน และสร้างให้ครูมีความสามารถในการวิเคราะห์และกาหนด กิจกรรมการเรียนรู้ได้เหมาะสม (สุวณี อ่ึงวรากร, 2558) ครูผู้สอนเป็นกลไกที่สาคัญในการพัฒนาคุณภาพ การจดั เรยี นการสอนในระดับอุดมศกึ ษาให้มีประสิทธิภาพและเกดิ ประสทิ ธิผลตามท่ีต้องการ อาจารย์ผู้สอน ต้องมีความรู้ความเข้าใจพ้ืนฐานเก่ียวกับธรรมชาติของการจัดการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษาที่มี

30 ลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากการจัดการเรียนการสอนในระดับอ่ืน ๆ ท้ังน้ีเพื่อให้การเช่ือมโยงไปสู่การ จัดการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษาท่ีมีประสิทธิภาพ อาจารย์จะต้องมีความเข้าใจจุดมุ่งหมายของ การศึกษาระดับอุดมศึกษา ธรรมชาติของผู้เรียนหรือลักษณะเฉพาะของผู้เรียนหลักสูตรในระดับอุดมศึกษา ทเี่ ชื่อมโยงไปสวู่ ธิ ีการจัดการเรียนการสอน (เรณุมาศ มาอ่นุ , 2559) ในการจัดการเรียนการสอนน้ันครูผู้สอนควรต้องตั้งเป้าหมายในการจัดการเรียนการสอนที่จะให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มากกว่าให้ใช้วิธีการบรรยาย ครูผู้สอนควรต้องสร้างความสมบูรณ์แบบในมิติการสอน ด้วยเทคนิควิธีการสอนท่ีหลากหลาย (สุวณี อ่ึงวรากร, 2558) ดังน้ันการจัดการเรียนการสอนจะเน้นให้ ผู้เรียนทากิจกรรมแบบมีส่วนร่วมท่ีช่วยส่งผลให้เกิดการเรียนรู้ เช่น การอภิปราย ระดมความคิด สร้างโครงงาน ทาโครงการ ผลิตผลงาน แสดงบทบาทสมมติ การแก้ปัญหา ใช้การวิจัย เป็นต้น (ดิเรก วรรณเศียร, 2559) ดังน้ันผู้สอนต้องมีทักษะในการจัดการเรียนรู้ มีเจตคติต่อวิชาชีพครูท่ีดี มีแรงจูงใจ ใฝ่สัมฤทธ์ิสูง มีทักษะและคุณลักษณะท่ีรองรับเข้าถึงเพื่อสร้างนวัตกรรมบริหารจัดการชั้นเรียนแนวใหม่ โดยจะต้องเปลี่ยนแปลงตนเองจาก “ผู้สอน” ไปเป็น “ผู้ฝึก” (Coach) หรือ “ผู้อานวยความสะดวกใน การเรียนรู้” (Facilitator) ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากการปฏิบัติในอันที่จะพัฒนาผู้เรียนที่เป็นเยาวชนยุคใหม่ ได้อย่างต่อเน่ืองและย่ังยืน ยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่า ผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด โดยกระบวนการจัดการเรียนรู้ต้องส่งเสริมให้ผเู้ รยี นสามารถพัฒนาตามธรรมชาติ และเต็มศักยภาพ (ณัจยา หนุนภักดี, 2559) ดังนั้นครูผู้สอนต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถวิเคราะห์ผู้เรียนได้ ทง้ั รูปแบบการเรียน สติปัญญา จุดอ่อนจุดแข็งในตัวผูเ้ รียน (สุวณี อึ่งวรากร, 2558) ครูผสู้ อนจึงต้องพฒั นา ตนเองใหม้ ีทกั ษะ ความรู้ความสามารถเชิงบูรณาการ สามารถทาแผนเชงิ ยทุ ธศาสตรส์ ู่การปฏบิ ัติในชนั้ เรยี น เพื่อให้ครูสามารถจัดการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการสอนท่ีหลากหลายและมีความรู้ความ สามารถเชิงลึก ในการแก้ปัญหา การมีทักษะการคิดอย่างมีวิจารณญาณ ผู้บริหารควรสร้างครูต้นแบบสาหรับเป็นตัวอย่าง ในการพัฒนาวิชาชีพครู (สุวณี อ่ึงวรากร, 2558) และสร้างชุมชนการเรียนรู้ระหว่างครูที่ปฏิบัติในวิชาชีพ เดยี วกัน (Professional Based Learning) 3.3.4 สภาพแวดล้อมในการเรียนรู้ ในการออกแบบสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ เพิร์ลแมน (Perlman ใน วรพจน์ วงศ์กิจรุ่งเรือง และอธิปจิตตฤกษ์ ผู้แปล) แนะนาว่าควรเริ่มต้นด้วยการกาหนด ผลลพั ธ์ก่อนว่าต้องการใหผ้ เู้ รยี นมคี วามรู้และทกั ษะอะไรบ้างท่จี าเปน็ สาหรบั ศตวรรษที่ 21 แลว้ จึงออกแบบ หลักสูตร กิจกรรม ประสบการณ์ท่ีจะช่วยส่งเสริมทักษะการเรียนรู้แห่งศตวรรษที่ 21 จะต้องใช้วิธี ประเมินผลอย่างไร เทคโนโลยีอะไรเพ่ือสนับสนุน รวมท้ังการจัดสภาพแวดล้อมทางกายภาพ และ บรรยากาศการเรียนรู้ให้สอดคล้องและสนับสนุนการเรียนรู้ดังกล่าว เช่น การจัดผู้เรียนให้ น่ังเป็นกลุ่ม ๆ เพ่ือสะดวกต่อการทางานกลุ่มย่อย ไม่น่ังแบบหน้ากระดานที่ออกแบบให้ครูอยู่หน้าชั้นเรียนเป็นผู้คอย ถ่ายทอดเน้ือหาความรู้ คุณภาพของส่ิงแวดล้อมของการเรียนรู้ส่งผลต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน สภาพแวดล้อมที่เอ้ือต่อการ เรียนรู้คือสถานที่ใด ๆ ก็ได้ที่ก่อให้เกิดปฏิสัมพันธ์และส่งต่อการเรียนรู้ทั้งแบบทางการและไม่เป็นทางการ (Partnership for 21st Century Skills, 2009) ส่ิงท่ีสาคัญของสภาพแวดล้อมการเรียนรู้นั้นต้องมีความ

31 ยืดหยุ่น เช่น โต๊ะเก้าอ้ีต้องสามารถเคล่ือนย้ายและออกแบบใหม่ให้เหมาะสมต่อจานวนผู้เรยี นและกจิ กรรม การเรียนรูไ้ ด้ ลักษณะท่สี าคัญของสภาพแวดล้อมการเรยี นรู้ประกอบไปด้วย 1) ต้องเช่ือมต่อกับสิ่งแวดล้อมภายนอกห้องเรยี นและภายนอกโรงเรียนได้ ในลักษณะการ จัดการเรียนการสอนบางวิธีผู้เรียนต้องมีการทางานร่วมกับชุมชน สร้างบรรยากาศการเรียนรู้โดยเช่ือมโยง ความรู้หรือแลกเปล่ียนความรู้กับชุมชน หรือผู้เรียนสามารถติดต่อกับเพื่อนต่างประเทศท่ัวโลกได้ เช่น การเรียนรู้การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศของโลก หรือผู้เรียนสามารถติดต่อประสานขอข้อคิดเห็นหรือ ขอความรูไ้ ด้จากผู้เชย่ี วชาญจากทั่วโลก ดังนัน้ ชั่วโมงของการจัดการเรียนการสอนอาจจะไม่จาเป็นต้องเริ่มท่ี เวลาแปดนาฬิกาจนถึงเวลาสิบห้านาฬิกาดังเช่นปัจจุบัน การจัดสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ดังกล่าว จาเป็นต้องใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศทีท่ นั สมัย 2) ต้องมีความยั่งยืนและสามารถนากลับมาใช้ใหม่ได้ ต้องคานึงถึงส่ิงแวดล้อมทาง กายภาพ ได้แก่ อุณหภูมิห้อง คุณภาพของอากาศ แสงสว่างท่ีเหมาะสม ทั้งนี้อาจต้องนาแนวคิดโรงเรียน สเี ขียวมาใชใ้ นการออกแบบสภาพแวดลอ้ มการเรยี นรู้ ซึง่ แนวคิดนี้ยงั เป็นตัวอย่างทด่ี ใี ห้ผูป้ กครองและชมุ ชน นาไปใช้ในการออกแบบท่อี ยู่อาศัยใหค้ านึงถึงสภาพแวดลอ้ มและลดมลภาวะไดด้ ้วย 3) ห้องสมุดท่ีมีชีวิตเป็นปัจจัยท่ีสาคัญของสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ ห้องสมุดนอกจาก เป็นสถานท่ีรวบรวมส่ือการเรียนรู้แล้วต้องเป็นสถานที่ท่ีผู้เรียนสามารถประชุมกลุ่ม สามารถทากิจกรรม อื่น ๆ ที่นอกเหนือจากการอ่านหนังสือได้ด้วย ห้องสมุดจะต้องเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ท่ีสามารถเช่ือมต่อ โรงเรียนกับชุมชนภายนอกโรงเรียนได้ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย นอกจากน้ันห้องสมุดในยุค ศตวรรษท่ี 21 ยังตอ้ งเป็นหอ้ งเรียนเสมือนได้ดว้ ย 4. การพฒั นารปู แบบการเรยี นสอนในศตวรรษท่ี 21 4.1 แนวคิดการพฒั นารูปแบบ 4.1.1 ความหมาย คาว่ารูปแบบ ซ่ึงภาษาอังกฤษใช้คาว่า “Model” ได้มีบทบาทในการทาวิจัย และการศึกษาเพิ่มมากข้ึน และมีภาษาไทยที่ใช้แตกต่างกันไป เช่น ต้นแบบ แบบแผน แบบจาลอง เป็นต้น แต่รูปแบบจะเป็นคาที่นิยมใช้กันแพร่หลาย มีผู้ท่ีให้ความหมายของคาว่า “รูปแบบการเรียนการสอน” ไว้หลากหลาย ดงั นี้ ทิศนา แขมมณี (2558) ได้กล่าวว่า รูปแบบการเรียนการสอนหมายถึง สภาพหรือลกั ษณะของการ จดั การเรียนการสอน ท่ีจัดไว้อยา่ งเป็นระเบยี บตามหลกั ปรัชญา ทฤษฎี หลักการ แนวคิด หรือความเช่ือตา่ ง ๆ โดยมีการจัดกระบวนการหรือข้ันตอนในการเรียนการสอน โดยอาศัยวิธีการสอนและเทคนิคการสอนต่าง ๆ เข้ามาช่วย ทาให้สภาพการเรียนการสอนน้ันเป็นไปตามหลักการที่ยึดถือ ซ่ึงได้รับการพิสูจน์ ทดสอบ หรือ ยอมรับว่ามีประสิทธิภาพ สามารถใช้เป็นแบบแผนในการเรียนการสอนให้บรรลุวัตถุประสงค์เฉพาะของ รูปแบบน้ัน ๆ ซ่ึงแต่ละรูปแบบมีวัตถุประสงค์ท่ีแตกต่างกัน กล่าวคือ เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้น การพัฒนาด้านพุทธิพิสัย (Cognitive domain) การพัฒนาด้านจิตพิสัย (Affective domain) การพัฒนา ด้านทักษะพิสัย (Psychomotor domain) การพัฒนาด้านทักษะกระบวนการ (process skill) หรือการ

32 บูรณาการ (Integration) ทั้งนี้รูปแบบดังกล่าวล้วนเป็นรูปแบบการเรียนการสอนท่ีมีลักษณะเน้นผู้เรียน เปน็ สาคัญ เมคเกอร ซี จูน (Maker, C. June. 1982 : 1-2) ไดใหความหมายของรูปแบบการเรียนการสอน หมายถึง กรอบแนวคิดเชิงโครงสรางที่ชี้แนะแนวทางเพื่อพัฒนากิจกรรมและสภาพแวดลอมทางการศึกษา โดยเฉพาะ ท่ีสรางมาจากสมมติฐานทางทฤษฎีบาง มาจากการสังเกตธรรมชาติของผูเรียน อาทิ การเรียนรู แรงจูงใจ สติปญญา ลักษณะท่ีเกี่ยวของกับอารมณ ความรู้สึก และจากธรรมชาติหรือประสิทธิผลท่ีไดจากวิธีการ สอนนั้น ๆ โดยลักษณะของรูปแบบจะมแี นวทางการพัฒนาประสบการณการเรียนรูเฉพาะของรปู แบบนัน้ ๆ ไดเช่ือมโยงกับความตองการ หรือมาตรฐานที่ไดรับการตัดสินใจวามีความเหมาะสมที่จะพัฒนา ประสบการณการเรียนรู วาโร เพ็งสวัสด์ิ (2553) สรุปความหมายของรูปแบบว่าหมายถึง กรอบความคิดทางด้านหลักการ วิธีการดาเนินงาน และเกณฑ์ตา่ ง ๆ ของระบบ ท่ีสามารถยึดถือเปน็ แนวทางในการดาเนินงาน เพ่ือให้บรรลุ ตามวัตถุประสงคไ์ ด้ เมอ่ื พิจารณาความหมายของรูปแบบการจัดการเรียนการสอน จากที่นกั วชิ าการได้ให้ความหมายไว้ จะเห็นได้ว่า รูปแบบการเรียนการสอนเป็นระบบหรือโครงสรา้ งท่ีสร้างขึ้นภายใต้หลักการ แนวคิดท่ีสัมพันธ์ กับความต้องการที่จะพัฒนา และมีการทดสอบ และพิสูจนที่ยอมรับวามีประสิทธิผล และมีความเหมาะสมที่จะ พัฒนาประสบการณการเรียนรู โดยมีการจัดกระบวนการท่ีเป็นระบบ เพื่อนามาใช้เป็นแนวทางในการจัด กิจกรรมการเรียนการสอน เพ่ือให้บุคคลมีพฤติกรรมตามความคาดหวัง รูปแบบการจัดการเรียนรูนอกจาก จะตองสรางมาจากทฤษฎีและแนวคิดที่ผูวิจัยเช่ือถือแลว ยังตองสรางมาจากการสังเกตผูเรียน และ ประสทิ ธิผลที่ผู้วจิ ัยเลือกใชว้ ิธีการจัดการเรียนการสอนให้กบั ผ้เู รียน สาหรับงานวิจัยน้ี รูปแบบหมายถึง กรอบความคิดเชิงโครงสร้าง ที่เป็นแนวคิดหลักการ กระบวนการ ที่แสดงออกมาเป็นแผนภาพ เพ่ือช่วยให้เกิดความเข้าใจความสัมพันธ์ขององค์ประกอบหรือ ตัวแปรตา่ ง ๆ ทีเ่ กีย่ วข้อง 4.1.2 ประเภทของรูปแบบ จากการทบทวนวรรณกรรมพบว่า การจาแนกประเภทของรูปแบบ เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการอธิบายรูปแบบน้ัน ๆ วาโร เพ็งสวัสดิ์ (2553) ได้รวบรวมประเภทของ รูปแบบทางการศกึ ษา ไว้ดังน้ี Smith and others (1980) จาแนกประเภทของรูปแบบออกเปน็ 2 ประเภท ได้แก่ 1) รูปแบบเชิงกายภาพ (Physical Model) เป็นรูปแบบที่มีลักษณะทางกายภาพแบบ คล้ายจรงิ (Iconic Model) เชน่ เคร่อื งบินจาลอง หรอื แบบเสมอื นจริง (Analog Model) 2) รูปแบบเชิงสัญลักษณ์ (Symbolic Model) เป็นรูปแบบข้อความ (Verbal Model) ซึ่งเป็นการอธิบายโดยใช้ข้อความ หรือใช้ข้อมูลเชิงคุณภาพ และรูปแบบทางคณิตศาสตร์ (Mathematical Model) ซงึ่ เป็นการใชข้ ้อมลู เชิงปรมิ าณ เช่น สมการ และโปรแกรมเชิงเสน้ เป็นต้น

33 Steiner (1988) จาแนกประเภทรปู แบบออกเปน็ 2 ประเภทเชน่ กัน แตต่ ่างกนั ทวี่ ัตถปุ ระสงค์ของ การจาแนกประเภท โดยรูปแบบมี 2 ประเภท คือ รปู แบบเชงิ กายภาพ (Physical Model) และรปู แบบเชงิ แนวคิด (Conceptual Model) Keeves (1988) ได้จาแนกรูปแบบออกเป็น 4 ประเภท ได้แก่ 1) รูปแบบเชิงเปรียบเทียบ (Analogue Model) เป็นรูปแบบเชิงกายภาพ ส่วนใหญ่ใช้ในด้านวิทยาศาสตร์ เช่น รูปแบบโครงสร้าง อะตอมที่สร้างข้ึนโดยใช้หลักการเปรียบเทียบโครงสร้างของรูปแบบให้สอดคล้องกับลักษณะที่คล้ายกันทาง กายภาพ 2) รูปแบบเชิงข้อความ (Semantic Model) เป็นรูปแบบท่ีใช้ภาษาในการบรรยายหรือ อธิบาย ปรากฏการณ์ที่ศึกษาด้วยภาษา แผนภูมิหรือรูปภาพ เพ่ือให้เห็นโครงสร้างทางความคิด องค์ประกอบ และ ความสัมพันธ์ขององค์ประกอบของปรากฏการณ์น้ัน 3) รูปแบบเชิงคณิตศาสตร์ (Mathematical Model) เป็นรูปแบบที่ใช้แสดงความสัมพันธ์ ขององค์ประกอบหรือตัวแปร โดยใช้สัญลักษณ์ทางคณิตศาสตร์ 4) รูปแบบเชิงสาเหตุ (Causal Model) เป็นรูปแบบที่นาเทคนิคการวิเคราะห์เส้นทาง (Path analysis) มาใช้ 4.1.3 ลักษณะของรูปแบบ วาโร เพ็งสวัสดิ์ (2553) ได้กล่าวถึงลักษณะของรูปแบบที่ดีไว้ 5 ประการ คอื 1) รูปแบบควรประกอบด้วยความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างระหว่างตัวแปรมากกว่า ความสัมพันธ์เชิงเส้นตรงธรรมดา แต่อย่างไรก็ตามความสัมพันธ์เชิงเส้นตรงนั้นมีประโยชน์ในช่วงของการ พัฒนารูปแบบ 2) รูปแบบควรนาไปสู่การทานายผลที่ตามมา ซ่ึงสามารถตรวจสอบได้ด้วยข้อมูล เชิงประจักษ์ โดยเมื่อทดสอบรูปแบบแล้ว ถ้าพบว่าไม่สอดคล้องกับข้อมูลเชิงประจักษ์ รูปแบบนั้นจะถูก ยกเลกิ ไม่ได้รบั การยอมรบั 3) รปู แบบควรอธบิ ายโครงสรา้ งความสมั พนั ธเ์ ชงิ เหตุผลของเรือ่ งที่ศกึ ษาได้อยา่ งชัดเจน 4) รูปแบบควรเป็นเครอื่ งมือในการสร้างความคิดรวบยอดใหม่ (new concept) และการ สรา้ งความสัมพนั ธข์ องตัวแปรใหม่ ซงึ่ จะเป็นการเพ่มิ องคค์ วามรูใ้ นเรอ่ื งที่ศึกษา 5) รูปแบบในเร่ืองใด จะเป็นเช่นไร มีองค์ประกอบอย่างไรนั้น ข้ึนอยู่กับกรอบของทฤษฎี ในเร่อื งน้นั ๆ 4.2 การพฒั นารูปแบบการเรียนรู้ การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นทักษะด้านวิชาชีพ เป็นกระบวนการเพื่อส่งเสริม ความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ เพื่อนาไปสู่การปฏิบัติ Greiff และ Kyllonen (2016) ได้ให้ความหมาย ของการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนว่าเป็นการเสริมสร้างทักษะท่ีทันสมัย เช่น การแก้ปัญหาความคิด สร้างสรรค์ การทางานร่วมกัน และความรู้ด้านคอมพิวเตอร์และข้อมูล ท่ีควรถูกนามาใช้ร่วมกัน และเป็น วธิ ีการท่เี กี่ยวข้องกนั ซึง่ ทาให้เกิดการทา้ ทายความสามารถในการปรบั ปรงุ คณุ ภาพการศึกษา

34 ในขณะที่ Lisa Vernon (2003) ได้ช้ีให้เห็นว่าการเรียนการสอนขึ้นอยู่กับมาตรฐานการเรียนรู้ ซง่ึ หมายความว่า ผูส้ อนต้องให้ความรว่ มมอื ในการวางแผนบทเรียนท่ียึดผู้เรียนเป็นศนู ยก์ ลาง ซึ่งจะสามารถ ทาให้ผลการเรียนของนักศึกษาสูงขึ้น โดยร่วมมือกับนักศึกษา เพ่ือพัฒนาผลการเรียนของนักศึกษาเอง ภายใตก้ ารพฒั นารปู แบบการเรียนรู้ดา้ นวชิ าชีพ ผู้วิจัยจึงได้ทบทวนเอกสารเกย่ี วกับรูปแบบการจัดการเรยี น การสอน เพือ่ เป็นพ้นื ฐานความคิดในการพัฒนารปู แบบการเรยี นการสอนดา้ นวชิ าชีพไว้อย่างเปน็ ระบบ นอกจากน้ี Saylor และคณะ (1981: 272 อา้ งองิ ใน คณาพร คมสนั , 2540: 75) กล่าววา่ การพัฒนา รปู แบบการเรียนการสอน มสี ิ่งท่คี วรพิจารณา 5 ประการ คือ 1) เป้าหมายทต่ี ้องการใหผ้ ู้เรยี นบรรลุ 2) โอกาสสงู สุดทสี่ ามารถบรรลุเปา้ หมายได้หลายประการ 3) ความสามารถสร้างแรงจูงใจให้แกผ่ เู้ รยี น 4) หลักการพ้นื ฐานทางทฤษฎี และหลักการเรียนร้ปู ระกอบ 5) ความสะดวกใช้ และยดื หยนุ่ ในการปรบั ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ จากการทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยเกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ พบว่าการพัฒนา รูปแบบการเรียนรู้มักทาในรูปของการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ซ่ึงวาโร เพง็ สวสั ดิ์ (2553) ได้สรุปว่ามีขน้ั ตอนการดาเนินการ 2 ขนั้ ตอนคือ 1) การสร้างหรือพัฒนารูปแบบ (Construct) ผู้วิจัยจะต้องสร้างรูปแบบสมมติฐาน (Hypothesis Model) ข้ึนมาก่อน โดยศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและผลการวิจัยที่เก่ียวข้อง นอกจากน้ีอาจจะ ศึกษาข้อมูล สภาพการณ์จริงเป็นรายกรณีในหน่วยงานท่ีดาเนินการเร่ืองน้ัน ๆ ได้เป็นอย่างดี และนาผล การศึกษามากาหนดองค์ประกอบหรือตัวแปรต่าง ๆ ภายในรูปแบบ รวมท้ังลักษณะความสัมพันธ์ระหว่าง องค์ประกอบหรอื ตัวแปรเหล่านัน้ พรอ้ มท้ังลาดับกอ่ นหลังของแต่ละองค์ประกอบในรปู แบบ 2) การตรวจสอบความเที่ยงตรงของรูปแบบ (Validate) ภายหลังที่ได้พัฒนารูปแบบ ในขั้นตอนแรกแล้ว ผู้วิจัยจาเป็นต้องทดสอบความเท่ียงตรงของรูปแบบดังกล่าว เพราะรูปแบบที่พัฒนาขึ้น ถึงแม้จะพัฒนาโดยมีรากฐานจากแนวคิดทฤษฎี รูปแบบของบุคคลอื่นและผลการวิจัยที่ผ่านมา แต่ก็เป็น เพียงรูปแบบสมมติฐาน ซึ่งต้องมีการตรวจสอบความเหมาะสม และประสิทธิภาพของรูปแบบว่าเป็นไป ตามท่ีมุ่งหวังหรือไม่ อย่างไร การเก็บรวบรวมข้อมูลในสถานการณ์จริงหรือการทดลองใช้รูปแบบใน สถานการณ์จริง จะทาให้ทราบอิทธิพลหรือความสาคัญและความสัมพนั ธ์ขององค์ประกอบย่อยหรือตวั แปร ต่าง ๆ ในรูปแบบ ผู้วิจัยอาจจะปรับปรุงรูปแบบใหม่โดยตัดองค์ประกอบหรือตัวแปรที่พบว่าไม่มีอิทธิพล หรอื ความสาคญั ออกจากรปู แบบ เพ่ือให้รูปแบบมคี วามเหมาะสมยงิ่ ขนึ้ การทดสอบรปู แบบอาจจะดาเนินการได้ใน 4 ลักษณะ ดงั น้ี 1) การทดสอบรูปแบบด้วยการประเมินตามมาตรฐานที่กาหนด การประเมินที่พัฒนาโดย The Joint Committee on standards of Educational Evaluation (1994) ได้นาเสนอมาตรฐานท่ีใช้ ประเมิน 4 ด้าน ได้แก่ มาตรฐานด้านความเป็นประโยชน์ (Utility Standards) ประกอบด้วย 7 มาตรฐาน ย่อย ท่ีเป็นการประเมินการตอบสนองต่อความต้องการของผู้ใช้รูปแบบ มาตรฐานด้านความเป็นไปได้

35 (Feasibility Standards) ประกอบด้วย 3 มาตรฐานย่อย ซึ่งเป็นการประเมินความเป็นไปได้ในการนาไป ปฏิบัติจริง มาตรฐานดา้ นความเหมาะสม (Propriety Standards) ประกอบด้วย 8 มาตรฐานยอ่ ย เป็นการ ประเมินความเหมาะสมทั้งด้านกฎหมายและศีลธรรม และมาตรฐานด้านความถูกต้องครอบคลุม (Accuracy Standards) ประกอบด้วย 12 มาตรฐานย่อย เป็นการประเมินความน่าเช่ือถือและได้สาระ ครอบคลุมครบถว้ น 2) การทดสอบรูปแบบด้วยการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ การทดสอบรูปแบบในบางเร่ือง ไม่สามารถกระทาได้โดยใชข้ ้อมูลเชงิ ประจกั ษ์ ดว้ ยการประเมินทางสถติ ิ เพราะมีความละเอียดอ่อนเกินกว่า ที่จะใช้ตัวเลขมาประเมิน การทดสอบรูปแบบจึงต้องใช้ผู้ทรงคุณวุฒิประเมิน การประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ จะเน้นการวิเคราะห์วิจารณ์อย่างลึกซ้ึงในประเด็นที่ถูกพิจารณา ตามวิจารณญาณของผู้ทรงคุณวุฒิ เพ่ือให้ ได้ข้อสรุปเก่ียวกับคุณภาพ ประสิทธิภาพ และความเหมาะสมของส่ิงท่ีประเมิน การทดสอบรูปแบบด้วย การประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ เป็นรูปแบบการประเมินท่ีเป็นความชานาญเฉพาะทาง (Specialization) ในเร่ืองท่ีจะประเมิน โดยเร่ิมมาจากการวิจารณ์งานศิลปะที่มีความละเอียดอ่อนลึกซึ้ง ต้องใช้ผู้เช่ียวชาญ ระดับสูงมาเป็นผู้วินิจฉัย ต่อมาได้นามาประยุกต์ใช้ในการศึกษาระดับสูง ในเร่ืองท่ีต้องการความลึกซ้ึงและ ความเช่ียวชาญเฉพาะ นอกจากนี้รูปแบบการประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิ ยังเป็นรูปแบบที่ใช้ตัวบุคคลคือ ผู้ทรงคุณวุฒิเป็นเครื่องมือในการประเมิน โดยให้ความเชื่อถือผู้ทรงคุณวุฒิ โดยมาตรฐานและเกณฑ์การ พิจารณาต่าง ๆ จะเกดิ จากประสบการณแ์ ละความชานาญของผูท้ รงคณุ วุฒนิ ่ันเอง รปู แบบนี้มีความยืดหยุ่น ในกระบวนการทางานของผู้ทรงคุณวุฒินับต้ังแต่การกาหนดประเด็นสาคัญที่จะนามาพิจารณา การบ่งชี้ ข้อมูลที่ต้องการ การรวบรวมข้อมูล การประเมินผลและการวินิจฉัยข้อมูล การประเมินโดยผู้ทรงคุณวุฒิท่ี นิยมใช้กันคือการสัมมนาอิงผเู้ ช่ียวชาญ (connoisseurship) เพ่อื ใหผ้ ู้เชี่ยวชาญท่ีเกยี่ วข้องรับรอง รวมท้ังให้ ความคดิ เหน็ และขอ้ เสนอแนะเก่ียวกบั รูปแบบทพี่ ฒั นาข้นึ (รัตนะ บวั สนธ์, 2551) 3) การทดสอบรูปแบบโดยการสารวจความคิดเห็นของบุคลากรที่เก่ียวข้อง มักจะใช้กับ การพัฒนารูปแบบโดยเทคนคิ เดลฟาย เมื่อผู้วิจัยได้พัฒนารูปแบบเรยี บร้อยแลว้ จะนารูปแบบที่พัฒนาข้ึนใน รอบสุดท้ายมาจัดทาเป็นแบบสอบถามท่ีมีลักษณะเป็นแบบประมาณค่า (Rating scale) เพื่อนาไปสารวจ ความคิดเหน็ ของบุคคลทเี่ ก่ยี วข้องในประเด็นเกีย่ วกับความเหมาะสมและความเป็นไปไดข้ องรูปแบบ 4) การทดสอบรูปแบบโดยการทดลองใช้รูปแบบ การทดสอบรูปแบบโดยการทดลองใช้ รูปแบบน้ี ผู้วิจัยจะนารูปแบบท่ีพัฒนาขึ้นไปทดลองใช้จริงกับกลุ่มเป้าหมาย มีการดาเนินการตามกิจกรรม อย่างครบถว้ น และจะนาขอ้ ค้นพบที่ได้จากการประเมนิ ไปปรับปรุงรูปแบบต่อไป ในการวิจัยนี้ผู้วิจัยใช้วิธีการนารูปแบบท่ีพัฒนาขึ้นไปทดลองใช้จริงกับกลุ่มเป้าหมาย และทดสอบ รปู แบบด้วยการประเมินโดยผู้ทรงคณุ วุฒิโดยการสัมมนาองิ ผ้เู ช่ยี วชาญ

36 4.3 องค์ประกอบของรปู แบบการเรยี นการสอน มีผูใหแนวคดิ เกย่ี วกบั องคประกอบของรปู แบบ ดงั นี้ ทิศนา แขมมณี (2558 : 221-222, 224) กลาวถึง องค์ประกอบของรูปแบบการเรียนการสอน ต้องมีองค์ประกอบที่สาคัญได้แก่ 1) มีปรัชญา ทฤษฎี หลักการ แนวคิด เป็นพื้นฐานของรูปแบบ 2) มีวัตถุประสงค์ของรูปแบบ 3) มีกระบวนการของรูปแบบ อธิบายหรือให้ข้อมูลเกี่ยวกับ วิธีการสอน 4) ผลท่จี ะไดรบั จากการใชรปู แบบ เมคเกอร ซี จูน (Maker, C. June, 1982: 1) ไดกลาวถึง ลักษณะสาคัญของรูปแบบการเรียน การสอน ไดแก่ 1) มีจดุ มุงหมายเฉพาะ หรือเนนครอบคลุมเร่ืองนนนั้ ๆ 2) อยูภายใตสมมติฐานท่ีเด่นชัดและ แอบแฝงเก่ียวกับลักษณะของผู้เรียน และเกี่ยวกับลักษณะของผู้เรียน 3) กระบวนการเรียนการสอน การพัฒนาประสบการณ์ผู้เรียน 4) มีแบบแผนเฉพาะและมีกิจกรรมการเรียนรู ที่ตองกระทา และ 5) มีโครงรางของการวิจัยรูปแบบเพ่ือพัฒนารูปแบบหรือประเมินประสิทธิผลของรูปแบบ โดยทุกรูปแบบ การเรียนการสอนจะตองมีภูมิหลังของการพัฒนารูปแบบหรือการตัดสินใจเลือกใชรูปแบบน้ีเน่ืองมาจาก ประสทิ ธิผลทไ่ี ด้ ชนกนารถ ช่ืนเชย (2550: 179 -180) ไดพัฒ นารูปแบบการจัดการศึกษาต อเน่ืองใน สถาบันอุดมศึกษาเอกชน พบวารูปแบบมีองคประกอบ 9 องคประกอบ ไดแก 1) ปรัชญาและหลักการของ การศึกษาตอเนื่อง 2) กลุมเปาหมายของการจัดการศึกษาตอเนื่อง 3) จุดมุงหมายของการจัดการศึกษา ต่อเนื่อง 4) โครงสรางระบบบริหารของการศึกษาตอเน่ือง 5) หลักสูตรการเรียนการสอนของการศึกษา ต่อเนื่อง 6) วิธีการจัดการศึกษาตอเน่ือง 7) ส่ือการศึกษาและแหลงเรียนรูของการศึกษาตอเน่ือง 8) การติดตามและประเมินผลของการศึกษาตอเนื่อง และ 9) การเทียบระดบั และเทียบโอนผลการเรียน อัมพร พงษกังสนานันท (2550 : 274-275) ไดพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษานอกระบบ ในสถานศึกษาข้ันพ้ืนฐานเพื่อสงเสริมการศึกษาตลอดชีวิต พบวารูปแบบมีองคประกอบ 8 องคประกอบ ไดแก 1) ปรัชญาและหลักการจัดการศึกษา 2) หลักสูตร 3) การจัดการเรียนรู 4) การประเมินผลการเรียนรู 5) การเทียบโอนความรูและประสบการณและการเทียบระดับการศึกษา 6) การบริหารและการจัดการศึกษา 7) กลุ่มเปาหมาย และ 8) การมีสวนรวมของพอแมและชุมชน ขณะที่ Senge (2000) อธิบายว่า การพัฒนาสถานศึกษาให้เป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้นั้น จาเปน็ ต้องสรา้ งชุมชนแหง่ การเรียนรู้ทางวิชาชีพของผู้สอน และได้เสนอองค์ประกอบของรูปแบบการเรียนรู้ ดังต่อไปนี้ 1) ก า ร เรี ย น ก าร ส อ น ข อ งส ถ า น ศึ ก ษ า ต้ อ งเน้ น ก า ร ยึ ด ผู้ เรีย น เป็ น ส า คั ญ (learner-centered) มากกวา่ ยดึ ผู้สอนเปน็ ศูนยก์ ลาง 2) การดาเนินงานต้องกระตุ้นและให้การยอมรับถงึ ความสาคัญของความหลากหลายแทน การทาแบบเดยี วกนั

37 3) สร้างความเขา้ ใจและยอมรับว่าในการเปลี่ยนแปลงน้นั ทุกองค์ประกอบจะต้องเกี่ยวพัน และส่งผลกระทบต่อกันตลอดเวลา ดังนั้นการจัดการเรยี นรู้ให้นักเรียนจะต้องละเว้นการสอนแบบท่ีมุ่งเน้น ความจา ข้อเท็จจริง หรือการใหผ้ เู้ รยี นพยายามค้นหาเฉพาะคาตอบทีถ่ ูกต้องเพียงคาตอบเดียวเทา่ นั้น 4) ต้องช่วยกันให้ทุกคนร่วมกันเรียนรู้เพ่ือแสวงหาและค้นคว้าทดลองหาทฤษฎีใหม่ ๆ ทส่ี ามารถนามาใชใ้ นทางการศึกษาได้อยา่ งเหมาะสม และอยา่ งกว้างขวางโดยสมาชิกทมี 5) ต้องบูรณาการการจัดการศึกษาของสถาบันเข้ากับเครือข่ายความสัมพันธ์ทางสังคม เช่น ผู้ปกครองและครอบครัว ตลอดจนหน่วยงานต่าง ๆ ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐที่ประกอบเป็นชุมชน โดยรวม เปน็ ตน้ โดยสรุปองค์ประกอบของรูปแบบการเรียนการสอนประกอบด้วยองค์ประกอบหลักๆ ที่สาคัญ ได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 หลักการ แนวคิด องค์ประกอบที่ 2 ส่ิงสนับสนุนการเรียนรู้ องค์ประกอบที่ 3 กระบวนการจัดการเรียนการสอน และองค์ประกอบท่ี 4 การประเมนิ ผล 4.4 การจดั การเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 4.4.1 แนวคิดการจัดการเรียนการสอนในศตวรรษที่ 21 การจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอนเพ่ือให้ สอดคล้องกับการเรียนรู้ในศตวรรษท่ี 21 ต้องเน้นการเสริมสร้างและพัฒนาทักษะศตวรรษที่ 21 ให้มีความ โดดเด่นในด้านที่มีความจาเป็นในการปฏิบัติงานและการใช้ชีวิตในบริบทที่มีความซับซ้อน เช่น ทักษะ การคิดวิเคราะห์ การเรียนรู้วิธีการแก้ปัญหา การคิดสร้างสรรค์ การสื่อสาร การร่วมมือ การใช้สารสนเทศ สื่อ และเทคโนโลยี การปรับเปลี่ยนต้องเร่ิมต้นท่ีระบบการศึกษา เพ่ือให้ก้าวข้ามสาระวิชาไปสู่การเรียนรู้ ทักษ ะเพื่ อการดารงชีวิตในศตวรรษ ท่ี 21 (Siriluk, Prachanban และ Parnichparincha, 2014; Thanormchayathawat และคณะ, 2016) García (2015) ไดอ้ ธิบาย หลกั การท่ีเป็นจุดเน้นทางดา้ นการศกึ ษาในรปู แบบใหมว่ ่าประกอบด้วย 1) การใช้เทคโนโลยี ท่ีสัมพันธ์กับการต้องการในการพัฒนาข้อมูลข่าวสาร และการรอบรู้ ในการตดิ ต่อส่ือสาร 2) วิธีการของการคิด ประกอบด้วย ความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์และนวัตกรรม การคิด อยา่ งมีวิจารณญาณ การคิดแก้ไขปัญหา และการตดั สินใจ 3) วธิ กี ารใหมใ่ นการทางานผา่ นการติดตอ่ สอื่ สารและความรว่ มมือ 4) วิธีการใช้ชีวิตในโลกปัจจุบัน เช่น การเป็นพลเมืองของท้องถิ่นและระดับโลก การใช้ ชีวิตและการทางาน ความรับผิดชอบของบุคคลและสังคม รวมทั้งความตระหนักทางวัฒนธรรมและ ความสามารถ ณัจยา หนุนภักดี (2559) กล่าวว่า การจัดการเรียนการสอนควรต้องบูรณาการในเชิงสหวิทยาการ (interdisciplinary) ยึ ด โ ค ร ง ง า น เป็ น ฐ า น (Project-Based) แ ล ะ ขั บ เค ลื่ อ น ด้ ว ย ก า ร วิ จั ย (Research-driven) ท่ีมีความเช่ือมโยงกับทุกภาคส่วนทั้งท้องถิ่น/ชุมชน ประเทศ และโลก หลักสูตรจะไม่ ยึดตาราเป็นตัวขับเคล่ือน (Textbook-driven) หรือแบบแยกส่วน (Fragmented) แต่จะเป็นหลักสูตรท่ีมี

38 การเรียนรู้ด้วยวิธีการสอนท่ีหลากหลาย ซ่ึง Partnership for 21st century Skills (2009) ได้ให้ ข้อเสนอแนะต่อการดาเนนิ การดา้ นหลกั สูตร ไวด้ งั นี้ 1) การออกแบบหลักสูตรจะต้องเน้นการเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมเพ่ือพัฒนาความรู้ความ เข้าใจอย่างแท้จรงิ เพอื่ นาไปสกู่ ารพัฒนาทกั ษะแห่งศตวรรษท่ี 21 2) หลักสูตรจะเป็นปัจจัยนาเข้าที่ช่วยให้เกิดการพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 การออกแบบหลักสูตรจะถูกถ่ายทอดมาสู่การออกแบบรายวิชาและนามาสู่การกาหนดวัตถุประสงค์การ เรียนรู้ และวิธีการเรียนการสอน ซ่ึงทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 จะเป็นหน่วยของการประเมินผลการเรียนรู้ ดว้ ยวธิ ีการทหี่ ลากหลาย 3) การจัดประชุมสัมมนาเพ่ือทาความเข้าใจต่อหลักสูตรและวิธีการเรียนการสอนเพื่อให้ ผู้ที่เก่ียวข้องได้ทาความเข้าใจที่ตรงกันต่อทักษะแห่งศตวรรษท่ี 21 รวมท้ังส่งเสริมสมรรถนะต่อการ ออกแบบการเรียนรู้ทพี่ ฒั นาทกั ษะแห่งศตวรรษที่ 21 4) การประเมินผลการเรียนรู้ต้องหลากหลายไม่ใช่ประเมินจากแบบทดสอบท่ีเน้นท่องจา ดังน้ันควรกาหนดวิธีการประเมินท่ีสามารถประเมินการแสดงออกไว้ เช่น การนาเสนอหน้าชั้น การจัดทา รายงาน 5) กาหนดไว้ให้ชัดเจนถึงวิธีการประเมินและปรับปรุงพัฒนาหลักสูตรและวิธีการเรียน การสอนเพื่อพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 6) ความร่วมมือของการพัฒนาหลักสูตรและวิธีการจัดการเรียนการสอนเป็นสิ่งท่ีสาคัญ ทั้งน้ีต้องมีความร่วมมือจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้ทรงคุณวุฒิ เพ่ือให้การพัฒนาหลักสูตรและการเรียนการ สอนนนั้ มีความครอบคลุมและตรงตามวตั ถุประสงคข์ องหลกั สตู รมากที่สดุ ในขณะที่ วิจารณ์ พานชิ (2556) กลา่ วถึงการสอนท่ดี ใี นการสร้างการเรียนรู้สู่ศตวรรษท่ี 21 ไวด้ ังนี้ 1) ต้องเข้าใจความรู้เดมิ ของผู้เรยี น เพราะในปัจจบุ ันการเข้าถึงความรู้ทาได้ง่าย ซึ่งความรู้ ที่แต่ละคนได้มานั้นอาจจะมีทั้งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้อง ผู้สอนจึงต้องประเมินและหาวิธีจัดการกับความรู้ท่ี ไมถ่ กู ตอ้ งก่อน 2) การจัดระบบความรู้ (knowledge organization) เป็นส่ิงท่มี ีความสาคัญต่อการเรียนรู้ ของผู้เรียน เพราะการจัดระเบียบความรู้ในสมองจะช่วยให้สามารถนาความรู้มาใช้ได้ทันท่วงทีและ ถูกกาลเทศะ คนท่ีสามารถจัดระบบความรู้ในสมองได้ดีจึงเรยี นหนังสือได้ดี สามารถเชอ่ื มโยงความรู้ที่มีอยู่ กบั บริบทเพื่อการใชง้ านไดอ้ ยา่ งเหมาะสมทันท่วงที 3) แรงบันดาลใจ (inspiration) เป็นอีกเร่ืองหน่ึงท่ีสาคัญมาก ท่ีจะทาให้ผู้เรียนอยาก เรียนรู้ อยากเป็นและอยากทา ดังน้ันครูท่ีดีจะต้องมีวิธี และมีความเอาใจใส่ที่จะสร้างแรงจูงใจหรือ แรงบนั ดาลใจให้ผ้เู รยี น 4) การเรียนที่ถูกต้อง ผู้เรียนจะต้องเรียนจนรู้จริง (Mastery learning) ดังนั้นผู้เรียน จะตอ้ งเปน็ ผรู้ ับผดิ ชอบการเรยี นร้ขู องตนเอง และดาเนนิ การเรียนรู้จนบรรลุเปา้ หมาย


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook