พฒั นารูปแบบการเรยี นการสอนที่เนน้ ทกั ษะกระบวนการ เพ่ือส่งเสริมความสามารถด้านการคิดวเิ คราะห์ สาหรบั นกั ศกึ ษาพยาบาล วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี ลัดดา เหลืองรัตนมาศ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสขุ เมษายน 2561
ประกาศคณุ ูปการ รายงานวิจัยฉบับน้ีเกดิ จากความต้ังใจของผวู้ ิจัยท่ีต้องการให้นกั ศกึ ษามีกระบวนการคดิ วิเคราะห์ ท่ถี ูกต้อง เพอ่ื เป็นทักษะพน้ื ฐานในการเรยี นและการปฏบิ ตั ิงาน งานวิจยั สาเรจ็ ลุลว่ งดว้ ยดีดว้ ยความ อนุเคราะหจ์ ากคณาจารยด์ ังน้ี อาจารยน์ าฏอนงค์ อาจารยว์ รพนติ อาจารย์วารณุ ี มีหลาย อาจารย์ศุภกร หวานกระโทก ที่รว่ มเปน็ ทมี ผู้สอน เป็นอาจารยป์ ระจากลุ่ม และมีส่วนช่วยให้การดาเนินการวจิ ัยสาเรจ็ ได้ ขอขอบคุณผู้เช่ียวชาญท้ัง ทใ่ี หค้ วามอนเุ คราะห์ ตรวจเครื่องมือวจิ ัย ทาให้งานวจิ ยั มคี ณุ ค่าและ นา่ เชือ่ ถือ ขอขอบคุณนกั ศกึ ษาพยาบาลศาสต ช้ันปีท่ี 2 รนุ่ ทเ่ี ข้าร่วมการศึกษาวจิ ัย ใหค้ วามรว่ มมือในการ ทาวจิ ยั ทาให้การวจิ ัยลลุ ่วงไปได้ดว้ ยดี ตลอดจนบุคคลอื่นๆ ที่คอยให้ความชว่ ยเหลือ ให้กาลังใจซง่ึ ผูว้ จิ ัย ไม่สามารถกล่าวนามได้หมดในที่นี้ ผวู้ ิจยั ขอขอบคณุ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี ทีใ่ หท้ นุ สนบั สนุนการวิจัยในคร้งั นี้ ข้อ ค้นพบที่ก่อนให้เกดิ ประโยชนข์ องงานวจิ ยั ฉบับนี้ จะเปน็ แนวทางสาหรบั การศึกษา ผู้สอน ตลอดจนผ้ทู ี่ สนใจ สามารถนาแนวคิดการจดั การเรยี นการสอนท่ีเน้นกระบวนการไปพัฒนาการจัดการเรียนการสอน เพ่อื พัฒนาผู้เรียนใหเ้ กดิ ทกั ษะด้านการคดิ วเิ คราะห์ ผ้วู ิจยั
ค พัฒนารปู แบบการเรียนการสอนที่เน้นทกั ษะกระบวนการ เพือ่ สง่ เสริมความสามารถดา้ นการคิดวเิ คราะห์ สาหรับนกั ศกึ ษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบรุ ี การคิดวิเคราะห์เป็นหน่ึงในทักษะสาคัญของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21 การจัดการเรียน การสอนจึงใหค้ วามสาคัญต่อการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การศึกษาน้ีมีวัตถุประสงค์ 1) ศกึ ษาสภาพ ปัจจุบันและความต้องการด้านการจัดการเรียนรู้เพ่ือพัฒนาการคิดวิเคราะห์ของนักศึกษา 2) พัฒนา รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นทักษะกระบวนการ 3) ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบโดยศึกษาการคิด วิเคราะห์ที่เกิดกับนักศึกษา รูปแบบการวิจัยเป็นวิจัยและพัฒนา มี 4 ระยะคือระยะท่ี 1 ศึกษาสภาพ ปัจจุบัน ความคาดหวังและความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของนักศึกษาพยาบาลช้ันปีท่ี 2 ระยะท่ี 2 พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนท่ีเน้นทกั ษะกระบวนการ เพ่ือส่งเสริมความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ สาหรบั นกั ศกึ ษาพยาบาล วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี ระยะท่ี 3 ทดลองใช้รปู แบบการเรียนการ สอนท่ีเน้นทักษะกระบวนการ และระยะท่ี 4 ประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเน้น ทักษะกระบวนการ กลุ่มตัวอย่างซึ่งเป็นนักศึกษาพยาบาลช้ันปีท่ี 2 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี จานวน 118 คน ที่ลงทะเบียนเรียนวชิ าพยาธิสรีรวิทยา เคร่ืองมือวิจัยประกอบด้วย 1) คู่มือการเรียนการ สอนที่ใช้รูปแบบการเรียนการท่ีเน้นทักษะกระบวนการ 2) แผนการสอนที่ใช้รูปแบบการเรียนการสอนท่ี เน้นทักษะกระบวนการ 3) แบบสังเกตพฤติกรรมการคิดวิเคราะห์และการทากลุ่ม 4) แบบทดสอบความ สามารด้านการคิดวิเคราะห์ ซึ่งมีค่าความเช่ือมั่นเท่ากับ 0.82 ค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.23-0.73 5) แบบสอบถามความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ 6) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการ เรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นทักษะกระบวนการ วิเคราะห์ข้อูลเชิงปริมาณด้วย ค่าร้อยละ ค่าเฉล่ีย ส่วนเบ่ียงเบนมาตรฐาน เปรียบเทียบความแตกต่างของค่าเฉล่ียความสามารถด้านการคิด วิเคราะห์ ก่อนและหลังใช้รูปแบบด้วยสถิติทดสอบที (t- dependent test) และวิเคราะห์ข้อมูลเชิง คณุ ภาพด้วยการวิเคราะห์เนอื้ หาท่ีไดจ้ ากการสมั ภาษณ์ ผลการวจิ ัยพบว่า การจัดการเรยี นการสอนในปัจจุบัน อาจารย์ใชว้ ธิ ีการสอนทีห่ ลากหลายแต่วิธีที่ ใช้มากที่สุดคือ การบรรยาย รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นทักษะกระบวนการกลุ่มประกอบด้วย 4 องค์ประกอบได้แก่ 1) หลักการของรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเน้นทักษะกระบวนการ 2) วัตถุประสงค์ ของรูปแบบ 3) กระบวนการจัดการเรียนการสอน และ 4) การประเมินผลรูปแบบ โดยมีกระบวนการ จัดการเรียนการสอน 7 ขั้นตอนภายใต้แนวคิดการคิดวิคราะห์ของมาร์ซาโน ได้แก่ รู้ฉันรู้เธอ, ปลุก ความคดิ , พนิ ติ ไตรต่ รอง มองหาความเชือ่ มโยง, สร้างขอ้ คาถาม, ระดมสมอง , สรปุ รวบยอดและถา่ ยทอด ความคิด 3) ผลการศกึ ษาประสิทธผิ ลของรูปแบบ พบว่า นกั ศกึ ษามคี ะแนนสอบด้านการคิดวิเคราะห์หลัง
ง เรยี นผา่ นเกณฑ์รอ้ ยละ 70 จานวน105 คน คดิ เป็นรอ้ ยละ 88.98 นกั ศกึ ษามีคะแนนพฤตกิ รรมพฤติกรรม การใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์และกระบวนการกลุ่ม ขณะเรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่ เน้นทักษะกระบวนอยู่ในระดับดีจานวน 110 คน คิดเป็นร้อยละ 93.22 นอกจากนี้นักศึกษาประเมิน ความสามารถของตนเองด้านการคิดวิเคราะห์หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสาคัญทางสถิติท่ีระดับ .01 และนักศึกษามีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้รูปแบบในภาพรวมอยู่ในระดับมาก โดยด้านที่มี ค่าเฉลี่ยสูงท่ีสุดคือด้านผู้สอน สรุปได้ว่ารูปแบบนี้ส่งเสริมการคิดวิเคราะห์ของนักศึกษา และนักศึกษา สามารถประยุกตไ์ ปใช้ในการตัดสนิ ใจได้
จ Development of Instructional Model Emphasizing Process Skill to Enhance Analytical Thinking Nursing Students of Boromarajonani College of Nursing Chon Buri Analytic thinking skill is one of the important skills for learners in 21st century. The current trends of teaching and learning pedagogies focus upon enhancing students analytic thinking skills. The purpose of this study were 1) to study the current situation and needs in learning management system for analytical thinking of students 2) to develop instruction model emphasizing process skill 3) to study the effectiveness of the model by studying the students’ analytical thinking. The research design of this study was Research and Development which consisted of four steps: 1) to study current situation and analytical thinking ability of2nd year nursing students. 2) to develop of instructional model emphasizing process skill. 3) to implement of instructional model emphasizing process skill, and 4) to evaluate of the effectiveness of the instructional model emphasizing process skill. The model was undertaken with 2nd year nursing students, Boromarajonani College of Nursing Chon Buri. The sample comprised 118 students who studied in pathophysiology subject. The research instruments consisted of 1) Handbook for teacher to implement the instructional model emphasizing process skill 2) lesson plan 3) the assessment form of analytical thinking process and group process behavior 4) The analytical thinking test with reliability at 0.82 and difficulty level was between 0.23-0.73 5) self- analytical thinking ability questionnaire and 6) the students’ opinions questionnaires toward the model. Statistics used to analyze quantitative data were percentage (%), mean (���̅���), standard deviation (S.D.) and using t-test to test whether there is significant difference between the mean of analytic thinking ability before and after using instruction model emphasizing process skill. The qualitative data were analyzed by using content analysis method. Results of the study are as follows: the current situation, there are various teaching methods were used but the main method used was lecture. As a result, there are four elements of the instructional model emphasizing process skill, including 1) principle of the instructional model emphasizing process skill 2) objective of the instructional model emphasizing process skill 3) instructional process, and 4) instructional model evaluations .The
ฉ instructional model emphasizing process skill to enhance analytical thinking base on Marzano’ principle consisted of 7 steps; invigorate, stimulate thinking process, classify and related element, develop question, group discussion, summarize the content and transmission 3) The effect of model effectiveness evaluation was that 105 students or 88.98 % had score in analytical thinking higher than criterion of 70%. 110 nursing students or 93.22% were able to establish behavior of analytical thinking process and group working by learning with the model, at the good level. In addition, the analytical thinking ability of the students after participated in learning process were higher than before learning with the significance level of .01. Moreover, the student was satisfied with the whole instructional at high level especially part of teacher (���̅��� = 4.07, S.D. = 0.41). In conclusion, this model has developed student’s analytical thinking skill and ability to integrate and apply the range of knowledge appropriately in the decision-making. Key words: Process skill analytic thinking process group process
สารบญั บทคดั ย่อภาษาไทย ............................................................................................................... หน้า บทคดั ย่อภาษาอังกฤษ........................................................................................................... ค สารบัญ............................................................................................................................. ...... จ สารบญั ตาราง......................................................................................................................... ช สารบญั ภาพ.......................................................................................................................... . ฌ บทที่ ญ 1 บทนา............................................................................................................................. 1 ความเป็นมาและความสาคญั ของปัญหา............................................................... 1 วัตถุประสงคข์ องการวจิ ัย...................................................................................... 4 คาถามการวจิ ัย..................................................................................................... 4 สมมตฐิ านของการวิจัย.......................................................................................... 5 กรอบแนวคิดของการวจิ ยั ..................................................................................... 5 ประโยชน์ทค่ี าดว่าจะได้รบั จากการวจิ ัย................................................................ 7 ขอบเขตของการวิจยั ............................................................................................. 7 นยิ ามศัพท์เฉพาะ.................................................................................................. 8 11 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเี่ ก่ียวข้อง...................................................................................... 11 ตอนท่ี 1 การจัดการเรยี นการสอน........................................................................ 38 ตอนท่ี 2 การคดิ วิเคราะห์..................................................................................... 53 ตอนท่ี 3 กระบวนการกลมุ่ ................................................................................... 61 ตอนที่ 4 วจิ ยั และพฒั นา....................................................................................... 68 ตอนที่ 5 วิจัยการจัดการเรียนการสอนท่ีส่งเสริมความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ 72 72 3 วิธีดาเนินการวจิ ยั ........................................................................................................... การวจิ ยั ระยะท่ี 1 ศกึ ษาสภาพปจั จุบัน ความคาดหวงั ในการพัฒนาการคิดวเิ คราะห์ ของนักศึกษาและความสามารถดา้ นการคดิ วิเคราะห์ของนกั ศึกษา..
ซ สารบญั (ตอ่ ) บทท่ี หน้า การวิจยั ระยะท่ี 2 พัฒนารปู แบบการเรยี นการสอนท่เี นน้ ทักษะกระบวนการ....... 76 การวจิ ยั ระยะที่ 3 ทดลองใชร้ ูปแบบการเรยี นการสอนทเี่ นน้ ทักษะกระบวนการ... 85 การวจิ ยั ระยะท่ี 4 ศึกษาประสิทธิผลของรปู แบบการเรยี นการสอนที่เน้นทักษะ 90 กระบวนการ ............................................................................ การพทิ กั ษ์สทิ ธิ์ของกลมุ่ ตัวอย่าง............................................................................. 95 96 4 ผลการวจิ ัย........................................................................................................................... 97 ตอนท่ี 1 ผลการศึกษาสภาพปัจจบุ ัน ความคาดหวงั การพัฒนาการคิดวิเคราะห์ และความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของนักศึกษาพยาบาล................ 100 ตอนที่ 2 การพัฒนารูปแบบการเรยี นการสอนท่ีเนน้ ทกั ษะกระบวนการเพื่อส่งเสรมิ ความสามารถด้านการคดิ วเิ คราะห์........................................................... 109 ตอนที่ 3 ผลการประเมนิ ประสิทธิผลของรปู แบบการเรียนการสอนท่ีเน้นทักษะ กระบวนการ เพื่อสง่ เสริมความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์.................. 118 119 5 สรปุ ผล อภิปรายผลและขอ้ เสนอแนะ.................................................................................. 122 สรุปผลการวจิ ัย....................................................................................................... 128 อภิปรายผลการวจิ ยั ................................................................................................ 129 ขอ้ เสนอแนะ........................................................................................................... 136 137 บรรณานุกรม........................................................................................................................... 139 ภาคผนวก............................................................................................................................. ... 163 ภาคผนวก ก รายนามผู้เช่ียวชาญ........................................................................... 166 ภาคผนวก ข ตวั อย่างคู่มือการจัดเรยี นการสอน โดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน 183 193 ท่ีเนน้ ทกั ษะกระบวนการ ตัวอยา่ งแผนสอน ...................................... ภาคผนวก ค เครือ่ งมือประเมินความเหมาะสมของการใชร้ ปู แบบฯ....................... ภาคผนวก ง เคร่อื งมือท่ีใชใ้ นการเกบ็ รวบรวมข้อมลู ............................................. ภาคผนวก จ การตรวจสอบคณุ ภาพของเคร่ืองมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมลู ........... ประวัตยิ อ่ ของผวู้ จิ ัย.................................................................................................................
สารบญั ตาราง ตารางที่ หน้า 1 ข้ันตอนการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนทเ่ี นน้ ทกั ษะกระบวนการ........................... 87 2 จานวนและร้อยละของนักศึกษาพยาบาลชน้ั ปีท่ี 2 จาแนกตามลกั ษณะส่วนบุคคล..... 99 3 ค่าเฉลี่ย ส่วนเบ่ยี งเบนมาตรฐาน และระดบั ความสามารถด้านการคดิ วิเคราะห์ 100 โดยรวมและจาแนกเปน็ รายดา้ น ของนกั ศึกษาพยาบาลชัน้ ปที ี่ 2.............................. 108 4 คา่ เฉล่ยี ส่วนเบยี่ งเบนมาตรฐาน และระดับความเหมาะสมของรปู แบบการเรียน การสอนทเี่ นน้ ทักษะกระบวนการ ท่ีส่งเสริมความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ 110 สาหรบั นกั ศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี.............................. 5 จานวนและร้อยละของนักศึกษาจาแนกตามระดับคะแนนพฤติกรรมการคิดวเิ คราะห์ 110 และการทากล่มุ ขณะเรียนด้วยรูปแบบการจดั การเรยี นการสอนท่ีเนน้ ทกั ษะกระบวนการ 111 .. 6 จานวนและรอ้ ยละนักศึกษาท่ีมคี ะแนนสอบผา่ นและไมผ่ ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 จาก 112 การทาแบบทดสอบวดั ความสามารถในการคดิ วิเคราะห์............................................ 7 เปรียบเทียบคา่ เฉลี่ย ส่วนเบย่ี งเบนมาตรฐาน และระดับความสามารถด้านการคิด วิเคราะห์ของนักศึกษาพยาบาลชน้ั ปีท่ี 2 โดยรวมและจาแนกรายดา้ นก่อนและหลัง เรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนทีเ่ น้นทักษะกระบวนการ.................................... 8 คา่ เฉลยี่ สว่ นเบย่ี งเบนมาตรฐาน ระดบั ความพึงพอใจรายด้านและโดยรวม ของนักศึกษา ท่มี ตี อ่ รปู แบบการจดั การเรยี นการสอนท่ีเน้นทักษะกระบวนการ..............................
สารบัญภาพ ภาพท่ี หนา้ 1 กรอบแนวคดิ การวิจัย 7 2 สรปุ ข้นั ตอนการดาเนินการวิจัยแต่ละระยะ 94 3 รูปแบบการเรียนการสอนทเ่ี นน้ ทักษะกระบวนการ เพอ่ื ส่งเสริมความสามารถด้าน 107 การคิดวเิ คราะห์
บทที่ 1 บทนำ ควำมเปน็ มำและควำมสำคญั ของปัญหำ การคิดวิเคราะห์ (Analytic thinking) เป็นทักษะสาคัญของกระบวนการเรียนรู้ใน ระดับอุดมศึกษา บุคคลท่ีมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์จะมีความสามารถในด้านอ่ืนๆ ทั้งทางด้าน สติปัญญาและการดาเนนิ ชวี ติ การคิดวิเคราะห์เป็นพื้นฐานของความคิดท้ังมวล เป็นทักษะที่ทุกคนพัฒนา ได้ (ประพันธ์ศิริ สุเสารัจ, 2551) การพัฒนาการคิดวิเคราะห์เป็นประเด็นที่วงการศึกษาให้ความสาคัญกัน มานาน มีการกาหนดในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 (และท่ีแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับท่ี 2 พ.ศ. 2545) มาตรา 24 ได้ระบุให้สถานศึกษาดาเนินการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไข ปัญหา (คณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, 2545) ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบันซึ่งมีการรับ ขอ้ มูลข่าวสารจากแหล่งต่างๆ ที่หลากหลาย จึงจาเป็นท่ีต้องมีทักษะการคิดวเิ คราะห์ในการพิจารณาเลอื ก ขอ้ มลู ท่ีเหมาะสมและนา่ เชื่อถือมาใช้ในการตัดสินใจ นอกจากนี้นักการศกึ ษาได้ให้ข้อเสนอแนะการพัฒนา ทักษะในระดับอุดมศึกษาควรมุ่งเน้นทักษะการคิดวิเคราะห์และทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ (Analytical and critical thinking skills) ซ่ึงนักศึกษาส่วนใหญ่ในรั้วมหาวิทยาลัยมักจะขาดทักษะท้ังสองด้านนี้ ดังนั้น กระบวนการเรียนรู้ทั้งในและนอกช้ันเรียนในระดับอุดมศึกษาควรจะเป็นกลไกสาคัญในการพัฒนาผู้เรียน โดยผู้สอนเป็นผทู้ ่ีมีบทบาทสาคัญที่จะช่วยให้ผเู้ รียนเกดิ กระบวนการเรยี นรู้ดังกล่าว ปัจจุบันเป็นยุคปฏิรูปการเรียนการสอน ผู้สอนในสถานศึกษาต่างๆ พยายามที่จะพัฒนารูปแบบ และวิธีการจัดการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษา แห่งชาติ พ.ศ. 2542 (และที่แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2 พ.ศ. 2545) มาตราท่ี 22 ที่กาหนดให้การจัดการศึกษาต้องยึด หลักว่า ผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และผู้เรียนมีความสาคัญที่สุด กระบวนการ จัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ เพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้มี ความรู้ความสามารถ เป็นการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (Student Center Instruction) (พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์, 2548) ซ่ึงมีวิธีการสอนหลากหลายวิธีแตกต่างกันไป แต่ท่ีสาคัญต้อง เป็นการสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนมีบทบาทหรือมีส่วนร่วมในการเรียนรู้อย่างต่ืนตัว การจัดการเรียนการสอน แบบเน้นทักษะกระบวนการ (Thinking Process Skill) จัดเป็นรูปแบบหน่ึงของการจัดการเรียนการสอน
2 ที่เน้นผู้เรยี นเป็นศูนย์กลาง และสอดคลอ้ งกับเป้าหมายในการส่งเสริมผู้เรียนให้เกิดทักษะการคิดวเิ คราะห์ (ทศิ นา แขมมณ,ี 2557) การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการคิด (Thinking- Based Instruction) และเน้น กระบวนการกลุ่ม (Group Process-Based Instruction) เป็นการจัดการเรียนการสอนที่ใช้แนวคิดแบบเน้น ทักษะกระบวนการ มีงานวิจัยที่แสดงให้เห็นว่า การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการส่งเสริมให้ นักศึกษามีความคิดวิเคราะห์ดีข้ึน (Prasart, 2009; นัดดา อังสุโวทัย, 2550) นอกจากนี้มีการศึกษาทาง ประสาทวิทยาศาสตร์ซ่ึงได้นามาใช้เป็นแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนแบบใช้สมองเป็นฐานยัง ชี้ให้เห็นว่า กิจกรรมภายในระบบประสาทที่เก่ียวข้องกับการเรียนรู้ ประสบการณ์ใหม่ๆ จะทาให้เซลล์ ประสาทมีการปรับปรุงการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาทหรือการซินแนปส์ (synapse) ที่มีอยู่หรือ เพม่ิ เตมิ ซินแนปส์ข้ึนมาใหม่ สมองจะมีการสร้างเครือข่ายระหว่างเซลล์ประสาทขนึ้ มาใหม่ตลอดเวลาท่ีเรา ใช้สมองในการคิดเพื่อแก้ปัญหาต่างๆ และการเรียนรู้จะเกิดได้ดีที่สุดเม่ือสมองต้องเผชิญกับความเครียด และผ่อนคลายในปรมิ าณท่สี มดุล สภาวะนีก้ ค็ อื ความท้าทายและแรงกดดันจากภายนอก (นัยพนิ จิ คช ภักด,ี 2548 ) มที ฤษฏเี กยี่ วกับการคิดวเิ คราะหห์ ลายทฤษฎี แตท่ ีเ่ ปน็ ทยี่ อมรับแพร่หลายทฤษฎีหนึง่ คือ ทฤษฎี การคิดของมาร์ซาโน (Marzano, 2001) มาร์ซาโนไดเ้ สนอการคดิ ในข้นั วเิ คราะหส์ ามารถจาแนกเปน็ 5 ดา้ นยอ่ ย คือ ดา้ นการจาแนก ด้านการจัดกล่มุ ขององค์ประกอบย่อยของข้อมูลหรอื สถานการณ์และการเชื่อมโยง ด้านการสรปุ ความ ด้านการประยกุ ต์ และดา้ นการคาดการณ์สถานการณ์ท่ีจะเกดิ ขึ้น ความสามารถด้าน การคดิ วิเคราะห์ของนักเรียนนั้นสามารถพัฒนาไดจ้ ากการจดั ประสบการณท์ ี่หลากหลายและจากบรรยากาศ ของการเรียนรรู้ ่วมกนั เช่น การใหส้ ่ิงเรา้ ทีท่ า้ ทายและกระตุ้นใหผ้ ู้เรยี นเกดิ การคดิ การแลกเปลย่ี นความคิด การชีแ้ จงเหตุผล การแก้ปญั หา รวมถงึ วิธกี ารสอนของครทู ่ีส่งผลตอ่ ความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของ นกั เรียน ดงั น้นั กระบวนการเรียนรู้จึงจาเป็นตอ้ งเปล่ียนพฤติกรรมการสอน โดยลดบทบาทครูผสู้ อนจาก ผบู้ รรยายเป็นการวางแผนจัดกิจกรรมใหเ้ กิดทักษะการคิดวิเคราะห์ วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี เปน็ สถาบันการศกึ ษาทีผ่ ลติ บณั ฑติ พยาบาลระดบั วิชาชพี มี แนวคิดในด้านการจัดการเรียนการสอนโดยเอื้ออานวยต่อการพฒั นาทกั ษะการคิดวิเคราะห์ มีการจัดการเรียน การสอนในหมวดวิชาศึกษาทั่วไป และหมวดวิชาเฉพาะ ซง่ึ วิธกี ารสอนแต่ละวิชาในกล่มุ วิชาชีพเป็นการ สอนท่ีหลากหลาย เนน้ ใหน้ ักศึกษาได้เรยี นร้จู ากประสบการณจ์ รงิ แตว่ ชิ าในกลุ่มวิชาพน้ื ฐานวชิ าชีพ ยงั เปน็ การสอนแบบบรรยายเปน็ ส่วนใหญ่ วิชาพยาธิสรีรวิทยาเป็นวชิ าหนงึ่ ในกลุ่มวชิ าพื้นฐานวชิ าชพี ซ่ึงจาเป็น ตอ่ การนาประยุกตใ์ นการเรียนวิชาในกล่มุ วิชาชีพการพยาบาลท้งั ภาคทฤษฎแี ละภาคปฏิบตั ิ ลกั ษณะของ
3 วชิ าน้เี ปน็ วชิ าท่ีมเี น้ือหาคอ่ นขา้ งมาก และเข้าใจไดย้ าก หากผเู้ รยี นไมม่ ีพน้ื ฐานทีด่ ีอาจทาให้เกดิ ความเบื่อหนา่ ย ในการเรียน นอกจากนี้การสอนแบบบรรยายไม่ทำให้นักศึกษำเกิดทักษะดำ้ นกำรคิดวิเครำะห์ จะเห็นไดจ้ ำก ปริ ะมิดกำรเรยี นรู้ (Learning Pyramid) ที่แสดงใหเห็นวำกำรเรยี นรูแบบผู้เรียนน่ังฟังผูส้ อน (Passive Learning) อัตรำกำรเรียนรู (Retention Rate) เพียงรอ้ ยละ 5 ในทำงตรงกันขำมกำรสอนคนอน่ื หรอื ลง มอื ทำโดยนำควำมรูมำใช้หรอื ลงมอื ทันที อัตรำกำรเรียนรูถงึ ร้อยละ 90 และผเู้ รียนสามารถนาความรู้ไป ประยุกต์ใช้ต่อไปได้ (Boulmetis, 2003) การจดั การเรียนการสอนในวชิ าพยาธิสรรี วทิ ยาทผี่ ่านมา ใชว้ ิธกี ารสอนแบบบรรยาย ผเู้ รียนไดแ้ ต่ ฟังผู้สอน และจดจาตามคาบอกของผู้สอน ผู้เรียนก็จะไม่มีโอกาสได้พัฒนาทักษะทางปัญญาด้านการคิด วิเคราะห์ อีกท้ังวัตถุประสงค์ของวิชานี้มุ่งเน้นให้ผู้เรียนมีความรู้ความเข้าในการเปลี่ยนแปลงการทางานของ ระบบต่างๆ ในร่างกาย สามารถอธิบายและเช่ือมโยงสาเหตุ อาการและอาการแสดงรวมถึงการตรวจ วินิจฉัยโรคได้ ซึ่งจาเป็นต้องอาศัยทักษะการคิดวิเคราะห์ ประกอบกับผลลัพธ์การเรียนรู้ของนักศึกษาท่ี เรียนวิชานี้ในด้านทักษะทางปัญญาคือ ผู้เรียนสำมำรถสืบค้นและวิเครำะห์ข้อมูลจำกแหล่งข้อมูลที่ หลำกหลำย และจากงานวิจัยของพัชราวดี ทองเนื่อง (2553) ที่ศึกษาผลของการใช้รูปแบบการเรียนการ สอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญต่อความรู้และการพัฒนาผู้เรียนในรายวิชาพยาธิสรีรวิทยาสาหรับนักศึกษา พยาบาลพบว่า ภายหลังการจัดการเรียนการสอน 5 รูปแบบ ได้แก่ การบรรยายเชิงอภิปราย การอภิปราย กลุ่ม กรณีศึกษา ผังความคิด และการเรียนแบบร่วมมือ นักศึกษามีคะแนนเฉลี่ยด้านพัฒนาตนเองต่าท่ีสุด จากการสอนด้วยวิธบี รรยายเชงิ อภิปรายเมื่อเทียบกับการสอนอีก 4 วิธี นอกจากนี้จากการสัมภาษณ์แบบ เจาะลึกความพึงพอใจการจัดการเรียนการเรียนการสอนวิชาพยาธิสรีรวิทยาของนักศึกษาปี 2 รุ่นที่ 36 นักศึกษามีข้อคิดเห็นที่ตรงกันคือควรมีวิธีการสอนที่หลากหลาย ไม่ควรบรรยายอย่างเดียว เพราะทาให้ รู้สึกเบ่ือเน่ืองจากเนื้อหามาก มีแต่ภาษาอังกฤษจึงไม่ค่อยรู้เร่ือง นอกจากนี้การสอนแบบบรรยายทาใหจ้ า สิ่งท่ีครูสอนและอ่านเอกสารท่ีครูแจกเพื่อไปทาข้อสอบ นักศึกษาขาดการฝึกกระบวนการคิดวิเคราะห์ เช่ือมโยง เม่ือไปเรียนวิชาเกี่ยวกับวิชาชีพพยาบาลจึงไม่สามารถนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ได้เลย ดังนั้นจึง เป็นเรื่องที่น่าสนใจและสาคัญย่ิงในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนที่สามารถทาให้นักศึกษา คิดวิเคราะห์และเขา้ ใจเนอื้ หาวชิ าอย่างถ่องแท้ ผู้วิจัยจึงสนใจส่งเสริมให้นักศึกษาเกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ โดยคาดว่าการนาแนวคิดพัฒนา รูปแบบการเรียนการสอนท่ีเน้นทักษะกระบวนการท่ีผสมผสานแนวคิดเน้นกระบวนการคิดวิเคราะห์ กระบวนการกลุ่มภายใต้แนวคิดกระบวนการทางานของสมองท่ีจัดการเรียนการสอนโดยใชส้ มองเป็นฐาน จะช่วยพัฒนาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักศึกษาได้ ผ้วู ิจยั จงึ ไดพ้ ัฒนารูปแบบการจัดการเรียน
4 การสอนที่เน้นกระบวนการ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของศึกษาพยาบาลที่เรียนวิชา พยาธิสรรี วิทยา โดยจดั กจิ กรรมในบางบทเพอ่ื ใหน้ กั ศึกษาไดฝ้ ึกทักษะกระบวนการคิดวเิ คราะห์ วัตถปุ ระสงค์ของกำรวิจัย 1. ศึกษาสภาพปัจจุบัน ความคาดหวังในการพัฒนาการคิดวิเคราะห์ และความสามารถในการ คดิ วิเคราะห์ ของนักศึกษาพยาบาลชั้นปที ี่ 2 2. เพ่ือพฒั นารูปแบบการเรยี นการสอนทเ่ี นน้ ทักษะกระบวนการ เพ่อื ส่งเสริมความสามารถด้าน การคดิ วเิ คราะห์ สาหรับนักศึกษาพยาบาลชน้ั ปีท่ี 2 3. เพื่อศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นทักษะกระบวนการ โดย 3.1 ศกึ ษาพฤติกรรมการคดิ วเิ คราะห์และการทากลมุ่ ของนักศกึ ษา ขณะทากิจกรรมที่ใช้ รูปแบบการเรยี นการสอนทเี่ น้นทักษะกระบวนการ 3.2 ทดสอบความสามารถด้านการคิดวเิ คราะห์ของนักศึกษา ภายหลังเรยี นด้วยรปู แบบการ เรียนการสอนทเี่ น้นทักษะกระบวนการ 3.3 เปรยี บเทยี บความสามารถด้านการคดิ วเิ คราะห์ก่อนและหลังเรียนดว้ ยรูปแบบการเรียน การสอนทเี่ น้นทกั ษะกระบวนการ 3.4 ศึกษาความพงึ พอใจของนักศึกษาต่อการเรียนด้วยรปู แบบการเรยี นการสอนทเี่ น้น ทกั ษะกระบวนการ คำถำมกำรวจิ ัย 1. สภาพปจั จุบนั และความคาดหวังการพัฒนาการคิดวเิ คราะห์ของนักศึกษาพยาบาลชน้ั ปีที่ 2 วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบรุ ี เป็นอย่างไร 2. ความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของนักศกึ ษาพยาบาลชนั้ ปที ่ี 2 เป็นอยา่ งไร 3. รปู แบบการเรยี นการสอนที่เนน้ ทกั ษะกระบวนการ เพอ่ื สง่ เสรมิ ความสามารถดา้ นการคดิ วิเคราะห์ ของนักศึกษาพยาบาล ชนั้ ปที ี่ 2 ท่ีเรียนวิชาพยาธิสรีรวิทยา ควรเป็นอยา่ งไร 4. นกั ศกึ ษาที่เรยี นดว้ ยรปู แบบการเรียนการสอนที่เนน้ ทกั ษะกระบวนการ มีพฤตกิ รรมทีแ่ สดงถึงการใช้ กระบวนการคิดและกระบวนการกลุ่มอยู่ในระดับใด 5. นักศึกษาท่เี รียนวิชาพยาธสิ รรี วทิ ยาดว้ ยรูปแบบการเรยี นการสอนทเี่ นน้ ทักษะกระบวนการ มีคะแนนจากการทาแบบทดสอบวดั ระดบั การคดิ วิเคราะหผ์ ่านเกณฑร์ ้อยละ 70 หรอื ไม่
5 6. นักศึกษาทเี่ รยี นวิชาพยาธิสรรี วทิ ยาดว้ ยรปู แบบการเรยี นการสอนทเี่ นน้ ทกั ษะกระบวนการ มี คา่ เฉลย่ี ความสามารถดา้ นการคดิ วิเคราะหส์ ูงกวา่ กอ่ นเรยี นหรอื ไม่ 7. ความพงึ พอใจของนักศึกษาต่อการเรียนด้วยรปู แบบการเรียนการสอนทเี่ นน้ ทักษะ กระบวนการ เปน็ อย่างไร สมมตุ ิฐำนของกำรวจิ ัย 1. ร้อยละ 70 ของนักศึกษาที่เรียนวิชาพยาธิสรีรวิทยาด้วยรูปแบบการสอนแบบที่เน้นทักษะ กระบวนการ มีคะแนนจากการทาแบบทดสอบท่ีวัดด้านการคิดวิเคราะห์ มากกว่าหรือเท่ากับเกณฑ์ รอ้ ยละ 70 2. ร้อยละ 70 นักศึกษาที่เรียนวิชาพยาธิสรีรวิทยาด้วยรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นทักษะ กระบวนการ มีพฤติกรรมท่แี สดงถึงการใช้กระบวนการคดิ และกระบวนการกลุ่มอย่ใู นระดับดีข้นึ ไป 3. นักศึกษาภายหลงั เรยี นวิชาพยาธิสรรี วทิ ยาดว้ ยรูปแบบการเรยี นสอนทเ่ี นน้ ทักษะกระบวนการ มีคา่ เฉลี่ยความสามารถด้านการคดิ วเิ คราะหส์ ูงกว่าก่อนเรียน 4. นักศกึ ษามีความพึงพอใจต่อการจัดการเรยี นการสอนดว้ ยรปู แบบการเรียนการสอนที่เน้น ทกั ษะกระบวนการ ในวชิ าพยาธิสรรี วิทยาอยู่ในระดบั ดี กรอบแนวคิดของกำรวจิ ัย การวิจัยน้ีผู้วิจัยได้ใชแ้ นวคิดการคิดวิเคราะห์ของมาร์ซาโน (Marzano, 2001) โดยการคิดในขน้ั วิเคราะห์นั้น สามารถจาแนกเป็น 5 ดา้ นย่อย คอื ดา้ นการจาแนก จดั กลุ่มขององค์ประกอบย่อยของข้อมูล หรือสถานการณ์และการเช่ือมโยง ด้านการสรุปความ ด้านการประยุกต์ และด้านการคาดการณ์ สถานการณ์ที่จะเกิดข้ึน ความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของผู้เรียนนั้นสามารถพัฒนาได้จากการจัด ประสบการณ์ท่ีหลากหลาย และจากบรรยากาศของการเรียนรู้ร่วมกัน ผู้วิจัยได้พัฒนารูปแบบการจัดการ เรยี นการสอนจากการวเิ คราะห์สภาพปัจจบุ ันและความคาดหวงั ของผูเ้ รยี น โดยวิเคราะห์สภาพการจัดการ เรียนการสอนด้านการคดิ วเิ คราะห์ สารวจความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ของนักศึกษาในแต่ละดา้ นตาม แนวคิดของมาร์ซาโน และการวิจัยครั้งน้ีผู้วิจัยมุ่งเน้นให้นักศึกษามีทักษะในด้านกระบวนการคิดวิเคราะห์ ซ่ึงวิธีการจัดการเรียนการสอนที่จะทาให้ผู้เรียนเกิดการคิดวิเคราะห์ตามแนวคิดการจัดการเรียนการสอน โดยเน้นกระบวน (Process- Based Instruction) ซึ่งประกอบด้วยการเน้นกระบวนการคิด (Thinking- Based Instruction) เป็นการจัดการเรียนการสอนที่เน้นกระบวนการทางสติปัญญา ซ่ึงอาศัยส่ิงเร้าและ
6 สิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม จัดกิจกรรมส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เกิดทักษะการคิดและกระบวนการคิดตามความ เหมาะสมกับพื้นฐานของผู้เรียน นอกจากนี้ยังใช้แนวคิดแบบเน้นกระบวนการกลุ่ม (Group Process-Based Instruction) ซ่ึงเป็นการทางานร่วมกันของบุคคล โดยมีวัตถุประสงค์ร่วมกัน โดยผู้นากลุ่มและสมาชกิ กลมุ่ ต่างก็ทาหน้าท่ขี องตนอย่างเหมาะสม มีกระบวนการทางานท่ีดี จะชว่ ยขยายขอบเขตการเรยี นรู้ กระบวนการ กลมุ่ ชว่ ยทาให้ได้แลกเปลี่ยนแนวคิดท่ีหลากหลายท้งั ท่ีเหมือนกนั และแตกต่างกนั จนไดข้ อ้ สรปุ ท่ีมหี ลักการ และเหตผุ ล ผ้วู จิ ัยไดพ้ ฒั นารปู แบบการเรียนการสอนซ่ึงประกอบด้วยกระบวนการคดิ วิเคราะห์และกระบวนการ กลุ่มซึ่งเป็นแนวคิดท่ียึดผเู้ รียนเป็นศูนย์กลาง ประกอบด้วยกิจกรรมส่งเสรมิ การคิดวิเคราะห์ประกอบด้วย 5 ด้านย่อยตามแนวคิดของมาร์ซาโนร่วมกับการใช้กระบวนการกลุ่ม ใช้แผนที่มโนทัศน์ถ่ายทอดกระบวนการ คิดวิเคราะห์ และใช้กรณีตัวอย่างในการเช่ือมโยงไปสู่ความรู้เกี่ยวกับพยาธิสรีรวิทยาของแต่ละระบบ ประกอบกบั การศกึ ษาทางประสาทวิทยาศาสตร์ซึ่งได้นามาใชเ้ ปน็ แนวคิดในการจัดการเรยี นการสอนแบบ ใช้สมองเป็นฐานยังแสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้จะได้ดีท่ีสุดเม่ือสมองต้องเผชิญกับความเครียดและผ่อนคลาย ในปริมาณที่สมดุล สภาวะนี้ก็คือความท้าทายและแรงกดดันจากภายนอก กิจกรรมการเรียนการสอนที่ เน้นทักษะกระบวนการ ท่ีบูรณาการแนวคิดการคิดวิเคราะห์ กระบวนการกลุ่ม และการใช้สมองเป็นฐาน มีข้ันตอนได้แก่ 1) รู้ฉัน รู้เธอ เป็นการให้ผู้เรียนเกิดการผ่อนคลาย ดึงความสนใจของผู้เรียน 2) ปลุก ความคิด ซ่ึงเป็นขั้นตอนแรกของการเร่ิมให้เกิดกระบวนการคิด จะต้องมีสิ่งเร้าเป็นตัวกระตุ้น ให้คิดเป็น รายบุคคล 3) พินิตไตร่ตรอง มองหาความเช่อื มโยง 4) สรา้ งข้อคาถาม และหาคาตอบ โดยใหผ้ ู้เรยี นหัดต้ัง คาถามแล้วหาคาตอบของตนเอง 5) ระดมสมอง เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรยี นนาเสนอข้อมูลที่แต่ละคนไป หามาแลกเปล่ียนและร่วมคิดกับสมาชิกภายในกลุ่ม เพราะความคิดเห็นท่ีแตกต่างกัน ทาให้ผู้เรียนเกิด ความขัดแย้งทางความคิดผู้เรียนจะพยายามหาข้อมูลมาปรับความคิดใหม่ การมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอ่ืน ผเู้ รียนจะลดการยึดตนเองเป็นศูนย์กลางเพราะจะต้องเผชิญกับความคิดเหน็ ท่ีแตกต่างจากตน จะเรยี นรู้ท่ีจะ จัดการกับความคิดเห็นท่ีแตกต่างกันและร่วมมือกับคนที่มีพัฒนาการในแต่ละระดับ แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ทาให้มีการปรับปรุงความคิดของตนเอง (Piaget cited in Dennis, 1990) และการอภิปรายกลุ่มมีผลต่อ การพัฒนาการคิดของผู้เรียน (Takington, 1989) นอกจากนี้การอภิปรายกลุ่มและการเรียนรู้ร่วมกันยัง ช่วยเสริมสร้างบรรยากาศท่ีส่งเสริมการคิดอีกด้วย 6) สรุปรวบยอด 7) ถ่ายทอดความคิด เป็นการเปิด โอกาสให้ผู้เรียนได้นาเสนอผลการคิดของกลุ่มย่อยต่อกลุ่มใหญ่และให้ผู้สอนและผู้เรียนได้อภิปรายร่วมกัน เพราะปฏิสัมพนั ธ์ระหว่างครกู ับผ้เู รยี น และผูเ้ รียนกบั ผู้เรียนจะทาให้ผูเ้ รียนขยายขอบเขตความคิดให้กว้าง และซับซ้อนยิ่งข้ึน (Gall & Gall cited in Dillon, 1984) โดยข้ันตอนที่ 2-4 ผู้เรียนจะมีกระบวนการคิด ของตนเองเป็นรายบุคคล หาคาตอบให้กับตนเองหลังจากนั้นจึงใช้กระบวนการกลุ่ม มาช่วยและร่วมกัน
7 วิเคราะห์เพ่ือแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แล้วจึงตั้งข้อสรุปร่วมกัน แล้วจึงถ่ายทอดกระบวนการคิดของทั้งกลุ่ม ออกมาเปน็ แผนที่มโนทศั น์ ซงึ่ สรปุ กรอบแนวคดิ ได้เป็นภาพที่ 1 สภำพปัจจุบันและควำมคำดหวงั ควำมสำมำรถดำ้ นกำรคดิ กำรพัฒนำกำรคิดวเิ ครำะห์ วิเครำะห์ของนกั ศกึ ษำ (R1) - แนวคิดและ รูปแบบกำรเรียนกำรสอนท่เี น้นทกั ษะกระบวนกำร ประสทิ ธิผลของรูปแบบ ทฤษฎี ประกอบดว้ ยกิจกรรมกำรเรียนกำรสอน 7 ข้นั ตอน - ควำมสำมำรถดำ้ นกำรคดิ วเิ ครำะห์ 1. ร้ฉู นั ร้เู ธอ - พฤติกรรมกำรคิดวเิ ครำะห์และกำร - เอกสำรและ 2. ปลกุ ควำมคดิ (เน้นทักษะกระบวนกำรคิดโดยใช้ ทำกลมุ่ งำนวจิ ยั ที่เก่ยี วข้อง สง่ิ เร้ำเป็นกรณีศกึ ษำ) - ความพงึ พอใจตอ่ การจดั การเรียน 3. พินติ ไตรต่ รอง มองหำควำมเช่อื มโยง การสอนด้วยรูปแบบการเรียนการ 4. สรำ้ งข้อคำถำม และหำคำตอบ (5W1H) สอนทเ่ี น้นทกั ษะกระบวนการ 5. ระดมสมอง (เนน้ ทกั ษะกระบวนกำรกล่มุ ) 6. สรุปรวบยอด 7. ถำ่ ยทอดควำมคดิ โดยใช้ Concept Mapping ภำพที่1 กรอบแนวคิดการวิจัย ประโยชนท์ ค่ี ำดว่ำจะได้รับจำกกำรวิจัย 1. ผลการวิจัยจะเป็นตัวแบบ หรือเป็นแนวทางในการพัฒนารูปแบบการสอนท่ีเน้นทักษะ กระบวนการคิดเพือ่ ส่งเสรมิ ความสามารถดา้ นการคดิ วเิ คราะห์ 2. เปน็ แนวทางให้นกั ศกึ ษาได้พัฒนาตนเองให้เกดิ ทักษะในการคดิ วิเคราะห์ 3. เป็นแนวทางให้ผู้สอนหรือผู้ท่ีสนใจนารูปแบบไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนใน รายวิชาอื่นๆ ที่เน้นให้นักศึกษาเกดิ ทักษะกระบวนการคิด 4. ผู้รับผิดชอบหลักสูตรสามารถนามาวิเคราะห์หาข้อบกพร่องท่ีควรปรับปรุงหรือแก้ไขใน วธิ ีการ/เทคนคิ การสอน เพือ่ พฒั นาผเู้ รียน
8 ขอบเขตของกำรวิจัย การวจิ ัยครง้ั น้ีเปน็ วจิ ัยทใี่ ช้กระบวนการวิจยั และพฒั นา (Research& Development) โดยผูว้ จิ ยั ไดน้ าหลักการและขั้นตอนของการวจิ ยั ตามแนวคิดของเคมมสี และแม็คทาคการ์ท (Kemmisand McTaggart) (อา้ งถงึ ใน ภทั ราพร เกษสังข์, 2552) มาเปน็ แนวทางในการดาเนินการวจิ ยั ซ่งึ มขี อบเขตการวิจยั ดังต่อไปน้ี ประชำกร เป็นนักศึกษาพยาบาล วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี กลุ่มตัวอย่ำง เป็นนักศึกษาพยาบาลช้ันปีที่ 2 วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี ชลบรุ ี ทล่ี งทะเบยี น เรียนวิชาพยาธสิ รรี วทิ ยา ภาคเรียนที่ 1 ปกี ารศึกษา 2558 จานวน 118 คน ระยะเวลำท่ีใช้ในกำรวิจยั ภาคเรียนท่ี 1 ปีการศึกษา 2558 โดยใช้เวลาทดลองใช้รูปแบบการ เรียนการสอนทีเ่ นน้ ทักษะกระบวนการ 5 สปั ดาห์ ๆ ละ 3 ชว่ั โมง รวม 15 ช่วั โมง เนอื้ หำที่ใชใ้ นกำรวิจัย เปน็ เนื้อหาในวิชาพยาธิสรรี วิทยา จานวน 4 บท ได้แก่ พยาธิสรรี วทิ ยา ระบบหายใจ พยาธสิ รีรวิทยาระบบหวั ใจและหลอดเลอื ด พยาธสิ รรี วทิ ยาระบบทางเดินอาหาร และพยาธิ สรีรวิทยาระบบประสาท ตัวแปรท่ใี ชใ้ นกำรวิจยั 1. ตัวแปรจัดกระทา คือ รปู แบบการจดั การเรยี นการสอนท่ีเน้นทกั ษะกระบวนการ 2. ตัวแปรตามได้แก่ ประสิทธผิ ลของรูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นทกั ษะกระบวนการ ประเมนิ จาก 2.1 ความสามารถในการคดิ วเิ คราะห์ของนกั ศกึ ษาพยาบาลทีเ่ รียนด้วยรูปแบบการเรียนการ สอนทเ่ี นน้ ทักษะกระบวนการ 2.2 พฤติกรรมทแี่ สดงถงึ การใช้กระบวนการคดิ วิเคราะหแ์ ละกระบวนการกลมุ่ ของนักศึกษา พยาบาลท่ีเรยี นด้วยรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเนน้ ทักษะกระบวนการ 2.3 ความพงึ พอใจของนกั ศึกษาต่อการเรยี นด้วยรปู แบบกำรเรียนกำรสอนที่เน้นทกั ษะ กระบวนกำร นิยำมศัพทเ์ ฉพำะ 1. สภาพปัจจุบันและความคาดหวังการพัฒนาการคิดวิเคราะห์ของนักศึกษา หมายถึง ความ คดิ เห็นของนกั ศึกษาและอาจารยต์ ่อกำรจัดกำรเรียนกำรสอนในปัจจบุ ันของวิทยำลัยท่สี ง่ เสริมให้นักศึกษำ เกิดกำรคิดวิเครำะห์ ควำมคิดเห็นของนักศึกษำในกำรพัฒนำควำมสำมำรถในกำรคิดวิเครำะห์ ควำม
9 คำดหวังของนักศึกษำในกำรจัดกำรเรียนกำรสอนให้เกิดกำรคิดวิเครำะห์ ลักษณะของครู/แนวทำงกำร จดั กำรเรียนกำรสอนท่สี ่งเสรมิ ให้นกั ศกึ ษำเกิดกำรคดิ วิเครำะห์ 2. รูปแบบการเรียนการสอนทเี่ น้นทักษะกระบวนการ หมายถึง กรอบแนวคดิ เชงิ โครงสร้างทใ่ี ช้ เป็นแนวทางการจดั การเรยี นการสอน โดยแสดงถึงความสัมพนั ธข์ ององค์ประกองต่างๆ ซ่งึ มี 4 องคป์ ระกอบ ไดแ้ ก่ 1) หลกั การของรปู แบบการจดั การเรยี นการสอนที่เนน้ ทกั ษะกระบวนการ 2) วตั ถปุ ระสงค์ของ รูปแบบการจดั การเรียนการสอนทเ่ี น้นทักษะกระบวนการ 3) กระบวนการจดั การเรยี นการสอน 4) การวัด และประเมนิ ผลรูปแบบ ผูว้ จิ ยั พัฒนาข้ึนจากการศกึ ษาสภาพปจั จบุ ันและความคาดหวังการพัฒนา ความสามารถด้านการคดิ วเิ คราะห์ของนักศึกษา การศึกษาแนวคดิ การจัดการเรยี นการสอนท่เี นน้ ผเู้ รยี นเป็น ศนู ย์กลาง ทฤษฎีการเรียนรโู้ ดยใชส้ มองเป็นฐาน แนวคิดการคดิ วิเคราะห์ของมารซ์ าโน (Marzano, 2001) แนวคดิ การจดั กระบวนการกลุ่ม โดยมีรูปแบบการจดั การเรียนการสอนที่เน้นทักษะกระบวนการคิดและ กระบวนการกลมุ่ ภายใต้หลักการจดั การเรยี นรโู้ ดยใช้สมองเปน็ ฐาน โดยใชก้ รณีศึกษาเป็นสิ่งเรา้ และให้ผู้เรยี น ฝกึ การใชก้ ระบวนการคิดวิเคราะหเ์ ปน็ ลาดบั ขั้นรว่ มกับใชก้ ระบวนการกลุ่มเพื่อใหเ้ กิดการคดิ ทีก่ วา้ งข้นึ โดยผู้สอนเป็นผู้สนับสนุนส่งเสริมใหผ้ ้เู รยี นแสดงศักยภาพภายในตนเอง จดั สิง่ สนบั สนุนต่างๆ เพื่อให้ นักศึกษาเกิดการเรยี นรทู้ ี่มปี ระสิทธภิ าพ 3. ประสิทธิผลของรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเน้นทักษะกระบวนการ หมายถึง ผลท่ีเกิดกับ นกั ศึกษาท่ีเรยี นด้วยรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเน้นทักษะกระบวนการ ประเมนิ จาก ความสามารถด้านการคิด วิเคราะห์ พฤติกรรมการคิดวิเคราะห์และการทากลุ่ม และความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการสอนโดย ใชร้ ปู แบบการเรยี นการสอนที่เนน้ ทักษะกระบวนการ ในการวจิ ัยนป้ี ระเมนิ ดังนี้ 1. ความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการพิจารณาแยกแยะ จัดหมวดหมู่ เช่ือมโยงความสัมพันธ์ สรุป และการประยุกต์ ภายใต้หลักการและเหตุผลที่ถูกต้องและ เหมาะสม ผู้วิจัยวัดความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของนักศึกษาโดยใช้แบบทดสอบและแบบสอบถาม ความสามารถดา้ นการคดิ วเิ คราะห์ 1.1 แบบทดสอบความสามารถในการคิดวิเคราะห์ เป็นชุดของข้อคาถามท่ีใช้วัด ความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของนักศึกษา โดยนาข้อมูลเนื้อหาที่เกี่ยวกับพยาธิสรีรวิทยาระบบหัวใจ และหลอดเลือด ระบบทางเดินหายใจ ระบบประสาท และระบบทางเดินอาหาร มาใชใ้ นการสรา้ งสถานการณ์ เพื่อสร้างข้อคาถาม และใช้แนวคิดของมาร์ซาโน 5 ด้าน คือ 1) ด้านการจาแนก หมายถึง ความสามารถใน การแยกแยะส่วนย่อยต่างๆและเหตุการณ์ที่ เหมือนกันและแตกต่างกัน ออกเป็นแต่ละส่วนให้เข้าใจง่าย อย่างมีหลักเกณฑ์ สามารถระบุตัวอย่าง หลักฐาน และลักษณะความเหมือนกันและความแตกต่างได้ 2)
10 ด้านการจัดหมวดหมู่ หมายถึง ความสามารถในการจัดประเภท จัดลาดับ จัดกลุ่ม ของส่ิงที่มีลักษณะ เดียวกันเข้าด้วยกัน โดยยึดโครงสร้างลักษณะหรือคุณสมบัติที่เป็นประเภทเดียวกัน 3) ด้านการเชื่อมโยง หมายถึง ความสามารถในการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ของข้อมูลต่างๆ ว่าสัมพันธ์กันอย่างไร 4) ด้านการ สรุป หมายถึง ความสามารถในการจับประเด็นและสรุปผลจากส่ิงที่กาหนดให้ ได้ 5) ด้านการประยุกต์ หมายถึง ความสามารถในการนาความรู้หรือหลักการจากการเรียนรู้ไป ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ สามารถ คาดการณ์ พยากรณ์ คาดเดาสง่ิ ท่ีจะเกดิ ข้ึนในอนาคตได้ 1.2 แบบสอบถามควำมสำมำรถด้ำนกำรคิดวิเครำะห์ เป็นแบบสอบถำมท่ีผู้วิจัย สร้ำงข้ึนตำมแนวคิดของมำร์ซำโน ซึ่งประกอบด้วย 5 ด้ำนได้แก่ กำรจำแนก กำรจัดหมวดหมู่ กำร เชือ่ มโยง กำรสรุปควำม และกำรประยุกต์ โดยให้นกั ศึกษำประเมนิ ตำมกำรรบั รู้ของตนเอง 2. พฤติกรรมการคิดวิเคราะห์และการทากลุ่ม หมายถึง คะแนนการปฏิบัติของ นักศกึ ษาขณะทากิจกรรมวิเคราะห์กรณศี ึกษาไดจ้ ากการสังเกตของอาจารย์ประจากลุ่ม ประเมนิ จากแบบ สังเกตพฤติกรรมกำรคิดวิเครำะห์และกำรทำกลุ่มที่ผู้วิจัยสร้ำงขึ้นโดยประเมินกระบวนกำรคิดวิเครำะห์ ประกอบดว้ ย 5 ดา้ นไดแ้ ก่ 1) การจาแนก 2) จดั กลมุ่ ขององค์ประกอบย่อยของข้อมูลหรือสถานการณ์และ 3) การเช่ือมโยง 4) ด้านการสรุปความ 5) ด้านการประยุกต์และด้านการคาดการณ์สถานการณ์ที่จะ เกดิ ขน้ึ และประเมินกระบวนการกลุ่มท่ีสง่ เสรมิ ความสามารถด้านการคดิ วิเคราะห์ประกอบด้วย 1) ความ กระตือรือร้นในการทางาน 2) การมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น 3) การยอมรับความคิดเห็นของ ผอู้ ื่น 3. ความพึงพอใจของนักศึกษาต่อการจัดการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบการเรียนการ สอนท่ีเน้นทักษะกระบวนการ หมายถึง ความรู้สึกของนักศึกษาในการร่วมปฏิบัติกิจกรรมการเรียนการ สอนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนท่ีเน้นทักษะกระบวนการ ในวิชาพยาธิสรีรวิทยา ประเมินจาก แบบสอบถามความพึงพอใจ
บทท่ี 2 เอกสารและงานวจิ ัยทเี่ ก่ียวข้อง การวิจัยเรื่อง การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นทักษะกระบวนการ เพ่ือส่งเสริม ความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ สาหรับนกั ศึกษาพยาบาล วทิ ยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบรุ ี ผู้วจิ ยั ได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง โดยแบ่งการนาเสนอผลการทบทวนวรรณกรรมท่ีเก่ียวข้อง ออกเปน็ 5 ตอนไดแ้ ก่ ตอนท่ี 1 การจัดการเรยี นการสอน 1. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 แก้ไขเพ่ิมเตมิ (ฉบบัที่ 2) พ.ศ. 2545 2. หลักสูตรพยาบาลศาตรบัณฑิต (หลกั สูตรปรับปรงุ ) พ.ศ. 2556 3. การพฒั นารปู แบบการเรยี นการสอน 4. การจดั การเรยี นการสอนท่ีเน้นผูเ้ รยี นเป็นศูนยก์ ลาง 5. การจัดการเรยี นการสอนโดยใชส้ มองเปน็ ฐาน 6. การจัดการเรยี นการสอนแบบเน้นทักษะกระบวนการ ตอนที่ 2 การคดิ วิเคราะห์ ตอนท่ี 3 กระบวนการกลมุ่ ตอนท่ี 4 วิจยั และพัฒนา ตอนท่ี 5 วิจยั การจดั การเรยี นการสอนท่ีสง่ เสรมิ ความสามารถด้านการคดิ วเิ คราะห์ ตอนท่ี 1 การจดั การเรยี นการสอน 1. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบบัท่ี 2) พ.ศ. 2545 พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 เป็นกฎหมายที่กาหนดขึ้นเพ่ือแก้ปัญหาทาง การศึกษา และถือได้ว่าเป็นเคร่ืองมือสาคัญในการปฏริ ูปการศึกษา ในสว่ นทเี่ กี่ยวกับระบบแนวทางการจัด การศึกษา สรปุ หลักการสาคัญได้ดงั นี้ ด้านกระบวนการเรียนรู้ ปรากฏตามมาตรา 22 การจดั การศึกษาต้องยึดหลักว่าผเู้ รียนทุกคน มีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสาคัญท่ีสดุ กระบวนการจัดการศึกษา ตอ้ งส่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรียนสามารถพฒั นาตามธรรมชาตแิ ละเตม็ ตามศักยภาพ
12 มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เก่ียวข้องดาเนินการ ดังน้ี (1) จัดเน้ือหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของผู้เรียน โดยคานึงถึง ความแตกต่างระหว่างบุคคล (2) ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และการ ประยกุ ต์ความรมู้ าใช้เพ่ือป้องกันและแก้ไขปัญหา (3) จัดกิจกรรมใหผ้ เู้ รียนได้เรยี นรูจ้ ากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติ ให้คิดได้ คิดเป็น ทาเป็น รักการอ่าน และเกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง (4) จัดการเรียนการสอน โดยผสมผสานสาระ ความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน รวมทั้งปลูกฝังคุณธรรม ค่านิยมที่ดีงาม และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา (5) ส่งเสริมสนับสนุนให้ครูสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน และอานวยความสะดวกเพ่ือให้เกิดการเรียนรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้ง สามารถใชก้ ารวิจัยเป็นสว่ นหนึ่งของกระบวนการจัดการเรียนรู้ ทั้งน้คี รแู ละผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกัน จากสื่อการเรียนการสอนและแหล่งวิทยาการประเภทต่างๆ (6) จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลา ทกุ สถานท่ี มกี ารประสานความรว่ มมือกับบิดา มารดา ผ้ปู กครอง และบคุ คลในชุมชนทุกฝ่าย เพื่อรว่ มกัน พฒั นาผู้เรยี นตามศกั ยภาพ มาตรา 25 รัฐต้องเร่งส่งเสริมการดาเนินงาน และการจัดต้ังแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิตทุก รูปแบบ ได้แก่ ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์ อุทยานวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ศูนย์การกีฬาและนันทนาการ แหล่งข้อมูล และแหล่งการเรียนรู้อื่น อยา่ งพอเพยี ง และมปี ระสทิ ธิภาพ มาตรา 26 ให้สถานศึกษาจัดการประเมินผู้เรียนโดยพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การสังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรมและการทดสอบควบคู่ไปในกระบวน การเรียนการสอนตามความเหมาะสมของแต่ละระดับและรูปแบบการศึกษา มาตรา 8 (1) และ (3) การจัดการศึกษายึดหลักดังนี้ (1) เป็นการศึกษาตลอดชีวิตสาหรับประชาชน (3) การพัฒนาสาระและ กระบวนการเรยี นรู้ให้เป็นไปอย่างตอ่ เนือ่ ง มาตรา ๓๐ ใหส้ ถานศกึ ษาพัฒนากระบวนการเรยี นการสอนท่ีมปี ระสิทธิภาพ รวมทั้งการ สง่ เสรมิ ให้ผู้สอนสามารถวิจัยเพ่อื พฒั นาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผูเ้ รยี นในแตล่ ะระดับการศกึ ษา จากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติในหมวดแนวทางการจัดการศึกษาให้ความสาคัญกับ การจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง กระบวนการจัดการเรียนการสอนต้องส่งเสริมให้ ผเู้ รียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาตแิ ละเต็มตามศักยภาพ โดยจดั กระบวนการเรยี นรูใ้ ห้ผเู้ รียนได้ฝึกทักษะ กระบวนการคิด มีการจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ให้คิดได้ คิดเป็น ทาเป็น และ เกิดการใฝ่รู้อย่างต่อเนื่อง โดยผสมผสานสาระ ความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วนสมดุลกัน เพื่อให้เกิด คุณลักษณะบัณฑิตที่พึงประสงค์ และผู้สอนมีบทบาทในการส่งเสริมสนับสนุนจัดบรรยากาศ
13 สภาพแวดล้อมส่ือการเรียน และอานวยความสะดวกเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ รวมถึงการทาวิจัยเพื่อ พัฒนาการเรยี นรทู้ เี่ หมาะสมกับผเู้ รยี นในแตล่ ะระดับการศึกษา 2. หลักสูตรพยาบาลศาตรบัณฑิต (หลักสูตรปรับปรุง) พ.ศ. 2556 (วิทยาลัยพยาบาลบรม ราชชนนี ชลบรุ ี (2556) หลักสูตรพยาบาลศาตรบัณฑิต (หลักสูตรปรับปรุง) พ.ศ. 2556 เป็นหลักสูตรท่ีปรับปรุงจาก หลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิตหลักสูตรปรับปรุง พ.ศ. 2552 เร่ิมใช้ในภาคการศึกษาท่ี 1 ปีการศึกษา 2556 2.1 วตั ถปุ ระสงคห์ ลักสตู ร เมอ่ื สาเร็จการศึกษา บณั ฑติ มีลกั ษณะดังนี้ 2.1.1 แสดงคณุ ลกั ษณะสว่ นบุคคล ทจี่ าเป็นสาหรบั ผู้ประกอบวชิ าชพี การพยาบาล 1) เคารพในคุณค่า ศกั ดิ์ศรแี ละความเปน็ ปัจเจกท้ังของตนเองและผอู้ นื่ 2) มคี ุณธรรม จรยิ ธรรม และจรรยาบรรณวิชาชพี ในการดารงตนและการปฏบิ ัติงาน 3) คิดวิเคราะห์อย่างเป็นระบบ และแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ท้ังท่ีเกี่ยวกับการปฏิบัติการ พยาบาล และสถานการณท์ วั่ ไป 4) มีภาวะผนู้ า สามารถบรหิ ารจัดการตนเองและงานทไ่ี ด้รบั ผดิ ชอบ ตลอดจนทางานรว่ มกบั ผู้อ่นื ได้อย่างมปี ระสทิ ธภิ าพ 5) มีสุขภาวะและวฒุ ภิ าวะทางอารมณ์ 6) แสวงหาความรแู้ ละเรียนรตู้ ลอดชวี ติ 7) มีทศั นคติทีด่ ีและมีศรัทธาต่อวิชาชีพพยาบาล 2.1.2 มีความรอบรู้ในศาสตร์ทางการพยาบาลและศาสตร์ท่ีเก่ียวข้อง สามารถประยุกต์ใช้ได้ อยา่ งเหมาะสมในการปฏิบัติการพยาบาลขนั้ พนื้ ฐานและศกึ ษาต่อในระดับสงู 2.1.3 ปฏิบตั กิ ารพยาบาลอยา่ งเป็นองคร์ วมแกผ่ ใู้ ชบ้ ริการทุกช่วงวยั ทุกภาวะสขุ ภาพ และ ทุกระดับของสถานบริการสุขภาพ บนพ้ืนฐานของความเอ้ืออาทร และความหลากหลายทางวัฒนธรรม โดยใช้ศาสตรและศิลปะทางการพยาบาลและหลักฐานเชิงประจักษ์ ภายใต้กฎหมายและจรรยาบรรณ วชิ าชพี 2.1.4 ปฏิบัตกิ ารรักษาเบ้อื งตน้ และการสง่ ตอ่ ได้ตามขอบเขตวิชาชพี พยาบาล 2.1.5 สามารถใช้ทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลขและสถิติ ทักษะการสื่อสาร และเทคโนโลยี สารสนเทศในการปฏบิ ตั ิการพยาบาลอย่างมปี ระสิทธภิ าพ
14 2.1.6 สามารถพัฒนาศักยภาพของบุคคล ครอบครัวและชุมชน ให้ดูแลตนเองทางด้านสุขภาพ ตามบรบิ ทและวถิ ีการดารงชวี ติ ได้ 2.1.7 รว่ มทาวจิ ัยและเลือกใชป้ ระโยชนจ์ ากผลงานวิจัย มาใช้ในการปฏิบัติการพยาบาลได้ 2.1.8 เลือกใช้แหล่งทรัพยากร นวัตกรรม เทคโนโลยีและภูมิปัญญาท้องถิ่นมาใช้ในการ ปฏบิ ตั ิการพยาบาลได้อย่างเหมาะสม ตลอดจนอนุรักษแ์ ละรว่ มพฒั นาสภาพแวดล้อมที่มีผลตอ่ สขุ ภาพ 2.1.9 มีความรู้ในการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพที่เก่ียวข้องกับการ ประกอบอาชพี ได้ 2.2 หลักสูตรประกอบดว้ ย 3 หมวดวิชาไดแ้ ก่ 1. หมวดวชิ าการศกึ ษาทั่วไป 30 หน่วยกิต 2. หมวดวชิ าเฉพาะ 108 หนว่ ยกติ 2.1 กล่มุ พืน้ ฐานวิชาชพี 29 หนว่ ยกติ 2.2 กลมุ่ วิชาชพี 79 หนว่ ยกิต 3. หมวดวิชาเลือกเสรี 6 หนว่ ยกิต รายวิชาพยาธิสรีรวิทยา อยู่ในหมวดวิชาเฉพาะ กลุ่มพ้ืนฐานวิชาชีพ มีจานวน 3 หน่วย กิต จัดให้นักศึกษาชั้นปีท่ี 2 เรียนในภาคการศึกษาท่ี 1 ตามรายละอียดของหลักสูตร (มคอ.2) ได้กาหนด คาอธิบายรายวิชาพยาธสิ รีรวิทยา คือพยาธิสภาพ กลไกการเปลี่ยนแปลงโครงสร้าง และหน้าท่ีของเซลล์ และอวัยวะในระบบต่างๆ กลไกการปรบั ตวั ปฏิกริ ยิ าตอบโต้ การปรับตวั ของร่างกาย เมื่อเกดิ พยาธิสภาพ 2.3 มาตรฐานผลการเรยี นรู้ตามกรอบมาตราฐานคณุ วุฒริ ะดับอุดมศึกษา วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี กาหนดมาตรฐานผลการเรียนรู้ 6 ด้าน ที่สอดคล้อง กับกรอบมาตฐานคุณวุฒิอุดมศึกษาแห่งชาติ สาขาพยาบาลศาสตร์ และลักษณะบัณฑิตที่พึงประสงค์ของ สาขาพยาบาลศาสตร์ท่ีกาหนดไว้ และสอดคล้องกับเอกลักษณ์ อัตลักษณ์วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี ผลลัพธ์การเรยี นร้ใู นแตล่ ะดา้ น ได้แก่ 1. ดา้ นคุณธรรม จรยิ ธรรม 1.1 มีความรู้ ความเข้าใจในหลักศาสนา หลักจริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ ตลอดจน สิทธิมนุษยชน สิทธิเด็ก สิทธิผู้บริโภค สิทธิผู้ป่วย ตลอดจนสิทธิของผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาล ท่ีมคี วามสาคัญตอ่ การปฏิบตั ิการพยาบาล 1.2 สามารถแยกแยะความถูกต้อง ความดี และความชั่วได้ 1.3 เคารพในคณุ ค่าและศกั ดิ์ศรขี องความเปน็ มนุษย์ 1.4 มีความรบั ผิดชอบต่อการกระทาของตนเอง
15 1.5 ระเบียบวินัย และซี่อสัตย์ 1.6 ปฏิบัติตามจรรยาบรรณวชิ าชพี และมีความสามารถจัดการกับปัญหาจริยธรรม ในการดารงชีพ และในการปฏิบตั งิ านในวชิ าชีพการพยาบาล 1.7 เป็นแบบอย่างทดี่ ตี ่อผู้อ่นื ทัง้ ในการดารงตนและการปฏบิ ัติงาน 1.8 ส่งเสริมให้ผู้ป่วย/ผู้ใช้บริการได้รับรู้ และเข้าใจสิทธิของตนเองเพื่อปกป้องสิทธิ ของตนเองที่จะถกู ละเมดิ 2. ดา้ นความรู้ 2.1 มีความรู้และความเข้าใจในสาระสาคัญของศาสตร์ท่ีเป็นพ้ืนฐานชีวิตและ พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ ที่ครอบคลุมท้ังวิทยาศาสตร์ มนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์ กฎหมายและ การปกครองระบอบประชาธปิ ไตย 2.2 มีความรู้และความเข้าใจในสาระสาคัญของศาสตร์ทางวิชาชีพการพยาบาล ระบบสุขภาพ และปจั จัยทม่ี ผี ลต่อการเปล่ยี นแปลงของสงั คมและต่อระบบสุขภาพ 2.3 มีความรู้และความเข้าใจในสาระสาคัญของกระบวนการพยาบาล และการ นาไปใช้ 2.4 มีความรู้และความเข้าใจในสาระสาคัญของกระบวนการแสวงหาความรู้ การจดั การความรู้ กระบวนการวิจยั กระบวนการบริหารและการจัดการองคก์ ร 2.5 มีความรู้และความเข้าใจในสาระสาคัญเก่ียวกับเทคโนโลยีสารสนเทศทางการ พยาบาล และระบบจาแนกข้อมูลทางการพยาบาล 2.6 มีความรู้ ความเข้าใจในวัฒนธรรม สถานการณท์ เี่ ปลีย่ นแปลงของประเทศ และ สังคมโลกท่มี ีผลกระทบตอ่ ภาวะสุขภาพและประชาชน 3. ดา้ นทักษะทางปัญญา 3.1 ตระหนกั รใู้ นศกั ยภาพและสิ่งท่เี ปน็ จดุ ออ่ นของตน เพื่อพัฒนาตนเองใหม้ ี ความสามารถเพ่มิ มากขนึ้ สามารถนาไปสู่การปฏิบัตกิ ารพยาบาล การสอน การแสวงหาความรู้ที่มี ประสิทธภิ าพ และการเปน็ ผู้นาทีเ่ ขม้ แข็ง 3.2 สามารถสบื คน้ และวิเคราะหข์ ้อมูลจากแหลง่ ข้อมูลท่ีหลากหลาย 3.3 สามารถนาข้อมูล และหลักฐานไปใช้ในการอา้ งอิง และแกไ้ ขปัญหาอย่างมี วจิ ารณญาณ
16 3.4 สามารถคดิ วิเคราะห์อย่างเปน็ ระบบ โดยใชอ้ งคค์ วามรู้ทางวิชาชพี และท่ี เก่ยี วขอ้ ง รวมทั้ง ใชป้ ระสบการณ์เปน็ ฐาน เพ่ือให้เกดิ ผลลัพธ์ทป่ี ลอดภยั และมคี ุณภาพ ในการใหบ้ รกิ าร การพยาบาล 3.5 สามารถใชก้ ระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ทางการวิจัย และนวตั กรรม ทีเ่ หมาะสมในการแก้ไขปัญหา 3.6 สามารถพฒั นาวธิ ีการแก้ไขปัญหาท่ีมีประสิทธภิ าพสอดคล้องกับสถานการณ์ และบริบททางสขุ ภาพที่เปลี่ยนไป 4. ดา้ นทกั ษะความสัมพันธร์ ะหว่างบคุ คลและความรับผิดชอบ 4.1 สามารถปรับตัวและมปี ฏิสมั พนั ธ์ทีด่ ีกบั ผใู้ ช้บริการ ผรู้ ่วมงาน และผูบ้ งั คับบัญชา 4.2 สามารถทางานเป็นทีมในบทบาทผู้นาและสมาชิกทีม ในทีมการพยาบาล ทีม สุขภาพ และทีมในชมุ ชนของระบบสขุ ภาพในบริบทหรอื สถานการณ์ทแี่ ตกต่าง 4.3 สามารถแสดงออกซ่ึงภาวะผู้นาในการมีส่วนร่วมให้เกิดการเปล่ียนแปลงที่ดีใน สถานการณท์ ่ีหลากหลาย 4.4 มีความรับผิดชอบต่อหน้าท่ี ต่อสังคม และพัฒนาตนเอง วิชาชีพ องค์กรและ สังคมอย่างตอ่ เนอื่ ง 5. ดา้ นทกั ษะการวเิ คราะห์เชงิ ตัวเลข การส่ือสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ 5.1 สามารถประยุกต์ใช้หลักตรรกะ คณิตศาสตร์และสถิติ ในการพยาบาลอย่าง เหมาะสม 5.2 สามารถแปลงข้อมูลให้เป็นข่าวสารท่ีมีคุณภาพ รวมท้ังสามารถอ่านวิเคราะห์ และถ่ายทอดข้อมลู ขา่ วสารแก่ผู้อื่นได้อย่างเข้าใจ 5.3 สามารถส่ือสารภาษาไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพท้ังการพูด การฟัง การอ่าน การเขียนและการนาเสนอ รวมทัง้ สามารถอ่านวารสาร และตาราภาษาองั กฤษอย่างเข้าใจ 5.4 สามารถใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์พืน้ ฐานท่ีจาเปน็ 5.5 สามารถเลือกและใช้รูปแบบการนาเสนอสารสนเทศ ตลอดจนใช้เทคโนโลยี สารสนเทศและการสอ่ื สารไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพและเหมาะสมกบั สถานการณ์ 6. ดา้ นทกั ษะการปฏบิ ัติทางวิชาชีพ
17 6.1 สามารถปฏิบัติทกั ษะการพยาบาลอย่างเป็นองคร์ วม โดยประยกุ ตใ์ ช้ศาสตร์และ ศลิ ปะทางการพยาบาล รวมท้ังใชก้ ระบวนการพยาบาล หลักฐานเชงิ ประจกั ษ์ และการส่ือสารเชิงบาบดั ใน การพยาบาลบุคคล ครอบครัว และชมุ ชน 6.2 สามารถปฏิบัตกิ ารการสรา้ งเสรมิ สขุ ภาพ การปอ้ งกนั โรคการรักษาพยาบาล การบาบัดและการบรรเทาอาการ และการฟื้นฟูสขุ ภาพ แก่ผูใ้ ชบ้ รกิ ารทกุ ภาวะสุขภาพและทุกช่วงวัย รวมท้งั การผดุงครรภ์ ในทุกระดบั ของสถานบริการสขุ ภาพ ตามพระราชบญั ญัตวิ ชิ าชีพการพยาบาล และ การผดงุ ครรภ์ (พ.ศ.๒๕๒๘) และทแ่ี กไ้ ขเพิ่มเติมโดยพระราชบญั ญตั วิ ิชาชีพการพยาบาลและการผดงุ ครรภ์ (ฉบบั ท่ี ๒) พ.ศ.๒๕๔๐ 6.3 สามารถปฏิบตั ิการพยาบาลด้วยความเมตตา กรุณา และเอ้ืออาทร โดยยดึ ม่นั ในคุณธรรม จริยธรรม และกฎหมาย 6.4 สามารถปฏิบัตกิ ารพยาบาล โดยคานงึ ถึงความเป็นมนุษย์ สทิ ธขิ องผู้ปว่ ยความ เป็นปจั เจกบุคคล และความหลากหลายทางวฒั นธรรม 6.5 แสดงภาวะผนู้ าในการปฏิบัตงิ าน สามารถบรหิ ารทีมการพยาบาล ทมี สหสาขา วิชาชีพ ในหนว่ ยบรกิ ารสขุ ภาพและในชมุ ชน จากรายละเอียดของหลักสูตร (มคอ.2) มีการถา่ ยทอดมาตรฐานหลักสูตรสู่รายวิชา โดยการ ทารายละเอียดรายวิชาแต่ละรายวิชา (มคอ.3) ซ่ึงประกอบด้วยข้อมูลเกี่ยวกับแนวทางการบริหารจัดการ ของแต่ละรายวิชาเพื่อให้การจัดการเรียนการสอนสอดคล้องและเป็นไปตามท่ีวางแผนไว้ใน ซ่ึงแต่ละ รายวิชาจะกาหนดไว้อย่างชัดเจนเก่ียวกับวัตถุประสงค์และรายละเอียดของเนื้อหาความรู้ในรายวิชา แนวทางการปลูกฝังทักษะต่างๆ ตลอดจนคุณลักษณะอ่ืนๆท่ีนักศึกษาจะได้รับการพัฒนาให้ประสบ ความสาเร็จตามจุดมุ่งหมายของรายวิชา มีการกาหนดรายละเอียดเก่ียวกับระยะเวลาท่ีใช้ในการเรียน วิธีการเรียน การสอน การวัดและประเมินผลในรายวิชา ตลอดจนหนังสือหรือสื่อทางวิชาการอ่ืนๆ ที่ จาเป็นสาหรับการเรียนรู้ นอกจากน้ียังกาหนดยุทธศาสตร์ในการประเมินรายวิชาและกระบวนการ ปรบั ปรงุ รายวิชาพยาธิสรีรวิยาได้จัดทามคอ.3 เพ่ือออกแบบการเรียนการสอน และควบคุมกากับ ตดิ ตาม การออกแบบการสอน คณุ ภาพการสอน โดยกาหนดมาตรฐานผลการเรียนรูด้ ังน้ี 1. ดา้ นคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ขอ้ 1.4 ความรับผดิ ชอบต่อการกระทาของตนเอง ขอ้ 1.5 มรี ะเบยี บวินัยและซ่อื สตั ย์
18 2. ดา้ นความรู้ ขอ้ 2.1 มคี วามรแู้ ละความเข้าใจในสาระสาคัญของศาสตร์ท่เี ป็นพื้นฐานชวี ิตและพื้นฐาน ทางวิทยาศาสตร์สุขภาพ ท่ีครอบคลุมทั้งวิทยาศาสตร์ มนุษย์ศาสตร์ สังคมศาสตร์ กฎหมายและการ ปกครองระบบประชาธปิ ไตย 3. ดา้ นทกั ษะทางปัญญา ขอ้ 3.2 สามารถสบื ค้น และวเิ คราะห์ขอ้ มลู จากแหล่งข้อมูลทหี่ ลากหลาย 4. ดา้ นทกั ษะความสัมพนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คลและความรับผิดชอบ ข้อที่ 4.4 มีความรับผิดชอบต่อหน้าที่ ต่อสังคม และพัฒนาตนเอง วิชาชีพ องค์กรและ สังคมอย่างตอ่ เน่อื 5. ดา้ นทกั ษะการวเิ คราะหเ์ ชงิ ตัวเลข การส่ือสาร และการใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ ข้อที่ 5.3 สามารถส่ือสารภาษาไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพทั้งการพูด การฟัง การอ่าน การเขียนและการนาเสนอ รวมทั้งสามารถอ่านวารสาร และตาราภาษาอังกฤษอยา่ งเขา้ ใจ จะเห็นได้ว่าในรายวิชาพยาธิสรีรวิทยา กาหนดผลลัพธ์การเรียยรู้ในด้านทักษะทาง ปัญญา ให้นักศึกษาสามารถสืบค้น และวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลที่หลากหลาย ซึ่งการจัดการเรียน การสอนด้วยการบรรยายจะไมส่ ามารถทาใหน้ ักศกึ ษาเกิดผลลพั ธ์การเรียนรู้ดา้ นทักษะการคดิ วเิ คราห์ได้ 2.4 หลักสตู ร ปรชั ญา อัตลกั ษณบ์ ัณฑติ และคณุ ลักษณะบณั ฑิตที่พึงประสงค์ของวิทยาลัย พยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี 2.4.1 หลกั สูตรการศกึ ษา วิทยาลยั พยาบาลบรมราชชนนชี ลบุรี ได้เปดิ สอนหลกั สตู รพยาบาลศาสตรบ์ ัณฑิต โดยใช้หลกั สูตรพยาบาลศาสตรบณั ฑติ (หลกั สตู รปรบั ปรุง) พ.ศ. 2556 ของสถาบันพระบรมราชชนก ซ่งึ เป็นหลกั สตู รทม่ี กี ารปรับปรงุ ตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิ ระดับปริญญาตรี สาขาพยาบาลศาสตร์ โดยเรม่ิ ใช้หลกั สูตรนตี้ ัง้ แต่ปีการศึกษ 2556 2.4.2 ปรัชญา วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี เชื่อว่าการจัดการศึกษาโดยจัดบรรยากาศให้ เออื้ อานวยต่อการพฒั นาทักษะการคิดวิเคราะห์ การเป็นผูน้ า ใผ่รู้ใฝเ่ รยี น บนพืน้ ฐานของการอยู่รว่ มกัน แบบเอ้ืออาทรตามแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง จะสามารถส่งเสริมให้บัณฑิตมีความรู้ความสามารถทั้ง ด้านวิชาการ ด้านวิชาชีพ คุณธรรม จริยธรรมอย่างสมดุล สามารถให้บริการพยาบาลได้ในทุกระดับข อง บริการสุขภาพ ทางานรว่ มกบั ทีมสุขภาพ ชมุ ชน และสงั คมได้อย่างมีประสิทธิภาพ และมคี วามสุข
19 2.4.3 อตั ลกั ษณ์บัณฑติ วทิ ยาลยั พยาบาลบรมราชชนนี ชลบรุ ี วิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี กาหนดอัตลักษณ์ของบัณฑิตสอดคล้องกับ อัตลักษณ์บัณฑิตของสถาบันพระบรมราชชนก คือ “บริการสุขภาพด้วยหัวใจความเป็นมนุษย์” โดย กาหนดสมรรถนะบณั ฑิตท่ตี อบสนองอัตลักษณ์ไว้ 3 ด้านคือ 1) S: Service mind จติ บรกิ าร 2) A: Analytic thinking การคดิ วเิ คราะห์ 3) P: Patient Participation การมีสว่ นรว่ มของผ้ปู ว่ ยและคานงึ ถงึ สทิ ธิของผ้ปู ว่ ย จะเห็นได้ว่าหลักสูตรพยาบาลศาสตรบัณฑิต (หลักสูตรปรับปรุง) พ.ศ. 2556 ได้กาหนด จุดมุ่งหมายของหลักสูตรไว้ข้อหน่ึงคือ ให้นักศึกษาที่จบการศึกษามีความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ อย่างเป็นระบบ และแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ท้ังที่เก่ียวกับการปฏิบัติการพยาบาล และสถานการณ์ ทั่วไป การจดั การเรยี นการสอนให้บรรลจุ ดุ มุ่งหมายของหลักสูตรและสอดล้องกับผลลัพธ์การเรียนรู้ ผู้สอน จงึ มีบทบาทท่ีสาคญั ในการนาหลักสูตรไปใชไ้ ดอ้ ยา่ งมีประสิทธภิ าพและเกดิ ประโยชน์แกผ่ ู้เรียน 3. การพฒั นารปู แบบการเรยี นการสอน (Instruction model) การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นทักษะกระบวนการเพื่อ ส่งเสริม ความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ ผู้วิจัยทบทวนเอกสารเก่ียวกับรูปแบบการจัดการเรียนการสอนเพ่ือ เปน็ พนื้ ฐานความคิดในการพฒั นารปู แบบการเรียนการสอนไดอ้ ยา่ งเป็นระบบ 3.1 ความหมาย คาว่ารูปแบบ ซ่ึงภาษาอังกฤษใช้คาว่า “Model” มีบทบาทในการทาวจิ ัยมากขึ้น และมี ภาษาไทยทใี่ ช้แตกต่างกนั ไปเชน่ ตน้ แบบ แบบแผน แบบจาลอง เปน็ ต้น แต่รปู แบบจะเปน็ คาทีน่ ิยมใช้กัน แพร่หลายในวงการวจิ ัยและการศกึ ษา ทิศนา แขมมณี (2557) ได้กล่าวว่า รูปแบบการเรียนการสอนหมายถึง สภาพหรือ ลักษณะของการจัดการเรียนการสอน ท่ีจัดไว้อย่างเป็นระเบียบตามหลักปรัชญา ทฤษฎี หลักการ แนวคิด หรือความเชื่อต่างๆ โดยมีการจัดกระบวนการหรือขั้นตอนในการเรียนการสอน โดยอาศัยวิธีการสอนและ เทคนิคการสอนต่างๆ เข้ามาช่วย ทาให้สภาพการเรียนการสอนน้ันเป็นไปตามหลักการที่ยึดถือ ซึ่งได้รับ การพิสูจน์ ทดสอบ หรือยอมรับว่ามีประสิทธิภาพ สามารถใช้เป็นแบบแผนในการเรียนการสอนให้บรรลุ วัตถุประสงค์เฉพาะของรูปแบบน้ันๆ ซ่ึงแต่ละรูปแบบมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน กล่าวคือ เป็นรูปแบบ การเรียนการสอนท่ีเน้นการพัฒนาด้านพุทธิพิสัย (Cognitive domain) การพัฒนาด้านจิตพิสัย (Affective domain) การพัฒนาด้านทักษะพิสัย (Psychomotor domain) การพัฒนาด้านทักษะ
20 กระบวนการ (process skill) หรือการบรู ณาการ (Integration) ท้งั น้ีรูปแบบดงั กล่าวลว้ นเปน็ รปู แบบการ เรยี นการสอนทม่ี ีลักษณะเนน้ ผู้เรียนเปน็ สาคัญ คารเตอร วี กูด (Carter, V. Good. 1973 : 371) ไดใหความหมายของรูปแบบที่เกี่ยวข องกับการเรียนการสอนวา คือ วิธีการหนึ่งของการเรียนการสอนที่จูงใจใหเกิดการเรียนรู และมีทิศทางใน การใช เพื่อใหบุคคลมีพฤตกิ รรมตามทร่ี ปู แบบตองการ เมคเกอร ซี จูน (Maker, C. June. 1982 : 1-2) ไดใหความหมายของรูปแบบการเรยี น การสอน หมายถึง กรอบแนวคิดเชิงโครงสรางท่ีช้ีแนะแนวทางเพื่อพัฒนากิจกรรมและสภาพแวดลอมทาง การศึกษาโดยเฉพาะ ท่ีสรางมาจากสมมติฐานทางทฤษฎีบาง มาจากการสังเกตธรรมชาติของผูเรียน อาทิ การเรียนรู แรงจูงใจ สติปญญา ลักษณะที่เกี่ยวของกับอารมณ ความรึสูก และจากธรรมชาติหรอื ประสิทธิผลท่ีได จากวิธีการสอนน้ัน ๆ โดยลักษณะของรูปแบบจะมีแนวทางการพัฒนาประสบการณการเรียนรูเฉพาะของ รูปแบบน้ัน ๆ ไดเชื่อมโยงกับความตองการ หรือมาตรฐานท่ีไดรับการตัดสินใจวามีความเหมาะสมที่จะ พัฒนาประสบการณการเรียนรู เมื่อพิจารณาความหมายของรูปแบบการจัดการเรียนการสอน จากท่ีนักวิชาการได้ให้ ความหมายไว้ จะเห็นได้ว่า รูปแบบการเรียนการสอนเป็นระบบหรือโครงสร้างที่สร้างขึ้นภายใต้หลักการ แนวคิดที่สัมพันธ์กับความต้องการท่ีจะพัฒนา และมีการทดสอบ พิสูจน ยอมรับวามีประสิทธิผล/มี ความเหมาะสมทีจ่ ะพัฒนาประสบการณการเรียนรู โดยมีการจดั กระบวนการทเี่ ป็นระบบ เพ่ือนามาใช้เป็น แนวทางในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อให้บุคคลมีพฤติกรรมตามความคาดหวัง รูปแบบ การจัดการเรียนรูตองสรางมาจากทฤษฎีและแนวคิดที่ผูวิจัยเช่ือถือแลว ยังตองสรางมาจากการสังเกต ผูเรียน และประสิทธผิ ลที่ผวู้ ิจัยเลือกใช้วิธีการจดั การเรียนการสอนใหก้ ับผู้เรยี น 3.2 องคประกอบของรปู แบบ มีผูใหแนวคดิ เกี่ยวกับองคประกอบของรปู แบบ ดงั นี้ ทิศนา แขมมณี (2548 : 221-222, 224) กลาวถงึ องค์ประกอบของรปู แบบการเรียน การสอนตอ้ งมีองค์ประกอบทีส่ าคญั ได้แก่ 1) มปี รัชญา ทฤษฎี หลกั การ แนวคดิ เปน็ พนื้ ฐานของรูปแบบ 2) มวี ตั ถปุ ระสงค์ของรูปแบบ 3) มกี ระบวนการของรปู แบบ อธิบายหรือใหข้ ้อมูลเก่ียวกับ วิธีการสอน 4) ผลท่ีจะไดรบั จากการใชรูปแบบ เมคเกอร ซี จูน (Maker, C. June, 1982: 1) ไดกลาวถึง ลักษณะสาคัญของรูปแบบ การเรียนการสอน ไดแก่ 1) มีจุดมงุ หมายเฉพาะ หรอื เนนครอบคลุมเร่ืองนนั้นๆ 2) อยูภายใตสมมติฐานท่ี เด่นชัดและแอบแฝงเกี่ยวกับลักษณะของผู้เรียน และเก่ียวกับลักษณะของผู้เรียน 3) กระบวนการเรียน การสอน การพัฒนาประสบการณผ์ ู้เรยี น 4) มแี บบแผนเฉพาะและมีกจิ กรรมการเรยี นรูท่ตี องกระทา และ
21 5) มีโครงรางของการวิจัยรูปแบบเพื่อพัฒนารูปแบบหรือประเมินประสิทธิผลของรูปแบบ โดยทุกรูปแบบ การเรียนการสอนจะต องมีภูมิหลังของการพัฒนารูปแบบหรือการตัดสินใจเลือกใช รูปแบบน้ีเนื่องมาจาก ประสิทธิผลทึได บราวน์และ มอเบอร์ก (Brown & Moberg, 1980: 16-17) ไดสังเคราะหรูปแบบข้ึนมา จากแนวคิดเชิงระบบ (System Approach) กับหลักการบริหารตามสถานการณ (Contingency Approach) และนาเสนอองคประกอบของรูปแบบประกอบดวย 1) สภาพแวดลอม (Environment) 2) เทคโนโลยี (Technology) 3) โครงสราง (Structure) 4) กระบวนการจัดการ (Management Process) และ 5) การ ตัดสนิ ใจส่ังการ (Decision Making) ชนกนารถ ชื่นเชย (2550: 179-180) ไดพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษาตอเน่ืองใน สถาบันอุดมศึกษาเอกชน พบวารูปแบบมีองคประกอบ 9 องคประกอบ ไดแก 1) ปรัชญาและหลักการ ของการศึกษาตอเนื่อง 2) กลุมเปาหมายของการจัดการศึกษาตอเนื่อง 3) จุดมุงหมายของการจัด การศึกษาตอเนื่อง 4) โครงสรางระบบบริหารของการศึกษาตอเนื่อง 5) หลักสูตรการเรียนการสอนของ การศกึ ษาตอเน่อื ง 6) วิธกี ารจดั การศกึ ษาตอเนื่อง 7) ส่อื การศกึ ษาและแหลงเรยี นรูของการศึกษาตอเนื่อง 8) การติดตามและประเมินผลของการศึกษาตอเน่ือง และ 9) การเทยี บระดบั และเทียบโอนผลการเรียน อัมพร พงษกังสนานันท (2550 : 274-275) ไดพัฒนารูปแบบการจัดการศึกษานอกระบบ ในสถานศึกษาขั้นพื้นฐานเพ่ือสงเสริมการศึกษาตลอดชีวิต พบวารูปแบบมีองคประกอบ 8 องคประกอบ ไดแก 1) ปรัชญาและหลักการจัดการศึกษา 2) หลักสูตร 3) การจัดการเรียนรู 4) การประเมินผลการเรียนรู 5) การเทียบโอนความรูและประสบการณและการเทยี บระดับการศึกษา 6) การบรหิ ารและการจัดการศึกษา 7) กลมุ เปาหมายและ 8) การมีสวนรวมของพอแมและชุมชน เมื่อพิจารณาองค์ประกอบของรูปแบบการเรียนการสอนประกอบด้วยองค์ประกอบ หลักๆ ท่ีสาคัญได้แก่ องค์ประกอบที่ 1 หลักการท่ีไดจาก ขอบงช้ี มีปรัชญา/ทฤษฎี/หลักการ/แนวคิด/ ความเช่ือของรูปแบบและข อบงชี้ องค์ประกอบท่ี 2 วัตถุประสงค์ของรูปแบบ องค์ประกอบที่ 3 กระบวนการจัดการเรยี นการสอน และองค์ประกอบท่ี 4 การประเมินผลรปู แบบ 3.3 การพฒั นารูปแบบการเรยี นการสอน การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนแบงออกเปน 2 ข้นั ตอน ไดแก 1) การสรางหรือ พฒั นารปู แบบ และ 2) การตรวจสอบความเท่ยี งตรงของรูปแบบ ซึ่งแตละขัน้ ตอนมรี ายละเอยี ดดังน้ี
22 ข้ันตอนท่ี 1 การสราง หรือพัฒนารูปแบบ ในข้ันตอนนี้ผูวจิ ัยจะสรางหรอื พัฒนารูปแบบ ข้ึนมากอนเปนรูปแบบตามสมมติฐาน (Hypothesis Model) โดยศึกษาแนวคิด ทฤษฎีและผลการวิจัยท่ี เกี่ยวของ นอกจากนี้ผูวิจัยอาจจะศึกษารายกรณีหนวยงานที่ดาเนินการในเรื่องน้ันๆ ไดเปนอยางดี ซึ่งผล การศึกษาจะนามาใชกาหนดองคประกอบหรือตัวแปรตางๆ ภายในรูปแบบ รวมท้ังลักษณะความสัมพันธ ระหวางองคประกอบหรือตัวแปรเหลาน้ัน หรือลาดับกอนหลงั ของแตละองคประกอบในรูปแบบ ดงั นั้นการ พัฒนารูปแบบในข้ันตอนน้ีจะตองอาศัยหลักการของเหตุผลเปนรากฐานสาคัญ ซ่ึงโดยทั่วไป การศึกษาใน ข้ันตอนน้จี ะมีขน้ั ตอนยอย ๆ ดังนี้ 1) การศึกษาเอกสารและงานวิจัยท่ีเก่ียวของ เพ่ือนาสารสนเทศท่ีไดมาวิเคราะหและ สังเคราะหเปนรางกรอบความคดิ การวจิ ยั 2) การศกึ ษาจากบริบทจรงิ ในข้ันตอนนอี้ าจจะดาเนนิ การไดหลายวธิ ีดังนี้ - การศกึ ษาสภาพและปญหาการดาเนนิ การในปจจบุ ันของหนวยงาน โดยศึกษา ความคิดเห็นจากบุคคลท่ีเกี่ยวของ (Stakeholder) ซึ่งวิธีศึกษาอาจจะใชวิธีการสัมภาษณการสอบถาม การสารวจ การสนทนากลุม เปนตน - การศกึ ษารายกรณี (Case Study) หรอื พหุกรณี หนวยงานท่ีประสบผลสาเร็จ หรอื มแี นวปฏิบตั ิที่ดใี นเรื่องทีศ่ กึ ษา เพ่ือนามาเปนสารสนเทศทสี่ าคัญในการพัฒนารูปแบบ - การศึกษาขอมูลจากผูเชี่ยวชาญหรือผูทรงคุณวุฒิ วิธีศึกษาอาจจะใชวิธีการ สมั ภาษณ การสนทนากลุม (Focus Group Discussion) เปนตน 3) การจัดทารูปแบบ ในขั้นตอนน้ีผูวิจัยจะใชสารสนเทศที่ไดในขอ 1) และ2) มา วิเคราะหและสงั เคราะหเพอ่ื กาหนดเปนกรอบความคิดการวจิ ัยเพื่อนามาจดั ทารปู แบบ นอกจากน้ียงั อาจศึกษาเพ่ิมเติมโดยใชกระบวนการวิจยั แบบเดลฟาย (Delphi Technique) หรือการสนทนากลุม (Focus Group Discussion) ในการพัฒนารปู แบบก็ได ข้ันตอนที่ 2 การทดสอบความตรงของรูปแบบ หลงั จากทีไ่ ดพัฒนารูปแบบแลว จาเปนที่ จะตองทดสอบความตรงของรูปแบบ ถงึ แม้ว่ารปู แบบที่สร้างข้นึ ภายใต้แนวความคดิ ทฤษฎี และ ผลการวิจยั ทเี่ ก่ยี วข้องแล้วก็ตาม แตก็เปนเพียงรูปแบบตามสมมติฐาน จึงจาเป็นต้องตรวจสอบความตรงของ รูปแบบ เป็นการประเมนิ ประสิทธิภาพ การตรวจสอบความตรงของรูปแบบอาจกระทาไดใน 4 ลักษณะ ดังนี้ 1) การทดสอบรปู แบบดวยการประเมินตามมาตรฐานท่ีกาหนด การประเมินที่ พฒั นาโดย The Joint Committee on Standards of Educational Evaluation ภายใตการ ดาเนินงานของ Stufflebeam และคณะไดนาเสนอหลักการประเมินเพอ่ื เปนบรรทัดฐานของกจิ กรรมการ ตรวจสอบรูปแบบ ประกอบดวยมาตรฐาน 4 ดาน (สุวิมล วองวานิช. 2549: 54 - 56) ดงั นี้
23 - มาตรฐานความเป นไปได (Feasibility Standards) เป นการประเมิน ความเปนไปไดในการนาไปปฏิบัติจรงิ - มาตรฐานดานความเปนประโยชน (Utility Standards) เปนการประเมิน การสนองตอบตอความตองการของผูใชรูปแบบ - มาตรฐานดานความเหมาะสม (Propriety Standards) เปนการประเมิน ความเหมาะสมทง้ั ในดานกฎหมายและศลี ธรรมจรรยา - มาตรฐานดานความถูกตองครอบคลุม (Accuracy Standards) เปนการ ประเมินความนาเชื่อถือและไดสาระครอบคลุมครบถวนตามความตองการอยางแทจรงิ 2) การทดสอบรปู แบบดวยการประเมินโดยผูทรงคุณวุฒิ การทดสอบรูปแบบในบางเร่ือง ไมสามารถกระทาไดโดยขอมูลเชิงประจักษดวยการประเมินคาพารามิเตอรของรูปแบบ หรือการ ดาเนนิ การทดสอบรูปแบบดวยวธิ กี ารทางสถิติ แตงานวจิ ัยบางเรอื่ งนน้ั ตองการความละเอียดออนมากกวา การไดตัวเลขแลวสรุป ซึ่งไอสเนอร (Eisner. 1976 : 192-193) ไดเสนอแนวคิดของการทดสอบหรือ ประเมนิ รูปแบบโดยใชผูทรงคณุ วฒุ ิโดยมีแนวคิดดังนี้ - การประเมินโดยผูทรงคุณวุฒิจะเนนการวิเคราะหและวิจารณอยางลึกซ้ึง เฉพาะในประเด็นที่ถูกพิจารณา ซ่ึงไมจาเปนตองเก่ียวโยงกับวัตถุประสงคหรือผูท่ีมีสวนเกี่ยวของกับ การตดั สนิ ใจเสมอไป แตอาจจะผสมผสานกับปจจยั ตางๆ ในการพจิ ารณาเขาดวยกันตามวิจารณญาณของ ผูทรงคุณวุฒิ เพ่ือใหไดขอสรุปเกยี่ วกับขอมลู คุณภาพ ประสิทธภิ าพและความเหมาะสมของสิ่งทจ่ี ะทาการ ประเมนิ - รูปแบบการประเมินท่ีเปนความชานาญเฉพาะทาง (Specialization) ในเรื่อง ท่ีจะประเมิน โดยพัฒนามาจากแบบการวิจารณงานศิลปะ (Art Criticism) ท่ีมีความละเอียดออนลึกซ้ึง และตองอาศัยผูเช่ียวชาญระดับสูงมาเปนผูวินิจฉัย เนื่องจากเปนการวัดคุณคาท่ีไมอาจประเมินดวย เคร่ืองวัดใด ๆ และตองใชความรูความสามารถของผูประเมินอยางแทจริง แนวคิดนี้ไดนามาประยุกตใช ในทางการศึกษาระดับสูงมากขึ้น ท้ังน้ีเพราะเปนองคความรูเฉพาะสาขาผูท่ีศึกษาเรื่องนั้นจริงๆ จึงจะ ทราบและเขาใจอยางลึกซึ้งดังน้ัน ในวงการศึกษาจึงนิยมนารูปแบบนี้มาใชในเร่ืองท่ีตองการความลึกซึ้ง และความเชีย่ วชาญเฉพาะ - รปู แบบทีใ่ ชตวั บุคคลคอื ผูทรงคุณวฒุ ิเปนเครื่องมือในการประเมนิ โดยใหความ เชื่อถือวาผูทรงคุณวุฒิน้ันเท่ียงธรรม และมีดุลพินิจที่ดี ท้ังน้ีมาตรฐานและเกณฑพิจารณาตางๆ นั้น จะ เกิดขน้ึ จากประสบการณและความชานาญของผูทรงคุณวุฒินั้นเอง
24 - รูปแบบที่ยอมใหมีความยืดหยุนในกระบวนการทางานของผูทรงคุณวุฒิตาม อัธยาศัยและความถนัดของแตละคน นับต้ังแตการกาหนดประเด็นสาคัญท่ีจะนามาพิจารณา ข้อมูลท่ี ต้องการ การเกบ็ รวบรวมขอมูล การประมวลผลการวนิ ิจฉยั ขอมูลตลอดจนวิธกี ารนาเสนอ 3) การทดสอบรูปแบบโดยการสารวจความคิดเห็นของบุคลากรท่ีเกยี่ วของ มกั จะใช กับการพัฒนารูปแบบโดยใชเทคนิคเดลฟาย เมื่อผูวิจัยไดพัฒนารูปแบบโดยใชเทคนิคเดลฟายเสร็จสิ้น เรียบรอยแลว ผูวิจัยจะนารูปแบบที่พัฒนาข้ึนในรอบสุดทายมาจัดทาเปนแบบสอบถามท่ีมีลักษณะเปนแบบ ประมาณคา (Rating Scale) เพ่ือนาไปสารวจความคิดเห็นของบุคคลที่เกี่ยวของเกี่ยวกับความเหมาะสม และความเปนไปไดของรูปแบบ 4) การทดสอบรูปแบบโดยการทดลองใชรูปแบบ การทดสอบรูปแบบโดยการ ทดลองใชรูปแบบน้ี ผูวิจัยจะนารูปแบบที่พัฒนาขึ้นไปทดลองใชจริงกับกลุมเปาหมาย มีการดาเนินการ ตามกจิ กรรมอยางครบถวน ผูวิจยั จะนาขอคนพบท่ไี ดจากการประเมินไปปรับปรงุ รูปแบบตอไป การพัฒนารูปแบบการเรียนการสอน มีส่ิงท่ีควรพิจารณา 5 ประการ คือ (คณาพร คมสัน. 2540: 75 อ้างองิ จาก Saylor e.al. 1981: 272) 1. เป้าหมายที่ตอ้ งการให้ผู้เรยี นบรรลุ 2. โอกาสสูงสุดทส่ี ามารถบรรลุเปา้ หมายไดห้ ลายประการ 3. ความสามารถสร้างแรงจูงใจให้แก่ผเู้ รยี น 4. พิจารณาหลักการพื้นฐานทางทฤษฎี และหลักการเรยี นรู้ประกอบ 5. สะดวกใช้ และยืดหยุ่นในการปรบั ใช้ในสถานการณต์ า่ งๆ นอกจากน้ี การพัฒนารปู แบบการเรียนการสอนจะออกแบบตามวัตถปุ ระสงคซ์ ่ึงผูใ้ ช้ต้อง คานงึ ถึงวัตถปุ ระสงค์ของรูปแบบจงึ เกิดผลสาเร็จได้ดี และสามารถนารูปแบบไปประยุกต์ใชใ้ นสถานการณ์ อื่นท่ีเหมาะสมต่อไป ซ่ึงก่อนท่ีจะนารูปแบบการเรียนการสอนไปใช้ ควรต้องมีการวิจัยเพื่อทดสอบทฤษฎี รวมถึงการตรวจสอบประสิทธภิ าพของรูปแบบ และนาข้อคน้ พบมาปรับปรงุ แกไ้ ขตอ่ ไป การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นทักษะกระบวนการเพ่ือเสริมสร้าง ความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ ของนักศึกษาพยาบาลวิทยาลัยพยาบาลบรมราชชนนี ชลบุรี ผู้วิจัยมี กระบวนการออกแบบรูปแบบโดยการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวของ เพ่ือนาสารสนเทศที่ไดมา วิเคราะหและสังเคราะหเปนรางรูปแบบร่วมกับการศึกษาสภาพและความคาดหวังการพัฒนาการคิด วิเคราะห์ของนักศึกษา โดยการสัมภาษณ์นักศึกษาและอาจารย์ เพ่ือนาข้อมูลมาประกอบการออกแบบ รูปแบบ เมื่อได้ร่างรูปแบบแล้ว ทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่าง เพ่ือปรับรูปแบบให้สมบูรณ์ก่อนนาไปให้ ผเู้ ช่ยี วชาญตรวจสอบความเหมาะสมของรปู แบบ
25 4. การจัดการเรียนการสอนทีเ่ น้นผูเ้ รยี นเป็นศนู ยก์ ลาง แต่เดิมการสอน (Teaching) เป็นการถ่ายทอดความรู้ ทักษะ และเจตคติต่างๆ โดยที่ผู้สอน และผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันในกระบวนการเรียนรู้ ผู้สอนมีบทบาทสาคัญ ผู้เรียนเป็นผู้รับการถ่ายทอด ตามแต่ครูจะให้ ผู้สอนจึงเป็นเสมือนศูนย์กลางของการเรียน (Teacher- centered approach) เนื่องจาก ปัจจัยและองค์ประกอบท่ีส่งผลต่อการเรียนรู้มีมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งจานวนผู้เรียนที่มีจานวนมากขึ้น ความแตกต่างระหว่างบุคคลก็ทาให้การสอนมีผลตอ่ ผู้เรียนระดับต่างๆ ไม่เท่าเทียมกัน สาระจาเป็นท่ีต้อง ศึกษาขยายตัวมากข้ึนตามการเปลีย่ นแปลงของสงั คม และความก้าวหน้าของวิทยาการซ่ึงรุดหน้าอย่างไม่ หยุดย้ัง ทาให้เวลาในการสอนปกติอาจไม่เพียงพอที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดทักษะ หรือความรู้ความเข้าใจ ตามที่ต้องการ (ทิศนา แขมมณี, 2557) แนวคิดการสอนจึงเริ่มเปล่ียนไป โดยนักการศึกษาคนสาคัญ จอห์น ดิวอ้ี (John Dewey) ได้เสนอแนวคิดใหม่ให้การสอนเป็นการเน้นท่ีตัวผู้เรียนได้เรียนรู้จากการ กระทา (Learning by doing) ดังน้ันแนวคิดการสอนจึงได้เปล่ียนมาเป็น “การเรียนการสอน” (Instruction) ซึง่ มีความหมายแตกต่างจากคาวา่ “การสอน” ดังน้ี (ทิศนา แขมมณ,ี 2557) 1. การเรียนการสอน คานึงถึงการเรยี นของผู้เรียน ให้ผู้เรียนมสี ่วนรว่ มในการเรยี นรแู้ ทน การท่คี รูเป็นศนู ยก์ ลางในการเรยี น ซึง่ เป็นลักษณะของการสอน 2. การเรียนการสอนเปน็ การถ่ายทอดความรู้ ทกั ษะ และเจตคตติ า่ งๆ โดยมีการเตรยี มการ มีการวางแผนตามหลกั วิชา มีข้ันตอนหรือกระบวนการสอนที่เป็นแบบแผนชัดเจน มีกิจกรรมการเรียนรู้ท่ี ให้ผเู้ รยี นมสี ว่ นรว่ ม เพือ่ ให้บรรลุจุดมุ่งหมาย เปน็ การใช้ศาสตรใ์ นการสอนมากกวา่ ในเรื่องการสอน 3. การเรียนการสอน ครอบคลุมปฏิสัมพันธ์หลายรูปแบบ อาทิ ปฏิสัมพันธ์ระหว่างบุคคล กบั บุคคล บุคคลกบั ส่อื ตา่ งๆ ส่วนการสอนเป็นปฏิสัมพันธร์ ะหวา่ งผ้สู อนกับผู้เรยี น 4. การเรียนการสอน มักเกิดข้ึนในสถานการณ์ของการเรียนการสอน ในขณะท่ีการสอน เกิดขนึ้ ทกุ หนทกุ แหง่ ไมจ่ ากดั เวลาหรอื สถานท่ี การเรยี นการสอน หมายถงึ การจดั ประสบการณใ์ ห้ผูเ้ รยี น โดยยึดหลกั การมีสว่ นร่วมและ การมีปฏิสมั พันธข์ องผ้เู รยี นมากทีส่ ุด เป็นการสอนทใ่ี หผ้ ้เู รยี นเปน็ ศนู ยก์ ลางของการเรียนรู้ (Student- Center instruction) และการเรียนรู้เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นภายในตัวบุคคล เป็นการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมอันเนื่องมาจากการได้รับประสบการณ์และการฝึกฝน ผู้เรียนต้องได้รับแรงจูงใจสูงพอ จึงจะทาให้ ผลการเรียนรู้น้ันนาไปสู่การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ดังน้ันการจัดการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็น ศูนย์กลาง ซ่ึงเกิดจากแนวคิดว่า ในการสอนครูต้องคานึงถึงการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นสาคัญ และช่วยให้
26 ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ด้วยวิธีการต่างๆ มิใช่เพียงการถ่ายทอดความรู้เท่าน้ัน เช่น การให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ โดยการกระทา การจัดการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง หมายถึงการจัดการเรยี นการสอนท่ียดึ ผู้เรียนเป็นตัวต้ัง โดยคานึงถึงความเหมาะสมกับผู้เรียน และประโยชน์สูงสุดท่ีผู้เรียนควรได้รับ และมีการ จัดกิจกรรมเรียนรู้ท่ีเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีบทบาทสาคัญในการเรียนรู้ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมเรียนรู้อย่าง ต่นื ตัว (Active participation) และได้ใช้กระบวนการเรียนรตู้ ่างๆ อนั จะนาผู้เรียนไปส่กู ารเกดิ การเรียนรู้ ที่แทจ้ ริง (ทิศนา แขมมณี, 2557) การจัดการเรียนการสอนท่ีเน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ มีระดับบทบาทของผู้สอนและผู้เรียนมาก น้อยตา่ งกนั 3 รูปแบบดงั น้ี (วฒั นาพร ระงบั ทุกข์, 2542: 11-12) 1. รูปแบบท่ี 1 Student-centered class ครูเตรียมเน้ือหา วัสดุ อุปกรณ์ และสื่อท้ังหมด ผู้เรียนดาเนินการกิจกรรมการเรียนรู้โดยมีผู้สอนคอยดูแลกากับให้คาปรึกษา กิจกรรมในรูปแบบน้ีส่วน ใหญเ่ ปน็ กิจกรรมกลมุ่ หรอื จับคู่ 2. รูปแบบที่ 2 Learner- based teaching ครูจะกระตุ้นหรือมอบหมายให้ผู้เรียนค้นคว้า ข้อมลู เร่ืองที่จะเรียนเอง หรือจัดทาสือ่ การเรียนรู้เอง โดยใชป้ ระสบการณ์ ความรู้ความชานาญของผู้เรียน เป็นฐาน 3. รูปแบบท่ี 3 Learner independence หรือ Self- directed learning ผู้เรียนเป็นอิสระ จากชั้นเรียน สามารถศึกษาค้นคว้าจากสื่อท่ีจัดไว้ในศูนย์การเรียนรู้ด้วยตนเอง แล้วเลือกทางานหรือฝึก ปฏิบัติตามต้องการ ตามความสนใจ และศักยภาพของตน โดยอาจศึกษาตามลาพังหรือจับคู่ศึกษากับเพ่ือน การจัดประสบการณ์ในการเรยี นร้ทู เี่ น้นผู้เรียนเป็นสาคัญ ควรยึดหลกั การดังน้ี 1. ให้ความสาคญั กับกระบวนการเรียนรู้และใหเ้ ป็นไปอย่างมชี ีวิตชีวา 2. การเรียนรู้ต้องยึดกลุ่มเป็นแหล่งความรู้ที่สาคัญ มีปฏิสัมพันธ์ในกลุ่มเพ่ือแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นและประสบการณซ์ ่ึงกันและกนั และการเรียนรยู้ ังเกิดข้ึนจากแหล่งตา่ งๆ ได้ 3. การเรยี นรทู้ ีด่ ี ผู้เรยี นต้องเรียนรจู้ ากความเขา้ ใจและเรียนรู้อย่างมีความหมาย คอื ผเู้ รียน สามารถนาไปใชใ้ นชวี ติ ประจาวนั ได้ 4. ให้ผู้เรียนได้ค้นพบความรู้ด้วยตนเองเป็นวิธีการสาคัญ จะทาให้ผู้เรียนจดจาได้ดี มี ความหมายต่อผเู้ รียนและเกิดความคงทนของความรู้ 5. ควรเน้นกระบวนการ (process) ควบคู่ไปกับผลงาน (product) ตลอดจนการนาความรู้ ไปใช้ในชีวติ ประจาวัน
27 การจาแนกประเภทของการจัดการเรยี นการสอนใหผ้ ู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ซง่ึ ปจั จบุ นั หลักการ และแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนให้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง สามารถทาได้หลายแบบหลายลักษณะท่ี แตกต่างกัน แต่หากวิธีการและกระบวนการน้ันช่วยให้ผู้เรียนมีบทบาทหรือมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ อย่างตื่นตัว และผู้เรียนได้สร้างความหมายของสิ่งท่ีเรียนรู้จนเกิดเป็นความเข้าใจที่แท้จริง การแบ่งประเภท ของการจัดการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลางโดยใช้จุดเน้นของการจัดการเรียนการสอนเป็น เกณฑด์ งั น้ี (ทิศนา แขมมณี, 2557) 1. แบบเน้นตวั ผเู้ รยี น 1.1 การจัดการเรียนการสอนตามเอกัตภาพ (Individualized instruction) เป็นการจัด สภาพการเรยี นการสอนให้แกผ่ ู้เรยี นเป็นรายบุคคล โดยคานงึ ถงึ ภูมหิ ลัง สติปัญญา ความสามารถความถนดั รูปแบบการเรียนรู้ ความสนใจและความต้องการของผ้เู รยี นแต่ละคน ทงั้ นผ้ี ้สู อนจาเป็นต้องมกี ารวินิจฉัย ผู้เรียนและทดสอบผู้เรียนก่อนเรียน และใช้ผลการวินิจฉัยในการวางแผนการเรียนให้แก่ผู้เรียนเป็นรายบุคคล ผู้เรยี นจะดาเนินการเรียนรตู้ ามแผนและผลประเมนิ การเรยี นรขู้ องตน โดยผสู้ อนให้ความช่วยเหลือ และ เกบ็ ขอ้ มลู การเรียนรขู้ องผเู้ รยี นเปน็ รายบคุ คล และใช้ข้อมูลเพื่อการวางแผนการเรยี นรู้ของผเู้ รียนต่อไป (Karlin & Berger, 1974 อา้ งในทศั นา แขมมณ)ี 1.2 การจดั การเรยี นรโู้ ดยผเู้ รยี นนาตนเอง (Self-Directed learning) เปน็ การจัด การ เรียนการสอนท่ีให้โอกาสผู้เรียนวางแผนการเรียนรู้ด้วยตนเอง ซึ่งครอบคลุมการวินิจฉัยความต้องการ ใน การเรียนรู้ของตน การตั้งเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ การเลือกวิธีการเรียนรู้ การแสวงหา แหล่งความรู้ การรวบรวมข้อมูล รวมท้ังการประเมินตนเอง โดยครูอยู่ในฐานะกัลยาณมิตร ทาหน้าที่กระตุ้น และให้คาปรึกษาผู้เรียนในการวินิจฉัยความต้องการ กาหนดวัตถุประสงค์ ออกแบบแผนการเรียนรู้ และ จัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์ แหล่งข้อมูล รวมท้ังร่วมเรียนรู้ไปกับผู้เรียน และติดตามประเมินผลการเรียนร้ขู อง ผเู้ รียนดว้ ย 2. แบบเน้นความร้คู วามสามารถ 2.1 การจัดการเรียนรู้แบบรู้จริง (Mastery learning) เป็นการจัดการเรียนการสอนที่มี กระบวนการในการดาเนินการให้ผู้เรียนทุกคนซึ่งมีความสามารถและสติปัญญาแตกต่างกัน สามารถเกิด การเรียนรู้อย่างแท้จริง โดยผู้สอนวิเคราะห์เน้ือหาสาระและกาหนดวัตถุประสงค์ในการเรียนรู้อย่างละเอียด และเป็นไปตามลาดับข้ัน และวางแผนการเรียนรู้สาหรับผู้เรียนแต่ละคนหรือแต่ละกลุ่ม ให้สนองตอบความ ถนัดท่ีแตกต่างกันของผู้เรียน โดยการแสวงหาวิธีการ สื่อ หรือให้เวลาในการเรียนรู้แตกต่างกันตา ม ความสามารถ ผู้เรียนมีการดาเนินการเรียนรตู้ ามแผนภายใต้การดูแล และการช่วยเหลือของผู้สอนไปทีละ วัตถปุ ระสงค์ จนสามารถบรรลุผล โดยมีการประเมินผลว่าผู้เรียนรู้จริงตามวัตถุประสงค์ที่กาหนดจงึ จะสามารถ
28 ไปเรียนในวัตถุประสงค์ต่อไปได้ หากผู้เรียนยังไม่บรรลุวัตถุประสงค์ ผู้สอนต้องแสวงหาวิธีการ สื่อหรือ นวตั กรรมตา่ งๆ มาชว่ ยจนผู้เรยี นสามารถเรียนรูต้ ามวตั ถปุ ระสงค์ครบทุกวตั ถุประสงค์ 2.2 การจดั การเรียนการสอนแบบรับประกนั ผล (Verification teaching) เป็นการจัด การเรียนการสอนโดยการจัดสภาพการณ์ของการเรยี นการสอนที่ผสู้ อนกาหนดวตั ถุประสงค์ (ซงึ่ เป็น สว่ นหน่ึงหรือท้งั หมดของวตั ถุประสงค์การเรยี นรู้ และอาจเปน็ วัตถปุ ระสงคท์ ัว่ ไปหรือวัตถปุ ระสงค์เฉพาะ กไ็ ด้) ทสี่ ามารถพสิ ูจน์ทดสอบไดว้ า่ ผเู้ รยี นเกดิ การเรียนรตู้ ามทกี่ าหนดไวห้ รอื ไม่ และผ้สู อนดาเนนิ การทดสอบ ผเู้ รียนเป็นรายบุคคลตามวตั ถปุ ระสงคน์ นั้ โดยผ้เู รียนได้รบั รมู้ าก่อนว่าจะมีการทดสอบตามวัตถปุ ระสงค์ น้นั จากผลการทดสอบหากผู้เรียนยงั ไมเ่ กดิ การเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ ผูส้ อนจะต้องดาเนินการสอนซ้า ให้แกผ่ ู้เรียน และทาการทดสอบใหม่ จนกระทัง่ ผู้เรียนทกุ คนเกิดการเรยี นรูต้ ามวตั ถปุ ระสงค์ท่ีกาหนด หรือผู้สอนตดั สินใจที่จะไม่ใช้การเรียนการสอนแบบรับประกนั ผลต่อไป ดังนัน้ วัตถปุ ระสงคท์ กี่ าหนดจึง ควรเป็นวตั ถปุ ระสงคท์ ี่เหมาะสมและเป็นไปไดส้ าหรบั ผ้เู รยี น (Laska,1990 อ้างในทศั นา แขมมณี) 2.3 การจัดการเรียนการสอนแบบเน้นมโนทัศน์ (Concept-Based instruction) เป็น การจัดการเรียนการสอนท่ีมีการวางแผนการสอนโดยระบุมโนทัศน์ หรือความคิดรวบยอดท่ีต้องการให้ ผู้เรียนได้รับ และดาเนินการเรียนการสอนโดยใช้วิธีการและกระบวนการต่างๆ ท่ีจะช่วยให้ผู้เรียนเกิด ความเขา้ ใจมโนทศั นน์ น้ั และสามารถนามโนทศั นน์ ั้นไปใช้ในสถานการณใ์ หมๆ่ ได้ รวมท้ังมกี ารประเมินผล โดยม่งุ ไปทค่ี วามเข้าใจของผู้เรยี นในมโนทัศน์น้ันๆ 3. แบบเน้นประสบการณ์ 3.1 การจัดการเรียนรู้แบบเน้นประสบการณ์ (Experiential learning) เป็นการจัดการเรียน การสอนทม่ี ีการดาเนินการที่ะช่วยให้ผเู้ รยี นเกดิ การเรียนรู้ตามเป้าหมาย โดยให้ผเู้ รยี นได้รับประสบการณ์ ที่จาเป็นต่อการเรียนรู้ในเร่ืองที่เรียนรู้มาก่อน และให้ผู้เรียนสังเกต ทบทวนส่ิงท่ีเกิดข้ึน และนาส่ิงที่เกิด ข้ึนมาคิดพิจารณาไตร่ตรองร่วมกัน จนกระท่ังผู้เรียนสามารถสร้างความคิดรวบยอดหรือสมมติฐานต่างๆ ในเร่ืองที่เรียนรู้ แล้วจึงนาความคิดหรือสมมติฐานเหล่านั้นไปทดลองหรือประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ใหม่ๆ ต่อไป 3.2 การจัดการเรียนรแู้ บบรับใชส้ ังคม (Service learning) เปน็ การจัดการเรียนการสอน ที่ผู้สอนดาเนินการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยการให้ผู้เรียนเข้าไปมีประสบการณ์ในการรับใช้สังคม ท้งั น้ีผู้เรยี นจะต้องมีการสารวจความต้องการของชุมชนที่มีความเก่ียวข้องกบั เรื่องท่ีเรยี น และวางแผนการ เข้าไปมีส่วนร่วมในกิจกรรมต่างๆ ลงมือปฏิบัติรับใช้สังคมตามแผน และนาประสบการณ์ทั้งหลายท่ีได้รับ มาคิดพิจารณา ไตร่ตรอง จนกระทั่งเกิดความคิดรวบยอด หลักการหรือสมมติฐานต่างๆ ซึ่งสามารถนาไป ทดลอง หรือประยุกต์ใชใ้ นสถานการณ์ใหมๆ่ ได้
29 3.3 การจัดการเรียนรู้ตามสภาพจริง (Authentic learning) เป็นการจัดการเรียนการสอน ท่ีผู้สอนดาเนินการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ โดยการให้ผู้เรียนไปเผชิญสภาพการณ์จริง ปัญหาจริง ใน บริบทจริง และรว่ มกนั ศกึ ษาเรียนรู้ แสวงหาความรู้ ข้อมูล และวธิ กี ารต่างๆ เพื่อท่ีจะแกไ้ ขปัญหานนั้ และ ได้รับผลการประเมินตามมาตรฐานคุณภาพชีวิตจริง แต่กรณีที่ไม่สามารถจัดให้ผู้เรียนไปเผชิญปัญหาใน บริบทจริงได้ ผู้สอนสามารถจัดการเรียนรู้ตามสภาพจริงในห้องเรียนได้ โดยการจัดกิจกรรมที่จาลองหรือ สะท้อนความเป็นจริงให้ผู้เรียนร่วมกันคิดแก้ปัญหา หรือเข้าไปสวมบทบาทในสถานการณ์จาลองและ เรียนรู้ที่จะใช้ความรู้และทักษะต่างๆ ในการเข้าใจสภาพความเป็นจริง และแก้ปัญหาต่างๆ ซ่ึงกิจกรรม ดังกล่าวควรจะช่วยให้ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการคิดขั้นสูง ได้เรียนรู้ความรู้ในระดับลึก ได้เช่ือมโยงสิ่งท่ี เรียนรู้กับโลกแห่งความเป็นจริง ได้อภิปรายสนทนาในเร่ืองที่เป็นสาระสาคัญ และได้รับผลการตัดสินใจ และการกระทาของตนจากสังคม หรอื ตามเกณฑ์มาตรฐานการใชช้ ีวิตจริง 4. แบบเน้นปัญหา 4.1 การจัดการเรียนการสอนโดยใช้ปัญหาเป็นหลัก (Problem-Based instruction) เป็น การจัดการเรียนการสอนที่ใช้ปัญหาเป็นเครื่องมือในการช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามเป้าหมาย โดย ผู้สอนอาจนาผู้เรียนไปเผชิญสถานการณ์ปัญหาจริง หรือผู้สอนอาจจัดสภาพการณ์ให้ผู้เรียนเผชิญปัญหา และฝึกกระบวนการวิเคราะห์ปัญหาและแก้ปัญหาร่วมกันเป็นกลุ่ม ซึ่งจะทาให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจใน ปัญหานั้นอย่างชัดเจน ได้เห็นทางเลือกและวิธีการท่ีหลากหลายในการแก้ปัญหาน้ัน รวมท้ังช่วยให้ผเู้ รยี น เกดิ ความใฝร่ ู้ เกดิ ทกั ษะกระบวนการคิด และกระบวนการแก้ปัญหาต่างๆ 4.2 การจัดการเรยี นการสอนโดยใชโ้ ครงการเป็นหลกั (Project-Based instruction) เป็นการ จัดการเรยี นการสอนทีผ่ ู้สอนจัดสภาพการณ์ของการเรียนการสอน โดยใหผ้ ้เู รยี นไดร้ ่วมกันเลือกทาโครงการท่ี ตนสนใจ โดยร่วมกันสารวจ สังเกต และกาหนดเร่ืองท่ีตนสนใจ วางแผนในการทาโครงการร่วมกัน ศึกษา หาข้อมูลความรู้ที่จาเป็น และลงมือปฏิบัติงานตามแผนงานท่ีวางไว้จนได้ข้อค้นพบหรือส่ิงประดิษฐ์ใหม่ แล้วจึงเขียนรายงาน และนาเสนอต่อสาธารณชน เก็บข้อมูล แล้วนาผลงานและประสบการณ์ท้ังหมดมา อภปิ รายแลกเปลย่ี นเรียนรู้ ความคิดค้น และสรุปผลการเรียนรูท้ ีไ่ ดร้ บั จากประสบการณ์ท่ไี ดร้ ับทั้งหมด 5. แบบเนน้ บรู ณาการ เปน็ การจัดการเรยี นการสอนทผ่ี ู้สอนนาเน้ือหาสาระท่มี ีความเกย่ี วข้องกัน มาสัมพันธใ์ หเ้ ป็นเร่อื งเดียวกนั และจัดกจิ กรรมการเรยี นรู้ใหผ้ ูเ้ รยี นเกิดความรู้ความเข้าใจในลกั ษณะองคร์ วม และสามารถนาความรู้ความเข้าใจไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้ การบูรณาการเนื้อหาสาระที่มี ความเกย่ี วขอ้ งกนั สามารถทาไดห้ ลายลักษณะดังน้ี 5.1 การบูรณาการภายในวิชา (Intradisciplinary) หมายถึงการนาเนื้อหาสาระในวิชาเดียวกัน หรือกลุ่มประสบการณ์เดียวกันมาสัมพันธ์กัน เช่น วิชาภาษาไทย มีเน้ือหาสาระเกี่ยวกับการอ่าน
30 การเขียนคาประพันธ์ การพูดจูงใจ ไวยากรณ์ และวรรณคดี แทนท่ีผู้สอนจะสอนเนื้อหาสาระทีละเรื่อง แยกจากกัน ผู้สอนสามารถนาสาระทุกเรื่องมาสัมพันธ์กันเป็นเรื่องเดียวกัน โดยเลือกศึกษาวรรณคดีเร่ือง “พระอภัยมณี” เป็นแกนหรือหัวข้อหลัก (Theme) ในการศึกษาเรื่องพระอภัยมณี ผู้เรียนได้เรียนรู้ เร่ืองราว ความงามของภาษา การเขียนคาประพันธ์ การใช้ไวยากรณ์ในคาประพันธ์ การอ่านให้ไพเราะ และการพดู จูงใจให้เยาวชนหนั มาสนใจวรรณคดไี ทย 5.2 การบูรณาการระหว่างวชิ า (Interdisciplinary) หมายถึงการนาเนอื้ หาสาระของ หลายๆ วิชามาสัมพนั ธ์ให้เปน็ เรื่องเดียวกัน 6. แบบเนน้ ทกั ษะกระบวนการ 6.1 การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการสืบสอบ (Inquiry-Based instruction) เป็นการจัดการเรียนการสอนท่ีผู้สอนดาเนินการเรียนการสอนโดยผู้สอนกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดคาถาม เกิด ความคิด และลงมือเสาะแสวงหาความรู้ เพ่ือนามาประมวลหาคาตอบหรือข้อสรุปด้วยตนเอง โดยผู้สอน ช่วยอานวยความสะดวกในการเรียนรู้ในด้านต่างๆ ให้แก่ผู้เรียน เช่น ในด้านการสืบค้น หาแหล่งความรู้ การศกึ ษาข้อมลู การวเิ คราะห์ การสรุปขอ้ มูล การอภิปรายโต้แย้งทางวิชาการ และการทางานร่วมกับผอู้ ื่น 6.2 การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการคิด (Thinking-Based instruction) เป็นการจัดการเรียนการสอนท่ีดาเนินการโดยผู้สอนใช้รูปแบบ วิธีการ และเทคนิคการสอนต่างๆ กระตุ้น ให้ผู้เรียนเกิดคิดขยายต่อเนื่องจากความคิดเดิมที่มีอยู่ในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เช่นเกิดความคิดที่มี ความละเอียด กว้างขวาง ลึกซ้งึ ถกู ต้องมีเหตผุ ล และน่าเช่ือถือมากข้นึ กว่าเดิม การจัดการเรยี นการสอนที่ เน้นกระบวนการคิดมีแนวคิดหลักท่ีว่า กระบวนการคิดเป็นกระบวนการทางสติปัญญา ซึ่งอาศัยสิ่งเร้าและ สภาพแวดลอ้ มทเี่ หมาะสม การฝึกทักษะการคิด การใช้ลกั ษณะการคดิ แบบตา่ งๆ รวมทั้งกระบวนการคิดท่ี หลากหลายจะช่วยให้การคิดอย่างจงใจและอย่างมีเป้าหมายของผเู้ รียนเป็นไปอย่างมีคุณภาพมากขนึ้ โดย มแี นวทางการจัดการเรียนการสอนดังนี้ 1) ผูส้ อนและผูเ้ รียนมปี ฏสิ ัมพนั ธ์กนั ผูส้ อนมีการให้โอกาส และเวลาแก่ผเู้ รยี นใน การใช้ความคิดและแสดงความคิด มีการอภิปรายโต้ตอบกัน เกี่ยวกับความคิดที่เกิดข้ึนในกระบวนการเรียนการ สอน 2) ผสู้ อนมกี ารใช้รปู แบบ วิธีการ หรอื เทคนคิ การสอนต่างๆ ในการกระตุ้นใหผ้ ูเ้ รียน เกิดความคิดขยายจากความคิดเดิมในลักษณะใดลักษณะหนง่ึ คือ ความคดิ หลากหลายมากขึน้ ความคิดมี ความละเอียดขึ้น ความคิดมีความรอบรอบข้ึน ความคิดมีความกว้างขวางขึ้น มีความลึกซึ้งขึ้น เล็งเห็น การณ์ไกลมากขึ้น ความคดิ มเี หตุผล ถกู ต้อง นา่ เช่อื ถอื มากขนึ้ 3) ผู้สอนมีการจัดกจิ กรรมส่งเสริมให้ผูเ้ รียนได้ฝึกทักษะการคิดและกระบวนการคิด
31 ตา่ งๆ ตามความเหมาะสมกับพ้ืนฐานของผเู้ รียนได้แก่ - ทกั ษะการคิดพื้นฐาน เชน่ การจา การระลึกได้ การบรรยาย การอ่าน การเขียน - ทักษะการคิดทเี่ ป็นแกนสาคัญ เชน่ ทกั ษะการสังเกต การตง้ั คาถาม การจาแนก การจดั หมวดหมู่ การเปรยี บเทยี บ การเช่ือมโยง การใชเ้ หตุผล การขยายความ การตีความ การสรุป เปน็ ตน้ - ทักษะการคิดขั้นสูง (Higher order thinking skill) เช่นทักษะการวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การประยุกต์ใช้ การคาดคะเน การรวบรวมข้อมูล การพิสูจน์ การทดสอบ การคิดริเร่ิม การจนิ ตนาการ การประเมิน การจดั โครงสรา้ ง การปรบั โครงสรา้ ง การสรา้ งใหม่ เปน็ ตน้ - ทักษะการคิดโดยแยบคาย (โยนิโสนมสิการ) ตามหลักพุทธธรรม ได้แก่ การคิด สืบสาวเหตุปัจจัย คิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ คิดแบบสามัญลักษณ์ คิดแบบอริยสัจจ์/คิดแบบ แก้ปัญหา คิดแบบอรรถธรรมสัมพันธ์ คิดแบบคุณโทษและทางออก คิดแบบคุณค่าแท้-คุณค่าเทียม คดิ แบบเรา้ คุณธรรม คดิ แบบอย่กู ับปจั จบุ นั และคดิ แบบวภิ ชั ชวาท - กระบวนการคิดต่างๆ เชน่ กระบวนการคิดอย่างมวี ิจารณญาณ กระบวนคิด ริเริ่มสรา้ งสรรค์ กระบวนการแกป้ ญั หา กระบวนการไตรต่ รอง และการคิดตารกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร์ 4) ผู้สอนและผู้เรียนมีการร่วมกันสรุปประเด็นที่ได้จากกระบวนการคิดท่ีเกิดขึ้นใน การเรยี นการสอน 5) ผสู้ อนมีการวัดและประเมินผลการเรยี นทั้งทางด้านเน้ือหาสาระและกระบวนการคิด 6.3 การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการกลุ่ม (Group Process-Based instruction) เป็นการจัดการเรียนการสอนที่ผู้สอนให้ผู้เรียนทางาน/กิจกรรมร่วมกันเป็นกลุ่ม พร้อมท้ัง สอน/ฝึก/แนะนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เก่ียวกับกระบวนการทางานกลุ่มท่ีดี ควบคู่ไปกับการช่วยให้ ผเู้ รยี นเกดิ การเรียนรู้เน้ือหาสาระตามวัตถุประสงค์ โดยมหี ลกั การของกระบวนการกลุ่ม เป็นกระบวนการ ในการทางานร่วมกันของบุคคลต้ังแต่ 2 คนข้ึนไป โดยมีวัตถุประสงค์รว่ มกัน และมีการดาเนินงานร่วมกนั โดยผู้นากลุ่มและสมาชิกกลุ่มต่างทาหน้าท่ีของตนอย่างเหมาะสม และมีกระบวนการทางานที่ดี เพ่ือนา กลุ่มสู่วัตถุประสงค์ท่ีกาหนดไว้ การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการทางานกลุ่มที่ดีจะทาให้ ผ้เู รียนมที กั ษะทางสงั คม และขยายขอบเขตของการเรียนรู้ใหก้ ว้างขวางขน้ึ มีแนวทางจดั กิจกรรมดงั น้ี 1) ผ้เู รยี นมกี ารปฏสิ ัมพันธ์/ทางาน/ทากจิ กรรม รว่ มกันเปน็ กลมุ่ เพ่ือเกิดการเรยี นรู้ ตามวตั ถปุ ระสงค์ 2) ผู้สอนมีการฝึก/ชี้แนะ/สอนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการทางาน เปน็ กลุม่ ที่ดใี นจุดใดจดุ หนงึ่ ของกระบวนการ เช่นเรือ่ งบทบาทผ้นู ากลุ่ม บทบาทสมาชกิ กลุ่ม กระบวนการ ทางานกลุ่ม องคป์ ระกอบอืน่ ๆ ทเี่ ก่ียวข้อง
32 3) ผู้เรียนมีการวิเคราะห์การเรียนรู้ของตนเองทั้งในด้านเน้ือหา สาระที่เรียน และ กระบวนการทางานร่วมกนั 4) ผู้สอนมีการวิเคราะห์และประเมินผลการเรียนรู้ทั้งทางด้านเนื้อหาสาระและ กระบวนการกลุ่ม 6.4 การจัดการเรียนการสอนโดยเนน้ กระบวนการวิจยั (Research-Based instruction) เป็นการจัดการเรียนการสอนที่ให้ผู้เรียนใช้กระบวนการวิจัย หรือผลการวิจัยเป็นเคร่ืองมือในการเรียนรู้ เนื้อหาสาระต่างๆ โดยอาจใช้การประมวลผลงานวิจัย (Research review) มาประกอบการสอนเน้ือหา สาระ ใช้ผลการวิจัยมาเป็นเน้ือหาสาระในการเรียนรู้ ใช้กระบวนการวจิ ยั ในการศึกษาเนื้อหาสาระ หรือให้ ผเู้ รยี นลงมือทาวจิ ัยโดยตรง หรอื ช่วยฝึกฝนทกั ษะการวิจยั ต่างๆ ให้แกผ่ ู้เรียน จะเห็นได้ว่าการจัดการเรยี นการสอนแตล่ ะประเภทจะมีจุดเน้นที่แตกต่างกันไป การที่ผู้สอน จะใช้รูปแบบใดน้ันข้ึนกับว่าต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเรื่องใด และต้องสอดคล้องกับเน้ือหา รายวิชาที่สอน ในงานวิจัยน้ีมีเป้าหมายที่จะพัฒนาความสามารถและทักษะด้านการคิดวิเคราะห์ให้กับ ผู้เรียนที่เรียนวิชาพยาธิสรีรวิทยา ซึ่งการคิดวิเคราะห์เป็นความคิดขั้นสูงและเป็นกระบวนการทางสมอง ผ้วู ิจัยจัดการเรยี นการสอนนักศึกษาทุกคนโดยแบ่งเป็นกลุ่มย่อย ดงั นั้นผวู้ ิจัยจงึ เลือกรปู แบบการเรียนการ สอนท่ีเน้นทักษะกระบวนการ โดยใช้แนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการคิดวิเคราะห์ กระบวนการกลุ่ม และ กระบวนการทางสมอง มาเป็นกรอบแนวคดิ ในการจัดการเรยี นการสอน 5. การจดั การเรียนการสอนโดยใช้ทฤษฎกี ารเรยี นรู้แบบใช้สมองเปน็ ฐาน การเรียนรโู้ ดยใช้สมองเปน็ ฐาน ( Brain Based Learning ) เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ที่ตงั้ อยูบน พ้ืนฐานของโครงสรางและการทางานของสมองที่วา ตราบใดที่สมอง ยังไมหยุดทางาน การเรียนรูก็ยังคง เกดิ ข้นึ อยเู ร่ือยไป การใช้ความร้คู วามเขา้ ใจทเี่ กี่ยวข้องกับสมองเป็นเคร่ืองมือในการออกแบบกระบวนการ จัดการเรยี นการสอน จะชว่ ยสรา้ งศักยภาพสงู สุดให้แก่ผู้เรยี น สมองเปนอวัยวะท่ีมีความสลับซับซอน และมีความสามารถในการปรับตัวอยางมหาศาล สมองมนุษย์ประกอบด้วยเซลล์ประมาณหนงึ่ แสนล้านเซลล์เมื่อแรกเกิด ท้ังหมดน้ันเช่ือมโยงกันด้วยแขนง ที่ยืน่ ออกมาจากเซลล์ เปน็ เครอื ขา่ ยร่างแหของวงจรขนาดมหึมา การเชื่อมโยงของเซลล์สมองเหล่าน้เี อง ท่ี เป็นกระบวนการสาคัญของการเรียนรู้ บนผวิ สมองของเราอัดแนน่ ไปด้วยเซลล์ประสาท (Neuron) ซ่งึ เปน็ เซลล์ขนาดเล็กประกอบด้วย ตัวเซลล์ท่ีมีแขนงเดนไดรท์ (Dendrite) ย่ืนออกมาโดยรอบ และมีแขนงยาว ย่ืนออกไปจากตวั เซลล์สมองท่ีเรยี กวา่ แอกซอน (Axon) ทาหน้าที่ในการสง่ กระแสประสาท (ข้อมูลหรือส่ิง ทเ่ี รยี นร)ู้ จากเซลประสาทหนึ่งไปยังอกี เซลล์ประสาท ซ่ึงจดุ ท่ีแขนงของเซลล์ประสาทหนงึ่ มาเจอกนั กับอีก
33 เซลล์ประสาทหนง่ึ เรยี กวา่ จดุ เชื่อมสญั ญาณประสาท (Synapse) ซง่ึ ตรงจดุ นี้ปลายแขนงแอกซอนจะไม่ได้ สัมผัสกบั แขนงเดนไดรทโ์ ดยตรง แต่มชี ่องวา่ งเล็กมากค่ันอยู่ ในการเชื่อมต่อวงจรในเซลสมองทง้ั หลายนั้น ทาได้โดยการส่งผ่านสัญญาณไฟฟ้าระหว่างกันโดยมีสารส่ือประสาท (Neurotransmitter) ทาหน้าที่เป็น ตัวส่งผ่านสัญญาณประสาท เกิดเป็นเครือข่ายสัญญาณเช่ือมโยงกันท้ังระบบประสาท น่ีเป็นกระบวนการ ของการติดต่อกันของเซลล์สมอง ซึ่งกระบวนการนี้จะมีศักยภาพมากน้อยเพียงไรก็ขึ้นอยู่กับว่าได้มีการใช้ มากน้อยเพียงใด ซึ่งโดยธรรมชาติแล้วหากเซลล์สมองส่วนใดท่ีไม่ได้รับการใช้ (พัฒนา) มากพอ จุดเชื่อม สัญญาณประสาท และเครอื ขา่ ยโยงใยเสน้ ประสาท รวมทง้ั เซลล์สมองสว่ นน้ันก็จะถกู กาจดั ท้งิ ไป หลกั ฐาน ทางวิทยาศาสตร์ บ่งชี้ว่ากิจกรรมในระบบประสาทเก่ียวข้องกับการเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ ทาให้เกิด การสร้างซินแนปส์ข้ึนมาใหม่ กระบวนการนี้เกิดได้ตลอดชีวิต และถูกกระตุ้นโดยประสบการณ์ คุณภาพ และปริมาณของข้อมลู ที่เราได้รบั การค้นพบทางประสาทวิทยาศาสตร์ท่ีทาให้เข้าใจกลไกทางสมองที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้ ของมนษุ ย์ไดแ้ ก่ 1. การเรียนรู ทาให้เกิดความเปล่ียนแปลงโครงสรางทางกายภาพของสมอง การเปล่ยี นแปลง ที่เกิดขึ้นภายในสมองเกิดขึ้นระหว างการเรียนรู้จะเปนตัวการที่ทาใหเซลล์ประสาทเปนเซลล ที่มี ประสิทธภิ าพ และพลงั มากข้ึน 2. การเปล่ียนแปลงโครงสรา้ งทางกายภาพน้ีจะไปปรับเปลี่ยนให การจัดระเบียบการทางาน ของสมอง และปรับปรงุ โครงสรางของสมอง 3. สมองสว่ นต่างๆ มคี วามพรอ้ มในการเรยี นรูในเวลาที่แตกตางกัน หลักการเรียนรู้โดยใชส้ มองเปน็ ฐาน (Brain-based learning) หลักการเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐานเป็นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสาคัญ โดย เชื่อว่า ความสาเร็จของการจัดการศึกษาเพ่ือพัฒนาคุณภาพของมนุษย์ รีนาเต นุมเมลา เคนย์ และเจฟ ฟรีย เคนย์ (Caine & Caine, 1998) ได้วิจัยการเรียนรู้ที่คานึงถึงความสามารถของสมองเป็นสาคัญ และ ได้เสนอหลักการทางานของสมองสาหรับการจัดการเรียนรู้ในห้องเรียนไว้ 12 ข้อ และต่อมาได้ปรับปรุง และนาเสนอหลกั การเรียนรูโ้ ดยสมอง12 ข้อ ดงั นี้ 1. สมองน้ันทางานพร้อมกันหลายๆ ส่วน ซ่ึงสมองจะเกิดการเรี ยนรู้ได้ดีใน สภาพแวดล้อมท่ีมีส่ิงเร้าอย่างหลากหลาย ดังน้ันการจัดช้ันเรียนควรจัดให้มีการนาสื่อหรือวิธีการต่าง ๆ เช่นกิจกรรม และรูปแบบการเรียนรู้ต่าง ๆ มาใช้ ในการส่งเสริมการเรียนรู้เพ่ือให้มีความหลากหลายท่ี กระตุ้นใหผ้ ูเ้ รยี น สนใจในการเรียนร้มู ากขึ้น
34 2. ศักยภาพในการเรียนรู้น้ันมีความเก่ียวข้องกับพัฒนาการเจริญเติบโต บุคลิกภาพ ลักษณะนิสัย และสภาวะอารมณ์ ดังน้ัน ผู้สอนต้องคานึงถึงภาวะที่แตกต่างกันของผู้เรียนแต่ละคนด้วย รวมไปถึงต้องดูแลสุขภาวะผู้เรียนให้มีความสมบูรณ์อยู่เสมอ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้อย่าง มี ประสทิ ธิภาพ 3. ความสงสัยใคร่รู้เป็นส่ิงที่มีมาตามธรรมชาติและติดตัวมาตั้งแต่เกิด ซ่ึงสมองนั้นก็ถูก ออกแบบมาเพื่อรับรู้และขบคิด เพ่ือค้นหาคาตอบ ควรจัดกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเกิดคาถาม และ สง่ เสริมให้ผู้เรยี นหาคาตอบจากคาถามนัน้ ดว้ ยตัวเอง 4. การคน้ หาคาตอบของมนุษยเ์ ป็นกิจกรรมท่ีเป็นรูปแบบ ดังน้ันการจดั การศึกษาจึงต้อง มกี ารดาเนินการอยา่ งมีรปู แบบเป็นระบบระเบียบ ซ่งึ จะทาใหเ้ กิดการเรียนรู้ทด่ี ีขน้ึ 5. อารมณ์ความรู้สึกไม่ได้แยกออกจากการเรียนรู้ ซึ่งมีความสาคัญมากต่อการจดจา ข้อมูล รวมไปถึงการเรียกใช้ข้อมูล ส่ิงนี้ทาให้จาเป็นต้องจัดส่ิงแวดล้อมเรียนให้เอ้ือต่อผู้เรียน ส่งเสริมให้ ผู้เรียนมีอารมณแ์ ละความรู้สกึ ท่ดี ีเป็นปกติ 6. สมองแต่ละส่วนทางานท้ังแบบเฉพาะด้านและประสานสัมพันธ์กับส่วนอ่ืนๆ ดังนั้น ควรออกแบบการเรยี นรู้ท่ีเน้นทั้งการใชส้ มองเฉพาะแต่ละด้าน รวมถึงการใช้สมองประสานสมั พนั ธ์กันดว้ ย 7. การเรียนรู้น้ันจะเกิดข้ึนได้ต่อเมื่อผู้เรียนสนใจและใสใ่ จในการเรยี นรู้ จึงจาเป็นต้องใช้ เทคนคิ ทางจติ วิทยาต่าง ๆ เพ่ือดงึ ดดู ผูเ้ รียนให้เกิดความสนใจในการเรียนรู้ ซ่งึ จะชว่ ยใหผ้ ้เู รยี นเรยี นร้ไู ด้ดขี ้นึ 8. การเรียนเป็นส่ิงท่ีมีความเก่ียวข้องกับจิตสานึกและจิตใต้สานึก จึงควรส่งเสริมให้ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ต่อเน่ือง และควรกระตุ้นให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นและมีเวลาทบทวนสิ่งท่ีได้ เรยี นรู้ไปแลว้ 9. มนุษย์มีความทรงจา 2 ประเภท คือ ความทรงจาท่ีมาจากประส บการณ์ใน ชีวิตประจาวัน และ ความทรงจาที่มาจากการท่องจา ดังนั้น จึงควรให้ความสาคัญท้ังกับการเรียนรู้ที่เน้น ให้ผเู้ รียนได้สมั ผัสกับประสบการณ์จรงิ และการเรยี นรทู้ ่ีใช้ทกั ษะการท่องจา 10. ความเข้าใจท่ีดีของสมองจะเกิดจากข้อมูลและทักษะจากความทรงจาที่มาจาก ประสบการณ์จริง ดังนั้นการเรียนรู้ที่เน้นให้ผู้เรียนสัมผัสจากประสบการณ์จริงนั้น มีประโยชน์ต่อการ พฒั นาสมอง จึงควรเน้นการสง่ เสริมในส่วนนเ้ี ป็นพิเศษ 11. แรงเสริมทางบวกมีผลดีต่อการเรียนรู้ของผู้เรียน แต่ถ้าผู้เรียนได้รับสิ่งไม่พึงพอใจ จากการคุกคามทางความรู้สึก ความเครียด และความวิตกกังวล ก็จะทาให้สมองไม่เกิดการเรียนรู้ ดังน้ัน จึงควรสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ให้เกิดความรู้สึกการผ่อนคลาย และหลีกเลี่ยงการกดดันผู้เรียนใน รูปแบบต่าง ๆ ผู้เรียนจะเกิดการเรียนรูไดดีที่สุดเมื่อสมองตองเผชิญกับความเครียดและความรู้สึกสบาย
35 ผ่อนคลายในปริมาณท่ีสมดุลกัน สมองต้องการความท้าทาย หรือแรงกดดันจากภายนอกที่ทาให เกิด ความเครยี ดในระดบั หน่งึ การท่สี มองตองการความเครยี ดบางนนั้ กเ็ พ่ือกระตนุ ใหมี สญั ชาตญิ าณของการอยูรอด แต่ถ้าความเครียดมีมากเกนิ ไปและมีความวิตกกังวลรวมดวยจะทาใหสมองหยดุ ที่จะเรียนรู ความเครียดที่ มีนอยจะทาใหสมองรูสึกผอนคลายและสบาย เปน็ สภาวะทีเ่ หมาะแกการทางาน ดังน้ันจึงมีคาจากดั ความ ของภาวะของสมองทีเ่ หมาะสมท่ีสุดตอการเรียนรู้วา “ความต่นื ตัวแบบผอนคลาย” 12. สมองของมนุษย์นั้นมีความแตกต่างกัน แต่โครงสร้างสมองของ แต่ละคนสามารถ เปล่ียนแปลงได้ ส่ิงนี้จึงจาเป็นอย่างมากที่จะต้องใช้กลยุทธ์ และเทคนิคการเรียนการสอนที่หลากหลาย เพอื่ จงู ใจผเู้ รียนใหไ้ ด้มากทีส่ ุด เพ่อื ประโยชน์ท่ดี ใี นการเรยี นรู้ เทคนคิ ท่ีเกี่ยวของกบั การเรยี นรูโดยอาศยั สมองเปนพน้ื ฐาน 3 ขอ 1. ทาใหเกิดการตนื่ ตวั แบบผอนคลายคือ สรางบรรยากาศใหไมรูสึกเหมือนถูกกดดัน แต มคี วามทาทายใหเกิดการเรียนรู 2. ทาใหทุกคนจดจอในสิ่งเดียวกันคือ การทาใหเกิดประสบการณที่หลากหลายซับซอน และประสบการณน้ันเกดิ ขึ้นจรงิ 3. ทาใหเกิดความรูจากการกระทาดวยตนเอง (มใิ ชความรูท่ีปอนให) โดยการใหเกิดการ เรียนรูระหวางที่มปี ระสบการณตรง 6. การจดั การเรียนการสอนท่ีเน้นกระบวนการคดิ การคดิ เปน็ กระบวนการทางสมองในการจัดกระทากับข้อมูล หรือสง่ิ เร้าที่รับเขา้ มา การคิดเป็น กระบวนการทางสตปิ ัญญาของบุคคล (Cognitive process) ทบี่ คุ คลใชส้ ร้างความหมายความเข้าใจใน สรรพสิง่ ต่าง ๆ ทบ่ี ุคคลไดร้ บั จากประสบการณ์ การคิดเปน็ ลกั ษณะกระบวนการหรือวธิ ีการ ไมใ่ ชเ่ นือ้ หาที่ บคุ คลหนงึ่ สามารถถ่ายทอดให้อีกบุคคลหนง่ึ ได้โดยง่าย การคดิ เปน็ เครื่องมือทใี่ ช้ในการสรา้ งความหมาย ความเขา้ ใจในเน้อื หาสาระต่าง ๆ ดงั น้นั การคิดเปน็ เรือ่ งหรอื งานเฉพาะตนท่บี ุคคลเรยี นรูด้ ว้ ยการดาเนินการเอง ไมม่ ีผ้ใู ดจะทาแทนได้ แต่บุคคลอ่นื รวมทั้งสภาพแวดลอ้ มและประสบการณต์ า่ ง ๆ สามารถช่วยกระตุ้นให้ บุคคลเกิดการคดิ และเกดิ การเรยี นรู้ โดยทวั่ ไปการคดิ ของบุคคลจาแนกได้ออกเปน็ 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ การคดิ อยา่ งไม่มจี ดุ ม่งุ หมายหรอื ทศิ ทาง กับการคดิ อย่างมีจุดมุ่งหมายหรือทิศทาง เป็นการคิดที่กระทา อยา่ งจงใจเพื่อให้ได้คาตอบหรือข้อสรุปตามความตอ้ งการ การคิดจึงเป็นกระบวนการเรียนรซู้ ่งึ ครตู ้อง พัฒนาให้เกิดข้ึนในผู้เรียน (ทิศนา แขมณี, 2557) การพัฒนาทักษะกระบวนการของผู้เรียน หากคนเรารู้จักวิธีคิดหรือคิดเป็นก็จะแก้ไขปัญหา หรือดาเนินชีวิตได้อย่างมีคุณค่า มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะนักเรียนซึ่งเป็นกาลังของชาติ และเป็นกาลัง
36 สาคัญในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต ต้องได้รับการฝึกฝนในการคิดจนก่อเป็นทักษะสาหรับ การศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม และประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวัน สามารถประกอบอาชีพในอนาคตได้ (ณรงค์ กาญจนะ: 2553; อ้างองิ จาก เฉลมิ มลิลา: 2526 : 152-153) วตั ถุประสงค์ในการพฒั นาการคิดของผู้เรียน มีดังนี้ 1. รูจ้ ักคดิ และคดิ เป็น คิดอย่างมวี ิจารณญาณ (Critical thinking) 2. รู้จักฝึกหัดใช้การพิจารณาสังเกตเป็นเคร่ืองมือในการแสวงหาความรู้ และประสบการณ์ เบื้องต้น ซึ่งเป็นองค์ประกอบพ้ืนฐานของการสร้างความเข้าใจข้อเท็จจริง และการกาหนดข้อสมมติฐาน ในข้ันต่อไป 3. รู้จักวิธีการจาแนกองค์ประกอบที่สาคัญ และรายละเอียดปลีกย่อยท่ีไม่สาคัญของข้อเท็จจริง ความรู้ และประสบการณ์ซึง่ นาไปส่กู ารกาหนดความคดิ ได้อย่างถูกต้อง 4. รู้จกั ความคดิ อยา่ งมีระบบในรูปของการสรา้ งความคิดรอบยอด หรือมโนทัศน์และหลักการ 5. รู้จักวิธีการ และฝึกตัดสินใจอย่างมีระบบ โดยอาศัยแนวความคิด และหลักการท่ีถูกต้อง เหมาะสม 6. ความสารถแกป้ ญั หาทส่ี ลับซับซ้อนโดยอาศัยหลักการทถ่ี กู ต้องเหมาะสม 7. สามารถแสดงออกซึ่งแนวความคิด และหลักการส่ิงต่าง ๆ ท้ังเป็นรูปธรรม และนามธรรม ไดอ้ ยา่ งถูกต้อง มเี หตผุ ล 8. รู้วธิ กี ารวเิ คราะห์ข้อเท็จจรงิ เพ่ือสรปุ แนวความคดิ จาแนกความต่าง 9. รู้จักวิธีการสงั เคราะห์ข้อเท็จจรงิ เพื่อสรุปแนวความคดิ และหลักการ 10. เรียนร้วู ธิ กี ารประเมนิ ค่าข้อเทจ็ จรงิ เพอ่ื สรปุ แนวความคดิ และหลกั การ 11. ฝึกหัดเพ่อื เกิดทักษะและมีความคดิ สร้างสรรค์ 12. ฝกึ หดั และค้นพบประสบการณ์ดว้ ยตนเอง สรุปได้ว่า การพัฒนาความคิดของผู้เรียนนั้น มีเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์หลายประการท่ีสาคญั ได้แก่ มุ่งให้ผู้เรียนรู้จักคิด และคิดเป็น กล่าวคือ ผู้เรียนได้พัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ การคิดอย่างมี วิจารณญาณ คิดแก้ปัญหา คิดสร้างสรรค์ และรูปแบบการคิดแบบอื่น ๆ เพื่อใช้ในการตัดสินใจอย่าง มีระบบ มีความถูกต้อง นาไปสู่การค้นพบที่เป็นประโยชน์ และสามารถนาไปประยุกต์ใช้ทักษะ กระบวนการคิดให้เกดิ ประโยชน์ต่อกระบวนการเรียนรู้ ดาเนนิ ชวี ิตประจาวัน และประกอบอาชีพต่อไปใน อนาคต ประโยชน์ของการสอนแบบเนน้ กระบวนการคดิ
37 ณรงค์ กาญจนะ (2553 : 4-5) กลา่ วถงึ ประโยชน์ของการสอนเพ่ือการพัฒนากระบวนการคดิ โดย แบ่งเปน็ ประโยชน์ตอ่ ผู้เรียน และประโยชนต์ ่อผู้สอน ดังน้ี 1. ประโยชน์ต่อผู้เรยี น 1.1 สามารถเรยี นรไู้ ด้ดีขน้ึ 1.2 สามารถแก้ปัญหาของตนเองได้ดี 1.3 สามารถคิดได้ถูกต้องเหมาะสม ก่อประโยชนต์ ่อการพัฒนาตนเอง 1.4 คิดได้อยา่ งเป็นระบบ เข้าใจและจาเน้ือหาอย่างเป็นระบบ ทาให้ความรู้คงทน และการเรียน เป็นสิ่งทีไ่ มน่ า่ เบอ่ื อีกต่อไป 2. ประโยชนต์ ่อผสู้ อน 2.1 เมื่อผู้เรยี นมที ักษะการคิด ผู้สอนสามารถสอนไดง้ า่ ยข้ึน ใชเ้ วลาน้อยลงในการอธิบายให้ ผเู้ รยี นเขา้ ใจ 2.2 ทาให้บรรยากาศการเรียนนา่ สนใจ ปญั หาดา้ นการจดั ช้นั เรียนน้อยลง 2.3 เมื่อนักเรียนคดิ เป็น แกป้ ัญหาเปน็ ปญั หาด้านพฤติกรรมนกั เรยี นก็จะมนี ้อยทาใหส้ อน ได้อย่างสนุก รูปแบบการสอนท่เี นน้ กระบวนการคิด รูปแบบการสอนท่เี นน้ กระบวนการคดิ ที่เสนอในเอกสารของกรมวิชาการ, กระทรวงศึกษาธกิ าร (2544) จานวน 20 รูปแบบได้แก่ 1. การใชก้ ระบวนการแก้ปญั หา 2. การเรยี นรู้ “ฉลาดรู้” 3. การเรียนรทู้ ีเ่ น้นการพัฒนาคุณภาพความคดิ 4. การเรียนร้แู บบสรรคส์ รา้ งความรู้ 5. การสอนโดยใชช้ ดุ การสอน 6. การสอนตามแนวพุทธวธิ ี 7. การสอนตามแนววัฎจกั รการเรยี นรู้ 8. การสอนตามวธิ ีขอวเทนนสี นั 9. การสอนตามหลักการเรียนรู้ของกาเย่ 10. การสอนทเ่ี นน้ ทักษะกระบวนการ 11. การสอนแบบกระบวนการ 12. การสอนแบบโครงการ
38 13. การสอนแบบโครงงาน 14. การสอนแบบบูรณาการ 15. การสอนแบบรอบรู้ 16. การสอนแบบศูนย์การเรียน 17. การสอนแบบสบื สวนสอบสวน 18. การสอนแบบอุปนัย 19. การสอนแบบนริ นยั 20. การสอนรายบุคคลหรอื การเรียนรดู้ ้วยตนเอง ตอนที่ 2 การคดิ วเิ คราะห์ 2.1 ความหมายการคิดวเิ คราะห์ นักการศึกษาได้ให้ความหมายของการคดิ วิเคราะห์ไว้ดงั น้ี บลูม (Bloom, 1971: 208) กล่าวว่า การคิดวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการจาแนก แยกแยะข้อมูลที่สมบูรณ์ออกเป็นส่วนย่อยๆ เป็นหมวดหมู่ รวมทั้งความสัมพันธ์ท่ีเก่ียวข้องและทาให้ทราบ ถงึ ความสาคัญและความสมั พันธ์ของสว่ นย่อยๆ ทจ่ี าแนกหาสาเหตุ หาผลและความสาคัญทงั้ ปวงของเร่ือง น้นั ๆ โดยจาแนกลักษณะของการคิดวิเคราะห์ออกเปน็ 3 สว่ น 1) การวิเคราะห์ความสาคญั ซึง่ ประกอบด้วย - ความสามารถในการจาแนกแยกแยะข้อสรุปพื้นฐานและความสัมพันธ์ของข้อสรุป เหล่านนั้ - ความสามารถในการแยกแยะข้อเทจ็ จรงิ ออกจากข้อมลู อ่ืนๆ ท่ัวไป - ความสามารถในการแยกแยะข้อสรปุ ออกจากข้อเท็จจรงิ ท่นี ามาสนับสนุน - ความสามารถในการแยกแยะแรงจูงใจและการพิจารณาพฤติกรรมของบุคคลและกลุ่ม - การจาแนกระหว่างเทคนคิ ที่ใชใ้ นการจูงใจ การโฆษณาชวนเชือ่ ข่าวลอื กฏเกณฑเ์ ดิมๆ การแสดงอารมณ์ ท่ีมตี อ่ ความคิดและพฤตกิ รรม 2) การวเิ คราะหค์ วามสมั พันธ์ซง่ึ ประกอบด้วย - ความสามารถในการจาแนกแยกแยะข้อสรุปพื้นฐานและความสัมพันธข์ องข้อสรุปเหล่านน้ั - ความสามารถในการตรวจสอบสมมตฐิ านทีเ่ ปน็ ใจความสาคัญท่อี ยู่ในข้อมลู หรอื ข้อสันนษิ ฐาน - ความสามารถในการจาแนกข้อเท็จจริงหรือสันนิษฐานที่เป็นความสาคญั หรือขอ้ โต้แย้ง ท่ีสนบั สนนุ บทความน้นั ๆ
39 - การค้นหาขอ้ สันนิษฐานทีม่ คี วามสาคัญจาเปน็ ซงึ่ ใช้เปน็ ข้อโตแ้ ยง้ - ความสามารถในการจาแนกแยกแยะสิง่ ที่มคี วามจาเพาะเจาะจงที่สัมพนั ธ์ เปน็ เหตุเปน็ ผล ในการตดั สนิ ใจ - ความสามารถในการแยกแยะความสัมพนั ธเ์ ชิงเหตผุ ล และรายละเอียดทีส่ าคญั และไมส่ าคญั ได้ 3) การวเิ คราะห์หลกั การ ซง่ึ ประกอบดว้ ย - ความสามารถในการบอกวตั ถปุ ระสงค์ มโนทศั น์ หรือลักษณะการคดิ และความรูส้ กึ ท่มี ใี นงาน - ความสมารถในการแยกแยะนา้ เสียง อารมณแ์ ละวตั ถุประสงค์ของผ้เู ขยี น - ความสามารถในการสืบคน้ วัตถปุ ระสงค์ มโนทัศน์ เจตคติหรอื มโนมตทิ วั่ ไปของผู้เขยี น - ความสามารถในการแยกแยะวิธีท่ีแตกต่างท่ีใช้ในการจัดหมวดหมู่ความสัมพันธ์หรือ ตรวจสอบหาสาเหตุ เอนนิส (มาลินี ศิริจารี. 2545: 11; อ้างอิงจาก Ennis. 1962: 83) ให้คานิยามการคิด วิเคราะห์เป็นการคดิ แบบตรกึ ตรองและมเี หตุผล เพอื่ การตดั สินใจกอ่ นทีจ่ ะเชื่อหรอื ก่อนทจี่ ะลงมือปฏบิ ตั ิ รัชเชลล์ (ลักขณา สริวัฒน์. 2549: 10; อ้างอิงจาก Russel. 1956) ให้ความหมายการคิด วิเคราะหเ์ ป็นการคิดแกป้ ญั หาชนดิ หน่งึ โดยผู้คิดจะตอ้ งใชก้ ารพิจารณาตัดสนิ ในเร่อื งราวตา่ งๆ ว่าเห็นดว้ ย หรือไม่เห็นด้วย การคิดวิเคราะห์จึงเป็นกระบวนการประเมินหรือการจัดหมวดหมู่ โดยอาศัยเกณฑ์ที่เคย ยอมรบั กนั มาแต่กอ่ นๆ แลว้ สรุปหรอื พิจารณาตดั สนิ มาร์ซาโน (Marzano, 2001: 11-12) กล่าวว่า การคิดวิเคราะห์คือการขยายความคิดอย่างมี เหตุผล เปน็ การประยุกตก์ ระบวนการวิเคราะหร์ ายละเอยี ดเฉพาะของข้อมลู บนพน้ื ฐานความรู้ความเข้าใจ ในเน้ือหาเดิมที่สะสมอยู่ในความจาระยะส้ันในรูปแบบโครงสร้างขนาดเล็กของสติปัญญา เพื่อสร้างข้อมูล ใหม่อยา่ งอิสระ และสามารถสรุปลกั ษณะเฉพาะทีจ่ าเป็นและไมจ่ าเป็นของขอ้ มลู ได้ อารม โพธ์ิพัฒน (2550: 46) สรุปการคิดวิเคราะหไววา เป็นการแยกแยะขอมูลหรือส่ิงตาง ๆ ที่อยูรอบตัวออกเปนยอยๆ โดยการหาหลักฐานหรือขอมูลท่ีนาเช่ือถือมาสนับสนุน หรือยืนยันเพ่ือ พจิ ารณาอยางรอบคอบกอนตดั สินใจเชื่อหรือสรปุ เลือก สุวทิ ย มลู คา (2548 : 9) ใหความหมายของการคิดวเิ คราะห หมายถงึ ความสามารถใน การจาแนกแยกแยะ องคประกอบตาง ๆ ของสงิ่ ใดส่ิงหนึ่ง ซึ่งอาจจะเปนวัตถสุ ่ิงของเร่ืองราวหรือ เหตุการณ และหาความสมั พันธเชงิ เหตผุ ลระหวางองคประกอบเหลาน้ัน เพือ่ คนหาสภาพความเปนจรงิ หรือสิง่ สาคัญ ของส่งิ ทีก่ าหนดให ประพนั ธศิริ สุเสารจั (2551: 53) ใหความหมายของการคิดวเิ คราะหวา เป็นความสามารถ ในการมองเหน็ รายละเอียดและจาแนกแยกแยะขอมลู องคประกอบของสิ่งตาง ๆ ไม่วา่ จะเปนวัตถุ เรื่องราว
40 เหตุการณตาง ๆ ออกเปนสวนยอย ๆ และจัดเปนหมวดหมู เพ่ือคนหาความจริง ความสาคัญแกนแท องคประกอบหรือหลักการของเรื่องน้ัน ๆ สามารถอธิบายตีความ ส่ิงที่เห็น ท้ังที่อาจแฝงซอนอยูภายใน ส่ิงตาง ๆ หรอื ปรากฏไดอยางชัดเจน รวมท้ังหาความสมั พนั ธ และความเช่ือมโยงของสง่ิ ตาง ๆ ศิริชัย กาญจนวาสีและคณะ (2551: 25) ให้ความหมายของการคิดวิเคราะห์ไว้ว่า เป็นการ จาแนก แยกแยะ ข้อมูลในสถานการณ์ท่ีปรากฏอยู่ โดยการตรวจสอบองค์ประกอบและความสัมพันธ์ (ระบปุ ระเด็นสาคญั ความสัมพนั ธ์ วินจิ ฉัยโอกาส สร้างขอั สรปุ เชงิ ตรรกะ) สวุ ัฒน์ วิวฒั นานน์ (2552: 45) กล่าวว่า การคดิ วเิ คราะห์เป็นการใคร่ครวญ ตรึกตรองอย่าง ละเอียด รอบคอบ แยกเปน็ ส่วนในเรือ่ งราวหรอื สถานการณ์ โดยใชค้ วามรู้ ความคดิ ในการแกป้ ัญหาอย่าง มเี หตุผล เพื่อนาไปสูข่ ้อสรปุ ที่เป็นไปได้ เกรียงศักด์ิ เจรญิ วงศศ์ ักดิ์ (2553: 2) ให้ความหมายของการวิเคราะหห์ มายถึง การแยกแยะ องคป์ ระกอบของสิ่งใดสิง่ หนง่ึ ออกเปน็ ส่วนๆ เพื่อคน้ หาวา่ ทามาจากอะไร มีองคป์ ระกอบอะไร ประกอบ ขึน้ มาไดอ้ ย่างไร เชือ่ มโยงสมั พันธก์ นั อยา่ งไร จากความหมายการคิดวิเคราะห์ที่ได้จากการศึกษาค้นคว้าเอกสาร สรุปได้ว่า การคิด วิเคราะห์หมายถึง ความสามารถในการแก้ปัญหาหรือตัดสนิ ใจเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง ซึง่ เปน็ กระบวนการคิดที่มี เหตุมีผลนาไปสู่ข้อสรุปท่ีชัดเจน ซึ่งประกอบด้วยการจาแนกแยกแยะส่วนประกอบย่อย หาความสัมพันธ์ โดยการเช่ือมโยงขอ้ มูล ตามลาดับขน้ั ตอน นาไปสูก่ ารคาดคะเนหรือตัดสนิ ใจได้อยา่ งสมเหตุสมผล 2.2 ลกั ษณะของการคิดวเิ คราะห์ การคิดวิเคราะห์ตามแนวของบลูม (ลักขณา สริวัฒน์, 2558: อ้างอิงจาก Bloom, 1956) กล่าวว่าการคิดวิเคราะห์เป็นความสามารถในการแยกแยะเพื่อหาส่วนย่อยของเหตุการณ์ เร่ืองราวหรือ เน้ือหาต่างๆ ว่าประกอบด้วยอะไร มีความสาคัญอย่างไร อะไรเป็นเหตุอะไรเป็นผล และท่ีเป็นอย่างนั้น อาศัยหลกั การอะไร การคดิ วเิ คราะหแ์ บ่งยอ่ ยออกเป็น 3 อย่างดงั น้ึ 1) วเิ คราะห์ความสาคญั หมายถึง การแยกแยะส่งิ ทก่ี าหนดมาใหว้ ่าอะไรสาคญั หรือจาเปน็ หรอื มีบทบาททส่ี ดุ ตวั ไหนเปน็ เหตุ ตัวไหนเปน็ ผล 2) วิเคราะห์ความสัมพันธ์ หมายถึง การค้นหาว่าความสาคัญย่อยๆ ของเร่ืองราวหรือเหตุการณ์ นัน้ เก่ียวพันกันอย่างไร สอดคล้องหรอื ขดั แย้งกนั อย่างไร 3) วิเคราะห์หลักการ หมายถึง การค้นหาโครงสร้างและระบบของวัตถุ ส่ิงของ เรื่องราวและ การกระทาต่างๆ ว่าสิ่งน้ันรวมกันจนดารงสภาพน้ันอยู่ได้เนื่องด้วยอะไร โดยยึดอะไรเป็นหลักเป็น แกนกลาง มสี ิง่ ใดเป็นตัวเชอ่ื มโยง ยดึ ถอื หลักการใด มเี ทคนคิ อย่างไร 2.3 แนวคดิ ทฤษฎีเกย่ี วกบั การคิดวิเคราะห์
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214