Important Announcement
PubHTML5 Scheduled Server Maintenance on (GMT) Sunday, June 26th, 2:00 am - 8:00 am.
PubHTML5 site will be inoperative during the times indicated!

Home Explore หนังสือ สาวัตถีบัญญัติ

หนังสือ สาวัตถีบัญญัติ

Published by wichit1588, 2018-06-15 14:36:35

Description: หนังสือ สาวัตถีบัญญัติ

Search

Read the Text Version

๕๐. ทริ ตตฺ ติรตตฺ เจ ภิกขฺ ุ เสนาย วสมาโน อยุ โฺ ยธิก วา พลคคฺ วา เสนาพฺยหู วา อนกี ทสสฺ น วาคจเฺ ฉยยฺ ปาจติ ฺตยิ ๓๖๗. ถา้ ภกิ ษุพกั อยใู่ นกองทพั ๒-๓ คนื เท่ียวไปในสนามรบกด็ ี ที่พักพลก็ดี ท่ีจัดขบวนทพั ก็ดี ไปดูกองทพั ทจ่ี ัดเปน็ ขบวนแล้วกด็ ี ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ ๑) สถานท่ีบญั ญตั สิ ิกขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวตั ถ๓ี ๖๘ ๒) บุคคลผกู้ อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภกิ ษฉุ ัพพัคคยี ์๓๖๙ ๓) มูลเหตุแห่งการบัญญัติสิกขาบท ได้แก่ ภิกษุฉัพพัคคีย์ไปสู่สนามรบพระฉัพพัคคีย์กาลังอยู่ในกองทัพ ๒-๓ คืนไปสู่สนามรบบ้าง ไปสู่ที่พักพลบ้าง ไปสู่ที่จัดขบวนทัพบ้าง ไปดูกองทัพที่จัดเป็นขบวนแล้วบ้าง.พระฉัพพัคคีย์รูปหนึ่งไปสู่สนามรบแล้วถูกยิงด้วยลูกปืน. คนทั้งหลายจึงล้อเธอว่า พระคุณเจ้าได้รบเก่งมาแล้วกระมังพระคุณเจ้าได้คะแนนเท่าไร เธอถูกเขาล้อได้เก้อเขินแล้ว ชาวบ้านจึงเพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึงได้มาถึงสนามรบ เพื่อจะดูเขาเล่า มิใชล่ าภของพวกเรา แม้พวกเราที่มาสนามรบ เพราะเหตุแห่งอาชีพ เพราะเหตุแห่งบตุ รภรรยา กไ็ ด้ไมด่ แี ลว้ ภกิ ษุท้งั หลายได้ยินเขาเพง่ โทษ ตเิ ตยี น โพนทะนาอยู่. บรรดาทีเ่ ปน็ ผู้มักนอ้ ยต่างกเ็ พ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉพั พัคคีย์จึงได้ไปถึงสนามรบเพ่ือจะดเู ขาเลา่ แล้วกราบทลู เรือ่ งนนั้ แด่พระผมู้ ีพระภา๓๗๐ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญัติ๓๗๑ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เป็นข้อบัญญัตทิ ั่วไปทั้งภกิ ษุและภิกษุณี๓๗๒ สรุ าปานวรรค. ๓๖๗ วิ.มหาวิ. (ไทย) ๒/๓๑๘/๓๒๓,วิ.๒/๓๒๓/๑๔๓(ม) ๓๖๘ กงฺขา.อ.๒๗๗ (มจร) ๓๖๙ กงฺขา.อ.๒๗๗ (มจร) ๓๗๐ กงขฺ า.อ.๒๗๗ (มจร) ๓๗๑ กงฺขา.อ.๒๗๗ (มจร) ๓๗๒ กงฺขา.อ.๒๗๗ (มจร)

อังคลุ ปิ โตทกสกิ ขาบท ๕๒. องคฺ ลุ ปิ โตทเก ปาจติ ฺตยิ ๓๗๓. ภิกษตุ ้องอาบัตปิ าจิตตยี ์ เพราะใชน้ ิว้ มอื จ้ี ๑) สถานทีบ่ ญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ กรงุ สาวตั ถ๓ี ๗๔ ๒) บุคคลผู้กอ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภิกษุฉัพพัคคีย์๓๗๕ ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ภิกษุฉัพพัคคยี ์ใชน้ ว้ิ มอื จใ้ี ห้หัวเราะพระฉัพพคั คยี ์ได้ทาภกิ ษรุ ูปหนึง่ ในจาพวกภิกษุสตั ตรสวัคคยี ใ์ ห้หวั เราะ เพราะจี้ด้วยนิว้ มือ. ภิกษรุ ปู นัน้ เหน่อื ย หายใจไม่ทนั ได้ถึงมรณภาพลง. บรรดาภกิ ษทุ เี่ ปน็ ผู้มกัน้อย ตา่ งก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพคั คยี จ์ ึงได้ทาภกิ ษุใหห้ วั เราะเพราะจ้ดี ว้ ยน้ิวมือเล่าแล้วกราบทูลเร่อื งนั้นแดผ่ มู้ ีพระภาค ๓๗๖ ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ๓๗๗ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เป็นข้อบัญญัติท่วั ไปท้ังภิกษุและภิกษุณี๓๗๘ หสั สธมั มสกิ ขาบท ๕๓. อทุ เก หสธมเฺ ม ปาจติ ฺตยิ ๓๗๙. ภิกษุต้องอาบัติปาจติ ตีย์ เพราะเล่นน้า ๑) สถานท่บี ญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ กรุงสาวตั ถ๓ี ๘๐ ๒) บุคคลผู้กอ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภกิ ษุสัตตรสวคั คยี ์๓๘๑ ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ภิกษุสัตตรสวคั คีย์เล่นน้าในแมน่ า้ อริ วดี พระสัตตรสวคั คยี ์กาลังเล่นนา้ กนั อยใู่ นแม่น้าอจริ วดี ขณะนน้ั พระเจ้าป ๓๗๓ ว.ิ มหาวิ. (ไทย) ๒/๓๓๑/๓๓๑,ว.ิ ๒/๓๓๑/๑๔๗(ม) ๓๗๔ กงฺขา.อ.๒๗๙ (มจร) ๓๗๕ กงขฺ า.อ.๒๗๙ (มจร) ๓๗๖ กงขฺ า.อ.๒๗๙ (มจร) ๓๗๗ กงฺขา.อ.๒๗๙ (มจร) ๓๗๘ กงขฺ า.อ.๒๗๙ (มจร) ๓๗๙ วิ.มหาวิ. (ไทย) ๒/๓๓๖/๓๓๓,วิ.๒/๓๓๖/๑๔๙(ม) ๓๘๐ กงขฺ า.อ.๒๘๐ (มจร) ๓๘๑ กงขฺ า.อ.๒๘๐ (มจร)

เสนทโิ กศลประทับอยู่ ณ พระปราสาทชน้ั บน พร้อมด้วยพระนางมัลลกิ าเทวี ได้ทอดพระเนตรเห็นพระสตั ตรสวคั คีย์กาลงั เล่นนา้ อยใู่ นแมน่ ้าอจริ วดีครน้ั แล้วก็ไดร้ ับสั่งกะพระนางมัลลิกาเทววี า่ น่ีแน่ะแมม่ ัลลกิ า นน่ั พระอรหันตก์ าลงั เลน่ นา้ พระนางกราบทูลวา่ ขอเดชะ ชะรอยพระผู้มีพระภาคจะยังมิไดท้ รงบญั ญตั ิสกิ ขาบทหรือภิกษุเหล่านั้นจะยงั ไมส่ ันทัดในพระวนิ ัยเป็นแน่ พระพุทธเจ้าข้า ขณะน้นั ทา้ วเธอทรงราพงึ วา่ ด้วยอบุ ายอย่างไรหนอ เราจะไมต่ อ้ งกราบทูลพระผู้มีพระภาค และพระผู้มีพระภาคจะพึงทรงทราบได้ว่า ภิกษเุ หลา่ น้เี ล่นน้า ครน้ั แลว้ทา้ วเธอรบั สัง่ ใหน้ ิมนต์พระสัตตรสวคั คีย์มา แลว้ พระราชทานนา้ ออ้ ยงบใหญแ่ กภ่ ิกษุเหลา่ น้นั รบั สงั่ ว่าขอพระคุณเจา้ โปรดถวายนา้ อ้อยงบนีแ้ ด่พระผู้มีพระภาค๓๘๒ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญัติ๓๘๓ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เป็นข้อบญั ญตั ิทัว่ ไปท้ังภิกษุและภกิ ษุณี๓๘๔ ภงิ สาปนสกิ ขาบท ๕๕. โย ปน ภกิ ฺขุ ภกิ ขฺ ุ ภสึ าเปยยฺ ปาจติ ตฺ ยิ .๓๘๕ ภิกษใุ ดทาใหภ้ กิ ษุตกใจ ต้องอาบัตปิ าจติ ตีย์ ๑) สถานที่บญั ญตั สิ ิกขาบท ได้แก่ กรุงสาวัตถ๓ี ๘๖ ๒) บคุ คลผูก้ อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภิกษุฉัพพัคคีย์๓๘๗ ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ พระฉัพพัคคีย์หลอนพระสัตตรสวคั คีย์ พวกเธอถกู หลอนจงึ ร้องไห้๓๘๘ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญัติ๓๘๙ ๓๘๒กงฺขา.อ.๒๘๐ (มจร) ๓๘๓ กงฺขา.อ.๒๘๐ (มจร) ๓๘๔ กงฺขา.อ.๒๘๐ (มจร) ๓๘๕ วิ.มหาวิ. (ไทย) ๒/๓๔๖/๓๓๖,วิ.๒/๓๔๖/๑๕๑(ม) ๓๘๖ กงขฺ า.อ.๒๘๑ (มจร) ๓๘๗ กงขฺ า.อ.๒๘๑ (มจร) ๓๘๘ กงขฺ า.อ.๒๘๑ (มจร) ๓๘๙ กงฺขา.อ.๒๘๑ (มจร)

๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เปน็ ข้อบัญญัตทิ วั่ ไปทั้งภกิ ษุและภกิ ษุณี๓๙๐ ทพุ พณั ณกรณสิกขาบท ๕๘. นว ปน ภกิ ขฺ นุ า จวี รลาเภน ตณิ ณฺ ทุพฺพณณฺ กรณาน อญฺญตรทุพฺพณฺณกรณฃ อาทาตพฺพ นลี วา กททฺ ม วา กาฬสาม วา. อนาทา เจ ภิกขฺ ุ ตณิ ฺณทุพพฺ ณฺณกรณาน อญฺญตร ทพุ ฺพณณฺ กรณ นว จวี รปรภิ ญุ เฺ ชยยฺ ปาจติ ตฺ ยิ ๓๙๑. กภ็ ิกษุไดจ้ วี รใหม่ พึงใช้วัตถุท่ีทาใหเ้ สยี สี ๓ ชนิดอย่างใดอย่างหน่ึงคอื สีเขียว สีตม หรือสีดาคล้า มาทาใหเ้ สียสี ถ้าภกิ ษุไม่ใชว้ ตั ถุที่ทาใหเ้ สียสี ๓ ชนิด อย่างใดอยา่ งหนง่ึ มาทาให้เสียสี ใชส้ อยจวี รใหม่ ต้องอาบตั ปิ าจติ ตีย์ ๑) สถานท่ีบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ กรงุ สาวัตถ๓ี ๙๒ ๒) บคุ คลผ้กู อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภิกษุหลายรูป๓๙๓ ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ พวกภิกษุกบั พวกปริพาชกต่างพากนั เดนิ ทางจากเมืองสาเกตไปยงั พระนครสาวัตถ.ี ในระหว่างทางพวกโจรได้พากันออกมาแย่งชงิ พวกภิกษุกบั พวกปริพาชกเหล่าน้นั พวกเจา้ หนา้ ท่ไี ด้ออกจากพระนครสาวตั ถี ไปจับโจรเหลา่ นน้ั ได้พร้อมทง้ั ของกลาง แล้วส่งทูตไปในสานักภิกษุท้ังหลายวา่นมิ นต์พระคณุ เจ้าทง้ั หลายมา จาจวี รของตนๆ ได้แล้วจงรับเอาไป. ภกิ ษุทง้ั หลายจาจีวรไมไ่ ด้ ชาวบ้านพากนั เพ่งโทษ ตเิ ตียนโพนทะนาว่า เพราะอะไร ภิกษุหลายจงึ จาจวี รของตนๆ ไม่ได้๓๙๔ ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบัญญตั ิ๓๙๕ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เปน็ ข้อบัญญัติทวั่ ไปท้ังภกิ ษุและภกิ ษุณี๓๙๖ ๓๙๐ กงฺขา.อ.๒๘๑ (มจร) ๓๙๑ ว.ิ มหาวิ. (ไทย) ๒/๓๖๘/๓๔๖,วิ.๒/๓๖๘/๑๕๘(ม) ๓๙๒ กงขฺ า.อ.๒๘๔ (มจร) ๓๙๓ กงขฺ า.อ.๒๘๔ (มจร) ๓๙๔ วิ.มหา.๖๑๙/๒๘๔,กงขฺ า.อ.๒๘๔ (มจร) ๓๙๕ กงฺขา.อ.๒๘๔ (มจร) ๓๙๖ กงฺขา.อ.๒๘๔ (มจร)

วกิ ัปปนสกิ ขาบท ๕๙. โย ปน ภกิ ขฺ ุ ภกิ ขฺ สุ สฺ วา ภกิ ขฺ นุ ยิ า วา สิกขฺ มานาย วา สามเณรสสฺ วาสามเณรยิ า วา สาม จวี ร วกิ ปเฺ ปตวฺ า อปปฺ จจฺ ทุ ธฺ ารณ ปรภิ ญุ เฺ ชยยฺ ปาจติ ตฺ ยิ .๓๙๗ ก็ ภิกษุใดวกิ ัปจวี รด้วยตนเองแกภ่ กิ ษุ หรือแก่ภิกษณุ ี หรือแกส่ ิกขมานาหรอื แก่สามเณร หรือแกส่ ามเณรี แล้วใชส้ อยจีวรท่ยี งั มไิ ดป้ ัจจุทธรณ์ ต้องอาบัตปิ าจติ ตีย์ ๑) สถานที่บญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรงุ สาวตั ถ๓ี ๙๘ ๒) บคุ คลผกู้ อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ พระอปุ นนั ทศากยบุตร๓๙๙ ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ พระอุปนนั ทศากยบุตรวิกปัจวี รไวก้ บั แก่ภิกษุ แลว้ ใชส้ อยจวี รที่ยงั มไิ ด้ปัจจทุ ธรณ์๔๐๐ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบญั ญตั ิ๔๐๑ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เป็นขอ้ บญั ญัติทัว่ ไปท้ังภิกษุและภิกษุณี๔๐๒ อปนธิ านสิกขาบท ๖๐. โย ปน ภกิ ฺขุ ภกิ ขฺ สุ สฺ ปตตฺ วา จวี ร วา นสิ ที นวา สจู ฆิ ร วา กายพนธฺ นวา อปนเิ ธยยฺ วาอปนธิ าเปยยฺ วา อนตฺ มโส หสาเปกโฺ ขปิ ปาจติ ตฺ ยิ ๔๐๓. ก็ ภกิ ษใุ ดเอาบาตรหรอื จีวร ผา้ ปนู ่ัง กลอ่ งเข็มหรือประคดเอวของภกิ ษุไปซ่อน ใช้ใหเ้ อาไปซ่อน โดยทสี่ ุดแมม้ ุ่งจะลอ้ เลน่ ต้องอาบัติ ปาจิตตยี ์ ๑) สถานที่บญั ญตั สิ ิกขาบท ได้แก่ กรุงสาวัตถ๔ี ๐๔ ๒) บุคคลผกู้ อ่ เหตุ ได้แก่ ภิกษฉุ ัพพัคคยี ์๔๐๕ ๓๙๗ วิ.มหาวิ. (ไทย) ๒/๓๗๓/๓๔๘,ว.ิ ๒/๓๗๓/๑๖๐(ม) ๓๙๘ กงฺขา.อ.๒๘๕ (มจร) ๓๙๙ กงฺขา.อ.๒๘๕ (มจร) ๔๐๐ กงฺขา.อ.๒๘๕ (มจร) ๔๐๑ กงขฺ า.อ.๒๘๕ (มจร) ๔๐๒ กงฺขา.อ.๒๘๕ (มจร) ๔๐๓ ว.ิ มหาวิ. (ไทย) ๒/๓๗๘/๓๕๑,ว.ิ ๒/๓๗๘/๑๖๒(ม) ๔๐๔ กงขฺ า.อ.๒๘๖ (มจร)

๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ พระสตั ตรสวัคคยี เ์ ปน็ ผไู้ ม่เก็บงาบรขิ าร พระฉัพพัคคียจ์ ึงซ่อนบาตรบา้ ง จวี รบา้ ง ของพระสัตตรสวคั คยี ์ๆ จึงกลา่ วขอร้องพระฉัพพัคคยี ์ว่า อาวุโสทง้ั หลาย ขอทา่ นจงคืนบาตรใหแ้ ก่พวกผมดงั นี้บา้ ง วา่ ขอท่านจงคนื จีวรใหแ้ กพ่ วกผมดังนี้บ้าง. พระฉัพพคั คยี พ์ ากันหวั เราะ พระสตั ตรสวัคคีย์ร้องไห้ ภกิ ษุทงั้ หลายพากันถามวา่ อาวุโสทงั้ หลาย พวกท่านรอ้ งไหท้ าไม?พระสตั ตรสวัคคยี ์ตอบว่า อาวุโสทัง้ หลาย พวกพระฉัพพคั คีย์เหล่านพ้ี ากนั ซ่อนบาตรบ้าง จวี รบ้างของพวกผม.บรรดาภิกษุทเี่ ป็นผู้มกั นอ้ ย ... ต่างก็เพง่ โทษ ติเตียน โพนทะนาภกิ ษุฉัพพัคคียเ์ อาบริขารของภิกษุไปซ่อน๔๐๖ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ๔๐๗ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เปน็ ขอ้ บัญญัตทิ วั่ ไปท้ังภิกษุและภกิ ษุณี๔๐๘ สปั ปาณกวรรค สญั จจิ จสิกขาบท ๖๑. โย ปน ภกิ ฺขุ สญจฺ จิ จฺ ปาณ ชวี ติ า โวโรเปยยฺ ปาจติ ตฺ ยิ ๔๐๙. ก็ ภิกษใุ ดจงใจปลงชีวิตสัตว์ ตอ้ งอาบตั ปิ าจิตตีย์ ๑) สถานทบี่ ญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรงุ สาวตั ถ๔ี ๑๐ ๒) บคุ คลผู้กอ่ เหตุ ได้แก่ พระอุทายี๔๑๑ ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ พระอุทายเี ปน็ ผชู้ านาญในการยงิ ธนู นกกาทั้งหลายไมเ่ ปน็ ที่ชอบใจของท่านๆ ไดย้ ิงมัน แลว้ ตดั ศรี ษะเสียบหลาวเรียงไว้เป็นลาดบั ภิกษทุ ้งั หลายถามอย่างนีว้ ่า อาวโุ ส ใครฆ่านกกาเหลา่ น้ี พระอุทายีตอบวา่ ๔๐๕ กงขฺ า.อ.๒๘๖ (มจร) ๔๐๖ ว.ิ มหาวิ. (ไทย) ๕๓๕/๖๒๗,กงขฺ า.อ.๒๘๖ (มจร) ๔๐๗ กงฺขา.อ.๒๘๖ (มจร) ๔๐๘ กงฺขา.อ.๒๘๖ (มจร) ๔๐๙ ว.ิ มหาวิ. (ไทย) ๒/๓๘๓/๓๕๓,วิ.๒/๓๘๓/๑๖๔(ม) ๔๑๐ กงฺขา.อ.๒๘๗ (มจร) ๔๑๑ กงขฺ า.อ.๒๘๗ (มจร)

ผมเองขอรบั เพราะผมไม่ชอบนกกา.บรรดาภกิ ษุที่เป็นผูม้ ักน้อย ... ตา่ งกเ็ พ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาจงใจปลงชีวติ สัตว์๔๑๒ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบญั ญตั ิ๔๑๓ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เป็นขอ้ บญั ญตั ิทั่วไปทั้งภกิ ษุและภกิ ษุณี๔๑๔ สปั ปาณกสกิ ขาบท ๖๒. โย ปน ภกิ ขฺ ุ ชาน สปปฺ าณก อทุ ก ปรภิ ญุ ฺเชยยฺ ปาจติ ตฺ ยิ .๔๑๕ ก็ ภิกษุใดรู้อยวู่ ่านา้ มีสัตว์มชี ีวติ ก็ยังบริโภค ตอ้ งอาบตั ิปาจิตตีย์ ๑) สถานทบ่ี ญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวัตถ๔ี ๑๖ ๒) บุคคลผ้กู อ่ เหตุ ได้แก่ ภิกษุฉัพพัคคีย์๔๑๗ ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภิกษุฉัพพัคคยี ์ ร้อู ยวู่ ่านา้ มีสัตวม์ ีชวี ิต ก็ยังบรโิ ภคพระฉัพพัคคยี ์รู้อยู่ บริโภคนา้ มตี ัวสตั ว์ บรรดาภกิ ษุท่เี ปน็ ผ้มู ักน้อยต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคยี ์รู้อย่จู งึ ไดบ้ รโิ ภคน้ามตี ัวสัตว์เลา่แลว้ กราบทลู เร่อื งน้นั แด่พระผูม้ พี ระภาค๔๑๘ ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบัญญัติ๔๑๙ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เปน็ ขอ้ บัญญัติท่ัวไปท้ังภกิ ษุและภกิ ษุณี๔๒๐ ๖) อนาปัตตวิ าร ภกิ ษไุ ม่ร้วู า่ นา้ มีตวั สัตว์ ๑ ภกิ ษุรู้วา่ น้าไม่มตี วั สตั ว์ คือรวู้ ่าสัตว์จักไมต่ ายเพราะการบรโิ ภค ดงั น้ี บรโิ ภค ๑ ภกิ ษุวิกลจรติ ๑ ภกิ ษอุ าทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติ๔๒๑ ๔๑๒ กงฺขา.อ.๒๘๗ (มจร) ๔๑๓ กงฺขา.อ.๒๘๗ (มจร) ๔๑๔ กงขฺ า.อ.๒๘๗ (มจร) ๔๑๕ วิ.มหาวิ. (ไทย) ๒/๓๘๘/๓๕๕,ว.ิ ๒/๓๘๘/๑๖๕(ม) ๔๑๖ กงฺขา.อ.๒๘๗ (มจร) ๔๑๗ กงฺขา.อ.๒๘๗ (มจร) ๔๑๘ กงขฺ า.อ.๒๘๗ (มจร) ๔๑๙ กงฺขา.อ.๒๘๗ (มจร) ๔๒๐ กงฺขา.อ.๒๘๗ (มจร) ๔๒๑ วิ.มหาวิ. (ไทย) ๒/๕๔๑/๖๓๗

อกุ โกฏนสกิ ขาบท ๖๓. โย ปน ภิกขฺ ุ ชาน ยถาธมฺม นหิ ตาธกิ รณ ปนุ กมฺมาย อุกโฺ กเฏยยฺ ปาจติ ฺตยิ ๔๒๒ ก็ ภิกษใุ ดรู้อยู่ รื้อฟ้นื อธกิ รณ์ที่ตดั สินไปแลว้ อย่างถูกต้อง เพ่ือพิจารณาใหม่ต้องอาบตั ิปาจติ ตีย์ ๑) สถานทีบ่ ญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ กรงุ สาวตั ถ๔ี ๒๓ ๒) บุคคลผู้กอ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภกิ ษุฉัพพัคคีย์๔๒๔ ๓) มูลเหตุแหง่ การบัญญัติสิกขาบท ได้แก่ พระฉัพพัคคีย์รู้อยู่ฟื้นอธิกรณ์ที่ทาเสร็จแล้วตามธรรมเพื่อทาอีก ด้วยกล่าวหาว่า กรรมไม่เป็นอันทาแล้ว กรรมที่ทาแล้วไม่ดี กรรมต้องทาใหม่กรรมไม่เป็นอันทาเสร็จแล้ว กรรมที่ทาเสร็จแล้วไม่ดี ต้องทาให้เสร็จใหม่ บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคยี ร์ อู้ ยู่ จงึ ได้ฟ้ืนอธิกรณ์ที่ทาเสร็จแล้วตามธรรมเพื่อทาใหม่เล่าแล้วกราบทูลเร่อื งนั้นแดพ่ ระผู้มพี ระภาค๔๒๕ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ๔๒๖ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เปน็ ขอ้ บัญญตั ิทั่วไปทั้งภิกษุและภกิ ษุณี๔๒๗. ทฏุ ฐฺ ฃลุ สิกขาบท ๖๔. โย ปน ภกิ ขฺ ุ ภกิ ขฺ สุ สฺ ชาน ทฏุ ฐฺ ฃลุ ลฺ อาปตตฺ ึ ปฏจิ ฉฺ าเทยยฺ ปาจติ ตฺ ยิ .๔๒๘ ก็ ภกิ ษใุ ดรู้อยปู่ กปิดอาบตั ชิ ั่วหยาบของภิกษุ ต้องอาบัตปิ าจิตตีย์ ๑) สถานทบี่ ญั ญตั สิ ิกขาบท ได้แก่ กรุงสาวตั ถ๔ี ๒๙ ๔๒๒ ว.ิ มหาวิ. (ไทย) ๒/๓๙๓/๓๕๖,วิ.๒/๓๙๓/๑๖๖(ม) ๔๒๓ กงขฺ า.อ.๒๘๘ (มจร) ๔๒๔ กงฺขา.อ.๒๘๘ (มจร) ๔๒๕ กงฺขา.อ.๒๘๘ (มจร) ๔๒๖ กงฺขา.อ.๒๘๘ (มจร) ๔๒๗ กงขฺ า.อ.๒๘๘ (มจร) ๔๒๘ วิ.มหาวิ. (ไทย) ๒/๓๙๘/๓๕๙,ว.ิ ๒/๓๙๘/๑๖๗(ม)

๒) บคุ คลผู้กอ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภิกษรุ ูปหนงึ่ ๔๓๐ ๓) มูลเหตุแห่งการบัญญัติสิกขาบท ได้แก่ ภิกษุรูปหนึ่งรู้อยู่ปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุท่านพระอุปนันทศากยบุตรต้องอาบัติชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิแล้วบอกแก่ภกิ ษุสทั ธิวิหารกิ ของภิกษผุ ู้พี่น้องกันว่า อาวุโส ผมต้องอาบัติชื่อสัญเจตนิกาสุกกวสิ ฏั ฐิแล้ว คณุ อย่าได้บอกแก่ใครๆ เลย. ครั้นตอ่ มาภกิ ษรุ ปู หนง่ึ ต้องอาบัติชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิแล้ว ขอปริวาสเพื่ออาบัตินั้นต่อสงฆ์. สงฆ์ได้ให้ปริวาสเพื่ออาบัตินั้นแก่เธอแล้ว. เธอกาลังอยู่ปริวาสอยู่ พบภิกษุรูปนั้นแล้วได้บอกภิกษุรูปนั้นว่า อาวุโส ผมต้องอาบตั ิชือ่ สญั เจตนิกาสุกกวิสัฏฐิแล้ว ได้ขอปริวาสเพื่ออาบัตินั้นต่อสงฆ์ สงฆ์ได้ให้ปริวาสเพื่ออาบัตินั้นแก่ผมแล้ว ผมนั้นกาลังอยู่ปริวาส ผมขอบอกให้ทราบ ขอท่านจงจาผมว่าบอกให้ทราบดงั น.ี้ ๔๓๑ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญตั ิ๔๓๒ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เป็นขอ้ บญั ญัตเิ ฉพาะภิกษุ๔๓๓ เถยยสตั ถสกิ ขาบท ๖๖. โย ปน ภกิ ขฺ ุ ชาน เถยยฺ สตฺเถน สทธฺ ึ สวธิ าย เอกทธฺ านมคฺค ปฏปิ ชฺเชยยฺ อนตฺ มโส คามนตฺ รมปฺ ิ ปาจติ ตฺ ยิ ๔๓๔ ก็ ภิกษุใดรอู้ ยู่ ชกั ชวนกันเดินทางไกลร่วมกนั กับกลมุ่ พ่อคา้ เกวยี น ผเู้ ปน็ โจรโดยทีส่ ดุ แม้ช่วั ละแวกหมบู่ ้านหนึ่ง ต้องอาบตั ปิ าจติ ตีย์ ๑) สถานที่บญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ กรุงสาวตั ถ๔ี ๓๕ ๒) บุคคลผูก้ อ่ เหตุ ได้แก่ ภกิ ษุรูปหน่งึ ๔๓๖ ๔๒๙ กงฺขา.อ.๒๘๙ (มจร) ๔๓๐ กงขฺ า.อ.๒๘๙ (มจร) ๔๓๑ กงฺขา.อ.๒๘๙ (มจร) ๔๓๒ กงฺขา.อ.๒๘๙ (มจร) ๔๓๓กงฺขา.อ.๒๘๙ (มจร) ๔๓๔ วิ.มหาวิ. (ไทย) ๒/๔๐๘/๓๖๔,ว.ิ ๒/๔๐๘/๑๗๒(ม) ๔๓๕ กงฺขา.อ.๒๙๐ (มจร) ๔๓๖ กงฺขา.อ.๒๙๐ (มจร)

๓) มูลเหตุแห่งการบัญญัติสิกขาบท ได้แก่ ภิกษุรูปหนึ่งรู้อยู่ชักชวนกันเดินทางไกลรว่ มกันกบั กลุ่มพอ่ ค้าเกวยี น ผ้เู ป็นโจรพวกพ่อค้าเกวียนต่างหมู่หนึ่งประสงค์จะเดินทางจากพระนครราชคฤห์ ไปสู่ชนบททางทิศตะวันตก ภิกษุรูปหนึ่งได้กล่าวกะพ่อคา้ พวกน้นั วา่ แมอ้ าตมาจกั ขอเดนิ ทางไปร่วมกับพวกทา่ น. พวกพ่อค้าเกวียนต่างกล่าวว่า พวกกระผมจักหลบหนภี าษีขอรบั . ภกิ ษนุ ้นั พดู วา่ ทา่ นทง้ั หลายจงรกู้ นั เองเถิด. เจ้าพนักงานศุลกากรทั้งหลายได้ทราบข่าวว่า พวกพ่อค้าเกวียนต่างจักหลบหนภี าษี จงึ คอยซุ่มอยู่ที่หนทาง ครั้นพวกเจ้าพนักงานเหล่านั้นจับพ่อค้าเกวียนต่างหมู่นัน้ รบิ ของตอ้ งห้ามไว้ได้แล้ว ได้กล่าวกะภิกษุพวกนั้นว่า พระคุณเจ้ารู้อยู่เหตุไรจึงได้เดินทางร่วมกับพ่อค้าเกวียนต่างผู้ลักซ่อนของต้องห้ามเล่า เจ้าหน้าที่ไต่สวนแล้วปล่อยภิกษุนั้นไป ครั้นภิกษุรูปนั้นไปถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ได้เล่าเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายบรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุรู้อยู่ จึงได้ชักชวนแลว้ เดนิ ทางไกลสายเดียวกนั กับพวกพ่อค้าผู้เป็นโจรเล่าแล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มพี ระภาค๔๓๗ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ๔๓๘ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เป็นขอ้ บญั ญตั ิทว่ั ไปท้ังภกิ ษุและภิกษุณี๔๓๙ สงั วธิ านสิกขาบท ๖๗. โย ปน ภกิ ขฺ ุ มาตคุ าเมน สทธฺ ึ สวธิ าย เอกทธฺ านมคคฺ ปฏปิ ชเฺ ชยยฺ อนฺตมโส คามนฺตรมปฺ ิปาจติ ตฺ ยิ ๔๔๐. ก็ ภกิ ษุใดชักชวนกนั เดนิ ทางไกลร่วมกนั กับมาตุคาม โดยทีส่ ุดแม้ช่ัวละแวกหมบู่ า้ นหนง่ึ ตอ้ งอาบตั ิปาจิตตยี ์ ๑) สถานท่ีบญั ญตั สิ ิกขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวตั ถ๔ี ๔๑ ๒) บคุ คลผ้กู อ่ เหตุ ได้แก่ ภิกษุรูปหนึ่ง๔๔๒ ๔๓๗ กงขฺ า.อ.๒๙๐ (มจร) ๔๓๘ กงขฺ า.อ.๒๙๐ (มจร) ๔๓๙ กงฺขา.อ.๒๙๐ (มจร) ๔๔๐ วิ.มหาวิ. (ไทย) ๒/๔๑๓/๓๖๗,วิ.๒/๔๑๓/๑๗๔(ม) ๔๔๑ กงฺขา.อ.๒๕๑ (มจร)

๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภิกษรุ ูปหน่งึ ชักชวนเดนิทางไกลร่วมกนั กับมาตคุ ามภิกษุรูปหน่ึงกาลังเดนิ ทางไปสู่พระนครสาวัตถใี นโกศลชนบทเดินทางไปทางประตูบ้านแห่งหนึ่ง. สตรีผหู้ น่ึงทะเลาะกับสามีแลว้ เดนิ ออกจากบา้ นไปพบภกิ ษุรูปนน้ั แลว้ ได้ถามวา่ พระคณุ เจ้าจักไปไหน เจา้ ขา้ทราบว่าไปพระนครสาวตั ถี จงึ ขอไปดว้ ย ขณะน้นั สามีของสตรนี ้นั ออกจากบา้ นแล้ว ถามคนทั้งหลายว่า พวกท่านเห็นสตรีมีรูปร่างอย่างนี้บ้างไหม คนทั้งหลายตอบว่า สตรีมีรูปร่างเช่นว่านั้นเดินไปกับพระในทนั ที เขาได้ติดตามไปจับภิกษุนั้นทุบตีแล้วปล่อยไป ภิกษุนั้นนั่งพ้อตนเองอยู่ ณ โคนต้นไมแ้ ห่งหน่ึง จงึ สตรนี ัน้ ไดก้ ล่าวกะบรุ ุษผู้สามีวา่ นาย พระรูปนั้นมไิ ด้พาดิฉนั ไป ดฉิ นัตา่ งหากไปกับท่าน พระรปู น้ันไม่ใชเ่ ป็นตัวการ นายจงไปขอขมาโทษทา่ นเสีย บรุ ุษน้ันได้ขอขมาโทษภกิ ษุน้นั ในทันใดนนั้ แล คร้นั ภิกษนุ ้ันไปถึงพระนครสาวัตถแี ล้ว ได้เลา่ เรอ่ื งน้นั แก่ภิกษทุ ั้งหลายบรรดาภกิ ษุทีเ่ ปน็ ผู้มักนอ้ ย ต่างก็เพ่งโทษ ตเิ ตยี น โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษจุ ึงไดช้ ักชวนแลว้ เดนิ ทางไกลสายเดยี วกนั กับมาตุคาม๔๔๓ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบญั ญตั ิ๔๔๔ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เป็นข้อบญั ญัตเิ ฉพาะภิกษุ๔๔๕ อรฏิ ฐสกิ ฺขาบท ๖๘. โย ปน ภกิ ขฺ ุ เอว วเทยยฺ “ตถาห ภควตา ธมมฺ เทสติ อาชานามิ ยถาเยเม อนตฺ รายิกา ธมมฺ า วตุ ตฺ า ภควตา เต ปฏเิ สวโต นาล อนตฺ รายายา”ติ โส ภกิ ฺขุ ภกิ ขฺ ูหิ เอวมสสฺ วจนโี ย “มายสมฺ า เอว อวจ มา ภควนตฺ อพภฺ าจกิ ขฺ ิ น หิ สาธุ ภควโต อพภฺ กฺขาน น หิ ภควา เอว วเทยฺย อเนกปรยิ าเยนาวโุ ส อนตฺ รายกิ าธมฺมา อนตฺ รายกิ า วตุ ฺตา ภควตา อลญจฺ ปน เต ปฏเิ สวโต อนฺตรายายา”ต.ิ เอวญจฺ โสภกิ ฺขุ ภกิ ฺขหู ิ วจุ จฺ มาโน ตเถว ปคคฺ ณเฺ หยยฺ โส ภกิ ฺขุ ภกิ ขฺ หู ิ ยาวตตยิ สมนภุ าสติ พโฺ พ ๔๔๒ กงขฺ า.อ.๒๕๑ (มจร) ๔๔๓ กงฺขา.อ.๒๕๑ (มจร) ๔๔๔ กงฺขา.อ.๒๕๑ (มจร) ๔๔๕ กงฺขา.อ.๒๕๑ (มจร)

ตสสฺ ปฏนิ สิ สฺ คคฺ าย. ยาวตตยิ ญเฺ จ สมนภุ าสยิ มาโน ต ปฏนิ สิ สฺ ชเฺ ชยฺย อจิ เฺ จต กสุ ล. โน เจปฏนิ สิ สฺ ชเฺ ชยยฺ ปาจติ ตฺ ยิ ๔๔๖. ก็ ภกิ ษใุ ดกลา่ วอยา่ งน้ีว่า “เรารทู้ ั่วถงึ ธรรมทีพ่ ระผมู้ ีพระภาคทรง แสดงแล้วจนกระท่งั วา่ ธรรมตามที่พระผู้มพี ระภาคตรัสวา่ เปน็ ธรรมกอ่ อันตราย ก็หาสามารถก่ออันตรายแกผ่ ซู้ ่องเสพได้จริงไม่” ภกิ ษุนัน้ อนั ภิกษทุ ัง้ หลายพึงว่ากลา่ วตกั เตือนอยา่ งนว้ี ่า“ทา่ นอย่าได้กล่าวอย่างนี้ อยา่ กลา่ วตพู่ ระผู้มพี ระภาค การกลา่ วตู่พระผู้มพี ระภาคไม่ดีเลย เพราะพระผ้มู ีพระภาคไมไ่ ด้ตรัสอยา่ งนนั้ ทา่ น พระผ้มู ีพระภาคตรสั ธรรมท่ีก่ออันตรายว่าเปน็ ธรรมก่ออนั ตรายไวโ้ ดย ประการต่างๆ และธรรมเหล่าน้ันกส็ ามารถก่ออนั ตรายแกผ่ ซู้ ่องเสพไดจ้ รงิ ” ภกิ ษนุ ัน้ อนั ภิกษทุ ั้งหลายว่ากลา่ วตกั เตอื นอยู่อย่างนี้ กย็ งัยืนยันอย่อู ยา่ งนน้ั ภิกษนุ ั้นอันภิกษทุ ัง้ หลายพงึ สวดสมนุภาสนจ์ นครบ ๓ คร้งั เพอ่ื ให้สละทิฏฐินัน้ ถ้าเธอกาลงั ถกู สวดสมนภุ าสนก์ ว่าจะครบ ๓ คร้ัง สละทิฏฐินั้นได้ น่ันเป็นการดี ถ้าไมส่ ละ ต้องอาบตั ิปาจติ ตยี ์ ๑) สถานทบ่ี ญั ญตั สิ ิกขาบท ได้แก่ กรุงสาวตั ถ๔ี ๔๗ ๒) บคุ คลผ้กู อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ พระอริฏฐะ๔๔๘ ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ พระอรฏิ ฐะกล่าวไม่สละทฏิ ฐิบาปพระอรฏิ ฐะผ้เู กิดในตระกูลพรานแร้ง มที ิฏฐิทรามเหน็ ปานน้ีเกิดขึ้นวา่ เราร้ทู ่วั ถึงธรรมทพี่ ระผูม้ ีพระภาคทรงแสดงแลว้ โดยประการท่ีตรสั ธรรมเหล่าใดวา่ ธรรมเหลา่ น้ีเป็นธรรมทาอนั ตราย ธรรมเหลา่ นนั้ หาอาจทาอันตรายแกผ่ เู้ สพได้จริงไมภ่ กิ ษุหลายรปู ได้ทราบขา่ วว่า พระอริฏฐะผูเ้ กิดในตระกลู พรานแร้ง มที ิฏฐิทรามเห็นปานน้ีเกดิ ขึน้ วา่ เรารู้ท่ัวถงึ ธรรมที่พระผ้มู ีพระภาคทรงแสดงแลว้ โดยประการทีต่ รัสธรรมเหลา่ ใดวา่ ธรรมเหลา่ น้ีเป็นธรรมทาอนั ตราย ธรรมเหลา่ น้นั หาอาจทาอันตรายแก่ผเู้ สพได้จริงไม่ แล้วพากันเข้าไปหาพระอริฏฐะผู้เกิดในตระกูลพรานแร้ง ถามวา่ อาวุโส อรฏิ ฐะ ข่าววา่ ท่านมีทฏิ ฐิทรามเห็นปานน้ีเกดิ ขึ้นว่า ขา้ พเจา้ รูท้ ัว่ ถงึ ธรรมท่ีพระผมู้ ีพระภาคทรงแสดงแล้วโดยประการท่ีตรัสธรรมเหลา่ ใดว่าธรรมเหลา่ นี้เป็นธรรมทาอนั ตราย ธรรมเหลา่ นั้นหาอาจทาอนั ตรายแกผ่ ูเ้ สพไดจ้ ริงไม่ ดังนี้ จรงิ หรือ ๔๔๖ ว.ิ มหาวิ. (ไทย) ๒/๔๑๘/๓๗๑-๒,วิ.๒/๔๑๘/๑๗๗(ม) ๔๔๗ กงขฺ า.อ.๒๙๒ (มจร) ๔๔๘ กงฺขา.อ.๒๙๒ (มจร)

พระอริฏฐะผเู้ กดิ ในตระกลู พรานแรง้ แม้อันภิกษุเหล่านั้นว่ากล่าวอยู่อย่างนี้ก็ยงั ยดึ ถอื ทิฏฐิเห็นปานนั้นอยู่ ด้วยความยึดมั่นอย่างเดิม ซ้ายังกล่าวยืนยันว่า ผมกล่าวอย่างนั้นจริงอาวุโสทั้งหลาย ผมรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการทต่ี รัสธรรมเหล่าใดวา่ ธรรมเหลา่ น้เี ปน็ ธรรมทาอันตราย ธรรมเหล่านน้ั หาอาจทาอนั ตรายแกผ่ เู้ สพได้จรงิ ไม่ ดังนี้ เมื่อภกิ ษเุ หลา่ นัน้ ไม่อาจเปลอ้ื งพระอรฏิ ฐะผู้เกิดในตระกลู พรานแรง้ จากทิฏฐิอนั ทรามนัน้ ได้ จึงพากนั เข้าไปเฝ้าพระผ้มู ีพระภาค กราบทูลเรอื่ งนัน้ ให้ทรงทราบ๔๔๙ ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบัญญตั ิ๔๕๐ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เปน็ ข้อบญั ญตั ทิ ่วั ไปทั้งภกิ ษุและภิกษุณี๔๕๑ อกุ ขติ ตสัมโภคสกิ ขาบท ๖๙. โย ปน ภกิ ขฺ ุ ชาน ตถาวาทนิ า ภกิ ฺขนุ า อกฏานธุ มเฺ มน ต ทฏิ ฐฺ ฃึ อปฺปฏินสิ สฺ ฏเฺ ฐฃน สทธฺ ึสมภฺ ุญเฺ ชยยฺ วา สวเสยยฺ วา สห วา เสยยฺ กปเฺ ปยยฺ ปาจติ ตฺ ยิ .๔๕๒ ก็ ภกิ ษใุ ดรู้อยูก่ ็ยังคบหา อยรู่ ่วม หรอื นอนร่วมกบั ภกิ ษุผูก้ ล่าวตอู่ ย่างนนั้ ผทู้ ่ีสงฆ์ยงั มิได้ทาธรรมอันสมควร ยังไม่ยอมสละทิฏฐิน้นั ตอ้ งอาบัติปาจิตตยี ์ ๑) สถานท่บี ญั ญตั สิ ิกขาบท ได้แก่ กรุงสาวตั ถ๔ี ๕๓ ๒) บุคคลผ้กู อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภกิ ษฉุ ัพพัคคีย์๔๕๔ ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ภกิ ษุฉัพพัคคยี ค์ บหากบั พระอรฏิ ฐะผู้ถูกสงฆ์ยกวัตรพระฉัพพัคคยี ร์ ู้อยู่ กนิ รว่ มบา้ ง อยู่รว่ มบ้าง สาเรจ็ การนอนด้วยกนั บ้าง กบั พระอริฏฐะผูก้ ล่าวอยา่ งนน้ั ผู้ยังไม่ได้ทากรรมอนั สมควร ยังไม่ได้สละทิฏฐิน้นั บรรดาภกิ ษทุ เ่ี ปน็ ผมู้ กั นอ้ ย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาวา่ ไฉน ๔๔๙ กงขฺ า.อ.๒๙๒ (มจร) ๔๕๐ กงฺขา.อ.๒๙๒ (มจร) ๔๕๑ กงฺขา.อ.๒๙๒ (มจร) ๔๕๒ วิ.มหาวิ. (ไทย) ๒/๔๒๔/๓๗๕,ว.ิ ๒/๔๒๔/๑๘๐(ม) ๔๕๓ กงขฺ า.อ.๒๙๓ (มจร) ๔๕๔ กงฺขา.อ.๒๙๓ (มจร)

พระฉัพพคั คียร์ ู้อยู่จึงไดก้ ินรว่ มบา้ ง อยู่ร่วมบ้าง สาเร็จการนอนด้วยกันบา้ ง กบั พระอริฏฐะผูก้ ล่าวอย่างนั้น ผ้ยู งั ไมไ่ ด้ทากรรมอนั สมควร ผู้ยังไม่ไดส้ ละทิฏฐนิ ัน้ เลา่ ๔๕๕ ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบัญญัติ๔๕๖ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เปน็ ขอ้ บญั ญตั ทิ ่ัวไปท้ังภกิ ษุและภิกษุณี๔๕๗ กัณฏกสกิ ขาบท ๗๐. สมณทุ เฺ ทโสปิ เจ เอว วเทยยฺ “ตถาห ภควตา ธมมฺ เทสติ อาชานามิยถา เยเม อนตฺ รายกิ าธมมฺ า วตุ ฺตา ภควตา เต ปฏเิ สวโต นาล อนตฺ รายายา”ติ โส สมณุทเฺ ทโส ภิกขฺ หู ิ เอวมสสฺวจนโี ย “มาวโุ สสมณทุ เฺ ทส เอว อวจ มา ภควนตฺ อพภฺ าจกิ ขฺ ิ น หิ สาธุ ภควโต อพภฺ กขฺ าน น หิ ภควาเอว วเทยยฺอเนกปรยิ าเยนาวโุ ส สมณทุ เฺ ทส อนตฺ รายกิ า ธมมฺ า อนตฺ รายิกา วตุ ตฺ า ภควตา อลญจฺปน เต ปฏเิ สวโตอนตฺ รายายา”ติ เอวญจฺ โส สมณทุ ฺเทโส ภกิ ฺขหู ิ วจุ จฺ มาโน ตเถว ปคฺคณเฺ หยยฺ โส สมณทุ ฺเทโส ภกิ ขฺ หู ิ เอวมสสฺ วจนโี ย “อชชฺ ตคเฺ ค เต อาวโุ สสมณทุ เฺ ทส น เจว โส ภควา สตฺถาอปทสิ ติ พโฺ พ ยมปฺ ิ จญเฺ ญ สมณทุ เฺ ทสา ลภนตฺ ิ ภกิ ขฺ หู ิ สทธฺ ึ ทริ ตฺตตริ ตตฺ สหเสยยฺ สาปิเต นตฺถิ จร ปเิ ร วนิ สสฺ า”ต.ิ โย ปน ภกิ ฺขุ ชาน ตถานาสิต สมณทุ เฺ ทสอปุ ลาเปยยฺ วา อุปฏฐฺ ฃาเปยยฺ วา สมภฺ ุญเฺ ชยยฺ วา สห วา เสยยฺ กปเฺ ปยฺย ปาจติ ฺตยิ ๔๕๘. ถา้ สมณทุ เทสกลา่ วอยา่ งนี้วา่ “เรารทู้ ว่ั ถึงธรรมทพี่ ระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วจนกระท่งั ว่าธรรมตามที่พระผ้มู ีพระภาคตรัสว่าเป็นธรรมกอ่ อนั ตราย ก็หาสามารถก่ออนั ตรายแก่ผู้ซ่องเสพได้จรงิ ไม่” สมณุทเทสนั้นอันภิกษุ ทั้งหลายพงึ ว่ากลา่ วตักเตอื นวา่ “เธออย่าไดก้ ล่าวอย่างน้ี อย่ากล่าวตู่พระผมู้ ีพระภาค การกลา่ วตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีเลย เพราะพระผมู้ ีพระภาคไมไ่ ดต้ รัสอยา่ งนนั้ สมณุทเทส พระผู้มีพระภาคตรัสธรรมที่ก่ออนั ตรายวา่ เป็นธรรมก่ออันตรายไว้โดยประการตา่ งๆ และธรรมเหล่าน้นั ก็สามารถ ๔๕๕ กงขฺ า.อ.๒๙๓ (มจร) ๔๕๖ กงขฺ า.อ.๒๙๓ (มจร) ๔๕๗ กงขฺ า.อ.๒๙๓ (มจร) ๔๕๘ วิ.มหาวิ. (ไทย) ๒/๔๒๙/๓๘๑,ว.ิ ๒/๔๒๙/๑๘๓(ม)

กอ่ อันตรายให้แก่ผซ็ อ่ งเสพได้จริง” สมณุทเทสนั้น อนั ภกิ ษทุ ั้งหลายวา่ กล่าวตกั เตือนอยู่อยา่ งนี้ กย็ ังคงยนื ยันอยอู่ ยา่ งนั้น สมณทุ เทสน้ันอนั ภกิ ษุท้ังหลายพงึ วา่ กลา่ วตักเตอื นวา่“สมณทุ เทส ตัง้ แต่วันนเ้ี ธอไม่พึงอา้ งพระผมู้ ีพระภาควา่ เป็นศาสดา และเธอจะไม่มีการนอนร่วมกัน ๒-๓ คืนกับภกิ ษุทง้ั หลายเหมือนสมณุทเทสเหล่าอ่นื ได้ เธอจงไปที่อ่ืน เธอจงไปให้พน้ ” ก็ ภกิ ษุใดร้อู ยู่ ก็ยังปลอบโยนสมณุทเทสผถู้ ูกสงฆน์ าสนะแล้วอย่างน้นั ใช้เธอใหอ้ ุปฏั ฐาก คบหา หรือนอนร่วม ตอ้ งอาบัตปิ าจิตตยี ์ ๑) สถานทบี่ ญั ญตั สิ ิกขาบท ไดแ้ ก่ กรงุ สาวัตถี๔๕๙ ๒) บุคคลผูก้ อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภกิ ษฉุ ัพพัคคีย์๔๖๐ ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภิกษฉุ ัพพัคคีย์เกลย้ี กล่อมสามเณรช่อื กัณฏกะผถู้ ูกสงฆ์ลงทัณฑ์สมณทุ เทสชื่อกัณฑกะ มีทิฏฐทิ รามเหน็ ปานนี้เกิดขึน้ วา่ เรารูท้ วั่ ถึงธรรมท่ีพระผูม้ ีพระภาคทรงแสดงแลว้ โดยประการที่ตรัสธรรมเหลา่ใดวา่ ธรรมเหล่าน้เี ปน็ ธรรมทาอันตราย ธรรมเหลา่ นนั้ หาอาจทาอันตรายแกผ่ ู้เสพได้จรงิไม่ ภิกษุหลายรปู ได้ทราบขา่ วว่า สมณุทเทสชือ่ กณั ฑกะมีทิฏฐิทรามเห็นปานน้ีเกดิ ขึ้นวา่เรารทู้ ่วั ถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแลว้ โดยประการท่ีตรสั ธรรมเหล่าใดวา่ธรรมเหลา่ นีเ้ ปน็ ธรรมทาอันตรายธรรมเหล่าน้นั หาอาจทาอันตรายแก่ผเู้ สพไดจ้ รงิ ไม่ภิกษุเหล่านั้นเข้าไปหาสมณุทเทสชื่อกณั ฑกะถึงสานักแล้วถามวา่ อาวุโส กณั ฑกะ ข่าววา่ เธอมีทิฏฐทิ รามเห็นปานนี้เกิดขน้ึ ว่า เรารถู้ งึ ทัว่ ธรรมที่พระผมู้ พี ระภาคทรงแสดงแล้วโดยประการทต่ี รสั ธรรมเหล่าใดวา่ ธรรมเหล่านี้เป็นธรรมทาอันตรายธรรมเหลา่ นนั้ หาอาจทาอันตรายแก่ผเู้ สพไดจ้ ริงไม่ ดงั นี้ จรงิ หรื สมณทุ เทสกัณฑกะ อันภิกษุเหลา่ น้ันว่ากลา่ วอยเู่ ชน่ น้ี ยงั ยดึ ถอื ทฏิ ฐทิ รามน้ัน ด้วยความยึดมั่นอย่างเดิม ซา้ ยงั กลา่ วยืนยนั ว่า ผมกล่าวอย่างนน้ั จริง ขอรับ ผมรู้ท่ัวถงึ ธรรมทีพ่ ระผูม้ ีพระภาคทรงแสดงแล้ว โดยประการท่ีตรัสธรรมเหลา่ ใดว่า ธรรมเหล่านเี้ ปน็ ธรรมทาอนั ตรายธรรมเหลา่ นน้ั หาอาจทาอันตรายแกผ่ ู้เสพไดจ้ ริงไม่ ดงั นี.้ เมอ่ื ภกิ ษเุ หลา่ น้ันไมอ่ าจเปล้ืองสมณุทเทสกัณฑกะจากทฏิ ฐอิ ันทรามน้นั ได้ จึงพากนั ไปเฝ้าพระผ้มู ีพระภาค แล้วกราบทลู เรอื่ งนน้ั ให้ทรงทราบ๔๖๑ ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ๔๖๒ ๔๕๙ กงขฺ า.อ.๒๙๔ (มจร) ๔๖๐ กงฺขา.อ.๒๙๔ (มจร) ๔๖๑ กงขฺ า.อ.๒๙๔ (มจร)

๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เปน็ ขอ้ บญั ญัตทิ วั่ ไปทั้งภิกษุและภิกษุณี๔๖๓ สหธมั มกิ วรรค วเิ ลขนสกิ ขาบท ๗๒. โย ปน ภกิ ขฺ ุ ปาตโิ มกเฺ ข อทุ ทฺ สิ สฺ มาเน เอว วเทยยฺ “กึ ปนเิ มหิ ขุททฺ านขุ ทุ ทฺ เกหิ สิกขฺ าปเทหิ อทุ ทฺ ฏิ เฐฃหิ ยาวเทว กกุ กฺ จุ จฺ าย วเิ หสาย วเิ ลขาย สวตตฺ นตฺ ี”ติสกิ ขฺ าปทววิ ณณฺ เก ปาจติ ฺตยิ ๔๖๔. ก็ ภิกษใุ ด เมื่อมผี ูย้ กปาตโิ มกขข์ ้นึ แสดงอยู่กลา่ วอย่างนวี้ า่ “สิกขาบทเล็ก ๆน้อย ๆ ที่ยกขน้ึ แสดงเหลา่ น้ี จะมีประโยชนอ์ ะไร ย่อมเปน็ ไปเพื่อความราคาญ เพ่ือความลาบาก เพื่อความยงุ่ ยาก” ต้องอาบัติปาจติ ตยี ์ เพราะดหู มิ่นสกิ ขาบท ๑) สถานที่บญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ กรงุ สาวัตถ๔ี ๖๕ ๒) บคุ คลผู้กอ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภิกษุฉัพพัคคีย์๔๖๖ ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ภกิ ษุฉพั พัคคีย์หมน่ิ พระวนิ ัยพระผูม้ ีพระภาคตรัสวินยั กถา ทรงพรรณนาคณุ แหง่ พระวินัย ตรสั อานสิ งสแ์ ห่งการเรยี นพระวนิ ัย ทรงยกย่องโดยเฉพาะทา่ นอบุ าลเี นอื งๆแก่ภกิ ษุทงั้ หลาย โดยอเนกปรยิ ายภิกษุทง้ั หลายพากนั กล่าวว่า พระผมู้ ีพระภาคตรสั วินัยกถาทรงพรรณนาคณุ แหง่ พระวินัย ตรสั อานสิ งส์แห่งการเรียนพระวินยั ทรงยกย่องโดยเฉพาะทา่ นพระอุบาลีเนืองๆโดยอเนกปรยิ าย อาวโุ สท้ังหลาย ดง่ั นน้ั พวกเราพากนั เลา่ เรียนพระวนิ ัยในสานกั ท่านพระอบุ าลีเถดิ กภ็ กิ ษุเหลา่ น้ันมากเหล่า เปน็ เถระก็มี เปน็ มัชฌมิ ะก็มี เปน็ นวกะกม็ ี ต่างพากนั เลา่ เรียนพระวินยั ในสานกั ท่านพระอุบาล.ี ส่วนพระฉพั พัคคยี ์ได้หารือกนั ว่า อาวโุ สทั้งหลาย บดั นี้ ภกิ ษุเปน็ อันมาก ทั้งเถระมัชฌิมะและนวกะ พากันเลา่ เรียนพระวินยั ในสานกั ท่านพระอุบาลี ถ้าภิกษุเหล่านี้จักเป็นผูร้ พู้ ระบัญญตั ใิ นพระวินยั ทา่ นจักฉุดกระชากผลักไสพวกเราได้ตามใจชอบ อย่ากระนั้นเลย พวกเราจงชว่ ยกันก่นพระวินยั เถดิ เม่ือตกลงดง่ั นนั้ พระฉพั พัคคยี ์จึงเข้าไป ๔๖๒ กงฺขา.อ.๒๙๔ (มจร) ๔๖๓ กงฺขา.อ.๒๙๔ (มจร) ๔๖๔ วิ.มหาวิ. (ไทย) ๒/๔๓๙/๓๘๗,ว.ิ ๒/๔๓๙/๑๘๘(ม) ๔๖๕ กงขฺ า.อ.๒๙๕ (มจร) ๔๖๖ กงขฺ า.อ.๒๙๕ (มจร)

หาภิกษทุ ัง้ หลาย กลา่ วอย่างนี้วา่ จะประโยชน์อะไรด้วยสิกขาบทเล็กๆ น้อยๆ เหลา่ นี้ท่ียกข้นึ แสดงแล้ว ช่างเปน็ ไปเพอื่ ความราคาญ เพื่อความลาบาก เพ่ือความยุ่งเหยิงนี่กระไร. บรรดาภิกษุทีเ่ ปน็ ผ้มู ักน้อย ตา่ งกเ็ พ่งโทษ ตเิ ตยี น โพนทะนาวา่ ไฉนพระฉัพพคั คีย์จึงได้พากันก่นพระวนิ ยั เลา่ แลว้ กราบทลู เรือ่ งนนั้ แดพ่ ระผ้มู ีพระภาค๔๖๗ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบญั ญตั ิ๔๖๘ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เปน็ ขอ้ บัญญัตทิ ัว่ ไปทั้งภกิ ษุและภิกษุณี๔๖๙โมหนสกิ ขาบท ๗๓. โย ปน ภกิ ฺขุ อนวฺ ทธฺ มาส ปาตโิ มกเฺ ข อทุ ฺทสิ สฺ มาเน เอว วเทยยฺ “อทิ าเนว โข อห ชานามิ อยมปฺ ิ กิร ธมโฺ ม สตุ ตฺ าคโต สตุ ตฺ ปรยิ าปนโฺ น อนวฺ ทธฺ มาส อทุ เฺ ทสอาคจฉฺ ตี”ต.ิ ตญเฺ จ ภกิ ขฺ ุ อญเฺ ญ ภกิ ฺขู ชาเนยยฺ ุ นสิ นิ นฺ ปุพพฺ อมิ นิ า ภกิ ขฺ นุ า ทวฺ ตตฺ กิ ขฺ ตตฺ ุปาตโิ มกเฺ ข อทุ ฺทสิ สฺ มาเน โก ปน วาโท ภยิ โฺ ย น จ ตสสฺ ภกิ ขฺ โุ น อญญฺ าณเกน มุตตฺ ิ อตถฺ ิยญจฺ ตตถฺ อาปตตฺ ึ อาปนโฺ น ตญจฺ ยถาธมโฺ ม กาเรตพโฺ พ อตุ ตฺ ริ จสสฺ โมโหอาโรเปตพโฺ พ “ตสสฺ เต อาวโุ ส อลาภา ตสสฺ เต ทลุ ลฺ ทธฺ ย ตวฺ ปาตโิ มกเฺ ข อทุ ฺทสิ ฺสมาเนน สาธกุ อฏฐฺ ฃึ กตวฺ ามนสกิ โรส”ี ติ อทิ ตสมฺ ึ โมหนเก ปาจติ ตฺ ยิ ๔๗๐. ก็ ภกิ ษุใด เม่ือภิกษุยกปาติโมกข์ขนึ้ แสดงอยู่ทกุ ก่ึงเดือน กล่าวอยา่ งนวี้ ่า“กระผมเพง่ิ ทราบเดย๋ี วนี้เองว่า ทราบวา่ ธรรมแม้นม้ี าในพระสูตร อยใู่ นพระสตู ร มกี ารยกขึ้นแสดงทุกกึ่งเดือน” ถา้ ภิกษุเหลา่ อ่นื จาภิกษุนั้นไดว้ ่า “เม่ือภกิ ษยุ กปาติโมกข์ข้นึแสดงอยู่ ภกิ ษนุ ้ีเคยนั่งอยู่ ๒-๓ คร้ังมาแลว้ ไมจ่ าต้องกลา่ วถงึ มากครั้งยง่ิ กว่า” ภกิ ษนุ ั้นย่อมไมพ่ น้ เพราะความไมร่ ู้ แต่ ภกิ ษนุ นั้ จะต้องอาบตั ใิ ดเพราะประพฤติไม่เหมาะสมนน้ัพึงปรบั อาบัตนิ ้นั ตาม ธรรม และพงึ ยกโมหาโรปนกรรมข้ึนมาปรับเพ่ิมให้ย่ิงขน้ึ ไปอีกวา่ ๔๖๗ กงขฺ า.อ.๒๙๕ (มจร) ๔๖๘ กงขฺ า.อ.๒๙๕ (มจร) ๔๖๙ กงขฺ า.อ.๒๙๕ (มจร) ๔๗๐ ว.ิ มหาวิ. (ไทย) ๒/๔๔๔/๓๙๐,ว.ิ ๒/๔๔๔/๑๙๐(ม)

“ทา่ น ไม่ใชล่ าภของทา่ น ทา่ นไดไ้ มด่ ี ที่เม่อื ภกิ ษุยกปาติโมกข์ขนึ้ แสดงอยู่ ทา่ นไม่ ใส่ใจฟงั ให้สาเรจ็ ประโยชนด์ ว้ ยดี” ต้องอาบตั ปิ าจิตตีย์ เพราะแสร้งทาผู้อน่ื ให้ หลงนัน้ ๑) สถานทีบ่ ญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวัตถ๔ี ๗๑ ๒) บุคคลผู้กอ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภกิ ษุฉัพพัคคยี ์๔๗๒ ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ภิกษุฉัพพัคคีย์แสรง้ ทาให้ผูอ้ ่นืหลงพระฉัพพคั คีย์ ประพฤติอนาจารแลว้ ตัง้ ใจอยู่ว่า ขอภิกษทุ ง้ั หลายจงทราบว่า พวกเราเปน็ ผตู้ ้องอาบตั ิด้วยอาการทไ่ี มร่ ู้ แล้วเมื่อพระวินัยธรยกปาตโิ มกขข์ ้ึนแสดง กลา่ วอยา่ งน้ีวา่ พวกผมเพ่ิงทราบเดี๋ยวนี้เองวา่ ธรรมแม้นี้ก็มาในพระสูตร เน่ืองในพระสูตร มาสอู่ ุเทศทกุ กึ่งเดอื น บรรดาภิกษุทเี่ ปน็ ผู้มักน้อย ตา่ งก็เพง่ โทษติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคยี เ์ ม่ือพระวนิ ัยธรสวดปาตโิ มกขอ์ ยู่ กลา่ วอย่างนว้ี ่าพวกผมเพิ่งทราบเดีย๋ วน้ีเองว่า ธรรมแมน้ ี้กม็ าในพระสูตร เนื่องในพระสตู ร มาสู่อุเทศทุกก่ึงเดือน ดงั นี้แล้วกราบทูลเร่อื งนน้ั แด่พระผมู้ ีพระภาค๔๗๓ ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบัญญัติ๔๗๔ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เป็นข้อบัญญตั ทิ ่วั ไปทั้งภกิ ษุและภิกษุณี๔๗๕ ปหารสกิ ขาบท ๗๔. โย ปน ภกิ ขฺ ุ ภกิ ฺขสุ สฺ กปุ โิ ต อนตตฺ มโน ปหาร ทเทยยฺ ปาจติ ตฺ ยิ ๔๗๖. ก็ ภกิ ษุใดโกรธ ไมพ่ อใจ ทาร้ายภกิ ษุ ต้องอาบัตปิ าจิตตีย์ ๑) สถานท่บี ญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ กรงุ สาวัตถ๔ี ๗๗ ๒) บุคคลผกู้ อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภกิ ษุฉัพพัคคยี ์๔๗๘ ๔๗๑ กงขฺ า.อ.๒๙๖ (มจร) ๔๗๒ กงขฺ า.อ.๒๙๖ (มจร) ๔๗๓ กงขฺ า.อ.๒๙๖ (มจร) ๔๗๔ กงฺขา.อ.๒๙๖ (มจร) ๔๗๕ กงขฺ า.อ.๒๙๖ (มจร) ๔๗๖ ว.ิ มหาวิ. (ไทย) ๒/๔๕๐/๓๙๒,ว.ิ ๒/๔๕๐/๑๙๒(ม) ๔๗๗ กงขฺ า.อ.๒๙๖ (มจร) ๔๗๘ กงฺขา.อ.๒๙๖ (มจร)

๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภกิ ษุฉัพพคั คยี ์โกรธ ไม่พอใจทารา้ ยภกิ ษุพระฉัพพัคคยี ์ โกรธ น้อยใจ ใหป้ ระหารแกพ่ ระสตั ตรสวัคคีย์ พระสัตตรสวัคคยี ์ร้องไห้ ภกิ ษุทง้ั หลายถามว่า อาวโุ สทง้ั หลาย พวกทา่ นร้องไหท้ าไม พระสตั ตรสวัคคยี ต์ อบว่า อาวโุ สท้ังหลาย พระฉัพพคั คีย์เหลา่ น้โี กรธ น้อยใจ ใหป้ ระหารแก่พวกผม. บรรดาภกิ ษุทเี่ ป็นผมู้ กั นอ้ ย ตา่ งกเ็ พง่ โทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคยี ์จึงไดโ้ กรธ น้อยใจ ให้ประหารแก่ภิกษุทง้ั หลายเลา่ แล้วกราบทลู เร่ืองน้ันแด่พระผูม้ พี ระภาค๔๗๙ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ๔๘๐ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เป็นข้อบญั ญตั ิท่ัวไปทั้งภิกษุและภกิ ษุณี๔๘๑ ตลสตั ตกิ สกิ ขาบท ๗๕. โย ปน ภกิ ขฺ ุ ภกิ ขฺ สุ สฺ กุปโิ ต อนตตฺ มโน ตลสตตฺ กิ อุคคฺ เิ รยยฺ ปาจติ ฺตยิ ๔๘๒. ก็ ภกิ ษใุ ดโกรธ ไม่พอใจ เง้ือหอกคือฝา่ มือให้ภิกษุ ต้องอาบัตปิ าจิตตยี ์ ๑) สถานที่บญั ญตั สิ ิกขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวตั ถ๔ี ๘๓ ๒) บคุ คลผกู้ อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภกิ ษุฉัพพัคคยี ์๔๘๔ ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ภิกษฉุ ัพพคั คยี โ์ กรธ ไมพ่ อใจเง้ือหอกคือฝ่ามือใหภ้ กิ ษุพระฉพั พัคคีย์โกรธ นอ้ ยใจ เง้อื หอกคือฝา่ มือขึน้ แก่พระสัตตรสวัคคีย์ พระสตั ตรสวัคคยี ์ หลบประหารแล้วร้องไห้ ภิกษทุ ้ังหลายถามว่าอาวโุ สทง้ั หลายพวกทา่ นร้องไห้ ทาไม พระสัตตรสวัคคยี ์ตอบว่า อาวุโสท้ังหลาย พระฉัพพัคคยี เ์ หล่าน้ีโกรธ นอ้ ยใจ เงือ้ หอกคอื ฝ่ามือขน้ึ แก่พวกผม. บรรดาภกิ ษุท่เี ป็นผมู้ ักนอ้ ย ตา่ งก็เพ่งโทษ ตเิ ตียน โพนทะนาวา่ ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้โกรธ น้อยใจ เง้ือหอกคือฝ่ามือขน้ึ แก่ภิกษุทง้ั หลายเลา่ แลว้ กราบทูลเรอื่ งน้ันแด่พระผมู้ ีพระภาค๔๘๕ ๔๗๙ กงฺขา.อ.๒๙๖ (มจร) ๔๘๐ กงขฺ า.อ.๒๙๖ (มจร) ๔๘๑ กงขฺ า.อ.๒๙๖ (มจร) ๔๘๒ วิ.มหาวิ. (ไทย) ๒/๔๕๕/๓๙๔,วิ.๒/๔๕๔/๑๙๔(ม) ๔๘๓ กงขฺ า.อ.๒๙๖ (มจร) ๔๘๔ กงขฺ า.อ.๒๙๖ (มจร)

๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบัญญตั ิ๔๘๖ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เปน็ ข้อบญั ญัติทวั่ ไปทั้งภกิ ษุและภกิ ษุณี๔๘๗ อมลู กสกิ ขาบท ๗๖. โย ปน ภกิ ฺขุ ภกิ ขฺ ุ อมลู เกน สงฆฺ าทเิ สเสน อนทุ ธฺ เสยยฺ ปาจติ ตฺ ยิ .๔๘๘ ก็ ภกิ ษใุ ดใส่ความภกิ ษุด้วยอาบตั สิ ังฆาทเิ สสท่ีไมม่ ีมลู ต้องอาบัติ ปาจติ ตยี ์ ๑) สถานท่ีบญั ญตั สิ ิกขาบท ไดแ้ ก่ กรงุ สาวัตถ๔ี ๘๙ ๒) บคุ คลผกู้ อ่ เหตุ ได้แก่ ภิกษุฉัพพัคคีย์๔๙๐ ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภิกษฉุ พั พคั คยี ใ์ ส่ความภิกษุดว้ ยอาบัตสิ งั ฆาทิเสสท่ีไม่มีมูลพระฉัพพคั คียโ์ จทภิกษุด้วยอาบตั สิ ังฆาทิเสสไม่มมี ูลบรรดาภิกษทุ เ่ี ปน็ ผู้มักน้อย ต่างกเ็ พ่งโทษ ตเิ ตยี น โพนทะนาวา่ ไฉนพระฉพั พัคคียจ์ ึงได้โจทภิกษดุ ว้ ยอาบัติสงั ฆาทเิ สสไมม่ ีมลู เล่า แลว้ กราบทูลเรอื่ งนัน้ แด่พระผูม้ ีพระภาค๔๙๑ ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบัญญตั ิ๔๙๒ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เป็นขอ้ บญั ญตั ิทว่ั ไปทั้งภิกษุและภิกษุณี๔๙๓ สญั จจิ จสกิ ขาบท ๗๗. โย ปน ภกิ ขฺ ุ ภิกขฺ สุ สฺ สญจฺ จิ จฺ กกุ กฺ จุ จฺ อปุ ทเหยยฺ “อติ สิ สฺ มหุ ตุ ตฺ มปฺ ิอผาสุ ภวสิ สฺ ต”ี ติ เอตเทว ปจจฺ ย กรติ วฺ า อนญญฺ ปาจิตตฺ ยิ ๔๙๔. ก็ ภกิ ษุใดจงใจก่อความราคาญใหแ้ กภ่ กิ ษดุ ว้ ยหวังวา่ “เธอจักไมม่ คี วามผาสกุ แมช้ ั่วครู่ด้วยอุบายนี้” ประสงค์เพยี งเท่าน้ี ไมม่ ีอะไรอ่นื ต้อง อาบตั ปิ าจิตตีย์ ๑) สถานทบ่ี ญั ญตั สิ ิกขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวตั ถ๔ี ๙๕ ๔๘๕ กงขฺ า.อ.๒๙๖ (มจร) ๔๘๖ กงฺขา.อ.๒๙๖ (มจร) ๔๘๗ กงฺขา.อ.๒๙๖ (มจร) ๔๘๘ ว.ิ มหาวิ. (ไทย) ๒/๔๖๐/๓๙๕,วิ.๒/๔๖๐/๑๙๔(ม) ๔๘๙ กงขฺ า.อ.๒๙๗ (มจร) ๔๙๐ กงขฺ า.อ.๒๙๗ (มจร) ๔๙๑ กงฺขา.อ.๒๙๗ (มจร) ๔๙๒ กงขฺ า.อ.๒๙๗ (มจร) ๔๙๓ กงฺขา.อ.๒๙๗ (มจร) ๔๙๔ วิ.มหาวิ. (ไทย) ๒/๔๖๕/๓๙๗,วิ.๒/๔๖๕/๑๙๖(ม)

๒) บุคคลผกู้ อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภิกษุฉัพพัคคยี ์๔๙๖ ๓) มูลเหตุแห่งการบัญญัติสิกขาบท ได้แก่ ภิกษุฉัพพัคคีย์จงใจก่อความราคาญใหแ้ กภ่ กิ ษุพระฉพั พัคคีย์แกล้งก่อความราคาญให้แก่พระสัตตรสวัคคีย์ ด้วยพูดว่าอาวุโสทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ว่า สงฆ์ไม่พึงอุปสมบทบุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปี ดังนี้ ก็พวกท่านมีอายุหย่อน ๒๐ ปี อุปสมบทแล้ว พวกท่านเป็นอนุปสมั บันของพวกเรา กระมัง พระสัตตรสวัคคีย์เหล่านั้นร้องไห้.ภิกษุทั้งหลาย จึงถามอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกท่านร้องไห้ทาไม พระสัตตรสวัคคีย์ตอบว่า อาวุโสทงั้ หลาย พระฉพั พคั คีย์เหล่าน้แี กลง้ ก่อความราคาญใหแ้ กพ่ วกผม. บรรดาภกิ ษทุ ่เี ป็นผ้มู ักนอ้ ย ต่างกเ็ พง่ โทษ ติเตยี น โพนทะนาวา่ ไฉนพระฉัพพคั คยี จ์ ึงได้แกลง้ ก่อความราคาญให้แกภ่ กิ ษุทง้ั หลายเล่า แลว้ กราบทูลเน้ือความนั้นแด่พระผู้มีพระภา๔๙๗ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญตั ิ๔๙๘ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เปน็ ขอ้ บัญญัตทิ ่ัวไปทั้งภิกษุและภกิ ษุณี๔๙๙ อปุ สั สตุ สิ กิ ขาบท ๗๘. โย ปน ภกิ ขฺ ุ ภกิ ฺขนู ภณฑฺ นชาตาน กลหชาตาน ววิ าทาปนนฺ าน อปุ สสฺ ุตึ ตฏิ เฐฃยยฺ “ย อเิ มภณสิ สฺ นตฺ ิ ต โสสสฺ ามี”ติ เอตเทว ปจฺจย กรติ วฺ า อนญญฺ ปาจติ ตฺ ยิ ๕๐๐. ก็ ภิกษุใดยืนแอบฟังภกิ ษุผบู้ าดหมาง ทะเลาะ ววิ าทกนั ด้วย ตง้ั ใจวา่ “เราจะฟงั คาท่ภี กิ ษพุ วกนก้ี ล่าว” ประสงค์เพียงเท่าน้ี ไม่มีอะไรอน่ื ต้องอาบตั ิปาจิตตยี ์ ๑) สถานทบ่ี ญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ กรุงสาวตั ถี๕๐๑ ๒) บุคคลผูก้ อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภกิ ษฉุ ัพพัคคยี ์๕๐๒ ๔๙๕ กงฺขา.อ.๒๙๘ (มจร) ๔๙๖ กงฺขา.อ.๒๙๘ (มจร) ๔๙๗ กงขฺ า.อ.๒๙๘ (มจร) ๔๙๘ กงฺขา.อ.๒๙๘ (มจร) ๔๙๙ กงขฺ า.อ.๒๙๘ (มจร) ๕๐๐ วิ.มหาวิ. (ไทย) ๒/๔๗๐/๓๙๙,วิ.๒/๔๗๐/๑๙๗(ม) ๕๐๑ กงฺขา.อ.๒๙๘ (มจร) ๕๐๒ กงขฺ า.อ.๒๙๘ (มจร)

๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภิกษฉุ พั พคั คยี ์ยนื แอบฟังภกิ ษุผู้บาดหมาง ทะเลาะ วิวาทกันพระฉัพพัคคยี ์ทะเลาะกับพวกภิกษมุ ีศีลเป็นทีร่ กั พวกภิกษุมีศีลเป็นที่รักกล่าวสนทนากันอยู่อย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลายพระฉัพพัคคยี ์ พวกนเ้ี ปน็ อลชั ชี พวกเราไม่อาจจะทะเลาะกับพระพวกน้ีได้ พระฉัพพคั คีย์กลา่ วตอ่ อย่างนวี้ า่ อาวโุ สท้งั หลาย ทาไม พวกทา่ นจึงไดเ้ รยี กพวกเราดว้ ยถอ้ ยคาวา่ อลัชชี พวกภกิ ษุผู้มีศลี เป็นท่รี ักถามว่า อาวุโสทงั้ หลาย พวกท่านได้ยนิ มาแต่ที่ไหน พระฉัพพคั คยี ์ตอบวา่ เรายนื แอบฟังพวกทา่ นอยู่ บรรดาภกิ ษุท่ีเป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ตเิ ตียน โพนทะนาวา่ เม่ือภกิ ษุท้งั หลายเกิดหมางกัน เกิดทะเลาะกัน ถึงการวิวาทกนั ไฉนพระฉัพพัคคียจ์ ึงไดย้ ืนแอบฟงัอยเู่ ลา่ แลว้ กราบทูลเน้ือความน้ันแดพ่ ระผมู้ ีพระภาค๕๐๓ ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบัญญัติ๕๐๔ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เปน็ ขอ้ บญั ญัตทิ ่ัวไปท้ังภิกษุและภกิ ษุณี๕๐๕ กมั มปั ปฏพิ าหนสิกขาบท ๗๙. โย ปน ภกิ ฺขุ ธมฺมกิ าน กมมฺ าน ฉนทฺ ทตวฺ า ปจฺฉา ขยี นธมมฺ อาปชฺเชยยฺ ปาจติ ตฺ ยิ ๕๐๖. ก็ ภิกษุใดให้ฉันทะเพื่อกรรมทีท่ าถูกตอ้ งแล้ว กลบั ตเิ ตยี นในภายหลัง ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ๑) สถานทีบ่ ญั ญตั สิ ิกขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวตั ถ๕ี ๐๗ ๒) บคุ คลผกู้ อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภกิ ษฉุ ัพพัคคยี ์๕๐๘ ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ภกิ ษุฉัพพัคคยี ์ใหฉ้ ันทะเพื่อกรรมทีท่ าถูกต้องแล้ว กลบั ติเตยี นในภายหลงั พระฉพั พคั คียป์ ระพฤตอิ นาจารแล้ว เม่ือการกสงฆ์ทากรรมแก่ภกิ ษแุ ต่ละรปู อยู่ ยอ่ มคดั คา้ น ครนั้ สงฆป์ ระชมุ กนั ดว้ ยกรรมบางอยา่ งทีส่ งฆ์จะตอ้ งทา พระฉพั พคั คียส์ าละวนทาจีวรกรรมกนั อยู่ ไดใ้ ห้ฉันทะไปแก่ ๕๐๓ กงขฺ า.อ.๒๙๘ (มจร) ๕๐๔ กงฺขา.อ.๒๙๘ (มจร) ๕๐๕ กงขฺ า.อ.๒๙๘ (มจร) ๕๐๖ วิ.มหาวิ. (ไทย) ๒/๔๗๕/๔๐๒,ว.ิ ๒/๔๗๕/๑๙๙(ม) ๕๐๗ กงฺขา.อ.๒๙๙-๓๐๓ (มจร) ๕๐๘ กงขฺ า.อ.๒๙๙-๓๐๓ (มจร)

พระรปู หนง่ึ ทนั ใด สงฆจ์ งึ กล่าวว่า อาวโุ สท้งั หลาย ภิกษุรูปนเี้ ปน็ พวกพระฉัพพคั คยี ์มารูปเดียว ฉะนั้น พวกเราจะทากรรมแก่เธอ ดังนี้ แล้วได้ทากรรมแก่พระฉัพพัคคียร์ ูปนน้ัเมือ่ เสรจ็ แลว้ ภกิ ษุฉพั พัคคยี ์รูปน้นั ได้เข้าไปหาพระฉัพพัคคีย์ พระฉัพพัคคยี ์ถามภิกษุรูปน้ันวา่ อาวโุ ส สงฆ์ได้ทาอะไร ภิกษุรูปนั้นตอบว่า สงฆ์ได้ทากรรมแก่ผม ขอรับ พระฉัพพัคคีย์กล่าวว่าอาวโุ ส เราไม่ได้ให้ฉันทะไปเพื่อหมายถึงกรรมนี้ว่า สงฆ์จักทากรรมแก่ท่าน ถ้าเราทราบวา่ สงฆ์จกั ทากรรมแก่ท่าน เราจะไม่พงึ ให้ฉันทะไป บรรดาภกิ ษทุ เี่ ป็นผมู้ ักนอ้ ย ตา่ งกเ็ พ่งโทษ ตเิ ตียน โพนทะนาวา่ ไฉนพระฉัพพคั คยี ์ใหฉ้ ันทะเพ่ือกรรมอนั เปน็ ธรรมแลว้ จึงได้ถึงความบน่ วา่ ในภายหลังเล่าแลว้ กราบทลู เร่ืองนั้นแด่พระผมู้ พี ระภาค.๕๐๙ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบญั ญตั ิ๕๑๐ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เป็นข้อบญั ญตั ิทัว่ ไปทั้งภิกษุและภิกษุณี๕๑๑ ฉนั ทงั อทตั วาคมนสกิ ขาบท ๘๐. โย ปน ภกิ ขฺ ุ สงเฺ ฆ วนิ จิ ฺฉยกถาย วตตฺ มานาย ฉนทฺ อทตวฺ า อฏุ ฐฺ ฃายาสนา ปกฺกเมยยฺ ปาจติ ตฺ ยิ ๕๑๒. ก็ ภกิ ษใุ ด เม่ือยังมีเร่ืองท่ตี ้องวนิ จิ ฉยั ในสงฆ์ ไม่ให้ฉนั ทะแล้วลุกจากอาสนะจากไป ต้องอาบตั ปิ าจติ ตยี ์ ๑) สถานท่ีบญั ญตั สิ ิกขาบท ได้แก่ กรุงสาวัตถ๕ี ๑๓ ๒) บคุ คลผกู้ อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภกิ ษรุ ูปหนึ่ง๕๑๔ ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภิกษุรปู หน่งึ ไม่ใหฉ้ ันทะแล้วลุกจากอาสนะจากไปสงฆป์ ระชมุ กนั ด้วยกรรมบางอย่างทีส่ งฆจ์ ะต้องทา พระฉัพพัคคยี ์ ๕๐๙ กงฺขา.อ.๒๙๙-๓๐๓ (มจร) ๕๑๐ กงฺขา.อ.๒๙๙-๓๐๓ (มจร) ๕๑๑ กงฺขา.อ.๒๙๙-๓๐๓ (มจร) ๕๑๒ ว.ิ มหาวิ. (ไทย) ๒/๔๘๐/๔๐๓,วิ.๒/๔๘๐/๒๐๐(ม) ๕๑๓ กงขฺ า.อ.๓๐๔ (มจร) ๕๑๔ กงฺขา.อ.๓๐๔ (มจร)

สาละวนทาจีวรกรรมกนั อยู่ ไดใ้ หฉ้ นั ทะไปแก่ภิกษุรปู หนึ่ง ถงึ ก็พอดสี งฆ์ตั้งญัตตแิ ล้วว่าสงฆ์ประชุมกนั เพื่อประสงคท์ ากรรมใด พวกเราจกั ทากรรมน้ัน ดังนี้. ภิกษุรปู นั้นจึงพูดข้ึนว่า ภิกษุเหล่านท้ี ากรรมแกภ่ กิ ษุแต่ละรปู อย่างนี้ พวกทา่ นจกั ทากรรมแก่ใครกัน แล้วไมใ่ หฉ้ นั ทะ ลุกจากอาสนะหลกี ไป บรรดาภิกษทุ ่ีเปน็ ผู้มกั นอ้ ย ตา่ งก็เพง่ โทษ ตเิ ตียน โพนทะนาวา่ ไฉน ภิกษุเมอ่ื เร่อื งอันจะพงึ วินิจฉยั ยังเป็นไปอยใู่ นสงฆ์ จงึ ได้ไม่ใหฉ้ ันทะ ลุกจากอาสนะหลีกไปเลา่แลว้ กราบทลู เรอื่ งนัน้ แด่พระผู้มพี ระภาค๕๑๕ ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ๕๑๖ ๕) ประเภทของบญั ญัติ เปน็ ขอ้ บัญญตั ทิ ่วั ไปท้ังภกิ ษุและภิกษุณี๕๑๗ ปริณามนสกิ ขาบท ๘๒. โย ปน ภกิ ขฺ ุ ชาน สงฆฺ กิ ลาภ ปริณต ปคุ ฺคลสสฺ ปริณาเมยยฺ ปาจติ ฺตยิ ๕๑๘. ก็ ภิกษุใดรอู้ ยู่ น้อมลาภที่เขาน้อมไว้เป็นของจะถวายสงฆ์ไปเพื่อบุคคล ต้องอาบัติปาจิตตยี ์ ๑) สถานที่บญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ กรุงสาวตั ถ๕ี ๑๙ ๒) บคุ คลผูก้ อ่ เหตุ ได้แก่ ภกิ ษุฉัพพัคคีย์๕๒๐ ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภิกษุฉัพพัคคีย์รู้อยนู่ ้อมลาภที่เขาน้อมไวเ้ ป็นของจะถวายสงฆ์ไปเพอื่ บุคคลในพระนครสาวตั ถี มีชาวบ้านหมู่หนึ่งได้จดัอาหารพร้อมทัง้ จวี รไวเ้ พ่อื สงฆ์ ด้วยหมายใจวา่ ให้ท่านฉันแลว้ จกั ใหค้ รองจวี ร. คร้งั นั้นแลพวกพระฉัพพัคคีย์ไดเ้ ข้าไปหาชาวบา้ นหมู่น้ันแล้วกลา่ วว่า ท่านท้ังหลาย ขอจงถวายจวี รเหล่าน้ีแก่ภิกษุพวกนเ้ี ถดิ . ชาวบ้านหม่นู ั้นกล่าวว่า ทา่ นเจา้ ข้า พวกกระผมจัดถวายไม่ได้ เพราะพวกกระผมไดจ้ ัดอาหารพร้อมทั้งจีวรไวเ้ พ่ือสงฆ์ ทุกๆ ป.ี ๕๑๕ กงขฺ า.อ.๓๐๔ (มจร) ๕๑๖ กงฺขา.อ.๓๐๔ (มจร) ๕๑๗ กงขฺ า.อ.๓๐๔ (มจร) ๕๑๘ วิ.มหาวิ. (ไทย) ๒/๔๙๐/๔๐๘,วิ.๒/๔๙๐/๒๐๔(ม) ๕๑๙ กงฺขา.อ.๒๒๔ (มจร) ๕๒๐ กงฺขา.อ.๒๒๔ (มจร)

พระฉัพพคั คยี ์กลา่ วว่า ท่านทั้งหลาย ทายกผถู้ วายแกส่ งฆ์มีจานวนมากอาหารสาหรับสงฆ์ก็มีมาก ภิกษเุ หลา่ นอ้ี าศัยพวกทา่ น เห็นอยู่แต่พวกท่าน จงึ อยู่ในท่นี ้ีหากพวกท่านจักไมใ่ ห้แกภ่ ิกษุเหลา่ นี้ ก็บดั นี้ ใครเลา่ จักใหแ้ ก่ภิกษเุ หลา่ นี้ ขอท่านทงั้ หลาย จงให้จวี รเหลา่ นแี้ ก่ภิกษพุ วกนีเ้ ถิด. เมอื่ ชาวบา้ นพวกน้ัน ถูกพระฉพั พคั คยี แ์ คน่ ได้ จึงไดถ้ วายจวี รตามทีไ่ ด้จัดไว้แก่พวกพระฉพั พัคคียไ์ ป แลว้ องั คาสสงฆ์ด้วยอาหารอย่างเดยี ว. บรรดาภกิ ษทุ ท่ี ราบว่าอาหารพร้อมทง้ั จีวรท่ีเขาจัดไว้ถวายสงฆ์มี แต่ไม่ทราบว่า เขาได้ถวายจีวรแก่พระฉัพพัคคีย์ไปแล้ว ได้กลา่ วข้ึนอย่างน้ีวา่ ทา่ นท้ังหลาย ขอจงถวายจีวรแก่สงฆ์เถิด. ชาวบา้ นหมู่นนั้ กล่าววา่ ท่านเจ้าขา้ จีวรตามทไ่ี ดจ้ ดั ไวไ้ ม่มี เจา้ ข้า เพราะพระคุณเจ้า เหลา่ ฉัพพัคคยี ์ได้น้อมไปเพื่อพระคุณเจ้าเหลา่ ฉัพพัคคีย์ดว้ ยกันแลว้ . บรรดาภิกษุที่เป็นผ้มู ักน้อย ตา่ งก็เพง่ โทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคยี ร์ ู้อยู่ จึงได้น้อมลาภทเี่ ขานอ้ มไปจะถวายสงฆ์มาเพ่ือบุคคลเล่า แลว้ กราบทลู เรือ่ งนนั้ แด่พระผมู้ ีพระภาค๕๒๑ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ๕๒๒ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เปน็ ขอ้ บญั ญัติทวั่ ไปทั้งภกิ ษุและภิกษุณี๕๒๓ รตนวรรคอันเตปรุ สกิ ขาบท๘๓. โย ปน ภกิ ฺขุ รญโฺ ญ ขตตฺ ยิ สสฺ มทุ ธฺ าภสิ ติ ตฺ สสฺ อนกิ ฺขนตฺ ราชเกอนคิ ฺคตรตนเก ปพุ เฺ พอปปฺ ฏสิ วทิ โิ ต อนิ ทฺ ขลี อตกิ ฺกาเมยยฺ ปาจติ ตฺ ยิ .๕๒๔ก็ ภิกษุใดไม่ได้รับแจง้ ลว่ งหน้า ก้าวล่วงธรณีประตูเขา้ ไปในตาหนกั ที่บรรทมของพระราชาผ้เู ป็นกษตั ริยท์ ่ีไดร้ ับมูรธาภเิ ษกแล้ว ทพ่ี ระราชายงั ไมเ่ สดจ็ ออก ทน่ี างรัตนะยงั ไมเ่ สด็จออก ต้องอาบตั ิปาจิตตีย์๑) สถานท่บี ญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวัตถ๕ี ๒๕๕๒๑ กงขฺ า.อ.๒๒๔ (มจร)๕๒๒ กงฺขา.อ.๒๒๔ (มจร)๕๒๓ กงขฺ า.อ.๒๒๔ (มจร)๕๒๔ ว.ิ มหาวิ. (ไทย) ๒/๔๙๘/๔๑๕,วิ.๒/๔๙๘/๒๐๙(ม)

๒) บคุ คลผู้กอ่ เหตุ ไดแ้ ก่ พระอานนท์๕๒๖ ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ทา่ นพระอานนทย์ ังไม่ได้รบัแจ้งลว่ งหน้า เข้าไปในพระราชฐานช้ันในของพระราชาพระเจา้ ปเสนทิโกศลประทับอยู่ณ พระมหาปราสาทชนั้ บน ไดท้ อดพระเนตรเหน็ อบุ าสกนัน้ เดนิ ก้ันรม่ ไปตามถนน จึงโปรดให้เชิญตัวมาเฝา้ แล้วรับส่งั วา่ ดกู รอุบาสกได้ทราบว่า เธอเป็นพหูสตู เป็นคนเล่าเรียนพระปรยิ ตั ธิ รรมมาก ดลี ะ อุบาสก ขอเธอจงช่วยสอนธรรมแกฝ่ า่ ยในของเรา. อุบาสกน้นั กราบทูลวา่ ขอเดชะ ขา้ พระพทุ ธเจ้ารธู้ รรมด้วยอานาจแห่งพระคณุ เจา้ ทงั้ หลาย พระคุณเจ้าเท่าน้ัน จักสอนธรรมแกฝ่ ่ายในของใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทได้. พระเจ้าปเสนทโิ กศลรบั สั่งข้นึ ในขณะนั้นวา่ อุบาสกพดู จริงแท้ ดงั นีแ้ ล้วเข้าไปเฝ้าพระผมู้ ีพระภาค ถวายบงั คมแล้วประทับนั่ง ณ ราชอาสน์อันสมควรส่วนข้างหน่ึงกราบทลู ว่าขา้ พระพุทธเจา้ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระองคท์ รงพระกรุณาโปรดให้ภิกษุรูปหน่ึง ไปเป็นผสู้ อนธรรมแก่ฝา่ ยในของหม่อมฉนั ดว้ ยเถิด พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้พระเจ้าปเสนทิโกศลทรงเห็นแจ้ง สมาทานอาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา ครั้นพระเจ้าปเสนทิโกศล อันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจง ให้ทรงเหน็ แจง้ สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว เสด็จลุกจากที่ประทับ ถวายบงั คมพระผู้มีพระภาค ทรงทาประทักษิณเสด็จกลับไปแล้ว.ทรงแต่งตั้งท่านพระอานนท์เปน็ ครสู อนธรรม ลาดบั นั้น พระผมู้ ีพระภาคตรสั เรียกท่านพระอานนทม์ ารบั สงั่ ว่า ดูกรอานนท์ถา้ เช่นน้นั เธอจงสอนธรรมแก่ฝ่ายในของพระเจ้าแผ่นดนิ . ท่านพระอานนท์ ทลู รับสนองพระพุทธดารัสแลว้ เขา้ ไปสอนธรรมแกฝ่ ่ายในของพระเจ้าแผ่นดินทุกเวลา ตอ่ มาเชา้ วนั หนึง่ ท่านพระอานนทค์ รองอันตรวาสกแล้วถอืบาตร จวี ร เข้าไปสู่พระราชนิเวศน์ ขณะน้ัน พระเจา้ ปเสนทโิ กศลประทบั อยู่ในหอ้ งพระบรรทมกบั พระนางมัลลกิ าเทวพี ระนางได้ทอดพระเนตรเห็นท่านพระอานนท์มาแตไ่ กลเทยี ว จงึ ผลผี ลามลกุ ข้นึ พระภษู าทรงสเี หลอื งเลียนได้เลื่อนหลดุ ทา่ นพระอานนทก์ ลบัจากสถานทน่ี นั้ ในทนั ที ไปถึงอารามแลว้ แจ้งเรอื่ งนนั้ แก่ภกิ ษทุ งั้ หลาย บรรดาภิกษุทีเ่ ป็น ๕๒๕ กงฺขา.อ.๓๑๑ (มจร) ๕๒๖ กงฺขา.อ.๓๑๑ (มจร)

ผู้มกั น้อย ตา่ งก็เพ่งโทษ ตเิ ตียน โพนทะนาว่า ไฉน ทา่ นพระอานนท์ ยงั ไมไ่ ดร้ ับบอกกอ่ นจึงไดเ้ ข้าสู่พระราชฐานชนั้ ในเลา่ แล้วกราบทูลเรอื่ งนนั้ แดพ่ ระผูม้ ีพระภาค.๕๒๗ ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบัญญตั ิ๕๒๘ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เปน็ ข้อบญั ญตั เิ ฉพาะภกิ ษุ๕๒๙ รตั นสกิ ขาบท ๘๔. โย ปน ภกิ ขฺ ุ รตน วา รตนสมมฺ ต วา อญญฺ ตรฺ อชฌฺ ารามา วาอชฌฺ าวสถา วา อุคคฺ ณเฺ หยยฺ วา อุคคฺ ณฺหาเปยยฺ วา ปาจติ ตฺ ยิ . รตน วา ปน ภิกขฺ นุ า รตนสมมฺ ต วา อชฌฺ าราเม วา อชฌฺ าวสเถ วา อคุ ฺคเหตฺวา วา อคุ คฺ หาเปตวฺ า วา นกิ ขฺ ปิ ติ พฺพ “ยสสฺ ภวสิ สฺ ติ โส หรสิ สฺ ตี”ติ อย ตตฺถ สามจี ิ๕๓๐. อนง่ึ ภิกษุใดเกบ็ หรอื ใชใ้ หเ้ กบ็ รัตนะหรอื ของท่ีสมมติว่าเปน็ รตั นะ ตอ้ งอาบัติปาจิตตยี ์ เว้นไว้แตใ่ นอารามหรือในท่ีพกั อนง่ึ ภิกษุพึงเก็บหรือใชใ้ หเ้ ก็บรตั นะหรือของท่ีสมมตวิ ่าเป็นรตั นะในอารามหรือในที่พกั แล้วรกั ษาไว้ด้วยตง้ั ใจว่า เจ้าของจะรับคืนไป นี้เปน็ การทาที่สมควรในเรื่องน้ัน ๑) สถานท่บี ญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวัตถ๕ี ๓๑ ๒) บุคคลผูก้ อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภกิ ษรุ ปู หนงึ่ ๕๓๒ ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ภกิ ษุรูปหนง่ึ เกบ็ รตั นะภกิ ษุรปูหนึ่งอาบนา้ อยใู่ นแมน่ า้ อจริ วดีแมพ้ ราหมณค์ นหน่งึ วางถงุ เงินประมาณ ๕๐๐ กษาปณ์ไว้บนบก แลว้ ลงอาบน้าในแม่น้าอจริ วดีเสรจ็ แลว้ ได้ลืมถงุ ทรัพยน์ ้นั ไว้ ไปแล้ว จงึ ภิกษนุ ้นั ได้เก็บไว้ดว้ ยสาคัญว่า นี้ถุงทรัพย์ของพราหมณ์นั้น อย่าไดห้ ายเสยี เลย ฝ่ายพราหมณน์ ้ันนึกขึน้ ได้ รีบวิง่ มาถามภกิ ษนุ นั้ วา่ ขา้แตพ่ ระคุณเจ้าพระคุณเจ้าเหน็ ถงุ ทรัพย์ของขา้ พเจ้าบ้างไหม ภกิ ษนุ ั้นได้คืนให้พรอ้ มกบักล่าววา่ เชิญรบั ไปเถิด ทา่ นพราหมณ์. ๕๒๗ กงฺขา.อ.๓๑๑ (มจร) ๕๒๘ กงฺขา.อ.๓๑๑ (มจร) ๕๒๙ กงฺขา.อ.๓๑๑ (มจร) ๕๓๐ ว.ิ มหาวิ. (ไทย) ๒/๕๐๕/๔๑๙,ว.ิ ๒/๕๐๕/๒๑๒(ม) ๕๓๑ กงฺขา.อ.๓๑๒ (มจร) ๕๓๒ กงขฺ า.อ.๓๑๒ (มจร)

พราหมณฉ์ ุกคดิ ข้ึนได้ในขณะนนั้ วา่ ด้วยอบุ ายอย่างไรหนอ เราจึงจะไม่ต้องให้คา่ ไถ่ร้อยละหา้ แกภ่ ิกษุน้ี จึงพูดเปน็ เชงิ ขู่ขน้ึ ว่า ทรพั ย์ของขา้ พเจา้ ไม่ใช่ ๕๐๐ กษาปณ์ของข้าพเจ้า๑,๐๐๐ กษาปณ์ ดังน้ี แลว้ ปล่อยตัวไป คร้นั ภิกษุนน้ั ไปถึงพระอารามแลว้ได้แจง้ เร่ืองน้นั แก่ภิกษุทั้งหลาย. บรรดาภิกษทุ ี่เปน็ ผมู้ กั นอ้ ย ตา่ งก็เพ่งโทษ ตเิ ตียน โพนทะนาวา่ ไฉน ภกิ ษุจึงได้เก็บเอาส่งิ รตนะเล่า แล้วกราบทูลเรือ่ งนนั้ แด่พระผู้มพี ระภาค๕๓๓ ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ ๒ พระอนบุ ัญญัติ๕๓๔ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เปน็ ข้อบัญญตั ทิ ่วั ไปทั้งภิกษุและภิกษุณี๕๓๕ วกิ าลคามปั ปเวสนสกิ ขาบท ๘๕. โย ปน ภกิ ขฺ ุ สนตฺ ภกิ ขฺ ุ อนาปจุ ฺฉา วกิ าเล คาม ปวเิ สยยฺ อญญฺ ตรฺ ตถารปู า อจจฺ ายกิ า กรณยี า ปาจติ ฺตยิ ๕๓๖. อนง่ึ ภกิ ษุใดไม่บอกลาภกิ ษุท่ีมีอยู่แลว้ เข้าหมูบ่ ้านในเวลาวิกาล ตอ้ งอาบัติปาจิตตยี ์ เวน้ ไวแ้ ต่มเี หตจุ าเป็นรบี ดว่ นเชน่ น้นั ๑) สถานทีบ่ ญั ญตั สิ ิกขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวตั ถ๕ี ๓๗ ๒) บุคคลผ้กู อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภกิ ษุฉัพพัคคีย์๕๓๘ ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภิกษฉุ พั พัคคยี ์ไม่บอกลาภิกษุท่ีมีอยู่แลว้ เข้าหม่บู ้านในเวลาวกิ าลพระฉัพพคั คยี ์เขา้ บ้านในเวลาวกิ าลแลว้ น่งั ในทชี่ ุมนุมกล่าวดริ จั ฉานกถามเี รื่องต่างๆ คือ เร่ืองพระราชา เรื่องโจร เร่อื งมหาอามาตย์เร่ืองขุนพลเรื่องภัย เร่ืองรบ เรื่องขา้ ว เรื่องนา้ เรอื่ งผา้ เรอื่ งทนี่ อน เร่ืองดอกไม้ เรอ่ื งของหอม เรื่องญาติ เร่ืองยาน เรอ่ื งบา้ น เร่ืองนิคม เรื่องนคร เร่ืองชนบท เรือ่ งสตรี เร่ืองสรุ า เรื่องตรอกเรอื่ งทา่ นา้ เร่ืองคนทีล่ ่วงลับไปแล้ว เรอ่ื งเบด็ เตลด็ เรอ่ื งโลก เรอ่ื งทะเลเร่ืองความเจรญิและความเสื่อม ด้วยประการนัน้ ๆ ๕๓๓ กงฺขา.อ.๓๑๒ (มจร) ๕๓๔ กงฺขา.อ.๓๑๒ (มจร) ๕๓๕ กงขฺ า.อ.๓๑๒ (มจร) ๕๓๖ ว.ิ มหาวิ. (ไทย) ๒/๕๑๒/๔๒๔,วิ.๒/๕๑๒/๒๑๕(ม) ๕๓๗ กงขฺ า.อ.๓๑๔ (มจร) ๕๓๘ กงฺขา.อ.๓๑๔ (มจร)

ชาวบา้ นพากันเพง่ โทษ ตเิ ตยี น โพนทะนาว่า ไฉนพวกพระสมณะเชอื้ สายพระศากยบตุ รจึงได้เข้าบ้านในเวลาวิกาล แล้วนง่ั ในท่ชี มุ นุมชน กลา่ วดิรจั ฉานกถาเร่ืองตา่ งๆคอื เร่ืองพระราชาเรอื่ งโจร เรอ่ื งความเจริญและความเสอ่ื ม ดว้ ยประการนั้นๆ เหมือนพวกคฤหสั ถผ์ ูบ้ รโิ ภคกามเล่าภกิ ษุท้งั หลายไดย้ นิ ชาวบ้านพวกน้นั เพง่ โทษ ติเตยี นโพนทะนาอย.ู่ บรรดาภิกษุที่เป็นผ้มู กั น้อย ต่างก็เพ่งโทษ ตเิ ตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพคั คยี ์จึงได้เข้าบ้านในเวลาวกิ าลแลว้ น่งั ในท่ชี มุ นุมชน กลา่ วดิรัจฉานกถามีเรือ่ งต่างๆ คอื พดู เร่ืองพระราชา เรอื่ งความเจริญและความเสอื่ มด้วยประการน้ันๆ เล่า๕๓๙ ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบญั ญตั ิ ๓ พระอนบุ ัญญัติ๕๔๐ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เป็นข้อบัญญตั ิเฉพาะภิกษุ๕๔๑ มัญจปฐี สกิ ขาบท ๘๗. นว ปน ภิกขฺ นุ า มญจฺ วา ปฐี ฃ วา การยมาเนน อฏฐฺ ฃงคฺ ลุ ปาทกกาเรตพฺพ สคุ ตงคฺ เุ ลน อญฺญตรฺ เหฏฐฺ ฃมิ าย อฏนยิ า. ต อตกิ กฺ ามยโต เฉทนก ปาจติ ตฺ ยิ ๕๔๒. ก็ ภิกษผุ ูจ้ ะทาเตียงหรือตั่งใหม่ พงึ ทาใหม้ ีเท้าเพยี ง ๘ นิว้ โดยน้วิ สุคต นับแต่แมแ่ คร่ลงมา ทาให้เกนิ กว่ากาหนดนัน้ ตอ้ งอาบัติปาจติ ตีย์ ทีช่ อ่ื ว่าเฉทนกะ ๑) สถานที่บญั ญตั สิ ิกขาบท ไดแ้ ก่ กรงุ สาวตั ถ๕ี ๔๓ ๒) บคุ คลผู้กอ่ เหตุ ได้แก่ พระอปุ นันทศากยบุตร๕๔๔ ๓) มูลเหตุแห่งการบัญญัติสิกขาบท ได้แก่ พระอุปนันทศากยบุตรนอนบนเตียงสูงทา่ นพระอปุ นันทศากยบตุ รกาลงั นอนอยบู่ นเตียงนอนอันสูง พอดีพระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกตามเสนาสนะ พร้อมด้วยภิกษุเป็นอันมาก ผ่านเข้าไปทางที่อยู่ของท่านพระอุปนันทศากยบตุ ร ทา่ นพระอุปนันทศากยบตุ รได้แลเห็นพระผ้มู ีพระภาคเสด็จมาแต่ไกลเทียวครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ขอเชิญเสด็จทอดพระเนตร เตียงนอนของขา้ พระพุทธเจา้ พระพทุ ธเจ้าข้า. ๕๓๙ กงขฺ า.อ.๓๑๔ (มจร) ๕๔๐ กงขฺ า.อ.๓๑๔ (มจร) ๕๔๑ กงขฺ า.อ.๓๑๔ (มจร) ๕๔๒ วิ.มหาวิ. (ไทย) ๒/๕๒๒/๔๒๘,วิ.๒/๕๒๒/๒๑๘(ม) ๕๔๓ กงฺขา.อ.๓๑๕ (มจร) ๕๔๔ กงขฺ า.อ.๓๑๕ (มจร)

จึงพระผู้มีพระภาคเสด็จกลับจากทีน่ ้นั แลว้ รบั สั่งกะภกิ ษทุ ้ังหลายวา่ ดูกรภกิ ษทุ ั้งหลายพวกเธอพึงทราบโมฆบรุ ษุ เพราะทอี่ ยู่อาศัย ครน้ั แล้วทรงตเิ ตยี นท่านพระอุปนันทศากยบตุ รโดยอเนกปรยิ าย๕๔๕ ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบญั ญตั ิ๕๔๖ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เป็นขอ้ บญั ญตั ทิ ่ัวไปท้ังภกิ ษุและภิกษุณี๕๔๗ ตโู ลนทั ธสกิ ขาบท ๘๘. โย ปน ภกิ ขฺ ุ มญจฺ วา ปฐี ฃ วา ตโู ลนทธฺ การาเปยยฺ อทุ ฺทาลนก ปาจติ ฺตยิ ๕๔๘. ก็ ภิกษใุ ดทาเตยี ง หรือตั่งหุ้มน่นุ ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตยี ์ ท่ีช่ือว่า อุททาลนกะ ๑) สถานท่บี ญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ กรุงสาวัตถ๕ี ๔๙ ๒) บุคคลผ้กู อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภกิ ษฉุ ัพพัคคยี ์๕๕๐ ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภกิ ษุฉัพพัคคีย์ให้ทาเตยี งหรอืต่ังหมุ้ ดว้ ยนุ่นพระฉัพพคั คยี ใ์ ห้ทาเตียงบ้าง ตัง่ บ้าง ยดั ด้วยนุน่ พวกชาวบ้านเท่ยี วไปทางวหิ ารเห็นเข้าแล้ว ตา่ งพากันเพง่ โทษ ติเตียน โพนทะนาวา่ ไฉนพระสมณะเช้ือสายพระศากยบุตรจึงไดใ้ ห้ทาเตยี งบ้าง ต่งั บ้าง ยัดดว้ ยนนุ่ เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามเล่าภิกษทุ ง้ั หลาย ไดย้ ินชาวบา้ นเหลา่ น้นั เพง่ โทษ ตเิ ตยี น โพนทะนาอยู่ บรรดาภกิ ษทุ ี่เปน็ ผู้มักนอ้ ย ต่างก็เพ่งโทษ ตเิ ตยี น โพนทะนาว่า ไฉนพระฉพั พัคคยี ์จึงได้ให้ทาเตียงบ้าง ต่ังบา้ ง ยดั ดว้ ยนนุ่ เลา่ แลว้ กราบทูลเรือ่ งนัน้ แด่พระผ้มู ีพระภา๕๕๑ ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบัญญัติ ๕๕๒ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เปน็ ข้อบัญญตั ทิ ่วั ไปทั้งภิกษุและภกิ ษุณี๕๕๓ ๕๔๕ กงขฺ า.อ.๓๑๕ (มจร) ๕๔๖ กงขฺ า.อ.๓๑๕ (มจร) ๕๔๗ กงฺขา.อ.๓๑๕ (มจร) ๕๔๘ วิ.มหาวิ. (ไทย) ๒/๕๒๒/๔๒๘,ว.ิ ๒/๕๒๒/๒๑๘(ม) ๕๔๙ กงฺขา.อ.๓๑๕ (มจร) ๕๕๐ กงฺขา.อ.๓๑๕ (มจร) ๕๕๑ กงฺขา.อ.๓๑๕ (มจร) ๕๕๒ กงฺขา.อ.๓๑๕ (มจร) ๕๕๓ กงขฺ า.อ.๓๑๕ (มจร)

นสิ ีทนสกิ ขาบท ๘๙. นสิ ที น ปน ภิกขฺ นุ า การยมาเนน ปมาณกิ กาเรตพพฺ ตตรฺ ทิ ปมาณ ทฆีโส ทฺเว วทิ ตถฺ โิ ยสคุ ตวทิ ตฺถยิ า ตริ ยิ ทยิ ฑฒฺ ทสา วทิ ตถฺ .ิ ต อตกิ กฺ ามยโต เฉทนก ปาจติ ตฺ ยิ .๕๕๔ อนึ่ง ภกิ ษผุ ู้จะทาผา้ รองนง่ั พึงทาใหไ้ ด้ขนาด ขนาดในขอ้ นั้น คอื ยาว ๒ คืบกว้างคืบครึ่ง ชายคืบหน่ึง โดยคบื สุคต ทาใหเ้ กินขนาดนัน้ ตอ้ งอาบัติปาจิตตยี ์ท่ชี ่ือวา่ เฉทนกะ ๑) สถานทบ่ี ญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ กรงุ สาวัตถ๕ี ๕๕ ๒) บุคคลผู้กอ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภกิ ษฉุ ัพพัคคีย์๕๕๖ ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภกิ ษฉุ ัพพัคคียใ์ ชผ้ า้ รองน่งัไมไ่ ด้ขนาดพระผู้มพี ระภาคทรงอนญุ าตผา้ สาหรับนั่งแก่ภกิ ษุทั้งหลายแล้ว พระฉัพพัคคยี ์ทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนญุ าตผ้าสาหรบั น่งั แล้ว จงึ ใชผ้ ้าสาหรบั นง่ั ไมม่ ปี ระมาณใหห้ ้อยลงข้างหน้าบ้าง ข้างหลงั บา้ ง แห่งเตยี งบ้าง แหง่ ตัง่ บ้างบรรดาภกิ ษทุ เ่ี ป็นผู้มักนอ้ ย ... ต่างกเ็ พ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพคั คีย์จึงได้ใช้ผ้าสาหรับนั่งไมม่ ปี ระมาณเลา่ แล้วกราบทูลเร่ืองนนั้ แดพ่ ระผูม้ ีพระภาค๕๕๗ ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบัญญัติ ๑ พระอนบุ ัญญตั ิ๕๕๘ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เปน็ ขอ้ บัญญัตทิ ั่วไปท้ังภกิ ษุและภกิ ษุณี๕๕๙ กัณฑปุ ปฏจิ ฉาทสิ ิกขาบท ๙๐. กณฺฑปุ ปฺ ฏจิ ฉฺ าทึ ปน ภกิ ฺขนุ า การยมาเนน ปมาณกิ า กาเรตพพฺ า ตตฺริท ปมาณ ทีฆโส จตสโฺ ส วทิ ตถฺ โิ ย สคุ ตวทิ ตถฺ ยิ า ตริ ยิ ทเฺ ว วิทตถฺ โิ ย. ต อตกิ กฺ ามยโต เฉทนก ปาจติ ตฺ ยิ ๕๖๐. ๕๕๔ วิ.มหาวิ. (ไทย) ๒/๕๓๓/๔๓๓,วิ.๒/๕๓๓/๒๒๑(ม) ๕๕๕ กงฺขา.อ.๓๑๖ (มจร) ๕๕๖ กงขฺ า.อ.๓๑๖ (มจร) ๕๕๗ กงขฺ า.อ.๓๑๖ (มจร) ๕๕๘ กงขฺ า.อ.๓๑๖ (มจร) ๕๕๙ กงขฺ า.อ.๓๑๖ (มจร) ๕๖๐ วิ.มหาวิ. (ไทย) ๒/๕๓๘/๔๓๔,ว.ิ ๒/๕๓๘/๒๒๓(ม)

ก็ ภกิ ษุผู้ทาผ้าปิดฝี ต้องทาให้ได้ขนาด ขนาดในขอ้ นัน้ คอื ยาว ๔ คืบ กว้าง๒ คบื โดยคืบสคุ ต ทาให้เกนิ ขนาดนัน้ ตอ้ งอาบัติปาจิตตีย์ ท่ีช่ือวา่ เฉทนกะ ๑) สถานที่บญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ กรุงสาวัตถ๕ี ๖๑ ๒) บคุ คลผกู้ อ่ เหตุ ได้แก่ ภิกษุฉัพพัคคยี ์๕๖๒ ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภกิ ษุฉัพพัคคีย์ใช้ผ้าปิดฝไี มไ่ ด้ขนาดพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตผ้าปิดฝีแกภ่ กิ ษุทั้งหลายแลว้ พระฉัพพัคคยี ์ทราบว่าพระผู้มีพระภาคทรงอนญุ าตผ้าปดิ ฝแี ลว้ จึงใชผ้ ้าปดิ ฝีไม่มปี ระมาณ ปล่อยเลอ้ื ยไปข้างหน้าบา้ ง ขา้ งหลังบา้ ง เท่ยี วไป บรรดาภกิ ษทุ ่เี ป็นผู้มักนอ้ ย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตยี นโพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคยี ์จงึ ไดใ้ ชผ้ า้ ปิดฝีไม่มีประมาณเลา่ แลว้ กราบทูลเร่ืองนน้ัแดพ่ ระผูม้ ีพระภาค.๕๖๓ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญัติ๕๖๔ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เป็นข้อบัญญตั ทิ ั่วไปทั้งภกิ ษุและภิกษุณี๕๖๕ วสั สกิ สาฏกิ สกิ ขาบท ๙๑. วสสฺ กิ สาฏกิ ปน ภกิ ขฺ นุ า การยมาเนน ปมาณกิ า กาเรตพฺพา ตตรฺ ทิปมาณ ทฆี โส ฉ วิทตถฺ โิ ย สคุ ตวทิ ตถฺ ยิ า ตริ ิย อฑฒฺ เตยยฺ า. ต อตกิ ฺกามยโต เฉทนก ปาจติ ตฺ ยิ ๕๖๖. ก็ ภกิ ษุผู้จะทาผ้าอาบน้าฝน พงึ ทาให้ได้ขนาด ขนาดในข้อนน้ั คอื ยาว ๖คบื กวา้ ง ๒ คืบครึง่ โดยคืบสุคต ทาใหเ้ กนิ ขนาดน้ัน ตอ้ ง อาบตั ปิ าจติ ตยี ์ที่ช่ือวา่ เฉทนกะ ๑) สถานท่ีบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวัตถ๕ี ๖๗ ๒) บคุ คลผกู้ อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภิกษฉุ ัพพัคคยี ์๕๖๘ ๕๖๑ กงขฺ า.อ.๓๑๖ (มจร) ๕๖๒ กงขฺ า.อ.๓๑๖ (มจร) ๕๖๓ กงฺขา.อ.๓๑๖ (มจร) ๕๖๔ กงขฺ า.อ.๓๑๖ (มจร) ๕๖๕ กงขฺ า.อ.๓๑๖ (มจร) ๕๖๖ ว.ิ มหาวิ. (ไทย) ๒/๕๔๓/๔๓๖,วิ.๒/๕๔๓/๒๒๔(ม) ๕๖๗ กงฺขา.อ.๓๑๗ (มจร) ๕๖๘ กงขฺ า.อ.๓๑๗ (มจร)

๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภกิ ษุฉัพพัคคีย์ใช้ผ้าอาบนา้ ฝนไมไ่ ดข้ นาดพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตผ้าอาบน้าฝนแก่ภกิ ษทุ ั้งหลายแล้ว พระฉัพพคัคียท์ ราบวา่ พระผูม้ ีพระภาคทรงอนญุ าตผ้าอาบน้าฝนแก่ภิกษทุ ้งั หลายแล้วจงึ ใช้ผ้าอาบน้าฝนไม่มีประมาณ ปลอ่ ยเล้ือยลงขา้ งหนา้ บ้าง ขา้ งหลังบ้าง เทีย่ วไป บรรดาภกิ ษทุ เ่ี ป็นผมู้ กั นอ้ ย ตา่ งกเ็ พ่งโทษ ตเิ ตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระฉพั พคั คีย์จึงไดน้ ุ่งผา้ อาบน้าฝนไม่มีประมาณเลา่ แล้วกราบทูลเรอื่ งนนั้ แด่พระผ้มู ีพระภาค๕๖๙ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ๕๗๐ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เป็นข้อบญั ญัตเิ ฉพาะภิกษเุ ทา่ น้นั ๕๗๑ นนั ทสกิ ขาบท ๙๒. โย ปน ภกิ ขฺ ุ สุคตจวี รปปฺ มาณ จวี ร การาเปยฺย อตเิ รก วา เฉทนก ปาจติ ตฺ ยิ ตตรฺ ทิ สคุ ตสสฺ สคุ ตจวี รปปฺ มาณ ทฆี โส นว วทิ ตถฺ โิ ย สุคตวทิ ตถฺ ยิ า ตริ ยิ ฉ วทิ ตถฺ ิโย อทิ สคุ ตสสฺ สคุ ตจวี รปฺปมาณ๕๗๒ ก็ ภิกษุทาจีวรมขี นาดเทา่ กับสุคตจีวร หรือใหญก่ ว่า ต้องอาบตั ิ ปาจติ ตยี ์ที่ชื่อว่าเฉทนกะ ขนาดเท่าสุคตจวี รของสุคตในขอ้ นน้ั คือ ยาว ๙ คืบ กวา้ ง ๖ คืบ โดยคบืสุคต นเ้ี ปน็ ขนาดเท่าสุคตจวี รของพระสุคต ๑) สถานทบ่ี ญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรงุ สาวตั ถ๕ี ๗๓ ๒) บคุ คลผู้กอ่ เหตุ ไดแ้ ก่ พระนนั ทะ๕๗๔ ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ พระนนั ทะห่มจวี รมีขนาดเท่ากับจวี รพระสุคตท่านพระนันทะโอรสพระมาตุจฉาของพระผมู้ ีพระภาค เปน็ ผู้ทรงโฉม เปน็ ท่ตี ้องตาต้องใจ ตา่ กวา่ พระผู้มีพระภาค ๔ องคลุ ี ทา่ นทรงจีวรเทา่ จวี รพระสคุ ตภิกษุเถระได้เห็นทา่ นพระนนั ทะมาแตไ่ กล ครัน้ แลว้ ลุกจากอาสนะสาคัญว่า พระผู้มีพระภาคเสดจ็ มา ทา่ นพระนันทะเข้ามาใกล้จึงจาได้ แลว้ เพง่ โทษ ติเตยี น โพนทะนาว่า ไฉน ๕๖๙ กงฺขา.อ.๓๑๗ (มจร) ๕๗๐ กงฺขา.อ.๓๑๗ (มจร) ๕๗๑ กงขฺ า.อ.๓๑๗ (มจร) ๕๗๒ วิ.มหาวิ. (ไทย) ๒/๕๔๘/๔๓๘,วิ.๒/๕๔๘/๒๒๕(ม) ๕๗๓ กงฺขา.อ.๓๑๗ (มจร) ๕๗๔ กงขฺ า.อ.๓๑๗ (มจร)

ท่านพระนันทะจึงได้ทรงจีวรเทา่ จวี รของพระสุคตเลา่ แล้วกราบทูลเรอื่ งนัน้ แด่พระผูม้ ีพระภา๕๗๕ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบญั ญตั ิ๕๗๖ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เปน็ ข้อบัญญัติทวั่ ไปท้ังภิกษุและภิกษุณี๕๗๗ ๖๗ สิกขาบท สาหรบั ภิกษแุ ละภิกษุณี จบแล้ว ๕๗๕ กงฺขา.อ.๓๑๗ (มจร) ๕๗๖ กงฺขา.อ.๓๑๗ (มจร) ๕๗๗ กงฺขา.อ.๓๑๗ (มจร)

ปาจติ ตยี ์ เฉพาะภกิ ษณุ ี ๘๙ สิกขาบทความนา คาวา่ ปาจติ ตยี ์ แปลวา่ ทากุศลจติ กลา่ วคือกุศลธรรมของผ้จู งใจต้องอาบัติให้ตกไป โดยสรุปก็คือทาจติ ให้ตกไป และจิตที่ถูกทาให้ตกไปนั้น ย่อมพลาดจากอริยมรรค หรือทาอริยมรรคให้เสยี ไป และปาจติ ตีย์น้ีเป็นเหตุให้จิตลมุ่ หลง๕๗๘ เป็นช่อื อาบตั ิ หมายถึงอาบตั ิปาจติ ตียซ์ ึง่ เป็นลหกุ าบตั ิ คืออาบัติเบา และเป็นสเตกิจฉา คือยังพอแก้ไขได้ เม่ือภิกษณุ ีต้องเข้าแล้ว สามารถพน้ ไดด้ ้วยการ แสดงอาบตั ิต่อหน้าสงฆ์ คณะ หรือบคุ คลก็ได้ เป็นชื่อบทบญั ญัติ ๑๖๖ สกิ ขาบท มชี ื่อเรียกอีกอย่างหน่งึ วา่ สทุ ธิกปาจติ ตีย์ แปลว่า ปาจิตตียล์ ว้ นปาจติ ตีย์ของภกิ ษุณแี บง่ เปน็ ๒ ส่วน คอื (๑) อสาธารณบัญญัติ (๒) สาธารณบัญญัติ ในภิกขุนวี ภิ งั คแ์ สดงไว้แต่อสาธารณบญั ญัติปาจิตติยกณั ฑ์ แบ่งเป็น ๑๖ วรรค คอือสาธารณบัญญัติ ๙ วรรค๑. ลสุณวรรค หมวดว่าดว้ ยกระเทยี ม มี ๑๐ สกิ ขาบท๒. อนั ธการวรรค หมวดว่าดว้ ยความมดื มี ๑๐ สกิ ขาบท๓. นัคควรรค หมวดว่าด้วยการเปลอื ยกาย มี ๑๐ สิกขาบท๔. ตุวฏั ฏวรรค หมวดว่าด้วยการนอนร่วมกัน มี ๑๐ สิกขาบท๕. จิตตาคารวรรค หมวดวา่ ดว้ ยหอจติ รกรรม มี ๑๐ สกิ ขาบท๖. อารามวรรค หมวดว่าด้วยอาราม มี ๑๐ สิกขาบท๗. คพั ภนิ ีวรรค หมวดวา่ ด้วยสตรมี คี รรภ์ มี ๑๐ สกิ ขาบท๘. กมุ ารีภตู วรรค หมวดวา่ ด้วยกมุ ารี มี ๑๓ สิกขาบท๙. ฉัตตุปาหนวรรค หมวดว่าด้วยร่มและรองเท้า มี ๑๓ สกิ ขาบท๑๐. มุสาวาทวรรค หมวดวา่ ด้วยการกลา่ วเทจ็ มี ๑๐ สกิ ขาบท๑๑. ภูตคามวรรค หมวดวา่ ดว้ ยภตู คาม มี ๑๐ สิกขาบท๑๒. โภชนวรรค หมวดวา่ ดว้ ยโภชนะ มี ๑๐ สกิ ขาบท๑๓. จาริตตวรรค หมวดวา่ ดว้ ยจารตี มี ๑๐ สิกขาบท๑๔. โชตวิ รรค หมวดวา่ ด้วยการผงิ ไฟ มี ๑๐ สกิ ขาบท๑๕. ทฏิ ฐวิ รรค หมวดวา่ ด้วยความเหน็ มี ๑๐ สิกขาบท๑๖. ธรรมกิ วรรค หมวดว่าด้วยผู้มีธรรม มี ๑๐ สกิ ขาบทภกิ ษณุ ปี วตั ตินีบวชใหเ้ ดก็ หญิงดังกล่าวมานยี้ ่อมถูกปรบั อาบตั ิ แตถ่ ้าบวชให้เด็กหญิงท่ีแตง่ งานมีครอบครัวอายุครบ ๑๒ ปี ผไู้ ดส้ มาทานปฏิบตั ิธรรม ๖ ขอ้ ตลอด ๒ ปี และสงฆ์ใหก้ ารรับรองแล้ว ไม่ถูกปรับอาบตั ิ๕๗๙ ๕๗๘ (ว.ิ อ.๓/๓๓๙/๔๘๕) ๕๗๙ (กงฺขา.อ. ๔๐๐)

ประเด็นทน่ี า่ ศกึ ษา ก็คอื วา่ ตามปกติหญิงที่จะบวชเปน็ ภกิ ษณุ ีไดน้ ้นั นอกจาก ต้องสมาทานปฏบิ ตั ิธรรม ๖ ข้อตลอด ๒ ปแี ลว้ ยงั ตอ้ งมีอายุครบ ๒๐ ปบี รบิ รู ณ์ อีกด้วย คาถามก็คือว่า “เพราะเหตุไร หญิงที่มอี ายเุ พยี ง ๑๒ปี เม่อื ได้ผ่านขน้ั ตอนตามที่กาหนดไวแ้ ล้วจึงสามารถบวชเปน็ ภิกษุณีได้” คาตอบกค็ ือ หญิงในท่ีนห้ี มายเอาหญงิ ท่มี ีครอบครัวแลว้ หญงิ ทอี่ ย่ใู นความครอบครองของชาย๕๘๐ หญงิ เหลา่ นมี้ ีประสบการณใ์ นชวี ิตครองเรือนถือวา่ เปน็ ผใู้ หญ่ แมจ้ ะมีอายเุ พยี ง ๑๒ ปีกส็ ามารถบวชเป็นภกิ ษุณีได้๘. กุมารภี ตู วรรค หมวดวา่ ดว้ ยกมุ ารที ช่ี อ่ื ว่า “กุมารภี ูตวรรค” เพราะต้ังตามความแห่งสกิ ขาบทที่ ๑-๓ คาว่า“กมุ ารี” หมายถึงสามเณรี๕๘๑ เป็นคาทต่ี ้องการเน้นให้เห็นว่า “สามเณรี” เปน็ เด็กหญงิ บริสทุ ธิ์ ยงั อยู่ในภาวะเปน็ เด็กประเดน็ ทนี่ า่ ศกึ ษาในกมุ ารภี ูตวรรค คือ วธิ กี าร กระบวนการ ขัน้ ตอนของการบวชเป็นภิกษุณใี นพระพทุ ธศาสนา ท้งั ในสว่ นทเี่ ปน็ ข้อกาหนดเกยี่ วกับภิกษุณีผูเ้ ป็นอุปัชฌาย์ท่ีเรียกวา่ “ปวตั ตนิ ี” และกุลสตรกี ลุกมุ ารีทจ่ี ะเขา้ มาบวชเป็นภิกษุณี ภิกษุณจี ะเปน็ ปวัตตนิ ผี ูบ้ วชใหก้ ลุ ธิดาน้ัน ต้องมพี รรษาครบ ๑๒ นบั จากวนับวชเปน็ ภกิ ษุณี และสงฆ์ใหว้ ฏุ ฐาปนสมมติคอื ต้ังใหเ้ ปน็ อปุ ัชฌายแ์ ลว้ ๕๘๒(บาลดี ใู น กงฺขาวิตรณีอฏฺฐฃกถา คาแปลดใู นวนิ ยั ปิฎก เลม่ ๓, สถานที่ บคุ คล มูลเหตุ บัญญตั แิ ละประเภทบญั ญัติ ดูใน กงฺขาวติ รณีอฏฐฺ ฃกถา และ วนิ ยั ปิฎก เล่มที่ ๘ ) ลสณุ วรรค ลสณุ สิกขาบท ๑. ยา ปน ภิกขฺ นุ ี ลสณุ ขาเทยยฺ ปาจติ ตฺ ยิ ๕๘๓. กภ็ กิ ษุณีใดฉันกระเทยี ม ต้องอาบตั ิปาจิตตีย์ ๑) สถานท่ีบญั ญตั สิ ิกขาบท ไดแ้ ก่ กรงุ สาวตั ถ๕ี ๘๔ ๒) บคุ คลผู้กอ่ เหตุ ได้แก่ ภิกษุณีถุลลนันทา ๓) มูลเหตุแห่งการบัญญัติสิกขาบท ได้แก่ ภิกษุณีถุลลนันทาให้นากระเทียมไปโดยไม่รู้จักประมาณ โดยอบุ าสกคนหนึง่ ปวารณาด้วยกระเทียมกับภิกษณุ ีสงฆ์ไว้ และสง่ั คนเฝ้าไรว่ า่ ถ้าภิกษุณีทั้งหลายมาก็จงถวายเธอไปรูปละ ๒-๓ กา ครั้งนั้น มีมหรสพในกรุงสาวัตถี กระเทียมที่เขานามาเก็บไว้ได้หมดลง ภิกษุณีท้ังหลายเขา้ ไปหาอุบาสกนั้นขอกระเทียม อบุ าสกนั้นจึงให้ไปที่ไร่ ภิกษุณีถุลลนันทาไปที่ไร่แล้วให้นากระเทียมไปเปน็ จานวนมากโดยไมร่ จู้ ักประมาณ คนเฝา้ ไร่จึงตาหนิ ประณาม โพนทะนา ๕๘๐ (คหิ คิ ตา นาม ปรุ สิ นตฺ รคตา วจุ จฺ ติ (วิ.ภกิ ขฺ ุน.ี ๓/๑๐๙๒/๑๗๖) แปลว่า หญิงทีม่ ีครอบครวั พระผู้มพี ระภาคตรสัหมายถงึ หญงิ ที่เคยอยรู่ ่วมกับชาย ดใู น ๑๐๙๒/๓๐๖, กงขฺ า.อ. ๓๙๘) ๕๘๑ (ดใู น ๑๑๓๓/๓๓๑, กงขฺ า.อ. ๔๐๐) ๕๘๒ (ดูใน ๑๑๔๐-๑๑๔๑/๓๓๕-๓๓๖, กงฺขา.อ. ๔๐๐) และสามารถบวชให้กุลธดิ าได้ ๒ ปตี อ่ ๑ คน (ดใู น ๑๑๗๐-๑๑๗๒/๓๕๖-๓๕๗,๑๑๗๖/๓๕๖-๓๕๗, กงขฺ า.อ. ๔๐๔) ๕๘๓ กงขฺ า.อ.๑/๖๕ (มจร) ๕๘๔ วิ.ปริ ๑๐/๕๔๒/๑๙๙

๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เปน็ ข้อบญั ญัติเฉพาะภกิ ษุณี สมั พาธโลมสกิ ขาบท ๒. ยา ปน ภกิ ขฺ นุ ี สมพฺ าเธ โลม สหราเปยยฺ ปาจติ ตฺ ิย๕๘๕. ก็ภกิ ษุณีใดใหถ้ อนขนในทแ่ี คบ ต้องอาบตั ปิ าจติ ตยี ์ ๑) สถานทบ่ี ญั ญตั สิ ิกขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวัตถ๕ี ๘๖ ๒) บุคคลผกู้ อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภิกษุณีฉัพพัคคยี ์ ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ภกิ ษุณฉี ัพพัคคีย์ใหถ้ อนขนในท่แี คบ คร้ังนนั้ พวกภกิ ษณุ ฉี ัพพัคคยี ์ให้ถอนขนในที่แคบ เปลอื ยกายอาบน้าท่าเดียวกันกบั พวกหญงิ แพศยาในแม่น้าอจิรวดี พวกหญงิ แพศยาตาหนิ ประณาม โพนทะนาว่า เหมือนหญิงคฤหัสถผ์ ้บู รโิ ภคกาม๕๘๗ ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบญั ญตั ิ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เปน็ ขอ้ บัญญัติเฉพาะภิกษณุ ี ตลฆาตกสกิ ขาบท ๓. ตลฆาตเก ปาจิตตฺ ยิ ๕๘๘. ภกิ ษุณตี ้องอาบัตปิ าจิตตยี ์ เพราะใช้ฝา่ มือตบองค์กาเนิด ๑) สถานที่บญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวัตถ๕ี ๘๙ ๒) บุคคลผู้กอ่ เหตุ ได้แก่ ภิกษุณี ๒ รูป ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ภกิ ษณุ ี ๒ รูป ใชฝ้ า่ มือตบองค์กาเนดิ ภกิ ษุณี ๒ รปูถูกความไมย่ ินดีบบี คน้ั จึงเข้าไปสู่ห้องชัน้ ในแลว้ ใชฝ้ า่ มือตบองค์กาเนดิ กนั ภกิ ษุณที ง้ั หลายพากันว่ิงเขา้ ไปตามเสียงน้ันแลว้ ไดก้ ลา่ วกับภกิ ษุณีท้งั ๒ รูปนั้นวา่ แมเ่ จ้า ทาไม พวกทา่ นจึงทามิดมี ริ า้ ยกับชายเลา่ ภกิ ษณุ ที ั้งสองปฏิเสธแลว้ เลา่ เรอ่ื งนั้น ใหภ้ กิ ษุณที ้งั หลายทราบ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ ๕๘๕ กงขฺ า.อ.๑/๖๕ (มจร) ๕๘๖ วิ.ปริ ๕๔๓/๑๙๙ ๕๘๗ วิ.ภิกขุนี (ไทย) ๕/๑๗๔/๑๕๔, ๕๘๘ กงขฺ า.อ.๑/๖๕ (มจร) ๕๘๙ ว.ิ ปริ ๕๔๕/๒๐๐

๕) ประเภทของบัญญตั ิ เปน็ ขอ้ บญั ญตั เิ ฉพาะภกิ ษณุ ี ชตุมฏั ฐกสกิ ขาบท ๔. ชตมุ ฏฐฺ ฃเก ปาจติ ตฺ ยิ ๕๙๐. ภิกษณุ ีต้องอาบตั ปิ าจติ ตีย์ เพราะใชท้ ่อนยาง ๑) สถานทีบ่ ญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ กรงุ สาวัตถ๕ี ๙๑ ๒) บุคคลผู้กอ่ เหตุ ได้แก่ ภกิ ษณุ ีรูปหนึ่ง๕๙๒ ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ภกิ ษุณรี ูปหนึ่งใชท้ ่อนยางครงั้ น้ัน อดตี นางสนมของพระราชาไปบวช อยู่ในสานักภกิ ษณุ ี ภกิ ษณุ ีรูปหนึง่ ถกู ความไมย่ ินดีย่ิงบีบคัน้ จงึ เข้าไปหาภกิ ษุณี(ผเู้ คยเป็นนางสนม)น้นั ถามว่า “แมเ่ จ้า พระราชาเสดจ็ ไปหาท่านนาน ๆ ครัง้ ทา่ นทนอย่ไู ด้อยา่ งไร” ดฉิ ันใชท้ อ่ นยาง” ท่อนยางนี่เป็นอยา่ งไร ต่อมาภกิ ษุณนี ั้นใชท้ อ่ นยางแล้วลืมลา้ งวางทิง้ ไว้ในที่แหง่ หน่ึง ภกิ ษณุ ีทัง้ หลายเห็นทอ่ นยางมีแมลงวันตอมจงึ ถามวา่ “นเ่ี ปน็ การกระทาของใคร”ภกิ ษุณนี น้ั กลา่ วอยา่ งนี้วา่ “นเ้ี ปน็ การกระทาของดิฉนัเอง๕๙๓ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญตั ิ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เปน็ ขอ้ บญั ญัตเิ ฉพาะภกิ ษุณี อปุ ตฏิ ฐนสกิ ขาบท ๖. ยา ปน ภิกขฺ นุ ี ภิกขฺ สุ สฺ ภญุ ชฺ นฺตสสฺ ปานเี ยน วา วธิ ปู เนน วา อปุ ตฏิ เฐฃยยฺ ปาจติ ตฺ ยิ ๕๙๔. ก็ภกิ ษณุ ีใดปรนนิบตั ิภิกษุผ้กู าลงั ฉนั อยู่ ดว้ ยนา้ ดม่ื หรือดว้ ยการพัดวี ต้องอาบัตปิ าจติ ตยี ์ ๑) สถานทีบ่ ญั ญตั สิ ิกขาบท ได้แก่ กรงุ สาวตั ถ๕ี ๙๕ ๒) บุคคลผู้กอ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภิกษุณีรปู หนึง่ ๕๙๖ ๕๙๐ กงฺขา.อ.๔/๖๕ (มจร) ๕๙๑ วิ.ปริ ๕๔๕/๒๐๐ ๕๙๒ ว.ิ ปริ ๕๔๕/๒๐๐ ๕๙๓ ว.ิ ภกิ ขุนี (ไทย) ๕/๑๖๐/๑๗๘, ๕๙๔ กงฺขา.อ.๔/๖๕ (มจร) ๕๙๕ วิ.ภิกขนุ ี (ไทย) ๕/๑๖๘/๑๘๕, ๕๙๖ ว.ิ ภกิ ขุนี (ไทย) ๕/๑๖๘/๑๘๕,

๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภิกษณุ ีรูปหนง่ึ ปรนนบิ ตั ิภิกษุผกู้ าลงั ฉนั อยู่ ดว้ ยนา้ดืม่ หรอื ด้วยการพัดวี โดยครั้งนัน้ มหาอมาตย์ชอ่ื อาโรหันตะบวช ในสานกั ภิกษุ อดตี ภรรยาของทา่ นบวชในสานักภกิ ษณุ ี ขณะทท่ี า่ นกาลังฉนั ภกิ ษณุ ีนัน้ เข้าไปยนื ปรนนบิ ัตอิ ยูใ่ กล้ ๆ ดว้ ยน้าฉันและการพดั วี พูดเกี่ยวกับเรอ่ื งครอบครวั พดู มากเกินไป ภกิ ษุนน้ั จึงต่อวา่ ภกิ ษณุ นี ้ันว่า “น้องหญิงอย่าไดท้ าอย่างน้ี เร่ืองน้ีไมส่ มควร”ภกิ ษณุ นี น้ั กล่าววา่ “เม่อื ก่อนท่านทาอยา่ งน้ี ๆ กบั ดิฉนั บดั นี้ เพียงเทา่ น้ี กท็ นไม่ได้” จึงครอบขนั นา้ ลงบนศีรษะแลว้ ใชพ้ ัดตี๕๙๗ ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบญั ญตั ิ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เป็นขอ้ บญั ญตั เิ ฉพาะภิกษณุ ี อามกธญั ญสกิ ขาบท ๗. ยา ปน ภกิ ขฺ นุ ี อามกธญญฺ วิญญฺ ตวฺ า วา วญิ ญฺ าเปตวฺ า วา ภชชฺ ติ วฺ า วา ภชชฺ าเปตวฺ า วาโกฏเฺ ฏตวฺ า วา โกฏฏฺ าเปตวฺ า วา ปจิตวฺ า วา ปจาเปตวฺ า วา ภญุ เฺ ชยยฺ ปาจติ ตฺ ิย๕๙๘. ก็ภิกษณุ ีใดออกปากขอหรือใช้ให้ออกปากขอ ค่ัวหรือใช้ให้ค่ัว ตาหรือใช้ใหต้ า หุงหรอื ใช้ให้หงุขา้ วเปลอื กดิบแลว้ ฉนั ต้องอาบัตปิ าจติ ตีย์ ๑) สถานที่บญั ญตั สิ ิกขาบท ไดแ้ ก่ กรงุ สาวัตถ๕ี ๙๙ ๒) บุคคลผู้กอ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภกิ ษณุ ีหลายรูป ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ในฤดเู ก็บเกีย่ ว พวกภิกษุณีออกปากขอข้าวเปลือกดบินาไปในเมือง พอถงึ ประตูเมือง พวกคนเฝ้าประตูกกั ตัว ไว้ขอสว่ นแบง่ แลว้ ปลอ่ ยไป ครั้นกลับถงึ สานักไดบ้ อกเร่อื งนน้ั ให้ภิกษุณที ั้งหลายทราบ ๖๐๐ ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบัญญตั ิ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เปน็ ข้อบญั ญตั ิเฉพาะภกิ ษุณี ปฐมอจุ จารฉัฑฑนสกิ ขาบท ๘. ยา ปน ภิกขฺ นุ ี อจุ ฺจาร วา ปสสฺ าว วา สงกฺ าร วา วฆิ าส วา ตโิ รกฏุ เฺ ฏ วา ตโิ รปากาเร วาฉฑเฺ ฑยยฺ วา ฉฑฺฑาเปยฺย วา ปาจติ ตฺ ยิ ๖๐๑. ๕๙๗ วิ.ภกิ ขุนี (ไทย) ๕/๑๖๘/๑๘๕, ๕๙๘ ว.ิ ภกิ ขนุ ี (ไทย) ๕/๑๗๒/๑๘๙,กงฺขา.อ.๗/๖๖ (มจร) ๕๙๙ ว.ิ ภกิ ขนุ ี (ไทย) ๕/๑๗๒/๑๘๙ ๖๐๐ ว.ิ ภกิ ขนุ ี (ไทย) ๕/๑๗๒/๑๘๙ ๖๐๑ วิ.ภกิ ขุนี (ไทย) ๕/๑๗๕/๑๙๓,กงฺขา.อ.๘/๖๖ (มจร)

ก็ภกิ ษณุ ีใดเทหรือใช้ใหเ้ ทอุจจาระหรอื ปสั สาวะ หยากเยือ่ หรือของเปน็ เดนภายนอกฝาหรือภายนอกกาแพง ตอ้ งอาบัตปิ าจติ ตยี ์ ๑) สถานที่บญั ญตั สิ ิกขาบท ได้แก่ กรุงสาวตั ถ๖ี ๐๒ ๒) บคุ คลผู้กอ่ เหตุ ได้แก่ พราหมณ์คนหนง่ึ ๖๐๓ ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แกพ่ ราหมณค์ นหนึ่งได้รับแต่งตงั้ ใหเ้ ป็นผเู้ ก็บสว่ ยส่งหลวงจงึ สนานเกล้าแลว้ เดินไปราชสานกั ผ่านทีอ่ ย่ภู ิกษุณี ภกิ ษุณีรูปหนึง่ ถา่ ยอจุ จาระลงในหม้อแล้วเททิ้งภายนอกฝาราดลงบนศีรษะของพราหมณ์นัน้ พอดี พราหมณ์น้นั ตาหนิ ประณาม โพนทะนาวา่ “หญงิ ช่วั หัวโล้นพวกนไ้ี มใ่ ช่สมณะหญิง ไฉนจึงเทหม้อคูถ ลงท่ศี ีรษะของเรา เราจักเผาสานักพวกนาง” ถือคบเพลงิ เข้าไปสานักภกิ ษณุ ี๖๐๔ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เปน็ ขอ้ บญั ญตั ิเฉพาะภิกษณุ ี ทตุ ยิ อจุ จารฉฑั ฑนสกิ ขาบท ๙. ยา ปน ภกิ ขฺ นุ ี อจุ จฺ าร วา ปสสฺ าว วา สงกฺ าร วา วฆิ าส วา หรเิ ต ฉฑเฺ ฑยยฺ วา ฉฑฑฺ าเปยยฺ วาปาจติ ตฺ ยิ ๖๐๕. ก็ภิกษณุ ีใดเทหรือใชใ้ ห้เทอุจจาระหรือปัสสาวะ หยากเย่ือหรือของเป็นเดนลงบนของเขียว ตอ้ งอาบตั ปิ าจติ ตีย์ ๑) สถานที่บญั ญตั สิ ิกขาบท ได้แก่ กรงุ สาวัตถ๖ี ๐๖ ๒) บคุ คลผู้กอ่ เหตุ ได้แก่ ภกิ ษณุ ีหลายรูป๖๐๗ ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ พวกภกิ ษุณีเทอุจจาระบ้าง ปัสสาวะบ้าง หยาก เย่อืบ้าง ของเป็นเดนบ้าง ทง้ิ ลงในนาขา้ วเหนียว(ของพราหมณ์น้ัน) พราหมณต์ าหนิ ประณาม โพนทะนา บรรดาภกิ ษุณี ผมู้ ักนอ้ ย ฯลฯ พากันตาหนิ ประณาม โพนทะนาได้นาเร่อื งน้ีไปบอกภิกษทุ ง้ั หลายให้ทราบ พวกภิกษุจงึ ได้ นาเรื่องน้ีไปกราบทลู พระผูม้ ีพระภาคให้ทรงทราบ๖๐๘ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญตั ิ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เปน็ ขอ้ บญั ญตั เิ ฉพาะภิกษณุ ี ๖๐๒ วิ.ภกิ ขนุ ี (ไทย) ๕/๑๗๕/๑๙๓ ๖๐๓ วิ.ภกิ ขุนี (ไทย) ๕/๑๗๕/๑๙๓ ๖๐๔ วิ.ภกิ ขนุ ี (ไทย) ๕/๑๗๕/๑๙๓ ๖๐๕ วิ.ภิกขุนี (ไทย) ๕/๑๗๕/๑๙๓,กงฺขา.อ.๘/๖๖ (มจร) ๖๐๖ วิ.ภกิ ขนุ ี (ไทย) ๕/๑๗๘/๑๙๖,กงขฺ า.อ.๙/๖๖ (มจร) ๖๐๗ ว.ิ ภิกขนุ ี (ไทย) ๕/๑๗๘/๑๙๖, ๖๐๘ ว.ิ ภกิ ขุนี (ไทย) ๕/๑๗๘/๑๙๖,

รตั ตนั ธการวรรค รตั ตนั ธการสกิ ขาบท ๑๑. ยา ปน ภกิ ขฺ ุนี รตตฺ นธฺ กาเร อปปฺ ทเี ป ปรุ เิ สน สทธฺ ึ เอเกเนกา สนตฺ ฏิ เฺ ฐฃยฺยวา สลลฺ เปยยฺ วาปาจติ ตฺ ยิ ๖๐๙. กภ็ กิ ษณุ ีใดยืนเคียงค่กู นั หรือสนทนากนั สองตอ่ สองกับชายในเวลาคา่ คนื ไมม่ ปี ระทปี ต้องอาบัติปาจติ ตยี ์ ๑) สถานทบี่ ญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรงุ สาวตั ถ๖ี ๑๐ ๒) บคุ คลผูก้ อ่ เหตุ ได้แก่ ภกิ ษณุ ีอันเตวาสีนีของพระภทั ทกาปิลานี๖๑๑ ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ครั้งนัน้ ชายผเู้ ป็นญาติของภิกษุณผี ู้เปน็ อันเตวาสินีของพระภทั ทกาปิลานีเดนิ ทางจากหมู่บา้ นไปกรงุ สาวตั ถดี ว้ ยธรุ ะบางอยา่ ง คร้งั นั้น ภิกษุณนี ั้นยนื เคยี งคูก่ ันบ้างสนทนากนั บา้ ง สองตอ่ สองกับชายนั้นในเวลาค่าคืน ไมม่ ีประทปี ลาดบั นั้น พระผู้มีพระภาครับส่ังให้ประชมุ สงฆ์เพราะเรอ่ื งนี้เป็นตน้ เหตุ ทรงสอบถามภกิ ษทุ งั้ หลายแล้วจงึ รบั สง่ั ให้ภกิ ษณุ ที ้ังหลายยกสกิ ขาบทน้ขี ้ึนแสดง๖๑๒ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบญั ญตั ิ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เป็นข้อบัญญตั ิเฉพาะภกิ ษณุ ี ปฏจิ ฉันโนกาสสิกขาบท ๑๒. ยา ปน ภกิ ฺขนุ ี ปฏจิ ฺฉนเฺ น โอกาเส ปรุ ิเสน สทธฺ ึ เอเกเนกา สนตฺ ฏิ เฺ ฐฃยยฺ วา สลลฺ เปยยฺ วาปาจติ ตฺ ยิ ๖๑๓. กภ็ กิ ษุณีใดยืนเคยี งคกู่ ัน หรือสนทนากนั สองตอ่ สองกบั ชายในโอกาสท่ีกาบงั ต้องอาบตั ิปาจติ ตยี ์ ๑) สถานที่บญั ญตั สิ ิกขาบท ได้แก่ กรงุ สาวัตถ๖ี ๑๔ ๒) บคุ คลผกู้ อ่ เหตุ ได้แก่ ภกิ ษณุ ีอนั เตวาสินีของพระภัททกาปิลานี๖๑๕ ๖๐๙ ว.ิ ภิกขุนี (ไทย) ๕/๑๗๘/๑๙๖,กงฺขา.อ.๙/๖๖ (มจร) ๖๑๐ กงขฺ า.อ.๑๑/๖๖ (มจร) ๖๑๑ วิ.ภกิ ขุนี (ไทย) ๕/๑๘๕/๒๐๕ ๖๑๒ ว.ิ ภกิ ขุนี (ไทย) ๕/๑๘๖/๒๐๖ ๖๑๓ กงขฺ า.อ.๑๒/๖๗ (มจร) ๖๑๔ วิ.ภิกขนุ ี (ไทย) ๕/๑๘๘/๒๐๘ ๖๑๕ วิ.ภกิ ขนุ ี (ไทย) ๕/๑๘๘/๒๐๘

๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ครง้ั นั้น ชายผู้เปน็ ญาตขิ องภิกษุณีผเู้ ป็นอนั เตวาสนิ ีของพระภัททกาปลิ านเี ดินทางจากหมู่บ้านไปกรุงสาวตั ถีดว้ ยธุระบางอย่าง ลาดับนัน้ ภิกษุณนี น้ั ยนื เคียงคู่กันบา้ ง สนทนากนั บา้ งในโอกาสทก่ี าบัง พระผู้มีพระภาครับสั่งใหป้ ระชุมสงฆ์เพราะเรอ่ื งนีเ้ ป็นต้นเหตุ ทรงสอบถามภิกษทุ ั้งหลายแล้วจงึรบั ส่งั ให้ภกิ ษณุ ที ั้งหลายยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดง๖๑๖ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญตั ิ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เป็นข้อบัญญตั เิ ฉพาะภิกษณุ ี อชั โฌกาสสลั ลปนสกิ ขาบท ๑๓. ยา ปน ภกิ ขฺ นุ ี อชโฺ ฌกาเส ปรุ เิ สน สทธฺ ึ เอเกเนกา สนตฺ ฏิ เฺ ฐฃยยฺ วา สลลฺ เปยยฺ วา ปาจิตฺตยิ ๖๑๗. กภ็ ิกษุณีใดยนื เคียงค่กู นั หรือสนทนากันสองต่อสองกับชายในทแี่ จ้ง ต้องอาบตั ิปาจิตตีย์ ๑) สถานที่บญั ญตั สิ ิกขาบท ได้แก่ กรุงสาวตั ถ๖ี ๑๘ ๒) บุคคลผู้กอ่ เหตุ ได้แก่ ภกิ ษุณีอันเตวาสนิ ีของพระภทั ทกาปิลานี๖๑๙ ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ครั้งนั้น ชายผเู้ ปน็ ญาตขิ องภิกษุณผี เู้ ป็น อันเตวาสนิ ีของพระภทั ทกาปิลานเี ดนิ ทางจากหมูบ่ า้ นไปกรุงสาวัตถีด้วยธุระบางอยา่ ง ลาดับน้ัน ภิกษุณีนน้ั ยนื เคียงคู่กันบา้ ง สนทนากันบา้ งสองต่อสองกับชายในท่ีแจง้ ๖๒๐ ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบญั ญตั ิ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เป็นข้อบัญญตั ิเฉพาะภิกษุณี ทตุ ยิ กิ อยุ โยชนสกิ ขาบท ๑๔. ยา ปน ภิกขฺ นุ ี รถกิ าย วา พยฺ เู ห วา สงิ ฆฺ าฏเก วา ปรุ เิ สน สทธฺ ึ เอเกเนกา สนตฺ ฏิ เฺ ฐฃยยฺ วาสลลฺ เปยยฺ วา นกิ ณณฺ ิก วา ชปเฺ ปยยฺ ทุตยิ กิ วา ภิกขฺ นุ ึ อยุ โฺ ยเชยยฺ ปาจติ ตฺ ยิ ๖๒๑. ๖๑๖ วิ.ภกิ ขนุ ี (ไทย) ๕/๑๘๘/๒๐๘ ๖๑๗ กงขฺ า.อ.๑๒/๖๗ (มจร) ๖๑๘ วิ.ภกิ ขุนี (ไทย) ๕/๑๙๑/๒๑๑ ๖๑๙ ว.ิ ภกิ ขนุ ี (ไทย) ๕/๑๙๑/๒๑๑ ๖๒๐ ว.ิ ภิกขุนี (ไทย) ๕/๑๙๑/๒๑๑ ๖๒๑ กงฺขา.อ.๑๔/๖๗ (มจร)

ก็ภิกษณุ ีใดยืนเคยี งคกู่ นั หรือสนทนากนั หรอื พดู กระซบิ ขา้ งหูสองต่อสองกบั ชายในถนน หรอืตรอกตัน หรือทางสามแพร่ง หรือส่งภกิ ษณุ ผี เู้ ป็นเพื่อนกลับไป ตอ้ งอาบัตปิ าจติ ตีย์ ๑) สถานท่บี ญั ญตั สิ ิกขาบท ได้แก่ กรงุ สาวตั ถ๖ี ๒๒ ๒) บคุ คลผกู้ อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภิกษณุ ีถลุ ลนันทา๖๒๓ ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภกิ ษณุ ีถุลลนันทายืนเคียงคู่กันบา้ ง สนทนากันบา้ งพดู กระซิบข้างหูบา้ งสองตอ่ สองกับชายในถนนบา้ ง ตรอกตันบ้าง ทางสามแพร่งบ้าง ส่งภิกษณุ ผี ู้เป็นเพือ่ นกลบั ไปก่อนบ้าง ลาดับน้นั พระผ้มู ีพระภาครบั สั่งให้ประชมุ สงฆเ์ พราะเรือ่ งน้ีเป็นตน้ เหตุ ทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายแล้วจึงรบั ส่ังให้ภกิ ษณุ ีทั้งหลายยกสิกขาบทน้ีขึ้นแสดง๖๒๔ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญตั ิ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เป็นขอ้ บญั ญตั เิ ฉพาะภกิ ษณุ ี อนาปจุ ฉาปักกมนสกิ ขาบท ๑๕. ยา ปน ภิกขฺ นุ ี ปเุ รภตฺต กลุ านิ อุปสงกฺ มติ วฺ า อาสเน นสิ ีทติ วฺ า สามิเก อนาปจุ ฉฺ า ปกกฺ เมยยฺปาจติ ตฺ ยิ ๖๒๕. ก็ภกิ ษุณีใดเข้าไปสตู่ ระกลู ในเวลากอ่ นฉันภัตตาหาร นัง่ บนอาสนะ แลว้ จากไปโดยไม่บอกเจา้ ของบ้าน ต้องอาบตั ปิ าจติ ตีย์ ๑) สถานทีบ่ ญั ญตั สิ ิกขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวัตถ๖ี ๒๖ ๒) บคุ คลผู้กอ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภิกษุณีรูปหนึ่ง๖๒๗ ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ภกิ ษุณีรปู หนงึ่ เป็นภิกษุณีประจา ตระกลู หนง่ึ รับภัตตาหารประจา คร้ันเวลาเช้า ภิกษณุ นี ัน้ ครองอันตรวาสก ถือบาตรและจวี ร๑เข้าไปถึงทต่ี ระกูลน้ัน น่งั บนอาสนะแล้วจากไปโดยไม่บอกเจา้ ของบ้าน หญิงรับใช้ตระกูลน้ันกวาดเรอื นได้เกบ็ อาสนะน้นั ไว้ระหวา่ งภาชนะคนในบา้ นไมเ่ หน็ อาสนะ ได้ไปถามภกิ ษุณีนัน้ ภกิ ษุณนี ัน้ กล่าววา่ ไม่เห็นอาสนะนน้ั ๖๒๒ ว.ิ ภิกขุนี (ไทย) ๕/๑๙๔/๒๑๔ ๖๒๓ วิ.ภิกขุนี (ไทย) ๕/๑๙๔/๒๑๔ ๖๒๔ ว.ิ ภิกขนุ ี (ไทย) ๕/๑๙๔/๒๑๔ ๖๒๕ กงฺขา.อ.๑๕/๖๗ (มจร) ๖๒๖ ว.ิ ภิกขนุ ี (ไทย) ๕/๑๙๔/๒๑๔ ๖๒๗ ว.ิ ภกิ ขุนี (ไทย) ๕/๑๙๔/๒๑๔

คนเหล่าน้นั พดู ว่า แมเ่ จ้า โปรดใหอ้ าสนะนั้นเถิด บรภิ าษแล้วเลิกถวาย ภัตตาหารประจา ตอ่ มาคนเหล่านน้ั ทาความสะอาดบ้านหลังนัน้ พบอาสนะซ่อนอยู่ระหว่างภาชนะ จึงขอขมาภิกษุณนี ั้นแลว้ ได้เรมิ่ (ถวาย)ภัตตาหารประจา ครงั้ นน้ั ภกิ ษณุ ีนนั้ บอกเรื่องน้ันให้ภิกษณุ ที ั้งหลายทราบ บรรดาภกิ ษุณีผมู้ ักน้อย ฯลฯ พากนั ตาหนิประณาม โพนทะนาไดน้ าเร่ืองนไี้ ปบอกภิกษทุ ั้งหลายให้ทราบ พวกภิกษุจงึ ได้ นาเรื่องน้ีไปกราบทลู พระผมู้ ีพระภาคใหท้ รงทราบ๖๒๘ ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบัญญัติ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เปน็ ขอ้ บัญญตั เิ ฉพาะภิกษุณี อนาปจุ ฉาอภนิ สิ ที นสิกขาบท ๑๖. ยา ปน ภกิ ขฺ นุ ี ปจฺฉาภตฺต กลุ านิ อปุ สงกฺ มติ วฺ า สามิเก อนาปจุ ฉฺ า อาสเน อภนิ สิ เี ทยยฺ วาอภนิ ปิ ชเฺ ชยยฺ วา ปาจิตตฺ ยิ ๖๒๙. ก็ภกิ ษณุ ีใดเข้าไปสูต่ ระกูลภายหลงั ฉันภตั ตาหาร น่ังหรือนอนบน อาสนะโดยไมบ่ อกเจา้ ของบ้านตอ้ งอาบตั ิปาจติ ตีย์ ๑) สถานที่บญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวตั ถ๖ี ๓๐ ๒) บคุ คลผู้กอ่ เหตุ ได้แก่ ภิกษุณีถุลลนันทา๖๓๑ ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ภกิ ษุณีถุลลนนั ทาเข้าไปสู่ตระกลู ท้งั หลายภายหลงัฉนั ภตั ตาหาร น่งั บ้าง นอนบ้างบนอาสนะโดยไมบ่ อกเจ้าของ(บา้ น) คนในบา้ นเกรงใจภิกษุณีถุลลนนั ทา จงึ ไม่กลา้ นง่ั หรอื นอนบนอาสนะ คนท้ังหลายพา กนั ตาหนิ ประณาม โพนทะนา๖๓๒ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญตั ิ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เปน็ ข้อบัญญัตเิ ฉพาะภิกษณุ ี อนาปจุ ฉาสนั ถรณสิกขาบท ๑๗. ยา ปน ภกิ ขฺ นุ ี วกิ าเล กลุ านิ อปุ สงกฺ มติ วฺ า สามเิ ก อนาปจุ ฺฉา เสยยฺ สนถฺ รติ วฺ า วาสนถฺ ราเปตวฺ า วา อภนิ สิ เี ทยยฺ วา อภนิ ปิ ชเฺ ชยยฺ วา ปาจิตตฺ ยิ ๖๓๓. ๖๒๘ ว.ิ ภิกขนุ ี (ไทย) ๕/๑๙๔/๒๑๔ ๖๒๙ กงขฺ า.อ.๑๖/๖๗ (มจร) ๖๓๐ วิ.ภิกขุนี (ไทย) ๕/๒๐๑/๒๒๑ ๖๓๑ ว.ิ ภกิ ขนุ ี (ไทย) ๕/๒๐๑/๒๒๑ ๖๓๒ ว.ิ ภิกขนุ ี (ไทย) ๕/๒๐๑/๒๒๑

กภ็ ิกษณุ ีใดเข้าไปสตู่ ระกลู ในเวลาวกิ าล ปหู รือใชใ้ ห้ปูท่ีนอนโดยไม่บอกเจา้ ของบา้ นแล้วน่งั หรอืนอน ตอ้ งอาบัตปิ าจิตตีย์ ๑) สถานทีบ่ ญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวตั ถ๖ี ๓๔ ๒) บุคคลผ้กู อ่ เหตุ ได้แก่ ภิกษุณีหลายรปู ๖๓๕ ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภิกษุณีหลายรูปเดินทางไปกรงุ สาวตั ถี แคว้นโกศลถงึ หมบู่ า้ นแห่งหนึ่งในเวลาเย็น เข้าไปสูต่ ระกูลพราหมณ์ตระกูลหนงึ่ ขอโอกาส พราหมณีได้บอกให้รอพราหมณ์มาก่อน พวกภิกษุณกี ล่าวว่าจะรอจนกว่าพราหมณจ์ ะมา ไดป้ ูท่ีนอน บางพวกนงั่ บางพวกนอน คร้ันในตอนกลางคนื พราหมณก์ ลบั มาพบเหน็ ไดก้ ล่าวกับพราหมณีดงั นว้ี า่ สตรีเหล่าน้เี ปน็ ใคร สตรีเหล่านี้เป็นภกิ ษุณีพราหมณจ์ งึ ใหข้ บั ไล่ออกจากเรือน ครั้นภกิ ษณุ ีเหล่านัน้ ไปถงึ กรุงสาวตั ถี เล่าเร่อื งน้นั ให้ภิกษุณีทัง้ หลายทราบ บรรดาภิกษณุ ีผู้มกั นอ้ ยพากนั ตาหนิ ประณาม โพนทะนาได้นาเรือ่ งน้ีไปบอกภกิ ษุทั้งหลายให้ทราบ พวกภิกษจุ ึงได้นาเร่อื งนี้ไปกราบทลู พระผมู้ ีพระภาคให้ทรงทราบ๖๓๖ ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เป็นข้อบัญญัติเฉพาะภิกษุณี ปรอชุ ฌาปนกสิกขาบท ๑๘. ยา ปน ภกิ ขฺ นุ ี ทคุ คฺ หเิ ตน ทปู ธารเิ ตน ปร อชุ ฺฌาเปยยฺ ปาจติ ตฺ ยิ ๖๓๗. ก็ภิกษณุ ีใดเพราะเขา้ ใจผดิ เพราะใคร่ครวญผิด ให้ผอู้ ื่นโพนทะนา ต้องอาบัตปิ าจติ ตีย์ ๑) สถานที่บญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรงุ สาวัตถ๖ี ๓๘ ๒) บุคคลผ้กู อ่ เหตุ ได้แก่ ภกิ ษณุ ีอนั เตวาสินีของพระภัททกาปิลานี๖๓๙ ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ภกิ ษณุ ีอันเตวาสนิ ีของพระภัททกาปิลานีอุปัฏฐากพระภทั ทกาปลิ านีโดยเคารพ พระภัททกาปิลานีได้กลา่ วกบั ภิกษณุ ีทงั้ หลายดังน้วี า่ “แม่เจา้ ภกิ ษุณนี ี้อุปัฏฐาก ๖๓๓ กงขฺ า.อ.๑๗/๖๗ (มจร) ๖๓๔ ว.ิ ภิกขนุ ี (ไทย) ๕/๒๐๕/๒๒๕ ๖๓๕ ว.ิ ภกิ ขนุ ี (ไทย) ๕/๒๐๕/๒๒๕ ๖๓๖ ว.ิ ภิกขุนี (ไทย) ๕/๒๐๕/๒๒๕ ๖๓๗ กงฺขา.อ.๑๘/๖๘ (มจร) ๖๓๘ วิ.ภิกขุนี (ไทย) ๕/๒๐๙/๒๒๙ ๖๓๙วิ.ภกิ ขนุ ี (ไทย) ๕/๒๐๙/๒๒๙

เราโดยเคารพ เราจะให้จวี รเธอ” แต่ภกิ ษุณีนน้ั เพราะความเข้าใจผิด เพราะใครค่ รวญผิด ใหผ้ ้อู ่ืนโพนทะนาวา่“แม่เจ้า เขาวา่ ดิฉนั ไม่ไดอ้ ุปฏั ฐากแม่เจ้าโดยเคารพ แมเ่ จ้าจะไม่ให้จีวรแกด่ ิฉัน”ลาดบั น้นั พระผมู้ ีพระภาครับสงั่ ให้ประชุมสงฆ์เพราะเร่ืองนี้เป็นตน้ เหตุ ทรงสอบถามภกิ ษทุ ้ังหลาย แล้วจงึรับสั่งใหภ้ กิ ษุณีทั้งหลายยกสกิ ขาบทน้ีข้นึ แสดง๖๔๐ ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เป็นข้อบญั ญตั ิเฉพาะภกิ ษณุ ี ปรอภสิ ปนสิกขาบท ๑๙. ยา ปน ภิกขฺ นุ ี อตตฺ าน วา ปร วา นริ เยน วา พรฺ หมฺ จรเิ ยน วา อภสิ เปยฺย ปาจติ ตฺ ยิ ๖๔๑. ก็ภกิ ษณุ ีใดสาปแชง่ ตนเองหรือผู้อ่ืนดว้ ยนรกหรือดว้ ยพรหมจรรย์ ตอ้ งอาบัติปาจิตตยี ์ ๑) สถานทีบ่ ญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ กรุงสาวัตถ๖ี ๔๒ ๒) บุคคลผูก้ อ่ เหตุ ได้แก่ ภกิ ษณุ ีจณั ฑกาลี๖๔๓ ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภกิ ษณุ ีท้งั หลายไมเ่ หน็ ส่ิงของของ ตนได้กล่าวกับภิกษุณจี ัณฑกาลีดังนวี้ ่า “แมเ่ จา้ ทา่ นเห็นสิ่งของของพวกเราบ้างไหม” ภกิ ษณุ ีจณั ฑกาลีตาหนิ ประณามโพนทะนาวา่ “ดฉิ นั นแ่ี หละที่เปน็ ขโมย ดิฉนั นีแ่ หละไมม่ ีความละอาย พวกแมเ่ จา้ ที่ไม่เห็นสิง่ ของของตนต่างพากันกล่าวกบั ดิฉันอยา่ งนีว้ ่า เห็นสิ่งของของพวกเราบ้างไหม แม่เจา้ ถ้าดฉิ นั เอาสิ่งของของพวกท่านไป ดิฉันกจ็ งเปน็ ผู้ ไู ม่ใช่สมณะหญิง จงเคล่อื นจากพรหมจรรย์ จงบงั เกิดใน นรก สว่ นผ้ทู ่ีกลา่ วหาดฉิ นั ด้วยเรือ่ งทไ่ี ม่จรงิ ก็จงไม่เปน็ สมณะหญิง จงเคลอ่ื นจาก พรหมจรรย์ จงบังเกิดในนรก” บรรดาภกิ ษุณีผูม้ ักน้อย ฯลฯ พากันตาหนิ ประณาม โพนทะนาไดน้ าเรื่องน้ีไปบอกภกิ ษุทัง้ หลายใหท้ ราบ พวกภิกษุ ได้นาเร่ืองนไ้ี ปกราบทลู พระผูม้ ีพระภาคใหท้ รงทราบ๖๔๔ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญตั ิ๖๔๕ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เปน็ ข้อบัญญตั เิ ฉพาะภิกษณุ ี๖๔๖ ๖๔๐ วิ.ภกิ ขนุ ี (ไทย) ๕/๒๐๙/๒๒๙ ๖๔๑ กงฺขา.อ.๑๙/๖๘ (มจร) ๖๔๒ ว.ิ ภกิ ขนุ ี (ไทย) ๕/๒๑๓/๒๓๒ ๖๔๓ วิ.ภิกขนุ ี (ไทย) ๕/๒๑๓/๒๓๒ ๖๔๔ วิ.ภิกขนุ ี (ไทย) ๕/๒๑๓/๒๓๒ ๖๔๕ วิ.ภกิ ขุนี (ไทย) ๕/๒๑๕/๒๓๓ ๖๔๖ ว.ิ ภกิ ขุนี (ไทย) ๕/๒๑๕/๒๓๓

โรทนสิกขาบท ๒๐. ยา ปน ภิกขฺ นุ ี อตฺตาน วธติ วฺ า วธติ วฺ า โรเทยยฺ ปาจติ ตฺ ยิ ๖๔๗. กภ็ ิกษุณีใดรอ้ งไห้ทบุ ตีตนเอง ต้องอาบัตปิ าจิตตีย์ ๑) สถานท่บี ญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวตั ถ๖ี ๔๘ ๒) บุคคลผู้กอ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภิกษณุ ีจณั ฑกาลี๖๔๙ ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภกิ ษุณีจณั ฑกาลที ะเลาะกับภิกษุณีทงั้ หลายแลว้รอ้ งไห้ทุบตีตนเอง บรรดาภิกษุณีผมู้ กั น้อย ฯลฯ พากันตาหนิ ประณาม โพนทะนา ได้นาเรอื่ งน้ไี ปบอกภิกษุทงั้ หลายใหท้ ราบ พวกภิกษุได้นาเร่อื งน้ไี ปกราบทูลพระผ้มู ีพระภาคใหท้ รงทราบ๖๕๐ ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบญั ญัติ๖๕๑ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เป็นข้อบัญญตั เิ ฉพาะภิกษณุ ี๖๕๒ นคั ควรรค นัคคสกิ ขาบท ๒๑. ยา ปน ภิกขฺ นุ ี นคฺคา นหาเยยยฺ ปาจติ ตฺ ยิ ๖๕๓. ก็ภกิ ษณุ ีใดเปลือยกายอาบนา้ ตอ้ งอาบตั ปิ าจิตตยี ์ ๑) สถานทบ่ี ญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวตั ถ๖ี ๕๔ ๒) บคุ คลผกู้ อ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภกิ ษุณีหลายรปู ๖๕๕ ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ ภกิ ษณุ ีหลายรปู เปลือยกาย อาบนา้ ในแม่น้าอจริ วดีทา่ เดยี วกับหญิงแพศยา พวกหญงิ แพศยาเยย้ หยนั ภิกษุณีเหล่านนั้ วา่ “แม่เจ้าท้ังหลาย พวกทา่ นยงั เปน็ สาว จะประพฤติพรหมจรรย์ไปทาไม กัน ธรรมดามนุษย์ควรบริโภคกามมิใช่หรอื ต่อเม่ือชราพวกท่านจึงค่อยประพฤติพรหมจรรย์ เมื่อเป็นอย่างน้ี ช่ือวา่ ไดห้ ยิบฉวยเอาประโยชนท์ ง้ั สองแลว้ ” พวกภกิ ษุณีถูกพวกหญิงแพศยาเยย้ ๖๔๗ กงขฺ า.อ.๒๐/๖๘ (มจร) ๖๔๘ วิ.ภกิ ขุนี (ไทย) ๕/๒๑๗/๒๓๕ ๖๔๙ ว.ิ ภิกขนุ ี (ไทย) ๕/๒๑๗/๒๓๕ ๖๕๐ วิ.ภกิ ขุนี (ไทย) ๕/๒๑๗/๒๓๕ ๖๕๑ ว.ิ ภิกขนุ ี (ไทย) ๕/๒๑๗/๒๓๕ ๖๕๒ วิ.ภกิ ขุนี (ไทย) ๕/๒๑๗/๒๓๕ ๖๕๓ กงฺขา.อ.๒๑/๖๘ (มจร) ๖๕๔ วิ.ภกิ ขุนี (ไทย) ๕/๒๒๐/๒๓๘ ๖๕๕ ว.ิ ภกิ ขนุ ี (ไทย) ๕/๒๒๐/๒๓๘

หยันต่างเก้อเขิน ครั้นกลับไปสานักแลว้ จงึ บอกเร่อื งน้นั ให้ภิกษุณที ัง้ หลายทราบ พวกภกิ ษณุ ไี ด้บอกเรื่องนี้ให้ภิกษทุ ้งั หลายทราบ พวกภิกษุไดน้ าเรื่องน้ีไปกราบทลู พระผู้มพี ระภาคใหท้ รงทราบ๖๕๖ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญตั ิ๖๕๗ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เปน็ ขอ้ บัญญตั เิ ฉพาะภกิ ษณุ ี๖๕๘ อทุ กสาฏกิ สิกขาบท ๒๒. อทุ กสาฏกิ ปน ภกิ ฺขนุ ยิ า การยมานาย ปมาณกิ า กาเรตพพฺ า ตตรฺ ทิ ปมาณ ทฆี โส จตสโฺ สวทิ ตถฺ โิ ย สคุ ตวทิ ตฺถยิ า ตริ ยิ ทเฺ ว วทิ ตฺถโิ ย. ตอตกิ กฺ าเมนตฺ ยิ า เฉทนก ปาจติ ตฺ ยิ ๖๕๙. ก็ภกิ ษุณีผู้จะใหท้ าผา้ อาบนา้ พงึ ทาใหไ้ ด้ขนาด ขนาดในข้อนน้ั คือ ยาว ๔ คืบ กว้าง ๒ คืบ โดยคืบสุคต ทาให้เกนิ ขนาดนั้น ต้องอาบัติปาจิตตยี ์ท่ชี อื่ ว่าเฉทนกะ ๑) สถานท่ีบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรงุ สาวัตถ๖ี ๖๐ ๒) บคุ คลผูก้ อ่ เหตุ ได้แก่ ภกิ ษณุ ีฉพั พัคคยี ์๖๖๑ ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ คร้ังน้นั พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ภิกษุณใี ชผ้ ้าอาบนา้ พวกภิกษณุ ีฉัพพคั คีย์คิดว่า พระผมู้ ีพระภาคทรงอนุญาตผา้ อาบนา้ แลว้ พากันใชผ้ า้ อาบนา้ ไม่ได้ขนาดเดินเท่ยี วยอ้ ยข้างหน้าบ้าง ย้อยขา้ งหลังบ้าง ลาดับน้ัน พระผมู้ ีพระภาครับส่งั ใหป้ ระชมุ สงฆ์เพราะเรอ่ื งน้ีเปน็ ตน้ เหตุ ทรงสอบถามภกิ ษุท้ังหลายแล้วจึงรับสัง่ ให้ภกิ ษณุ ที ั้งหลายยกสกิ ขาบทนขี้ ึ้นแสดง๖๖๒ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญตั ิ๖๖๓ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เปน็ ขอ้ บญั ญัตเิ ฉพาะภกิ ษุณี๖๖๔ จวี รสิพพนสกิ ขาบท ๖๕๖ วิ.ภกิ ขนุ ี (ไทย) ๕/๒๒๐/๒๓๘ ๖๕๗ วิ.ภกิ ขุนี (ไทย) ๕/๒๒๒/๒๓๙ ๖๕๘ วิ.ภกิ ขนุ ี (ไทย) ๕/๒๒๒/๒๓๙ ๖๕๙ กงฺขา.อ.๒๒/๖๘ (มจร) ๖๖๐ วิ.ภกิ ขุนี (ไทย) ๕/๒๒๓/๒๔๑ ๖๖๑ วิ.ภิกขุนี (ไทย) ๕/๒๒๓/๒๔๑ ๖๖๒ ว.ิ ภิกขนุ ี (ไทย) ๕/๒๒๓/๒๔๑ ๖๖๓ วิ.ภิกขนุ ี (ไทย) ๕/๒๒๓/๒๔๑ ๖๖๔ ว.ิ ภกิ ขุนี (ไทย) ๕/๒๒๓/๒๔๑

๒๓. ยา ปน ภกิ ขฺ นุ ี ภกิ ขฺ นุ ยิ า จวี ร วสิ พิ เฺ พตวฺ า วา วสิ พิ พฺ าเปตวฺ า วา สาปจฉฺ า อนนตฺ รายิกนิ ี เนวสิพเฺ พยยฺ น สพิ พฺ าปนาย อสุ สฺ กุ กฺ กเรยยฺ อญญฺ ตรฺ จตหู ปญจฺ าหาปาจติ ฺตยิ ๖๖๕. กภ็ กิ ษุณีใดเลาะหรือใชใ้ หเ้ ลาะจวี รของภิกษุณีแล้ว ภายหลงั ภกิ ษณุ นี ้นั ผไู้ ม่มีอันตราย ไมเ่ ยบ็ ไม่ขวนขวายใช้ผู้อ่นื ใหเ้ ยบ็ พน้ ๔-๕ วนั ต้องอาบัติปาจติ ตีย์ ๑) สถานท่ีบญั ญตั สิ ิกขาบท ได้แก่ กรุงสาวัตถ๖ี ๖๖ ๒) บคุ คลผู้กอ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภกิ ษณุ ีถลุ ลนันทา๖๖๗ ๓) มลู เหตแุ ห่งการบญั ญตั ิสกิ ขาบท ได้แก่ ภิกษุณีรูปหนึ่งทาจีวรไม่ดี เย็บไม่ดีทั้งที่ใช้ผ้าสาหรับทาจวี รราคาแพง ภิกษุณถี ุลลนนั ทาได้กล่าวกับภิกษุณีนั้นดังนี้ว่า “แม่เจ้า ผ้าสาหรับทาจีวรของท่านดีจริง แต่กลบั ทาจวี รไม่ดี เย็บไม่ดี” ภิกษุณนี ัน้ กล่าวว่า ดฉิ ันจะเลาะออก ทา่ นจะเย็บใหห้ รอื ดฉิ ันจะเย็บให้ครน้ั แลว้ ภกิ ษณุ นี ้ันจึงเลาะจวี รแลว้ มอบให้ภกิ ษณุ ถี ุลลนนั ทา ภกิ ษุณีถลุ ลนนั ทา กล่าววา่ “ดิฉันจะเยบ็ ให้ ดิฉันจะเย็บให้” แต่ไม่เย็บให้ ทั้งไม่ขวนขวายใช้ผู้อื่นให้เย็บ ภิกษุณีนั้นจึงบอกเรื่องนั้นให้ภิกษุณีทั้งหลายทราบบรรดาภกิ ษุณีผูม้ กั น้อย ฯลฯ พากันตาหนิ ประณาม โพนทะนาไดน้ าเรื่องนี้ไปบอกภิกษุทั้งหลายให้ทราบ พวกภกิ ษไุ ดน้ าเรื่องนไี้ ปกราบทลู พระผ้มู ีพระภาคให้ทรงทราบ๖๖๘ ๔) บัญญตั ิ มี ๑ พระบัญญัติ๖๖๙ ๕) ประเภทของบญั ญตั ิ เปน็ ขอ้ บัญญัตเิ ฉพาะภกิ ษุณี๖๗๐ สงั ฆาฏจิ ารสกิ ขาบท ๒๔. ยา ปน ภกิ ขฺ นุ ี ปญจฺ าหิก สงฺฆาฏจิ าร อติกกฺ าเมยฺย ปาจติ ฺตยิ ๖๗๑. กภ็ ิกษุณีใดใหว้ าระผลดั เปลย่ี นสังฆาฏิ ทมี่ ีกาหนดระยะเวลา ๕ วันล่วงเลยไป ตอ้ งอาบตั ิปาจิตตยี ์ ๑) สถานที่บญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวัตถ๖ี ๗๒ ๒) บคุ คลผ้กู อ่ เหตุ ได้แก่ ภกิ ษุณีหลายรูป๖๗๓ ๖๖๕ กงขฺ า.อ.๒๓/๖๘ (มจร) ๖๖๖ วิ.ภกิ ขุนี (ไทย) ๕/๒๒๗/๒๔๓ ๖๖๗ วิ.ภิกขนุ ี (ไทย) ๕/๒๒๗/๒๔๓ ๖๖๘ วิ.ภิกขนุ ี (ไทย) ๕/๒๒๗/๒๔๓ ๖๖๙ ว.ิ ภกิ ขนุ ี (ไทย) ๕/๒๒๗/๒๔๔ ๖๗๐ ว.ิ ภกิ ขุนี (ไทย) ๕/๒๒๗/๒๔๔ ๖๗๑ กงขฺ า.อ.๒๔/๖๘ (มจร) ๖๗๒ วิ.ภิกขุนี (ไทย) ๕/๒๓๑/๒๔๗ ๖๗๓ วิ.ภิกขุนี (ไทย) ๕/๒๓๑/๒๔๗

๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ภกิ ษณุ ีทัง้ หลายฝากจีวรไว้กับ พวกภกิ ษุณี มเี พียงอตุ ตราสงค์กบั อันตรวาสกหลกี จาริกไปสู่ชนบท จีวรน้นั เก็บไว้นานจงึ ขน้ึ รา พวกภิกษณุ ี(ทีร่ ับฝาก)จึงนาออกผง่ึแดด ภิกษุณที ัง้ หลายได้กล่าวกบั ภิกษุณี(ทีร่ ับฝาก)เหลา่ นน้ั ดงั นวี้ า่ แมเ่ จา้ ท้ังหลาย จีวรที่ข้ึนราเหล่านีเ้ ป็นของใคร ลาดับน้นั พวกภกิ ษุณ(ี ท่ีรับฝาก)จงึ บอกเรอ่ื งนน้ั ใหภ้ กิ ษุณีทงั้ หลายทราบ พระผูม้ ีพระภาครบั สั่งใหป้ ระชมุ สงฆ์เพราะเรือ่ งนี้เป็นตน้ เหตุ ทรงสอบถามภิกษุท้ังหลาย แลว้ จึงรับสง่ั ให้ภิกษณุ ีทั้งหลายยกสกิ ขาบทน้ขี น้ึ แสดง๖๗๔ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบัญญตั ิ๖๗๕ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เป็นข้อบัญญตั เิ ฉพาะภกิ ษุณี๖๗๖ จวี รสงั กมนียสกิ ขาบท ๒๕. ยา ปน ภิกขฺ นุ ี จวี รสงกฺ มนยี ธาเรยยฺ ปาจติ ฺตยิ ๖๗๗. ก็ภกิ ษณุ ีใดห่มจีวรสบั เปลยี่ นกัน ตอ้ งอาบตั ิปาจติ ตีย์ ๑) สถานทบ่ี ญั ญตั สิ กิ ขาบท ไดแ้ ก่ กรุงสาวัตถ๖ี ๗๘ ๒) บุคคลผู้กอ่ เหตุ ไดแ้ ก่ ภิกษุณีรูปหน่งึ ๖๗๙ ๓) มลู เหตแุ หง่ การบญั ญตั สิ กิ ขาบท ได้แก่ ภิกษุณรี ูปหนงึ่ เทย่ี วบณิ ฑบาตแล้วผ่ึงจวี รทเี่ ปียกชุม่แลว้ เขา้ วหิ าร ภกิ ษณุ ีอีกรูปหน่ึงห่มจวี รผนื นัน้ เข้าไปบิณฑบาตในหมบู่ า้ น ภกิ ษุณี(เจา้ ของจีวร)นั้นออกมาถามภกิ ษณุ ีท้ังหลายวา่ ทา่ นทั้งหลายเห็นจีวรของดิฉันบา้ งไหม ภกิ ษุณีทั้งหลายบอกเร่ืองน้ันใหภ้ ิกษุณนี ้ันทราบลาดับนน้ั ภกิ ษุณีนัน้ ตาหนิ ประณาม โพนทะนา พระผูม้ ีพระภาครบั สั่งใหป้ ระชุมสงฆ์เพราะเร่ืองนเ้ี ป็นตน้ เหตุ ทรงสอบถามภิกษทุ ั้งหลาย แล้ว จงึรบั ส่ังให้ภกิ ษณุ ีท้ังหลายยกสิกขาบทนข้ี นึ้ แสดง๖๘๐ ๔) บญั ญตั ิ มี ๑ พระบญั ญตั ิ๖๘๑ ๕) ประเภทของบัญญตั ิ เป็นข้อบญั ญตั เิ ฉพาะภกิ ษณุ ี๖๘๒ ๖๗๔ ว.ิ ภกิ ขนุ ี (ไทย) ๕/๒๓๑/๒๔๗ ๖๗๕ ว.ิ ภกิ ขนุ ี (ไทย) ๕/๒๓๑/๒๔๘ ๖๗๖ ว.ิ ภิกขนุ ี (ไทย) ๕/๒๓๑/๒๔๘ ๖๗๗ กงขฺ า.อ.๒๕/๖๙ (มจร) ๖๗๘ วิ.ภิกขุนี (ไทย) ๕/๒๓๕/๒๕๑ ๖๗๙ วิ.ภิกขุนี (ไทย) ๕/๒๓๕/๒๕๑ ๖๘๐ ว.ิ ภกิ ขนุ ี (ไทย) ๕/๒๓๕/๒๕๑ ๖๘๑ ว.ิ ภิกขุนี (ไทย) ๕/๒๓๕/๒๕๑


Like this book? You can publish your book online for free in a few minutes!
Create your own flipbook