การใช้ชุดการสอนทใ.ี ช้วธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบลิ ยู แอล พลสั เพ.ือส่งเสริมผลสัมฤทธAิด้านการอ่านภาษาองั กฤษเพ.ือ ความเข้าใจและการเขยี นสรุปความของนักเรียนชHัน มธั ยมศึกษาปี ที. 1 นางพชั ราภรณ์ ทองสอาด ครูชาํ นาญการ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ โรงเรียนแม่เมาะวทิ ยา จงั หวัดลาํ ปาง สาํ นักงานเขตพนื- ท0กี ารศกึ ษามัธยมศกึ ษา เขต 95 สาํ นักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน- พนื- ฐาน กระทรวงศกึ ษาธิการ
ก กติ ตกิ รรมประกาศ มมมมมมมมการวจิ ยั เรื,อง การใชช้ ุดการสอนที,ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั เพ,ือส่งเสริมผลสมั ฤทธBิ ดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพ,ือความเขา้ ใจและการเขียนสรุปความของนกั เรียนชHนั มธั ยมศึกษาปี ที, 1 ฉบบั นHี สาํ เร็จไดด้ ว้ ยความกรุณาเป็ นอยา่ งสูงของ อาจารยจ์ งกลณี ภกั ดีเจริญ และอาจารยส์ มพร กิติโชตน์กุล ท,ีได้ ใหค้ วามรู้ คาํ ปรึกษา ตลอดจนคาํ แนะนาํ และการตรวจแกไ้ ขขอ้ บกพร่องต่าง ๆ จนสาํ เร็จลุล่วงลงได้ มมมมมมมมขอขอบพระคุณ ศึกษานิเทศก์ศุภวรรณ แสงเมือง อาจารย์ อญั ชลี รัชตวิภาสนนั ท์ อาจารย์ จงกลณี ภกั ดีเจริญ อาจารยป์ วีณา ชุ่มเบHีย อาจารยเ์ ยาวนาถ พากเพียร และ อาจารยส์ มพร กิติโชตน์กุล ท,ี กรุณาเป็นผเู้ ช,ียวชาญตรวจสอบเครื,องมือการศึกษา มมมมมมมมขอขอบพระคุณ อาจารยอ์ าํ นวย ไชยนาม ท,ีกรุณาใหค้ าํ แนะนาํ ในการวิเคราะห์ขอ้ มูลทางดา้ น สถิติ มมมมมมมมขอขอบพระคุณ Mr.Keith Henderson and Miss Mary Ceres Porto Brunia ท,ีกรุ ณาเป็ น ผเู้ ช,ียวชาญตรวจสอบดา้ นภาษา มมมมมมมมขอขอบพระคุณครูอาจารย์ นกั เรียนโรงเรียนแม่เมาะวิทยา จงั หวดั ลาํ ปางท,ีใหค้ วามร่วมมือใน การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูลเป็นอยา่ งดี มมมมมมมมขอขอบพระคุณคุณครู อาจารย์ วิทยากร ท,ีประสิทธBิประสาทวิชาความรู้ท,ีเกี,ยวขอ้ งกบั การวิจยั ในชHนั เรียนเพ,ือพฒั นาการเรียนการสอน รวมถึงคุณพ่อ คุณแม่ที,คอยให้กาํ ลงั ใจ และ ความห่วงใย คุณเมธี ทองสอาด, นายธีรภทั ร ทองสอาด และเด็กหญิงธณัฏฐา ทองสอาด ท,ีช่วยตรวจทานความถูกตอ้ งในการ พิมพ์ ตลอดจนใหก้ าํ ลงั ใจ ความช่วยเหลือ และความปรารถนาดีตลอดมา
ข ชื,อเรื,อง: การใช้ชุดการสอนที,ใช้วิธีสอนแบบ เค ดับเบิลยู แอล พลัส เพื,อส่งเสริมผลสัมฤทธEิด้านการอ่าน ภาษาองั กฤษเพ,ือความเข้าใจและการเขยี นสรุปความของนักเรียนชJันมธั ยมศึกษาปี ที, 1 บทคดั ย่อ มมมมมมมมการศึกษาครHังนHีมีวตั ถุประสงค์ 1) เพ,ือสร้างชุดการสอนที,ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั และหาประสิทธิภาพของชุดการสอน 2) เพื,อเปรียบเทียบผลสัมฤทธBิดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพ,ือความ เขา้ ใจและการเขียนสรุปความของนกั เรียนชHนั มธั ยมศึกษาปี ที, 1 ก่อนเรียนและหลงั เรียนโดยใชช้ ุดการสอนท,ี สร้างขHึน 3) เพ,ือศึกษาเจตคติของนกั เรียนที,มีต่อการเรียนโดยใชช้ ุดการสอนท,ีใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั กลุ่มตวั อย่างคือ นักเรียนชHนั มธั ยมศึกษาปี ที, 1 โรงเรียนแม่เมาะวิทยา อาํ เภอแม่เมาะ จงั หวดั ลาํ ปาง สังกดั สาํ นกั งานเขตพHืนที,การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 35 ที,เลือกเรียนสาระการเรียนรู้เพิ,มเติมรายวิชา ภาษาองั กฤษอ่าน-เขียน (อ 21202) ภาคเรียนที, 1 ปี การศึกษา 2553 ท,ีไดม้ าโดยการสุ่มแบบเจาะจง จาํ นวน 1 หอ้ งเรียน รวมทHงั สิHน 36 คน เครื,องมือที,ใชใ้ นการศึกษาครHังนHีประกอบดว้ ย 1) ชุดการสอนที,ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั สาระการเรียนรู้เพ,ิมเติม รายวิชา ภาษาองั กฤษอ่าน-เขียน (อ 21202) จาํ นวนทHงั หมด 3 หน่วยการเรียน มีจํานวน 15 ชุด รวมทHังสิHน 30 ชั,วโมง 2) แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธBิด้านการอ่าน ภาษาองั กฤษเพื,อความเขา้ ใจและการเขียนสรุปความ จาํ นวน 1 ฉบบั และ 3) แบบวดั เจตคติของนกั เรียนท,ีมี ต่อการเรียนโดยใชช้ ุดการสอนท,ีใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั จาํ นวน 1 ฉบบั เป็นแบบมาตราส่วน ประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดบั นาํ คะแนนท,ีไดไ้ ปวิเคราะห์หาค่าเฉล,ีย ( X ) และค่าเบี,ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการศึกษาพบวา่ ปปปปปปปป1. ชุดการสอนท,ีใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั มีคุณภาพอยู่ในระดบั มากที,สุด และ เหมาะสมกบั ระดบั ความรู้ความสามารถของผูเ้ รียน และผลการหาค่าประสิทธิภาพของชุดการสอนที,ใชว้ ิธี สอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั พบวา่ มีค่าประสิทธิภาพ เท่ากบั 82.65/82.50 ซ,ึงเป็นไปตามท,ีเกณฑ์ 80/80 มมมมมมมม2. ผลสัมฤทธBิดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพื,อความเขา้ ใจและการเขียนสรุปความ ของ นกั เรียน ชHนั มธั ยมศึกษาปี ท,ี 1 หลงั เรียนโดยใชช้ ุดการสอนท,ีใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั สูงกวา่ ก่อนเรียน อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติที,ระดบั .01 ปปปปปปปป3. นกั เรียนมีเจตคติต่อการเรียนโดยใชช้ ุดการสอนที,ใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ใน ภาพรวมอยใู่ นระดบั ดี โดยเรียงลาํ ดบั ค่าเฉลี,ยจากมากไปนอ้ ยดงั นHี ดา้ นเนHือหา ดา้ นกิจกรรมการเรียนรู้ และ ดา้ นบรรยากาศการเรียน
ค Title The Use of Learning Sets with KWL-Plus Approach to Promote the Achievement of English Reading for Comprehension and Summary Writing of the Seventh Grade Students ABSTRACT มมมมมมมมThe purposes of this research were 1) to construct the learning sets with KWL-Plus Approach and to develop the learning sets with KWL-Plus Approach to meet the selected efficient criterion of 80/80, 2) to compare the achievement of English reading for comprehension and summary writing of the seventh grade students before and after being taught by the learning sets with KWL-Plus Approach, and 3) to study the seventh grade students’ attitude toward the use of learning sets with KWL-Plus Approach. The purposive samples of this research were 36 seventh grade students of Maemohwittaya School, Lampang Province in the first semester of the academic year 2010. The instruments used in this research were 1) learning sets with KWL-Plus Approach containing 15 sets in 30 hours, 2) the English reading for comprehension and summary writing achievement test and 3) a measurement questionnaire to enquire students’ attitude toward learning sets with KWL-Plus Approach. The statistical analysis employed were mean ( X ), standard deviation (S.D.) and t-test. The results of this research were as following. มมมมมมม 1. The learning sets with KWL-Plus Approach was at the highest level of quality appropriation to the knowledge level of learners and met the efficient criterion of 82.47/82.12. มมมมมมม 2. The achievement of English reading for comprehension and summary writing of the seventh grade students after being taught by learning sets with KWL-Plus Approach was significantly higher than that before being taught by learning sets with KWL-Plus Approach at the.01 level. มมมมมมม 3. The total attitudes of the seventh grade students after being taught by learning sets with KWL-Plus Approach were mostly high. The aspects of the students’ opinions taught by learning sets with KWL-Plus Approach arranged by mean from the most to the least were: content, learning activities and learning atmosphere.
ง สารบญั เร)ือง หน้า กิตติกรรมประกาศ................................................................................................................... ก บทคดั ยอ่ ภาษาไทย.................................................................................................................. ข บทคดั ยอ่ ภาษาองั กฤษ.............................................................................................................. ง สารบญั .................................................................................................................................... ฉ สารบญั ตาราง.......................................................................................................................... ญ สารบญั แผนภูมิ........................................................................................................................ ฑ สารบญั ภาพ............................................................................................................................. ฒ บทท,ี 1 บทนาํ .......................................................................................................................... 1 1 ความเป็นมาและความสาํ คญั ของปัญหา..................................................................... 5 วตั ถุประสงคข์ องการศึกษา........................................................................................ 6 คาํ ถามในการศึกษา.................................................................................................... 6 สมมติฐานการศึกษา................................................................................................... 6 ประโยชนท์ ,ีไดร้ ับจากการศึกษา................................................................................. 7 ขอ้ ตกลงเบHืองตน้ ........................................................................................................ 7 ขอบเขตของการศึกษา................................................................................................ 8 คาํ นิยามศพั ทเ์ ฉพาะ.................................................................................................... 10 บทที, 2 เอกสารและงานวจิ ยั ที,เก,ียวขอ้ ง................................................................................... 11 การจดั สาระการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ).......... 11 หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขHนั พHืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551....................................... 11 หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ........................................................ 12 มาตรฐานการเรียนรู้................................................................................................... 13 ตวั ชHีวดั ชHนั ปี ................................................................................................................ กิตติก
จ สารบญั เรื)อง (ต่อ) หน้า การวดั ผลสมั ฤทธBิ....................................................................................................... 15 เอกสารและงานวจิ ยั ท,ีเก,ียวกบั การสอนโดยวธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ....... 22 เอกสารและงานวจิ ยั ที,เกี,ยวขอ้ งกบั การอ่าน................................................................ 34 การเขียนสรุปความ.................................................................................................... 46 ทฤษฎีโครงสร้างความรู้เดิม (Schema Theory) ......................................................... 49 ผงั สมั พนั ธ์ทางความหมาย (Semantic Mapping)....................................................... 51 เอกสารและงานวจิ ยั ท,ีเก,ียวกบั เกี,ยวกบั เจตคติ............................................................ 58 บทท,ี 3 วธิ ีดาํ เนินการศึกษา..................................................................................................... 68 ประชากรและกลุ่มตวั อยา่ ง........................................................................................ 68 ตวั แปรท,ีศึกษา........................................................................................................... 69 รูปแบบการศึกษา....................................................................................................... 70 เครื,องมือท,ีใชใ้ นการศึกษา......................................................................................... 70 วธิ ีดาํ เนินการศึกษา.................................................................................................... 73 การสร้างและหาคุณภาพของเคร,ืองมือที,ใชใ้ นการศึกษา............................................ 77 การวเิ คราะห์ขอ้ มูล..................................................................................................... 95 บทที, 4 ผลการวเิ คราะห์ขอ้ มูล................................................................................................ 101 ตอนท,ี 1 สถานภาพของกลุ่มตวั อยา่ ง....................................................................... 102 ตอนที, 2 ผลการสร้างชุดการสอนที,ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั .............. 103 ตอนท,ี 3 ผลการวเิ คราะห์ประสิทธิภาพของชุดการสอนท,ีใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิล 104 ยู แอล พลสั แบบทดสอบ และค่าสมั ประสิทธBิความเช,ือมน,ั ของ แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธBิดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพื,อความเขา้ ใจและ การเขียนสรุปความ และแบบวดั เจตคติของนกั เรียนท,ีมีต่อการเรียนโดย ใชช้ ุดการสอนที,ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ..........................
กิตติกรรมประกาศ สารบญั เร)ือง (ต่อ) ฉ หน้า ตอนที, 4 ผลการเปรียบเทียบผลสมั ฤทธBิดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพื,อความเขา้ ใจ 105 และการเขียนสรุปความ ก่อนเรียนและหลงั เรียนโดยใชช้ ุดการสอนที,ใช้ วธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ของนกั เรียนชHนั มธั ยมศึกษาปี ที, 1 ตอนที, 5 ผลการวิเคราะห์ค่าเฉล,ีย ส่วนเบ,ียงเบนมาตรฐาน การวดั เจตคติของ 109 นักเรี ยน ที,ได้รับการ สอนโดยใช้ชุดการสอนที,ใช้วิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ............................................................................ บทท,ี 5 สรุป อภิปรายผล และขอ้ เสนอแนะ............................................................................ 114 วตั ถุประสงคข์ องการศึกษา........................................................................................ 114 วธิ ีดาํ เนินการศึกษา.................................................................................................... 114 การวเิ คราะห์ขอ้ มูล..................................................................................................... 115 สรุปผลการศึกษา....................................................................................................... 116 อภิปรายผล................................................................................................................. 116 ขอ้ เสนอแนะ.............................................................................................................. 126 บรรณานุกรม............................................................................................................. 128 ภาคผนวก................................................................................................................... 137 ภาคผนวก ก รายนามผทู้ รงคุณวฒุ ิ............................................................................ 138 ภาคผนวก ข ผลสมั ฤทธBิดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพ,ือความเขา้ ใจและการเขียน 140 สรุปความ.............................................................................................. ภาคผนวก ค แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธBิดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพื,อความเขา้ ใจ 147 และการเขียนสรุปความ......................................................................... ภาคผนวก ง แบบวดั เจตคติของนกั เรียนท,ีมีต่อการเรียนโดยใชช้ ุดการสอนที,ใชว้ ธิ ี 160 สอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ……………………………………..
ช กิตติกรรมประกาศ สารบญั เรื)อง (ต่อ) หน้า ภาคผนวก จ ผลการตรวจสอบคุณภาพเครื,องมือที,ใชใ้ นการศึกษา........................... 163 ภาคผนวก ฉ เอกสารการเชิญและการตอบรับของผเู้ ช,ียวชาญ.................................. 194 ภาคผนวก ช การเผยแพร่ชุดการสอนที,ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ......... 210 ภาคผนวก ซ ตวั อยา่ งผลงานของนกั เรียน.................................................................. 220 ภาคผนวก ญ ตวั อยา่ งภาพประกอบการเรียนการสอน............................................... 243 ประวตั ิผเู้ ขียน............................................................................................................. 246
ซ สารบัญตาราง ตาราง ชื,อตาราง หน้า 1 แสดงตวั อยา่ งการประเมินแบบแยกประเดน็ ............................................................ 20 2 แสดงตวั อยา่ งเกณฑก์ ารประเมินแบบภาพรวมสาํ หรับประเมินการเขียนเรียงความ 21 3 แสดงการจดั นกั เรียนเขา้ กลุ่มโดยพิจารณาผลคะแนนการทดสอบก่อนเรียน............ 69 4 รูปแบบการศึกษาแบบ One Group Pretest - Posttest Design................................... 70 5 แสดงการจดั กิจกรรมการเรียนการสอนตามชุดการสอนท,ีใชว้ ธิ ีสอนแบบเค 74 ดบั เบิลยู แอล พลสั ................................................................................................... 6 รายละเอียดชุดการสอนที,ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั สาระการเรียนรู้ 79 เพิ,มเติมรายวชิ า ภาษาองั กฤษอ่าน-เขียน (อ 21202).................................................. 7 แบบประเมินความสามารถดา้ นการเขียนสรุปความ................................................. 90 8 เกณฑก์ ารกาํ หนดค่าระดบั ความคิดเห็น.................................................................... 92 9 เกณฑก์ ารแปลความหมายของค่าเฉลี,ยเจตคติ........................................................... 93 10 ผลการเปรียบเทียบผลสมั ฤทธBิดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพ,ือความเขา้ ใจ และดา้ น 105 การเขียนสรุปความ ก่อนเรียนและหลงั เรียนโดยใชช้ ุดการสอนท,ีใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั .............................................................................................. 11 ค่าเฉลี,ย ค่าเบี,ยงเบนมาตรฐาน และค่าสัมประสิทธBิการกระจายผลสัมฤทธBิดา้ นการ 107 อ่านภาษาอังกฤษเพ,ือความเข้าใจและการเขียนสรุปความ ของนักเรี ยนชHัน มธั ยมศึกษาปี ที, 1 ก่อนและหลงั จากไดร้ ับการสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั 12 ค่าเฉลี,ย ค่าเบี,ยงเบนมาตรฐาน และค่าสมั ประสิทธBิการกระจายผลสมั ฤทธBิดา้ นการ 108 อ่านภาษาองั กฤษเพื,อความเขา้ ใจ ของนกั เรียนชHนั มธั ยมศึกษาปี ที, 1 ก่อนและ หลงั จากไดร้ ับการสอนโดยใชช้ ุดการสอนที,ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั
ฌ สารบัญตาราง (ต่อ) ตาราง ชื,อตาราง หน้า 13 ค่าเฉล,ีย ค่าเบี,ยงเบนมาตรฐาน และค่าสมั ประสิทธBิการกระจายผลสมั ฤทธBิดา้ นการ 108 เขียนสรุปความ ของนกั เรียนชHนั มธั ยมศึกษาปี ที, 1 ก่อนและหลงั จากไดร้ ับการสอน โดยใชช้ ุดการสอนท,ีใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ................................... 14 ผลการวเิ คราะห์ค่าเฉลี,ย ส่วนเบ,ียงเบนมาตรฐาน การวดั เจตคติของนกั เรียนที,ไดร้ ับ 109 การสอนโดยใชช้ ุดการสอนที,ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ..................... 15 ผลการวเิ คราะห์ค่าเฉล,ีย ส่วนเบ,ียงเบนมาตรฐาน การวดั เจตคติของนกั เรียนที,ไดร้ ับ 110 การสอนโดยใชช้ ุดการสอนท,ีใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ดา้ น บรรยากาศการเรียน จาํ แนกเป็นรายขอ้ …………………………………………… 16 ผลการวเิ คราะห์ค่าเฉลี,ย ส่วนเบ,ียงเบนมาตรฐาน การวดั เจตคติของนกั เรียนท,ีไดร้ ับ 111 การสอนโดยใชช้ ุดการสอนท,ีใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ดา้ นกิจกรรม การเรียนรู้จาํ แนกเป็นรายขอ้ ……………………………………………………… 17 ผลการวเิ คราะห์ค่าเฉล,ีย ส่วนเบี,ยงเบนมาตรฐาน การวดั เจตคติของนกั เรียนที,ไดร้ ับ 112 การสอนโดยใชช้ ุดการสอนที,ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ดา้ นเนHือหา จาํ แนกเป็นรายขอ้ …………………………………………………………………. 18 ผลสมั ฤทธBิดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพ,ือความเขา้ ใจและการเขียนสรุปความ และ 141 ผลต่าง (D) ของคะแนนการทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน โดยใชช้ ุดการสอนท,ี ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั …………………………………………….. 19 ผลสมั ฤทธBิดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพื,อความเขา้ ใจ และผลต่าง (D) ของคะแนน 143 การทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียน โดยใชช้ ุดการสอนที,ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ………………………………………………………………... 20 ผลสมั ฤทธBิดา้ นการเขียนสรุปความ และผลต่าง (D) ของคะแนนการทดสอบก่อน 145 เรียนและหลงั เรียน โดยใชช้ ุดการสอนที,ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั
ญ สารบญั ตาราง (ต่อ) ตาราง ช,ือตาราง หน้า 21 ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของโดยใชช้ ุดการสอนที,ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล 164 พลสั ................................................................................................................. 22 ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของชุดการสอนที,ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิล ยู แอล พลสั 167 หน่วยการเรียนที, 1 In my Life.................................................................................. 23 ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของชุดการสอนที,ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิล ยู แอล พลสั 169 หน่วยการเรียนท,ี 2 Food and Health........................................................................ 24 ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของชุดการสอนที,ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิล ยู แอล พลสั 171 หน่วยการเรียนที, 3 Around Me................................................................................ 25 ผลการประเมินคุณภาพชุดการสอนท,ีใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิล ยู แอล พลสั ......... 173 26 ค่าเฉลี,ยและส่วนเบ,ียงเบนมาตรฐานของคะแนนท,ีไดจ้ ากการประเมิน 175 ประสิทธิภาพของชุดการสอนท,ีใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั .................. 27 แสดงผลการหาประสิทธิภาพของชุดการสอนที,ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล 176 พลสั แบบหน,ึงต่อหน,ึง (one–to–one-testing)........................................................... 28 แสดงผลการหาประสิทธิภาพของชุดการสอนที,ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล 176 พลสั แบบกลุ่มเลก็ (small group testing)................................................................ 29 แสดงผลการหาประสิทธิภาพของชุดการสอนท,ีใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล 176 พลสั การทดสอบภาคสนาม (field testing)............................................................. 30 ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธBิดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษ 177 เพื,อความเขา้ ใจและการเขียนสรุปความ ก่อนเรียนและหลงั เรียนโดยใชว้ ธิ ีสอน แบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ..................................................................................... 31 ค่าดชั นีความสอดคลอ้ งของแบบวดั เจตคติต่อวชิ าภาษาองั กฤษของนกั เรียนที, 182 ไดร้ ับการสอนโดยใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั .......................................
ฎ สารบัญตาราง (ต่อ) ตาราง ชื,อตาราง หน้า 32 ผลการวเิ คราะห์ค่าอาํ นาจจาํ แนกและความยากง่ายของแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธBิ 183 ดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพ,ือความเขา้ ใจและการเขียนสรุปความ..........................
ฏ สารบัญแผนภูมิ แผนภูมทิ ,ี ช,ือแผนภูมิ หน้า 1 ขHนั ตอนการดาํ เนินการทดลอง............................................................................ 76 2 ขHนั ตอนการสร้างชุดการสอนท,ีใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ............... 84 3 ขHนั ตอนการสร้างแบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธBิดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพ,ือ 88 ความเขา้ ใจและการเขียนสรุปความ.................................................................... 4 ขHนั ตอนการสร้างแบบวดั เจตคติของนกั เรียนท,ีมีต่อการเรียนโดยใชช้ ุดการสอน 94 ท,ีใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั 5 ชุดการสอนท,ีใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั โดยแสดงกรอบแนวคิด 103 ในการศึกษา........................................................................................................
ฐ สารบัญรูปภาพ ภาพประกอบที, ช,ือภาพประกอบ หน้า 1 แผนผงั รูปแมงมุม The Spider Map : Main Idea and Details……………. 52 2 แผนผงั รูปขHนั บนั ได The Time ladder Map…………………………….... 52 3 แผนผงั แสดงเหตุ-ผล The Cause / Effect Map………………………….. 53 4 แผนผงั แสดงการเปรียบเทียบ หรือ ส,ิงตรงขา้ ม The Contrast Overlay 53 Map……………………………………………………………………….
1 บทที$ 1 บทนํา ความเป็ นมาและความสําคญั ของปัญหา ปปปปปปปปในโลกยคุ ปัจจุบนั ความเจริญกา้ วหนา้ ทางเทคโนโลยกี ารติดต่อสื?อสารที?ทนั สมยั ทาํ ให้ ความรู้และขอ้ มูลต่าง ๆ แพร่หลายไปอย่างรวดเร็ว ก่อให้เกิดการเปลี?ยนแปลงในดา้ นต่าง ๆ เช่น เศรษฐกิจ สังคม วฒั นธรรม เป็นตน้ การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศเป็ นสิ?งที?จาํ เป็ นอยา่ งหลีกเลี?ยงไม่ได้ เพราะภาษาไม่ไดเ้ ป็ นเพียงเคร?ืองมือในการศึกษาคน้ ควา้ หาความรู้และขอ้ มูลที?ตอ้ งการแต่เพียงอยา่ ง เดี ยว แต่ภาษ ายังช่ วยพัฒ น าผู้เรี ยน ให้ มี ความเข้าใจตน เองและผู้อื? น ดี ขRึ น เรี ยน รู้และ เขา้ ใจความแตกต่างของภาษาและวฒั นธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี การคิด สังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง มีเจตคติท?ีดีต่อการใช้ภาษาต่างประเทศ และใช้ภาษาต่างประเทศเพื?อการ สื?อสารได้ รวมทRงั เขา้ ถึงองคค์ วามรู้ต่าง ๆ ไดง้ ่ายและกวา้ งขRึน และมีวิสัยทศั น์ในการดาํ เนินชีวิต ตาม แนวคิดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขRันพRืนฐาน พุทธศักราช 2551 กระทรวงศึกษาธิการ (2551, ห น้า 220-221) ที? มุ่งห วังให้ผู้เรี ยนมี เจตคติที? ดี ต่อภาษาต่างประเทศ สามารถใช้ ภาษาต่างประเทศสื?อสารในสถานการณ์ต่าง ๆ แสวงหาความรู้ ประกอบอาชีพ และศึกษาต่อในระดบั ที?สูงขRึน รวมทRงั มีความรู้ความเขา้ ใจในเรื?องราวและวฒั นธรรมอนั หลากหลายของประชาคมโลกและ สามารถถ่ายทอดความคิดและวฒั นธรรมไทยไปยงั สงั คมโลกไดอ้ ยา่ งสร้างสรรค์ ปปปปปปปปทกั ษะการอ่านเป็นเร?ืองสาํ คญั และจาํ เป็นอยา่ งยง?ิ สาํ หรับมนุษย์ นอกจากจะเป็นพRืนฐาน ที?ทาํ ให้ก้าวตามโลกได้ทัน การอ่านยงั ช่วยส่งเสริมความรู้ความคิดให้เพิ?มพูนยิ?งขRึน นอกจากนRี วิทยาการและนวัตกรรมใหม่ ๆ ส่ วนใหญ่ จะออกมาในรู ปส?ิ งพิมพ์ที? เป็ นภาษาอังกฤษ จึงทาํ ให้การอ่านมีความสําคญั อย่างมาก Alderson (1984, p.1) ได้กล่าวว่า การอ่านภาษาองั กฤษ มีความสาํ คญั และจาํ เป็ นมากสาํ หรับการศึกษาคน้ ควา้ วิชาการ และการประสบผลสาํ เร็จในงานอาชีพ นอกจากนRี พนิตนนั ท์ บุญพามี (2542, หนา้ 3) ไดก้ ล่าวเพิ?มเติมวา่ การอ่านช่วยเพ?ิมพูนประสบการณ์ ความรู้ ความคิด ใหค้ นเรามีความงอกงามทางวฒุ ิปัญญาและความสามารถมากยงิ? ขRึน ส่งเสริมใหเ้ กิด กระบวนการพฒั นาคุณภาพชีวิตและจิตวิญญาณของผูอ้ ่านให้เป็ นไปในทางที?ดีงามไดโ้ ดยตนเอง รวมทRงั สามารถพฒั นาคนให้เป็ นประโยชน์ต่อส่วนรวมไดอ้ ยา่ งดี สอดคลอ้ งกบั วชั รี บูรณสิงห์ และ นิรมล ศตวุฒิ (2542, หน้า 9) ที?กล่าวว่าทกั ษะการอ่านมีความสําคญั ช่วยทาํ ให้เกิดความงอกงามทาง สติปัญญา สามารถส่งผลให้มนุษยป์ ระสบความสําเร็จหรือลม้ เหลวในการดาํ รงชีวิตได้ ซ?ึง สมุทร เซ็นเชาววานิช (2540, หนา้ 73) กล่าวสนบั สนุนว่า การท?ีนกั เรียนจะประสบผลสาํ เร็จในการอ่านนRนั
2 สามารถประเมินไดจ้ ากความสามารถในการเขา้ ใจส?ิงท?ีอ่าน เพราะความเขา้ ใจในเร?ืองท?ีอ่านนRนั เป็ น สิ?งสาํ คญั ประการหน?ึงในกระบวนการอ่าน หากอ่านแลว้ ไม่เกิดความเขา้ ใจกอ็ าจจะถือไดว้ า่ การอ่าน ท?ีแทจ้ ริงยงั ไม่เกิดขRึน การอ่านที?มีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็ นภาษาท?ีหน?ึงหรือภาษาท?ีสองก็ตอ้ งอ่าน ดว้ ยความเขา้ ใจ จบั ใจความสําคญั ได้ นอกจากนRี ฉวีวรรณ คูหาภินันทน์ (2542, หน้า 3 ) ไดก้ ล่าว เสริมว่าทกั ษะการอ่านเป็ นทกั ษะท?ีสาํ คญั ที?ผเู้ รียนสมควรไดร้ ับการพฒั นาและเอาใจใส่จากครูผสู้ อน เพราะถา้ ผเู้ รียนมีทกั ษะในการอ่านดีทกั ษะอ?ืน ๆ กจ็ ะดีไปดว้ ย ปปปปปปปปส่วนทักษะท?ีสําคัญอีกทักษะหน?ึงท?ีใช้ในชีวิตประจาํ วนั คือ ทักษะการเขียน ซ?ึง Carr and Ogle (1987, pp.626-631) กล่าวถึงประโยชน์ของการเขียนหลงั การอ่านว่า เป็ นกิจกรรมที? ส่งเสริมใหน้ กั เรียนคิดอยา่ งวเิ คราะห์ แลว้ มีการรวบรวม เชื?อมโยง ลาํ ดบั ขอ้ มูลจากการอ่านนาํ มาเรียบ เรียงใหม่ดว้ ยรูปแบบภาษาของตนเองซ?ึงนาํ ไปสู่การเขา้ ใจในการอ่าน และ Raimes (1983, p.3) ได้ กล่าวว่า การเขียนยังช่วยฝึกการใช้ภาษาโดยนักเรียนได้นำคำศัพท์และโครงสร้างทางไวยากรณ์ท่ีได้ เรียนไปแล้วมาใช้เขียนในสถานการณ์จริงในบริบทต่าง ๆ ยิ่งนักเรียนได้ใช้ความพยายามในการเขียน มากเท่าใด นักเรียนก็จะค้นพบเรื่องใหม่ๆ ท่ีจะเขียนตลอดจนกลวิธีการแสดงออกทางความคิดมากขึ้น เท่านั้น นอกจากนRี Cassanave (1988, p. 268 อา้ งใน ชนิดา ศรีสองเมือง, 2549, หนา้ 14) ไดก้ ล่าวถึง ทกั ษะการเขียนว่าเป็ นทกั ษะที?มีความสาํ คญั ต่อการเรียนการสอนในระดบั สูง เพราะนกั เรียนตอ้ งใช้ ทกั ษะการเขียน เพื?อแสดงว่าเขา้ ใจเนRือหาท?ีแทจ้ ริง และสามารถใชท้ กั ษะการเขียนถ่ายทอด เรียบ เรียงเนRือหาส?ิงท?ีอ่าน หรือท?ีเรียนรู้มาดว้ ย และ D’Angelo (1980, pp.4-5) ไดก้ ล่าวเสริมวา่ การเขียน ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใด ถือเป็ นกระบวนการทางความคิดท?ีเกิดขRึนซ?ึงมีประโยชน์ในการฝึ กให้ ผูเ้ ขียนได้ใช้เวลาในการคิดอย่างพินิจพิเคราะห์ เป็ นการฝึ กให้รู้จักคิดหาวิธีแก้ปัญหา จัดเรียบ เรียงความคิด หรือประสบการณ์ และถ่ายทอดขอ้ มูลออกมาเป็นตวั อกั ษร และ Taylor (1986, p.112) พบว่า ผูเ้ รียนจะไม่สามารถเขียนสรุปความได้ ถ้าผูเ้ รียนไม่รู้จักใจความหลัก ใจความรอง ใน ขณะเดียวกนั ครูผสู้ อนไม่ใหค้ วามสาํ คญั ในการสอนเขียนสรุปความดว้ ย ปปปปปปปปจากพระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พุทธศกั ราช 2542 กระทรวงศึกษาธิการ (2542, หน้า 5, 12, 13) ซ?ึงเป็ นการจดั การศึกษาเพื?อพฒั นาคนไทยให้เป็ นมนุษยท์ ?ีสมบูรณ์ทRงั ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและวฒั นธรรมในการดาํ รงชีวิต สามารถอยรู่ ่วมกบั ผูอ้ ?ืน ได้อย่างมีความสุข ตามมาตราที? 22 กล่าวว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรี ยนทุกคนมี ความสามารถเรียนรู้ และพฒั นาตนเองไดแ้ ละถือว่าผูเ้ รียนมีความสําคญั ท?ีสุด กระบวนการจดั การ ศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน สามารถพัฒนาตามธรรมชาติ และเต็มตามศักยภาพ มาตรา 24 ( 2 ) และ ( 3 ) กล่าวถึงเรื?องการจดั การกระบวนการเรียนรู้ให้สถานศึกษาและหน่วยงานท?ีเก?ียวขอ้ ง ดาํ เนินการในเร?ืองของการเรียนรู้ การฝึ กทกั ษะ กระบวนการคิด การจดั การ การเผชิญสถานการณ์ การประยกุ ตค์ วามรู้มาใชเ้ พื?อป้องกนั และแกไ้ ขปัญหาจดั กิจกรรมใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนรู้จากประสบการณ์
3 จริง ฝึ กปฏิบตั ิให้ทาํ ได้ คิดเป็ น ทาํ เป็ น รักการอ่านและเกิดการใฝ่ รู้อยา่ งต่อเนื?อง ครูจะตอ้ งหาวิธีการ หรือกลวิธีในการจดั การเรียนการสอนเพ?ือพฒั นา ให้ผูเ้ รียนฝึ กฝนทกั ษะต่าง ๆ ทRงั การฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน เพื?อให้สามารถนําทักษะเหล่านRีไปใช้ในชีวิตประจาํ วนั ได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ซ?ึ งสอดคล้องกับหลักสู ตรแกนกลางการศึกษาขRันพRืนฐาน พุทธศักราช 2551 กระทรวงศึกษาธิการ (2551, คาํ นาํ ) ไดก้ ล่าวว่า การจดั การศึกษาขRนั พRืนฐานเป็ นการจดั การเรียนการ สอนเพื?อพฒั นาเดก็ และเยาวชนไทยทุกคนในระดบั การศึกษาขRนั พRืนฐาน ใหม้ ีคุณภาพดา้ นความรู้และ ทกั ษะที?จาํ เป็ นสําหรับใชเ้ ป็ นเครื?องมือในการดาํ รงชีวิตในสังคมที?มีการเปลี?ยนแปลง และแสวงหา ความรู้เพ?ือพฒั นาตนเองอยา่ งต่อเน?ืองตลอดชีวิต และ จิดาภา ฉนั ทานนั ท์ (2544, หนา้ 6) ไดเ้ พิ?มเติม ว่าโดยเฉพาะอยา่ งยิ?งทRงั ทกั ษะการอ่านและทกั ษะการเขียนต่างก็เป็ นทกั ษะที?ใชเ้ ป็ นเครื?องมือในการ แสวงหาความรู้ต่าง ๆ และศึกษาต่อในระดับสูง ทักษะทRังสองนRีมีความสัมพนั ธ์ซ?ึงกันและกัน รวมทRงั เป็นทกั ษะที?ยงุ่ ยากซบั ซอ้ นจึงตอ้ งอาศยั การฝึ กฝนเป็นอยา่ งดี เพื?อใหส้ ามารถนาํ ไปใชไ้ ดอ้ ยา่ ง มีประสิทธิผล ปปปปปปปปแต่สภาพการเรียนการสอนทกั ษะการอ่านและทกั ษะการเขียนภาษาองั กฤษในปัจจุบนั ซ?ึง ทิศนา แขมมณี (2550, หนา้ 177) ไดศ้ ึกษาพบว่า ผูเ้ รียนมีผลสัมฤทธeิทางการเรียนอยใู่ นระดบั ต?าํ ซ?ึงมีสาเหตุมาจากการจดั การเรียนการสอนของครูเน้นการถ่ายทอดเนRือหาในห้องเรียน และท่องจาํ ตาํ ราเป็ นสําคญั ทาํ ให้ผูเ้ รียนขาดประสบการณ์ ขาดการคิดวิจารณญาณ ขาดการนาํ ประสบการณ์ หรือขอ้ มูลมาสังเคราะห์ใหเ้ ป็นปัญญาที?สูงขRึน สอดคลอ้ งกบั จาํ รูญ เหลืองขจร (2543, คาํ นาํ ) ที?กล่าว วา่ วธิ ีการสอนของครูในกระบวนการเรียนการสอนมุ่งเนน้ การท่องจาํ เพ?ือสอบมากกวา่ เนน้ ใหผ้ เู้ รียน รู้จกั คิด วเิ คราะห์ แสวงหาความรู้ดว้ ยตนเองนRนั ไม่สามารถปลูกฝังการรักท?ีจะเรียนรู้ต่อไป และ ขวญั ตา อาจมนตรี (2544 , หน้า 4) ไดส้ รุปสาเหตุของปัญหาการเรียนการสอนภาษาองั กฤษว่า ปัจจยั ท?ี สําคญั คือดา้ นครูผูส้ อน ส่วนใหญ่ยึดครูเป็ นศูนยก์ ลางเร่งสอนเนRือหาให้จบโดยเร็วโดยไม่คาํ นึงถึง ความแตกต่างระหวา่ งบุคคล สอนโดยมิไดน้ าํ เสนอรูปแบบการจดั กิจกรรมมาใชแ้ ละการสอนแต่ละ ครRังไม่สามารถสร้างความเร้าใจให้นักเรียนอยากรู้ ดา้ นตวั นักเรียนคิดว่าการเรียนภาษาองั กฤษเป็ น วิชาที?ยาก และขาดทกั ษะในการทาํ งานกลุ่ม อนั นาํ ไปสู่ความเบ?ือหน่ายต่อการเรียน และมีเจตคติท?ีไม่ ดีต่อวชิ าภาษาองั กฤษ จึงมีส่วนทาํ ใหผ้ ลสมั ฤทธeิทางการเรียนของผเู้ รียนต?าํ ซ?ึงจากการรายงานผลการ ประเมินคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนแม่เมาะวิทยา ปี การศึกษา 2548 (2548, หน้า 36) ในรายวิชา สาระการเรียนรู้เพิ?มเติม รายวิชาภาษาองั กฤษอ่าน-เขียน ของนกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ที? 1 ประจาํ ปี การศึกษา 2548 ของโรงเรียนแม่เมาะวทิ ยา อาํ เภอแม่เมาะ จงั หวดั ลาํ ปาง พบวา่ นกั เรียนส่วนใหญ่มีผล การประเมินอยู่ในระดบั ต?าํ กว่าเกณฑ์ที?ทางโรงเรียนตRงั ไวค้ ือ ระดบั คุณภาพ 2 อนั มีสาเหตุมาจาก นักเรี ยนอ่านแล้วไม่เข้าใจ ไม่สามารถจับใจความสําคัญและไม่สามารถเขียนสรุปความได้
4 เน?ืองมาจากขาดการฝึ กฝนการอ่านเรื?องเพ?ือความเขา้ ใจ มีประสบการณ์ในการอ่านเนRือเรื?องแลว้ ตอบ คาํ ถามค่อนขา้ งนอ้ ย และการอ่านเนRือเร?ืองยาวอาจเกินความสามารถของนกั เรียน ซ?ึงถา้ หากไม่มีการ เพิ?มพูนประสบการณ์วิธีการอ่าน นักเรียนอาจพบปัญหาเมื?อตอ้ งอ่านเนRือเร?ืองที?ยาวและยากขRึนใน อนาคตและการอ่านเพ?ือความเขา้ ใจรวมทRงั การเขียนสรุปความ เป็ นหน?ึงในทกั ษะการเรียนรู้วิชา ภาษาองั กฤษที?จาํ เป็นตอ้ งใชอ้ ยเู่ สมอ ปปปปปปปปจากการศึกษาแนวคิดสาํ คญั ๆ ของนกั วิชาการ อาทิ Carr and Ogle (1987, pp.626-631) ไดก้ ล่าวถึงวิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั เป็ นวิธีการสอนท?ีมีวิธีการท?ีน่าสนใจ โดยที? ขRนั K (What you know) เป็ นขRนั ตรวจสอบประสบการณ์เดิมของนกั เรียน เพ?ือใหผ้ สู้ อนไดท้ ราบวา่ นกั เรียน มีพRืนฐานในส?ิงที?จะเรียนเพียงใด ขRนั ตอนนRีเป็ นการเตรียมนักเรียนในการเรียนรู้เนRือหาใหม่ ขRนั W (What you want to know) เป็นขRนั ตอนท?ีนกั เรียนตRงั คาํ ถามท?ีตอ้ งการรู้เก?ียวกบั เร?ืองที?กาํ ลงั จะอ่านการ สอนขRนั นRีเพ?ือใหน้ กั เรียนรู้วา่ ตอ้ งการเรียนรู้อะไรในเร?ืองที?จะอ่าน จะช่วยใหผ้ เู้ รียนมีเป้าหมายในการ อ่าน ขRนั L (What you have learned) เป็ นขRนั ท?ีนกั เรียนสาํ รวจตวั เองว่าไดเ้ รียนรู้อะไรจากเร?ืองท?ีอ่าน บา้ ง โดยนกั เรียนหาคาํ ตอบจากคาํ ถามที?ตนเองตRงั ขRึนแลว้ จดบนั ทึกส?ิงท?ีรู้ และ ขRนั Plus เป็ นการเพิ?ม กิจกรรมการสร้างแผนภูมิ (Mapping) เพ?ือใชส้ รุปความหลงั การอ่าน ทRงั นRีเพื?อช่วยให้นกั เรียนมีความ เขา้ ใจในเร?ืองท?ีอ่านและสามารถถ่ายโอนการเรียนรู้ไดม้ ากยงิ? ขRึน และ จินตนา มงคล ไชยสิทธeิ (2548, หนา้ 5) ไดเ้ พิ?มเติมถึงวิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั วา่ เป็นวธิ ีที?เนน้ การนาํ โครงสร้างความรู้เดิม ไปช่วยตีความเร?ืองท?ีอ่าน มีการระดมพลงั สมองในกลุ่มโดยใชป้ ระสบการณ์เดิมของนกั เรียนมีการ แลกเปล?ียนขอ้ มูลระหวา่ งนกั เรียนกบั นกั เรียน และนกั เรียนกบั ผสู้ อน มีการคาดคะเนตรวจสอบความ ถูกตอ้ งและการตRงั คาํ ถามเก?ียวกบั เร?ืองท?ีอ่าน ซ?ึงวธิ ีสอนแบบนRีจะช่วยใหน้ กั เรียนมีความเขา้ ใจมากขRึน อีกทRงั ยงั สามารถนาํ ความรู้ไปใชใ้ นสถานการณ์ต่าง ๆ ไดอ้ ย่างเหมาะสม นอกจากนRี สุวิทย์ มูลคาํ และ อรทัย มูลคํา (2545 , หน้า 8) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้แบบ เค ดับเบิลยู แอล พลัส เป็ น กระบวนการเรียนรู้ท?ีเนน้ ใหผ้ เู้ รียนมีทกั ษะกระบวนการอ่านท?ีสอดคลอ้ งกบั ทกั ษะการคิดอยา่ งรู้ตนวา่ ตนคิดอะไร มีวิธีคิดอยา่ งไร สามารถตรวจสอบความคิดของตนเองได้ โดยผเู้ รียนจะไดร้ ับการฝึ กให้ ตระหนกั ในกระบวนการทาํ ความเขา้ ใจตนเอง มีการจดั ระบบขอ้ มูลเพ?ือการดึงมาใชภ้ ายหลงั ไดอ้ ยา่ ง มีประสิทธิภาพ ซ?ึงสอดคลอ้ งกบั สมศกั ดeิ ภู่วิภาดาวรรธน์ (2544, หนา้ 75) ที?กล่าวเสริมว่าวิธีสอน แบบ เค ดบั เบิล ยู แอล พลสั มีการจดั กิจกรรมซ?ึงฝึ กให้ผูเ้ รียนอ่านอยา่ งเป็ นระบบ มีจุดมุ่งหมายใน การอ่าน เปิ ดโอกาสใหผ้ เู้ รียนไดร้ ะดมพลงั สมอง และอภิปรายกนั ในกลุ่มเพื?อช่วยใหผ้ เู้ รียนนาํ ขอ้ มูล ท?ีได้ใหม่มาผสมผสานเขา้ กบั ขอ้ มูลหรือความรู้เดิม มีการตRงั คาํ ถามเพื?อเป็ นแนวทางในการอ่าน บนั ทึกขอ้ มูลที?ไดเ้ รียนรู้หลงั จากการอ่านและสร้างผงั สัมพนั ธ์ทางความหมายเพื?อสรุปเนRือเรื?องท?ีอ่าน ซ?ึงกิจกรรมการเรียนการสอนลกั ษณะนRีจะช่วยใหผ้ เู้ รียนมีความเขา้ ใจในเนRือเร?ืองท?ีอ่านมากขRึน อีกทRงั
5 ยงั ช่วยให้จดจาํ ระลึก และวิเคราะห์ความรู้ของตนไดอ้ ย่างมีระบบอีกดว้ ย ดงั นRัน จึงเห็นไดว้ ่า วิธี สอน แบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั เป็ นวิธีการสอนท?ีมีจุดมุ่งหมายหลกั เพ?ือช่วยพฒั นาการอ่านและใน ขณะเดียวกนั สามารถนาํ ไปพฒั นาทกั ษะโดยผูเ้ รียนจะไดฝ้ ึ กทกั ษะทRงั 4 คือ ทกั ษะฟัง พูด อ่าน และ เขียน ไปพร้อม ๆ กนั แต่จะเน้นความเขา้ ใจในการอ่าน เป็ นการจดั กิจกรรมซ?ึงฝึ กให้นักเรียนอ่าน อยา่ งเป็นระบบมีจุดมุ่งหมายในการอ่าน เปิ ดโอกาสใหน้ กั เรียนไดร้ ะดมพลงั สมองและอภิปรายกนั ใน กลุ่มเพ?ือช่วยให้นกั เรียนนาํ ขอ้ มูลท?ีไดใ้ หม่มาผสมผสานเขา้ กบั ขอ้ มูลหรือความรู้เดิมมีการตRงั คาํ ถาม เพื?อเป็ นแนวทางในการอ่าน บันทึกขอ้ มูลที?ได้เรียนรู้หลงั จากการอ่านและสร้างผงั สัมพนั ธ์ทาง ความหมาย (Semantic Mapping) เพื?อสรุปเนRือหาเร?ืองที?อ่าน โดยกิจกรรมการเรียนการสอนลกั ษณะนRี จะช่วยใหน้ กั เรียนมีความเขา้ ใจในเร?ืองท?ีอ่านมากขRึน อีกทRงั ยงั ช่วยใหจ้ ดจาํ ระลึกและวเิ คราะห์ความรู้ ของตนไดอ้ ยา่ งมีระบบ ปปปปปปปปดว้ ยเหตุดงั กล่าว ผูศ้ ึกษาจึงสนใจนาํ รูปแบบและวิธีการ ขRนั ตอนของวิธีสอน แบบ เค ดับเบิลยู แอล พลัส มาใช้ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษโดยจัดทําชุดการสอนเพื?อพัฒนา ผลสัมฤทธeิด้านการอ่านภาษาอังกฤษเพ?ือความเข้าใจและการเขียนสรุปความ ของนักเรียนชRัน มธั ยมศึกษาปี ท?ี 1 ซ?ึงนบั เป็นวยั ท?ีตอ้ งฝึกฝนและสร้างประสบการณ์ดา้ นการอ่านและการเขียนเพ?ือใหม้ ี ความพร้อมกับการเผชิญปัญหาการอ่านเนRือเร?ืองท?ียาวและยากขRึนในอนาคต การเพ?ิมพูนทักษะ ดงั กล่าวของนกั เรียนระดบั ชRนั มธั ยมศึกษาปี ท?ี 1 ดว้ ยการใชช้ ุดการสอนที?ใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั จึงเป็ นแนวทางหน?ึงที?ช่วยให้นักเรียนไดฝ้ ึ กฝนทกั ษะการอ่านและการเขียนไดอ้ ย่างมี ประสิทธิภาพ วตั ถุประสงค์ของการศึกษา ปปปปปปปป1. เพื?อสร้างชุดการสอนท?ีใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั และหาประสิทธิภาพ ของชุดการสอนท?ีใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ปปปปปปปป2. เพื?อเปรียบเทียบผลสัมฤทธeิดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพื?อความเขา้ ใจและการเขียน สรุปความของนกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ท?ี 1 ก่อนเรียนและหลงั เรียนโดยใชช้ ุดการสอนท?ีใชว้ ิธีสอน แบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ที?สร้างขRึน ปปปปปปปป3. เพื?อศึกษาเจตคติของนกั เรียนท?ีมีต่อการเรียนโดยใชช้ ุดการสอนที?ใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั
6 คาํ ถามในการศึกษา ปปปปปปปป1. ชุดการสอนที?ใช้วิธีสอนแบบ เค ดับเบิลยู แอล พลสั ที?สร้างขRึนมีคุณภาพและ ประสิทธิภาพตามเกณฑห์ รือไม่ ปปปปปปปป2. ผลสัมฤทธeิดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพ?ือความเขา้ ใจและการเขียนสรุปความของ นกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ท?ี 1 ก่อนเรียนและหลงั เรียนโดยใชช้ ุดการสอนท?ีใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั แตกต่างกนั หรือไม่ ปปปปปปปป3. เจตคติของนกั เรียนที?มีต่อการเรียนโดยใชช้ ุดการสอนที?ใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั อยใู่ นระดบั ใด สมมุตฐิ านการศึกษา ปปปปปปปป1. ผลสัมฤทธeิดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพ?ือความเขา้ ใจและการเขียนสรุปความ ของ นกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ที? 1 โรงเรียนแม่เมาะวิทยา อาํ เภอแม่เมาะ จงั หวดั ลาํ ปาง หลงั เรียนโดยใช้ ชุดการสอนท?ีใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั สูงกวา่ ก่อนเรียน ปปปปปปปป2. ชุดการสอนท?ีใช้วิธีสอนแบบ เค ดับเบิลยู แอล พลสั มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ มาตรฐาน 80/80 ประโยชน์ทไEี ด้รับจากการศึกษา ปปปปปปปป1. เป็ นประโยชน์แก่นกั เรียนในการพฒั นาทกั ษะการอ่านเพื?อความเขา้ ใจและการเขียน สรุปความ ปปปปปปปป2. เป็ นแนวทางสําหรับครูผู้สอนวิชาภาษาอังกฤษ ในการจัดกิจกรรมการเรียน การสอนวชิ าภาษาองั กฤษใหม้ ีประสิทธิภาพยง?ิ ขRึน ปปปปปปปป3. เป็ นแนวทางแก่ผูส้ นใจท?ีจะศึกษาคน้ ควา้ เก?ียวกบั การสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั เพ?ือส่งเสริมผลสมั ฤทธeิดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพื?อความเขา้ ใจและการเขียนสรุปความ ข้อตกลงเบืLองต้น ปปปปปปปป1. วธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั จะใชต้ ามแนวคิดของ Carr และ Ogle (1987, pp. 626 - 631) โดยนํามาปรับใหม่เพ?ือความเหมาะสมกบั ลกั ษณะของผูเ้ รียน เนRือหา และเวลาที?ใช้ใน การศึกษา
7 ขอบเขตของการศึกษา ปปปปปปปปในการศึกษาเรื?อง การใช้ชุดการสอนที?ใช้วิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั เพ?ือ ส่งเสริมผลสมั ฤทธeิดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพ?ือความเขา้ ใจและการเขียนสรุปความ ของนกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ท?ี 1 โรงเรียนแม่เมาะวิทยา อาํ เภอแม่เมาะ จงั หวดั ลาํ ปาง ผูศ้ ึกษาไดก้ าํ หนดขอบเขต ของการศึกษาไวด้ งั นRี ปปปปปปปป1. ประชากร เป็ นนักเรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ท?ี 1 โรงเรียนแม่เมาะวิทยา จาํ นวน 4 ห้อง รวมทRงั สิRน 143 คน ปปปปปปปป2. กลุ่มตวั อย่าง เป็ นนักเรียนชRันมธั ยมศึกษาปี ท?ี 1/3 โรงเรียนแม่เมาะวิทยา อาํ เภอ แม่เมาะ จงั หวดั ลาํ ปาง สังกดั สาํ นกั งานเขตพRืนที?การศึกษามธั ยมศึกษา เขต 35 ท?ีเลือกเรียนสาระการ เรียนรู้เพ?ิมเติม รายวิชา ภาษาองั กฤษอ่าน-เขียน (อ 21202) ภาคเรียนท?ี 1 ปี การศึกษา 2553 จาํ นวน 1 ห้องเรียน รวมทRังสิRน 36 คน ใช้วิธีเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) โดยพิจารณาว่าเป็ น นกั เรียนที?ผศู้ ึกษาทาํ การสอนและมีค่าคะแนนเฉลี?ยจากการทดสอบก่อนเรียนอยรู่ ะดบั ปานกลาง ปปปปปปปป3. ตวั แปรท?ีจะศึกษา ปปปปปปปป 3.1 ตวั แปรอิสระ ไดแ้ ก่ การใชช้ ุดการสอนที?ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ปปปปปปปป 3.2 ตวั แปรตาม ไดแ้ ก่ ปปปปปปปป 3.2.1 ผลสัมฤทธeิทางการเรียนของนักเรียนดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพ?ือความ เขา้ ใจและการเขียนสรุปความ ปปปปปปปป 3.2.2 เจตคติของนักเรียนมีต่อการเรียนโดยใชช้ ุดการสอนท?ีใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ปปปปปปปป4. ระยะเวลาที?ใชด้ าํ เนินการสอน 15 สัปดาห์ ๆ ละ 2 ชว?ั โมง จาํ นวน 15 ชุด รวมทRงั สิRน เป็นเวลา 30 ชวั? โมง ปปปปปปปป5. ขอบเขตดา้ นเนRือหา ปปปปปปปปเนRือหาในการศึกษาครRังนRีไดแ้ ก่ เนRือหาที?ผศู้ ึกษาไดค้ ดั เลือกเนRือหาจากหนงั สือแบบเรียน รายวิชาทกั ษะอ่าน-เขียนภาษาองั กฤษ ซ?ึงเป็ นเนRือหาที?พบในชีวิตประจาํ วนั และระดบั ความยากง่าย เหมาะสมกบั ระดบั ชRันมธั ยมศึกษาปี ท?ี 1 ซ?ึงเป็ นหนังสือที?กระทรวงศึกษาธิการอนุญาตให้ใช้เป็ น หนงั สือประกอบการเรียนได้ ความรู้จากท?ีไดส้ ืบคน้ จากอินเตอร์เน็ท เร?ืองราวท?ีผูศ้ ึกษาไดเ้ ขียนขRึน และ เร?ืองราวจากทอ้ งถ?ิน จาํ นวน 15 ชุด ไดแ้ ก่ หน่วยการเรียนรู้ท?ี 1 มีจาํ นวน 6 ชุดไดแ้ ก่ กลยุทธ์ KWL Plus, My Family, My Idol, Sports, My Resolutions และ I Like Stories รวม 11 ชวั? โมง หน่วย การเรียนรู้ท?ี 2 Food and Health มีจาํ นวน 4 ชุดๆ ละ 2 ชวั? โมง ไดแ้ ก่ The Apple Tree, How to Keep Foods, Health Habits และ How to Make Fried Rice รวม 8 ชว?ั โมง และหน่วยการเรียนรู้ท?ี 3 Around
8 Me มีจํานวน 5 ชุด ได้แก่ Kangaroos, The Life Cycle of a Mosquito, The Weather, How to Save Energy และ My Community รวม 11 ชว?ั โมง รวมทRงั สิRน 30 ชว?ั โมง คาํ นิยามศัพท์เฉพาะ ปปปปปปปป1. ชุดการสอนทีEใช้วิธีสอนแบบ เค ดับเบิลยู แอล พลัส หมายถึง ชุดกิจกรรมการเรียน การสอน รายวิชา ภาษาอังกฤษอ่าน-เขียน (อ 21202) สําหรับนักเรียนชRันมัธยมศึกษาปี ที? 1 ซ?ึง ประกอบดว้ ย แผนการจดั การเรียนรู้ท?ีใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั และแบบฝึ กท?ีใชว้ ิธีสอน แบบ เค ดับเบิลยู แอล พลสั ที?เน้นการจดั กิจกรรมให้ผูเ้ รียนใช้กระบวนการคิดขณะท?ีอ่าน เพื?อ พฒั นาการอ่านเพ?ือความเขา้ ใจ และการเขียนสรุปความโดยมีขRนั ตอนดงั นRี ขRนั ที? 1 กิจกรรมก่อนการ อ่าน เรียกวา่ ขRนั K (What you know) เป็นขRนั ตรวจสอบประสบการณ์เดิมของผเู้ รียน ขRนั ที? 2 กิจกรรม ระหว่างการอ่าน เรียกว่า ขRนั W (What you want to know) เป็ นขRนั ตอนที?ผูเ้ รียนตอ้ งการรู้อะไรใน เร?ืองที?จะอ่าน ขRันท?ี 3 กิจกรรมหลังการอ่าน เรียกว่า ขRัน L ขRัน L1 (What you have learned) เป็ น ขRนั ตอนท?ีผูเ้ รียนสํารวจตวั เองว่าไดเ้ รียนรู้อะไรบา้ งจากสิ?งท?ีอ่าน ขRนั Plus ขRนั ท?ี 4 ขRนั L2 เป็ นการ สร้างผงั สัมพนั ธ์ทางความหมาย (Semantic Mapping) และขRนั ท?ี 5 ขRนั L3 การสรุปเร?ืองจากการอ่าน (Summarizing) นักเรียนเขียนสรุปความจากการอ่านโดยใชผ้ งั สัมพนั ธ์ทางความหมายเป็ นแนวทาง และนอกจากนRีมีการทดสอบก่อนเรียนและหลงั เรียนจดั รวบรวมเป็นชุดการสอน ปปปปปปปป2. ผลสัมฤทธTิทางการเรียน หมายถึง คะแนนจากการทาํ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธeิ ทางการเรียนสาระการเรียนรู้เพ?ิมเติมรายวิชา ภาษาอังกฤษอ่าน-เขียน (อ 21202) ด้านการอ่าน ภาษาองั กฤษเพื?อความเขา้ ใจและการเขียนสรุปความของนกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ท?ี 1 ปปปปปปปป3. การอ่านภาษาองั กฤษเพืEอความเข้าใจ หมายถึง ความสามารถในการอ่านของนกั เรียน ใน 3 ระดบั ต่อไปนRี ระดบั แปลความ จบั ใจความ และสรุปความ ปปปปปปปป4. การเขียนสรุปความ หมายถึง ความสามารถในการเขียนสรุปความเรื?องท?ีอ่าน โดย เขียนสรุปในรูปของผงั สัมพนั ธ์ทางความหมาย (Semantic Mapping) ก่อนเป็ นแนวทาง แลว้ นํามา เขียนสรุปความโดยคาํ นึงถึงความคงเดิมของเนRือเรื?องในบทอ่านท?ีกาํ หนดให้ ปปปปปปปป5. นักเรียน หมายถึง นกั เรียนโรงเรียนแม่เมาะวิทยา อาํ เภอแม่เมาะ จงั หวดั ลาํ ปาง ท?ี กาํ ลงั เรียนอยใู่ นระดบั ชRนั มธั ยมศึกษาปี ท?ี 1 ท?ีเลือกเรียนสาระการเรียนรู้เพิ?มเติมรายวิชา (อ 21202) ภาษาองั กฤษอ่าน-เขียน ปี การศึกษา 2553 ปปปปปปปป6. เจตคติของนักเรียนทEีมีต่อการเรียนโดยใช้ชุดการสอนทีEใช้วิธีสอนแบบ เค ดับเบิลยู แอล พลสั หมายถึง ความรู้สึกและความคิดเห็นของผเู้ รียนที?มีต่อการเรียนดว้ ยชุดการสอนท?ีใชว้ ธิ ีสอน แบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ที?สร้างขRึน 3 ดา้ น คือ ดา้ นบรรยากาศการเรียน ดา้ นกิจกรรมการเรียนการ
9 สอน และดา้ นเนRือหา โดยสามารถวดั ไดจ้ ากแบบวดั เจตคติของนกั เรียน ท?ีเป็นแบบวดั เจตคติที?ผศู้ ึกษา สร้างขRึน ปปปปปปปป7. ประสิทธิภาพของชุดการสอนทีEใช้วิธีสอนแบบ เค ดับเบิลยู แอล พลัส หมายถึง เกณฑ์ในการตดั สินประสิทธิภาพของชุดการสอนที?ใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ที?วดั ผล ขณะจดั การเรียนรู้และหลงั การจดั การเรียนรู้แลว้ ไดผ้ ลตามเกณฑ์ 80/80 80 ตวั แรก หมายถึง ค่าเฉลี?ยเป็นร้อยละของคะแนนเกบ็ และคะแนนจากการทดสอบ แต่ละบทเรียนระหวา่ งที?จดั การเรียนรู้โดยใชช้ ุดการสอนที?ใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั 80 ตัวหลัง หมายถึง ค่าเฉล?ียเป็ นร้อยละของคะแนนจากการทดสอบภายหลังที? จดั การเรียนรู้โดยใชช้ ุดการสอนท?ีใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั
10 บททEี 2 เอกสารและงานวจิ ยั ทเีE กยีE วข้อง มมมมมมมมในการศึกษาเรื?อง การใช้ชุดการสอนที?ใช้วิธีสอนแบบ เค ดับเบิลยู แอล พลสั เพ?ือ ส่งเสริมผลสัมฤทธeิดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพ?ือความเขา้ ใจและการเขียนสรุปความของนกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ท?ี 1 โรงเรียนแม่เมาะวิทยา อาํ เภอแม่เมาะ จงั หวดั ลาํ ปาง ผศู้ ึกษาไดศ้ ึกษาเอกสารและ งานวจิ ยั ที?เก?ียวขอ้ ง โดยรวบรวมและเรียบเรียงตามลาํ ดบั หวั ขอ้ ดงั นRี มมมมมมมม1. การจัดสาระการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขRนั พRืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 มมมมมมมม 1.1 หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ 1.2 มาตรฐานการเรียนรู้ 1.3 ตวั ชRีวดั ชRนั ปี 1.4 การวดั ผลสมั ฤทธeิ มมมมมมม 2. เอกสารและงานวจิ ยั ท?ีเกี?ยวขอ้ งกบั วธิ ีการสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั มมมมมมมม 2.1 แนวคิดการสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั 2.2 ขRนั ตอนวธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั 2.3 การเรียนการสอนทกั ษะอ่านและเขียนสรุปความโดยใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั 2.4 เป้าหมายของวธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั มมมมมมมม 2.5 งานวจิ ยั ท?ีเกี?ยวขอ้ งกบั การสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั 3. เอกสารและงานวจิ ยั เก?ียวกบั การอ่าน มมมมมมมม 3.1 ความหมายของทกั ษะการอ่าน 3.2 ความเขา้ ใจในการอ่าน 3.3 ระดบั ความเขา้ ใจในการอ่าน 3.4 การวดั และประเมินผลความเขา้ ใจในการอ่าน มมมมมมมม 3.5 งานวจิ ยั ที?เก?ียวขอ้ งกบั ความเขา้ ใจในการอ่าน มมมมมมมม4. เอกสารและงานวจิ ยั เก?ียวกบั การเขียนสรุปความ มมมมมมมม 4.1 ความหมายของการเขียนสรุปความ 4.2 หลกั เกณฑก์ ารเขียนสรุปความ
11 4.3 ทฤษฎีโครงสร้างความรู้เดิม (Schema Theory) 4.4 ผงั สมั พนั ธ์ทางความหมาย (Semantic Mapping) มมมมมมมม 4.5 การวดั และประเมินผลการเขียนสรุปความ มมมมมมมม 4.6 งานวจิ ยั ท?ีเกี?ยวขอ้ งกบั การเขียนสรุปความ มมมมมมมม5. เอกสารและงานวจิ ยั เกี?ยวกบั เจตคติ มมมมมมมม 5.1 ความหมายของเจตคติ 5.2 ลกั ษณะของเจตคติ 5.3 การวดั เจตคติ 5.4 เจตคติต่อการเรียนภาษาองั กฤษ มมมมมมมม 5.5 งานวจิ ยั ท?ีเกี?ยวขอ้ งกบั เจตคติ 1. การจัดสาระการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) หลักสูตรแกนกลาง การศึกษาขLนั พืนL ฐาน พทุ ธศักราช 2551 มมมมมมมมการจดั สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขRนั พRืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 กระทรวงศึกษาธิการ (2551, หนา้ 220-227) ไดใ้ ห้ความรู้เกี?ยวกบั สาระการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ ดงั ต่อไปนRี มมมมมมมม1.1 หลกั สูตรกล่มุ สาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ มมมมมมมม การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศมีความสําคญั และจาํ เป็ นอย่างยิ?งในชีวิตประจาํ วนั เน?ืองจากเป็นเคร?ืองมือสาํ คญั ในการติดต่อสื?อสาร การศึกษา การแสวงหาความรู้ การประกอบอาชีพ การสร้างความเข้าใจเกี?ยวกับวฒั นธรรมและวิสัยทัศน์ของชุมชนโลก และตระหนักถึงความ หลากหลายทางวฒั นธรรมและมุมมองของสงั คมโลก นาํ มาซ?ึงมิตรไมตรีและความร่วมมือกบั ประเทศ ต่าง ๆ ช่วยพฒั นาผูเ้ รียนให้มีความเขา้ ใจตนเองและผูอ้ ื?นดีขRึน เรียนรู้และเขา้ ใจความแตกต่างของ ภาษาและวฒั นธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี การคิด สังคม เศรษฐกิจ การเมือง การปกครอง มี เจตคติที?ดีต่อการใชภ้ าษาต่างประเทศ และใชภ้ าษาต่างประเทศเพื?อการสื?อสารได้ รวมทRงั เขา้ ถึง องคค์ วามรู้ต่าง ๆ ได้ง่ายและกว้างขRึน และมีวิสัยทัศน์ในการดําเนินชีวิตภาษาอังกฤษเป็ น ภาษาต่างประเทศที?เป็ นสาระการเรียนรู้พRืนฐาน ซ?ึงกาํ หนดให้เรียนตลอดหลกั สูตรการศึกษาขRนั พRืนฐาน ในการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศสาระทRงั หมดจึงควรไดน้ าํ ไปสอนในทุกระดบั ชRนั ในลกั ษณะท?ี ถกั ทอผสมผสานเขา้ ดว้ ยกนั เพื?อใหผ้ เู้ รียนไดเ้ รียนรู้ภาษาทุกดา้ นและพฒั นาสมรรถภาพทางภาษาใน ลกั ษณะท?ีกา้ วหน้าไปตามความต่อเนื?องของกระบวนการเรียนรู้นาํ ไปสู่ประสิทธิภาพในการเรียน ภาษาในระดบั สูงขRึน แยกเป็น 4 สาระ คือ
12 มมมมมมมม สาระที? 1 ภาษาเพื?อการส?ือสาร (Communications) หมายถึง ความสามารถในการใช้ ภาษาองั กฤษเพ?ือทาํ ความเขา้ ใจไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ ในการแลกเปลี?ยน นาํ เสนอขอ้ มูล ข่าวสาร แสดงความคิดเห็น เจตคติ อารมณ์ ความรู้สึก ทRงั ท?ีเป็นภาษาพดู และภาษาเขียน มมมมมมมม สาระที? 2 ภาษาและวฒั นธรรม (Cultures) หมายถึง การรับรู้และเขา้ ใจวฒั นธรรม ชีวติ ความเป็นอยู่ พฤติกรรมทางสงั คม ค่านิยม และความเช?ือท?ีแสดงออกทางภาษา มมมมมมมม สาระที? 3 ภาษากบั ความสัมพนั ธ์กบั กลุ่มสาระการเรียนรู้อื?น (Connections) หมายถึง ความสามารถในการแสวงหาและเชื?อมโยงความรู้กบั กลุ่มสาระการเรียนรู้อื?น มมมมมมมม ส าระ ที? 4 ภาษากบั ความสัมพนั ธ์กบั ชุมชนโลก (Communities) หมายถึง ความสามารถทางภาษาองั กฤษที? เป็ นพRืนฐานในการประกอบอาชีพและการเรี ยนรู้ตลอดชีวติ มมมมมมมมจะเห็นไดว้ า่ หลกั สูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาองั กฤษ) ไดก้ าํ หนด องค์ความรู้ท?ีเป็ นสากลสําหรับผู้เรียน ซ?ึงประกอบด้วย สาระภาษาเพื?อการสื?อสาร ภาษาและ วฒั นธรรม ภาษากบั ความสัมพนั ธ์กบั กลุ่มสาระการเรียนรู้อื?น และ ภาษากบั ความสัมพนั ธ์กบั ชุมชน โลก เพ?ือพฒั นาผูเ้ รียนให้มีความรู้ ความสามารถ ทRงั ทางวิชาการ วิชาชีพ และพฒั นาคุณภาพชีวิตได้ อยา่ งต่อเน?ืองตลอดชีวติ มมมมมมมม1.2 มาตรฐานการเรียนรู้ มมมมมมมมมาตรฐานการเรี ยนรู้ ( Learning Standards ) คือข้อกําหนดท?ีนักเรี ยนต้องเรี ยน ภาษาอังกฤษอย่างมีประสิทธิภาพอย่างน้อย 12 ปี มีองค์ประกอบ 3 ส่วน คือ ความรู้ ทักษะ กระบวนการและคุณธรรมจริยธรรม และค่านิยม กาํ หนดคุณลกั ษณะท?ีพึงประสงคต์ ามจุดหมายของ หลกั สูตร โดยหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขRนั พRืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 ไดก้ าํ หนดมาตรฐานการ เรียนรู้ มีดงั นRี มมมมมมมมสาระทEี 1 ภาษาเพEือการสEือสาร มมมมมมมมมาตรฐาน ต 1.1 เขา้ ใจและตีความเรื?องท?ีฟังและอ่านจากสื?อประเภทต่าง ๆ และแสดง ความคิดเห็นอยา่ งมีเหตุผล มมมมมมมมมาตรฐาน ต 1.2 มีทกั ษะการส?ือสารทางภาษาในการแลกเปลี?ยนขอ้ มูลข่าวสาร แสดง ความรู้สึกและความคิดเห็นอยา่ งมีประสิทธิภาพ มมมมมมมมมาตรฐาน ต 1.3 นาํ เสนอขอ้ มูลข่าวสาร ความคิดรวบยอด และความคิดเห็นในเร?ืองต่าง ๆ โดยการพดู และการเขียน
13 มมมมมมมมสาระทีE 2 ภาษาและวฒั นธรรม มมมมมมมมมาตรฐาน ต 2.1 เขา้ ใจความสัมพนั ธ์ระหวา่ งภาษากบั วฒั นธรรมของเจา้ ของภาษา และ นาํ ไปใชไ้ ดอ้ ยา่ งเหมาะสมกบั กาลเทศะ มมมมมมมมมาตรฐาน ต 2.2 เขา้ ใจความเหมือนและความแตกต่างระหวา่ งภาษาและวฒั นธรรมของ เจา้ ของภาษากบั ภาษาและวฒั นธรรมไทย และนาํ มาใชอ้ ยา่ งถูกตอ้ งและเหมาะสม มมมมมมมมสาระทEี 3 ภาษากบั ความสัมพนั ธ์กบั กล่มุ สาระอEืน มมมมมมมมมาตรฐาน ต 3.1 ใชภ้ าษาต่างประเทศในการเช?ือมโยงความรู้กบั กลุ่มสาระการเรียนรู้อ?ืน และเป็นพRืนฐานในการพฒั นา แสวงหาความรู้ และเปิ ดโลกทศั นข์ องตน มมมมมมมมสาระทีE 4 ภาษากบั ความสัมพนั ธ์กบั ชุมชนและโลก มมมมมมมมมาตรฐาน ต 4.1 ใชภ้ าษาต่างประเทศในสถานการณ์ต่าง ๆ ทRงั ในสถานศึกษา ชุมชน และ สงั คม มมมมมมมมมาตรฐาน ต 4.2 ใชภ้ าษาต่างประเทศเป็นเคร?ืองมือพRืนฐานในการศึกษาต่อ การประกอบ อาชีพ และการแลกเปลี?ยนเรียนรู้กบั สงั คมโลก มมมมมมม สรุปได้ว่า มาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ (ภาษาอังกฤษ) ไดก้ าํ หนดมาตรฐานยอ่ ยครอบคลุม 4 สาระ โดยขอบข่ายเนRือหาและกิจกรรม มีการ เรียงลาํ ดบั ของเนRือหา และมีความต่อเน?ืองทRงั แนวตRงั และแนวนอน เนRือหาและกระบวนการเรียนรู้มุ่ง พัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ ความสามารถ คุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมตามที?กําหนดไว้ใน จุดมุ่งหมายของหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มมมมมมมม1.3 ตวั ชีLวดั ชLันปี หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขRนั พRืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 ไดก้ าํ หนดตวั ชRีวดั และสาระ การเรียนรู้แกนกลาง สาํ หรับชRนั มธั ยมศึกษาปี ที? 1 ดงั นRี 1. ปฏิบตั ิตามคาํ สงั? คาํ ขอร้อง คาํ แนะนาํ และคาํ ชRีแจงง่ายๆ ท?ีฟังและอ่าน 2. อ่านออกเสียงขอ้ ความ นิทานและบทร้อยกรอง (poem) สRนั ๆถูกตอ้ งตาม หลกั การอ่าน 3. เลือก/ระบุประโยคและข้อความ ให้สัมพันธ์กับสื?อที?ไม่ใช่ความเรียง (non-text information) ท?ีอ่าน 4. ระบุหัวขอ้ เร?ือง (topic) ใจความสําคญั (main idea) และตอบคาํ ถามจากการฟังและ อ่าน บทสนทนา นิทาน และเร?ืองสRนั 5. สนทนา แลกเปล?ียนข้อมูลเก?ียวกับตนเอง กิจกรรม และสถานการณ์ต่าง ๆ ใน ชีวติ ประจาํ วนั
14 6. ใชค้ าํ ขอร้อง ใหค้ าํ แนะนาํ และคาํ ชRีแจง ตามสถานการณ์ 7. พูดและเขียนแสดงความตอ้ งการ ขอความช่วยเหลือ ตอบรับและปฏิเสธการใหค้ วาม ช่วยเหลือในสถานการณ์ต่าง ๆ อยา่ งเหมาะสม 8. พูดและเขียนเพื?อขอและให้ขอ้ มูล และแสดงความคิดเห็นเกี?ยวกบั เร?ืองท?ีฟังหรืออ่าน อยา่ งเหมาะสม 9. พูดและเขียนแสดงความรู้สึก และความคิดเห็นของตนเองเก?ียวกบั เรื?องต่าง ๆ ใกลต้ วั กิจกรรมต่าง ๆ พร้อมทRงั ใหเ้ หตุผลสRนั ๆ ประกอบอยา่ งเหมาะสม 10. พูดและเขียนบรรยายเกี?ยวกับตนเอง กิจวตั รประจําวนั ประสบการณ์ และ ส?ิงแวดลอ้ ม ใกลต้ วั 11. พูด/เขียน สรุปใจความสําคัญ/แก่นสาระ(theme) ท?ีได้จากการวิเคราะห์เร?ือง/ เหตุการณ์ที?อยใู่ นความสนใจของสงั คม 12. พูด/เขียนแสดงความคิดเห็นเก?ียวกบั กิจกรรมหรือเรื?องต่าง ๆ ใกลต้ วั พร้อมทRงั ให้ เหตุผลสRนั ๆ ประกอบ 13. ใชภ้ าษา นRาํ เสียง และกิริยาท่าทางสุภาพเหมาะสม ตามมารยาทสังคมและวฒั นธรรม ของเจา้ ของภาษา 14. บรรยายเกี?ยวกบั เทศกาลวนั สาํ คญั ชีวติ ความเป็นอยแู่ ละประเพณีของเจา้ ของภาษา 15. เขา้ ร่วม/จดั กิจกรรมทางภาษาและวฒั นธรรมตามความสนใจ มมมมมมมม16. บอกความเหมือนและความแตกต่างระหวา่ งการออกเสียงประโยคชนิดต่าง ๆ การใช้ เคร?ืองหมายวรรคตอน และการลาํ ดบั คาํ ตามโครงสร้างประโยคของภาษาต่างประเทศและภาษาไทย มมมมมมมม17. เปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างระหวา่ งเทศกาลงานฉลอง วนั สาํ คญั และ ชีวติ ความเป็นอยขู่ องเจา้ ของภาษากบั ของไทย มมมมมมมม18. คน้ ควา้ รวบรวม และสรุปขอ้ มูล/ขอ้ เท็จจริงที?เก?ียวขอ้ งกบั กลุ่มสาระการเรียนรู้อ?ืน จากแหล่งเรียนรู้ และนาํ เสนอดว้ ยการพดู /การเขียน มมมมมมมม19. ใช้ภาษาสื?อสารในสถานการณ์จริง/สถานการณ์จาํ ลองท?ีเกิดขRึนในห้องเรียนและ สถานศึกษา มมมมมมมม20. ใชภ้ าษาต่างประเทศในการสืบคน้ /คน้ ควา้ ความรู้/ขอ้ มูลต่าง ๆจากส?ือและแหล่งการ เรียนรู้ต่าง ๆในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพ มมมมมมมมจะเห็นไดว้ า่ ในการจดั การเรียนการสอนโดยอิงมาตรฐานการเรียนรู้และตวั ชRีวดั เป็นหลกั มุ่งพฒั นาความรู้ ความสามารถของผูเ้ รียน ช่วยให้ผูเ้ รียนมีวิสัยทศั น์กวา้ งไกลและเกิดความมน?ั ใจใน
15 การท?ีจะส?ือสารกบั ชาวต่างประทศ รวมทRงั เกิดเจตคติที?ดีต่อภาษาและวฒั นธรรมต่างประเทศ โดย ยงั คงความภาคภูมิใจในภาษาและวฒั นธรรมไทย มมมมมมมม1.4 การวดั ผลสัมฤทธTิ มมมมมมมมการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ตามแนวปฏิบตั ิการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ตาม หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขRนั พRืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 กระทรวงศึกษาธิการ (2552, หนา้ 81-92) กาํ หนดระดบั ของการวดั และประเมินผลไวเ้ ป็น 4 ระดบั คือ การวดั และประเมินระดบั ชRนั เรียน การวดั และประเมินระดบั สถานศึกษา การวดั และประเมินระดบั เขตพRืนที?การศึกษา การวดั และประเมิน ระดบั ชาติ และระดบั ที?มีความเกี?ยวขอ้ งกบั ผูส้ อนมากท?ีสุดและเป็ นหัวใจของการวดั และประเมินผล การเรียนรู้ผูเ้ รียน คือ การวดั และประเมินผลระดับชRันเรียน (Classroom Assessment) เพราะเป็ น กระบวนการเกบ็ รวบรวมวเิ คราะห์ ตีความ บนั ทึกขอ้ มูลท?ีไดจ้ ากการวดั และประเมินทRงั ท?ีเป็นทางการ และไม่เป็นทางการ ตลอดระยะเวลาของการจดั การเรียนการสอน ตRงั แต่ก่อนเรียน ระหวา่ งเรียน และ หลงั เรียนโดยแนวปฏิบัติการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขRนั พRืนฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 ไดแ้ บ่งประเภทของการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ไวด้ งั นRี มมมมมมมม1. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ จําแนกตามขLันตอนการจัดการเรียนการสอน ก่อน เรียน ระหว่างเรียนและหลังเรียน มี 4 ประเภท ซ?ึงมีความแตกต่างกนั ตามบทบาท จุดมุ่งหมาย และ วธิ ีการวดั และประเมิน ดงั นRี มมมมมมมม 1.1 การประเมินเพEือจัดวางตําแหน่ง (Placement Assessment) เป็ นการประเมิน ก่อนเร?ิมเรียนเพื?อตอ้ งการขอ้ มูลที?แสดงความพร้อม ความสนใจ ระดบั ความรู้และทกั ษะพRืนฐานท?ี จาํ เป็นต่อการเรียน เพื?อใหผ้ สู้ อนนาํ ไปใชก้ าํ หนดวตั ถุประสงคข์ องการเรียนรู้ วางแผน และออกแบบ กระบวนการเรียนการสอนที?เหมาะสมกบั ผเู้ รียนทRงั รายบุคคล รายกลุ่ม และรายชRนั เรียน มมมมมมมม 1.2 การประเมินเพEือวนิ ิจฉัย (Diagnostic Assessment) เป็นการเก็บขอ้ มูลเพื?อคน้ หา วา่ ผเู้ รียนรู้อะไรมาบา้ งเพ?ือหาสาเหตุของปัญหาหรืออุปสรรคต่อการเรียนรู้ของผเู้ รียนเป็นรายบุคคลท?ี มกั จะเป็นเฉพาะเรื?อง แลว้ หาวธิ ีปรับปรุงเพื?อใหผ้ เู้ รียนสามารถพฒั นาและเรียนรู้ขRนั ต่อไป มมมมมมมม 1.3 การประเมินเพืEอการพัฒนา (Formative Assessment) เป็ นการประเมินเพื?อ พฒั นาการเรียนรู้ (Assessment for Learning) ท?ีดาํ เนินการอยา่ งต่อเน?ืองตลอดการเรียนการสอน เป็ น การเก็บขอ้ มูลการเรียนรู้ของผูเ้ รียน ขณะท?ีให้ผูเ้ รียนทาํ ภาระงาน เพื?อให้เกิดความกา้ วหน้าในการ เรียนรู้ตามมาตรฐาน/ตวั ชRีวดั
16 มมมมมมมม 1.4 การประเมินเพEือสรุปผลการเรียนรู้ (Summative Assessment) มกั เกิดขRึนเมื?อจบ หน่วยการเรียนรู้เพื?อตรวจสอบผลการเรียนรู้ของผูเ้ รียนตามตวั ชRีวดั และยงั ใช้เป็ นขอ้ มูลในการ เปรียบเทียบกบั การประเมินก่อนเรียน ทาํ ใหท้ ราบพฒั นาการของผเู้ รียน มมมมมมมม2. การวดั และประเมินผลการเรียนรู้จําแนกตามวธิ ีการแปลความหมายผลการเรียนรู้ มี 2 ประเภท แตกต่างกนั ตามลกั ษณะการแปลผลคะแนน ดงั นRี มมมมมมมม 2.1 การวดั และประเมินแบบอิงกลุ่ม (Norm-Referenced Assessment) เป็ นการวดั และประเมินผลการเรียนรู้เพ?ือนาํ เสนอผลการตดั สินความสามารถหรือผลสัมฤทธeิของผูเ้ รียน โดย เปรียบเทียบกนั เองภายในกลุ่มหรือในชRนั เรียน มมมมมมมม 2.2 การวดั และประเมินแบบอิงเกณฑ์ (Criterion-Referenced Assessment) เป็ นการ วดั และประเมินผลการเรียนรู้เพ?ือนาํ เสนอผลการตดั สินความสามารถหรือผลสัมฤทธeิของผเู้ รียน โดย เปรียบเทียบกบั เกณฑท์ ี?กาํ หนดขRึน มมมมมมมมจะเห็นไดว้ า่ แนวทางการการวดั และประเมินผลการเรียนรู้มีหลายประเภท เนื?องจากเป็น การใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลบั เกี?ยวกบั ความกา้ วหนา้ จุดเด่น จุดท?ีตอ้ งปรับปรุงใหแ้ ก่ผเู้ รียน และนาํ ผลที?ไดม้ า ตีค่าเปรียบเทียบกบั เกณฑท์ ?ีกาํ หนดในตวั ชRีวดั ของมาตรฐานสาระการเรียนรู้ของหลกั สูตร และตดั สิน ผลการเรียนรู้ ดงั นRันครูควรตระหนักถึงจุดมุ่งหมายที?ตอ้ งการวดั และเลือกรูปแบบการประเมินให้ สอดคลอ้ งกบั เหตุผลและเวลา มมมมมมมมวธิ ีการและเครืEองมือวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ มมมมมมมมวิธีการและเคร?ืองมือวดั และประเมินผลการเรียนรู้ หมายถึง รูปแบบ ยุทธวิธี และ เคร?ืองมือประเภทต่าง ๆ ที?ใชใ้ นการเก็บรวบรวมขอ้ มูลเก?ียวกบั การจดั การเรียนรู้ มีจุดมุ่งหมายเพื?อ รู้จกั ผเู้ รียน เพ?ือประเมินวธิ ีเรียนของผเู้ รียนและเพ?ือประเมินพฒั นาการของผเู้ รียน มี 2 รูปแบบ ดงั นRี มมมมมมมม1. วิธีการและเครEืองมือวัดและประเมินผลแบบเป็ นทางการ (Formal Assessment) เป็ น การวดั และประเมินโดยการจดั สอบ และใชแ้ บบสอบหรือแบบวดั (Test) ท?ีครูสร้างขRึน โดยการเก็บ ขอ้ มูลดงั กล่าวส่วนใหญ่ใช้ในการวดั และประเมินท?ีไดผ้ ลเป็ นคะแนนและนําไปใช้ในการตดั สิน มากกวา่ ที?จะใชเ้ พ?ือประเมินพฒั นาการของผเู้ รียน หรือเพื?อหาจุดบกพร่องสาํ หรับนาํ ไปปรับปรุงการ จดั การเรียนการสอน มมมมมมมม2. วิธีการและเครืEองมือวัดและประเมินผลแบบไม่เป็ นทางการ (Informal Assessment) เป็ นการไดม้ าซ?ึงขอ้ มูลผลการเรียนรู้ท?ีเนน้ ผูเ้ รียนเป็ นรายบุคคล จากแหล่งขอ้ มูลหลากหลายท?ีผูส้ อน เกบ็ รวบรวมตลอดเวลา วเิ คราะห์ขอ้ มูล ศึกษาความพร้อมและพฒั นาการของผเู้ รียน ปรับการเรียนการ สอนใหเ้ หมาะสม และแกไ้ ขปัญหาการเรียนรู้ของผเู้ รียน ซ?ึงมีวธิ ีการดงั ต่อไปนRี
17 มมมมมมมม 2.1 การสังเกตพฤติกรรม เป็นการเกบ็ ขอ้ มูลจากการดูการปฏิบตั ิกิจกรรมของผเู้ รียน ท?ีมีกระบวนการ และจุดประสงคท์ ี?ชดั เจนว่าตอ้ งการประเมินอะไร โดยอาจใชเ้ คร?ืองมือ เช่น แบบ มาตรประมาณค่า แบบตรวจสอบรายการ สมุดจดบนั ทึก เพ?ือประเมินผเู้ รียนตามตวั ชRีวดั มมมมมมมม 2.2 การสอบปากเปล่า เป็ นการให้ผูเ้ รียนได้แสดงออกด้วยการพูด ตอบประเด็น เกี?ยวกบั การเรียนรู้ตามมาตรฐาน มมมมมมมม 2.3 การพูดคุย เป็นการส?ือสารระหวา่ งผสู้ อนกบั ผเู้ รียน สามารถดาํ เนินการเป็นกลุ่ม หรือรายบุคคลกไ็ ด้ เพ?ือติดตามตรวจสอบวา่ ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้เพียงใด มมมมมมมม 2.4 การใช้คําถาม ในการจดั การเรียนรู้ครูควรใช้คาํ ถามที?มีประสิทธิภาพ โดยมี วิธีการฝึ กถามให้มีประสิทธิภาพ เช่น การตRงั คาํ ถามท?ีให้คาํ ตอบที?เป็ นไปไดห้ ลากหลาย การเปล?ียน คาํ ถามจาํ ให้เป็ นประโยคบอกเล่า เพื?อให้ผูเ้ รียนระบุว่าเห็นดว้ ย ไม่เห็นดว้ ย พร้อมให้ผูเ้ รียนบอก เหตุผล หรือการหาสิ?งตรงกนั ขา้ ม หรือส?ิงที?ใช่/ถูก สิ?งที?ไม่ใช่/ผดิ และถามเหตุผล หรือการ ใหค้ าํ ตอบ ประเดน็ สรุปแลว้ ตามดว้ ยคาํ ถามใหค้ ิด เป็นการใหผ้ เู้ รียนตอ้ งอธิบายเพ?ิมเติม หรือตRงั คาํ ถามจากจุดยนื ท?ีเห็น โดยใช้ Bloom’s Taxonomy เป็นกรอบแนวคิดในการตRงั คาํ ถาม มมมมมมมม 2.5 การเขียนสะท้อนการเรียนรู้ (Journals) เป็ นรูปแบบการบนั ทึกท?ีใหผ้ เู้ รียนเขียน ตอบกระทู้ หรือคาํ ถามของครู ซ?ึงจะตอ้ งสอดคลอ้ งกบั ความรู้ ทกั ษะที?กาํ หนดในตวั ชRีวดั วิธีนRีเป็ น เครื?องมือประเมินพฒั นาการดา้ นทกั ษะการเขียนไดเ้ ป็นอยา่ งดี มมมมมมมม 2.6 การประเมินการปฏิบัติ (Performance Assessment) เป็ นวิธีการประเมินงาน หรือกิจกรรมที?ผูส้ อนมอบหมายให้ผูเ้ รียนปฏิบตั ิงานเพ?ือให้ทราบถึงผลการพฒั นาของผูเ้ รียน การ ประเมินลกั ษณะนRี ผสู้ อนตอ้ งเตรียมส?ิงสาํ คญั 2 ประการ คือ ภาระงาน (Tasks) หรือกิจกรรม ท?ีจะให้ ผเู้ รียนปฏิบตั ิ และ เกณฑก์ ารใหค้ ะแนน (Scoring Rubrics) มมมมมมมม 2.7 การประเมินด้วยแฟ้มสะสมงาน (Portfolio Assessment) แฟ้มสะสมงานเป็ น การเก็บรวบรวมชิRนงานของผูเ้ รียนเพ?ือสะทอ้ นความกา้ วหนา้ และความสาํ เร็จของผูเ้ รียน โดยผูเ้ รียน ตอ้ งแสดงความคิดเห็นหรือเหตุผลที?เลือกผลงานนRนั เกบ็ ไวต้ ามวตั ถุประสงคข์ องแฟ้มสะสมงาน มมมมมมมม 2.8 การวัดและประเมินด้วยแบบทดสอบ เป็ นการประเมินตัวชRีวดั ด้านการรับรู้ ขอ้ เท็จจริง (Knowledge) ผูส้ อนควรเลือกใช้แบบทดสอบให้ตรงตามวตั ถุประสงค์ของการวดั และ ประเมินและตอ้ งเป็นแบบทดสอบท?ีมีคุณภาพ มีความเที?ยงตรง (Validity) และเช?ือมนั? ได้ (Reliability) มมมมมมมม 2.9 การประเมินด้านความรู้สึกนึกคิด เป็ นการประเมินคุณธรรม จริ ยธรรม คุณลกั ษณะ และเจตคติท?ีควรปลูกฝังในการจดั การเรียนรู้ ซ?ึงการวดั และประเมินผลดา้ นนRีตอ้ งเป็ น ลาํ ดบั ขRนั จากต?าํ สุดไปสูงสุด ดงั นRี ขRนั รับรู้ ขRนั ตอบสนอง ขRนั เห็นคุณค่า (ค่านิยม) ขRนั จดั ระบบคุณค่า และขRนั สร้างคุณลกั ษณะ
18 มมมมมมมม 2.10 การประเมินตามสภาพจริง (Authentic Assessment) เป็ นการประเมินด้วย วิธีการที?หลากหลายเป็นการประเมินการปฏิบตั ิ (Performance Assessment) ร่วมกบั ภาระงาน (Tasks) การประเมินตามสภาพจริงจะตอ้ งออกแบบการจดั การเรียนรู้และการประเมินผลไปด้วยกนั และ กาํ หนดเกณฑก์ ารประเมิน (Rubrics) ใหส้ อดคลอ้ งหรือใกลเ้ คียงกบั ชีวติ จริง มมมมมมมม 2.11 การประเมินตนเองของผู้เรียน (Student Self-assessment) การประเมินตนเอง นบั เป็ นทRงั เครื?องมือประเมินและเคร?ืองมือพฒั นาการเรียนรู้ท?ีดี เพราะทาํ ใหผ้ เู้ รียนไดค้ ิดใคร่ครวญวา่ ไดเ้ รียนรู้อะไร เรียนรู้อย่างไร และผลงานที?ทาํ นRันดีหรือไม่ ช่วยพฒั นาผูเ้ รียนให้เป็ นผูท้ ี?สามารถ เรียนรู้ดว้ ยตนเอง มมมมมมมม 2.12 การประเมินโดยเพืEอน (Peer Assessment) เป็ นวิธีการประเมินอีกรูปแบบหน?ึง ที?ควรนาํ มาใชเ้ พื?อพฒั นาผเู้ รียนใหเ้ ขา้ ถึงคุณลกั ษณะของงานท?ีมีคุณภาพ การประเมินโดยเพ?ือนอยา่ งมี ประสิทธิภาพ จาํ เป็ นตอ้ งสร้างสิ?งแวดลอ้ มการเรียนรู้ที?สนบั สนุนให้เกิด ผูเ้ รียนตอ้ งรู้สึกผ่อนคลาย เชื?อใจกนั และไม่อคติ เพื?อการใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลบั จะไดซ้ ?ือตรง เป็นเชิงบวกที?ใหป้ ระโยชน์ ผสู้ อนท?ีให้ ผูเ้ รียนทาํ งานกลุ่มตลอดภาคเรียนแลว้ ใชเ้ ทคนิคเพ?ือนประเมินเพื?อนเป็ นประจาํ จะสามารถพฒั นา ผเู้ รียนใหเ้ กิดความเขา้ ใจซ?ึงกนั และกนั อนั จะนาํ ไปสู่การใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลบั ที?เก่งขRึนได้ มมมมมมมมจะเห็นไดว้ า่ วิธีการประเมินมีหลากหลายวิธี ในการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ครูควร ใชเ้ คร?ืองมือท?ีหลากหลาย เหมาะสมกบั วยั ของผเู้ รียน มีความสอดคลอ้ งและเหมาะสมกบั พฤติกรรมท?ี ตอ้ งการวดั และสอดคลอ้ งกบั มาตรฐานสาระการเรียนรู้ของหลกั สูตร มมมมมมมมหลกั ฐานการเรียนรู้ประเภทต่าง ๆ มมมมมมมมตามแนวปฏิบตั ิการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขRนั พRืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 กระทรวงศึกษาธิการ (2552, หน้า 81-92) เน้นการเรียนการสอนเพ?ือให้ ผเู้ รียนไดก้ ระทาํ ลงมือปฏิบตั ิ ดงั นRนั ผลงาน ภาระงานจึงเป็นหลกั ฐานการเรียนรู้ที?สาํ คญั ที?ใหผ้ เู้ รียน ทาํ เพ?ือแสดงพฒั นาการการเรียนรู้ตามมาตรฐาน/ตวั ชRีวดั ในแต่ละสาระการเรียนรู้ โดยทวั? ไปจาํ แนก หลกั ฐานการเรียนรู้เป็น 2 ประเภท คือ มมมมมมมม1. ผลผลติ เช่น รายงานที?เป็นรูปเล่ม สิ?งประดิษฐ์ แบบจาํ ลอง แผนภูมิ แฟ้มสะสมงาน ผงั มโนทศั น์ การเขียนอนุทิน การเขียนความเรียง คาํ ตอบท?ีผเู้ รียนสร้างเอง โครงงาน เป็นตน้ มมมมมมมม2. ผลการปฏิบัติ เช่น การรายงานด้วยวาจา การสาธิต การทดลอง การปฏิบัติการ ภาคสนาม การอภิปราย การจดั นิทรรศการ การสังเกตพฤติกรรมผูเ้ รียนของครู รายงานการประเมิน ตนเองของผเู้ รียน เป็นตน้
19 มมมมมมมมสรุปได้ว่า หลกั ฐานการเรียนรู้ (Evidence of Learning) เป็ นส?ิงท?ีแสดงให้เห็นผลการ เรียนรู้ของผูเ้ รียนที?เป็ นรูปธรรมว่า มีร่องรอย/หลกั ฐานใดบา้ งท?ีแสดงถึงผลการเรียนรู้ของผูเ้ รียนซ?ึง ผสู้ อนตอ้ งกาํ หนดใหส้ มั พนั ธ์กบั มาตรฐาน/ตวั ชRีวดั มมมมมมมมเกณฑ์การประเมนิ Rubrics) มมมมมมมมเกณฑ์การประเมินเป็ นแนวทางให้คะแนนท?ีประกอบด้วยเกณฑ์ด้านต่าง ๆ เพ?ือใช้ ประเมินค่าผลการปฏิบตั ิของผเู้ รียนในภาระงาน/ชิRนงานที?มีความซบั ซอ้ น เกณฑก์ ารประเมินเป็ นส?ิง สําคญั ที?ผูเ้ รียนควรรู้และปฏิบัติได้ แนวปฏิบัติการวดั และประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตร แกนกลางการศึกษาขRนั พRืนฐาน พุทธศกั ราช 2551 กรมวิชาการ (2552, หนา้ 81-92) กาํ หนดการสร้าง เกณฑไ์ ว้ 2 รูปแบบ คือ การสร้างเกณฑก์ ารประเมินแบบแยกประเด็น (Analytic Rubrics) และ เกณฑ์ การประเมินแบบภาพรวม (Holistic Rubric) มมมมมมมมการสร้างเกณฑ์การประเมินแบบแยกประเด็น (Analytic Rubrics) เป็ นการให้คะแนน โดยแยกประเดน็ รายการที?ตอ้ งการวดั เขียนคาํ บรรยายคุณภาพในแต่ละระดบั ในการใชง้ านตอ้ งดูและ วดั นกั เรียนท?ีละพฤติกรรม แนวทางการใหค้ ะแนนโดยพิจารณาจากแต่ละส่วนของงาน ซ?ึงแต่ละส่วน จะตอ้ งกาํ หนดแนวทางการให้คะแนนโดยมีคาํ นิยามหรือคาํ อธิบายลกั ษณะของงานส่วนนRนั ๆ ในแต่ ละระดบั ไวอ้ ยา่ งชดั เจน ดงั ตวั อยา่ งการประเมินแบบแยกประเดน็ ในตาราง 1
20 ตาราง 1 แสดงตวั อยา่ งการประเมินแบบแยกประเดน็ เกณฑ์ ระดบั การประเมนิ ชืEอเรืEอง 4 3210 เนืLอหา น่าสนใจ ทนั สมยั น่าสนใจแต่ ทวั? ๆ ไป ไม่เก?ียวขอ้ งกบั ไม่มีขอ้ มูล การลาํ ดบั เหมาะสมกบั ไม่ทนั สมยั ไม่น่าสนใจ สาระที?เรียน เพียงพอต่อการ ใจความ เนRือเร?ือง สอดคลอ้ งกบั ไม่สอดคลอ้ ง ตดั สิน ขอ้ มูลถูกตอ้ ง เนRือหา กบั เนRือหา หลกั เกณฑ์ สมบูรณ์ ขอ้ มูลถูกตอ้ ง มีขอ้ มูลท?ีผดิ ขอ้ มูลส่วน ไม่มีขอ้ มูล ทางภาษา ตรงประเดน็ ตรงประเดน็ บา้ ง และยงั ไม่ ใหญ่ เพียงพอต่อการ แต่ขาด สมบูรณ์ ไม่ถูกตอ้ งและ ตดั สิน ใจความ รายละเอียด ขาดหาย ชดั เจนลาํ ดบั เหตุการณ์สม ใจความสบั สน ใจความไม่ ไม่ต่อเนื?อง ไม่มีขอ้ มูล เหตุ สมผล บา้ งแต่ยงั ชดั เจน ขาด ขาดความ เพียงพอต่อการ ประโยค สามารถเขา้ ใจ ความสมเหตุ สมเหตุสมผล ตดั สิน สมบูรณ์ ได้ ขาดความ สมผล ถูกตอ้ งตาม สมเหตุ สมผล หลกั เกณฑ์ ไปบา้ ง ทางภาษา ส?ือความได้ เขียนประโยค เขียนประโยค เขียนประโยค ไม่มีขอ้ มูล ชดั เจน ไดส้ มบูรณ์ผดิ สมบูรณ์บา้ ง ผดิ หลกั เกณฑ์ เพียงพอต่อการ เลก็ นอ้ ยแต่ ยดึ ไม่สมบูรณ์ ทางภาษา ส?ือ ตดั สิน หลกั เกณฑ์ บา้ ง ผดิ ความไม่ได้ ทางภาษา ส?ือ หลกั เกณฑท์ าง ความได้ ภาษามาก สื?อ ความไม่ชดั มมมมมมมมส่วนเกณฑ์การประเมินแบบภาพรวม (Holistic Rubric) เป็ นการให้คะแนนโดยนํา รายการประเมินกระบวนการ หรือ ชิRนงาน ท?ีตอ้ งการวดั มาอยูร่ วมกนั ในแต่ละระดบั คุณภาพ เป็ น การดูในภาพรวม การประเมินแบบภาพรวม (Holistic Rubric) ใช้ได้ง่าย จะเป็ นการประเมินใน ภาพรวมของทุกคุณลกั ษณะในการปฏิบตั ิงาน ส่วนการให้คะแนนแบบนRีจะมีประโยชน์เม?ือสนใจจะ
21 วินิจฉยั หรือช่วยเหลือผเู้ รียนวา่ มีความรู้ ความเขา้ ใจในแต่ละส่วนหรือแต่ละคุณลกั ษณะของผเู้ รียนได้ ดียงิ? ขRึน ดงั ตวั อยา่ งเกณฑก์ ารประเมินแบบภาพรวมสาํ หรับประเมินการเขียนเรียงความในตาราง 2 ตาราง 2 แสดงตวั อยา่ งเกณฑก์ ารประเมินแบบภาพรวมสาํ หรับประเมินการเขียนเรียงความ คะแนน เกณฑ์ 5 เขียนบทนาํ และบทสรุปไดด้ ี ทาํ ใหง้ านเขียนมีใจความสมั พนั ธ์กนั หวั ขอ้ เร?ือง 4 มีรายละเอียดสนบั สนุนอยา่ งชดั เจน การผกู เรื?องเป็นลาํ ดบั ขRนั ตอน รูป ประโยคถูกตอ้ ง มีสะกดคาํ ผดิ บา้ งเลก็ นอ้ ย สาํ นวนภาษาสละสลวย 3 มีบทนาํ และบทสรุปท?ีทาํ ใหง้ านเขียนมีใจความสมั พนั ธ์กนั หวั ขอ้ เร?ืองมี รายละเอียดสนบั สนุน การผกู เร?ืองเป็นลาํ ดบั ขRนั ตอน รูปประโยคถูกตอ้ ง มี 2 สะกดคาํ ผดิ บา้ ง สาํ นวนภาษาสละสลวย มีบทนาํ บทสรุป เนRือหาสอดคลอ้ งกบั หวั ขอ้ เรื?อง รายละเอียดสนบั สนุนนอ้ ย 1 เนRือหาบางส่วนไม่ชดั เจน การผกู เร?ืองเป็นลาํ ดบั รูปประโยคถูกตอ้ ง มีสะกด คาํ ผดิ อยบู่ า้ ง สาํ นวนภาษาสละสลวยบางแห่ง ไม่มีบทนาํ หรือบทสรุป เนRือหาสอดคลอ้ งกบั หวั ขอ้ เร?ือง รายละเอียด สนบั สนุนนอ้ ย เนRือหาบางส่วนไม่ชดั เจน การผกู เรื?องเป็นลาํ ดบั รูปประโยค ถูกตอ้ ง มีสะกดคาํ ผดิ อยบู่ า้ ง ไม่มีบทนาํ และหรือบทสรุป เนRือหาออ้ มคอ้ ม ไม่ตรงประเดน็ นกั มีรายละเอียด สนบั สนุนนอ้ ย และไม่สมเหตุสมผล เขียนสะกดคาํ ผดิ มาก มมมมมมมมสรุปไดว้ ่า การสร้างเกณฑ์การให้คะแนนตอ้ งคาํ นึงถึงงานท?ีให้ทาํ ตอ้ งมีความสาํ คญั มี ความสอดคลอ้ งระหวา่ งคะแนนกบั จุดมุ่งหมายการประเมิน เกณฑท์ ?ีสร้างตอ้ งมีความเป็ นรูปธรรม มี ความชดั เจนเหมาะสมกบั ระดบั ชRนั และควรให้นกั เรียนและผูป้ กครองมีส่วนร่วมในการสร้างเกณฑ์ การประเมินดว้ ย
22 2. เอกสารและงานวจิ ยั ทเEี กยีE วกบั การสอนโดยวธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั มมมมมมมม2.1 แนวคดิ การสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั มมมมมมมมการสอนโดยวิธีสอนแบบ เค ดับเบิลยู แอล พลสั พฒั นาขRึนโดย Eileen Carr ผูเ้ ป็ น อาจารยส์ อนด้านการอ่านแห่งมหาวิทยาลยั อิสเทิร์นมิชิแกน (Eastern Michigan University) และ Donna M. Ogle โดยพฒั นาการสอนมาจากการสอนอ่านแบบ เค ดบั เบิลยู แอล ของ Ogle ซ?ึงวิธีสอน แบบ เค ดบั เบิลยู แอล ประกอบดว้ ย 3 ส่วนท?ีสําคญั คือ (K) ระบุส?ิงที?รู้ เร?ืองที?รู้ที?เก?ียวขอ้ งกบั เร?ืองท?ี กาํ หนด หรือหัวเร?ืองท?ีกาํ หนด (W) อยากรู้อะไรบา้ ง จากสิ?งหรือเร?ืองท?ีกาํ หนดในขRนั แรก และ (L) เรียนรู้อะไรบา้ งจากเร?ืองท?ีกาํ หนดหลงั จากอ่านเสร็จแลว้ มมมมมมมมต่อมา Carr และ Ogle ไดพ้ ฒั นาแนวคิดวิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ขRึนในปี ค.ศ. 1986 โดย Carr และ Ogle (1987, pp. 626 - 631) ได้เสนอรูปแบบการสอน แบบ เค ดับเบิลยู แอล พลสั ดงั นRี ขRนั K ในกระบวนการสอนโดยวิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั หมายถึง Know เป็นขRนั ตอนท?ีนกั เรียนตรวจสอบหวั ขอ้ เร?ืองวา่ ตนเองมีความรู้เก?ียวกบั หวั ขอ้ เร?ืองมากนอ้ ยเพียงใด เป็น การนาํ ความรู้เดิมมาใชเ้ พราะการเชื?อมโยงความรู้ใหม่กบั ความรู้พRืนฐาน และประสบการณ์ของผเู้ รียน เป็ นส?ิงสําคญั ในการจดั กิจกรรมก่อนการอ่าน ซ?ึงเป็ นการเตรียมนักเรียนในการเรียนรู้เนRือหาใหม่ การบูรณาการระหว่างความรู้พRืนฐาน และเรื?องท?ีนักเรียนจะอ่านเป็ นสิ?งท?ีช่วยให้นักเรียนสามารถ สร้างความหมายของบทอ่านไดด้ ี และผอู้ ่านควรไดร้ ับการกระตุน้ ความรู้พRืนฐานใหเ้ หมาะสม ดงั นRนั ในขRนั ตอนนRีทฤษฎีประสบการณ์เดิม ซ?ึงเป็ นทฤษฎีวา่ ดว้ ยหลกั การนาํ ความรู้พRืนฐาน ความรู้เดิมและ ประสบการณ์เดิมมาใชใ้ นการเรียนการสอน จึงเป็ นทฤษฎีท?ีเกี?ยวขอ้ งและมีความสําคญั มาก ขRนั W ในกระบวนการสอนโดยวิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั หมายถึง Want to know เป็ นขRนั ตอนที? นักเรียนจะตอ้ งถามตนเองว่าตอ้ งการรู้อะไรในเนRือเร?ืองที?จะอ่านบา้ ง ซ?ึงคาํ ถามที?นักเรียนสร้างขRึน ก่อนการอ่านนRี เป็ นการตRงั เป้าหมายในการอ่าน และเป็ นการคาดหวงั ว่าจะพบอะไรในบทอ่านบา้ ง ขRนั L ในกระบวนการสอนโดยวิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั หมายถึง Learned เป็ นขRนั ตอนท?ี นักเรียนสํารวจว่าตนเองไดเ้ รียนรู้อะไรบา้ งจากบทอ่าน โดยนักเรียนจะหาคาํ ตอบให้กบั คาํ ถามที? ตนเองตRงั ไวใ้ นขRนั ตอน W และจดบนั ทึกสิ?งที?ตนเอง และPlus หมายถึง การเพิ?มเติมความเขา้ ใจในการ อ่านดว้ ยการสร้างแผนภูมิรูปภาพความคิด และเขียนสรุปความหลงั การอ่าน มมมมมมมมสมศกั ดeิ ภู่วิภาดาวรรธน์ (2544 , หน้า 75) และ สุวิทย์ มูลคาํ และอรทยั มูลคาํ (2545, หน้า 75) ไดก้ ล่าวถึง วิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ในทาํ นองเดียวกนั ว่า เป็ นกระบวนการ เรียนรู้ท?ีเนน้ ใหผ้ เู้ รียนมีทกั ษะกระบวนการอ่าน ซ?ึงสอดคลอ้ งกบั ทกั ษะการคิดอยา่ งรู้ตวั วา่ ตนคิดอะไร มีวิธีคิดอยา่ งไร สามารถตรวจสอบความคิดของตนเองได้ และสามารถปรับเปลี?ยนกลวิธีการคิดของ ตนเอง โดยผเู้ รียนจะไดร้ ับการฝึกใหต้ ระหนกั ในกระบวนการทาํ ความเขา้ ใจตนเอง มีการวางแผน ตRงั
23 จุดมุ่งหมาย ตรวจสอบความเขา้ ใจในการอ่านของตน และมีการจดั ระบบขอ้ มูลเพื?อการดึงมาใช้ ภายหลงั อยา่ งมีประสิทธิภาพ สอดคลอ้ งกบั วชั รา เล่าเรียนดี (2547, หนา้ 90-93) ไดก้ ล่าวเสริมวา่ วิธี สอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั สามารถนาํ มาใชเ้ พื?อพฒั นาทกั ษะในการอ่านทุกระดบั ไดแ้ ละยงั สามารถพฒั นาความสามารถในการคิดเชิงวิเคราะห์ คิดอยา่ งมีวิจารณญาณและคิดสร้างสรรคไ์ ดอ้ ีก ดว้ ย การนาํ วธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั มาใชเ้ พ?ือพฒั นาทกั ษะการอ่านและทกั ษะการคิดทาํ ได้ ง่าย เนื?องจากมีกรอบและแนวทางฝึ กใหค้ ิดเป็ นลาํ ดบั ขRนั ตอน โดยครูเป็ นผมู้ ีบทบาทคอยดูแลการฝึ ก ของนกั เรียน คอยถามคาํ ถาม เพื?อให้นกั เรียนแสวงหาคาํ ตอบและคอยกระตุน้ ให้นกั เรียนถามคาํ ถาม จากเร?ืองที?อ่านดว้ ย มมมมมมมม2.2 ขLนั ตอนวธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั มมมมมมมมการสอนโดยวิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั มีนกั วิชาการเสนอขRนั ตอนการจดั การ เรียนรู้ ดงั นRี มมมมมมมมCarr & Ogle (1987, pp.626-631) ไดเ้ สนอขRนั ตอนการสอนโดยวธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ในการจดั การเรียนรู้การอ่านดงั นRี มมมมมมมม1. ขRนั K (What you know) ขRนั นRีก่อนที?นกั เรียนจะอ่านเร?ือง ครูจะอธิบายความคิดรวบ ยอดของเรื?องและกาํ หนดคาํ ถามเพ?ือกระตุ้นให้นักเรียนได้ระดมสมอง (Brainstorms) และเขียน คาํ ตอบของนกั เรียนลงในแผนภูมิรูปภาพช่อง K (What we know) หลงั จากนRนั นกั เรียนและครูร่วมกนั จดั ประเภทขอ้ มูลความรู้ที?คาดการณ์ไวท้ ?ีอาจจะเกิดขRึนในเร?ืองที?จะอ่าน มมมมมมม 2. ขRนั W (What you want to know) ในขRนั นRีครูคน้ หาความจริงจากคาํ ถามของนักเรียน ในส?ิงที?นกั เรียนสนใจ อยากรู้ หรือถามท?ียงั ไม่มีคาํ ตอบเก?ียวกบั ความคิดรวบยอดของเรื?องพร้อมทRงั ให้ นกั เรียนเขียนรายการคาํ ถามลงในช่อง W (What you want to know) หลงั จากนRนั นกั เรียนทุกคนอ่าน เรื?อง และตอบคาํ ถามท?ีตRงั ไว้ ระหว่างอ่านนกั เรียนสามารถเพ?ิมคาํ ถามและคาํ ตอบในกลุ่มของตวั เอง ได้ มมมมมมมม3. ขRนั L1 (What you have learned) ในขRนั นRีจะระบุความรู้ท?ีนกั เรียนเกิดการเรียนรู้ขRึนทRงั ระหว่างการอ่านและหลงั การอ่าน นกั เรียนบนั ทึกความรู้ที?ไดล้ งในช่อง L (What you have learned) พร้อมทRงั ตรวจสอบคาํ ถามที?ยงั ไม่ไดต้ อบ มมมมมมมม4. ขRนั L2 (Mapping) นกั เรียนนาํ ขอ้ มูลท?ีไดจ้ ดั ประเภทไวใ้ นขRนั K เขียนช?ือเรื?องไวใ้ น ตาํ แหน่งตรงกลางและเขียนองคป์ ระกอบหลกั ของแต่ละหวั ขอ้ ไวใ้ นแต่ละสาขาพร้อมทRงั เขียนอธิบาย เพิ?มเติมในแต่ละประเดน็
24 มมมมมมมม5. ขRนั L3 (Summarizing) สรุปและเขียนสรุปความคิดรวบยอดจากแผนภูมิรูปภาพ ความคิด ซ?ึงการเขียนในขRนั นRีจะมีประโยชน์ต่อครู และนักเรียนในการประเมินความเขา้ ใจของ นกั เรียน มมมมมมมมBuehl (2004, P.168 อา้ งใน วิไลวรรณ สวสั ดิวงศ,์ 2547, หนา้ 76 - 77) ไดเ้ สนอขRนั ตอน การสอนโดยวธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ดงั นRี มมมมมมมมขRนั ที? 1 ระบุส?ิงที?นกั เรียนรู้หรือสิ?งท?ีนกั เรียนคิดวา่ รู้ลงในช่อง K (Identify what we want to know or think you know – The K) ในขRนั นRีนักเรียนจะระลึกว่านักเรียนรู้อะไรมาบา้ งหรือคิดว่ารู้ อะไรบา้ งเก?ียวกบั เรื?องที?จะอ่าน ซ?ึงครูอาจจะถามนกั เรียนทีละคนเพ?ือเช?ือมต่อรายละเอียดของเร?ืองจาก ความคิดของแต่ละคน และบนั ทึกสิ?งท?ีนกั เรียนรู้ไวใ้ นช่อง K – What we know มมมมมมมมขRนั ท?ี 2 ระบุว่านกั เรียนตอ้ งการรู้อะไร ลงในช่อง W (Identify what we want to know– The W) ขRนั นRีครูหรือนักเรียนถามเก?ียวกบั หัวขอ้ เพ?ือแลกเปล?ียนขอ้ มูล อาจเป็ นคาํ ถามขอ้ มูลท?ีได้ บนั ทึกไวใ้ นช่อง K หรือเป็ นคาํ ถามส?ิงท?ีนกั เรียนสงสัยเก?ียวกบั เร?ืองท?ีจะอ่าน แลว้ บนั ทึกคาํ ถามลงใน ช่อง W – What we want to know มมมมมมมมขRนั ที? 3 จดั ประเภทความรู้และสิ?งที?ตอ้ งการรู้ (Categorize the K and W) แนะนาํ นกั เรียน เพ?ือตดั สินใจในการจดั ประเภทรายการต่าง ๆ ของขอ้ มูลในช่อง K และช่อง W ประเภทของขอ้ มูลท?ี นกั เรียนคาดวา่ จะใช้ เช่น แบ่งเป็ นสถานที? สาเหตุ ผลที?เกิดขRึน การจดั ระบบขอ้ มูลเป็ นขRนั ตอนแรกท?ี จะทาํ ใหน้ กั เรียนสามารถสรุปไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ และช่วยใหน้ กั เรียนมองเห็นขอ้ มูลที?ไม่สามารถ จดั เขา้ กลุ่มได้ มมมมมมมมขRนั ท?ี 4 การอ่านบทความ (Read the Article) ในขณะท?ีนักเรียนอ่านเรื?อง นักเรียนจะ คน้ หาคาํ ตอบและขยายความเขา้ ใจท?ีมีต่อเรื?อง ครูควรกระตุน้ การตRงั คาํ ถามเพื?อตอบคาํ ถามขอ้ มูลใหม่ บนั ทึกความรู้ที?ไดไ้ วใ้ นช่อง L - What we have learned มมมมมมมมขRนั ที? 5 ระบุขอ้ มูลใหม่ (Identify New Information) หลงั การอ่านนกั เรียนระบุขอ้ มูลใหม่ ท?ีคน้ พบจากการอ่าน ขอ้ มูลที?ไดม้ าใหม่นRีนกั เรียนจะนาํ ไปรวมกบั ประเภทของขอ้ มูลท?ีไดจ้ ดั ประเภท ของขอ้ มูลไวแ้ ลว้ หากมีความจาํ เป็นอาจจดั ประเภทของขอ้ มูลเพิ?มเติม มมมมมมมมขRนั ท?ี 6 สร้างแผนภูมิรูปภาพความคิด (Create a Concept Map) หลงั จากที?นกั เรียนไดเ้ ติม ขอ้ ความในแผนภาพตาราง KWL สมบูรณ์แลว้ นักเรียนแต่ละคนหรือแต่ละกลุ่ม นาํ ขอ้ มูลที?ไดจ้ ดั ประเภทไวม้ าสร้างแผนภูมิรูปภาพความคิด ซ?ึงแผนภูมิรูปภาพความคิดนRีจะช่วยให้นักเรียนได้ มองเห็นภาพรวมของเรื?องที?ไดอ้ ่านและช่วยสงั เคราะห์และสรุปผลการเรียนรู้จากการอ่านไดด้ ีขRึน มมมมมมมมขRนั ท?ี 7 ระบุสิ?งท?ีจะศึกษาต่อไปในอนาคต (Identify Further Investigation) หลงั จาก นักเรียนได้สร้างแผนภูมิรูปภาพความคิดเสร็จสมบูรณ์ นักเรียนจะเกิดความกระจ่างชัดในสิ?งท?ี
25 นกั เรียนรู้และตดั สินใจที?จะเพิ?มขอ้ มูล สําหรับคาํ ถามในช่อง W ที?ยงั ไม่สามารถหาคาํ ตอบไดใ้ ห้จดั เตรียมการอ่านเพื?อศึกษาคน้ ควา้ ต่อไปในอนาคต มมมมมมมมสุวทิ ย์ มูลคาํ และ อรทยั มูลคาํ (2545, หนา้ 88 - 92) ไดก้ าํ หนดขRนั ตอนการจดั การเรียนรู้ โดยวธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ดงั นRี มมมมมมมมขRนั กิจกรรมก่อนการอ่าน ประกอบดว้ ย มมมมมมมม1. ขRนั K (What you know) เป็ นขRนั ตอนการเตรียมความรู้พRืนฐานก่อนอ่าน ผูส้ อนอาจ ทบทวนความรู้เดิมเก?ียวกบั เร?ืองท?ีตอ้ งการจะสอน แลว้ ให้ผูเ้ รียนช่วยกนั ระดมสมอง มีการบนั ทึก ความคิดเห็นที?เกิดจากการระดมสมอง ซ?ึงอาจทาํ ไดห้ ลายวิธี เช่น แผนท?ีความคิด หรือแผนผงั ใยแมง มุมให้ชดั เจน ซ?ึงประกอบดว้ ยความคิดหลกั ความคิดรองและความคิดยอ่ ยตามลาํ ดบั โดยผูส้ อนช่วย จดั ขอ้ ความที?เป็ นความคิดให้ถูกตอ้ งก่อนที?จะให้ผูเ้ รียนคดั ลอกแผนท?ีความคิดหรือแผนผงั นRนั ลงใน กระดาษ แต่ถา้ ผเู้ รียนคุน้ เคยกบั การเขียนแผนผงั ความคิดแลว้ ผสู้ อนอาจใหผ้ เู้ รียนแต่ละคนเขียนสิ?งท?ี ตนรู้เกี?ยวกบั หวั ขอ้ ที?ผสู้ อนจะใหผ้ เู้ รียนเรียนรู้ เป็นแผนผงั ความคิดดว้ ยตนเอง มมมมมมมม 1.1 ครูกระตุน้ ความรู้และประสบการณ์เดิมของนกั เรียน โดยให้นกั เรียนระดมพลงั สมอง อภิปรายในกลุ่มร่วมกบั ครูเก?ียวกบั หัวขอ้ ที?จะเรียน ว่าในเร?ืองนRีนักเรียนรู้อะไรบา้ งหลงั จาก ระดมพลงั สมองและอภิปรายแลว้ ครูเขียนส?ิงท?ีนกั เรียนรู้เก?ียวกบั หวั ขอ้ นRนั ลงในช่อง K (Know) บน กระดานดาํ ขณะเดียวกนั นกั เรียนกเ็ ขียนขอ้ ความดงั กล่าวลงในใบงานของตนในช่อง K มมมมมมมม 1.2 ครูจดั ประเภทขอ้ มูลจากขอ้ ความในช่อง K เป็นตวั อยา่ งใหน้ กั เรียนดูโดยจดั เป็น ประเภทเดียวกนั แลว้ นกั เรียนจดั ประเภทของขอ้ มูลในช่อง K ของตนเอง มมมมมมมมขRนั กิจกรรมระหวา่ งการอ่าน ประกอบดว้ ยขRนั ตอน คือ มมมมมมมม2. ขRนั W (What you want to know) มมมมมมมม 2.1 นกั เรียนตRงั คาํ ถามในส?ิงท?ีตนรู้เก?ียวกบั เรื?องนRนั แลว้ เขียนลงในช่อง W (Want to Know) มมมมมมมม 2.2 ครูเอาขอ้ ความให้นักเรียนอ่าน ให้นักเรียนคน้ หาคาํ ตอบของคาํ ถามที?ตRงั ไวใ้ น ช่อง W ถา้ อ่านพบขอ้ มูลใหม่ ๆ นกั เรียนสามารถตRงั คาํ ถามเพ?ิมเติมในช่อง W ไดอ้ ีก มมมมมมมม3. ขRนั L (What you have learned) หลงั จากท?ีผูเ้ รียนอ่านขอ้ ความแลว้ ให้ผูเ้ รียนเขียน คาํ ตอบท?ีไดล้ งในกระดาษเปล่า รวมทRงั ขอ้ มูลอ?ืน ๆ ที?ศึกษาเพิ?มเติมได้ แต่ไม่ไดต้ Rงั คาํ ถามไว้ มมมมมมมมขRนั กิจกรรมหลงั การอ่าน มมมมมมมม4. ขRนั การสรุปและนาํ เสนอ กิจกรรมในขRนั นRีเป็นกิจกรรมเพิ?มเติมในขRนั ตอนหลกั KWL หลงั จากผเู้ รียนเรียนรู้และเขียนขอ้ มูลความรู้ท?ีไดใ้ นขRนั W และ L แลว้ ใหผ้ เู้ รียนนาํ ขอ้ มูลท?ีไดม้ าปรับ แผนผงั ความคิดเดิมท?ีผเู้ รียนเขียนไวใ้ นขRนั K ซ?ึงอาจจะมีการตดั ทอนเพ?ิมเติมหรือจดั ระบบขอ้ มูลใหม่
26 เพ?ือให้แผนผงั ความคิดมีความสมบูรณ์มากย?ิงขRึนแลว้ ให้นักเรียนนาํ เสนอการสรุปความจากเร?ืองท?ี อ่าน โดยการพูดหรือเขียนจากแผนผงั ความคิดนRนั หรืออาจมีกิจกรรมอื?นท?ีผสู้ อนเห็นวา่ เป็นกิจกรรม ส่งเสริมการเรียนรู้ มมมมมมมมวชั รา เล่าเรียนดี (2548, หน้า 146-147) กาํ หนดขRนั ตอนการสอนโดยวิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ไวด้ งั นRี มมมมมม 1. ขRนั K (Know) รู้อะไรจากเรื?องท?ีให้อ่าน หรือจากหัวเรื?องท?ีกาํ หนด ก่อนที?ครูจะให้ ผเู้ รียนอ่านรายละเอียดของเร?ืองที?กาํ หนดให้ ครูอาจเสนอชื?อเร?ือง คาํ สาํ คญั ของเร?ือง เพ?ือถามคาํ ถามวา่ รู้อะไร จากคาํ หรือช?ือเร?ือง เพื?อจะให้ทราบว่านักเรียนมีความรู้เดิมท?ีเกี?ยวขอ้ งกับเรื?องท?ีอ่าน ให้ นกั เรียนระดมสมองหาคาํ ตอบ หรือให้ระบุคาํ ต่าง ๆ ที?เก?ียวขอ้ งกบั ช?ือเรื?อง / คาํ /ความคิดรวบยอดท?ี ระบุ มมมมมมม 2. ขRนั W (What do we want to know) เราอยากรู้อะไรจากคาํ ต่าง ๆ ท?ีระบุในขRนั Kโดย ให้นักเรียนตRงั คาํ ถามจากคาํ ท?ีนาํ เสนอ ซ?ึงคาํ ถามจะมาจากความสนใจ ใคร่รู้ของนักเรียนเองโดยที? นกั เรียนจะตอ้ งตอบลงในตารางตรงช่อง W ต่อจากนRนั ใหน้ กั เรียนอ่านเรื?องหรือบทอ่านที?กาํ หนดโดย ละเอียด ตรวจสอบคาํ ตอบ ขอ้ เท็จจริงท?ีไดจ้ ากการอ่าน ระหว่างอ่านอาจมีคาํ ถามเพ?ิมและมีการตอบ โดยกลุ่ม มมมมมมม 3. ขRนั L1 (What did we learn) เราไดเ้ รียนรู้อะไรบา้ ง นกั เรียนเขียนคาํ ตอบลงในตาราง ตรงช่อง L ตรวจสอบวา่ มีคาํ ถามใดบา้ งท?ียงั ไม่มีการตอบ มมมมมมม 4. ขRนั L2 สร้างแผนผงั ความคิด (Mind Mapping) นกั เรียนตอ้ งกลบั ไปอ่านทบทวนจาก ขRนั K เพื?อจะไดจ้ ดั ประเภทของสิ?งท?ีเรียนรู้โดยเขียนคาํ สําคญั ไวต้ รงกลางแผนผงั ความคิด และโยง ความสมั พนั ธ์กบั คาํ สาํ คญั ยอ่ ยเพื?ออธิบายรายละเอียดของความคิดหลกั มมมมมมม 5. ขRนั L3 ขRนั สรุป นกั เรียนเขียนหมายเลขกาํ กบั ลาํ ดบั ความคิดรวบยอด แผนผงั ความคิด เพ?ือเขียนสรุป การสรุปในขRนั นRีเป็นการประเมินผลการเรียนรู้ของนกั เรียนซ?ึงจะบอกถึงความเขา้ ใจใน เรื?องที?อ่านของนกั เรียน มมมมมมมมจากแนวคิดขา้ งตน้ ผศู้ ึกษาจึงไดอ้ ิงแนวคิดวธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ของ Carr & Ogle (1987, pp. 626-631) ซ?ึงเป็ นผูค้ ิดคน้ และพฒั นาวิธีสอนแบบ เค ดับเบิลยู แอล พลสั มาใช้ พฒั นาทกั ษะดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพื?อความเขา้ ใจและการเขียนสรุปความ ประกอบดว้ ยขRนั ตอน สาํ คญั ดงั นRี ปปปปปปปป1. การเตรียมความพร้อมและให้ความรู้พRืนฐานเก?ียวกบั การอ่านภาษาองั กฤษเพื?อความ เขา้ ใจและการเขียนสรุปความ และการเรียนรู้ตามขRนั ตอนของวธิ ีสอนแบบเค ดบั เบิลยู แอล พลสั
27 ปปปปปปปป 1.1 จดั กลุ่มนกั เรียนโดยคละความสามารถเก่ง ปานกลาง และอ่อน เพศชาย เพศหญิง กลุ่มละ 4 – 5 คน ปปปปปปปป 1.2 ชRีแจงจุดประสงคก์ ารเรียนรู้ ปปปปปปปป 1.3 ชRีแจงกิจกรรมการเรียนรู้ และการเขียนบนั ทึกลงในตาราง KWL ปปปปปปปป 1.4 ให้ความรู้พRืนฐานเกี?ยวกบั การอ่านภาษาองั กฤษเพื?อความเขา้ ใจและการเขียน สรุปความ ปปปปปปปป2. การจดั กิจกรรมฝึ กความสามารถดา้ นการอ่านภาษาองั กฤษเพื?อความเขา้ ใจและการ เขียนสรุปความตามขRนั ตอนของวธิ ีสอนแบบเค ดบั เบิลยู แอล พลสั ปปปปปปปป 2.1 ขRนั นาํ เขา้ สู่บทเรียน ครูจดั กิจกรรมกระตุน้ ความสนใจของผูเ้ รียนเพื?อเชื?อมโยง เข้าสู่เรื?องท?ีจะอ่าน เช่น ให้ดูภาพที?สัมพนั ธ์กับเร?ืองที?อ่าน เกมทางทางศึกษา การใช้คาํ ถามเพื?อ เชื?อมโยงสู่เรื?องท?ีจะอ่าน พร้อมทRงั แจกและอธิบายการดาํ เนินกิจกรรมตามใบความรู้และใบงาน ปปปปปปปป 2.2 ขRนั กิจกรรมการอ่านภาษาองั กฤษเพ?ือความเขา้ ใจและการเขียนสรุปความตาม ขRนั ตอนของวธิ ีสอนแบบเค ดบั เบิลยู แอล พลสั มี 5 ขRนั ตอน ดงั นRี ขRันที? 1 กิจกรรมก่อนการอ่าน เรี ยกว่า ขRัน K (What you know) เป็ นขRัน ตรวจสอบประสบการณ์เดิมของผูเ้ รียน โดยจะมีการอภิปรายเก?ียวกบั ความรู้ หรือครูตRงั คาํ ถามเพื?อ กระตุน้ ใหน้ กั เรียนไดร้ ะดมสมอง (Brainstorms) เกี?ยวกบั เรื?องท?ีจะอ่าน หลงั จากนRนั ใหน้ กั เรียนเขียน คาํ ตอบของนกั เรียนลงในตารางช่อง K (What you know) ขRนั ท?ี 2 กิจกรรมระหวา่ งการอ่าน เรียกวา่ ขRนั W (What you want to know) เป็ น ขRนั ตอนท?ีนักเรียนตRงั คาํ ถามท?ีตอ้ งการจะรู้เกี?ยวกบั เรื?องท?ีจะอ่าน เพื?อให้นักเรียนรู้ว่าตอ้ งการเรียนรู้ อะไรซ?ึงจะช่วยให้นกั เรียนมีเป้าหมายในการอ่าน แลว้ บนั ทึกคาํ ถามลงในตารางช่อง W (What you want to know) ขRันที? 3 กิจกรรมหลังการอ่าน เรียกว่า ขRัน L1 (What you have learned) เป็ น ขRนั ตอนที?นักเรียนสํารวจตวั เองได้ว่าได้เรียนรู้อะไรหลงั จากท?ีนักเรียนอ่านเร?ือง โดยนักเรียนหา คาํ ตอบจากคาํ ถามท?ีตนเองตRงั ไวใ้ นช่อง W แลว้ จดบนั ทึกขอ้ มูลท?ีไดจ้ ากการอ่านมาตอบ นักเรียน บันทึกความรู้ท?ีได้ลงในช่อง L (What you have learned) พร้อมทRังจดบันทึกส?ิงท?ีตนเองได้เรียนรู้ เพ?ิมเติมจากการอ่าน ปปปปปป ขRนั ที? 4 ขRนั L2 การสร้างผงั สัมพนั ธ์ทางความหมาย (Semantic Mapping) เป็ น การเพิ?มกิจกรรมการทาํ แผนภูมิบทอ่านเพ?ือใชเ้ ป็ นแนวทางในการเขียนสรุปความหลงั การอ่าน ช่วย ให้นกั เรียนมีความเขา้ ใจในเรื?องที?อ่านและสามารถถ่ายโอนการเรียนรู้ไดม้ ากขRึน ในขRนั นRีนกั เรียนนาํ
28 คาํ สาํ คญั หรือชื?อเรื?องวางไวต้ รงกลางของแผนภูมิหรือบนสุดของแผนภูมิ ขRึนอยกู่ บั แผนภูมิที?นกั เรียน ออกแบบใหเ้ หมาะสมกบั เรื?องท?ีอ่าน แลว้ เรียงลาํ ดบั ขอ้ มูลหลกั และรองท?ีไดจ้ ากเรื?องที?อ่าน ปปปปปป ขRนั ท?ี 5 ขRนั L3 การสรุปเรื?องจากการอ่าน (Summarizing) เป็นขRนั ท?ีนกั เรียนเขียน สรุปความจากการอ่านโดยใชแ้ ผนภูมิเป็นแนวทางโดยคาํ นึงถึงความคงเดิมของเนRือเรื?องในบทอ่านท?ี กาํ หนดให้ ใจความสําคญั ใจความสนับสนุนสําคญั ไม่มีการกล่าวซRําใช้คาํ พูดของนักเรียนเอง ตลอดจนโครงสร้างไวยากรณ์และเครื?องหมายท?ีถูกต้อง และนอกจากนRี ในขRนั นRีมีกิจกรรมการ ตรวจสอบความเขา้ ใจหรือการตอบคาํ ถามทา้ ยบทอ่านเพื?อใหน้ กั เรียนไดเ้ ขา้ ใจบทอ่านไดช้ ดั เจนยง?ิ ขRึน เป็นการวดั ระดบั ความเขา้ ใจ 3 ระดบั ต่อไปนRี ระดบั แปลความ จบั ใจความ และสรุปความ ปปปปปปปป3. การวดั และประเมินผล โดยให้นกั เรียนทาํ แบบทดสอบหลงั เรียน ตรวจผลงาน และ ใหข้ อ้ มูลยอ้ นกลบั แก่นกั เรียน โดยครูและนกั เรียนร่วมกนั ประเมินผล ปปปปปปปปในการจดั การเรียนรู้ดว้ ยการสอนโดยวธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั นRนั ครูจะเป็น แบบอย่างให้ในเบRืองต้นโดยครูเป็ นผูน้ ําและให้ผูเ้ รียนค่อย ๆ ปฏิบัติเอง และเพ?ิมบทบาทความ รับผิดชอบในการเรียนของตนเองมากขRึน โดยครูจะต้องเป็ นผูท้ ี?คอยกระตุ้น ช่วยเหลือดูแล ให้ คาํ แนะนาํ ตรวจแกไ้ ขงานบอกขอ้ บกพร่อง และใหก้ าํ ลงั ใจผเู้ รียนในการทาํ กิจกรรม มมมมมมมม2.3 การเรียนการสอนทกั ษะอ่านและเขยี นสรุปความโดยใช้วธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั มมมมมมมมการเรียนการสอนทกั ษะอ่านและเขียนสรุปความโดยใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลัส เป็ นกลวิธีการสอนท?ีช่วยให้นักเรียนเข้าใจเร?ืองที?อ่านและเขียนสรุปความได้เป็ นอย่างดี เน?ืองจากวิธีการเรียนการสอนนRีเป็ นวิธีท?ีเน้นการเชื?อมโยงความรู้เดิมกบั การอ่านเรื?อง ดงั นRนั ความรู้ เดิมจึงเป็ นสิ?งที?สาํ คญั และมีอิทธิพลต่อวิธีการตีความเมื?ออ่านหรือส?ิงท?ีเรียนรู้จากการอ่าน Carr และ Ogle (1987, pp. 626 - 631) กล่าวว่า การอ่านท?ีดีตอ้ งมีการประเมินความรู้ท?ีได้จากเร?ือง ซ?ึงตอ้ งมี วิธีการท?ีเหมาะสมเพ?ือให้เกิดความเขา้ ใจในการ ผอู้ ่านใชค้ วามรู้ ทกั ษะและทศั นคติของตนที?มีอยใู่ น ขณะนRนั ไปช่วยตีความเรื?องที?อ่าน “เดา” หรือ “สร้างสมมุติฐาน” เกี?ยวกบั ความหมายของขอ้ ความไว้ ล่วงหน้า ทRงั จากประสบการณ์เดิม และจากบริบทของเนRือหาและภาษา เม?ืออ่านขอ้ ความต่อไปอีก ความหมายของขอ้ ความจะสะทอ้ นกลบั มายงั ผูอ้ ่านเพ?ือให้รู้ว่าการตีความ หรือ “การเดา” ในขRนั ตน้ ของผูอ้ ่านนRันถูกตอ้ งหรือไม่มากน้อยเพียงใด จากนRันผูอ้ ่านอาจจะมีการปรับปรุงเปลี?ยนแปลงการ ตีความใหม่ใหถ้ ูกตอ้ งเหมาะสมยงิ? ขRึน หรือกรณีที?การตีความขRนั ตน้ ถูกตอ้ งกจ็ ะเกบ็ สะสมขอ้ มูลนRนั ไว้ เพ?ือการตีความในโอกาสต่อไป จากนRันในการเรียนการสอนโดยใชว้ ิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลัส Carr และ Ogle ได้เพ?ิ มการทําแผนภูมิ บทอ่าน (Mapping) และการเขียนสรุ ปความ
29 (Summarizing) ซ?ึงส่วนที?เพ?ิมเติมนRนั ไม่ว่าจะเป็ นการเขียนแผนภูมิบทอ่าน (Mapping) และการเขียน สรุปความ (Summarizing) จะเป็นส?ิงช่วยนกั เรียนพฒั นาทกั ษะการอ่านและทกั ษะการเขียนสรุปความ การเรียนการสอนทกั ษะอ่านและเขียนสรุปความโดยใชว้ ธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั มีขRนั ตอน การเรียนการสอนดงั นRี ปปปปปปปปขLนั นําเข้าสู่บทเรียน ปปปปปปปปขRนั นาํ เขา้ สู่บทเรียน ครูจดั กิจกรรมกระตุน้ ความสนใจของผเู้ รียนเพื?อเชื?อมโยงเขา้ สู่เร?ือง ท?ีจะอ่าน เช่น ใหด้ ูภาพท?ีสมั พนั ธ์กบั เรื?องที?อ่าน เกมทางทางศึกษา การใชค้ าํ ถามเพื?อเช?ือมโยงสู่เร?ืองที? จะอ่าน พร้อมทRงั แจกและอธิบายการดาํ เนินกิจกรรมตามใบความรู้และใบงาน ปปปปปปปปขLนั กจิ กรรมการอ่านมี 5 ขLนั ตอน ดงั นีL ปปปปปปปปขRนั ที? 1 กิจกรรมก่อนการอ่าน เรียกวา่ ขRนั K (What you know) ครูตRงั คาํ ถามเพื?อกระตุน้ ให้นกั เรียนไดร้ ะดมสมอง (Brainstorms) และเขียนคาํ ตอบของนกั เรียนลงในแผนภูมิรูปภาพช่อง K (What we know) หลงั จากนRนั นกั เรียนและครูร่วมกนั จดั ประเภทขอ้ มูลความรู้ท?ีคาดการณ์ไวท้ ?ีอาจจะ เกิดขRึนในเร?ืองที?จะอ่าน ปปปปปปปปขRนั ที? 2 กิจกรรมระหว่างการอ่าน เรียกว่า ขRนั W (What you want to know) นกั เรียนตRงั คาํ ถามท?ีตอ้ งการจะรู้อะไรเกี?ยวกบั เร?ืองที?อ่าน แลว้ บนั ทึกคาํ ถามลงในตารางช่อง W (What you want to know) ปปปปปปปปขRันที? 3 กิจกรรมหลังการอ่าน เรียกว่า ขRัน L1 (What you have learned) หลังจากที? นักเรียนอ่านเรื?อง นักเรียนเลือกขอ้ มูลท?ีได้จากการอ่านมาตอบคาํ ถามท?ีตRงั ไวใ้ นช่อง W นักเรียน บนั ทึกความรู้ที?ไดล้ งในช่อง L (What you have learned) พร้อมทRงั ตรวจสอบคาํ ถามท?ียงั ไม่ไดต้ อบ ปปปปปปปปขRนั ที? 4 ขRนั L2 การสร้างผงั สัมพนั ธ์ทางความหมาย (Semantic Mapping) นักเรียนนาํ ข้อมูลที?ได้จัดประเภทไวใ้ น ขRนั K เขียนชื?อเรื?องไวใ้ นตาํ แหน่งตรงกลางของแผนภูมิและเขียน องคป์ ระกอบหลกั ของแต่ละหวั ขอ้ ไวใ้ นแต่ละสาขาพร้อมทRงั เขียนอธิบายเพ?ิมเติมในแต่ละประเดน็ ปปปปปปปปขRนั ท?ี 5 ขRนั L3 การสรุปเรื?องจากการอ่าน (Summarizing) นกั เรียนเขียนสรุปความจาก การอ่านโดยใชแ้ ผนภูมิเป็นแนวทาง ปปปปปปปปสรุปได้ว่าการเรียนการสอนทกั ษะอ่านและเขียนสรุปความโดยใช้วิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั เป็ นกลวิธีการเรียนการสอนที?ครูจะกระตุน้ ให้นกั เรียนไดใ้ ชค้ วามรู้เดิมท?ีมีอยมู่ า อภิปรายและเขียนสรุปไว้ หลงั จากนRนั คาดเดาวา่ จะไดอ้ ่านอะไร อยากรู้อะไรเขียนไวใ้ นกิจกรรมการ อ่าน ในขณะท?ีอ่านนักเรียนก็สามารถตอบคาํ ถามที?อยากรู้หรือจะถามคาํ ถามเพ?ิมเติมก็ได้ เพื?อเป็ น แนวทางในการอ่าน พร้อมจดใจความสาํ คญั ไว้ หลงั การอ่านนกั เรียนก็มาร่วมอภิปรายถึงสิ?งท?ีไดใ้ น ขณะท?ีอ่าน พิจารณาคาํ ตอบว่าตรงกบั คาํ ถามท?ีตRงั ขRึนไวห้ รือไม่ หลงั จากนRนั นกั เรียนเขียนแผนภูมิ
30 ความหมาย (Semantic Mapping) ร่วมกนั ในกลุ่ม เพื?อสรุปเร?ืองท?ีอ่าน และขRนั ตอนสุดทา้ ยนกั เรียนแต่ ละคนเขียนเร?ืองสรุปใจความสาํ คญั ทRงั หมด มมมมมมมม2.4 เป้าหมายของ วธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบลิ ยู แอล พลสั มมมมมมมมการสอนโดยวิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั เป็นวิธีสอนหน?ึงท?ีมีประสิทธิภาพโดย มีเป้าหมายในการนาํ มาใชต้ ามแนวคิดของนกั การศึกษา ดงั ต่อไปนRี มมมมมมมมMartini (2003, p.103 อา้ งใน วิไลวรรณ สวสั ดิวงศ์, 2547, หน้า 74) กล่าวถึงเป้าหมาย ของการสอนโดยวธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ดงั นRี มมมมมมม 1. ส่งเสริมใหน้ กั เรียนไดเ้ รียนรู้แบบร่วมมือและทาํ งานเป็นทีม มมมมมมม 2. เพื?อเกบ็ ชิRนงานจากแผนภาพตาราง KWL มาเป็นขอ้ มูลสาํ หรับครูในการช่วยเหลือใน การเรียนรู้ของนกั เรียน มมมมมมม 3. เพื?อดาํ เนินการศึกษานกั เรียนเป็ นรายบุคคล โดยใชช้ ิRนงานในการประเมินพฒั นาการ ของนกั เรียน มมมมมมมมวชั รา เล่าเรียนดี (2548, หน้า 145) กล่าวถึงเป้าหมายของการสอนโดยวิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ดงั นRี มมมมมมมม1. การสอนโดยวิธีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั สามารถนาํ มาใชเ้ พื?อส่งเสริมให้ นกั เรียนมีส่วนร่วมในการอ่านอยา่ งกระตือรือร้น เป็นการอ่านที?ฝึ กการถามตนเองและการใชค้ วามคิด และคิดในเรื?องที?อ่านเป็นสาํ คญั มมมมมมมม2. พัฒนาสมรรถภาพในการกาํ หนดเป้าหมายหรือวตั ถุประสงค์ในการอ่าน สรุป สาระสําคญั จากเรื?องท?ีอ่าน จดั การกบั สาระความรู้ขRึนใหม่ตามความเขา้ ใจของตนเอง โดยการใช้ แผนผงั มโนทศั นห์ รือแผนผงั ความคิด และเขียนสรุปเรื?องที?อ่านจากแผนผงั นRนั มมมมมมมม3. ส่งเสริมและพฒั นาทกั ษะการคิดวเิ คราะห์ สงั เคราะห์ใหก้ บั ผเู้ รียน มมมมมมมม4. ฝึกการระดมสมองโดยมีกรอบในการร่วมกนั คิด มมมมมมมมดงั นRนั อาจกล่าวโดยสรุปถึงเป้าหมายและวตั ถุประสงคข์ องการสอนโดยวธิ ีสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ไดว้ ่า มีเป้าหมายและวตั ถุประสงคเ์ พื?อให้ผูส้ อนไดท้ ราบถึงความรู้พRืนฐานเดิม ของผูเ้ รียนและใชช้ ิRนงานในการประเมินพฒั นาการของนกั เรียนโดยใชเ้ ป็ นขอ้ มูลเพ?ือช่วยเหลือการ อ่านของนกั เรียน ส่งเสริมให้นกั เรียนไดต้ Rงั คาํ ถามในการอ่าน ระดมสมอง รวบรวมขอ้ มูล จดั ระบบ ขอ้ มูล สร้างแผนภาพความคิด สรุปเรื?องจากการอ่าน รวมไปถึงการ ประเมินความเขา้ ใจจากการอ่าน ดว้ ยตนเอง
31 มมมมมมมม2.4 งานวจิ ยั ทเEี กยีE วข้องกบั การสอนแบบ เค ดบั เบลิ ยู แอล พลสั มมมมมมมมทิพสร มีปิ? น (2539) ไดศ้ ึกษาการเปรียบเทียบความเขา้ ใจในการอ่านและเจตคติต่อการ อ่านภาษาไทย ของนกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ท?ี 3 ที?เรียนโดยการสอนอ่านแบบปฏิสมั พนั ธ์ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั กบั การสอนอ่านตามคู่มือครู กลุ่มตวั อย่างคือ นักเรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ท?ี 3 โรงเรียน วงั ประจวบวทิ ยาคม อาํ เภอเมือง จงั หวดั ตาก จาํ นวน 70 คน ผลการวจิ ยั พบวา่ 1) นกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษา ปี ท?ี 3 ท?ีเรียนวิชาภาษาไทย โดยการสอนอ่านแบบปฏิสัมพนั ธ์ดว้ ยวิธี เค ดบั เบิลยู แอล พลสั กบั การ สอนอ่านตามคู่มือครู มีความเขา้ ใจในการอ่านภาษาไทยแตกต่างกนั อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติท?ีระดบั .01 2) ความเขา้ ใจในการอ่านภาษาไทยของนกั เรียนที?เรียนโดยการสอนอ่านแบบปฏิสัมพนั ธ์ดว้ ยวิธี เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ก่อนการทดลองและหลงั การทดลองแตกต่างกนั อย่างมีนัยสําคญั ทางสถิติท?ี ระดบั .01 3) เจตคติต่อการอ่านภาษาไทยของนกั เรียนท?ีเรียนโดยการสอนอ่านแบบปฏิสมั พนั ธ์ดว้ ยวธิ ี เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ก่อนการทดลองและหลงั การทดลองแตกต่างกนั อย่างมีนัยสําคญั ทางสถิติที? ระดบั .01 มมมมมมมมเกียรติชยั ยานะรังสี (2540) พบวา่ ผลการสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ที?มีต่อความ เข้าใจในการอ่าน และ ความสามารถในการพูดภาษาอังกฤษของนักเรียนชRันมัธยมศึกษาปี ท?ี 5 โรงเรียนสามคั คีวิทยาคม อาํ เภอเมือง จงั หวดั เชียงราย พบว่า 1) นักเรียนท?ีไดร้ ับการสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั มีคะแนนความเขา้ ใจ ในการอ่านภาษาองั กฤษสูงกว่านักเรียนท?ีไดร้ ับการสอน อ่านแบบปกติ อย่างมีนัยสําคญั ทาง สถิติที?ระดบั .01 2) นักเรียนท?ีไดร้ ับการสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั มีคะแนนความสามารถในการพูดสรุปความภาษาองั กฤษสูงกว่านกั เรียนท?ีไดร้ ับการสอน อ่านแบบปกติ อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทางสถิติที?ระดบั .01 มมมมมมมมสุมาลี ธนวุฒิคติวรกุล (2541) ไดศ้ ึกษาการเปรียบเทียบความสามารถในการอ่าน การ เขียน และความสนใจในการเรียนภาษาองั กฤษของนกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ที? 2 ท?ีไดร้ ับการสอนอ่าน ดว้ ยกลวิธี เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ประกอบกบั กลวิธีการเสริมต่อการเรียนรู้กบั การสอนอ่านตามคู่มือ ครู อาํ เภอศรีราชา จังหวดั ชลบุรี จาํ นวน 80 คน ผลการวิจัยพบว่า 1) ความสามารถในการอ่าน ภาษาองั กฤษของนกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ที? 2 ท?ีไดร้ ับการสอนอ่านดว้ ยกลวิธี เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ประกอบกบั กลวธิ ีการเสริมต่อการเรียนรู้กบั การสอนอ่านตามคู่มือครู แตกต่างกนั อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทาง สถิติท?ีระดบั .05 2) ความสามารถในการเขียนภาษาองั กฤษของนกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ที? 2 ที?ไดร้ ับ การสอนอ่านดว้ ยกลวิธี เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ประกอบกบั กลวิธี การเสริมต่อการเรียนรู้กบั การสอน อ่านตามคู่มือครูแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที?ระดับ .01 3) ความสนใจในการเรียน ภาษาองั กฤษของนกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ท?ี 2 ที?ไดร้ ับการสอนอ่านดว้ ยกลวิธี เค ดบั เบิลยู แอล พลสั
32 ประกอบกบั กลวธิ ีการเสริมต่อการเรียนรู้กบั การสอนอ่านตามคู่มือครู แตกต่างกนั อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทาง สถิติที?ระดบั .05 มมมมมมมมอมรศรี แสงส่องฟ้า (2545) ไดศ้ ึกษาการเปรียบเทียบความเขา้ ใจ และ แรงจูงใจในการ อ่านภาษาองั กฤษของนกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ที? 3 โรงเรียนวดั ทะเลบก อาํ เภอกาํ แพงแสน จงั หวดั นครปฐม ท?ีได้รับการสอนด้วยวิธี เค ดับเบิลยู แอล พลสั กับการสอนอ่านตามคู่มือครู กับกลุ่ม ตวั อย่างคือ นักเรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ที? 3 จาํ นวน 72 คน พบว่า 1) นักเรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ที? 3 ที? ไดร้ ับการสอนอ่านภาษาองั กฤษดว้ ยวธิ ี การสอนอ่าน เค ดบั เบิลยู แอล พลสั มีความเขา้ ใจในการอ่าน ภาษาองั กฤษสูงกว่านกั เรียนที?ไดร้ ับการสอนอ่านตามคู่มือครูภายใตห้ ลกั สาํ คญั ทางสถิติที?ระดบั .05 2) นกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ท?ี 3 ท?ีไดร้ ับการสอนอ่านภาษาองั กฤษดว้ ยวิธี การสอนอ่าน เค ดบั เบิลยู แอล พลสั มีแรงจูงใจในการอ่านภาษาองั กฤษไม่แตกต่างกบั นกั เรียนที?ไดร้ ับการสอนดว้ ยวธิ ี การสอน อ่านอ่านตามคู่มือครู ภายใตน้ ยั สาํ คญั ทางสถิติที?ระดบั .05 มมมมมมมมพชั รินทร์ แจ่มจาํ รูญ (2547) ไดศ้ ึกษาการเปรียบเทียบผลสมั ฤทธeิทางการอ่านจบั ใจความ ของนักเรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ท?ี 2 โรงเรียนสังกดั กรมสามญั ศึกษา อาํ เภอชะอาํ จงั หวดั เพชรบุรี ท?ี ไดร้ ับการสอนอ่านแบบปฏิสัมพนั ธ์ดว้ ยวิธี เค ดบั เบิลยู แอล พลสั กบั วิธีสอนอ่านแบบปกติ กลุ่ม ตวั อย่างคือ นักเรียนชRันมธั ยมศึกษาปี ที? 2 จาํ นวน 60 คน เคร?ืองมือท?ีใช้ในการวิจยั ประกอบด้วย แผนการจดั การเรียนรู้แบบปฏิสัมพนั ธ์ เค ดับเบิลยู แอล พลสั แผนการจดั การเรียนรู้แบบปกติ แบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธeิทางการอ่านจบั ใจความ และแบบสอบถามความคิดเห็นเก?ียวกบั วิธีสอน โดยกาํ หนดขRนั ตอนการจดั การเรียนรู้ 3 ขRนั คือ 1) ขRนั ก่อนการอ่าน 2) ขRนั ระหวา่ งการอ่าน และ 3) ขRนั หลงั การอ่าน ผลการวิจยั พบว่า 1) ผลสัมฤทธeิทางการอ่านจบั ใจความของนกั เรียน ที?ไดร้ ับการสอน แบบปฏิสัมพนั ธ์ดว้ ยวิธี เค ดบั เบิลยู แอล พลสั แตกต่างกบั นกั เรียนที?ไดร้ ับการสอนอ่านแบบปกติ อยา่ งมีนยั สําคญั ทางสถิติท?ีระดบั .05 2) นกั เรียนเห็นดว้ ยกบั วิธีสอนอ่านแบบปฏิสัมพนั ธ์ดว้ ยวิธี เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ร้อยละ 85 มมมมมมมมวิไลวรรณ สวสั ดิวงศ์ (2547) ไดศ้ ึกษาการพฒั นาทกั ษะการอ่านอยา่ งมีวิจารณญาณของ นักเรียนชRนั ประถมศึกษาปี ที? 6 ที?จดั การเรียนรู้ดว้ ยเทคนิค เค ดบั เบิลยู แอล พลสั กลุ่มตวั อย่างคือ นกั เรียนชRนั ประถมศึกษาปี ที? 6 โรงเรียนวดั ขนาน สาํ นกั งานเขตพRืนท?ีการศึกษานครศรีธรรมราช เขต 2 จาํ นวน 32 คน ผลการวิจยั พบวา่ 1) ทกั ษะการอ่านอยา่ งมีวิจารณญาณของนกั เรียนชRนั ประถมศึกษา ปี ที? 6 หลงั การจดั การเรียนรู้ดว้ ยเทคนิค เค ดบั เบิลยู แอล พลสั สูงกว่าก่อนการจดั การเรียนรู้อยา่ งมี นยั สาํ คญั ทางสถิติที?ระดบั .01 เม?ือพิจารณารายทกั ษะการอ่านอยา่ งมีวิจารณญาณในการวิเคราะห์ การ สังเคราะห์ และการประเมินค่าเรื?องท?ีอ่าน พบว่า ทกั ษะ การอ่านอยา่ งมีวิจารณญาณในการวิเคราะห์ และการสังเคราะห์จากเร?ืองที?อ่าน หลงั การจดั การเรียนรู้ดว้ ยเทคนิค เค ดบั เบิลยู แอล พลสั สูงกว่า
33 ก่อนการจดั การเรียนรู้อยา่ งมีนยั สําคญั ทางสถิติท?ีระดบั .01 ส่วนการประเมินค่าเร?ืองที?อ่านหลงั จาก การจดั การเรียนรู้ดว้ ยเทคนิค เค ดบั เบิลยู แอล พลสั สูงกวา่ ก่อนการจดั การเรียนรู้อยา่ งมีนยั สาํ คญั ทาง สถิติสาํ คญั ทางสถิติที?ระดบั .05 2) นกั เรียนชRนั ประถมศึกษาปี ที? 6 เห็นดว้ ยต่อการจดั การเรียนรู้ดว้ ย เทคนิค เค ดบั เบิลยู แอล พลสั โดยภาพรวมอยใู่ นระดบั มาก เรียงตามลาํ ดบั ดงั นRี คือ ดา้ นประโยชน์ท?ี ไดร้ ับจากการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ ซ?ึงฝึ กให้ นกั เรียนไดค้ ิดและตดั สินใจอยา่ งมีเหตุผล ดา้ นการจดั กิจกรรมการเรียนรู้ทาํ ใหน้ กั เรียนกลา้ แสดงความคิดเห็นและดา้ นบรรยากาศการเรียนรู้ทาํ ใหน้ กั เรียน สนุกสนานในการทาํ กิจกรรมตามขRนั ตอนการเรียนรู้ มมมมมมมมจินตนา มงคลไชยสิทธeิ (2548) ไดศ้ ึกษาการพฒั นาบทเรียนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ร่วมกบั บทอ่านที?ไดร้ ับการเพ?ิมเติมรายละเอียดเพื?อเพิ?มพูนความเขา้ ใจในการอ่านภาษาองั กฤษ กบั กลุ่มตวั อย่างคือ นักเรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ท?ี 4 โรงเรียนสันทรายวิทยาคม อาํ เภอสันทราย จงั หวดั เชียงใหม่ จาํ นวน 31 คน พบว่า 1) เค ดับเบิลยู แอล พลัส ร่วมกับบทอ่านที?ได้รับการเพ?ิมเติม รายละเอียดบทเรียนแบบ มีประสิทธิภาพอยใู่ นระดบั มากที?สุด 2) ความเขา้ ใจในการอ่านภาษาองั กฤษ ของนักเรียนสูงขRึน หลงั จากไดร้ ับการสอนแบบเค ดบั เบิลยู แอล พลสั ร่วมกบั บทอ่านท?ีไดร้ ับการ เพิ?มเติมรายละเอียด 3) ความสามารถในการเรียนรู้คาํ ศพั ทข์ องนกั เรียนสูงขRึนหลงั จากไดร้ ับการสอน แบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ร่วมกบั บทอ่านที?ไดร้ ับการเพ?ิมเติมรายละเอียด 4) เจตคติต่อการเรียน ภาษาองั กฤษของนกั เรียนเพิ?มขRึน หลงั จากไดร้ ับการสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ร่วมกบั บทอ่าน ที?ไดร้ ับการเพ?ิมเติมรายละเอียด มมมมมมมมดุสิตา แดงประเสริฐ(2549) ไดศ้ ึกษาการพฒั นาทกั ษะการคิดวิเคราะห์ และ ทกั ษะการ เขียนสรุปความ ของนกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ที? 2 ที?จดั การเรียนรู้ดว้ ยเทคนิค เค ดบั เบิลยู แอล พลสั กบั กลุ่มตวั อยา่ งคือ นกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ที? 2 โรงเรียนหนองวลั ยเ์ ปรียงวทิ ยา ตาํ บลทุ่งคอก อาํ เภอ สองพี?น้อง จงั หวดั สุพรรณบุรี จาํ นวน 38 คน พบว่า 1) ทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนชRัน มธั ยมศึกษาปี ที? 2 ก่อนและหลงั ไดร้ ับการจดั การเรียนรู้ ดว้ ยเทคนิค เค ดบั เบิลยู แอล พลสั แตกต่างกนั อย่างมีนัยสําคญั ทางสถิติ ท?ีระดบั 0.01โดยค่าเฉลี?ยของคะแนนทกั ษะการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียน หลงั ไดร้ ับการจดั การเรียนรู้สูงกวา่ ก่อนไดร้ ับการจดั การเรียนรู้โดยนกั เรียนมีทกั ษะการคิดวิเคราะห์ ดา้ นการคิดวิเคราะห์เนRือหา การคิดวิเคราะห์ความสมั พนั ธ์ และ การคิดวิเคราะห์หลกั การอยใู่ นระดบั ดี และ ทกั ษะการคิดวิเคราะห์ดา้ นการคิดวิเคราะห์ดา้ นการวิเคราะห์ความสาํ คญั อยใู่ นระดบั พอใช้ 2) ทกั ษะการเขียนสรุปความของนกั เรียนชRนั มธั ยมศึกษาปี ที? 2 ก่อนและหลงั ไดร้ ับการจดั การเรียนรู้ ดว้ ย เทคนิค เค ดบั เบิลยู แอล พลสั แตกต่างกนั อย่างมีนัยสําคญั ทางสถิติ ที?ระดบั .01โดยค่าเฉลี?ยของ คะแนนทกั ษะการเขียนสรุปความของนักเรียนหลงั ไดร้ ับการจดั การเรียนรู้สูงกว่า ก่อนไดร้ ับการ จดั การเรียนรู้โดยนกั เรียนมีทกั ษะการเขียนสรุปความ ดา้ นการเขียนประโยค และ ดา้ นการสรุปเนRือหา
34 สาํ คญั อยใู่ นระดบั ดีมาก และ ทกั ษะการเขียนสรุปความดา้ นการเขียนสะกดคาํ อยใู่ นระดบั พอใช้ 3) นกั เรียนมีความคิดเห็นต่อการจดั การเรียนรู้ ภาพรวมอยใู่ นระดบั เห็นดว้ ยมาก โดยนกั เรียนเห็นดว้ ย มาก ดา้ นการจดั กิจกรรมการเรียนรู้การระดมสมอง ช่วยส่งเสริมทกั ษะการคิดดา้ นบรรยากาศ ทาํ ให้ นกั เรียนสนุกสนาน และ กระตือรือร้น และดา้ นประโยชน์ที?ไดร้ ับ เทคนิค เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ช่วย ส่งเสริม และ พฒั นาทกั ษะการคิดวเิ คราะห์ และ ทกั ษะการเขียนสรุปความไดด้ ี มมมมมมมมวิไลลกั ษณ์ วงศว์ จั นสุนทร (2551) ไดศ้ ึกษาการใชเ้ ทคนิค เค ดบั เบิลยู แอล พลสั เพื?อ พฒั นาความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนกั เรียน ชRนั มธั ยมศึกษาปี ที? 6 โรงเรียนสันทรายวิทยาคม จังหวดั เชียงใหม่ จาํ นวน 30 คน พบว่า นักเรียนที?เรียนโดยใช้เทคนิค เค ดับเบิลยู แอล พลัส มี ความสามารถในการคิดวิเคราะห์อยใู่ นขRนั ที? 3 และ 4 โดยแผนการจดั การเรียนรู้ที? 1 ความสามารถใน การคิดวิเคราะห์อยใู่ นขRนั ที? 3 คือ มีความสามารถในการประเมินและสรุปเหตุการณ์แผนการจดั การ เรียนรู้ท?ี 2 – 5 ความสามารถในการคิดวิเคราะห์อยใู่ นขRนั ที? 4 คือมีความสามารถในการประยกุ ตแ์ ละ นาํ ไปใช้ มมมมมมมมวิสิฏฐา แรงเขตรการ (2551) ไดศ้ ึกษา การสอนแบบ เค ดบั เบิRลยู แอล พลสั เพ?ือเพ?ิมพูน ทักษะการอ่านและการเขียนภาษาองั กฤษ ของนักเรียนระดับต้น เป็ นนักเรียนระดับช่วงชRันท?ี 2 โรงเรียนอนุบาลวดั หนองขนุ ชาติ จงั หวดั อุทยั ธานี ที?ลงทะเบียนเรียนวิชาภาษาองั กฤษ ในภาคเรียนที? 1 ปี การศึกษา 2551 จาํ นวน 46 คน พบวา่ 1. ทกั ษะการอ่านภาษาองั กฤษของนกั เรียนสูงขRึน และอยใู่ น ระดบั ปานกลาง หลงั ไดร้ ับการสอนแบบ เค ดบั เบิRลยู แอล พลสั 2. ทกั ษะการเขียนภาษาองั กฤษของ นกั เรียนสูงขRึน และอยใู่ นระดบั ดี หลงั ไดร้ ับการสอนแบบ เค ดบั เบิRลยู แอล พลสั มมมมมมมมจะเห็นไดว้ ่า จากงานวิจยั ภายในประเทศ มีการใช้วิธีการสอนแบบ เค ดบั เบิลยู แอล พลสั ในการเรียนการสอนหลากหลายวิชา ในหลาย ๆ ระดบั และงานวิจยั ส่วนใหญ่ให้ผลการวิจยั ท?ี สอดคลอ้ งกนั คือ เป็นวธิ ีการเรียนการสอนท?ีทาํ ใหผ้ ลสมั ฤทธeิทางการเรียนของนกั เรียนสูงขRึน พฒั นา ทักษะการคิดวิเคราะห์ ทักษะการอ่านและการเขียนสรุปความได้ดี และส่งเสริมให้ผู้เรียนมี ปฏิสัมพนั ธ์กนั ในชRนั เรียน เสริมสร้างเจตคติท?ีดีต่อการเรียนภาษาองั กฤษส่งผลให้ผูเ้ รียมีผลสัมฤทธeิ ทางการเรียนที?ดีขRึน 3. เอกสารและงานวจิ ยั ทเีE กยีE วข้องกบั การอ่าน มมมมมมมม3.1 ความหมายของทกั ษะการอ่าน มมมมมมมมการอ่านเป็นกระบวนการสื?อสารที?เป็นขRนั ตอนของการรับสาร มีนกั การศึกษาหลายท่าน ไดใ้ หค้ วามหมายของการอ่านไวม้ ากมาย ดงั เช่น
35 มมมมมมมมCarrel (1985, p.332) ไดก้ ล่าวว่า การอ่านเป็ นกระบวนการสร้างความสัมพนั ธ์ระหว่าง ความรู้เดิมกบั ความรู้ใหม่ ขอ้ ความ หรือเนRือเรื?องต่าง ๆ จะไม่มีความหมายในตวั เอง ความหมายจะ เกิดขRึนจากการตีความของผอู้ ่าน โดยอาศยั ขอ้ มูลและประสบการณ์เดิมที?มีอยเู่ ป็ นพRืนฐาน ถา้ ผอู้ ่านมี ความรู้พอเพียงเกี?ยวกบั เร?ืองนRนั จะทาํ ใหเ้ ขา้ ใจเรื?องที?อ่านไดไ้ ม่ยาก มมมมมมมมส่วน Grabe (1991, p.337) ได้กล่าวว่า การอ่านไม่ใช่กระบวนการที?จะเก็บรวบรวม ขอ้ มูลทีละตวั อกั ษร หรือคาํ ต่อคาํ แต่เป็ นกระบวนการที?ตอ้ งมีการกลน?ั กรองขอ้ มูลโดยรวม ผูอ้ ่าน ท?ีมีความคล่องในการอ่าน แม้จะมีเวลามากพอที?จะอ่านทุก ๆ คาํ ก็ยงั สามารถอ่านได้ด้วยอตั รา ความเร็วสูง ซ?ึงแสดงให้เห็นว่า ผูท้ ?ีมีความสามารถทางการอ่านสูงจะนําความรู้เดิมมาใช้ในการ คาดเดา การสุ่มขอ้ ความ และยนื ยนั การคาดเดานRนั ไดอ้ ยา่ งรวดเร็วดว้ ย มมมมมมมมD.Lapp & J.Flood (1992 , pp.567-571) ได้ให้คําจํากัดความของการอ่านว่าเป็ น กระบวนการท?ีผอู้ ่านแปลความ คาํ หรือสัญลกั ษณ์ท?ีเป็นตวั อกั ษรใหเ้ ขา้ ใจขRนั ตอนของกระบวนการนRี มี 3 ระดบั คือ มมมมมมมมระดบั ที? 1 การรับรู้ตวั อกั ษร คาํ ประโยค และขอ้ ความ มมมมมมมมระดบั ที? 2 การแปลความหมายของคาํ ประโยค และขอ้ ความ มมมมมมมมระดบั ท?ี 3 การทาํ ความคุน้ เคยกบั ขอ้ มูลที?ไดใ้ หม่ โดยใชป้ ระสบการณ์เดิมหรือความรู้ เดิมช่วยในการตดั สิน มมมมมมมมLeu (1995, pp.8-13) ไดส้ รุปการอ่านว่าเป็ นกระบวนการท?ีพฒั นาโดยใช้ กระบวนการ ปฏิสัมพนั ธ อีกทRงั กระบวนการโดยรวม ซ?ึงเกี?ยวขอ้ งกบั การเรียนรู นอกจากนRนั การอ่านเป็ น กระบวนการเอกตั บุคคล โดยเฉพาะในเรื?องของความรู้ทางภาษาศาสตร์ของแต่ละบุคคลซ?ึงเป็นผลทRงั ใน แง่บ วกและลบ มาจากตัวแป รภายใน และตัวแป รภายน อก ห รื อจากองค์ป ระกอบ อื?น ๆ ของผอู้ ่านเอง ซ?ึง Leu ไดอ้ ธิบายเพิ?มเติมวา่ กระบวนการพฒั นา หมายถึง ความสามารถในการ อ่านที?สามารถพัฒนาได้เป็ นลําดับขRันจากง่ายไปยาก ส่วนกระบวนการปฏิสัมพันธ์ หมายถึง ความสัมพนั ธ์ระหวา่ งผอู้ ่าน ผเู้ ขียน เนRือหาท?ีอ่าน ประสบการณ์เดิม และการตีความหมายของผอู้ ่าน ดว้ ย กระบวนการโดยรวม หมายถึง ความเขา้ ใจในตวั อกั ษร คาํ ศพั ท์ วลีประโยค หรือขอ้ ความต่าง ๆ ส่วนการเรียนรู้ หมายถึง ความสามารถในการอ่าน กระบวนการเอกตั บุคคล หมายถึง การท?ีผูอ้ ่านมี ประสบการณ์ และความรู้ต่างกนั และ ความรู้ทางภาษาศาสตร์ หมายถึง ความรู้ทางภาษาศาสตร์ท?ีจะ ส่งผลต่อความสามารถในการอ่าน เช่น ความรู้ทางสัทศาสตร์ ความรู้ทางดา้ นความหมายของคาํ ศพั ท์ ความรู้ทางดา้ นโครงสร้างของภาษา และความรู้ทางดา้ นขอ้ ความ มมมมมมมมนนั ทิยา แสงสิน (2540, หนา้ 4) ไดส้ รุปเกี?ยวกบั การอ่านวา่ การอ่านคือกระบวนการทาง ความคิดท?ีผอู้ ่านพยายามสร้างความหมายจากขอ้ ความท?ีผเู้ ขียนพยายามส?ือความหมายในงานเขียน ซ?ึง
36 ผอู้ ่านตอ้ งใชค้ วามรู้ความสามารถทางดา้ นภาษา ประสบการณ์ และลกั ษณะของขอ้ เขียนเพื?อใหเ้ ขา้ ใจ ความหมายตามที?ผเู้ ขียนตอ้ งการ มมมมมมมมหิรัญญา อุปถมั ภ์ (2541, หนา้ 9) ไดก้ ล่าววา่ การอ่านคือ การรับรู้และเขา้ ใจความหมาย ของส?ิงที?อ่านทRงั ท?ีเป็นขอ้ เขียน และเครื?องหมายสื?อสารต่าง ๆ ซ?ึงในขณะท?ีผอู้ ่านตอ้ งใชป้ ระสบการณ์ ความสามารถทางภาษา และทกั ษะการอ่านเพ?ือความเขา้ ใจมาประกอบแลว้ มีการนาํ ความรู้ที?ไดม้ า พัฒนาสติปัญญา ปรับเปลี?ยน พฤติกรรมเพิ?มประสบการณ์ ตลอดจนนํามาใช้ในการดําเนิน ชีวติ ประจาํ วนั มมมมมมมมสมุทร เซ็นเชาวนิช (2542, หน้า 2) ไดใ้ ห้ความหมายของการอ่านว่า เป็ นการพฒั นา ความคิดโดยผูอ้ ่านตอ้ งใชค้ วามสามารถหลาย ๆ ดา้ น เช่น การสังเกต สติปัญญา และประสบการณ์ เดิมในการแปลความ หรือถอดความแลว้ สามารถเขา้ ใจความหมายของสิ?งที?อ่านแลว้ นาํ ผลของสิ?งที?ได้ จากการอ่านมาเป็นแนวคิด แนวปฏิบตั ิได้ มมมมมมมมฉวีวรรณ คูหาภินนั ทน์ (2542, หนา้ 1) ไดใ้ ห้ความหมายว่า การอ่านเป็ นความสามารถ ของมนุษย์ ท?ีเขา้ ใจการส?ือความหมายของสัญลกั ษณ์ต่าง ๆ เขา้ ใจเนRือเร?ือง และแนวคิดจากสิ?งท?ีอ่าน ไม่วา่ จะเป็นจดหมาย หนงั สือ หรือบทความ รูปภาพ แผนท?ี แผนภูมิ และการแสดงท่าทางต่าง ๆ มมมมมมมมสุนนั ทา มน?ั เศรษฐวิทย์ (2542, หนา้ 2) ไดส้ รุปเก?ียวกบั ความหมายของการอ่านว่า เป็ น ลาํ ดบั ขRนั ตอนท?ีเก?ียวขอ้ งกบั การทาํ ความเขา้ ใจความหมายของคาํ กลุ่มคาํ ประโยค ขอ้ ความ และ เร?ืองราวของสารท?ีผอู้ ่านสามารถบอกความหมายได้ มมมมมมมมอารีย์ วาศน์อาํ นวย (2545, หน้า 27 ) กล่าวว่า การอ่านเป็ นกระบวนการทางความคิดท?ี ส?ือสารกนั ระหว่างผูส้ ่งสารกบั ผูร้ ับสารโดยอาศยั ความรู้ ความสามารถในการสื?อความหมายจาก อกั ษรที?ปรากฏ อาศยั ประสบการณ์หรือความรู้เดิมเพ?ือช่วยแปลความหมายให้ชดั เจนและส?ิงที?อ่าน เป็ นสิ?งท?ีไม่เคยพบมาก่อน มมมมมมมมดรุณี เรือนใจมนั? (2546, หนา้ 20 ) กล่าวว่าการอ่านเป็ นกระบวนการของความหมายท?ี ผเู้ รียนไดแ้ สดงรหสั เป็นภาษาและผอู้ ่านเป็นผถู้ อดรหสั ภาษานRนั เป็นการส?ือสารหรือสื?อความหมาย ระหวา่ งผอู้ ่านและผเู้ ขียนโดยมีขอ้ เขียนเป็นส?ือกลาง มมมมมมมมพรสวรรค์ สีป้อ (2550, หน้า 179) ไดใ้ ห้ความหมายของการอ่านว่า เป็ นกระบวนการ เขา้ ใจความหมายภาษา การแปลความหมาย และการใชว้ ิจารณญาณในการตดั สินประเมินค่าเก?ียวกบั คุณภาพ ค่านิยม ความเที?ยงตรง และความถูกตอ้ งของเรื?องราวที?อ่าน ในการอ่านผูอ้ ่านรับรู้ดว้ ยตา จากนRันสร้างความสัมพนั ธ์ระหว่างคาํ และความหมาย ซ?ึงเป็ นสิ?งท?ียุ่งยากซับซ้อน ผูอ้ ่านตอ้ งใช้ ความคิดและตอ้ งมีความสามารถเพื?อที?จะทาํ ความเขา้ ใจและตีความขอ้ ความท?ีผเู้ ขียนส?ือออกมาในรูป ของการเขียน
Search
Read the Text Version
- 1
- 2
- 3
- 4
- 5
- 6
- 7
- 8
- 9
- 10
- 11
- 12
- 13
- 14
- 15
- 16
- 17
- 18
- 19
- 20
- 21
- 22
- 23
- 24
- 25
- 26
- 27
- 28
- 29
- 30
- 31
- 32
- 33
- 34
- 35
- 36
- 37
- 38
- 39
- 40
- 41
- 42
- 43
- 44
- 45
- 46
- 47
- 48
- 49
- 50
- 51
- 52
- 53
- 54
- 55
- 56
- 57
- 58
- 59
- 60
- 61
- 62
- 63
- 64
- 65
- 66
- 67
- 68
- 69
- 70
- 71
- 72
- 73
- 74
- 75
- 76
- 77
- 78
- 79
- 80
- 81
- 82
- 83
- 84
- 85
- 86
- 87
- 88
- 89
- 90
- 91
- 92
- 93
- 94
- 95
- 96
- 97
- 98
- 99
- 100
- 101
- 102
- 103
- 104
- 105
- 106
- 107
- 108
- 109
- 110
- 111
- 112
- 113
- 114
- 115
- 116
- 117
- 118
- 119
- 120
- 121
- 122
- 123
- 124
- 125
- 126
- 127
- 128
- 129
- 130
- 131
- 132
- 133
- 134
- 135
- 136
- 137
- 138
- 139
- 140
- 141
- 142
- 143
- 144
- 145
- 146
- 147
- 148
- 149
- 150
- 151
- 152
- 153
- 154
- 155
- 156
- 157
- 158
- 159
- 160
- 161
- 162
- 163
- 164
- 165
- 166
- 167
- 168
- 169
- 170
- 171
- 172
- 173
- 174
- 175
- 176
- 177
- 178
- 179
- 180
- 181
- 182
- 183
- 184
- 185
- 186
- 187
- 188
- 189
- 190
- 191
- 192
- 193
- 194
- 195
- 196
- 197
- 198
- 199
- 200
- 201
- 202
- 203
- 204
- 205
- 206
- 207
- 208
- 209
- 210
- 211
- 212
- 213
- 214
- 215
- 216
- 217
- 218
- 219
- 220
- 221
- 222
- 223
- 224
- 225
- 226
- 227
- 228
- 229
- 230
- 231
- 232
- 233
- 234
- 235
- 236
- 237
- 238
- 239
- 240
- 241
- 242
- 243
- 244
- 245
- 246
- 247
- 248
- 249
- 250
- 251
- 252
- 253
- 254
- 255
- 256
- 257
- 258
- 259
- 260
- 261